04 พฤษภาคม 2567, 03:08:19
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 19  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: หลานสาวลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ของคุณยาย " อรมัทน์ "  (อ่าน 217679 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #225 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 08:10:31 »

แนวคิดของพี่ปี๊ดและ
ปฏิบัติการของพี่ปรีชา
ดีมากๆค่ะ และเป็นประโยชน์
กับคนที่กำลังจะสร้างครอบครัว
จริงๆค่ะ
      บันทึกการเข้า
oramat16
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 134

« ตอบ #226 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 23:15:29 »

การเลี้ยงลูกตอนวัยรุ่นของมัทกลับไม่ยาก เพราะความคิดของเขายังไม่แข็งกล้ามากนัก และยังต้องอาศัยเศรษฐกิจจากเรา  แต่กลับมายากตอนที่เขาไม่ต้องพึ่งเราแล้ว  จริงๆแล้ว เขาก็เรียนหนังสือไปตามระบบที่เราวางแผนกันไว้ ไม่มีเรื่องให้เราต้องกลุ้มใจ  แต่มัทเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคู่ของลูกมากจนอดไม่ได้ที่จะไปก้าวก่าย  เราเหมือนคนที่ผ่านโลกมาแล้ว  รู้แล้วว่าถ้าลูกเลือกคนอย่างนี้ก็จะมีชีวิตอย่างนั้น  บางครั้งก็จะขัดแย้งกับลูก  และทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยเลยตามเลย ก็จะหาโอกาสคุยกับลูกมากๆในเรื่องความจริงของชีวิต  ถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากวางแผนชีวิตที่สวยงามให้เขา  มัทมีแต่ลูกสาว   มัทจะคุยกับลูกทุกเรื่องจนเขาวางใจที่จะเล่าทุกเรื่องให้เราฟัง  ลูกสาวทั้งสองคนเคยอกหักทั้งคู่ตอนมีแฟน ลูกคนโตต้องโทรศัพท์ข้ามประเทศจากญี่ปุ่นมาร้องไห้กับเราตอนเรียนหนังสืออยู่ที่นั่นเมื่อถูกแฟนทิ้ง  ลูกคนเล็กก็มาซบหน้าร้องไห้กับเราเหมือนกันเมื่ออกหัก อย่างน้อยเขาจะไว้วางใจเราปรึกษาเราตลอดเวลาเมื่อเขาทุกข์หนัก ทุกวันนี้ สิ่งที่เราต่อสู้ฟันฝ่ามาให้เขา ก็ทำให้เขามีชีวิตที่ดีและเขาก็รู้อยู่แก่ใจทั้งคู่
      บันทึกการเข้า
wannee
Global Moderator
Cmadong พันธุ์แท้
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: จุฬาฯรุ่นประวัติศาสตร์ 2516
คณะ: ทันตแพทยศาสตร์
กระทู้: 4,806

« ตอบ #227 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2554, 14:45:01 »



สวัสดีค่ะ พี่ปรีชา พี่ปิ๊ด มัท ทราย ป้อม หนุน ใหม่ หนิง และทุกท่าน

ครอบครัวซืมะโด่ง  คุยกันหลากความคิดดีค่ะ

      บันทึกการเข้า

"เสียด" ภาษาจีนฮากกา แปลว่า หิมะ
wannee
Global Moderator
Cmadong พันธุ์แท้
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: จุฬาฯรุ่นประวัติศาสตร์ 2516
คณะ: ทันตแพทยศาสตร์
กระทู้: 4,806

« ตอบ #228 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2554, 14:45:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ oramat16 เมื่อ 06 พฤศจิกายน 2554, 23:15:29
การเลี้ยงลูกตอนวัยรุ่นของมัทกลับไม่ยาก เพราะความคิดของเขายังไม่แข็งกล้ามากนัก และยังต้องอาศัยเศรษฐกิจจากเรา  แต่กลับมายากตอนที่เขาไม่ต้องพึ่งเราแล้ว  จริงๆแล้ว เขาก็เรียนหนังสือไปตามระบบที่เราวางแผนกันไว้ ไม่มีเรื่องให้เราต้องกลุ้มใจ  แต่มัทเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคู่ของลูกมากจนอดไม่ได้ที่จะไปก้าวก่าย  เราเหมือนคนที่ผ่านโลกมาแล้ว  รู้แล้วว่าถ้าลูกเลือกคนอย่างนี้ก็จะมีชีวิตอย่างนั้น  บางครั้งก็จะขัดแย้งกับลูก  และทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยเลยตามเลย ก็จะหาโอกาสคุยกับลูกมากๆในเรื่องความจริงของชีวิต  ถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากวางแผนชีวิตที่สวยงามให้เขา  มัทมีแต่ลูกสาว   มัทจะคุยกับลูกทุกเรื่องจนเขาวางใจที่จะเล่าทุกเรื่องให้เราฟัง  ลูกสาวทั้งสองคนเคยอกหักทั้งคู่ตอนมีแฟน ลูกคนโตต้องโทรศัพท์ข้ามประเทศจากญี่ปุ่นมาร้องไห้กับเราตอนเรียนหนังสืออยู่ที่นั่นเมื่อถูกแฟนทิ้ง  ลูกคนเล็กก็มาซบหน้าร้องไห้กับเราเหมือนกันเมื่ออกหัก อย่างน้อยเขาจะไว้วางใจเราปรึกษาเราตลอดเวลาเมื่อเขาทุกข์หนัก ทุกวันนี้ สิ่งที่เราต่อสู้ฟันฝ่ามาให้เขา ก็ทำให้เขามีชีวิตที่ดีและเขาก็รู้อยู่แก่ใจทั้งคู่

