02 พฤษภาคม 2567, 20:29:48
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16 17  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องของเขา จะเล่าให้ฟัง  (อ่าน 264784 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #325 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555, 00:21:18 »

ความรู้รอบตัว
เรื่องสั้น ให้แง่คิด "คนแจวเรือ กับ หนุ่มนักเีรียนนอก"


เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เรียนเก่งมาก ได้ทุนไปเรียนอเมริกาตั้งแต่เด็กจนจบด็อกเตอร์ จึงกลับมาเยี่ยมบ้าน บ้านของเด็กหนุ่ม อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ ต้องนั่งเรือแจวข้ามไป ใช้เวลาแจวประมาณหนึ่งชั่วโมง และได้เอ่ยปากถามลุงคนแจวเรือ ด้วยท่าทีเย้ยหยัน “เรือที่ติดเครื่องยนต์ไม่มีเหรอ ลุง? ”

“ไม่มีหรอกหลาน ที่นี่มันบ้านนอก มันห่างไกลความเจริญมีแต่เรือแจว” ลุงแจวเรือตอบ

“เหอะ...ล้าสมัยมากเลยนะลุง โบราณมาก ที่อเมริกาเขาใช้เครื่องบินกันแล้วลุง ลุงยังมานั่งแจวเรืออยู่อีก ไปส่งผมฝั่งโน้น เอาเท่าไหร่ลุง ?” หนุ่มนักเรียนนอกถามต่อ

“80 บาท”
“OK…ไปเลยลุง”

ในขณะที่ลุงแจวเรือ หนุ่มนักเรียนนอกก็เล่าเรื่องความทันสมัย ความก้าวหน้า ความศิวิไลช์ ของอเมริกาให้ลุงฟัง “เมืองไทย...เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้วล้าสมัยมาก ไม่รู้คนไทยอยู่กันได้ยังไง? ทำไมไม่พัฒนา ทำไมไม่ทำตามเขาเลียนแบบเขาให้ทัน? ลุง...ลุงใช้คอมพิวเตอร์ ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นไหม? ”

ลุงแจวเรือ : “ลุงไม่รู้หรอก...ใช้ไม่เป็น”
หนุ่มนักเรียนนอก : “โอโฮ้...ลุงไม่รู้เรื่องนี้น่ะ ชีวิตลุงหายไปแล้ว 25%”

หนุ่มนักเรียนนอกถามต่อ “แล้วลุงรู้ไหมว่า เศรษฐกิจของโลกตอนนี้เป็นยังไง? ”

“ลุงไม่รู้หรอก” ลุงแจวเรือตอบ

“โธ่ๆๆๆๆ...ลุงไม่รู้เรื่องนี้นะ ชีวิตของลุงหายไป 50%” นักเรียนนอกก็ถามต่อไปอีก....

“ลุง...ลุงรู้เรื่องนโยบายการค้าโลกไหมลุง? ”
“ลุง...ลุงรู้เรื่องดาวเทียมไหมลุง? ”

“ลุงไม่รู้หรอก...หลานเอ๊ย”

“เห๊อะ...ถ้าลุงไม่รู้เรื่องนี้ ชีวิตของลุงหายไปแล้ว 75% ...งั้นแจวเรือต่อเหอะลุง ชีวิตของลุงมีค่าที่สุด ก็คงได้แค่แจวเรือนี่แหล่ะ”

พอดีช่วงนั้นเกิดลมพายุพัดมาอย่างแรง คลื่นลูกใหญ่มาก ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลุงจึงเอ่ยปากถามนักเรียนนอกว่า...“นี่พ่อหนุ่มเรียนหนังสือมาเยอะจบดอกเตอร์จากต่างประเทศ ลุงอยากถามอะไรสักหน่อยได้ไหม? ”

“ได้สิ...จะถามอะไรหรือลุง? ”
“เอ็งว่ายน้ำเป็นไหม? ”
“ไม่เป็นหรอก..ลุง”

“ถ้างั้นชีวิตของเอ็งกำลังจะหายไป 100% แล้วล่ะพ่อหน่ม...ก้อนเบ้อเริ่มมานู่นแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ"


ปล. อย่าคิดว่าตัวเราเหนือกว่าคนอื่นเพียงแค่มีการศึกษาสูง ยังมีประสบการณ์ชีวิตที่ต้องศึกษาอีกมาก ความรู้ ไม่มีคำว่าเต็มหรือสมบูรณ์ มีแต่ต้องเติมอยู่ตลอดเวลา ...ดังนั้น อย่าได้ดูถูกใครๆ เพียงเพราะเรามีโอกาสที่ดีกว่า เพราะความสามารถและศักยภาพของคนเรา วัดกันไม่ได้จากกระดาษเพียงแค่แผ่นเดียว...

ขอบคุณข้อมูลจาก www.dek-d.com

เรียบเรียงและโพสต์โดย Admin : Smooth
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #326 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2555, 11:14:12 »

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 17 ธันวาคม 2555, 21:48:50


แค่เป็นกางเกงในก็แย่แล้ว
      บันทึกการเข้า

2437041
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #327 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2555, 19:58:21 »

อิคคิวซังเณรน้อยเจ้าปัญญาการ์ตูนสุดสนุก ท่านมีตัวตนอยู่จริงๆ

เมื่อ 600 ปีที่ผ่านมาเป็นยุค Muromachi (ประมาณ พศ.1338-1573) ช่วงที่ญี่ปุ่น ยังยึดติดเรื่องศักดินา
อิคคิว ซัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเณรน้อยหลังจากโชกุน Yoshimitsu Ashikaga ต้องการจะรวมประเทศญี่ปุ่น ในศตวรรษที่ 15 มีพระในนิกายเซนถือกำเนิดขึ้นที่ใคร ๆ รู้จักในนาม "Ikkyu San (อิคคิว ซัง)" ผู้ฉลาดหลักแหลม เขาเกิดในปี 1394 และตายในปี 1481 ด้วยวัย 87 ปี

พ่อของเขาคือจักรพรรดิ์ Gokomatsu ซึ่งมีชายาสองฝ่ายคือ Nantyo (ชายาฝ่ายใต้) และ Hokutyo (ชายาฝ่ายเหนือ) แม่ของอิคคิวคือ Nantyo ภรรยาลับ ๆ ของจักรพรรดิ์ Gokomatsu พระองค์เกรงอำนาจของชายาฝ่ายเหนือ Hokutyo แม่ของอิคคิวจึงต้องออกจากราชวังตั้งแต่ Ikkyu ยังไม่เกิด พระจักดิ์พรรคส่งเจ้าชายและชายา ฝ่ายใต้ (แม่ของอิคคิว) มาจากพระราชวัง โชกุน Ahikaga จึงเปลี่ยนชื่อให้เจ้าชายน้อยว่า Ikkyo การ์ตูนเรื่องนี้พยายามจะนำเสนอ การใช้ชีวิตของ อิคคิว ในวัดและต้องคอยต่อสู้กับลูกสาวพ่อค้า Yayoi ที่คอยเอาเปรียบวัด รวมถึงเรื่องศาสนา มีทั้งมุขตลกสำหรับเด็ก ๆ และเรื่องรวมความซาบซึ่งต่าง ๆ ไว้ครบ

เมื่ออิคคิวเกิดและอายุได้ 6 ปี อิคคิวได้บวชเรียนในวัดนิกายเซ็นในเกียวโตชื่อวัด "Ankokuji (อังโคะคุจิ)" อิคคิวฝึกตนค่อนข้างจะเข้มงวด จากหลวงพ่อของวัดอังโคะคุจิถึง 10 ปี รอบ ๆ ตัวของอิคคิวมีแต่ขุนนางชั้นสูงในสมัยนั้น ต่างก็เสแสร้ง และหลอกลวง ไม่จริงใจกับอิคคิว พวกขุนนาง เมื่ออิคคิวอายุได้ 16 ปี เขาเริ่มทนไม่ได้กับความเสแสร้างไม่จริงใจของพวกขุนนาง

อิคคิวได้ออกจากวัดอังโคะคุจิ หลังจากนั้นชีวิตของอิคคิวก็พบกับความทุกข์ยากแสนสาหัส อิคคิวได้เป็นนักเรียนของ Kenou Osyou ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงทางด้านศาสนาของนิกายเซนจนกระทั่งอิคคิวเสียชีวิตเมื่อมีอายุได้ 87 ปี ในปี 1481 ชีวิตของอิคคิวนั้นได้ทำให้ทุกคนเห็นว่าเขามีฐานะเป็นถึง เจ้าชาย ในจักรพรรษดิ์ แต่ว่าอิคคิว ไม่เคยสนใจยศศักดิ์ ตำแหน่ง ความร่ำรวม เกียรติยศเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นการเริ่มต้นของความสกปรก ความโลภ จิตใจของอิคคิวบริสุทธิ์และไม่สนใจกับเกียรติยศใด ๆ

ขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.oknation.net/blog/print.php?id=348590
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #328 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2555, 09:43:26 »


ขอบคุณครับป๋า
      บันทึกการเข้า

2437041
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #329 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2555, 10:11:53 »

25 ธันวาคม....ในอดีต

25 ธันวาคม พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934)
หลวงพ่อโหน่ง อินฺทสุวณฺโณ มรณภาพ

หลวงพ่อโหน่ง อินฺทสุวณฺโณ เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดคลองมะดัน จังหวัดสุพรรณบุรี พระกรรมฐานที่ประกอบไปด้วยบุญญาบารมีที่นับถือของคนในสุพรรณบุรีในยุคอดีต สร้างพระเครื่องครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2468 วิธีปลุกเสกของท่านไม่เหมือนกับของคนอื่นๆ คือเมื่อกดพิมพ์พระเสร็จแล้ว ตอนเอาไฟสุมพระเพื่อให้ดินสุกนั้น ท่านจะเดินจงกรมรอบกองพระเครื่องพร้อมกับปลุกเสกไปด้วย

หลวงพ่อโหน่ง อินฺทสุวณฺโณ ท่านเกิดในปี พ.ศ. 2408 ตรงกับปลายรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นชางตำบลบ้านตาล อำเภอสองพี่น้อง เป็นบุตรของนายโต และนางจ้อย มีพี่น้องทั้งหมด 9 คน ท่านเป็นคนที่ 2 อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2432 ณ วัดสองพี่น้อง โดยมีพระอาจารย์จันทร์ วัดทุ่งคอก เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ดิษฐ์และพระอธิการสุด เป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์ ตามลำดับ ตั้งแต่บวชมา ท่านไม่เคยฉันเนื้อสัตว์เลย เมื่ออุปสมบทแล้วก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งคอก 2 พรรษา วัดสองพี่น้อง 7 พรรษา จากนั้นก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดใหม่อัมพวัน (วัดคลองมะดัน) ตลอดมา ท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดใหม่อัมพวัน ท่านได้ทำนุบำรุงวัดจนรุ่งเรือง หลวงพ่อท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2477 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รวมสิริอายุได้ 69 ปี นับพรรษาได้ 45 พรรษา
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #330 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2555, 15:08:19 »

โดย รุจน์ โกมลบุตร คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ม.ธรรมศาสตร์ กระแสทรรศน์ มติชน 25ธ.ค.2555



 
ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่โดยสารรถไฟไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เพราะชอบความรู้สึก

สนุกและตื่นเต้นเมื่อได้ขึ้นรถไฟไปเที่ยว

แต่ในเวลาต่อมา ความสนุกในการใช้รถไฟชักจะลดลงเรื่อยๆ และเปลี่ยนเป็นความวิตกกังวลแทนโดยเฉพาะเมื่อต้องใช้รถไฟเพื่อไปทำธุระตามต่างจังหวัด เพราะรถไฟไปถึงปลายทางล่าช้ากว่ากำหนดมากจนเสียงานเสียการ ในหลายๆ ครั้งจึงต้องเปลี่ยนไปใช้พาหนะอื่นแทนรถไฟ

