09 พฤษภาคม 2567, 22:37:03
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เสียงสวดมนต์อุปปาตะสันติไทยและบาลี บทสวดประจำวัน(ไทย) พร้อมคลื่นความถี่พัฒนาจิต  (อ่าน 12509 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
โจโฉ คร้าบบบ
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24

เว็บไซต์
« เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 15:06:40 »

<a href="http://www.archive.org/download/Opata_jozho_wma/Oop0002.WMA" target="_blank">http://www.archive.org/download/Opata_jozho_wma/Oop0002.WMA</a>


เสียงสวดมนต์อุปปาตะสันติไทยและบาลี บทสวดประจำวัน(ไทย) พร้อมคลื่นความถี่พัฒนาจิต
ที่มาของบทนะโมฯ ประโยชน์และสิ่งควรรู้เกี่ยวกับการสวดมนต์    โดย.. โจโฉ คร้าบบบ


เรื่องควรรู้เกี่ยวกับการสวดมนต์ และเกล็ดความรู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อความไม่งมงาย และสวดมนต์อย่างได้ประโยชน์จริงๆ  บทสวดอันศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่ที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยล้านนา ใช้สวดเพื่อสยบเหตุร้าย เพิ่มความสุข ความเจริญในทุกๆด้าน  แม้แค่ฟังก็ได้ประโยชน์  มีทั้งบทแปลไทยล้วนเพื่อความเข้าใจ และเสียงสวดบาลีจากพระ  แถมพิเศษกับบทสวดอุปปาตะสันติโดยย่อ เรียบเรียงใหม่ พร้อมบทสวดที่จำเป็นต้องสวดประจำวัน   ในบทสวดแปลไทยทั้งหมด จะแทรกไปด้วยคลื่นความถี่และดนตรีเพื่อพัฒนาจิต ปรับคลื่นสมอง ทำให้ผ่อนคลายและส่งผลดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจ แม้เพียงแค่ฟังหรือจะหลับไปพร้อมกับเสียงสวดมนต์ บทนี้ก็ตาม   อยากให้ลองฟังบทความทั้งหมดให้จบ แล้วคุณอาจจะมีมุมมองการสวดมนต์ในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่น่าจะเป็นประโยชน์และทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น
 
การสวดมนต์เป็นพื้นฐานที่ดี ยกระดับจิต ส่งเสริมคุณธรรม สมาธิ และพัฒนาศักยภาพทุกด้าน เป็นการฝึกให้จิตคุ้นชินกับพลังงานกุศล  แต่สวดอย่างไร และสวดแบบไหน จะเรียบง่ายตรงทางและเหมาะสมกับคนในยุคปัจจุบัน เชิญทดลองสวดหรือฟังตามจริตและศรัทธา  การทำบุญสร้างกุศลที่ทำได้ง่าย ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำกัดสถานที่และบุคคล ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องเดินทาง แต่ส่งผลมหาศาลกับความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม

เผยแพร่ต่อได้ไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องเพื่อธรรมทานแจกฟรีเท่านั้น ห้ามจำหน่าย
ขอบพระคุณที่มาบทสวดอุปปาตะสันติ จากคุณ กุหลาบสีชา (เวบไซด์ ธรรมจักร) http://www.dhammajak.net/
 
* ไฟล์รวมทั้งหมด โหลดทีเดียว *
(คลิ๊กขวาที่ ไฟล์ เลือกบันทึก หรือ save as แล้วเลือกตำแหน่งที่จัดเก็บในคอมฯคุณ)

*มีไฟล์ให้ดาวน์โหลดสองขนาดนะครับ*

* คุณภาพมาตราฐาน    MP3/128 Kbps   217.6 MB
http://www.archive.org/download/Opata_jozho/Opata_MP3.rar

* คุณภาพเล็ก ทดลองฟัง เครื่องเล่นพกพา   Wma / 48 Kbps   101.3 MB
http://www.archive.org/download/Opata_jozho_wma/Opata_Wma.rar

 - เฉพาะเอกสารบทสวดเพื่อพิมพ์อ่าน    ( Ms word)   4.6 MB
http://www.archive.org/download/Opata_jozho_wma/Doc_Opata.rar 


สามารถติดตามดาวน์โหลดไฟล์คุณภาพต่างๆ ในแบบแยกดาวน์โหลดได้ที่นี่
http://www.jozho.net/index.php?mo=3&art=534121



  * สนใจติดต่อ * วิทยากรบรรยายธรรมะสำหรับเยาวชนและบุคคลทั่วไป
ความรู้ กับแง่มุมแบบเข้าใจง่าย แต่นำไปใช้ได้จริง บาปบุญซึ่งวัดผลได้จากงานทดลองทางวิทยาศาสตร์
ฝึกสมาธิแบบง่ายจากกุศโลบายใช้ดอกไม้เป็นสื่อ การแผ่เมตตาด้วยพลังงานกุศล ด้วยความรักที่สัมผัสได้จริงทันที ส่งผลดีต่อชีวิต
"ฟรี ไม่คิดค่าใช้จ่าย" มีซีดีธรรมะไปแจกเพียบ   สนใจติดต่อที่นี่  http://www.jozho.net/index.php?mo=24
      บันทึกการเข้า

www.jozho.net
แจก CD ธรรมะฟรี ดาวน์โหลดธรรมะฟรีมากมาย
เสียงเทศนาหลากหลายครูบาอาจารย์
เสียงอ่านหนังสือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ ฟังสบาย เข้าใจง่าย
โจโฉ คร้าบบบ
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24

เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 15:13:00 »

สวัสดีครับ

การสวดมนต์เป็นสิ่งที่สำคัญและส่งผลดีมากมายให้กับชีวิต  ซึ่งมีผู้ให้ความสำคัญและสวดกันเป็นประจำ   เป็นบุญที่ทำได้ง่ายที่สุด ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องเดินทางไปไหน แต่กลับได้อนิสงส์ผลบุญมากมาย   แต่สวดอย่างไรละ ถึงจะได้อนิสงส์จริง ได้ประโยชน์จริง 

อยากให้พยายามฟังให้จบทุกบทความซะก่อน เพื่อความเข้าใจที่จำเป็นอย่างยิ่งและมีผลต่อความสุขในชีวิตของตัวท่านเองนะครับ   การฟังหลักการให้เข้าใจ จำเป็นมาก และไม่ควรละเลย
เหมือนคุณจะเดินทางก็ควรศึกษาแผนที่ก่อน ไม่งั้นกว่าจะรู้ตัวว่าหลงทางก็คงจะสายไป

การฟังอะไรก็ตาม แม้จะรู้แล้ว หรือเคยฟังแล้ว
ก็ไม่ควรมองข้ามนะครับ โดยเฉพาะธรรมะ
ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟังให้เข้าใจหลายครั้ง
เพราะเวลา ประสบการณ์ ที่ผ่านมาของแต่ละคน
จะทำให้มีปัญญาลึกซึ้งและเข้าใจอะไรได้ละเอียดขึ้น
หากคุณเคยฟังธรรมะหัวข้อเดียวกัน แต่กลับมาฟังซ้ำปีละครั้ง
คุณจะได้พบเลยว่า ที่เคยคิดว่าเข้าใจแล้วนั้น ยังเข้าใจไม่ถูกต้องและไม่ดีพอ
ธรรมะลึกซึ้งกว่าที่จะใช้ตัวหนังสืออธิบาย ยังมีอะไรซ่อนอยู่ในตัวหนังสือ
หรือคำที่คุณเคยคิดว่าเข้าใจอีกมาก

สำหรับผู้ที่สนใจใฝ่รู้จริงๆ จะไม่ดูถูกแม้คำสอนง่ายๆ หรือคิดว่าตนรุ้แล้ว
เขาจะตั้งใจฟังด้วยใจที่พิจารณาอย่างแยบคาย
และการฟังอะไรซ้ำๆ ก็เท่ากับเป็นการได้ทบทวนอีกด้วย

แนะนำว่า  ไม่ว่าคุณจะคิดว่าเก่งแค่ไหนแล้ว
ก็ควรเปิดธรรมะที่เคยเปิดฟังไปแล้ว ฟังซ้ำอีกซัก 2-3 รอบ
แต่ทิ้งช่วงให้ห่างกันซัก 6 เดือนหรือหนึ่งปีก็ดีครับ
แล้วคุณจะเข้าใจด้วยตัวเองว่า ถึงเวลากลับมาฟังซ้ำ
จะได้พบอะไรใหม่ๆ อีกมากมาย จากของเก่าที่เคยฟังมาแล้ว จนคุณต้องแปลกใจเลยทีเดียว

สำหรับช่วงต้นจะเป็นบทความเกี่ยวกับการสวดมนต์และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกันนะครับ
และตามด้วยการสวดแบบเน้นความเข้าใจด้วยภาษาไทย 
ทั้งบทอุปปาตะสันติแปลไทยล้วน
กับบทอุปปาตะสันติย่อรวมกับบทสวดมนต์ประจำวัน เป็นภาษาไทยล้วนเช่นกัน
จบแล้วจึงจะเป็นบทอุปปาตะสันติบาลีล้วนที่สวดโดยพระ 
จากนั้นก็จะเป็นตัวอย่างเสียงอ่านหนังสือที่ผมอัดเสียงไว้และมีแจกฟรีในเวบไซด์นะครับ
ก็จะมีเรื่องพระคุณแม่  นิทานให้แง่คิดสำหรับผู้ใหญ่
และแว่วเสียงสวรรค์ งานของ อ.พร รัตนสุวรรณ
ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาอีกท่านหนึ่ง ที่แตกฉานในพระไตรปิฎก
แต่นำเรื่องโลกหลังความตายมาเล่าแบบเข้าใจง่าย สนุก
และคิดตามและฟังเข้าใจ ก็จะได้ธรรมะลึกซึ้งไปแบบไม่รู้ตัว

แถมด้วยเพลงธรรมะร่วมสมัย เพลงพระคาถา
และเสียงสวดมนต์จากพระ ทำวัตรเช้าเย็น ธรรมจักร ชินบัญชร และอื่นๆ   ( CD สวดมนต์ ที่ทำแจก)

      บันทึกการเข้า

www.jozho.net
แจก CD ธรรมะฟรี ดาวน์โหลดธรรมะฟรีมากมาย
เสียงเทศนาหลากหลายครูบาอาจารย์
เสียงอ่านหนังสือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ ฟังสบาย เข้าใจง่าย
โจโฉ คร้าบบบ
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24

เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 15:14:28 »

ทำความเข้าใจก่อนสวดมนต์ อุปปาตะสันติ
* ก่อนสวดทำความเข้าใจกันสักนิด – โจโฉ www.jozho.net

ปัจจุบันชาวพุทธส่วนใหญ่นิยมสวดมนต์กันมากและมีการทำซีดีแจกกันอย่างแพร่หลาย บทสวดต่อไปนี้ เป็นบทสวดเก่าแก่ที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์และให้ผลทั้งแก่ผู้ฟังและผู้สวดไปในทางปัดเป่าสิ่งร้ายและเสริมสิริมงคล ซึ่งคุณวิทยา แสนยานุสิน คุณพรรณวดี แซ่เบ้ พร้อมครอบครัว ได้ให้คุณพลเทพ แสนยานุสินติดต่อให้ผมจัดทำซีดีเพื่อไปแจกในงานกฐิน  ซึ่งปรากฎว่ามีแต่เสียงสวดภาษาบาลี  ตามปกตินั้นผมจะเผยแพร่อะไรหากไม่เข้าใจและไม่ถูกต้องก็คงไม่ทำ หากจะทำก็ต้องทำให้ถูกต้องและได้ประโยชน์มากที่สุด จึงได้ค้นหาคำแปลพร้อมประวัติคร่าวๆ  ซึ่งแนบไฟล์เป็นเอกสารไว้ในแผ่นนี้แล้ว สามารถปริ้นออกมาสวดหรืออ่านได้เลย และได้อัดเสียงเฉพาะคำแปลมาให้เพื่อไว้ฟังหรือสวดตามอีกด้วย ถือเป็นการสร้างกุศลถวายเป็นพุทธบูชาในวันออกพรรษาปี 2553 นี้พร้อมกันไปเลย 

การสวดมนต์ที่ดีนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องรู้คำแปล หากฟังคำแปลจากพระคาถาบทนี้ เราจะเข้าใจเลยว่า ความศักดิ์สิทธิ์ที่พรรณามามากมายนั้น จะบังเกิดและสำเร็จได้เพราะเราเข้าใจบทสวดและเข้าใจจริงๆ ว่ากำลังกล่าวถึงพระคุณของใคร กำลังสรรเสริญและอัญเชิญพระคุณของใคร 

ชาวไทยพุทธส่วนใหญ่ งมงายกับการสวดมนต์จนเข้าใจผิด สวดเป็นนกแก้วนกขุนทองโดยไม่รู้ความหมายและสวดแบบขาดสติ  หลายคนสวดเพราะอยากรวย อยากโชคดี อยากได้บุญ แต่หาได้เป็นการสวดเพื่อให้เกิดบุญได้จริงๆ สักเท่าไหร่เลย  เคยสังเกตไหมว่า คนส่วนใหญ่ไปวัดทำบุญเพราะอยากได้บุญ แต่ไม่เคยคิดถึงว่าจะทำให้เกิดบุญที่เป็นบุญจริงๆ  บุญที่เกิดเพราะสิ่งที่ทำเป็นประโยชน์กับคนอื่น นำความสุขให้คนอื่น หรือบุญที่ทำให้ลดละกิเลสในตัวตนลงได้ แต่ส่วนใหญ่ไปทำบุญเพื่อหวังบุญเข้าหาตัวเอง อยากมีความสุข อยากรวย อยากโชคดี อยากถูกหวย อยากค้าขายดี อยากมีคนรัก  .. สรุปแล้วหลายคนยิ่งไปทำบุญก็ยิ่งบ้าบุญ ยิ่งโลภในบุญ ทำบุญด้วยความโลภ หนักหน่อยก็แสดงออกมาด้วยการบนบานศาลกล่าว  ขอโชค ขอลาภ หากสำเร็จ จะนำนั่นนู้นนี่มาถวาย แล้วของที่นำมาแก้บน

ถ้าเปรียบเทียบกันจริงๆ  หากเราไปขอให้เศรษฐีสักคนช่วยให้เราค้าขายดีได้ แล้วจะเอาไข่ต้ม ม้าไม้ หรืออะไรก็ตามไปให้ คนรวยธรรมดายังไม่อยากได้เลยเพราะเขามีปัญญาซื้อกินเองได้ ของบางอย่างก็เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ เช่นตุ๊กตาไม้ หรืออื่นๆ  แล้วนับประสาอะไรกับเทวดาถ้าหากมีฤทธ์มากขนาดบันดาลอะไรให้เราก็ได้ จะมานั่งกินไข่ต้ม เล่นตุ๊กตาไม้  คนธรรมดายังไม่สน เทวดาท่านมีอาหารทิพย์ มีอะไรครบถ้วนแล้ว สิ่งที่ท่านขาดก็คือ ไม่สามารถทำบุญได้อย่างมนุษย์ นั่นแหละจีงต้องอาศัยมนุษย์ช่วยสร้างบารมี หากท่านจะยินดีในสิ่งที่เราถวายจริงๆ ก็คือความดี หมั่นทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม สวดมนต์ถวายท่าน แล้วอาศัยบุญที่เราทำเป็นต้นเหตุในการอธิฐานขอให้ได้สิ่งที่ปรารถนา จะเป็นสิ่งที่เป็นจริงได้ง่ายกว่า การขอลอยๆ จากสิ่งที่มองไม่เห็นโดยไร้เหตุผลและติดสินบนด้วยของไร้ค่า 

หากวันหนึ่งผมเอาสากกะเบือมาผูกผ้าแล้วเอาของมาเซ่นไหว้ คุณเชื่อหรือไม่ ก็จะมีคนมาทำตามและขอพร แล้วก็จะปรากฎว่ามีคนได้จริงๆ แล้วมาแก้บน เพราะมันเป็นหลักสถิติตามธรรมดาอยู่เองที่คนขอร้อยคน ต้องมีคนได้สักคนแหละน่า เหมือนไปเกณฑ์ทหาร มันมีใบดำใบแดงในสัดส่วนที่ชัดเจนอยู่แล้ว หากทุกคนแห่มาขอสากกะเบือที่ผมสมมุติมาและตั้งบูชาไว้ ก็จะมีคนที่โดนใบดำเยอะกว่าคนที่โดนใบแดง แล้วคนที่โดนใบดำก็จะมาแก้บนแล้วลือกันว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์  ทั้งที่จริงๆ ขอไม่ขอมันก็มีใบดำใบแดงเท่าเดิม แล้วคนที่โดนใบแดงหละ จะหาว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์เหรอ ส่วนใหญ่คนที่ขอไม่ได้ ซึ่งมีจำนวนมากกว่าหลายเท่า เขาก็แค่ไม่สนใจ ไม่พูดถึงเท่านั้นเองแหละ  เทวดาหากจะช่วยเราได้จริงๆ ก็ต้องเนื่องด้วยบุญเก่าของเรา เหมือนเราต้องเรียนหนังสือให้เก่งก่อน ผุ้ใหญ่จะฝากงานได้ก็ต้องเพราะเราพอมีความสามารถในด้านนั้นๆ ด้วย แล้วเราจะทำงานได้นาน ได้ผลงานดีแค่ไหน มันก็อยู่ที่ทุนเก่าของเรา คือเราเรียนและฝึกฝนมามากแค่ไหนด้วย  หากไม่มีบุญเก่าไม่ทำต้นทุนไว้ เทวดาที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ ให้อ้อนวอนขอร้อง ให้ติดสินบนยังไง ท่านก็ช่วยไม่ได้ ลองกลับไปดูในพระไตรปิฏกนะครับ  แม้แต่พระพุทธเจ้า ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์กว่าเทพทุกชั้น สามารถเนรมิตรอะไรก้ได้  แต่กับคนที่ไม่เคยทำทาน ไม่มีบุญมาเลย ท่านก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน

หากการร้องขอเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีผลได้กับทุกคนจริง  พระพุทธองค์ซึ่งทรงฤทธิ์มหาศาลกว่าใครๆ ทั้งสามโลก ก็คงทรงเสกทีเดียวทุกคนร่ำรวย โชคดี และสมปรารถนากันทุกอย่างไปแล้ว แต่นี่ก็ยังปรากฎว่ามีคนจน มีคนโชคร้าย มีภัยพิบัติ มีโรคระบาด มีทุกอย่างอยู่ครบ ตามบุญกรรมที่ปั้นแต่งให้แต่ละคนเป็นไปตามสิ่งที่ตนเองทำไว้  มนุษย์เป็นภพเดียวที่ทำบุญได้สูงสุด สูงกระทั่งสามารถเป็นพระพุทธเจ้าให้เทวดามากราบไหว้ได้ แต่คนส่วนใหญ่กลับดูถูกตัวเอง ไม่รู้ถึงศักยภาพของตนเองว่าทำอะไรได้มากมาย กลับไปฝากชีวิตไว้กับเทวดาและสิ่งที่มองไม่เห็น ที่แม้จะมีฤทธิ์มากมายเท่าไหร่ ก็ยังทำบุญสร้างบารมีได้ไม่เท่ามนุษย์เลย  แทนที่จะไปร้องขอพระจากเทวดา ปรับเปลี่ยนเป็นการทำเพื่อถวาย และทำแทนท่านจะดีกว่า 

จิตที่ตั้งไว้เพื่อการสรรเสริญบูชา หรือการสวดเพื่อคนอื่นจะมีผลกลับคืนมาได้จริงมากกว่าการสวดเพื่อตัวเอง บทสวดที่ครูบาอาจารย์หลายท่านยืนยันว่าดีที่สุด ขลังที่สุด ก็คือบทสรรเสริญพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งปวง แต่ก็น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่หลงลืมสิ่งที่สูงสุดแล้วไปบูชาสิ่งที่รองลงมา  จริงๆ ควรใส่ใจในการสรรเสริญบูชาองค์พระศาสดาผู้ที่เหล่าเทวดายังต้องก้มกราบบูชากันก่อน แล้วค่อยมาระลึกถึงคุณพระสงฆ์ คุณเทวดาตามมาอีกที  สวดพุทธคุณบทเดียวครอบจักรวาล และใช้สวดนำในทุกพิธีกรรม ซึ่งเรารู้จักกันในบท อิติปิโส นั่นเอง 

มีงานทดลองทางวิทยาศาสตร์ระบุชัดเจนว่า บทสวดต่างๆ โดยเฉพาะบทพุทธคุณนั้น ส่งผลดีต่อสุขภาพ เปลียนโมเลกุลน้ำทั้งในและนอกร่างกายให้มีคุณสมบัติที่ดี มีผลให้แสงออร่าสว่างไสวมากขึ้นทั้งในร่างกายและในวัตถุ  หากสวดเฉพาะบาลี แม้จะไม่เข้าใจความหมายเลย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้สวด เพราะอย่างน้อยจิตก็ยังได้ระลึกรู้อยู่ว่ากำลังท่องบ่นอยู่กับคำดีๆ ซึ่งใจเราจะรุ้เองว่าเป็นของสูง และยังเสริมสติสมาธิให้ตนเองด้วย 

แต่หากจะเป็นประโยชน์กว่านั้นก็ควรรู้ความหมายและน้อมใจคิดตามด้วย ถึงจะได้อนิสงส์ครบถ้วนอย่างที่พรรณาไว้  บทสวดหลายบทคือธรรมะที่จะให้เรานำไปปฏิบัติ ไม่ใช่ท่องแล้วจะรวยจะโชคดี แต่ท่องแล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หายจากโรคได้เพราะพิจารณาตามบทสวดแล้วเกิดความเข้าใจธรรมจนจิตปล่อยวางได้ต่างหาก  เวลาพระให้พรไม่ใช่ว่านั่งก้มพนมมือแล้วจะได้สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต ลองไปแปลคำสวดที่ท่านให้พรนะ จะรู้เลยว่า ท่านกำลังสอนธรรมะเรา ท่านบอกให้เราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วลาภ ยศ สรรเสริญ สิ่งดีๆ จะเกิดขึ้น อ่อนน้อมถ่อมตนก็เช่น เป็นคนพูดจาเพราะ เรียบร้อย มีน้ำใจ ยิ้มแย้ม เคารพผู้ใหญ่ ไม่รังแกเด็ก ไม่ดูถูกคน ชอบช่วยเหลือ นี่ทำอะไรก็เจริญ ค้าขายก็เจริญ อยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรักอยากช่วยเหลือ  ทำบุญทุกครั้งท่านจะสอนแบบนี้ แต่เราไม่เคยแปลกันเลย ก็เลยไม่เคยนำมาใช้ แล้วคิดแต่ว่าตั้งใจฟังพระสวดแล้วจะโชคดี   

บทพาหุงฯ สวดเพื่อชนะปัญหาทุกอย่าง เอาแต่ท่องๆ แล้วจะไปชนะปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อคำแปลคือ ท่านเล่าให้ฟังว่า พระพุทธองค์ทรงชนะปัญหาต่างๆ แม้แต่สัตว์ร้าย หรือคนกล่าวร้าย ท่านชนะได้ด้วยคุณธรรม ด้วยพระมหาเมตตา แผ่เมตตาให้ ไม่ตอบโต้ ไม่ขุ่นเคือง ไม่โกรธ ท่านชนะทุกอย่างได้ด้วยความไม่โกรธ ให้อภัย และมีความหวังดีให้ และในที่สุดคนจ้องทำร้ายก็กลับใจหรือแพ้ภัยตัวเองไป  ท่องคาถานี้เรื่อยๆ ก็จะได้ข้อคิด และหากจะชนะทุกอย่างได้จิรงๆ ก็ต้องนำมาใช้ เดินตามรอยบาทพระศาสดาที่ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เราเจอปัญหาก็แก้ด้วยเมตตาเหมือนพระองค์ นี่จึงจะชนะปัญหาได้จริง ไม่ใช่ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง แล้วปัญหามันจะหายไป หรือชนะภัยได้ทุกสิ่ง พระคาถานี้มีอีกแง่มุมก็คือ การกล่าวคำจริงอ้างถึงพระพุทธเจ้าในการชนะอุปสรรคต่างๆ ด้วยคุณธรรมและพระมหาเมตตา ซึ่งการอ้างสัจจะเพื่ออธิฐานขอให้เกิดมงคลนั้น ตัวคนสวดก็ต้องเป็นผู้มีศีลและมีสัจจะมีคุณความดีในตัวเป็นพื้นฐานด้วย ถึงจะเกิดผลได้จริง ๆ  แต่หลักใหญ่แล้วคือการท่องจำหลักการเพื่อให้ทำตามพระพุทธองค์ 

น่าเสียดายมากที่บทสวดดีๆ ที่ท่านต้องการให้เรานำมาท่องบ่นเพื่อจดจำและนำไปใช้ กลับกลายเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ทีมีความขลังในเรื่องอภินิหารย์  และนำมาใช้เผยแพร่ท่องบ่นกันอย่างงมงายด้วยความโลภในบุญ ซึ่งเป็นบุญเพื่อตัวเอง เพื่อความสุขของตัวเอง ไม่ใช่บุญแท้ที่ทำเพื่อคนอื่น และเพื่อขัดเกลากิเลสในใจตนเอง  หากวันนี้เราจะตั้งสติคิดดีๆ และมองให้เห็นความจริงก็ยังไม่สาย การสวดมนต์เป็นพื้นฐานที่ดีที่เราต้องให้สวดทุกคน และควรทำทุกวันเป็นประจำ  เพราะจะทำให้จิตเราเคยชินกับของสูงและเกิดพลังงานบางอย่างซึ่งส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ หลายคนสวดมนต์ไปเรื่อยๆ จะพบว่ามีสติ มีปัญญาและคิดอะไรได้มากขึ้น รวมถึงมองเห็นชัดว่าอะไรดีไม่ดี จะมีความกตัญญูรู้คุณมากขึ้นไปเองโดยอัตโนมัติ เพราะจิตมันชินกับของสูง มันก็จะคิดอ่านแบบสิ่งมีชิวิตชั้นสูง  คนที่ปล่อยให้จิตตกต่ำไปกับโลก คุ้นชินกับคำด่า คุ้นชินกับละครน้ำเน่า หมกมุ่นปัญหาการเมืองและเรื่องของชาวบ้าน จิตก็จะค่อยๆ ต่ำลงๆ การคิดอ่านก็จะทำแบบสามัญสำนึกของสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำไปเรื่อยๆ จนค่อยๆ เห็นว่าบาปบุญไม่มีจริง การเอาเปรียบคนอื่นเป็นเรื่องปกติที่สัตว์ใหญ่ต้องกินสัตว์น้อย  ซึ่งสามัญสำนึกแบบนี้เป็นของสัตว์ที่คนไปเผลอเอามาใช้ โดยลืมไปว่าตนเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปแบบชีวิตสูงส่งกว่าสัตว์แค่ไหน 

แม้ว่าการสวดมนต์จะจำเป็นแต่ก็เป็นเพียงส่วนย่อยในศาสนาเท่านั้น การทำสมาธิก็เป็นเพียงอีกส่วนที่มาเสริมกัน แต่หลายคนเข้าใจไปว่าเป็นหลักสำคัญของศาสนาพุทธ แท้ที่จริงแล้ว การเจริญสติต่างหาก ที่เป็นหลักสำคัญและเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ศาสนาพุทธแตกต่างจากศาสนาอื่น เหนือไปจากการทำดีได้ดี เหนือไปจากการสอนให้คนเป็นคนดี แต่เป็นการสอนให้คนดีสามารถมีความสุขได้แม้ในความทุกข์ และมุ่งไปสู่การไม่เป็นอะไรอีกแล้ว เป็นคนที่พ้นทุกข์ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดหรือไปเสวยสุข ทุกข์ที่ไหนอีกแล้ว 

อยากมีชีวิตที่ดี อยากให้ลูกหลานเป็นคนดี เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการสวดมนต์สั้นๆ ทุกวัน ภาษาบาลีจำเป็นต่อการสืบทอดเพื่อไม่ให้ความหมายผิดเพี้ยน นั่นเป็นภาษาที่อนุรํกษ์ไว้สำหรับพระและนักบวช แต่สำหรับชาวบ้านทั่วไป ขอแนะนำว่าควรสวดแล้วแปลเพื่อจะได้อนิสงส์ให้ครบถ้วนและได้ประโยชน์อย่างแท้จริง แต่หากมีเวลาน้อยก็เลือกสวดเฉพาะภาษาไทยอย่างเดียวได้เลย  เพราะบุญเกิดจากความเข้าใจในบทสวดมีพลังมากกว่าบุญที่เกิดจากการสวดแบบไม่เข้าใจอะไรเลย  ทดลองด้วยตนเองแล้วคุณจะรู้ว่าการสวดแบบภาษาไทยล้วนๆ แล้วเข้าใจความหมายได้คิดไตร่ตรองตามบทสวดไปด้วย มันกระชับและส่งผลต่อจิตใจความรู้สึก ปีติ ศรัทธา ได้มากมายกว่าการสวดภาษาที่เราแปลไม่ออก ไม่เข้าใจความหมายอย่างไร 

นอกจากสวดมนต์เป็นประจำแล้ว การสละเวลาแม้แค่วันละ 5 นาทีเพื่อฟังธรรมะก็จำเป็นอย่างยิ่ง เราเสียเวลาเรียนเรื่องไร้สาระมาตลอดชีวิต ความรู้ที่ช่วยให้เราดับทุกข์ไม่ได้เลย เรากลับมีเวลามากมาย แต่สิ่งที่ให้ความสุขจริงๆ ทั้งโลกนี้และโลกหน้าเรากลับไม่ใส่ใจ และหาข้ออ้างได้ตลอดว่าไม่มีเวลา  หากไม่ฟังให้เข้าใจ การปฏิบัติที่ถูกต้องจะเกิดขึ้นได้อย่างไร  หากองค์กร สถานศึกษาใด สนใจงานบรรยายในเชิงวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับพลังงานกุศล อกุศล ส่งผลต่อร่างกายและสิ่งรอบตัวอย่างไร วัดผลในเชิงวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร และการฝึกใช้พลังจิตในทางสร้างสรร สร้างพลังงานกุศลภายในด้วยกุศโลบายง่ายๆ เพื่อเข้าใจการแผ่เมตตาที่แท้จริง และต่อยอดพัฒนาศักยภาพให้ตนเองในหลายด้าน รวมถึงวิธีทำสมาธิแบบง่าย ที่ไม่ต้องบังคับจิตบังคับกาย เรียนรู้การสร้างอารมณ์ที่เหมาะกับจริตของตนเอง หลักการเพื่อการทำสมาธิขั้นต้นแบบที่ใครๆ ก็ทำได้ ไม่น่าเบื่อ และมีความสุขกับการทำสมาธิ  บรรยายฟรีพร้อมมีซีดีธรรมะไปแจก ติดต่อได้ที่ www.jozho.net   (ดาวน์โหลดธรรมะฟรี แจก CD ฟรี)

หมายเหตุ   :   ความรู้ต่างๆ ในทุกๆที่ และในซีดีทุกแผ่นที่ผมนำมาแสดงนั้น  เป็นความรู้ที่ผมศึกษาและจดจำนำมาเล่าต่อในภาษาส่วนตัว  หาใช่ความรู้ที่เกิดจากใจของผมไม่  เป็นความรู้จากการอ่านพระไตรปิฎกและตำราต่างๆ และจากครูบาอาจารย์หลายท่าน เช่น  หลวงพ่อพุธ ฐานิโย  หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช  คุณดังตฤณ  อ.พร รัตนสุวรรณ และอีกหลายท่าน   กุศลใดเกิดจากสิ่งที่ผมเผยแพร่ออกไป ขอถวายบูชาแด่พระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ทุกๆท่าน  แต่หากมีความผิดพลาดบกพร่องใดๆ จากความคิดเห็นของผมที่แทรกเข้าไป จะด้วยความไม่รู้หรือไม่ตั้งใจก็ตาม กราบขออโหสิกรรมจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ทุกๆ ท่าน   ขอถวายชีวิตและดวงจิตนี้ทำงานรับใช้พระพุทธศาสนาไปจนกว่าจะหมดลมหายใจในชาตินี้และจะทำต่อไปในเบื้องหน้าจนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน 

     
                                                                                        โจโฉ คร้าบบบ  www.jozho.net   
                                                                                                                             ต.ค.2553 


      บันทึกการเข้า

www.jozho.net
แจก CD ธรรมะฟรี ดาวน์โหลดธรรมะฟรีมากมาย
เสียงเทศนาหลากหลายครูบาอาจารย์
เสียงอ่านหนังสือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ ฟังสบาย เข้าใจง่าย
โจโฉ คร้าบบบ
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24

เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 15:15:58 »

การสวดมนต์ภาษาไทย

                    สำหรับคนที่ไม่ถนัดภาษาบาลีและมีเวลาไม่มาก สามารถสวดภาษาไทยอย่างเดียวได้เลย  เพราะบุญและอนิสงส์ทุกอย่างเกิดจากจิตที่เข้าใจความหมายเป็นสำคัญ  ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเบื้องต้นของจิตเพื่อให้เข้าใจกันในโลกนี้เท่านั้น  ขอบคุณจะพูดภาษาอะไร ก็คือการขอบคุณ หากคนต่างชาติพูดภาษาไทยว่า “ขอบคุณ”  พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง โดยไม่เข้าใจความหมาย สักแต่ว่าพูดออกไป มันจะเกิดเป็นการขอบคุณที่ออกจากใจเขาได้จริงหรือไม่  หากใครมาบอกรักเรา โดยที่ท่องจำมา ไม่ได้บอกรักด้วยใจที่มีความรักจริงๆ   และสิ่งที่พูดออกมาก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าแปลว่า.. รัก  คนฟังจะประทับใจและรู้สึกดีได้สักแค่ไหน  เช่นกัน การสวดมนต์หากสวดแบบไม่เข้าใจคำแปล ก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกรัก ที่สักแต่ว่าพูดออกไปโดยใจไม่ได้รู้สึกและไม่เข้าใจความหมายว่ากำลังพูดอะไรออกไป 

                   และไม่ต้องกลัวว่าเทวดาท่านจะไม่รู้เรื่อง เพราะในโลกทิพย์เขาใช้ภาษาใจคุยกัน  จะพูดภาษาอะไรความหมายในใจมันก็เหมือนกัน    จะเป็นคนประเทศอะไร ตายไปแล้วภาษาก็ไม่มีความหมาย ไม่อย่างนั้นในสวรรค์ ในนรกคงยุ่ง ต้องหาล่ามแปลกันให้วุ่นวาย หรือไม่ก็ต้องส่งเทวดา ส่งยมบาลไปเรียนภาษาเพิ่มเติม  เพื่อจะได้สื่อสารกันรู้เรื่อง (555)
  จะด่าภาษาอะไรมันก็คือคำด่า จิตก็เป็นอกุศล   จะกล่าวธรรมะภาษาอะไร ก็ยังคงเป็นธรรมะนั้นๆ ไม่เปลี่ยนแปลง  จะสวดมนต์ด้วยภาษาอะไร ความหมายก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง     อย่างมงายว่าคำสวดมนต์ เป็นของขลังเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ แค่ท่องแล้วจะเกิดสิ่งดีๆ หากแท้จริงแล้ว การสวดด้วยความเข้าใจความหมายและน้อมพิจารณาในใจ ให้เห็นถึงพระคุณของสิ่งที่เราบูชาหรือน้อมนำข้อคิดที่เป็นธรรมะแฝงในบทสวดนั้นๆ มาใช้ต่างหาก ที่จะส่งผลมีอนิสงส์เจริญในทุก ๆด้านได้สมบูรณ์จริงๆ
สวดมนต์ไหว้พระแล้วอย่าลืมกราบไหว้บูชาดูแลพระในบ้านด้วยนะครับ  หากแม้ผู้มีพระคุณยังไม่ดูแลให้ดี จะหาความเจริญจากที่ไหน ให้สวดมนต์จนปากฉีกก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นมาหรือมีความสุขได้จริงหรอกครับ  พระลูกชาวบ้านเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ บริสุทธิ์มีศีลจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ขอแค่ห่มเหลือง ก็พร้อมจะอ่อนน้อมก้มกราบพูดเพราะเอาใจสารพัด แต่พ่อแม่ตัวเองตะคอกใส่ ไม่ค่อยสนใจ ให้หากินเอง แต่กับพระจะเฟ้นหาของดีๆสุดยอดไปถวายให้ได้  มองพ่อแม่ให้เหมือนพระองค์หนึ่งที่ห่มเหลือง แล้วกระทำทุกอย่างกับท่านเหมือนเวลาเจอพระ นั่นแหละ มหาอภิโคตรมงคลสูงสุดระดับแรกที่ทุกคนควรใส่ใจและขวนขวายทำกันก่อน

หากหาคาถาสวดมนต์ไหนไม่ได้ผล สวดเท่าไหร่ชีวิตก็ไม่ดีขึ้นสักที ลองคาถาบทสั้นๆ เลือกเอาสักคาถานะครับ  รับรองผลว่า ส่งให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง  คาถามีอยู่ว่า

“รักคุณพ่อ รักคุณแม่นะครับ  ( ร๊ากกก จัง เยยยยย  )

ทานข้าวหรือยังครับ  อยากทานอะไรมั๊ยครับ

อยากไปเที่ยวที่ไหนไหมครับ  อยากได้อะไรมั๊ยครับ   
 
ร๊ากกก ที่สุดในโลก เลยคร้าบบบ. ..”

พอว่าคาถานี้จบ ก็เข้าไปกอด หอมแก้มซักฟอด กราบเท้าด้วยก็ดี      อย่าลืมว่าคาถาทุกบทต้องท่องบ่นเป็นประจำ คาถารักพ่อรักแม่นี่ให้ท่องทุกวัน  ท่องต่อหน้าพระพ่อพระแม่เรานี่แหละ  รับรองชีวิตเจริญรุ่งเรือง เป็นยาดีแก้ซวยได้เกือบทุกเรื่อง   จำไว้ว่าทำอะไรกับพ่อแม่ตัวเองไว้ ก็จะได้รับการกระทำนั้นๆ กลับคืนจากคนทั้งโลกเช่นกัน (ทั้งจากแฟน จากเพื่อนร่วมงาน  เจ้านายฯลฯ)   บูชาพระรัตนตรัยควบคู่ไปกับการบูชาพระพ่อพระแม่ นี่แหละเหตุปัจจัยแห่งความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ทั้งภพนี้และภพหน้า

ขอแถมคาถาพิเศษให้อีกสักบท เป็นคาถาสั้นๆ ที่ท่องทุกวัน ท่องบ่อยๆ รับรองว่าเกิดแต่มหามงคลใส่ตัว ผู้คนจะหลงรัก ไปไหนมาไหนจะปลอดภัย เจริญรุ่งเรือง

คาถามหาเมตตา มหามงคล บทพิเศษนี้ก็คือ

“ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ  ขอโทษครับ  มีอะไรให้ช่วยมั๊ยครับ  โชคดีนะครับ .”