แฮบปี้กันถ้วนหน้า  รักนะ

และมัทก็ได้ทำหน้าที่ของการแม่   ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

"เสียด" ภาษาจีนฮากกา แปลว่า หิมะ
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #229 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2554, 18:28:08 »

ทึ่งจัดสุดขีดอีกแล้วคะ!
มีอะไรให้ครุ่นคิดอีกแล้ว

ตรงที่...เราหรือลูกๆเรา
มีเวลากันเพียง 17-18 ปี
เวลาแห่งการวางรากฐานนี้
สำคัญมากมายหลายเท่าเพราะ
เราถูกอบรมบ่มนิสัยมาในแบบ
ที่ต้องเริ่มจาก 0 จากทารกจน
ออกจากบ้านไปเล่าเรียนที่อื่น
ลูกๆก็เช่นเดียวกัน...
การปลูกฝังตรง17-18 ปีนี้มีผล
ทางตรงต่อการนึกคิด-กระทำ
ที่มีอิทธิพลทางอ้อมต่อยอด
จากการเรียนรู้ ทดลองพิสูจน์
ด้วยตัวเค้าๆเองหลัง17-18 ปีนั้น??


หนิงมีคำถามคะพี่ๆ..ว่า
แล้วยังงี้เราจะโทษหรือกล่าวว่า
เราคิดเราเชื่อแบบนั้นเพราะได้รับ
การอบรมเลี้ยงดูปลูกฝังมาจากที่บ้าน
รึเพราะเราไปได้รับการเติบโตสุกงอม
ของความคิดความเชื่อต่อยอดจากการ
ศึกษาเล่าเรียน เรียนรู้เองจากสังคมภายนอก
ในวัยที่คิดเองคิดเป็นและหาคำตอบเองได้??





เพราะการประสบผลสำเร็จในด้านการเรียน
หรือการทำงาน....ควบคู่ไปกับการครองชีวิตคู่
ชีวิตที่ต้องสร้างพลเมือง generationต่อไป
ในสภาพปัจจุบัน...ไม่ง่ายเลยคะ!

หนิงดึง 2 เรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวกันเพราะ เห็นว่า
เราได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่/เลี้ยงดูลูกๆ
ประมาณ17-18 ปี ไม่นับกรณีอยู่กับพ่อแม่ตลอดนะคะ
นี่เป็นกรณีปกติที่เติบโต บินเอง แยกตัวไปอาศัย/อยู่
ที่อื่น..กับการครองคู่ที่อาจต้องอยู่กับคู่ครอง20-30-40-50ปี!

ลืมแล้วว่าหนิงจะถามอะไร!
อ้อ,หนิงจะถามพี่ว่าจากพ่อแม่
ไปสู่ลูก 1  จากสามีไปสู่ภรรยา
และกลับกัน 1

พี่ๆคิดว่าอิทธิพลของการปฏิสัมพันธ์นี้
มีผลความคิด ความเชื่อ การปฏิบัติของ
พวกเค้าเมื่อมีครอบครัว มีลูก?พวกเค้าจะ
เลี้ยงลูก เหมือนที่พ่อแม่เค้าเลี้ยงเค้ามา?
เค้าจะคิดเชื่อต่อการมีคู่ ครองคู่ในแบบที่พ่อแม่
เค้าปฏิบัติให้เห็น?


พี่ๆห้ามเกี่ยงกัน!
ตอบมาซะดีๆ
(ฟังขู่ๆไงไม่รุ!)
      บันทึกการเข้า


Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #230 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2554, 01:14:01 »