หลังจากเก็บงำความอึดอัดมาหลายปี ตอนปลายปี 2554 ผู้เขียนก็ตั้งใจว่า ตลอดปี 2555 ผู้เขียนจะจดบันทึกว่า รถไฟที่ผู้เขียนใช้เดินทางทั้งหมด ออกเดินทางกี่โมง ถึงปลายทางกี่โมง ล่าช้าไปมากน้อยแค่ไหน

หวังให้ข้อมูลนี้เป็นหลักฐานไปถึงคนทำงานรถไฟ เพื่อให้มีการปรับปรุงขึ้นมาบ้าง

ตลอดปี 2555 ผู้เขียนใช้รถไฟเดินทางทั้งหมด 8 เที่ยว ในจำนวนนี้ รถไฟไปถึงปลายทางตรงเวลา 0 เที่ยว ไปถึงปลายทางล่าช้า 8 เที่ยว รายละเอียดการเดินทางโดยรถไฟตลอดปี 2555 มีดังนี้

เที่ยวที่ 1 วันที่ 3 มกราคม รถด่วนขบวน 52 เส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ กำหนดถึงกรุงเทพฯ เวลา 05.30 น. ถึงจริงเวลา 07.17 น. ช้าไป 1 ชั่วโมง 47 นาที

เที่ยวที่ 2 วันที่ 10 เมษายน รถด่วนพิเศษขบวน 13 เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กำหนดถึงลำปาง เวลา 06.50 น. (ผู้เขียนลงกลางทางที่ลำปาง ไม่ได้ไปถึงเชียงใหม่) ถึงจริงเวลา 10.09 น. ช้าไป 3 ชั่วโมง 19 นาที

เที่ยวที่ 3 วันที่ 16 มิถุนายน รถด่วนขบวน 52 เส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ กำหนดถึงลำปาง เวลา 19.50 น. ถึงจริงเวลา 20.16 น. ช้าไป 26 นาที

เที่ยวที่ 4 วันที่ 13 สิงหาคม รถด่วนพิเศษขบวน 2 เส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ กำหนดถึงกรุงเทพฯ เวลา 06.50 น. ถึงจริงเวลา 09.49 น. ช้าไป 2 ชั่วโมง 59 นาที

เที่ยวที่ 5 วันที่ 19 ตุลาคม รถด่วนพิเศษขบวน 1 เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กำหนดถึงลำปาง เวลา 05.25 น. ถึงจริงเวลา 08.07 น.

ช้าไป 2 ชั่วโมง 42 นาที

เที่ยวที่ 6 วันที่ 23 ตุลาคม รถด่วนพิเศษขบวน 2 เส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ กำหนดถึงกรุงเทพฯ เวลา 06.50 น. ถึงจริงเวลา 08.18 น. ช้าไป 1 ชั่วโมง 28 นาที

เที่ยวที่ 7 วันที่ 9 พฤศจิกายน รถด่วนขบวน 85 เส้นทางกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช กำหนดถึงหลังสวน เวลา 05.25 น. ถึงจริงเวลา 05.59 น. ช้าไป 34 นาที

เที่ยวที่ 8 วันที่ 11 พฤศจิกายน รถเร็วขบวน 174 เส้นทางนครศรีธรรมราช-กรุงเทพฯ กำหนดถึงกรุงเทพฯ เวลา 05.10 น. ถึงจริงเวลา 05.20 น. ช้าไป 10 นาที

สรุปว่าในปี 2555 รถไฟที่ผู้เขียนใช้เดินทางไปถึงสถานีปลายทางช้ากว่ากำหนดอย่างน้อยที่สุด 10 นาที ถึงช้ามากที่สุด 3 ชั่วโมง 19 นาที รวมเวลาที่การรถไฟฯ ทำให้ผู้เขียนเสียเวลาไปบนขบวนรถทั้งสิ้น 13 ชั่วโมง 25 นาที หรือเฉลี่ยเที่ยวละ 1 ชั่วโมง 40 นาที



ในระหว่างที่เกิดความล่าช้านั้น ซึ่งหลายๆ ครั้งก็ช้าตั้งแต่ออกจากต้นทาง ผู้เขียนไม่เคยพบเห็นว่า มีพนักงานการรถไฟฯ คนใด ทั้งที่สถานี หรือที่บนขบวนรถ มีทีท่าเดือดเนื้อร้อนใจกับ

ความไม่ตรงเวลาเลยแม้แต่คนเดียว (อาจจะมีพนักงานที่รู้สึกเดือดร้อน แต่ผู้เขียนไม่เคยเห็นก็เป็นได้)

พนักงานบางคนเห็นความล่าช้าไม่ตรงเวลาเป็นเรื่องธรรมดา หรือเห็นเป็นเรื่องตลก โดยพูดหยอกเอินกับผู้โดยสารที่จะลงจากขบวนรถว่า "การเดินทางเที่ยวนี้ การรถไฟฯ แถมให้นะครับ" ซึ่งหมายความว่าแถมให้ผู้โดยสารได้นั่งรถไฟนานขึ้นกว่ากำหนด

ผู้เขียนเคยนั่งรถไฟในต่างประเทศมาบ้าง ครั้งหนึ่งรถไฟที่นั่งในอังกฤษขณะกำลังวิ่งอยู่ก็หยุดกึกลงเฉยๆ ยังไม่ถึงอึดใจ ก็มีประกาศขออภัยมาทางลำโพงว่า มีฝูงแกะกำลังเดินข้ามทางรถไฟ จึงต้องขอหยุดขบวนรถเพื่อให้แกะข้ามทางไปก่อน

แกะข้ามทางรถไฟไม่ถึง 1 นาที เขาก็ยังมีความรับผิดชอบแจ้งให้ผู้โดยสารทราบ

อีกครั้งหนึ่งที่สโลวีเนีย รถไฟออกจากสถานีกรุงลูบลิยานาล่าช้า เพราะสถานีตัดสินใจรอผู้โดยสารกลุ่มใหญ่ที่กำลังเดินทางด้วยรถบัสโดยสาร 3 คันเพื่อมาขึ้นรถไฟที่สถานีนี้

ผู้เขียนสังเกตเห็นว่าระหว่างที่รอนั้น พนักงานรถไฟแต่ละคนสีหน้าไม่สู้ดี มีท่าทีกระวนกระวาย และเมื่อผู้โดยสารกลุ่มนั้นมาถึงสถานีรถไฟ พนักงานรถไฟก็กรูกันเข้าไปเพื่อช่วยเหลือให้ผู้โดยสารขึ้นรถไฟโดยเร็ว ในที่สุดแม้รถจะออกช้ากว่ากำหนดไปประมาณ 40 นาที แต่ก็ไปถึงปลายทางกรุงซาเกร็บ ประเทศโครเอเชียตรงเวลา

จากที่ยกตัวอย่างจากต่างประเทศมาข้างต้นนี้ ผู้เขียนต้องขออภัยที่ต้องพูดเปรียบเทียบว่า ยังไม่เคยเห็นการแสดงความรับผิดชอบต่อความล่าช้าจากพนักงานระดับต่างๆ ในการรถไฟฯ แม้แต่ครั้งเดียว

ในเรื่องความล่าช้าของรถไฟ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การรถไฟฯ จัดประกวดหนังสั้น "ในความผูกพันของฉันกับการรถไฟไทย" เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ขององค์กร แต่มีกลุ่มคนทำหนังสั้นจากจังหวัดขอนแก่นที่มีนามว่า "กลุ่มฟินวิ่ว" ส่งหนังสั้นเรื่อง "ฉันนั่งรถไฟไปเยี่ยมแม่ที่กำลังจะตาย แต่ไปไม่ทัน แม่ฉันตายก่อน ฉันรักการรถไฟจังเลย" เข้าประกวด

แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้รับรางวัลจากคณะกรรมการตัดสิน แต่กลับได้รางวัล Popular ขวัญใจมหาชนแทน

ผู้เขียนสังเกตว่า การรถไฟฯ พยายามทำประชาสัมพันธ์กับสาธารณชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจและเพิ่มการยอมรับ แต่ผู้เขียนเชื่อว่า การประชาสัมพันธ์ที่ดีที่สุดไม่ใช่แค่การบอกกล่าวความจริงแก่ประชาชน แต่คือการพัฒนาบริการให้ดี มีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปด้วย

หากการรถไฟฯ "รู้" สาเหตุว่า ทำไมรถไฟล่าช้า ก็ควรแก้ไขที่ต้นเหตุเพื่อปรับปรุงให้รถไฟตรงเวลา แต่หากความล่าช้านั้นเป็นเรื่อง "ยังแก้ไม่ได้" เช่น หัวรถจักรเก่า ฯลฯ ก็ควรที่จะปรับกำหนดเวลาเดินทางให้สอดคล้องกับสมรรถนะของหัวรถจักรเหล่านั้นตามจริง

ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้โดยสารคาดหวังว่ารถไฟจะตรงเวลา แต่ก็ไม่ตรง แล้วก็กลายเป็นความรู้สึกผิดหวัง ซึ่งการประชาสัมพันธ์ประมาณว่า "เรื่องนี้ การรถไฟฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ" คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก



ในท้ายที่สุด ผู้เขียนอดคิดไม่ได้ว่า เป็นไปได้ไหมที่ "วัฒนธรรมองค์กร" อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่มีผลต่อประสิทธิภาพของงาน เห็นได้จากเมื่อการรถไฟฯ ได้ไปบริหารแอร์พอร์ตเรลลิงก์ที่วิ่งระหว่างพญาไท-สุวรรณภูมิ

รถไฟสายนี้เป็นรถไฟลอยฟ้า ไม่ต้องมีจุดตัดกับถนน ไม่ต้องใช้รางร่วมกับขบวนรถสินค้า เป็นรถไฟใหม่เอี่ยมถอดด้าม มีรางคู่ไม่ต้องรอหลีก

แต่ทุกวันนี้แอร์พอร์ตเรลลิงก์บางขบวนก็ไม่ตรงเวลา ไม่เป็นไปตามตารางเดินรถที่ประกาศไว้ในเว็บไซต์ แถมแต่ละสถานียังไม่มีป้ายแสดงเวลาเดินรถเข้าออกอีกต่างหาก (มีแต่บอกว่ารถขบวนถัดไปจะมาถึงในกี่นาที แต่ไม่มีป้ายที่บอกว่ารถไฟวันนี้มีกี่ขบวน เข้าออกเวลาใดบ้าง ตรงเวลาหรือล่าช้าอย่างไร ทำให้ผู้โดยสารไม่มีข้อมูลขบวนรถให้เลือก)

หากเรื่องเหล่านี้มีสาเหตุจากวัฒนธรรมองค์กรของการรถไฟฯ ที่สถาปนามาตั้งแต่ปี 2433 ผู้เขียนก็เชื่อว่ามันคงจะแก้ไขได้ และขอเป็นกำลังใจให้คนรถไฟแก้ไขให้ได้

ไม่งั้นแล้วรถไฟความเร็วสูงจากจีนซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย ก็อาจเป็นบริการถัดไปที่กลายเป็นเหยื่อของ "วัฒนธรรมองค์กร"
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #331 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2555, 16:14:33 »


เรื่องการรถไฟโดนใจมากๆเห็นด้วยกับผู้เขียน
      บันทึกการเข้า

2437041
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #332 เมื่อ: 16 มกราคม 2556, 23:31:23 »


