03 พฤษภาคม 2567, 13:03:52
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง  (อ่าน 105543 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #350 เมื่อ: 09 เมษายน 2551, 13:29:50 »

โอยยยยยยยยยยย  เหนือ่ย  แล้ว ยังเหม็นอีก

ไปละ ทนความเหม็น ม่ายยยย หวายยยยยยยยยย
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #351 เมื่อ: 09 เมษายน 2551, 20:56:47 »

ยังคิดไม่ออก ว่าจะเอา ของ หลวงวิจิตรวาทการมาลงดี หรือเปล่าค่ะ
บันทึกการเข้า
yai
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,489

« ตอบ #352 เมื่อ: 10 เมษายน 2551, 21:40:33 »

เอาเลยหมี อยากอ่าน
บันทึกการเข้า
Meaw
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #353 เมื่อ: 10 เมษายน 2551, 22:56:33 »

อยากอ่านด้วยยยยย....
บันทึกการเข้า
Pae
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,047

« ตอบ #354 เมื่อ: 11 เมษายน 2551, 09:47:10 »

อยากอ่านด้วย
บันทึกการเข้า
Meaw
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #355 เมื่อ: 12 เมษายน 2551, 16:47:39 »

บันทึกการเข้า
akenui
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 3,092

« ตอบ #356 เมื่อ: 12 เมษายน 2551, 17:09:07 »

เยี่ยม ครับเหมียว
ไม่สั้น ไม่ยาว  เข้าใจง่าย  เตือนสติดี :wink:
บันทึกการเข้า

สุดจะทน ก็ต้องทน
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #357 เมื่อ: 14 เมษายน 2551, 22:30:13 »

ความสำคัญและการให้พรอย่างถูกวิธี

(พระภาวนาวิริยคุณ http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?option=com_content&task=view&id=72&Itemid=4)

คำว่า “ พร” แปลว่า ประเสริฐ เพราะฉะนั้นการให้พรก็คือการให้ความประเสริฐ

             ความประเสริฐของมนุษย์อยู่ที่ใด

             ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ถ้าอยากจะรู้ว่าความประเสริฐของมนุษย์อยู่ตรงไหน ท่านให้มองเข้าไปที่ใจ อย่าไปมองที่รูปร่างหน้าตา เพราะความประเสริฐทางร่างกาย เช่น หล่อ สวย หรือว่าแข็งแรงนั้น แม้เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่ายังดีไม่จริง ถ้าดีจริงละก็ต้องดีเข้าไป

--------------------
ความสำคัญของการให้พร

             ในทางโลกเขาสมมุติกันว่า ผู้ใหญ่ คือ ผู้ที่ผ่านวัยมามาก
 เนื่องจากอยู่ในโลกนี้มานาน จึงสมควรที่จะมีหลักธรรมประจำใจ ไว้สำหรับปราบความโลภ ความโกรธ ความหลงที่อยู่ในตัว เพราะได้ฝึกการปราบความโลภ ความโกรธ ความหลงมาตลอดชีวิตแล้ว ผู้ใหญ่จึงสมควรที่จะมีความประเสริฐอยู่ในตัว มากกว่าผู้น้อย

              เมื่อถึงวันสำคัญต่างๆ หรือว่ากาลเทศะใดที่เหมาะสม ผู้น้อยควรจะไปกราบ ขอพรจากผู้ใหญ่ เพื่อจะได้เอามาสร้างความประเสริฐ ให้เกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง เพราะกว่าที่ผู้ใหญ่เหล่านั้น จะมีความประเสริฐเกิดขึ้นในตัว ท่านต้องใช้เวลาที่ยาวนานมาก และท่านจะอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไรไม่รู้ ถ้าท่านละโลกไปแล้ว เราจะไปขอความรู้และความดีเหล่านั้นจากที่ใด

             เพราะฉะนั้น พอถึงวันขึ้นปีใหม่ หรือวันมงคลต่างๆ ผู้น้อยจึงพากันไปกราบผู้ใหญ่ เพื่อขอพร หรือว่าขอความประเสริฐ ซึ่งก็คือขอวิธีละความโลภ ความโกรธ ความหลง นั่นเอง

 

-----------------------------------------

หลักการให้พรที่ถูกต้อง

เมื่อผู้น้อยเข้ามากราบขอพร ผู้ใหญ่ท่านก็จะมีวิธีให้พรดังนี้
             ๑ . อ้างสัจจะในการทำความดี

