Cmadong Chula

เรือนประจำรุ่น อบอุ่นทุกสมัย => รุ่น 2532 => ข้อความที่เริ่มโดย: wirat ที่ 12 มกราคม 2551, 10:14:51



หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 12 มกราคม 2551, 10:14:51
เริ่มคนแรก

นายห้างเทียม โชควัฒนา

"แค่หยุดอยู่กับที่ ก็กลายเป็นผู้ล้าหลัง"

อธิบาย :

คนที่ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีการศึกษาสูง คนที่การศึกษาสูง เรียนสูงๆ ปริญญาโท. ปริญญาเอก, เรียนหลังปริญญาเอก (Post Doctor) ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ แต่โอกาสของเขาก็จะมี…
คนที่ไม่ได้เรียนสูงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้เป็นคนที่ไม่มีสติปัญญา ความรู้
…นางห้างเทียม โชควัฒนา เป็นตัวอย่างหนึ่ง
คุณเทียม โชควัฒนา มอบคำคมไว้ให้กับสังคมมากมาย
“ปรัชญาของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จมักจะกล่าวกันว่า นักธุรกิจนั้นต้องเป็นคนของวันพรุ่งนี้ เพราะเพียงแต่เขาเป็นคนของวันนี้ อะไรๆ มันก็สายไปเสียแล้ว”
คนของพรุ่งนี้เป็นคนอย่างไร?
คุณเทียม บอกว่า คนของพรุ่งนี้ต้องเป็นคนทันสมัย
คำว่าทันสมัยนั้นคือ ท่านจะต้องรู้จักอินเตอร์เน็ต เล่นคอมพิวเตอร์เป็น เข้าเว็บไซต์เป็น ฯลฯ
คุณเทียมเคยเล่าว่า ช่วงนั้น หนังกลางแปลงเป็นที่นิยม ลูกน้องที่ทำการตลาดบอกว่าจะทำการตลาดผ่านหนังกลางแปลง คุณเทียมพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “คิดดี ตอนนี้เริ่มกระจายแล้ว คนออกจากบ้านน้อยลง หนังกลางแปลงอาจจะไม่สำเร็จเหมือนปีก่อนๆ ที่เราเคยทำ”
คนทันสมัยไม่พอ…ต้องเป็นคนทันโลก

คัดลอกจาก FM 96.5

วันจันทร์ จะคัดลอก วิธี คิด ของ คุณ อดิเรก  ศรีปทุมรักษ์ ประธานบริหาร CPF หัวหน้าใครหว่า??

ป้อม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 14 มกราคม 2551, 12:41:52
ขอเลื่อนของคุณ อดิเรก มา Post ข้อคิดเรื่องกาแฟ

ที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แห่งหนึ่งของสยามประเทศ บรรดาศิษย์เก่าที่จบจากสถาบันนี้ แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพมีชื่อเสียงในวงสังคมตามวงการต่างๆ มากมาย มีทั้งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และที่กระท่อนกระแท่นยังดิ้นรนอยู่ในหน้าที่การงานก็เยอะ
 
เนื่องในวาระที่อาจารย์พ่อซึ่งเป็นที่เคารพของศิษย์เก่าทุกคน เกษียณอายุ บรรดาศิษย์เก่าจึงถือเป็นโอกาสดีที่จะกลับไปเยี่ยมสถาบัน เพื่อเลี้ยงสังสรรค์และรำลึกถึงอาจารย์พ่อ
 
หลังจากกินเลี้ยงกันมาได้พักใหญ่ วงสนทนาก็เริ่มเปลี่ยน ไปเป็นการบ่นพร่ำเกี่ยวกับความเครียด ในการทำงานและปัญหาชีวิต แต่ละคน มีปัญหาแตกต่างกันออกไปมากบ้างน้อยบ้าง อาจารย์พ่อฟังปัญหาของลูกศิษย์ทุกคนอย่างตั้งใจ รับฟังโดยไม่มีคำวิจารณ์ หรือนำเสนอความเห็นของอาจารย์เลยแม้แต่น้อย
 
เมื่อฟังปัญหาของลูกศิษย์จบทุกคน อาจารย์พ่อเสนอเลี้ยงกาแฟกลุ่มลูกศิษย์เก่า ท่านเดินเข้าไปในครัว และออกมาพร้อมกับกาแฟเหยือกโตและถ้วยกาแฟ แบบต่างๆ บ้างเป็นถ้วยกระเบื้องบ้าง เป็นถ้วยพลาสติก และบ้างทำด้วยแก้ว มีถ้วยกาแฟหลายใบที่เป็นแบบพื้นๆ ธรรมดา บางใบ สวยวิจิตรสูงค่า
 
" อาจารย์ ชงกาแฟใส่เหยือกมาให้แล้ว พวกเธอจัดการรินใส่แก้วดื่มกันเองนะ" บรรดาลูกศิษย์ มองถ้วยกาแฟหลากหลาย ด้วยความสนใจ แล้วพากันเลือกถ้วยกาแฟพร้อมๆ กับรินกาแฟออกมาจากเหยือกใส่ถ้วยต่างกันออกไปเอามือไว้
 
เมื่อลูกศิษย์ทุกคนต่างมีถ้วยกาแฟในมือกันทุกคน แล้วอาจารย์พ่อ กล่าวว่า
" ลองดูถ้วยกาแฟในมือของพวกเธอ กับถ้วยกาแฟที่เหลืออยู่ในถาดซึ่งไม่มีคนเลือกสิ "
" สังเกตกันรึเปล่า.... ถ้วยสวย ๆ แพง ๆ ถูกเลือกไปหมด เหลือไว้แต่ถ้วยแบบธรรมดาราคาถูก "
" เป็นเรื่องปกติ...ที่พวกเรามักจะเลือก สิ่งที่ดีที่สุดโดยลืมคิดถึงความต้องการที่แท้จริงของเราและ นี่คือที่มาของความเครียดและปัญหาทั้งหลายในชีวิต "
 
" ความจริงวันนี้สิ่ง ที่พวกเราต้องการแท้จริงคือกาแฟ ไม่ใช่ถ้วยกาแฟ แต่จิตสำนึกกลับ นำพาเราไปเลือกที่ถ้วย มิหนำซ้ำยังคอยชำเลืองมองถ้วยของคนอื่นๆ อีกด้วย
 
หากชีวิตคือกาแฟ หน้าที่การงาน ตำแหน่งต่างๆ ในสังคม ก็คือ ถ้วยกาแฟ มันเป็นเพียงเครื่องมือ อุปกรณ์ช่วยหยิบจับหรือประคองชีวิตของเรา มันไม่ได้ทำให้เนื้อหาจริงๆ ของชีวิต เปลี่ยนไป บางครั้ง....การมัวเพ่งที่ถ้วยใส่กาแฟ มันก็จะทำให้เราลืมใส่ใจกับรสชาติของตัวกาแฟ "
 
" ถ้ารู้จักชีวิตที่แท้จริง....ของหรือตำแหน่งหน้าที่ มันก็แค่ส่วนเคลือบ ไม่ใช่เนื้อหาหรือแก่นแท้ที่สำคัญของชีวิต"


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: khesorn mueller ที่ 14 มกราคม 2551, 14:52:20
Nong,
this text was too late...I used to read it from room 43!!
nice to read it again...
visit room 43 you'll see what a professional means!
they are a sien nian folk...
p.head of


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 16 มกราคม 2551, 07:48:00
เมื่อนักการเงิน ร่ำสุราก็เอ่ยคำว่า

"ให้มีเงินพอซื้อเบียร์กินได้ ก็อย่าเป็นหนี้เพื่อซื้อแชมเปญ"


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 17 มกราคม 2551, 08:05:51
คุณบัณฑูรตั้งชื่อเรื่องว่า “ใจ..เอ๋ย..ใจ” โดยขึ้นต้นว่า “จิตของมนุษย์เป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญที่สุดที่จะนำพาชีวิตของมนุษย์นั้นไปสู่ความเจริญก้าวหน้า หรือไปสู่ความเสื่อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวหรือเรื่องธุรกิจการงาน...”

คุณบัณฑูรเขียนเตือนว่า “สิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่ควรละเลยที่จะทำคือ การจัดการกับจิต ของตนเอง เพราะคุณลักษณะของจิตนั้นเอง จะกำกับให้มนุษย์ทำอะไร ออกไปหรือลงไป ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีบ้างและผลเลวบ้าง

มนุษย์ทั้งหลายล้วนอยากจะทำให้ได้ผลดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นทุกครั้งไปไม่ ก็เพราะจิตของตนเองนั้น ยิ่งกว่าปัจจัยอื่นใด...”

คุณบัณฑูรแนะนำว่า “การจัดการกับจิตใจให้ได้ประสิทธิผลนั้น มีข้อสังเกตพึงคำนึง 2 ข้อคือ

1. จิตที่ไม่เข้มแข็งนั้น ไม่สามารถนำพามนุษย์ไปสู่การกระทำที่เป็นผลสำเร็จได้เลย จิตที่เข้มแข็งนั้นจะต้องมีความแน่วแน่ชัดเจน มีความเพียร ไม่ย่อท้อ และมี ความมั่นใจ แทนที่จะวอกแวก อยู่ในความโลเล ความกังขา หรือความกลัว กันไม่จบสิ้น

กิจอันมีความหมายทั้งหลายของมนุษย์นั้น ล้วนยากเย็น การที่จะฟันฝ่าไปให้บรรลุถึงเป้าหมาย นั้น ย่อมจะต้องได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง จากจิตที่ได้พัฒนาให้เข้มแข็งแล้วนั้น

2. อย่างไรก็ดี จิตที่เข้มแข็งนั้น ก็อาจจะเป็นอันตรายมหันต์ต่อจิต และผู้เป็นเจ้าของจิตเอง หากจิตนั้นถูกครอบงำด้วย โทสะจริต (ความโกรธ) โลภะจริต (ความอยากได้) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โมหะจริต (ความหลง) และครอบงำในดีกรีที่เลยเถิดเกินไป (เพราะจริงๆแล้ว จิตของทุกคนก็ถูกครอบงำด้วยจริต ทั้งสามนี้ในบางดีกรีด้วยกันทั้งนั้น)

จากคุณบันฑูร ล่ำซำ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 17 มกราคม 2551, 08:15:14
แยะจัง เมื่อยตา

ป้าหมีสรุปให้ละกันนะหลานรัก

"สติมาปัญญาเกิด" ค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 17 มกราคม 2551, 08:33:05
^
ฮิฮิ ขำหมีตอบจัง สรุปได้เยี่ยมไปเลยไอ้น้เอง ไม่กี่คำเอง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: newstar ที่ 17 มกราคม 2551, 10:51:20
ป้อม ขออนุญาตแก้ไขนามสกุลของ คุณอดิเรก แห่ง CPF ครับ นามสกุล ศรีประทักษ์ ไม่ใช่ ศรีปทุมรักษ์ ครับ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 17 มกราคม 2551, 11:03:41
อ้างจาก: "newstar"
ป้อม ขออนุญาตแก้ไขนามสกุลของ คุณอดิเรก แห่ง CPF ครับ นามสกุล ศรีประทักษ์ ไม่ใช่ ศรีปทุมรักษ์ ครับ


พอดีวางยาไว้รอให้ อดิเรก การีโรจน์ มาแก้ แต่มันไม่มาสงสัยมันฝากเพื่อนมา


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 17 มกราคม 2551, 11:14:42
พี่หนิงเคยถาม มาแล้วคุณใหญ่ตอบ ป้อมเสริม


การใช้สื่อของวิกรมนั้น ผมไม่ได้พูดถึงประเด็นสำคัญ นั่นคือหนังสือประวัติชีวิตเล่มแรกของเขา หนังสือเล่มนั้นคือ “ผมจะเป็นคนดี”

ครั้งแรกที่ผมได้สัมภาษณ์วิกรมเมื่อประมาณกลางปี 2547 นั้น ผมไม่ได้เคยพบเขามาก่อน ความรู้เกี่ยวกับตัวเขาค่อนข้างน้อย ตอนนั้นเขายังไม่โด่งดังเป็นพลุแตกเฉกเช่นทุกวันนี้

เขาเพิ่งสึกไม่นาน หลังจากบวชอยู่กี่เดือนผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน

ก่อนวันที่สัมภาษณ์ ผมได้อ่านหนังสืออัตชีวประวัติฉบับแรกของเขาที่ชื่อ “ผมจะเป็นคนดี”

หนังสือเล่มนี้เป็น autobiography ที่แปลกที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมา เพราะเปิดฉากมาก็เป็นบทที่ว่าด้ายเขาบึ่งรถกลับบ้านที่เมืองกาญจน์เพื่อเปิดศึกกับพ่อ ถึงขนาดเอาเป็นเอาตายทีเดียว

เรื่องราวแบบนี้ ฝรั่งเรียกว่า “โครงกระดูกในตู้” หมายความว่าเป็นเรื่องลับในครอบครัวที่เก็บเอาไว้ไม่เล่าให้ฟัง

ผมใช้คำว่า “เล่า” หมายถึงการพูดโดยผ่านปากให้บุคคลที่ 3 ฟัง ซึ่งขนาดเล่าก็ไม่ทำกันแล้ว อย่าว่าจะเขียนให้คนทั้งประเทศอ่าน

หนังสือเล่มนี้เกือบครึ่งเล่ม เขียนถึงความขัดแย้งและปมในใจที่เขามีต่อพ่อ ซึ่งผมคิดว่าน้อยคนจะกล้าเขียนออกมาแบบถึงกึ๋นขนาดนี้ เพราะในสังคมไทยจะถือกัน ทำให้ผมแปลกใจมากๆ เพราะวิกรม ในสายตาของผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์เอามากๆ ข่าวไม่ดีของเขาไม่ค่อยหลุดออกมา แล้วทำไม จู่ๆถึงได้เขียนหนังสือออกมาได้ เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้หลายคนเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนพีอาร์ทั้งหลายที่เอาคงร้องเสียงหลง

“ผมจะเป็นคนดี” สร้างปรากฏการณ์การเขียนประวัติชีวิตตนเอง ที่เอาความจริงมาตีแผ่ ไม่ใช่เขียนเอง เออเอง มีแต่ความดีทุกกระเบียดนิ้ว เพราะมนุษย์ทุกผู้นาม ไม่ดีใครดีหมดและชั่วหมดอยู่แล้ว

“ผมจะเป็นคนดี” ได้ Branding วิกรมว่าเขาเป็นผู้ประกอบการที่กล้าพูดความจริง เพราะขนาดเรื่องที่คนทั่วๆไปไม่กล้าพูดถึงมากที่สุด เขายังนำมาเปิดฉากหนังสือหน้าแรกของเขานั้น ทำให้ผู้อ่านต้องคิดว่าเขาเป็นคนเปิดเผย มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ คนที่เคยคุยกับเขา “นอกรอบ” จะรู้ดีว่าเขาเป็นคน “ตรงมาก”

ประวัติชีวิตเล่มแรกของเขาเรียบเรียงโดย ประภัสสร เสวิกุล นักเขียนรางวัลซีไรท์ ซึ่งคุ้นเคยกับชีวิตเจ้าสัวไทยเป็นอย่างดี เพราะเขาคือผู้เขียนนิยายเรื่อง “ลอดลายมังกร” ซึ่งว่ากันว่าเป็นการนำเอาชีวิตของนายห้างเทียมกับนายห้างชินมาผสมกัน

ดังนั้นต้องถือว่าวิกรมพิถีพิถันและเลือกถูกคน

“ผมจะเป็นคนดี” เล่มแรกทำเป็นพ็อกเก็ตบุ้กส์ขนาดมาตรฐาน ขาย 200 กว่าบาท ขายดีมาก วิกรมกันไว้แจกหลายพันเล่ม แจกให้คนหนุ่มๆที่ผิดพลาดในชีวิตจนต้องติดคุกติดตะราง

“ผมอยากจะสร้างลายแทงชีวิตให้กับคนที่กำลังเดินอยู่ พวกหนุ่มๆ ทั้งหลาย อยากให้เซฟเวลา ในการที่พวกเขาต้องเดินให้มันเซฟ ลดต้นทุนชีวิต เมื่อลดต้นทุนชีวิตได้ สังคมก็จะเข้มแข็ง เพราะว่าไม่ไปเสียโดยใช่เหตุ

อันที่สอง ผมอยากให้ความผิดพลาดของเขาน้อย เพราะการที่เขาผิดพลาดยิ่งน้อย ปัญหาของสังคมก็ยิ่งต่ำ อันนั้นคือประเด็นที่ผมนั้นตอนเด็กๆ เราอยากจะได้ในสิ่งที่เรากำลังจะให้ เพราะตอนนั้นเราไม่มี ตอนที่ไม่มีเราโหยหา เราต้องการ เรารู้คุณค่าของมัน แต่เมื่อเรามี เราต้องมาผลิต เราต้องมาถ่ายทอด เราต้องมาส่งต่อ เพราะเราถือว่านี่คือหน้าที่”

“ผมจะเป็นคนดี” ฉบับสมบูรณ์ยังไม่พิมพ์ แต่ทยอยตีพิมพ์ตามหนังสือพิมพ์และนิตยสารบางเล่ม

วิกรมวางแผนจะออกหนังสือปีละ 3 เล่ม ตอนนี้ออกได้ 4-5 เล่มได้แล้ว

เล่มสุดท้ายของเขาวางพล็อตเอาไว้แล้ว

“ ผมก็ตั้งชื่อเรื่องไว้แล้ว “เมื่อวันนั้นมาถึง” ผมจะเขียนต่อเมื่อผมนั่งอยู่บนเตียงแล้ว ผมจะหยิบปากกาเขียน ปากกาเล่มนั้นจะเขียนหมึกหยดสุดท้ายจะไปหยดจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย

ผมอยากจะบอกคนในโลกนี้ที่ยังหายใจอยู่ให้รู้ว่านี่คือวันของมัน และก่อนที่จะไปถึงวันของมันในช่วงนั้น ตาแก่คนหนึ่งจะเจออะไร มีความนึกคิดอะไรที่กำลังจะเดินไปข้างหน้า ผมรู้สึกอะไรตอนนั้น ผมมองเห็นอะไรตอนนั้น และคิดอะไรตอนนั้น
และอยากจะบอกอะไรตอนนั้น ผมจะบอกออกมาเป็นหนังสือเล่มนั้นให้หมดเลย เล่มสุดท้าย”

คัดลอกจาก FM 96.5
หาอ่านเพิ่มได้ใน http://thaicoon.wordpress.com/

ป้อม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 17 มกราคม 2551, 11:25:54
ยาวจัง  ไว้มีเวลามากกว่านี้ จะมาสรุปประเด็นให้นะ

อ่าน ม่าย หวาย ย ย ย  ตัวมันเล็กน่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 17 มกราคม 2551, 12:33:57
รออ่านสรุปจากหมีดีกั่ว


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 17 มกราคม 2551, 12:41:34
นุ้ย แก่แล้วใช้ศัพท์ วัยรุ่น น๊ะคุณ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 17 มกราคม 2551, 13:42:25
อ้างจาก: "wirat"
พี่หนิงเคยถาม มาแล้วคุณใหญ่ตอบ ป้อมเสริม


การใช้สื่อของวิกรมนั้น ผมไม่ได้พูดถึงประเด็นสำคัญ นั่นคือหนังสือประวัติชีวิตเล่มแรกของเขา หนังสือเล่มนั้นคือ “ผมจะเป็นคนดี”

ครั้งแรกที่ผมได้สัมภาษณ์วิกรมเมื่อประมาณกลางปี 2547 นั้น ผมไม่ได้เคยพบเขามาก่อน ความรู้เกี่ยวกับตัวเขาค่อนข้างน้อย ตอนนั้นเขายังไม่โด่งดังเป็นพลุแตกเฉกเช่นทุกวันนี้

เขาเพิ่งสึกไม่นาน หลังจากบวชอยู่กี่เดือนผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน

ก่อนวันที่สัมภาษณ์ ผมได้อ่านหนังสืออัตชีวประวัติฉบับแรกของเขาที่ชื่อ “ผมจะเป็นคนดี”

หนังสือเล่มนี้เป็น autobiography ที่แปลกที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมา เพราะเปิดฉากมาก็เป็นบทที่ว่าด้ายเขาบึ่งรถกลับบ้านที่เมืองกาญจน์เพื่อเปิดศึกกับพ่อ ถึงขนาดเอาเป็นเอาตายทีเดียว

เรื่องราวแบบนี้ ฝรั่งเรียกว่า “โครงกระดูกในตู้” หมายความว่าเป็นเรื่องลับในครอบครัวที่เก็บเอาไว้ไม่เล่าให้ฟัง

ผมใช้คำว่า “เล่า” หมายถึงการพูดโดยผ่านปากให้บุคคลที่ 3 ฟัง ซึ่งขนาดเล่าก็ไม่ทำกันแล้ว อย่าว่าจะเขียนให้คนทั้งประเทศอ่าน

หนังสือเล่มนี้เกือบครึ่งเล่ม เขียนถึงความขัดแย้งและปมในใจที่เขามีต่อพ่อ ซึ่งผมคิดว่าน้อยคนจะกล้าเขียนออกมาแบบถึงกึ๋นขนาดนี้ เพราะในสังคมไทยจะถือกัน ทำให้ผมแปลกใจมากๆ เพราะวิกรม ในสายตาของผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์เอามากๆ ข่าวไม่ดีของเขาไม่ค่อยหลุดออกมา แล้วทำไม จู่ๆถึงได้เขียนหนังสือออกมาได้ เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้หลายคนเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนพีอาร์ทั้งหลายที่เอาคงร้องเสียงหลง

“ผมจะเป็นคนดี” สร้างปรากฏการณ์การเขียนประวัติชีวิตตนเอง ที่เอาความจริงมาตีแผ่ ไม่ใช่เขียนเอง เออเอง มีแต่ความดีทุกกระเบียดนิ้ว เพราะมนุษย์ทุกผู้นาม ไม่ดีใครดีหมดและชั่วหมดอยู่แล้ว

“ผมจะเป็นคนดี” ได้ Branding วิกรมว่าเขาเป็นผู้ประกอบการที่กล้าพูดความจริง เพราะขนาดเรื่องที่คนทั่วๆไปไม่กล้าพูดถึงมากที่สุด เขายังนำมาเปิดฉากหนังสือหน้าแรกของเขานั้น ทำให้ผู้อ่านต้องคิดว่าเขาเป็นคนเปิดเผย มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ คนที่เคยคุยกับเขา “นอกรอบ” จะรู้ดีว่าเขาเป็นคน “ตรงมาก”

ประวัติชีวิตเล่มแรกของเขาเรียบเรียงโดย ประภัสสร เสวิกุล นักเขียนรางวัลซีไรท์ ซึ่งคุ้นเคยกับชีวิตเจ้าสัวไทยเป็นอย่างดี เพราะเขาคือผู้เขียนนิยายเรื่อง “ลอดลายมังกร” ซึ่งว่ากันว่าเป็นการนำเอาชีวิตของนายห้างเทียมกับนายห้างชินมาผสมกัน

ดังนั้นต้องถือว่าวิกรมพิถีพิถันและเลือกถูกคน

“ผมจะเป็นคนดี” เล่มแรกทำเป็นพ็อกเก็ตบุ้กส์ขนาดมาตรฐาน ขาย 200 กว่าบาท ขายดีมาก วิกรมกันไว้แจกหลายพันเล่ม แจกให้คนหนุ่มๆที่ผิดพลาดในชีวิตจนต้องติดคุกติดตะราง

“ผมอยากจะสร้างลายแทงชีวิตให้กับคนที่กำลังเดินอยู่ พวกหนุ่มๆ ทั้งหลาย อยากให้เซฟเวลา ในการที่พวกเขาต้องเดินให้มันเซฟ ลดต้นทุนชีวิต เมื่อลดต้นทุนชีวิตได้ สังคมก็จะเข้มแข็ง เพราะว่าไม่ไปเสียโดยใช่เหตุ

อันที่สอง ผมอยากให้ความผิดพลาดของเขาน้อย เพราะการที่เขาผิดพลาดยิ่งน้อย ปัญหาของสังคมก็ยิ่งต่ำ อันนั้นคือประเด็นที่ผมนั้นตอนเด็กๆ เราอยากจะได้ในสิ่งที่เรากำลังจะให้ เพราะตอนนั้นเราไม่มี ตอนที่ไม่มีเราโหยหา เราต้องการ เรารู้คุณค่าของมัน แต่เมื่อเรามี เราต้องมาผลิต เราต้องมาถ่ายทอด เราต้องมาส่งต่อ เพราะเราถือว่านี่คือหน้าที่”

“ผมจะเป็นคนดี” ฉบับสมบูรณ์ยังไม่พิมพ์ แต่ทยอยตีพิมพ์ตามหนังสือพิมพ์และนิตยสารบางเล่ม

วิกรมวางแผนจะออกหนังสือปีละ 3 เล่ม ตอนนี้ออกได้ 4-5 เล่มได้แล้ว

เล่มสุดท้ายของเขาวางพล็อตเอาไว้แล้ว

“ ผมก็ตั้งชื่อเรื่องไว้แล้ว “เมื่อวันนั้นมาถึง” ผมจะเขียนต่อเมื่อผมนั่งอยู่บนเตียงแล้ว ผมจะหยิบปากกาเขียน ปากกาเล่มนั้นจะเขียนหมึกหยดสุดท้ายจะไปหยดจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย

ผมอยากจะบอกคนในโลกนี้ที่ยังหายใจอยู่ให้รู้ว่านี่คือวันของมัน และก่อนที่จะไปถึงวันของมันในช่วงนั้น ตาแก่คนหนึ่งจะเจออะไร มีความนึกคิดอะไรที่กำลังจะเดินไปข้างหน้า ผมรู้สึกอะไรตอนนั้น ผมมองเห็นอะไรตอนนั้น และคิดอะไรตอนนั้น
และอยากจะบอกอะไรตอนนั้น ผมจะบอกออกมาเป็นหนังสือเล่มนั้นให้หมดเลย เล่มสุดท้าย”

คัดลอกจาก FM 96.5
หาอ่านเพิ่มได้ใน http://thaicoon.wordpress.com/

ป้อม


ไม่ใช่วะ ผมถึงงง ตอนที่เป้เขียนว่าผมจะเป็นคนดีหรือเปล่า
นึกว่าแซว
เล่มที่ผมอ่านมันเล่มละ 100 บาท
แต่จำชื่อไม่ได้ชัด ประมาณว่า ชีวิตวัยเยาว์ อะไรประมาณนั้น
ประภัสสร   เสวิกุล ช่วยเรียบเรียงให้
แล้วมีใครมาเขียนคำนำให้อีกคน
เดี๋ยวกลับไปอ่านแล้วมาโพสต์ใหม่


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: iamfrommoon ที่ 17 มกราคม 2551, 16:36:29
อ้างจาก: "wirat"
คุณบัณฑูรตั้งชื่อเรื่องว่า “ใจ..เอ๋ย..ใจ” โดยขึ้นต้นว่า “จิตของมนุษย์เป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญที่สุดที่จะนำพาชีวิตของมนุษย์นั้นไปสู่ความเจริญก้าวหน้า หรือไปสู่ความเสื่อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวหรือเรื่องธุรกิจการงาน...”

คุณบัณฑูรเขียนเตือนว่า “สิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่ควรละเลยที่จะทำคือ การจัดการกับจิต ของตนเอง เพราะคุณลักษณะของจิตนั้นเอง จะกำกับให้มนุษย์ทำอะไร ออกไปหรือลงไป ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีบ้างและผลเลวบ้าง

มนุษย์ทั้งหลายล้วนอยากจะทำให้ได้ผลดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นทุกครั้งไปไม่ ก็เพราะจิตของตนเองนั้น ยิ่งกว่าปัจจัยอื่นใด...”

คุณบัณฑูรแนะนำว่า “การจัดการกับจิตใจให้ได้ประสิทธิผลนั้น มีข้อสังเกตพึงคำนึง 2 ข้อคือ

1. จิตที่ไม่เข้มแข็งนั้น ไม่สามารถนำพามนุษย์ไปสู่การกระทำที่เป็นผลสำเร็จได้เลย จิตที่เข้มแข็งนั้นจะต้องมีความแน่วแน่ชัดเจน มีความเพียร ไม่ย่อท้อ และมี ความมั่นใจ แทนที่จะวอกแวก อยู่ในความโลเล ความกังขา หรือความกลัว กันไม่จบสิ้น

กิจอันมีความหมายทั้งหลายของมนุษย์นั้น ล้วนยากเย็น การที่จะฟันฝ่าไปให้บรรลุถึงเป้าหมาย นั้น ย่อมจะต้องได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง จากจิตที่ได้พัฒนาให้เข้มแข็งแล้วนั้น

2. อย่างไรก็ดี จิตที่เข้มแข็งนั้น ก็อาจจะเป็นอันตรายมหันต์ต่อจิต และผู้เป็นเจ้าของจิตเอง หากจิตนั้นถูกครอบงำด้วย โทสะจริต (ความโกรธ) โลภะจริต (ความอยากได้) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โมหะจริต (ความหลง) และครอบงำในดีกรีที่เลยเถิดเกินไป (เพราะจริงๆแล้ว จิตของทุกคนก็ถูกครอบงำด้วยจริต ทั้งสามนี้ในบางดีกรีด้วยกันทั้งนั้น)

จากคุณบันฑูร ล่ำซำ


จะพยายามทำ...จิตที่เข้มแข็ง บางทีมีอะไรนิดหน่อยมากวนใจ จิตก็อ่อนแอลง...สู้เว้ย! ขอบคุณนะคะที่นำข้อคิดดีๆ มาแชร์   :D


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 17 มกราคม 2551, 16:45:17
อ้างจาก: "iamfrommoon"
อ้างจาก: "wirat"
คุณบัณฑูรตั้งชื่อเรื่องว่า “ใจ..เอ๋ย..ใจ” โดยขึ้นต้นว่า “จิตของมนุษย์เป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญที่สุดที่จะนำพาชีวิตของมนุษย์นั้นไปสู่ความเจริญก้าวหน้า หรือไปสู่ความเสื่อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวหรือเรื่องธุรกิจการงาน...”

คุณบัณฑูรเขียนเตือนว่า “สิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่ควรละเลยที่จะทำคือ การจัดการกับจิต ของตนเอง เพราะคุณลักษณะของจิตนั้นเอง จะกำกับให้มนุษย์ทำอะไร ออกไปหรือลงไป ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีบ้างและผลเลวบ้าง

มนุษย์ทั้งหลายล้วนอยากจะทำให้ได้ผลดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นทุกครั้งไปไม่ ก็เพราะจิตของตนเองนั้น ยิ่งกว่าปัจจัยอื่นใด...”