ฮะ ฮะ ฮา ..........เขาไปเรื่องลูกๆ กันหมดแล้้ว พี่ปิ๊ดยังไม่ได้ทำให้ภรรยาท้องเลย (ภาษา" X" ไปหน่อย) ขออนุญาตเดินเล่น
( เรื่อง ) ไปเรื่อยๆ นะ ต่อจากคราวที่แล้ว  กับคำว่า "ครอบครัว" ในหนึ่งความคิด ของผู้ชาย คนหนึ่ง................
ชีวิตคู่... ก็ต้องรักษา Tone สี  ของชีวิตแห่งความเข้าใจ ซึ่งกัน และ กัน ไปจนกว่าจะ -แยกจากกัน / มันอาจจะหนัก ซ้ายบ้าง - ขวาบ้าง ดังตัวอย่าง  ก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นรสชาติของชีวิต ที่อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจซึ่งกันและกัน การยอมรับ และการให้อภัย/ ในความคิดของพี่ปิ๊ด...คิดว่าตราบใดที่ยังมีกันเพียงสองคน มันเป็นเพียง เพื่อนคู่ชีวิต(ไม่ใช่กรณีที่มีคุณ พ่อ-แม่อยู่ด้วย ) -ยังไม่ใช่ชีวิต" ครอบครัว " จนกว่าเราจะมี บุคคล ที่ 3 เกิดขึ้น  นั้นคือ"ลูก " ต่อจากนั้นแหละ ชีวิตคู่ จะเปลียนไปใช้ คำว่า "ครอบครัว" เป็นการพัฒนา ชีวิตคู่ ขึ้นไปอีกหนึ่ง step -ของคน 2 คน ที่มาใช้ชีวิตร่วมกัน มาถึงตอนนี้บางท่าน คงอยากถาม ....แล้วในกรณีที่แต่งงานแล้ว ต้องย้ายเข้าบ้าน ของผู้ชาย/ ผู้หญิง  ซึ่งอาจมีทั้ง พ่อ-แม่ พี่ -น้อง ฯลฯ ละ จะเกิดอะไร
ความจริงพอตอบได้ แต่เรื่องมันจะยาว พูดได้เลย " ยุ่ง" และต้อง "อดทนมาก"
ฝ่ายที่เข้าไปอยู่ใหม่ และในที่สุดไม่ค่อยรอด เพราะผู้้เข้าไปอยู่ใหม่ ต้องแต่งงานกับคนอีกหลายคนในเวลาเดียวกัน พอไม่ไหวก็จะเหมื่อนลูกโป่งแตก ระเบิดตูม!  พี่ปิ๊ดได้ ศึกษา ชีวิต คู่พอสมควร  แล้วปรึกษากัน ว่าจะปักหลักอยู่กลางๆ ไม่ไปอยู่บ้านของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถึงแม้ว่า จะมีความสะดวกสบาย
รออยู่มากมาย ก็ไม่เอา จะสร้างครอบครัวใหม่ของตัวเอง.....ปักหลัก กทม. นี่แหละ อยู่กลางๆ ดี และถ้ามีลูกก็จะเลี้ยงเอง ปู่ ย่า ตา ยาย อยากชืนชมหลานก็ให้มาหาเรา ..... เหอๆๆ เหอๆๆ
 
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #231 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2554, 09:38:54 »

สกุ๊บของพี่ปี๊ดน่าอ่านค่ะ
 ปิ๊งๆ อายจัง
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #232 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2554, 18:46:19 »

สวัสดี ครับ น้องทราย น้องมัท น้องป้อม และสมาชิก  พี่ปิ๊ดคงจะเขียนบ่นไปเรื่อย พยายามจะต่อเรื่อง( บทความ )ของตัวเอง
ให้มัน ต่อเนื่อง ขออภัย อาจไม่เข้ากับใครๆ ที่กำลัง ตอบถามกันอยู่ แต่ก็อยากได้ comment บ้าง จะได้เป็นแนวความคิดที่แตกต่างกันออกไป เป็นประโยชน์ ต่อผู้ที่สนใจ

 ประเพณีไทย ๆ บางท่านคงหนีไม่ออก กับการแต่งงานแล้ว ต้องย้ายไปอยู่บ้านของ ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง ที่มีคนของอีก ตระกูล
 หนึ่ง อยู่เพียบ
 ขอแนะนําของการอยู่รอด ของพี่ปิ๊ด ก็คือ ให้แยกบ้านอีกหลังเป็นของ ครอบครัวใหม่ มีความจำเป็นมาก เพราะอย่างน้อยท่าน    
 ที่เข้าไปเป็น ส่วนติ่ง ของบ้านนั้นก็ยังมี บริเวณที่เป็น ส่วนตัว ที่สามารถ จะทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากจะทำ...........
  จากเหตุการณ์ที่เคยพบ
                                 1. เป็นทาสรับใช้ ...ต่อให้มีการศึกษาสูงอย่างไร เวลาเข้าไปอยู่ใต้ชายคา บ้านเขาแล้ว ต้องรับใช้
                                     หรือ ปรนนิบัติ ต่อ พ่อ แม่ เขาเยี่ยงสาวใช้ (ไม่รู้อยู่ในข้อแม้ของชีวิตคู่ เปล่า?)
                                 2. เป็นส่วนเกิน ของที่นั้น ...เวลามีปัญหา อะไรจะถูก  อะไรจะผิดไม่ทราบ แต่ฉันเอา ญาติ พ่อ แม่
                                     พี่ น้องฉันก่อน ( เงียบลูกเดียว )
                                 3. ชีวิต เหมื่อนลูกไก่ อยู่ในกำมือ ...บางครั้งเมื่อเราไปเสวยสุขอยู่กับครอบครัวเขาจนชิน  ลืมเรื่อง
                                     เวลา พอชีวิต ผกผัน กลับหน้ามือ เป็นหลังมือ เกิดอาการ งง เดรียด ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ ต่อไปได้
                                     อย่างไร? เช่น คู่เสียชีวิตแบบกระทันหัน  ธุรกิจล่ม  คู่ของตัวเองไปมีคนอื่น ฯลฯ
การใช้ชีวิต คู่ ย่อมมีปัญหา ไม่มาก ก็น้อย การที่เราได้แยก อะไรบางส่วนออกจากส่วนกลางบ้าง ทำให้เราได้มีโอกาส ใช้เวลาส่วนตัว กับคู่ชีวิตเราบ้างโดยไม่มี party อื่น มา Interfere การแก้ปัญหา จะหาคำตอบได้ง่ายขึ้น   ปิ๊งๆ gek เหอๆๆ                        