             ๒ . อธิษฐานให้บุญคุ้มครอง

             ๓ . สอนวิธีทำความดี

             ๔ . ใช้วาจาที่ไพเราะ

             ๕ . ให้พรที่เหมาะสมกับกาละเทศะ

             ยกตัวอย่าง ท่านจะอ้างสัจจะ คือ ความจริงใจในการทำความดี แม้ข้อใดข้อหนึ่งขึ้นมาก่อนเช่น “ ตลอดชีวิตในการทำงาน ข้าพเจ้า ไม่เคยมีความลำเอียงเลย” จากนั้นก็อธิษฐานจิตว่า
             “ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีความลำเอียง ขอให้บุญนี้จงคุ้มครอง ให้ท่านทั้งหลาย จงมีแต่ความสุข ความเจริญ มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานตามข้าพเจ้ามา” ท่านให้พรเพียงสั้นๆ แค่นี้เราก็ชื่นใจแล้ว

             ผู้ใหญ่ที่ย่ำโลกมามาก แค่มองหน้าเราท่านก็พอจะรู้ว่า ตลอดเวลาที่ทำงานร่วมกันมา ๑ ปี เรามีความขุ่นข้องหมองใจต่อท่านในเรื่องใดบ้าง เพราะฉะนั้นนอกจากอธิษฐานให้บุญคุ้มครองเราแล้ว ท่านยังยกเรื่องที่ทำให้เราเกิดความขุ่นใจขึ้นมากล่าวอีกด้วย

             “ ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าเคยแก้ไขความขัดแย้ง เรื่องนั้น เรื่องนี้ ในที่ทำงาน ด้วยความจริงใจ ขอให้บุญนั้น จงคุ้มครองให้เขากลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่” อย่างนี้เป็นต้น

             ผู้ใหญ่บางท่าน เมื่อรู้ว่าผู้น้อยจะไปกราบขอพร ท่านก็จะเตรียมถ้อยคำที่ไพเราะ สละสลวย โดยสรุปสั้นๆ แต่ว่าประทับใจผู้ฟัง หรือบางทีท่านก็เตรียมถ้อยคำที่เป็นโคลงกลอน เพื่อผู้ฟังจะได้จำได้ง่าย เตรียมไว้เป็นพรสำหรับให้กับเราเสร็จเรียบร้อยเลย

             เพราะฉะนั้น ถึงคราวที่พวกเราจะต้องให้พรใคร จำหลักการเหล่านี้ไว้ให้ดีก็แล้ว
[/size]
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #358 เมื่อ: 14 เมษายน 2551, 22:43:56 »

"ฝึกพลังจิตตามแนวทางของ พระภิกษุ พระยานรรัตน์ราชมานิต"(เจ้าคุณนรฯ)

     
การสร้างพลังจิตนั้น จะก่อให้เกิดเป็นผลในการกระทำสิ่งอืนใดได้บรรลุผลดังใจปราถนา


จิตที่มีอำนาจจะต้องประกอบด้วย

ความเข้มแข็ง เชื่อมั่นในตนเอง
มีความมานะพยายามไตรีตรองอย่างรอบคอบ
เมื่อตกลงใจแล้วต้องกระทำตามที่มุ่งหวังไว้ให้สำเร็จ
สามารถบังคับตนเองได้ ไม่ประมาทหวาดกลัว ยอมรับฟังความคิดของคนอื่น มีกำลังใจ




วิธีเสริมสร้างพลังจิต

วางความคิดในจุดที่จะคิดเท่านั้นไม่ฟุ้งซ่านสับสน
ต้องกล้าหาญอยู่เสมอ แต่ไม่กระด้างกระเดื่องถือดี อวดดี
เพิ่มความเข้มแข้งแก่ร่างกาย ลมหายใจ ทำจิตให้เกิดเป็นสมาธิ
พยายามอย่าตกใจกลัว ตื่นเจ้น เสียใจ รักษาระดับประสาทให้กล้าแข็ง
ให้ใช้ความคิดประกอบสายตา
นิสัยคนเรานั้นอาจเปลี่ยนแปลงแก้ไข้ได้ จากคนขลาดหวาดกลัวให้เป็นคนกล้าหาญได้

........จากสิ่งดังกล่าวที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น หากปฏิบัติสม่ำเสมอดังต่อไปนี้ มิใช่เรื่องยากลำบากเลยหากตั้งใจกระทำเสียตั้งแต่ยังเริ่มต้น พลังจิตนี้หากเข้มเเข็งย่อมทำให้การงานทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี
.......การกระทำอะไรที่ต้องอาศัยพลังจิตประกอบกับสมาธิย่อมเกิดผลทั้งสิ้น