นี่มันตลกนะ ไม่ขำเหรอ
นาย ไท.  : เราจะทวงคืนเขาพระวิหาร !!
นาย ลาว : ผมเอาด้วย ผมจะทวงคืนพระแก้วมรกต !!!
นาย ซาอุ : งั้นผม เอาด้วยคน ผมจะทวงคืนเพชร !!!!
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #333 เมื่อ: 17 มกราคม 2556, 01:02:19 »

เรื่องเล่าดีๆในวันครูปีนี้ : ครูกับนักเรียน

คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป.5 ของครูทั้งชั้นซะแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มสอนเลยด้วยซ้ำ คุณครูบอกว่า ครูรักเด็กเท่ากันหมดทุกคนเลย แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนหนึ่งชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีนึงและสังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็กคนอื่นเท่าไหร่

เสื้อผ้าของเขาสกปรกและเค้าตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วยแหละ และบางทีเท็ดดี้ก็เกเร ถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ด้วยหมึกสีแดง กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ

โรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอน คุณครูต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย แต่คุณครูก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้ จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย แต่ทันใดนั้นเมื่อคุณครูตรวจแฟ้มเข้า ครูทอมป์สันก็แปลกใจใหญ่ เมื่อพบว่า ครูชั้น ป.1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า "น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี เป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว"

ส่วนคุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.2 เขียนว่า " เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน แต่กำลังมีปัญหาเพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนัก และชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ "

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.3 เขียนว่า “เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้วแต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรักความสนใจเขาเท่าไหร่ และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งพลกระทบต่อเขาแน่ๆ ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.4 เขียนว่า “เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควร ไม่ค่อยมีเพื่อนและหลบหนีจากห้องเรียน

ตอนนี้ คุณครูทอมป์สัน รู้ถึงปัญหาแล้วและอับอายในการกระทำของตนเองมาก ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมาให้ ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้ ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆ ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว ครูทอมป์สันกัดฟัน เปิดกล่องของเท็ดดี้ดูกลางกองของขวัญอื่นๆ

เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่า เท็ดดี้ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้น และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอ แต่ครูก็หยุดเสียงหัวเราะของเด็กๆ เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่ากำไลเส้นนั้นสวยเพียงใด สวมมันไว้ที่ข้อมือ และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ เฝ้ารออยู่จนเย็นให้นานพอที่จะพูดว่า " ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ "
หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ครูทอมป์สันก็ร้องไห้เป็นชั่วโมง หลังจากวันนั้นเอง คุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียนและเลิกสอนเลขคณิต แต่คุณครูเริ่มสอนเด็กๆ แทน คุณครูทอมป์สันเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ

เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น ภายในสิ้นปีนั้นเอง เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง และถึงวันนี้แม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน แต่ความจริง เท็ดดี้ก็ได้กลายไปเป็น "ศิษย์โปรด" ของครูไปแล้ว

หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้ บอกครูว่าคุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี หกปีต่อมา ครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียนจบม.ปลายแล้ว ได้ที่สามในทั้งระดับ และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต

สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบากบ้างเขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือ และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง (เหรียญทอง) และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า คุณครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดในชีวิตของเขา

จากนั้นสี่ปีผ่านไปจดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด จดหมายนั้นอธิบายว่า คุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี ครั้งนี้เขาลงชื่อในจม.ของเขายาวขึ้นอีกหน่อย จดหมายนั้นลงชื่อว่า "นพ. ทีโอดอร์ เอฟ. สต๊อดดารด์ "

เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีก เท็ดดี้บอกว่า เขาได้เจอสาวคนหนึ่งและก็จะแต่งงานกัน เขาบอกมาในจม.ว่าพ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อนและ เขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน จะตกลงมานั่งในที่นั่งสำหรับพ่อเจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่ แน่นอนที่สุด ครูทอมป์สันมา และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น

คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูก และต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่าแม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบในหูคุณครูทอมป์สันว่า " ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม ขอบคุณครูมาก ที่ทำให้ผมรู้สึกสำคัญและแสดงให้ผมเห็นว่าผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ "

ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า " หมอเท็ดจ๊ะ เธอเข้าใจผิดแล้วแหละ เธอต่างหากที่สอนครูว่าครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ ครูไม่รู้จักการสอนที่แท้จริง จนกระทั่งครูได้พบได้รู้จักเธอนั่นแหละ "

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเราควรเติมเต็มหัวใจของคนอื่นด้วยความรักเสียแต่วันนี้ โปรดจำว่า ไม่ว่าคุณจะไปไหน หรือทำอะไร คุณจะมีโอกาสที่จะสัมผัส และเปลี่ยนอนาคตของคนอื่นในทางทีดีขึ้นด้วยเสมอ

Credit : Forward mail
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #334 เมื่อ: 19 มกราคม 2556, 00:32:59 »



       “เป็นโสดทำไม อยู่ไปให้เศร้าเหงาทรวง ไม่คิดจะหาคู่ควง เดี๋ยวจะล่วงพ้นวัยไปเปล่า...” เชื่อไหมคะว่า นอกจากจะเหงาใจตามเพลงว่าแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังเผยว่า คนมีคู่อายุยืนกว่าคนโสดอีกด้วย
       
       ผลงานวิจัยนี้เป็นของดอกเตอร์ไอลีน ซีกเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ดูค ในนอร์ธ แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า ความรู้สึกโดดเดี่ยวอาจเป็นเหตุผลของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้นั่นเอง
       
       นักวิจัยจากอเมริกาท่านนี้เผยว่า คนที่ไม่เคยมีสามีหรือภรรยามีโอกาสเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่มีคู่ชีวิตที่มั่นคงถึงสามเท่า โดยคนที่ยังคงความโสดในวัย 40+ หรือคนที่เปลี่ยนมามีชีวิตโสด เช่น อาจหย่าร้าง หรือคู่ชีวิตเสียชีวิต โดยไม่ได้แต่งงานใหม่ มีความเสี่ยงจะเสียชีวิตก่อนถึงวัย 60+ ได้ แม้ไม่ได้ใช้ชีวิตเสี่ยงด้วยการสูบบุหรี่ หรือดื่มสุราเลยก็ตาม โดยพบว่านักสูบและนักดื่มที่มีชีวิตคู่ที่ดียังมีโอกาสใช้ชีวิตไปได้ถึงบั้นปลายมากกว่าคนเป็นโสดถึง 2.3 เท่าทีเดียว
       
       ทั้งนี้ นักวิจัยให้เหตุผลว่า การมีคู่ชีวิตเท่ากับการมีคนคอยให้กำลังใจ ช่วยประคับประคองในวันที่เลวร้าย ทำให้ผ่านพ้นปัญหาได้ดีกว่าคนโสดที่อาจไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร
       
       อีกเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะคนในวัย 40+ ต่างคาดหวังการมีชีวิตครอบครัวที่เพียบพร้อม โดยเฉพาะคุณผู้ชาย และคนที่มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข ก็จะกินดีอยู่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนโสด และยังเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากกันได้ในทุกสถานการณ์
       
       การศึกษานี้นักวิจัยได้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 4,802 คน ที่มีอายุประมาณ 40 ปีในช่วงเริ่มต้นของการศึกษา โดยใช้แบบสอบถาม ซึ่งระยะเวลาในการวิจัยนานประมาณ 10 ปี ส่งผลให้การเก็บผลวิจัยครั้งสุดท้าย กลุ่มตัวอย่างจะมีอายุราว 50 ปีเลยทีเดียว
       
       นักวิจัยพบว่า มีกลุ่มตัวอย่างเสียชีวิต 238 คน ในกลุ่มนี้มี 32 คนเป็นหญิง โดยพบว่าคนที่ยังไม่เคยแต่งงานก่อนวัยกลางคนจะมีความเสี่ยงมากกว่า และมีการศึกษาก่อนหน้านี้เปิดเผยว่าคนที่แต่งงานแล้ว รอดจากความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ และอัลไซเมอร์มากกว่าอีกด้วย
       
       การศึกษาใน 7 ประเทศแถบยุโรปก็เผยผลการศึกษาที่คล้ายคลึงกัน คือพบว่าคนที่แต่งงานแล้ว มีสภาพจิตใจที่แข็งแรงกว่า และมีความเสี่ยงจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรน้อยกว่าถึง 15 เปอร์เซ็นต์
       
       ทราบอย่างนี้แล้ว มารักษาชีวิตคู่ให้แข็งแกร่งกันดีไหมคะ
       
       เรียบเรียงจากเดลิเมล
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #335 เมื่อ: 21 มกราคม 2556, 11:54:01 »

โยนิโสมนสิการ (ปัญจาบ: yonisomanasikāra; คำอ่าน: โยนิโสมะนะสิกาน)
 หมายถึง การทำในใจให้แยบคาย   กล่าวคือ การพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน
 ทางพุทธศาสนาถือว่ามีคุณค่าเท่ากับความไม่ประมาทหรือ "อัปมาท" ซึ่งเป็นแหล่งรวมแห่งธรรมฝ่ายดีหรือ "กุศลธรรม" ทั้งปวง ดังปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ข้อ ๔๖๔ หน้า ๑๒๙
 นอกจากนั้น ยังจัดเป็นธรรมะข้อหนึ่งในกลุ่มธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญด้วยปัญญา และเป็นธรรมะมีอุปการะมากแก่มนุษย์ดังพรรณาในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ข้อ ๒๖๘-๙ หน้า ๓๓๒

การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือ ทำในใจโดยแยบคาย
การใช้ความคิดถูกวิธี คือ การกระทำในใจโดยแยบคาย
มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า สาวหาเหตุผลจนตลอดสายแยกแยะออกพิเคราะห์ดูด้วยปัญญา ที่คิดเป็นระเบียบและโดย อุบายวิธีให้เห็นสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย เช่น
คิดจากเหตุไปหาผล
คิดจากผลไปหาเหตุ
คิดแบบเห็น ความสัมพันธ์ต่อเนื่อง เป็นลูกโซ่
คิดเน้นเฉพาะจุดที่ทำให้เกิด
คิดเห็น องค์ประกอบที่มา ส่งเสริมให้เจริญ
คิดเห็น องค์ประกอบที่มา ทำให้เสื่อม
คิดเห็นสิ่งที่มา ตัดขาดให้ดับ
คิดแบบ แยกแยะองค์ประกอบ
คิดแบบ มองเป็นองค์รวม
คิดแบบ อะไรเป็นไปได้ หรึอเป็นไปไม่ได้
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #336 เมื่อ: 24 มกราคม 2556, 03:28:14 »


สถาปนา พระธรรมโกศาจารย์ ขึ้นเป็นพระราชาคณะ เจ้าคณะรอง "พระพรหมบัณฑิต"

มติชนออนไลน์ : วันนี้ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์  ประกาศระบุว่า

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่ทรงพระราชดำริว่า พระสงฆ์ซึ่งดำรงในสมณคุณ มีอุปการะยิ่งแก่การพระศาสนา สมควรจะได้เลื่อนอิสริยฐานันดร ในสมณศักดิ์สูงขึ้น มีอยู่ บัดนี้ จวบกาลมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ควรจะสถาปนาอิสริยยศ พระสงฆ์ขึ้นไว้ เพื่อจักได้บริหารพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสถาพรสืบไป

