02 พฤษภาคม 2567, 17:01:10
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: กฎหมายจราจรของคนเดินเท้า  (อ่าน 16549 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 29 ตุลาคม 2553, 15:02:38 »


                                  กฎหมายจราจรของคนเดินเท้า
 ขอขอบคุณเวบเดลินิวส์ วันศุกร์ ที่ 29 ตุลาคม 2553 ที่สนับสนุนเนื้อหาข่าว
 http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=355&contentID=100976

        ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 64 มีหลักว่า บุคคลจะแก้ตัวว่า ไม่รู้กฎหมายเพื่อให้พ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได้ฯ ด้วยเหตุนี้ แทนที่จะทำดุ่ม ๆ โดยไม่เรียนรู้ไว้บ้างก็คงไม่เหมาะ

                        
    
        การเดินในชีวิตประจำวันของเราทุกคน มีกฎหมายกำหนด ว่าการเดินในทาง ซึ่งหมายถึง ทางเดินรถ ช่องเดินรถ ช่องเดินรถประจำทาง ไหล่ทาง ทางเท้า ทางข้าม ทางร่วมทางแยก ทางลาด ทางโค้ง สะพาน และลานที่ประชาชนใช้ในการจราจร รวมถึงทางส่วนบุคคลที่เจ้าของยินยอมให้ใช้ในการจราจรหรือที่เจ้าพนักงานจราจรได้ประกาศให้เป็นทาง แต่ไม่รวมทางรถไฟ
    
        ส่วน “คนเดินเท้า” หมายถึง คนเดิน รวมตลอดถึงผู้ใช้เก้าอี้ล้อสำหรับคนพิการหรือรถสำหรับเด็กด้วย
    
        กฎหมายที่กำหนดวิธีการเดิน อยู่ใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ฉบับเดียวกับควบคุมการใช้รถนั่นแหละ
    
        ถามว่า เรานึกอยากจะเดินตรงไหนก็ได้ใช่หรือไม่

        ถ้าตอบโดยกฎหมาย ก็ต้องอธิบายว่า ทางใดที่มีทางเท้าหรือไหล่ทางอยู่ข้างทางเดินรถ ให้คนเดินเท้าเดินบนทางเท้าหรือไหล่ทาง

        ถ้าทางนั้นไม่มีทางเท้าอยู่ข้างทางเดินรถให้เดินริมทางด้านขวาของตน จะเรียกเดินชิดขวามือของตัวเอง
    
        นอกจากเดินข้างถนนแล้ว ถ้าจะข้าม กฎหมายก็บอกว่า ภายในระยะไม่เกินหนึ่งร้อยเมตรนับจากทางข้าม ห้ามมิให้คนเดินเท้าข้ามทางนอกทางข้าม
    
        อธิบายว่า ในที่มีทางม้าลายหรือสะพานลอยคนเดินข้าม จะข้ามนอกทางในรัศมี 100 เมตรไม่ได้
    
        การข้ามทางในที่มีไฟสัญญาณจราจรควบคุมคนเดินเท้า ก็ต้องทำตามสัญญาณไฟ คือต้องได้ไฟเขียวก่อนถึงจะไปได้
    
        แต่เป็นทางข้ามหรือทางร่วมทางแยกที่มีสัญญาณจราจรควบคุม ก็ให้รอไฟสีแดงให้รถหยุดทางด้านใดของทางก็ให้คนเดินข้ามตามที่รถหยุดนั้น โดยต้องข้ามภายในทางข้ามเท่านั้น
    
        ปรับไม่เกิน สองร้อยบาท
    
        กฎหมายเดียวกันยังมีบทบัญญัติ ห้ามคนเดินแถวเดินเป็นขบวนแห่ หรือเดินเป็นขบวนใด ๆ ที่กีดขวางการจราจร เว้นแต่เป็นแถวทหารหรือตำรวจที่มีผู้  ควบคุม และแถวหรือขบวนแห่หรือขบวนใด ๆ ที่เจ้าพนักงานจราจรอนุญาตและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด
    
        คนที่ชอบจัดกิจกรรมรวมตัวกันทำโน่นทำนี่ บนถนนหนทางอาจจะต้องพิจารณาว่ากำลังฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่
    
       บางคนไม่เดินขบวน แต่นั่ง ยืน หรือจัดกิจกรรมบนทางเท้า กฎหมายก็ห้ามกระทำด้วยประการใด ๆ บนทางเท้าหรือทางใด ๆ ซึ่งจัดไว้สำหรับคนเดิน ในลักษณะกีดขวางผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร
    
       โทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
    
      ข้อห้ามสำคัญอีกประการที่มีผู้กระทำผิดจนกลายเป็นเรื่องปกติ ก็คือ การห้ามซื้อ ขาย แจกจ่าย หรือเรี่ยไรในทางเดินรถหรือออกไปกลางทางโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือเป็นการกีดขวางการจราจร
    
      ไม่ได้ห้ามเฉพาะคนขายแต่หมายรวมถึงคนซื้อด้วย จึงต้องระวังความผิด
    
       จะอ้างว่าทำเพราะไม่รู้กฎหมายก็ไม่ได้.