วิธีปฏิบัติตนเพื่อเริ่มสร้างพลังจิต

คือเราจะต้องทำจิตใจให้สงบ ไม่ว่าจะมีเหตุการร์ใด ๆ เกิดขึ้น ต้องย่อมข่มความรู้สึกหวาดกลัว จิตใจต้องผ่องใส ไม่เคร่งเครียด มีสมาธิ มีธรรมะอยู่ในใจ มีมานะ

การเริ่มสร้างพลังจิต จนเป็นจิตตานุภาพจะสามารถบังคับบุคคลหรือควบคุมเหตุการณืทั้งหลายได้ จิตตานุภาพหากสามารถสร้างขึ้นได้จะปรากฎออกมาทางสายตา การพูด การวางตนเหล่านี้จะทำให้ผู้พบเห็นยำเกรง



จิตตานุภาพนั้นมิใช่จะนำออกใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ควรนำมาใช้เมื่อจำเป้น ดังนั้นจิตตานุภาพจึงต้องเก็บสงวนเอาไว้ให้อยู่กับตัว ซึ่งมีอยู่ 4 ประการ

พยายามข่มความโกรธดัวยปัญญา พิจารณาที่มาของความโกรธ และผลสุดท้ายแห่งความโกรธนั้น หากปฏิบัติตาม อารมณ์โกรธนั้นจะเกิดผลเป็นอย่างไร
ให้พูดน้อย การพูดน้อยทำให้เราผิดพลาดน้อยลงด้วย
ให้พยายามรักษาความสงบกาย เยือกเย็น
ทำความวิเวกด้วยสมาธิ




พึงระลึกเสมอว่า

ตราบใดที่คนเรายังบังคับตัวเองไม่ได้ จะไปบังคับคนอื่นหาได้ไม่ จิตมีพลังอันยิ่งใหญ่ ผู้มีพลังจิตสูงย่อมมีคุณธรรมสูง ผู้มีพลังจิตมาก ย่อมปกครองคนได้มาก จงสร้างพลังจิตของเราไว้ให้เข้มเเข็ง


จาก http://www.narkaronline.com/palungjit/palungjit1.html
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #359 เมื่อ: 14 เมษายน 2551, 22:45:50 »



"สร้างพลังจิตของตนเอง
ทำจิตของตนเองให้มีพลังงาน"



พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #360 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2551, 22:14:20 »

เริ่มอ่านหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ ครั้งแรก  ตอน ม ปลาย  ..ที่บ้าน
ทั้งข้อคิด นิยาย รัก ใคร่  
เป็นหนังสือที่แถมมากับ นสพ รายสัปดาห์ ฉบับหนึ่ง

จากนั้น ก็ ทุกวันที่ นสพ ฉบับนั้นออก  ..ก็จะซื้อ เพื่อจะได้ของแถม เป็นหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ

สะสมมาเรื่อย ๆ  
ขาดไปบ้างบางช่วง
และเลิกสะสม เมื่อ นสพ ฉบับนั้น  บ่  ได้แถม อีกต่อไป


รวมแล้วมีกี่ เล่ม ไม่รู้ นับ บ่ ถ้วน
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #361 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2551, 22:21:35 »

พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ

เมื่อในอดีตท่านเป็นเด็กที่มีปัญหาทางด้านการพูด นั้นก็คือ ท่านพูดติดอ่าง ในวัยเด็กนั้น บิดา มารดาของท่านพยายามที่จะแก้ไขอย่างไรก็ไม่หาย  จนกระทั่งโตขึ้นมาและรู้ว่า การพูดติดอ่างเป็นเรื่องของระบบประสาท เมื่อไรที่ท่านรู้สึกประหม่า ตื่นเต้นขึ้นมา ท่านไม่สามารถที่จะควบคุมตนเองได้ท่านก็จะเริ่มพูดติดอ่าง

แต่ท่านก็มีวิธีแก้การพูดติดอ่างที่ง่ายๆ อยู่ 2 ประการคือ

·     *  พยายามทำให้คำพูดหนักแน่นเป็นจังหวะ สม่ำเสมอ และ

·       *พยายามเป็นนายของตัวเอง และมีดวงจิตเป็นสมาธิแน่วแน่อยู่เสมอ ไม่ว่าในเวลาพูดกับใคร

และจากหลัก 2 ประการที่กล่าวมาก็ทำให้เด็กคนหนึ่งที่มีปัญหาด้านการพูดกลับมาเป็นผู้ที่มีความสามารถด้านการพูดจนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้ที่พูดเก่งและพูดเพราะ นั้นก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเรามีความพยายามไม่มีอะไรที่ไกลเกินเอื้อมอย่างที่สุภาษิตว่า " ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั้น "
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #362 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2551, 22:28:01 »