คุณบัณฑูรแนะนำว่า “การจัดการกับจิตใจให้ได้ประสิทธิผลนั้น มีข้อสังเกตพึงคำนึง 2 ข้อคือ

1. จิตที่ไม่เข้มแข็งนั้น ไม่สามารถนำพามนุษย์ไปสู่การกระทำที่เป็นผลสำเร็จได้เลย จิตที่เข้มแข็งนั้นจะต้องมีความแน่วแน่ชัดเจน มีความเพียร ไม่ย่อท้อ และมี ความมั่นใจ แทนที่จะวอกแวก อยู่ในความโลเล ความกังขา หรือความกลัว กันไม่จบสิ้น

กิจอันมีความหมายทั้งหลายของมนุษย์นั้น ล้วนยากเย็น การที่จะฟันฝ่าไปให้บรรลุถึงเป้าหมาย นั้น ย่อมจะต้องได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง จากจิตที่ได้พัฒนาให้เข้มแข็งแล้วนั้น

2. อย่างไรก็ดี จิตที่เข้มแข็งนั้น ก็อาจจะเป็นอันตรายมหันต์ต่อจิต และผู้เป็นเจ้าของจิตเอง หากจิตนั้นถูกครอบงำด้วย โทสะจริต (ความโกรธ) โลภะจริต (ความอยากได้) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โมหะจริต (ความหลง) และครอบงำในดีกรีที่เลยเถิดเกินไป (เพราะจริงๆแล้ว จิตของทุกคนก็ถูกครอบงำด้วยจริต ทั้งสามนี้ในบางดีกรีด้วยกันทั้งนั้น)

จากคุณบันฑูร ล่ำซำ


จะพยายามทำ...จิตที่เข้มแข็ง บางทีมีอะไรนิดหน่อยมากวนใจ จิตก็อ่อนแอลง...สู้เว้ย! ขอบคุณนะคะที่นำข้อคิดดีๆ มาแชร์   :D


ความรักหรือเปล่า
ตกลง ความรักดีไหมเนี่ยะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 17 มกราคม 2551, 18:19:24
เคล็ดลับของผู้ยิ่งใหญ่

จงอยู่เบื้องหลังและเก็บเนื้อเก็บตัว


มนุษย์ในโลกตะวันตกเชื่อเรื่องการสร้างชื่อ การสร้างแบรนด์ การทำตัวให้โดดเด่น
ส่งผลให้ฝรั่งชอบทำตัวเป็นคนดัง เปิดเผยตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ในสาขาวิชาชีพใดก็ตาม ในระยะหลังซีอีโอและเจ้าของกิจการก็เกือบจะกลายเป็นดาราไปแล้ว เพียงแต่เวทีของพวกเขาก็คือหนังสือพิมพ์ นิตยสารและทีวี ที่นำเสนอเรื่องราวทางธุรกิจ
ขณะที่นักธุรกิจจีนรุ่นลายครามจะมีแนวความคิดตรงกันข้าม นั่นคือจะเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่โชว์ออฟ ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์สื่อทุกชนิดทั้งที่ธุรกิจของพวกเขาต้องเกี่ยวข้องกับมวลชนส่วนใหญ่ของประเทศ
Tycoon ระดับมังกรยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาทำตัวราวกับมังกรจำศีล น้อยครั้งนักจะให้สัมภาษณ์
ธนินท์ เจียรวนนท์ มังกรในมังกร นานๆครั้งจะให้สัมภาษณ์สักครั้ง หลังวิกฤตพบสื่อถี่หน่อย ทว่าให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการเพียงปีละครั้ง
พวกเขาถือคติตามคัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง(บทที่ 56) ว่า
ผู้รู้ ไม่พูด…
ผู้พูด ไม่รู้…
สะกดความรู้สึก…
ปิดใจ…
ซ่อนคม…
งำประกาย…
คลุกดิน…
เจริญ เจริญรอยตามคำภีร์เต๋า เต็ก เก็ง ซึ่งถือเป็นคัมภีร์มังกร ด้วยเช่นกัน
อย่าว่าแต่จะการนัดสัมภาษณ์ กระทั่งการปรากฏตัวต่อสาธารณชนก็นับครั้งได้
เขาบำเพ็ญตนเป็นมังกรซ่อนกาย
ดำเนินการอยู่เบื้องหลัง
เน้นประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากกว่าอยากดัง
อย่างไรก็ตามระยะหลังเขาปรากฏกายบนเวทีเสวนามากขึ้นพร้อมๆกับธนินท์และบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ซึ่งอาจเป็นเพราะได้รับการร้องขอจากผู้ใหญ่
เจริญถึงกับควงลูกและภรรยามางานซีอีโอที่ตลาดหลักทรัพย์จัดขึ้น
เมื่อธุรกิจบริษัทเบียร์ช้างของเขากำลังจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เขาต้องโปร่งใสและเปิดกับสาธารณชนมากยิ่งขึ้น
ทว่าเจริญก็ยังเป็นเจริญคนเดิม
มังกรซ่อนกาย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Tritti_83 ที่ 17 มกราคม 2551, 18:24:43
รบกวนถามพี่ๆหน่อยครับตอนนี้สับสนระหว่างคำว่าประสิทธิผลกับประสิทธิภาพว่าต่างกันยังไงครับ...


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 17 มกราคม 2551, 18:38:07
ถ้าพี่มั่วไม่ผิดน๊ะ

ประสิทธิผล เป็น Out come เน้นผลสำเร็จ
ประสิทธิภาพ เป็น Efficiency เน้นที่แต่ละกระบวนการ

ตอนนี้ พี่ อยู่ฝ่าย ขาย เลยห่างไปมาก น้องรอ พรุ่งนี้ พี่ใหญ่ ยัง อยู่โรงงาน จะบอกเขามาบอก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 17 มกราคม 2551, 18:52:00
บู หมี เก่งจังเลย  พี่นุ้ยขอปรบมือให้ :idea:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 17 มกราคม 2551, 18:53:54
เก่งอะไร งง งง  :shock:  :shock:  :shock:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 17 มกราคม 2551, 18:57:15
อ้างจาก: "akenui"
บู หมี เก่งจังเลย  พี่นุ้ยขอปรบมือให้ :idea:


ข้าน้อยมิบังอาจ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 17 มกราคม 2551, 19:00:36
อ้าว ลบ ทำไมอะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 17 มกราคม 2551, 19:01:19
เถ้าแก่

แล้วมีใครเห็นข้อความบ้างหรือเปล่า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 17 มกราคม 2551, 19:07:19
ไม่รู้สิ คิดว่าไม่มีนะ มั่นใจ 95%


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: newstar ที่ 17 มกราคม 2551, 19:27:15
อ้างจาก: "akenui"
ไม่รู้สิ คิดว่าไม่มีนะ มั่นใจ 95%



สองคนคุยอะไรกันครับ บอกหน่อยซิ



คนอยากรู้อยากเห็น


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 17 มกราคม 2551, 19:53:44
ใช่ งง...
อินโด มุง อยากรู้บ้าง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: khesorn mueller ที่ 17 มกราคม 2551, 20:06:14
อ้างจาก: "wirat"
เมื่อนักการเงิน ร่ำสุราก็เอ่ยคำว่า

"ให้มีเงินพอซื้อเบียร์กินได้ ก็อย่าเป็นหนี้เพื่อซื้อแชมเปญ"


start with the money in your pocket??not a credit by the bank??
let me drink beer and think about that!!
p.nn


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 17 มกราคม 2551, 22:11:36
อ้างจาก: "yai"
อ้างจาก: "wirat"
พี่หนิงเคยถาม มาแล้วคุณใหญ่ตอบ ป้อมเสริม


การใช้สื่อของวิกรมนั้น ผมไม่ได้พูดถึงประเด็นสำคัญ นั่นคือหนังสือประวัติชีวิตเล่มแรกของเขา หนังสือเล่มนั้นคือ “ผมจะเป็นคนดี”

ครั้งแรกที่ผมได้สัมภาษณ์วิกรมเมื่อประมาณกลางปี 2547 นั้น ผมไม่ได้เคยพบเขามาก่อน ความรู้เกี่ยวกับตัวเขาค่อนข้างน้อย ตอนนั้นเขายังไม่โด่งดังเป็นพลุแตกเฉกเช่นทุกวันนี้

เขาเพิ่งสึกไม่นาน หลังจากบวชอยู่กี่เดือนผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน

ก่อนวันที่สัมภาษณ์ ผมได้อ่านหนังสืออัตชีวประวัติฉบับแรกของเขาที่ชื่อ “ผมจะเป็นคนดี”

หนังสือเล่มนี้เป็น autobiography ที่แปลกที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมา เพราะเปิดฉากมาก็เป็นบทที่ว่าด้ายเขาบึ่งรถกลับบ้านที่เมืองกาญจน์เพื่อเปิดศึกกับพ่อ ถึงขนาดเอาเป็นเอาตายทีเดียว

เรื่องราวแบบนี้ ฝรั่งเรียกว่า “โครงกระดูกในตู้” หมายความว่าเป็นเรื่องลับในครอบครัวที่เก็บเอาไว้ไม่เล่าให้ฟัง

ผมใช้คำว่า “เล่า” หมายถึงการพูดโดยผ่านปากให้บุคคลที่ 3 ฟัง ซึ่งขนาดเล่าก็ไม่ทำกันแล้ว อย่าว่าจะเขียนให้คนทั้งประเทศอ่าน

หนังสือเล่มนี้เกือบครึ่งเล่ม เขียนถึงความขัดแย้งและปมในใจที่เขามีต่อพ่อ ซึ่งผมคิดว่าน้อยคนจะกล้าเขียนออกมาแบบถึงกึ๋นขนาดนี้ เพราะในสังคมไทยจะถือกัน ทำให้ผมแปลกใจมากๆ เพราะวิกรม ในสายตาของผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์เอามากๆ ข่าวไม่ดีของเขาไม่ค่อยหลุดออกมา แล้วทำไม จู่ๆถึงได้เขียนหนังสือออกมาได้ เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้หลายคนเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนพีอาร์ทั้งหลายที่เอาคงร้องเสียงหลง

“ผมจะเป็นคนดี” สร้างปรากฏการณ์การเขียนประวัติชีวิตตนเอง ที่เอาความจริงมาตีแผ่ ไม่ใช่เขียนเอง เออเอง มีแต่ความดีทุกกระเบียดนิ้ว เพราะมนุษย์ทุกผู้นาม ไม่ดีใครดีหมดและชั่วหมดอยู่แล้ว

“ผมจะเป็นคนดี” ได้ Branding วิกรมว่าเขาเป็นผู้ประกอบการที่กล้าพูดความจริง เพราะขนาดเรื่องที่คนทั่วๆไปไม่กล้าพูดถึงมากที่สุด เขายังนำมาเปิดฉากหนังสือหน้าแรกของเขานั้น ทำให้ผู้อ่านต้องคิดว่าเขาเป็นคนเปิดเผย มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ คนที่เคยคุยกับเขา “นอกรอบ” จะรู้ดีว่าเขาเป็นคน “ตรงมาก”

ประวัติชีวิตเล่มแรกของเขาเรียบเรียงโดย ประภัสสร เสวิกุล นักเขียนรางวัลซีไรท์ ซึ่งคุ้นเคยกับชีวิตเจ้าสัวไทยเป็นอย่างดี เพราะเขาคือผู้เขียนนิยายเรื่อง “ลอดลายมังกร” ซึ่งว่ากันว่าเป็นการนำเอาชีวิตของนายห้างเทียมกับนายห้างชินมาผสมกัน

ดังนั้นต้องถือว่าวิกรมพิถีพิถันและเลือกถูกคน

“ผมจะเป็นคนดี” เล่มแรกทำเป็นพ็อกเก็ตบุ้กส์ขนาดมาตรฐาน ขาย 200 กว่าบาท ขายดีมาก วิกรมกันไว้แจกหลายพันเล่ม แจกให้คนหนุ่มๆที่ผิดพลาดในชีวิตจนต้องติดคุกติดตะราง

“ผมอยากจะสร้างลายแทงชีวิตให้กับคนที่กำลังเดินอยู่ พวกหนุ่มๆ ทั้งหลาย อยากให้เซฟเวลา ในการที่พวกเขาต้องเดินให้มันเซฟ ลดต้นทุนชีวิต เมื่อลดต้นทุนชีวิตได้ สังคมก็จะเข้มแข็ง เพราะว่าไม่ไปเสียโดยใช่เหตุ

อันที่สอง ผมอยากให้ความผิดพลาดของเขาน้อย เพราะการที่เขาผิดพลาดยิ่งน้อย ปัญหาของสังคมก็ยิ่งต่ำ อันนั้นคือประเด็นที่ผมนั้นตอนเด็กๆ เราอยากจะได้ในสิ่งที่เรากำลังจะให้ เพราะตอนนั้นเราไม่มี ตอนที่ไม่มีเราโหยหา เราต้องการ เรารู้คุณค่าของมัน แต่เมื่อเรามี เราต้องมาผลิต เราต้องมาถ่ายทอด เราต้องมาส่งต่อ เพราะเราถือว่านี่คือหน้าที่”

“ผมจะเป็นคนดี” ฉบับสมบูรณ์ยังไม่พิมพ์ แต่ทยอยตีพิมพ์ตามหนังสือพิมพ์และนิตยสารบางเล่ม

วิกรมวางแผนจะออกหนังสือปีละ 3 เล่ม ตอนนี้ออกได้ 4-5 เล่มได้แล้ว

เล่มสุดท้ายของเขาวางพล็อตเอาไว้แล้ว

“ ผมก็ตั้งชื่อเรื่องไว้แล้ว “เมื่อวันนั้นมาถึง” ผมจะเขียนต่อเมื่อผมนั่งอยู่บนเตียงแล้ว ผมจะหยิบปากกาเขียน ปากกาเล่มนั้นจะเขียนหมึกหยดสุดท้ายจะไปหยดจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย

ผมอยากจะบอกคนในโลกนี้ที่ยังหายใจอยู่ให้รู้ว่านี่คือวันของมัน และก่อนที่จะไปถึงวันของมันในช่วงนั้น ตาแก่คนหนึ่งจะเจออะไร มีความนึกคิดอะไรที่กำลังจะเดินไปข้างหน้า ผมรู้สึกอะไรตอนนั้น ผมมองเห็นอะไรตอนนั้น และคิดอะไรตอนนั้น
และอยากจะบอกอะไรตอนนั้น ผมจะบอกออกมาเป็นหนังสือเล่มนั้นให้หมดเลย เล่มสุดท้าย”

คัดลอกจาก FM 96.5
หาอ่านเพิ่มได้ใน http://thaicoon.wordpress.com/

ป้อม


ไม่ใช่วะ ผมถึงงง ตอนที่เป้เขียนว่าผมจะเป็นคนดีหรือเปล่า
นึกว่าแซว
เล่มที่ผมอ่านมันเล่มละ 100 บาท
แต่จำชื่อไม่ได้ชัด ประมาณว่า ชีวิตวัยเยาว์ อะไรประมาณนั้น
ประภัสสร   เสวิกุล ช่วยเรียบเรียงให้
แล้วมีใครมาเขียนคำนำให้อีกคน
เดี๋ยวกลับไปอ่านแล้วมาโพสต์ใหม่


มาแก้ข่าว หนังสือชื่อ ผมจะเป็นคนดี ถูกแล้ว
เล่มละ 100 บาทถ้วน
ประภัสสร   เสวิกุล ช่วยเรียบเรียงและเขียนคำนำให้


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 17 มกราคม 2551, 22:18:24
อ้างจาก: "wirat"
ถ้าพี่มั่วไม่ผิดน๊ะ

ประสิทธิผล เป็น Out come เน้นผลสำเร็จ
ประสิทธิภาพ เป็น Efficiency เน้นที่แต่ละกระบวนการ

ตอนนี้ พี่ อยู่ฝ่าย ขาย เลยห่างไปมาก น้องรอ พรุ่งนี้ พี่ใหญ่ ยัง อยู่โรงงาน จะบอกเขามาบอก


น่าจะใกล้เคียงมากแล้ว
ขอเสริมนิดนึง เท่าที่อยู่ในหัว คือ ประสิทธิภาพต้องคิดที่ค่าหนึ่งของเวลา หรือ ค่าหนึ่งของresource ด้วย คือ outcome ที่ดี บางทีมันใช้เวลานาน หรือ resource มาก มันก็จะวัดอะไรมากไม่ได้

พี่ ๆ คนอื่นมีอะไรเพิ่มเติมได้นะครับ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 17 มกราคม 2551, 23:06:31
อ้างจาก: "yai"
อ้างจาก: "wirat"
ถ้าพี่มั่วไม่ผิดน๊ะ

ประสิทธิผล เป็น Out come เน้นผลสำเร็จ
ประสิทธิภาพ เป็น Efficiency เน้นที่แต่ละกระบวนการ

ตอนนี้ พี่ อยู่ฝ่าย ขาย เลยห่างไปมาก น้องรอ พรุ่งนี้ พี่ใหญ่ ยัง อยู่โรงงาน จะบอกเขามาบอก


น่าจะใกล้เคียงมากแล้ว
ขอเสริมนิดนึง เท่าที่อยู่ในหัว คือ ประสิทธิภาพต้องคิดที่ค่าหนึ่งของเวลา หรือ ค่าหนึ่งของresource ด้วย คือ outcome ที่ดี บางทีมันใช้เวลานาน หรือ resource มาก มันก็จะวัดอะไรมากไม่ได้

พี่ ๆ คนอื่นมีอะไรเพิ่มเติมได้นะครับ



น้องลองไปดูหนังสือ
Organizations Behavior structure &process อะไรนี้แหละค่ะ
ของ Gibson et al. (มีคนแต่ง 3 คนค่ะ) ที่หอกลางมี

จะอธิบาย สีแดง ได้ดีมาก

แล้วถ้าเป็นสีฟ้า ให้เพิ่มความคุ้มค่า คุ้มทุน ที่ลงทุนไปค่ะ

ขึ้นอยู่กับว่าจะมองในมิติไหน นะคะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 17 มกราคม 2551, 23:08:13
พอดีระลึกได้นะค่ะ อิ อิ

แล้วพี่ ๆ ท่านอื่นละคะ

เอาหน่อยช่วยเพิ่มยอด POST ค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 17 มกราคม 2551, 23:10:26
เอ้าขอเสริมอีกนิดนะคะน้องรัก

พี่ขอเรียนถามคืนว่า

น้องแค่อยากทราบเล็ก ๆ

หรือว่ากำลังทำรายงานหรือ thesis อยู่คะ

..จาก พี่หมี ถ้ามีโอกาสจะซ่อกแซกเสมอ (ขอยืมสำนวนนะคะพรรคพวก อิ อิ)


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 18 มกราคม 2551, 07:07:27
น้องนุ้ย สงสัยนิดสส์ ครับพี่ๆ แล้วประสิทธิผลที่ดี ก็ ต้องมาจากประสิทธ์ภาพที่ดีใช่เปล่าครับ ทำไมใช้คำว่าประสิทธิผลคำเดียวไปเลยหล่ะ   :lol:  


ไปหอ้งน้ำ จัดการะระส่วนตัวก่อน เด๋ว 8 โมง จลงมาเอาคำตอบนะ ท่านกูรู(กูรู้) ทั้งหลาย
//เสือนุ้ย//


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 07:20:28
อ้างจาก: "akenui"
น้องนุ้ย สงสัยนิดสส์ ครับพี่ๆ แล้วประสิทธิผลที่ดี ก็ ต้องมาจากประสิทธ์ภาพที่ดีใช่เปล่าครับ ทำไมใช้คำว่าประสิทธิผลคำเดียวไปเลยหล่ะ   :lol:  


ไปหอ้งน้ำ จัดการะระส่วนตัวก่อน เด๋ว 8 โมง จลงมาเอาคำตอบนะ ท่านกูรู(กูรู้) ทั้งหลาย
//เสือนุ้ย//


เถ้าแก่  


ทั้งไทยมุง อินโดมุง  เขาสงสัยว่าเราคุย...อา ราย ย ย ย  กัน

อิ อิ   ฟามลับเน๊อะ  :wink:  :wink:  :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 18 มกราคม 2551, 08:07:54
อืม เรารู้กันแค่สองคนพอเนาะ รับรองผมจะเหยียบไว้ที่นี่ :lol:  :lol:
หมี ได้นอนบ้างเปล่าเนี่ย ระวังตาโหล รอยตีนการถามหานะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 08:11:34
อ้างจาก: "akenui"
อืม เรารู้กันแค่สองคนพอเนาะ รับรองผมจะเหยียบไว้ที่นี่ :lol:  :lol:
หมี ได้นอนบ้างเปล่าเนี่ย ระวังตาโหล รอยตีนการถามหานะ


ทำไม่ถึงถามคำนี้ล่ะฮิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 08:13:18
อ้างจาก: "akenui"
อืม เรารู้กันแค่สองคนพอเนาะ รับรองผมจะเหยียบไว้ที่นี่ :lol:  :lol:
หมี ได้นอนบ้างเปล่าเนี่ย ระวังตาโหล รอยตีนการถามหานะ


ส่วนรอยตีนกาน่ะ  มันแอบอยู่

ยังไงก้อมองไม่เห็น 555

จาก ป้าหมี แอ๊บเด็ก :wink:
ของจริงจ้า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 18 มกราคม 2551, 08:32:04
อ้างจาก: "BU_MEE"
อ้างจาก: "akenui"
อืม เรารู้กันแค่สองคนพอเนาะ รับรองผมจะเหยียบไว้ที่นี่ :lol:  :lol:
หมี ได้นอนบ้างเปล่าเนี่ย ระวังตาโหล รอยตีนการถามหานะ


ทำไม่ถึงถามคำนี้ล่ะฮิ

ก็เห็นเวลา มันตอนตี 4 อะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Tritti_83 ที่ 18 มกราคม 2551, 10:38:44
ขอบคุณนะครับสำหรับคำตอบของพี่ๆทุกคน
ตอบพี่นุ้ยก่อนนะครับ...คือผมกำลังเรียนโทอยู่ครับแล้วไม่เคลียร์ในความหมายของคำ 2 คำนี้ครับ
ถ้าผมยกตัวอย่างว่ามีรถยนตร์ 2 คันคือรถbmwกับรถกระบะ  สามารถทำความเร็วได้ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแต่ bmw มีอัตราเร่ง 0-140  เท่ากับ 1 นาที ส่วนรถกระบะมีอัตรเร่ง 0-140 เท่ากับ 2 นาที ผมอยากทราบว่าประสิทธิภาพกับประสิทธิผลของรถทั้ง 2 คันนี้เป็นอย่างไรครับ..
(เครียดไปมั๊ยครับเนี่ย) :oops:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 11:25:13
สวัสดีตอนเกือบเที่ยงนะคะ  น้องตรีที่รัก

ถามไรยากจังฮู้

ป้าหมีจะขออนุญาตระลึกนิดนึงนะคะ เผื่อสมองจะได้แล่นบ้าง

เอาแบบง่าย ๆ เน๊อะ

EFFECTIVENESS ประสิทธิผล


    ในหนังสือแนะนำให้น้องไปดูเขียนได้ดีมากค่ะ  ประสิทธิผลมีหลายระดับ หลายแบบ

ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ขององค์กรหรือของสินค้าหรือของกระบวนการนั้น ๆ  

และหนังสือเล่มนี้ยังมองไปถึง

     -ประสิทธิผลระดับบุคคล ระดับหน่วยงาน และระดับองค์กรอีกด้วย

     - ระดับบุคคลอาจเป็น  ความพึงพอใจของลูกค้าต่อการให้บริการของพนง แต่ละคน ก้นับว่าเป็นประสิทธิผลได้

     - ระดับองค์กร  ก็อาจจะมองที่บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่

ลองไปอ่านดูนะคะ

ถ้าต้องการความหมาย  ป้าหมีจะสรุปเท่าที่ความรู้ของป้าจะระลึกได้นะคะ


EFFECTIVENESS ประสิทธิผล  หมายถึง ผลผลิต หรือผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้

ย้ำนะคะ จะได้ไม่งง ง ง ...เหมือนที่ป้าเคย งง มาก่อน ประสิทธิผลเน้นที่การบรรลุเป้าหมาย ว่าทำได้ตรงกับที่ต้องการหรือไม่ค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 11:40:35
EFFICIENCY ประสิทธิภาพ

อย่างที่พี่ใหญ่ กับพี่ WIRAT แจ้งให้น้องตรีทราบนั่นแหละค่ะ

.........ป้าหมีระลึกให้เพิ่มละกัน  น้องจะได้ไม่งง  เอาแบบภาษาบ้าน บ้านของป้านะคะ

EFFICIENCY ประสิทธิภาพ  

.......จะมองในแง่ของการเปรียบเทียบระหว่าง ผลผลิตที่ได้รับกับทรัพยากรที่ใช้ในการผลิต (ดูความคุ้มค่า คุ้มทุน) โดยทรัพยกรนี้อาจเป็น เงิน คน สิงของ หรือเวลาที่ใช้ก็ได้

เชิงเศรษฐศาสตร์  ถ้าเป็นประสิทธิภาพการผลิต  

ก็หมายถึง  ผลผลิต  ที่ได้รับ นั้นมีการใช้หรือการลงทุน หรือใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด

เมือเปรียบเทียบกับBenchmak หรือองค์กรอื่น  

หรือภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด

 ซึ่งอาจจะมอง ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง ก็ได้ค่ะ

อิ อิ เง็ง..บ่อ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 11:45:49
อ้างจาก: "Tritti_83"
ขอบคุณนะครับสำหรับคำตอบของพี่ๆทุกคน
ตอบพี่นุ้ยก่อนนะครับ...คือผมกำลังเรียนโทอยู่ครับแล้วไม่เคลียร์ในความหมายของคำ 2 คำนี้ครับ
ถ้าผมยกตัวอย่างว่ามีรถยนตร์ 2 คันคือรถbmwกับรถกระบะ  สามารถทำความเร็วได้ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแต่ bmw มีอัตราเร่ง 0-140  เท่ากับ 1 นาที ส่วนรถกระบะมีอัตรเร่ง 0-140 เท่ากับ 2 นาที ผมอยากทราบว่าประสิทธิภาพกับประสิทธิผลของรถทั้ง 2 คันนี้เป็นอย่างไรครับ..
(เครียดไปมั๊ยครับเนี่ย) :oops:


ต่อนะคะ  จาก CASE ที่น้องตรีให้มานั้น เป็นดังนี้

1. รถยนตร์ 2 คันคือ  รถ bmw  กับ  รถกระบะ  

.........สามารถทำความเร็วได้ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

2. แต่ bmw มีอัตราเร่ง 0-140  เท่ากับ 1 นาที

3. ส่วนรถกระบะมีอัตรเร่ง 0-140 เท่ากับ 2 นาที

ผมอยากทราบว่าประสิทธิภาพกับประสิทธิผลของรถทั้ง 2 คันนี้เป็นอย่างไร



น้องตรีลองเปรียบเทียบดูที่ป้าหมีคนงาม ม ม ม  เล่าแบบบ้าน ๆ ให้ทราบ

แล้วตอบป้าหมีได้ไหมคะ  แทนที่จะให้คนแก่ตอบ  อิ อิ
:wink:  :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 11:46:12
แก่เลี้ยว ว ว ได้แค่นี้แหละ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 18 มกราคม 2551, 11:48:11
อ้างจาก: "BU_MEE"
อ้างจาก: "Tritti_83"
ขอบคุณนะครับสำหรับคำตอบของพี่ๆทุกคน
ตอบพี่นุ้ยก่อนนะครับ...คือผมกำลังเรียนโทอยู่ครับแล้วไม่เคลียร์ในความหมายของคำ 2 คำนี้ครับ
ถ้าผมยกตัวอย่างว่ามีรถยนตร์ 2 คันคือรถbmwกับรถกระบะ  สามารถทำความเร็วได้ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแต่ bmw มีอัตราเร่ง 0-140  เท่ากับ 1 นาที ส่วนรถกระบะมีอัตรเร่ง 0-140 เท่ากับ 2 นาที ผมอยากทราบว่าประสิทธิภาพกับประสิทธิผลของรถทั้ง 2 คันนี้เป็นอย่างไรครับ..
(เครียดไปมั๊ยครับเนี่ย) :oops:


ต่อนะคะ  จาก CASE ที่น้องตรีให้มานั้น เป็นดังนี้

1. รถยนตร์ 2 คันคือ  รถ bmw  กับ  รถกระบะ  

.........สามารถทำความเร็วได้ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

2. แต่ bmw มีอัตราเร่ง 0-140  เท่ากับ 1 นาที

3. ส่วนรถกระบะมีอัตรเร่ง 0-140 เท่ากับ 2 นาที

ผมอยากทราบว่าประสิทธิภาพกับประสิทธิผลของรถทั้ง 2 คันนี้เป็นอย่างไร



น้องตรีลองเปรียบเทียบดูที่ป้าหมีคนงาม ม ม ม  เล่าแบบบ้าน ๆ ให้ทราบ

แล้วตอบป้าหมีได้ไหมคะ  แทนที่จะให้คนแก่ตอบ  อิ อิ
:wink:  :wink:

เอาน่า  ยังไงก็ ขับรถให้ทันเวลานัดแล้วกันเนาะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 11:50:23
น้องเขามาเฝ้าดูคำตอบน่ะ

ก้อเลยลองระลึกดู


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 11:51:44
หรือลองเล่นเกม ในห้อง 2532 ดีไหม เถ้าแก่

เอาคำถามน้องตรีเรื่องรถน่ะ

แล้วมาโหวต ว่าใครตอบได้ แบบ โจ๋สุด สุด


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 11:52:58
เป็นการเพิ่มยอด  POST อีกทางนึงไงล่ะ อิ อิ

จาก ป้าหมี  แอ๊บเด็กสุดเลี้ยว ว ว   :wink:  :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 18 มกราคม 2551, 11:52:59
เล่นยังไง ไหนลองบอก กติกา ให้หนอ่ย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 11:53:54
ก้อเอาง่าย ๆ ตอบแบบโจ๋ ถูกใจใครดี

เอาเป็น คุณณํฐ ไหมล่ะ นักเศรษฐศาสตร์


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 18 มกราคม 2551, 11:54:05
โจ๋ สุดๆ นี่ คือ แบบว่า กวนสุดๆ ได้เป่ลา


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 11:54:28
ส่วนของรางวัลก้อ

เอ...ต้องหา SPONSOR น่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 11:55:35
อ้างจาก: "akenui"
โจ๋ สุดๆ นี่ คือ แบบว่า กวนสุดๆ ได้เป่ลา


ได้สิเน๊อะ

แต่ต้องดูว่าเขาอยากเล่นกันไหม

เถ้าแก่คิดเองเน้อ

หมีทานอาหารกลางวันและแอบงีบสัก 10 นาที่ก่อน อิ อิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 18 มกราคม 2551, 11:56:13
เดี๋ยวขอเวลากลับไปคิดก่อน  พอดีติดลูกค้า โทร. มา


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Tritti_83 ที่ 18 มกราคม 2551, 12:01:09
โห ป้าหมีเป็นมาเก็ตติ้งหรือเปล่าครับเล่นแบบนี้ไม่นานแซงรุ่นผมแน่เลย
ตอบคำถามป้าหมี่ก่อนนะครับ
1. ประสิทธิผล ผมคิดว่า รถทั้ง 2 แบบ มีประสิทธิผลที่เท่ากัน คือทำความเร็วได้ 140 กิโลเมตรต่อชั้วโมง

2. ประสิทธิภาพ รถ  BMW  มีมากกว่ารถกระบะเนื่องจากใช้เวลาในการทำความเร็วให้ถึง 140 กิโลเมตรต่อชั้วโมง ได้เร็วกว่า (แถมยังนั่งสบาย + ชวนสาวขึ้นรถง่ายกว่ารถกระบะครับ :oops: )

ถูกมั๊ยครับ :oops:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Nat Rattanadilok ที่ 18 มกราคม 2551, 13:25:26
ชอบคิดอะไรกันยากๆ จัง
สมองผมมีไว้แต่แก้ตัว ฮี่ฮี่ฮี่

วันก่อนนอนดูทีวีอยู่ที่บ้าน ได้ดูเจ้า Kobi Bryan ดาราทีม LA Lakers
ออกมาให้สัมภาษณ์ touchy มาก (ไม่อยากใช้คำว่าจับใจ มันจั๊กจะจี้เกินไป)
มันออกมาพูดว่า การที่จะประสบความสำเร็จมีแค่สามอย่าง
1. sweat เหงื่อเยอะ น้ำตาน้อย
2. determination มุ่งมั่นพัฒนา
3. hard working ทำงานหนัก

แจ๋วจริง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 18 มกราคม 2551, 14:37:45
วันนี้ผมขอเอาบทความของ “คุณโทนี่” ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการ ใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งจับปากกาเขียนคอลัมน์เป็นครั้งแรกในวารสาร “การเงินธนาคาร” ฉบับเดือนมกราคม ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายของโอกาสที่รอ อยู่ข้างหน้าในโลกยุคโลกาภิวัตน์ เพื่อเตรียมตัวรับมือให้ถูกต้อง

มาอ่านแนวทางการรับมือกับกระแสโลกาภิวัตน์ของ “คุณโทนี่” กันดูครับ

คุณโทนี่ เริ่มต้นว่า “หลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่า ประเทศไทยของเราในปัจจุบัน ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพลวัตแห่งการเปลี่ยน แปลงครั้งใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย แล้ว จากการที่ประเทศไทยได้บรรลุข้อตกลงทวิภาคี ว่าด้วยเขตการค้าเสรีกับจีน อินเดีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แล้วอาเซียนกับจีนก็มีแนวโน้มว่าจะบรรลุ ุข้อตกลงดังกล่าวในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย

ซึ่งจะส่งผลให้ ประเทศไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไปโดยปริยาย ความเปลี่ยนแปลงต่างๆดังกล่าว จะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อประเทศไทย และวิถีชีวิตของคนไทย

คุณโทนี่ ชี้ให้เห็นว่า เส้นแบ่งพรมแดนประเทศต่างๆเริ่มเลือนรางตามลำดับ สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ “เครือข่ายอินเตอร์เน็ต” มีการขยายตัวครอบคลุมแทบทุกตารางนิ้วบนโลก อีกทั้ง ยังมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราสามารถติดต่อทำธุรกิจกับคู่ค้า ที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องผ่านคนกลาง ให้เสียเวลา

เครือข่ายอินเตอร์เน็ตจะทำให้ภาคธุรกิจมีโอกาสขายสินค้าและบริการมากขึ้น ตลาดก็มีขนาด ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม บริษัทเล็กๆของคนไทยในจังหวัดห่างไกล อาจมีโอกาสขายสินค้าหรือบริการ ให้กับลูกค้าได้ทั่วโลก หากสินค้าหรือบริการนั้นมีความโดดเด่นเฉพาะตัว และมีคุณค่าตาม ที่ลูกค้าต้องการ

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทย ที่จะสามารถคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นได้ ควรจะต้อง “มีดี” 2 ประการ คือ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Experts) ในสิ่งที่เป็นธุรกิจ ของตน และ ความสามารถในการคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative Thinking) ที่สามารถต่อยอด นำเอาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของตนไปแสวงประโยชน์จาก โอกาสทางธุรกิจ ที่เปิดกว้างขึ้น

คุณโทนี่ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเราจำเป็นต้องมีการปรับตัวกันอย่างขนานใหญ่ เพื่อรับมือกับ การพัฒนาของประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีน อินเดีย เวียดนาม เพราะไทยไม่อาจใช้แรงงานและ ทรัพยากรราคาถูก สร้างความสามารถในการแข่งขันได้ตลอดไป แต่ต้องอาศัยความรู้และทักษะ ทั้งของคนและภาคธุรกิจในระดับที่สูงขึ้น

จากการสำรวจครั้งล่าสุดของธนาคารโลกเรื่อง “องค์ความรอบรู้ โดยรวมของ ระบบเศรษฐกิจ” หรือ Knowledge Economy Index อันกอปรด้วยความ ชำนาญในงาน ความรู้ด้านวิชาการ ความสามารถของผู้ใช้แรงงาน และความ ตื่นตัวในเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่ ประเทศไทยเราตกลงจากอันดับที่ 48 ของโลกในปี 2538 มาอยู่อันดับที่ 56 ในปี 2550 จากทั้งหมด 137 ประเทศ

ดังนั้น ภารกิจเร่งด่วนประการหนึ่งที่ไทยจะต้องทำโดยไม่ชักช้า ต้องเปลี่ยนวิธีคิด จากเดิม ที่ใช้ทรัพยากรราคาถูกเป็นตัวแข่งขัน มาเป็นการ เพิ่มความสามารถในการผลิต ด้วยการพัฒนา ความรู้และความเชี่ยวชาญ ของบุคลากรแทน

คุณโทนี่สรุปว่า อนาคตของประเทศไทยและคนไทย ล้วนขึ้นอยู่กับการก้าวให้ทัน ยุคแห่ง “เศรษฐกิจฐานความรู้” หรือ Knowledge Economy ในระดับ ประเทศ เราต้องลงทุนเพื่อพัฒนาการศึกษาสำหรับเยาวชน ภาคเอกชนก็ต้อง ลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากร รวมทั้งเพิ่มความเชี่ยวชาญทาง ธุรกิจขององค์กรด้วย จึงจะแข่งขันกับชาวโลกได้”

สูตรสำเร็จที่จีนใช้ก็คือ พัฒนา Skills เพื่อเพิ่ม Scale นั่นเอง.