          
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #233 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2554, 20:12:01 »

มา...รออ่านสกู๊่ปของพี่ปี๊ดต่อค่ะ
 รักนะ sing
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #234 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2554, 21:44:54 »

รออ่านด้วยค่ะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
มีนา
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2515
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 1,865

« ตอบ #235 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2554, 22:02:06 »


มาอ่านด้วยค่ะ ดีมากเลยได้ข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์ตรง
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #236 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2554, 22:27:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ มีนา เมื่อ 08 พฤศจิกายน 2554, 22:02:06

มาอ่านด้วยค่ะ ดีมากเลยได้ข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์ตรง

ความรู้นอกตำราค่ะพี่มีนา
      บันทึกการเข้า
oramat16
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 134

« ตอบ #237 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2554, 22:38:28 »

มัทหายไปป้องกันน้ำท่วมมา  โดยการสั่งกระสอบทรายเพิ่มอีก 600 กระสอบ  ก่อผนังปูนแบบมีครีบชนิดชัวร์ว่าไม่ล้มสูง1.2 เมตร หน้าหมู่บ้าน อุดรอยรั่วกำแพงรอบหมู่บ้าน เพราะเราตกลงกันว่าจะต้องเอาน้ำให้อยู่  เลยวุ่นไปสองวันเต็มๆองมัทอย่างนี้แหละ

เรามาพูดถึงข้อกำหนดในการดำรงชีวิตครอบครัวในทัศนคติของพี่ปี๊ดดีกว่า  แหม...ช้าไปแล้ว  ทำไมไม่บอกแต่เนิ่นๆ  จะได้ไม่พลาดแบบนั้น   แต่มัทเป็นคนขี้เกรงใจจนแทบไม่กล้าต่อต้านใคร  ไม่พอใจใคร  บางทีก็เก็บความรู้สึกแบบไม่เคยเล็ดรอดออกมาให้เจ้าตัวรู้จนเขาตายไปโดยไม่เคยรู้ว่าเราเกลียดเขาชนิดไม่เผาผี ถ้าต้องไปงานศพ ก็ไม่ต่อต้านให้ใครรู้ แต่ไปแล้วก็ไม่ไหว้ศพ ไปนั่งเสียไกลสุดกู่  มัทก็เป็นของมัทอย่างนี้แหละ

สำหรับคำขู่ของน้องหนิง พี่เชื่อเรื่องการถ่ายทอดพฤติกรรมจากพ่อแม่ไปสู่ลูก  สิ่งหนึ่งที่พี่เห็นและรำคาญตอนเด็กๆคือพ่อพี่ชอบไปช่วยงานของสมาคมและรักษาผลประโยชน์ของสมาคมแบบจริงจังจนทะเลาะกับคนอื่นเขาบ่อย พอเราโต กับเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว เราจะหยวนแบบนางเอกสุดๆ  แต่พอเป็นเรื่องส่วนรวม เรากลายเป็นนางยักษ์จิกไม่ปล่อย จนมีวีรกรรมเยอะ  เคยรถติดอยู่บนถนนหน้าจุฬา เห็นหนุ่มบนรถเก๋งคันเยื้องๆทิ้งกระดาษทิชชูลงถนน  พี่เดินลงจากรถไปเคาะกระจก เอาทิชชูโยนใส่รถ แล้วชี้หน้าด่าลั่นถนนให้เอาไปทิ้งที่บ้าน ท่ามกลางสายตาตะลึงของคนบนรถเมล์เต็มคัน มันเป็นเวลาที่เลือดข้ึนหน้า ไม่กลัวตาย
 อีกครั้งหนึ่งไปสนามบินดอนเมือง  เห็นพนักงานยืนแปรงฟันแล้วคุยกัน ระหว่างนั้นก็เปิดน้ำในอ่างล้างหน้าทิ้งไปพลางๆ  พี่ก็จัดการปิดน้ำแล้วสั่งสอนสาวๆพวกน้ี กลับถึงบ้านยังไม่หนำใจ หาเบอร์โทรไปคุยกับผู้ใหญ่ของดอนเมืองเล่าพฤติกรรมของพนักงานเขา และบอกให้เขาเปลี่ยนก๊อกน้ำเป็นแบบกด หลังจากนั้นก็จะคอยโทรไปเช็คว่าเปลี่ยนหรือยัง  ฟังให้เป็นเรื่องขำๆก็แล้วกัน เพราะเป็นพฤติกรรมที่ห้ามเลียนแบบนะ เพราะอาจนำไปสู่ความตาย
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #238 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2554, 18:09:49 »