หลวงวิจิตรวาทการได้ให้หลักในการฝึกฝนตัวเองเพื่อที่จะเป็นนักพูดที่ดีอยู่ 4 ประการใหญ่ๆดังนี้

1.       ทำตัวของเราให้รู้ทันเหตุการณ์และทันสมัยอยู่เสมอ การที่จะทำให้ทราบเหตุการณ์ทัน

สมัยอยู่เสมอนั้น เราจะต้องอ่านหนังสือพิมพ์รายวันฉบับที่ดี ๆอย่างน้อยวันละฉบับ ให้ทราบเหตุการณ์ ต่างๆไว้อย่าให้เหตุการณ์สำคัญของบ้านเมืองหรือของโลกผ่านพ้นเราไปโดยที่เราไม่รู้ ข้อนี้เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำให้เราเป็นคนทันสมัยอยู่เสมอ

2.       เราควรพยายามท่องจำสุภาษิตหรือคำพังเพยไว้ให้มาก เพราะสุภาษิตนั้นกว่าจะเป็น

สุภาษิตขึ้นมาได้ ผู้ตั้งต้องคิดแล้วคิดอีกและพยายามเอาข้อความที่กว้างที่สุดมารวมไว้เป้นประโยคที่มีถ้อยคำที่น้อยที่สุด ฉะนั้นสุภาษิตต่างๆจึงมีถ้อยคำไพเราะสละสลวยอยู่เสมอ ผู้ที่จำสุภาษิตได้มากย่อมจะมีคำพูดที่สละสลวยดี และมีหลักความคิดอยู่ในใจมากพอที่จะยกเอามาใช้ช่วยคำพูดได้เสมอ

3.       เวลาอ่านหนังสือต่างๆที่แต่งดีๆนั้น ถ้าพบถ้อยคำที่คมคายเข้าในที่ใดควรจดจำไว้หรือ

จดในสมุดหรือขีดเข้าไว้ในเล่มหนังสือที่อ่านนั้นเองถ้าหนังสือนั้นเป็นหนังสือที่แต่งดีจริงๆแล้วย่อมมีถ้อยคำที่คมคายอยู่มากมายและถ้าเราจำได้มากๆก็จะเป็นประโยชน์ที่สุด ไม่ใช่ว่าเราจะเอาคำพูดเหล่านั้นมาพูดตามอย่างเขาไปที่จริงการจำคำพูดคมคายไว้ได้ย่อมทำให้เราเกิดมีความคิด หาคำพูดที่คมคายของเราใหม่

4.       สำคัญที่สุดคือ " สมาธิ " คือความคิดแน่วแน่อยู่ในถ้อยคำที่เราพูด และให้เรารู้สึกว่า

เป็นนายตัวเองอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้มีอะไรมารบกวนใจได้ เมื่อใดที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้ฟังอย่างที่ตั้งใจไว้เมื่อรู้สึกท้อใจรู้สึกเก้อ ให้รวบรวมกำลังใจให้ดี กำหนดดวงจิตให้แน่วแน่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งของนักพูด

                และนอกเหนือจากหลัก 4 ประการแล้ว

เรายังต้องพยายามให้ น้ำหนักคำพูดของเรามีอยู่เสมอ การพูดให้มีน้ำหนักนั้นคือจะต้องพูดให้ชัดถ้อยชัดคำ และรู้จักเน้นคำตรงที่ควรจะเน้น

เสียงไม่เป็นของสำคัญเพราะคนที่มีเสียงไม่ดีเลย แต่เป็นนักพูดอย่างดีก็มีถมไป ข้อสำคัญอยู่ตรงที่ว่าจะต้องพูดให้กระจ่างแจ้งทุกบทพยัญชนะอยู่เสมอและควรพูดช้าๆให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอกันไป

มีอยู่บ้างบางแห่งที่ควรจะเร็วกว่าธรรมดาหรือควรจะช้ากว่าธรรมดา

ข้อความที่ควรจะพูดให้เร็วกว่าธรรมดานั้น ได้แก่ ข้อความที่เป็นประโยคยาวและต้องพูดจนจบประโยคผู้ฟังจึงจะเข้าใจถูกต้อง ประโยคเช่นนี้เราควรพูดให้เร็วกว่าธรรมดาได้ เพราะถ้าพูดช้าไว้ ผู้ฟังอาจเข้าใจผิดหรืออีกอย่างหนึ่ง

ข้อความที่เราต้องการให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นเต้นนั้นควรพูดให้เร็ว เพราะถ้าพูดช้าความตื่นเต้นก็จะไม่บังเกิด