                                                        ไฟผ่าหมาก

                                                 win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2553, 15:40:47 »

ขอบพระคุณ
ทำให้ได้รู้ข้อกฎหมายสำหรับคนเดินเท้า
สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2553, 19:50:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 29 ตุลาคม 2553, 15:40:47
ขอบพระคุณ
ทำให้ได้รู้ข้อกฎหมายสำหรับคนเดินเท้า
สวัสดี
ขอขอบพระคุณ พี่สิงห์ ที่เข้ามาอ่านมาให้กำลังใจครับ

         ผมพบข่าวที่คิดว่าจะเกิดประโยชน์ต่อพวกเรา จะนำมาโพสต์เก็บไว้ค้นหาเมื่อต้องการใช้อ้างอิงภายหลัง และ ยังได้เผยแพร่ ให้พวกเราได้รู้ด้วย

         การรู้กฏหมายจราจรของคนเดินเท้า เป็นกฏที่ออกมาเพื่อให้เป็นหน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบของสังคม

         สิทธิ ต้องคู่กับ หน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติตาม

                 

         เปรียบเหมือนกับที่ ท่่านศาสตราจารย์ นายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ไปดูงานที่อเมริกา พบว่าคนในประเทศอเมริการซื้อประกันสุขภาพ เพื่อรักษาพยาบาล โดยผู้ที่ไม่ดูแลสุขภาพ ทำให้มีปัจจัยเสี่ยงทำให้ป่วยง่าย จะต้องเสียเบี้ยประกันแพงกว่าผู้ดูแลสุขภาพ ไม่มีปัจจัยเสี่ยง

        ท่านอยากให้นำมาใช้ในประเทศไทย ให้ประชาชนต้องทำหน้าที่ให้มีสุขภาพดีด้วย จึงจะได้สิทธิรักษาพยาบาลฟรี แต่ยังไม่สามารถนำมาเป็นสภาพบังคับในประเทศไทยได้

                           รักนะ รักนะ รักนะ 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2553, 20:03:15 »

สวัสดีครับ คุณหมอสำเริง
                          เอามาทำกับคนไทยไม่ได้หรอกครับ นักการเมืองไทยไม่ยอมเพราะ เป็นเรื่องนโยบายประชานิยม
                          ยิ่งอาหารการกินด้วยแล้ว ปัจจุบันขอกินตามความอยาก  ไม่ออกกำลังกาย ป่วยพึ่งหมอและยาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานกอลทุนประกันสังคมจะล้มละลาย เพราะไม่มีเงินเนื่องจากโรคความดัน เบาหวาน หัวใจ มาเอาเงินไปหมดครับ
                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #4 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2553, 23:06:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 29 ตุลาคม 2553, 20:03:15
สวัสดีครับ คุณหมอสำเริง
                          เอามาทำกับคนไทยไม่ได้หรอกครับ นักการเมืองไทยไม่ยอมเพราะ เป็นเรื่องนโยบายประชานิยม
                          ยิ่งอาหารการกินด้วยแล้ว ปัจจุบันขอกินตามความอยาก  ไม่ออกกำลังกาย ป่วยพึ่งหมอและยาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานกอลทุนประกันสังคมจะล้มละลาย เพราะไม่มีเงินเนื่องจากโรคความดัน เบาหวาน หัวใจ มาเอาเงินไปหมดครับ
                           สวัสดี
สวัสดีครับพี่สิ่งห์

       ในเมื่อเรารู้ว่านักการเมือง ใช้ประชานิยม เพื่อเรียกคะแนนเสียงเวลาเลือกตั้ง แทนที่จะทำ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
       ทำไมยังใช้ประชาธิปไตยผ่านตัวแทนอีก  gek สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร หรือ สส.แบ่งเขต 400 คน และ สส.สัดส่วน 80 คน รวมเป็น 480 คน ให้มาทำหน้าที่แทนคนทั้งประเทศไทยทีมีความหลากหลายอาชีพ จะเป็นตัวแทนให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร  

       ทำไมไม่ใช้สิทธิทางตรงเอง เพราะ ในโลกปัจจุบัน มีเทคโนโลยี่สารสนเทศเชื่อมคนทั้งโลกไว้ด้วยกันได้แล้วประชาชนสามารถใช้สิทธิโหวตเสียงทางตรงเองได้ ไม่ต้องผ่านตัวแทน

       แต่มีองค์กรอิสระ ที่เป็นตัวแทนของแต่ละกลุ่มอาชีพ รับเงินเดือนจากสมาคมกลุ่มอาชีพนั้น ซึ่งมีรายรับจาก ค่าการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มฯ และ การร่วมบริจาคที่สมาชิกที่สมัครใจบริจาคให้เอง ร่วมกับ ได้จากงบประมาณที่เคยต้องให้กับตัวแทน สส.นำมาให้ องค์กรอิสระนี้ เช่น

            

       ที่ประชุมกรรมการสภามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ทกสท.) เพื่อให้นำความรู้ด้านวิชาการ เมื่อมีการอภิปรายในสภาการเมืองแห่งชาติ หรือ สภาผู้แทนเดิม ระหว่างรัฐบาล กับ องค์กรอิสระต่าง ๆ ของประชาชน โดยเข้ามาทำหน้าที่ให้ความรู้ด้านวิชาการให้กับสภาการเมืองแห่งชาติ เป็นต้ัน