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 15:47:27
อ้างจาก: "wirat"

สูตรสำเร็จที่จีนใช้ก็คือ พัฒนา Skills เพื่อเพิ่ม Scale นั่นเอง.


แล้วจีนก็กลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม และแรงงานทุกระดับของโลก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Tritti_83 ที่ 18 มกราคม 2551, 16:03:00
ผมว่านอกจากจีนจะพัฒนา Skills เพื่อเพิ่ม Scale แล้วจีนยังทำ Marketing Research  เพื่อหา Customer Need ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดในโลกนั่นก็คือการ  Copy นั่นเอง :roll: แต่ผมชอบนะครับของ Brandname อยากแพงดีนัก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 18 มกราคม 2551, 16:03:52
"ผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องผ่านคนกลาง ให้เสียเวลา
"

ไม่เชื่อจนกว่าเราจะไม่ต้องเจรจากับห้างค้าปลีกขนาดยักษ์อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ หรือว่าชาวนาชาวสวนผู้ทุกข์ยากกำลังกวักมือเรียกให้ผู้กล้าเดินออกมาจากเงาของบรรษัท


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 18 มกราคม 2551, 16:06:18
ไม่สะสมบุญเป็นเบียงกันมั่งวะ  ชาติหน้ามีจริงนะเฟ้ย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 16:12:56
อ้างจาก: "Tritti_83"
ผมว่านอกจากจีนจะพัฒนา Skills เพื่อเพิ่ม Scale แล้วจีนยังทำ Marketing Research  เพื่อหา Customer Need ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดในโลกนั่นก็คือการ  Copy นั่นเอง :roll: แต่ผมชอบนะครับของ Brandname อยากแพงดีนัก


จีนไม่ใช่แหล่ง Gopy เพียงอย่างเดียว

จีนยังเป็นแหล่งผลิต Brand


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 16:16:54
อ้างจาก: "Tritti_83"
โห ป้าหมีเป็นมาเก็ตติ้งหรือเปล่าครับเล่นแบบนี้ไม่นานแซงรุ่นผมแน่เลย
ตอบคำถามป้าหมี่ก่อนนะครับ
1. ประสิทธิผล ผมคิดว่า รถทั้ง 2 แบบ มีประสิทธิผลที่เท่ากัน คือทำความเร็วได้ 140 กิโลเมตรต่อชั้วโมง

2. ประสิทธิภาพ รถ  BMW  มีมากกว่ารถกระบะเนื่องจากใช้เวลาในการทำความเร็วให้ถึง 140 กิโลเมตรต่อชั้วโมง ได้เร็วกว่า (แถมยังนั่งสบาย + ชวนสาวขึ้นรถง่ายกว่ารถกระบะครับ :oops: )

ถูกมั๊ยครับ :oops:


น้องตรีที่รัก

ป้าหมีไม่ได้เป็นแบบที่น้องคิดหรอกค่ะ

ป้าหมีเป็นเพียงแรงงาน น น น  ราคาถูกเท่านั้นเอง อิ อิ

แล้วที่น้องอ่านน่ะ  ผีสิงป้าค่ะ เหอ อ อ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 16:27:34
อ้างจาก: "Tritti_83"
เพื่อนๆหายไปไหนกันหมดพี่รุ่น 2532 มาแรงมากๆขอบอกตอบโต้ยังกะ MSN  รึว่ารุ่นเราจะยอมแพ้กันแล้วอะ


สิ่งที่ยากกว่าการเป็นแชมป์คือการรักษรตำแหน่งแชมป์นะครับพี่น้อง
... :x


หุ หุ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Tritti_83 ที่ 18 มกราคม 2551, 16:35:16
โห ... เล่น reference ข้ามรุ่นกันแบบนี้เลยเหรอครับป้าหมี... :oops:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 18 มกราคม 2551, 16:39:44
อ้างจาก: "BU_MEE"
อ้างจาก: "Tritti_83"
เพื่อนๆหายไปไหนกันหมดพี่รุ่น 2532 มาแรงมากๆขอบอกตอบโต้ยังกะ MSN  รึว่ารุ่นเราจะยอมแพ้กันแล้วอะ


สิ่งที่ยากกว่าการเป็นแชมป์คือการรักษรตำแหน่งแชมป์นะครับพี่น้อง
... :x


หุ หุ


มีการแข็งขันกันด้วยเหรอ
งี้ ก็มันส์...เด้


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 18 มกราคม 2551, 16:44:14
รอคุณมาช่วยขุดกระทู้มาปั่น กัน มัวแต่ขุดดินอยู่แหละ มรึงดู พี่ป๊อก ลูกหนึ่งเมียสวยยังมาเลย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 18 มกราคม 2551, 16:46:48
ป้อม
คุณโพสต์ เป็นพันแล้วเหรอ
ทำได้ไงเนี้ยะ
พระเจ้าช่วย...กลัวยทอดไฟแดง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 16:49:06
อ้างจาก: "Tritti_83"
โห ... เล่น reference ข้ามรุ่นกันแบบนี้เลยเหรอครับป้าหมี... :oops:


"รู้เขารู้เรา" จ่ะ

ด้วยรัก

จาก ป้าหมีคนงามแอบ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 18 มกราคม 2551, 16:50:55
ไม่ใจนี่นา ...ถึงต้องแอบ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Tritti_83 ที่ 18 มกราคม 2551, 16:52:40
หุๆรุ่นผมแกล้งทำเป็นไม่รบเพื่อหลอกให้ตายใจตามที่ซุนวูว่าไว้อยู่ครับ หุหุ :oops:  :cry:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 18 มกราคม 2551, 16:52:57
อ้างจาก: "Pae"
ป้อม
คุณโพสต์ เป็นพันแล้วเหรอ
ทำได้ไงเนี้ยะ
พระเจ้าช่วย...กลัวยทอดไฟแดง


กรูก็ไม่รู้ มือมันพาไป


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 16:55:24
ขอตอบน้องตรีที่รักก่อน

เหอ อ อ ป้าหมีกลัว  เสือ สิงห์  แถวนี้หน่ะ  :cry:  :cry:

.......ห้องนี้เขาบอกว่ามีเครื่องยนต์อยู่สองประเภท

ป้าหมีก้อม่าย เข้าใจ

แต่คิดว่า ของที่แตกต่างกัน

ทำให้การตลาดแข่งขันได้เร็ว

...เข้ากันไหมเนี่ย หุ หุ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 16:56:01
อ้างจาก: "wirat"
อ้างจาก: "Pae"
ป้อม
คุณโพสต์ เป็นพันแล้วเหรอ
ทำได้ไงเนี้ยะ
พระเจ้าช่วย...กลัวยทอดไฟแดง


กรูก็ไม่รู้ มือมันพาไป


เสพติด


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 16:56:41
อ้างจาก: "Pae"
ไม่ใจนี่นา ...ถึงต้องแอบ


ก้อเพื่อนอยากมุดดินมา

หมีก้อแอบมามั่งสิฮิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 16:57:51
อ้างจาก: "Tritti_83"
หุๆรุ่นผมแกล้งทำเป็นไม่รบเพื่อหลอกให้ตายใจตามที่ซุนวูว่าไว้อยู่ครับ หุหุ :oops:  :cry:



แล้วทำไมน้องถึงชอบมาเยี่ยมเยียนห้องนี้จังเลยล่ะ

พร้อมมีคำถามหนัก ๆ  เกินกว่าความรู้ของป้าจะอ่านเข้าใจ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 18 มกราคม 2551, 16:58:35
ป้าหมีรีบ ซ่อนกายไปไหน จะเอารูปกล้วยไม้Post ให้อยู่เนี่ย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 16:58:36
น้องตรีที่รัก

แล้วน้องไปเยี่ยมห้องอื่นมาบ้างหรือเปล่า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Tritti_83 ที่ 18 มกราคม 2551, 16:58:58
ตอบป้าหมีมาแก้เหงาครับพอดีวันนี้ค่อนข้างว่างงานไม่เยอะเลยมานั่งรอต้อนรับแขกแต่บ้านตัวเองไม่ค่อยมีคนเข้าเลยมาหาเพื่อนบ้านครับ... :P


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 18 มกราคม 2551, 16:59:59
อ้างจาก: "BU_MEE"
อ้างจาก: "Tritti_83"
หุๆรุ่นผมแกล้งทำเป็นไม่รบเพื่อหลอกให้ตายใจตามที่ซุนวูว่าไว้อยู่ครับ หุหุ :oops:  :cry:



แล้วทำไมน้องถึงชอบมาเยี่ยมเยียนห้องนี้จังเลยล่ะ

พร้อมมีคำถามหนัก ๆ  เกินกว่าความรู้ของป้าจะอ่านเข้าใจ


น้องตริครับ
ตามเพื่อนๆ มาช่วยกันยำอีก..ได้เลยครับ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 17:00:13
น้องตรีที่รัก

แล้วห้องของน้องคึกคักไหมคะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 17:00:43
อ้างจาก: "Pae"
อ้างจาก: "BU_MEE"
อ้างจาก: "Tritti_83"
หุๆรุ่นผมแกล้งทำเป็นไม่รบเพื่อหลอกให้ตายใจตามที่ซุนวูว่าไว้อยู่ครับ หุหุ :oops:  :cry:



แล้วทำไมน้องถึงชอบมาเยี่ยมเยียนห้องนี้จังเลยล่ะ

พร้อมมีคำถามหนัก ๆ  เกินกว่าความรู้ของป้าจะอ่านเข้าใจ


น้องตริครับ
ตามเพื่อนๆ มาช่วยกันยำอีก..ได้เลยครับ


สวัสดีค่ะเพือ่นแปลกหน้า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 17:01:13
น้องตรีที่รัก

น้องไม่ทราบหรือไรว่า

ป้าหมีน่ะผีชอบสิง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Tritti_83 ที่ 18 มกราคม 2551, 17:03:51
พี่ป้าหมี ดูได้จากสถิติการโพสต์ครับ(ไม่อยากจะคุย :oops: )
พี่Pae ผมว่าถ้าเพื่อนๆได้มาอ่านเด๋วก็มาครับเพราะรุ่นพี่กระทุ้อ่านสนุกดีครับไม่ต้องเสียเงินซื้อขายหัวเราะมาอ่านอีกอย่างรุ่นพี่มีหัวหน้าเด็ก(พี่เจษ)อยู่ด้วยครับ...
พี่เจษ... ตั้งแต่เพื่อนๆเยอะทิ้งน้องเลยนะครับ :cry:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 18 มกราคม 2551, 17:04:26
ดีจ้า
คุณป้าคนงาม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Tritti_83 ที่ 18 มกราคม 2551, 17:06:35
ชะแว๊บ....ขอตัวไปเคลียร์งานเตรียมตัวกลับบ้านแล้วครับ สวัสดีพี่ๆทุกคนครับ :P


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 17:06:53
อ้างจาก: "Pae"
ดีจ้า
คุณป้าคนงาม


หุ หุ เพื่อนเรามาแล้ว


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 18 มกราคม 2551, 17:07:18
มื่อกี้ เจอป้าหมี Post รูป น่ากลัว มาก ขนหัวลุก เลย

ลืมสวัสดี คุณป้ายามเย็น


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 17:08:34
อ้างจาก: "wirat"
มื่อกี้ เจอป้าหมี Post รูป น่ากลัว มาก ขนหัวลุก เลย

ลืมสวัสดี คุณป้ายามเย็น


สยอง ง ง ง ง ทุกทีน่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 18 มกราคม 2551, 17:09:03
ใช่ๆ คืนนี้ ผมต้องนอนคนเดียวด้วย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 18 มกราคม 2551, 17:11:08
มันเรื่องเล่าว่ะเป้ ว่า ทุกโรงแรม ต้องมีห้องว่าง 1 ห้อง ต่อชั้น ให้วิญญาณ พเนจร ระวังนะโว้ย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 17:11:34
อ้างจาก: "BU_MEE"
อ้างจาก: "wirat"
มื่อกี้ เจอป้าหมี Post รูป น่ากลัว มาก ขนหัวลุก เลย

ลืมสวัสดี คุณป้ายามเย็น


สยอง ง ง ง ง ทุกทีน่ะ


 
อ้างถึง   
ใช่ๆ คืนนี้ ผมต้องนอนคนเดียวด้วย


ที่สยองน่ะ  เพระต้องมาเจอกับหลานป้อม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 18 มกราคม 2551, 17:12:05
ไม่เป็นไร ผึแขก หลอกเราชาวพุทธ บ่ได้ดอก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 17:13:10
อ้างจาก: "Pae"
ไม่เป็นไร ผึแขก หลอกเราชาวพุทธ บ่ได้ดอก


ส่วนป้านะ  กลัวเสือ สิงห์ กระทิง มากกว่า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 18 มกราคม 2551, 17:14:30
ผีมีแบ่งศาสนาด้วย หรือ ว่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 17:19:05
เอาดอกไม้มาฝากค่ะ

จะได้พักสายตา

ขอทำงานต่อนะคะ


(http://img239.imageshack.us/img239/5918/92094710hc3.jpg)


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 18 มกราคม 2551, 17:22:23
Photobucket

ป้าหมีเป็นกล้วยไม้ที่บ้าน เพิ่งออก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 17:27:43
อ้างจาก: "wirat"
Photobucket

ป้าหมีเป็นกล้วยไม้ที่บ้าน เพิ่งออก


ออกไปแล้ว

พอดีมาเจอดอกกล้วยไม้สวย

ก้เลยกลับเข้ามาใหม่

ขอบคุณนะคะ

รักษาสุขภาพด้วยละกันค่ะ ป้าขอทำงานอีกนิด

ด้วยรักและคิดถึง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 18 มกราคม 2551, 17:53:08
ตอนคุณ ป้า พัก ก็ขอเล่า ประการณ์ ทำงาน ให้ฟัง

ตอนเรียนจบ วิดยา มีไม่กี่คน ออกไปทำงาน เอกชน และส่วน ใหญ่เรียนต่อ

เริ่มแรกที่บริษัท ญี่ปุ่น ก็หนักมากเลย เพราะเขาจะเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนวิธีทำงาน และความรับผิดชอบ  คำว่า Efficiency /Good Pratise ผมเริ่มที่นี่ วิธีการ Appoachปัญหาและ Solve ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จด้วยที่ชอบเรียก QCC กันน่ะ    คิด ดู จบใหม่ๆ เจอ ด่า Why why why why why โดยคนญี่ปุ่น ถึงกับร้องไห้น้ำตาซึมเลย แต่ปีนึงผ่านไป เรา แกร่งขึ้น ญี่ปุ่นเดิม ไม่เคยด่า เราซัก คำ เพราะ เราเปลี่ยนตัวเอง ไป แบบ อย่างที่เรียกว่า ไม่เชื่อตัวเองเหือนกัน สุดท้าย  ญี่ปุ่นคนนั้น ก็ชอบมานั่งกินสาเก กับ ผม ทุกเย็นเลย

จากนั้นผมลาออก มาอยู่บริษัทเดียวกับใหญ่ แต่ยังไม่มีอะไร โลดโผน เลยมาอยู่

บริษัทไต้หวัน เจอการ บริหารต้นทุน ด้วย ตัวเลข ที่ชอบเรียก กันว่า Cost management แต่ ทำจริงๆ เลย ต้องมีความรู้เรื่อง บัญชีต้นทุนจาก ทีนี่นิดหน่อย คิดดู แค่ทำสมการ บาทต่อกิโล ให้ลดลง โคตรยาก เลย แต่ผ่านไปด้วยดี

สุดท้ายฝ่ายผลิต มาทำกับพวก อเมริกัน ก็เหมือนเอาญี่ปุ่นผสมไต้หวันเลย วันแรกที่เจอ มัน พูดแค่ 3 ข้อ ก็เริ่มงานเลย
-No excuse
-No question = understood
-Performance

อยู่กับเขา 2 ปี ก็ สำเร็จ กับ Project เขา

ก่อนจากบริษัทเก่า ก็สอนลูกน้องเสมอ ว่า อย่าหวงวิชา ต้อง พัฒนาคนด้วย หลัก 2 K คือ

Knowledge, Know how คือ ต้องสอนบอกให้ลูกน้องเขารู้ จากนั้น เขาจะทำไม่ผิดพลาด(Do right at first หลัก ของ six sixma) แล้วเราจะได้เติบโตมาบริหาร คน ความรู้ และ นวัตกรรม  

แล้วสุดท้ายที่ทำ'งานอยู่ คือตลาดและ การขาย

จบข่าว แล้วไปกวนป้าหมีต่อดีกว่า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 18 มกราคม 2551, 18:47:23
อ้างจาก: "Tritti_83"
โห ป้าหมีเป็นมาเก็ตติ้งหรือเปล่าครับเล่นแบบนี้ไม่นานแซงรุ่นผมแน่เลย
ตอบคำถามป้าหมี่ก่อนนะครับ
1. ประสิทธิผล ผมคิดว่า รถทั้ง 2 แบบ มีประสิทธิผลที่เท่ากัน คือทำความเร็วได้ 140 กิโลเมตรต่อชั้วโมง

2. ประสิทธิภาพ รถ  BMW  มีมากกว่ารถกระบะเนื่องจากใช้เวลาในการทำความเร็วให้ถึง 140 กิโลเมตรต่อชั้วโมง ได้เร็วกว่า (แถมยังนั่งสบาย + ชวนสาวขึ้นรถง่ายกว่ารถกระบะครับ :oops: )

ถูกมั๊ยครับ :oops:


ขอเพิ่มเติม
คำตอบข้างบนมองในแง่ของคนขับรถ ซึ่งก็ยังไม่ครบนะพีว่า

ถ้ามองของคนผลิตรถ ข้อ 2 อาจจะต้องวิเคราะห์ลึกลงไปอีกเช่น อัตราการกินน้ำมัน , อัตราการสึกหรอ เพราะ มันจะลิงค์ ไปถึงราคา (ไม่นับราคาจากการตลาดนะ)

แล้วอีกอย่าง ถ้าโฆษณาว่ารถ BMW เร่ง 0-140 กม./ชม. ในเวลา 10 วินาที ขาย สองล้านบาท
กับรถกระบะ เร่ง 0-140 กม./ชม. ในเวลา 20 วินาที ขาย ห้าแสนบาท

สมมติน้องมีเงินจำกัด น้องจะซื้ออะไร ประสิทธิภาพ หรือประสิทธิผล

คิดลึกไหมเนี่ยะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 18 มกราคม 2551, 18:57:34
อืมมมมมม ใหญ่มีมุมมองอีกด้านที่น่าสนใจ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 18 มกราคม 2551, 19:01:10
อ้างจาก: "akenui"
อืมมมมมม ใหญ่มีมุมมองอีกด้านที่น่าสนใจ

กูว่ามึงซื้อรถกระบะ (เพราะกูคิดอย่างนี้)


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 18 มกราคม 2551, 19:02:22
มึงคิดผิดว่ะ  กูมีเงินซื้อกะบะได้แต่กูไม่ซื้อ เพราะกูไม่ชอบกะบะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: newstar ที่ 18 มกราคม 2551, 19:10:35
อ้างจาก: "akenui"
มึงคิดผิดว่ะ  กูมีเงินซื้อกะบะได้แต่กูไม่ซื้อ เพราะกูไม่ชอบกะบะ


อ้าว..อ๊าว...ชมกันไม่เท่าไหร่ กัดกันซะแ้ล้วเพื่อนเรา

เอ๊ย...ไอ้ป้อมเอาน้ำมา ๆ










อะ...ย้อเย่น...


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 18 มกราคม 2551, 19:12:26
คนนะโว้ย ไม่ใช่แมว  ทำเป็น คนดีอีกแล้วมึง จะดีได้กี่น้ำฟะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: khesorn mueller ที่ 18 มกราคม 2551, 20:26:56
why you don't like pick up??
p.limousine


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 20:57:50
อ้างจาก: "yai"
อ้างจาก: "Tritti_83"
โห ป้าหมีเป็นมาเก็ตติ้งหรือเปล่าครับเล่นแบบนี้ไม่นานแซงรุ่นผมแน่เลย
ตอบคำถามป้าหมี่ก่อนนะครับ
1. ประสิทธิผล ผมคิดว่า รถทั้ง 2 แบบ มีประสิทธิผลที่เท่ากัน คือทำความเร็วได้ 140 กิโลเมตรต่อชั้วโมง

2. ประสิทธิภาพ รถ  BMW  มีมากกว่ารถกระบะเนื่องจากใช้เวลาในการทำความเร็วให้ถึง 140 กิโลเมตรต่อชั้วโมง ได้เร็วกว่า (แถมยังนั่งสบาย + ชวนสาวขึ้นรถง่ายกว่ารถกระบะครับ :oops: )

ถูกมั๊ยครับ :oops:


ขอเพิ่มเติม
คำตอบข้างบนมองในแง่ของคนขับรถ ซึ่งก็ยังไม่ครบนะพีว่า

ถ้ามองของคนผลิตรถ ข้อ 2 อาจจะต้องวิเคราะห์ลึกลงไปอีกเช่น อัตราการกินน้ำมัน , อัตราการสึกหรอ เพราะ มันจะลิงค์ ไปถึงราคา (ไม่นับราคาจากการตลาดนะ)

แล้วอีกอย่าง ถ้าโฆษณาว่ารถ BMW เร่ง 0-140 กม./ชม. ในเวลา 10 วินาที ขาย สองล้านบาท
กับรถกระบะ เร่ง 0-140 กม./ชม. ในเวลา 20 วินาที ขาย ห้าแสนบาท

สมมติน้องมีเงินจำกัด น้องจะซื้ออะไร ประสิทธิภาพ หรือประสิทธิผล

คิดลึกไหมเนี่ยะ


ไม่หรอกค่ะ หมีว่าน้องเขาด่วนสรุปไป

ต้องวิเคราะห์ให้ลึกแบบนี้ค่ะ สำหรับ case ที่เขาให้มา

คุณใหญ่เป็นคนรอบคอบนะคะ

และท่าทางจะใจเย็นแบบคุณเป้อีกคน

...........


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 18 มกราคม 2551, 22:06:03
อ้างจาก: "BU_MEE"
อ้างจาก: "yai"
อ้างจาก: "Tritti_83"
โห ป้าหมีเป็นมาเก็ตติ้งหรือเปล่าครับเล่นแบบนี้ไม่นานแซงรุ่นผมแน่เลย
ตอบคำถามป้าหมี่ก่อนนะครับ
1. ประสิทธิผล ผมคิดว่า รถทั้ง 2 แบบ มีประสิทธิผลที่เท่ากัน คือทำความเร็วได้ 140 กิโลเมตรต่อชั้วโมง

2. ประสิทธิภาพ รถ  BMW  มีมากกว่ารถกระบะเนื่องจากใช้เวลาในการทำความเร็วให้ถึง 140 กิโลเมตรต่อชั้วโมง ได้เร็วกว่า (แถมยังนั่งสบาย + ชวนสาวขึ้นรถง่ายกว่ารถกระบะครับ :oops: )

ถูกมั๊ยครับ :oops:


ขอเพิ่มเติม
คำตอบข้างบนมองในแง่ของคนขับรถ ซึ่งก็ยังไม่ครบนะพีว่า

ถ้ามองของคนผลิตรถ ข้อ 2 อาจจะต้องวิเคราะห์ลึกลงไปอีกเช่น อัตราการกินน้ำมัน , อัตราการสึกหรอ เพราะ มันจะลิงค์ ไปถึงราคา (ไม่นับราคาจากการตลาดนะ)

แล้วอีกอย่าง ถ้าโฆษณาว่ารถ BMW เร่ง 0-140 กม./ชม. ในเวลา 10 วินาที ขาย สองล้านบาท
กับรถกระบะ เร่ง 0-140 กม./ชม. ในเวลา 20 วินาที ขาย ห้าแสนบาท

สมมติน้องมีเงินจำกัด น้องจะซื้ออะไร ประสิทธิภาพ หรือประสิทธิผล

คิดลึกไหมเนี่ยะ


ไม่หรอกค่ะ หมีว่าน้องเขาด่วนสรุปไป

ต้องวิเคราะห์ให้ลึกแบบนี้ค่ะ สำหรับ case ที่เขาให้มา

คุณใหญ่เป็นคนรอบคอบนะคะ

และท่าทางจะใจเย็นแบบคุณเป้อีกคน

...........


เวลาจะเสียตังค์ ใจเย็น
เวลาจะทวงตังค์ ใจร้อน
 :lol:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 18 มกราคม 2551, 22:09:41
อ้างจาก: "newstar"
อ้างจาก: "akenui"
มึงคิดผิดว่ะ  กูมีเงินซื้อกะบะได้แต่กูไม่ซื้อ เพราะกูไม่ชอบกะบะ


อ้าว..อ๊าว...ชมกันไม่เท่าไหร่ กัดกันซะแ้ล้วเพื่อนเรา

เอ๊ย...ไอ้ป้อมเอาน้ำมา ๆ












อะ...ย้อเย่น...


กูเฉลยให้ทำไมไอ้นุ้ยไม่ชอบกระบะ
จริง ๆ มันไม่ชอบรถใหม่หรอก ไม่ว่ากระบะหรือเก๋ง
เพราะมันชอบใช้รถจมน้ำ  แล้วมาจูนเครื่องใหม่ โดยเฉพาะนิสสันซันนี่
เขาเป็นคนรักเดียวใจเดียว


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 18 มกราคม 2551, 22:16:35
อ้างจาก: "yai"

เวลาจะเสียตังค์ ใจเย็น
เวลาจะทวงตังค์ ใจร้อน
 :lol:


เวลาจะเสียตังค์ ใจเย็น ... แถวโคราช เรียกว่า งก :lol:  :lol:

เวลาจะทวงตังค์ ใจร้อน...แถวตลาดย่าโม เรียกว่า หน้าเลือด  :lol:  :lol:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 18 มกราคม 2551, 22:36:16
อ้างจาก: "BU_MEE"
อ้างจาก: "yai"

เวลาจะเสียตังค์ ใจเย็น
เวลาจะทวงตังค์ ใจร้อน
 :lol:


เวลาจะเสียตังค์ ใจเย็น ... แถวโคราช เรียกว่า งก :lol:  :lol:

เวลาจะทวงตังค์ ใจร้อน...แถวตลาดย่าโม เรียกว่า หน้าเลือด  :lol:  :lol:


เวลาจะเสียตังค์ ใจเย็น ... ผมเรียก รอบคอบ  

เวลาจะทวงตังค์ ใจร้อน...ผมเรียก มองการณ์ไกล

อิ อิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 19 มกราคม 2551, 11:09:00
อ้างจาก: "akenui"
อืมมมมมม ใหญ่มีมุมมองอีกด้านที่น่าสนใจ


ไอ้ใหญ่มันเน้นค่าเสื่อม

เพราะมันเริ่มเสื่อมPerformance


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 19 มกราคม 2551, 11:11:12
อ้างจาก: "akenui"
คนนะโว้ย ไม่ใช่แมว  ทำเป็น คนดีอีกแล้วมึง จะดีได้กี่น้ำฟะ


ไอ้พวก(นุ้ย พร ใหญ่) นกกระจอก ไม่ยอมดื่มน้ำ

ป้อม ดื่มน้ำเป็นประจำ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 19 มกราคม 2551, 12:30:17
อ้างจาก: "wirat"
อ้างจาก: "akenui"
คนนะโว้ย ไม่ใช่แมว  ทำเป็น คนดีอีกแล้วมึง จะดีได้กี่น้ำฟะ


ไอ้พวก(นุ้ย พร ใหญ่) นกกระจอก ไม่ยอมดื่มน้ำ

ป้อม ดื่มน้ำเป็นประจำ

วอนโดนยำซะงั้น ไอ้ปอ้ม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: khesorn mueller ที่ 19 มกราคม 2551, 18:58:00
so you have to come at late night...
p.nn


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: newstar ที่ 20 มกราคม 2551, 12:15:51
สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ของ อุดม แต้พานิช (อ่านคลายเครียด)

1.มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี
2.เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะ ช้าไป 1 จังหวะเสมอ
3.ถ้าแอบรักใครอย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า
4.เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักที ให้พูดว่าไม่เอา จะได้เร็ว
5.ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที
6.ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย
7.ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่มไม้, ซอกตึก, อย่าตัดสินใจ ซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ
8.ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ
9.ระวังคน ที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ
10.อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง
11.หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือหนังที่เราชอบดู
12.อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่าอย่าบอกใครนะ
13.อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก
14.เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ
15.อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ
16.รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป
17.ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมี
18.ตลาด อ.ต.ก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา
19.เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน
20.ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป
21.คนไม่กินเนื้อ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป
22.เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีน ออกจากปากให้หลับตาด้วย
23.ปูอัด มันทำจากปลา
24.กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า
25.อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ
26.ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2ผอมลงนะ
ไม่มีใครเข้ามาทักว่าปกติดีนี่ไปทำอะไรมา
27.คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะบ้านเค้าไม่มีตู้ เค้าไม่ได้ลืม
เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร
28.คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา
29.คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ
30.ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน
31.จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
32.เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึงมักจะหาไม่เจอ
33.ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก
34.ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต,ห้องน้ำผู้ชายผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน.
35.เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ
36.ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก
37.ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่เพื่อนฉัน' หมายความว่า 'แฟนฉัน'
38.ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่แฟนฉัน' หมายความว่า 'ผัว/เมียฉัน '


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 20 มกราคม 2551, 13:00:33
อ้างจาก: "newstar"
สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ของ อุดม แต้พานิช (อ่านคลายเครียด)

1.มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี
2.เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะ ช้าไป 1 จังหวะเสมอ
3.ถ้าแอบรักใครอย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า
4.เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักที ให้พูดว่าไม่เอา จะได้เร็ว
5.ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที
6.ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย
7.ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่มไม้, ซอกตึก, อย่าตัดสินใจ ซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ
8.ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ
9.ระวังคน ที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ
10.อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง
11.หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือหนังที่เราชอบดู
12.อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่าอย่าบอกใครนะ
13.อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก
14.เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ
15.อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ
16.รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป
17.ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมี
18.ตลาด อ.ต.ก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา
19.เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน
20.ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป
21.คนไม่กินเนื้อ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป
22.เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีน ออกจากปากให้หลับตาด้วย
23.ปูอัด มันทำจากปลา
24.กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า
25.อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ
26.ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2ผอมลงนะ
ไม่มีใครเข้ามาทักว่าปกติดีนี่ไปทำอะไรมา
27.คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะบ้านเค้าไม่มีตู้ เค้าไม่ได้ลืม
เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร
28.คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา
29.คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ
30.ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน
31.จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
32.เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึงมักจะหาไม่เจอ
33.ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก
34.ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต,ห้องน้ำผู้ชายผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน.
35.เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ
36.ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก
37.ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่เพื่อนฉัน' หมายความว่า 'แฟนฉัน'
38.ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่แฟนฉัน' หมายความว่า 'ผัว/เมียฉัน '


ไม่คิดมากก็ตลกดี
หลัง ๆ เฝือไปหน่อย
ส่วนตัว เริ่มเบื่อแล้ว
บางที มันก็ไม่ต่างกับตลกเจ็บตัว
คือประชดตัวเอง (หรือคนอื่น) ให้ตลก  :)

ใหญ่ คนไม่ซีเรียส


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 20 มกราคม 2551, 15:49:11
สังเกตุ ไอ้ใหญ่นี่จะโพสต์ แบบเน้นคุณภาพนะ  อืมมมม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 20 มกราคม 2551, 16:53:51
อ้างจาก: "akenui"
สังเกตุ ไอ้ใหญ่นี่จะโพสต์ แบบเน้นคุณภาพนะ  อืมมมม


เออ ผมทำให้คนอื่นเครัยดไปหรือเปล่าครับ
ผมว่า เห็นยาว ๆ เขาก็ไม่อ่านกันแล้ว

จาก ใหญ่ นาน ๆ (มีสาระ) ที


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 20 มกราคม 2551, 22:49:19
อ้างจาก: "yai"
อ้างจาก: "akenui"
สังเกตุ ไอ้ใหญ่นี่จะโพสต์ แบบเน้นคุณภาพนะ  อืมมมม


เออ ผมทำให้คนอื่นเครัยดไปหรือเปล่าครับ
ผมว่า เห็นยาว ๆ เขาก็ไม่อ่านกันแล้ว

จาก ใหญ่ นาน ๆ (มีสาระ) ที


เพิ่งเป็นครั้งแรกที่หมีอ่านยาว ๆ จบค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 21 มกราคม 2551, 08:36:45
13.อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก
.
....จิรงเปล่าใหญ่  วันหน้ากูจะได้ไม่ทำ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 21 มกราคม 2551, 09:44:33
อ้างจาก: "akenui"
13.อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก
.
....จิรงเปล่าใหญ่  วันหน้ากูจะได้ไม่ทำ


หมู (อู๊ด ๆ) ก็ไม่ชอบ
(คือบ้านผมจะมีคนมาเอาเศษอาหารไปเลี้ยงหมู)

แต่กูว่าดีวะ คือมันจะซับน้ำก๊วยเตี๋ยวไว้ แล้วเวลาเก็บมันไม่หก (ความชอบส่วนตัว ห้ามเลียนแบบ)


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 21 มกราคม 2551, 18:08:33
อ้างจาก: "yai"
อ้างจาก: "akenui"
13.อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก
.
....จิรงเปล่าใหญ่  วันหน้ากูจะได้ไม่ทำ


หมู (อู๊ด ๆ) ก็ไม่ชอบ
(คือบ้านผมจะมีคนมาเอาเศษอาหารไปเลี้ยงหมู)

แต่กูว่าดีวะ คือมันจะซับน้ำก๊วยเตี๋ยวไว้ แล้วเวลาเก็บมันไม่หก (ความชอบส่วนตัว ห้ามเลียนแบบ)

หรอ  แต่มึงมีอคติกับ โน๊ตอุดมนี่หว่า... ตกลงกูทำต่อแล้วกัน  แต่กูเคยเห็นคนเชี้ยๆ ขากเสลดใส่ถ้วยด้วยว่ะ  เห้นแล้ว อยากลอยตัวซันแบ๊คหน้ามันชิบ..