ส่วนคำพูดที่ควรพูดให้ช้ากว่าธรรมดานั้นคือ ตอนที่เป็นคำสั้น ๆ แต่เกิดความลึกซึ้ง เช่น สุภาษิต หรือถ้อยคำที่คมคายอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราจะต้องกล่าวให้ผู้ฟังของเราเอาใจใส่จริงๆ
   
และอีกประการที่สำคัญไม่แพ้กันนั้นก็คือ การมีท่าทาง

มีคนโดยมากเข้าใจผิดไปว่า การออกท่าทางประกอบการพูดให้มากๆนั้นเป็นการดี แท้จริงการออกท่าทางมาก ๆ นั้น กลับจะทำให้คำพูดเสียไป

จากประสบการณ์ของหลวงวิจิตรวาทการบอกไว้ว่า คนที่พูดเก่งที่สุดจะออกท่าทางน้อยที่สุด เขาจะระวังตัวไม่โยกโคลงจะมีการเคลื่อนไหวบ้างก็แต่น้อย และการเคลื่อนไหวเหล่านั้น ก็มีอาการหนักแน่นอยู่ในตัวเสมอ

ด้วยหลักการเป็นนักพูดที่ดีของหลวงวิจิตรวาทการน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่คิดจะเป็นนักพูดที่ดีเป็นนักพูดที่มี การพูดที่เพราะและเก่งอย่างท่าน ขอเพียงแต่...มีความพยายามที่จะฝึกฝนหรือกระทำสิ่งต่าง ๆ ก็สามารถที่จะกระทำมันให้สำเร็จได้ทุกเรื่อง ความสำเร็จไม่มีวันไกลเกินเอื้อม หากเราตั้งใจแล้วพยายามที่จะเอื้อมให้ถึง.
:lol:
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #363 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2551, 22:54:57 »



You are what you think you are.


You Can if You Think You Can.




 คนที่ชนะคือคนที่คิดว่าเขาทำได้!!


.
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #364 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2551, 23:16:20 »


จิตตานุภาพ

(เจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส)[/color]


จิตตานุภาพ คืออานุภาพของจิต แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ

• จิตตานุภาพบังคับตนเอง
• จิตตานุภาพบังคับผู้อื่น
• จิตตานุภาพบังคับเคราะห์กรรม


จิตตานุภาพบังคับตนเอง

“ ตนของตนย่อมเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง ” เหตุนี้จึงต้องหัดบังคับตนเอง ผู้อื่นถึงจะเป็นศัตรูก็ไม่เท่าตนเป็นศัตรูต่อตนของตนเอง ถ้ายังไม่สามารถบังคับตนของตนเองให้ดีได้แล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าจะบังคับผู้อื่นให้ดีได้


จิตตานุภาพบังคับตนเองมี ๗ ประการ

• บังคับความหลับและความตื่น

การหัดนอนให้หลับสนิทเป็นกำลังสำคัญยิ่งนัก เหตุที่ทำให้นอนไม่หลับมี ๒ ประการ คือ

๑.๑ ร่างกายไม่สบายพอ
อาหารที่ย่อยยากก็เป็นเหตุให้ร่างกายไม่สบายพอ ควรนอนตะแคงข้างขวา ถ้านอนหงายก็ควรให้เอียงขวานิดหน่อย ถ้าต้องการพลิกก็ควรพลิกจากขวานิดหน่อย แล้วกลับตะแคงขวาตามเดิม นอนย่อมให้อวัยวะทุกส่วนพักผ่อน อย่าให้เกร็งตึงและไม่ควรตะแคงซ้าย

๑.๒ ความคิดฟุ้งซ่าน
เวลานอนถ้าจิตฟุ้งซ่าน ควรคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่อย่างเดียว ครั้นแล้วก็เลิกละไม่คิดสิ่งนั้น และไม่คิดอะไรอื่นต่อไปอีก กระทำใจให้หมดจดเหมือนน้ำที่ใสสะอาด
ควรบังคับตัวให้ตื่นตรงตามเวลาที่ต้องการ ก่อนนอนต้องคิดให้แน่แน่ว สั่งตนเองให้ตื่นเวลาเท่านั้น เมื่อถึงเวลาก็จะตื่นได้เองตามความประสงค์


• ทำความคิดให้ปลอดโปร่ง ว่องไว ในเวลาตื่นขึ้น อย่าให้เซื่องซึม “ ต้องเอาความคิดในเวลาตื่นเช้า ไปประสานติดต่อกับความคิดที่เราทิ้งไว้เมื่อวันวานก่อนที่จะนอนหลับ ” ก่อนนอนควรจดบันทึกกิจการที่เราจะต้องทำในวันรุ่งขึ้นนั้นไว้ในกระดาษแผ่นหนึ่งเสมอ พอตื่นขึ้นมาก็หยิบดูเพื่อปลุกความคิดให้ตื่น

