14 พฤษภาคม 2567, 17:32:32
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: มาคาดการณ์เศรษฐกิจโลก กันหน่อยนะ  (อ่าน 4430 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« เมื่อ: 27 ตุลาคม 2552, 09:01:19 »

ถูกผิด กาลเวลาจะเป็นตัวบอก
ถูกผมก็ดีใจ
ผิดผมก็ไม่น่าเสียใจนัก
เพราะจบเภสัช ไม่ได้จบเศรษฐศาสตร์ อาศัยว่าอ่านมาก..คิดมาก..และถูกกระทำมาก
จึงหาญกล้าที่จะพูดเรื่องเศรษฐศาสตร์

ถ้าจำไม่ผิด น่าจะประมาณ มิถุนา-สิงหา 51

น้ำมันกำลังขยับขึ้นอย่างบ้าคลั่ง คนเดือดร้อนไปทั่วโลก
นักวิเคราะห์ออกมาทำนายว่า จะได้เห็นน้ำมัน 200 เหรียญ
ผมกลับคิดว่า เดือดร้อนกันไปทั่ว ยังไงเสียน้ำมันก็ต้องลดราคา

....แต่คาดไม่ถึงจะต่ำลงจนราคา35เหรียญ

วันนั้นหุ้นในไทยน่าจะอยู่ที่ดัชนี เจ็ดร้อยกว่า
ได้ข่าวธนาคารใหญ่ในอเมริกาล้ม
ผมคาดว่า..จะได้เห็นดัชนีเลข 4xx 
แล้วผมก็ได้เห็น

วันนี้..
เศรษฐกิจอเมริกาอยู่ในภาวะทรง
ตลาดหุ้นทั่วโลก ต้องปรับตัวขึ้นก่อน..โดยไม่ต้องรอเศรษฐกิจแท้จริง
เพราะ..ถ้าดัชนีหุ้นทั่วโลกไม่ขึ้น  ปัญหาเศรษฐกิจอเมริกาจะแก้ไม่ได้
สถานการณ์ขณะนี้ ดัชนีหุ้นทั่วโลก ผมคิดว่า ไม่ได้ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริงเป็นหลัก
แต่เป็นกลไก ที่ต้องเป็นไปเพื่อแก้เศรษฐกิจโลก
(ผมได้พูดทำนองนี้กับเพื่่อนใกล้ชิดประมาณกพ.52 ในขณะที่ดัชนีไทยวนเวียนอยู่ที่4xx
แต่คาดไม่ถึงว่า จะขยับรวดเร็วอย่างที่เป็นอยู่...
เมื่อดัชนีเป็นไปทำนองนี้..ผมขอคาดเดาไว้ว่า อาจได้เห็นดัชนีไทยที่1xxx
ซึ่งเมือถึงตอนนั้น จะมีการปรับลงมาสู่สมดุลที่9xx-10xx
เมื่อสมดุลดังกล่าวสักระยะ  ดัชนีหุ้นทั่วโลกก็จะปรับอีกรอบเพื่อคืนสู่ภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริง
ซึ่งบอกว่า ปัญหาแฮมเบอรเกอร์ ได้จบสิ้นแล้ว)


ส่วนเรื่องน้ำมัน จนกว่าปัญหาเศรษฐกิจอเมริกาจะหมดไป
ราคาน้ำมันจะไม่สูง
ที่ควรเป็นคือ ราคาน้ำมันจะวนเวียนอยู่ที่75เหรียญ+-
เพราะ น้ำมันคือปัจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ
แต่ทั้งนี้ ขึ้นกับว่า อเมริกาจะประคองค่าเงินดอลลาร์ไว้ได้เพียงใด

สรุปแล้ว ผมประเมินทุกอย่าง จากกลไกเรื่อง เงินกระดาษ
ผมมั่นใจว่า จะเป็นไปตามที่ผมว่า
เพระ อเมริกา ยิ่งใหญ่พอ ที่จะใช้ 1.ปริมาณเงินกระดาษ
2.ราคาทองคำ 3.ราคาน้ำมัน
ทำให้เงินดอลลาร์ไม่อ่อนค่าลงมากจนเกิดปัญหาโลกรอบใหม่

แล้วเวลา จะพิสูจน์ ข้อความดังกล่าว

      บันทึกการเข้า
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2552, 10:40:39 »

สิ่งที่เขียนไว้ ใช้การอ่าน+ข้อมูล+ความรู้สึก

วันที่วิกฤติแฮมเบอเกอร์สิ้นสุดลง เข้าสู่ภาวะสมดุล ที่เศรษฐกิจพร้อมทะยานขึ้น
(วิกฤติแฮมเบอเกอร์สิ้นสุดลง หมายถึงอเมริกาจัดการปัญหาตนเองได้หมดแล้ว )

ผมคาดว่า ราคาน้ำมันดิบ จะอยู่ที่ 100 เหรียญ+-5
ราคาทองคำ 1050 เหรียญ+-50
ค่าเงินบาท 35+-3/ดอลลาร์ (แต่ถ้าบริหารไม่ดีอาจได้เห็น 40 บาทต่อดอลลาร์)
      บันทึกการเข้า
EdDy_Smart81
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 654