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 21 มกราคม 2551, 18:13:45
ใจเย็นนุ้ย อายุอานามก็มากแล้ว


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 22 มกราคม 2551, 07:50:58
CPF ประสบความสำเร็จ ด้วยปัจจัย 3 อย่าง
1 วิสัยทัศน์ คุณ ธนินรทร์  ที่วางโครงสร้างการเติบโต
2 การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
3 ค่านิยมของคนซึ่งแยกได้  6 แบบ

3.1)การยอมรับการการเปลี่ยนแปลง
3.2)เรียนรู้และไฝ่รู้
3.3)คิดสร้างสรรค์ หรือ นวัตกรรม
3.4)เน้นให้เป็นคนดี
3.5)มุ่งมั่น ทุ่มเทให้เกิดความสำเร็จ
3.6)เป็นคนรู้จักคุณแผ่นดิน

ทั้งหมด คือ CPF ways โดย อดิเรก ศรีประทักษ์

สรุปโดย ป้อม ชอบไก่ CPF


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: khesorn mueller ที่ 22 มกราคม 2551, 15:46:08
อ้างจาก: "wirat"
ใจเย็นนุ้ย อายุอานามก็มากแล้ว

what??
lefting tissue in a noodle soup bowl??
next time take home!!(bowl and tissue!!)
p.kamoy


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 23 มกราคม 2551, 08:47:43
พี่หนุงหนิง  อะ แซวไม่ปล่อยเลยนะ :twisted:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 23 มกราคม 2551, 09:04:15
แซวหรือ นึกว่าพี่ หนิง กัดหมายถึง แซว


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: khesorn mueller ที่ 25 มกราคม 2551, 17:05:19
jik ka nong...not กัด!!
p.nn


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 25 มกราคม 2551, 17:15:42
ครับบบบบ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: khesorn mueller ที่ 26 มกราคม 2551, 05:58:25
good night ka...
I am  tired!
see you..
p.nn(zzzzzzzz)


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 26 มกราคม 2551, 09:08:57
รักษาสุขภาพด้วยครับ พี่หนิง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 22:33:37
อ้างจาก: "wirat"
Photobucket

ป้าหมีเป็นกล้วยไม้ที่บ้าน เพิ่งออก


หลานป้อมคะ

ทำไมป้าหมีถึงบอกว่าดอกไม้นี้เหมือนป้าทั้งสีและกลิ่น

สีของช้างกระ....เรียบ ๆ ไม่ฉูดฉาด ไม่หวือหวา
ลักษณะของดอก...นิ่งสงบ เย็น ๆ  

สะท้อนบุคลิกภายนอกที่คนเห็นป้าหมีค่ะ
--------------------------------------------------------

สำหรับกลิ่น...
.....ป้าหมีอาจจะไม่ใช่คนดีมากนัก
แต่ป้าว่าสะท้อนบุคลิกภายในของป้าหมีค่ะ
...........POCKET MY PROUD

----------------------------------------------------

ที่ป้าหมีบอกได้ เพราะป้าเคยเข้าอบรม "นพลักษณ์"
วิทยากรเขาเน้นให้เรารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา
โดยขุดแนวคิด อุปนิสัยใจคอ การอบรมเลี้ยงดูมาแต่เด็กจนถึง 30 ปี
...........แล้วสุดท้ายจะสรุปให้ว่า
 ...เราอยู่นพลักษณ์อะไร พร้อมคำวิพากษ์ ตัดสินจากผู้เข้าอบรมอีกหลายสิบคนค่ะ

.........ป้าหมีถึงบอกว่า...ดอกนี้เหมือนป้าหมีไง

ด้วยรักและคิดถึงหลานป้อม

ป้าหมีค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: piyawat ที่ 26 มกราคม 2551, 22:43:29
โหเสี่ยป้อม ...ยาวหว่ะ...ขี้เกียจอ่าน

แน่จริงชวนคุยเรื่องสถาบัน...ซิ...

55  ไอ้ใหญ่ชอบมากกก...ประเด็นนี้...


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:00:15
-----------นพลักษณ์-----------

นพลักษณ์ (the enneagram ) คือ  ศาสตร์ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้รู้จักกับตนเองตามความเป็นจริง เพื่อให้เข้าใจและยอมรับตัวเอง เพื่อจะได้เป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนพัฒนาและเปลี่ยนแปลง ตนสืบต่อไป

คนทั้ง 9 ลักษณ์

คนลักษณ์ 1 : คนเนี้ยบ

วิพากษ์ตัวเองและผู้อื่นเสมอ จริงจังกับความรับผิดชอบ เป็นนักจัดการชั้นยอด
สามารถชี้จุดบกพร่องได้ทันทีและบอกว่าต้องแก้ไขอย่างไร

โลกทัศน์ของคน 1 คือ...โลกนี้ไม่สมบูรณ์แบบ ฉันต้องปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ความใส่ใจคือต้องถูกต้อง แยกถูกผิด มองอะไรเป็นขาว-ดำ มีมาตรฐาน มีกฎเกณฑ์ มีศีลธรรม

ลักษณะทั่วไป...เป็นคนชอบตัดสินคนอื่น ไม่ยืดหยุ่น มีเพียงวิธีการเดียวที่ถูกต้อง

คนลักษณ์ 2 : ผู้ให้

เป็นคนกระตือรือร้น ชอบช่วยเหลือ มองโลกในแง่ดี
มีใจเมตตา อุทิศเวลา พลังกายและทรัพย์ แต่ยากที่จะรู้ความต้องการของตัวเองหรือร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ความที่คุ้นเคยกับการให้มากกว่ารับ จึงทำให้บางครั้งเป็นหัวเรือใหญ่ จอมบงการ มีธรรมชาติเห็นใจเข้าใจผู้อื่น

โลกทัศน์ของคน 2 คือ...โลกต้องอาศัยความช่วยเหลือจากฉัน โดยการให้ก่อน ความใส่ใจของคน 2 คือ ...ความต้องการความรู้สึกของผู้อื่นที่ตนให้ความสำคัญ การแสวงหาการยอมรับ

ลักษณะทั่วไป...เป็นคนมุ่งเอาใจผู้อื่น และการมีได้หลายตัวตน



ที่มา: สมาคมนพลักษณ์ไทย

          http://newsite.enneagramthailand.com/


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:03:27


คนลักษณ์ 3 : นักแสดง

เป็นพวกบ้างาน พลังงานล้น ต่อสู้ชีวิตเพื่อความสำเร็จ นิสัยแข่งขันสูง
มุ่งสัมฤทธิผลในทุกสถานะ เช่น เป็นพ่อแม่ที่ประสบความสำเร็จ
เป็นคู่ครองที่เชิดหน้าชูตา นักธุรกิจทะลุเป้า แพทย์ผู้มีชื่อเสียง
คนเบอร์นี้ไม่มีวันเบื่อหน่าย ต่อการเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม ปลุกพลังพรรคพวกให้เชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้

โลกทัศน์ของคน 3 คือ...โลกนี้รักคนเก่ง ให้รางวัลกับผู้ชนะ ความใส่ใจของเขาคือความสำเร็จของงาน มีเป้าหมาย

ลักษณะทั่วไป...เป็นคนทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน พวกบ้างาน
และให้กำลังใจตนเองและผู้อื่น การเป็นที่รู้จักและยอมรับ

คนลักษณ์ 4 : คนโศกซึ้ง

มีอารมณ์ศิลปิน หมกมุ่นในอารมณ์ แสวงหาคู่อุดมคติหรืองานอันเป็นแก่นแท้ความหมายแห่งชีวิต
 มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความรู้สึกว่าบางสิ่งที่จำเป็นในชีวิตขาดหายไป
แม้ตัวเองจะตกหลุมอารมณ์ปางตายเพียงใด แต่เขาก็สามารถเข้าใจและเกื้อหนุนผู้อื่นที่กำลังทุกข์อย่างดีเยี่ยม

โลกทัศน์ของคน 4 คือ...ฉันถูกทอดทิ้ง คนอื่นมี ฉันไม่มี ความใส่ใจของเขาคือสนใจสิ่งที่ขาดหาย และความไม่เหมือนคนอื่น

ลักษณะทั่วไป...เป็นคนมีอารมณ์ความรู้สึกลึกซึ้ง ไม่มีอารมณ์กลาง
ความสัมพันธ์แบบผลักๆ ดึงๆ มีความสุขในความเศร้า โศกซึ้ง



หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:05:30


คนลักษณ์ 5 : นักสังเกตการณ์

หลบเลี่ยงภาวะที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ทุกชนิด ชอบความเป็นส่วนตัวมาก
จะรู้สึกหมดกำลังและกระสับกระส่ายหากไม่มีเวลาพอสำหรับตัวเองเพื่อใช้ทบทวนสิ่งที่ผ่านมา โปรดปรานการหาข้อมูล
แบ่งแยกชีวิตเป็นส่วนๆ สามารถเป็นผู้ตัดสินใจและนักคิดสร้างสรรค์

โลกทัศน์ของคน 5 คือ...โลกนี้รุกล้ำ โลกนี้เรียกร้องมากแต่ให้น้อย
ความใส่ใจของเขาคือการคิดวิเคราะห์ การเป็นส่วนตัว ถูกคาดหวังจากคนอื่น

ลักษณะทั่วไป...เป็นคนมีความเป็นส่วนตัวสูง หวงแหนสิ่งที่มีอยู่

คนลักษณ์ 6 : นักปุจฉา

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีความหวาดกลัวเป็นทุน ด้วยกรอบความคิดที่พกพาแต่ความสงสัย
ทำให้เขาเป็นคนผัดผ่อน ลังเลจะทำตามความฝัน หรือสนเท่ห์เจตนาของผู้อื่น
บางคนชอบเก็บตัวและปกป้องตัวเองจากภาวะคุกคาม
แต่บางคนก็ปกป้องตนเองโดยออกไปเผชิญหน้า เลยกลายเป็นเรื่องก้าวร้าวโดยไม่เจตนา

โลกทัศน์ของคน 6 คือ...โลกนี้อันตราย คุกคาม ความใส่ใจอยู่ที่ความมั่นคงปลอดภัย เขาจึงมองหาอันตรายและสิ่งซ่อนเร้นอยู่เสมอ

ลักษณะทั่วไป...ชอบสงสัย ตั้งคำถามกับอำนาจ มองโลกในแง่ร้าย



หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:07:26
คนลักษณ์ 7 : นักผจญภัย

มองโลกในแง่ดี กระฉับกระเฉง มีเสน่ห์ หลบหลีกเก่ง มีคุณสมบัติเหมือนปีเตอร์ แพน
เกลียดการติดกับหรือถูกบังคับ และสำรองทางเลือกแห่งความสนุกสำราญไว้มากที่สุดเท่าที่จะคิดได้
มุ่งอนาคตมีแผนในใจ สามารถเป็นนักสร้างเครือข่าย นักสังเคราะห์

โลกทัศน์ของเขา...เต็มไปด้วยโอกาส ความใส่ใจของคนเบอร์นี้อยู่ที่โอกาส ทางเลือก แผนการ สิ่งแปลกใหม่ สิ่งสนุก ตื่นเต้น

ลักษณะทั่วไป...เป็นคนมองโลกแง่บวก ชอบท่องเที่ยว ผจญภัย เบื่อง่าย หลีกเลี่ยงข้อจำกัด

คนลักษณ์ 8 : เจ้านาย

กล้าแสดงสิทธิจนถึงก้าวร้าวเป็นครั้งคราว ดำเนินชีวิตแบบต้องได้ทั้งหมดหรือไม่เช่นนั้นจะไม่เอาเลย
มักเป็นผู้นำ หรือไม่ก็เป็นตัวเองอย่างดุเดือดกล้าแข็ง สามารถปกป้องเพื่อนหรือคนอื่นได้
รู้ว่าตัวเองคิดอะไร มุ่งยุติธรรม สามารถใช้พลังอำนาจเพื่อสนับสนุนสิ่งที่เขาเห็นว่ามีคุณค่า

โลกทัศน์ของคนลักษณ์นี้คือ...โลกนี้ไม่ยุติธรรม ฉันต้องปกป้องผู้อ่อนแอ ความใส่ใจอยู่ที่อำนาจ การควบคุม ความยุติธรรม

ลักษณะทั่วไป...เป็นคนเต็มที่ ใช้พลังอย่างสุดเหวี่ยง การสั่งสอนให้บทเรียน
กล้าพูด กล้าทำ มีพลัง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:09:09

คนลักษณ์ 9 : ผู้ประสานไมตรี


เป็นคนใฝ่สันติ เข้าใจมุมมองของคนทั้งหลาย แต่ไม่เข้าใจความต้องการของตัวเองดีนัก
ชอบชีวิตราบรื่น สะดวกสบาย จึงเห็นคล้อยไปกับแผนการของทุกคนเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง
แต่ในภาวะกดดัน คน 9 จะดื้อดึงดันทุรัง โกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงได้ มักจัดลำดับความสำคัญไม่ถูก แต่สามารถเป็นผู้ไกล่เกลี่ย เป็นนักเจรจาต่อรองที่ดี ทำให้การทำงานเป็นทีมร่วมที่ดี

โลกทัศน์ของเขาคือ...โลกมองข้ามเรา คนอื่นสำคัญกว่า ความใส่ใจของเขาอยู่ที่การกลมกลืนกับสิ่งรอบตัว ความต้องการของคนอื่น

ลักษณะทั่วไป...เป็นคนที่มักละเลยกับความสำคัญของตนเอง การเลือกไม่ได้ ไม่รู้ความต้องการของตัวเอง การดื้อเงียบ รู้ลักษณ์ รับตัวตน


ที่มา: สมาคมนพลักษณ์ไทย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 26 มกราคม 2551, 23:10:35
หวัดดียามดึก
เอาอีก ให้ครบเลยนะ

เออ สงสัยอย่าง
ป้าหมี ทำไมงานเยอะจัง
ทำตั้งแต่เช้า จรด ค่ำ
เสาร์ อาทิตย์ เหมือนจะไม่ได้ว่างเว้น

น่าสนใจ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:12:04
ด้วยความรักและความปรารถนาดี

จาก  ป้าหมีค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:14:27
อ้างจาก: "yai"
หวัดดียามดึก
เอาอีก ให้ครบเลยนะ

เออ สงสัยอย่าง
ป้าหมี ทำไมงานเยอะจัง
ทำตั้งแต่เช้า จรด ค่ำ
เสาร์ อาทิตย์ เหมือนจะไม่ได้ว่างเว้น

น่าสนใจ


แล้วใครล่ะเนี่ยโผล่มาอีกแล้ว...ก่อนเที่ยงคืน

งานเยอะเพราะมัวแต่เล่นเว็บไงล่ะ  มาน น น น น เลยดูเหมือนแยะ

อิ อิ  เด๋ว  คราย ย ย ย ย  มาจับได้  

ยังไง  ก็โปรดอภัยให้ผู้น้อยที่ต้องใช้แรงงาน น น น  นะคะ :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:16:02
คุณใหญ่

กรุณาตอบด้วยนะคะ

ว่างานแยะตรงไหน

ก็เจอกันหน้าเว็บตลอดฮิ :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 26 มกราคม 2551, 23:19:07
ก็เห็นโพสต์ว่าต้องทำงาน
ก็เลยทำให้นึกว่างานเยอะ

เป็นครูหรือ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:22:26
ถ้าเป็นครู

นักเรียนเคารพธงชาติ 8.00 น.

ส่งนักเรียนกลับบ้าน 15.30 น. (ถูกหรือเปล่า)

เสาร์-อาทิตย์  พักผ่อนกายา อิ อิ



จาก  ป้าหมี  แรงงาน ราคาถูกจ่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:23:53
อ้างจาก: "yai"
ก็เห็นโพสต์ว่าต้องทำงาน
ก็เลยทำให้นึกว่างานเยอะ
[/u]เป็นครูหรือ


เขาเรียกว่า  "สร้างภาพ"  จ้า  :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 26 มกราคม 2551, 23:25:51
รับราชการ หรือเปล่า

ตอบแบบเหวี่ยงแหแล้วนา


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:27:13
ทำไมถึงคิดเช่นนั้นน๊า  วานบอก :lol:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:28:46
อ้างจาก: "piyawat"
โหเสี่ยป้อม ...ยาวหว่ะ...ขี้เกียจอ่าน

แน่จริงชวนคุยเรื่องสถาบัน
...ซิ...

55  ไอ้ใหญ่ชอบมากกก...ประเด็นนี้...


เรื่องอะไรรึ

พอดีป้าหมียัง งง งง ค่ะ


จาก  ป้าหมี คนไม่ทันเพื่อน


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:30:15
อ้างจาก: "yai"
หวัดดียามดึก
เอาอีก ให้ครบเลยนะ
เออ สงสัยอย่าง
ป้าหมี ทำไมงานเยอะจัง
ทำตั้งแต่เช้า จรด ค่ำ
เสาร์ อาทิตย์ เหมือนจะไม่ได้ว่างเว้น

น่าสนใจ


เรื่องอะไร งง งง พอดีดึกนะค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 26 มกราคม 2551, 23:31:16
สถาบัน เอ่อ สีน้ำเงินนะ

พอเดาออกไหม

ก็นินทา ไปตามประสาแหละ

ไม่มีอะไร


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:36:06
ก้อ  ไม่เข้าใจ

แต่ไม่เป็นไรเน๊อะ ไม่รู้ก็ดี


แต่ก้อยัง งง ง ง  คุณ PIYAWAT โผล่มากลางคัน  

เรื่องไรไม่รู้

บอกว่าคุณใหญ่ต้องชอบ



หรือว่าค้างจาก google

อิ อิ

ก็มาน น น น  น น....ไม่ทันคนจริง  จริ๋ง  ยัยหมีนี่


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 26 มกราคม 2551, 23:39:50
เรื่องมันยาว เสียวด้วย เปลี่ยนเรื่องดีกว่า

ตกลงรับราชการ เนาะ

ดูจากที่ทำงานต้องส่งเอกสารเป็นชิ้น ๆ มีการประชุม ดูงานต่างประเทศ

เอ หรือทำงานเอกชนหว่า

ดึกแล้ว คิดไม่ออก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:43:54
กู๊ดไนท์ค่ะ  :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 26 มกราคม 2551, 23:45:09
เหอ อ อ อ...
.........ตกลงจนป่านนี้  มาน น น น  ก็ยังเป็นยัยหมีคนเดิมฮิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 26 มกราคม 2551, 23:47:19
หลับฝันดีครับ

เจอกันใหม่ เมื่อชาติต้องการ เอ๊ย เมื่ออยากคุยกัน


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 27 มกราคม 2551, 08:14:52
อ้างจาก: "yai"
หวัดดียามดึก
เอาอีก ให้ครบเลยนะ

เออ สงสัยอย่าง
ป้าหมี ทำไมงานเยอะจังทำตั้งแต่เช้า จรด ค่ำ
เสาร์ อาทิตย์ เหมือนจะไม่ได้ว่างเว้น

น่าสนใจ


เยอะจริงจริงแหละ
บางทีต้องปฏิเสธงานหลายชิ้น รู้สึกเสียดายเหมือนกัน

ที่ไม่ได้ว่างเว้น เพราะเป็นงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและผูกพัน  
เผลอแว๊บเดียวนะ  สิ่งที่คิดไว้ หรือทำไว้  ต้องกลับมาเริ่มนับศูนย์ใหม่เลยล่ะคะ

แต่ถ้าเสร็จนะคะ  คุณใหญ่เอ้ย  ได้เฮ...ฉลอง...พัก และอู้ยาว ว วว ว ว ว...เป็นเดือนยังได้เลย
แล้วกลับมาเริ่มใหม่ อิ อิ

เขาเรียกว่า ชีวิตมีกรรมค่ะ  กรรมคือผลจากการกระทำ  :wink:  :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 27 มกราคม 2551, 08:53:48
อ้างจาก: "yai"
เรื่องมันยาว เสียวด้วย เปลี่ยนเรื่องดีกว่า

ตกลงรับราชการ เนาะ

ดูจากที่ทำงานต้องส่งเอกสารเป็นชิ้น ๆ มีการประชุม ดูงานต่างประเทศ
เอ หรือทำงานเอกชนหว่า

ดึกแล้ว คิดไม่ออก


1. หมีไม่ได้เป็นข้าราชการ  และไม่ได้ทำงานภาคเอกชนค่ะ

2. หมียังไม่เคยได้ไปดูงาน ต่างประเทศเหมือนคนอื่นเขาเลยค่ะ

    ............. แต่หมีไปทำงานแบบให้เขาเชือดงานเราเพื่อให้สมบูรณ์ขึ้น และ present ว่างานเราใช้ได้ เป็นที่ยอมรับหรือไม่ค่ะ และไปฟังแนวคิดของคนชาติอื่นว่าเป็นอย่างไร

.........แล้วก่อนไปก็ต้องส่งงานไปให้ทางโน้นพิจารณาก่อนว่าจะยอมให้เราเข้าร่วมหรือไม่
โอกาสที่จะถูกปฏิเสธก็มีสูงมาก

..........หมีไม่ได้อยากไปหรอกค่ะ  ไม่ชอบการเดินทาง.......ที่ไปเพราะความจำเป็น

3. บางทีป้าหมีว่า.....???
...........อาจจะเป็นการดีกับป้าหมี..ในตอนนี้ และวันนี้ก็ได้นะคะ ป้าหมีอยากมีเพื่อน  และมีคนคุยด้วยแบบ เฮ ฮา บ้างค่ะ  :cry:  :cry:

(ถ้าเห็นตัวจริง อาจจะ โหด เลว ดี และชอบแอบหลบหนีเพื่อนฝูงอยู่เรื่อยเลย ย  ....ไม่เคยเปลี่ยน....)



หรือคุณใหญ่ว่ากระไรรึ...........
.
ยินดีรับฟังความเห็นด้วยความนับถือค่ะ
.
.
ยินดีเสมอสำหรับมิตรสหาย
.
.
.


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 27 มกราคม 2551, 09:41:27
Sunday Good Morning


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 27 มกราคม 2551, 10:03:47
อ้างจาก: "wirat"
Sunday Good Morning


สวัสดีค่ะ หลานป้อม

ดีใจที่สุดค่ะ ที่ได้เจอ :D


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 27 มกราคม 2551, 10:43:51
everyday should be a holliday!!!


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 27 มกราคม 2551, 14:08:30
อ้างจาก: "เจษฎา หรร"
everyday should be a holliday!!!


สำหรับหมี

การทำงานคือการพักผ่อน ชิมิ  :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 27 มกราคม 2551, 19:13:35
อ้างจาก: "BU_MEE"
อ้างจาก: "yai"
เรื่องมันยาว เสียวด้วย เปลี่ยนเรื่องดีกว่า

ตกลงรับราชการ เนาะ

ดูจากที่ทำงานต้องส่งเอกสารเป็นชิ้น ๆ มีการประชุม ดูงานต่างประเทศ
เอ หรือทำงานเอกชนหว่า

ดึกแล้ว คิดไม่ออก


1. หมีไม่ได้เป็นข้าราชการ  และไม่ได้ทำงานภาคเอกชนค่ะ

2. หมียังไม่เคยได้ไปดูงาน ต่างประเทศเหมือนคนอื่นเขาเลยค่ะ

    ............. แต่หมีไปทำงานแบบให้เขาเชือดงานเราเพื่อให้สมบูรณ์ขึ้น และ present ว่างานเราใช้ได้ เป็นที่ยอมรับหรือไม่ค่ะ และไปฟังแนวคิดของคนชาติอื่นว่าเป็นอย่างไร

.........แล้วก่อนไปก็ต้องส่งงานไปให้ทางโน้นพิจารณาก่อนว่าจะยอมให้เราเข้าร่วมหรือไม่
โอกาสที่จะถูกปฏิเสธก็มีสูงมาก

..........หมีไม่ได้อยากไปหรอกค่ะ  ไม่ชอบการเดินทาง.......ที่ไปเพราะความจำเป็น

3. บางทีป้าหมีว่า.....???
...........อาจจะเป็นการดีกับป้าหมี..ในตอนนี้ และวันนี้ก็ได้นะคะ ป้าหมีอยากมีเพื่อน  และมีคนคุยด้วยแบบ เฮ ฮา บ้างค่ะ  :cry:  :cry:

(ถ้าเห็นตัวจริง อาจจะ โหด เลว ดี และชอบแอบหลบหนีเพื่อนฝูงอยู่เรื่อยเลย ย  ....ไม่เคยเปลี่ยน....)



หรือคุณใหญ่ว่ากระไรรึ...........
.
ยินดีรับฟังความเห็นด้วยความนับถือค่ะ
.
.
ยินดีเสมอสำหรับมิตรสหาย
.
.
.