• เปลี่ยนความคิดได้ตามต้องการ คือเมื่อต้องการคิดอย่างใดก็ให้คิดได้อย่างนั้น ทิ้งความคิดอื่น ๆ หมด และเมื่อไม่ต้องการคิดอีกต่อไป จะคิดเรื่องอื่นก็ให้เปลี่ยนได้ทันที และทิ้งเรื่องเก่าโดยไม่เอาเข้ามาพัวพัน คือทำใจให้เป็นสมาธิอยู่ที่กิจเฉพาะหน้า การเปลี่ยนความคิดเป็นเหตุให้ห้องสมองมีเวลาพักชั่วคราว ทำให้สมองมีกำลังแข็งแรงขึ้น

• สงบใจได้แม้เมื่อตกอยู่ในอันตราย หรือประสบทุกข์ อย่าให้เสียใจหมดสติสะดุ้ง ดิ้นรนจนสิ้นปัญญาแก้ไข เกิดความท้อถอยไม่ทำอะไรต่อไป ความสงบไม่ตื่นเต้นเป็นเหตุให้เกิดปัญญาประกอบกิจให้สำเร็จได้สมหวัง เราจะแก้ไขเหตุร้ายที่เกิดขึ้นแก่เราได้นั้นก็มีทางจะทำอยู่ ๒ ขั้น

๔.๑ ต้องสงบใจมิให้ตื่นเต้น
๔.๒ ต้องมีความมานะพยายาม


วิธีสงบใจที่ดีที่สุด หายใจยาวและลึก

• เปลี่ยนนิสัยความเคยชินของตัวจากร้ายเข้ามาหาดี การขืนใจตัวเองชั่วขณะหนึ่งอาจเป็นผลดีแก่ตัวเองตลอดชีวิต แต่การทำตามใจตัวขณะเดียวก็อาจเป็นผลถึงการทำลายชีวิตของเราได้เหมือนกัน

• ตรวจตราตัวของตัวเป็นครั้งคราวโดยสม่ำเสมอ ให้ทราบว่ากำลังใจมั่นคงขึ้นหรือไม่ ฝ่ายกุศลเจริญขึ้นหรือไม่ ฝ่ายอกุศลลดน้อยเบาบางหมดสิ้นไปหรือไม่ ใจยังสะดุ้งดิ้นรนหวั่นไหวอยู่หรือไม่

• ป้องกันรักษาตัวด้วยจิตตานุภาพ การสะดุ้งตกใจหรือเสียใจ ความกลัว เป็นเหตุให้เกิดโรคและโรคกำเริบ และเป็นเหตุให้คนดี ๆ ตายได้ คนไข้ถ้าใจดีหายเร็ว ความไม่กลัวตายรอดอันตรายได้มากกว่ากลัวตาย ความพยายามและอดทนเป็นเหตุให้สำเร็จสมประสงค์



จิตตานุภาพบังคับผู้อื่น


จิตตานุภาพอย่างอ่อน สามารถใช้สายตา น้ำเสียงและด้วยกระแสจิตประกอบคำพูด ซึ่งจะเป็นเครื่องจูงใจคนให้เชื่อฟัง ลักษณะไม่หวาดหวั่นครั่นคร้ามต่อใคร ๆ นั้นไม่ใช่ชีวิตหัวดื้อบึกบึนซึ่งไม่นับว่าเป็นจิตตานุภาพ ต้องเป็นคนสุภาพสงบเสงี่ยม เคารพนบนอบต่อบุคคลที่ควรเคารพ แต่ทว่าหัวใจของคนชนิดนั้นไม่หวาดหวั่นเกรงกลัวใคร และสามารถแสดงให้เห็นว่าตัวเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่ในโลก และเป็นมนุษย์ที่รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักทำ

คนที่สามารถเป็นนายตนเอง ไม่ตกเป็นทาสของหัวใจคนอื่น และสามารถดึงดูดหัวใจคนเข้ามาเชื่อฟังเกรงกลัวนั้น ถ้าสังเกตให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่ามีลักษณะ ๔ ประการ

สายตาแข็ง มีอำนาจในตัว
• เสียงชัดแจ่มใส
• ท่าทางสงบเสงี่ยมและเป็นสง่า
• รู้จักวิธีชักจูงหัวใจคนให้หันมาเข้าในคลองความคิดของตัว


พยายามอ่านหนังสือหน้าหนึ่งโดยไม่กะพริบตาเลยทำให้สายตาแข็งได้ อ่านหนังสืออย่างช้า ๆ ให้ชัดถ้อยคำทุก ๆ ตัวและให้ได้ระยะเสมอกันทำให้เสียงชัดแจ่มใส