สั้นๆ ง่ายๆ พร้อมรอยยิ้มด้วยความปรารถนาดีจากใจจริง  แค่นี้แหละ สยบปัญหาทุกเรื่อง และเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองได้จริง  สวดบาลีวันละเป็นชั่วโมงแต่ออกมาเจอคน ไม่รู้จักทักทาย ไม่รู้จักมีน้ำใจเป็นห่วงเป็นใย ไม่รู้จักช่วยเหลือ ไม่มีความปรารถนาดีให้ ทำงาน ขายของ ไม่รู้จักยิ้ม ไม่รู้จักขอบคุณ ไม่รู้จักไหว้  มันจะเจริญได้ยังไง  อยากให้ลูกเป็นเด็กดี อยากให้ลูกกตัญญูแต่ไม่เคยสอนให้เป็นคนอ่อนน้อมกับคนอื่น  สอนลูกให้รู้จักบุญคุณคน แม้แต่ขอทาน มองให้เห็นว่ามีพระคุณให้เราได้ทำบุญ ได้เป็นคนให้ทาน  คนขายข้าวแกงเขาก็มีพระคุณที่ทำให้เรามีข้าวกินไม่ต้องมาทำเองให้เหนื่อย หากไม่มีกรรมกรก่อสร้าง เราจะมีตึกสวยๆ สบายๆ อยู่กันได้อย่างไร  หากสอนลูกให้เห็นบุญคุณของทุกสิ่งที่พบเจอ แล้วอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ถือตัว ให้เกียรติคนอื่น แม้แต่กรรมกรหรือขอทาน  นี่แหละ มงคลกับชีวิต ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ธนสารสมบัติจะไหลมาเทมา จะเป็นที่รักของคนทั่วไปและเหล่าเทวดา  เหมือนดั่งที่คำพระท่านสวดบาลีเวลาอวยพรให้เรา  และสำคัญที่สุด หากลูกเราสำนึกในบุญคุณแม้ขอทาน กรรมกร แม่ค้า คนกวาดถนน ว่าพวกเขามีบุญคุณกับเราแค่ไหน   นับประสาอะไรกับบุญคุณใหญ่ล้นพ้นของพ่อแม่ ซึ่งเห็นได้ชัดมากกว่า  หากเราไม่เคยสอนลูกหลานให้รู้จักกตัญญูรู้คุณในสิ่งเล็กน้อย  ก็แน่หละ ที่เขาจะกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ได้ยากและพาลคิดไปว่า นั่นคือหน้าที่ของพ่อแม่ที่ทำให้เขาเกิดมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบ ต้องเลี้ยงดูให้ดี     

ทุกวันนี้เราโทษแต่เด็กว่ามันเลว มันไม่ดี แต่ไม่เคยเหลียวมองโทษตัวเองกันเลยว่า แล้วเราหละ เลี้ยงพวกเขาได้ดีพร้อมจริงๆ แล้วหรือยัง  แค่สอนให้ลูกสวดมนต์ทุกวันและสำนึกในบุญคุณของสิ่งรอบตัวยังทำไม่ได้กันเลย   หากอยากให้ลูกเป็นคนดี ทำยังไงก็ได้ให้สวดมนต์ให้ได้ทุกวัน แม้ว่าจะต้องเอาเงินมาล่อ เอารางวัลมาล่อ ก็ทำไปเถอะ มันไม่เสียหายหรอก  เหมือนจ้างให้เด็กกินผัก เด็กจะยอมกินเองหรือจะกินเพราะเงิน มันก็ได้วิตามินได้ประโยชน์เหมือนกัน  พอสวดจนคุ้นชิน จิตมันจะชินกับของสูงและจะเกิดเป็นความเต็มใจในการสวดมนต์ไปเอง  สิ่งเดียวที่พ่อแม่จะให้ลูกเป็นที่พึ่งได้จริง คือคุณธรรม เท่านั้น ไม่ใช่ความรู้ทางโลกที่พยายามยัดเยียดให้เด็กต้องเรียนให้สูงเข้าไว้  เป็นคนเก่งแต่เลวไม่มีคุณธรรมแล้วจะมีประโยชน์อะไร ยิ่งเก่งมากก็ยิ่งทำเลวได้มากกว่าคนอื่น  แต่คนมีคุณธรรมต่างหาก ที่จะเป็นรากฐานให้แสวงหาความรู้ ตั้งใจเรียน กลายเป็นคนเก่งและเอาตัวรอดได้จริงทั้งภพนี้และภพหน้าอีกยาวไกล     

ฝากไว้ให้พิจารณากันด้วยนะครับ   ขอให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป             
                                                                                                                                 
โจโฉ  คร้าบบบ                                           .                                                                                                                                 www.jozho.net   



      บันทึกการเข้า

www.jozho.net
แจก CD ธรรมะฟรี ดาวน์โหลดธรรมะฟรีมากมาย
เสียงเทศนาหลากหลายครูบาอาจารย์
เสียงอ่านหนังสือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ ฟังสบาย เข้าใจง่าย
โจโฉ คร้าบบบ
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24

เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 15:17:18 »

รายละเอียดและการนำบทสวดภาษาไทย ไปใช้ให้เกิดประโยชน์

สำหรับบทสวดภาษาไทย ที่ผมอัดเสียงไว้
ก็ได้อธิบายประโยชน์และเหตุผลของการสวดภาษาไทยล้วนไว้แล้วนะครับ
ผมรู้ว่าต้องมีคนจำนวนหนึ่งที่ต่อต้านผมแน่นอน
แต่ผมก็อยากให้มองว่า คนเรามีหลากหลาย ปัญญา ความเพียรไม่เท่ากัน

เด็กอนุบาล จะให้ไปวิ่งแข็งกับเด็ก ม.6 คงทำไม่ได้
จะให้เด็กอนุบาลไปขับเครื่องบินก็คงทำไม่ได้
คนถนัดซ้าย จะให้ไปเขียนมือขวาก็คงยาก
คนเรียนหมอมา จะให้ไปถือปืนออกรบ 
คนเรียนนาฎศิลป์จะให้ไปรักษาคนไข้ ก็คงทำไม่ได้

ศาสนาเราทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งที่ยังไปไม่ถึงไหน ยังเข้าไม่ถึงวัยรุ่นและคนทั่วไป
ก็เพราะพยายามจะให้เด็กอนุบาลไปขับเครื่องบิน
หรือพยายามจะให้ลิเกไปตรวจรักษาคนไข้นี่แหละครับ 
บางทีก็เอาวิธีฝึกและอารมณ์ของพระอริยะ
หรือผู้ที่อินทรีย์แก่กล้า บารมีมาก มาสอนคนพึ่งหัดเดิน
มันก็เลยดูยากและน่าเบื่อ และเกินจะเข้าใจและเข้าถึงได้

ธรรมะคือความเป็นจริง ทุกอย่างต้องมีขั้นตอน มีระดับ มีความเหมาะสม
มันต้องค่อยๆ ฝึก ค่อยๆไต่ไปทีละขั้น ไม่ใช่อยู่ทีเดียวกระโดดขึ้นไปข้างบนเลย
ซึ่งในทางธรรม ก็มีอยู่จริง ที่คนมาปุ๊บแล้วขึ้นสูงเลย
แต่นั่นเขาสะสมบารมีมากี่ชาติแล้ว  และก็เป็นคนส่วนน้อย
พระพุทธองค์เอง ท่านก็ไม่ได้ทรงสอนคนทุกคนแบบเดียวกัน
มีทั้งสอนแบบให้ฝึกเข้มข้นและแบบง่ายๆ และมีเป็นระดับ
บางคนท่านก็ตรัสเล่าเรื่องนรก สวรรค์ กรรมเก่า ชาติก่อน จนเต็มพระไตรปิฎกไปหมด
แต่สำหรับบางคน ท่านก็ตรัสว่าอย่าไปสนใจเรื่องพวกนี้ มันไม่ใช่ทางดับทุกข์ จนคนชอบยกมาอ้าง
และกลายเป็นบิดเบือนพุทธพจน์ว่า....พระพุทธเจ้า ไม่ให้สนใจเรื่องนรกสวรรค์ กรรม ฯลฯ

ทั้งทีจริงแล้ว การสอนคนแต่ละกลุ่มแต่ละคนมันต้องใช้วิธีการต่างกัน
บทสวดมนต์ที่ผมสวดแปลเฉพาะไทย และเรียบเรียงบทสวดประจำวันขึ้นใหม่
ผมอิงหลักคำแปลของบทสวดจากหลากหลายครูบาอาจารย์
ซึ่งตั้งใจแต่งไว้ให้คนรอบข้างและใช้สวดเอง
แต่เห็นว่ามีประโยชน์มาก และได้ผลกับคนจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่
มากกว่าทีจะให้สวดบาลีโดยไม่รู้ความหมาย
หรือสวดแล้วต้องแปลอีกที เพราะมันจะเยิ่ยเย้อน่าเบื่อเกินไป

ผมคงห้ามเสียวิจารณ์และต่อต้านไม่ได้
แต่ก็อยากให้คนที่ต่อต้าน ตั้งสติคิดซักนิด แล้วพิจารณาให้เห็นตามจริงว่า
ในทุกสิ่งก็ต้องมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับคนแต่ละยุค
เราเปลี่ยนแค่วิธีการ แต่ความหมายเท่านั้นที่ยังคงเดิม 
แล้วไม่ว่าจะใช้วิธีแบบไหน ประโยชน์มันก็มีเสมอหากจะมองให้เห็น
ยกเว้นแต่ว่าจะติดรูปแบบ ติดพิธีการ อนุรักษ์นิยมสุดโต่งกันจนไม่รู้ว่าโลกมันไปถึงไหน

ทุกวันนี้เด็กและเยาวชน เบื่อธรรมะ ขาดศีลธรรม ห่างไกลศาสนา ก็เพราะใคร เพราะอะไร
ไม่ใช่เพราะยังยึดแนวทางแบบที่เผยแพร่และเชื่อกันอยู่ใช่หรือไม่
หลายแนวทางก็เป็นของครูบาอาจารย์รุ่นหลัง ไม่ใช่แนวทางของพระพุทธเจ้าซักหน่อย
ติดแต่รูปแบบ กฎระเบียบ วิธีการ จนลืมหลักความเป็นจริง จนลืมใจความสำคัญ 

บาลีเป็นภาษาเพื่อคงความหมายของพระธรรมแบบครบถ้วนไม่ผิดเพี้ยน
แต่ภาษาไทยคือภาษาเพื่อความเข้าใจอันลึกซึ้งของคนไทยเช่นเดียวกัน
หากสวดไทยล้วนไม่ดี ถ้าอย่างนั้น พระไตรปิฎกและหนังสือธรรมะต่างๆ
ก็ทำไมไม่พิมพ์เป็นบาลีมาให้อ่านหละครับ หรือพิมพ์บาลีประโยค แปลไทยประโยค
กว่าจะเข้าใจความหมายก็คงใช้เวลาและเสียอรรถรสในการสลับระหว่างสองภาษาพอสมควร
 
ท่านติช นัท ฮันท์  อาจารย์วิปัสสนาชาวเวียดนามที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
ท่านเผยแพร่พระพุทธศาสนาจนเป็นที่ยอมรับของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนต่างชาติ
ส่วนหนึ่งท่านก็นำบทสวดมาทำเป็นเพลง
และเรียบเรียงใหม่ ด้วยภาษาง่ายๆ ให้เหมาะสมกับชาตินั้นๆ เหมือนกัน
 
จริงๆ บ้านเราก็มีนะ  นำบาลีมาแปลไทย แต่ก็แปลเป็นภาษกวีสมัยต้นกรุง
ซึ่งพอเวลาผ่านมาหลายร้อยปี ภาษาชั้นสูงเหล่านี้ ก็เป็นที่เข้าใจได้ยากสำหรับคนยุคปัจจุบัน
นั่นเลยทำให้อ่านพระไตรปิฎกหรือสวดมนต์แปลไทยแล้ว ก็ยังรู้สึกเข้าใจได้ยาก
และบางทีก็เหมือนจะไม่เข้าใจเลยก็มี เพราะต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที 

ผมกล้าท้าเลยว่า ให้เอาเด็กมาร้อยคน แล้วลองให้สวดแบบบาลีล้วน
กับสวดบทที่ผมแปลเป็นไทยและบทที่เรียบเรียงขึ้นใหม่
แล้วลองถามเด็กว่า สวดแบบไหนเข้าใจมากกว่ากัน
เกิดศรัทธามากกว่า  น่าเบื่อหรือน่าสวดมากกว่า
และอันไหนได้ประโยชน์มากกว่ากัน  ซึ่งทุกอย่างหากไม่มีอคติตั้งต้นก่อน
ผมเชื่อว่าทุกคนก็น่าจะมองออกว่า อะไรคืออะไรนะครับ


สำหรับบทสวดภาษาไทยล้วน ทั้งสองบทที่ผมอัดเสียงไว้นะครับ
จะมีการใส่ดนตรีสำหรับฝึกสมาธิ และคลื่นความถี่ ที่มีผลต่อคลื่นสมองไปด้วย
ทำให้ผ่อนคลาย จิตใจสงบ และฟังไปเพลินๆ อาจรู้สึกง่วงนะครับ

บทนี้นอกจากจะใช้ฟังหรือสวดตาม ทั้งสวดออกเสียงตามหรือสวดในใจ
สามารถเปิดฟังแล้วหลับไปเลยก็ได้เช่นกัน
สามารถนำไปใช้ได้สำหรับคนทุกวัย ทั้งเด็กเล็ก คนนอนไม่หลับ
คนที่ชอบฝันร้าย ฟุ้งซ่าน หรือคนป่วย     จริงๆ ก็ฟังได้ทุกคนนั่นแหละ

เพียงแค่เปิดฟัง จิตจะอยู่กับของสูง คลื่นเสียงที่ซ่อนอยู่ในบทสวดทำให้ผ่อนคลาย
ข้อมูลและความหมายจากเสียงสวดมนต์
จะเหมือนการโปรแกรมจิต ที่ส่งผลต่อจิตใต้สำนึกได้แม้ขณะหลับนะครับ
มีผลทำให้หลับสบาย ฝันดี เป็นการหล่อเลี้ยงจิตให้ระลึกอยู่กับของสูงหรือคุณความดีต่างๆ
 
ในทางวิทยาศาสตร์ เสียงสวดมนต์พร้อมดนตรีที่ดี
จะทำให้น้ำในร่างกายเปลี่ยนเป็นโมเลกุลหกเหลี่ยม
ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพอย่างมาก  มีผลต่อผิวพรรณ น้ำหนัก และเสริมความแข็งแรง บรรเทาโรคได้

สมองที่ได้รับการพักผ่อนในระดับลึก  จิตเป็นกุศลไม่ฝันร้าย
ก็ช่วยให้สุขภาพทั้งจิตและกายสมบูรณ์และทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ


จิตนั้นมีพลังมาก หากมีศรัทธามากก็จะส่งผลมหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อ
เช่นหากเราเชื่อจริงๆ เชื่อมั่นในสิ่งที่เราเคารพบูชา เชื่อมั่นในความดี และมีความอ่อนน้อมจากภายใน  ก็จะส่งผลดีๆ ให้ทั้งทางสุขภาพและชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรือง 
ซึ่งจริงๆ แล้วหลักสำคัญมันอยู่ที่พลังงานของจิต   ที่มีพลังมหาศาลบันดาลอะไรให้เราก็ได้

ให้สังเกตุว่าศาสนาไหนก็ตาม หากมีศรัทธาและน้อมนำให้เกิดพลังจิต
ในแนวเดียวกัน โดยเฉพาะเป็นศรัทธาความเชื่อที่แน่วแน่ในทางที่ดี
ก็มักจะสมปารถนาและเกิดปาฎิหารย์ขึ้นได้
แต่ต้องเป็นความเชื่อ ความเข้าใจที่ฝังลึกไปถึงจิตภายใน
คือจิตใต้สำนึก ต้องเชื่อและมั่นใจอย่างสุดหัวใจ
ถึงจะเป็นการดึงพลังงานมหาศาลของจิตออกมาใช้ได้จริงๆ
เป็นความจริงที่ได้รับการยอมรับจากผู้ที่ได้ศึกษาศาสตร์ทางด้านของจิต
เป็นศาสตร์ใหม่ที่ทางวิทยาศาตร์ให้การยอมรับและก็สนใจเป็นอย่างมากในขณะนี้
ซึ่งความจริงแล้วมันก็เป็นศาสตร์เก่าที่มีมาแต่ดั้งเดิม
เพียงแต่ภาษาที่นำมาสื่อสาร อาจไม่ดูทันสมัยเป็นวิทยาศาสตร์ เท่าสมัยนี้

หากเราเริ่มต้นชีวิตด้วยความสดใส คิดดี คิดแง่บวก ชีวิตทั้งวันจะเต็มไปด้วยสิ่งดีๆ
แม้เจอปัญหาก็จะมีสติในการแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส แต่หากอารมณ์เราขุ่นมัวอยู่แล้ว
แม้แต่คนยิ้มให้เราก็อาจจะหงุดหงิดได้ เพราะหาว่าเขายิ้มเยอะเย้ย ถากถาง
 
หากคิดดี จิตมีความสุข ก็จะดึงสิ่งดีๆ เข้าหา
หากคิดไม่ดี จิตเป็นทุกข์ก็จะดึงเรื่องไม่ดี และความซวยต่างๆ เข้าหา
ยกตัวอย่างเรากำลังยิ้ม ใครผ่านมาเห็นก็ยิ้มไปด้วย รู้สึกสุขไปด้วย
เรากำลังจะแต่งงาน กำลังมีความสุข แล้วแฟนเพื่อนเราตาย หรือมีเรื่องทุกข์ร้อนต่างๆ 
เขาก็คงยังไม่กล้าบอกเราในเวลานั้น คงต้องรอให้ผ่านงานแต่งไปก่อน หรือบางทีอาจไม่บอกเลย

ถ้าเรากำลังหงุดหงิด ทะเลาะกับแฟนอยู่ แน่นอนหากมีใครอยากจะเอาของขวัญมาให้
เขาก็ต้องรอไปก่อนไม่กล้าให้หรืออาจจะไม่ให้เลย 

จิตที่ผ่องใสมีความสุข เหมือนแสงสว่างที่ไล่ความมืดออกไป
ศาสนาพุทธจึงมีหลักง่ายๆ ให้ท่องจำว่า ให้ทำบุญ ละบาป ทำจิตให้ผ่องใส
การที่จิตจะผ่องใสได้จริงๆ ก็ต้องเกิดจากการสะสมความดี
และการเรียนรู้ขัดเกลาตนเพื่อปล่อยวางลดละความยึดมั่นถือมั่นลง
ต้องแยกแยะด้วยว่าความสุขจากการที่พ่อแม่ได้กินของอร่อย
กับความสุขที่พ่อแม่ยอมสละของอร่อยให้ลูกได้กินนั้น มันแตกต่างกันอย่างไร

สำหรับเทคนิคการทำจิตให้ผ่องใส ปกติผมก็ทำบรรยายอยู่นะครับ เป็นการฝึกพลังจิตและสมาธิเบื้องต้น เพื่อนำไปสู่การพัฒนาศักภาพของจิตและกาย  เทคนิคกับกุศโลบายที่เรียบง่ายได้ผลจริง สัมผัสได้ทันที  เร็วๆ นี้ก็จะทำเป็นไฟล์เสียงมาเผยแพร่ในเวบไซด์เพื่อไว้ให้ดาวน์โหลดไปลองฝึกกันนะครับ  และหากท่านใดสนใจก็ติดต่อมาได้ บรรยายฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แถมมีซีดีธรรมะไปแจกฟรีด้วยครับ

( ธรรมะสำหรับเยาวชนและบุคคลทั่วไป ความรู้ กับแง่มุมแบบเข้าใจง่าย แต่นำไปใช้ได้จริง บาปบุญซึ่งวัดผลได้จากงานทดลองทางวิทยาศาสตร์  ฝึกสมาธิแบบง่ายจากกุศโลบายใช้ดอกไม้เป็นสื่อ การแผ่เมตตาด้วยพลังงานกุศล ด้วยความรักที่สัมผัสได้จริงทันที ส่งผลดีต่อชีวิต )
 

การที่ร่างกายจะทำงานได้เต็มที่ ตามคุณสมบัติมหัศจรรย์ของเขาที่เป็นอยู่
เขาต้องเชื่อจริงๆ เชื่อเข้าไปถึงจิตใต้สำนึก 
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านเรียกว่า “ จิตอิสระ”  ซึ่งอยู่ภายใน เป็นสิ่งที่แยกออกมาต่างหาก
มีอิทธิฤทธิ์ควบคุมบังคับร่างกายนี้ 
ท่านยังสอนวิธีสะกดจิตตัวเอง โดยการป้อนข้อมูลที่ดีให้กับจิตอิสระภายใน
ซึ่งจะส่งผลให้รักษาโรคและสุขภาพดีได้จริงๆ   

จิตอิสระนี้ ตรงกับหลักของพระพุทธศาสนา คือ  จิตเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้
พูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ จิตเขาเป็นของเขา เขาอยู่ของเขา เราบังคับเขาไม่ได้ แต่เราสามารถให้ข้อมูลเขาได้  ซึ่งการกระทำต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเรา จะเป็นข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในจิตส่วนลึกนี้ และส่งผลข้ามภพข้ามชาติได้ 

จิตภายในมีสภาพคล้ายอยู่ซ้อนในร่างกายเรา   เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราเผลอไปยึดคิดว่าเป็นตัวเรามาช้านาน  ซึ่งการจะเห็นได้ชัดว่าจิตไม่ใช่เราต้องอาศัยการวิปัสสนา การเจริญสติเท่านั้น   นี่คือทางออกจากทุกข์ ทางสายเอกที่พระพุทธองค์ทรงฝากไว้ให้พวกเรา แต่น้อยคนนักจะได้สัมผัส ได้รู้จัก และเห็นผล (แนะนำให้ลองหาหนังสือหรือเสียงเทศน์ของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย / หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช  หรือ มหาสติปัฎฐานฯ กับรู้เฉพาะตนของคุณดังตฤณ มาศึกษาดูนะครับ )

การป้อนข้อมูลอย่างไรให้จิตใต้สำนึก ก็จะส่งผลให้จิตใต้สำนึกแสดงพลังออกมาต่างๆ กัน
เช่น หากเราคิดว่าเราป่วยแม้ไม่ได้ป่วย ย้ำคิดจนจิตเขาเชื่อจริงๆ ก็จะเกิดเป็นการเจ็บป่วยขึ้นมาจริงๆ
ในหนังสือของ อ.พร รัตนสุวรรณ มีการกล่าวถึงการสะกดจิต โดยการเอาดินสอจี้ที่แขนแล้วบอกว่าเป็นไฟ   ก็ปรากฎว่า ผู้ถูกสะกดรู้สึกร้อนและมีรอยไหม้ขึ้นตรงบริเวณนั้นจริงๆ 

หลายคนชอบคิดว่าตัวเองแก่แล้ว ทำอะไรไม่เก่ง มันก็จะทำไม่ได้จริงๆ เรียนอะไรก็ไม่รู้เรื่องจริงๆ
สารเคมีในร่างกาย ฮอร์โมนต่างๆ ก็หยุดผลิต การซ่อมแซมร่างกายก็ลดลง เพราะจิตเขาเชื่อตามที่เราย้ำคิดว่า   เราแก่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องผลิตไม่ต้องซ่อมสร้างอะไรให้มันแล้ว เพราะเจ้าของร่างกายมันต้องการแบบนี้ คือเขาเหมือนรับข้อมูลแล้วทำตามสิ่งที่เราชอบหรือคิดนะ  (การทำอะไรบ่อยๆ คือการสะสมข้อมูลที่หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ และจิตจะทำงานตามข้อมูลที่เข้มข้นกว่าก่อน)

หากเราคิดว่าเรายังเด็ก ยังสดใส ยังต้องเจริญเติบโต  ยังมีอนาคต  คิดให้จิตใต้สำนึกเขาเชื่อจริงๆ ร่างกายจะแก่ช้ากว่าคนอื่น และจะยังผลิตซ่อมสร้างร่างกายได้ดีกว่าคนในวัยเดียวกัน  แต่ต้องขึ้นกับปัจจัยการดูแลตัวเองด้านอื่นๆ ด้วยนะครับ  ไม่ใช่คิดอย่างเดียว ลำพังให้จิตเขาช่วยบริหารร่างกาย   มันแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น (จิตทำงานโดยสั่งผ่านสมองอีกที)

องค์ประกอบอื่นๆ ก็จำเป็น ทั้งการกิน การนอน การออกกำลังกาย ต้องสมดุลย์กันด้วย   และรวมถึงทุกอย่างมันก็อยู่ในหลักไม่เที่ยง ต้องเปลียนแปลง แม้จิตจะเชื่อว่ายังเป็นเด็ก แต่มันก็แค่ชะลอ   ทุกอย่างมันมีวันหมดอายุเสมอ   ร่างกายคนเราวันหนึ่งก็ต้องแก่ ต้องเหี่ยวอยู่ดี แต่จะแก่ แบบไร้แรง หมดสภาพ หรือแก่แบบยังกระฉับกระเฉง สดใส  เราสามารถเลือกเป็นได้เสมอ   

นอกจากผลทางร่างกายที่เห็นได้ชัดแล้ว จิตยังมีพลังยิ่งกว่านั้น
คือเขาจะอำนวยสิ่งต่างๆ ให้เหมาะสมกับสิ่งที่เรากระทำ 
เช่น หากเราชอบทำบุญ ชอบให้ เขาก็จะมีพลังงานแห่งการให้..สะสมไว้ (ปัจจุบันหลักทางวิทยาศาสตร์ สามารถตรวจสอบได้ทั้งในรูปคลื่นพลังที่มีผลต่อโมเลกุลของสิ่งรอบตัว และแสงออร่าที่มีสีสันต่างกันตามอารมณ์ คุณธรรม และสุขภาพ ) แล้วพลังงานพวกนี้  จะเป็นกระแสที่ดึงดูดคนประเภทเดียวกันเข้าหา จะทำให้เราเจอแต่คนดีๆ เป็นคนชอบให้ มีเมตตาเหมือนกัน  แล้วคนดีๆ ก็จะนำแต่สิ่งดีๆ มาให้เรา ค้าขายอะไรเขาก็อยากอุดหนุน ทำงานเขาก็อยากผลักดันช่วยเหลือ เมตตาเอ็นดู  เป็นหลักง่ายๆ ว่า ยิ่งให้ยิ่งได้รับกลับคืน  คือ เมื่อจิตสะสมการให้ พลังงานทางจิต ก็จะดึงให้เราเป็นผู้มีทรัพย์  เพราะจะได้มีไว้ให้อีกต่อไป  ไปเกิดใหม่จิตก็จะไปเกิดในตระกูลที่มีเงิน เพราะมันเข้ากันได้กับพลังงานแห่งการให้ที่สะสมไว้ในจิตเรา
คือต้องไปเกิดในที่ๆ มีเงิน เพื่อจะได้ให้ได้อีก 

ส่วนคนที่ไม่รู้จักให้ ขี้เหนียว เห็นแก่ตัว แน่นอนว่าจิตก็จะสะสมพลังงานแห่งการเห็นแก่ตัวไว้
แล้วก็ดึงดูดเอาคนเห็นแก่ตัวมาหา หรือดึงดูดให้ไปอยู่ร่วมอยู่ใกล้กับคนเหล่านั้น
เหมือนคนกินเหล้าก็ต้องไปรวมกันในร้านเหล้า คงไม่ไปนั่งเอ๋อคนเดียวอยู่ในร้านนมปั่นแน่นอน

จิตสะสมพลังงานแห่งการไม่ให้ ก็ต้องไปเกิดในตระกูลที่ยากจน กับพ่อแม่ที่ไม่รู้จักให้เหมือนกัน
ทำมาค้าขาย ทำงานก็เจอแต่คนเห็นแก่ตัว ผลัดกันเอาเปรียบกัน
กฎแห่งกรรมมันอยู่ที่ตรงนี้  มันอยู่ทีว่า จิตสะสมอะไรไว้มันก็ส่งผลแบบนั้น
สะสมการไม่ให้ เขาก็ไม่ให้มีเงิน
เพราะเขาคิดว่า มันไม่ต้องการ เมื่อไม่อยากให้ใคร ก็ไม่รู้จะมีไว้ทำไม 

เปรียบเทียบให้เห็นแบบง่ายๆ กับทางวิทยาศาสตร์ เรื่องวิวัฒนาการของสัตว์นะครับ
ยกตัวอย่างเช่น ... งู เมื่อก่อนเคยมีขา แต่ต่อมา มันไม่ค่อยใช้ ขามันเลยค่อยๆ หดหายไป
 ในทางวิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นการสะสมข้อมูลผ่าน ดีเอ็นเอ  และสืบทอดไปสู่รุ่นลูกหลาน
แต่ในทางวิทยาศาสตร์ทางจิต มันคือการ สืบทอดข้อมูลผ่านจิต ข้ามภพชาติไป
หากเกิดเป็นสัตว์แล้ว ยากนักที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ต้องวนเวียนเกิดเป็นสัตว์นั้นๆ ไป
ตามพระไตรปิฎกท่านกล่าวไว้เป็นสำนวนว่า... ต้องเกิดใช้กรรม 500 ชาติ
ซึ่งเป็นสำนวนแขก ที่ท่านแค่อธิบายให้เข้าใจว่า มันเป็นเวลานานมาก 
ไม่ได้หมายความว่าต้อง 500 ชาติพอดี  (บางทีอาจเป็นแสนชาติ)

เมื่อสัตว์ทีต้องเกิดซ้ำๆ เป็นสัตว์เดิมๆ หลายชาติ จิตเขาก็สะสมข้อมูลว่า
อวัยวะนี้ไม่ต้องใช้ ไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องสร้างมันออกมา ในที่สุดสัตว์หลายชนิด
ก็พัฒนาจนปีกหายบ้าง ขาหายไปบ้าง เพิ่มอวัยวะบางอย่างมาบ้าง อย่างที่เห็นๆ กันนั่นแหละ

คนเราก็เช่นเดียวกัน ในชาตินี้เลย หากเราไม่เดินเลย ก็จะพิการขาลีบ
หากออกกำลังกาย ทำงานหนัก กล้ามเนื้อก็จะขึ้นมา เพื่อส่งเสริมให้ทำงานหนักได้
หากเราทำอะไรในชีวิตประจำวัน นั่นคือการสะสมข้อมูลให้จิตใต้สำนึก หรือจิตอิสระ
ซึ่งเขาจะมีหน้าที่บริหาร จัดสรร เสริมสร้างร่างกายตามข้อมูลที่เราให้
ซึ่งส่งผลทั้งชาตินี้และชาติหน้า

ถ้าเราพูดเพราะ พูดเป็นประโยชน์ 
จิตเขาก็จะสะสมข้อมูลไว้ แล้วสั่งให้ร่างกาย สร้างให้เกิดมาปากเป็นรูปสวย เสียงเพราะ
ถ้าเราชอบใช้แรงงานช่วยเหลือคน เขาก็จะให้เราเกิดมามีกำลังมาก ร่างกายแข็งแรง
บางคนชอบใช้มือทำงาน ชอบไหว้พระ มื้อไม้อ่อนต่อผู้ใหญ่ ก็จะเกิดมามือสวย

หลายคนขี้เกียจ ชอบผักภาระให้คนอื่น เอาแต่นั่งๆ นอนๆ เขาก็ให้เราเกิดมาอ้วน
สมกับน้ำหนักกรรม ต้องแบกน้ำหนักตัวเองให้เหนื่อย
ทำอะไรลำบากกว่าคนอื่น
และให้สังเกตว่าบางคนทำยังไงก็ไม่ยอมผอม ออกกำลังกายแทบตาย หุ่นก็ไม่ดีซะที
เพราะว่าเขาสะสมข้อมูลแห่งความเป็นคนอ้วนไว้ หนาแน่นมาก
ข้อมูลที่ส่งให้ร่างกายไม่จำเป็นต้องหุ่นดีแข็งแรง เพราะไม่ได้เอาไปทำอะไรอยู่แล้ว
ไม่เคยสะสมความขยันมาแต่ก่อน  พอมาเกิดใหม่ก็เลยเปลี่ยนแปลงได้ยาก

อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างคร่าวๆ จริงๆแล้วในเรื่องของกรรมและการทำงานของจิต
ยังมีปลีกย่อยอีกมาก  คนอ้วนบางคนอาจจะไม่ได้ขี้เกียจเหมือนที่บอกมานะครับ
มีปัจจัยหลายอย่าง บางคนเป็นเพราะเกิดจากการอธิฐานของตัวเองก็มี

มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เล่าให้ผมฟังว่า ผู้หญิงบางคนเกิดมาอ้วน รักษายังไง ทำยังไงก็ไม่หายอ้วน
พอไปสะกดจิต ระลึกชาติได้ ( การสะกดจิตระลึกชาติฝรั่งเองก็ทำกันเยอะ แล้วฝรั่งก็ระลึกชาติได้เยอะมาก อย่าคิดว่างมงายนะ  ต่างชาติเขาศึกษากันจริงจังแต่คนไทยไม่เคยสนใจเอง)

พอระลึกชาติได้ถึงรู้ว่า ในชาติก่อนเคยเกิดเป็นหญิงงาม และด้วยความงามของตัวเอง ทำให้ถูกคัดไปเป็นนางบำเรอประจำเมือง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของคนสมัยโบราณในบางประเทศ เธอต้องทุกข์ทรมานมาก จึงอธิฐานว่าเกิดชาติหน้าขออย่าให้สวยแบบนี้ ขอเป็นคนขี้เหร่ จำไม่ได้แน่ว่าอธิฐานให้หุ่นไม่ดีด้วยหรือเปล่า แต่ทีแน่ๆ คือความอ้วนของเธอเกิดจากแรงอธิฐานของเธอนั่นเอง  ซึ่งได้เกิดมาขี้เหร่สมใจต้องการจริงๆ 

เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของการโปรแกรมจิตแบบตั้งใจ เป็นการให้ข้อมูลกับตัวเองว่าไม่ต้องการเกิดมาสวยอีกแล้ว ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่มาก เข็ดขยาดขึ้นสมอง   มันฝังเข้าไปเป็นข้อมูลที่หนาแน่นลึกซึ้งมากในจิต จิตเขาก็จำข้อมูลนี้ไว้  แล้วเมื่อเกิดใหม่ก็ไม่สวยสมใจ

ดังนั้นสำหรับบางบุคคล  เราก็ไม่อาจจะเหมาได้ว่า เขาต้องเกิดมาจากกรรมอะไรโดยตรง  อ.พร รัตนสุวรรณ ท่านก็เล่าไว้ว่า หลายท่านเป็นผู้มีบุญบารมีมาก ก็ไปเกิดในแดนทุรกันดาน ไปเกิดในครอบครัวที่ยากจนได้เหมือนกัน  เพราะท่านต้องการมาสร้างบารมี ลงมาเพื่อไปช่วยกลุ่มคนเหล่านั้น  ไม่ใช่ว่าต้องขี้เหนียวเห็นแก่ตัวเท่านั้น ถึงจะได้ไปเกิดในครอบครัวที่ยากจนเสมอไป
(ท่านยกตัวอย่างเหมือน หมอที่ยอมไปอยู่บนดอยเพื่อรักษาคนไข้)


ในส่วนของร่างกาย หลายอย่างไม่ต้องรอชาติหน้านะครับ หากทำดีแต่เด็กๆ
ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ความดีก็จะสร้างร่างกายให้ใหม่ในชาตินี้เลย
ดาราหลายคนตอนเด็กก็ขี้เหร่ แต่เพราะสวดมนต์ ไหว้พระ เป็นเด็กดี ตักบาตรทุกวัน
โตมาเป็นนางงาม เป็นนางเอกก็เยอะ  เด็กหลายคนตอนเล็กๆ น่ารัก โตมาขี้เหร่ก็เยอะ
ช่วงร่างกายกำลังพัฒนา บุญกุศลสำคัญมาก ที่จะมีผลต่อการสร้างร่างกายให้ดีเลวแค่ไหน
ซึ่งปัจจุบันวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ความดี อารมณ์ด้านบวก (รวมถึงความเลว อารมณ์ลบ)
มันส่งผลต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อมอย่างไร
เป็นสิ่งที่ผมทำบรรยายอยู่ตอนนี้ แล้วก็อีกไม่นานคงทำเป็นไฟล์ให้ดาวน์โหลดไปฟังกันนะครับ

ในกรณีคนที่เจริญเต็มที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ก็อาจเห็นผลช้า
แต่ก็ไม่ใช่จะไม่เห็นเลย หลายคนหันมาทำดี สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม
แล้วรูปร่าง โครงหน้า หุ่น ผิวพรรณ เปลียนไปจนเหมือนคนละคนก็มีให้เห็นมากมาย
ซึ่งกล้ายืนยันว่า หากคุณเร่งทำดีและพัฒนาตนเองจริงๆ  ต้องมีการเปลียนแปลงทุกคน
จะมากจะน้อยเท่านั้นเอง ไม่อยากบอกนะครับว่าตัวผมเองก็เปลี่ยนจนหลายคนต้องอึ้งว่า
บุญกุศลมันเปลียนผีเป็นคนได้ขนาดนี้เชียวหรือนั่น   


คนเท่านั้นที่จะมีเพศสัมพันธ์กันได้เพราะความรัก
หากเรามั่ว สามารถหลับนอนได้โดยไม่มีความรัก 
ในชาตินี้กรรมจะส่งให้อยากเปลี่ยนคู่ไปเรื่อย เจอก็แต่คนที่อยากเสพแต่ทางกายเหมือนกัน
เมื่อเสพกามแบบไร้รัก ก็ย่อมเจอแต่คนไร้รัก 
แต่แล้วก็จะรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง โหยหาในความรัก และแม้เจอคนดีทีรักจริง
ก็ไม่สามารถจะคบหาและรักตอบได้ หรือไม่อีกฝ่ายก็ไม่อยากรักด้วย
เพราะต่างคนก็เคยชินในความหลากหลาย ความตื่นเต้นในการเปลี่ยนคู่
รวมถึงรู้สึกได้ถึงความไม่สะอาดของตนเอง
ไม่มีความภูมิใจในตนเอง ขยะแขยงตัวเองจนไม่กล้าคบคนดีๆ
นี่แหละที่มาของคำบอกเลิกที่ว่า เธอดีเกินไป  ....
 จริงๆ นะ คนชั่วมันคบคนดีไม่ได้หรอก  รู้ว่าดีแต่ไม่มีสีสัน ไม่จี๊ดจ๊าดโดนใจ
ผมเองหละเจอมากับตัวเองซะเยอะ  กูรูผู้เชียวชาญในการอกหักแบบพิสดารเลยหละ
ใครมีปัญหาหัวใจ แก้ไม่ตกปรึกษาได้นะครับ 

หากมั่วกามแบบไร้รัก ในชาติหน้า จิตเขาก็จะสะสมข้อมูลให้ไปเกิด
ในภพของการที่ร่วมรักกันได้โดยไม่ต้องอาย
ไม่ต้องมีความรัก ไม่ต้องนับญาติ  เบาหน่อยก็ เช่น หมา แมว
หนักขึ้นมาก็ในภพของเปรต จำได้ลางๆ ว่าคุณดังตฤณเขียนไว้ประมาณว่า
ให้ลองนึกถึงสภาพของสถานที่ ที่มีแต่การเปลือยกาย ร่วมเพศ คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำกาม
ถ้าต้องอยู่แบบนั้นทุกวันตลอดไปนานเป็นปีๆ  มันเป็นสถานที่น่าบันเทิงหรือน่าขยะแขยง

คือจิตเขาเลือกสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน
และสถานที่เกิดใหม่ชาติหน้าให้เหมาะสมแล้ว กับสิ่งที่คุณกระทำในวันนี้

หากมองกฎแห่งกรรม เป็นเรื่องของการสะสมข้อมูลในจิต
แล้วจิตเป็นผู้สร้างร่างกาย ปรับสภาพแวดล้อม
และดึงดูดสิ่งต่างๆ เข้าหา เราจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น
กว่าการคิดว่า กฎแห่งกรรม คือการลงโทษจากสิ่งที่มองไม่เห็น
กรรม เขาไม่ได้ลงโทษใคร แต่เขาทำตามหน้าที่ที่เราสะสมข้อมูลไว้นะครับ
เหมือนเราเอามีดกรีดแขนตัวเอง มันก็เป็นแผล เป็นทุกข์ ไม่ได้มีใครมาลงโทษเรา