พี่อรมัทน์,
โห,พี่นี่ กล้าจริงๆคะ
มีcivil courage!
อย่างนี้คะถึงจะเรียก"คนจริง"

หนิงแน่ใจคะว่าสิ่งที่พี่เห็นจากคุณพ่อพี่
กับสิ่งที่ลูกๆพี่เห็นจากพี่..เป็นการลงลักษณ์
เรียบร้อยแล้ว นี่แหละคะsocializeที่มีคุณภาพ.
      บันทึกการเข้า


Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #239 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2554, 00:43:17 »

สวัสดี ครับ น้องมัท น้องทราย น้องป้อม น้องหนิง  และ สมาชิก 
เพิ่มกระสอบทรายอีก 600 ไม่น้อย เลย แต่พี่ปิ๊ดเชื่อ มือ ผู้ใหญ่บ้าน มัท เอาน้องนํ้าอยู่แน่ๆ

                     ทางส่วนที่เป็นหมู่บ้านพี่ปิ๊ด ที่ทำ office น่า จะผ่านแล้วไม่ท่วม นํ้าล้อมหมดแต่มา
หมดแรงเอาวันนี้ ไปสำรวจก่อนคํ่า นํ้าลง  คอยผ่อนคลายมาเขียน
ข้อความใน wep.ได้ ต่อจากคราวที่แล้ว เรื่อง ชีวิตคู่
                      มนุษย์เป็น สัตว์ประเสริฐ ที่มีการอยู่เป็นหมู่คณะ ไม่อยู่โดดเดี่ยว มีความคิด สติปัญญา
                      เลิศลํ้าซับซ้อนกว่าสัตว์อื่นๆ การที่จะอยู่ด้วยกันมากกว่า 2 คน ขึ้นไปได้  จึ่งต้องมีองค์
                      ประกอบที่อิงธรรมชาติ เป็นตัว แปลสำคัญ ซึ่งทำให้เกิด ความเข้าใจซึ่งกันและกัน การ

                      ยอมรับ จึงอยู่ร่วมกันได้ นักปรัชญา ปราชญ์ ศาสนา และ ผู้รู้หลายท่าน ได้ชี้แนะไว้ ใน
                      สิ่งที่ควรระวัง เมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น คือ
                               1. ใจ.....เป็นต้นกำเนิดของ ความคิด และ ผลก็คือ "การกระทำ"   ใจ    ในที่นี้ไม่ใช่

                      หัวใจที่จับต้องได้ แต่เป็นจิต วิญญาณ ที่ควบคุมไม่ได้ จับต้องไม่ได้ (ในทางศาสนา

                      พุทธ กล่าวไว้ว่า "  บังคับไม่ได้ แต่ ฝึกได้ " )
                               2. วาจา....เป็นเครื่องมือสื่อสาร ที่ติดตัวมากับมนุษย์  เสียงที่เปล่งออกมา ซึ่งเรียก ว่า

                    "ภาษา" เป็นเครื่องมือที่จะบอกให้คนอื่นทราบ ความคิด เเละ ความต้องการ (ใจ)ของตัว
                     ตน ในโลกปัจจุบัน ยังมีอุปกรณ์ ช่วยอย่างอื่นอีกมากมาย
                               3. กาย.....เป็นอีกเครืองมือสือสาร หนึ่ง ที่มีมากับมนุษย์ เป็นทั้งรับ และ ทั้งส่ง กล่าว
                     คือ รับ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ทางศาสนาพุทธ เรียกว่า "  อายตนะ ภายใน 

                     ทั้ง 6 " แล้วรับอะไร?บ้าง ก็คงจะมี รูป คือสิ่งทีเห็นคือ สี แขกเรียกว่า วัณณะ หรือ รูปะ
                     ใช้ ตา  / เสียง หรือ สัททะ ใช้ หู / กลิ่น หรือ คันธะ  ใช้ จมูก / รส หรือ รสะ  ใช้ ลิ้น/
                     กายสัมผัส หรือโผฏฐัพพะ ใช้ แตะต้องด้วยเรือนร่าง / อารมณ์ที่เกิดกับใจ สิ่งที่ใจนึกคิด
                     ใช้คำว่า ธรรมารมณ์ หรือ ธรรม / :ซึ้งสิ่งที่มาจากข้างนอก เรียกว่า "อายตนะ ภายนอกทั้ง 6


                             ถ้าสังเกตุดูให้ดี ข้อ 2. - 3. ดูจะเป็น เครื่องมือ หรือ อุปกรณ์ และ การสนองตอบ  ของ