เห็นด้วย
ไว้จะเดาใหม่นะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: khesorn mueller ที่ 27 มกราคม 2551, 19:56:24
อ้างจาก: "เจษฎา หรร"
everyday should be a holliday!!!


but not when you are not fine,your wife is sick,your child is not well...
that is not a holliday but"helliday"!!
p.nn


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 28 มกราคม 2551, 14:59:12
ความเจ็บป่วยเป็น"ธรรมดา"ครับพี่ เป็นได้ก็หายได้ ไม่หายก็ตาย ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ฮิฮิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 28 มกราคม 2551, 15:26:16
เล่าเรื่องเศร้าหน่อย (นิดเดียวจริง ๆ)

เรื่องก็คือ มีรุ่นน้องที่บริษัท มีงานที่ต้องทำแบบควบกะ (12+8 =20 ชั่วโมง)
ช่วงประมาณ ปลายปีที่แล้ว (ไม่ได้ทำทุกวัน) แล้ววันหนึ่งขับรถกลับบ้าน หลังเลิกงาน
จากระยองจะกลับบ้านที่ชลบุรี ก็ประสบอุบัติเหตุ เหมือนจะหลับใน ชนท้ายสิบล้อ
(ที่จอดไว้เฉย ๆ) เขาไม่ตาย แต่สมองกระทบกระเทือนอย่างหนัก กลายเป็นมนุษย์ผัก
ตั้งแต่ ธค. ถึง มค. ก็สามเดือน สุดท้ายก็จากไป เมื่อวานนี้เอง
เพิ่งมีลูกด้วย สาม สี่เดือน ถ้าจำไม่ผิด

จะบอกว่า
หนึ่ง ขับรถให้ระวัง แค่เสี้ยววินาทีเดียว ชีวิตมันเปลี่ยนเลยนะ
สอง ใช้ชีวิตปัจจุบัน ให้คุ้มค่า อยากทำอะไรก็รีบทำ (สิ่งที่ดี ๆ นะจ๊ะ อย่าตีความหมายผิด ๆ)
สาม มีอุเบกขา ถือว่าชีวิตไม่เที่ยง (คือตอนได้ยินผมก็สงสารเขาอ่ะนะ นึกถึงถ้าเป็นญาติหรือคนสนิทเรา คงต้องมีจิตใจที่เข้มเข็งทีเดียวถึงจะผ่านไปได้)


เศร้าไหมเนี่ยะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 28 มกราคม 2551, 16:49:19
อืม ม มม ม   เราไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นเน๊อะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 28 มกราคม 2551, 17:00:32
อ้างจาก: "wirat"
Photobucket

ป้าหมีเป็นกล้วยไม้ที่บ้าน เพิ่งออก


วันนี้ไม่เห็นหลานป้อมที่น่ารัก

อดคิดถึงไม่ได้เหมือนกันค่ะ

ด้วยรักและคิดถึง

ป้าหมี


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 28 มกราคม 2551, 17:44:50
หอหญิงมีใครที่ผมยังไม่หลีบ้างครับ จะรีบไปหลีตามที่ใหญ่แนะนำ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 29 มกราคม 2551, 11:06:36
อ้างจาก: "เจษฎา หรร"
ความเจ็บป่วยเป็น"ธรรมดา"ครับพี่ เป็นได้ก็หายได้ ไม่หายก็ตาย ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ฮิฮิ


พูดง่าย แต่ตายยาก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 29 มกราคม 2551, 11:13:59
ที่ตายยากเพราะ ไปยื้อกันเองไม่ยอมตายที่บ้าน ไปใส่ท่อใส่อะไรให้มันตายช้า ถ้าไงรบกวนเพื่อนป้อมช่วยแอบมาถอดสายให้ผมด้วยนะถ้าผมเป็น"ผัก"ไปจริงๆ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: iamfrommoon ที่ 29 มกราคม 2551, 11:17:30
เอามาฝากบ้าง จากเว็บดร.บุญชัย โกศัลวัตน์ที่อ่านบ่อยๆ

New Dimention: Peter Drucker  by Dr. Boonchai

จากหนังสือ The Essential of Peter Drucker ได้กล่าวถึง ผู้บริหารที่ดีควรเป็นอย่างไรว่า

1. บริหารเวลาให้ได้ประโยชน์สูงสุด
      - จัดการกับเวลาให้พอดีกับงาน เช่น หากงานไหนสำคัญก็ให้เรียงลำดับงานนั้นก่อน และหากไม่สำคัญก็ตัดออกไป

2. Contribution (การทำประโยชน์ต่อองค์กร)
   - หากอะไรดีก็เสนอต่อองค์กร เราสามารถทำสิ่งใดให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กรบ้าง เช่น หากมีสิ่งไหนสามารถลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ก็ให้นำเสนอ
    - เน้น Corporate Culture (วัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน) และเน้น Team Work ซึ่งหากทำงานไม่เข้าใจกันก็ให้เคลียร์ให้จบ โดยไม่ต้องเก็บไปคิดต่อ, และ สร้างคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ทำงานในองค์กรต่อไป

3. ค้นหาจุดแข็งทั้งจากลูกน้องและของตัวเอง
- คิดว่า ตนเองมีผู้บังคับบัญชาเสมอ ต้องรู้จักการใช้ Strength และความเชี่ยวชาญของตนเองและลูกน้องให้เป็นประโยชน์ และให้ Career chance กับลูกน้อง

4. Team Work
- ต้องรู้ว่า ใครเหมาะสมกับงานอะไร ใช้คนให้เป็น ผู้บริหารต้องดึงศักยภาพของลูกน้องออกมา ต้องทำให้เขาอยากทำงาน ให้เขารู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่า ทำออกมาเป็นรูปธรรม
- ให้พนักงานเป็นผู้บริหารงานของตนเอง โดยให้เขาใช้สติปัญญา พัฒนาความรู้ รู้จักการทำ planning

5. Decision ต้องตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 - มองข้อเท็จจริงและรายละเอียดให้มากที่สุด
- มีใจเป็นกลางและมีคุณธรรม ให้มีความคิดดีและศีลประจำใจ ใช้ปรัชญาพุทธศาสนากับการทำงาน
- งานอะไรบ้างที่สามารถนำมาทำร่วมกันได้

6. Communication (การสื่อความ)
- สามารถสื่อความหมายให้ลูกน้องเข้าใจและปฏิบัติตามได้ และให้ลูกน้องรู้สึกยินดีที่จะให้ความร่วมมือ โดยให้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 29 มกราคม 2551, 11:19:04
เจษ คุณ ต้อง กับผม บ่อยๆ แล้ว โลก จะสดใส ทั้ง ชายหญิง

พิมพ์ ไม่ผิด ต้องการสื่อแบบกำกวมอย่างนี้แหละ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 29 มกราคม 2551, 11:21:05
อ้างจาก: "iamfrommoon"
เอามาฝากบ้าง จากเว็บดร.บุญชัย โกศัลวัตน์ที่อ่านบ่อยๆ

New Dimention: Peter Drucker  by Dr. Boonchai

จากหนังสือ The Essential of Peter Drucker ได้กล่าวถึง ผู้บริหารที่ดีควรเป็นอย่างไรว่า

1. บริหารเวลาให้ได้ประโยชน์สูงสุด
      - จัดการกับเวลาให้พอดีกับงาน เช่น หากงานไหนสำคัญก็ให้เรียงลำดับงานนั้นก่อน และหากไม่สำคัญก็ตัดออกไป

2. Contribution (การทำประโยชน์ต่อองค์กร)
   - หากอะไรดีก็เสนอต่อองค์กร เราสามารถทำสิ่งใดให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กรบ้าง เช่น หากมีสิ่งไหนสามารถลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ก็ให้นำเสนอ
    - เน้น Corporate Culture (วัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน) และเน้น Team Work ซึ่งหากทำงานไม่เข้าใจกันก็ให้เคลียร์ให้จบ โดยไม่ต้องเก็บไปคิดต่อ, และ สร้างคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ทำงานในองค์กรต่อไป

3. ค้นหาจุดแข็งทั้งจากลูกน้องและของตัวเอง
- คิดว่า ตนเองมีผู้บังคับบัญชาเสมอ ต้องรู้จักการใช้ Strength และความเชี่ยวชาญของตนเองและลูกน้องให้เป็นประโยชน์ และให้ Career chance กับลูกน้อง

4. Team Work
- ต้องรู้ว่า ใครเหมาะสมกับงานอะไร ใช้คนให้เป็น ผู้บริหารต้องดึงศักยภาพของลูกน้องออกมา ต้องทำให้เขาอยากทำงาน ให้เขารู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่า ทำออกมาเป็นรูปธรรม
- ให้พนักงานเป็นผู้บริหารงานของตนเอง โดยให้เขาใช้สติปัญญา พัฒนาความรู้ รู้จักการทำ planning

5. Decision ต้องตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 - มองข้อเท็จจริงและรายละเอียดให้มากที่สุด
- มีใจเป็นกลางและมีคุณธรรม ให้มีความคิดดีและศีลประจำใจ ใช้ปรัชญาพุทธศาสนากับการทำงาน
- งานอะไรบ้างที่สามารถนำมาทำร่วมกันได้

6. Communication (การสื่อความ)
- สามารถสื่อความหมายให้ลูกน้องเข้าใจและปฏิบัติตามได้ และให้ลูกน้องรู้สึกยินดีที่จะให้ความร่วมมือ โดยให้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น


น้องอ่าน peter drucker ด้วยหรือเขา โคตรปรมาจารย์
พี่อ่าน ช่วงทำ Thesis ป.โท น่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 29 มกราคม 2551, 11:27:34
ผมอ่านแต่เฮียกังฟูว่ะป้อม พอได้ไหม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 29 มกราคม 2551, 11:32:17
เขาไม่อยู่ แล้วใช่ไหม พึ่ง หมอป้อม นี่แหละ สุดยอด


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: iamfrommoon ที่ 29 มกราคม 2551, 11:39:14
อ้างจาก: "yai"
เล่าเรื่องเศร้าหน่อย (นิดเดียวจริง ๆ)

เรื่องก็คือ มีรุ่นน้องที่บริษัท มีงานที่ต้องทำแบบควบกะ (12+8 =20 ชั่วโมง)
ช่วงประมาณ ปลายปีที่แล้ว (ไม่ได้ทำทุกวัน) แล้ววันหนึ่งขับรถกลับบ้าน หลังเลิกงาน
จากระยองจะกลับบ้านที่ชลบุรี ก็ประสบอุบัติเหตุ เหมือนจะหลับใน ชนท้ายสิบล้อ
(ที่จอดไว้เฉย ๆ) เขาไม่ตาย แต่สมองกระทบกระเทือนอย่างหนัก กลายเป็นมนุษย์ผัก
ตั้งแต่ ธค. ถึง มค. ก็สามเดือน สุดท้ายก็จากไป เมื่อวานนี้เอง
เพิ่งมีลูกด้วย สาม สี่เดือน ถ้าจำไม่ผิด

จะบอกว่า
หนึ่ง ขับรถให้ระวัง แค่เสี้ยววินาทีเดียว ชีวิตมันเปลี่ยนเลยนะ
สอง ใช้ชีวิตปัจจุบัน ให้คุ้มค่า อยากทำอะไรก็รีบทำ (สิ่งที่ดี ๆ นะจ๊ะ อย่าตีความหมายผิด ๆ)
สาม มีอุเบกขา ถือว่าชีวิตไม่เที่ยง (คือตอนได้ยินผมก็สงสารเขาอ่ะนะ นึกถึงถ้าเป็นญาติหรือคนสนิทเรา คงต้องมีจิตใจที่เข้มเข็งทีเดียวถึงจะผ่านไปได้)


เศร้าไหมเนี่ยะ


ขอบคุณมากเลยค่ะ พี่ใหญ่...เรื่องแบบนี้เชื่อว่า หลายๆ คนก็คงจะรู้สึกแบบที่พี่ได้บอกไว้...ยิ่งเวลามีเหตุการณ์กับคนใกล้ชิดแล้วก็จะคิดได้เสมอๆ...แต่พอเวลาล่วงเลยมามักจะลืมกัน...

ยังไงก็จะพยายามย้ำเตือนตัวเองไว้...เสี้ยววินาทีทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้เลย...เศร้าด้วยคนนะคะ ขอให้ดวงวิญญาณพี่เขาไปสู่สุขคติภพ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: iamfrommoon ที่ 29 มกราคม 2551, 11:41:04
อ้างจาก: "wirat"
น้องอ่าน peter drucker ด้วยหรือเขา โคตรปรมาจารย์
พี่อ่าน ช่วงทำ Thesis ป.โท น่ะ


ใช่แล้น...อ่านหลายเล่มครับ...อีกคนที่ชอบ John C. Maxwell อิอิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 29 มกราคม 2551, 12:27:29
ใครอ่ะ maxwell ชื่อเหมือน ดิสเก็ต


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 29 มกราคม 2551, 12:29:01
หวัดดี ทุกคน
ไอ้ป้อมเมื่อเช้า ทำเวบ ล่มเปล่า ...มีแต่คนสงสัยมึงว่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 29 มกราคม 2551, 12:31:10
เรื่องทำล่ม ต้องพี่ป็อก ล่ม จนได้มา 1 คน


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 29 มกราคม 2551, 13:28:37
กลับมาจนได้นะ
ไอ้ป้อม ทีหลังอย่าถล่มนักเด่ะ อิ อิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 29 มกราคม 2551, 13:51:23
จะว่าไอ้ป้อม มัน หรือ จะปั่น หือ ใหญ่


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 29 มกราคม 2551, 15:17:12
ใช่ ฝากบอกน้องปุ๊กแล้ว


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 29 มกราคม 2551, 15:17:55
ว่าถึง Web จะล่ม
แต่หัวใจพี่มั่นคงเสมอ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 29 มกราคม 2551, 15:57:24
ป้อม มึงจะเขียนรวมเป็นข้อความเดียวไม่ได้หรือวะ
เดี๋ยวเว็บล่มอีก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 29 มกราคม 2551, 16:10:39
ไม่ได้หรอกใหญ่   มันมีฉายา ปั่นป้อม..นะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 16:48:09
ไม่ได้หรอก ใหญ่
เด๊ยวโดนข้อหากลัวเพื่อน
ตอนนี้ก็กลัวเมียอยู่แล้ว


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 16:48:46
อ้างจาก: "akenui"
ไม่ได้หรอกใหญ่   มันมีฉายา ปั่นป้อม..นะ


เมื่อวานโทรมามีไรรึ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: iamfrommoon ที่ 30 มกราคม 2551, 16:50:45
รอรู้ด้วยคนค่ะ
.
.
.
.
.
เก็บอีก 1 เนียน :lol:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 16:51:31
อ้างจาก: "wirat"
อ้างจาก: "akenui"
ไม่ได้หรอกใหญ่   มันมีฉายา ปั่นป้อม..นะ


เมื่อวานโทรมามีไรรึ


เถ้าแก่โทรหาหลานป้อมรึ

งั้นป้าหมีไม่อยู่รับทราบนะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 16:56:41
เมื่อวานนุ้ย โทรมา
แล้วโทรกลับไป
ได้ยินเสียงผู้หญิงรับ
ไม่ใช่เสียงน้องปู


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 18:17:00
อ้างจาก: "yai"
หวัดดียามดึก
เอาอีก ให้ครบเลยนะ

เออ สงสัยอย่าง
ป้าหมี ทำไมงานเยอะจัง
ทำตั้งแต่เช้า จรด ค่ำ
เสาร์ อาทิตย์ เหมือนจะไม่ได้ว่างเว้น

น่าสนใจ


คุณใหญ่เคยถาม หมีไม่ลืมหรอกนะคะ

วันนี้มีคนทาบทามให้  หมีไปอยู่เมืองหลวง


แต่สำหรับหมีแล้ว

ที่นี่จะดีจะร้ายยังไง จะให้หมีเป็นผักดองแบบไหน

หมีก็ยังรักที่บ้านนอกนี้อยู่คะ


หมีคิดว่า  สำหรับตัวหมีเองจะไปอยู่เมืองหลวงเมื่อไหร่ก็ได้  ถ้ามีผลงาน


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: newstar ที่ 30 มกราคม 2551, 18:19:11
อ้างจาก: "wirat"
เมื่อวานนุ้ย โทรมา
แล้วโทรกลับไป
ได้ยินเสียงผู้หญิงรับ
ไม่ใช่เสียงน้องปู


น้องสาวมันมั๊ง
ตอบแทนไอ้นุ้ย




อ่ะอ่ะอ่ะ แต่ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะมีเฮ...


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 18:24:46
อ้างจาก: "yai"
รับราชการ หรือเปล่า

ตอบแบบเหวี่ยงแหแล้วนา


คุณใหญ่ถาม

หมียังไม่รู้เลยว่าชีวิตการงานหมีจะเป็นแบบไหนสำหรับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

มีที่อื่นมาทาบทามไปเหมือนกัน

แต่หมียังไม่อยากไปไหนค่ะ


.....มีคนใหญ่คนโตที่นี่  บอกหมีว่า

"ที่นี่ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อนี้  อาจไม่รู้จักหน้า  แต่ทุกคนต้องรู้จัก"

คงเป็นอะไรที่แปลกประหลาดใช่ไหมคะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 18:28:56
อืมไม่รับราชการ ก็ รับใช่เอกชน
เช่นกระพ้ม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 18:29:55
อ้างจาก: "wirat"
อืมไม่รับราชการ ก็ รับใช่เอกชน
เช่นกระพ้ม


มิใช่ค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 18:31:57
งั้น ต้องอยู่ต่างดาวแล้ว หล่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 18:33:02
อ้างจาก: "wirat"
งั้น ต้องอยู่ต่างดาวแล้ว หล่ะ


ตามใจหลานรักค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 18:34:43
งั้น ผมต้อง หนี ไป Order 1 ตู้ 20 FCL ก่อนน๊ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 18:35:56
อ้างจาก: "yai"
ก็เห็นโพสต์ว่าต้องทำงาน
ก็เลยทำให้นึกว่างานเยอะ

เป็นครูหรือ


หมีต้องทำงานค่ะ

เพื่อนวัน่ข้างหน้า

ไม่ใช่สำหรับวันนี้


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 18:36:31
อ้างจาก: "wirat"
งั้น ผมต้อง หนี ไป Order 1 ตู้ 20 FCL ก่อนน๊ะ


ท่าทางหลานจะงานยุ่ง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 18:38:34
อ้างจาก: "yai"
เรื่องมันยาว เสียวด้วย เปลี่ยนเรื่องดีกว่า

ตกลงรับราชการ เนาะ

ดูจากที่ทำงานต้องส่งเอกสารเป็นชิ้น ๆ มีการประชุม ดูงานต่างประเทศ

เอ หรือทำงานเอกชนหว่า

ดึกแล้ว คิดไม่ออก



หมีต้องทำงานแบบนี้จริง ๆ ค่ะ

และมีงานอื่นอีกที่ต้องทำค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 18:38:37
นิดหน่อย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 18:39:13
อ้างจาก: "wirat"
นิดหน่อย


วันนี้ทำไมหลานไม่รีบกลับบ้านล่ะคะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 18:41:10
Order ไม่เข้าเท่าทีควร
งานไม่เสร็จ
เงินบาทแข็ง
ต้องวางราคาใหม่
etc


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 18:42:10
อ้างจาก: "wirat"
Order ไม่เข้าเท่าทีควร
งานไม่เสร็จ
เงินบาทแข็ง
ต้องวางราคาใหม่
etc


ท่าทางงานจะยุ่ง

สำหรับป้า  ไม่ยุ่งแต่แยะมาก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 18:44:57
อ้างจาก: "yai"

เห็นด้วย
ไว้จะเดาใหม่นะ


ไม่ต้องเดาหรอกค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 18:45:34
Season Change

ใจคนเปลี่ยน

ลูกค้ามันดันเปลี่ยนด้วย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 18:47:41
อ้างจาก: "wirat"
Season Change

ใจคนเปลี่ยน

ลูกค้ามันดันเปลี่ยนด้วย


หลานป้อมทำงานที่นครปฐม

เห็นหลานเคยบอกป้าว่า เป็นเกี่ยวกับการตลาดและการขาย

แสดงว่าเป็นคนพูดจาดี พูดเก่ง  น้ำเสียงไพเราะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 18:58:14
เป็นคนปากแข็ง
แต่รู้เขารู้เรา


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 19:00:46
อ้างจาก: "wirat"
เป็นคนปากแข็ง
แต่รู้เขารู้เรา


ปากแข็งไม่เห็นเกี่ยวกับงานขายงานการตลาดเลยค่ะ

แต่รู้เขารู้เรานี่ใช่


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 19:04:09
เกี่ยวมาก ต้องบริหารข้อมูลและความลับด้วยด้วยการพูด


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 19:04:22
หลานป้อมคงเป็นคนเก่ง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 19:05:13
อ้างจาก: "wirat"
เกี่ยวมาก ต้องบริหารข้อมูลและความลับด้วยด้วยการพูด


มีความลับของสินค้าเราเอง

หรือความลับของลูกค้า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 19:06:32
ทั้ง 2 อย่าง

แผล็บ ๆ คุยกับหมี

เลยได้อีก 2 x 40 FCL


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 19:06:52
เอ้า มากันหมดแล้ว

อยากถามไรถามได้ค่ะ

ยกประโยชน์ให้ค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 19:07:35
อ้างจาก: "wirat"
ทั้ง 2 อย่าง

แผล็บ ๆ คุยกับหมี

เลยได้อีก 2 x 40 FCL


ชื่อป้าหมีจ้าหลานรัก


FCL นี้คืออะไรคะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 19:09:18
ตู้คอนเทนเนอร์
FCL
มี  3 size

20 ฟุต
40 ฟุตธรรมดา
40 ฟุตแบบสูง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 19:10:17
สติปัญญาอันน้อยนิดของป้าหมี

เข้าใจเรื่องพวกนี้ยากนะคะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 19:14:35
ไม่เป็นไร

เด๋ยววันหลังถ่ายรูปให้ดู


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 19:19:07
อ้างจาก: "wirat"
ไม่เป็นไร

เด๋ยววันหลังถ่ายรูปให้ดู


จะรอ  และจำได้ว่าจะให้ดูค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 มกราคม 2551, 19:20:29
หึ หึ

Bye See you พรุ่งนี้


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 30 มกราคม 2551, 19:33:15
อ้างจาก: "wirat"
อ้างจาก: "akenui"
ไม่ได้หรอกใหญ่   มันมีฉายา ปั่นป้อม..นะ


เมื่อวานโทรมามีไรรึ

เออว่าจะถามพอดีว่าทำไมไม่รับสาย

โทรไปบอก ให้รู้ว่าผมตั้งกระ เล่าเรื่องด้วยภาพตั้งนานแล้ว ตามที่คุณสั่ง ไม่เห็นไปเล่าภาพด้วยเรื่องเลย

เอ๊ะ  ..แล้วทำไม บูหมี ต้องไม่อยู่ด้วยอะ ไม่เป็นไรหรอก เราคนเปิดเผย กะ เพื่อนๆ นะ

กับลูกค้า พยายามพูดให้น้อย แต่ตรงประเด็น  กะเพื่อน พูดมาก แต่ไร้สาระไปวันๆ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 19:34:59
อ้างจาก: "akenui"
อ้างจาก: "wirat"
อ้างจาก: "akenui"
ไม่ได้หรอกใหญ่   มันมีฉายา ปั่นป้อม..นะ


เมื่อวานโทรมามีไรรึ

เออว่าจะถามพอดีว่าทำไมไม่รับสาย

โทรไปบอก ให้รู้ว่าผมตั้งกระ เล่าเรื่องด้วยภาพตั้งนานแล้ว ตามที่คุณสั่ง ไม่เห็นไปเล่าภาพด้วยเรื่องเลย

เอ๊ะ  ..แล้วทำไม บูหมี ต้องไม่อยู่ด้วยอะ ไม่เป็นไรหรอก เราคนเปิดเผย กะ เพื่อนๆ นะ

กับลูกค้า พยายามพูดให้น้อย แต่ตรงประเด็น  กะเพื่อน พูดมาก แต่ไร้สาระไปวันๆ


จะนอนแล้ว

กลับมาเจอ

เถ้าแก่ ไม่เข้าใจคำถามค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 30 มกราคม 2551, 19:53:18
คุณใหญ่

อย่าลืมย้อนกลับอ่านหน้าถัดมานะคะ

ป้าหมี

ขอนอนก่อนไม่ไหวแล้วค่ะ คร๊อกฟี้ ฟี้


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 30 มกราคม 2551, 20:16:33
นอนแต่หัวค่ำเลยบูหมี  โหมีกรนด้วยเหมือนไอ้ใหญ่เลย
 นอนตะแคงนะจะได้ไม่กรน    หลับให้เต็มที่เลยนะ  จะได้หายไวไว :wink:


ไม่เข้าใจที่เราถามเหรอ  ...อืม สงสัยเราทิ้งช่วงนานไปหน่อย ...ช่างเหอะเนาะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 30 มกราคม 2551, 20:19:31
ขอบคุณครับที่ยังไม่ลืม

แต่ไอ้คำคนใหญ่คนโตเนี่ยะ ต้องไปนั่งนึกดูก่อนว่ามันจะเกี่ยวกับอะไรได้มั่งน้า

หลับฝันดีครับ

นุ้ย กับลูกค้า มันก็ต้องมีเจาะแจะบ้าง ให้เมียทำก็ได้ แล้วมึงตามปิดการขาย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 31 มกราคม 2551, 05:36:01
ขอยืมคำคนอื่นเขามาใช้

"พวกแปลกประหลาด"  ไงคะคุณใหญ่


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 31 มกราคม 2551, 05:37:36
----------เอ้ก อี้ เอ๊ก เอ๊ก-------

ไก่ขันเลี้ยว ววว  ตื่น ๆ จ้า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 31 มกราคม 2551, 05:40:00

-----เช้าวันนี้ สดใส ไร้หม่นหมอง ------

-----เดินเด็ดดอม ดมกลิ่น หอมบุบผา -----

.
.
.


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 31 มกราคม 2551, 08:26:38
สวีดัด สวัสดี เช้าวันพฤหัสบดี  วันแห่งการเริ่มต้น  ขอให้เริ่มต้นด้วยดีนะครับ จบลงด้วย A :wink:

ตื่นเช้าจัง บูหมี เมื่อคืนนอนเต็มที่อ๊ะเปล่า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 31 มกราคม 2551, 08:27:37
เป็นไงหรือ บุปผา

รอคำตอบ เด๋ยวกลับมา


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: iamfrommoon ที่ 31 มกราคม 2551, 08:45:49
อ้างจาก: "BU_MEE"

-----เช้าวันนี้ สดใส ไร้หม่นหมอง ------

-----เดินเด็ดดอม ดมกลิ่น หอมบุบผา -----

.
.
.



สวัสดีตอนสายๆ ค่า วันนี้กทม.ครึ้มฟ้า ครึ้มฝนมากเลย...น่านอนจริงๆ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 31 มกราคม 2551, 10:51:10
ฝันถึงพี่ด้วยน๊ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 31 มกราคม 2551, 18:56:42
อ้างจาก: "wirat"
เป็นไงหรือ บุปผา

รอคำตอบ เด๋ยวกลับมา


ใครวะบุปผา


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2551, 10:59:41
ชื่อต้นไม้ ไอ้ใหญ่


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2551, 11:02:27
บุปผาราตรี


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2551, 11:04:15
หนังผีแล้วเจษ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 08:16:31
มาดูดร.นิเวศน์ ให้ข้อคิดนักบริหารและนักลงทุน อยู่ 5ข้อเพื่อนๆอ่านดูอยากเป็นนักบริหาร หรือนักลงทุน


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 08:17:16
1นักบริหารต้องมีความคิด Active กระตือรือร้น ถ้านั่งคิด โดยรอบคอบจะโดนมองว่าขี้เกียจหรือไร้ความสามารถ ส่วน
นักลงทุน นั้น ต้องใช้ความนิ่งอย่างรอบคอบโดยที่คนอื่นไม่สามารถเห็นได้ แล้วตัดสินใจ ซึ่งจะเป็นขั้นที่ต้องทำให้รวดเร็ว เพราะหลังจากนั้น จะต้องกลับมานิ่งสงบอีกครั้ง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 08:17:45
2นักบริหารชอบสิ่งที่ท้าทาย ทำอะไรซับซ้อน ชอบต่อสู้  ทั้งคู่แข่ง หรือมาฟื้นฟูกิจการเพื่อแสดงว่ามีฝีมือ ส่วนนักลงทุนนั้น ต้องหนีอุปสรรค เช่นเจอหุ้นที่เลวร้าย ต้องขายทิ้ง ฉนั้น ต้องเลือกลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่คาดว่าไม่มีปัญหาในอนาคต


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 08:18:24
3 นักบริหารทีประสบความสำเร็จต้องตามกระแสไม่ว่าจะมีเทคนิคการบริหาร จากกูรู เช่น In Search of Excellence ,Six Sigma, Balance Score Cardหรือล่าสุด Blue Ocean  แต่นักลงทุน มักยึดหลักเดียวคือ มองหาคุณค่าในราคาที่เหมาะสมในการลงทุน ไม่ตามแฟชั่นหรือหุ้นกลุ่มใหม่ๆที่กำลังมาแรง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 08:18:59
4 นักบริหารที่ดี ต้อง เข้ากับคนอื่น กล่าวคือ ต้องบริหารคนได้ ในขณะที่ นักลงทุนต้องอิสระให้เป็นกลางที่ตัดสินคุณค่าธุรกิจต่างๆ อย่างยุติธรรมที่สุด


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 08:19:28
5 สุดท้ายมุมมองเรื่องความเสี่ยง นักบริหาร มัก ชอบเสี่ยง และนักลงมักเล็งผลเลิศ
ซึ่งถ้านักบริหารประสบความสำเร็จ จะได้ผลตอบแทนที่มากขึ้นตอบแทนแต่ถ้า ล้มเหลว ก็สามารถ หาเหตุอ้างได้ สารพัดแล้วผลเสียตกลงที่บริษัท ตรงกันข้าม นักลงทุนกลัวความเสี่ยง ถ้าเขาพลาด ความเสียหายจะลงกับนักลงทุนทั้งหมดโทษใครไม่ได้


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 08:20:46
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ความสำเร็จของเขานั้น “ไม่ใช่การฆ่ามังกรแต่เป็นการหลบหลีกมันให้พ้น”

จบ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 12:43:55
อ่านครบทุกข้อแล้วสรุปว่าผมเอง เป็น "แมงเม่า"ว่ะป้อม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 18:58:44
งั้นผมขอเป็นกองไฟนะเจษ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 21:20:09
เอ้า เข้าเรื่องกันหน่อย

ป้อมเขาอุตส่าห์หามาให้อ่าน

เดี๋ยวผมหาถ่านมาจุดให้  :D


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 21:24:21
ขอเป็นพัด


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 21:33:44
อ้างจาก: "wirat"
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ความสำเร็จของเขานั้น “ไม่ใช่การฆ่ามังกรแต่เป็นการหลบหลีกมันให้พ้น”

จบ


โห บัฟเฟต์ เล่นกับมังกรเลยหรือ หนังสือแปลมา หรือพยายามเปรียบเทียบวะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 21:39:32
อ้างจาก: "yai"
อ้างจาก: "wirat"
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ความสำเร็จของเขานั้น “ไม่ใช่การฆ่ามังกรแต่เป็นการหลบหลีกมันให้พ้น”

จบ


โห บัฟเฟต์ เล่นกับมังกรเลยหรือ หนังสือแปลมา หรือพยายามเปรียบเทียบวะ


 :shock:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 21:41:13
คือ ผมความรู้น้อยหน่ะ

เขาอาจจะพูดจริง ๆก็ได้ ขอคอนเฟิร์มกับหลานป้อมหน่อย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 21:55:45
เพิ่งอ่าน My life as a coach ของซิคเว่  บรัคเค่ จบ (CEO Dtac)

ชอบคำ quote ที่เอามาจากคนหลากหลายอาชีพ (อ่านเข้าใจง่าย ๆ)

และมีข้อเตือนใจที่เขาเอาไปใช้ในงาน

เนื้อหามีหลายอย่างน่าสนใจ เช่น เกี่ยวกับ การกล้าแสดงความคิดเห็น กล้าที่จะผิด

แล้วเรียนรู้ไปข้างหน้า กล้าที่จะทำสิ่งแปลกใหม่

มีคำพูดที่ผมชอบหลาย ๆ ประโยค , วลี เช่น

- Leaders don't create 'followers'. They create 'leaders'. - Tom Peter

- Fail sooner , succeed faster. - David Kelly

-Courage is what it takes to stand up and speak ; courage is also what it

takes to sit down and listen - Winston Churchill

-When written in Chinese , the word "crisis" is composed of two

characters - one represents danger and the other represents

opportunity. - John F. Kenedy

กำลังอ่านหนังสือ โดนัล  ทรัมป์ อยู่ แล้วจะเอามาฝาก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2551, 22:00:00
เป้ ผมอ่าน the world is flat เล่นหนึ่งจบแล้วนะ (หลังจากอ่านเล่มสองจบไปก่อนหน้านี้แล้ว)

เคยคุยกับคุย ที่ไหนในบอร์ดนี้สักแห่ง แต่ไม่เป็นไร

ไอ้เล่มสามเนี่ย ดูเหมือนคุณจะบอกว่ามันซ้ำไปซ้ำมาใช่ไหม

เดี๋ยวถ้าหนังสือมา จะลองชิมลางดูแล้ว จะมาถกด้วย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551, 07:05:28
Yai don't forget to try "my life as a dog" use google for searching....


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551, 11:01:31
อ้างจาก: "yai"
เป้ ผมอ่าน the world is flat เล่นหนึ่งจบแล้วนะ (หลังจากอ่านเล่มสองจบไปก่อนหน้านี้แล้ว)

เคยคุยกับคุย ที่ไหนในบอร์ดนี้สักแห่ง แต่ไม่เป็นไร

ไอ้เล่มสามเนี่ย ดูเหมือนคุณจะบอกว่ามันซ้ำไปซ้ำมาใช่ไหม

เดี๋ยวถ้าหนังสือมา จะลองชิมลางดูแล้ว จะมาถกด้วย


ผมใช้เวลาหลายวัน กว่าจะอ่านจบน่ะ เล่มสาม

ตอนนี้ อ่าน ไชน่าดอด อิงค์ ถึงบทสุดท้ายแล้ว
ให้มุมมองเกี่ยวกับจีนที่ต่างออกไปจากเล่มอื่นๆ

ทรัพป์ เคยอ่านแล้ว สรุปได้ว่า ลูกสาวแกสวยดี

ซีอีโด ดีแทค ยังไม่ได้อ่าน
กลับไปจะลองไปหามาอ่านบ้างดิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551, 12:27:57
อ้างจาก: "Pae"
อ้างจาก: "yai"
เป้ ผมอ่าน the world is flat เล่นหนึ่งจบแล้วนะ (หลังจากอ่านเล่มสองจบไปก่อนหน้านี้แล้ว)

เคยคุยกับคุย ที่ไหนในบอร์ดนี้สักแห่ง แต่ไม่เป็นไร

ไอ้เล่มสามเนี่ย ดูเหมือนคุณจะบอกว่ามันซ้ำไปซ้ำมาใช่ไหม

เดี๋ยวถ้าหนังสือมา จะลองชิมลางดูแล้ว จะมาถกด้วย


ผมใช้เวลาหลายวัน กว่าจะอ่านจบน่ะ เล่มสาม

ตอนนี้ อ่าน ไชน่าดอด อิงค์ ถึงบทสุดท้ายแล้ว
ให้มุมมองเกี่ยวกับจีนที่ต่างออกไปจากเล่มอื่นๆ

ทรัพป์ เคยอ่านแล้ว สรุปได้ว่า ลูกสาวแกสวยดี

ซีอีโด ดีแทค ยังไม่ได้อ่าน
กลับไปจะลองไปหามาอ่านบ้างดิ


น่าสนใจ

ของ ทรัมป์ มันมีหลายเล่ม

เล่มที่ผมอ่าน ยังไม่เห็นรูปลูกสาวเลยนะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551, 12:49:28
อ้างจาก: "เจษฎา หรร"
Yai don't forget to try "my life as a dog" use google for searching....