จิตสะสมความดี มีความปล่อยวาง ส่งผลให้ฝันดี
จิตสะสมความชั่ว มีแต่ความยึดมั่น  ส่งผลให้ฝันร้าย
แม้ทำดีแต่ไม่รู้จักปล่อยวาง ก็เครียด ก็เป็นอกุศลจิต ทำดีก็ฝันร้ายได้เหมือนกัน

จิตสร้างภาพในความฝันได้แนบเนียน
จนคุณหลงลืมไปว่านี่เป็นความฝัน เหมือนหลุดไปอีกโลกได้อย่างไร
จิตหลังตาย ก็สร้างภาพ สร้างสถานที่
สร้างสถาณการณ์ได้ไม่ต่างกับความฝัน แถมแนบเนียนยิ่งขึ้นไปอีก

หากคุณสะสมพลังงานความดีในจิตไว้มากเท่าไหร่
ตายไปจิตก็จะสร้างสิ่งต่างๆ ได้งดงาม เหมือนคุณได้ฝันดีอันยาวนาน
หากคุณสะสมพลังงานไม่ดี ความชั่วต่างๆ ไว้มากเท่าไหร่
นรกที่คุณอาจคิดไม่ออกว่ามีสภาพเช่นไร
ก็ให้นึกถึงสภาพที่คุณต้องฝันร้ายแบบน่ากลัวสุดๆ แล้วไม่สามารถตื่นได้
นั่นแหละ ตัวอย่างของพลังงานของจิตอิสระภายใน ที่เขาจะสร้างสิ่งแวดล้อมและจัดสรรทุกอย่าง
ให้เหมาะสมกับสิ่งที่คุณสะสมไว้ตั้งแต่หลายชาติที่ผ่านมาจนถึงวินาทีนี้ 

นรก สวรรค์ ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อหลอกคนให้ทำความดี กลัวบาป
แต่มันเป็นการบอกให้คนรู้ความจริง
เพื่อจะได้ไม่ต้องตกไปสู่ที่ต่ำ ไม่ต้องทุกข์ทรมานเพราะความไม่รู้
แนะนำให้ฟังเรื่องแว่วเสียงสวรรค์ ของ อ.พร รัตนสุวรรณ
ซึ่งอธิบายเรื่องพวกนี้ไว้เข้าใจง่ายและละเอียดมาก
ดาวน์โหลดและขอรับซีดีได้ฟรีที่เวบไซด์ jozho.net นะครับ


หากเข้าใจจริงว่า การสะสมข้อมูลที่ดีให้จิตใต้สำนึกส่งผลมากมายเช่นไร
ก็จะเข้าใจว่า บทสวดแปลไทยล้วนใน CD แผ่นนี้(บทสวดอุปปาตะสันติ)
 แม้เปิดฟังอย่างเดียว ก็จะส่งผลมากมายกว่าที่คิดแค่ไหน

การจะไปเกิดเป็นอะไร สำคัญที่สุด คือจิตสุดท้ายก่อนตาย
จิตสุดท้ายก่อนตายจะคิดถึงอะไร
จะผ่องใส หรือมืดมน ก็ต้องอาศัยการกระทำตนมาตลอดชีวิต
ว่าสะสมความดี ความชั่วมามากน้อยแค่ไหน
เหมือนคนที่จะฝันดีได้ ก็ต้องสะสมความดีติดในสันดานมาจนเป็นนิสัย
คนจะฝันร้าย ก็ต้องสะสมความโกรธ ความเครียด ความเห็นแก่ตัว มามากพอ
ที่จะไปอยู่ในโลกแห่งความฝันแล้วก็ยังเป็นคนเดิม ยังเห็นแก่ตัวเหมือนเดิม 
ในฝันก็จะทุกข์เพราะเป็นคนมักโกรธเหมือนตอนตื่น


หากเข้าใจจริงว่า การสะสมข้อมูลที่ดีให้จิตใต้สำนึก ส่งผลมากมายเช่นไร
ซึ่งเราสามารถสะสมข้อมูลดีๆ ให้จิตใต้สำนึกได้ ทั้งทางกาย วาจา และใจ
และหากจะได้ผลดีจริง ต้องทำบ่อยๆ เป็นประจำ
และโดยเฉพาะในเวลาที่จิตเป็นสมาธิ  หรือจิตกำลังสงบ
หากเข้าใจตรงจุดนี้ ก็จะเข้าใจว่า บทสวดแปลไทยล้วน
แม้เปิดฟังอย่างเดียว ก็จะส่งผลมากมายกว่าที่คิดแค่ไหน

เพราะเป็นการป้อนข้อมูลที่ดีให้จิต โดยเฉพาะหากเปิดก่อนหลับ
ดนตรีบรรเลงและคลื่นความถี่ที่ใส่แทรกไว้
จะมีผลต่อคลื่นสมองทำให้จิตสงบ พร้อมรับข้อมูลได้ดีขึ้น

จิตเคยชินกับการฟัง หรือหลับไปพร้อมกับ
ความนอบน้อม ระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย และคุณธรรมต่างๆ
เป็นการซ้อมตายไปพร้อมกับจิตที่เป็นกุศล  ซึ่งเหมือนหลับแล้วฝันไป
ในคนทั่วไปก็เท่ากับหล่อเลี้ยงจิตด้วยพลังงานกุศล ทีส่งผลให้จิตสว่าง ยกระดับจิตสูงขึ้น
ซึ่งมีผลดึงดูดคนดีๆ และสิ่งดีๆ เข้าหา เสริมพลังสมาธิ จิตใจสงบก็จะคิดอ่านได้ลึกซึ้ง
นำมาซึ่งสุขภาพจิตและกายที่ดี ส่งผลให้ใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างถูกทาง

ในรายของคนป่วย หากมีศรัทธาที่มากพอ โรคก็อาจจะหายได้
และถ้าจะต้องจากโลกนี้ไปจริงๆ  ก็จะไปสู่สุคติได้โดยไม่ยาก
เพราะจิตคุ้นชินกับสิ่งเป็นมงคลก่อนนอนหลับทุกวันอยู่แล้ว

ท่านสามารถเปิดฟังเอง หรือเปิดให้ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้องและคนป่วยฟัง
ได้ทั้งบท อุปปาตะสันติ แปลไทย
หรือบทสวดมนต์ประจำวัน ซึ่งผมได้รวบรวม เรียบเรียงใหม่
ให้มีทั้งเนื้อหาครบถ้วน
ทั้งบทสวดโดยย่อของบทอุปปาตะสันติ 
บทบูชาพระรัตนตรัย บทขอขมาอโหสิกรรม
การสมาทานศีล การแผ่เมตตาและอธิฐานจิต ไว้ครบถ้วน
เป็นบทสวดโดยย่อที่จำเป็นและชาวพุทธทุกคนควรจะสวดในทุกวันนะครับ

สำหรับเด็กเล็กอย่าคิดว่าเขาไม่รู้เรื่องนะครับ สามารถเปิดให้ฟังตอนนอนหลับได้เช่นกัน
ขณะเราหลับ จิตใต้สำนึกเรายังทำงานอยู่  สามารถบันทึกสิ่งต่างๆ เข้าในจิตได้ 
มีงานทดลองยืนยันนะครับว่า คลื่นเสียงบางอย่าง
มีผลต่อพัฒนาการทั้งอีคิว ไอคิว ให้กับเด็กและคนทั่วไปได้
แม้จะฟังขณะหลับ หรือเป็นเสียงในระดับความถี่ที่หูคนปกติไม่ได้ยินก็ตาม

หากคุณขี้เกียจสวด ไม่มีเวลาสวด ขอแค่เปิดฟังก็ยังดี  ขอร้องว่าอย่าอ้างเลยครับว่าไม่มีเวลา
คนตายเท่านั้นหละครับ ที่ไม่มีเวลาจะทำความดี จะสวดมนต์ ฟังธรรมะได้อีกแล้ว
แล้วถึงเวลาตายไปจริงๆ  ก็จะมาเที่ยวหลอกหลอนผู้คนให้เขาทำบุญให้
อย่ารอให้สายถึงขนาดนั้นนะครับ   ทำบุญให้ตัวเองง่ายๆ วันนี้
ไม่สวด.. ขอแค่ฟัง ก็ยังดี
 

ทิ้งท้ายไว้อีกนิดสำหรับชาวพุทธว่า
ทุกวันนี้เราไปไหว้พระสวดมนต์ เรากราบพระพุทธรูป
เคยถามตัวเองกันบ้างไหม ว่าเรากราบใครอยู่
เรากราบพระพุทธเจ้า หรือกราบเทวดารักษาพระพุทธรูป

ไปวัดไหน ก็มีแต่คนบอกว่า หลวงพ่อนี้ศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อนั้นศักดิ์สิทธิ์
หลวงพ่อโต หลวงพ่อขาว หลวงพ่อนู้น นั่น นี่   
สำหรับผม จะหลวงพ่ออะไร ผมก็เห็นเป็นรูปปั้นที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่ระลึกแทนพระพุทธองค์ พระพุทธรูปตรงหน้า คือ สิ่งสมมุติแทนพระพุทธเจ้า
ให้เราระลึกถึงพระศาสดาอันสูงสุดของพวกเรา   
ไหว้พระ กราบพระ ให้ถึงพระพุทธเจ้ากันด้วยนะครับ

การไหว้บูชาความดีของเทวดา เป็นสิ่งที่ดี เหมือนเด็กควรเคารพผู้ใหญ่
แต่ก็อย่าเผลอไหว้จนเห็นเทวดาเป็นใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า
จนทุกวันนี้ คนพุทธส่วนใหญ่ ไหว้พระพุทธรูปแทบไม่เคยนึกถึงพระพุทธเจ้ากันแล้วครับ

มองแล้วเหมือนพระพุทธองค์ประทับอยู่ตรงหน้า แม้จะเป็นแค่สิ่งจำลองแทนพระองค์ก็เถอะ
แต่เรากลับไม่สนใจ เปรียบเหมือนเราไปไหว้ ไปสนใจ แต่โยมอุปัฎฐาก
หรือ ก็คือ เทวดาที่ท่านรักษาพระพุทธรูปอยู่นั่นเอง

ผมคิดว่า เทวดาท่านคงเขินเหมือนกันนะครับ
หากมีแต่คนไปไหว้ท่าน แล้วไม่ไหว้พระพุทธเจ้า ไม่เคยคิดถึงพระพุทธเจ้าก่อนท่าน
แต่ก็คงจนปัญญา จะมาบอกกล่าวว่า เทวดาท่านเอง ก็ยังต้องก้มกราบพระพุทธเจ้าก่อนเหมือนกัน

เสียงสวดมนต์จากซีดีแผ่นนี้ หวังว่าทุกท่านจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์นะครับ
ผมว่าเป็นทางเลือกที่ดี สำหรับคนไม่มีเวลาฟังธรรมะปฏิบัติธรรม
อย่างน้อยๆ เปิดฟังก่อนนอนแล้วหลับไปเลย
ก็ยังดีกว่า ชีวิตนี้จะไม่ให้สิ่งเป็นมงคลอะไรเข้าไปในสมองเลย

   เจริญในธรรมกันทุกท่านนะครับ
   (โจโฉ www.jozho.net   )
















      บันทึกการเข้า

www.jozho.net
แจก CD ธรรมะฟรี ดาวน์โหลดธรรมะฟรีมากมาย
เสียงเทศนาหลากหลายครูบาอาจารย์
เสียงอ่านหนังสือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ ฟังสบาย เข้าใจง่าย
โจโฉ คร้าบบบ
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24

เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 15:18:45 »

ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=18322
ขออนุโมทนาคุณกุหลาบสีชา จากเวบลานธรรมจักร  ขออนุโมทนา
ขอบุญกุศลที่เกิดจากการเผยแพร่บทสวดนี้ถวายแด่ พระรัตนตรัย พระมหามังคละสีละวังสะ  ผู้แต่ง  และครูบาอาจารย์ทุกท่านที่ได้สืบต่อพระคาถาเผยแพร่มาจนถึงในปัจจุบันนี้   
**********************************
ก า ร ส ว ด อุ ป ป า ต ะ สั น ติ ม ห า สั น ติ ง ห ล ว ง

“อุปปาตะสันติ” ทางเมืองเหนือเรียกว่า “มหาสันติงหลวง”

อุปปาตะสันติ แยกเป็น ๒ คำ คือ อุปปาตะ คำ ๑
และ สันติ คำ ๑ อุปปาตะ แปลว่า เคราะห์กรรม, เหตุร้าย, อันตราย
และแปลว่าสิ่งกระทบกระเทือน

อุปปาตะสันติ แปลว่า บทสวดเพื่อสงบเคราะห์กรรม
สวดเพื่อสงบเหตุร้าย และสวดเพื่อสงบสิ่งที่กระทบกระเทือน

• ป ร ะ วั ติ คั ม ภี ร์ อุ ป ป า ต ะ สั น ติ

คัมภีร์อุปปาตะสันติ เป็นวรรณกรรมภาษาบาลีของล้านนาไทย
จัดเข้าในหนังสือประเภท “เชียงใหม่คันถะ”
คือ คัมภีร์เชียงใหม่มีอายุประมาณ ๖๐๐ ปีเศษแล้ว
แต่งโดย พระมหามังคละสีลวังสะ
พระเถระนักปราชญ์ของชาวเชียงใหม่รูปหนึ่ง
ในสมัยของ พระเจ้าสิริธรรมจักกวัตติลกราชาธิราช (พระเจ้าติโลกราช)
รัชกาลที่ ๑๑ แห่งราชวงศ์มังรายระหว่าง พ.ศ.๑๙๘๕-๒๐๓๐

เป็นคาถาล้วนจำนวน ๒๗๑ คาถา
คัมภีร์นี้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ในหมู่ชนชาวล้านนามาแต่โบราณกาล
ทั้งพระสงฆ์ สามเณร และชาวบ้าน
พากันสวดและฟังอุปปาตะสันติ
เพื่อกลับความร้ายให้กลายเป็นความดี

มีคำเล่าว่า สมัยที่ท่านพระมหามังคละสีลวังสะแต่งอุปปาตะสันตินั้น
ที่เชียงใหม่มีโจรผู้ร้ายและคนอันธพาลชุกชุมผิดปกติ
มีเหตุร้ายและสิ่งกระทบกระเทือนอยู่เสมอ

พระมหาเถระสีละวังสะจึงให้พระสงฆ์สามเณรและประชาชนพากันสวด
และฟังอุปปาตะสันติ เพื่อสงบเหตุร้ายทั้งมวลที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง

ต่อมาชาวพม่ามีความเลื่อมใส
นำคัมภีร์นี้เข้าไปในประเทศพม่า
ชาวพม่าทั้งพระสงฆ์และประชาชน
นับถือว่าพระคัมภีร์อุปปาตะสันตินี้มีความศักดิ์สิทธ์มาก
พากันนิยมท่อง นิยมสวด และนิยมฟังกันอย่างกว้างขวาง
แพร่หลายไปทั่วประเทศพม่าในสมัย ๕๐๐ ปีที่ล่วงแล้ว
ในงานพิธีสืบชะตา งานขึ้นบ้านใหม่เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม
กล่าวได้ว่าคัมภีร์อุปปาตะสันติเป็นคัมภีร์ของไทย
แต่ต้นฉบับได้จากเมืองไทยไปอยู่เมืองพม่าเสียนาน

จนแทบกล่าวได้ว่า
คนไทยในสมัยหลังๆ นี้ไม่มีใครรู้จัก
ไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของคัมภีร์นี้

แต่บัดนี้เป็นที่โสมนัสยินดียิ่ง
ที่ เจ้าคุณธรรมคุณาภรณ์ (เช้า ฐิตปัญโญ) ป.ธ. ๙
วัดมหาโพธาราม ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์

ท่านได้ชำระคัมภีร์นี้เป็นภาษาบาลีอักษรไทย
พื่อความสะดวกแก่ผู้อ่านที่ไม่สันทัดบาลี
โดยได้ต้นฉบับภาษาบาลีอักษรพม่าจากท่าน
พระอาจารย์ภัททันตะ ธัมมานันทมหาเถระ
อัครมหาบัณฑิตแห่งวัดท่ามะโอ จังหวัดลำปาง

นับว่าเป็นการนำคัมภีร์ของล้านนาไทยโบราณ
กลับคืนมาสู่เมืองไทยให้ชาวไทยในยุคปัจจุบันได้รู้จัก
ได้ศึกษา ได้สวด ได้ฟังให้เกิดประโยชน์ทางสันติ

เพื่อความสงบระงับจากภัยพิบัติทั้งปวง
และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชาวล้านนา ชาวไทย
ตลอดจนชาวโลกทั้งมวล
***********************


* หลักฐานคัมภีร์ “อุปปาตะสันติ” ฉบับหนึ่งในล้านนาไทย
ซึ่งเขียนไว้ในสมุดข่อย หมึกจีน อาบน้ำชาด
ที่เรียกว่าประวัติย่อ ดังนี้...
ในปีจุลศักราช ๑๒๗๙ ปีดับไก๊ เดือน ๘
เหนือ เพ็ญ วันศุกร์ ปีกุน สัปตศก พ.ศ.๒๔๗๘
เจ้าภาพเขียนต้นฉบับนี้ คือ นายน้อยปิง มารวิชัย
บ้านประตูท่าแพเป็นประธานพร้อมทั้งภริยาลูกและญาติทุกคน
ได้จ้างคนเขียนธรรม ๕ ผูก คือมลชัย ๑ ผูก..อินทนิล ๑ ผูก..
สังยมาปริตตคลสูตร ๑ มังผูก..นัครฐาน ๑ ผูก...
อุปปาตสันติ ๑ ผูก รวม ๕ ผูก พร้อมทั้งสร้างบ่อน้ำถวาย
พระครูบาศรีวิชัย (ปฏิคาหก) ทานวัดศรีโสดา และถนนขึ้นดอยสุเทพ

ขอกุศลบุญเยี่ยงนี้ จงเป็นปัจจัยค้ำชูตัวแห่งผู้ข้า ฯ (นายน้อยปิง)
ทั้งหลายทุกคนตราบถึงนิพพานในอนาคตกาลโน้นเทอญ ฯ
• เนื้อความในอุปปาตะสันติมหาสันติงหลวง

เนื้อความในอุปปาตะสันติคาถานั้น สรุปได้ว่า....

• เป็นธรรมที่กระทำความสงบอันยิ่งใหญ่
• เป็นธรรมเครื่องสงบเหตุร้ายทั้งปวง
• เป็นธรรมเครื่องป้องกันอมนุษย์ และยักษ์
• เป็นธรรมเครื่องพ้นจากความตายก่อนกำหนดเวลา
• เป็นธรรมเครื่องย่ำยีกำลังของข้าศึก
• เป็นธรรมเครื่องจำเริญชัยชนะแด่พระราชา
• เป็นธรรมเครื่องนำสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาทั้งปวงออกไป

อุปปาตะสันติคาถา เป็นบทสวดอย่างพิสดาร
ท่านจึงกล่าวพระนามของพระพุทธเจ้า พระธรรม
และพระอริยสงฆ์ไว้อย่างครบถ้วน
ทั้งที่มีมาในอดีต ในปัจจุบัน และจักมีมาในอนาคต

รวมตลอดไปจนถึงท่านที่ทรงคุณ ทรงอำนาจ ทรงฤทธิ์
ในทางที่ดีอื่นๆ เช่น เทวดา อินทร์ พรหม
ยักษ์ นาค คนธรรพ์ ครุฑ อสูรเป็นต้น

เพื่อขอความเป็นมงคล ความสงบ ความสวัสดี
ความไม่มีโรค ชัยชนะ และอายุ
รวมทั้งขอให้ท่านคุ้มครองให้พ้นจากเหตุเภทภัยนานัปการ
อันจะบังเกิดขึ้นในกาลทุกเมื่อ

• บุคคลและสภาวะที่อ้างถึงในคัมภีร์อุปปาตะสันติมี ๑๓ ประเภทคือ

• พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตถึงปัจจุบัน (เน้นที่ ๒๘ พระองค์)
• พระปัจเจกพุทธเจ้า
• พระพุทธเจ้าในอนาคต ๑ พระองค์ คือ พระเมตไตรย
• โลกุตตรธรรม ๙ และพระปริยัติธรรม ๑
• พระสังฆรัตนะ
• พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ๑๐๘ รูป
• พระเถรีชั้นผู้ใหญ่ ๑๓ รูป
• พยานาค
• เปรตบางพวก
• อสูร
• เทวดา
• พรหม
• บุคคลประเภทรวม เช่น เทวดา ยักษ์ ปีศาจ


คัมภีร์อุปปาตะสันติ มีข้อความขอความช่วยเหลือ
ขอให้พระรัตนตรัยและบุคคล
พร้อมทั้งสิ่งทรงอิทธิพลในจักรวาลรวม ๑๓ ประเภท
ดังกล่าวมาแล้วช่วยสร้างสันติ หรือมหาสันติ

ช่วยสร้างโสตถิและอาโรคยะ
ช่วยปรุงแต่งสันติและอาโรคยะ
ขอให้ช่วยรวมสันติ รวมโสตถิและรวมอาโรคยะ

และขอให้ช่วยเป็นตู้นิรภัยคุ้มครอง
และกำจัดเหตุร้ายอันตรายหรือสิ่งกระทบกระเทือนต่างๆ
อย่าให้เกิดมีในตน ในครอบครัว ในหมู่คณะ
หรือในวงงานของตน และในวงงานของคนอื่นทั่วไป

• อานิสงส์การสวดและการฟังอุปปาตะสันติ

มีคุณประโยชน์ตามที่กล่าวไว้ ในท้ายคัมภีร์ มีดังนี้

ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ
ย่อมชนะเหตุร้ายทั้งปวงได้ และมีวุฒิภาวะคือ
ความเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ

• ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติย่อมได้ประโยชน์ที่ตนต้องการ

คือ ผู้ประสงค์ความปลอดภัยย่อมได้ความปลอดภัย
คนอยากสบายย่อมได้ความสุข
คนอยากมีอายุยืน ย่อมได้อายุยืน
คนอยากมีลูก ย่อมได้ลูกสมประสงค์

ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ
ย่อมไม่มีโรคลมเป็นต้นมาเบียดเบียน
ไม่มีอกาละมรณะคือตายก่อนอายุขัย
ทุนนิมิตรคือลางร้ายต่างๆมลายหายไป

ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ
เมื่อเข้าสนามรบย่อมชนะข้าศึก
ทั้งปวงและแคล้วคลาดจากอาวุธทั้งปวง

• เดชของอุปปาตะสันติ

การสวดอุปปาตะสันติเป็นประจำ ย่อมมีเดชดังนี้

• อุปปาตะ คือเหตุร้ายหรือสิ่งกระทบกระเทือน
อันเกิดจากแผ่นดินไหวเป็นต้น ย่อมพินาศไป
(ปะถะพะยาปาทิสัญชาตา)

• อุปปาตะ คือ คือเหตุร้ายหรือสิ่งกระทบกระเทือน
อันเกิดจากลูกไฟที่ตกจากอากาศหรือสะเก็ดดาว ย่อมพินาศไป
(อุปปาตะจันตะลิกขะชา)

• อุปปาตะ คือ คือเหตุร้ายหรือสิ่งกระทบกระเทือน
อันเกิดจากการเกิดจันทรุปราคาหรือสุริยุปราคา เป็นต้น ย่อมพินาศไป
(อินทาทิชะนิตุปปาตา)

      บันทึกการเข้า

www.jozho.net
แจก CD ธรรมะฟรี ดาวน์โหลดธรรมะฟรีมากมาย
เสียงเทศนาหลากหลายครูบาอาจารย์
เสียงอ่านหนังสือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ ฟังสบาย เข้าใจง่าย
โจโฉ คร้าบบบ
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24

เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 15:19:40 »

บทพิเศษ.. สวดมนต์ภาษาไทย
สรุปพระคาถาอุปปาตะสันติโดยย่อ พร้อมบทสวดประจำวัน  เพื่อใช้สวดเวลาสั้นๆ
เรียบเรียงโดย..      โจโฉ  www.jozho.net 
(* ในบทสวดที่เป็นวงเล็บ คือการอธิบาย ไม่ต้องสวดนะครับ)
กราบพระ   3 ครั้ง
(หากทำได้ควรกราบ 5-6 ครั้ง โดยเพิ่ม พ่อแม่ -ครูอาจารย์ -ในหลวง/เทวดา/เจ้ากรรมนายเวร)
ข้าพเจ้าขอกราบบูชาพระพุทธเจ้า องค์พระศาสดาผู้ประเสริฐสูงสุด ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
* กราบครั้งที่ 1
ข้าพเจ้าขอกราบบูชาพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งตรัสไว้ดีแล้ว
* กราบครั้งที่ 2
ข้าพเจ้าขอกราบบูชาพระสงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงคุณธรรม ผู้ปฏิบัติดีแล้ว
* กราบครั้งที่ 3

(* หากเวลาไม่อำนวย ก้มกราบ 3 ครั้ง กราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ )

นะโมฯ 3 จบ  (หากไม่มีเวลา ท่องภาษาไทยล้วนได้เลย )
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น  -
ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง  (3 ครั้ง)
(ระลึกถึงพระพุทธคุณ)
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นบุคคลอันประเสริฐยิ่ง มีพระคุณอันยิ่งใหญ่และอยู่เหนือกว่าพรหม เทวดา มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย     ทรงเป็นพระอรหันต์ ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง   ทรงบริสุทธิ์หมดจดจากความเศร้าหมองทั้งปวง เปี่ยมไปด้วยพระมหาเมตตา ทรงชี้แนะสั่งสอนเพื่อนำพาเหล่าสัตว์ออกจากกองทุกข์  ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม  ขอพระคุณแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้น โปรดคุ้มครองให้พวกข้าพเจ้าพ้นภัยต่างๆ และโปรดประทานความสวัสดี ความไม่มีโรค ชัยชนะ ความสุข ความสงบ ความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม แก่ “ พวกข้าพเจ้า ” ด้วยเถิด   
(* หากต้องการสวดให้ใครเป็นพิเศษ เปลี่ยนคำว่า พวกข้าพเจ้า  “เป็นชื่อคนที่จะสวดให้” ได้เลย )

(ระลึกถึงพระธรรมคุณ)
พระธรรม คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนไว้ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว เป็นความจริงอันประเสริฐ ที่เที่ยงตรงต่อการทดลองพิสูจน์  เป็นสิ่งที่ควรฟัง ควรน้อมเข้ามาในใจ หมั่นทบทวน ท่องจำและนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดบุคคลและสถานที่ เป็นสิ่งผู้ปฏิบัติจะรู้ได้เฉพาะตน  เป็นทางแห่งความหลุดพ้น เป็นทางสู่ความพ้นทุกข์ เป็นทางสู่พระนิพพาน  ขอพระคุณแห่งพระธรรมทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้น โปรดคุ้มครองให้พวกข้าพเจ้าพ้นภัยต่างๆ และโปรดประทานความสวัสดี ความไม่มีโรค ชัยชนะ ความสุข ความสงบ ความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม แก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด

(ระลึกถึงพระสังฆคุณ)
พระสงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้สำเร็จอริยะมรรค อริยผล มีศีลบริสุทธิ์ เป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เปี่ยมเมตตา มักน้อยสันโดษ เป็นผู้สืบทอดและเผยแพร่คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาจนถึงปัจจุบัน  เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้บูชา เป็นผู้ควรแก่การถวายทาน เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่ไม่มีนาบุญอื่นใดยิ่งกว่า   ขอพระคุณแห่งพระอัครสาวก พระอริยสงฆ์ พระอริยบุคคล พระคุณแห่งพระสงฆ์ทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้น โปรดคุ้มครองให้พวกข้าพเจ้าพ้นภัยต่างๆ และโปรดประทานความสวัสดี ความไม่มีโรค ชัยชนะ ความสุข ความสงบ ความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม แก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด
(ขอขมา)
ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี หากข้าพเจ้าเคยทำผิดแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ เทพเทวดาและสัตว์ทั้งหลาย  ทั้งตั้งใจไม่ตั้งใจ จำได้หรือจำไม่ได้ก็ดี ขอท่านทั้งหลายโดยมีพระพุทธองค์ทรงเป็นประธาน  ได้โปรดงดโทษและอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วย  ข้าพเจ้าจะสำรวมระวังให้มากยิ่งขึ้น ขอตั้งใจทำความดี จะเพียรสร้างกุศล เพื่อเป็นการไถ่โทษในสิ่งที่ล่วงมาแล้วตามเหตุและปัจจัยที่พร้อม ยิ่งๆ ขึ้นไป  ขอทุกท่านโปรดจงรับและอนุโมทนาในการกุศลทุกครั้งที่ข้าพเจ้าทำเพื่อถวาย บูชา และอุทิศให้ด้วยเถิด   

(ประกาศตนเข้าถึงพระตรันตรัยเป็นที่พึ่ง) (หากใจเข้าถึงจริงๆ ต่ออายุได้ เป็นมหามงคลอย่างยิ่ง)
ขอพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลกจงเป็นพยาน นับแต่บัดนี้ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก ตลอดชีวิตจนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน  ขอย้ำครั้งที่สองว่า นับแต่บัดนี้ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก ตลอดชีวิตจนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน   และขอย้ำเป็นครั้งที่สามว่า นับแต่บัดนี้ ข้าพเจ้าขอถึงงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก ตลอดชีวิตจนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน

ด้วยเหตุแห่งการสำนึกผิดและความแน่วแน่ในการยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกสูงสุด  ขอพระคุณแห่งพระรัตนตรัยทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้น โปรดคุ้มครองให้พวกข้าพเจ้าพ้นภัยต่างๆ และโปรดประทานความสวัสดี ความไม่มีโรค ชัยชนะ ความสุข ความสงบ ความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม แก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด

 (สมาทานศีล อโหสิกรรม ตัดเวร )
ข้าพเจ้าขอตั้งใจรักษาศีล จะไม่ฆ่า ไม่รังแกสัตว์และสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น จะไม่ลักทรัพย์ จะไม่พูดปด พูดคำหยาบ นินทา เสียดสี จะไม่ผิดลูกเมียใคร จะไม่กินเหล้าและเสพยาเสพติด  ขออโหสิกรรมให้กับสัตว์ทั้งหลายที่ทำให้ข้าพเจ้าเดือดร้อน ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม ขอยกโทษให้ทั้งหมด ขอให้ท่านเหล่านั้นมีความสุขความเจริญ อย่าได้วนเวียนมาทำร้ายกัน อย่าได้มาผูกเวรผูกกรรมต่อกันอีกเลย  บุญที่ข้าพเจ้าทำไว้ดีแล้วขออุทิศให้กับทุกท่านและขอให้ทุกท่านได้โปรดรับและร่วมอนุโมทนา หากท่านใดอยู่ในภพภูมิที่เป็นทุกข์ขอให้เปลี่ยนไปเกิดในภพที่มีแต่ความสุข หากท่านใดมีสุขอยู่แล้วก็ขอให้สุขยิ่งๆ ขึ้นไป  ขอถอนการบนบานศาลกล่าว  ขอถอนคำสาปแช่ง คำสาบถสาบาน การอาฆาตแค้นทั้งปวงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  คำอธิฐานใดที่ประกอบด้วยมิจฉาทิฎฐิ ที่เคยลั่นวาจาหรือตั้งใจไว้ ขอยกเลิกทั้งหมด ขอให้ทุกอย่างเป็นโมฆะ จะไม่มีการผูกเวรผูกกรรมกับใครอีกต่อไป ขอให้ต่างคนต่างไปดีมีสุข เข้าถึงมรรคผลนิพพานกันโดยเร็ววันทุกท่านเถิด
   ด้วยเหตุแห่งการให้อภัย และการตั้งใจรักษาศีล ขออานิสงส์แห่งเมตตาและด้วยศีลที่ข้าพเจ้าตั้งใจรักษา ในวันนี้ ชั่วโมงนี้  โปรดคุ้มครองให้พวกข้าพเจ้าพ้นภัยต่างๆ และโปรดประทานความสวัสดี ความไม่มีโรค ชัยชนะ ความสุข ความสงบ ความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม แก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด 
(* หากยังไม่สามารถรักษาได้ครบทั้ง 5 ข้อ ให้เลือกเอาเฉพาะข้อที่บริสุทธิ์จริงๆ  มาใช้อธิฐานก็ให้ผลได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน  ศีลเพียงข้อเดียวที่ต้งใจรักษาจริงๆ จะนำพาให้เรารักษาศีลข้ออื่นได้เองในภายหลัง  และสามารถเลือกตั้งใจรักษาศีลในเวลาสั้นๆ ได้ เช่นใน หนึ่งวัน /1 ชั่วโมง /ในช่วงเช้า /ในช่วงเย็น )


(* ระลึกคุณเทวดาและการนอบน้อมปราถรถนาเป็นมิตรกับทุกภพภูมิ ) (เป็นการอ่อนน้อมถ่อมตน)
(* การบูชาเคารพเทวดา  เหมือนเด็กควรเคารพผู้ใหญ่ กราบไหว้ความดีและวัยวุฒิของท่าน )

ขอพรหมทั้งปวง ผู้มีปกติเมตตา กรุณา แสวงหาความเกื้อกูล ให้แก่สัตว์ทั้งปวง
ขอพรหมทั้งหลายเหล่านั้น ผู้ยินดีในพุทธฌานผู้ไม่เบียดเบียนสรรพสัตว์ทั้งปวง  ขอได้โปรดคุ้มครองให้พวกข้าพเจ้าพ้นภัยต่างๆ และโปรดประทานความสวัสดี ความไม่มีโรค ชัยชนะ ความสุข ความสงบ ความปลอดภัย แก่พวกข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อด้วยเถิด 


ท้าวมหาราชนามว่า    ธตรัฏฐะ (ธะ-ตะ-รัด-ถะ)   ผู้ปกครองคนธรรพ์ ทั้งหลาย
ท้าวมหาราชนามว่า    วิรุฬหกะ(วิ-รุน-หะ-กะ)    ผู้ปกครองกุมภัณฑ์ ทั้งหลาย
ท้าวมหาราชนามว่า    วิรูปักขะ         -                  ผู้ปกครองนาคทั้งหลาย
ท้าวมหาราชนามว่า    กุเวระ             -                  ผู้ปกครองยักษ์ทั้งหลาย
ท้าวมหาราชทั้งสี่ ผู้มีฤทธิ์มาก มีบริวารมาก เป็นผู้บูชาพระพุทธเจ้า ขอได้โปรดเมตตา คุ้มครองให้พวกข้าพเจ้าพ้นภัยต่างๆ และโปรดประทานความสวัสดี ความไม่มีโรค ชัยชนะ ความสุข ความสงบ  ความปลอดภัยแก่พวกข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อด้วยเถิด


ขอพระโพธิสัตว์ ท้าวสักกะเทวราช  ท้าวเวสสุวรรณ  พระสยามเทวาธิราช เจ้าทุ่ง เจ้าท่า เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าพ่อหลักเมือง  เทวดาประจำพระพุทธรูปต่างๆ  พระราชา ข้าราชการ ผู้ทรงคุณความดี พระภูมิเจ้าที่  พ่อปู่ฤาษีทุกท่าน  ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งในอดีตและปัจจุบัน  เทวดาประจำตัว  เทวดาทั้งหมดทั้งมวลทุกหมู่เหล่าที่อยู่ในน้ำ บนบก ในอากาศ เป็นต้น ท่านทั้งหลายผู้ซึ่งมีกำลังมาก เปี่ยมด้วยยฤทธิ์  ยินดีในการบูชาพระพุทธเจ้า ขอได้โปรดเมตตา คุ้มครองให้พวกข้าพเจ้าพ้นภัยต่างๆ และโปรดประทานความสวัสดี ความไม่มีโรค ชัยชนะ ความสุข ความสงบ  ความปลอดภัยแก่พวกข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อด้วยเถิด


ด้วยอานุภาพแห่งหมู่เทวดา ยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์  อสูร ปีศาจ วิทยาธร รากษส
และนาคราชทั้งปวง  ผู้อาศัยอยู่ในน้ำก็ดี บนพื้นดินก็ดี ในอากาศก็ดี
ขอโปรดมีจิตเมตตา  คุ้มครองให้พวกข้าพเจ้าพ้นภัยต่างๆ
และโปรดประทานความสวัสดี ความไม่มีโรคแก่พวกข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อด้วยเถิด
ขอเหล่าเปรต สัมภเวสี  และวิญญาณทั้งหลาย จงมีความสุขในกาลทุกเมื่อ ขอจงรักษาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากภัยทั้งปวง ในกาลทุกเมื่อเถิด   

(* ในกรณีเปรต ฯ เราไม่ได้หวังพึ่งเขา  แต่เพื่อจะได้ต่างคนต่างอยู่  เหมือนเราไปเจออันธพาล แม้เขาช่วยอะไรเราไม่ได้  หากเราพูดดี  เขาก็ดีด้วย  เขาก็จะได้ไม่มารบกวนเรา  เป็นการผูกมิตร เจริญเมตตา  คนกับผีก็ไม่ต่างกัน หากเขามีลูกน้อง ถ้าเราดีกับเขา เขาก็จะห้ามหรือสั่งให้ลูกน้องทำร้ายหรือรบกวนเราได้เช่นกัน  )



(อธิฐานจิต อุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตา  )
ด้วยการสวดระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ  ด้วยการสวดนอบน้อมต่อเทพเทวดาทุกชั้นภูมิและสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเคารพในพระรัตนตรัยและมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง   ร่วมด้วยเหตุแห่งการกุศลทั้งปวงของข้าพเจ้า ด้วยการทำทาน รักษาศีล การฟังธรรม การปฏิบัติภาวนา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอเหตุร้ายทั้งหลายทั้งปวงจงสิ้นไป  ขอจงทำลายความหลงผิดยึดติดทั้งปวงลงได้ในชาตินี้ ขอให้มีตาสว่างในทุกๆเรื่อง  ขอความสวัสดี ความไม่มีโรค ชัยชนะ ความสุข ความสงบ ขอสรรพมงคล ความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมจงมีแก่ข้าพเจ้าและพวกข้าพเจ้า  แก่บิดามารดา ปู่ย่าตายาย สามี ภรรยา บุตร ธิดา ครูบาอาจารย์  ผู้มีพระคุณ คนรัก ศัตรู และเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าในทุกภพทุกชาติ   
ขอมหากุศลทั้งมวลอุทิศและบูชาแด่เทพเทวาทั้งหลายทุกภพภูมิ   ท้าวมหาราชทั้งสี่ พระอินทร์ พระพรหม ยม ยักษ์  ท้าวเวสสุวรรณ คนธรรพ์  นาค  ครุฑ อสูร กุมภัณฑ์  พระสยามเทวาธิราช  เจ้าทุ่ง เจ้าท่า เจ้าป่า เจ้าเขา  เจ้าพ่อหลักเมือง  เทวดาประจำพระพุทธรูป เทวดาประจำตัว  พ่อปู่ฤาษี พระภูมิเจ้าที่  ในหลวงพระราชินี พระมหาราช พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์  ทหาร ตำรวจ ข้าราชการผู้ทรงความดี  ปีศาจ  เปรต สัมภเวสี  รวมทั้งวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วหมื่นจักรวาล อนันตจักรวาล   ( * หากศรัทธาเทพ/พระสงฆ์หรือมนุษย์ท่านใด สามารถนำชื่อมาเพิ่มได้ตามศรัทธา )
ขอทุกท่านได้โปรดรับและร่วมกันอนุโมทนา และขอได้โปรดเมตตาสนับสนุนช่วยเหลือให้ข้าพเจ้าได้ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป  สิ่งใดเป็นกุศลขอให้ข้าพเจ้าทำสำเร็จได้โดยง่าย   สิ่งใดเป็นทุกข์ เป็นอกุศล เป็นเหตุให้ตกต่ำว่าในปัจจุบัน  เป็นเหตุแห่งการลงสู่อบายภูมิ ขออย่าให้ข้าพเจ้าทำสำเร็จ
สัตว์ใดมีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ สัตว์ใดมีสุขขอให้สุขยิ่งๆ ขึ้นไป
ขอท่านทั้งหลายจงพ้นจากทุกข์ภัยทั้งหมดทั้งสิ้น เทอญ...    สาธุ  สาธุ สาธุ