                      ข้อ ที่ 1. นั่นแหละ
                      พอมาถึงตอนนี้ รู้สึกว่า มันก็ไม่ยาก นะที่จะอยู่ ร่วมกับ ใคร สักคน ถ้ามันมีข้อพึงระวังอยู่
                      เพียง 3 ข้อเอง คือ กาย วาจา และ ใจ ........ใช้ครับ ปัญหา มันอยู่ที่คำว่า "ความพอดี"
                    " อะไรควร อะไรไม่ควร " และ " อะไรล่ะถูก อะไรล่ะผิด " ใครล่ะ เป็นผู้กำหนด คำตอบ

                              ก็น่าจะเป็น ทั้งคู่นั้นแหละ ครับ ที่จะต้องกำหนดขอบเขต สิ่งเหล่านั้น  ถ้าต้องมาเกี่ยวกับ
                      คน สอง คน แต่ถ้าบางสิ่งไม่เกียว ก็สามารถกำหนดขอบเขตได้ ด้วยตัวเอง แต่ควรเล่าสู่
                      กัน ฟัง เพื่อ ไม่ให้อีกคน ตกข่าว(นี้แหละไม่ง่าย)  ความเป็น ศาสตร์ และ ศิลป์ ในชีวิตคู่
                      จึงไม่ง่าย ที่จะหาคำว่า "พอดี" ซึ่ง ต้องใช้ ปัญญา + เหตุผล เป็น ตัวช่วยหา บทสรุป
                      เมื่อ คน สอง คน กำลังจะมาใช้ ชีวิต คู่ กัน ตรงช่วง Introduction (เป็นแฟน) นั่น

                      แหละ สำคัญ มันเกี่ยวกับ  เวลา และ ข้อมูล เวลาที่คบกัน และ ธาตุแท้ ของแต่ละฝ่าย
                      เพราะ มันมี คำว่า "รัก" เป็นตัวกลาง บ้างครั้ง ธาตุแท้ จึงถูกเก็บ ซ้อน ไม่เห็นตัว จริง
                      อย่า คิดว่าเรา รู้จัก คนที่อยู่ข้างกาย "ดี" ถ้าไม่ได้อยู่ (นอน) ด้วยกันจนครบปี /ที่ใช้เวลา
                      ถึงหนึ่งปี ก็เพราะ ครบรอบการเปลียนแปลง ของธรรมชาติ ซึ่งมีอิทธิพล ต่อพฤติกรรม

                      ของมนุษย์ บางคู่อยู่ด้วยกันนานแล้ว ก็ยังบ่นว่า " นี้ฉันไม่รู้จักเธอเอาเสียเลยนะเนี้ยะ ไม่

                      รู้ว่า คิดได้ไง ทำได้ไง ฯลฯ " มีครับเป็นกันทุกคู่แหละ เพราะ ของบางอย่างมันอยู่ลึกมาก
                      ในสันดาน กว่าจะออกมา สำแดง ต้องใช้เวลา
                              มีลูก สอนลูก มีหลาน สอนหลาน ได้เลยครับ เริ่มต้นที่ 50:50 ถึงจะคบกันมานานแล้ว
                      ก็ตาม ถ้ายังไม่เคย นอน ด้วยกันมาระยะหนึ่ง ก่อนหน้า แล้วละก็ ให้เริ่มต้น ที่ 50:50 ก็พอ
                      จะได้ไม่เสียใจมาก หลังจากวันนั้น จะต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน อีกหนึ่งเท่าตัว หรืออีก
                      50% ......ไหว ไม๊....คำตอบคือ ไหว เพราะ ยังมีคำว่า "รัก" เป็นสื่อกลาง และยังไม่
                      เจอ ธาตุแท้ ของ แต่ละฝ่าย อัตราส่วนจะลดลงไปตาม ช่วง Introduction ถ้ามีเวลาให้

                      กันมากพอในอดีต และ ให้ข้อมูลดิบที่ไม่ได้ปรุงแต่งมากเป็น ตัวเอง จริงๆ การที่จะต้องมา

                      ทำความเข้าใจ ปรับตัวเพื่อ หาความพอดี ก็จะน้อยลง ในช่วง ใช้ชีวิตคู่จริงๆ ไม่ใช่ แฟน
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #240 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2554, 13:03:13 »

สกู๊่ปของพี่ปี๊ดเยี่ยม
อีกอีกแร๊ะ
รอ... อ่านต่อค่ะ
 smoke
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #241 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2554, 20:37:49 »



เจ้าของเขาเอาไปโชว์ใน FB ขออนุญาตเอามาโชว์แถวนี้บ้าง
ทายซิว่าใคร ดูง่ายมากเลย อิๆ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #242 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2554, 23:32:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2554, 20:37:49


เจ้าของเขาเอาไปโชว์ใน FB ขออนุญาตเอามาโชว์แถวนี้บ้าง
ทายซิว่าใคร ดูง่ายมากเลย อิๆ


น่ารักน่ะป้อม
รอคำเฉลย
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #243 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 00:59:09 »

น้องมัท ใช่ป่าววววว........ เหนื่อย เหนื่อย gek  ดูที่ปาก ?คล้ายเด็กผู้ชายหล่อ มาก
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #244 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 15:45:40 »