จึ่งทรงพระราชดำริว่า พระธรรมโกศาจารย์ เป็น พระเถระผู้เจริญในสมณพรหมจรรย์ อนันตปฏิภาณปรีชา ได้ศึกษาแตกฉานในมคธปริวรรตน์ และอรรถธรรมวินัย สอบได้สำเร็จนักธรรมชั้นเอก และเปรียญธรรม ๙ ประโยค ได้รับปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) สาขาปรัชญา จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปริญญาโทและปริญญาเอก สาขาปรัชญา และ ประกาศนียบัตรภาษาฝรั่งเศส จากมหาวิทยาลัยเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญาการศึกษา จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขาปรัชญาและศาสนา จากมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และสาขามนุษยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาเวียดนาม สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ปริญญาศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพุทธศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารองค์กร จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม ปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญา จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และได้รับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร

ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา รางวัล “ศาสตรเมธี” สาขาศึกษาศาสตร์ ด้านการบริหารการศึกษา จากมูลนิธิศาสตราจารย์หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี รวมทั้งได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นปูชนียบุคคลด้านภาษาไทยจากกระทรวงวัฒนธรรม และรางวัลอื่น ๆ อาทิ รางวัลคนดีศรีสังคม จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รางวัลมหิดลวรานุสรณ์ รางวัลกิตติคุณ “เสมาคุณูปการ” จากกระทรวงศึกษาธิการ เข็มกิตติคุณ สถาบันพระปกเกล้า และรางวัลพุทธคุณูปการ วัชรเกียรติคุณ จากคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ทรงพระกรุณาโปรดให้เป็นพระราชาคณะที่ พระเมธีธรรมาภรณ์ ชั้นราชที่พระราชวรมุนี ชั้นเทพที่พระเทพโสภณ ชั้นธรรมที่พระธรรมโกศาจารย์ โดยลำดับ ได้รับภาระ พระพุทธศาสนา และสังวรรักษาสมณวัตร สมควรแก่ตำแหน่งเป็นอย่างดี บำเพ็ญกรณียกิจ เป็นหิตานุหิตประโยชน์แก่พุทธจักรและราชอาณาจักรโดยอเนกประการ

กล่าวคือ ด้านการบริหาร และปกครองคณะสงฆ์ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นเจ้าคณะภาค ๒ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นพระอุปัชฌาย์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นคณะเลขานุการคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๗ ต่อมาเป็นเจ้าอาวาส วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๘ และเป็น กรรมการมหาเถรสมาคม ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๔ ด้านการศึกษา เป็นราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ประเภทวิชา ปรัชญา เป็นศาสตราจารย์สาขาวิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และเป็น อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้จัดการให้มีการตรา พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อให้มีสถานภาพเป็น มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐและเป็นนิติบุคคล

ปัจจุบันมีพระนิสิตและนิสิตระดับปริญญาตรีถึงระดับ ปริญญาเอก จำนวน ๒๐,๐๐๐ รูป/คน มีวิทยาเขต วิทยาลัยสงฆ์ ห้องเรียนและหน่วยวิทยบริการ อยู่ทั่วประเทศกว่า ๔๐ จังหวัด และมีสถาบันสมทบอยู่ในต่างประเทศอีก ๕ แห่ง ได้แก่ ไต้หวัน สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา สาธารณรัฐสิงคโปร์ และสาธารณรัฐฮังการี เป็นประธานสมาคมมหาวิทยาลัยพุทธศาสนานานาชาติ เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ได้จัดการศึกษาแผนกธรรมศึกษาทำให้มีผู้สอบธรรมศึกษาได้เป็นจำนวนมาก จนได้รับการจัดอันดับอยู่ใน ลำดับต้น ๆ จากแม่กองธรรมสนามหลวง เป็นประธานกรรมการจัดทำรายละเอียดสาระการเรียนรู้ หน้า ๓ เล่ม ๑๓๐ ตอนที่ ๒ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖

พระพุทธศาสนา ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑๒ ปี ของกระทรวงศึกษาธิการ และประธานกรรมการ จัดทำหนังสือเรียนพระพุทธศาสนา หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ นอกจากนี้ ยังเป็นประธานอำนวยการจัดอบรมบาลีก่อนสอบในภาค ๒ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๑ มีพระภิกษุสามเณร เข้ารับการอบรม จำนวนกว่า ๑๐,๐๐๐ รูป ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ได้จัดตั้งกองทุนและ มอบทุนการศึกษาแก่นิสิตของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รวมทั้งทุนการศึกษาแก่นักเรียน ทุกระดับชั้นเป็นประจำทุกปี ด้านการสาธารณูปการ ได้ให้บูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุมหาเจดีย์ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร โดยได้สำรวจและค้นพบพระบรมสารีริกธาตุ พระบูชาและพระพิมพ์จำนวนมาก ซึ่งได้นำลงมาเก็บรวบรวมไว้ที่หอพรินทรปริยัติธรรมศาลา และเปิดเป็น พิพิธภัณฑ์พระ “ประยูรภัณฑาคาร” ในเวลาต่อมา ส่วนพระบรมธาตุมหาเจดีย์ เมื่อบูรณปฏิสังขรณ์ แล้วเสร็จ ได้รับพระราชทานรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทปูชนียสถานและ วัดวาอารามจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยสมาคมสถาปนิกสยาม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๔ นอกจากนี้ ยังได้ให้ก่อสร้างท่าเรือวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และปรับภูมิทัศน์ บริเวณหน้าวัด รวมทั้งสร้างกุฎีเตชะไกรศรี ส่วนการจัดการในส่วนของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย ได้ให้ก่อสร้างสำนักงานใหญ่ที่ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

รวมทั้งได้จัดหาที่ดินจากการรับบริจาคและซื้อที่ดินเพิ่มเติม รวมทั้งสิ้น ๓๒๓ ไร่ เพื่อสร้างอาคารต่าง ๆ อาทิ อาคารสำนักงานอธิการบดี อาคารหอสมุดเทคโนโลยีสารสนเทศ อาคารหอฉัน ๗๒ พรรษา พระวิสุทธาธิบดี อาคารรับรองอาคันตุกะ ๙๒ ปี ปัญญานันทะ อาคารพิพิธภัณฑ์พระไตรปิฎก อาคารมหาจุฬาบรรณาคาร ๑๕๐ ปี สมเด็จพระปิยมหาราช อุโบสถกลางน้ำ และหอประชุม “มวก. ๔๘ พรรษา” โดย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จ ฯ ทรงประกอบ พิธีเปิดที่ทำการของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ด้านการสาธารณสงเคราะห์ ได้จัดตั้งศูนย์พักพิงเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย บริจาคปัจจัยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในเขตปกครองสงฆ์ภาค ๒ บริจาคสิ่งของ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ รวมทั้งได้จัดส่งพระนิสิตของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ไปช่วยเหลือฟื้นฟูด้านจิตใจแก่ผู้ประสบภัยที่บ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา ตลอดจนพาคณะไปให้ความช่วยเหลือ บริจาคทรัพย์และสิ่งของแก่ผู้ประสบภัยจากพายุนาร์กิสที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ด้านการเผยแผ่

พระพุทธศาสนา ได้แสดงพระธรรมเทศนาในโอกาสต่าง ๆ ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล รวมทั้ง ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีวิทยุโทรทัศน์ นอกจากนี้ ยังได้แสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์อุโบสถ ในวันธรรมสวนะที่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร และจัดอบรมพระภิกษุ ให้เป็นพระนักเทศน์ในช่วงเข้าพรรษาเป็นประจำทุกปี รวม ๒๐ รุ่น จำนวนกว่า ๕,๐๐๐ รูป ส่งผลให้ สำนักเรียนวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ได้รับการคัดเลือกเป็นศูนย์ฝึกอบรมพระนักเทศน์ประจำ กรุงเทพมหานคร ส่งเสริมการปฏิบัติธรรมและพัฒนาพระวิปัสสนาจารย์ จนได้รับประกาศยกย่องเป็น สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดดีเด่น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๓


อีกทั้งแสดงปาฐกถาและเป็นวิทยากรบรรยายธรรม ให้ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินการ จัดประชุมชาวพุทธนานาชาติ เนื่องในวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๘ และเป็นประธานสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ นอกจากนี้ ยังให้จัดพิมพ์หนังสือ เผยแพร่อีกเป็นจำนวนมาก อาทิ พุทธศาสนากับปรัชญา ปรัชญากรีก คุณธรรมสำหรับนักบริหาร วิมุตติมรรค ขอบฟ้าแห่งความรู้ ธรรมรักษาใจสู้ภัยสึนามิ มหาราชนักปฏิรูป ธ ทรงครองแผ่นดิน โดยทศพิธราชธรรม พระพุทธศาสนากับความสมานฉันท์แห่งชาติ วิธีบูรณาการพระพุทธศาสนากับ ศาสตร์สมัยใหม่ พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์


สรรพกิจที่ พระธรรมโกศาจารย์ ได้ปฏิบัติบำเพ็ญมาโดยตลอดปรากฏผลดีและความเจริญก้าวหน้า แก่พระพุทธศาสนา ประเทศชาติ และประชาชนทั่วไป นับได้ว่าเป็นผู้เสียสละและมุ่งมั่นในงาน บัดนี้ พระธรรมโกศาจารย์ เป็นผู้เจริญด้วยพรรษายุกาลรัตตัญญูเถรกรณธรรม มีจริยาวัตรเป็นที่เคารพ สักการะเลื่อมใส สมควรที่จะได้ยกย่อง ให้ดำรงสมณฐานันดรสูงขึ้น


จึ่งมีพระบรมราชโองการโปรดสถาปนา พระธรรมโกศาจารย์ ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระพรหมบัณฑิต สิทธิวรธรรมประยุต วิสุทธิศีลาจารนิวิฐ ไพศาลวิเทศศาสนกิจดิลก ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป คือ พระครูปลัดสุวัฒนบัณฑิตคุณ วิบูลมหาคณานุนายก ตรีปิฎกธรรมรักขิต ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูพิศาลสรวุฒิ พระครูคู่สวด ๑ พระครูพิสุทธิสรคุณ พระครูคู่สวด ๑ พระครูสังฆพิชัย ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ หน้า ๕ เล่ม ๑๓๐ ตอนที่ ๒ ข ราชกิจจานุเบกษา ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖

ขออาราธนาพระคุณผู้ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณฐานันดร เพิ่มอิสริยยศ ในครั้งนี้ จงรับธุระ พระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์ และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในคณะและ ในพระอาราม ตามสมควรแก่กำลัง และอิสริยยศซึ่งพระราชทานนี้ และจงเจริญอายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ คุณสารสิริสวัสดิ์ จิรัฏฐิติ วิรุฬหิไพบูลย์ ในพระพุทธศาสนาเทอญ

 
ประกาศ ณ วันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นปีที่ ๖๗ ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

นายกรัฐมนตรี
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #337 เมื่อ: 31 มกราคม 2556, 01:26:05 »

รวบ"กำนันเป๊าะ" ย่านถนนพัฒนาการ หลังนั่งเล็กซัส-ใช้ชื่อปลอมเข้าตรวจรักษาโรคในร.พ.ชื่อดัง
วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 12:14:11 น.