“ กราบพระ 3 ครั้งเหมือนตอนเริ่มต้น ”
( *  แนะนำว่า การกราบพระควรกราบด้วยการมีสติ และให้สวยงาม โดยยกมือพนมกลางหน้าอก แล้วยกขึ้น นิ้วแม่มือจรดหน้าผาก แล้วก้มกราบสองมือแตะพื้น หน้าผากแตะพื้น  ไม่ใช่เอามือแปะๆ พื้น 3 ที  จะไหว้พระทั้งทีก็ทำให้มันดี ให้เป็นการเคารพสุดหัวใจจริงๆ  )

กราบลาพระ   3 ครั้ง
(หากทำได้ควรกราบ 5-6 ครั้ง โดยเพิ่ม พ่อแม่ -ครูอาจารย์ -ในหลวง/เทวดา/เจ้ากรรมนายเวร)
ข้าพเจ้าขอกราบบูชาพระพุทธเจ้า องค์พระศาสดาผู้ประเสริฐสูงสุด ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
* กราบลาครั้งที่ 1
ข้าพเจ้าขอกราบบูชาพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งตรัสไว้ดีแล้ว
* กราบลาครั้งที่ 2
ข้าพเจ้าขอกราบบูชาพระสงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงคุณธรรม ผู้ปฏิบัติดีแล้ว
* กราบลาครั้งที่ 3
เรียบเรียงบทสวดโดย...   โจโฉ คร้าบบบ

****************************
* แถมท้าย .....

“ ใจท่องแต่ไม่ได้ออกปาก มีอานิสงส์กว่า ปากท่องไม่ได้ออกจากใจ
ใจต้องอยู่กับบทสวด ไม่ใช่ปากท่องขึ้นใจ   แต่ใจไปคิดเรื่องต่างๆ
ตั้งสติพิจารณาอักษร หรือคำ หรือความหมาย    หรือตั้งสติรู้ที่ ลมหายใจ หรือ ปากที่กำลังสวด

สวดมนต์ควรจะรู้คำแปล เพื่อจะได้ปัญญา   แม้ยังแปลไม่ออก ใจควรเลื่อมใส ศรัทธา นำ
น้อมจิตใจ สวดบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
สวดรู้คำแปลได้ปัญญา   สวดไม่รู้คำแปลได้ศรัทธา       
อานิสงส์จากการสวดมีจริง”      (ที่มาจาก www.84000.org)
      บันทึกการเข้า

www.jozho.net
แจก CD ธรรมะฟรี ดาวน์โหลดธรรมะฟรีมากมาย
เสียงเทศนาหลากหลายครูบาอาจารย์
เสียงอ่านหนังสือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ ฟังสบาย เข้าใจง่าย
โจโฉ คร้าบบบ
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24

เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 15:21:48 »

บทสวด อุปปาตะสันติ

(อย่าลืม อ่านบทความการสวดมนต์ก่อนนะครับ)

วิธีสวดและฟังคัมภีร์อุปปาตะสันติอย่างถูกต้อง

* การสวดต้องเข้าใจความหมายในคาถาได้โดยถูกต้องเท่านั้น * ผู้สวดจึงจะได้รับความสำเร็จตามความประสงค์ คือผู้สวดต้องสวดให้ถูกต้องตามอักขระทุกคำ อย่าให้ผิด (คือมีสติ รู้ตัว)  ผู้สวดต้อง ตั้งจิตประกอบด้วยเมตตา ปรารถนาให้บรรลุถึงความสุขพร้อมทั้งตัวเอง และผู้อื่น ต้องมีจิตแผ่เมตตาถึงศัตรูด้วยความบริสุทธิ์ใจ 

 (ขณะสวดควรมองให้เห็นจิตกับกายแยกกันทำงาน กายกำลังขยับปากอย่างไร เปล่งเสียงอย่างไร จิตรู้สึกอย่างไรในขณะสวด สุข ทุกข์ เบื่อ อยากสวด เกิดปีติ หรืออยากให้สวดจบไวๆ ฯลฯ   ไม่ใช่สวดแล้วเคลิบเคลิ้ม จิตเหม่อลอย หรือจมแช่ไปในการสวด  ต้องมีสติกำกับทุกคำที่สวด - โจโฉ )

หลังจากการสวด นะโมฯ 3 จบ และบทอิติปิ โส ภะคะวา ฯ 3 บทแล้ว (พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ) จึงเริ่มต้นสวดมนต์ด้วยคาถาอุปปาตะสันติ ทั้ง 2 บท เมื่อสวดอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอแล้ว คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงในครอบครัว ซึ่งนับวันแต่จะรุ่งเรืองมีความสุขสวัสดี ตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้   การสวดมนต์จึงสามารถช่วยขจัดความทุกข์ และความเดือดร้อนที่เคยมีมาก่อนให้สิ้นสุดลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

ที่มา : อัครมหาบัณฑิตานุสรณ์ วัดท่ามะโอ อ.เมือง จ.ลำปาง พ.ศ. 2535
เวปไซต์ของทางวัด :http://www.wattamaoh.com/home/index.php


***********************
“ ใจท่องแต่ไม่ได้ออกปาก มีอานิสงส์กว่า ปากท่องไม่ได้ออกจากใจ
ใจต้องอยู่กับบทสวด ไม่ใช่ปากท่องขึ้นใจ   แต่ใจไปคิดเรื่องต่างๆ
ตั้งสติพิจารณาอักษร หรือคำ หรือความหมาย    หรือตั้งสติรู้ที่ ลมหายใจ หรือ ปากที่กำลังสวด

สวดมนต์ควรจะรู้คำแปล เพื่อจะได้ปัญญา   แม้ยังแปลไม่ออก ใจควรเลื่อมใส ศรัทธา นำ
น้อมจิตใจ สวดบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
สวดรู้คำแปลได้ปัญญา   สวดไม่รู้คำแปลได้ศรัทธา       
อานิสงส์จากการสวดมีจริง”      (ที่มาจาก www.84000.org)


เริ่มต้นกราบพระรัตนตรัย
( หากสวด/ฟังบนรถหรือสถานที่ไม่อำนวยให้กราบ พนมมือไหว้ตามปกติได้ )

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา
        พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต์, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง, ตรัสรู้ชอบ ได้โดยพระองค์เอง
พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ
        ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน (กราบ)

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
        พระธรรม เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสไว้ดีแล้ว
ธัมมัง นะมัสสามิ
        ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม (กราบ)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
        พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, ปฏิบัติดีแล้ว
สังฆัง นะมามิ
        ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์ (กราบ)

* บทสวดสงบเหตุร้าย   (อย่าลืมอ่านบทความเกี่ยวกับบทนะโม 3 จบ)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. (3 จบ)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น
ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง


สวดบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังคุณ ก่อนดังนี้

 บทสวดพระพุทธคุณ (แปล)
อิติปิ โส ภะคะวา   เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
อะระหัง   เป็นผู้ไกลจากกิเลส
สัมมาสัมพุทโธ   เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
วิชชาจะระณะสัมปันโน   เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
สุคะโต   เป็นผู้เสด็จไปแล้วด้วยดี
โลกะวิทู   เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสารถิ   เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
สัตถา เทวะมะนุสสานัง   เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พุทโธ   เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม
ภะคะวาติ   เป็นผู้จำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้
    

 บทสวดพระธรรมคุณ (แปล)
สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม   พระธรรมนั้นใด, เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสไว้ดีแล้ว
สันทิฏฐิโก   เป็นธรรมที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง   
อะกาลิโก   เป็นธรรมที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เอหิปัสสิโก   เป็นธรรมที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด
โอปะนะยิโก   เป็นธรรมที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วัญญูหีติ   เป็นธรรมที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้           
 
บทสวดพระสังฆคุณ (แปล)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ            สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคหมู่ใด, ปฏิบัติดีแล้ว
 
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ         สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคหมู่ใด, ปฏิบัติตรงแล้ว
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ     สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคหมู่ใด, ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม  เป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ      สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคหมู่ใด, ปฏิบัติสมควรแล้ว
ยะทิทัง                                                              ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ...
จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐ ปุริสะปุคคะลา          คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ
 เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ                       นั่นแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    อาหุเนยโย   เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา
    ปาหุเนยโย   เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ
    ทักขิเณยโย   เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน
    อัญชะลีกะระณีโย   เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี
    อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ                  เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้
   


(  อย่าลืมว่าหากต้องการอนิสงส์ครบถ้วนได้ผลจริง ผู้สวดต้องมีศีล ต้องสวดแปลและเข้าใจความหมายด้วย )
* อย่าลืมอ่านบทความเกี่ยวกับการสวดมนต์ภาษาไทย(ล้วน)*


คันถารัมภะ
(คำเริ่มต้นคัมภีร์)

(ก) สุทุททะโส อะยัง ธัมโม โลกัตถัง ชินะเทสิโต
มะหาสันติกะโร โลเก สัพพะสัมปัตติทายะโก.

ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ เพื่อประโยชน์ของสัตว์โลก
เป็นธรรมที่เห็นได้ยากยิ่ง สำหรับธรรมที่จะกล่าวต่อไปนี้
เป็นธรรมที่สามารถกระทำความสงบอันประเสริฐ
และสามารถประทานซึ่งสมบัติทั้งปวง

(ข) สัพพุปปาตูปะสะมะโณ ภูตะยักขะนิวาระโณ
อะกาละมัจจุสะมะโณ โสกะโรคะวินาสะโน.

เป็นเครื่องสงบเหตุร้ายทั้งปวง เป็นเครื่องป้องกันอมนุษย์และยักษ์
เป็นเครื่องระงับความตายก่อนกำหนดเวลา
เป็นเครื่องขจัดความเศร้าโศกและโรค

(ค) ปะระจักกะปะมัททะโน รัญโญ วิชะยะวัฑฒะโน
สัพพานิฏฐะหะโร สันโต ธัมมัง วักขามิ ภูตะโต.

เป็นเครื่องย่ำยีกำลังของข้าศึก เป็นเครื่องจำเริญชัยชนะแด่พระราชา
เป็นเครื่องนำสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาทั้งปวงออกไป
เป็นธรรมอันประเสริฐ

ข้าพเจ้า (พระสีละวังสะมหาเถระ) จักแสดงคุณธรรมเช่นนั้น
ตามสภาพที่เป็นจริง

(ฆ) วัตถุตตะยัสสะ โย ยัตถะ สังวัณเณติ คุณุตตะเม
ตัสสะ ตัตถะ สุขาโรคฺยะ- โสตถิโย โหนติ สัพพะทา.

ณ ที่ใด มีผู้กล่าววาจาสรรเสริญพระคุณอันประเสริฐของพระรัตนตรัย
ด้วยจิตที่เลื่อมใส ณ ที่นั้น ความสุข ความสบาย และความสวัสดี
ย่อมมีแก่ผู้นั้นตลอดกาลทุกเมื่อ

 (พระพุทธเจ้าในอดีต ๒๘ พระองค์)
(ในสารมัณฑกัป ๔ พระองค์)

๑. ตัณหังกะโร มะหาวีโร สัพพะโลกานุกัมปะโก
วันตะสังสาระคะมะโน สัพพะกามะทะโท สะทา.

พระตัณหังกร สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แกล้วกล้ามาก
ผู้อนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งปวง
ผู้คลายตัณหาอันเป็นเหตุท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏได้แล้ว
ผู้ประทานสิ่งที่น่าปรารถนาทั้งปวงให้ ในกาลทุกเมื่อ

๒. สัพพาภิภู สัพพะวิทู สัพพะเทวะคะรุตตะโม
สัพพาสะวะปะริกขีโณ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

ผู้ทรงครอบงำธรรมทั้งปวง ทรงรู้แจ้งธรรมทั้งปวง
ทรงเป็นครูผู้ยอดเยี่ยมของมนุษย์และเทวดาทั้งปวง
ทรงสิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

๓. วะระลักขะณะสัมปันโน เมธังกะโร มะหามุนิ
ชุตินธะโร มะหาสิรี สุวัณณะคิริสันนิโภ.

พระจอมมุนีพระนามว่า เมธังกร
ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยพระลักษณะอันเลิศ
ผู้ทรงไว้ซึ่งพระรัศมี ผู้ทรงมีพระสิริยิ่งใหญ่ รุ่งเรืองดุจสุวรรณคีรี

๔. ทิพพะรูโป มะหากาโย มะหานาโถ มะหัพพะโล
มะหาการุณิโก สัตถา มะหาสันติง กะโรตุ โน.

ผู้ทรงมีพระรูปเพียงดังท้าวมหาพรหม
มีพระวรกายอันประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ
ทรงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐมีพระกำลังมาก
ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงเป็นพระศาสดา
โปรดประทานความสงบอันยิ่งใหญ่ แก่พวกข้าพระองค์เถิด

๕. มะหาโมหะตะมัง หันตฺวา โย นาโถ สะระณังกะโร
เทวาเทวะมะนุสสานัง โลกานัญจะ หิตังกะโร.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สรณังกร
ทรงเป็นที่พึ่ง ทรงกำจัดความมืดมนคืออวิชชาได้แล้ว
ทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก
กล่าวคือเหล่าทวยเทพ อสูร และมนุษย์ทั้งหลาย

๖. พฺยามัปปะภาภิรุจิโต นิโคฺรธะปะริมัณฑะโล
นิโคฺรธะปักกะพิมโพฏโฐ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า สรณังกร พระองค์นั้น
ผู้ทรงรุ่งเรืองด้วยพระรัศมีแผ่ออกไปหนึ่งวาโดยรอบ
ผู้ทรงมีพระวรกายเป็นปริมณฑลดุจต้นไทร(นิโครธ)
(ความสูงของกายเท่ากับความยาวของวา)
ผู้ทรงมีพระโอฏฐ์แดงเรื่อดุจผลตำลึงสุก
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

๗. อะสีติระตะนุพเพโธ ทีปังกะโร มะหามุนิ
ปะภา นิทธาวะเต ตัสสะ ฐาเน ทฺวาทะสะ โยชะเน.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร
มีพระวรกายสูงแปดสิบศอก ทรงเป็นพระมหามุนี
พระรัศมีของพระองค์แผ่ออกไปในที่สิบสองโยชน์

๘. วัสสัสสะตะสะหัสสานิ ฐัตฺวา โลเก วินายะโก
โลกาโลกะกะโร สัตถา สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ในโลกหนึ่งแสนปี
ทรงนำเวไนยสัตว์สู่พระนิพพาน
ทรงเป็นพระศาสดาผู้ประทานแสงสว่างแก่โลก
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


๙. อัฏฐาสีติหัตถุพเพโธ โกณฑัญโญ นามะ นายะโก
สัพพะธัมเมหิ อะสะโม สัพพะปาระมิตาคะโม.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โกณฑัญญะ
มีพระวรกายสูงแปดสิบแปดศอก ทรงเป็นผู้นำ
ทรงเป็นผู้ไม่มีบุคคลเสมอด้วยธรรมทั้งปวง
ทรงถึงความเป็นผู้มีบารมีทั้งปวง

๑๐. วัสสัสสะตะสะหัสสานิ อายุ ตัสสะ มะเหสิโน
โมเจตุ โส สัพพะภะยา สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

ทรงเป็นพระผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ มีพระชนมายุหนึ่งแสนปี
ขอพระองค์โปรดเปลื้องพวกข้าพระองค์ ให้พ้นจากภัยทั้งปวง
โปรดประทานความสวัสดีแก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

(ในสารมัณฑกัป ๔ พระองค์)

๑๑. อัฏฐาสีติระตะนานิ อัจจุคคะโต ชุตินธะโร
มังคะโล นามะ สัมพุทโธ นะวุติสะหัสสายุโก.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า มังคละ
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบแปดศอก
ทรงไว้ซึ่งพระรัศมี ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี

๑๒. ฉัพพัณณะรังสิโย ทะสะ- สะหัสสะโลกะธาตุโย
ผะรันตา ตัสสะ ฉาเทนติ เอสะ โสตถิง กะโรตุ โน.

พระฉัพพรรณรังสีของพระองค์ แผ่ปกคลุมโลกธาตุหนึ่งหมื่น
ขอพระองค์โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์เถิด

๑๓. นะวุติระตะนุพเพโธ สุมะโน นามะ นายะโก
กัญจะนาจะละสังกาโส นะวุติสะหัสสายุโก.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สุมนะ
ทรงมีพระวรกายสูงเก้าสิบศอก ทรงเป็นผู้นำ
ทรงเป็นผู้เปรียบประดุจสุวรรณคีรี ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี

๑๔. อุเปโต พุทธะคุเณหิ สัพพะสัตตะหิเตสะโก
กะโรตุ โน มะหาสันติง อาโรคฺยัญจะ สุขัง สะทา.

ทรงประกอบด้วยพระพุทธคุณทั้งหลาย
ทรงแสวงหาความเกื้อกูลแก่เหล่าสัตว์โลกทั้งปวง
โปรดประทานความสงบร่มเย็น ความไม่มีโรค
และความสุข แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๕. อะสีติระตะนุพเพโธ สัฏฐีสะหัสสะอายุโก
เรวะโต นามะ สัมพุทโธ สัพพะโลกุตตะโร มุนิ.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า เรวตะ
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบศอก ทรงมีพระชนมายุหกหมื่นปี
ทรงประเสริฐกว่าสัตว์โลกทั้งปวง ทรงรู้แจ้งโลกทั้งปวง

๑๖. ตัสสะ สะรีเร นิพพัตตา ปะภามาลา อะนุตตะรา
ผะรันตา โยชะเน นิจจัง สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

แสงแห่งพระรัศมีอันไม่มีที่เปรียบ
อันเกิดแต่พระวรกายของพระองค์
แผ่ไปตลอดแนวหนึ่งโยชน์เป็นนิจ
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๗. โสภิโต นามะ สัมพุทโธ นะวุติสะหัสสายุโก
สังสาระสาคะเร สัตเต พะหู โมเจติ ทุกขะโต.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โสภิตะ
ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี ทรงเปลื้องสัตว์โลกเป็นจำนวนมาก
จากทุกข์ในห้วงมหาสมุทร คือ สังสารวัฏ

๑๘. อัฏฐะปัญญาสะระตะนัง อัจจุคคะโต มะหามุนิ
โอภาเสติ ทิสา สัพพา สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระองค์ ทรงมีพระวรกายสูงห้าสิบแปดศอก
ทรงเป็นพระมหามุนีผู้ประเสริฐ ทรงยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด.

 (ในวรกัป ๓ พระองค์)

๑๙. อะโนมะทัสสี สัมพุทโธ เตชัสสี ทุระติกกะโม
อัฏฐะปัณณาสะระตะโน โอภาเสนโต สะเทวะเก.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี
ผู้อันศัตรูไม่สามารถกล้ำกรายได้
ทรงมีพระวรกายสูงห้าสิบแปดศอก
ทรงกระทำมนุษย์โลกพร้อมทั้งเทวโลกให้สว่างไสวอยู่

๒๐. นิพพานะปาปะโก โลเก วัสสัสสะตะสะหัสสายุ
กะโรตุ โน มะหาสันติง สุขิตา จะ มะยัง สะทา.

พระองค์ทรงยังสัตว์โลกให้ถึงพระนิพพาน
ทรงมีพระชนมายุหนึ่งแสนปี
โปรดประทานความสงบร่มเย็น
แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด
อนึ่งขอให้พวกข้าพระองค์ จงเป็นผู้มีความสุข ในกาลทุกเมื่อเถิด.

๒๑. ปะทุโม นามะ สัมพุทโธ โลกะเชฏโฐ นะราสะโภ
อัฏฐะปัญญาสะระตะโน อาทิจโจวะ วิโรจะติ.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมะ
ทรงเป็นผู้ประเสริฐกว่าเหล่าสัตว์โลกทั้งปวง
ทรงมีพระวรกายสูงห้าสิบแปดศอก ทรงรุ่งโรจน์ประดุจพระอาทิตย์

๒๒. วัสสัสสะตะสะหัสสานิ อายุ ตัสสะ มะเหสิโน
โสปิ พุทโธ การุณิโก สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ทรงมีพระชนมายุหนึ่งแสนปี
แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระมหากรุณา
ขอทรงโปรดประทานความสวัสดี
แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๓. อัฏฐาสีติระตะนุพเพโธ นาระโท สัพพะกามะโท
นิรันตะรัง ทิวารัตติง โยชะนัง ผะระเต ปะภา.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า นารทะ
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบแปดศอก
ทรงประทานสิ่งที่น่าชอบใจทั้งปวง
พระรัศมีของพระองค์แผ่ไปสู่ที่หนึ่งโยชน์ ตลอดวันและคืนเป็นนิจ

๒๔. นะวุติวัสสะสะหัสสานิ ฐัตฺวา โลเก วินายะโก
โมเจติ ทุกขะโต สัตเต โสปิ โสตถิง กะโรตุ โน.

พระองค์ทรงแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก ให้หลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์
ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์เถิด

(ในสารกัป ๑ พระองค์)

๒๕. อัฏฐะปัณณาสะระตะโน ปะทุมุตตะโร มะหามุนิ
ตัสสะ ปากะติกา รังสี ผะรันติ ทฺวาทะสะ โยชะเน.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
ทรงมีพระวรกายสูงห้าสิบแปดศอก
พระรัศมีอันมีอยู่โดยธรรมชาติของพระองค์ แผ่ไปถึงสิบสองโยชน์

๒๖. วัสสัสสะตะสะหัสสานิ ฐัตฺวา โลเกมะตันทะโท
โมเจติ พันธะนา สัตเต โสปิ ปาเลตุ โน สะทา.

พระองค์ทรงประทานอมฤตธรรม คือ พระนิพพาน
ทรงดำรงพระชนม์อยู่ในโลกตลอดหนึ่งแสนปี
ทรงเปลื้องหมู่สัตว์โลก ให้พ้นจากกิเลสเครื่องผูกมัด
ขอพระองค์โปรดคุ้มครองพวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

(ในมัณฑกัป ๒ พระองค์)

๒๗. อัฏฐาสีติระตะนานิ อัจจุคคะโต มะหามุนิ
สุเมโธ นามะ สัมพุทโธ นะวุติสะหัสสายุโก.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธะ
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบแปดศอก
ทรงเป็นพระมหามุนีผู้ประเสริฐ ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี

๒๘. ตัสสะ ปากะติกา รังสี ผะรันติ โยชะนัง สะทา
ปาเลตุ โน สะทา พุทโธ ภะเยหิ วิวิเธหิ จะ.

พระรัศมีอันมีอยู่โดยปกติของพระองค์
แผ่ไปตลอดหนึ่งโยชน์ในกาลทุกเมื่อ
ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธะ นั้น
โปรดคุ้มครองพวกข้าพระองค์ ให้พ้นจากภัยต่าง ๆ

๒๙. ปัญญาสะระตะนุพเพโธ สุชาโต นามะ นายะโก
เหมะวัณโณ มะหาวีโร มะหาตะมะวิโนทะโน.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สุชาตะ
ทรงมีพระวรกายสูงห้าสิบศอก ทรงเป็นผู้นำ
ทรงมีพระฉวีประดุจทอง ทรงเป็นผู้แกล้วกล้ายิ่ง
ทรงบรรเทาความมืด คือ โมหะ

๓๐. นะวุติวัสสะสะหัสสานิ อายุ ตัสสะ มะเหสิโน
โสปิ พุทโธ การุณิโก สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุชาตะ
แม้นั้น ผู้ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี ทรงมีพระมหากรุณา
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

 (ในวรกัป ๓ พระองค์)

๓๑. อะสีติระตะนุพเพโธ ปิยะทัสสี มะหามุนิ
นะวุติวัสสะสะหัสสานิ ฐัตฺวา โลกัคคะนายะโก.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปิยทัสสี
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบศอก ทรงเป็นมุนีผู้ประเสริฐ
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกสู่พระนิพพาน
ทรงดำรงพระชนม์อยู่ตลอดเก้าหมื่นปี

๓๒. โสปิ สัพพะคุณูเปโต สัพพะโลกะสุขัปปะโท
สัพพะโทสัง วินาเสนโต สัพพัง โสตถิง กะโรตุ โน.

ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปิยทัสสี
แม้นั้น ผู้ทรงประกอบด้วยคุณทั้งปวง
ทรงให้ความสุขแก่โลกทั้งปวง ทรงกำจัดโทษทั้งปวง
โปรดประทานความสวัสดีทั้งปวง แก่พวกข้าพระองค์เถิด

๓๓. อะสีติระตะนุพเพโธ อัตถะทัสสี นะราสะโภ
วัสสัสสะตะสะหัสสานิ โลเก อัฏฐาสิ นายะโก.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า อัตถทัสสี
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบศอก ทรงเป็นนระผู้ประเสริฐ
ทรงเป็นผู้นำ ทรงดำรงพระชนม์อยู่ในโลกตลอดหนึ่งแสนปี

๓๔. ตัสสะ ปากะติกา รังสี ผะรันติ โยชะนัง สะทา
นิรันตะรัง ทิวารัตติง นาโถ โสตถิง กะโรตุ โน.

พระรัศมีอันมีอยู่โดยปกติของพระองค์
แผ่ไปได้หนึ่งโยชน์ตลอดกลางวันและกลางคืน
ในกาลทุกเมื่อเป็นนิจ พระองค์ผู้เป็นที่พึ่ง
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์เถิด

๓๕. ธัมมะทัสสี จะ สัมพุทโธ อะสีติหัตถะมุคคะโต
อะติโรจะติ เตเชนะ สะเทวาสุระมานุเส.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ธัมมทัสสี
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบศอก
ทรงรุ่งโรจน์ด้วยพระเดชานุภาพยิ่งกว่าโลก
ซึ่งประกอบด้วยเหล่าทวยเทพ อสูร และมนุษย์ทั้งหลาย

๓๖. วัสสัสสะตะสะหัสสานิ ฐัตฺวา โลเก มะหายะโส
สัพพะสัตเต ปะโมเจติ ภะยา รักขะตุ โน สะทา.

พระองค์ผู้ทรงมีชื่อเสียงและบริวารอันยิ่งใหญ่
ดำรงพระชนม์อยู่ในโลกตลอดหนึ่งแสนปี
ทรงเปลื้องสัตว์ทั้งปวงจากภัย
โปรดคุ้มครองพวกข้าพระองค์ให้พ้นจากภัย ในกาลทั้งปวงเถิด

(ในสารกัป ๑ พระองค์)

๓๗. สิทธัตโถ นามะ สัมพุทโธ สัฏฐิระตะนะมุคคะโต
ติภะเว โสตถิชะนะโก สะตัสสะหัสสะ อายุโก.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ
ทรงมีพระวรกายสูงหกสิบศอก
ทรงยังความสวัสดีให้เกิดขึ้นในภพทั้งสาม
ทรงมีพระชนมายุหนึ่งแสนปี

๓๘. สังสาระสาคะรา โลเก สันตาเรตฺวา สะเทวะเก
นิพพาเปสิ จะ โส สัตถา สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

ขอพระศาสดาพระนามว่า สิทธัตถะ นั้น
ผู้ทรงยังหมู่มนุษย์พร้อมทั้งเหล่าทวยเทพ
ให้ข้ามพ้นจากห้วงมหาสมุทร คือสังสารวัฏ และให้ถึงพระนิพพาน
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

(ในมัณฑกัป ๒ พระองค์)

๓๙. สัฏฐิระตะนะมุพเพโธ ติสโส โลกัคคะนายะโก
อะนูปะโม อะสะทิโส อะตุโล อุตตะโม ชิโน.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ติสสะ
ทรงมีพระวรกายสูงหกสิบศอก ทรงเป็นบุคคลผู้นำชั้นเลิศของโลก
ไม่มีบุคคลเทียบเท่า ไม่มีบุคคลเสมอเหมือน
ไม่มีบุคคลเปรียบปาน ทรงเป็นผู้สูงสุด ทรงเป็นผู้ชนะมารทั้งปวง

๔๐. วัสสัสสะตะสะหัสสานิ อายุ ตัสสะ มะเหสิโน
อาโรคฺยัญจะ มะหาสุขัง โหตุ โน ตัสสะ เตชะสา.

ด้วยพระเดชานุภาพของพระพุทธเจ้า
พระนามว่า ติสสะ พระองค์นั้น ผู้ทรงมีพระชนมายุหนึ่งแสนปี
ขอความไม่มีโรค และความสุขอันประเสริฐ จงมีแก่พวกข้าพระองค์เถิด

๔๑. อัฎฐะปัณณาสะระตะโน ผุสโส โลกัคคะนายะโก
ชะนัมพุชัง วิโพเธนโต นิพพาเปนโต สะเทวะเก.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ
ทรงมีพระวรกายสูงห้าสิบแปดศอก
ทรงเป็นบุคคลผู้นำชั้นเลิศของโลก
ทรงยังดอกบัวคือหมู่ชนให้เบิกบาน
ทรงยังหมู่มนุษย์ พร้อมทั้งเหล่าทวยเทพ ให้ถึงพระนิพพาน

๔๒. นะวุติวัสสะสะหัสสานิ ฐัตฺวา โลเก มะหายะโส
อุทธะรันโต พะหู สัตเต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระองค์ทรงมีชื่อเสียงและบริวารอันยิ่งใหญ่
ทรงดำรงพระชนม์อยู่ในโลกตลอดเก้าหมื่นปี
ผู้ทรงนำสัตว์โลกจำนวนมากออกจากสังสารวัฏ
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด



 (ในสารกัป ๑ พระองค์)

๔๓. อะสีติระตะนุพเพโธ วิปัสสี โลกะนายะโก
ปะภา นิทธาวะเต ตัสสะ สะมันตา สัตตะ โยชะเน.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบศอก ทรงเป็นผู้นำของสัตว์โลก
พระรัศมีของพระองค์แผ่ไปตลอดเจ็ดโยชน์โดยรอบ

๔๔. โสปิ เทวะมะนุสสานัง พันธะนา ปะริโมจะยิ
อะสีติสะหัสสายุโก นาโถ โสตถิง กะโรตุ โน.

ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี
แม้นั้น ผู้ทรงมีพระชนมายุแปดหมื่นปี ทรงเป็นที่พึ่ง
ทรงเปลื้องเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จากเครื่องผูกคือกิเลส
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์เถิด

(ในมัณฑกัป ๒ พระองค์)

๔๕. สัตตะตีหัตถะมุพเพโธ สิขี นาเมสะ นายะโก
ปะภา นิทธาวะเต ตัสสะ สะมันตา โยชะนัตตะเย.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด
ทรงมีพระวรกายสูงเจ็ดสิบศอก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นพระนามว่า สิขี ทรงเป็นผู้นำ
พระรัศมีของพระองค์แผ่ไปตลอดสามโยชน์โดยรอบ

๔๖. โสปิ อะตุลฺโย สัมพุทโธ สัตตะตีสะหัสสายุโก
กะโรตุ โน มะหาสันติง สุขิตา จะ มะยัง สะทา.

ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า สิขี
แม้นั้น ผู้ทรงไม่มีผู้เปรียบ ทรงมีพระชนมายุเจ็ดหมื่นปี
โปรดประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพระองค์
อนึ่ง ขอพวกข้าพระองค์ จงเป็นผู้ถึงความสุข ในกาลทุกเมื่อเถิด

๔๗. เวสสะภู นามะ สัมพุทโธ เหมะรูปะสะมูปะโม
สัฏฐีระตะนะมุพเพโธ สัฏฐี จะ สะหัสสายุโก.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า เวสสภู
ผู้มีพระฉวีประดุจทอง ทรงมีพระวรกายสูงหกสิบศอก
ทรงมีพระชนมายุหกหมื่นปี

๔๘. พฺรัหฺมะเทวะมะนุสเสหิ นาคาสุระทิเชหิ วา
ปูชิโตปิ สะทา นาโถ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า เวสสภู
แม้นั้น ผู้อันหมู่พรหม เทวดา มนุษย์ นาค อสูร และครุฑ
พากันบูชาแล้ว ทรงเป็นที่พึ่ง
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

ในภัทรกัปนี้ ๕ พระองค์
(ผ่านไปแล้ว ๓ พระองค์)

๔๙. ตาฬีสะระตะนุพเพโธ กะกุสันโธ มะหามุนิ
ตัสสะ กายา นิจฉะรันติ ปะภา ทฺวาทะสะ โยชะเน.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ
ทรงมีพระวรกายสูงสี่สิบศอก ทรงเป็นมุนีผู้ประเสริฐ
พระรัศมีจากพระวรกายของพระองค์ แผ่ซ่านไปสิบสองโยชน์

๕๐. จัตตาฬีสะสะหัสสานิ ตัสสะ อายุ อะนุตตะโร
กะโรตุ โส สะทา นาโถ อายุง สุขัง พะลัญจะ โน.

ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ
แม้นั้น ผู้ทรงมีพระชนมายุสี่หมื่นปี
ทรงเป็นผู้ไม่มีใครเปรียบ ทรงเป็นที่พึ่ง
โปรดประทานอายุ ความสุข และกำลังแก่พวกข้าพระองค์
ในกาลทุกเมื่อเถิด

๕๑. โกนาคะมะนะ สัมพุทโธ ติงสะหัตถะสะมุคคะโต
ติงสะวัสสะสะหัสสานิ อายุ ตัสสะ มะเหสิโน.

พระ โกนาคมมะ สัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงมีพระวรกายสูงสามสิบศอก ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ทรงมีพระชนมายุสามหมื่นปี

๕๒. ธัมมามะเตนะ ตัปเปตา เทวะสังฆัง สุราละเย
มะหีตะเล จะ ชะนะตัง สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

ทรงยังหมู่ทวยเทพบนสวรรค์ และหมู่มนุษย์บนพื้นโลก
ให้อิ่มเอิบด้วยอมตธรรม คือพระนิพพาน
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

๕๓. กัสสะโป นามะ สัมพุทโธ ธัมมะราชา ปะภังกะโร
วีสะตีหัตถะมุพเพโธ วีสัสสะหัสสะอายุโก.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ
ผู้ทรงเป็นพระธรรมราชา ทรงมีพระรัศมี
ทรงมีพระวรกายสูงยี่สิบศอก ทรงมีพระชนมายุสองหมื่นปี

๕๔. อะนูปะโมสะมะสะโม เทวะสัตถา อะนุตตะโร
กะโรตุ โน มะหาสันติง อาโรคฺยัญจะ ชะยัง สะทา.

พระองค์ไม่มีผู้เปรียบปานเสมอเหมือน
ทรงเป็นศาสดาของเหล่าทวยเทพ ทรงเป็นผู้ยอดเยี่ยม
โปรดประทานความสงบอันประเสริฐ ความไม่มีโรค และชัยชนะ
แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

 (พระพุทธเจ้าในปัจจุบัน ๑ พระองค์)

๕๕. อัฏฐาระสะหัตถุพเพโธ โคตะโม สักกะยะวัฑฒะโน
สัพพัญญู สัพพะติละโก สัพพะโลกะสุขัปปะโท.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ
ทรงมีพระวรกายสูงสิบแปดศอก ทรงเป็นผู้เชิดชูศากยวงศ์
ทรงตรัสรู้ธรรมทั้งปวง ทรงเป็นผู้โดดเด่นกว่าชนทั้งปวง
ทรงประทานความสุขให้แก่สัตว์โลก
(ในคัมภีร์พุทธวงศ์แสดงไว้ว่า ทรงมีพระวรกายสูง ๑๖ ศอก)

๕๖. สัมพุทโธ สัพพะธัมมานัง ภะเคหิ ภาคฺยะวา ยุโต
วิชชาจะระณะสัมปันโน โสตถฺยาโรคฺยัง ทะทาตุ โน.

ขอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ
ผู้ตรัสรู้ธรรมทั้งปวง ทรงประกอบด้วยบุญ ทรงมีพระบารมีอันสูงสุด
ทรงเพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
โปรดประทานความสวัสดี และความไม่มีโรค แก่พวกข้าพระองค์เถิด

๕๗. อัพภาตีตา จะ สัมพุทธา อะเนกะสะตะโกฏิโย
สัพพะโลกะมะภิญญายะ สัพพะสัตตานุกัมปิโน.

อนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
หลายร้อยโกฏิซึ่งเสด็จล่วงลับไปแล้ว
ทรงประจักษ์โลกทั้งปวงด้วยพระญาณแล้ว
จึงทรงอนุเคราะห์เหล่าสรรพสัตว์

๕๘. สัพพะเวระภะยาตีตา สัพพะโลกะสุขัปปะทา
สัพพะโทสัง วินาเสนตา สัพพะโสตถิง กะโรนตุ โน.

ทรงล่วงพ้นเวรและภัยทั้งปวง
ทรงประทานความสุขแก่สรรพสัตว์
ทรงกำจัดโทษทั้งปวง
ขอทรงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์เถิด

 (พระพุทธเจ้าในอนาคต ๑ พระองค์)

๕๙. อะนาคะเต จะ สัมพุทโธ เมตเตยโย เทวะปูชิโต
มะหิทธิโก มะหาเทโว มะหาสันติง กะโรตุ โน.

ก็ในอนาคต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า เมตเตยยะ
ทรงเป็นผู้ที่หมู่ทวยเทพบูชาแล้ว ทรงมีฤทธิ์มาก
ทรงเป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาทั้งปวง
โปรดประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพระองค์เถิด

(พระปัจเจกพุทธเจ้า)

๖๐. สัพเพ ปัจเจกะสัมพุทธา นิโรธะฌานะโกวิทา
นิราละยา นิราสังกา อัปปะเมยยา มะเหสะโย.

พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทั้งปวง
ทรงปรีชาญาณในนิโรธสมาบัติและฌานสมาบัติ
ทรงปราศจากความกำหนัดยินดี หมดความรังเกียจ
ทรงคุณอันหาประมาณมิได้ ทรงแสวงหาคุณอันประเสริฐ

๖๑. ทูเรปิ วิเนยเย ทิสฺวา สัมปัตตา ตังขะเณนะ เต
สันทิฏฐิกะผะเล กัตฺวา สะทา สันติง กะโรนตุ โน.

พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านี้
เห็นหมู่เวไนยสัตว์แม้ในที่ไกล
ก็ทรงเสด็จไปช่วยเหลือสัตว์เหล่านั้น
ให้ได้รับประโยชน์โดยพลัน
โปรดประทานความสงบ แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

(นวโลกุตตรธรรม ๙ และปริยัติธรรม ๑)

๖๒. สฺวากขาตะตาทิสัมปันโน ธัมโม สะปะริยัตติโก
สังสาระสาคะรา โลเก ตาเรติ ชินะโคจะโร.

พระธรรม พร้อมทั้งปริยัติที่สมบูรณ์ด้วยคุณ
มีความเป็นธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้น
เป็นอารมณ์ของพระพุทธเจ้า
เป็นเหตุยังสัตว์โลกให้ข้ามพ้นสาครคือ สังสารวัฏ

๖๓. กิเลสะชาละวิทธังสี วิสุทโธ พุทธะเสวิโต
นิพพานะคะมะโน สันโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

ขอพระธรรมอันบริสุทธิ์ยิ่ง อันมีปกติทำลายข่ายคือกิเลส
เป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงเจริญแล้ว
เป็นธรรมอันประเสริฐอันยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพาน
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

(พระสังฆรัตนะ)

๖๔. สีลาทิคุณะสัมปันโน สังโฆ มัคคะผะเล ฐิโต
ชิตินทฺริโย ชิตะปาโป ทักขิเณยโย อะนุตตะโร.