สวัสดี ครับ น้องมัท น้องทราย น้องป้อมและสมาชิก
                           ขอบคุณ น้องทราย ที่มี comment    พี่ปิ๊ดจะเดินบ่นไปเรื่อยๆ เหมือนหัดเขียน หนังสือ

                           ต่อจาก ตอนที่แล้ว ......พี่ปิ๊ด จบที่ การที่ ต้อง ปรับตัว เข้าหาความ สมดุลย์ หลังจากที่
                           ตัดสินใจ จะใช้ชีวิต ร่วมกัน ระหว่าง คน 2 คน  ซึ่งมีความเป็นมา ที่แตกต่างตั้งแต่ ชาติปางไหน                                                                                ไม่ทราบได้ และพี่ปิ๊ด ใช้ คำว่า หลังจาก ได้อยู่ (นอน) ด้วยกันแล้ว ต้องปรับ
                           ตัวประมาณว่า ตลอดไป จนกว่าจะจากกัน ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม คำว่า(นอน) ไม่ได้
                           หมาย ความว่า กิจกรรมทางเพศ นะ ไม่เน้น อันนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ความเป็น
                           เพื่อนซี้ เป็นเพื่อนที่ไว้ใจ เป็นเพื่อนที่รู้ใจ เพื่อนฯลฯ มันไม่ต้องมี กิจกรรม ดังกล่าวก็เป็นเพื่อนได้
                           แต่รู้ไหมว่า.........เวลานอน เป็นอะไรที่ เป็นธรรมชาติและ ตัวตนจริงๆของแต่ละคน บางคน
                           ตัวเอง ก็ยังไม่รู้เลย ว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น พี่ปิ๊ดยก ตัวอย่าง เช่น
 - เป็นคนชอบคุยกับคนอื่นเสียงดังลั่น เวลาหลับ แล้วเราจะหลับอยู่ข้างๆได้ไง?
 - ชอบ รำมวย จีน เวลาหลับ แล้วเรา อยู่ข้างๆ อาจถึงบาดเจ็บสาหัสได้
 - บ้างก็ ต้อง เคลือบ Ceramic บนใบหน้า ก่อนนอน รอไหวไหม? ก่อนนอน
          หนึ่ง ช.ม. หลังตื่น หนึ่ง ช.ม. เวลาส่วนตั้วส่วนตัว ห้ามพูด ห้ามถาม   ใช้
          ห้องนํ้าที่ละเป็น ชั่วโมง ไม่รู้ว่าเข้าไปทำอะไร ? เป็นงี้แหละพี่ ไหวไหม?
- บ้างเป็นคนหลับยาก ต้องมี Night Light (กลัวความมืดสนิท) ต้องอ่านหนังสือ
         ก่อนนอน
               ฯลฯ
                           พอจะเห็นได้แล้วนะ ครับว่า ก็ต้องมาปรับ หลังจาก เออ ออ กันไปแล้วถึงได้รู้ ได้เห็น
                           และ ต้องใช้เวลาเป็น ปีจนจะ ครบรอบ ของการเปลียนแปลง กุญแจ ของมันก็คือ                                                                     การยอมรับ ปรับปรุง ได้บ้างแต่อย่าไปหวังมาก เพราะ ความเป็นตัวตน ของแต่ละคนนั้น
                           มันแก้ยาก บางคนอยู่ลึกมาก เพราะถูกฝึกมาเช่นนั้น เก็บจนทนไม่ไหวก็ ระเบิด
                           แต่กลับมาพิจารณา ดูอีกที จะเห็นว่า
                          ช่วง สมัย Introduction (เป็นแฟน) ทำไมเราจึงพยายามที่ จะคิด ที่จะ ทำอะไร
                           ต่อ มิอะไร ให้อีกคนอยู่ตลอดเวลาได้ และ รู้สึกเป็นสุข ด้วย แต่ พอผ่านช่วงได้รู้จักกัน
                           อย่างดี ครบ 24 ช.ม. ดูเหมือน การคิด ที่จะทำทีจะให้กับ อีกคนหนึ่ง ที่อยู่ ข้างๆเรา มัน
                           ค่อยๆ ลดลง และ ความต้องการของตัวเอง มันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย จนกลายเป็น ทำไมคน                                                           ข้างๆ ไม่ทำ โน่น นี่ ตามที่ตนเองต้องการ หรือ ความคิด ความต้องการของฉันถูกเสมอ
เป็นเช่นนั้น เกือบทุกคู่แหละ ครับ เริ่มต้น สวย ดี แล้วมันค่อยๆเปลียนไปเป็น ตัวกู ของกู
นี้แหละครับคือเหตุของการที่อยู่ต่อไปไม่ได้ ทนไม่ไหว ...... ก็ทำไม ไม่อยู่ให้เหมือนตอน Introductin กันละ ครับ                                                ทำไม ต้องทนละ ครับ ถ้าเป็นตัวของตัวเองมาตั้ง
แต่แรก มันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องทน เพราะรู้ตัวตนจริงๆ กันมาตั้งแต่แรก ที่เหลือมันก็แค่
ช่วยกันปรุงรส เท่านั้นแหละ ก็ อร่อยเหมือนรสดั่งเดิม.......
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #245 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 17:00:18 »