       แม้แต่รัฐบาลเองก็เป็นองค์กรอิสระ ที่จัดทีมคณะรัฐบาล ขึ้นมาแข่งวิสัยทัศน์ ในสภาการเมืองแห่งชาติ ให้องค์กรอิสระ ที่เป็นตัวแทนของแต่ละสาขาอาชีพ ที่เข้าร่วมฟังการดีเบต ของทีมรัฐบาลแต่ละทีม เมื่อจะโหวตเลือกรัฐบาลทีมใด เป็นสิทธิของประชาชนที่เลือกเองทางระบบอินเตอร์เนต ซึ่งปลัดกระทรวงไอซีที กำลังจัดตั้งให้มี ศูนย์ไอซีทีชุมชน ขึ้น ดูเรื่อง ศูนย์ไอซีทีชุมชน ได้ที่กระทู้

       http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,6768.0.html

       กิจกรรมการเมืองทั้งหมด สามารถทำผ่านเครือข่ายสังคม ได้ทางศูนย์ไอซีทีชุมชน ที่กำลังจัดให้มีขึ้น

              

       เครือข่ายสังคม Social Network ระบบ Multimedia สามารถติดต่อถึงกัน ดู ฟัง เรื่องการเมืองเองได้

                  

       มีกระทรวงเทคโนโลยี่และสารสนเทศ มีหน้าที่กำกับให้ความสะดวก ให้บริสุทธิ์ยุติธรรม สามารถตรวจสอบได้โดยองค์กรอิสระที่เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ เป็นการใช้สิทธิการปกครองระบอบประชาธิปไตยทางตรงเอง

               ซึ่งจะทำได้ต้องใช้ สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา
            ให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตยทางตรง เป็นด้านที่ 1
      เมื่อเกิดกลุ่มคนเข้าใจมากขึ้น เป็นด้านที่ 2 แล้วร่วมผลักดัน
     ให้แก้รัฐธรรมนูญ ให้เป็นการใช้สิทธิทางตรงเอง เป็นด้านที่ 3

                  

       โดยประชาชนร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยทางตรง ขึ้นมาโดยตั้งผู้ทรงคุณวุฒิร่างขึ้น ให้ประชาชนร่วมแสดงความเห็น ร่วมปรับปรุงแก้ไข ผ่านระบบไอซีที จนได้รัฐธรรมนูญ ที่เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และ เพื่อประชาชน โดยใช้สิทธิทางตรงผ่านระบบเทคโนโลยี่สารสนเทศ มีองค์กรอิสระด้านต่าง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ทางการเมืองในสภาการเมืองแห่งชาติ เมื่อจะโหวตคะแนนเสียงยังเป็นสิทธิทางตรงของประชาชนเอง

       ประชาธิปไตยทางตรง
       http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%87  
                      win win win  

       จึงขอเป็นด้านที่ 1 ของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา เรื่องประชาธิปไตยทางตรง ให้ความรู้ เพื่อให้พวกเราชาวซีมะโด่ง และ ผู้ได้เข้ามาอ่านความรู้นี้เกิดการรวมตัวกันเป็นด้านที่ 2 เพื่อผลักดันให้แก้รัฐธรรมนูญ ที่นักการเมืองจะแก้เพื่อพรรคการเมืองเอง ให้แก้เป็นประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชนใช้สิทธิทางการเมืองทางตรงเอง เป็นด้านที่ 3 ของสามเหลี่ยม

                  

       ซึ่งนักการเมืองแทนที่จะหาเสียงเป็นตัวแทน จะเปลี่ยนเป็นการจัดทีมรัฐบาล เข้ามาแข่งขันวิสัยทัศน์ ดีเบตกันในสภาการเมืองแห่งชาติ ให้องค์กรอิสระเฉพาะด้านต่าง ๆ ฟัง พร้อมประชาชนฟังด้วยเมื่อจะเลือกรัฐบาลทีมใดประชาชนใช้สิทธิทางตรงเลือกเองเลย      

                      gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #5 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2553, 08:22:23 »


                 ปชป.-พรรคร่วมกอดคอฮั้ว มุ่งแก้ รธน.เปลี่ยนวิธีเลือกตั้งสส.
                                         (ผ่าประเด็นร้อน)
                 http://www.naewna.com/news.asp?ID=235020

                      

         หลังจากตั้งแง่งัดข้อซื้อเวลากันมานานระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในที่สุดคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก็มีมติเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 ประเด็น จากที่คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มี ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เป็นประธาน เสนอให้แก้ไขใน 5 ประเด็น

         2 ประเด็นในรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้แก้ไข ก็คือ

ประเด็นที่หนึ่ง มาตรา 190 ที่รัฐธรรมนูญปัจจุบันกำหนดว่าการทำสนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศใดๆ จะต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ให้แก้เป็นว่า สนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศในบางเรื่องรัฐบาลสามารถดำเนินการได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเพื่อความคล่องตัวในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งในประเด็นนี้ไม่มีความสำคัญอะไรมากนักเป็นเพียงประเด็นฉาบหน้า

    แต่ประเด็นสำคัญที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องการแก้ไขก็ คือ