พระสงฆ์ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น
ดำรงอยู่ในมรรคและผล ชนะอินทรีย์แล้ว ชนะบาปแล้ว
เป็นทักขิเณยยบุคคลผู้ยอดเยี่ยม

๖๕. อะนาสะโว ปะริสุทโธ นิราสาโส ภะวาภะเว
นิพพานะโคจะโร สันโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

ขอพระอริยสงฆ์ผู้ไม่มีอาสวะ ผู้บริสุทธิ์
ผู้หมดความปรารถนาในภพน้อยภพใหญ่
ผู้มีจิตจดจ่อในพระนิพพาน เป็นสัตบุรุษ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

 (พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ๑๐๘ องค์)

๖๖. อัญญาตะโกณฑัญญัตเถโร รัตตัญญูนัง อัคโค อะหุ
ธัมมะจักกาภิสะมะโย สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระอัญญาโกณฑัญญะเถระ เป็นผู้เลิศกว่าเหล่าภิกษุผู้รู้ราตรี
ผู้บรรลุเป็นพระโสดาบันด้วยพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๖๗. วัปปัตเถโร มะหาปัญโญ มะหาตะมะวิโนทะโน
มะหาสันติกะโร โลเก มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระวัปปะเถระ ผู้มีปัญญามาก ผู้กำจัดความมืดคือโมหะ
ผู้กระทำความสงบอันประเสริฐในโลก
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๖๘. ภัททิโย ภัททะสีโล จะ ทักขิเณยโย อะนุตตะโร
โลกัตถะจะริโต เถโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระภัททิยเถระ ผู้มีศีลงาม
ผู้เป็นทักขิเณยยบุคคลผู้ยอดเยี่ยม
ผู้บำเพ็ญประโยชน์แก่โลก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๖๙. มะหานาโม มะหาปัญโญ มะหาธัมมะวิทู สุโต
มะหาขีณาสะโว เถโร มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระมหานามะเถระ ผู้มีปัญญามาก ผู้ตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐ
ผู้มีชื่อเสียง เป็นพระขีณาสพผู้ประเสริฐ
ขอจงประทานความสงบอันยิ่งใหญ่ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๗๐. อัสสะชิตเถโร มะหาปัญโญ ชิตะมาโร ชิตินทฺริโย
ชิตะปัจจัตถิโก โลเก สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระอัสสชิเถระ ผู้มีปัญญามาก ผู้ชนะมาร
ผู้ชนะอินทรีย์ ผู้ชนะศัตรูในโลก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๗๑. อะนุปุพพิกะถัง สุตฺวา ยะโส เอกัคคะมานะโส
อัคคะธัมมะมะนุปปัตโต โสตถฺยาโรคฺยัง ทะทาตุ โน.

พระยสะเถระ ผู้ฟังอนุปุพพิกถาแล้ว
มีจิตตั้งมั่นบรรลุพระอรหัตผล อันเป็นธรรมอันเลิศ
ขอจงประทานความสวัสดี และความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๗๒. จัตฺวาธิกา จะ ปัญญาสะ เถรา คิหิสะหายะกา
ปัตฺวานะ ปะระมัง สันติง สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

และพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์ ๕๔ รูป
ผู้เคยเป็นสหายของพระยสะ เมื่อครั้งยังเป็นผู้ครองเรือน
บรรลุแล้วซึ่งพระนิพพานอันประเสริฐ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๗๓. เย ติงสะ ภัททะวัคคิยา รูเปนาตุละวัณณิโน
ขีณาสะวา วะสีภูตา เต กะโรนตุ อะนามะยัง.

พระภัททวัคคีย์ผู้เป็นเถระสามสิบองค์
ผู้มีรูปทรงและผิวพรรณอันหาใครเปรียบปานมิได้ สิ้นอาสวะแล้ว
เป็นผู้ชนะตน มีความชำนาญในการเข้าฌาน
ขอจงประทานความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๗๔. อุรุเวละกัสสะโปปิ มะหาปะริสานะมุตตะโม
ฐะปิโต อัคคัฏฐานัมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

แม้ พระอุรุเวลกัสสปะ ผู้เป็นเลิศในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้มีบริษัทมาก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๗๕. โย นะทีกัสสะปัตเถโร ปุญญักเขตโต อะนุตตะโร
สะสังโฆ สีละสัมปันโน สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

แม้พระเถระนามว่า นทีกัสสปะ ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ
ผู้มีภิกษุเป็นศิษย์ ๓๐๐ เป็นบริวาร ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๗๖. ธัมมะปัชชะลิโต สันโต โย เถโร คะยากัสสะโป
สังยุตโต ภะวะนิสฺเนเห สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถระนามว่า คยากัสสปะ ผู้รุ่งเรืองด้วยธรรม ผู้สงบ
ผู้เข้าถึงพระนิพพาน อันเป็นที่ปราศจากภวตัณหา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๗๗. โลกะนาถัง ฐะเปตฺวานะ ปัญญะวันตานะ ปาณินัง
ปัญญายะ สาริปุตตัสสะ กะลัง นาคฆะติ โสฬะสิง.

ในบรรดาสรรพสัตว์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย
เว้นพระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของโลกแล้ว
สัตว์ใด ๆ ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่สิบหกแห่งปัญญาของพระสารีบุตร

๗๘. สาริปุตโต มะหาปัญโญ ปะฐะโม อัคคะสาวะโก
ธัมมะเสนาปะตี เสฏโฐ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

ขอ พระสาริปุตตะ ผู้มีปัญญามาก ผู้เป็นอัครสาวกองค์ที่หนึ่ง
ผู้เป็นธรรมเสนาบดี ผู้ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้เลิศทางปัญญา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๗๙. ปาทังคุลิกะมัตเตนะ เวชะยันตะปะกัมปะโน
ปะฐะวิง มะหะติง สัพพัง สะมัตโถ ปะริวัตติตุง.

พระมหาเถระใด ผู้สามารถยังเวชยันต์ปราสาท
(ปราสาทของพระอินทร์) ให้หวั่นไหวแม้ด้วยเพียงหัวแม่เท้านั้น
ผู้สามารถพลิกแผ่นดินผืนใหญ่ทั้งหมดได้

๘๐. โมคคัลลาโน มะหาเถโร ทุติโย อัคคะสาวะโก
อิทธิมันตานัง โส อัคโค สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระมหาเถระนั้นนามว่า โมคคัลลานะ
ผู้เป็นพระอัครสาวกองค์ที่สอง
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.

๘๑. มะหากัสสะปัตเถโรปิ อุตตัตตะกะนะกันนิโภ
ธุตะคุณัคคะนิกขิตโต ตะติโย สัตถุสาวะโก.

พระมหาเถระนามว่า กัสสปะ
ผู้มีผิวพรรณอันงดงามดุจเนื้อทองคำอันบริสุทธิ์
ผู้ได้รับยกย่องให้เป็นผู้เลิศ ในทางธุดงค์คุณ
เป็นพระอัครสาวกองค์ที่สามของพระศาสดา

๘๒. อะรัญญะวาสาภิระโต ปังสุกูละธะโร มุนิ
สุคะตัสสาสะนะธะโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

เป็นผู้ยินดียิ่งในการอยู่ป่า ผู้ทรงผ้าบังสุกุล
เป็นมุนีผู้รู้โลกทั้งภายในและภายนอก
ผู้ทรงไว้ซึ่งคำสอนของพระสุคต
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๘๓. อาปัตติอะนาปัตติยา สะเตกิจฉายะ โกวิโท
วินะเย อัคคะนิกขิตโต อุปาลิ สัตถุวัณณิโต.

พระอุบาลีเถระ ผู้ฉลาดในอาบัติและมิใช่อาบัติ
และในอาบัติที่เยียวยาได้และเยียวยาไม่ได้
ผู้อันพระศาสดาทรงแต่งตั้งให้ เป็นผู้เลิศในทางทรงพระวินัย

๘๔. วินะเย ปาระมิปปัตโต วินะยัคโคจะโร มุนิ
กะโรตุ โน มะหาสันติง โสตถฺยาโรคฺยัง ทะทาตุ โน.

ผู้อันพระศาสดาทรงยกย่อง
ให้เป็นผู้ถึงซึ่งความเป็นผู้เลิศในทางทรงจำพระวินัย
ผู้สำรวมกาย วาจา และใจ
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้า
และขอให้ความสวัสดี ความไม่มีโรค จงมีแก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๘๕. อะนุรุทธะมะหาเถโร ทิพพะจักขูนะมุตตะโม
ญาติเสฏโฐ ภะคะวะโต โสตถฺยาโรคฺยัง ทะทาตุ โน.

พระอนุรุทธมหาเถระ เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีตาทิพย์
เป็นพระประยูรญาติผู้ประเสริฐของพระผู้มีพระภาค
ขอจงประทานความสวัสดี และความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๘๖. อุจจากุลิกานัง อัคโค ภัททิโย สุสะมาหิโต
กาฬิโคธายะ ปุตโต จะ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระภัททิยะเถระ เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุ ผู้มีตระกูลสูง
เป็นผู้มีจิตอันตั้งมั่น เป็นบุตรของนางกาฬิโคธา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.

๘๗. อานันโท พุทธุปัฏฐาโก สังคีติสาธุสัมมะโต
พะหุสสุโต ธัมมะธะโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระอานันทะเถระ (ผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า)
ผู้ยังการทำสังคายนาให้สำเร็จ ผู้เป็นพหูสูต ผู้ทรงธรรม
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๘๘. กิมิโล สิริสัมปันโน มะหาสุขะสะมัปปิโต
มะหาขีณาสะโว ชาโต มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระกิมพิละเถระ ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ เพียบพร้อมด้วยบรมสุข
เป็นพระขีณาสพผู้ประเสริฐ
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๘๙. คะรุวาสัง วะสิตฺวานะ ปะสันโน พุทธะสาสะเน
ภะคุ จาระหะตัง ปัตโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระภคุเถระ ผู้เลื่อมใส และอยู่ด้วยความเคารพในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๙๐. กุลัปปะสาทะชะนะโก กาฬุทายี มะหิทธิโก
เอตะทัคคัฏฐิโต เถโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระกาฬุทายีเถระ ผู้มีฤทธิ์มาก
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ทำให้คนเลื่อมใส
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๙๑. เสฏโฐ ธัมมะกะถิกานัง ติณณัง เวทานะ ปาระคู
ปุณโณ มันตานิยา ปุตโต เถโร โสตถิง กะโรตุ โน.

พระปุณณะเถระ ผู้เป็นบุตรของนางมันตานี
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก ผู้จบไตรเพท
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๙๒. ภาระทฺวาโช มะหาเถโร สีหะนาทานะมุตตะโม
ฐะปิโต อัคคัฏฐานัมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระ(ปิณโฑล)ภารทวาชะมหาเถระ
ผู้อันพระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่ง
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้บรรลือสีหนาท
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๙๓. สังขิตตะภาสิตะมัตถัง วิตถาเรนะ วิชานะโก
กัจจาโน ภะวะนิสฺเนโห เถโร โสตถิง กะโรตุ โน.

พระกัจจายนะเถระ ผู้สามารถอธิบายเนื้อความ
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยสังเขปให้พิสดาร
ผู้ปราศจากความสิเนหาในภพ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๙๔. ละกุณฏะภัททิโย เถโร มัญชุสสะรานะมุตตะโม
ฐะปิโต อัคคัฏฐานัมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระลกุณฏกภัททิยะเถระ ผู้อันพระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้
ในตำแหน่งเป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีเสียงไพเราะ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๙๕. อะระณะวิหารินัง อัคโค ทักขิเณยโย อะนุตตะโร
สุภูติ ภูตะทะมะโน เถโร โสตถิง กะโรตุ โน.

พระสุภูติเถระ เป็นผู้แสดงธรรมแก่สัตว์ตามพุทธดำรัส
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้อยู่ด้วยธรรมอันปราศจากข้าศึก
และเลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ควรรับทักษิณาทาน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๙๖. อะรัญญะวาสินัง อัคโค เรวะโต ขะทิระวะนิโย
วิเวกาภิระโต เถโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเรวตะ ผู้อาศัยอยู่ในป่าไม้สีเสียด ผู้ยินดีในความวิเวก
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีปกติอยู่ในป่า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๙๗. ฌายีนัง อุตตะโม เถโร กังขาเรวะตะนามะโก
สะมาธิฌานะกุสะโล สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถระนามว่า กังขาเรวตะ
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีปกติยินดีในการเข้าฌาน
เป็นผู้ฉลาดในสมาธิและฌาน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๙๘. โสโณ จะ โกฬิวีโสปิ อารัทธะวีริยานะมุตตะโม
ปะหิตัตโต สะทา เถโร โสตถิง ผาสุง กะโรตุ โน.

แม้ พระโสณโกฬิวีสะเถระ เป็นผู้มีจิตดิ่งไปในนิพพาน
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ปรารภความเพียร
ขอจงประทานความสวัสดี และความผาสุก
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๙๙. กัลยาณะวากกะระณานัง โสโณ กุฏิกัณโณปิ จะ
อัคโคติ วัณณิโต เถโร โสตถิง ผาสุง กะโรตุ โน.

แม้ พระโสณกุฏิกัณณะเถระ
ผู้อันพระศาสดาทรงสรรเสริญว่า
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้กล่าววาจาไพเราะ
(สาธยายธรรมด้วยเสียงอันไพเราะ)
ขอจงประทานความสวัสดี และความผาสุก แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๐๐. ลาภีนะมุตตะโม เถโร สีวะลิ อิติ วิสสุโต
โส ระโต ปัจจะยาทิมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถระนามว่า พระสีวลิ ผู้มีความสันโดษในปัจจัยสี่
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีลาภ
ขอจงประทานความสวัสดีแก่ข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๐๑. สัทธาธิมุตตานัง อัคโค วักกะลิ อิติ นามะโก
ปาโมชชะพะหุโล เถโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถระนามว่า พระวักกลิ เป็นผู้มากด้วยความปราโมทย์
เป็นเลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีศรัทธา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๐๒. ราหุโล พุทธะปุตโตปิ สิกขากามานะมุตตะโม
ทายาโท สัพพะธัมเมสุ มะหาสันติง กะโรตุ โน.

แม้พระเถระนามว่า ราหุละ ผู้เป็นพุทธบุตร
ผู้เป็นทายาทในธรรมทั้งปวง
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มุ่งต่อการศึกษา
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๐๓. สัทธายะ ปัพพะชิตฺวานะ รัฏฐะปาโล ปะรักกะมี
เอตะทัคเค ฐิโตเยวะ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถระนามว่า รัฏฐะปาละ ผู้มีความเพียรยิ่ง
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๐๔. กุณฑะธาโน มะหาเถโร สะลากัง ปะฐะมัง คะโต
ฐะปิโตเยวะ ฐานัมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระกุณฑธานะมหาเถระ ผู้ถึงซึ่งความเป็นที่หนึ่งในการจับสลาก
จึงดำรงอยู่ในตำแหน่งที่เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ร่วมจับสลาก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๐๕. ปะฏิภาณะวันตานัมปิ อัคโคติ พุทธะวัณณิโต
วังคีโส อะระหา เสฏโฐ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระอรหันต์นามว่า วังคีสะเถระ ผู้ประเสริฐ
เป็นผู้ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีปฏิภาณกวี
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.

๑๐๖. สะมันตะปาสาทิกานัง อัคคัฏฐานัมหิ ฐะปิโต
อุปะเสโน วังคันตะปุตโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระอุปเสนวังคันตบุตรเถระ
พระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุ
ผู้มีบริษัทอันน่าเลื่อมใส
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.

๑๐๗. ทัพโพ มัลละปุตโต เถโร เสนาสะนะปัญญาปะโก
ฐะปิโต อัคคัฏฐานัมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระทัพพมัลละบุตรเถระ
พระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่ง
ที่เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้จัดแจงเสนาสนะ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.

๑๐๘. ปิลินทะวัจฉะสะมะโณ เทวะตานัง ปิโย อะหุ
ฐะปิโต อัคคัฏฐานัมหิ โสตถฺยาโรคฺยัง ทะทาตุ โน.

พระปิลินทวัจฉะเถระ
พระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าบรรดาภิกษุทั้งหลาย
ที่เป็นที่รักของเหล่าเทวดา
ขอจงประทานความสวัสดี และความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด

๑๐๙. พาหิโยทารุจีริโย ขิปปาภิญญานะมุตตะโม
กะโรตุ โน มะหาสันติง อาโรคฺยัญจะ ชะยัง สะทา.

พระพาหิยทารุจีริยะเถระ เป็นผู้เลิศกว่า บรรดาภิกษุผู้ตรัสรู้เร็ว
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ ความไม่มีโรค และชัยชนะ
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๑๐. กุมาระกัสสะปัตเถโร จิตตะกะถีนะมุตตะโม
มิจฉาวิตักกุปัจเฉโท สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระกุมารกัสสปะเถระ
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้แสดงธรรมได้อย่างวิจิตร
ผู้สามารถละมิจฉาวิตกได้
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๑๑. ปะฏิสัมภิทาปัตตานัง อัคคัฏฐานัมหิ ฐะปิโต
โกฏฐิโต อะระหา เสฏโฐ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระอรหันต์นามว่า โกฏฐิตะเถระ เป็นผู้ประเสริฐ
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ได้ปฏิสัมภิทา ๔
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๑๒. อัปปาพาโธ มะหาเถโร อัปปาพาธานะมุตตะโม
พากุโล อะระหาชาโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระพากุละเถระ ผู้เป็นพระอรหันต์
เพราะเหตุที่เป็นผู้มีอาพาธน้อย
จึงเป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีอาพาธน้อย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.

๑๑๓. ปุพเพนิวาสะเวทีนัง อัคโคติ พุทธะวัณณิโต
โสภิโต นามะ โส เถโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถระนามว่า โสภิตะ ผู้อันพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ระลึกชาติในปางก่อนได้
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๑๔. มะหากัปปินัตเถโรปิ ภิกขุโอวาทะโก อะหุ
กุสะโล โอวาทะทาเน สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

แม้ พระมหากัปปินะเถระ เป็นผู้ให้โอวาทภิกษุ
เป็นผู้เลิศในการให้โอวาท
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๑๕. ภิกขุโนวาทะกานัคโค นันทะโก อิติ วิสสุโต
ปาเลตุ โน สะทา เถโร โสตถิง ผาสุง กะโรตุ โน.

พระเถระนามว่า นันทกะ
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ให้โอวาทแก่นางภิกษุณี
โปรดรักษาพวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด
ขอจงประทานความสวัสดี และความผาสุก
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๑๖. อินทฺริเยสุ คุตตะทฺวาโร อัคคัฏฐาเน ฐิโต อะหุ
นันทัตเถโร วะสิปปัตโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระนันทะเถระ ผู้ได้วสี (ความชำนาญในการเข้า-ออกฌานสมาบัติ)
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้สำรวมอินทรีย์
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.

๑๑๗. เตโชธาตุกุสะลานัง อัคคัฏฐานัมหิ ฐะปิโต
สาคะโต นามะ โส เถโร โสตถิง ผาสุง กะโรตุ โน.

พระเถระนามว่า สาคตะ ผู้อันพระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่ง
เป็นผู้เลิศกว่า บรรดาภิกษุผู้ฉลาดในเตโชธาตุ
(เตโชกสิณ คือ กรรมฐานที่เพ่งไฟเป็นอารมณ์)
ขอจงประทานความสวัสดี และความผาสุก
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๑๘. สัญญาวิวัฏฏะกุสะโล ปะธาโน ภาวะนาระโต
พุทธะสิสโส มะหาปันโถ มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระมหาปันถกะเถระ ผู้ชำนาญในสัญญาวิวัฏฏะ (ได้แก่ วิปัสสนา)
เป็นผู้มีความเพียร มีความยินดีในภาวนา
เป็นศิษย์ของพระศาสดา
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด

๑๑๙. จูฬปันถะกัตเถโรปิ มะโนมะยาภินิมมิโต
ฐะปิโต อัคคัฏฐานัมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

แม้ พระจูฬปันถกะเถระ
ผู้อันพระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
บรรดาภิกษุผู้นิรมิตกายได้มาก
และในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
บรรดาภิกษุผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ
(คือฉลาดในฌานสมาบัติ)
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๒๐. ปะฏิภาเณยยะกานัง ตุ อัคคัฏฐานัมหิ ฐะปิโต
ราโธ เถโร มะหาโสตถิง กะโรตุ โน อะนามะยัง

พระราธะเถระ ผู้อันพระพุทธเจ้าตั้งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
บรรดาภิกษุผู้มีปฏิภาณในคำสอน
ขอจงประทานความสวัสดีอันประเสริฐ และความไม่มีโรค
แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


๑๒๑. ลูขะจีวะระธะรานัง ภิกขูนัง อุตตะโม อะหุ
โมฆะราชะมะหาเถโร มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระโมฆราชะมหาเถระ เป็นผู้เลิศกว่า
บรรดาภิกษุผู้ทรงจีวรที่เศร้าหมอง
(คือผ้าเก่า ผ้าเนื้อหยาบ สีเศร้าหมอง)
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๒๒. วิมะโล วิมะลัปปัญโญ สุรูโป สุสะมาหิโต
ระโช นะ ลิมปะติ ขันเธ มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระวิมละเถระ ผู้มีปัญญาปราศจากมลทิน
ผู้มีรูปงาม ผู้มีจิตตั้งมั่น กิเลสเพียงดังธุลีไม่ฉาบทาขันธ์ห้าของท่าน
ขอจงประทานซึ่งความสงบอันยิ่งใหญ่ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๒๓. ธัมมะปาโล มะหาปาโล มะหาธัมมะธะโร ยะติ
มะหาขีณาสะโว โลเก มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระเถระนามว่า ธัมมปาละ ผู้รักษาธรรมอันประเสริฐ
ผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมอันประเสริฐ ผู้เป็นพระมหาขีณาสพในโลก
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๒๔. จักขุปาโล มะหาเถโร ปะธาโน สีละสังวุโต
ปะหิตัตโต มะหากาโย มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระจักขุปาละมหาเถระ ผู้มีความเพียร ผู้สำรวมแล้วในศีล
ผู้มีจิตดิ่งไปในนิพพาน ผู้มีรูปกายอันประเสริฐ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๒๕. สัพพะเวระภะยาตีโต นาระโท อาสะวักขะโย
มะหาสันติกะโร โลเก สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระนารทะเถระ ผู้ก้าวล่วงเวรและภัยทั้งปวงแล้ว สิ้นอาสวะแล้ว
กระทำความสงบอันประเสริฐในโลก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๒๖. พุทธะปูชายะ นิระโต ชินะภัตติปะรายะโน
สัทธัมมะสะวะโน เถโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระสัทธัมมสวนะเถระ ผู้ยินดีในการบูชาพระพุทธเจ้า
มีความภักดีในพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๒๗. ปัจฉิมะภะวะสัมปัตโต โคตะโม ภาวะนาระโต
ราคักขะยะมะนุปปัตโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระโคตมะเถระ ผู้เข้าถึงภพสุดท้ายแล้ว
ยินดีในภาวนาถึงความสิ้นไปแห่งราคะ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๒๘. เสนาสะเนสุ สัปปายัง ลัทธา ฌานัง สะมาระภิ
โคธิโก พุทธะฌายันโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระโคธิกะเถระ เมื่อเพ่งความตรัสรู้
ได้เสนาสนะที่สัปปายะแล้ว จึงได้บำเพ็ญฌาน
ท่านเป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าทรงทำฌาปนกิจให้ในเวลาปรินิพพาน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๒๙. พุทเธ ปะสันนะมานะโส สุพาหุ อัญชะลีกะโต
ขีณาสะโว วะสีภูโต มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระสุพาหุ ผู้มีใจเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
เคยกระทำอัญชลีมาแล้ว ๙๔ กัป
เป็นพระอรหันต์ผู้มีความชำนาญในฌานสมาบัติ
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๓๐. วิปัสสะนายะ ปะสุโต วัลลิโย สุสะมาหิโต
สะโต ฌายี วะเนวาสี สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระวัลลิยะเถระ ผู้ขวนขวายในวิปัสสนากรรมฐาน
มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว มีสติ ได้ฌาน มีปกติอยู่ป่า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๓๑. อุตติโย วินะยะธะโร อะติกกันโต นะรามะเร
ธาเรนโต อันติมัง เทหัง สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระอุตติยะเถระ ผู้ทรงพระวินัย
ผู้เป็นจอมแห่งหมู่มนุษย์และทวยเทพ
ผู้ทรงร่างกายอันมีในที่สุด
(คือสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีการเกิดต่อไปอีก)
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๓๒. วิมะโล วิระโชชัลโล ชาโต ปัณฑะระเกตุนา
พิมพิสารัทธะโช เถโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระวิมลโกณฑัญญะเถระ
ผู้บังเกิดเป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร
ผู้มีวัตรปฏิบัติอันขาวสะอาด
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๓๓. รัมมารัญเญ วะสิตฺวานะ ภาเวนโต กุสะลัง พะหุง
โยคักเขมะมะนุปปัตโต สะภิโย สันติง กะโรตุ โน.

พระสภิยะเถระ ผู้อยู่ในป่าอันน่ารื่นรมย์ เจริญกุศลเป็นเอนก
บรรลุพระนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งโยคะ
(คือกิเลสอันเป็นเครื่องผูกสัตว์ไว้ในสังสารวัฏ)
ขอจงประทานความสงบ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๓๔. ปุพเพนิวาสัง ชานันโต ทิพพะจักขุวิโสธะโน
นาคิโตระหะตัง ปัตโต โสตถฺยาโรคฺยัง ทะทาตุ โน.

พระนาคิตะเถระ ผู้ระลึกชาติในปางก่อนได้
ผู้มีทิพจักษุอันบริสุทธิ์ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว
ขอจงประทานความสวัสดี และความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๓๕. ปาติโมกขะมะนุปปัตโต วิชะโยรัญญะโคจะโร
ลาภาลาภี ตะถาสังสี สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระวิชยะมหาเถระ ผู้เข้าถึงปาติโมกข์สังวรศีล
ผู้มีป่าเป็นที่โคจร ผู้มีปกติกล่าวสรรเสริญ ตามที่ตนได้ปัจจัยมา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๓๖. ตัณหาชะฏัง วิชะเฏตฺวา วัฑเฒตฺวานะ วิปัสสะนัง
สังฆะรักขิโต มะหาเถโร มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระสังฆรักขิตะมหาเถระ
ผู้ถางรกชัฏคือตัณหา ยังวิปัสสนาให้เจริญ
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๓๗. อรัญญะวาสาภิระโต ภะวะเนตติสะมูหะโต
ธัมมานัง ปาระมิปปัตโต อุตตะโร ปาตุ โน ภะยา.

พระอุตตระเถระ ผู้ยินดียิ่งในการอยู่ป่า ผู้ถอนตัณหา
อันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพได้แล้ว
บรรลุถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งหลายคือ มรรค ผล นิพพาน
ขอจงรักษาพวกข้าพเจ้า ให้พ้นจากภัยเถิด

๑๓๘. ปุพเพ ปุญญานิ กัตฺวานะ ปุพพะโยคัง สะมาระภิ
อุสะโภระหะตัง ปัตโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระอุสภะเถระ ผู้กระทำบุญทั้งหลายไว้ในกาลก่อนแล้ว
ปรารภกรรมฐานอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งอริยมรรค
รรลุความเป็นพระอรหันต์
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๓๙. สะมาปัตติสะมาปันโน ฉะฬะภิญโญ มะหิทธิโก
สิวะโก พุทธะฌายันโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระสิวกะเถระ ผู้ถึงพร้อมด้วยสมาบัติ มีอภิญญาหก มีฤทธิ์มาก
เป็นผู้พิจารณาตัณหา ดังที่พระพุทธองค์ทรงพิจารณา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๔๐. สัตตาริยะธะโน เถโร ธะนิโย ธัมมะสาคะโร
วันตะสังสาระคะมะโน สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระธนิยะเถระ ผู้มีอริยทรัพย์เจ็ดประการ
ผู้เป็นดุจทะเลแห่งธรรม ผู้สำรอกกิเลส
อันเป็นเหตุท่องเที่ยวในสังสารวัฏได้แล้ว
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๔๑. ปัญจักขันเธ ปะริญญายะ ภาวะยิตฺวานะ นิพพุติง
ปัตตฺวานะ ปะระมัง สันติง โปสิโย ปาตุ โน ภะยา.

พระโปสิยะเถระ ผู้กำหนดรู้เบญจขันธ์แล้ว
เสวยอรหัตผลสมาบัติ เข้าถึงพระนิพพานอันประเสริฐ
ขอจงรักษาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากภัยเถิด

๑๔๒. อุปะนิสสะยะสัมปันโน อุชชะโย พุทธะมามะโก
โลกัตถะปะสุโต เถโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระอุชชยะเถระ ผู้สมบูรณ์ด้วยธรรมอันเป็นเหตุออกจากวัฏฏะ
ผู้นับถือพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ขวนขวายประโยชน์เพื่อชาวโลก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๔๓. พุทธัปปะสาทะสัมปันโน ปัพพะชี ชินะสาสะเน
สัญชะโย นามะ โส เถโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถระนามว่า สัญชยะ ผู้ถึงพร้อมด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
บวชแล้วในศาสนาของพระพุทธเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.

๑๔๔. มารัญชะโย มะหาเถโร รามะเณยโย มะหิทธิโก
นิพพานะนินนะจิตโต โส สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระมหาเถระนามว่า มารัญชยะ ผู้มีฤทธิ์มาก
และพระมหาเถระนามว่า รามะเณยยะ
เป็นผู้มีจิตดิ่งสู่พระนิพพาน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.

๑๔๕. อุโภ ปาปัญจะ ปุญญัญจะ วีติวัตโต อะนาสะโว
วีรัตเถโรระหัปปัตโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระวีระเถระ ผู้ข้ามพ้นบาปและบุญทั้งสองประการแล้ว
ผู้ไม่มีอาสวะ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๔๖. ปุณณะมาสะมะหาเถโร ปังสุกูละธะโร ยะติ
ปุพพะกิจจะวิธิง กัตฺวา มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระปุณณมาสะมหาเถระ เป็นผู้ทรงผ้าบังสุกุล
กระทำบุพพกิจเบื้องต้นแล้ว
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๔๗. ปัญจะฉินโน ปัญจะชะโห ปัญจะจุตตะริภาวะโน
ปัญจะสังคาติโค เถโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระปัญจสังคาติคเถระ
ผู้ข้ามพ้นกิเลสเป็นเครื่องข้อง (นิวรณ์) ๕ อย่าง
ผู้ตัดโอรัมภาคิยะสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องต่ำ) ๕ อย่างได้แล้ว
ผู้ละอุทธัมภาคิยะสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องสูง) ๕ อย่างได้แล้ว
ผู้เจริญอินทรีย์ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๔๘. ปุพเพ ราคัง วิจาเรนโต ชินะภัตติปะรายะโน
เพลัฏฐะสีโส วังสะธะโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเพลัฏฐสีสะเถระ ผู้เคยจัดแจงการบูชายัญในกาลที่ตนเป็นฤษี
ผู้ถวายความภักดีต่อพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงไว้ซึ่งวงศ์แห่งอริยะ
(วงศ์แห่งอริยะคือสันโดษในจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และยินดีในการภาวนา)
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๔๙. ปัญจุปปันนานิ อะภะโย นิกันติ นัตถิ ชีวิเต
อะชิโต โส มะหาเถโร มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระมหาเถระนามว่า อชิตะ ผู้ไม่มีความกลัวภัย ๕ อย่าง
(ราชภัย โจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย) ที่กำลังเกิดขึ้น
ผู้ไม่มีความเยื่อใยในชีวิต
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๕๐. วิวัฏฏะนิสสะเย ปุญเญ กัตฺวา สัมพุทธะภัตติมา
กุลลัตเถโรระหัปปัตโต มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระกุลละเถระ ผู้มีความภักดีในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ได้กระทำบุญบารมี อันมีนิพพานเป็นที่รองรับ
บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๕๑. วิปัสสี ธัมมะทายาโท เถโร นิโคฺรธะนามะโก
นิพพานาคะมะสันทิฏโฐ สะทา สันติง กะโรตุ โน.

พระเถระนามว่า นิโครธะ ผู้มีปกติเจริญวิปัสสนา
ผู้เป็นธรรมทายาท เป็นผู้ได้ประจักษ์แจ้งธรรมที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
ขอจงประทานความสงบ แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๕๒. ติสโส วิชชา อะนุปปัตโต สุคันโธ นามะ โสระหา
สัพพะปาปะปะริกขีโณ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระอรหันต์นามว่า สุคันธะ ได้บรรลุวิชชาสาม
เป็นผู้หมดสิ้นจากบาปทั้งปวง
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๕๓. นันทิโย สัทธาสัมปันโน ชิตะกเลโส มะหาเถโร
อะภิญญาปาระมิปปัตโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระนันทิยะมหาเถระ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา
ผู้ชนะกิเลสทั้งปวง ผู้ถึงที่สุดแห่งอภิญญา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๕๔. กิเลสา ฌาปิตา เยนะ ชิตะธัมมะระเตนะ โส
กัมมาระปุตตะวิมะโล สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถระรูปใด เป็นบุตรของนายช่างทอง
เป็นผู้ยินดีในธรรมอันเป็นเครื่องพิชิตมาร
ชนะกิเลสด้วยมรรคญาณแล้ว
พระเถระนั้นนามว่า วิมละ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๕๕. เทวะโลกะมะนุสเสสุ อะนุภุตฺวา วิภูติโย
ติสสัตเถโร มะหาภูโต มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระติสสะเถระ เสวยสมบัติในเทวโลกและมนุษย์โลกแล้ว
สำเร็จเป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐ
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๕๖. สุวิมุตโต มะหานาโค ตีหิ วังเกหิ มุตตะโก
สุมังคะโล มะหาเถโร มะหาสันติง กะโรตุ โน.

พระสุมังคละมหาเถระ ผู้หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว
เป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐ
พ้นแล้วจากความคดกาย วาจา ใจทั้งสาม
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๕๗. นิรัคคะโฬ นิราสาโส มะละขีละวิโสธะโน
วิเวกาภิระโต คุตโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระมหาเถระนามว่า คุตตะ ผู้ปราศจากลิ่มคืออวิชชา
ผู้ปราศจากกิเลสคือความอยาก
ผู้ชำระมลทินได้ทั้งหมด ผู้ยินดีในความวิเวก
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๕๘. ปะวิเวกะมะนุปปัตโต คิริมานันทะนามะโก
ภาเวนโต กุสะเล ธัมเม สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถระนามว่า คิริมานันทะ เจริญกุศลธรรมทั้งหลายอยู่
ได้บรรลุวิเวก ๓ แล้ว (กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก)
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๕๙. พุทธะสาสะนะมารัทโธ สะมิทธิ ภาวะนาระโต
สะมิทธิคุณะสัมปันโน สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระสมิทธิเถระ ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ยินดีในภาวนา
ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณ อันเป็นเหตุแห่งความสำเร็จ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๖๐. อาราธิตะชิโน สันโต โชติตเถโร มะหาระหา
วิมุตโต สัพพะสังสารา สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระโชติตเถระ ผู้ชนะตัณหา อันเป็นเหตุให้ยินดีได้แล้ว
เป็นผู้สงบ เป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐ
หลุดพ้นแล้วจากสังสาระทั้งปวง
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


๑๖๑. เสนาสะนานิ ปันตานิ เสวันโต ฌานะมาระภิ
ฉะฬะภิญโญ มะหาจุนโท สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระมหาจุนทะเถระ
อาศัยเสนาสนะอันสงัดอยู่ เข้าฌาน ได้อภิญญา ๖
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๖๒. ฉันนัตเถโร สะหะชาโต สุณันโต ชินะสาสะนัง
โยคักเขมะมะนุปปัตโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระฉันนะเถระ ผู้เป็นสหชาตกับพระพุทธเจ้า
เมื่อเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ได้บรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ (คือพระนิพพาน) แล้ว
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๖๓. เมฆิโย พุทธุปปัฏฐาโก ชินะภัตติปะรายะโน
มิจฉาวิตักกุปัจเฉโท สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเมฆิยะเถระ ผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า
ผู้มีความภักดี ในพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ตัดมิจฉาวิตกคือความดำริผิดได้แล้ว
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๖๔. อุปะวาโณ มะหาเถโร มะหากาโย มะหาระหา
มะหิทธิโก มะหาเตโช สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระอุปวาณะ ผู้เป็นมหาเถระ มีร่างกายใหญ่
เป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.

๑๖๕. สังกิจโจ โจระทะมะโน สัพพะสังโยชะนักขะโย
ปาเลตุ โน สัพพะภะยา โสตถฺยาโรคฺยัง ทะทาตุ โน.

พระสังกิจจะเถระ ผู้ฝึกโจรห้าร้อย
สิ้นสังโยชน์คือกิเลส เครื่องผูกสัตว์ไว้ในสังสารวัฏแล้ว
ขอจงรักษาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากภัยทั้งปวง
ขอจงประทานความสวัสดี และความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๑๖๖. ปัญหะพฺยากะระเณ เฉโก เมตตาฌานะระโต ยะติ
โสปาโกปายะสัมปันโน สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระโสปากะเถระ
เป็นภิกษุผู้ฉลาดในการทูลตอบปัญหาของพระพุทธเจ้า
ผู้ยินดีในฌานอันประกอบด้วยเมตตา
ผู้ถึงพร้อมด้วยอุบาย เพื่อให้ได้มรรคผล
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๖๗. เขตตะสัมปัตติสัมปัตโต วัฑฒะมาโนวะ โสตถินา
สุมะโน อะระหา ชาโต สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระสุมนะเถระ ผู้สมบูรณ์ด้วยกาลเวลา
อันสมควรที่จะบรรลุธรรม
ผู้เจริญเติบโตด้วยความสุข เป็นพระอรหันต์แล้ว
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๖๘. ปิโย เทวะมะนุสสานัง สานุตเถโร พะหุสสุโต
เมตตาฌายี ตะโมฆาตี สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระสานุเถระ ผู้เป็นที่รักของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
ผู้เป็นพหูสูต ผู้มีปกติเข้าฌานประกอบด้วยเมตตา
ผู้ทำลายความมืดคือโมหะ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๖๙. โย จะ ปุพเพ กะตัง ปาปัง กุสะเลนะ ปิธียะติ
อังคุลิมาโล โส เถโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถระใด ได้เคยทำบาปมาก่อน
เป็นผู้ตัดบาปอกุศลได้ด้วยอริยมรรค
พระเถระนั้นนามว่า องคุลีมาละ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๗๐. วิปัสสะนาธุรา เยปิ เถรา สะมะถะยานิกา
ขีณาสะวา มะหาเตชา มะหาตะมะวิโนทะนา.

พระเถระแม้เหล่าใด ผู้สิ้นอาสวะ ผู้มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่
ผู้ขจัดความมืดมิดคือโมหะ ผู้เจริญวิปัสสนาเป็นธุระก็ดี
พระเถระเหล่าใด ผู้เป็นสมถยานิกะก็ดี

๑๗๑. ฌานิกาฌานิกา เยปิ ธัมมาภิสะมะยาทะโย
สัพเพ โสตถิง สะทา เทนตุ ชะยามาโรคฺยะมายุ โน.