« ตอบ #2 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2552, 13:26:32 »

อย่างนี้ก็ซื้อหุ้น  เยอะๆ  เลยพี่  เก็บหุ้นนำมันอย่างเดียวเลย 
      บันทึกการเข้า
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2552, 16:24:51 »

ถ้ามีเงินเย็น (เงินบาทที่ไร้ดอกเบี้ยจ่าย) ก็ซื้อเถอะครับ

อย่าตกใจกับหุ้นตก  ถ้าขายแล้วขาดทุนก็อย่าเพิ่งขาย..ยังไงก็ต้องขึ้นครับ

ตัวเลขที่ผมกะเกณฑ์ อาจผิดพลาดได้บ้าง แต่แนวโน้มและหลักการไม่พลาดแน่

ถ้าหุ้นทั่วโลกไมขึ้น วิกฤติโลกรอบนี้ก็ไม่ถูกแก้

สำหรับผม ยังไม่พร้อมเล่นหุ้นครับ

ได้สัมผัสคนใกล้ชิด ทีรวยหุ้นและหมดตัวเพราะหุ้น มาพอควร

เป็นผู้สังเกตมาเกือบ 20 ปี

ขอบคุณ น้องเอ้ดดี้ รูปงามครับ..ที่่สะท้อนความเห็น


      บันทึกการเข้า
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2552, 07:42:33 »

ขอออกตัวหน่อยครับ

ที่เขียนมาไม่ใช่อยากให้เล่นหุ้น เพราะผมไม่ใช่เซียนหุ้น
แต่วิเคราะห์ไปตาม ตรรกะ เรื่่่องเงินกระดาษ

คืออย่างนี้ครับ
ความมีค่าของเงินดอลลาร์ ขึ้นกับ
1.อัตราการเคลื่อนตัวของดอลลาร์ ซึ่งก็คือ ความจำเป็นที่จะต้องให้เศรษฐกิจทั่วโลก
ขยับตัวดีขึ้นให้เร็วที่สุด เพราะถ้าช้าไปจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของเงินดอลลาร์
ค่าของเงินดอลลาร์จะยิ่งอ่อนค่าลง ซึ่งจะเป็นผลเสียอย่างมากต่อระบบทุนนิยมโลก
2.แม้ดอลลาร์ จะไม่อิงกับทองคำโดยตรง แต่ก็หนีไม่พ้นการสัมพัทธ์ค่ากับทองคำ
เพราะทั่วโลกยังใช้ทองคำสำรองค่าเงิน แม้แต่อเมริกาก็ต้องมีทองคำ
ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์มีปริมาณเกินควร การจะให้ดอลลาร์มีค่าพอเป็นที่เชื่อถือ
ก็ต้องทำให้ทองคำราคาสูงขึ้น
3.พัฒนาการทุนนิยมโลกภายใต้ระบบดอลลาร์ภิวัฒน์ ได้ก้าวมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญแล้ว คือ
ต่อแต่นี้ สหรัฐจะปรารถนาและพยายามให้ประเทศต่างๆมีความมั่งคั่ง และเติบโตอย่างมั่นคงทางเศรษฐกิจ
เพราะนั่นคือ ฐานสำคัญที่สุด ที่จะทำให้เงินดอลลาร์มีความยั่งยืน
และเศรษฐกิจอเมริกาเติบโตอย่างมั่นคงด้วย (ซึ่งหมายถึง นับแต่นี้ อเมริกาจะไม่หวังกอบโกยเข้าตัวเอง
โดยไม่นึกถึงประเทศอื่น เพราะได้บทเรียนจากวิกฤติครั้งนี้...แต่ถ้าอเมริกายังคิดข้อนี้ไม่ได้
ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าของอเมริกา เพราะนั่นคือโอกาสที่เงินยูโร จะเข้ามายิ่งใหญ่แทน
แต่ระยะผ่านนั้นต้องแลกด้วยความเจ็บปวดของคนทั้งโลกก่อน...)
4.น้ำมัน เป็นตัวสะท้อนและเป็นเครื่องมือหรับเงินดอลลาร์
ดังนั้น อย่าได้หวังว่าจะมีใครเปลี่ยนสกุลเงินสำหรับการซื้อขายน้ำมัน
(แต่สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าสหรัฐไม่อาจผลักดันตามข้อ1 ได้สำเร็จ...คือเร็วพอ)
ความจริงที่สุดคือ สหรัฐต้องการให้น้ำมันราคาแพงขึ้นเพื่่อให้สมดุลกับปริมาณเงินดอลลาร์
ซึ่งถ้าทำได้ ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐโดยตรง
แต่เพราะ ความมั่งคั่งของประเทศต่างๆไม่แข็งแกร่งพอ หากน้ำมันราคาสูงอย่างที่่เคย
เกิดขึ้นเมื่อปี2551  จะเกิดผลเสียสะท้อนกลับ
ด้วยเหตุผลนี้ จึงต้องใช้น้ำมันราคาต่ำ เพื่่อสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจโลกให้แข็งพอรองรับ
กับน้ำมันราคาสูงก่อน
(ประเทศที่มีผู้นำฉลาดและเก่งพอ จะรู้ว่าควรใช้โอกาสเช่นนี้อย่างไร)
5.ช่องทางที่รวดเร็วที่สุดในการสร้างความต้องการตามข้อ1 คือตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก
นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไม ผมจึงคิดว่า หากราคาหุ้นไม่ขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐแก้ไม่ได้