 

30 มกราคม 2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) เตรียมแถลงข่าวจับกุมนายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ ผู้กว้างขวางแห่งภาคตะวันออก หลังหนีการจับกุมในคดีจ้างวานฆ่า นายประยูร สิทธิโชติ หรือ กำนันยูร รวม25ปี หลังจากหลบหนีมานาน ซึ่งตำรวจคอมมานโด จับกุมได้ย่านถนนพัฒนาการ ซึ่งพล.ต.ท.พงศพัฒน์ จะสอบปากคำด้วยตนเองและคาดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะแถลงข่าวในช่วงบ่ายวันนี้
 
 
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา กำนันเป๊าะนั่งรถมาตรวจรักษาโรคที่ร.พ.ชื่อดัง ย่านศรีนครินทร์-พัฒนาการ โดยใช้ชื่อปลอมว่า "กิม แซ่ตั้ง" เดินทางมาพร้อมผู้ติดตาม จากนั้นกำนันเป๊าะนั่งรถเอสยูวี เล็กซัส อาร์เอ็กซ์ 270 สีดำ ทะเบียน ฎฎ 9579 กทม. ออกมาจากร.พ. กระทั่งถูกสกัดจับตรงด่านเก็บเงินลาดกระบัง ถ.มอเตอร์เวย์ ขาออก
 
 
ด้านนายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวถึง ผู้เป็นบิดาที่ถูกจับกุมในวันนี้ว่า เพิ่งทราบข่าว ซึ่งจะต้องดูในเรื่องรูปคดีทางกฎหมายก่อน โดยจะปล่อยให้เป็นขั้นตอนทางกฎหมาย ส่วนตัวไม่คิดว่าจะมีเรื่องทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง และยังไม่ได้พูดคุยกับนายสมชาย

 
ส่วนเรื่องดังกล่าวจะกระทบต่อตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่นั้น นายสนธยากล่าวอีกว่า ไม่น่าเกี่ยวกับการเมืองจึงต้องว่าไปตามกฎหมาย และตนก็ยังไม่ได้คุยกับฝ่ายการเมืองคนใดทั้งสิ้น ทั้งนี้ยืนยันว่าจะไม่ใช้ตำแหน่งรัฐมนตรีไปแทรกแซงระบบกฎหมาย ส่วนตัวรู้สึกเป็นห่วงนายสมชาย เพราะเป็นพ่อลูกกัน ส่วนกระแสที่บอกว่าถูกจับกุมขณะที่เดินทางไปรักษาตัวนั้น ตนทราบว่ามีโรคประจำตัวอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามจะประกันตัวหรือไม่นั้นต้องดูขั้นตอนตามกฎหมายก่อน
 
 
สำหรับนายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ  วัย 75 ปี   เป็นอดีตนักการเมือง นักธุรกิจ ชาวจังหวัดชลบุรี ผู้กว้างขวางในภาคตะวันออก และเคยเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข    เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและให้การสนับสนุนนักการเมืองจากภาคตะวันออกหลายคน เคยถูกตัดสินยึดทรัพย์ในคดีทุจริตซื้อที่ดินเขาไม้แก้ว   และจำคุก 25 ปี ในคดีจ้างวานฆ่า นายประยูร สิทธิโชติ หรือ กำนันยูร   

12 มีนาคม ปี 2555  ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกา โดยยืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้จำคุก นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ อายุ 73 ปี และนายภาสกร หอมหวล หรือส.ท.เหี่ยว อายุ 44 ปี สมาชิกสภาเทศบาลเมืองแสนสุข ชลบุรี   เป็นเวลา 25 ปี   ตามความผิดฐานใช้จ้างวานสังหารนายประยูร สิทธิโชติ หรือกำนันยูร  โดยศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลับหลังจำเลย เนื่องจากหลบหนี
 
คดีนี้เป็นคดีสำคัญ ทำให้บุคคลที่เชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคตะวันออก ต้องหลบหนีไปต่างประเทศ โดยเป็นผลงานชิ้นโบแดงของตำรวจที่มี พล.ต.อ. ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร. เป็นหัวหน้าชุด
 
กำนันเป๊าะ  สมรสกับนางสติล คุณปลื้ม   มีบุตรธิดา รวม 5 คน เรียงลำดับดังนี้
 
1.นายสนธยา คุณปลื้ม - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม, อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี, อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ประธานสโมสรฟุตบอลศรีราชา, ประธานสโมสรฟุตบอลพัทยา ยูไนเต็ด , อุปนายกราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
 
2.วิทยา คุณปลื้ม - นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี, ประธานสโมสรฟุตบอลชลบุรี เอฟซี
 
3.จิราภรณ์ คุณปลื้ม
 
4.อิทธิพล คุณปลื้ม - นายกเมืองพัทยา
 
5.ณรงค์ชัย คุณปลื้ม - นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข
 
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #338 เมื่อ: 31 มกราคม 2556, 01:28:19 »

ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุกผู้ช่วยครู คณะวิศวะ จุฬาฯ 13ปี คดียิงพ่อค้าข้าวแกง ขณะยืนฉี่หน้าบ้าน
วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 14:06:52 น.

   
 
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30  ม.ค. ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก  ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสันติลักษณ์ หรือแสตมป์ ธัญญาหาร หรือนายภัทรวรรธน์ ธัญญาหารรุ่งโรจน์ อายุ 53 ปี อดีตครูผู้ช่วยระดับ 3 ภาควิชาไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนายิงปืนในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร

คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 48  สรุปว่า เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 48 เวลาประมาณ  01.30 น. นายสุธัญ อิทธิสุรสิงห์   อายุ 45ปี  อาชีพพ่อค้าข้าวแกง ได้ไปร่วมงานวันเกิดของหลานสาวที่บ้านเช่าหลังอาคารมิสเตอร์แสตมป์ ที่มี นายสันติลักษณ์ จำเลย เป็นเจ้าของ เมื่อกลับจากงานเลี้ยง นายสุธัญ ได้ไปยืนปัสสาวะที่ริมคลองประปา หน้าบ้านของ นายสันติลักษณ์ จำเลยเห็นจึงยิงปืนขึ้นฟ้า 2 นัด นายสุธัญ จึงตะโกนถามว่ายิงปืนทำไม จากนั้นทั้ง  2 ฝ่าย ได้เกิดปากเสียงกันอย่างรุนแรง  ขณะนั้นมีพยานซึ่งเป็นเพื่อนของนายสุธัญ เห็นเหตุการณ์ได้เข้าไปห้ามปราม แต่จำเลยไม่ฟังใช้ปืนขนาด 9 ม.ม. ยิงใส่ นายสุธัญ เข้าที่หน้าอก จนเสียชีวิต

จำเลยให้การปฏิเสธ  ต่อสู้คดีอ้างว่า ผู้ตายกับเพื่อนเดินมาหาเรื่องที่หน้าห้องพัก โดยมีอาวุธมีดมาด้วย  ตนจึงเข้าห้องกลับไปเอาปืนมายิงขู่ แต่ถูกเพื่อนผู้ตายแย่งปืน จนปืนลั่นใส่นายสุธัญ ถึงแก่ความตายเอง

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 49 เห็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ,376 ให้ลงโทษจำคุกฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เป็นเวลา 18 ปี ฐานยิงปืนในที่สาธารณะจำคุก 9 วัน จำเลยให้การรับสารภาพฐานยิงปืนในที่สาธารณะ และให้การเป็นประโยชน์บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยไว้ 12 ปี 6 วัน และให้บวกโทษจำคุก 1 ปี ที่รอลงอาญาไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 566/2545 คดีทำร้ายร่างกาย นางศรินรัตน์ ธัญญาหาร  ภรรยา ได้รับอันตรายสาหัส ด้วย รวมโทษจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 13 ปี 6 วัน จำเลยยื่นอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 9 มี.ค. 52   ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยยื่นฎีกา

ศาลฎีกาตรวจจำนวนประชุมปรึกษาหารือโดยละเอียดรอบคอบแล้วเห็นว่า ที่จำเลยยื่นฎีกาว่าผู้ตายพกพาอาวุธมีดเข้ามาในบริเวณบ้านจำเลย กรณีจึงเป็นเหตุป้องกันตัว ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาลงโทษสถานเบานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระ ไม่มีเหตุให้ลงโทษสถานเบา ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ โดยผลให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ที่ให้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 13 ปี 6 วัน

ระหว่างถูกควบคุมตัวออกจากห้องพิจารณาคดี นายสันติลักษณ์ กล่าวว่า ในส่วนของคดีนั้นถึงที่สุดแล้ว ตนจะยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษต่อไป

      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
wannee
Global Moderator
Cmadong พันธุ์แท้
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: จุฬาฯรุ่นประวัติศาสตร์ 2516
คณะ: ทันตแพทยศาสตร์
กระทู้: 4,806

« ตอบ #339 เมื่อ: 31 มกราคม 2556, 10:24:19 »


สวัสดีค่ะ ป๋าทู  รักนะ

เรื่องครู อ่านแล้ว บรรยายไม่ถูก

ดีใจที่เด็ก กลับมาเป็นคนเดิมได้  ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

"เสียด" ภาษาจีนฮากกา แปลว่า หิมะ
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #340 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2556, 22:32:06 »

พี่ป๋า,
จำได้ว่าอ่านเรื่องบัตรประจำตัวใหม่
ที่พี่เคยนำมาแปะที่นี่...
นี่คะ,
ผล!


นับตั้งแต่กระทรวงมหาดไทยออกบัตรประจำตัวประชาชนชนิดใหม่

ที่เรียกกันว่าสมาร์ทการ์ดนั้น เดี๋ยวนี้บัตรเดียวใช้ได้ทุกอย่าง
บัตรประจำตัวผู้เสียภาษีถูกยกเลิก
บัตรรักษาพยาบาลไม่ต้องมีไม่ว่าคุณจะอยู่ในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือไม่ก็ตาม

เรื่องต่อไปนี้เกิดขึ้นกับ บุญโฮม แต่ไม่แน่...อาจเกิดขึ้นกับคุณด้วยก็ได้

......... กริ๊งงงง....กริ๊งงงง.....กริ๊งงงง....กริ๊งงงง...

พนักงาน : สวัสดีค่ะ พิซซ่าเวิลด์ ดิฉันสายคนึง ยินดีรับใช้ค่ะ

บุญโฮม : ขอสั่งพิซซ่าหน่อยครับ
 
สายคนึง : กรุณาแจ้งเลขประจำตัวประชาชนของคุณหน่อยค่ะ

บุญโฮม : อืม์ม์ม์...เดี๋ยวๆ... ถือสายรอสักครู่ อ้าาา... 88971003542864

สายคนึง : คุณบุญโฮม ใช่ไหมคะ ? คุณอยู่บ้านเลขที่ 39/7512 ซอยวิภาวี 47
แขวงทุ่งกาหลง เขตดอนกรุง หมายเลขโทรศัพท์บ้าน 0299765651
หมายเลขที่ทำงาน 0201184927 เบอร์มือถือ 0798052473
คุณโทรมาจากบ้านใช่ไหมคะ ?

บุญโฮม : เอ๊ะ นี่คุณรู้ได้อย่างไร ? รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลของผมด้วย

สายคนึง : สายโทรศัพท์ของเราเชื่อมกับระบบฐานข้อมูลแห่งชาติค่ะ ขอโทษ
คุณจะสั่งอะไรคะ ?

บุญโฮม : ขอสั่งพิซซ่าทะเลสองถาด

สายคนึง : ไม่ได้ค่ะ
นโยบายเราจะไม่ยอมให้ลูกค้าสั่งสิ่งที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของลูกค้า
ตามประวัติแล้ว คุณไม่เพียงแต่แพ้อาหารทะเล แต่คุณยังมีความดันโลหิตสูง
และมีระดับคอเรสเตอรอลสูงเกินเกณฑ์อีกด้วย

บุญโฮม : อะไรนะ ? แล้วผมจะกินอะไรได้นี่ ?