และพระเถระเหล่าใด ผู้ได้ฌานและไม่ได้ฌานก็ดี
พระเถระเหล่าใด ผู้ถูกกำหนดด้วยการบรรลุอริยสัจธรรมก็ดี
ขอพระเถระทั้งปวง ที่กล่าวมาแล้วนี้
จงประทานความสวัสดี ชัยชนะ ความไม่มีโรค และอายุ
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

   
 (พระเถรีชั้นผู้ใหญ่ ๑๓ รูป)

๑๗๒. รัตตัญญูนัง ภิกขุนีนัง โคตะมี ชินะมาตุจฉา
ฐะปิตา อัคคัฏฐานัมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระโคตมีเถรี ผู้เป็นพระน้านางของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุณีผู้รู้ราตรี
ขอพระเถรี ได้โปรดประทานความสวัสดี
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๗๓. มะหาปัญญานะมัคคัฏฐา เขมาเถรีติ ปากะฏา
สาวิกา พุทธะเสฏฐัสสะ สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

พระพุทธสาวิกาผู้ประเสริฐสุด ปรากฎนามว่า พระเขมาเถรี
ผู้ดำรงอยู่ในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้มีปัญญามาก
ขอพระเถรีจงประทานความสวัสดี
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๗๔. เถรี อุปปะละวัณณา จะ อิทธิมันตีนะมุตตะมา
สาวิกา พุทธะเสฏฐัสสะ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระอุบลวรรณาเถรี เป็นพุทธสาวิกาผู้ประเสริฐสุด
เป็นผู้เลิศกว่า เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้มีฤทธิ์
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๗๕. วินะยัทธะรีนัง อัคคา ปะฏาจาราติ วิสสุตา
ฐะปิตา อัคคัฏฐานัมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถรีผู้ปรากฏชื่อว่า พระปฏาจารา
พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้ทรงพระวินัย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๗๖. ธัมมักกะถิกะปะวะรา ธัมมะทินนาติ นามิกา
ฐะปิตา อัคคัฏฐานัมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถรีผู้มีนามว่า ธัมมทินนา
พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ ในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้เป็นธรรมกถึก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๗๗. ฌายิกานัง ภิกขุนีนัง นันทาเถรีติ นาเมสา
อัคคัฏฐาเน ฐิตา อะหุ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระสาวิกานามว่า นันทาเถรี
เป็นผู้ดำรงอยู่ในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้มีฌาน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๗๘. อารัทธะวีริยานัง อัคคา โสณาเถรีตินามิกา
ฐะปิตา ตัตถะ ฐานัมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถรีนามว่า โสณา
พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าเหล่าบรรดาภิกษุณี
ผู้ปรารภความเพียร
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๗๙. ทิพพะจักขุกานัง อัคคา พะกุลา อิติ วิสสุตา
วิสุทธะนะยะนา สาปิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระเถรีผู้ปรากฏชื่อว่า พกุลา เป็นผู้มีจักษุอันบริสุทธิ์
เป็นผู้เลิศกว่าเหล่าบรรดาภิกษุณีผู้มีตาทิพย์
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๘๐. กุณฑะละเกสี ภิกขุนี ขิปปาภิญญานะมุตตะมา
ฐะปิตาเยวะ ฐานัมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

ภิกษุณีชื่อว่า กุณฑละเกสี
พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้แล้วในตำแหน่ง เป็นผู้เลิศกว่า
เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้ตรัสรู้เร็ว
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๘๑. เถรี ภัททะกาปิลานี ปุพพะชาติมะนุสสะรี
ตาสังเยวะ ภิกขุนีนัง อัคคา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระภัททกาปิลานีเถรี ผู้ระลึกถึงชาติในปางก่อนได้
เป็นผู้เลิศกว่า เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้ระลึกชาติปางก่อนได้
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้าเถิด.

๑๘๒. เถรี ตุ ภัททะกัจจานา มะหาภิญญานะมุตตะมา
ชิเนนะ สุขะทุกขัง สา สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

พระภัททกัจจานาเถรี (พระนางยโสธรา)
ผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นคู่บารมีกับพระชินเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระนางไว้ในตำแหน่ง เป็นผู้เลิศกว่า
เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้มีอภิญญาอันพิเศษ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๘๓. ลูขะจีวะระธารีนัง อัคคา กิสาปิ โคตะมี
ฐะปิตา อัคคัฏฐานัมหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

แม้ พระกิสาโคตมี พระศาสดาตั้งไว้ในตำแหน่ง
เป็นผู้เลิศกว่า เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๘๔. สิงคาละมาตา ภิกขุนี สัทธาธิมุตตานะมุตตะมา
กะโรตุ โน มะหาสันติง อาโรคฺยัญจะ สุขัง สะทา.

พระสิงคาลมาตาภิกษุณี
เป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งเหล่าภิกษุณีผู้มากด้วยศรัทธา
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ
ความไม่มีโรค และความสุข แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๘๕. อัญญา ภิกขุนิโย สัพพา นานาคุณะธะรา พะหู
ปาเลนตุ โน สัพพะภะยา โสกะโรคาทิสัมภะวา.

พระภิกษุณีเหล่าอื่นทั้งปวงเป็นจำนวนมาก
ผู้ทรงคุณธรรมต่าง ๆ กัน
ขอจงรักษาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากภัยทั้งปวง
อันเกิดจากความเศร้าโศก และโรคเป็นต้น

๑๘๖. โสตาปันนาทะโย เสกขา สัทธาปัญญาสีลาทิกา
ภาคะโส กเลสะทะหะนา สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

พระภิกษุณีทั้งหลาย ผู้เป็นพระเสขบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้น
เป็นผู้ยิ่งยวดด้วยศรัทธา ปัญญา และศีล
เป็นผู้เผากิเลสได้เป็นบางส่วน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

 (พญานาค)

๑๘๗. สุมะโน สุมะนะจะโล อะระวาเฬระปัตตะโก
จัมเปยโย มุจะลินโท จะ กัมพะโล ภุชะคิสสะโร.

สุมนะนาคราช สุมนจละนาคราช อรวาฬะนาคราช
เอฬปัตตกะนาคราช จัมเปยยะนาคราช มุจลินทะนาคราช
กัมพละนาคราช ผู้เป็นใหญ่แห่งนาคราช

๑๘๘. กาละนาโค มะหากาโฬ สังขะปาโล มะโหทะโร
มะณิกัณโฐ มะณิอักขิ นันทะนาโคปะนันทะโก.

กาละนาคราช มหากาฬะนาคราช สังขปาละนาคราช
มโหทระนาคราช มณิกัณฐะนาคราช มณิอักขินาคราช
นันทะนาคราช อุปนันทะนาคราช

๑๘๙. วะรุโณ ธะตะรัฏโฐ จะ กุงคุวิโลปะลาละโก
จิตฺระนาโค มะหาวีโร ฉัพฺยาปุตโต จะ วาสุกี.

วรุณะนาคราช ธตรัฏฐะนาคราช กุงคุวิละนาคราช
อปลาลกะนาคราช จิตระนาคราช มหาวีระนาคราช
ฉัพยาปุตตะนาคราช วาสุกีนาคราช

๑๙๐. กัณหาโคตะโม ภุชะคินโท อัคคิธูมะสิโข ตะถา
จูโฬทะโร อะหิจฉัตโต นาคา เอราปะถาทะโย.

กัณหาโคตมะนาคราช นาคผู้เป็นจอมนาค
อัคคิสิขะนาคราช ธูมะสิขะนาคราช อหิจฉัตตะนาคราช
จูโฬทระนาคราช พญานาคทั้งหลาย มีเอราปะถะนาคราชเป็นต้น

๑๙๑. อาสีวิสา โฆระวิสา เย สัพเพ นะยะนาวุธา
ชะลัฏฐา วา ถะลัฏฐา วา ปัพพะเตยยา นะทีจะรา
กะโรนตุ โน มะหาโสตถิง อายุมาโรคิยัง สะทา.

หมู่นาคราชทั้งปวงเหล่าใด
เป็นนาคราชมีพิษร้ายแรง (คือพิษแล่นไปเร็ว)
มีพิษน่าสพึงกล้ว มีนัยน์ตาเป็นอาวุธ

ดำรงอยู่ในน้ำ ดำรงอยู่บนบก ดำรงอยู่ที่ภูเขา
หรือว่าเที่ยวไปในนที

ขอนาคราชทั้งปวงเหล่านั้น
ขอจงประทานความสวัสดีอันประเสริฐ
ความมีอายุ และความไม่มีโรค
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

 (เปรต)

๑๙๒. นิชฌามะตัณหิกา เปตา อุสุสัตติ จะ โลมะกา
มังสะปิณฑาทะโย เปตา เปตา เวมานิกาทะโย
ปาเลนตุ โน สัพพะภะยา สะทา เต สุขิโน สะทา.

นิชฌามตัณหิกะเปรต อุสุโลมกะเปรต
สัตติโลมกะเปรต มังสปิณฑะเปรตเป็นต้น เวมานิกะเปรตเป็นต้น

ขอเปรตทั้งหลายเหล่านั้นจงมีความสุขในกาลทุกเมื่อ
จงรักษาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากภัยทั้งปวง ในกาลทุกเมื่อเถิด

(อสูร)

๑๙๓. เย ปะหาราทะสัมพะระ- พะลฺยาสุระคะณา จะ เย
เวปะจิตตาสุระคะณา จันทาสุระคะณาทะโย.

หมู่อสูรเหล่าใด คือ หมู่ปหาราทะอสูร หมู่สัมพระอสูร
หมู่พลิอสูร หมู่เวปจิตตะอสูร หมู่จันทะอสูรเป็นต้น

๑๙๔. สัพเพ เตปิ มะหาเตชา ภูตะยักขะนิวาระณา
กะโรนตุ โน มะหาโสตถิง อาโรคฺยัญจะ ชะยัง สะทา.

แม้หมู่อสูรเหล่านั้นทั้งปวง มีเดชมาก
ผู้สามารถป้องกันภูตและยักษ์
ขอจงประทานความสวัสดีอันประเสริฐ
ความไม่มีโรค และชัยชนะ แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

 (เทวดา)

๑๙๕. เย ยักขา สัตตะสะหัสสา ภุมมา กาปิละวัตถุกา
อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน.

ยักษ์ผู้เป็นภุมมเทวดาเจ็ดพันตนเหล่าใด
อยู่ในเมืองกบิลพัสดุ์ มีฤทธิ์ มีความเจริญรุ่งเรือง มีวรรณะ มีบริวารมาก

๑๙๖. สัพเพ ติสะระณา ยักขา มะเหสักขา ชุตินธะรา
กะโรนตุ โน มะหาโสตถิง อาโรคฺยัญจะ ชะยัง สะทา.

ยักษ์(เทวดา)ทั้งปวง ผู้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
มีศักดิ์ใหญ่ผู้ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง
ขอยักษ์เหล่านั้น จงประทานความสวัสดีอันประเสริฐ
ความไม่มีโรค และชัยชนะ แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๙๗. ฉะสะหัสสา เหมะวะตา ยักขา นานัตตะวัณณิโน
พุทธะปูชายะ นิระตา สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ยักษ์(เทวดา)หกพันตน อยู่ที่เขาเหมวตา
มีผิวพรรณวรรณะต่าง ๆ กัน ยินดีในการบูชาพระพุทธเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๙๘. สาตาคิรา ติสะหัสสา ยักขา นีลาทิวัณณิโน
นานาปะภายะ สัมปันนา สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ยักษ์(เทวดา)สามพันตน อยู่ที่เขาสาตาคีรี
มีผิวพรรณ วรรณะสีเขียวเป็นต้น ผู้สมบูรณ์ด้วยรัศมีต่าง ๆ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๑๙๙. เวสสามิตตา ปัญจะสะตา ยักขา นานัตตะวัณณิโน
อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน
โมทะมานา อะภิกกามุง สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ยักษ์(เทวดา)ห้าร้อยตน
อยู่ที่เขาเวสสามิตตะมีผิวพรรณวรรณะต่าง ๆ กัน
มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง มีวรรณะ มีบริวาร บันเทิงอยู่ มาชุมนุมกัน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๐๐. กุมภีโร ราชะคะหิโก เวปุลลัสสะ นิเวสะนัง
ภิยโย นัง สะตะสะหัสสัง ยักขานัง ปะยิรุปาสะติ
โส ยักเขหิ ปะริวาโร สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

เทวดาชื่อว่า กุมภีระ อยู่ในพระนครราชคฤห์
วิมานของท้าวเธอนั้น ได้แก่ยอดเขาเวปุลละ
ท้าวเธอนั้น เป็นผู้อันหมู่ยักษ์หลายแสนตนเข้ามาปรนนิบัติรับใช้
ขอท้าวกุมภีระผู้มียักษ์เป็นบริวารนั้น
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๐๑. ปุริมัญจะ ทิสัง ราชา ธะตะรัฏโฐ ปะสาสะติ
คันธัพพานัง อะธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิ โส.

ท้าวมหาราชนามว่า ธตรัฏฐะ ปกครองอยู่ในทิศบูรพา
เป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์ ท้าวเธอมีบริวารมาก

๒๐๒. ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา
โส ราชา สะหะ ปุตเตหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

แม้บุตรของท้าวเธอก็มีมาก นามว่า อินทะ มีกำลังมาก
ขอท้าวธตรัฏฐะกับบุตรทั้งหลาย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๐๓. ทักขิณัญจะ ทิสัง ราชา วิรุฬโห ตัง ปะสาสะติ
กุมภัณฑานัง อะธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิ โส.

ท้าวมหาราชนามว่า วิรุฬหกะ ปกครองอยู่ในทิศทักษิณ
เป็นอธิบดีของพวก
      บันทึกการเข้า

www.jozho.net
แจก CD ธรรมะฟรี ดาวน์โหลดธรรมะฟรีมากมาย
เสียงเทศนาหลากหลายครูบาอาจารย์
เสียงอ่านหนังสือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ ฟังสบาย เข้าใจง่าย
โจโฉ คร้าบบบ
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24

เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 15:22:43 »

เกี่ยวกับบท นะโม 3 จบ

* ก่อนสวดให้จำไว้ว่า บทนะโม เป็นการน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า  อัญเชิญพระพุทธคุณเป็นประธานในการทำพิธีหรือสวดมนต์ต่างๆ  สิ่งสูงสุดที่เราต้องระลึกและน้อมเข้ามาเหนือเศียรเกล้าเพื่อความเป็นสิริมงคลและไม่หลงลืมว่า ท่านคือองค์พระศาสดาผู้มีพระคุณสูงสุดของพวกเรา     กราบแล้วท่อง มโนภาพในใจ นึกเสมือนพระองค์มาประทับนั่งเป็นประธานในการสวดหรือทำพิธีของเรา จะเพิ่มปีติ ศรัทธาและอนุภาพยิ่งขึ้น    ก่อนสวดขอนำที่มาของบท นะโม  เพื่อเพิ่มความเข้าใจยิ่งๆ ขึ้นครับ




ที่มาของคำบูชาพระบรมศาสดา (นะโม ตัสสะฯ)



มีเรื่องเล่าว่า ณ แดนหิมวันต์ประเทศ มีเทือกเขาชื่อว่า สาตาคิรี เป็นที่ร่มรื่น รมณียสถาน
เป็นที่อยู่ของพวกยักษ์ที่เป็นภุมเทพยดา อันมีนามตามที่อยู่ว่า สาตาคิรียักษ์
มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าหิมวันต์ ทางทิศเหนือ เป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณ สาตาคิรียักษ์ได้มีโอกาสสดับ
พระสัทธรรมจากพระบรมศาสดา จนมีจิตเลื่อมใสศรัทธา เปล่งคำยกย่องบูชาด้วยคำว่า "นะโม" หมายถึง พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นใหญ่กว่า มนุษย์ เทพยดา พราหมณ์ มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง

กล่าวฝ่ายอสุรินทราหู เมื่อได้สดับพระเกียรติศัพท์ ของพระบรมศาสดา ก็มีจิตปรารถนา
ที่จะได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาบ้าง แต่ด้วยกายของตนใหญ่โตเท่ากับโลก จึงคิดดูแคลน พระบรมศาสดาว่า มีพระวรกายเล็กดังมด จึงอดใจรั้งรออยู่ พอนานวันเข้า พระเกียรติคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยิ่งขจรขจายไปทั้งสามโลกจนทำให้อสุรินทราหูอดทนรออยู่มิได้ จึงเหาะมาในอากาศ ตั้งใจว่าจะร่ายเวทย่อกาย เพื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอฟังธรรม  แต่พอมาถึงที่ประทับ อสุรินทราหู กลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า เพื่อจะได้ทัศนาพระพักตร์พระบรมศาสดา พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระสัทธรรม ชำระจิตอันหยาบกระด้าง ของอสุรินทราหู ให้มีความเลื่อมใสศรัทธา
แสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกล่าวสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า ตัสสะ แปลว่า ขอบูชา ขอนอบน้อม ขอนมัสการ

เมื่อครั้งที่ท้าวจาตุมหาราช ทั้ง ๔ ผู้ดูแลปกครองสวรรค์ชั้นแรก มีชื่อเรียกว่า ชั้น กามาวจร มีหน้าที่ปกครองดูแลประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมบริวาร ได้พากันเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วทูลถามปัญหา พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมตอบปัญหา แก่มหาราชทั้งสี่พร้อมบริวาร จนยังให้เกิดธรรมจักษุแก่มหาราชทั้งสี่ และบริวาร ท่านทั้ง ๔ นั้น จึงเปล่งคำบูชาสาธุขึ้นว่า ภะคะวะโต แปลว่า พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่ง อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

อะระหะโต เป็นคำกล่าวสรรเสริญ ของท้าวสักกะเทวราช เจ้าสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น
ท่านสถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะเทวราช ได้ทูลถามปัญหา แด่พระผู้มีพระภาค
พระพุทธองค์ทรงตรัสปริยายธรรม และ ทรงตอบปัญหา จนทำให้ท้าวสักกะเทวราช ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาปัตติผล จึงเปล่งอุทานคำบูชาขึ้นว่า "อะระหะโต" แปลเป็นใจความว่า อรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง

สัมมาสัมพุทธัสสะ เป็นคำกล่าวยกย่องสรรเสริญ ของท้าวมหาพรหม
หลังจากได้ฟังธรรม จนบังเกิดธรรมจักษุ จึงเปล่งคำสาธุการ "สัมมาสัมพุทธัสสะ"
หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยพระองค์เอง ทรงรู้ดี รู้จริง รู้ยิ่ง กว่าผู้รู้อื่นใด

รวมเป็นบทเดียวว่า
"นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ"

แปลโดยรวมว่า
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น 
ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

      บันทึกการเข้า

www.jozho.net
แจก CD ธรรมะฟรี ดาวน์โหลดธรรมะฟรีมากมาย
เสียงเทศนาหลากหลายครูบาอาจารย์
เสียงอ่านหนังสือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ ฟังสบาย เข้าใจง่าย
โจโฉ คร้าบบบ
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24

เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 15:23:57 »

สงวนสิทธิ์ ห้ามจำหน่าย หรือเป็นไปเพื่อการค้า แสวงหากำไร
เผยแพร่ได้เฉพาะธรรมทาน แจกฟรี เท่านั้น
      บันทึกการเข้า

www.jozho.net
แจก CD ธรรมะฟรี ดาวน์โหลดธรรมะฟรีมากมาย
เสียงเทศนาหลากหลายครูบาอาจารย์
เสียงอ่านหนังสือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ ฟังสบาย เข้าใจง่าย
โจโฉ คร้าบบบ
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24

เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 16:32:05 »

เพิ่มเติมบทสวด  เมื่อกี้ ยังไม่ครบ


๒๐๓. ทักขิณัญจะ ทิสัง ราชา วิรุฬโห ตัง ปะสาสะติ
กุมภัณฑานัง อะธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิ โส.

ท้าวมหาราชนามว่า วิรุฬหกะ ปกครองอยู่ในทิศทักษิณ
เป็นอธิบดีของพวกกุมภัณฑ์ ท้าวเธอมีบริวารมาก

๒๐๔. ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา
วิรุฬโห สะหะ ปุตเตหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

แม้บุตรของท้าวเธอก็มีมาก นามว่า อินทะ มีกำลังมาก
ขอท้าววิรุฬหกะกับบุตรทั้งหลาย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๐๕. ปัจฉิมัญจะ ทิสัง ราชา วิรูปักโข ปะสาสะติ
นาคานัญจะ อะธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิ โส.

ท้าวมหาราชนามว่า วิรูปักขะ
ปกครองอยู่ในทิศปัจฉิมเป็นอธิบดีของพวกนาค ท้าวเธอมีบริวารมาก

๒๐๖. ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา
วิรูปักโข สะปุตเตหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

แม้บุตรของท้าวเธอก็มีมาก นามว่า อินทะ
มีกำลังมากขอท้าววิรูปักขะกับบุตรทั้งหลาย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๐๗. อุตตะรัญจะ ทิสัง ราชา กุเวโร ตัง ปะสาสะติ
ยักขานัญจะ อะธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิ โส.

ท้าวมหาราชนามว่า กุเวระ ปกครองอยู่ในทิศอุดร
เป็นอธิบดีของพวกยักษ์ ท้าวเธอมีบริวารมาก

๒๐๘. ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา
กุเวโร สะหะ ปุตเตหิ สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

แม้บุตรของท้าวเธอก็มีมากนามว่า อินทะ มีกำลังมาก
ขอท้าวกุเวระกับบุตรทั้งหลาย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๐๙. ปุริมัง ทิสัง ธะตะรัฏโฐ ทักขิเณนะ วิรุฬหะโก
ปัจฉิเมนะ วิรูปักโข กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง.

ท้าวธตรัฏฐะ ประจำอยู่ในทิศบูรพา ท้าววิรุฬหกะ
ประจำอยู่ในทิศทักษิณ ท้าววิรูปักขะ ประจำอยู่ในทิศปัจฉิม
ท้าวกุเวระ ประจำอยู่ในทิศอุดร

๒๑๐. จัตตาโร เต มะหาราชา สะมันตา จะตุโร ทิสา
ทัททัฬหะมานา อัฏฐังสุ สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ท้าวมหาราชทั้งสี่ ผู้รุ่งเรืองดุจประทีป
ประจำอยู่ในทิศทั้งสี่โดยรอบ
ขอท้าวเธอจงประทานความสวัสดี
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๑๑. เตสัง มายาวิโน ทาสา อาคุง วัญจะนิกา สะฐา
มายา กุเฏณฑุ วิเฏณฑุ วิตุจจะ วิตุโฏ สะหะ.

พวกบ่าวของท้าวมหาราชทั้งสี่เหล่านั้น
ล้วนเป็นผู้มีมายาหลอกลวงเจ้าเล่ห์
ได้แก่บ่าว ชื่อกุเฏณฑุก็ดี ชื่อวิเฏณฑุก็ดี ชื่อวิตุจจะก็ดี ชื่อวิตุฏะก็ดี

๒๑๒. จันทะโน กามะเสฏโฐ จะ กินนุฆัณฑุ นิฆัณฑุ จะ
ปะนาโท โอปะมัญโญ จะ เทวะสูโต จะ มาตะลิ.

ชื่อจันทนะก็ดี ชื่อกามเสฏฐะก็ดี ชื่อกินนุฆัณฑุก็ดี
ชื่อนิฆัณฑุและปนาทะเทวดาก็ดี ชื่อโอปมัญญะเทวดาก็ดี
เทพสารถีชื่อว่ามาตลิก็ดี ต่างก็มาแล้วสู่ที่ชุมนุม

๒๑๓. จิตตะเสโน จะ คันธัพโพ นะโฬราชา ชะเนสะโภ
วะโร ปัญจะสิโข เจวะ ติมพะรู สูริยะวัจฉะสา.

เทพคนธรรพ์ชื่อว่าจิตตะเสนะ ชื่อว่านโฬราชะ
ชื่อว่าชเนสภะ ชื่อว่าปัญจสิขะ
(ผู้ปรารถนาให้ได้นางสุริยวัจฉสาเทพธิดา)
ชื่อว่าติมพรู ชื่อว่าสุริยวัจฉสาเทพธิดา (ผู้เป็นบุตรีของท้าวติมพรู)

๒๑๔. เอเต จัญเญ จะ ราชาโน คันธัพพา จะ มะหัพพะลา
โมทะมานา สะทา โสตถิง โน กะโรนตุ อะนามะยัง.

ขอพระราชาทั้งหลาย เทพคนธรรพ์เหล่านี้ และเทพเหล่าอื่น
ผู้มีกองกำลังมหาศาล บันเทิงอยู่
ขอจงประทานความสวัสดีและความไม่มีโรค
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๑๕. มะหันตา นาคะสา นาคา เวสาลา สะหะ ตัจฉะกา
กัมพะลัสสะตะรา จาปิ เมรุปาทะสิตา พะลา.

เหล่านาคผู้อาศัยอยู่ในสระน้ำชื่อว่า นาคสะ จำนวนมาก
พร้อมกับบริวารของท้าวตัจฉกะ
และนาคผู้อาศัยอยู่ในนครเวสาลี
และกัมพละนาคราช อัสสตระนาคราช
ผู้มีพละกำลังผู้อาศัยอยู่ที่เชิงเขาสุเมรุ

๒๑๖. ยามุนา ธะตะรัฏฐา จะ สัพเพ นาคา ยะสัสสิโน
เอราวะโณ มะหานาโค โน กะโรนตุ อะนามะยัง.

นาคผู้อยู่ในแม่น้ำยมุนา และนาคชื่อว่าธตรัฏฐะ
และนาคทั้งหลายทั้งปวง ผู้มีบริวารเป็นจำนวนมาก
และท้าวเอราวัณผู้มีชื่อว่ามหานาค
ขอจงประทานความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๒๑๗. มะหิทธิกา สุปัณณา เย นาคะราเช มะหัพพะเล
คะเหตฺวา ชินะเขตเตวะ ปักขันทิงสุ นะเภ พะลา
เต พุทธะสะระณา สัพเพ โสตถิง กะโรนตุ โน สะทา.

ครุฑเหล่าใด เป็นผู้มีฤทธิ์เดช ผู้ทรงพลัง
จับนาคราชผู้ทรงพลังในแดนที่ตนชนะนั่นเทียว แล้วบินไปในท้องฟ้า
ครุฑทั้งปวงเหล่านั้น เป็นผู้นับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๑๘. ปะฐัพฺยาโป จะ เตโช จะ วาโย เทวา มะหิทธิกา
อุปะจาเรนะ นิพพัตตา สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

เทวดาชื่อว่า ปฐวี อาโป เตโช และวาโย ผู้มีฤทธิ์มาก
บังเกิดด้วยอุปจารฌานของตน ๆ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๑๙. วะรุณา วาระณา เทวา โสโม จะ ยะสะสา สะหะ
เมตตาการุณิกา สัพเพ สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

วรุณะเทพ วารณาเทพ โสมะเทพ
พร้อมทั้งยะสะเทพ เมตตาเทพ กรุณาเทพ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๒๐. ปัณณาสะโยชะนายาเม วิมาเน ระตะนามะเย
ฐิโต ตะเม วิหันตฺวานะ สูริโย โสตถิง กะโรตุ โน.

สุริยะเทพบุตร ผู้อาศัยอยู่ในสุริยะวิมาน
ที่สำเร็จด้วยรัตนะซึ่งมีความยาวห้าสิบโยชน์
ขอจงทำลายความมืด แล้วประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๒๒๑. จันโท สีตะกะโร โลเก ปะภายุชชะลิโตทะโย
มะหันธะการะวิทธังสี สะทา โสตถิง กะโรตุ โน.

จันทะเทพบุตร ผู้ประทานความร่มเย็นแก่ชาวโลก
ส่องสว่างปรากฏขึ้น ด้วยรัศมี มีปกติทำลายความมืดมน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๒๒. เวณฑุ จะ สะหะสี เทวา อะสะมา จะ ทุเว ยะมา
จันทัสสูปะนิสา เทวา เทวา สูริยะนิสสิตา
พุทธัสสะ มามะกา สัพเพ สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

เวณฑุเทพ สหสีเทพ อสมะเทพ ยมะเทพทั้งสอง
เทพผู้อาศัยจันทะเทพบุตร เทพผู้อาศัยสุริยะเทพบุตร
และเทพทั้งหลายทั้งปวง ผู้นับถือพระพุทธเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๒๓. นักขัตตานิ ปุรักขัตฺวา เทวา มันทะวะลาหะกา
สักโก ปุรินทะโท เสฏโฐ สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

เทพทั้งหลาย ผู้พึ่งพาอาศัยนักษัตร(ดวงดาว)
วลาหกะเทพทั้งหลายผู้ยังให้บังเกิดลม
ท้าวสักกะผู้เคยให้ทานมาก่อน ผู้ได้รับการยกย่อง
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๒๔. มะหันตา สะหะภู เทวา ชะละมัคคิสิขาริวะ
อะริฏฐะกา จะ โรชา จะ อุมมาปุปผะนิภาสิโน.

สหภูเทพผู้ประเสริฐ ผู้รุ่งเรืองดุจเปลวไฟ
(หรือชลมัคคิเทพ สิขาริจเทพ)
อริฏฐะเทพ โรชะเทพ ผู้มีรัศมีเช่นกับดอกอุมมา คือ ดอกผักตบ

๒๒๕. วะรุณา สะหะธัมมา จะ อัจจุตา จะ อะเนชะกา
สูเลยยะรุจิรา เทวา เทวา วาสะวะเนสิโน
ทะเสเต ทะสะธา กายา สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.
วรุณะเทพ สหธัมมะเทพ อัจจุตะเทพ อเนชกะเทพ
สูเลยยะเทพ รุจิราเทพ วาสวเนสีเทพ

ขอเหล่าทวยเทพสิบจำพวกเหล่านี้
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๒๖. สะมานา มะหาสะมานา มานุสา มานุสุตตะมา
ขิฑฑาปะโทสิกา เทวา เทวา มะโนปะโทสิกา.
สมานะเทพ มหาสมานะเทพ มานุสะเทพ
มานุสุตตมะเทพ ขิฑฑาปโทสิกะเทพ มโนปโทสิกะเทพ

๒๒๗. อะถาปิ หะระโย เทวา เทวา โลหิตะวาสิโน
ปาระคา มะหาปาระคา สัพเพ เทวา ยะสัสสิโน
ทะเสเต ทะสะธา กายา สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

อนึ่ง หริเทพ โลหิตวาสีเทพ ปารคะเทพ มหาปารคะเทพ
เทพทั้งปวงล้วนมีบริวาร
ขอเหล่าทวยเทพทั้งสิบจำพวกเหล่านี้
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๒๘. สุกกา กะรัมภา อะรุณา อาคุง เวฆะนะสา สะหะ
โอทาตะคัยหา ปาโมกขา อาคุง เทวา วิจักขะณา.

สุกกะเทพ กรัมภะเทพ อรุณะเทพ
มาแล้วพร้อมกับเวฆนสะเทพ โอทาตคัยหะเทพผู้เป็นใหญ่
และวิจักขณะเทพก็มา

๒๒๙. สะทามัตตา หาระคะชา มิสสะกา จะ ยะสัสสิโน
ถะนะยัง อาคะปัชชุนโน โย ทิสาสวะภิวัสสะติ.

สทามัตตะเทพ หาระคะชะเทพ มิสสะกะเทพ
ผู้มีบริวารก็มา ปัชชุนะเทพ ผู้ทำให้ฝนตกทั่วทิศก็มา

๒๓๐. ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน
อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน
โมทะมานา ชินะทานา สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

เหล่าเทวดาสิบจำพวกเหล่านี้ทั้งปวง ล้วนมีรัศมีต่าง ๆ กัน
มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง มีวรรณะ มีบริวาร บันเทิงอยู่ ผู้ประทานชัยชนะ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๓๑. โลกะธาตุสะหัสเสสุ ทะสะสเววะ สะมันตะโต
เทวาทะโย ปาณะคะณา สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ในหมื่นโลกธาตุโดยรอบนั่นเทียว ขอหมู่สัตว์มีเทวาเป็นต้น
จงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.

๒๓๒. เขมิยา กัฏฐะกายา จะ โชตินามา มะหิทธิกา
ลัมพีตะกา ลามะเสฏฐา สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ขอเขมิยะเทพ กัฏฐกายะเทพ โชติเทพ ผู้มีฤทธิ์มาก
ลัมพีตกะเทพ ลามเสฏฐะเทพ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๓๓. ชะลัฏฐา จะ ถะลัฏฐัญเญ เทวากาสัฏฐะกาทะโย
ยักขะคันธัพพะกุมภัณฑา ปิสาจา เย มะโหระคา
เมตตะจิตตา จะ สัพเพ เต โสตถิง ผาสุง กะโรนตุ โน.

เทพเหล่าอื่นอันมี เทพที่อยู่ในน้ำ
เทพที่อยู่บนบก เทพที่อยู่ในอากาศเป็นต้น
และยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ปีศาจ และนาคราชทั้งปวง
ขอจงมีจิตเมตตา ประทานความสวัสดีและความผาสุก
แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๒๓๔. ตาวติงสา จะ เย เทวา ยามา เทวา มะหิทธิกา
ตุสิตา จะ มะหาเทวา นิมมานะระติโนมะรา.

ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามาผู้ทรงฤทธิ์
ทวยเทพชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี.

๒๓๕. วะสะวัตตีสุ ระติโน สัพเพ เทวา สะวาสะวา
พุทธะปูชายะ นิระตา สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ทวยเทพชั้นปรนิมมิตตวสวัตตี
ขอทวยเทพทั้งปวงดังที่กล่าวมานี้
พร้อมทั้งท้าววาสวะ (พระอินทร์)
ผู้มีความยินดี ในการบูชาพระพุทธเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

 (พรหม)

๒๓๖. พฺรัหฺมาโน ปาริสัชชา จะ เย จะ พฺรัหฺมะปุโรหิตา
มะหาพฺรัหฺมา จะ สัพเพ เต ปะฐะมัชฌานะสัณฐิโน.

พรหมผู้ดำรงอยู่ในปฐมฌานเหล่านี้คือ
ปาริสัชชาพรหม ปุโรหิตาพรหม และ มหาพรหมาพรหม.

๒๓๗. เมตตาวิหาริโน สันตา สัมพุทธัสสะ ปะรายะนา
กะโรนตุ โน มะหาโสตถิง เสกขาเสกขะปุถุชชะนา.

ขอพรหมทั้งปวงเหล่านั้น ผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา ผู้สงบ
ผู้มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ผู้เป็นทั้งเสกขะ พระอรหันต์ และปุถุชน
ขอจงประทานความสวัสดีอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๒๓๘. ปะริตตาภัปปะมาณาภา พฺรัหฺมา จาภัสสะรา ตะถา
พุทธะปูชายะ นิระตา ทุติยัชฌานะสัณฐิโน.

พรหมผู้ดำรงอยู่ในทุติยฌาน
ผู้ยินดีในการบูชาพระพุทธเจ้าเหล่านี้คือ
ปริตตาภาพรหม อัปปมาณาภาพรหม และ อาภัสสราพรหม

๒๓๙. เมตตาการุณิกา สัพเพ สัพพะสัตตะหิเตสิโน
กะโรนตุ โน มะหาสันติง โสตถิมาโรคฺยะมายุวัง.

ขอพรหมทั้งปวง ผู้มีปกติเมตตา กรุณา
แสวงหาความเกื้อกูล ให้แก่สัตว์ทั้งปวง
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ
ความสวัสดี ความไม่มีโรค และความมีอายุ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๒๔๐. ปะริตตะสุภาพฺรัหฺมาโน อัปปะมาณะสุภา จะ เย
สุภะกิณหา จะ พฺรัหฺมาโน ตะติยัชฌานะสัณฐิโน.

พรหมผู้ดำรงอยู่ในตติยฌาน เหล่านี้คือ
ปริตตสุภาพรหม อัปปมาณสุภาพรหม และ สุภกิณหาพรหม

๒๔๑. ปะภายะ ผะระณา โลเก พุทธะฌานะระตา สะทา
อะหิงสา สัพพะสัตเตสุ สะทา สันติง กะโรนตุ โน.

ขอพรหมทั้งหลายเหล่านั้น
ผู้แผ่รัศมีไปในโลก ผู้ยินดีในพุทธฌาน
ผู้ไม่เบียดเบียนสรรพสัตว์ทั้งปวง
ขอจงประทานความสงบ แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๔๒. เวหัปผะลาปิ พฺรัหฺมาโน จะตุตถัชฌานะสัณฐิโน
เสกขะปุถุชชะนาเสกขา สะทา สันติง กะโรนตุ โน.

พรหมผู้ดำรงอยู่ในจตุตถฌาน ผู้เป็นเสกขะ ปุถุชน
และอเสกขะคือ เวหัปผลาพรหม
ขอจงประทานความสงบ แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๔๓. สัมปัตติยา นะ หายันติ พฺรัหฺมาโน ชินะสาวะกา
อะวิหานามะกา สัพเพ สะทา สันติง กะโรนตุ โน.

พรหมทั้งหลายผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ย่อมไม่เสื่อมจากฌานสมาบัติ
เพราะเหตุนั้นจึงได้ชื่อว่า อวิหาพรหม
ขออวิหาพรหมทั้งปวงเหล่านั้น
ขอจงประทานความสงบ แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๔๔. อะตัปปา นามะ พฺรัหฺมาโน จะตุตถัชฌานะสัณฐิโน
พฺรัหฺมะวิหาริกา สัพเพ โสตถิง ผาสุง กะโรนตุ โน.

ขอ อตัปปาพรหม ทั้งปวง ผู้มีพรหมวิหาร ดำรงอยู่ในจตุตถฌาน
ขอจงประทานความสวัสดี และความผาสุก แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๒๔๕. สุทัสสา นามะ พฺรัหฺมาโน- ภิรูปา ฌานะโภคิโน
อะปุนาคะมะนา กาเม สันติง ผาสุง กะโรนตุ โน.

ขอเหล่าพรหมชื่อว่า สุทัสสา
ผู้มีรูปงาม ผู้เสวยฌาน ผู้ไม่กลับมาในกามภูมิอีก
ขอจงประทานความสงบ และความผาสุก แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

๒๔๖. พฺรัหฺมะวิหาระสัมปันนา ชินะภัตติปะรายะนา
พฺรัหฺมาโน สุทัสสี นามะ สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ขอเหล่าพรหมชื่อว่า สุทัสสี ผู้สมบูรณ์ด้วยพรหมวิหาร ผู้
มีความนับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ
จงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๔๗. อะกะนิฏฐา จะ พฺรัหฺมาโน เชฏฐา สัพพะคุเณหิ จะ
ปะหีนะภะวะนิสเนหา สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ขอเหล่าพรหมผู้เจริญที่สุดด้วยคุณทั้งปวง
ชื่อว่า อกนิฏฐา ผู้ละความสิเน่หาในภพได้แล้ว
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๔๘. ปะฐะมารูปะพฺรัหฺมาโน สัพพะรูปะวิราคิโน
ชินะภัตติระตา สัพเพ สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ขอเหล่าอรูปพรหมชั้นที่ ๑ ทั้งปวง
ผู้ปราศจากความกำหนัดในรูป ยินดีในการภักดีพระชินเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๔๙. ทุติยารูปะพฺรัหฺมาโน เหฏฐาฌานะวิราคิโน
ชินะภัตติระตา สัพเพ สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ขอเหล่าอรูปพรหม ชั้นที่ ๒ ทั้งปวง
ผู้ปราศจากความพอใจในฌานเบื้องต่ำ
ยินดีในการภักดีพระชินเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๕๐. ตะติยารูปะพฺรัหฺมาโน เหฏฐาฌานะวิราคิโน
ชินะภัตติระตา สัพเพ สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ขอเหล่าอรูปพรหมชั้นที่ ๓ ทั้งปวง
ผู้ปราศจากความพอใจในฌานเบื้องต่ำ
ยินดีในการภักดีพระชินเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๕๑. จะตุตถารูปะพฺรัหฺมาโน เหฏฐาฌานะวิราคิโน
ชินะภัตติระตา สัพเพ สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

ขอเหล่าอรูปพรหมชั้นที่ ๔ ทั้งปวง
ผู้ปราศจากความพอใจในฌานเบื้องต่ำ
ยินดีในการภักดีในพระชินเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

 (บุคคลประเภทรวม)

๒๕๒. เวเทเหปะระโคยาเน ชัมพุทีเป กุรุมหิ จะ
เทวะยักขะปิสาเจหิ สัทธิง วิชชาธะราทะโย.

