22 พฤษภาคม 2567, 14:36:00
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 361 362 [363] 364 365 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3275361 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9050 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2556, 10:24:03 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                     พอดี พล.ต กมล  ได้ส่งภาพมาให้ ในการไปสอน ชิกง - โยคะ เมื่อวันอังคารที่ ๗ พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพื่อให้ทุกท่านได้ชมภาพ  จึงขอนำภาพมาให้ รับทราบ ในกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพประชาชน  ของพี่สิงห์

                     ผมเชื่อว่า นโยบาย นี้ มีทุกจังหวัด โดยใช้งบกระทรวงพัฒนาการสังคมและมนุษย์ฯ หรือเงินสนับสนุนผู้สูงอายุ ให้เอาอดีตข้าราชการมาเป็นคนของผู้ว่า  ให้แทรกอยู่ตามชุมชน เป็นผู้นำหมู่บ้าน  จึงต้องจัดกิจกรรม

                     ประชาชนก็รักสุขภาพ  เพียงแต่เพราะความไม่รู้เรื่องการดูแลสุขภาพ  จึงเต็มไปด้วยโรคเรื้อรัง  แต่ถ้ามีใครไปบอก ไปสอน ก็สนใจที่จะกระทำเพื่อตัวเอง  ตามภาพที่ท่านได้ชมอยู่นี้  เป็นตัวอย่าง

                     เมื่อเป็นความต้องการของชุมชนชาวบ้านบางพระนอน(วันจันทร์-อังคารหน้า ผมจะไปสอน)  ผมเลยแนะวิธีหาเงินมาทำกิจกรรม เพื่อจะได้มีข้าวกลางวัน และน้ำดื่มรับประทาน ในระหว่าง ฝึกการออกกำลังกายแบบชิกง-โยคะ เพื่อป้องกันโรคเรื้อรัง  จะมาคุกคามชีวิต ในช่วงเป็นผู้สูงวัยย์ และเมื่อบอกไปก็ได้เงินมาสนับสนุนรวดเร็ว เพราะทุกคนได้ประโยชน์ และไม่มากมายอะไร เสียสละกันได้

                     เชิญชม ครับ













ผู้เข้าอบรม นอกจากข้าราชการครูบำนาญแล้ว  ยังประกอบไปด้วยตัวแทนแต่ละหมู่บ้าน ในอำเภออินทร์บุรี

สุภาพสตรี เป็นส่วนใหญ่ เพราะสุภาพบุรุษต้องทำงาน

และสุภาพบุรุษ จะเสียชีวิต ไปก่อน  สุภาพสตรี อายุจะยืนยาวกว่า

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9051 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2556, 10:25:49 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 10 พฤษภาคม 2556, 08:10:53
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                       เช้านี้ขอทบทวนเรื่อง "กรรมฐานของเณร" ที่สอนพระใบลาน  ให้ทุกท่านและตัวผมได้ทบทวน

                       "อุโมงค์ มีหกช่องทางเข้า มีสัตว์เข้าไปอาศัยในอุโมงค์นั้น การที่เราจะจับสัตว์นั้นให้ได้ ต้องปิดอุโมงค์ทั้ง ๕ ก่อน แล้วเดินเข้าไปทางอุโมงค์ที่ยังเปิดอยู่ แล้วจะจับสัตว์นั้นได้"

                       คนเรานั้น ช่องทางที่เปิดรับทุกข์ หรือการกระทำในสิ่งที่เป็นอกุศลกรรม ทั้งมวล เกิดความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเรา  ครอบครัว และสังคม มีด้วยกัน ๖ ช่องทาง คือ เมื่อ

                       ตา เห็น รูป

                       หู ได้ยิน เสียง

                       จมูก ได้ดม กลิ่น

                       ลิ้น ได้ลิ้ม รส

                       กาย ได้ สัมผัส

                       ใจ ได้ นึกคิด

                       เมื่อสัมผัส หรือได้ประสบแล้ว อันไหนชอบใจ  ก็ต้องการได้อีกเสมอ  อันไหนไม่ชอบใจ ก็ไม่อยากประสบอีก

                       ช่องทางที่อยากได้นั้น หรือไม่อยากได้นั้น  ถ้ากระทางในทางที่เป็นกุศล ก็ดี  แต่ถ้ากระทำไปในทางอกุศล ก็ก่อทุกข์

                       จากกรรมฐานของเณร ในการปฏิบัติธรรมภาวนานั้น เราต้องสำรวมกาย  วาจา  เพราะมันเป็นของหยาบที่เราสามารถกระทำได้

                       เมื่อเห็น ก็สักแต่ว่าเห็น ไม่คิดต่อ

                       เมื่อได้ยินเสียง ก็สักแต่ว่าได้ยินเสียง ไม่คิดต่อ

                       เมื่อได้กลิ่ม ก็สักแต่ว่าได้ดมกลิ่น ไม่คิดต่อ

                       เมื่อได้ลิ้มรส ก็สักแต่ว่าได้ลิ้มรส ไม่คิดต่อ

                       เมื่อได้สัมผัสทางร่างกาย ก็สักแต่ว่าได้สัมผัสทางร่างกาย ไม่คิดต่อ

                       แต่ใจ หรือจิต นั้นเป็นของละเอียด เราต้องเปิด แต่ตามจิตนั้นให้ทันด้วยการมีสติ คอยระลึกรู้ว่าจิตมันอยู่ส่วนไหน ในร่างกาย(อยู่ตามอวัยวะ ที่เราระลึกรู้ได้) หรือส่งออกไปนอกร่างกาย(คิดนอกตัว) ติดตามหาให้พบทุกวินาที ทุกนาที ชั่วโมง เราก็จะสามารถจับสัตว์ได้ คือรู้พฤติกรรมของจิต เห็นความคิด แยกรูป-นามได้ เห็นความเป็นไตรลักษณ์  จนกระทั่งจิตมันรู้ความจริงของมันเอง  จนสามารถถอนความยึดมั่นถือมั่นลงได้  สามารถปล่อยวาได้ ......... โดยอัตโนมัติ  ด้วยตนเอง

                       จะเห็นว่า ช่องทางก่อทุกข์คือ ตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย  และใจ  โดยเฉพาะใจ เป็นของละเอียดที่ควบคุมยาก เพราะชนม์ส่วนใหญ่ หลงอยู่ในความคิดตนเอง  จนแยกไม่ออกว่ายังมีตัวสติ เป็นลูกตุ้มถ่วง  ที่จะก่อให้เกิดปัญญาว่า สิ่งไหนสมควรกระทำ  สิ่งไหนไม่สมควรกระทำ คือ ตัวสติจะเป็นตัวรู้  ทำให้รู้ตัว เกิดการไตร่ตรอง ด้วยปัญญา แล้วลงมือกระทำแต่ในทางกุศล  ด้วยวิริยะ

                        เอวังโดยย่อด้วยประการฉะนี้เทอญ

                        สวัสดีครับ
            


                    วันนี้อากาศนครศรีธรรมราช  มีฝนตก และเมื่อคืนฝนก็ตก
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #9052 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2556, 22:58:32 »

พี่สิงห์

ชื่นใจด้วยกับครูบำนาญ

ท่านใส่ใจต่อสุขภาพ


ภาพนี้ดูดีมากเลย



      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9053 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2556, 07:59:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ เริง2520 เมื่อ 10 พฤษภาคม 2556, 22:58:32
พี่สิงห์

ชื่นใจด้วยกับครูบำนาญ

ท่านใส่ใจต่อสุขภาพ


ภาพนี้ดูดีมากเลย





สวัสดีครับ คุณน้องเริง ๒๕๒๐

              ขอบคุณมาก ที่เป็นกำลังใจ

              รูปนี้ พล.ต กมล ว่าดี  คุณน้องเริง  ก็ว่าดี  พี่สิงห์ ดูแล้วก็ว่าดี  นี่ละพระพุทธองค์ ท่านบอกว่า มีธาตุเดียวกัน  คือชอบในสิ่งเดียวกัน ที่ผู้รู้เขาก็ว่าดี  นี่ละจิตมนุษย์

              วันจันทร์ - อังคาร พี่สิงห์ จะไปสอนชาวบ้านชุมชนบางพระนอน  หมู่บ้านของพี่สิงห์ เองและข้าราชการครูบำนาญ จะมาร่วมด้วยบางส่วน เพื่อต้องการจำท่าต่าง ๆ ให้ได้

              ครั้งนี้พี่สิงห์ มีเวลา  นอกจากบรรยายเรื่องการดูแลสุขภาพแล้ว  จะสอนชิกง และฝึกโยคะ ๔๔ ท่า เพื่อรักษาโรคปวดตามร่างกาย  ความดัน  มายเกรน ให้อีก และตอนบ่ายอาจจะสอนปฏิบัติธรรม เพราะมี สส. อบต. อบจ. สนับสนุนเงินเป็นค่าอาหารกลางวัน และน้ำดื่ม ให้ในครั้งนี้  แต่ถ้ามากันมาก  ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน  ใช้ศาลาวัดเป็นที่สอน

               พี่สิงห์  ก็ช่วยสังคมให้ดีขึ้นตามที่ตนเองฝึกแล้วเห็นว่าดี  จึงเอามาบอกต่อเท่านั้น

               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9054 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2556, 08:09:09 »

จิตที่บริสุทธิ์






                      พระพุทธเจ้า พระศาสดาของเรา ท่านกล่าวกับภิกษุสาวกที่วัดเชตวัน ที่ท่านอาณาบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ในบ่ายวันหนึ่งว่า แน่ะภิกษุทั้งหลาย ท่าน "พุทธ" กำลังเดินมา คือท่านพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวากำลังเดินมาเข้าเฝ้าพระองค์ในอิริยาบถที่ผ่องใสเป็นพิเศษ ซึ่งพระศาสดาทรงถามพระสารีบุตรว่า ท่านอยู่ในวิหารธรรมอันใด ดูผิวพรรณท่านผ่องใสนัก พระสารีบุตรตอบว่า ข้าพระองค์อยู่ในวิหารธรรม "สูญญตา" หรือนั่นก็คือ อยู่กับ "ความว่างเปล่า" นั่นเอง