เวลาพูด พยายามพูดให้เป็นจังหวะอย่าให้ช้าบ้างเร็วบ้างและให้ชัดถ้อยคำเสมอ ไม่ให้อ้อมแอ้มหรือกลืนคำเสียครึ่งหนึ่ง เป็นการฝึกหัดให้เสียงชัดเจนแจ่มใส

บุคคลที่มีสง่า คือคนที่บังคับร่างกายให้อยู่ในอำนาจหัวใจได้เสมอ มีท่าทางสงบเสงี่ยมเป็นสง่าไม่แสดงอาการโกรธ เกลียด กลัว รัก ขมขื่น ตกใจ สะดุ้ง เศร้าโศก ให้ปรากฏ ไม่ทำอิริยาบถเคลื่อนไหวอันใดโดยไม่จำเป็น และโดยบอกความกำกับของใจ มีหน้าตาแจ่มใส อิริยาบถสงบเสงี่ยมเป็นสง่าอยู่ทุกขณะ การเคลื่อนไหวทุกอย่างทำด้วยความหนักแน่นมั่นคง อย่าให้รวดเร็วจนเป็นการหลุกหลิก หรือผึ่งผายจนเป็นการเย่อหยิ่ง หรืออ่อนเปียกจนเป็นการเกียจคร้าน ในเวลายืนให้น้ำหนักตัวถ่วงอยู่ทั่วตัวเสมอ ไม่ให้ถ่วงแต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง

รู้จักใช้วิธีชักจูงหัวใจคนให้หันเข้ามาในคลองความคิดของเรา

• หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดมีสิ่งที่จะชักจูงให้เขาละทิ้งข้อแนะนำของเรา
• จูงใจเขาให้หันเข้ามาในทางที่เราต้องการทุกที

วิธีป้องกันตัวไม่ให้จิตตานุภาพของผู้อื่นบังคับเราได้

ให้ทำมโนคติให้เห็นประหนึ่งว่า กระแสดวงจิตของเราแผ่ซ่านป้องกันอยู่รอบตัวเรา จิตตานุภาพของผู้อื่นไม่สามารถจะเข้าถึงตัวเราได้ ให้ทำเวลาเข้านอนครั้งหนึ่ง และขณะที่อยู่ใกล้บุคคลที่เราระแวงว่าเขาจะใช้จิตตานุภาพบังคับเรา


จิตตานุภาพบังคับเคราะห์กรรม

เครื่องมือที่จะชักนำเอาเคราะห์ดีเข้ามา คือ ความพยายามเข้มแข็งไม่ท้อถอยหนักแน่นระมัดระวัง เชื่อแน่ในความพากเพียรบากบั่นของตัว มักจะเป็นคนเคราะห์ดีอยู่เสมอ และมีคุณสมบัติอย่างอื่นอีกคือ ความมุ่งหมายและอย่าให้นึกถึงเคราะห์ร้าย ตั้งความมุ่งหมายถึงผลอันใดในชีวิตไว้เท่านั้น เพื่อให้ก้าวหน้ามุ่งตรงไปจนบรรลุสมประสงค์

ความมุ่งหมายจำต้องให้สูงไว้เสมอ เพื่อจะได้มีความพยายามอย่างสูงด้วย แต่การก้าวไปสู่ที่มุ่งหมายนั้น ต้องก้าวอย่างระมัดระวังไม่ก้าวให้ผิด “ ควรมีความปรารถนาให้สูงอยู่เสมอ แต่จะต้องระมัดระวังมิให้เดินพลาด ”

การไม่ยอมแพ้เคราะห์ร้าย เป็นเหตุให้เคราะห์ร้ายพ่ายแพ้เองเมื่อประสบเคราะห์

• จะต้องไม่ให้ใจเสีย เชื่อมั่นในความรู้ความสามารถของตัว รวบรวมกำลังให้พรั่งพร้อม
• ตั้งความมุ่งหมายให้ดีและตกลงแน่ว่าจะมุ่งไปทางไหน
• ใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้น กุมสติให้มั่น อย่างไรก็ดีจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ทำการต่อสู้ดังกล่าวแล้วนั้นไม่ได้เป็นอันขาด


การต่อสู้กับเคราะห์

จะต้องสงบใจ ไม่ตื่นเต้น ไว้ใจตัวและเชื่อแน่ว่า เรามีจิตตานุภาพเป็นเครื่องมือรวมกำลังสติปัญญาของเราให้พรั่งพร้อม เช่นเดียวกับนายเรือที่ไม่รู้จักเสียใจ รวบรวมกำลังเรือและกำลังคนให้บริบูรณ์