ของ "ระริน" สำนักพิมพ์ อิมเมจ ใช่ไหม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551, 13:09:56
Ivanka Trumps

(http://i68.photobucket.com/albums/i31/amarit71/ivanka-trumps-purse2.jpg)


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551, 16:18:33
เอามะพร้าวห้าว มาขายสวน  :D


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551, 17:13:36
อ้างจาก: "yai"
เอามะพร้าวห้าว มาขายสวน  :D


ไม่หรอก ใหญ่
พอดีรู้จัก เพราะเขาเป็นข่าวประมาณ ครึ่งปีได้แล้วมั้ง
ว่าเป็น ลูกเศรษฐี ที่มีความสามารถ ไม่แพ้พ่อ แล้ว สวยด้วยประมาณนั้น

ไม่แน่ใจว่า ดูจากช่อง E หรือ CNBC
ในข่าวเห็นว่าเริ่มทำธุรกิจเอง แล้วประสบความสำเร็จด้วย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551, 17:15:45
พอดี สวยดี เลยจำได้ อิอิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551, 20:26:37
ทำความเข้าใจกันหน่อย เป้

ผมหมายถึง "มะพร้าว สองลูก" หนะ

ไม่ได้จะไปพาดพิงสุภาษิต หรอก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551, 06:49:45
อ้าวเหรอ
ผมว่ามันมีพร้าวอ่อนหนา


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551, 08:09:13
อ้างจาก: "yai"
ทำความเข้าใจกันหน่อย เป้

ผมหมายถึง "มะพร้าว สองลูก" หนะ

ไม่ได้จะไปพาดพิงสุภาษิต หรอก

กูว่าแล้ว


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551, 11:43:53
ป้อม ไม่ค่อยปั่นเลยนะช่วงนี้


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551, 16:13:24
มีแต่ปั่นตามน้ำ น่ะ ใหญ่

แถม ช่วงบ่ายแทบ ตาย

เข้า Web ไม่ได้


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551, 08:56:09
คนรวย VS คนชั้นกลาง

โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร    12  กุมภาพันธ์ 2551

                ผมได้อ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ  เล่มหนึ่งเขียนโดย Keith Cameron Smith เรื่องความแตกต่างที่โดดเด่น  10 ข้อ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง  และเห็นว่ามันมีความเป็นจริงอยู่พอสมควรจากการสังเกตของผม   ดังนั้น  จึงขอนำมาเผยแพร่เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราอยู่ในด้านไหนของสังคมและจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ย้ายจากการมีแนวโน้มที่จะเป็นคนชั้นกลางสู่การเป็นคนรวย

                ความแตกต่างข้อแรกก็คือ  เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น   ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน  พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ   คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน  นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก   แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ  หรือเป็นสิบ ๆ ปี   ในใจของคนจนนั้น  เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก  ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า   ส่วนคนรวยนั้น   เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน   เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน      การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล  เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน  และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง

                ข้อสอง   คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย  คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ  และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น    นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น   แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ  หรือมีมุมมองต่าง ๆ  มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน    เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า    คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ  “ซุบซิบนินทา”  เป็นนิจสิน   ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ  ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์  ดนตรี  การพักผ่อนหย่อนใจ  เป็นต้น

                   ข้อสาม  คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง   คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง    คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน   ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า  เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้   เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ  ได้

                 ข้อสี่   คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว   คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง    นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม    คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง     ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ  นั้นจะมีน้อยมาก       ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ   คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก   ในอีกมุมหนึ่ง   คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง  “บ้าบิ่น”  เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย   คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

                ข้อห้า  คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต   คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน   นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ  นี้  ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ     เพราะในความรู้สึกของผมเอง  การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้   และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี   ดังนั้น  ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน    โดยนัยของข้อนี้   คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย  ๆ   ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น  พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ  และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ  ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้

                ข้อหก   คนรวยทำงานเพื่อหากำไร  คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง   คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง   ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า   จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน   แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น   มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

                ข้อเจ็ด   คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน   คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ   ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร   ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ  อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต

                ข้อแปด   คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย   คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง   ข้อนี้ก็เช่นกัน  ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย   ๆ  อย่าง  หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย    แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ   คนชั้นกลางนั้น  มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

                ข้อเก้า   คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง   คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน    เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม   ดังนั้น   ถ้าเขามีหุ้นอยู่  การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี   แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย   สรุปก็คือ  คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง   คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

                สุดท้าย  ข้อสิบ   คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ   เช่น  ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร?   ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น  จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?

                   และนั่นก็คือความแตกต่าง  10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้   ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริง  แน่นอน  คนรวยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลาง  และคนชั้นกลางจำนวนมากก็มีนิสัยแบบคนรวย   แต่ถ้าเราอยากรวย  ผมคิดว่า  การยึดนิสัยแบบคนรวยน่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551, 11:44:21
ต้องเพลงคาราบาวเลย

"คนจน จนแต่รวยน้ำใจ

คนจนผู้ยิ่งใหญ่"

จนเงินได้ อย่าจนน้ำใจนะจ๊ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551, 12:36:54
เดี๋ยวกลับมาอ่าน  แต่ใหญ่ก็สรุปไปให้แล้วนิ 8)


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551, 12:41:03
ถูกต้องนะคร้าบบบบ :lol:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551, 13:06:51
ป้าหมี คนจน

แต่อยากรวย  อิ อิ :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551, 13:25:40
อ้างจาก: "BU_MEE"
ป้าหมี คนจน

แต่อยากรวย  แบบที่หมอดู เดา ไว้ อิ อิ :wink:


ของฝากเนิ้อฝากตัวไว้ก่อน เด้อ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551, 13:30:41
แค่ เดา น่ะเพื่อน

อยากเป็นจริง เหมือนกัน

สักครึ่งหนึ่ง ก็ยังดี


เอ.....แต่ว่า  ตอนนี้ เพื่อนเป้  จะให้ยืมเท่าไหร่ ล่ะ  :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551, 13:31:55
อ้างจาก: "Pae"
อ้างจาก: "BU_MEE"
ป้าหมี คนจน

แต่อยากรวย  แบบที่หมอดู เดา ไว้ อิ อิ :wink:


ของฝากเนิ้อฝากตัวไว้ก่อน เด้อ



สีแดง น่ะ  เพื่อน เติม ให้หรือ


อืม   ขอบคุณมาก  ที่ทำนาย สิ่ง ล่วงหน้า ดี ดี ไว้ให้ค่ะ

อิ อิ


ป้าหมี


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551, 13:40:31
อ้อ  แล้ว เพื่อนเป้ อย่าลืม

หยวน หยวนล่ะ  ดอกร้อยละ สิบ ต่อ สอง ปี

ต้นไม่ต้องพูดถึง  :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551, 15:58:50
อ้างจาก: "akenui"
เดี๋ยวกลับมาอ่าน  แต่ใหญ่ก็สรุปไปให้แล้วนิ 8)


เฮ้ย ไม่ใช่ ไม่ได้สรุป

อยากรวยก็ต้องดูข้อแนะนำตามที่เป้โพสต์ไว้ (อ่านเอง)

แค่อยากบอกอย่างอื่น แค่นั้น


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551, 19:48:13
เออ ลืมอ่านไปแล้ว ว่ะ   ปริ้นท์มาอ่านดีกว่า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2551, 07:20:11
อ้างจาก: "BU_MEE"
อ้อ  แล้ว เพื่อนเป้ อย่าลืม

หยวน หยวนล่ะ  ดอกร้อยละ สิบ ต่อ สอง ปี

ต้นไม่ต้องพูดถึง  :wink:


เดี๋ยวต้องไปแคะกระปุกนับก่อน ว่ามีเท่าไร :lol:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: khesorn mueller ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2551, 22:43:20
เอาแต่แบ็งค์ เศษสลึงไม่เอาค่ะ
p.bankier


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551, 18:09:51
เพิ่งรู้ ว่า Nike มี คำคม ด้วย คือ

JUST DO IT

จงทำซะ อย่ามัวแต่พูด


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551, 10:59:49
การออม...ลิ่งที่คนไทยยังเข้าใจผิดๆ
 


สรุปจาก  ผู้จัดการออนไลน์ 28 กุมภาพันธ์ 2551 09:34 น.
 
 
       ปัจจุบันเรื่องของการออมเริ่มเข้ามามีบทบาทกับคนไทยมากขึ้น เพราะด้วยสภาพเศรษฐกิจในประเทศที่ยังเดาไม่ออกว่าไปทางไหน ทำให้หลายคนตัดสินใจเก็บออมเงินไว้เป็นดีที่สุด...และเพื่อเป็นข้อมูลให้การเก็บออม "ผู้จัดการรายวัน" ได้นำคำแนะนำดีๆ จาก "วรากรณ์ สามโกเศศ"


สรุปความ  ดังนี้

คนจะจำได้นั้นมีสาเหตุอยู่ 5 ประการคือ

1. ต้องเป็นเรื่องเล่า

2.ต้องเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง

3.ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอารมณ์

4.เป็นเรื่องที่จับต้องได้

5.เป็นเรื่องที่พอจะเชื่อถือได้ เป็นไปได้


แสดงให้เห็นว่าเรื่องที่พูดกันนั้นเราจำได้เพราะมีองค์ประกอบทั้ง 5 อย่าง แต่เรากลับจำเรื่องการออมไม่ได้ เพราะการออมนั้นเป็นนามธรรมไม่ได้เกี่ยวข้องกับ 5 ประการดังกล่าว ดังนั้นการออมต้องมีการพูดตอกยํ้ากันบ่อยๆ เพราะการออมไม่ได้สะกิดอยู่ในใจตลอดเวลา
       
       นายวรากรณ์ ยังเล่าเรื่องของเศรษฐีคนหนึ่งที่เล่าให้ช่างทำรองเท้าฟังว่า ทำอย่างไรถึงจะรวย โดยเล่าว่าต้องทำเงินที่ได้รับในแต่ละวันแต่ละอาทิตย์ให้เป็นรายได้ของตนเอง โดยเก็บเงินไว้ 15-20% ไว้เป็นของตนเอง ตรงนี้ถึงจะเรียกว่ารายได้ ซึ่งอันนี้ก็คือเงินออมที่เรารู้จัก

ถ้าทุกเดือนเราได้เงินมาแล้วไม่กันส่วนหนึ่งไว้เป็นของตนเองแล้ว ไม่มีวันที่จะเป็นเงินของเราอย่างแท้จริง

1. ประเด็นแรกการออม ต้องพูดเน้นยํ้าตลอดเวลาเพราะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของอนาคต ไม่มีใครในโลกนี้อยู่เพื่ออดีต ไม่มีใครในโลกนี้อยู่เพื่อปัจจุบัน คนที่มีปัญญาเท่านั้นจึงจะอยู่เพื่ออนาคต แต่มนุษย์นั้นไม่มีสันชาติญาณในการอยู่เพื่ออนาคตเท่ากับสัตว์
       
เมื่อเรามีเงินเท่าไหร่ก็จะใช้หมดในปัจจุบันนี้ แต่ไม่คิดที่ออมไปสู่เวลาที่ไกลตัว คนที่ออมได้นั้นต้องเป็นคนที่มีความสามารถในการจินตนการว่าอีก 20 ปีต่อจากนี้จะอยู่ได้อย่างไร เราจะมีรายได้มาจากไหน
       
       2. ประเด็นที่ 2 นั้นที่นักเศษฐศาสตร์ค้นพบคือ การออมนั้นจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะมนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่ชอบผลัดวันประกันพรุ่ง

ยกตัวอย่าง วันสุดท้ายของการยื่นแบบฟอร์มเสียภาษีจะเป็นวันที่คนยื่นมากที่สุด เพราะว่าการออมนั้นเป็นความเจ็บปวด ยกตัวอย่างไปหาหมอฟันรอจนปวดจนทนไม่ไหวถึงจะไปหาหมอฟัน ฉะนั้นการออมเป็นเรื่องที่จะต้องบังคับตนเอง
       
      3.  ประเด็นที่ 3 การออมนั้นเป็นภาพที่เป็นลบ โดยเฉพาะในสังคมไทย สังคมไทยนั้นเป็นสังคมที่ยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องของการจัดการเกี่ยวกับการเงิน  เราจะเห็นฝรั่งหรือคนในโลกที่พัฒนาแล้ว จะรู้จักการใช้เงิน จะมีการพักระยะในการใช้เงิน จะมีการวางแผนการใช้เงินตั้งแต่อายุยังน้อย

แต่บ้านเรานั้น มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้น้อยมากพึ่งมาถึงตัวในรอบ 10 ปีนี้เอง ฉะนั้นการออมเป็นเรื่องลบเป็นเรื่องที่ปวดใจ เป็นเรื่องที่ไม่น่าคิด เพราะว่าคนไทยนั้นไม่ชอบมีวินัย ฉะนั้นประเด็นที่ 3 ต้องทำการออมให้เป็นบวก ทำอย่างไรให้การออมที่เป็นลบนั้นกลายเป็นบวก ซึ่งส่วนตัวคิดว่าอยู่ที่เป้าหมาย เพราะว่าการออมนั้นคือการก้าวไปอีก 1 ขั้น เพื่อเข้าสู่เป้าหมาย การออมนั้นไม่ใช่เรื่องน่าเสียใจ น่าร้องให้ แต่เป็นการทำให้เงินของเรานั้นเป็นรายได้ของเราในแต่ละเดือน
       
4.   ประเด็นสุดท้าย คือ คนไทยนั้นเข้าใจผิดอยู่มาก การที่เป็นคนเค็ม เป็นคนตระหนี่ การที่คนประหยัดคนไทยจะเหมาว่าคนประหยัดนั้นเป็นคนน่ารังเกียจ เป็นคนเค็ม เป็นคนเห็นแก่ตัว

ซึ่งในต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องธรรมดามากที่คนจะดูแลเรื่องการใช้จ่ายของตนเอง เพราะว่าเงินนั้นจำกัด ถ้าไม่ออมไว้เพื่ออนาคตก็ไม่มีใครมาช่วยคุณ

แต่สังคมไทยมักจะเหมามองว่าเป็นคนตระหนี่เป็นคนเห็นแก่ตัว ซึ่งมันไม่ใช่ คนสุรุ่ยสุร่ายเห็นแก่ตัวมีเยอะแยะ การตระหนี่คือการรู้จักที่จะออม การใช้เงินนั้นเป็นแบบแผนของการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง

ในลาว ในเวียดนาม เขมร ในอินเดียนั้น คนไปทำงานเค้าก็เอาข้าวใส่กระติกไปกิน แต่ถ้าคนไทยทำอย่างนั้นจะเป็นเรื่องน่ารังเกียจมาก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551, 11:00:42
ทำอย่างไรจึงไปสู่เรื่องของการลงทุนได้

1. ประเด็นแรกของการออมก็คือว่า การออมนั้นเกิดขึ้นมาได้จากรายได้มากกว่ารายจ่าย

ให้จินตนาการว่า เรามีถังนํ้าไปหนึ่ง นํ้าที่เข้าก็คือเงิน ก็อกนํ้าที่ไหลเข้าคือรายได้ที่ไหล และก็มีทางออกคือรายจ่าย นํ้าที่เหลือก็คือเงินออม ต่อให้นํ้าไหลเข้าแรงเท่าไหร่ มีรายได้มากเท่าไหร่ ในแต่ละเดือนถ้าก็อกนํ้าที่ว่าไหลออกในอัตราเดียวมันไม่มีวันเก็บนํ้าไว้ได้ แต่ถ้านํ้าที่ไหลเข้ามาในอัตราไม่มากปานกลาง แต่รูที่ไหลออกมีน้อยต่อให้นํ้าที่ไหลเข้าน้อยกว่านํ้าเมื่อกี้ แต่นี้การออมก็เกิดขึ้นได้
       
       เพราะฉะนั้นเงินออมที่เกิดขึ้นได้ เป็นผลพวงมาจากดุลยภาพระหว่างรายได้คือนํ้าที่ไหลเข้ากับรายจ่ายคือนํ้าที่ไหลออก รายได้ไม่สำคัญแต่การรู้จักใช้จ่ายสำคัญกว่า การระวังการใช้จ่ายท่ามกลางรายได้ที่จำกัดนี้สำคัญ และถ้ามีก็อกนํ้าไหลเพิ่มอีกก็อกหนึ่งรายจ่ายควบคุมดี อีกก็อกมาจากเงินออมที่มีได้แล้วเอาไปทำงานให้เงินเหล่านั้น รับใช้ด้วยการซื้อกองทุนรวมก็จะมีเงินปันผลไหลเข้ามาในแต่ละเดือน
       
      2.  การตั้งคำถามเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ตั้งคำถามถูกเราได้คำตอบที่ดี ตั้งคำถามไม่ดีเราก็ได้คำตอบไม่ดี ยกตัวอย่าง ผู้หญิงคนหนึ่งตั้งคำถามว่าทำอย่างไรจะให้แฟนถูกใจ แต่ต้องถามว่าทำไมเราต้องตกอยู่ในสภาพนี้
       
       3. อีกประเด็น คือ ถ้าจะลงทุนต้องมองในแง่มุมใหม่ๆ  ยกตัวอย่าง สามีคนหนึ่งทำกุญแจหายในที่มืดแต่มองหากุญแจในที่สว่าง ฉะนั้นการลงทุนต้องมองอะไรใหม่ๆ
       
      4.  ต้องกล้าที่จะรับความเสี่ยง ยกตัวอย่าง โจรที่จะขโมยของจากเศรษฐีซึ่งพักที่เดียวกันในระหว่างเดินทาง แต่หากุญแจจากเศรษฐีไม่เจอ เพราะเศรษฐีคนนั้นซ่อนกุญแจไว้ที่ใต้หมอนของโจร ฉะนั้นจะลงทุนต้องกล้ารับความเสี่ยงต้องรู้จักตนเอง ทำอย่างไรที่จะทักษะมากขึ้นกว่าเดิม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551, 11:02:21
สรุปความ แบบง่าย ๆว่า

1. ทำงานหนัก ที่ทำให้เรามีรายได้เพิ่ม

2. รู้จัก เก็บเงินที่หามาได้   ...ใช้จ่ายให้น้อย  เก็บให้มาก

3. ลงทุน อย่างฉลาด

4. อดทน ที่จะ ออม และลงทุน

5. สำรวจกระเป่าเรา

6. วางแผน ทำอย่างไร จะอยู่ได้อย่างมีความสุข ในวัย เกษียณ


ถูกป่าว ไม่รู้


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551, 11:21:33


การออม เป็นวัฒนธรรม
ของมนุษย์ชาติ

 และเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของคนเรา

เงินออมนับว่าเป็นทรัพย์สินที่มีค่า

ทั้งเป็นหลักประกันอันมั่นคงสำหรับชีวิตในอนาคต

วัฒนธรรมการเก็บออมและรักษาไว้ให้ตลอดปลอดภัย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551, 16:57:40
ขอบคุณครับ
ได้รู้วิธีแล้ว
ต่อไปต้องฝีกปฏิบัติ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: iamfrommoon ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551, 17:00:15
ขอบคุณค่ะพี่หมี...พยายามทำให้ได้อยู่ค่ะ...สู้โว้ย!


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551, 19:54:05
งั้น ต้องเริ่ม กิน ข้าวให้ หมดจาน


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551, 01:10:01
อยากบอกว่าเห็นต่าง และวรากรณ์คิดแบบฝรั่งมากไป แต่มันอาจจะเป็นเช่นนั้นได้เพราะปฏิเสธไม่ได้ ว่าคุณค่าและวิถีแห่งความเอื้อเฟื้อแบบตะวันออก ได้ถูกทำลายให้เราโดดเดี่ยวมากขึ้นมีเวลาน้อยลง ในนามของการเติบโตของเศรษฐกิจ เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่มีคนจับปลามาได้ และคิดได้ว่าการจะทำให้ปลาที่หามาได้มีกินนานที่สุดคือการนำไปแบ่งปันเพื่อนบ้าน จริงหรือไม่ที่เราอยู่ในยุคสมัยที่อยู่ดีกินดี ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์จนเทศกาลตรุษจีนที่เฝ้ารอเพราะมีหมูเห็ดเป็ดไก่กินนั้นหมดความหมายเพราะเรากินกันปรีดิ์เปรมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว ยังนอนดึกอยู่ใช่ไหม เธออ้วนไปหรือเปล่า ท่อนนึงที่ล้อเลียนเพลงดัง แต่มันทำให้ได้คิด ว่าพวกเราอ้วนกันมากไปรึเปล่า ในนามของการเติบโตของทุน และเศรษฐกิจ บรรษัทและนักโฆษณาพร่ำบอกเราทุกวิถีทางว่า "You want more" จงวิ่งต่อไปจนกว่าจะตายพวกหนูถีบจักรที่ไร้สติ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551, 15:10:48
เคยอ่านเจอ


เขาบอกว่า

เวลาที่บอกว่า เงินจะใช้ยังไม่พอเลย หรือไม่ก็  เหลือเก็บนะ แต่ไม่มาก


เพราะ ว่า  เรา มัวแต่ อันโน้นก็จำเป็น อันนี้ ก็อยากได้  เห็นอะไร ก็ต้องการไปหมด


จริง ๆ แล้ว ใช้ให้น้อยแหละดี   เพราะ เงิน ยัง มีที่ใช้อีกมาก  


.....ตนเตือนตน


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551, 16:36:47
อ้างจาก: "เจษฎา หรร"
อยากบอกว่าเห็นต่าง และวรากรณ์คิดแบบฝรั่งมากไป แต่มันอาจจะเป็นเช่นนั้นได้เพราะปฏิเสธไม่ได้ ว่าคุณค่าและวิถีแห่งความเอื้อเฟื้อแบบตะวันออก ได้ถูกทำลายให้เราโดดเดี่ยวมากขึ้นมีเวลาน้อยลง ในนามของการเติบโตของเศรษฐกิจ เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่มีคนจับปลามาได้ และคิดได้ว่าการจะทำให้ปลาที่หามาได้มีกินนานที่สุดคือการนำไปแบ่งปันเพื่อนบ้าน จริงหรือไม่ที่เราอยู่ในยุคสมัยที่อยู่ดีกินดี ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์จนเทศกาลตรุษจีนที่เฝ้ารอเพราะมีหมูเห็ดเป็ดไก่กินนั้นหมดความหมายเพราะเรากินกันปรีดิ์เปรมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว ยังนอนดึกอยู่ใช่ไหม เธออ้วนไปหรือเปล่า ท่อนนึงที่ล้อเลียนเพลงดัง แต่มันทำให้ได้คิด ว่าพวกเราอ้วนกันมากไปรึเปล่า ในนามของการเติบโตของทุน และเศรษฐกิจ บรรษัทและนักโฆษณาพร่ำบอกเราทุกวิถีทางว่า "You want more" จงวิ่งต่อไปจนกว่าจะตายพวกหนูถีบจักรที่ไร้สติ


ขอบคุณที่แชร์


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 01 มีนาคม 2551, 15:44:50
^

^

มาแบบทางการ


นะคะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 02 มีนาคม 2551, 14:11:46
ใหญ่มันก็งี้แหละ ประจำ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 02 มีนาคม 2551, 14:15:42
เจษ ใช่ท่าน วรากรณื สามโกเศษ เปล่า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 02 มีนาคม 2551, 14:18:59
ใช่จ่ะ ป้อม เจ้าของผลงานไตรภาค กับสำนักพิมพ์โอเพนบุ๊ค


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 02 มีนาคม 2551, 14:20:14
ไม่ค่อยได้อ่านงานของท่านได้แต่ฟัง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 02 มีนาคม 2551, 14:21:41
ตื่นเช้างั้นเชียว ป้อม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 02 มีนาคม 2551, 14:22:44
แก่แล้ว ตื่นเช้า

ยังมี อ.จิระ หงส์ลดารมณ์


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 02 มีนาคม 2551, 14:23:16
ตื่นมาซักผ้า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 02 มีนาคม 2551, 14:23:42
ทำการบ้านโว้ย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: เจษฎา ที่ 02 มีนาคม 2551, 15:25:10
ทำไปฟังไป มิน่าไม่เสร็จสักที


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 02 มีนาคม 2551, 19:57:01
พอดีการบ้าน ดุ ไป หน่อย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 20 มีนาคม 2551, 16:33:05
อ้างจาก: "wirat"
พอดีการบ้าน ดุ ไป หน่อย


หน้าก็ดุ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 20 มีนาคม 2551, 16:34:42
(http://img81.imageshack.us/img81/2872/q81cy0.jpg)

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

หน้านอก ...บอก ความงาม

หน้าใน ...บอก ความดี

หน้าที่ ...บอก ความสามารถ

หน้านอก....แต่งให้พอดี

หน้าในและหน้าที่....แต่งให้มากๆ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 20 มีนาคม 2551, 16:41:01
คมกริบ

ขอบคุณ หมี


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 20 มีนาคม 2551, 16:47:18
อ้างจาก: "yai"
คมกริบ

ขอบคุณ หมี


ด้วยความยินดีค่ะ  :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 20 มีนาคม 2551, 21:07:50
อ้างจาก: "yai"
คมกริบ

ขอบคุณ หมี

บาดเจ็บ เด๋ยวข้อคิดความรักของ อ้อ ณหทัย  ทิวไผ่งาม มาฝาก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 28 มีนาคม 2551, 13:55:53
เงินเดือนใกล้ออก มาดูแนวคิดของอาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ สุดที่รักของป้าหมี  :lol:

"รู้จักใช้ เข้าใจเงิน"

โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์  มติชนรายวัน  วันที่ 04 มกราคม พ.ศ. 2550

สรุปความดังนี้

"...เมื่อพูดถึงเรื่องการหาเงินและการใช้เงิน คนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าเป็นเรื่อง "หญ้าปากคอก" ที่ไม่ต้องเรียนรู้ก็ได้

อย่างไรก็ดี "หญ้าปากคอก" นี้ได้กลายเป็น "หนามยอกอก" ที่ทิ่มแทงคนหลายคน จนบางคนต้องล้มหายตายจากไปทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่ดังที่ได้เห็นกันอยู่เนืองๆ

การมีฐานะมั่นคงจากการใช้แรงงานของตนเองตลอดชีวิต ถึงแม้จะเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นศิลปะที่มีหลักการบางอย่างเป็นตัวกำกับ การเข้าใจหลักการดังกล่าว จะช่วยให้ไม่เกิดสภาวะที่ทุ่มเททำงานหารายได้อย่างหนัก แต่ในบั้นปลายชีวิตก็ยังหาความมั่นคงทางการเงินไม่ได้

"ชีวิตเป็นเรื่องของการเลือก และการยอมรับผลที่เกิดขึ้นตามมา" ข้อความนี้เตือนใจให้นึกถึงการตัดสินใจที่ทุกคนต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการเลือกคนรัก เลือกสั่งอาหาร เลือกโรงเรียนลูก เลือกซื้อบ้าน รถยนต์ โทรทัศน์ เลือกที่จะใช้เงินตามใจชอบ หรือเลือกที่จะอดออม

มนุษย์มีแนวโน้มโดยธรรมชาติที่จะใช้จ่ายเงินที่หามาได้อย่างตามใจตนเอง เพราะถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย จนละเลยที่จะเก็บเงินบางส่วนไว้เพื่อทำให้งอกเงยสำหรับอนาคตที่สุขสบายยิ่งขึ้น หลายคนลืมคิดไปว่าถ้าใช้เงินที่หามาได้ไปทั้งหมด ความสุขที่ได้รับก็จะจบอยู่เพียงแค่นั้น ไม่มีอนาคตที่ว่าทำงานเท่าเดิม แต่ได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ไม่มีอนาคตของความมั่นคงทางการเงินซึ่งจะอำนวยให้เกิดความมั่นคงในชีวิตไปด้วย และไม่มีอนาคตที่จะมีชีวิตสุขสบายเมื่อพ้นวัยทำงานไปแล้ว

ถ้าใครเลือกเส้นทาง "สุขวันนี้และจบแค่นี้" ก็จำต้องยอมรับผลที่เกิดตามมา
แต่ถ้าใครเลือกเส้นทาง "ไม่สุขวันนี้เต็มที่ แต่จะสุขยาวกว่านี้ไปในอนาคต" ก็จำเป็นต้องมีเงินเหลือจากการใช้จ่ายเก็บไว้เป็นเงินออม หรือจะให้ดีกว่านั้นก็คือ กันส่วนหนึ่งของรายได้ไว้แต่แรกก่อนใช้จ่าย เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของรายได้ก่อนหักภาษี

.


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 28 มีนาคม 2551, 13:56:23


เงินออมเป็น "ต้นน้ำ" สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการมีความมั่นคงในด้าน การเงินต่อไปในอนาคต เงินออมเกิดขึ้นได้เพราะเจ้าของรายได้มีความมัธยัสถ์ กล่าวคือใช้จ่ายเงินเฉพาะในเรื่องที่จำเป็น ไม่สุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายเงินอย่างเขลาในเรื่องต่างๆ ความมัธยัสถ์เป็นแบบแผนหนึ่งของการดำเนินชีวิต ที่มิได้ทำให้ใครเดือดร้อน และมิใช่การเอารัดเอาเปรียบคนอื่น การขาดความมัธยัสถ์ต่างหากที่จะทำให้ตนเองเดือดร้อน และอาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย เพราะอาจถูกรบกวนขอเงิน หรือขอยืมเงินเพราะตนเองมีเงินใช้ไม่พอ

ความมัธยัสถ์โยงใยกับการมีวินัยบังคับใจตนเอง และการมุ่งมั่นมีเป้าหมายในชีวิต ทำให้เกิดสภาวการณ์ที่สำคัญของชีวิต นั่นคือ "การอยู่กินต่ำกว่าฐานะ" (live below means) ซึ่งนำไปสู่การมีเงินเหลือเพื่อเก็บออมนั่นเอง

ผู้ที่อยู่กินตามฐานะของรายได้หมายถึง การไม่มีเงินออม และผู้ที่อยู่กินเกินฐานะ หมายถึงใช้จ่ายเงินเกินรายได้ที่ตนเองมี นั่นก็คือต้องหยิบยืมส่วนที่ขาดไปจากผู้อื่น ซึ่งก็คือการเป็นหนี้นั่นเอง

เมื่ออยู่กินต่ำกว่าฐานะอย่างสม่ำเสมอก็จะเกิดเงินออมขึ้นอย่างสม่ำเสมอเช่นกันเงินออมจะสะสมเป็นเงินก้อน และเมื่อเอาไปลงทุนอย่างชาญฉลาดก็จะก่อให้เกิดผลตอบแทนเป็นรายได้เพิ่มเติมจากรายได้ที่ได้รับจากการทำงานอยู่แล้ว ถ้าหากผลตอบแทนลักษณะนี้พอกพูนกันมากขึ้น ถึงแม้จะทำงานน้อยลงหรือไม่ได้ทำงานเลย อันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยหรือพ้นวัยทำงานแล้ว ก็จะยังคงมีรายได้อยู่เช่นเดิม

ความมั่งคั่งเป็นผลพวงของ "การออกลูกออกหลาน" ของเงินตอบแทนจากการออมขึ้นแรก กล่าวคือเมื่อได้รับผลตอบแทน จากการลงทุนครั้งแรก ก็นำไปลงทุนต่อ และเมื่อได้รับผลตอบแทนอีก ก็ลงทุนต่อไปอีกขั้นหนึ่งต่อไปเรื่อยๆ จนสมทบพอกพูนเป็นความมั่งคั่ง

การกระทำเช่นนี้ ซึ่งเริ่มจากการมีเงินออมเป็นเบื้องต้นจนถึงการเพิ่มพูนความมั่งคั่ง คือ การให้ "เงินทำงานรับใช้" นั่นเอง

ในชีวิตของผู้คน ทุกคนมีทั้งวัยทำงานที่หารายได้คล่องมือจากการออกแรงทำงาน และมีวัยพ้นทำงานที่ไม่มีรายได้ จากการออกแรงทำงาน ดังนั้น การวางแผนการเงินเพื่อให้ "เงินทำงานรับใช้" ตั้งแต่อยู่ในวัยทำงาน จนสามารถหารายได้เป็นกอบเป็นกำ เผื่อไปถึงวัยที่ไม่อาจหารายได้ได้เต็มที่จากการทำงาน จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง

ตลอดชีวิตการทำงานซึ่งมีเวลา 30 ปีเศษๆ ถ้าบุคคลในช่วงวัยทำงานใช้จ่ายเงินอย่างขาดการวางแผนให้ "เงินทำงานรับใช้" แล้ว เมื่อถึงวัยเกษียณอายุ คุณภาพชีวิตที่ได้รับก็จะไม่เหมือนเดิม หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าจะไม่ร่ำรวยตลอดชีวิตอย่างแน่นอน อย่างนี้เรียกว่า "รวยในวันนี้ เพื่อจนในวันข้างหน้า"

ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ตระหนักดีถึงการร่ำรวยตลอดชีวิต จะวางแผนให้เงินทำงานรับใช้เป็นอย่างดี โดยมีการดำเนินชีวิตพื้นฐานแบบ "อยู่กินต่ำกว่าฐานะ" การกระทำเช่นนี้ก็คือ "ยอมจนวันนี้ เพื่อร่ำรวยตลอดชีวิต" นั่นเอง

การยอมสละการบริโภคในปัจจุบันไปบ้าง เพื่อให้มีอนาคตทางการเงินที่มั่นคง และสามารถดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพสม่ำเสมอไป จนตลอดชีวิต คือ การมีวิสัยทัศน์...