สกู๊ปชีวิตคู่-คู่ชีวิต
ของพี่ปี๊ดชักเข้มข้นขึ้นๆ
ชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #246 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 18:00:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jintana Yhoung-aree เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2554, 17:00:18
สกู๊ปชีวิตคู่-คู่ชีวิต
ของพี่ปี๊ดชักเข้มข้นขึ้นๆ
ชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง
จริงๆ หรือ น้องทราย เห็นมีเรา คุย กันอยู่ 2 คน (ยังดีกว่าคุยอยู่คนเดียว นี๊ด หนึ่ง) เดี๋ยว ต้องรีบ ตัดบทให้ไป ถึง เรื่อง เด็กๆ
 เพราะเป็นกระทู้ที่เกี่ยวกับหลาน สาว แต่ จะต้องทำภรรยา ท้องก่อน ( ภาษา rate x ) น่าจะเป็นช่วงเวลา ที่น่าสนใจ
พี่ปิ๊ด ก็อยากรู้ ว่าผู้หญิง ช่วงเวลาอุ้มท้อง หล่อน ต้องการอะไร จาก สามี ? (ใครจะ share ได้) ่สวนพี่ปิ๊ด ก็จะพูด ถึงฝ่ายชาย
 gek gek ปิ๊งๆ เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #247 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 19:12:24 »

มีคนเข้ามาอ่าน แต่ไม่ทิ้งหลักฐาน
ก็มีน่ะค่ะ

มัท ป้อม น้องหนิงและคุณแม่อีกหลายท่าน...
คงจะช่วยแบ่งปันประสบการณ์ อารมณ์
และความต้องการของคุณแม่ในช่วงอุ้มท้อง
ให้พี่ป์ี๊ดและชาวเราได้เรียนรู้น่ะคะ
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #248 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 22:06:21 »

เฉลย รูปมัทค่ะ
เวลาท้องเหรอคะ โอ ผ่านมานานมาก แทบจะจำไม่ได้แล้ว
เวลาท้องโต เดินต้องต้องทรงตัวดีๆ ไม่งั้นหกคะเมนเอาง่ายๆ
บางทีกินไม่ค่อยได้จะอ๊วกเอา อารมณ์ก็ไม่ค่อยดี
เคยทำอะไรเองได้ไม่ต้องพึ่งใคร ก็ต้องง้อเขาบ้าง
คงอยากให้มีคนคอยดูแลเอาใจใส่เราบ้างมั๊งคะ
เพราะตอนนั้นเราไม่สวย (ความจริงตอนไหนก็ไม่สวย แต่ตอนนั้นสวยน้อยกว่าตอนไม่สวยนิ๊ดนึง อิๆ)อ่อนแอ แงๆ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
oramat16
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 134

« ตอบ #249 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 22:33:23 »

แอบหลบดูว่าใครจะจำรูปมัทตอนเด็กได้บ้าง พี่ปี๊ดได้ไปหนึ่งคะแนน
 
เรื่องทำชีวิตคู่ให้เป็นเหมือนช่วง introduction ตลอดเวลา มัทว่าผู้หญิงทุกคนก็อยากให้เป็นตลอดชีวิตการแต่งงาน  แต่ทำคนเดียว ฝ่ายเดียวก็เหมือนตบมือข้างเดียวก็ไม่ไหวนะคะ

ช่วงอุ้มท้องของมัทเป็นช่วงทรมานที่สุด เพราะแพ้ท้องอย่างหนัก ในช่วงสี่เดือนแรก วันๆไม่อยากขยับตัวทำอะไรหรือพูดกับใคร เหมือนคนป่วย หนาวตลอดเวลแม้เป็นหน้าร้อน ดื่มน้ำไม่ได้ กินข้าวไม่ลง เหม็นไปทุกอย่าง เห็นควันพุ่งจากหม้อหุงข้าวไม่ได้ ทนอะไรที่เป็นสีขาวจัดไม่ได้ เพราะเห็นแล้วจะอาเจียน ต้องอมยาอมตราเสือตลอดเวลาไม่ว่าหลับหรือตื่น  มัทต้องซื้อมาเป็นโหล แล้ววางไว้ทุกมุมของบ้าน แม้แต่ในห้องน้ำ แล้วกลัวแม้กระทั่งว่าเขาจะเลิกผลิตยาอมตราเสือ  อยู่เหมือนคนทุกข์หนักตลอดเวลา  พอพ้นจากระยะแพ้ท้องในเดือนที่ห้า ก็กลับมาเป็นคนปรกติอย่างน่าอัศจรรย์ใจ  แต่กว่าจะผ่านพ้นเวลานั้นมาได้ จำได้ว่านับวันทุกวันจนอ่อนแรง  พอเล่าให้ใครฟังเรื่องแพ้ท้อง มัทจะเล่าในแง่ขำๆที่ตัวเองเพี้ยนได้ขนาดนั้น แต่เวลานั้นเราขำไม่ออกจริงๆ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 19  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><