สายคนึง : ดิฉันขอเสนอพิซซ่าสมุนไพร ดิฉันเชื่อว่าคุณต้องชอบแน่ๆเลย

บุญโฮม : คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมต้องชอบ ?
สายคนึง : ก็เมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณยังไปยืมหนังสือ สมุนไพรไทย และ
สมุนไพรยาอายุวัฒนะ จากหอสมุดแห่งชาติ นี่คะ

บุญโฮม : เอาล่ะๆ ผมยอมแพ้ ขอพิซซ่าสมุนไพรสองถาด
เป็นเงินเท่าไหร่ครับ ?


สายคนึง : สองถาดกำลังดีสำหรับคุณ ภรรยา และลูกสาวสองคน ทั้งหมด 540 บาทค่ะ
 
บุญโฮม : คุณรับบัตรเครดิตหรือเปล่า ?

สายคนึง : ปกติเรารับบัตรเครดิตค่ะ แต่วันนี้เราขอโทษที่รับบัตรเครดิตคุณไม่ได้
เพราะคุณใช้เต็มวงเงินแล้ว นอกจากนั้น คุณยังมียอดหนี้ค้างจ่ายตั้งแต่พฤศจิกายน
ปีที่แล้วอีก 24,754 บาท นี่ไม่รวมค่าผ่อนบ้านที่ยังค้างชำระ อีกสองเดือน
ดังนั้นออร์เดอร์นี้คุณต้องชำระเป็นเงินสดค่ะ

บุญโฮม : อย่างนั้นผมจะไปกด เอทีเอ็ม
เตรียมเงินสดไว้จ่ายตอนเด็กมาส่งพิซซ่า


สายคนึง : ดิฉันคิดว่าวันนี้คุณกดไม่ได้แล้วค่ะ
เพราะคุณกดครบจำนวนเงินที่กำหนดแล้ว
 
บุญโฮม : เอาเถอะๆ คุณให้เด็กมาส่งเดี๋ยวนี้เลย ผมมีเงินสดจ่ายให้ก็แล้วกัน
คาดว่าอีกนานเท่าไหร่ ?

 
สายคนึง : ประมาณ 40 นาฑีค่ะ
แต่ถ้าคุณรอไม่ไหวคุณจะขี่มอเตอร์ไซค์มารับเองก็ได้นะคะ

บุญโฮม : หา... คุณว่าอะไรนะ ?

สายคนึง : ก็คุณมีมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าอาร์เอฟ 120 หมายเลขทะเบียน มยว 093 อยู่นี่คะ
ถ้าคุณมารับเองจะเร็วกว่าค่ะ

บุญโฮม : โอเคๆ แล้วโค้ก สองกระป๋องที่จะแถมตามโปรโมชั่น
ยังมีอยู่หรือเปล่า ?


สายคนึง : ตอนนี้เรายังแถมอยู่ แต่ขอโทษค่ะ เราคงแถมให้คุณไม่ได้
เพราะคุณมีประวัติเป็นเบาหวานเรื้อรัง

บุญโฮม : ไอ้.. ? ระยำที่สุด

สายคนึง : ขอโทษค่ะ คุณใช้คำไม่สุภาพอีกทั้งๆที่เคยถูกภาคทัณฑ์จากศาล
เมื่อ 13 มิถุนายน 2547
 
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #341 เมื่อ: 11 มีนาคม 2556, 23:16:07 »

ปกิณกะประจำสัปดาห์ : ตำส้ม ส้มตำ มะละกอ และ ปลาแดก-ปลาร้า (ขอบคุณที่มาจาก เพจ เมค อิน อุษาคเนย์ | ข้อเขียนโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ)

"ตำส้ม" เป็นอาหารในวัฒนธรรมลาวสองฝั่งโขงมาแต่ดึกดำบรรพ์ แต่ "ส้มตำ" เป็นอาหารเกิดใหม่ในวัฒนธรรมเจ๊กปนลาว ลุ่มน้ำเจ้าพระยา

ส้มตำ "มะละกอ" ไม่ใช่อาหารดั้งเดิมเก่าแก่ของสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ ไม่ว่าของลาว-ไทย หรือมอญ-เขมร เพราะมะละกอไม่ใช่พืชพื้นเมืองดั้งเดิม แต่เป็นพืชพันธุ์จากอเมริกาใต้ เพิ่งมีผู้นำมาปลูกแพร่หลายทางสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ราวปลายกรุงศรีอยุธยา แล้วเข้าถึงประเทศไทยสมัยต้นกรุงเทพฯ - มีหลักฐานว่าชาวโปรตุเกสเอา พันธุ์พืชชนิดนี้ปลูกที่มะละกา (ในมาเลเซีย) แล้วไทยได้พันธุ์มาจากมะละกา เลยเรียกชื่อว่ามะละกอสืบมาถึงปัจจุบัน

ส่วน "ปลาแดก-ปลาร้า" เป็นเทคโนโลยีถนอมอาหารไว้กินได้นานเป็นปีด้วยหลัก? ทำให้เน่าแล้วอร่อย? (ปลาร้า เหมือนปลาแดก แต่เพิ่มข้าวคั่วป่นประสมให้มีกลิ่นหอมนุ่มนวล เป็นอาหารในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปทุกระดับในกรุงศรีอยุธยา)

เทคโนโลยีการถนอมอาหารแบบนี้ มีเหมือนๆ กันทุกกลุ่มชาติพันธุ์สุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ เช่น น้ำบูดู ถั่วเน่า กะปิ จนถึงผลพลอยได้จากปลาทะเลเน่าคือน้ำปลา โดยขึ้นอยู่กับวัสดุที่เอามาหมักให้เน่า ถ้ากลุ่มชนใกล้ทะเลก็ใช้ปลาทะเล แต่ที่อยู่ไกลใช้ปลาน้ำจืด

อ่านโพสต์ฉบับเต็ม คลิก http://www.facebook.com/photo.php?fbid=377185349064081&set=a.339977102784906.76978.339932452789371&type=1&relevant_count=1
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #342 เมื่อ: 27 มีนาคม 2556, 18:48:04 »

10 อาชีพ ที่เลวร้ายที่สุดในโลก

คนเราเกิดมาก็ต้องมีอาชีพหน้าที่้การงานที่ดี ที่ตัวเองรัก หรือบางคนก็ต้องทนทำเพราะไม่สามารถทำหน้าที่อื่นได้ อาจจะวุฒิไม่ถึงบ้าง พิการ อายุเกิน หลายร้อยเหตุผล แต่อัพยิ้มได้รวบรวมอาชีพที่แย่ที่สุดมาให้คุณดูกัน ใครกำลังหางานทำอยู่อัพยิ้มแนะนำว่างานที่ท่านจะได้รับชมต่อไปนี้ อย่าแม้แต่จะคิดทำเลยเชียว

1.ภารโรงที่ pontreatre ต้องทำความสะอาดทุกอย่างในโรงหนัง ทั้งเก้าอี้ คราบโคล่า ขนม ห้องน้ำ ฯลฯ

2.การ์ด ที่พระราชวังบัคกิ้งแฮม ที่ต้องยืนนิ่งเท่านั้น แม้มีผู้หญิงมาเต้นยั่ว ก็ต้องยืนนิ่ง

3.ผู้ผสมพันธุ์สัตว์ คุณต้องมาคอยช่วยสัตว์ให้มันเกิดอารมณ์ ช่วยสัตว์ช่วยตัวเอง ช่วยรีดสเปิร์มออกจากอวัยวะเพศตัวผู้ ฉีดสเปิร์มเข้าไปในเพศเมีย พระเจ้า คุณต้อง อยู่กับอวัยวะเพศสัตว์ทั้งวัน

4.พนักงานทำความสะอาดท่อระบายน้ำทิ้ง แค่เดินผ่านก็แทบจะไม่อยากเดินแล้ว แต่คุณต้องลงไปในท่อ เพื่อทำความสะอาด เก็บขยะ นู่นนี่นั้น ทุกอย่าง แหวะ อี๊ย์

5.นักวิจัยยุง คุณต้องวิจัยยุงกว่า 500สายพันธุ์ ใน3ชั่วโมง ต้องให้มันกัด คอยดูพฤติกรรมมันตลอด

6.พนักงานทำความสะอาดห้องน้ำเคลื่อนที่ แค่ห้องน้ำที่บ้านยังไม่อยากจะล้าง นี่ต้องมาล้างห้องน้ำเคลื่อนที่ นึกแล้วจะอ้วก รายได้ $50000 ต่อปี

7.ผู้พิพากษากลิ่น flatus ต้องทดลอง วิจัยสารพัด ต้องคอยค้นหา อยู่ในห้องทดลองตลอดเวลา

8.ผู้ทดสอบอาหารแมว มันแย่ยังไงน่ะเหรอ คุณก็ต้องคอยชิมน่ะสิ ว่ามันอร่อยหรือยัง ทั้งแบบกระป๋อง และแบบเม็ด ทานแทนเนยถั่วไปเลย

9.ผู้กำจัดซากต่างๆบนถนน วัวตาย ควายตาย หมาตาย แมวตาย แม้แต่คนตาย คุณต้องไปคอยกับจัดเศษชิ้นส่วนเหล้านั้น

10.คนต้อนลิง ลิงน่ะหรอ ใช่แล้ว คุณก็รู้ว่ามันซนขนาดไหน ยิ่งวันไหนที่มันบ้าคลั่งมันจะป่วนไม่หยุด คุณต้องคอยจับมันเข้ากรง


ขอบคุณข้อมูลจาก http://top10.upyim.com/
Admin Hero
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #343 เมื่อ: 02 พฤษภาคม 2556, 23:57:56 »

ใช้วิถีธรรมชาติขจัด 6 โรคร้ายใน 4 เดือน  (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 148 เมษายน 2556 โดย กฤตสอร)
จากหนุ่มใหญ่วัยใกล้เกษียณที่ถูกโรคร้ายรุมเร้าถึง 6 โรค ทั้งโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ตับอักเสบรุนแรง และปริมาณเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ซึ่งจากประสบการณ์ทางแพทย์ที่สั่งสมมา ทำให้เขารู้ว่า โรคร้ายเหล่านี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงกินยาเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น แต่เมื่อเขานำศาสตร์ในการดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการค้นคว้าและทดลองปฏิบัติด้วยตัวเองมาใช้ ‘นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์’ กรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลราชธานี โรงพยาบาลชื่อดังของจังหวัดอยุธยา และประธานกรรมการบริหารเวลเนสซิตี้ กรุ๊ป ก็ต้องพบกับความอัศจรรย์ว่า เขาสามารถขจัดโรคร้ายทั้ง 6 โรคได้ภายในระยะเวลาแค่ 4 เดือน