• ต้องยึดที่หมายให้แน่น กล่าวคือระลึกถึงผลที่เราต้องการบรรลุนั้นให้แน่วแน่ยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนนายเรือที่ตั้งเข็มทิศให้ตรง และให้รู้แน่ว่าจะต้องการให้เรือบ่ายเบี่ยงไปทางไหน

• ใช้ความระมัดระวังให้มากยิ่งกว่าเมื่อก่อนจะเกิดเหตุร้ายอีกหลายเท่า และความวินิจฉัยที่ถูกต้อง ทำทางปฏิบัติของเราเหมือนอย่างหางเสือเรือ ที่จะช่วยให้เรือบ่ายเบี่ยงไปทางทิศที่ต้องการจะไป

• ไม่สามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้ก็อย่าถอยหลัง ให้หยุดอยู่กับที่

• ให้รู้สึกว่าเคราะห์นั้นทำให้เราดีขึ้น เป็นครูของเรา เป็นผู้เตือนเรา เป็นผู้ลวงใจเรา อย่าเห็นว่าเคราะห์กรรมเป็นของเลว ไม่น่าปรารถนา ควรคิดว่าเป็นของดีที่ทำให้เราเข้มแข็งมั่นคงขึ้น ให้รู้สึกเสมอว่าเราเกิดมาเรียนทั้งเคราะห์ร้ายและเคราะห์ดี เคราะห์เป็นบทเรียนของเรา ที่จะทำให้เราแจ้งโลกแล้วจะได้พ้นโลก ดังนี้ จะไม่รู้จักเคราะห์ร้ายเลยในชีวิต
บันทึกการเข้า
Pae
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,047

« ตอบ #365 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2551, 18:49:45 »

วันนี้ เงียบเหงาจังเลย :?
บันทึกการเข้า
yai
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,489

« ตอบ #366 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2551, 19:34:27 »

ช่วงนี้ตอบถี่นะเป้

เหงาหรือ
บันทึกการเข้า
Pae
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,047

« ตอบ #367 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2551, 07:32:22 »

ไม่รู้ทำไร
มีคอมพ์ อยู่ข้างหน้าทั้งวัน
กลับถึงห้อง ก็ยังนั่งหน้าคอมพ์ อีก
ท่องเวป พร้อมกับดูทีวี รอเวลาโทรศัพท์กลับบ้าน  :wink:
บันทึกการเข้า
yai
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,489

« ตอบ #368 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2551, 14:22:46 »

ช่วงนี้ ใช้เวลากับมันบ่อย

เหมือนกันเลยวะ

ไม่เล่นคอมพ์ ซักอาทิตย์ จะเป็นไงน้า

(เมื่อไรจะได้ทำไม่รู้)
บันทึกการเข้า
Pae
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,047

« ตอบ #369 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2551, 16:21:06 »

เป็นโรคติดเน็ต กันตอนแก่  :lol:
บันทึกการเข้า
แป๋ม วิดย
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 646

« ตอบ #370 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2551, 16:33:16 »

เป็นเหมือนกัน เมื่อก่อนดูแค่หนังกะเพลงผ่าน you tube ตอนนี้เข้ามาที่นี่มากกว่าอีก...
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #371 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2551, 20:44:01 »

:lol:  :lol:  :lol:

อยู่ที่ทำงาน กะ ที่บ้าน  บ่ ได้คุย แบบนี้ น๊า :lol:  :lol:
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #372 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2551, 09:09:13 »

"ตั้งแต่เข้ายูม่าแล้ว อายุ (ยุวดี ไทยหิรัญ) ยังบอกเลย ว่าไม่เคยเห็นผมหล่อเลย และบอกด้วย ว่าถ้าแกเล่นดีเมื่อไร แกจะหล่อขึ้นมาทันที เขาบอกว่าบทบาทจะทำให้เราดูดีเอง คนเราเป็นนักแสดงก็ต้องดูดีในระดับหนึ่ง แต่คงไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟกท์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเพอร์เฟกท์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วไม่มีความสามารถ มันก็ไม่มีประโยชน์ เราเก็บประสบการณ์ ฝึกฝีมือไป ถ้าวันหนึ่งเราเล่นดี คนก็จะคิดว่าเราหล่อเอง"


เคน..........ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์
บันทึกการเข้า
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #373 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2551, 14:44:00 »

เขาว่ากันว่า

การเมืองเป็นเรื่องรับจ้าง
บันทึกการเข้า
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #374 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2551, 14:45:51 »

เศรษฐกิจ ป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวระดับโลก
บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><