ขอเหล่าวิทยาธร กับเทวดา ยักษ์ และปีศาจ ในวิเทหะทวีป
อปรโคยานะทวีป ชมพูทวีป และอุตตรกุรุทวีป

๒๕๓. อากาสัฏฐา จะ พฺรัหฺมาโน ชะลัฏฐา จันตะลิกขะชา
ทวิปะทาทะโย เย สัตตา สะทา โสตถิง กะโรนตุ โน.

อากาสัฏฐเทวดา และพรหม สัตว์ทั้งหลายมีสัตว์ ๒ เท้า เป็นต้น
ผู้ดำรงอยู่ในน้ำ ผู้เกิดในอากาศ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


(อานุภาพแห่งพระรัตนตรัย)

๒๕๔. มาระเสนะวิฆาตัสสะ ชินัสสะ สุขะฌายิโน
เตโชพะเลนะ มะหะตา สะทา มังคะละมัตถุ โน.

ด้วยพระเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ ของพระชินเจ้า
ผู้ทรงขจัดมาร และเสนามาร
ผู้เสวยสุขในฌาน ด้วยพลังเดชอันยิ่งใหญ่
ขอมงคลจงมีแก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๕๕. นานาคุณะวิจิตตัสสะ รูปะกายัสสะ สัตถุโน
สัพพะเทวะมะนุสสานัง มาระพันธะวิโมจิโน
เมตตาพะเลนะ มะหะตา สะทา มังคะละมัตถุ โน.

ด้วยอานุภาพแห่งพระเมตตาอันยิ่งใหญ่
ของพระศาสดาผู้ทรงมีพระวรกายอันงามวิจิตรด้วยคุณต่าง ๆ
ผู้ทรงปลดเปลื้องเหล่าทวยเทพ และมนุษย์ทั้งปวง
ให้หลุดพ้นจากบ่วงแห่งมาร
ขอมงคลจงมีแก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๕๖. สัพพัญญุตาทิกายัสสะ ธัมมะกายัสสะ สัตถุโน
จักขาทยะโคจะรัสสาปิ โคจะรัสเสวะ ภูริยา
เตโชพะเลนะ มะหะตา สัพพะมังคะละมัตถุ โน.

ด้วยพระเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ แห่งพระธรรม
คือ หมู่ธรรม มีพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
อันไม่ใช่อารมณ์ของจักษุเป็นต้น
แต่เป็นอารมณ์ของปัญญาเท่านั้น
ขอสรรพมงคล จงมีแก่พวกข้าพระองค์เถิด

๒๕๗. รูปะกายะสะทิสัสสะ นิมมิตัสสะ มะเหสิโน
ธัมมัสสะ วัตตุโน สัคเค เทวานัง สุคะตา ปะติ
เตโชพะเลนะ มะหะตา สะทา มังคะละมัตถุ โน.

ด้วยพระเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธปฏิมาที่ทรงเนรมิตขึ้น
ให้เหมือนรูปจริง แทนพระพุทธองค์
ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
เมื่อทรงแสดงอภิธรรมแก่เหล่าทวยเทพในชั้นดาวดึงส์
ขอมงคลจงมีแก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

๒๕๘. สิกขิตฺวา มานุเส เทเว โมจะยิตฺวา สะเทวะเก
สังขาเร ปะชะหันตัสสะ นิพพุตัสสะ มะเหสิโน
มะหันเตนานุภาเวนะ สัพพะมังคะละมัตถุ โน.

ด้วยพระอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงฝึกเหล่ามนุษย์และเทวดา ให้หลุดพ้นจากบ่วงมาร
ผู้ทรงละสังขารดับขันธ์ปรินิพพาน
ขอสรรพมงคล จงมีแก่พวกข้าพระองค์เถิด

๒๕๙. จะตุราสีติสะหัสสะ- ธัมมักขันธัสสะ เตชะสา
นะวังคะสาสะนัสสาปิ นะวะโลกุตตะรัสสะ จะ
สัพพะปาปะปะวาเหนะ สัพพะมังคะละมัตถุ โน.

ด้วยพระเดชานุภาพของพระธรรม แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
ด้วยพระเดชานุภาพแห่งนวังคสัตถุศาสน์
และด้วยพระเดชานุภาพแห่งนวโลกุตตรธรรม
อันนำบาปทั้งปวงออกไป
ขอสรรพมงคลจงมีแก่พวกข้าพระองค์เถิด

๒๖๐. มะหะโตริยะสังฆัสสะ ปุญญักเขตตัสสะ ตาทิโน
ปะหีนะสัพพะปาปัสสะ สีลาทิกขันธะธาริโน
มะหาเตชานุภาเวนะ สัพพะมังคะละมัตถุ โน.

ด้วยพระเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ ของพระอริยสงฆ์ผู้ประเสริฐ
ผู้เป็นเนื้อนาบุญ ผู้ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม
ผู้ละบาปทั้งปวง ผู้ทรงไว้ซึ่งคุณมีศีลเป็นต้น
ขอสรรพมงคลจงมีแก่พวกข้าพเจ้าเถิด

 (อานุภาพของเทวดาต่าง ๆ)

๒๖๑. ปาตาเล ภูตะลากาเส เทวะยักขะปิสาจะกา
วิชชาธะรา จะ คันธัพพา นาคะกุมภัณฑะรักขะสา
สัพเพสะมานุภาเวนะ สัพพะมังคะละมัตถุ โน.

ด้วยอานุภาพแห่งหมู่เทวดา ยักษ์ ปีศาจ และวิทยาธร
คนธรรพ์ นาค กุมภัณฑ์ และรากษส
ผู้อาศัยอยู่ในบาดาลก็ดี บนพื้นดินก็ดี ในอากาศก็ดี
ขอสรรพมงคลจงมีแก่พวกข้าพเจ้าเถิด

(อานุภาพของอุปปาตะสันติ)

๒๖๒. อิจเจวะมุปปาตะสันติง โย วะเทยยะ สุเณยยะ วา
วิเชยยะ สัพพะปาปานิ วุทธัตตัญจะ ภะวิสสะติ.

ผู้ใดสวด หรือฟังคัมภีร์ อุปปาตะสันติ
อันกล่าวแล้วด้วยประการฉะนี้
จะพึงชนะบาปทั้งปวง และจักเจริญด้วยคุณ ๕ ประการ
คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ

๒๖๓. โสตถิกาโม ละเภ โสตถิง สุขะกาโม สุขัง ละเภ
อายุกาโม ละเภยยายุง ปุตตะกาโม ละเภ ปุตตัง.

ผู้ใดปรารถนาความสวัสดี พึงได้ความสวัสดี
ผู้ปรารถนาความสุข พึงได้ความสุข
ผู้ปรารถนาอายุ พึงได้อายุ ผู้ประสงค์บุตร พึงได้บุตร

๒๖๔. นะ ตัสสะ โรคา พาเธนติ วาตะปิตตาทิสัมภะวา
อะกาละมะระณัง นัตถิ นะ เทโว วิสะโมสะเร.

โรคที่เกิดจากลม จากดีเป็นต้น ย่อมไม่เบียดเบียนบุคคลนั้น
ความตายในกาลอันไม่สมควร ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น
มิจฉาเทวดาย่อมไม่รังแกต่าง ๆ นา ๆ

๒๖๕. นะ จุปปาตะภะยัง ตัสสะ โนปิ ปัตตะภะยัง ตะถา
นัสสันติ ทุนนิมิตตานิ ปาปะกัมมัฏฐิตานิ จะ
ทีฆะมายุ มะหาโสตถิง อาโรคฺยัญจะ สะทา ภะเว.

เคราะห์ร้ายและภัยย่อมไม่มีแก่เขา
นิมิตร้ายและสิ่งที่ตั้งขึ้นเพราะบาปกรรมย่อมพินาศไป
ความมีอายุยืน ความสวัสดี อันประเสริฐ
และความไม่มีโรคจะพึงมีแก่เขา ในกาลทุกเมื่อ

๒๖๖. โย สุตฺวาปิ มะหาสันติง สังคามัง ปะวิเส นะโร
วิชะเย เวริโน สัพเพ นะ สัตเถหยะภิภูยะเต.

ผู้ใดฟังคัมภีร์อุปปาตะสันติอันประเสริฐแล้ว
พึงเข้าไปสู่สมรภูมิ
บุคคลนั้นอันศาสตราไม่กล้ำกราย ย่อมชนะข้าศึกทั้งมวล

๒๖๗. สัพพะทา ละภะเต ปีติง วิปัตติง นาวะคาหะติ
โรเคหิ นาภิภูยะเต สะวัตถูหิ วิวัฑฒะเต.

เขาย่อมได้ซึ่งความอิ่มใจในกาลทุกเมื่อ
ความวิบัติ ย่อมไม่มากล้ำกราย ย่อมไร้โรคา
ย่อมเจริญด้วยทรัพย์ศฤงคาร

๒๖๘. ยัตฺระ เทเส วะโกวะกา พาฬหะกา รักขะสาทะโย
อุปปาตะสันติโฆเสนะ สัพเพ ตัตถะ สะมันติ เต.

สัตว์ร้ายน้อยใหญ่ และรากษสเป็นต้น
ผู้อยู่ในป่าเขาลำเนาไพรทั้งหลายทั้งปวง
ย่อมสงบด้วยเสียงแห่งการสวดคาถาอุปปาตะสันติ

๒๖๙. ยะมุททิสสะ วะเท สันติง สะชีวัญจาปยะชีวิตัง
โส มุจจะเต มะหาทุกขา ปัปโปติ สุคะติง สะทา.

บุคคลสวดคัมภีร์อุปปาตะสันติ
อุทิศให้ผู้ใดที่มีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตอยู่
บุคคลนั้นย่อมพ้นจากมหันตทุกข์
ย่อมเข้าถึงสุคติภพ ในกาลทุกเมื่อ

๒๗๐. เทวัฏฐาเน นะคะเร วา นิจจะมุปปาตะสันติยา
ปาละกา เทวะราชาโน เตชะสิรีวิวัฑฒะนา.

ท้าวเทวราชทั้งหลายผู้ปกปักรักษาเนืองนิจ
ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ หรือในพระนคร
เป็นผู้เจริญด้วยเดชและสิริมงคลด้วยคัมภีร์อุปปาตะสันตินี้

๒๗๑. ปะฐัพฺยาปาทิสัญชาตา อุปปาตา จันตะลิกขะชา
อินทาทิชะนิตุปปาตา ปาปะกัมมะสะมุฏฐิตา
สัพพุปปาตา วินัสสันติ เตชะสุปปาตะสันติยาติ.

เหตุร้ายอันเกิดจากแผ่นดินไหว และน้ำท่วมเป็นต้น
เหตุร้ายที่เกิดจากฟากฟ้า
เหตุร้ายอันเกิดจากจันทรุปราคาเป็นต้น
เหตุร้ายที่เกิดขึ้นจากบาปกรรม
เหตุร้ายทั้งปวงเหล่านั้นจักพินาศไป
ด้วยเดชแห่งอุปปาตะสันติ

อุปปาตะสันติ นิฏฐิตา.

จบอุปปาตะสันติ
มนต์สำหรับระงับเหตุร้ายทั้งปวง


หมายเหตุ :  ผู้สวดต้องเข้าใจ ต้องศรัทธา และทำทาน รักษาศีล มีคุณธรรมพื้นฐานด้วย  จึงจะได้รับอานิสงส์ต่างๆ ครบบริบูรณ์ 


********************************
      บันทึกการเข้า

www.jozho.net
แจก CD ธรรมะฟรี ดาวน์โหลดธรรมะฟรีมากมาย
เสียงเทศนาหลากหลายครูบาอาจารย์
เสียงอ่านหนังสือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ ฟังสบาย เข้าใจง่าย
โจโฉ คร้าบบบ
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24

เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 16:33:39 »

บทสวดอุปปาตะสันติ เฉพาะภาษาไทย
กราบพระ นะโม 3 จบ บทอิติปิโส 3 บท

เริ่มสวด


ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ เพื่อประโยชน์ของสัตว์โลก
เป็นธรรมที่เห็นได้ยากยิ่ง สำหรับธรรมที่จะกล่าวต่อไปนี้
เป็นธรรมที่สามารถกระทำความสงบอันประเสริฐ
และสามารถประทานซึ่งสมบัติทั้งปวง


เป็นเครื่องสงบเหตุร้ายทั้งปวง เป็นเครื่องป้องกันอมนุษย์และยักษ์
เป็นเครื่องระงับความตายก่อนกำหนดเวลา
เป็นเครื่องขจัดความเศร้าโศกและโรค


เป็นเครื่องย่ำยีกำลังของข้าศึก เป็นเครื่องจำเริญชัยชนะแด่พระราชา
เป็นเครื่องนำสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาทั้งปวงออกไป
เป็นธรรมอันประเสริฐ

ข้าพเจ้า (พระสีละวังสะมหาเถระ) จักแสดงคุณธรรมเช่นนั้น
ตามสภาพที่เป็นจริง


ณ ที่ใด มีผู้กล่าววาจาสรรเสริญพระคุณอันประเสริฐของพระรัตนตรัย
ด้วยจิตที่เลื่อมใส ณ ที่นั้น ความสุข ความสบาย และความสวัสดี
ย่อมมีแก่ผู้นั้นตลอดกาลทุกเมื่อ

(พระพุทธเจ้าในอดีต ๒๘ พระองค์)
(ในสารมัณฑกัป ๔ พระองค์)

พระตัณหังกร สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แกล้วกล้ามาก
ผู้อนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งปวง
ผู้คลายตัณหาอันเป็นเหตุท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏได้แล้ว
ผู้ประทานสิ่งที่น่าปรารถนาทั้งปวงให้ ในกาลทุกเมื่อ


ผู้ทรงครอบงำธรรมทั้งปวง ทรงรู้แจ้งธรรมทั้งปวง
ทรงเป็นครูผู้ยอดเยี่ยมของมนุษย์และเทวดาทั้งปวง
ทรงสิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระจอมมุนีพระนามว่า เมธังกร
ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยพระลักษณะอันเลิศ
ผู้ทรงไว้ซึ่งพระรัศมี ผู้ทรงมีพระสิริยิ่งใหญ่ รุ่งเรืองดุจสุวรรณคีรี


ผู้ทรงมีพระรูปเพียงดังท้าวมหาพรหม
มีพระวรกายอันประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ
ทรงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐมีพระกำลังมาก
ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงเป็นพระศาสดา
โปรดประทานความสงบอันยิ่งใหญ่ แก่พวกข้าพระองค์เถิด


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สรณังกร
ทรงเป็นที่พึ่ง ทรงกำจัดความมืดมนคืออวิชชาได้แล้ว
ทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก
กล่าวคือเหล่าทวยเทพ อสูร และมนุษย์ทั้งหลาย


พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า สรณังกร พระองค์นั้น
ผู้ทรงรุ่งเรืองด้วยพระรัศมีแผ่ออกไปหนึ่งวาโดยรอบ
ผู้ทรงมีพระวรกายเป็นปริมณฑลดุจต้นไทร(นิโครธ)
(ความสูงของกายเท่ากับความยาวของวา)
ผู้ทรงมีพระโอฏฐ์แดงเรื่อดุจผลตำลึงสุก
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร
มีพระวรกายสูงแปดสิบศอก ทรงเป็นพระมหามุนี
พระรัศมีของพระองค์แผ่ออกไปในที่สิบสองโยชน์


พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ในโลกหนึ่งแสนปี
ทรงนำเวไนยสัตว์สู่พระนิพพาน
ทรงเป็นพระศาสดาผู้ประทานแสงสว่างแก่โลก
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด



พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โกณฑัญญะ
มีพระวรกายสูงแปดสิบแปดศอก ทรงเป็นผู้นำ
ทรงเป็นผู้ไม่มีบุคคลเสมอด้วยธรรมทั้งปวง
ทรงถึงความเป็นผู้มีบารมีทั้งปวง


ทรงเป็นพระผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ มีพระชนมายุหนึ่งแสนปี
ขอพระองค์โปรดเปลื้องพวกข้าพระองค์ ให้พ้นจากภัยทั้งปวง
โปรดประทานความสวัสดีแก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

(ในสารมัณฑกัป ๔ พระองค์)


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า มังคละ
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบแปดศอก
ทรงไว้ซึ่งพระรัศมี ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี


พระฉัพพรรณรังสีของพระองค์ แผ่ปกคลุมโลกธาตุหนึ่งหมื่น
ขอพระองค์โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์เถิด


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สุมนะ
ทรงมีพระวรกายสูงเก้าสิบศอก ทรงเป็นผู้นำ
ทรงเป็นผู้เปรียบประดุจสุวรรณคีรี ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี


ทรงประกอบด้วยพระพุทธคุณทั้งหลาย
ทรงแสวงหาความเกื้อกูลแก่เหล่าสัตว์โลกทั้งปวง
โปรดประทานความสงบร่มเย็น ความไม่มีโรค
และความสุข แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า เรวตะ
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบศอก ทรงมีพระชนมายุหกหมื่นปี
ทรงประเสริฐกว่าสัตว์โลกทั้งปวง ทรงรู้แจ้งโลกทั้งปวง


แสงแห่งพระรัศมีอันไม่มีที่เปรียบ
อันเกิดแต่พระวรกายของพระองค์
แผ่ไปตลอดแนวหนึ่งโยชน์เป็นนิจ
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โสภิตะ
ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี ทรงเปลื้องสัตว์โลกเป็นจำนวนมาก
จากทุกข์ในห้วงมหาสมุทร คือ สังสารวัฏ


พระองค์ ทรงมีพระวรกายสูงห้าสิบแปดศอก
ทรงเป็นพระมหามุนีผู้ประเสริฐ ทรงยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด.

(ในวรกัป ๓ พระองค์)


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี
ผู้อันศัตรูไม่สามารถกล้ำกรายได้
ทรงมีพระวรกายสูงห้าสิบแปดศอก
ทรงกระทำมนุษย์โลกพร้อมทั้งเทวโลกให้สว่างไสวอยู่


พระองค์ทรงยังสัตว์โลกให้ถึงพระนิพพาน
ทรงมีพระชนมายุหนึ่งแสนปี
โปรดประทานความสงบร่มเย็น
แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด
อนึ่งขอให้พวกข้าพระองค์ จงเป็นผู้มีความสุข ในกาลทุกเมื่อเถิด.


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมะ
ทรงเป็นผู้ประเสริฐกว่าเหล่าสัตว์โลกทั้งปวง
ทรงมีพระวรกายสูงห้าสิบแปดศอก ทรงรุ่งโรจน์ประดุจพระอาทิตย์


พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ทรงมีพระชนมายุหนึ่งแสนปี
แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระมหากรุณา
ขอทรงโปรดประทานความสวัสดี
แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า นารทะ
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบแปดศอก
ทรงประทานสิ่งที่น่าชอบใจทั้งปวง
พระรัศมีของพระองค์แผ่ไปสู่ที่หนึ่งโยชน์ ตลอดวันและคืนเป็นนิจ


พระองค์ทรงแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก ให้หลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์
ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์เถิด

(ในสารกัป ๑ พระองค์)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
ทรงมีพระวรกายสูงห้าสิบแปดศอก
พระรัศมีอันมีอยู่โดยธรรมชาติของพระองค์ แผ่ไปถึงสิบสองโยชน์


พระองค์ทรงประทานอมฤตธรรม คือ พระนิพพาน
ทรงดำรงพระชนม์อยู่ในโลกตลอดหนึ่งแสนปี
ทรงเปลื้องหมู่สัตว์โลก ให้พ้นจากกิเลสเครื่องผูกมัด
ขอพระองค์โปรดคุ้มครองพวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

(ในมัณฑกัป ๒ พระองค์)


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธะ
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบแปดศอก
ทรงเป็นพระมหามุนีผู้ประเสริฐ ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี


พระรัศมีอันมีอยู่โดยปกติของพระองค์
แผ่ไปตลอดหนึ่งโยชน์ในกาลทุกเมื่อ
ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธะ นั้น
โปรดคุ้มครองพวกข้าพระองค์ ให้พ้นจากภัยต่าง ๆ


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สุชาตะ
ทรงมีพระวรกายสูงห้าสิบศอก ทรงเป็นผู้นำ
ทรงมีพระฉวีประดุจทอง ทรงเป็นผู้แกล้วกล้ายิ่ง
ทรงบรรเทาความมืด คือ โมหะ

ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุชาตะ
แม้นั้น ผู้ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี ทรงมีพระมหากรุณา
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

(ในวรกัป ๓ พระองค์)


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปิยทัสสี
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบศอก ทรงเป็นมุนีผู้ประเสริฐ
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกสู่พระนิพพาน
ทรงดำรงพระชนม์อยู่ตลอดเก้าหมื่นปี


ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปิยทัสสี
แม้นั้น ผู้ทรงประกอบด้วยคุณทั้งปวง
ทรงให้ความสุขแก่โลกทั้งปวง ทรงกำจัดโทษทั้งปวง
โปรดประทานความสวัสดีทั้งปวง แก่พวกข้าพระองค์เถิด

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า อัตถทัสสี
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบศอก ทรงเป็นนระผู้ประเสริฐ
ทรงเป็นผู้นำ ทรงดำรงพระชนม์อยู่ในโลกตลอดหนึ่งแสนปี


พระรัศมีอันมีอยู่โดยปกติของพระองค์
แผ่ไปได้หนึ่งโยชน์ตลอดกลางวันและกลางคืน
ในกาลทุกเมื่อเป็นนิจ พระองค์ผู้เป็นที่พึ่ง
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์เถิด


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ธัมมทัสสี
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบศอก
ทรงรุ่งโรจน์ด้วยพระเดชานุภาพยิ่งกว่าโลก
ซึ่งประกอบด้วยเหล่าทวยเทพ อสูร และมนุษย์ทั้งหลาย


พระองค์ผู้ทรงมีชื่อเสียงและบริวารอันยิ่งใหญ่
ดำรงพระชนม์อยู่ในโลกตลอดหนึ่งแสนปี
ทรงเปลื้องสัตว์ทั้งปวงจากภัย
โปรดคุ้มครองพวกข้าพระองค์ให้พ้นจากภัย ในกาลทั้งปวงเถิด

(ในสารกัป ๑ พระองค์)


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ
ทรงมีพระวรกายสูงหกสิบศอก
ทรงยังความสวัสดีให้เกิดขึ้นในภพทั้งสาม
ทรงมีพระชนมายุหนึ่งแสนปี


ขอพระศาสดาพระนามว่า สิทธัตถะ นั้น
ผู้ทรงยังหมู่มนุษย์พร้อมทั้งเหล่าทวยเทพ
ให้ข้ามพ้นจากห้วงมหาสมุทร คือสังสารวัฏ และให้ถึงพระนิพพาน
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

(ในมัณฑกัป ๒ พระองค์)


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ติสสะ
ทรงมีพระวรกายสูงหกสิบศอก ทรงเป็นบุคคลผู้นำชั้นเลิศของโลก
ไม่มีบุคคลเทียบเท่า ไม่มีบุคคลเสมอเหมือน
ไม่มีบุคคลเปรียบปาน ทรงเป็นผู้สูงสุด ทรงเป็นผู้ชนะมารทั้งปวง


ด้วยพระเดชานุภาพของพระพุทธเจ้า
พระนามว่า ติสสะ พระองค์นั้น ผู้ทรงมีพระชนมายุหนึ่งแสนปี
ขอความไม่มีโรค และความสุขอันประเสริฐ จงมีแก่พวกข้าพระองค์เถิด


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ
ทรงมีพระวรกายสูงห้าสิบแปดศอก
ทรงเป็นบุคคลผู้นำชั้นเลิศของโลก
ทรงยังดอกบัวคือหมู่ชนให้เบิกบาน
ทรงยังหมู่มนุษย์ พร้อมทั้งเหล่าทวยเทพ ให้ถึงพระนิพพาน

พระองค์ทรงมีชื่อเสียงและบริวารอันยิ่งใหญ่
ทรงดำรงพระชนม์อยู่ในโลกตลอดเก้าหมื่นปี
ผู้ทรงนำสัตว์โลกจำนวนมากออกจากสังสารวัฏ
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด



(ในสารกัป ๑ พระองค์)


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี
ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบศอก ทรงเป็นผู้นำของสัตว์โลก
พระรัศมีของพระองค์แผ่ไปตลอดเจ็ดโยชน์โดยรอบ

ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี
แม้นั้น ผู้ทรงมีพระชนมายุแปดหมื่นปี ทรงเป็นที่พึ่ง
ทรงเปลื้องเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จากเครื่องผูกคือกิเลส
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์เถิด

(ในมัณฑกัป ๒ พระองค์)


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด
ทรงมีพระวรกายสูงเจ็ดสิบศอก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นพระนามว่า สิขี ทรงเป็นผู้นำ
พระรัศมีของพระองค์แผ่ไปตลอดสามโยชน์โดยรอบ

ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า สิขี
แม้นั้น ผู้ทรงไม่มีผู้เปรียบ ทรงมีพระชนมายุเจ็ดหมื่นปี
โปรดประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพระองค์
อนึ่ง ขอพวกข้าพระองค์ จงเป็นผู้ถึงความสุข ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า เวสสภู
ผู้มีพระฉวีประดุจทอง ทรงมีพระวรกายสูงหกสิบศอก
ทรงมีพระชนมายุหกหมื่นปี


ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า เวสสภู
แม้นั้น ผู้อันหมู่พรหม เทวดา มนุษย์ นาค อสูร และครุฑ
พากันบูชาแล้ว ทรงเป็นที่พึ่ง
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

ในภัทรกัปนี้ ๕ พระองค์
(ผ่านไปแล้ว ๓ พระองค์)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ
ทรงมีพระวรกายสูงสี่สิบศอก ทรงเป็นมุนีผู้ประเสริฐ
พระรัศมีจากพระวรกายของพระองค์ แผ่ซ่านไปสิบสองโยชน์


ขอพระพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ
แม้นั้น ผู้ทรงมีพระชนมายุสี่หมื่นปี
ทรงเป็นผู้ไม่มีใครเปรียบ ทรงเป็นที่พึ่ง
โปรดประทานอายุ ความสุข และกำลังแก่พวกข้าพระองค์
ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระ โกนาคมมะ สัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงมีพระวรกายสูงสามสิบศอก ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ทรงมีพระชนมายุสามหมื่นปี

ทรงยังหมู่ทวยเทพบนสวรรค์ และหมู่มนุษย์บนพื้นโลก
ให้อิ่มเอิบด้วยอมตธรรม คือพระนิพพาน
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ
ผู้ทรงเป็นพระธรรมราชา ทรงมีพระรัศมี
ทรงมีพระวรกายสูงยี่สิบศอก ทรงมีพระชนมายุสองหมื่นปี


พระองค์ไม่มีผู้เปรียบปานเสมอเหมือน
ทรงเป็นศาสดาของเหล่าทวยเทพ ทรงเป็นผู้ยอดเยี่ยม
โปรดประทานความสงบอันประเสริฐ ความไม่มีโรค และชัยชนะ
แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

(พระพุทธเจ้าในปัจจุบัน ๑ พระองค์)


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ
ทรงมีพระวรกายสูงสิบแปดศอก ทรงเป็นผู้เชิดชูศากยวงศ์
ทรงตรัสรู้ธรรมทั้งปวง ทรงเป็นผู้โดดเด่นกว่าชนทั้งปวง
ทรงประทานความสุขให้แก่สัตว์โลก
(ในคัมภีร์พุทธวงศ์แสดงไว้ว่า ทรงมีพระวรกายสูง ๑๖ ศอก)


ขอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ
ผู้ตรัสรู้ธรรมทั้งปวง ทรงประกอบด้วยบุญ ทรงมีพระบารมีอันสูงสุด
ทรงเพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
โปรดประทานความสวัสดี และความไม่มีโรค แก่พวกข้าพระองค์เถิด


อนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
หลายร้อยโกฏิซึ่งเสด็จล่วงลับไปแล้ว
ทรงประจักษ์โลกทั้งปวงด้วยพระญาณแล้ว
จึงทรงอนุเคราะห์เหล่าสรรพสัตว์


ทรงล่วงพ้นเวรและภัยทั้งปวง
ทรงประทานความสุขแก่สรรพสัตว์
ทรงกำจัดโทษทั้งปวง
ขอทรงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์เถิด

(พระพุทธเจ้าในอนาคต ๑ พระองค์)


ก็ในอนาคต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า เมตเตยยะ
ทรงเป็นผู้ที่หมู่ทวยเทพบูชาแล้ว ทรงมีฤทธิ์มาก
ทรงเป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาทั้งปวง
โปรดประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพระองค์เถิด

(พระปัจเจกพุทธเจ้า)


พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทั้งปวง
ทรงปรีชาญาณในนิโรธสมาบัติและฌานสมาบัติ
ทรงปราศจากความกำหนัดยินดี หมดความรังเกียจ
ทรงคุณอันหาประมาณมิได้ ทรงแสวงหาคุณอันประเสริฐ

พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านี้
เห็นหมู่เวไนยสัตว์แม้ในที่ไกล
ก็ทรงเสด็จไปช่วยเหลือสัตว์เหล่านั้น
ให้ได้รับประโยชน์โดยพลัน
โปรดประทานความสงบ แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

(นวโลกุตตรธรรม ๙ และปริยัติธรรม ๑)

พระธรรม พร้อมทั้งปริยัติที่สมบูรณ์ด้วยคุณ
มีความเป็นธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้น
เป็นอารมณ์ของพระพุทธเจ้า
เป็นเหตุยังสัตว์โลกให้ข้ามพ้นสาครคือ สังสารวัฏ


ขอพระธรรมอันบริสุทธิ์ยิ่ง อันมีปกติทำลายข่ายคือกิเลส
เป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงเจริญแล้ว
เป็นธรรมอันประเสริฐอันยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพาน
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด

(พระสังฆรัตนะ)


พระสงฆ์ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น
ดำรงอยู่ในมรรคและผล ชนะอินทรีย์แล้ว ชนะบาปแล้ว
เป็นทักขิเณยยบุคคลผู้ยอดเยี่ยม

ขอพระอริยสงฆ์ผู้ไม่มีอาสวะ ผู้บริสุทธิ์
ผู้หมดความปรารถนาในภพน้อยภพใหญ่
ผู้มีจิตจดจ่อในพระนิพพาน เป็นสัตบุรุษ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

(พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ๑๐๘ องค์)


พระอัญญาโกณฑัญญะเถระ เป็นผู้เลิศกว่าเหล่าภิกษุผู้รู้ราตรี
ผู้บรรลุเป็นพระโสดาบันด้วยพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระวัปปะเถระ ผู้มีปัญญามาก ผู้กำจัดความมืดคือโมหะ
ผู้กระทำความสงบอันประเสริฐในโลก
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระภัททิยเถระ ผู้มีศีลงาม
ผู้เป็นทักขิเณยยบุคคลผู้ยอดเยี่ยม
ผู้บำเพ็ญประโยชน์แก่โลก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระมหานามะเถระ ผู้มีปัญญามาก ผู้ตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐ
ผู้มีชื่อเสียง เป็นพระขีณาสพผู้ประเสริฐ
ขอจงประทานความสงบอันยิ่งใหญ่ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระอัสสชิเถระ ผู้มีปัญญามาก ผู้ชนะมาร
ผู้ชนะอินทรีย์ ผู้ชนะศัตรูในโลก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระยสะเถระ ผู้ฟังอนุปุพพิกถาแล้ว
มีจิตตั้งมั่นบรรลุพระอรหัตผล อันเป็นธรรมอันเลิศ
ขอจงประทานความสวัสดี และความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


และพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์ ๕๔ รูป
ผู้เคยเป็นสหายของพระยสะ เมื่อครั้งยังเป็นผู้ครองเรือน
บรรลุแล้วซึ่งพระนิพพานอันประเสริฐ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระภัททวัคคีย์ผู้เป็นเถระสามสิบองค์
ผู้มีรูปทรงและผิวพรรณอันหาใครเปรียบปานมิได้ สิ้นอาสวะแล้ว
เป็นผู้ชนะตน มีความชำนาญในการเข้าฌาน
ขอจงประทานความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


แม้ พระอุรุเวลกัสสปะ ผู้เป็นเลิศในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้มีบริษัทมาก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


แม้พระเถระนามว่า นทีกัสสปะ ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ
ผู้มีภิกษุเป็นศิษย์ ๓๐๐ เป็นบริวาร ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระเถระนามว่า คยากัสสปะ ผู้รุ่งเรืองด้วยธรรม ผู้สงบ
ผู้เข้าถึงพระนิพพาน อันเป็นที่ปราศจากภวตัณหา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

ในบรรดาสรรพสัตว์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย
เว้นพระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของโลกแล้ว
สัตว์ใด ๆ ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่สิบหกแห่งปัญญาของพระสารีบุตร


ขอ พระสาริปุตตะ ผู้มีปัญญามาก ผู้เป็นอัครสาวกองค์ที่หนึ่ง
ผู้เป็นธรรมเสนาบดี ผู้ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้เลิศทางปัญญา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระมหาเถระใด ผู้สามารถยังเวชยันต์ปราสาท
(ปราสาทของพระอินทร์) ให้หวั่นไหวแม้ด้วยเพียงหัวแม่เท้านั้น
ผู้สามารถพลิกแผ่นดินผืนใหญ่ทั้งหมดได้


พระมหาเถระนั้นนามว่า โมคคัลลานะ
ผู้เป็นพระอัครสาวกองค์ที่สอง
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.


พระมหาเถระนามว่า กัสสปะ
ผู้มีผิวพรรณอันงดงามดุจเนื้อทองคำอันบริสุทธิ์
ผู้ได้รับยกย่องให้เป็นผู้เลิศ ในทางธุดงค์คุณ
เป็นพระอัครสาวกองค์ที่สามของพระศาสดา

เป็นผู้ยินดียิ่งในการอยู่ป่า ผู้ทรงผ้าบังสุกุล
เป็นมุนีผู้รู้โลกทั้งภายในและภายนอก
ผู้ทรงไว้ซึ่งคำสอนของพระสุคต
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระอุบาลีเถระ ผู้ฉลาดในอาบัติและมิใช่อาบัติ
และในอาบัติที่เยียวยาได้และเยียวยาไม่ได้
ผู้อันพระศาสดาทรงแต่งตั้งให้ เป็นผู้เลิศในทางทรงพระวินัย

ผู้อันพระศาสดาทรงยกย่อง
ให้เป็นผู้ถึงซึ่งความเป็นผู้เลิศในทางทรงจำพระวินัย
ผู้สำรวมกาย วาจา และใจ
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้า
และขอให้ความสวัสดี ความไม่มีโรค จงมีแก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระอนุรุทธมหาเถระ เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีตาทิพย์
เป็นพระประยูรญาติผู้ประเสริฐของพระผู้มีพระภาค
ขอจงประทานความสวัสดี และความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระภัททิยะเถระ เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุ ผู้มีตระกูลสูง
เป็นผู้มีจิตอันตั้งมั่น เป็นบุตรของนางกาฬิโคธา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.


พระอานันทะเถระ (ผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า)
ผู้ยังการทำสังคายนาให้สำเร็จ ผู้เป็นพหูสูต ผู้ทรงธรรม
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระกิมพิละเถระ ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ เพียบพร้อมด้วยบรมสุข
เป็นพระขีณาสพผู้ประเสริฐ
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระภคุเถระ ผู้เลื่อมใส และอยู่ด้วยความเคารพในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระกาฬุทายีเถระ ผู้มีฤทธิ์มาก
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ทำให้คนเลื่อมใส
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระปุณณะเถระ ผู้เป็นบุตรของนางมันตานี
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก ผู้จบไตรเพท
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

พระ(ปิณโฑล)ภารทวาชะมหาเถระ
ผู้อันพระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่ง
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้บรรลือสีหนาท
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระกัจจายนะเถระ ผู้สามารถอธิบายเนื้อความ
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยสังเขปให้พิสดาร
ผู้ปราศจากความสิเนหาในภพ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระลกุณฏกภัททิยะเถระ ผู้อันพระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้
ในตำแหน่งเป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีเสียงไพเราะ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสุภูติเถระ เป็นผู้แสดงธรรมแก่สัตว์ตามพุทธดำรัส
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้อยู่ด้วยธรรมอันปราศจากข้าศึก
และเลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ควรรับทักษิณาทาน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระเรวตะ ผู้อาศัยอยู่ในป่าไม้สีเสียด ผู้ยินดีในความวิเวก
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีปกติอยู่ในป่า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระเถระนามว่า กังขาเรวตะ
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีปกติยินดีในการเข้าฌาน
เป็นผู้ฉลาดในสมาธิและฌาน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


แม้ พระโสณโกฬิวีสะเถระ เป็นผู้มีจิตดิ่งไปในนิพพาน
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ปรารภความเพียร
ขอจงประทานความสวัสดี และความผาสุก
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


แม้ พระโสณกุฏิกัณณะเถระ
ผู้อันพระศาสดาทรงสรรเสริญว่า
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้กล่าววาจาไพเราะ
(สาธยายธรรมด้วยเสียงอันไพเราะ)
ขอจงประทานความสวัสดี และความผาสุก แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระเถระนามว่า พระสีวลิ ผู้มีความสันโดษในปัจจัยสี่
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีลาภ
ขอจงประทานความสวัสดีแก่ข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระเถระนามว่า พระวักกลิ เป็นผู้มากด้วยความปราโมทย์
เป็นเลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีศรัทธา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


แม้พระเถระนามว่า ราหุละ ผู้เป็นพุทธบุตร
ผู้เป็นทายาทในธรรมทั้งปวง
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มุ่งต่อการศึกษา
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระเถระนามว่า รัฏฐะปาละ ผู้มีความเพียรยิ่ง
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระกุณฑธานะมหาเถระ ผู้ถึงซึ่งความเป็นที่หนึ่งในการจับสลาก
จึงดำรงอยู่ในตำแหน่งที่เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ร่วมจับสลาก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระอรหันต์นามว่า วังคีสะเถระ ผู้ประเสริฐ
เป็นผู้ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีปฏิภาณกวี
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.


พระอุปเสนวังคันตบุตรเถระ
พระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุ
ผู้มีบริษัทอันน่าเลื่อมใส
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.


พระทัพพมัลละบุตรเถระ
พระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่ง
ที่เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้จัดแจงเสนาสนะ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.