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 28 มีนาคม 2551, 14:01:51
"ไฟแดงเตือนภัย"


สัญญาณเตือนภัยว่าใช้จ่ายเกินตัวและฐานะการเงิน ชีวิตเริ่มเข้าสู่เขตลำบาก ถือเป็นไฟแดงเตือนภัยจากการมีหนี้สินล้นพ้นตัว ตัวอย่างเช่น

1. รายได้ส่วนหนึ่งถูกใช้ชำระหนี้เพิ่มมากขึ้น

2. จ่ายเงินชำระหนี้บัตรเครดิตหรือเงินกู้ด้วยจำนวนเงินต่ำสุดเท่าที่เจ้าหนี้ยอมรับ

3. ใช้เต็มวงเงินกู้ของบัตรเครดิต

4. ต้องเอาเงินส่วนอื่นมาจ่ายชำระเงินตามใบเรียกเก็บเงิน

5. ใช้บัตรเครดิตชำระเงินแทนเงินสดซึ่งมิใช่นิสัยปกติ

6. ผัดผ่อนไม่ไปหาหมอเพราะเงินตึงมือ

7. ถูกเตือนให้จัดการใบเรียกหนี้ค้างชำระบ่อยครั้ง

8. ทำงานล่วงเวลาหรืองานพิเศษหาเงินใช้หนี้

9. หากตกงานจะเกิดปัญหาการเงินทันที

10.กังวลเรื่องเงินเสมอ

ถ้าปรากฏสภาพหนึ่งสภาพใดข้างต้น ก็ถือเป็นไฟแดงแจ้งภัยหนี้สินล้นตัวแล้ว สาเหตุมาจากความไม่สมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่าย

วิธีแก้ไข         - ต้องหารายได้ให้พอกับรายจ่ายที่เกิดขึ้น

-  ลดรายจ่ายลงให้พอดีหรือต่ำกว่ารายได้


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 28 มีนาคม 2551, 14:02:49
การเคยชินกับค่าใช้จ่ายสูง จนเสมือนกับไล่จับเงาตัวเอง

หามาได้เท่าใดก็ไม่มีวันเพีงพอ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 28 มีนาคม 2551, 14:07:39
เคล็ดลับของความ "ร่ำรวย" อย่างยั่งยืน


ความ "ร่ำรวย" ที่กล่าวถึงนี้ คือ การมีคุณภาพชีวิตที่ดีสม่ำเสมอตลอดชีวิต ทั้งในวัยทำงานและวัยพ้นทำงาน ซึ่งมิได้หมายถึงการมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ หากหมายถึงการมีอิสระทางการเงิน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความมั่นคงในด้านการเงิน  มีชีวิตที่มีความสุขตามอัตภาพไปตลอดชีวิต และเหนืออื่นใด มีความสุขและความสงบทางใจอันเกิดจากมีความมั่นคงทางการเงิน

เคล็ดลับคือ
1. จงทำงานหาเงินอย่างสุจริต ขยันหมั่นเพียร
2. จงอยู่กินต่ำกว่าฐานะ
3. จงออมเงินโดยกันส่วนหนึ่งของรายได้ออกมาก่อนใช้จ่ายเสมอในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของรายได้
     "รายได้สำคัญ  แต่การใช้จ่ายนั้นสำคัญกว่า"
4. ทำให้เงินออมอยู่ในสภาพ "เงินทำงานรับใช้"
5. ดำรงชีวิตตามหลัก "เศรษฐกิจพอเพียง" กล่าวคือ ดำเนินชีวิตด้วยความพอดีอย่างอยู่บนพื้นฐานของความพอเหมาะพอควร ไม่เสี่ยงหรือประมาทอย่างขาดสติ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 01 เมษายน 2551, 21:15:27

ทองแท้ไม่กลัวไฟ   ทองชุบไซร้มักพรั่นพรึง

มโนทัศน์ควรคำนึง    อย่าหย่อน-ตึง เดินสายกลาง

(http://i269.photobucket.com/albums/jj59/wirat_2008/2.jpg)

พวกคนมือถือดาบ    และปากคาบคำภีร์พลาง

ปิดตา-จมูก บ้าง   แล้วให้ฟังแต่ผลงาน

(http://i269.photobucket.com/albums/jj59/wirat_2008/3.jpg)

ความดีที่จริงแท้     ประจักษ์แก่ทุกผู้นาม
คนล้มบ่ให้ข้าม    ไม้ล้มยามไม้สิ้นลม


(http://i269.photobucket.com/albums/jj59/wirat_2008/4.jpg)


จาก http://variety.teenee.com/foodforbrain/7087.html


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: plemdcu ที่ 02 เมษายน 2551, 21:35:52
สุดยอดค่ะ หนูจะเอาไปใช้บ้างจะได้มีเงินออมกับเขาบ้าง
คือที่ผ่านมาหนูใช้เงินแบบเต็มที่กับชีวิตน่ะค่ะ เพราะคิดว่า วันนี้มีความสุขที่สุด วันหน้าก็มีเงินที่จะได้อยู่แล้ว เลยไม่ได้คิดเรื่องเก็บเงินหรือให้เงินทำงานแทน
แต่อนาคตอยาก มีอิสระทางการเงินน่ะค่ะ เลยคิดว่าต้องเป็นเจ้าของกิจการ หรือเจ้าของผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่าง จากที่ตอนนี้ถือว่าเป็นชนชั้นกรรมกร ต้องทำงานทุกวันเพื่อให้ได้เงิน  ส่วนเรื่องลงทุน อสังหาริมทรัพย์ เล่นหุ้นก็ไม่เป็น

พี่ ๆ มีอะไรแนะนำไหมคะ
ที่สำคัญหนูว่า ไม่ดูถูกเงินน้อย เลือกใช้จ่ายและรู้จักการให้ ก็ถือว่าเรารวยแบบพอเพียงแล้วค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 02 เมษายน 2551, 21:39:24
ไม่หลง แล้ว ชิมิ
มาถูกแล้ว ใช่ ไหมเอ่ย  :lol:

แล้วมาอีกนะคะ พี่ ป้า น้า อา ห้อง 32 มีอะไรสนุก ๆ แยะเลย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 02 เมษายน 2551, 21:41:55
อืมมม แต่วันนี้ ป้าหมีขอแว๊ป ทำงานก่อนนะคะ เด๋ว ไม่เสร็จค่ะ

ราตรีสวัสดิ์ สำหรับวันนี้ นะคะ

ด้วยความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รู้จัก น้องเปิ้ล คุณหมอคนสวยค่ะ

ป้าหมี  :lol:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 02 เมษายน 2551, 21:43:55
วาทะ พี่ป้อม

ความสำเร็จ = ทำงานหนัก + ทำงานให้มาก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: แป๋ม วิดย ที่ 03 เมษายน 2551, 15:36:34
WORK HARD
WORK SMART

 :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 03 เมษายน 2551, 15:41:16
อ้างจาก: "plemdcu"
สุดยอดค่ะ หนูจะเอาไปใช้บ้างจะได้มีเงินออมกับเขาบ้าง
คือที่ผ่านมาหนูใช้เงินแบบเต็มที่กับชีวิตน่ะค่ะ เพราะคิดว่า วันนี้มีความสุขที่สุด วันหน้าก็มีเงินที่จะได้อยู่แล้ว เลยไม่ได้คิดเรื่องเก็บเงินหรือให้เงินทำงานแทน
แต่อนาคตอยาก มีอิสระทางการเงินน่ะค่ะ เลยคิดว่าต้องเป็นเจ้าของกิจการ หรือเจ้าของผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่าง จากที่ตอนนี้ถือว่าเป็นชนชั้นกรรมกร ต้องทำงานทุกวันเพื่อให้ได้เงิน  ส่วนเรื่องลงทุน อสังหาริมทรัพย์ เล่นหุ้นก็ไม่เป็น

พี่ ๆ มีอะไรแนะนำไหมคะ
ที่สำคัญหนูว่า ไม่ดูถูกเงินน้อย เลือกใช้จ่ายและรู้จักการให้ ก็ถือว่าเรารวยแบบพอเพียงแล้วค่ะ


เข้ามาแล้วตกใจ
น้องคนสวยนี้คือไผ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: iamfrommoon ที่ 03 เมษายน 2551, 15:43:48
อ้างจาก: "Pae"
อ้างจาก: "plemdcu"
สุดยอดค่ะ หนูจะเอาไปใช้บ้างจะได้มีเงินออมกับเขาบ้าง
คือที่ผ่านมาหนูใช้เงินแบบเต็มที่กับชีวิตน่ะค่ะ เพราะคิดว่า วันนี้มีความสุขที่สุด วันหน้าก็มีเงินที่จะได้อยู่แล้ว เลยไม่ได้คิดเรื่องเก็บเงินหรือให้เงินทำงานแทน
แต่อนาคตอยาก มีอิสระทางการเงินน่ะค่ะ เลยคิดว่าต้องเป็นเจ้าของกิจการ หรือเจ้าของผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่าง จากที่ตอนนี้ถือว่าเป็นชนชั้นกรรมกร ต้องทำงานทุกวันเพื่อให้ได้เงิน  ส่วนเรื่องลงทุน อสังหาริมทรัพย์ เล่นหุ้นก็ไม่เป็น

พี่ ๆ มีอะไรแนะนำไหมคะ
ที่สำคัญหนูว่า ไม่ดูถูกเงินน้อย เลือกใช้จ่ายและรู้จักการให้ ก็ถือว่าเรารวยแบบพอเพียงแล้วค่ะ


เข้ามาแล้วตกใจ
น้องคนสวยนี้คือไผ


น้องเปิ้ล รหัส 40 ค่ะ...ว่าที่คุณหมอเฉพาะทางด้านผิวหนังคนสวย.... ปุ๊กสมัครเป็นคนไข้ละค่ะ มีกระทู้น้องเปิ้ล "จำเราได้ปล่าว" ที่น้องคอยตอบปัญหาความงาม ความหล่อให้ด้วยนะคะ...

น้องอยู่รพ.จุฬาฯ ด้วยหล่ะพี่เจษ....อิอิ  :lol:

เอาลิ้งค์มาฝากค่ะ http://www.cmadong.com/community/board/viewtopic.php?t=2202&postdays=0&postorder=asc&start=60


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 03 เมษายน 2551, 15:49:43
ยินดีต้อนรับ น้องเปิ้ลเด้อ
ถ้าพี่มีปัญหาเรื่องผิวหนังจะไปขอคำปรึกษาด้วยคนครับ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 03 เมษายน 2551, 19:49:26
อ้างจาก: "Pae"
ยินดีต้อนรับ น้องเปิ้ลเด้อ
ถ้าพี่มีปัญหาเรื่องผิวหนังจะไปขอคำปรึกษาด้วยคนครับ


 :lol:  :lol:  :lol:
ยังไม่หายอีกเหรอ เป้ 5555


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 03 เมษายน 2551, 21:43:27
ถ้าเป้ เป็นโรคผิวด้าน แต่ผมหน้าหนา หัวใจบาง น้องเปิ้ลรักษาได้เปล่า


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 03 เมษายน 2551, 21:45:29
Oprah Winfrey ว่าไว้

ความสำเร็จนั้นคือสมการที่เกิดจากโอกาสบวกกับการเตรียมพร้อมที่ดี


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: iamfrommoon ที่ 04 เมษายน 2551, 08:25:30
อ้างจาก: "wirat"
ถ้าเป้ เป็นโรคผิวด้าน แต่ผมหน้าหนา หัวใจบาง น้องเปิ้ลรักษาได้เปล่า


อุอุ...พี่ป้อมตัวจริงเสียงจริง...ต้องอิงแบบนี้ อิอิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 04 เมษายน 2551, 11:55:00
อ้างจาก: "wirat"
Oprah Winfrey ว่าไว้

ความสำเร็จนั้นคือสมการที่เกิดจากโอกาสบวกกับการเตรียมพร้อมที่ดี


แล้วโอกาสมาจากไหนอะ หรือ ไปหาที่ไหน
การเตรียมพร้อมที่ดี มีอะไรบ้าง ทำอย่างไร

ช่วยไปถามไอ้ โอเปร่า  วินนิ่ง ให้หน่อย ครับ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 04 เมษายน 2551, 13:39:19
“Luck is when preparation meets opportunity” – Seneca (Roman Philosopher , 1st century AD)

ในที่นี่ luck คือนิยามของความสำเร็จ ที่ดูเหมือนโชคช่วย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 04 เมษายน 2551, 14:29:25
อ้างจาก: "yai"
“Luck is when preparation meets opportunity” – Seneca (Roman Philosopher , 1st century AD)

ในที่นี่ luck คือนิยามของความสำเร็จ ที่ดูเหมือนโชคช่วย


ช่วยแปลเป็นไทย สวย ๆ หน่อยสิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 04 เมษายน 2551, 20:49:11
ดูของเพื่อนป้อมข้างบนได้เลย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 07 เมษายน 2551, 08:59:05
เผอิญ วันนี้ มี ทำพิธีต่อบุญ ทั่ภาคเหนือ เลยอัญเชิญ ข้อเขียน สมเด็จพระสังฆราชมาให้อ่านกัน


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 07 เมษายน 2551, 09:01:28
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เรื่อง วิธีสร้างบุญบารมี ท่านสอนไว้ว่า

บุญ คือ เครื่องชำระสันดาน ความดี กุศล ความสุข ความประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ และกุศลกรรม

ส่วน บารมี คือ คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงสุด

สมเด็จพระสังฆราช ได้ยกตัวอย่างเรื่อง การทำทานด้วยความโลภ ว่า “ทำทานเพราะอยากได้นั่นอยากได้นี่ อยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่ เป็นการทำทาน เพื่อหวังสิ่งตอบแทน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติสวรรค์ หากชาติก่อนไม่เคย ได้ทำบุญใส่บาตรฝากสวรรค์เอาไว้ อยู่ๆก็มาขอเบิกใช้ในชาตินี้ จะมีที่ไหนให้เบิก การทำทานด้วยความโลภเช่นนี้ ย่อมไม่ได้บุญอะไรเลย สิ่งที่จะได้พอกพูน เพิ่มให้มากขึ้นและหนาขึ้น ก็คือ ความโลภ”


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 07 เมษายน 2551, 09:16:16
9 วิธี ทำดี ได้บุญโดยไม่ต้องใช้เงิน

จาก http://variety.teenee.com/foodforbrain/7221.html

คนไทยเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ชอบทำบุญสุนทานอยู่เสมอ


ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ซึ่งแม้ปัจจุบัน หลายคนจะรู้สึกกังขาว่า ทำไม คนที่เรารู้สึกว่าชั่ว ยังคงได้ดิบได้ดี เช่น ยังมีเงินทองและใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าเรา แต่นั่นก็ยังอธิบายได้ว่า เขาทำกรรมเก่าดี หรือยังกินบุญเก่าอยู่ ซึ่งที่เราเห็นด้วยตาว่า เขาสุขสบายก็อาจไม่จริง บางทีเขาอาจกำลังทุกข์ใจ เพราะต้องคอยระแวง ปกปิดความผิดของตน กลัวคนไปล่วงรู้อยู่ก็ได้

อย่างไรก็ดี โดยพื้นฐานแล้ว คนส่วนใหญ่ก็มักจะชอบทำบุญ เพราะเชื่อว่าเป็นการทำความดี และเป็นการสะสมผลบุญ ที่จะสนองให้เราได้รับสิ่งที่ดีในอนาคต หรือในชาติหน้า ซึ่งโดยแท้จริงการทำบุญนั้น ทันทีที่ทำก็เป็นความสุขแล้ว เพราะ บุญ คือ การทำความดีด้วยวิธีการต่างๆ ที่ทำให้อิ่มเอิบเบิกบานใจ

โดยทั่วไป คนมักทำบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของ หรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่น บริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติ ร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า ช่วยเด็กกำพร้า หรือช่วยซื้อโลงศพ เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่า ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น เรามีโอกาสทำความดี หรือทำบุญได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของ

  9 วิธีทำดี ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงิน เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 07 เมษายน 2551, 09:30:31

1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือ กับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วย ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

2.ยิ้มแย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ ยิ้มกับลูกก่อนไปทำงาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อแม่ๆ ก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่องเดือนร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆ ก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทำให้ทำงานด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องระแวงว่าจะถูกเรียกไปต่อว่า และถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตา กว่าเวลาที่นายทำหน้ายักษ์


3.ทักทาย โอปราศรัย คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึง ไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็ง และกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการ เพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น

4.แบ่งปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนน หรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลง และทำให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย
 


5.ปลุกปลอบให้กำลังใจ ช่วยแก้ไขปัญหา หลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิต และเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือ ความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจ คำพูดดีๆ ที่มาจากใจ จะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้

6.ให้คำชมด้วยความนิยมยินดี การกล่าวคำชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และจริงใจด้วย ดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกัน คนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคำชมทั้งนั้น เพราะคำชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกำลังใจให้อยากทำดียิ่งๆ ขึ้นไป

7.แนะนำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่า ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนำในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไป เมื่อเขาทำงานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามี หรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนำหมอ ยาดีๆ หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเรา ทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต

8.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่าย และมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่ และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตา รู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่ง ที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป

9.ฝึกจิตให้สงบและสบาย ด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์ การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทำอะไรอยู่ เช่น กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน ทำงานบ้าน อ่านหนังสือ อยู่ที่ทำงาน หัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อ ในสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียว จะทำให้เราทำทุกอย่างได้ดีขึ้น เพราะไม่พะวักพะวน คิดหรือทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทำให้ขาดสติ และทุกๆ คืนก่อนนอน ก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบ เสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควร


ที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทำความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลย


แต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไป

อีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เรา และคนรอบตัวมีความสุขเพราะ"บุญ" ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชำระกาย ใจให้บริสุทธิ์ เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง และผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆ ได้ เริ่มทำแต่วันนี้เลยนะ เพราะมีคนบอกว่า "ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง"
[/color]

(http://i269.photobucket.com/albums/jj59/wirat_2008/1.jpg)


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 07 เมษายน 2551, 10:48:09
เยี่ยม กันทั้งป้า ทั้งหลานเลย ที่โพสต์สิ่งดีดีให้  :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 07 เมษายน 2551, 17:09:29
สุราเมรย มัช ฐน นาเวรมณี สิกขาปทังทิยามิ

ดื่ม เบียร์แล้วเมา นะนุ้ย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 08 เมษายน 2551, 13:23:02
ชายคนหนึ่งนอนหลับอยู่ที่บ้านในเวลากลางคืน
มีนางฟ้าลงมาหาเขา ชวนให้ไปเที่ยวสวรรค์กับนรก
เขาก็ตกลงไปด้วย

นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ถึงนรกแล้ว”
ที่นั้นเป็นห้องใหญ่ ๆ มีโต๊ะยาวๆ
บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีตอร่อยมีคุณค่าทุกประเภท
มีคนนั่งอยู่หลายคนนางฟ้าก็บอกว่า “นี่สัตว์นรก”
คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลก
แต่ตัวเขาผอมเหลืองน่าสงสาร

นางฟ้าบอกว่าที่นี่อนุญาตให้กินอาหารดี ๆได้
แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามใช้มือหยิบ
ต้องใช้ช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรตักอาการกินเท่านั้น
เวลาจะใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากตัวเอง คนที่นรกก็ตักไม่ถึงสักที

ชายคนนั้นพยายามบ้าง แต่อาหารที่อร่อยหกลงบนพื้นเกือบหมด
เขาเลยมีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก พยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก
จึงผอมโซเพราะอดอาหาร
ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อยมีคุณค่าทางโภชนาการ
.แต่ไม่สามารถเอาเข้ามาถึงในปากของตนเองได้

นางฟ้าพาไปอีกห้องหนึ่งแล้ว บอกว่า “ถึงสวรรค์แล้ว”
ห้องที่สองนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ
มีโต๊ะอาหารยาว ๆ อาหารประณีตหลาย ๆ อย่างเหมือนกันกับห้องนรก
มีเก้าอี้รอบ มีคนนั่งอยู่หลายคน ทุกคนต้องใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรเหมือนกับที่นรก
นางฟ้าบอกว่า “นี่เทวดาบนสวรรค์”
แต่แปลกที่คนบนสวรรค์นั้นยิ้มแย้มแจ่มใสอ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย
ดูว่าเขาอยู่ดีกินดีได้อย่างไร ทั้งๆที่ ทุกอย่างเหมือนที่นรก
 “เอ...ทำไมคนที่นี่ไม่เหมือนที่นรก?
ทำไมคนที่นี่สนุกสนานแจ่มใสร่าเริง แข็งแรง”

พอดูดี ๆ อ้อ! เห็นวิธีของชาวสวรรค์
สรุปว่คือคนข้างหนึ่งของโต๊ะ เขาตักอาหารด้วยช้อนยาว ๆ
เอาไปป้อนใส่ปากของคนตรงข้าม
คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้
ก็เลยได้กินกันทุกคน อยู่อย่างสุขสบาย
สรุปว่า ที่นรกนั้น..... คนคิดแต่จะได้อย่างเดียว
คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง
คิดแต่ว่าเราจะได้อาหาร ได้สิ่งที่เราชอบ โดยไม่คิดถึงคนอื่น

แต่ที่สวรรค์..... มีการช่วยเหลือกัน มีความรักสามัคคีกัน
คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย
จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน
ตื่นขึ้นมาแต่ละวันอย่าถามว่าจะได้อะไรจากสังคม
แต่จงถามให้มากว่าจะให้อะไรกับสังคมได้บ้าง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 08 เมษายน 2551, 13:35:06
ยอดเลยเป้   หมายถึงชมนะ  ไม่ใช่ไอ้ยอด :lol:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 08 เมษายน 2551, 13:41:43
มุขเยอะจังนะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Nat Rattanadilok ที่ 08 เมษายน 2551, 13:53:23
อ้างจาก: "Pae"


แต่ที่สวรรค์..... มีการช่วยเหลือกัน มีความรักสามัคคีกัน
คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย
จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน [/color]
ตื่นขึ้นมาแต่ละวันอย่าถามว่าจะได้อะไรจากสังคม
แต่จงถามให้มากว่าจะให้อะไรกับสังคมได้บ้าง


ดีครับดี ชอบจัง
แต่ที่ผมชอบที่สุดคือการเบียดเบียนสังคม


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 08 เมษายน 2551, 14:01:49
แบบนี้ มีพวกมากมาย
ชิมิ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 08 เมษายน 2551, 15:47:30
อ้างจาก: "Nat Rattanadilok"
อ้างจาก: "Pae"


แต่ที่สวรรค์..... มีการช่วยเหลือกัน มีความรักสามัคคีกัน
คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย
จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน [/color]
ตื่นขึ้นมาแต่ละวันอย่าถามว่าจะได้อะไรจากสังคม
แต่จงถามให้มากว่าจะให้อะไรกับสังคมได้บ้าง


ดีครับดี ชอบจัง
แต่ที่ผมชอบที่สุดคือการเบียดเบียนสังคม

สังคมที่มีสาวเซกซี่ เยอะๆ ป่าวววเพื่อนณัฐ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Nat Rattanadilok ที่ 08 เมษายน 2551, 15:48:50
เป้ครับ
การที่เราเดิน กิน หายใจ
ก็เป็นการแย่งที่ เดิน กิน หายใจ ของสัตว์โลก อื่นๆ
ก็ถือว่าเป็นการเบียดเบียนสัตว์โลก

อันว่าการตดนั้น เป็นการเบียดเบียนสัตว์โลกอย่างหาที่เปรียบมิได้
(เคยเจอคนตดในลิฟท์วะ มีแต่สาวๆ หน้าตาดีๆ ตดเหม็นเป็นบ้า)


ดังนั้น ก็ต้องทำแต่พอประมาณ จะได้ไม่เบียดเบียนคนอื่น จนเกินไป


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 08 เมษายน 2551, 15:51:28
อ้างจาก: "Nat Rattanadilok"
เป้ครับ
การที่เราเดิน กิน หายใจ
ก็เป็นการแย่งที่ เดิน กิน หายใจ ของสัตว์โลก อื่นๆ
ก็ถือว่าเป็นการเบียดเบียนสัตว์โลก

อันว่าการตดนั้น เป็นการเบียดเบียนสัตว์โลกอย่างหาที่เปรียบมิได้
(เคยเจอคนตดในลิฟท์วะ มีแต่สาวๆ หน้าตาดีๆ ตดเหม็นเป็นบ้า)


ดังนั้น ก็ต้องทำแต่พอประมาณ จะได้ไม่เบียดเบียนคนอื่น จนเกินไป


สาวหน้าตาดีสมัยนี้ ไม่ค่อยกินผัก
เลยไม่ค่อยถ่าย
ก็ต้องเหม็นมากเป็นธรรมดา


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 08 เมษายน 2551, 15:53:51
อ้างจาก: "Pae"
อ้างจาก: "Nat Rattanadilok"
เป้ครับ
การที่เราเดิน กิน หายใจ
ก็เป็นการแย่งที่ เดิน กิน หายใจ ของสัตว์โลก อื่นๆ
ก็ถือว่าเป็นการเบียดเบียนสัตว์โลก

อันว่าการตดนั้น เป็นการเบียดเบียนสัตว์โลกอย่างหาที่เปรียบมิได้
(เคยเจอคนตดในลิฟท์วะ มีแต่สาวๆ หน้าตาดีๆ ตดเหม็นเป็นบ้า)


ดังนั้น ก็ต้องทำแต่พอประมาณ จะได้ไม่เบียดเบียนคนอื่น จนเกินไป


สาวหน้าตาดีสมัยนี้ ไม่ค่อยกินผัก
เลยไม่ค่อยถ่าย
ก็ต้องเหม็นมากเป็นธรรมดา


มีเวลาก็เข้าฟิตเนส เสริมสวย

ไม่ค่อยได้ไปขี้กัน

ตดเลย อื้อหืม ...


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 08 เมษายน 2551, 15:57:21
เฮ้ย  กระทู้นี้ ข้อคิดคนดังนะ  เกี่ยวกันได้หว่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 08 เมษายน 2551, 15:59:32
ขนาดผม อึ วันล่ะสองเวลา ยังเหม็นเลย
แล้วจะเอาอะไร กะคนที่อึ สัปดาห์ล่ะสองครั้ง :lol:

เหม็นโครตๆ :?  :?


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 09 เมษายน 2551, 08:16:09
อ้างจาก: "Pae"
ขนาดผม อึ วันล่ะสองเวลา ยังเหม็นเลย
แล้วจะเอาอะไร กะคนที่อึ สัปดาห์ล่ะสองครั้ง :lol:

เหม็นโครตๆ :?  :?


เป้ วัดยังไงว่าเหม็นโคตร

ผมว่า เหม็นเกินระดับนึง ก็จะเปลี่ยนเป็นเหม็นโคตร


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 09 เมษายน 2551, 08:16:54
ไรว๊ะ เหม็นว่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 09 เมษายน 2551, 11:31:52
อ้างจาก: "yai"
อ้างจาก: "Pae"
ขนาดผม อึ วันล่ะสองเวลา ยังเหม็นเลย
แล้วจะเอาอะไร กะคนที่อึ สัปดาห์ล่ะสองครั้ง :lol:

เหม็นโครตๆ :?  :?


เป้ วัดยังไงว่าเหม็นโคตร

ผมว่า เหม็นเกินระดับนึง ก็จะเปลี่ยนเป็นเหม็นโคตร


น่าจะใช้เครื่องกรองอากาศ วัดได้นะ
ที่ห้องนอนผม ถ้าไม่ค่อยมีกลิ่น มันจะตอบสนองช้า
แต่ถ้ามีกลิ่นรุนแรง มันจะตอบสนองเร็ว :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 09 เมษายน 2551, 13:29:50
โอยยยยยยยยยยย  เหนือ่ย  แล้ว ยังเหม็นอีก

ไปละ ทนความเหม็น ม่ายยยย หวายยยยยยยยยย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 09 เมษายน 2551, 20:56:47
ยังคิดไม่ออก ว่าจะเอา ของ หลวงวิจิตรวาทการมาลงดี หรือเปล่าค่ะ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 10 เมษายน 2551, 21:40:33
เอาเลยหมี อยากอ่าน


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Meaw ที่ 10 เมษายน 2551, 22:56:33
อยากอ่านด้วยยยยย....


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 11 เมษายน 2551, 09:47:10
อยากอ่านด้วย


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Meaw ที่ 12 เมษายน 2551, 16:47:39
(http://img229.imageshack.us/img229/5428/52626190tl2.jpg)


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 12 เมษายน 2551, 17:09:07
เยี่ยม ครับเหมียว
ไม่สั้น ไม่ยาว  เข้าใจง่าย  เตือนสติดี :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 14 เมษายน 2551, 22:30:13
ความสำคัญและการให้พรอย่างถูกวิธี

(พระภาวนาวิริยคุณ http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?option=com_content&task=view&id=72&Itemid=4)

คำว่า “ พร” แปลว่า ประเสริฐ เพราะฉะนั้นการให้พรก็คือการให้ความประเสริฐ

             ความประเสริฐของมนุษย์อยู่ที่ใด

             ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ถ้าอยากจะรู้ว่าความประเสริฐของมนุษย์อยู่ตรงไหน ท่านให้มองเข้าไปที่ใจ อย่าไปมองที่รูปร่างหน้าตา เพราะความประเสริฐทางร่างกาย เช่น หล่อ สวย หรือว่าแข็งแรงนั้น แม้เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่ายังดีไม่จริง ถ้าดีจริงละก็ต้องดีเข้าไป

--------------------
ความสำคัญของการให้พร

             ในทางโลกเขาสมมุติกันว่า ผู้ใหญ่ คือ ผู้ที่ผ่านวัยมามาก
 เนื่องจากอยู่ในโลกนี้มานาน จึงสมควรที่จะมีหลักธรรมประจำใจ ไว้สำหรับปราบความโลภ ความโกรธ ความหลงที่อยู่ในตัว เพราะได้ฝึกการปราบความโลภ ความโกรธ ความหลงมาตลอดชีวิตแล้ว ผู้ใหญ่จึงสมควรที่จะมีความประเสริฐอยู่ในตัว มากกว่าผู้น้อย

              เมื่อถึงวันสำคัญต่างๆ หรือว่ากาลเทศะใดที่เหมาะสม ผู้น้อยควรจะไปกราบ ขอพรจากผู้ใหญ่ เพื่อจะได้เอามาสร้างความประเสริฐ ให้เกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง เพราะกว่าที่ผู้ใหญ่เหล่านั้น จะมีความประเสริฐเกิดขึ้นในตัว ท่านต้องใช้เวลาที่ยาวนานมาก และท่านจะอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไรไม่รู้ ถ้าท่านละโลกไปแล้ว เราจะไปขอความรู้และความดีเหล่านั้นจากที่ใด

             เพราะฉะนั้น พอถึงวันขึ้นปีใหม่ หรือวันมงคลต่างๆ ผู้น้อยจึงพากันไปกราบผู้ใหญ่ เพื่อขอพร หรือว่าขอความประเสริฐ ซึ่งก็คือขอวิธีละความโลภ ความโกรธ ความหลง นั่นเอง

 

-----------------------------------------

หลักการให้พรที่ถูกต้อง

เมื่อผู้น้อยเข้ามากราบขอพร ผู้ใหญ่ท่านก็จะมีวิธีให้พรดังนี้
             ๑ . อ้างสัจจะในการทำความดี

             ๒ . อธิษฐานให้บุญคุ้มครอง

             ๓ . สอนวิธีทำความดี

             ๔ . ใช้วาจาที่ไพเราะ

             ๕ . ให้พรที่เหมาะสมกับกาละเทศะ

             ยกตัวอย่าง ท่านจะอ้างสัจจะ คือ ความจริงใจในการทำความดี แม้ข้อใดข้อหนึ่งขึ้นมาก่อนเช่น “ ตลอดชีวิตในการทำงาน ข้าพเจ้า ไม่เคยมีความลำเอียงเลย” จากนั้นก็อธิษฐานจิตว่า
             “ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีความลำเอียง ขอให้บุญนี้จงคุ้มครอง ให้ท่านทั้งหลาย จงมีแต่ความสุข ความเจริญ มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานตามข้าพเจ้ามา” ท่านให้พรเพียงสั้นๆ แค่นี้เราก็ชื่นใจแล้ว

             ผู้ใหญ่ที่ย่ำโลกมามาก แค่มองหน้าเราท่านก็พอจะรู้ว่า ตลอดเวลาที่ทำงานร่วมกันมา ๑ ปี เรามีความขุ่นข้องหมองใจต่อท่านในเรื่องใดบ้าง เพราะฉะนั้นนอกจากอธิษฐานให้บุญคุ้มครองเราแล้ว ท่านยังยกเรื่องที่ทำให้เราเกิดความขุ่นใจขึ้นมากล่าวอีกด้วย

             “ ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าเคยแก้ไขความขัดแย้ง เรื่องนั้น เรื่องนี้ ในที่ทำงาน ด้วยความจริงใจ ขอให้บุญนั้น จงคุ้มครองให้เขากลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่” อย่างนี้เป็นต้น

             ผู้ใหญ่บางท่าน เมื่อรู้ว่าผู้น้อยจะไปกราบขอพร ท่านก็จะเตรียมถ้อยคำที่ไพเราะ สละสลวย โดยสรุปสั้นๆ แต่ว่าประทับใจผู้ฟัง หรือบางทีท่านก็เตรียมถ้อยคำที่เป็นโคลงกลอน เพื่อผู้ฟังจะได้จำได้ง่าย เตรียมไว้เป็นพรสำหรับให้กับเราเสร็จเรียบร้อยเลย