• 6 โรคร้ายรุมเร้าจนต้องลุกขึ้นมาหาวิธีปฏิวัติตัวเอง
คุณหมอบุญชัยเล่าว่า ด้วยการใช้ชีวิตแบบคนเมืองที่เต็มด้วยความเร่งรีบ ความเครียดที่เกิดจากการทำงานและการกินอาหารตามความเคยชิน ส่งผลให้สุขภาพของเขาเริ่มมีปัญหา และสั่งสมเรื่อยมาจนกลายเป็นโรคร้ายถึง 6 โรคด้วยกัน
น้ำหนักของเขาขึ้นไปถึง 113 กิโลกรัม ระดับน้ำตาลในเลือดสูงถึง 294 ขณะที่ความดัน ตัวบนอยู่ที่ 170 ตัวล่าง 110 อีกทั้งไขมันในเลือดยังผิดปกติ!!
แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แม้เขาจะเป็นหมอที่ช่วยชีวิตคนไข้มามากมาย แต่เขากลับไม่สามารถรักษาโรคเหล่านี้ของตัวเองให้หายขาดได้
ในทางกลับกันโรคที่เป็นอยู่กำลังเป็นสะพานที่นำไปสู่โรคภัยที่ร้ายแรงขึ้น จุดนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้คุณหมอหันมาศึกษาค้นคว้า เพื่อหาทางแก้ไขและลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองอย่างจริงจัง “ความจริงหลายๆโรคที่เป็นเนี่ยะ เราก็รู้มาก่อนอยู่แล้ว อย่างโรคอ้วน โรคเม็ดเลือดแดงมากเกินไป โรคตับอักเสบเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง แต่สาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนชีวิตตัวเองก็คือ เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ปี 53 ผมตรวจร่างกาย พบว่า เป็นเบาหวานและน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งโรคเบาหวานมันเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคต่างๆตามมาอีกเยอะ เช่น โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองตีบ ตาบอดเพราะเบาหวานขึ้นตา โรคเบาหวานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงรักษาตามอาการ กินยาเพื่อรักษาระดับน้ำตาล ซึ่งต้องกินยาตลอดชีวิต แต่การกินยามากๆ จะทำให้เกิดผลข้างเคียงคือ ทำให้ตับเสื่อมและไตวาย ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมมองหาวิธีการใหม่ที่จะมีโอกาสหายจากโรคเบาหวานหลากหลายวิธีการวิธีการที่ผมใช้เริ่มจากพื้นฐานความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ และอาศัยความรู้หลายอย่างประกอบกัน ทั้งความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดี วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ความรู้เรื่องการเจริญของโลก ความรู้เรื่องมานุษยวิทยา ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต ซึ่งเราก็เอาหลายๆอย่างมาผสมผสานกัน เพื่อหารากเหง้าความเป็นมาว่า มนุษย์เรามีความเป็นมาอย่างไร คือคนในปัจจุบันไม่ได้ดำรงอยู่ตามธรรมชาติ เพราะเราสั่งสมวัฒนธรรมความรู้เพื่อจะทำให้เราดำรงชีวิตอย่างสะดวกสบาย ซึ่งการที่เราใช้ชีวิตผิดธรรมชาติ เป็นสาเหตุที่ทำให้เราป่วย ดังนั้น การที่เราจะหายป่วยได้ เราก็ต้องไปหาว่า การใช้ชีวิตตามธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร” นพ.บุญชัย เล่าย้อนให้ฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง


• ค้นพบศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' สลายโรคร้าย
จากการศึกษาวิเคราะห์ศาสตร์ต่างๆ ทำให้คุณหมอบุญชัยได้ข้อสรุปว่า อาหารที่คนเรานิยมบริโภคอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติและความต้องการของร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องแก้ที่ต้นเหตุคือ ปรับเปลี่ยนวิธีการกินและการดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ จึงเกิดเป็นศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' ที่คุณหมอค้นพบด้วยตัวเอง การค้นพบครั้งนี้ได้สร้างความอัศจรรย์ให้แก่วงการแพทย์อย่างยิ่ง เพราะหลังจากที่คุณหมอนำศาสตร์ดังกล่าวมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็ปรากฏว่า โรคร้ายที่คุณหมอบุญชัยเป็นอยู่ถึง 6 โรคนั้นได้อันตรธานหายไปภายระยะเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้น “จากการศึกษาทำให้เราพบว่า จริงๆแล้วมนุษย์เป็นสัตว์กินพืช ซึ่งอยู่ในตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตระกูลเดียวกับลิง สมัยดึกดำบรรพ์เรากินผักและผลไม้เป็นหลัก ซึ่งผักผลไม้ที่เรากินจะเป็นพวกใบอ่อน ย่อยง่าย และก็กินพวกเนื้อสัตว์บ้าง กินไข่ กินดินโป่งเป็นอาหารเสริม แต่ปัจจุบันเราไม่ได้กินแบบนี้อีกแล้ว วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้อาหารการกินของเราเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าเราบริโภคสิ่งที่ไม่เหมาะกับร่างกายของมนุษย์ ผมก็มานั่งคิดว่า ถ้าเราจะใช้ชีวิตตามธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ เราจะทำยังไง จะปรับได้ขนาดไหน
ผมจึงออกแบบชีวิตในปัจจุบันให้ปลอดภัยในระดับที่สามารถรักษาโรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตผิดธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถใช้ชีวิตในการทำงานแบบคนเมืองได้ คือต้องสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตตามกฎธรรมชาติและการใช้ชีวิตแบบคนเมือง เราก็ใช้วิธีการทดลอง ดูจากตำรา ดูจากงานวิจัย และการทดลองปฏิบัติ ทำให้ได้ข้อสรุปของวิธีดำเนินชีวิตตามกฎธรรมชาติ สรุปออกมาเป็นข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ และสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ 5 ข้อ ซึ่งเรียกสั้นๆว่า กฎห้าม 5 ต้อง 5” นพ.บุญชัย พูดถึงศาสตร์การคืนสู่วิถีธรรมชาติที่เขาค้นพบ

• มหัศจรรย์แห่งวิถีธรรมชาติ โรคร้ายหายเป็นปลิดทิ้ง

หลังจากที่คุณหมอบุญชัยปฏิบัติตามกฎ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' เขาก็พบกับความมหัศจรรย์แห่งวิถีธรรมชาติ เพราะสุขภาพของเขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และโรคร้ายที่เป็นอยู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง “ผมเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตมาตั้งแต่ปี 2553 ถึงตอนนี้ก็ 2 ปีกว่าแล้ว ซึ่งหลังจากเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตแค่เดือนก็เห็นผลแล้ว พอถึงเดือนที่ 4ปรากฎว่า 6 โรคที่เป็นหายหมดเลย ยกเว้นไขมันในหลอดเลือดยังลดลงไม่ถึงระดับ คือโรคอ้วนก็หาย จากเดิมน้ำหนัก 114 กก. ลดลงเหลือ 89 กก. น้ำหนักผมลดลงไป 25 กก. ตอนนี้โรคต่างๆหายหมดแล้ว เบาหวานก็หาย น้ำตาลในเลือดที่เคยขึ้นไปถึง 294 ปัจจุบันเหลือ 90 มันลดลงเอง ไม่ต้องใช้ยาเลย ความดันผมลดลงจาก ตัวบน 170 เหลือ 105 ตัวล่างจาก 110 เหลือ 70 เส้นเลือดที่เคยแข็ง เส้นเลือดที่อุดตัน ก็เปลี่ยนเป็นเหนียว ยืดหยุ่นดี คือมันเป็นวิธีที่ง่ายมากๆ เหมือนเส้นผมบังภูเขา แต่เรามองไม่ออก คือการใช้ยานอกจากจะแค่รักษาตามอาการ ไม่หายขาดแล้ว ยังมีผลข้างเคียงด้วย แล้วถ้าใช้ยาเราก็จะไม่เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต เพราะเราคิดว่ายาช่วยเราได้ คืออวัยวะที่มันเสื่อมไปเนี่ยะมันฟื้นไม่ได้
อย่างเช่นโรคเบาหวาน เกิดขึ้นเพราะตับอ่อนเสื่อมจึงผลิตอินซูลินได้ไม่ดี แต่ร่างกายต้องใช้อินซูลินในการควบคุมน้ำตาล เมื่อผลิตอินซูลินได้น้อยน้ำตาลในเลือดก็ขึ้น พอเราปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต ร่างกายดีขึ้น ตับอ่อนฟื้นตัวขึ้นก็ผลิตอินซูลินได้ดี เมื่อมีอินซูลินมาควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด น้ำตาลในเลือดก็ลดลงโดยไม่ต้องใช้ยาเลย” นพ.บุญชัย กล่าวถึงชีวิตใหม่ที่เขาได้รับหลังจากกลับมาสู่วิถีธรรมชาติ

• เดินหน้าเผยแพร่แนวคิดพิชิตโรค
เมื่อค้นพบวิธีที่สามารถทำให้หายจากโรคร้าย ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งนอกจากจะเป็นวิธีที่ง่าย และประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเห็นผลอย่างรวดเร็ว ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นหมอที่อยากเห็นคนไข้หายป่วยและกลับมามีสุขภาพที่ดี คุณหมอบุญชัยจึงตั้งใจที่จะเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวให้แก่คนไข้และบุคคลทั่วไป ทั้งโดยการบรรยายให้แก่หน่วยงานและโรงพยาบาลต่างๆ และการเขียนหนังสือเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้แบบง่ายให้ผู้ที่สนใจนำไปปฏิบัติ “ปกติผมจะมีคอร์สบรรยายเรื่องการรักษาโรคโดยไม่ต้องใช้ยา แต่ใช้วิธีปรับการใช้ชีวิต ผมจัดเป็นหลักสูตร แล้วก็เอาหลักสูตรที่ได้มาเขียนลงหนังสือ เอาความรู้ที่ได้มาสอนคนอื่นต่อ ก็มีองค์กรใหญ่ๆติดต่อเข้ามาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารออมสิน การประปานครหลวง บริษัทปูนซิเมนไทย บริษัทการบินไทย ผมอบรมไปเกือบหมื่นคนแล้ว ผมไปบรรยายตามโรงพยาบาลที่ต้องการให้จำนวนคนไข้ลดลง เช่น ที่โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศูนย์สระบุรี โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี คนไข้ที่ปฏิบัติตามแนวทางของผมแล้วมีเยอะมาก คือถ้าปฏิบัติจริงจังต้องเห็นผลทุกราย จากสถิติคนที่ผ่านการอบรมในคอร์สของผมเนี่ย สามารถปฏิบัติอย่างจริงจังและได้ผลเต็มที่ประมาณ 30 % ปฏิบัติได้พอประมาณและได้ผลดี ประมาณ 40% ส่วนที่เหลืออีก 30% ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เลยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร คือหลักสูตรของผมนั้นไม่ใช่ว่าเอายาลูกกลอนไปกิน 10 หม้อแล้วหาย แต่มันคือหลักสูตรการเปลี่ยนชีวิตคน” นพ.บุญชัยกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
 
• ขอเพียงมีศรัทธาต่อชีวิต โรคร้ายก็หายได้
คุณหมอบุญชัยยังได้กล่าวตบท้ายให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยทุกคนว่า ขอเพียงมีศรัทธาก็สามารถหายจากโรคร้ายและกลับมามีชีวิตใหม่ได้แน่นอน
“ถ้าไม่เป็นโรค เราก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ผมโชคดีที่ผมเป็นโรคที่เราวัดได้ว่าเปลี่ยนแปลงตัวเอง 10 ข้อแล้วเห็นผล มันก็เกิดกำลังใจ เกิดการเรียนรู้ เกิดการค้นคว้าจนได้คำตอบ ผมจึงอยากให้ผู้ป่วยทุกคนมีศรัทธาต่อชีวิต มีความหวัง โรคทุกโรคเนี่ยะถ้าเรามีความเชื่อว่าเราจะหาย มีพลัง มีความมุ่งมั่น เราก็มีโอกาสหาย และถ้าเราปฏิบัติตามวิธีที่ถูกต้องเราก็สามารถหายได้ เพราะว่าร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางธรรมชาติที่วิเศษที่สุด เพราะมันฟื้นฟูตัวเองได้ มันแก้ไขอาการเจ็บป่วยได้ด้วยตัวเอง ขอเพียงแต่อย่าเอาจิตเราไปขวางมัน เราเพียงแต่เติมเต็มสิ่งที่จะเสริมสร้างร่างกายเรา เช่น อาหาร น้ำ อากาศ อย่างถูกต้อง พวกนี้ก็จะเป็นวัตถุดิบที่จะไปสร้างร่างกายเรา ขบวนการซ่อมตัวเองจะเกิดขึ้น”