                      โดยสรุป คือ คำว่า "พุทธ" ซึ่งแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้นมีอยู่ในตัวในตนของคนทุกคน ไม่ละเว้น เพียงแต่ด้วย "อวิชชา(ความไม่รู้)" และความเป็น "อัตตา(ยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวมีตน)" จึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถที่จะรู้ขึ้นมาได้ และจิตเดิมแท้ของมนุษย์เริ่มแรกนั้น มีแต่ "ความว่างเปล่า" เป็นจิตที่บริสุทธิ์

                       นั่นคือ ความสุขที่ปราณีตแท้จริงนั้น คือ "จิตที่ว่างเปล่า" ปราศจากการปรุงแต่งทั้งสิ้น

                        แต่อนิจจา จิตของมนุษย์นั้นปัจจุบันรกรุงรังไปด้วยกิเลส ตัณหา เกาะยึดอยู่ในจิตแน่นจนเป็นสิ่งเดียวกันทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นทาสของความคิด จนกลมกลืนเป็นสิ่งเดียวไม่สามารถแยกออกได้ ทั้งๆที่จิตเดิมแท้ของมนุษย์นั้น "มีแต่ความว่างเปล่า"

                       ท่านปรมาจารย์เว่ยหล่าง ได้ย้ำเตือนคำสอนของพระศาสดาว่า "จิตเดิมแท้ของมนุษย์นั้น เป็นจิตที่บริสุทธิ์ มีแต่ความว่างเปล่า" และจิตเดิมแท้ของมนุษย์ นั้นที่เป็น "พุทธ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้นมีในคนทุกคนไม่ละเว้น เพียงแต่เพราะ "อวิชชา" และความเคยชิน จึงมองไม่เห็น

                       หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ท่านก็ย้ำเสมอว่า คำว่า "พุทธ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้น มีในคนทุกคนทุกชาติ ศาสนา ผู้หญิง ผู้ชาย ไม่ละเว้น เพียงแต่ "อวิชชา" จึงมองไม่เห็น ท่านจึงแนะนำให้เราสร้างความรู้สึกตัวตลอดเวลาเพื่อเขย่าธาตุรู้ให้มันแสดงตนออกมา หมายความว่า ถ้าเรามีความระลึก รู้สึกตัวตลอดเวลาแล้ว ความไม่รู้ก็จะไม่บังเกิดขึ้น ถ้าทำความรู้สึกตัวตลอดเวลาความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะค่อยๆ หายไปเอง คำว่า "พุทธ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็จะเกิดขึ้นมาเอง

                        หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านก็ยืนยันว่า "พุทธ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้นมีในคนทุกคนไม่ละเว้น เหมือนกัน

                        ดังนั้น ขอให้พวกเราทุกคน ที่เกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ เพราะการที่จะเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้น ชาติก่อนท่านต้องถือศีล ๕ เป็นอย่างน้อย คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่ดื่มสุราหรือใช้ยาเสพติด ท่านถึงจะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้

                        สรุป อย่างน้อยในชาตินี้ ท่านต่องมีศีล ๕ อยู่ในจิต ชาติหน้าท่านจะได้เกิดในภพมนุษย์อีก แต่ถ้าท่านไม่รักษาศ๊ล ๕ เอาไว้ให้ดี ชาติหน้าท่านต้องไปเกิดในภพที่ต่ำกว่าภพมนุษย์ คือ ดิรัจฉาน เปรตอสุรกาย หรือนรกภูมิ

                        เมื่อท่านเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ทำอย่างไร ชาติหน้าท่านถึงจะเกิดในภพที่ดีกว่า คือสวรรค์ พรหมโลก และนิพพานภูมิ !



ดูกาย                       เห็นจิต
ดูความคิด             เห็นธรรม
ดู(พฤติ)กรรม   เห็นนิพพาน
ดูอาการ            เห็นปรมัตถ์

หลวงพ่อเทียน   จิตฺตสุโภ


สภาพจิตที่แท้จริง ปราศจากโลภ โกรธ หลง
แต่มันซ่อนแทรกเข้ามากับความ(ลัก)คิด ที่ขาดความรู้สึกตัว
[ ความ(ลัก)คิด คือ เป็นทาสของความคิด หรือหลงอยู่ในความคิดตนเอง ]

หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9055 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2556, 12:57:37 »

สุขแท้ด้วยปัญญา

เอดส์กาย  แต่ไม่ เอดส์ใจ


เราเป็นผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า “แก้ว”  ชีวิตเรามีแต่ความสุขมาตลอด เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์ ถูกเลี้ยงดูมาโดยคุณย่า คุณอา  เติบโตขึ้นท่ามกลางความรักความเอาใจใส่ของทุกคน เป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัว  เราได้รับการศึกษาอย่างดีมาตั้งแต่เล็ก จนจบมหาวิทยาลัย  ชีวิตไม่ค่อยได้พบเจอกับความทุกข์  ความผิดหวัง

เมื่อจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เราก็เข้าทำงานในบริษัทใหญ่โต ได้เงินเดือนมากมาย ใช้ชีวิตอิสสระแบบสาวทำงานในกรุงเทพ  ได้เงินเดือนมา ก็ช๊อปปิ้ง  ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากได้ ทำงานได้สักพักก็เริ่มมีความรัก มีแฟน  เริ่มวางแผนจะสร้างครอบครัว  วาดฝันถึงงานแต่งงาน  ชุดเจ้าสาวแสนสวย และลูกเล็กๆ ที่น่ารัก

เราลาออกจากงานเพื่อมาเรียนต่อปริญญาโท  โดยวางแผนว่า เมื่อจบปริญญาโท เราก็จะหางานใหม่ที่เงินเดือนสูงกว่าเก่า  แล้วก็จะแต่งงาน  จะซื้อบ้าน  จะมีลูก

เมื่อเรียนจบปริญญาโท เราก็สอบเข้าทำงานในบริษัทที่ใหญ่โต มั่นคง ชีวิตกำลังจะก้าวหน้า แต่แล้วก็เหมือนถูกฟ้าผ่า  เหมือนโลกถล่มลงตรงหน้า  เพราะผลการตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงาน ผลเลือดออกมาว่า  เรามีเลือดบวก  เราติดเชื้อเอชไอวี  เราเป็นโรคเอดส์

ชีวิตพลิกผันลง ณ วินาทีนั้น  ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความหวัง ความฝัน มันพังทลายลงหมด
งานที่ได้ ก็ต้องโทรศัพท์ไปขอสละสิทธิ์ เพราะไม่สามารถส่งผลตรวจเลือดให้เขาได้  เพราะใบตรวจเลือดมันประทับตัวแดงว่า HIV Positive เป็นเหมือน ตราบาป ประทับไปชั่วชีวิต

ในเมืองไทย ความรู้ ความเข้าใจ หรือการยอมรับ ในเรื่องโรคเอดส์ หรือ คนที่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นยังน้อยอยู่มาก  โรคเอดส์ เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ  คนที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเอดส์ จึงถูกรังเกียจ ถูกกีดกันออกจากสังคมไปด้วย

วันที่รู้ผลเลือด จึงเป็นวันที่ชีวิตเราเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  ความสุข ความสนุกสนาน มันหายไปในพริบตา เหลือแต่ความทุกข์ ความกลัว ความโดดเดี่ยว 

ในตอนแรกเรายังไม่กล้าบอกครอบครัวว่าเราติดเชื้อ ก็ได้แต่โกหกไปต่างๆ นานา ว่าทำไมถึงสละสิทธิ์ ไม่ไปทำงาน  ส่วนแฟนเราก็รู้ผลเลือดว่าติดเชื้อเอชไอวี ในเวลาใกล้เคียงกับเรา แต่แฟนจะไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น  รับไม่ได้ที่ตัวเองต้องเป็นโรคที่ใครๆ รังเกียจ  เขาจึงทุกข์ และ ท้อ มากกว่าเรา

เมื่อใจไม่สู้ ร่างกายมันก็ไม่สู้ตาม แฟนเราจึงป่วยหนัก และ ตายภายใน 3 เดือนที่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ  เมื่อแฟนตาย เราก็เหมือนเหลือตัวคนเดียวในโลก  จะมีก็เพียงเพื่อนๆ ในโลกอินเตอร์เนท ที่เราเขียนบันทึกออนไลน์ ลงในเว็บ คอยส่งข้อความมาเป็นกำลังใจ

เราอาจจะเป็นผู้ติดเชื้อที่แปลกมาก  (ในยุคนั้น)  เพราะเราเลือกที่จะบอกเล่าเรื่องของเราในเว็บไซต์ เราเขียนเรื่องของตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะอยากมีเพื่อน และอยากให้บทเรียนจากชีวิตเรามีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง  ดังนั้นเราจึงไม่โดดเดี่ยวเท่าไหร่นัก เพราะมีเพื่อนๆ จากโลกอินเตอร์เนทคอยคุยด้วย

เรื่องราวของเรานับว่าแปลกมาก สำหรับคนในโลกออนไลน์  เพราะไดอารี่ที่เราเขียนมันไม่ค่อยเศร้าเท่าไหร่  คือจริงๆ แล้ว เราร้องไห้แค่ คืนเดียว  พอวันรุ่งขึ้นเราก็ทำใจได้แล้ว  เราไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย  เรายอมรับสิ่งที่เราเป็นได้เร็ว  และอยู่กับมันได้อย่างดี