ประเด็นที่สอง ที่ว่าด้วยการเปลี่ยนวิธีการเลือกตั้ง สส.จากปัจจุบันที่ใช้ระบบแบ่งเขต เขตละหลายคนมาเป็นแบบแบ่งเขตเบอร์เดียว ซึ่งทำให้เขตการเลือกตั้งสส.เล็กลง อันเป็นเป้าหมายความต้องการของพรรคร่วมรัฐบาลขนาดเล็กและขนาดกลางโดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาพยายามเรียกร้องกดดันพรรคประชาธิปัตย์ ให้รีบแก้รัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ มาตลอดโดยทวงสัญญาสุภาพบุรุษจากพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เป็นข้อตกลงตั้งแต่เมื่อครั้งพลิกขั้วมาจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ

         การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับวิธีการเลือกตั้งสส.ยังรวมถึงการแก้ไขเปลี่ยนจำนวนและรูปแบบสส.จากปัจจุบันที่กำหนดให้มีสส.ทั้งหมด 480 คน โดยเป็น สส.ที่เลือกตั้งตามเขต 400 คน และสส.ระบบสัดส่วน 80 คน แก้ไขเป็นให้มีสส.ทั้งหมด 500 คน โดยเป็นสส.แบบเขต 375 คน และสส.ระบบบัญชีรายชื่ออีก 125 คน

        การเปลี่ยนแปลงจำนวนและรูปแบบสส.โดยลดสส.แบบเขตลงแล้วไปเพิ่มสส.แบบบัญชีรายชื่อมากขึ้นอีก 45 ที่นั่ง ทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสมากขึ้นที่จะกวาดสส.ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เพราะเป็นที่รู้กันว่า

       ในการเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อนั้นคะแนนทุกคะแนนที่ประชาชนเลือกพรรคการเมืองล้วนมีความหมาย ซึ่งจากผลสำรวจของโพลล์ทุกสำนักในช่วงที่ผ่านมา ชี้ว่า

        พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้เปรียบในฐานะที่เป็นแกนนำพรรครัฐบาลที่มีคะแนนนิยมเหนือกว่าพรรคคู่แข่งสำคัญ คือ พรรคเพื่อไทย ประกอบกับพรรคเพื่อไทยเอง ก็อยู่ในภาวะที่ตกต่ำอย่างหนัก

       ดังนั้นหากมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่พรรคประชาธิปัตย์ย่อมได้คะแนนจากสส.แบบบัญชีรายชื่ออย่างเป็นกอบเป็นกำเหนือพรรคเพื่อไทยอย่างไม่ต้องสงสัย และแม้พรรคเพื่อไทย จะชนะพรรคประชาธิปัตย์สำหรับ สส.แบบเขต แต่จำนวนสส.โดยรวมอาจจะน้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นได้ หากพรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้ง สส.แบบเขตไม่มากนัก แต่พ่ายแพ้สส.แบบบัญชีรายชื่อให้กับพรรคประชาธิปัตย์อย่างราบคาบ

         สถานการณ์บ้านเมืองยามนี้คงไม่มีเวทีสำหรับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นหุ่นเชิดของขบวนการเผาบ้านทำลายเมืองภายใต้การนำของนักโทษชายแม้ว ซึ่งหากได้กลับมามีอำนาจบริหารประเทศเมื่อใดบ้านเมืองมีหวังลุกเป็นไฟแน่นอน เพราะฉะนั้นต้องสกัดทุกวิถีทางไม่ให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

                     ทีมข่าวการเมือง
                    วันที่ 4/11/2010

                 win win win

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

         ประชาธิปไตยผ่านตัวแทน ที่แก้รัฐธรรมนูญ มาบ่อย ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ยังไม่สามารถทำให้เป็น

                   การปกครองของประชาชน เพื่อประชาชน และ โดยประชาชนได้ ต้อง

         ประชาธิปไตยทางตรง ที่ มีความน่าจะเป็นมากกว่า ประชาธิปไตยผ่านตัวแทน จะเป็น

                                  

                 แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ของประชาธิปไตย

                             gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #6 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2553, 11:19:14 »

             ฯลฯ.................................
"ถ้าทางนั้นไม่มีทางเท้าอยู่ข้างทางเดินรถให้เดินริมทางด้านขวาของตน จะเรียกเดินชิดขวามือของตัวเอง"
              ฯลฯ......................................


มีถนนจำนวนมาก ที่เป็นถนนสายรอง รวมทั้งถนนที่เป็นเส้นทางเข้าหมู่บ้าน ไม่มีการตีเส้นข้างถนนให้ผู้คนเดิน ดังนั้น พรบ. การจราจรทางบก พ.ศ. 2522 จึงกำหนดให้เดินในชิดริมด้านขวามือของคนเดิน ซึ่งเป็นทิศที่สวนทางกับรถที่ใช้ถนน โดยเจตนาให้คนเดินสวนทางกับรถที่ขับเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายระมันระวังซึ่งกันและกัน
แต่มีเรื่องตลกเกิดขึ้นอย่างหนึ่ง คนเดินชิดขอบทาง เพื่อป้องกันรถที่วิ่งอยู่เฉียวชน แต่ต้องเดินผ่านบ้านคนซึ่งเลี้ยงและปล่อยหมา เป็นเหตุให้คนเดินถนนโดนหมากัด ก็มีมากรายแล้ว ซึ่งไปผิด ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 เรื่องละเมิด ที่เจ้าของหมาไม่ดุแลและปล่อยให้หมาออกมาทำร้ายผู้คน มีเรื่องคาศาลต่างๆ อยู่หลายเรื่องแล้วครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #7 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2553, 13:19:16 »