พระปิลินทวัจฉะเถระ
พระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าบรรดาภิกษุทั้งหลาย
ที่เป็นที่รักของเหล่าเทวดา
ขอจงประทานความสวัสดี และความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด

พระพาหิยทารุจีริยะเถระ เป็นผู้เลิศกว่า บรรดาภิกษุผู้ตรัสรู้เร็ว
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ ความไม่มีโรค และชัยชนะ
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระกุมารกัสสปะเถระ
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้แสดงธรรมได้อย่างวิจิตร
ผู้สามารถละมิจฉาวิตกได้
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระอรหันต์นามว่า โกฏฐิตะเถระ เป็นผู้ประเสริฐ
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ได้ปฏิสัมภิทา ๔
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระพากุละเถระ ผู้เป็นพระอรหันต์
เพราะเหตุที่เป็นผู้มีอาพาธน้อย
จึงเป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีอาพาธน้อย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.


พระเถระนามว่า โสภิตะ ผู้อันพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ระลึกชาติในปางก่อนได้
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


แม้ พระมหากัปปินะเถระ เป็นผู้ให้โอวาทภิกษุ
เป็นผู้เลิศในการให้โอวาท
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระเถระนามว่า นันทกะ
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ให้โอวาทแก่นางภิกษุณี
โปรดรักษาพวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด
ขอจงประทานความสวัสดี และความผาสุก
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระนันทะเถระ ผู้ได้วสี (ความชำนาญในการเข้า-ออกฌานสมาบัติ)
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้สำรวมอินทรีย์
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.


พระเถระนามว่า สาคตะ ผู้อันพระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่ง
เป็นผู้เลิศกว่า บรรดาภิกษุผู้ฉลาดในเตโชธาตุ
(เตโชกสิณ คือ กรรมฐานที่เพ่งไฟเป็นอารมณ์)
ขอจงประทานความสวัสดี และความผาสุก
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระมหาปันถกะเถระ ผู้ชำนาญในสัญญาวิวัฏฏะ (ได้แก่ วิปัสสนา)
เป็นผู้มีความเพียร มีความยินดีในภาวนา
เป็นศิษย์ของพระศาสดา
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด


แม้ พระจูฬปันถกะเถระ
ผู้อันพระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
บรรดาภิกษุผู้นิรมิตกายได้มาก
และในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
บรรดาภิกษุผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ
(คือฉลาดในฌานสมาบัติ)
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระราธะเถระ ผู้อันพระพุทธเจ้าตั้งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
บรรดาภิกษุผู้มีปฏิภาณในคำสอน
ขอจงประทานความสวัสดีอันประเสริฐ และความไม่มีโรค
แก่พวกข้าพเจ้าเถิด



พระโมฆราชะมหาเถระ เป็นผู้เลิศกว่า
บรรดาภิกษุผู้ทรงจีวรที่เศร้าหมอง
(คือผ้าเก่า ผ้าเนื้อหยาบ สีเศร้าหมอง)
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระวิมละเถระ ผู้มีปัญญาปราศจากมลทิน
ผู้มีรูปงาม ผู้มีจิตตั้งมั่น กิเลสเพียงดังธุลีไม่ฉาบทาขันธ์ห้าของท่าน
ขอจงประทานซึ่งความสงบอันยิ่งใหญ่ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระเถระนามว่า ธัมมปาละ ผู้รักษาธรรมอันประเสริฐ
ผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมอันประเสริฐ ผู้เป็นพระมหาขีณาสพในโลก
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระจักขุปาละมหาเถระ ผู้มีความเพียร ผู้สำรวมแล้วในศีล
ผู้มีจิตดิ่งไปในนิพพาน ผู้มีรูปกายอันประเสริฐ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระนารทะเถระ ผู้ก้าวล่วงเวรและภัยทั้งปวงแล้ว สิ้นอาสวะแล้ว
กระทำความสงบอันประเสริฐในโลก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสัทธัมมสวนะเถระ ผู้ยินดีในการบูชาพระพุทธเจ้า
มีความภักดีในพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระโคตมะเถระ ผู้เข้าถึงภพสุดท้ายแล้ว
ยินดีในภาวนาถึงความสิ้นไปแห่งราคะ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระโคธิกะเถระ เมื่อเพ่งความตรัสรู้
ได้เสนาสนะที่สัปปายะแล้ว จึงได้บำเพ็ญฌาน
ท่านเป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าทรงทำฌาปนกิจให้ในเวลาปรินิพพาน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสุพาหุ ผู้มีใจเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
เคยกระทำอัญชลีมาแล้ว ๙๔ กัป
เป็นพระอรหันต์ผู้มีความชำนาญในฌานสมาบัติ
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระวัลลิยะเถระ ผู้ขวนขวายในวิปัสสนากรรมฐาน
มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว มีสติ ได้ฌาน มีปกติอยู่ป่า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระอุตติยะเถระ ผู้ทรงพระวินัย
ผู้เป็นจอมแห่งหมู่มนุษย์และทวยเทพ
ผู้ทรงร่างกายอันมีในที่สุด
(คือสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีการเกิดต่อไปอีก)
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระวิมลโกณฑัญญะเถระ
ผู้บังเกิดเป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร
ผู้มีวัตรปฏิบัติอันขาวสะอาด
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสภิยะเถระ ผู้อยู่ในป่าอันน่ารื่นรมย์ เจริญกุศลเป็นเอนก
บรรลุพระนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งโยคะ
(คือกิเลสอันเป็นเครื่องผูกสัตว์ไว้ในสังสารวัฏ)
ขอจงประทานความสงบ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระนาคิตะเถระ ผู้ระลึกชาติในปางก่อนได้
ผู้มีทิพจักษุอันบริสุทธิ์ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว
ขอจงประทานความสวัสดี และความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระวิชยะมหาเถระ ผู้เข้าถึงปาติโมกข์สังวรศีล
ผู้มีป่าเป็นที่โคจร ผู้มีปกติกล่าวสรรเสริญ ตามที่ตนได้ปัจจัยมา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสังฆรักขิตะมหาเถระ
ผู้ถางรกชัฏคือตัณหา ยังวิปัสสนาให้เจริญ
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระอุตตระเถระ ผู้ยินดียิ่งในการอยู่ป่า ผู้ถอนตัณหา
อันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพได้แล้ว
บรรลุถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งหลายคือ มรรค ผล นิพพาน
ขอจงรักษาพวกข้าพเจ้า ให้พ้นจากภัยเถิด


พระอุสภะเถระ ผู้กระทำบุญทั้งหลายไว้ในกาลก่อนแล้ว
ปรารภกรรมฐานอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งอริยมรรค
รรลุความเป็นพระอรหันต์
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสิวกะเถระ ผู้ถึงพร้อมด้วยสมาบัติ มีอภิญญาหก มีฤทธิ์มาก
เป็นผู้พิจารณาตัณหา ดังที่พระพุทธองค์ทรงพิจารณา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระธนิยะเถระ ผู้มีอริยทรัพย์เจ็ดประการ
ผู้เป็นดุจทะเลแห่งธรรม ผู้สำรอกกิเลส
อันเป็นเหตุท่องเที่ยวในสังสารวัฏได้แล้ว
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระโปสิยะเถระ ผู้กำหนดรู้เบญจขันธ์แล้ว
เสวยอรหัตผลสมาบัติ เข้าถึงพระนิพพานอันประเสริฐ
ขอจงรักษาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากภัยเถิด


พระอุชชยะเถระ ผู้สมบูรณ์ด้วยธรรมอันเป็นเหตุออกจากวัฏฏะ
ผู้นับถือพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ขวนขวายประโยชน์เพื่อชาวโลก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระเถระนามว่า สัญชยะ ผู้ถึงพร้อมด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
บวชแล้วในศาสนาของพระพุทธเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.


พระมหาเถระนามว่า มารัญชยะ ผู้มีฤทธิ์มาก
และพระมหาเถระนามว่า รามะเณยยะ
เป็นผู้มีจิตดิ่งสู่พระนิพพาน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.


พระวีระเถระ ผู้ข้ามพ้นบาปและบุญทั้งสองประการแล้ว
ผู้ไม่มีอาสวะ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระปุณณมาสะมหาเถระ เป็นผู้ทรงผ้าบังสุกุล
กระทำบุพพกิจเบื้องต้นแล้ว
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระปัญจสังคาติคเถระ
ผู้ข้ามพ้นกิเลสเป็นเครื่องข้อง (นิวรณ์) ๕ อย่าง
ผู้ตัดโอรัมภาคิยะสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องต่ำ) ๕ อย่างได้แล้ว
ผู้ละอุทธัมภาคิยะสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องสูง) ๕ อย่างได้แล้ว
ผู้เจริญอินทรีย์ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระเพลัฏฐสีสะเถระ ผู้เคยจัดแจงการบูชายัญในกาลที่ตนเป็นฤษี
ผู้ถวายความภักดีต่อพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงไว้ซึ่งวงศ์แห่งอริยะ
(วงศ์แห่งอริยะคือสันโดษในจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และยินดีในการภาวนา)
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระมหาเถระนามว่า อชิตะ ผู้ไม่มีความกลัวภัย ๕ อย่าง
(ราชภัย โจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย) ที่กำลังเกิดขึ้น
ผู้ไม่มีความเยื่อใยในชีวิต
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระกุลละเถระ ผู้มีความภักดีในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ได้กระทำบุญบารมี อันมีนิพพานเป็นที่รองรับ
บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระเถระนามว่า นิโครธะ ผู้มีปกติเจริญวิปัสสนา
ผู้เป็นธรรมทายาท เป็นผู้ได้ประจักษ์แจ้งธรรมที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
ขอจงประทานความสงบ แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระอรหันต์นามว่า สุคันธะ ได้บรรลุวิชชาสาม
เป็นผู้หมดสิ้นจากบาปทั้งปวง
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระนันทิยะมหาเถระ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา
ผู้ชนะกิเลสทั้งปวง ผู้ถึงที่สุดแห่งอภิญญา
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระเถระรูปใด เป็นบุตรของนายช่างทอง
เป็นผู้ยินดีในธรรมอันเป็นเครื่องพิชิตมาร
ชนะกิเลสด้วยมรรคญาณแล้ว
พระเถระนั้นนามว่า วิมละ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระติสสะเถระ เสวยสมบัติในเทวโลกและมนุษย์โลกแล้ว
สำเร็จเป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐ
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระสุมังคละมหาเถระ ผู้หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว
เป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐ
พ้นแล้วจากความคดกาย วาจา ใจทั้งสาม
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระมหาเถระนามว่า คุตตะ ผู้ปราศจากลิ่มคืออวิชชา
ผู้ปราศจากกิเลสคือความอยาก
ผู้ชำระมลทินได้ทั้งหมด ผู้ยินดีในความวิเวก
โปรดประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

พระเถระนามว่า คิริมานันทะ เจริญกุศลธรรมทั้งหลายอยู่
ได้บรรลุวิเวก ๓ แล้ว (กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก)
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสมิทธิเถระ ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ยินดีในภาวนา
ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณ อันเป็นเหตุแห่งความสำเร็จ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระโชติตเถระ ผู้ชนะตัณหา อันเป็นเหตุให้ยินดีได้แล้ว
เป็นผู้สงบ เป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐ
หลุดพ้นแล้วจากสังสาระทั้งปวง
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด



พระมหาจุนทะเถระ
อาศัยเสนาสนะอันสงัดอยู่ เข้าฌาน ได้อภิญญา ๖
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระฉันนะเถระ ผู้เป็นสหชาตกับพระพุทธเจ้า
เมื่อเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ได้บรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ (คือพระนิพพาน) แล้ว
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระเมฆิยะเถระ ผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า
ผู้มีความภักดี ในพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ตัดมิจฉาวิตกคือความดำริผิดได้แล้ว
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระอุปวาณะ ผู้เป็นมหาเถระ มีร่างกายใหญ่
เป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.


พระสังกิจจะเถระ ผู้ฝึกโจรห้าร้อย
สิ้นสังโยชน์คือกิเลส เครื่องผูกสัตว์ไว้ในสังสารวัฏแล้ว
ขอจงรักษาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากภัยทั้งปวง
ขอจงประทานความสวัสดี และความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พระโสปากะเถระ
เป็นภิกษุผู้ฉลาดในการทูลตอบปัญหาของพระพุทธเจ้า
ผู้ยินดีในฌานอันประกอบด้วยเมตตา
ผู้ถึงพร้อมด้วยอุบาย เพื่อให้ได้มรรคผล
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสุมนะเถระ ผู้สมบูรณ์ด้วยกาลเวลา
อันสมควรที่จะบรรลุธรรม
ผู้เจริญเติบโตด้วยความสุข เป็นพระอรหันต์แล้ว
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

พระสานุเถระ ผู้เป็นที่รักของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
ผู้เป็นพหูสูต ผู้มีปกติเข้าฌานประกอบด้วยเมตตา
ผู้ทำลายความมืดคือโมหะ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระเถระใด ได้เคยทำบาปมาก่อน
เป็นผู้ตัดบาปอกุศลได้ด้วยอริยมรรค
พระเถระนั้นนามว่า องคุลีมาละ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระเถระแม้เหล่าใด ผู้สิ้นอาสวะ ผู้มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่
ผู้ขจัดความมืดมิดคือโมหะ ผู้เจริญวิปัสสนาเป็นธุระก็ดี
พระเถระเหล่าใด ผู้เป็นสมถยานิกะก็ดี


และพระเถระเหล่าใด ผู้ได้ฌานและไม่ได้ฌานก็ดี
พระเถระเหล่าใด ผู้ถูกกำหนดด้วยการบรรลุอริยสัจธรรมก็ดี
ขอพระเถระทั้งปวง ที่กล่าวมาแล้วนี้
จงประทานความสวัสดี ชัยชนะ ความไม่มีโรค และอายุ
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


(พระเถรีชั้นผู้ใหญ่ ๑๓ รูป)


พระโคตมีเถรี ผู้เป็นพระน้านางของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุณีผู้รู้ราตรี
ขอพระเถรี ได้โปรดประทานความสวัสดี
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระพุทธสาวิกาผู้ประเสริฐสุด ปรากฎนามว่า พระเขมาเถรี
ผู้ดำรงอยู่ในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้มีปัญญามาก
ขอพระเถรีจงประทานความสวัสดี
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระอุบลวรรณาเถรี เป็นพุทธสาวิกาผู้ประเสริฐสุด
เป็นผู้เลิศกว่า เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้มีฤทธิ์
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระเถรีผู้ปรากฏชื่อว่า พระปฏาจารา
พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้ทรงพระวินัย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

พระเถรีผู้มีนามว่า ธัมมทินนา
พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ ในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้เป็นธรรมกถึก
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสาวิกานามว่า นันทาเถรี
เป็นผู้ดำรงอยู่ในตำแหน่งผู้เลิศกว่า
เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้มีฌาน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระเถรีนามว่า โสณา
พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าเหล่าบรรดาภิกษุณี
ผู้ปรารภความเพียร
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด



พระเถรีผู้ปรากฏชื่อว่า พกุลา เป็นผู้มีจักษุอันบริสุทธิ์
เป็นผู้เลิศกว่าเหล่าบรรดาภิกษุณีผู้มีตาทิพย์
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ภิกษุณีชื่อว่า กุณฑละเกสี
พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้แล้วในตำแหน่ง เป็นผู้เลิศกว่า
เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้ตรัสรู้เร็ว
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด



พระภัททกาปิลานีเถรี ผู้ระลึกถึงชาติในปางก่อนได้
เป็นผู้เลิศกว่า เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้ระลึกชาติปางก่อนได้
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้าเถิด.


พระภัททกัจจานาเถรี (พระนางยโสธรา)
ผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นคู่บารมีกับพระชินเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระนางไว้ในตำแหน่ง เป็นผู้เลิศกว่า
เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้มีอภิญญาอันพิเศษ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


แม้ พระกิสาโคตมี พระศาสดาตั้งไว้ในตำแหน่ง
เป็นผู้เลิศกว่า เหล่าบรรดาภิกษุณีผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระสิงคาลมาตาภิกษุณี
เป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งเหล่าภิกษุณีผู้มากด้วยศรัทธา
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ
ความไม่มีโรค และความสุข แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พระภิกษุณีเหล่าอื่นทั้งปวงเป็นจำนวนมาก
ผู้ทรงคุณธรรมต่าง ๆ กัน
ขอจงรักษาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากภัยทั้งปวง
อันเกิดจากความเศร้าโศก และโรคเป็นต้น


พระภิกษุณีทั้งหลาย ผู้เป็นพระเสขบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้น
เป็นผู้ยิ่งยวดด้วยศรัทธา ปัญญา และศีล
เป็นผู้เผากิเลสได้เป็นบางส่วน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

(พญานาค)


สุมนะนาคราช สุมนจละนาคราช อรวาฬะนาคราช
เอฬปัตตกะนาคราช จัมเปยยะนาคราช มุจลินทะนาคราช
กัมพละนาคราช ผู้เป็นใหญ่แห่งนาคราช

กาละนาคราช มหากาฬะนาคราช สังขปาละนาคราช
มโหทระนาคราช มณิกัณฐะนาคราช มณิอักขินาคราช
นันทะนาคราช อุปนันทะนาคราช


วรุณะนาคราช ธตรัฏฐะนาคราช กุงคุวิละนาคราช
อปลาลกะนาคราช จิตระนาคราช มหาวีระนาคราช
ฉัพยาปุตตะนาคราช วาสุกีนาคราช


กัณหาโคตมะนาคราช นาคผู้เป็นจอมนาค
อัคคิสิขะนาคราช ธูมะสิขะนาคราช อหิจฉัตตะนาคราช
จูโฬทระนาคราช พญานาคทั้งหลาย มีเอราปะถะนาคราชเป็นต้น


หมู่นาคราชทั้งปวงเหล่าใด
เป็นนาคราชมีพิษร้ายแรง (คือพิษแล่นไปเร็ว)
มีพิษน่าสพึงกล้ว มีนัยน์ตาเป็นอาวุธ

ดำรงอยู่ในน้ำ ดำรงอยู่บนบก ดำรงอยู่ที่ภูเขา
หรือว่าเที่ยวไปในนที

ขอนาคราชทั้งปวงเหล่านั้น
ขอจงประทานความสวัสดีอันประเสริฐ
ความมีอายุ และความไม่มีโรค
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

(เปรต)


นิชฌามตัณหิกะเปรต อุสุโลมกะเปรต
สัตติโลมกะเปรต มังสปิณฑะเปรตเป็นต้น เวมานิกะเปรตเป็นต้น

ขอเปรตทั้งหลายเหล่านั้นจงมีความสุขในกาลทุกเมื่อ
จงรักษาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากภัยทั้งปวง ในกาลทุกเมื่อเถิด

(อสูร)


หมู่อสูรเหล่าใด คือ หมู่ปหาราทะอสูร หมู่สัมพระอสูร
หมู่พลิอสูร หมู่เวปจิตตะอสูร หมู่จันทะอสูรเป็นต้น


แม้หมู่อสูรเหล่านั้นทั้งปวง มีเดชมาก
ผู้สามารถป้องกันภูตและยักษ์
ขอจงประทานความสวัสดีอันประเสริฐ
ความไม่มีโรค และชัยชนะ แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

(เทวดา)


ยักษ์ผู้เป็นภุมมเทวดาเจ็ดพันตนเหล่าใด
อยู่ในเมืองกบิลพัสดุ์ มีฤทธิ์ มีความเจริญรุ่งเรือง มีวรรณะ มีบริวารมาก


ยักษ์(เทวดา)ทั้งปวง ผู้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
มีศักดิ์ใหญ่ผู้ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง
ขอยักษ์เหล่านั้น จงประทานความสวัสดีอันประเสริฐ
ความไม่มีโรค และชัยชนะ แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ยักษ์(เทวดา)หกพันตน อยู่ที่เขาเหมวตา
มีผิวพรรณวรรณะต่าง ๆ กัน ยินดีในการบูชาพระพุทธเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ยักษ์(เทวดา)สามพันตน อยู่ที่เขาสาตาคีรี
มีผิวพรรณ วรรณะสีเขียวเป็นต้น ผู้สมบูรณ์ด้วยรัศมีต่าง ๆ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ยักษ์(เทวดา)ห้าร้อยตน
อยู่ที่เขาเวสสามิตตะมีผิวพรรณวรรณะต่าง ๆ กัน
มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง มีวรรณะ มีบริวาร บันเทิงอยู่ มาชุมนุมกัน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


เทวดาชื่อว่า กุมภีระ อยู่ในพระนครราชคฤห์
วิมานของท้าวเธอนั้น ได้แก่ยอดเขาเวปุลละ
ท้าวเธอนั้น เป็นผู้อันหมู่ยักษ์หลายแสนตนเข้ามาปรนนิบัติรับใช้
ขอท้าวกุมภีระผู้มียักษ์เป็นบริวารนั้น
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ท้าวมหาราชนามว่า ธตรัฏฐะ ปกครองอยู่ในทิศบูรพา
เป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์ ท้าวเธอมีบริวารมาก


แม้บุตรของท้าวเธอก็มีมาก นามว่า อินทะ มีกำลังมาก
ขอท้าวธตรัฏฐะกับบุตรทั้งหลาย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ท้าวมหาราชนามว่า วิรุฬหกะ ปกครองอยู่ในทิศทักษิณ
เป็นอธิบดีของพวกกุมภัณฑ์ ท้าวเธอมีบริวารมาก


แม้บุตรของท้าวเธอก็มีมาก นามว่า อินทะ มีกำลังมาก
ขอท้าววิรุฬหกะกับบุตรทั้งหลาย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ท้าวมหาราชนามว่า วิรูปักขะ
ปกครองอยู่ในทิศปัจฉิมเป็นอธิบดีของพวกนาค ท้าวเธอมีบริวารมาก


แม้บุตรของท้าวเธอก็มีมาก นามว่า อินทะ
มีกำลังมากขอท้าววิรูปักขะกับบุตรทั้งหลาย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ท้าวมหาราชนามว่า กุเวระ ปกครองอยู่ในทิศอุดร
เป็นอธิบดีของพวกยักษ์ ท้าวเธอมีบริวารมาก


แม้บุตรของท้าวเธอก็มีมากนามว่า อินทะ มีกำลังมาก
ขอท้าวกุเวระกับบุตรทั้งหลาย
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ท้าวธตรัฏฐะ ประจำอยู่ในทิศบูรพา ท้าววิรุฬหกะ
ประจำอยู่ในทิศทักษิณ ท้าววิรูปักขะ ประจำอยู่ในทิศปัจฉิม
ท้าวกุเวระ ประจำอยู่ในทิศอุดร

ท้าวมหาราชทั้งสี่ ผู้รุ่งเรืองดุจประทีป
ประจำอยู่ในทิศทั้งสี่โดยรอบ
ขอท้าวเธอจงประทานความสวัสดี
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พวกบ่าวของท้าวมหาราชทั้งสี่เหล่านั้น
ล้วนเป็นผู้มีมายาหลอกลวงเจ้าเล่ห์
ได้แก่บ่าว ชื่อกุเฏณฑุก็ดี ชื่อวิเฏณฑุก็ดี ชื่อวิตุจจะก็ดี ชื่อวิตุฏะก็ดี

ชื่อจันทนะก็ดี ชื่อกามเสฏฐะก็ดี ชื่อกินนุฆัณฑุก็ดี
ชื่อนิฆัณฑุและปนาทะเทวดาก็ดี ชื่อโอปมัญญะเทวดาก็ดี
เทพสารถีชื่อว่ามาตลิก็ดี ต่างก็มาแล้วสู่ที่ชุมนุม


เทพคนธรรพ์ชื่อว่าจิตตะเสนะ ชื่อว่านโฬราชะ
ชื่อว่าชเนสภะ ชื่อว่าปัญจสิขะ
(ผู้ปรารถนาให้ได้นางสุริยวัจฉสาเทพธิดา)
ชื่อว่าติมพรู ชื่อว่าสุริยวัจฉสาเทพธิดา (ผู้เป็นบุตรีของท้าวติมพรู)


ขอพระราชาทั้งหลาย เทพคนธรรพ์เหล่านี้ และเทพเหล่าอื่น
ผู้มีกองกำลังมหาศาล บันเทิงอยู่
ขอจงประทานความสวัสดีและความไม่มีโรค
แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


เหล่านาคผู้อาศัยอยู่ในสระน้ำชื่อว่า นาคสะ จำนวนมาก
พร้อมกับบริวารของท้าวตัจฉกะ
และนาคผู้อาศัยอยู่ในนครเวสาลี
และกัมพละนาคราช อัสสตระนาคราช
ผู้มีพละกำลังผู้อาศัยอยู่ที่เชิงเขาสุเมรุ


นาคผู้อยู่ในแม่น้ำยมุนา และนาคชื่อว่าธตรัฏฐะ
และนาคทั้งหลายทั้งปวง ผู้มีบริวารเป็นจำนวนมาก
และท้าวเอราวัณผู้มีชื่อว่ามหานาค
ขอจงประทานความไม่มีโรค แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


ครุฑเหล่าใด เป็นผู้มีฤทธิ์เดช ผู้ทรงพลัง
จับนาคราชผู้ทรงพลังในแดนที่ตนชนะนั่นเทียว แล้วบินไปในท้องฟ้า
ครุฑทั้งปวงเหล่านั้น เป็นผู้นับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


เทวดาชื่อว่า ปฐวี อาโป เตโช และวาโย ผู้มีฤทธิ์มาก
บังเกิดด้วยอุปจารฌานของตน ๆ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


วรุณะเทพ วารณาเทพ โสมะเทพ
พร้อมทั้งยะสะเทพ เมตตาเทพ กรุณาเทพ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


สุริยะเทพบุตร ผู้อาศัยอยู่ในสุริยะวิมาน
ที่สำเร็จด้วยรัตนะซึ่งมีความยาวห้าสิบโยชน์
ขอจงทำลายความมืด แล้วประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


จันทะเทพบุตร ผู้ประทานความร่มเย็นแก่ชาวโลก
ส่องสว่างปรากฏขึ้น ด้วยรัศมี มีปกติทำลายความมืดมน
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


เวณฑุเทพ สหสีเทพ อสมะเทพ ยมะเทพทั้งสอง
เทพผู้อาศัยจันทะเทพบุตร เทพผู้อาศัยสุริยะเทพบุตร
และเทพทั้งหลายทั้งปวง ผู้นับถือพระพุทธเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


เทพทั้งหลาย ผู้พึ่งพาอาศัยนักษัตร(ดวงดาว)
วลาหกะเทพทั้งหลายผู้ยังให้บังเกิดลม
ท้าวสักกะผู้เคยให้ทานมาก่อน ผู้ได้รับการยกย่อง
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


สหภูเทพผู้ประเสริฐ ผู้รุ่งเรืองดุจเปลวไฟ
(หรือชลมัคคิเทพ สิขาริจเทพ)
อริฏฐะเทพ โรชะเทพ ผู้มีรัศมีเช่นกับดอกอุมมา คือ ดอกผักตบ

วรุณะเทพ สหธัมมะเทพ อัจจุตะเทพ อเนชกะเทพ
สูเลยยะเทพ รุจิราเทพ วาสวเนสีเทพ

ขอเหล่าทวยเทพสิบจำพวกเหล่านี้
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

สมานะเทพ มหาสมานะเทพ มานุสะเทพ
มานุสุตตมะเทพ ขิฑฑาปโทสิกะเทพ มโนปโทสิกะเทพ


อนึ่ง หริเทพ โลหิตวาสีเทพ ปารคะเทพ มหาปารคะเทพ
เทพทั้งปวงล้วนมีบริวาร
ขอเหล่าทวยเทพทั้งสิบจำพวกเหล่านี้
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


สุกกะเทพ กรัมภะเทพ อรุณะเทพ
มาแล้วพร้อมกับเวฆนสะเทพ โอทาตคัยหะเทพผู้เป็นใหญ่
และวิจักขณะเทพก็มา


สทามัตตะเทพ หาระคะชะเทพ มิสสะกะเทพ
ผู้มีบริวารก็มา ปัชชุนะเทพ ผู้ทำให้ฝนตกทั่วทิศก็มา


เหล่าเทวดาสิบจำพวกเหล่านี้ทั้งปวง ล้วนมีรัศมีต่าง ๆ กัน
มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง มีวรรณะ มีบริวาร บันเทิงอยู่ ผู้ประทานชัยชนะ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ในหมื่นโลกธาตุโดยรอบนั่นเทียว ขอหมู่สัตว์มีเทวาเป็นต้น
จงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด.


ขอเขมิยะเทพ กัฏฐกายะเทพ โชติเทพ ผู้มีฤทธิ์มาก
ลัมพีตกะเทพ ลามเสฏฐะเทพ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


เทพเหล่าอื่นอันมี เทพที่อยู่ในน้ำ
เทพที่อยู่บนบก เทพที่อยู่ในอากาศเป็นต้น
และยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ปีศาจ และนาคราชทั้งปวง
ขอจงมีจิตเมตตา ประทานความสวัสดีและความผาสุก
แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามาผู้ทรงฤทธิ์
ทวยเทพชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี.


ทวยเทพชั้นปรนิมมิตตวสวัตตี
ขอทวยเทพทั้งปวงดังที่กล่าวมานี้
พร้อมทั้งท้าววาสวะ (พระอินทร์)
ผู้มีความยินดี ในการบูชาพระพุทธเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

(พรหม)


พรหมผู้ดำรงอยู่ในปฐมฌานเหล่านี้คือ
ปาริสัชชาพรหม ปุโรหิตาพรหม และ มหาพรหมาพรหม.


ขอพรหมทั้งปวงเหล่านั้น ผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา ผู้สงบ
ผู้มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ผู้เป็นทั้งเสกขะ พระอรหันต์ และปุถุชน
ขอจงประทานความสวัสดีอันประเสริฐ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พรหมผู้ดำรงอยู่ในทุติยฌาน
ผู้ยินดีในการบูชาพระพุทธเจ้าเหล่านี้คือ
ปริตตาภาพรหม อัปปมาณาภาพรหม และ อาภัสสราพรหม



ขอพรหมทั้งปวง ผู้มีปกติเมตตา กรุณา
แสวงหาความเกื้อกูล ให้แก่สัตว์ทั้งปวง
ขอจงประทานความสงบอันประเสริฐ
ความสวัสดี ความไม่มีโรค และความมีอายุ แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


พรหมผู้ดำรงอยู่ในตติยฌาน เหล่านี้คือ
ปริตตสุภาพรหม อัปปมาณสุภาพรหม และ สุภกิณหาพรหม


ขอพรหมทั้งหลายเหล่านั้น
ผู้แผ่รัศมีไปในโลก ผู้ยินดีในพุทธฌาน
ผู้ไม่เบียดเบียนสรรพสัตว์ทั้งปวง
ขอจงประทานความสงบ แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พรหมผู้ดำรงอยู่ในจตุตถฌาน ผู้เป็นเสกขะ ปุถุชน
และอเสกขะคือ เวหัปผลาพรหม
ขอจงประทานความสงบ แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


พรหมทั้งหลายผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ย่อมไม่เสื่อมจากฌานสมาบัติ
เพราะเหตุนั้นจึงได้ชื่อว่า อวิหาพรหม
ขออวิหาพรหมทั้งปวงเหล่านั้น
ขอจงประทานความสงบ แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ขอ อตัปปาพรหม ทั้งปวง ผู้มีพรหมวิหาร ดำรงอยู่ในจตุตถฌาน
ขอจงประทานความสวัสดี และความผาสุก แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


ขอเหล่าพรหมชื่อว่า สุทัสสา
ผู้มีรูปงาม ผู้เสวยฌาน ผู้ไม่กลับมาในกามภูมิอีก
ขอจงประทานความสงบ และความผาสุก แก่พวกข้าพเจ้าเถิด


ขอเหล่าพรหมชื่อว่า สุทัสสี ผู้สมบูรณ์ด้วยพรหมวิหาร ผู้
มีความนับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ
จงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ขอเหล่าพรหมผู้เจริญที่สุดด้วยคุณทั้งปวง
ชื่อว่า อกนิฏฐา ผู้ละความสิเน่หาในภพได้แล้ว
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ขอเหล่าอรูปพรหมชั้นที่ ๑ ทั้งปวง
ผู้ปราศจากความกำหนัดในรูป ยินดีในการภักดีพระชินเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ขอเหล่าอรูปพรหม ชั้นที่ ๒ ทั้งปวง
ผู้ปราศจากความพอใจในฌานเบื้องต่ำ
ยินดีในการภักดีพระชินเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ขอเหล่าอรูปพรหมชั้นที่ ๓ ทั้งปวง
ผู้ปราศจากความพอใจในฌานเบื้องต่ำ
ยินดีในการภักดีพระชินเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


ขอเหล่าอรูปพรหมชั้นที่ ๔ ทั้งปวง
ผู้ปราศจากความพอใจในฌานเบื้องต่ำ
ยินดีในการภักดีในพระชินเจ้า
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด

(บุคคลประเภทรวม)


ขอเหล่าวิทยาธร กับเทวดา ยักษ์ และปีศาจ ในวิเทหะทวีป
อปรโคยานะทวีป ชมพูทวีป และอุตตรกุรุทวีป


อากาสัฏฐเทวดา และพรหม สัตว์ทั้งหลายมีสัตว์ ๒ เท้า เป็นต้น
ผู้ดำรงอยู่ในน้ำ ผู้เกิดในอากาศ
ขอจงประทานความสวัสดี แก่พวกข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อเถิด


(อานุภาพแห่งพระรัตนตรัย)


ด้วยพระเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ ของพระชินเจ้า
ผู้ทรงขจัดมาร และเสนามาร
ผู้เสวยสุขในฌาน ด้วยพลังเดชอันยิ่งใหญ่
ขอมงคลจงมีแก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


ด้วยอานุภาพแห่งพระเมตตาอันยิ่งใหญ่
ของพระศาสดาผู้ทรงมีพระวรกายอันงามวิจิตรด้วยคุณต่าง ๆ
ผู้ทรงปลดเปลื้องเหล่าทวยเทพ และมนุษย์ทั้งปวง
ให้หลุดพ้นจากบ่วงแห่งมาร
ขอมงคลจงมีแก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


ด้วยพระเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ แห่งพระธรรม
คือ หมู่ธรรม มีพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
อันไม่ใช่อารมณ์ของจักษุเป็นต้น
แต่เป็นอารมณ์ของปัญญาเท่านั้น
ขอสรรพมงคล จงมีแก่พวกข้าพระองค์เถิด


ด้วยพระเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธปฏิมาที่ทรงเนรมิตขึ้น
ให้เหมือนรูปจริง แทนพระพุทธองค์
ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
เมื่อทรงแสดงอภิธรรมแก่เหล่าทวยเทพในชั้นดาวดึงส์
ขอมงคลจงมีแก่พวกข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อเถิด


ด้วยพระอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงฝึกเหล่ามนุษย์และเทวดา ให้หลุดพ้นจากบ่วงมาร
ผู้ทรงละสังขารดับขันธ์ปรินิพพาน
ขอสรรพมงคล จงมีแก่พวกข้าพระองค์เถิด


ด้วยพระเดชานุภาพของพระธรรม แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
ด้วยพระเดชานุภาพแห่งนวังคสัตถุศาสน์
และด้วยพระเดชานุภาพแห่งนวโลกุตตรธรรม
อันนำบาปทั้งปวงออกไป
ขอสรรพมงคลจงมีแก่พวกข้าพระองค์เถิด


ด้วยพระเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ ของพระอริยสงฆ์ผู้ประเสริฐ
ผู้เป็นเนื้อนาบุญ ผู้ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม
ผู้ละบาปทั้งปวง ผู้ทรงไว้ซึ่งคุณมีศีลเป็นต้น
ขอสรรพมงคลจงมีแก่พวกข้าพเจ้าเถิด

(อานุภาพของเทวดาต่าง ๆ)


ด้วยอานุภาพแห่งหมู่เทวดา ยักษ์ ปีศาจ และวิทยาธร
คนธรรพ์ นาค กุมภัณฑ์ และรากษส
ผู้อาศัยอยู่ในบาดาลก็ดี บนพื้นดินก็ดี ในอากาศก็ดี
ขอสรรพมงคลจงมีแก่พวกข้าพเจ้าเถิด

(อานุภาพของอุปปาตะสันติ)


ผู้ใดสวด หรือฟังคัมภีร์ อุปปาตะสันติ
อันกล่าวแล้วด้วยประการฉะนี้
จะพึงชนะบาปทั้งปวง และจักเจริญด้วยคุณ ๕ ประการ
คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ


ผู้ใดปรารถนาความสวัสดี พึงได้ความสวัสดี
ผู้ปรารถนาความสุข พึงได้ความสุข
ผู้ปรารถนาอายุ พึงได้อายุ ผู้ประสงค์บุตร พึงได้บุตร


โรคที่เกิดจากลม จากดีเป็นต้น ย่อมไม่เบียดเบียนบุคคลนั้น
ความตายในกาลอันไม่สมควร ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น
มิจฉาเทวดาย่อมไม่รังแกต่าง ๆ นา ๆ


เคราะห์ร้ายและภัยย่อมไม่มีแก่เขา
นิมิตร้ายและสิ่งที่ตั้งขึ้นเพราะบาปกรรมย่อมพินาศไป
ความมีอายุยืน ความสวัสดี อันประเสริฐ
และความไม่มีโรคจะพึงมีแก่เขา ในกาลทุกเมื่อ


ผู้ใดฟังคัมภีร์อุปปาตะสันติอันประเสริฐแล้ว
พึงเข้าไปสู่สมรภูมิ
บุคคลนั้นอันศาสตราไม่กล้ำกราย ย่อมชนะข้าศึกทั้งมวล


เขาย่อมได้ซึ่งความอิ่มใจในกาลทุกเมื่อ
ความวิบัติ ย่อมไม่มากล้ำกราย ย่อมไร้โรคา
ย่อมเจริญด้วยทรัพย์ศฤงคาร


สัตว์ร้ายน้อยใหญ่ และรากษสเป็นต้น
ผู้อยู่ในป่าเขาลำเนาไพรทั้งหลายทั้งปวง
ย่อมสงบด้วยเสียงแห่งการสวดคาถาอุปปาตะสันติ


บุคคลสวดคัมภีร์อุปปาตะสันติ
อุทิศให้ผู้ใดที่มีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตอยู่
บุคคลนั้นย่อมพ้นจากมหันตทุกข์
ย่อมเข้าถึงสุคติภพ ในกาลทุกเมื่อ


ท้าวเทวราชทั้งหลายผู้ปกปักรักษาเนืองนิจ
ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ หรือในพระนคร
เป็นผู้เจริญด้วยเดชและสิริมงคลด้วยคัมภีร์อุปปาตะสันตินี้


เหตุร้ายอันเกิดจากแผ่นดินไหว และน้ำท่วมเป็นต้น
เหตุร้ายที่เกิดจากฟากฟ้า
เหตุร้ายอันเกิดจากจันทรุปราคาเป็นต้น
เหตุร้ายที่เกิดขึ้นจากบาปกรรม
เหตุร้ายทั้งปวงเหล่านั้นจักพินาศไป
ด้วยเดชแห่งอุปปาตะสันติ

อุปปาตะสันติ นิฏฐิตา.

จบอุปปาตะสันติ
มนต์สำหรับระงับเหตุร้ายทั้งปวง


หมายเหตุ : ผู้สวดต้องเข้าใจ ต้องศรัทธา และทำทาน รักษาศีล มีคุณธรรมพื้นฐานด้วย จึงจะได้รับอานิสงส์ต่างๆ ครบบริบูรณ์
      บันทึกการเข้า

www.jozho.net
แจก CD ธรรมะฟรี ดาวน์โหลดธรรมะฟรีมากมาย
เสียงเทศนาหลากหลายครูบาอาจารย์
เสียงอ่านหนังสือธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ ฟังสบาย เข้าใจง่าย
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><