ชีวิตของคนที่ติดเชื้อเอชไอวี จะขึ้นอยู่กับจำนวนภูมิคุ้มกันที่เหลืออยู่เป็นสำคัญ  โดยคนธรรมดา มักจะมีภูมิคุ้มกันอยู่ที่ 500 ขึ้นไป ส่วนคนที่ติดเชื้อเอชไอวี ตัวเชื้อมันจะกินภูมิคุ้มกันไปเรื่อยๆ จนลดน้อยลง เมื่อต่ำกว่า 200 เขาก็จะถือว่าภูมิคุ้มกันบกพร่อง ดูแลตัวเองไม่ค่อยได้  ถ้าต่ำกว่า 100 เขาก็ถือกันว่าเป็นเอดส์ในระยะท้ายๆ แล้ว

เราเอง ก็ศึกษาหาข้อมูลเรื่องโรคจากอินเตอร์เนท แล้วก็ไปตรวจภูมิคุ้มกันดู ปรากฏว่าตรวจครั้งแรก ก็มีแค่ 69  เจ้าหน้าที่แนะนำว่า ไปโรงพยาบาลด่วนเลย  แต่เมื่อ 9 ปีก่อนนั้น ยาต้านเอชไอวี ยังไม่เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพ ถ้าจะกินยาต้องซื้อเอง ราคาก็สูง ตกเดือนละหลายหมื่นบาท

งานก็ไม่มีทำ  เงินก็ไม่มีซื้อยา  เราจึงคิดว่า เราคงอยู่ได้อีกไม่ถึง 1 ปีหรอก จึงตัดสินใจบอกความจริงกับครอบครัว   ทุกคนเสียใจ แต่ก็ไม่มีใครรังเกียจ  ครอบครัวยังรัก และ ให้กำลังใจเราเหมือนเดิม

เมื่อคิดว่า ตัวเองกำลังจะตาย เราจึงไม่คิดจะพยายามหางานทำอีก ทางครอบครัวก็สนับสนุน เราจึงใช้ชีวิตหมดไปกับการตระเวนทำบุญ  พยายามใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ เราเขียนหนังสือเรื่องชีวิตตัวเอง  แล้วก็ได้รับความสนใจมาก  ต่อมาก็มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง  มีสื่อมาขอสัมภาษณ์มากมาย มีโรงเรียน มหาวิทยาลัย เชิญไปเป็นวิทยากรบรรยาย  มีคนโทรศัพท์มาขอคำปรึกษา ขอกำลังใจ
ทุกงานเราก็เต็มใจทำ เพราะเราคิดว่า ถ้าชีวิตหนึ่งชีวิตของเรา มีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง นั่นเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่
คำถามหลักที่จะถูกถามทุกครั้งก็คือ “ ทำไมไม่ทุกข์  ทำไมทำใจได้ ทำไมถึงอยู่ได้อย่างมีความสุข”

เราก็เคยงงกับตัวเองเวลาถูกถาม แต่เมื่อทบทวนตัวเอง คำตอบที่ได้จากคำถามเหล่านั้น ก็คือ เราโชคดี ที่เติบโตมากับครอบครัวที่เคร่งครัดในศาสนา  เติบโตโดยคุณย่าเป็นคนเลี้ยงดู  เด็กที่โตมากับคนแก่ มักจะคิดอะไรได้เกินอายุ  แล้วการที่อยู่กับคุณย่า เราก็ตามย่าเข้าวัดตั้งแต่เด็ก

ย่าชอบให้อ่านหนังสือ ย่าจะจะรับนิตยสารหลายเล่ม และมักมีบทความเรื่อง กฎแห่งกรรม  โทรทัศน์ย่าก็ให้ดูละคร พิภพมัจจุราช มาตั้งแต่จำความได้  คุณย่าจะสอนให้เชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม  แล้วคุณย่าเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากๆ ไม่เคยมองใคร หรือ อะไร ไม่ดีสักครั้ง

สิ่งต่างๆ เหล่านี้มักก็แทรกซึมมาอยู่ในตัวเราโดยไม่รู้ตัว   แต่มันจะผุดขึ้นมาช่วยชีวิตตัวเองไว้ ในยามที่เผชิญทุกข์หนักที่สุดในชีวิต คือเรื่อง เอดส์

นึกย้อนไปว่า ทำไมเราร้องไห้แค่คืนเดียว ทำไมเราไม่เคยคิดฆ่าตัวตายเลยนะ  นั่นก็เพราะ ใจมันสอนตัวเองได้ว่า  มันก็คงเป็นบาปเป็นกรรมที่เราเคยทำมา ไม่รู้ในชาติไหน เมื่อกรรมตามมาทันในชาตินี้ เราก็ต้องยอมรับผลของมันให้ได้   แล้วอีกอย่างแฟนคนนี้เราก็รักเขา เราก็เลือกเอง ก็เท่ากับว่าเราหาโรคมาเองด้วย เราจะไปโทษใครได้

เราไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย เพราะจำได้ตั้งแต่เด็ก ย่าเคยสอนไว้ว่า การเกิดเป็นคนมันยากลำบากมากมายนัก ย่าเล่านิทานเรื่องเต่าตาบอด โผล่ขึ้นมาในมหาสมุทร ต้องโผล่มาให้ตรงห่วงยางเล็กๆ ถึงจะได้เกิดเป็นคน  ดังนั้น คนที่อุตส่าห์ได้เกิดเป็นคนแล้ว ดันมาฆ่าตัวตาย จะบาปมหันต์

เราว่าสิ่งต่างๆ ที่เคยเรียนรู้มาตอนเด็กๆ  มันมาช่วยชีวิตเราได้ในปัจจุบัน  เราจึงอยู่กับโรคเอดส์ได้ อย่างไม่ทุกข์เท่าใดนัก และยังสามารถมีความสุข ความพอใจในชีวิตได้ทุกวัน

เมื่อเรายอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ ไม่คิดโทษใคร ไม่คิดน้อยใจในชีวิต ไม่หนีปัญหา เราก็จะอยู่กับสิ่งที่เราเป็นได้ อย่างไม่ทุกข์ ไม่ทรมาน  แต่ถ้าอยากให้มีความสุขเพิ่ม ต้องรู้จักมองโลกในแง่บวก และ รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี และ เป็น

ชีวิตเราในปัจจุบัน ผ่านมาจะ 9 ปีแล้ว เราก็ยังไม่ได้ทำงานประจำ ปริญญาโทที่จบมาไม่เคยได้ใช้ ทุกวันนี้เราทำงานมูลนิธิที่ดูแลเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อเอชไอวี ได้เบี้ยเลี้ยงน้อยนิดพออยู่รอดไปวันๆ นอกจากนั้นก็เป็นงานอาสาที่ทำฟรีๆ ก็คือ เป็นวิทยากรบรรยายเรื่องเอดส์ ทำเว็บไซต์ และ รับโทรศัพท์ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเอดส์

เรื่องเงิน เรื่องรายได้ มันต่างจากแต่ก่อน ราวฟ้ากับเหว  แต่เมื่อมันเป็นไปแล้วก็ต้องยอมรับให้ได้ ต้องปรับตัวเอง  ต้องรู้จักคำว่า “พอเพียง”  แล้วเราก็ได้เรียนรู้ว่า ชีวิตคนเรานั้น ใช้เงินไม่มากเลยนะ ที่จะอยู่รอด  ทำไมตอนมีเงินเดือนเยอะๆ เราจึงใช้หมด ไม่เคยเหลือเลยนะ

บางวันที่เพื่อนสมัยเรียนปริญญาโท โทรศัพท์มาคุยด้วย พอวางสาย เราก็มีความรู้สึกเศร้าๆ บ้าง เพราะเพื่อนๆ ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นเอดส์  ถามเรื่องงาน เรื่องแฟน เราก็ต้องโกหกไปเรื่อยๆ  พอเพื่อนเล่าเรื่องชีวิตเขา ก็มีบ้างที่เราจะน้อยใจ  ก็ชีวิตเรากับเพื่อนมันต่างกันเหลือเกิน

แต่เราก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า  ถึงเราจะได้เงินเดือนน้อยนิด เทียบกันไม่ได้กับเพื่อนๆ แต่งานเราคืองานสร้างบุญนะ  งานเราทำเพื่อช่วยชีวิตคนอื่น  ถ้าเราดูแลเด็กๆ ที่ติดเชื้อให้ดีๆ เขาก็จะเติบโตเป็นคนดี ไม่สร้างปัญหาให้สังคม  หรือ เราไปบรรยายตามที่ต่างๆ เราเอาชีวิตเราไปเป็นบทเรียนสอนคนอื่น คนอื่นอีกหลายร้อยหลายพันชีวิต เขาอาจจะรอดจากเอดส์ก็ได้

หรือ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ๆ ที่เขาโทรศัพท์เข้ามาปรึกษา ถ้าเขาได้กำลังใจที่ดี ถ้าเขาได้คนแนะนำการใช้ชีวิต การดูแลตัวเอง เขาก็จะไม่ฆ่าตัวตาย เขาจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขพอสมควร และหวังว่าเขาจะไม่สร้างบาปโดยไปทำให้ใครติดเชื้อเพิ่ม

เรามักจะให้กำลังใจตัวเองอยู่เรื่อยๆ  และพยายามมองหาข้อดีของการเป็นเอดส์ให้ได้ อาทิเช่น การเป็นเอดส์ทำให้เราไม่ต้องทำงานประจำ ไม่ต้องคิดหาเงินให้ได้มากมาย  ทำให้เรามีเวลาว่างเยอะ มีอิสสระ อยากไปเที่ยวไหนก็ได้ไป อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากไปฝึกวิปัสสนา 8 วัน 7 คืน กี่ครั้งกี่หนก็ได้ ไม่มีปัญหา เพราะเราไม่ต้องลางาน