เอามาโพสต์รวมในห้องนี้เลยน่ะ เรื่องนักศึกษาจากมาหวิทยาลัยต่างๆ ขับขี่รถยนต์ประสบอุบัติเหตุค่อนข้างถี่ในช่วงนี้

นักศึกษากับการขับรถยนต์ .. เหยื่อ อุบัติเหตุทางถนน ที่ทุกคนมองข้าม
วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 14:27:45 น

โดย นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ


...แทบทุกเดือนเราจะพบเห็นข่าวโศกนาฏกรรม ความสูญเสียที่เกิดกับนิสิต นักศึกษาที่ขับรถยนต์และเกิดการชน และเกือบทุกครั้งสาเหตุที่เกี่ยวข้องก็จะเป็นเรื่องของ “ ขับรถเร็ว ดื่มฉลอง เมาแล้วขับ และ หลับใน ” ล่าสุด .. ช่วงเทศกาล “ฮาโลวีน” เกิดเหตุสลด “นศ.เมาซิ่งเก๋งดับ 4 ศพ” ตามข่าวระบุว่า นักศึกษา ม.รังสิต ไปเที่ยวย่านเอกมัยและประสบเหตุในช่วงตี 4 บริเวณแยกหลักสี่ และก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวสลดของนิสิต นักศึกษา ที่สำคัญ ได้แก่


นศ.ซิ่งแหกด่านขยี้ ตร. เมียท้อง 7 เดือนสุดโศก โดยเกิดเหตุในช่วง 2.30 น. และนักศึกษา ม.หอการค้าไทย อายุ 21 ปี มีอาการคล้ายคนเมา 


พริตตี้สาวชะตาขาด เหยียบแมวเสียหลักอัดก๊อบปี้ต้นไม้ไฟลุกเผาร่างเกรียม ในข่าวระบุว่าทั้งคู่ เป็นนักศึกษา อายุ 22 ปี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มารับงานให้ค่ายรถแห่งหนึ่ง และขับกลับด้วยความเร็วสูง


นศ.รามซิ่งวีออสดับ2ศพ ในข่าวระบุว่าช่วงเกิดเหตุ 22.00 น. ฝนตกและขับด้วยความเร็วลงสะพานข้ามแยก


นักศึกษา ม.กรุงเทพซิ่งแจ๊ซชน จยย.ดับสยอง 2 ศพ เป็นเหตุการณ์ในช่วงเช้า และนักศึกษาที่ชนมีอาการคล้ายคนเมา และระบุว่าจำไม่ได้ว่าขับออกมาจากที่ไหนและเหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร ช่วงที่เกิดอุบัติเหตุขับรถชนก็จำไม่ได้ มารู้สึกตัวและตั้งสติได้อีกทีก็ตอนที่อยู่โรงพักแล้ว


นศ.มหิดลอินเตอร์ ซิ่งเก๋งชนเสาไฟขาดสองท่อน ดับ 1 เจ็บ 3 ทั้งหมดเป็นนักศึกษาปี 1 และผู้ตายอายุเพียง 19 ปี


มีคำถามตามมามากมายว่า .. ทำไมนิสิต-นักศึกษา ที่กำลังก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัย และเพิ่งครบวัยทำใบอนุญาตขับรถยนต์ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) ถึงต้องรีบร้อนใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งสถานศึกษาบางแห่งโดยเฉพาะของเอกชน ผู้นำรถยนต์มาใช้เกือบจะมากกว่าผู้ที่เดินทางด้วยรถสาธารณะ และถือเป็นแหล่งรวมรถยนต์รุ่นใหม่ๆ


ในขณะที่ระบบการให้ใบอนุญาตขับรถของประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนอยู่ในเกณฑ์ต่ำ (เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย) จะเข้มงวดกับผู้ขับขี่หน้าใหม่ โดยมีการออกใบอนุญาตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน (Graduate licensing) ได้แก่ การเรียนและสอบขอใบอนุญาตไม่ต่ำกว่า 30 ชั่วโมง เมื่อสอบผ่านได้ใบอนุญาตขับรถยนต์ชั่วคราวแล้ว ยังต้องขับโดยมีผู้มีประสบการณ์นั่งไปด้วย ห้ามขับเวลากลางคืน ฯลฯ และที่สำคัญคือ ถ้ามีการเมาแล้วขับจะถูกยึดใบอนุญาตขับรถยนต์ทันที


ปัจจัยสำคัญของความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุในกลุ่มนิสิต นักศึกษา ที่ขับรถยนต์ คือ การใช้ชีวิตของนักศึกษาในยุคปัจจุบันเอง ก็อยู่ในวัฒนธรรมของความเร่งรีบ ทุกอย่างดูต้องรวดเร็ว จึงจะถือว่าเก่ง เช่น ใครจะเรียนจบเร็ว ใครจะมีมือถือ-มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ก่อน และที่สำคัญคือใครจะออกรถรุ่นใหม่ได้ก่อนกัน


ถ้ายังจำโฆษณารถรุ่นใหม่ ของค่ายรถยุโรปแห่งหนึ่ง ที่ใช้แนวคิด (concept) เรื่องความเร่งรีบ-ความเร็ว เป็นจุดขาย .. “รีบไปรับแฟน รีบไปรับแม่ รีบไปทำงาน ชีวิตที่เร่งรีบ ต้องใช้ รถ ....” แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ กับชีวิตที่เร่งรีบ ถือเป็นของคู่กัน