             เพราะฉะนั้น ถึงคราวที่พวกเราจะต้องให้พรใคร จำหลักการเหล่านี้ไว้ให้ดีก็แล้ว
[/size]


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 14 เมษายน 2551, 22:43:56
"ฝึกพลังจิตตามแนวทางของ พระภิกษุ พระยานรรัตน์ราชมานิต"(เจ้าคุณนรฯ)

     
การสร้างพลังจิตนั้น จะก่อให้เกิดเป็นผลในการกระทำสิ่งอืนใดได้บรรลุผลดังใจปราถนา


จิตที่มีอำนาจจะต้องประกอบด้วย

ความเข้มแข็ง เชื่อมั่นในตนเอง
มีความมานะพยายามไตรีตรองอย่างรอบคอบ
เมื่อตกลงใจแล้วต้องกระทำตามที่มุ่งหวังไว้ให้สำเร็จ
สามารถบังคับตนเองได้ ไม่ประมาทหวาดกลัว ยอมรับฟังความคิดของคนอื่น มีกำลังใจ



วิธีเสริมสร้างพลังจิต

วางความคิดในจุดที่จะคิดเท่านั้นไม่ฟุ้งซ่านสับสน
ต้องกล้าหาญอยู่เสมอ แต่ไม่กระด้างกระเดื่องถือดี อวดดี
เพิ่มความเข้มแข้งแก่ร่างกาย ลมหายใจ ทำจิตให้เกิดเป็นสมาธิ
พยายามอย่าตกใจกลัว ตื่นเจ้น เสียใจ รักษาระดับประสาทให้กล้าแข็ง
ให้ใช้ความคิดประกอบสายตา
นิสัยคนเรานั้นอาจเปลี่ยนแปลงแก้ไข้ได้ จากคนขลาดหวาดกลัวให้เป็นคนกล้าหาญได้

........จากสิ่งดังกล่าวที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น หากปฏิบัติสม่ำเสมอดังต่อไปนี้ มิใช่เรื่องยากลำบากเลยหากตั้งใจกระทำเสียตั้งแต่ยังเริ่มต้น พลังจิตนี้หากเข้มเเข็งย่อมทำให้การงานทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี
.......การกระทำอะไรที่ต้องอาศัยพลังจิตประกอบกับสมาธิย่อมเกิดผลทั้งสิ้น



วิธีปฏิบัติตนเพื่อเริ่มสร้างพลังจิต

คือเราจะต้องทำจิตใจให้สงบ ไม่ว่าจะมีเหตุการร์ใด ๆ เกิดขึ้น ต้องย่อมข่มความรู้สึกหวาดกลัว จิตใจต้องผ่องใส ไม่เคร่งเครียด มีสมาธิ มีธรรมะอยู่ในใจ มีมานะ

การเริ่มสร้างพลังจิต จนเป็นจิตตานุภาพจะสามารถบังคับบุคคลหรือควบคุมเหตุการณืทั้งหลายได้ จิตตานุภาพหากสามารถสร้างขึ้นได้จะปรากฎออกมาทางสายตา การพูด การวางตนเหล่านี้จะทำให้ผู้พบเห็นยำเกรง


จิตตานุภาพนั้นมิใช่จะนำออกใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ควรนำมาใช้เมื่อจำเป้น ดังนั้นจิตตานุภาพจึงต้องเก็บสงวนเอาไว้ให้อยู่กับตัว ซึ่งมีอยู่ 4 ประการ

พยายามข่มความโกรธดัวยปัญญา พิจารณาที่มาของความโกรธ และผลสุดท้ายแห่งความโกรธนั้น หากปฏิบัติตาม อารมณ์โกรธนั้นจะเกิดผลเป็นอย่างไร
ให้พูดน้อย การพูดน้อยทำให้เราผิดพลาดน้อยลงด้วย
ให้พยายามรักษาความสงบกาย เยือกเย็น
ทำความวิเวกด้วยสมาธิ



พึงระลึกเสมอว่า

ตราบใดที่คนเรายังบังคับตัวเองไม่ได้ จะไปบังคับคนอื่นหาได้ไม่ จิตมีพลังอันยิ่งใหญ่ ผู้มีพลังจิตสูงย่อมมีคุณธรรมสูง ผู้มีพลังจิตมาก ย่อมปกครองคนได้มาก จงสร้างพลังจิตของเราไว้ให้เข้มเเข็ง


จาก http://www.narkaronline.com/palungjit/palungjit1.html


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 14 เมษายน 2551, 22:45:50


"สร้างพลังจิตของตนเอง
ทำจิตของตนเองให้มีพลังงาน"



พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 08 พฤษภาคม 2551, 22:14:20
เริ่มอ่านหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ ครั้งแรก  ตอน ม ปลาย  ..ที่บ้าน
ทั้งข้อคิด นิยาย รัก ใคร่  
เป็นหนังสือที่แถมมากับ นสพ รายสัปดาห์ ฉบับหนึ่ง

จากนั้น ก็ ทุกวันที่ นสพ ฉบับนั้นออก  ..ก็จะซื้อ เพื่อจะได้ของแถม เป็นหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ

สะสมมาเรื่อย ๆ  
ขาดไปบ้างบางช่วง
และเลิกสะสม เมื่อ นสพ ฉบับนั้น  บ่  ได้แถม อีกต่อไป


รวมแล้วมีกี่ เล่ม ไม่รู้ นับ บ่ ถ้วน


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 08 พฤษภาคม 2551, 22:21:35
พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ

เมื่อในอดีตท่านเป็นเด็กที่มีปัญหาทางด้านการพูด นั้นก็คือ ท่านพูดติดอ่าง ในวัยเด็กนั้น บิดา มารดาของท่านพยายามที่จะแก้ไขอย่างไรก็ไม่หาย  จนกระทั่งโตขึ้นมาและรู้ว่า การพูดติดอ่างเป็นเรื่องของระบบประสาท เมื่อไรที่ท่านรู้สึกประหม่า ตื่นเต้นขึ้นมา ท่านไม่สามารถที่จะควบคุมตนเองได้ท่านก็จะเริ่มพูดติดอ่าง

แต่ท่านก็มีวิธีแก้การพูดติดอ่างที่ง่ายๆ อยู่ 2 ประการคือ

·     *  พยายามทำให้คำพูดหนักแน่นเป็นจังหวะ สม่ำเสมอ และ

·       *พยายามเป็นนายของตัวเอง และมีดวงจิตเป็นสมาธิแน่วแน่อยู่เสมอ ไม่ว่าในเวลาพูดกับใคร

และจากหลัก 2 ประการที่กล่าวมาก็ทำให้เด็กคนหนึ่งที่มีปัญหาด้านการพูดกลับมาเป็นผู้ที่มีความสามารถด้านการพูดจนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้ที่พูดเก่งและพูดเพราะ นั้นก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเรามีความพยายามไม่มีอะไรที่ไกลเกินเอื้อมอย่างที่สุภาษิตว่า " ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั้น "


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 08 พฤษภาคม 2551, 22:28:01
หลวงวิจิตรวาทการได้ให้หลักในการฝึกฝนตัวเองเพื่อที่จะเป็นนักพูดที่ดีอยู่ 4 ประการใหญ่ๆดังนี้

1.       ทำตัวของเราให้รู้ทันเหตุการณ์และทันสมัยอยู่เสมอ การที่จะทำให้ทราบเหตุการณ์ทัน

สมัยอยู่เสมอนั้น เราจะต้องอ่านหนังสือพิมพ์รายวันฉบับที่ดี ๆอย่างน้อยวันละฉบับ ให้ทราบเหตุการณ์ ต่างๆไว้อย่าให้เหตุการณ์สำคัญของบ้านเมืองหรือของโลกผ่านพ้นเราไปโดยที่เราไม่รู้ ข้อนี้เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำให้เราเป็นคนทันสมัยอยู่เสมอ

2.       เราควรพยายามท่องจำสุภาษิตหรือคำพังเพยไว้ให้มาก เพราะสุภาษิตนั้นกว่าจะเป็น

สุภาษิตขึ้นมาได้ ผู้ตั้งต้องคิดแล้วคิดอีกและพยายามเอาข้อความที่กว้างที่สุดมารวมไว้เป้นประโยคที่มีถ้อยคำที่น้อยที่สุด ฉะนั้นสุภาษิตต่างๆจึงมีถ้อยคำไพเราะสละสลวยอยู่เสมอ ผู้ที่จำสุภาษิตได้มากย่อมจะมีคำพูดที่สละสลวยดี และมีหลักความคิดอยู่ในใจมากพอที่จะยกเอามาใช้ช่วยคำพูดได้เสมอ

3.       เวลาอ่านหนังสือต่างๆที่แต่งดีๆนั้น ถ้าพบถ้อยคำที่คมคายเข้าในที่ใดควรจดจำไว้หรือ

จดในสมุดหรือขีดเข้าไว้ในเล่มหนังสือที่อ่านนั้นเองถ้าหนังสือนั้นเป็นหนังสือที่แต่งดีจริงๆแล้วย่อมมีถ้อยคำที่คมคายอยู่มากมายและถ้าเราจำได้มากๆก็จะเป็นประโยชน์ที่สุด ไม่ใช่ว่าเราจะเอาคำพูดเหล่านั้นมาพูดตามอย่างเขาไปที่จริงการจำคำพูดคมคายไว้ได้ย่อมทำให้เราเกิดมีความคิด หาคำพูดที่คมคายของเราใหม่

4.       สำคัญที่สุดคือ " สมาธิ " คือความคิดแน่วแน่อยู่ในถ้อยคำที่เราพูด และให้เรารู้สึกว่า

เป็นนายตัวเองอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้มีอะไรมารบกวนใจได้ เมื่อใดที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้ฟังอย่างที่ตั้งใจไว้เมื่อรู้สึกท้อใจรู้สึกเก้อ ให้รวบรวมกำลังใจให้ดี กำหนดดวงจิตให้แน่วแน่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งของนักพูด

                และนอกเหนือจากหลัก 4 ประการแล้ว

เรายังต้องพยายามให้ น้ำหนักคำพูดของเรามีอยู่เสมอ การพูดให้มีน้ำหนักนั้นคือจะต้องพูดให้ชัดถ้อยชัดคำ และรู้จักเน้นคำตรงที่ควรจะเน้น

เสียงไม่เป็นของสำคัญเพราะคนที่มีเสียงไม่ดีเลย แต่เป็นนักพูดอย่างดีก็มีถมไป ข้อสำคัญอยู่ตรงที่ว่าจะต้องพูดให้กระจ่างแจ้งทุกบทพยัญชนะอยู่เสมอและควรพูดช้าๆให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอกันไป

มีอยู่บ้างบางแห่งที่ควรจะเร็วกว่าธรรมดาหรือควรจะช้ากว่าธรรมดา

ข้อความที่ควรจะพูดให้เร็วกว่าธรรมดานั้น ได้แก่ ข้อความที่เป็นประโยคยาวและต้องพูดจนจบประโยคผู้ฟังจึงจะเข้าใจถูกต้อง ประโยคเช่นนี้เราควรพูดให้เร็วกว่าธรรมดาได้ เพราะถ้าพูดช้าไว้ ผู้ฟังอาจเข้าใจผิดหรืออีกอย่างหนึ่ง

ข้อความที่เราต้องการให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นเต้นนั้นควรพูดให้เร็ว เพราะถ้าพูดช้าความตื่นเต้นก็จะไม่บังเกิด

ส่วนคำพูดที่ควรพูดให้ช้ากว่าธรรมดานั้นคือ ตอนที่เป็นคำสั้น ๆ แต่เกิดความลึกซึ้ง เช่น สุภาษิต หรือถ้อยคำที่คมคายอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราจะต้องกล่าวให้ผู้ฟังของเราเอาใจใส่จริงๆ
   
และอีกประการที่สำคัญไม่แพ้กันนั้นก็คือ การมีท่าทาง

มีคนโดยมากเข้าใจผิดไปว่า การออกท่าทางประกอบการพูดให้มากๆนั้นเป็นการดี แท้จริงการออกท่าทางมาก ๆ นั้น กลับจะทำให้คำพูดเสียไป

จากประสบการณ์ของหลวงวิจิตรวาทการบอกไว้ว่า คนที่พูดเก่งที่สุดจะออกท่าทางน้อยที่สุด เขาจะระวังตัวไม่โยกโคลงจะมีการเคลื่อนไหวบ้างก็แต่น้อย และการเคลื่อนไหวเหล่านั้น ก็มีอาการหนักแน่นอยู่ในตัวเสมอ

ด้วยหลักการเป็นนักพูดที่ดีของหลวงวิจิตรวาทการน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่คิดจะเป็นนักพูดที่ดีเป็นนักพูดที่มี การพูดที่เพราะและเก่งอย่างท่าน ขอเพียงแต่...มีความพยายามที่จะฝึกฝนหรือกระทำสิ่งต่าง ๆ ก็สามารถที่จะกระทำมันให้สำเร็จได้ทุกเรื่อง ความสำเร็จไม่มีวันไกลเกินเอื้อม หากเราตั้งใจแล้วพยายามที่จะเอื้อมให้ถึง.
:lol:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 08 พฤษภาคม 2551, 22:54:57


You are what you think you are.


You Can if You Think You Can.




 คนที่ชนะคือคนที่คิดว่าเขาทำได้!!


.


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 08 พฤษภาคม 2551, 23:16:20

จิตตานุภาพ

(เจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส)[/color]


จิตตานุภาพ คืออานุภาพของจิต แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ

• จิตตานุภาพบังคับตนเอง
• จิตตานุภาพบังคับผู้อื่น
• จิตตานุภาพบังคับเคราะห์กรรม


จิตตานุภาพบังคับตนเอง

“ ตนของตนย่อมเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง ” เหตุนี้จึงต้องหัดบังคับตนเอง ผู้อื่นถึงจะเป็นศัตรูก็ไม่เท่าตนเป็นศัตรูต่อตนของตนเอง ถ้ายังไม่สามารถบังคับตนของตนเองให้ดีได้แล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าจะบังคับผู้อื่นให้ดีได้


จิตตานุภาพบังคับตนเองมี ๗ ประการ

• บังคับความหลับและความตื่น

การหัดนอนให้หลับสนิทเป็นกำลังสำคัญยิ่งนัก เหตุที่ทำให้นอนไม่หลับมี ๒ ประการ คือ

๑.๑ ร่างกายไม่สบายพอ
อาหารที่ย่อยยากก็เป็นเหตุให้ร่างกายไม่สบายพอ ควรนอนตะแคงข้างขวา ถ้านอนหงายก็ควรให้เอียงขวานิดหน่อย ถ้าต้องการพลิกก็ควรพลิกจากขวานิดหน่อย แล้วกลับตะแคงขวาตามเดิม นอนย่อมให้อวัยวะทุกส่วนพักผ่อน อย่าให้เกร็งตึงและไม่ควรตะแคงซ้าย

๑.๒ ความคิดฟุ้งซ่าน
เวลานอนถ้าจิตฟุ้งซ่าน ควรคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่อย่างเดียว ครั้นแล้วก็เลิกละไม่คิดสิ่งนั้น และไม่คิดอะไรอื่นต่อไปอีก กระทำใจให้หมดจดเหมือนน้ำที่ใสสะอาด
ควรบังคับตัวให้ตื่นตรงตามเวลาที่ต้องการ ก่อนนอนต้องคิดให้แน่แน่ว สั่งตนเองให้ตื่นเวลาเท่านั้น เมื่อถึงเวลาก็จะตื่นได้เองตามความประสงค์


• ทำความคิดให้ปลอดโปร่ง ว่องไว ในเวลาตื่นขึ้น อย่าให้เซื่องซึม “ ต้องเอาความคิดในเวลาตื่นเช้า ไปประสานติดต่อกับความคิดที่เราทิ้งไว้เมื่อวันวานก่อนที่จะนอนหลับ ” ก่อนนอนควรจดบันทึกกิจการที่เราจะต้องทำในวันรุ่งขึ้นนั้นไว้ในกระดาษแผ่นหนึ่งเสมอ พอตื่นขึ้นมาก็หยิบดูเพื่อปลุกความคิดให้ตื่น

• เปลี่ยนความคิดได้ตามต้องการ คือเมื่อต้องการคิดอย่างใดก็ให้คิดได้อย่างนั้น ทิ้งความคิดอื่น ๆ หมด และเมื่อไม่ต้องการคิดอีกต่อไป จะคิดเรื่องอื่นก็ให้เปลี่ยนได้ทันที และทิ้งเรื่องเก่าโดยไม่เอาเข้ามาพัวพัน คือทำใจให้เป็นสมาธิอยู่ที่กิจเฉพาะหน้า การเปลี่ยนความคิดเป็นเหตุให้ห้องสมองมีเวลาพักชั่วคราว ทำให้สมองมีกำลังแข็งแรงขึ้น

• สงบใจได้แม้เมื่อตกอยู่ในอันตราย หรือประสบทุกข์ อย่าให้เสียใจหมดสติสะดุ้ง ดิ้นรนจนสิ้นปัญญาแก้ไข เกิดความท้อถอยไม่ทำอะไรต่อไป ความสงบไม่ตื่นเต้นเป็นเหตุให้เกิดปัญญาประกอบกิจให้สำเร็จได้สมหวัง เราจะแก้ไขเหตุร้ายที่เกิดขึ้นแก่เราได้นั้นก็มีทางจะทำอยู่ ๒ ขั้น

๔.๑ ต้องสงบใจมิให้ตื่นเต้น
๔.๒ ต้องมีความมานะพยายาม


วิธีสงบใจที่ดีที่สุด หายใจยาวและลึก

• เปลี่ยนนิสัยความเคยชินของตัวจากร้ายเข้ามาหาดี การขืนใจตัวเองชั่วขณะหนึ่งอาจเป็นผลดีแก่ตัวเองตลอดชีวิต แต่การทำตามใจตัวขณะเดียวก็อาจเป็นผลถึงการทำลายชีวิตของเราได้เหมือนกัน

• ตรวจตราตัวของตัวเป็นครั้งคราวโดยสม่ำเสมอ ให้ทราบว่ากำลังใจมั่นคงขึ้นหรือไม่ ฝ่ายกุศลเจริญขึ้นหรือไม่ ฝ่ายอกุศลลดน้อยเบาบางหมดสิ้นไปหรือไม่ ใจยังสะดุ้งดิ้นรนหวั่นไหวอยู่หรือไม่

• ป้องกันรักษาตัวด้วยจิตตานุภาพ การสะดุ้งตกใจหรือเสียใจ ความกลัว เป็นเหตุให้เกิดโรคและโรคกำเริบ และเป็นเหตุให้คนดี ๆ ตายได้ คนไข้ถ้าใจดีหายเร็ว ความไม่กลัวตายรอดอันตรายได้มากกว่ากลัวตาย ความพยายามและอดทนเป็นเหตุให้สำเร็จสมประสงค์


จิตตานุภาพบังคับผู้อื่น


จิตตานุภาพอย่างอ่อน สามารถใช้สายตา น้ำเสียงและด้วยกระแสจิตประกอบคำพูด ซึ่งจะเป็นเครื่องจูงใจคนให้เชื่อฟัง ลักษณะไม่หวาดหวั่นครั่นคร้ามต่อใคร ๆ นั้นไม่ใช่ชีวิตหัวดื้อบึกบึนซึ่งไม่นับว่าเป็นจิตตานุภาพ ต้องเป็นคนสุภาพสงบเสงี่ยม เคารพนบนอบต่อบุคคลที่ควรเคารพ แต่ทว่าหัวใจของคนชนิดนั้นไม่หวาดหวั่นเกรงกลัวใคร และสามารถแสดงให้เห็นว่าตัวเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่ในโลก และเป็นมนุษย์ที่รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักทำ

คนที่สามารถเป็นนายตนเอง ไม่ตกเป็นทาสของหัวใจคนอื่น และสามารถดึงดูดหัวใจคนเข้ามาเชื่อฟังเกรงกลัวนั้น ถ้าสังเกตให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่ามีลักษณะ ๔ ประการ

สายตาแข็ง มีอำนาจในตัว
• เสียงชัดแจ่มใส
• ท่าทางสงบเสงี่ยมและเป็นสง่า
• รู้จักวิธีชักจูงหัวใจคนให้หันมาเข้าในคลองความคิดของตัว


พยายามอ่านหนังสือหน้าหนึ่งโดยไม่กะพริบตาเลยทำให้สายตาแข็งได้ อ่านหนังสืออย่างช้า ๆ ให้ชัดถ้อยคำทุก ๆ ตัวและให้ได้ระยะเสมอกันทำให้เสียงชัดแจ่มใส

เวลาพูด พยายามพูดให้เป็นจังหวะอย่าให้ช้าบ้างเร็วบ้างและให้ชัดถ้อยคำเสมอ ไม่ให้อ้อมแอ้มหรือกลืนคำเสียครึ่งหนึ่ง เป็นการฝึกหัดให้เสียงชัดเจนแจ่มใส

บุคคลที่มีสง่า คือคนที่บังคับร่างกายให้อยู่ในอำนาจหัวใจได้เสมอ มีท่าทางสงบเสงี่ยมเป็นสง่าไม่แสดงอาการโกรธ เกลียด กลัว รัก ขมขื่น ตกใจ สะดุ้ง เศร้าโศก ให้ปรากฏ ไม่ทำอิริยาบถเคลื่อนไหวอันใดโดยไม่จำเป็น และโดยบอกความกำกับของใจ มีหน้าตาแจ่มใส อิริยาบถสงบเสงี่ยมเป็นสง่าอยู่ทุกขณะ การเคลื่อนไหวทุกอย่างทำด้วยความหนักแน่นมั่นคง อย่าให้รวดเร็วจนเป็นการหลุกหลิก หรือผึ่งผายจนเป็นการเย่อหยิ่ง หรืออ่อนเปียกจนเป็นการเกียจคร้าน ในเวลายืนให้น้ำหนักตัวถ่วงอยู่ทั่วตัวเสมอ ไม่ให้ถ่วงแต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง

รู้จักใช้วิธีชักจูงหัวใจคนให้หันเข้ามาในคลองความคิดของเรา

• หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดมีสิ่งที่จะชักจูงให้เขาละทิ้งข้อแนะนำของเรา
• จูงใจเขาให้หันเข้ามาในทางที่เราต้องการทุกที

วิธีป้องกันตัวไม่ให้จิตตานุภาพของผู้อื่นบังคับเราได้

ให้ทำมโนคติให้เห็นประหนึ่งว่า กระแสดวงจิตของเราแผ่ซ่านป้องกันอยู่รอบตัวเรา จิตตานุภาพของผู้อื่นไม่สามารถจะเข้าถึงตัวเราได้ ให้ทำเวลาเข้านอนครั้งหนึ่ง และขณะที่อยู่ใกล้บุคคลที่เราระแวงว่าเขาจะใช้จิตตานุภาพบังคับเรา

จิตตานุภาพบังคับเคราะห์กรรม

เครื่องมือที่จะชักนำเอาเคราะห์ดีเข้ามา คือ ความพยายามเข้มแข็งไม่ท้อถอยหนักแน่นระมัดระวัง เชื่อแน่ในความพากเพียรบากบั่นของตัว มักจะเป็นคนเคราะห์ดีอยู่เสมอ และมีคุณสมบัติอย่างอื่นอีกคือ ความมุ่งหมายและอย่าให้นึกถึงเคราะห์ร้าย ตั้งความมุ่งหมายถึงผลอันใดในชีวิตไว้เท่านั้น เพื่อให้ก้าวหน้ามุ่งตรงไปจนบรรลุสมประสงค์

ความมุ่งหมายจำต้องให้สูงไว้เสมอ เพื่อจะได้มีความพยายามอย่างสูงด้วย แต่การก้าวไปสู่ที่มุ่งหมายนั้น ต้องก้าวอย่างระมัดระวังไม่ก้าวให้ผิด “ ควรมีความปรารถนาให้สูงอยู่เสมอ แต่จะต้องระมัดระวังมิให้เดินพลาด ”

การไม่ยอมแพ้เคราะห์ร้าย เป็นเหตุให้เคราะห์ร้ายพ่ายแพ้เองเมื่อประสบเคราะห์

• จะต้องไม่ให้ใจเสีย เชื่อมั่นในความรู้ความสามารถของตัว รวบรวมกำลังให้พรั่งพร้อม
• ตั้งความมุ่งหมายให้ดีและตกลงแน่ว่าจะมุ่งไปทางไหน
• ใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้น กุมสติให้มั่น อย่างไรก็ดีจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ทำการต่อสู้ดังกล่าวแล้วนั้นไม่ได้เป็นอันขาด


การต่อสู้กับเคราะห์

จะต้องสงบใจ ไม่ตื่นเต้น ไว้ใจตัวและเชื่อแน่ว่า เรามีจิตตานุภาพเป็นเครื่องมือรวมกำลังสติปัญญาของเราให้พรั่งพร้อม เช่นเดียวกับนายเรือที่ไม่รู้จักเสียใจ รวบรวมกำลังเรือและกำลังคนให้บริบูรณ์

• ต้องยึดที่หมายให้แน่น กล่าวคือระลึกถึงผลที่เราต้องการบรรลุนั้นให้แน่วแน่ยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนนายเรือที่ตั้งเข็มทิศให้ตรง และให้รู้แน่ว่าจะต้องการให้เรือบ่ายเบี่ยงไปทางไหน

• ใช้ความระมัดระวังให้มากยิ่งกว่าเมื่อก่อนจะเกิดเหตุร้ายอีกหลายเท่า และความวินิจฉัยที่ถูกต้อง ทำทางปฏิบัติของเราเหมือนอย่างหางเสือเรือ ที่จะช่วยให้เรือบ่ายเบี่ยงไปทางทิศที่ต้องการจะไป

• ไม่สามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้ก็อย่าถอยหลัง ให้หยุดอยู่กับที่

• ให้รู้สึกว่าเคราะห์นั้นทำให้เราดีขึ้น เป็นครูของเรา เป็นผู้เตือนเรา เป็นผู้ลวงใจเรา อย่าเห็นว่าเคราะห์กรรมเป็นของเลว ไม่น่าปรารถนา ควรคิดว่าเป็นของดีที่ทำให้เราเข้มแข็งมั่นคงขึ้น ให้รู้สึกเสมอว่าเราเกิดมาเรียนทั้งเคราะห์ร้ายและเคราะห์ดี เคราะห์เป็นบทเรียนของเรา ที่จะทำให้เราแจ้งโลกแล้วจะได้พ้นโลก ดังนี้ จะไม่รู้จักเคราะห์ร้ายเลยในชีวิต


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 09 พฤษภาคม 2551, 18:49:45
วันนี้ เงียบเหงาจังเลย :?


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 09 พฤษภาคม 2551, 19:34:27
ช่วงนี้ตอบถี่นะเป้

เหงาหรือ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 10 พฤษภาคม 2551, 07:32:22
ไม่รู้ทำไร
มีคอมพ์ อยู่ข้างหน้าทั้งวัน
กลับถึงห้อง ก็ยังนั่งหน้าคอมพ์ อีก
ท่องเวป พร้อมกับดูทีวี รอเวลาโทรศัพท์กลับบ้าน  :wink:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: yai ที่ 10 พฤษภาคม 2551, 14:22:46
ช่วงนี้ ใช้เวลากับมันบ่อย

เหมือนกันเลยวะ

ไม่เล่นคอมพ์ ซักอาทิตย์ จะเป็นไงน้า

(เมื่อไรจะได้ทำไม่รู้)


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: Pae ที่ 10 พฤษภาคม 2551, 16:21:06
เป็นโรคติดเน็ต กันตอนแก่  :lol:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: แป๋ม วิดย ที่ 10 พฤษภาคม 2551, 16:33:16
เป็นเหมือนกัน เมื่อก่อนดูแค่หนังกะเพลงผ่าน you tube ตอนนี้เข้ามาที่นี่มากกว่าอีก...


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 10 พฤษภาคม 2551, 20:44:01
:lol:  :lol:  :lol:

อยู่ที่ทำงาน กะ ที่บ้าน  บ่ ได้คุย แบบนี้ น๊า :lol:  :lol:


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 11 พฤษภาคม 2551, 09:09:13
"ตั้งแต่เข้ายูม่าแล้ว อายุ (ยุวดี ไทยหิรัญ) ยังบอกเลย ว่าไม่เคยเห็นผมหล่อเลย และบอกด้วย ว่าถ้าแกเล่นดีเมื่อไร แกจะหล่อขึ้นมาทันที เขาบอกว่าบทบาทจะทำให้เราดูดีเอง คนเราเป็นนักแสดงก็ต้องดูดีในระดับหนึ่ง แต่คงไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟกท์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเพอร์เฟกท์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วไม่มีความสามารถ มันก็ไม่มีประโยชน์ เราเก็บประสบการณ์ ฝึกฝีมือไป ถ้าวันหนึ่งเราเล่นดี คนก็จะคิดว่าเราหล่อเอง"


เคน..........ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 พฤษภาคม 2551, 14:44:00
เขาว่ากันว่า

การเมืองเป็นเรื่องรับจ้าง


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 พฤษภาคม 2551, 14:45:51
เศรษฐกิจ ป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวระดับโลก


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: wirat ที่ 30 พฤษภาคม 2551, 14:46:27
และ สังคมเป็นเรื่อง มือใครยาวสาวได้สาวเอา


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: akenui ที่ 30 พฤษภาคม 2551, 15:34:15
อ้างจาก: "BU_MEE"
"ตั้งแต่เข้ายูม่าแล้ว อายุ (ยุวดี ไทยหิรัญ) ยังบอกเลย ว่าไม่เคยเห็นผมหล่อเลย และบอกด้วย ว่าถ้าแกเล่นดีเมื่อไร แกจะหล่อขึ้นมาทันที เขาบอกว่าบทบาทจะทำให้เราดูดีเอง คนเราเป็นนักแสดงก็ต้องดูดีในระดับหนึ่ง แต่คงไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟกท์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเพอร์เฟกท์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วไม่มีความสามารถ มันก็ไม่มีประโยชน์ เราเก็บประสบการณ์ ฝึกฝีมือไป ถ้าวันหนึ่งเราเล่นดี คนก็จะคิดว่าเราหล่อเอง"


เคน..........ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์


อันนี้ ใช้ได้กับ วงการฟุตบอลด้วยนะครีบบบบบบบ


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 14 มิถุนายน 2551, 11:20:52
พยายาม พยายาม


อย่าให้ "รายจ่าย" เพิ่ม ตาม "รายได้" ที่เพิ่มขึ้น


.


หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 06 สิงหาคม 2551, 22:43:21
(http://img221.imageshack.us/img221/7272/436821cr1.jpg)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดคนดัง
เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 14 กันยายน 2551, 14:11:24
 วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ 
 
 
ผู้แต่งเชื่อว่านิสัยเกิดจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า

นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เสียจนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้

1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที

ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม

วิธีแก้ หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที ก็ให้ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา

จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา

คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Worst case scenario) แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ
และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้ จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป

2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย

บุคคลที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
นิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา

วิธีแก้รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง

3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ

ทุกอย่างมีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่ เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความผิด แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด

วิธีแก้เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ

กำลังพูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสียเช่น การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ) สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด (แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริตเพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่แล้ว)

4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา

ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง
 
วิธีแก้ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อ ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้างขึ้นมา ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้ เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา

ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น มีความเครียดเป็นอาจิณ

วิธีแก้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ของตนเอง ว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู

6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูก ต้องเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว

วิธีแก้พูดเท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน

วิธีแก้ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน
ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเรา หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน

8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน
วิธีแก้ รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ทุกคน แต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวกเช่น คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมากขึ้น หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็น เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น

9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การคิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้วยังทำให้ชีวิตจมปลักไม่ก้าวหน้าไปไหน
เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ

วิธีแก้ จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น
ระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์และปรับ ปรุงจุดด้อยหรือหาสิ่งอื่นมาทดแทน เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต
ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดในแง่บวก และพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา

10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว

การคิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆ ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา

วิธีแก้คิดถึงประสบการณ์ดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้างเช่น คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้นพยายามมองโลกในแง่บวก อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง

11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที

การคิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจของเราเองเสียอีก
 
วิธีแก้ ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา และเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือ มองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่ความหายนะจะเกิดขึ้นก็ได้ ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อน คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา

12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น

ความคิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหัง อวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาว บุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยา ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว

วิธีแก้ ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น
อยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น

13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์

เป็นอกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียด และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย

วิธีแก้ คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด
ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา ในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง

บทความที่นำมาเสนอจากหนังสือเรื่อง
Don't Sweat the Small Stuff แต่งโดย
Richard Carlson
 
 
ที่มา: มิสเกรนเจอร์
 
[/size]