ดังนั้นทุกวันนี้  เรามีความสุขกับชีวิต  เราภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น และภูมิใจในสิ่งที่เราทำ  คงต้องขอบคุณ การเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นของครอบครัว และ ความเชื่อทางพุทธศาสนาที่คุณย่าสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก มันทำให้เราเกิดปัญญาในการการคิด เกิดปัญญาที่จะแก้ปัญหาชีวิต  และทำให้เรามีความสุขในทุกวันนี้

เราให้ความสำคัญกับ “จิตใจ” มาก  ใจต้องเข้มแข็ง  ใจต้องมีความสุข เมื่อใจแข็งแรงแล้ว ร่างกายก็จะแข็งแรงตาม  เชื่อหรือไม่ 9 ปีแล้วที่เรารู้ว่าเราติดเชื้อเอชไอวี เราไม่เคยป่วยหนักเลย ทั้งๆ ที่ภูมิคุ้มกันทางกายเรามีน้อยนิด

เราโชคดีที่มีภูมิคุ้มกันทางใจสูง  เพราะมีธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวมาตั้งแต่เป็นเด็ก โรคเอดส์ก็เลยทำอะไรเราไม่ได้  เราเป็นเอดส์แต่เพียงกาย แต่ใจเราไม่ได้เป็นเอดส์ ใจเรามีสุข และ เข้มแข็งเสมอ เราจึงอยู่ได้อย่างภูมิใจในตัวเอง  และมีความสุขกับชีวิตที่เราเป็น
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9056 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2556, 13:55:05 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                         อยากถามข้อมูลว่า

                         ผมมีประกันสังคมอยู่ ณ ปัจจุบัน จ่ายมาอย่างต่อเนื่องตลอดการทำงานที่ผ่านมา  

                         ถามว่า  ผมจะรับเงินชราภาพจากกองทุนประกันสังคม เป็นบำเน็จ หรือบำนาญดี  แนะนำให้ด้วย

                         ใจอยากจะรับเป็นบำนาญ เพราะแก่แล้วรายได้ไม่มี  อย่างน้อยมีเงินเดือนซื้อข้าวกินไปจนตาย  มากน้อยไม่สำคัญ  จะได้ไม่ต้องไปขอข้าวใครกิน  หรือต้องไปขอทาน หรือไปเป็นมัคทายกตามวัด อยู่กับพระ

                          รับเป็นบำเน็จ  กลัวเอาไปทำอย่าอื่นหมด เพราะเป็นคนใจง่าย  ขี้สงสาร  ชอบเสียสละ จนตัวเองต้องลำบาก

                          ขอบพระคุณมาก ๆ

              
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9057 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2556, 21:07:59 »


                      พี่สิงห์  อยู่ กทม. แล้วครับ เดินทางปลอดภัย  ขณะนั่งเครื่องบิน ก็ได้แต่นั่งทบทวนการปฏิบัติธรรมที่จะไปสอน อยู่บนเครื่องบิน เป็นการฆ่าเวลา  การไม่เขียนธรรมะ ไม่ดีเลย  ทำให้ตัวเราบกพร่อง  หย่อนยาน และลืมในรายละเอียด  จึ่งต้องทบทวน

                       สิ่งที่นั่งทบทวนคือ

                       จุดมุ่งหมายของพุทธศาสนาคืออะไร ?

                       ศรัทธา ศีล หนทางสู่นรก  หนทางสู่สวรรค์

                       พุทธ หรือจิตเดิมแท้  หรือจิตว่างเปล่า

                       ธรรมจักรฯ ได้แก่ การไม่ทรมานตนเอง ทางสายกลางที่ต่างจากปุถุชนม์ อริยสัจ ๔ มรรค ๘  มหาสติปัฏฐาน ๔ วิธีการปฏิบัติธรรมภาวนา และคุณสมบัติของ อุบาสก  อุบาสิกา  พร้อมทั้งยกพระสูตร ขึ้นเป็นตัวอย่าง ๆ

                       คงต้องทำเป็น Power Point

                       วันอาทิตย์เช้าไปตีกอล์ฟ  บ่ายไปดูโรงงานผลิตบ้านสำเร็จรูปที่ แสนสิริ

                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9058 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2556, 21:49:01 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 11 พฤษภาคม 2556, 13:55:05
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                         อยากถามข้อมูลว่า

                         ผมมีประกันสังคมอยู่ ณ ปัจจุบัน จ่ายมาอย่างต่อเนื่องตลอดการทำงานที่ผ่านมา 

                         ถามว่า  ผมจะรับเงินชราภาพจากกองทุนประกันสังคม เป็นบำเน็จ หรือบำนาญดี  แนะนำให้ด้วย

                         ใจอยากจะรับเป็นบำนาญ เพราะแก่แล้วรายได้ไม่มี  อย่างน้อยมีเงินเดือนซื้อข้าวกินไปจนตาย  มากน้อยไม่สำคัญ  จะได้ไม่ต้องไปขอข้าวใครกิน  หรือต้องไปขอทาน หรือไปเป็นมัคทายกตามวัด อยู่กับพระ

                          รับเป็นบำเน็จ  กลัวเอาไปทำอย่าอื่นหมด เพราะเป็นคนใจง่าย  ขี้สงสาร  ชอบเสียสละ จนตัวเองต้องลำบาก

                          ขอบพระคุณมาก ๆ

               


พี่สิงห์

เมื่อจ่ายเงินเข้าประกันสังคมครบ 15 ปีหรือ 180 งวด และอายุเกิน 55 ปีขึ้นไป มีสิทธิขอรับเงินชราภาพ
ซึ่งอยู่ประมาณ (ไม่เกิน) ร้อยละ 20 ของเงินที่คำนวนย้อนหลัง 24 งวด (อาจจำผิดพลาด)
ส่วนจะรับเป็นเงินบำเหน็จ หรือบำนาญ รายเดือน
พี่โทร 1506 หรือไปติดต่อ จนท.ที่สำนักงานประกันสังคม จะได้คำตอบชัดเจนที่สุดครับ
รับเป็นบำนาญก็ดีครับ ผ่านบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคาร
และยังได้เงินสุดท้ายคือ ค่าปลงศพจำนวน 30,000 บาท (ยอดนี้อาจเปลี่ยนแปลง)
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9059 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2556, 03:16:49 »


พี่สิงห์ที่เคารพ,

ในฟิล์มนี้ เจอะอาจารย์เผ่า ด้วยค่ะ,
นาทีที่ 4กว่าๆ.
ออกอากาศวันนี้ 11 พฤษภา 2556
ดูไม่จบคะ หลังๆหนิงไม่ดู...


<a href="http://www.youtube.com/v/ESX04BmVtXI?version=3&amp;amp;hl=de_DE" target="_blank">http://www.youtube.com/v/ESX04BmVtXI?version=3&amp;amp;hl=de_DE</a>

http://youtu.be/ESX04BmVtXI
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9060 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2556, 04:41:17 »

พี่สิงห์ที่เคารพ,
 41นาที ยาวไปคะ..
ตัดให้สั้นๆ เหลือ 1 นาทีกว่า
เฉพาะอจ.เผ่าคะ


<a href="http://www.youtube.com/v/J0Lrr93exiU?version=3&amp;amp;hl=de_DE" target="_blank">http://www.youtube.com/v/J0Lrr93exiU?version=3&amp;amp;hl=de_DE</a>

http://youtu.be/J0Lrr93exiU
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9061 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2556, 20:56:50 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                     ขอบคุณมากที่เอามาให้ทราบ

                     พี่สิงห์  ก็สนใจอยู่ที่กำลังจะหาเวลาไปเพื่อทดลองล้างพิษตับ  โดยมีอาจารย์เผ่า  ช่วยเป็นธุระให้  และตั้งใจว่าจะไปล้างพิษเดือนมิถุนายน หรือ กรกฎาคม ที่จะถึงนี้

                     ตอนนี้ได้ดู ที่เธอเอามาแป๊ะ เอาไว้ให้ และได้ดู เพิ่มเติมจากอาจารย์ขวัญดิน  ทำให้มั่นใจว่า ปลอดภัย แน่นอน

                     สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9062 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2556, 21:01:55 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                              วันจันทร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม เวลา 09:00 น. พี่สิงห์ จะไปสอนชาวบ้านชุมชนวัดพระนอน และครูบำนาญอินทร์บุรี ในเรื่องของการออกกำลังกายแบบชิกง - โยคะ และสอนเรื่อง อยู่อย่างไรให้ไร้โรค

                              และจะสอนปฏิบัติธรรม  ให้กับคนที่ต้องการเท่านั้น

                              คงออกจากบ้านตีห้าสิบห้านาที ขับรถไปเรื่อย ๆ คงถึงก่อน 08:00 น.