นอกจากการมีชีวิตที่เร่งรีบของนิสิต นักศึกษาแล้ว การใช้ชีวิตด้วยความสนุกสนาน การเฉลิมฉลองและเพื่อนฝูง ก็เป็นอีกจุดขายหนึ่งของ “ธุรกิจสุรา” ที่ใช้เป็นอาวุธเจาะตลาดกลุ่มนี้อย่างได้ผล
 

ถ้าดูจากตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2539-2550 เยาวชนอายุ 15-19 ปี มีอัตราการดื่มประจำเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70โดยปี  2550  พบว่าเยาวชนที่อายุ 15 ปีขึ้นไปดื่มสุรามากถึง 19.3 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงถึง 2.3 ล้านคน นอกจากนี้ ผลสำรวจของเครือข่ายเยาวชนฯ พบว่า มีร้านเหล้าเพิ่มขึ้นมากถึง 1,522 ร้าน จาก 45 สถาบัน หรือรอบมหาวิทยาลัย 1 แห่ง จะมีร้านเหล้ามากถึง 34 ร้าน  ซึ่งข้อมูลจากการศึกษาของประเทศนิวซีแลนด์ และในหลายประเทศ บ่งชี้ให้เห็นว่ายิ่งอายุน้อย ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยพบว่า ระดับแอลกอฮอล์ของผู้ดื่มที่เป็นเยาวชน (15-19 ปี) จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ สูงกว่าอายุ 20-25 ปี และ 30 ปีขึ้นไป


นอกจากนี้ ยังพบว่านักดื่มส่วนใหญ่ ยังไม่ตระหนักถึงอันตรายในการขับรถเมื่อดื่มสุรา ดังจะเห็นได้จาก เอแบคโพลล์เคยสำรวจและพบว่า 1/3 ของคนที่ดื่มเบียร์ 2  ขวด (ซึ่งจะเกินกว่า 50 mg/dl) ยังคิดว่าตัวเองขับขี่ได้ เช่นเดียวกับคนดื่มสุรา 1 แบน ครึ่งหนึ่ง ระบุว่าตัวเองคิดว่าขับได้


สำหรับผู้ดื่มที่ดื่มหนักมากจะต้องใช้เวลาในการกำจัดแอลกอฮอล์ที่ยาวนานหลายชั่วโมง โดยพบว่า .. ผู้ที่ดื่มในปริมาณสูงในช่วงกลางคืนก็อาจจะมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงและมีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุในช่วงเช้าสำหรับเพื่อนๆ ที่ไปเที่ยวด้วยกัน ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการนั่งรถที่คนเมาขับ แต่ส่วนใหญ่ไม่ตระหนัก และบางส่วนไม่สามารถปฏิเสธการเดินทางได้ โดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ศึกษาผู้พิการ 200 รายจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุรา พบว่า 3/4 อยู่ในวัย 13-30 ปี โดยกลุ่มผู้ชายระบุว่าต้องฝืนขับทั้งๆที่เมา เพราะกลัวเสียหน้า บางส่วนจะหวงรถ ไม่ยอมให้คนอื่นขับ ส่วนกลุ่มหญิง จะเกรงใจในการปฏิเสธการเดินทางกับคนที่ดื่มและเมา


ดังนั้น .. กลุ่มนิสิต นักศึกษาที่ขับรถยนต์ ถือเป็นกลุ่มที่มีทั้ง 3 ปัจจัยเสี่ยงประกอบกันคือ (1) การขาดประสบการณ์ในการขับขี่ และวุฒิภาวะในการตัดสินใจ แต่มานั่งหลังพวงมาลัยรถยนต์ที่เครื่องยนต์มีกำลังสูง (2) การขับรถเร็ว และ (3) ดื่มแล้วขับ .. ซึ่งโอกาสที่ทั้ง 3 ปัจจัยจะมารวมกัน เกิดขึ้นได้ตลอด โดยเฉพาะสถานการณ์ที่จะมีการเฉลิมฉลอง ได้แก่ ปิดภาคเรียน รับปริญญา วันเกิดเพื่อน เทศกาลต่างๆ (ปีใหม่ วาเลนไทน์ สงกรานต์ ฮาโลวีน ลอยกระทง ฯลฯ)


คำถามท้ายสุด คือ นอกจากให้นิสิต-นักศึกษา ที่มีรถยนต์ขับขี่ ต้องเกิดจิตสำนึกความปลอดภัย และเรียนรู้ทักษะขับขี่ที่สำคัญแล้ว ใครจะช่วยพวกเขาได้ และคำตอบที่ผู้เกี่ยวข้อง ต้องร่วมกันรับผิดชอบ คือ


1.กรมการขนส่งทางบก .. ควรทบทวนและพัฒนาระบบการออกใบอนุญาตขับรถยนต์ ที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ระบบ graduate licensing ในกลุ่มเยาวชนเหล่านี้