เหตุผลทั้ง 5 ข้อ มีการเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เมื่อมีข้อใดข้อหนึ่งเปลี่ยนไปย่อมส่งผลให้ข้ออื่นๆ
ปรับเปลี่ยน และเมื่อข้ออื่นปรับเปลี่ยนไปในระดับหนึ่ง ก็จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อๆไปครับ



      บันทึกการเข้า
EdDy_Smart81
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 654

« ตอบ #5 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2552, 13:04:34 »

เพิ่งรู้ว่า  พี่ยังชิน เขียนหนังสือนิทานการเงิน  ไว้ผมจะไปหามาอ่านครับพี่   
      บันทึกการเข้า
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2552, 17:12:39 »

ขอบใจน้องเอ็ดดี้ครับ

ว่าแต่ ถ้าหลุดเข้าไปซื้อหุ้น ขาดทุนก็อย่าขาย ราคาน่าพอใจก็ซื้อครับ


      บันทึกการเข้า
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 30 เมษายน 2553, 09:28:40 »

อ้างถึง
ข้อความของ yc เมื่อ 28 ตุลาคม 2552, 10:40:39
สิ่งที่เขียนไว้ ใช้การอ่าน+ข้อมูล+ความรู้สึก

วันที่วิกฤติแฮมเบอเกอร์สิ้นสุดลง เข้าสู่ภาวะสมดุล ที่เศรษฐกิจพร้อมทะยานขึ้น
(วิกฤติแฮมเบอเกอร์สิ้นสุดลง หมายถึงอเมริกาจัดการปัญหาตนเองได้หมดแล้ว )

ผมคาดว่า ราคาน้ำมันดิบ จะอยู่ที่ 100 เหรียญ+-5
ราคาทองคำ 1050 เหรียญ+-50
ค่าเงินบาท 35+-3/ดอลลาร์ (แต่ถ้าบริหารไม่ดีอาจได้เห็น 40 บาทต่อดอลลาร์)


สังเกตเห็นใน finance yahoo  ว่า ตอนนี้เริ่มกำหนดการซื้อเงินบาทเป็นทศนิยม 4 จุด (แต่เดิม 2 จุดมาตลอด)
จึงตั้งสมมติฐานว่า ช่วงของการคืนสู่การทวงแชมป์ของอเมริกาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

(ดูอัตราแลกเปลี่ยน
http://finance.yahoo.com/q?s=USDTHB=X)

ผมจึงลองคำนวณโดยใช้บัญญัติไตรยางค์ ความรู้ชั้นมัธยม

ออกมาได้ตัวเลขดังนี้

ราคาทองคำ 96.5  วนอยู่ที่ 18,000 +- ไม่เกิน100
(ซึ่งจะเป็นราคเสถียรที่จะคงอยู่อย่างน้อย 2 ปี)

และการที่ราคาทองคำเสถียรที่คิดเป็นเงินบาท คือ 18,000 +- ไม่เกิน 100 ดังกล่าว

จะได้เห็นความสัมพันธ์ ของตัวเลขที่มีนัยสำคัญคือ

ราคาทองคำเป็นดอลลาร์ ไม่เกิน 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ตัวเลขนัยสำคัญ คือ 1180.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์
เสถียรอยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์ ต่อออนซ์

เงินบาทต่อดอลลาร์ จะยืนอยู่ระหว่าง32.Xxxx ถึง 33.0000 เป็นเวลานานจนฐานศรษฐกิจโลกแกร่ง
โดยมีตัวเลขที่เป็นนัียสำคัญคือ 32.5127
เมื่อฐานเศรษฐกิจโลกแข็งแกร่งแล้ว จะไหลรูดอย่่างเร็ว จนได้เห็นเงินบาท ที่ 38 บาทต่อดอลลาร์


ตัวเลขเสถียรคือ

ราคาทองคำ96.5    1,000 ดอลลาร์ ต่อออนซ์
ราคาทองคำ96.5     1,800 บาท ต่อบาท
ค่่าเงินบาทต่อดอลลาร์ 32.5127 และ 38.0238
ราคาน้ำมันดิบ  100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล


..............................................

(ขออนุญาตพี่น้องทุกท่านนะครับ  ผมเสียเวลาคิดแล้ว จึงขอบันทึกไว้เืพื่อไม่ให้กลายเป็นความว่างเปล่า
ฃอบคุณครับ)
      บันทึกการเข้า
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><