                              และกลับมานอนที่ กทม. ครับ

                              ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #9063 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2556, 12:31:23 »


พี่สิงห์ที่เคารพรัก
ขอเอาเรื่องนี้ไปแบ่งปันกับผู้ที่ไม่รักชีวิตตัวเอง ทั้งๆที่เขามีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่อนๆอีกมากมาย

ขอบคุณค่ะพี่สิงห์

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 11 พฤษภาคม 2556, 12:57:37
สุขแท้ด้วยปัญญา

เอดส์กาย  แต่ไม่ เอดส์ใจ


เราเป็นผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า “แก้ว”  ชีวิตเรามีแต่ความสุขมาตลอด เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์ ถูกเลี้ยงดูมาโดยคุณย่า คุณอา  เติบโตขึ้นท่ามกลางความรักความเอาใจใส่ของทุกคน เป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัว  เราได้รับการศึกษาอย่างดีมาตั้งแต่เล็ก จนจบมหาวิทยาลัย  ชีวิตไม่ค่อยได้พบเจอกับความทุกข์  ความผิดหวัง

เมื่อจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เราก็เข้าทำงานในบริษัทใหญ่โต ได้เงินเดือนมากมาย ใช้ชีวิตอิสสระแบบสาวทำงานในกรุงเทพ  ได้เงินเดือนมา ก็ช๊อปปิ้ง  ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากได้ ทำงานได้สักพักก็เริ่มมีความรัก มีแฟน  เริ่มวางแผนจะสร้างครอบครัว  วาดฝันถึงงานแต่งงาน  ชุดเจ้าสาวแสนสวย และลูกเล็กๆ ที่น่ารัก

เราลาออกจากงานเพื่อมาเรียนต่อปริญญาโท  โดยวางแผนว่า เมื่อจบปริญญาโท เราก็จะหางานใหม่ที่เงินเดือนสูงกว่าเก่า  แล้วก็จะแต่งงาน  จะซื้อบ้าน  จะมีลูก

เมื่อเรียนจบปริญญาโท เราก็สอบเข้าทำงานในบริษัทที่ใหญ่โต มั่นคง ชีวิตกำลังจะก้าวหน้า แต่แล้วก็เหมือนถูกฟ้าผ่า  เหมือนโลกถล่มลงตรงหน้า  เพราะผลการตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงาน ผลเลือดออกมาว่า  เรามีเลือดบวก  เราติดเชื้อเอชไอวี  เราเป็นโรคเอดส์

ชีวิตพลิกผันลง ณ วินาทีนั้น  ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความหวัง ความฝัน มันพังทลายลงหมด
งานที่ได้ ก็ต้องโทรศัพท์ไปขอสละสิทธิ์ เพราะไม่สามารถส่งผลตรวจเลือดให้เขาได้  เพราะใบตรวจเลือดมันประทับตัวแดงว่า HIV Positive เป็นเหมือน ตราบาป ประทับไปชั่วชีวิต

ในเมืองไทย ความรู้ ความเข้าใจ หรือการยอมรับ ในเรื่องโรคเอดส์ หรือ คนที่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นยังน้อยอยู่มาก  โรคเอดส์ เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ  คนที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเอดส์ จึงถูกรังเกียจ ถูกกีดกันออกจากสังคมไปด้วย

วันที่รู้ผลเลือด จึงเป็นวันที่ชีวิตเราเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  ความสุข ความสนุกสนาน มันหายไปในพริบตา เหลือแต่ความทุกข์ ความกลัว ความโดดเดี่ยว 

ในตอนแรกเรายังไม่กล้าบอกครอบครัวว่าเราติดเชื้อ ก็ได้แต่โกหกไปต่างๆ นานา ว่าทำไมถึงสละสิทธิ์ ไม่ไปทำงาน  ส่วนแฟนเราก็รู้ผลเลือดว่าติดเชื้อเอชไอวี ในเวลาใกล้เคียงกับเรา แต่แฟนจะไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น  รับไม่ได้ที่ตัวเองต้องเป็นโรคที่ใครๆ รังเกียจ  เขาจึงทุกข์ และ ท้อ มากกว่าเรา

เมื่อใจไม่สู้ ร่างกายมันก็ไม่สู้ตาม แฟนเราจึงป่วยหนัก และ ตายภายใน 3 เดือนที่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ  เมื่อแฟนตาย เราก็เหมือนเหลือตัวคนเดียวในโลก  จะมีก็เพียงเพื่อนๆ ในโลกอินเตอร์เนท ที่เราเขียนบันทึกออนไลน์ ลงในเว็บ คอยส่งข้อความมาเป็นกำลังใจ

เราอาจจะเป็นผู้ติดเชื้อที่แปลกมาก  (ในยุคนั้น)  เพราะเราเลือกที่จะบอกเล่าเรื่องของเราในเว็บไซต์ เราเขียนเรื่องของตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะอยากมีเพื่อน และอยากให้บทเรียนจากชีวิตเรามีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง  ดังนั้นเราจึงไม่โดดเดี่ยวเท่าไหร่นัก เพราะมีเพื่อนๆ จากโลกอินเตอร์เนทคอยคุยด้วย

เรื่องราวของเรานับว่าแปลกมาก สำหรับคนในโลกออนไลน์  เพราะไดอารี่ที่เราเขียนมันไม่ค่อยเศร้าเท่าไหร่  คือจริงๆ แล้ว เราร้องไห้แค่ คืนเดียว  พอวันรุ่งขึ้นเราก็ทำใจได้แล้ว  เราไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย  เรายอมรับสิ่งที่เราเป็นได้เร็ว  และอยู่กับมันได้อย่างดี

ชีวิตของคนที่ติดเชื้อเอชไอวี จะขึ้นอยู่กับจำนวนภูมิคุ้มกันที่เหลืออยู่เป็นสำคัญ  โดยคนธรรมดา มักจะมีภูมิคุ้มกันอยู่ที่ 500 ขึ้นไป ส่วนคนที่ติดเชื้อเอชไอวี ตัวเชื้อมันจะกินภูมิคุ้มกันไปเรื่อยๆ จนลดน้อยลง เมื่อต่ำกว่า 200 เขาก็จะถือว่าภูมิคุ้มกันบกพร่อง ดูแลตัวเองไม่ค่อยได้  ถ้าต่ำกว่า 100 เขาก็ถือกันว่าเป็นเอดส์ในระยะท้ายๆ แล้ว

เราเอง ก็ศึกษาหาข้อมูลเรื่องโรคจากอินเตอร์เนท แล้วก็ไปตรวจภูมิคุ้มกันดู ปรากฏว่าตรวจครั้งแรก ก็มีแค่ 69  เจ้าหน้าที่แนะนำว่า ไปโรงพยาบาลด่วนเลย  แต่เมื่อ 9 ปีก่อนนั้น ยาต้านเอชไอวี ยังไม่เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพ ถ้าจะกินยาต้องซื้อเอง ราคาก็สูง ตกเดือนละหลายหมื่นบาท

งานก็ไม่มีทำ  เงินก็ไม่มีซื้อยา  เราจึงคิดว่า เราคงอยู่ได้อีกไม่ถึง 1 ปีหรอก จึงตัดสินใจบอกความจริงกับครอบครัว   ทุกคนเสียใจ แต่ก็ไม่มีใครรังเกียจ  ครอบครัวยังรัก และ ให้กำลังใจเราเหมือนเดิม

เมื่อคิดว่า ตัวเองกำลังจะตาย เราจึงไม่คิดจะพยายามหางานทำอีก ทางครอบครัวก็สนับสนุน เราจึงใช้ชีวิตหมดไปกับการตระเวนทำบุญ  พยายามใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ เราเขียนหนังสือเรื่องชีวิตตัวเอง  แล้วก็ได้รับความสนใจมาก  ต่อมาก็มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง  มีสื่อมาขอสัมภาษณ์มากมาย มีโรงเรียน มหาวิทยาลัย เชิญไปเป็นวิทยากรบรรยาย  มีคนโทรศัพท์มาขอคำปรึกษา ขอกำลังใจ
ทุกงานเราก็เต็มใจทำ เพราะเราคิดว่า ถ้าชีวิตหนึ่งชีวิตของเรา มีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง นั่นเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่
คำถามหลักที่จะถูกถามทุกครั้งก็คือ “ ทำไมไม่ทุกข์  ทำไมทำใจได้ ทำไมถึงอยู่ได้อย่างมีความสุข”

เราก็เคยงงกับตัวเองเวลาถูกถาม แต่เมื่อทบทวนตัวเอง คำตอบที่ได้จากคำถามเหล่านั้น ก็คือ เราโชคดี ที่เติบโตมากับครอบครัวที่เคร่งครัดในศาสนา  เติบโตโดยคุณย่าเป็นคนเลี้ยงดู  เด็กที่โตมากับคนแก่ มักจะคิดอะไรได้เกินอายุ  แล้วการที่อยู่กับคุณย่า เราก็ตามย่าเข้าวัดตั้งแต่เด็ก

ย่าชอบให้อ่านหนังสือ ย่าจะจะรับนิตยสารหลายเล่ม และมักมีบทความเรื่อง กฎแห่งกรรม  โทรทัศน์ย่าก็ให้ดูละคร พิภพมัจจุราช มาตั้งแต่จำความได้  คุณย่าจะสอนให้เชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม  แล้วคุณย่าเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากๆ ไม่เคยมองใคร หรือ อะไร ไม่ดีสักครั้ง

สิ่งต่างๆ เหล่านี้มักก็แทรกซึมมาอยู่ในตัวเราโดยไม่รู้ตัว   แต่มันจะผุดขึ้นมาช่วยชีวิตตัวเองไว้ ในยามที่เผชิญทุกข์หนักที่สุดในชีวิต คือเรื่อง เอดส์

นึกย้อนไปว่า ทำไมเราร้องไห้แค่คืนเดียว ทำไมเราไม่เคยคิดฆ่าตัวตายเลยนะ  นั่นก็เพราะ ใจมันสอนตัวเองได้ว่า  มันก็คงเป็นบาปเป็นกรรมที่เราเคยทำมา ไม่รู้ในชาติไหน เมื่อกรรมตามมาทันในชาตินี้ เราก็ต้องยอมรับผลของมันให้ได้   แล้วอีกอย่างแฟนคนนี้เราก็รักเขา เราก็เลือกเอง ก็เท่ากับว่าเราหาโรคมาเองด้วย เราจะไปโทษใครได้

เราไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย เพราะจำได้ตั้งแต่เด็ก ย่าเคยสอนไว้ว่า การเกิดเป็นคนมันยากลำบากมากมายนัก ย่าเล่านิทานเรื่องเต่าตาบอด โผล่ขึ้นมาในมหาสมุทร ต้องโผล่มาให้ตรงห่วงยางเล็กๆ ถึงจะได้เกิดเป็นคน  ดังนั้น คนที่อุตส่าห์ได้เกิดเป็นคนแล้ว ดันมาฆ่าตัวตาย จะบาปมหันต์