2.สถานศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัย วิทยาลัย และ สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ควรทบทวนเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของนิสิต-นักศึกษา ว่าจะมีมาตรการหรือแนวทางที่เป็นรูปธรรมอย่างไร มิใช่ เมื่อเกิดเหตุการณ์ ก็มารณรงค์กวดขันแบบไฟไหม้ฟาง เพราะถ้า สกอ.และสำนักงานคณะกรรมการอาชีวะศึกษา ได้มีการรวบรวมข้อมูล นิสิต-นักศึกษา ที่เสียชีวิตและพิการจากอุบัติเหตุทางถนน ตัวเลขไม่น่าจะต่ำกว่า 100 คนในแต่ละปี หรือ คิดง่ายๆว่า ทุกๆ ปี จะมีนิสิต-นักศึกษา หายไป 2 ห้องเรียน


3.ผู้ปกครอง ควรคิดให้รอบคอบก่อนสนับสนุนให้บุตรหลานใช้รถยนต์ และถ้าจำเป็นต้องมี ก็ควรมีเงื่อนไขหรือระบบการเรียนรู้ขับขี่ ที่สำคัญคือ การกำกับช่วงเวลาใช้ โดยเฉพาะการขับขี่กลางคืน เดินทางต่างจังหวัด หรือการต้องไปเที่ยว ฉลองในงานต่าง ๆ


4. เพื่อนๆ นิสิต-นักศึกษา จะช่วยกันสร้างวัฒนธรรมใหม่ในสถานศึกษา ไม่ตกเป็นเครื่องมือบริโภคนิยม ที่ส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ การมีรถขับขี่เป็นเรื่องสำคัญ โดยที่ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม และที่สำคัญคือ ช่วยกันลดพฤติกรรมขับรถเร็ว และดื่มแล้วขับ


(เหมือนที่มีอาจารย์ท่านหนึ่ง เขียนข้อความในกระทู้ ดังนี้ นักศึกษาหญิงต้องช่วยเพื่อนนักศึกษาชาย โดยประกาศใน มหาวิทยาลัยเลยว่าฉันจะไม่มีแฟนเป็นคนขับรถเร็ว ดื่มเหล้าเก่ง เที่ยวดึก เป็นอันขาด ฉันเกลียดพวกนี้ .. แบบนี้ พวกโชว์แมนจะลดจำนวนลง เพื่อนผู้ชายจะตายน้อยลง)


สุดท้าย ถ้าทุกฝ่ายไม่มองข้ามเรื่องเหล่านี้ และหันมาช่วยกัน พวกเขาเหล่านี้ ซึ่งบางส่วนอาจจะเป็นคนใกล้ชิดหรือญาติของเรา คงจะมีชีวิตยืนยาว และเป็นอนาคตของครอบครัว และสังคม ต่อไป

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1288596193&grpid=&catid=02
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #8 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 13:45:09 »

พี่หมอสำเริง,
ปธน.โอบามา ล่อแล่ในการเลือกตัวแทนเสียงเมื่อวาน
ฟังเสียงคนมาบ่น ลงชื่อไม่เลือกพรรคเค้า แย่จังค่ะ
ลดนิวเคลียร์ ประกันสุขภาพ ล้วนเป็นเรื่องดีที่คนไม่ยอมรับ
ปากท้อง การว่างงานดูจะเป็นปัญหาแรกที่ชาวประชาอามี่
ให้ความสำคัญก่อน....


nn.27
      บันทึกการเข้า


Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #9 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2553, 08:32:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 04 พฤศจิกายน 2553, 13:45:09
พี่หมอสำเริง,
ปธน.โอบามา ล่อแล่ในการเลือกตัวแทนเสียงเมื่อวาน
ฟังเสียงคนมาบ่น ลงชื่อไม่เลือกพรรคเค้า แย่จังค่ะ
ลดนิวเคลียร์ ประกันสุขภาพ ล้วนเป็นเรื่องดีที่คนไม่ยอมรับ
ปากท้อง การว่างงานดูจะเป็นปัญหาแรกที่ชาวประชาอามี่
ให้ความสำคัญก่อน....


nn.27

                                            
        
         ประธานาธิบดีโอบามา ทำงานเพื่อส่วนรวม แต่ลืมประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชนในงานที่ทำว่ามีประโยชน์ต่อประชาชนเต็มที่ ซึ่งจัดเป็นด้านที่ 1 จนเกิดการรวมกลุ่มกันของคนที่เห็นด้วยเป็นกลุ่มสนับสนุน เป็นด้านที่ 2 รวมตัวกันให้ความไว้วางใจ สนับสนุนการ ออกกฏหมาย เป็นด้านที่ 3

         เพราะ ทำไม่ครบ 3 ด้านของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาจึงเสียคะแนนพรรค เดโมแครต ไปให้กับ พรรค ริพลับบลิแกน ไปอย่างน่าเสียดาย

                              เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #10 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2553, 17:15:36 »

ต้องจับตาดูผู้ชนะเสียงที่ม้ามืดขึ้นมา
เค้ากำลังตามติดคะ..