• ข้อห้ามปฏิบัติ 5 ข้อ

          1. ห้ามจินตนาการเชิงลบ เนื่องจากจิตใต้สำนึกเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ดังนั้น ไม่ว่าคิดบวกหรือคิดลบก็ล้วนมีผลต่อร่างกายทั้งสิ้น ดังนั้น หากเราจินตนาการเชิงลบจะก่อให้เกิดความเครียด อารมณ์ร้าย ซึ่งจะเป็นผลลบต่อร่างกาย
           2. ห้ามอ้วน เนื่องจากความอ้วนเป็นบ่อเกิดแห่งโรค ซึ่งเราจะพบว่า คนสมัยก่อนนั้นใช้ชีวิตตามป่าเขา หากินตามวิถีธรรมชาติ มีโอกาสได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงไม่อ้วนเหมือนผู้คนในปัจจุบัน ทำให้คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นโรค
           3. ห้ามรับประทานน้ำตาล รวมถึงขนมและอาหารที่ใส่น้ำตาล เนื่องจากความจริงแล้วอาหารที่เราได้จากธรรมชาตินั้นมีแป้งและน้ำตาลอยู่แล้ว ซึ่งน้ำตาลตามธรรมชาตินั้นมีสัดส่วนที่พอดีและเหมาะกับร่างกาย แต่ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ติดหวาน เพราะเคยชินกับการเติมน้ำตาลในอาหารมาก จึงทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา
           4. ห้ามรับประทาน Trans Fat หรือไขมันที่ผ่านความร้อน เพราะเมื่อไขมันผ่านความร้อน ไอน้ำในอากาศจะแตกตัว ทำให้ไฮโดรเจนในโมเลกุลของไอน้ำเข้าไปฝังตัวอยู่ในคาร์บอนของไขมันชนิดที่ไม่อิ่มตัวและดึงไขมันอิ่มตัวขึ้นมา ซึ่งไขมันอิ่มตัวนี้เรียกว่า Trans Fat มักอยู่ในของทอด โดยคนที่กินอาหารทอดมากๆ มักเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
            5. ห้ามรับประทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น หมู วัว แพะ แกะ ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ใหญ่ เนื่องจากหากศึกษาจากโครงสร้างจะพบว่ามนุษย์เป็นสัตว์กินพืช โดยฟันของมนุษย์เป็นฟันแบบตัดซึ่งเหมาะกับการบดเคี้ยวพืช แต่เนื้อสัตว์ใหญ่จะมีลักษณะเหนียวเกินกว่าฟันมนุษย์จะบดเคี้ยวได้
นอกจากนั้น ลำไส้ของมนุษย์ยังมีลักษณะยาวมาก ทำให้เนื้อที่เหนียวและต้องใช้เวลาย่อยหลายวันไปเน่าอยู่ในลำไส้ จึงเกิดเชื้อแบคทีเรียและสารพิษตามมา
 
• ข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ
            1. เน้นการกินพืชผักผลไม้ ซึ่งเป็นอาหารตามวิถีดั่งเดิมของมนุษย์ ในปริมาณครึ่งหนึ่งในแต่ละมื้ออาหาร โดยเน้นผักผลไม้ที่ไม่หวานจัด และไม่ผ่านความร้อนหรือการปรุงสุก เนื่องความร้อนจะไปทำลายวิตามิน เอนไซม์ และสารต่างๆที่มีลักษณะเป็นยา หากทำได้ทุกมื้อก็จะเป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ
             2. กินข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีและยังมีจมูกข้าวเหลืออยู่ เพราะจะทำให้ได้สารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรลดปริมาณข้าวและคาร์โบไฮเดตลงตามลำดับ เนื่องจากจริงๆข้าวและคาร์โบไฮเดตไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ แต่วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้เราหันมาบริโภคข้าวและคาร์โบไฮเดตจนเกิดความเคยชิน และกลายเป็นการบริโภคเกินความจำเป็น
             3. ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง โดยออกกำลังกายในระดับที่เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง ได้หอบหายใจ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายขับพิษออกหลายๆทาง ระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองจะทำงาน ซึ่งระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองนั้นเป็นระบบป้องกันโรคที่สำคัญของมนุษย์
นอกจากนั้น ขณะที่หอบหายใจนั้น ร่างกายจะเอาอากาศออกจากปอดได้ทั้งหมด ทำให้อากาศที่อยู่ในปอดสะอาดและมีปริมาณออกซิเจนสูง
             4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงการนอนหลับที่ดีที่สุดคือช่วง 22.00-02.00 น. เนื่องจากช่วงดังกล่าวร่างกายจะผลิตเมลาโพนินฮอร์โมนออกมา ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เราง่วง พอหลับสนิทร่างกายก็จะหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เด็กเจริญเติบโต ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เกิดการซ่อมสร้างในเวลาที่รวดเร็ว
             5. การมีจินตนาการเชิงบวก คือการจะให้ร่างการมีสุขภาพดี เราจะต้องมีจินตนาการเชิงบวกต่อสุขภาพ ทำให้ชีวิตเรามีความสุข สุขภาพดี แข็งแรง ร่างกายจะเป็นไปตามที่เราคิด ถ้าเราเครียดร่างกายเราก็จะอ่อนแอ จิตใต้สำนึกมันส่งผลต่อร่างกาย
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #344 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2556, 00:00:12 »

 ชอบนะ ชอบนะ
ขอบคุณครับ
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #345 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2556, 00:24:28 »

ฟังก่อนพิจารณาอย่างแยบคายว่า ใคร ไม่ดี ชั่ว ขายชาติ  กล้าหาญ  ความจริงฤาความเท็จ ใครควรถูกประนาม
 

https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=8QO1AzMZox8
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #346 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2556, 01:30:55 »

#ลิงค์ YouTube ไม่ถูกต้อ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #347 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2556, 12:44:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 16 มกราคม 2556, 23:31:23

นี่มันตลกนะ ไม่ขำเหรอ
นาย ไท.  : เราจะทวงคืนเขาพระวิหาร !!
นาย ลาว : ผมเอาด้วย ผมจะทวงคืนพระแก้วมรกต !!!
นาย ซาอุ : งั้นผม เอาด้วยคน ผมจะทวงคืนเพชร !!!!

ชอบนะ ชอบนะ ชอบนะ
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #348 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2556, 17:26:51 »

การปล้นธนาคารที่ฮาและมีสาระ

โจรปล้นธนาคารที่กวงซู โจรตะโกนคำแรกเมื่อชักปืนออกมาว่า "ทุกคนอย่าขยับ เงินเป็นของรัฐ แต่ชีวิตเป็นของคุณ"
ทุกคนนอนอย่างสงบบนพื้น ไม่มีใครเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องเงินของรัฐ

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "เทคนิคการเปลี่ยนแนวคิด" บิดเบือนนิดเดียวความคิดเราก็เปลี่ยนไปไกลแล้ว
-------------------------------------------------

ผู้หญิงคนนึงนอนอยู่บนโต๊ะและกำลังจะกรี๊ด ทันใดนั้นโจรตะโกนใส่ผู้หญิงว่า "เรามีวัฒนธรรม ผมมาปล้นแบ๊งค์ ไม่ได้มาข่มขืนคุณ!!"

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "การเป็นมืออาชีพ" ตั้งมั่นในเป้าหมายอย่างเดียวไม่ว่อกแว่ก
-------------------------------------------------

เมื่อโจรกลับถึงฐานลับ โจรวัยรุ่นที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท MBA บอกกับรุ่นพี่โจรว่า "รุ่นพี่ เรามานับเงินกันว่าได้มาเท่าไหร่" แต่รุ่นพี่โจรที่จบเพียงชั้นประถมกล่าวว่า "แกนี่มันโง่มากเลย เงินตั้งเยอะตั้งแนะ จะนับยังไง คืนนี้ทีวีจะบอกเองแหล่ะว่าเราได้มาเท่าไหร่!!"

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ประสบการณ์" ซึ่งในปัจจุบันประสบการณ์มีค่ามากกว่าใบปริญญามากมายนัก
-------------------------------------------------

เมื่อโจรกลับไปแล้ว ผู้จัดการธนาคารสั่งให้รองผู้จัดการโทรหาตำรวจที่เบอร์ 191 แต่รองผู้จัดการธนาคารกลับค้านว่า "เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นๆ โจรเอาเงินไปเท่าไหร่ เรามานับกันก่อน แล้วบอกตำรวจว่าโจรเอาไปมากกว่านั้นอีก 5 ล้าน"

เราเรียกสิ่งนี้่ว่า "ว่ายตามน้ำ" หรือการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส
-------------------------------------------------

ผู้จัดการกล่าวว่า "นั่นสิ จริงๆแล้วถ้ามีโจรมาปล้นธนาคารทุกเดือนก็ดีสินะ"

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "การฆ่าเวลาเล่นๆ" ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าความสุขของเราอีกแล้ว
-------------------------------------------------

วันถัดมา ทีวีทุกช่องออกข่าวกันว่ามีโจรปล้นธนาคาร 100 ล้านบาท แต่ว่าโจรที่ปล้นไปนับแล้วนับอีก ไม่ว่าจะนับกี่รอบ ก็นับได้แค่ 20 ล้านบาทเท่านั้น โจรโกรธมากแล้วพูดว่า "เราเสี่ยงตายและปล้นธนาคารออกมาได้แค่ 20 ล้านบาท แต่เจ้าผู้จัดการธนาคารแค่มันหัวไวนิดเดียว มันทำเงินได้ถึง 80 ล้านบาทเลย การศึกษามีดีอย่างนี้นี่เอง"

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ความรู้มีค่ามากกว่าทองคำ"
-------------------------------------------------

ผู้จัดการธนาคารยิ้มร่าอย่างแรง เพราะว่าอยู่ดีๆเขาก็มีเงินเพิ่มขึ้นถึง 80 ล้านบาท โดยที่เป็นความผิดของโจรปล้นธนาคาร

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "โคตรโกง" เซียนเหนือเซียน แต่ไม่ใช่ในสิ่งดี

-------------------------------------------------

โตไปไม่โกงกันนะครับ

แปลโดย แอดมิน Dektalent.com
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #349 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2556, 02:26:59 »

สมชายมีรถโฟล์วีลไดร้อยู่คันหนึ่ง
เพื่อให้เท่ห์ยิ่งขึ้นก็ไปจ้างช่างเขียนข้างรถว่า4x4
เหมือนรถโฟวีลทั่วไป

กลับจากทำงานก็จอดรถไว้หน้าบ้านเนื่องจากในบ้านไม่มีที่จอดรถ

หลังจากตื่นมาตอนเช้า สมชายก็โมโหสุดเหวี่ยง
เนื่องจากมีมือดีมาเขียนต่อว่า =16

สมชายไปจ้างช่างลบออก แต่ก็มีมือดีมาเขียนอยู่อย่างนี้ทุกๆ ครั้ง

สมชายจึงคิดวิธีแก้เผ็ดเจ้ามือดี โดยไปจ้างช่างเขียนใหม่
โดยเขียนข้างรถว่า 4x4=16

แล้วก็นั่งกระหยิ่มใจว่า มันคงไม่มาเขียนอีก...พอตื่นมาก็มาดูที่รถ สมชายแทบลมจับเมื่อเจอข้างรถ เขียนว่า ถูกต้อง
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
  หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16 17  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><