เราว่าสิ่งต่างๆ ที่เคยเรียนรู้มาตอนเด็กๆ  มันมาช่วยชีวิตเราได้ในปัจจุบัน  เราจึงอยู่กับโรคเอดส์ได้ อย่างไม่ทุกข์เท่าใดนัก และยังสามารถมีความสุข ความพอใจในชีวิตได้ทุกวัน

เมื่อเรายอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ ไม่คิดโทษใคร ไม่คิดน้อยใจในชีวิต ไม่หนีปัญหา เราก็จะอยู่กับสิ่งที่เราเป็นได้ อย่างไม่ทุกข์ ไม่ทรมาน  แต่ถ้าอยากให้มีความสุขเพิ่ม ต้องรู้จักมองโลกในแง่บวก และ รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี และ เป็น

ชีวิตเราในปัจจุบัน ผ่านมาจะ 9 ปีแล้ว เราก็ยังไม่ได้ทำงานประจำ ปริญญาโทที่จบมาไม่เคยได้ใช้ ทุกวันนี้เราทำงานมูลนิธิที่ดูแลเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อเอชไอวี ได้เบี้ยเลี้ยงน้อยนิดพออยู่รอดไปวันๆ นอกจากนั้นก็เป็นงานอาสาที่ทำฟรีๆ ก็คือ เป็นวิทยากรบรรยายเรื่องเอดส์ ทำเว็บไซต์ และ รับโทรศัพท์ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเอดส์

เรื่องเงิน เรื่องรายได้ มันต่างจากแต่ก่อน ราวฟ้ากับเหว  แต่เมื่อมันเป็นไปแล้วก็ต้องยอมรับให้ได้ ต้องปรับตัวเอง  ต้องรู้จักคำว่า “พอเพียง”  แล้วเราก็ได้เรียนรู้ว่า ชีวิตคนเรานั้น ใช้เงินไม่มากเลยนะ ที่จะอยู่รอด  ทำไมตอนมีเงินเดือนเยอะๆ เราจึงใช้หมด ไม่เคยเหลือเลยนะ

บางวันที่เพื่อนสมัยเรียนปริญญาโท โทรศัพท์มาคุยด้วย พอวางสาย เราก็มีความรู้สึกเศร้าๆ บ้าง เพราะเพื่อนๆ ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นเอดส์  ถามเรื่องงาน เรื่องแฟน เราก็ต้องโกหกไปเรื่อยๆ  พอเพื่อนเล่าเรื่องชีวิตเขา ก็มีบ้างที่เราจะน้อยใจ  ก็ชีวิตเรากับเพื่อนมันต่างกันเหลือเกิน

แต่เราก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า  ถึงเราจะได้เงินเดือนน้อยนิด เทียบกันไม่ได้กับเพื่อนๆ แต่งานเราคืองานสร้างบุญนะ  งานเราทำเพื่อช่วยชีวิตคนอื่น  ถ้าเราดูแลเด็กๆ ที่ติดเชื้อให้ดีๆ เขาก็จะเติบโตเป็นคนดี ไม่สร้างปัญหาให้สังคม  หรือ เราไปบรรยายตามที่ต่างๆ เราเอาชีวิตเราไปเป็นบทเรียนสอนคนอื่น คนอื่นอีกหลายร้อยหลายพันชีวิต เขาอาจจะรอดจากเอดส์ก็ได้

หรือ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ๆ ที่เขาโทรศัพท์เข้ามาปรึกษา ถ้าเขาได้กำลังใจที่ดี ถ้าเขาได้คนแนะนำการใช้ชีวิต การดูแลตัวเอง เขาก็จะไม่ฆ่าตัวตาย เขาจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขพอสมควร และหวังว่าเขาจะไม่สร้างบาปโดยไปทำให้ใครติดเชื้อเพิ่ม

เรามักจะให้กำลังใจตัวเองอยู่เรื่อยๆ  และพยายามมองหาข้อดีของการเป็นเอดส์ให้ได้ อาทิเช่น การเป็นเอดส์ทำให้เราไม่ต้องทำงานประจำ ไม่ต้องคิดหาเงินให้ได้มากมาย  ทำให้เรามีเวลาว่างเยอะ มีอิสสระ อยากไปเที่ยวไหนก็ได้ไป อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากไปฝึกวิปัสสนา 8 วัน 7 คืน กี่ครั้งกี่หนก็ได้ ไม่มีปัญหา เพราะเราไม่ต้องลางาน

ดังนั้นทุกวันนี้  เรามีความสุขกับชีวิต  เราภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น และภูมิใจในสิ่งที่เราทำ  คงต้องขอบคุณ การเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นของครอบครัว และ ความเชื่อทางพุทธศาสนาที่คุณย่าสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก มันทำให้เราเกิดปัญญาในการการคิด เกิดปัญญาที่จะแก้ปัญหาชีวิต  และทำให้เรามีความสุขในทุกวันนี้

เราให้ความสำคัญกับ “จิตใจ” มาก  ใจต้องเข้มแข็ง  ใจต้องมีความสุข เมื่อใจแข็งแรงแล้ว ร่างกายก็จะแข็งแรงตาม  เชื่อหรือไม่ 9 ปีแล้วที่เรารู้ว่าเราติดเชื้อเอชไอวี เราไม่เคยป่วยหนักเลย ทั้งๆ ที่ภูมิคุ้มกันทางกายเรามีน้อยนิด

เราโชคดีที่มีภูมิคุ้มกันทางใจสูง  เพราะมีธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวมาตั้งแต่เป็นเด็ก โรคเอดส์ก็เลยทำอะไรเราไม่ได้  เราเป็นเอดส์แต่เพียงกาย แต่ใจเราไม่ได้เป็นเอดส์ ใจเรามีสุข และ เข้มแข็งเสมอ เราจึงอยู่ได้อย่างภูมิใจในตัวเอง  และมีความสุขกับชีวิตที่เราเป็น

      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9064 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2556, 18:56:39 »


พี่สิงห์ที่เคารพ,
พี่ติ๋มขา,

อ่านเรื่องข้างต้นแล้ว รู้สึกสงสารเธอคนนี้คะ,
จากสไตล์การเขียน เธอโตมากับย่า...พ่อแม่เธอไปไหน?
ในเรื่องบอกว่าครอบครัวอบอุ่น..แต่โตภายใต้การเลี้ยงดู
ของญาติฝ่ายพ่อ...รึพ่อแม่แยกทางกัน??
ในเรื่องบอกว่าเธอมีแฟน รู้ผลตรวจเลือด..เธอเป็นเอดส์
เพราะรับเชื้อมาจากแฟน? ใครรับจากใคร??เอดส์ไม่ใช่
โรคติดต่อทางการหายใจทางการใช้อะไรร่วมกัน..แต่หมายถึง
การมีชีวิตรักที่อิสระเสรี หรือผ่านเลือดจากการใช้ยาฉีดเข้าเส้น
มีโอกาสไม่ง่ายที่จะเป็น แต่หากรับเชื้อก็ไม่หายไม่ขาด
หากเธอรับเชื้อมาจากแฟนที่คงเที่ยวผู้หญิงมาก่อน..น่าเศร้าคะ.
เป็นความไม่รับผิดชอบที่ค่อนข้างมักง่าย
การโกหก...จึงใช้ได้เรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็ต้องรับความจริงอยู่ดี!
ไม่ว่าเรื่องไหนในชีวิต...เธอคนนี้toughนะคะ

 ขอให้เธอโชคดี.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9065 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2556, 19:41:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 12 พฤษภาคม 2556, 20:56:50
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                     ขอบคุณมากที่เอามาให้ทราบ

                     พี่สิงห์  ก็สนใจอยู่ที่กำลังจะหาเวลาไปเพื่อทดลองล้างพิษตับ  โดยมีอาจารย์เผ่า  ช่วยเป็นธุระให้  และตั้งใจว่าจะไปล้างพิษเดือนมิถุนายน หรือ กรกฎาคม ที่จะถึงนี้

                     ตอนนี้ได้ดู ที่เธอเอามาแป๊ะ เอาไว้ให้ และได้ดู เพิ่มเติมจากอาจารย์ขวัญดิน  ทำให้มั่นใจว่า ปลอดภัย แน่นอน

                     สวัสดี


พี่สิงห์ที่รักและเคารพ,
ที่นำมาแปะเพราะดีใจที่พบอจ.เผ่าคะพี่ท่าน,
ไม่ได้เห็นดีเห็นงามตามท้องเรื่องแต่อย่างใด!!

เพราะ??
เพราะหนิงไม่เชื่อน่ะสิคะพี่ขา
ทำไมไม่เชื่อ??
เพราะหนิงสงสัย blink blinkข้างหลังหัว!