เพราะแค่ 2 ปีแรกเท่านั้น
เหลือเวลาอีก..
ที่โอบามาจะหาทางทำคะแนน
      บันทึกการเข้า


เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #11 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2553, 19:19:27 »

ปธน. โอบามา ไม่ได้ลืมเรื่องการประชาสัมพันธ์ แต่ทำไม่ขึ้นต่างหาก
ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สุด และกระทบชาวอเมริกันทุกคน ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปได้ นี่เป็นจุดตาย
การว่างงานทั้งในภาคทั่วไปและภาคเกษตรกรรม แสดงถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการ และนับวันจะเพิ่มขึ้นอีก
ซึ่งแต่ละสัปดาห์ ตัวเลขแรงงานที่ตกงานครั้งแรก และขอรับสิทธิประโยชน์จากรัฐเพิ่มขึ้นตลอด
แรงงานเหล่านั้นรับไม่ได้อย่างแน่นอน และไม่รับ ปธน.โอบามา

ในเรื่องการประกันสุขภาพนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ซื้อประกันไว้แล้ว ปธน.โอบามา เพิ่มให้ในส่วนของผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ
ชาวอเมริกัน จึงไม่คิดว่า มีผลงานในด้านนี้

ด้านการยุติการทดลองนิวเคลีย์นั้น อิหร่าน ยังไม่ยอมยุติการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์ รวมทั้งการเจรจากับเกาหลีใต้ ก็ยังไม่คืบหน้า

สภาผู้แทนฯ ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติเริ่มต้นนั้น พรรครีพับริกันยึดครองเสียงข้างมากไปพร้อมกับตำแหน่งประธานสภา
มีผลให้การเริ่มออกกฎหมายใดๆ จะเป็นไปได้ยากขึ้น เนื่องจากเดโมแครตมีเสียงลดลงและไม่ได้เป็นประธานสภาผู้แทนฯ
การนำกฎหมายหรือญัตติต่างๆ เข้าสภาผู้แทนฯยากขึ้น
แม้วุฒิสภา เสียงของเดโมเครตจะมีมากกว่าเพียงเล็กน้อย และจะชนะโหวตก็ตาม แต่ต้องรอสภาผู้แทนฯชงเรื่องขึ้นไปให้เท่านั้น

น่าจะบอกได้ว่า ปธน.โอบามา เริ่มเป็นเสือลำบากแล้ว ณ บัดนี้...และได้เวลาจะต้อง CHANGE แล้วครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #12 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553, 00:42:08 »

คนใหม่ก็ไช่จะดีกว่าคะพี่เหยง
เดี๋ยวใกล้ๆหนิงค่อยตามคะ.
รู้แต่ว่าได้เปลี่ยนกันแน่ๆ
      บันทึกการเข้า


เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #13 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553, 15:02:01 »

พี่ว่า ปธน.โอบามา และคณะผู้บริหาร ไม่เก่งและไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งกระทบชาวอเมริกันทุกคนได้
ซึ่งหากมีมาตรการจริง ออกเป็นกฎหมายมา ก็ย่อมมีผู้สนับสนุน

ที่ผ่านมา รัฐบาลอเมริกัน(รมทั้งรัฐบาลไทยในอดีตบางคณะ) สนับสนุนให้คนอเมริกันใช้เงินล่วงหน้าและไม่มีการเก็บออม
ส่งผลให้ทุกคนเมื่อตกงาน ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผิดกับประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่น ที่ส่งเสริมการออมในครอบครัว

รัฐบาลอเมริกันตัดสินใจพิมพ์ธนบัตร $600 billion หรือ 600,000 ล้านดอลล่าร์ซึ่งมาซื้อพันธบัตรและหนี้เน่าในระบบ
เพื่อให้เงินลงไปถึงมือประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ ใช้คนอเมริกันใช้เงิน
แล้วเงินจำนวน 6 แสนล้านดอลล่าร์นี้ มันจะกลับคืนคลังเมื่อใด และชาติต่างๆที่ใช้เงินดอลล่าร์จะยอมหรือ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #14 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553, 19:45:02 »

แต่ first ladyน่ะ...เดินสายคะ!
วันพฤหัสนี้เธอจะมาเยี่ยม
ฐานทัพอเมริกันในแคว้น Rheinland-Pfalz
วันที่ 11 พฤศจิกาเป็นวันหยุดที่อเมริกา
เพื่อระลึกถึงทหารผ่านศึก
เธอมีแผนไปเยี่ยมรพ.ทหารของฐานทัพ
ที่ Landstuhl...ตอนนี้ยินว่าอยู่ในอินเดียนี่พี่
      บันทึกการเข้า


เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #15 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553, 23:23:09 »

จำได้ว่า เมืองวิสบาเดน เป็นเมื่องที่อยู่ใกล้แฟรงค์เฟิตร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศของอเมริกัน
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #16 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2553, 04:12:01 »

พี่เหยง,
ข่าววันนี้ รวมทั้งภาพสวยๆ
ช่วงปธน.โอบามาเยือนอินเดีย.

วันนี้ขึ้นเครื่องไปอินโดนีเซียแล้ว
ข่าวมาเลยว่า ministerของอินโดฯ
ประกาศขอไม่จับมือ first ladyด้วย
เหตุเคร่งครัดในศาสนา....ฮือกันทั้งสื่อ!
ว่าไม่เคารพ...protocol!


<a href="http://w935.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw935.photobucket.com%2Falbums%2Fad192%2Fsnnn2127%2Fnn1%2F75cfd389.pbw" target="_blank">http://w935.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw935.photobucket.com%2Falbums%2Fad192%2Fsnnn2127%2Fnn1%2F75cfd389.pbw</a>


Quelle: http://www.spiegel.de/panorama/leute/0,1518,728069,00.html
      บันทึกการเข้า


  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><