**น้ำมันมะกอก**? ผลิตจากไหน ใครผลิต?
มีอะไรอยู่เบื้องหลังของการจะขายผลิตภัณฑ์??
เฮโลสาระพากันไปใช่จะเป็นคำตอบคะว่าดีจริง
ได้ผลจริงได้มีการตรวจสอบโดยวิทยาศาสตร์
food technologyที่ตรวจได้หาค่าได้ว่าในน้ำมัน
ชนิดต่างๆน้ำมันไหน"antioxidize"ได้ดี
เฉพาะน้ำมันมะกอก?น้ำมันปาล์มล่ะ?น้ำมันงา?
จำนวนปริมาตรแค่ไหน..ที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้?
ดีต่อร่างกายก็เรื่องนึงสิพี่ แต่รักษาโรคภัย นั่นอีกเรื่องนึง!
อาหารก็ส่วนอาหาร ที่ต้องกินให้ครบหมวดครบหมู่
สอนกันมาแต่อ้อนแต่ออก ทำได้จริงไม่จริง มีส่วนประกอบ
อื่นๆอีกมากมายเช่นการต้องเคลื่อนไหวให้ร่างกายได้
ใช้พลังงานเร่งการทำงาน ซึ่งหมายถึงกีฬาคะพี่ท่าน
ร่างกายคนเรา สบาย สบายอย่างเดียวไม่พอคะ!!
ต้องออกแรงออกกำลังให้ได้เหงื่อไม่งั้นก็นั่นนี่เจ็บป่วย
ป่วยเป็นอะไรแล้ว ก็ต้องต่อสู้รักษาให้ร่างกายกลับฟื้น
คืนสภาพซึ่งหมายถึงให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อต่อโรค
ชนิดต่างๆได้ด้วยร่างกายเองซึ่งก็คือหากชีวิตที่ทำที่เป็น
มาจนบัดนี้แล้วเป็นโรค เรา,เจ้าของร่างกายก็ไปหาหมอ
เพราะหมอต้องจ่ายยา...ยา,ที่มารักษาโรคตัวนั้นเชื้อชนิดนี้
ที่ภูมิในร่างกายเอาไม่อยู่ ให้หายให้ชนะโรค ยา,เป็นสภาวะ
ชั่วครู่ชั่วคราวมีระยะเวลา มีจำนวนปริมาตรที่จำกัดแน่นอน
เคร่งครัด ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ ใช้ชีวิตไม่ระวังเพราะคิดว่าเป็นอะไร
ก็ให้ยา กินยาเอา...หนิงคิดว่าเป็นคนละเรื่องกันค่ะพี่

ร่างกายเรา ยังต้องบำรุงบำเรอ เพราะนี่,
คือสิ่งมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติที่แท้จริง
organอวัยวะต่างๆทำงานด้วยตัวเอง มีหน้าที่ที่แน่นอน
ไม่เคยเกี่ยงเคยงอน เราเจ้าของร่าง,จึงต้องเติมพลังงาน
เติมเชื้อเพลิงที่สมเหตุสมควร ไปงดนั่นงดนี่ตามๆคนอื่นๆได้ยังไง
ร่างกายแต่ละคนเหมือนกันซะที่ไหน ใช้พลังงานก็ต่างกัน
การกินการดื่มจึงต้อง"ฟัง"เสียงของร่างกายตัวเองตลอด..
เมื่อไหร่เริ่มแพล็นอ้วน...ต้องลดอะไร,ออกกำลังนิดๆหน่อยๆ
ถอดใจหอบแฮ็กๆลามือ ทำไม?สิ่งเหล่านี้คะ...ที่ต้อง"ตาม"
อย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เห็นเค้าว่า จะเค้าไหนก็เถอะคะพี่...
ตามกระแส ตามเค้าไป เพราะเห็นว่าเราก็เป็น/มีอาการงี้ๆงั้นๆ
คล้ายๆ??แน่ใจเหรอคะว่ารู้จักร่างกายตัวเองเพียงพอ??


มีต่อนะคะ
หนิงส่งก่อน
กลัวมือ/นิ้วไปถูกอะไรที่คีบอร์ด
หายวืบ...ต้องระวังคะ
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9066 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2556, 20:29:31 »



อาหารจึงเป็นยาอายุวรรธนะที่เรา...
ทำหน้าที่เป็นเจ้าของ เป็นช่าง เป็นหมอ
ด้วยตัวเราเอง...ถามว่า,ก็คนทุกคนใช่จะ
โชคดีไม่มีโรคมีภัยกันทุกคนซะที่ไหน...
จริงคะ,แต่ผลมาจากเหตุไม่ใช่เหรอพี่??
หาเหตุหาผลไม่เจอ โทษโชคโทษชะตาทั้งปี!!

ถามว่าต้องให้เรียนให้รู้จนจบสูงๆมั้ยจึงจะรู้นั่นนี่โน่น
รู้ไปทั่ว รู้ไปหมด ผู้รู้ว่าอะไร...แต่รู้จักตัวเอง
รู้จักร่างกายเราเอง...ยังต้องให้ผู้อื่นมาบอก มากล่าว?
จริงเหรอพี่?หนิงไม่เชื่อหรอก!

บ้างให้พระ ให้ชี เป็นผู้บอก ผู้นำกระทำการรักษา
เอ,สมณเพศ ไม่ใช่อยู่ในโลกธรรม ทำหน้าที่ฟื้นฟู
รักษาผู้ที่ต้องการสงบจิต มีชีวิตที่ต้องการหลุดพ้น
เพราะผู้คนค้นตัวตนตัวเค้าไม่พบ ในกระแสของโลก
ที่มีความอึกทึกครึกโครมวุ่นวายมากมายจัดอันดับ
การดำเนินชีวิตไม่ถูก...สงบเงียบสงัดไม่ได้ ไม่มีที่ทาง
ที่จะสงบเงียบ ให้จิตได้พัก...สมณเพศยังต้องทำหน้าที่
ผสมนั่นนี่มารักษาโรคภัยทางร่างกาย แทนหน้าที่หมอ??
หมอรักษาแล้วดูไม่ดี ไม่มีความขลัง?? ไม่น่าเชื่อถือ?
ต้องบวกความมหัศจรรย์พันลึก...mass,collectiveของ
การทำอะไรร่วมกันมาเป็นกระแส??ว่าไม่ใช่เราคนเดียว
คนอื่นๆเค้าก็ทำแบบเดียวกัน ไม่ดีได้เหรอ??

หากแต่ละคน จะกลับมาสู่พื้นภูมิความรู้
ที่เรียนมาเท่ากันสมัยประถม สมัยมัธยม
กินดี อยู่ดี ทำเองไม่ได้ ไม่มีเวลา...
ซื้อเค้ากิน ฝากคุณภาพของยาอายุวรรถนะ
ไว้กับมือคนแปลกหน้า ที่..ต้องการค้า ต้องการกำไร
แล้วคิดว่านั่นคือการกินดี กินถูกต้อง...แล้ว

ไม่เคยต้องให้ร่างกายเหนื่อยหอบ เหงื่อโทรม
ไม่ใช่สถานะของผู้มี-อันจะกิน ผู้มีความรู้ใช้แต่สมอง
ใช้งานทางปัญญา...ใครเค้าจะต้องออกแรง??
กีฬา กีฬา เป็นยาวี่เศษ...bla blaกันตั้งแต่เด็กแต่เล็ก
เป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ไม่เคยมีตัวอย่างให้ดู
ว่าการต้องเดินไปเอง ออกกำลังด้วยเท้าทำนั่นทำนี่
การต้องถีบจักรยานไปทำธุระใกล้ๆ การละเล่นเป็น
เรื่องของเด็ก....ผู้ใหญ่เค้าไม่ทำ ผู้ใหญ่นั่งๆนอนๆ?
กีฬา,ดูตลก ไปยักๆแย็กๆไม่สมควร ไม่งาม ไม่เหมาะ?

อย่าแปลกใจสิพี่??หากวัยที่เพิ่มขึ้น จึงสะสมนั่นนี่
บกพร่อง เสื่อมถอยของอวัยวะ..เพราะร่างกาย
สบายจนเคยตัว!! อ้างได้สารพันล้านแปดarguement
ทำไมถึงไปเล่นกีฬา ออกกำลังไม่ได้...เท่าๆกับ
อ้างได้เรื่อยๆทำไมถึงต้องออกแรงออกกำลังให้น้อยที่สุด


หนิงจะบอกกะพี่สิงห์ว่า...อาหารที่กินเข้าไป
ก็ถูกขับออกมา ทุกผู้ ทุกคน เหมือนกัน!
อาหารเข้าไปทางกินทางเคี้ยว...ผ่านออกทางก้น
สุดทางของอาหาร!
เครื่องดื่ม,อะไรที่เหลวๆเป็นน้ำ ไม่ต้องเคี้ยว
ไม่ต้องย่อยในปาก ดื่มอึกอึกอึก เข้าทางปาก
ขับออกทางฉี่ เหมือนกันทุกคนทุกผู้ จะเป็นใครก็ตาม!

ดื่มน้ำ น้ำผลไม้...ทำสลัดใส่น้ำมันพืชต่างๆ
กินให้ครบหมวดครบหมู่สู่ร่างกายทุกวัน...
ออกกำลังให้organอวัยวะต่างๆเร่งเครื่องสูบฉีด
นอนหลับพักผ่อน ทำงานเพื่อใช้ชีวิต
จัดสรรเรื่องแค่นี้...แล้วยังทำไม่ได้??

สิ่งมหัศจรรย์ไหนๆก็ช่วยไม่ได้แล้วค่ะ!
อย่าปลอบตัวเองไปเลย...
เข้ารกเข้าพงปล่าวๆคะ



หนิงว่า!
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9067 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2556, 20:34:41 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก

                     เอาไปได้เลย  ที่นี่ไม่หวงห้ามใด ๆ ทั้งสิ้นครับ

                     สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9068 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2556, 20:42:51 »


พี่สิงห์ หนิงยังไม่จบ!

แล้วพี่จะต้องไปล้างพิษทำไม?
ตับ  ไต พี่ทำหน้าที่ได้ไม่ดียังไงคะ?
ตับกรองพิษ ไตกรองของเหลว...
ส่งเสริมตับ ไตให้ทำงานตามหน้าที่
มีอะไรต้องไปแย่งงานตับ ไตได้อีกคะ?
ดื่มเข้าไปแล้วตับสลายนิ่ว ย่อยพิษออก?
ประหลาดน่ะ!!
ดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรก็ทำหน้าที่ขับออกได้เหมือนกัน??
ต้องอะไรกะตับ กะไตให้วุ่นวายเสียเงินทำไม?

commercialทั้งนั้นคะ..
อ้างให้ดูดียังไงก็เถอะ.


คะพี่ขา
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9069 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2556, 20:49:21 »


พี่สิงห์ว่าต่อได้คะ!
หนิงอยากฟัง"พี่ว่า"
"คนอื่น"ว่า...งั้นๆคะ!!
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9070 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2556, 20:51:01 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                   ขอบคุณมาก ที่แสดงความเห็น  มันก็เป็นจริงตามที่เธอบอกกล่าว  ไม่ได้โต้แย้ง

                   พฤติกรรมจิตมนุษย์นั้น มีพฤติกรรมเหมือนกันหมด  ทุกชาติ  ทุกภาษา แต่ต่างกันที่ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕  จึงทำให้มีความคิดที่ออกมาแตกต่างกัน   จิตมมนุษย์นั้นคิดเข้าข้างตนเองเสมอ  และส่วนมากตกอยู่ในโมหะ คือความคิดตนเอง  ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะทุกคนก็เป็นอย่างนั้นส่วนใหญ่  ยกเว้นบุคคลที่ได้สดับ หรือปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์  จะปฏิบัติตามที่วิญญูชนม์ส่วนใหญ่เห็นว่าดี

                   อาจารย์เผ่า และพรรคพวกอาจารย์เผ่า  ต่างก็ยืนยัน ว่าดี เป็นผู้มีความรู้ทั้งนั้น  จากอาจารย์เผ่าคนเดินที่ชอบกิน  กลายเป็นอาจารย์เผ่า  ที่ไม่ชอบกินแบบเดิมอีกแล้ว เพราะเห็นสัจจธรรมการกินแล้ว

                    พี่สิงห์  ได้ศึกษาเรื่องนี้มานานแล้ว  อาจารย์เผ่า  ได้เล่าให้ฟังมาแล้ว  มีความตั้งใจเอาไว้แล้ว ที่โศกาศรีษะเกษ คิดราคาเพียง ๑๕๐ บาท เท่านั้นในการล้างพิษตับและล้างลำไส้ จำนวน ๕ วัน พร้อมที่พัก อาหารทั้งหมด ตอนนี้จองก็ยาก เพราะทำเพียงเดือนละครั้ง เท่านั้น

                    และวันนี้พรรคพวกที่อินทร์บุรี ก็บอกมาว่า ที่วัดพรหมสาคร ก็มีการล้างพิษตับแบบนั้น

                    แต่เท่าที่ดู  จำนวนคนใช้บริการ ความชำนาญ และความมั่นใจแล้วที่ โศกาศรีษะเกษ ดีที่สุด  เชื่อใจได้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเขา ทำแบบอาสาสมัคร  ไม่มีอะไรเสียหาย เป็นการล้างสิ่งโสโครกออกมาจากลำไส้ และทำความสะอาดตับ

                    สวัสดี

                   
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9071 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2556, 21:01:07 »


พี่สิงห์ที่เคารพ,
ชีวิตพี่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอยู่แล้ว.
พี่ปฏิบัติจริง ปฏิบัติชอบ...Prävention
คือไม่รอให้เป็นนั่น เป็นนี่ เป็นโน่น
จึงจะมารักษาบำบัด
ก็เห็นพี่กินระวัง(แต่มีคุณค่ารึปล่าว no commentนะคะ)
ออกกำลังทางร่างกาย ทั้งกอล์ฟ
ทั้งโยคะ ชี่กง...
พี่สงบจิต ทำใจไฝ่หาธรรม...

หนิงก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรนอกเหนือจากนี้อีก
ที่พี่ยังไม่ได้ปฏิบัติเป็นตัวอย่างที่ดี...
นอกเหนือจากการไป การร่วม เพื่อสังคม!!
งานหน้าหนิงจาไปยืนกะหมู่mass เขย่า เขย่า
เอ้าาา ดื่ม....จะทำคะ ด้วยเหตุผลของการ"สมาคม"
แต่ไม่ใช่เหตุของการ"เชื่อ"คะพี่ท่าน
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9072 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556, 01:57:10 »


แก้คำผิดคะ!

อายุวัดทะนะ..
ที่ถูกคืออายุวัฒนะ

ไม่ใช่-->อายุวรรถนะ
หรือ-->อายุวัทนะ
ฤา-->อายุวัถณะ
รึ-->อายุวัดทะนะ
อ่านแล้วทะแม่งๆแต่ในเมื่อกำลังเขียนtext
จะสะดุดไม่ได้คะ ม่ายงั้นไม่ลื่นคล่องแล่นฉิว
ทาง...ปัญญา!
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9073 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556, 07:41:35 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                       อย่างที่เธอบอก ชีวิตมันก็ดีอยู่แล้ว  ถูกต้องที่สุด

                       แต่มันสมบูรณ์  ป้องกันดีพอแล้วหรือยัง ตนเองจะรู้ได้ด้วยตนเอง  อยู่ที่จะกระทำหรือไม่

                       ตัวอย่าง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาไปตีกอล์ฟ พรรคพวกเล่าให้ฟัง  พี่เขยทำงานการไฟฟ้า  ดูแลเกี่ยวกับ Dynamo ปั่นกระแสไฟฟ้า  จนเป็นถึงรองผู้ว่าการฯ อีกสามเดือนจะเกษียร เป็นคนดูแลร่างกายอย่างดี  กินอาหารสุขภาพ ตืนเช้าขึ้นมาต้องวิ่งออกกำลังกายทุกวัน อยู่ๆ ท้องก็บวมขึ้นมา ตรวจ TC scan ไม่พบ เจาะช่ิงท้องเอาน้ำมาทดสอบ  ตรวจเลือด สุดท้ายหมอผ่าท้อง ผลคือเป็นมะเร็งที่ใส้ติ่ง  กำลังจะอักเสบ  หมอบอกว่าโอกาสเป็นน้อยมาก ต้องตัดทิ้ง แต่ท้องที่บวมนั้นเป้นเพราะมะเร็งมันกระจายไปกระเพาะอาหาร ลำไส้หมดแล้ว  ทำไม ๆๆๆๆ คนที่ดูแลร่างกายอย่างดี  แล้ว อยู่ๆ ก็ตรวจพบขั้นสาม-สี่ เลย

                        คำถามก็คือ ในเมื่อดูแลร่างกายอย่างนี้  มันทำไมถึงเป็นมะเร็งได้ 

                        ผมก็ตอบว่า เพราะ "อวิชชา" ความไม่รู้ไง  ไม่รู้ว่าเราดูแลร่างกายดีพอหรือยังที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน  เมื่อก่อนอาจจะปล่อยปละละเลยในบางเรื่องมันจึงสะสม  มาแสดงออกตอนแก่  หรือร่างกายมันฟ้องมานานแล้วแต่เป็นเพราะเราดูร่างกายเราไม่ออก เพราะร่างกายมันไม่บอก เราต้องสังเกตเอาเอง น่าเสียดายที่สังเกตไม่พบ  มาพบเมื่อเป็นมากเสียแล้ว

                         ร่างกายเรานั้น  สังเกตให้ดี  มันจะฟ้องเราให้ทราบมาตลอดในสิ่งผิดปกติ  แต่เพราะเราหลงไง  เชื่อว่าดูแลดี  อาหาร  ออกกำลังกาย  ไปให้หมอตรวจเป็นประจำ มีความเชื่ออย่างนี้  มันจึงต้องประสบ 

                         แต่ถ้าอยู่อย่างไม่ประมาท  ระวังในทุกเรื่อง  คอยดูกาย  ดูใจให้มาก คอยเรียนรู้กาย-ใจ ของเราจนเราสามารถสังเกตพบในสิ่งผิดปกติได้  เราก็ต้องรีบแก้ไขเสีย  มันก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม  อย่ารอให้มันผิดปกติไปมาก  มันน่าเสียดาย  บอกได้เท่านั้น

                         อย่าลืม !  คนคิดไม่เหมือนกัน  ต้องอยู่โดยยึดหลักกาลามสูตร และอย่าหลในโมหะ

                         สวัสดี

                       
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9074 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556, 07:52:24 »




                   เป็นเรื่องที่ดี  ที่ Tiger Wood กลับมาชนะรายการใหญ่อีกครั้งหนึ่ง รายการ The Player ถือเป็นรายการ Malor ที่ ๕ เพราะีเงินรางวัลสูงสุด ๙.๕ ล้าย US และแข่งสนามเดียวทุกปี  จัดโดยสมาคมกอล์ฟอาชีพอเมริกา

                   วงการกอล์ฟ  จะมีชีวิตชีวา  มีคนสนใจดูมากขึ้น แน่นอน เพราะ Tiger Wood ถึงแม้เรื่องส่วนตัวจะไม่ดีก็ตาม แต่ถ้า Tiger Wood เล่นไม่ดี  ก็ไม่มีคนดู  คนสนใจกอล์ฟ มันเป็นความจริงครับ

                   ผมก็ได้แต่ติดตามดูผลทาง inter net เท่านั้น เพราะไม่ได้ติด True และไม่ใคร่ได้ดู TV ครับ

                  สิ่งที่จะเป็นประโยชน์สำหรับเราในการทำงาน  จากการเห็น Tiger Wood เล่นกอล์ฟ คือ Tiger และ Staff จะวางแผนการเล่นแต่ละหลุมมาก่อนทุกครั้งเสมอ และเล่นตามนั้น  ไม่มีการเสี่ยง ไม่แน่ใจวิธีการไหน จะไม่เล่น  ถ้าเล่นต้องคิดว่าทำได้แน่นอน ไม่มีโชคช่วย  และเป็นคนที่จิตใจมุ่งมั่น  ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ถ้าไม่จบหลุมสุดท้าย

                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 361 362 [363] 364 365 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><