Cmadong Chula

เรือนรับแขก เมาท์แหลกไม่เลือกรุ่น => ห้องธรรมะ...สาธุ.... => ข้อความที่เริ่มโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 29 เมษายน 2556, 22:21:29



หัวข้อ: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 29 เมษายน 2556, 22:21:29
เพื่อนฝูงพี่น้องซีมะโด่งคะ

ขอเปิดกระทู้ที่กำลังสนใจอยู่นะคะ ขอให้เป็นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ อันเป็นประโยชน์ต่อ ธรรมชาติ ที่เป็นธรรมะ คือ กายและใจ(จิต)
ฟังดูน่าเบื่อ แต่ขอรับรองค่ะ สิ่งเหล่านี้ น่าสนใจอย่างมหรรศจรรย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตมาพอ อาจจะเข้าใจว่า กระทู้นี้จะพาท่านไปไหน

เริ่มแรกนี้ขอเสนอ คำถามว่า "ธรรมะ คือ อะไร"

คนเราปัจจุบันมักดูแลกาย และสิ่งภายนอก จนลืมดูแลจิตใจ จริงไหม?


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 29 เมษายน 2556, 22:57:24
ปัจจุบัน ผู้คนเสพและแสวงหาอาหารมาบำรุงบำเรอกายจนเกินพอ
แต่ไม่ใส่ใจหาอาหารใจมาบำรุงใจบ้าง
ทำให้กายเกินพอ ใจขาดแคลน


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 30 เมษายน 2556, 00:38:21
สวัสดีค่ะ เริ่มเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 30 เมษายน 2556, 00:49:23
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 30 เมษายน 2556, 00:38:21
สวัสดีค่ะ เริ่มเลยค่ะ
               emo29:P: emo29:P:  ไม่ให้ ตั้งหลักเลย.......นะ หนูป้อม
            


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 30 เมษายน 2556, 02:25:34
จุดมุ่งหมายของการรับประทานนั้นก็เพื่อบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพสมบูรณ์เพื่อยังชีพอยู่เพื่อกระทำความดี และปฏิบัติงานในสิ่งที่รับผิดชอบอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่จุดมุ่งหมายของการรับประทานได้เปลี่ยนไปเป็นการรับประทานเพื่อความอร่อย
พ่อแม่ปู่ย่าตายายเท่านั้นที่จะเป็นตัวอย่างให้ลูกหลาน คนรุ่นหลัง
บ้านคุณพ่อของพี่ติ๋ม ทานอาหารแบบคนไทยโบราณ คุณพ่อต้องทานน้ำพริกผักจิ้มทุกมื้อ  อยู่เมืองชลฯ สมัยก่อนอาหารทะเลสด ราคาถูก ทานอาหารมีครบ 5 หมู่ มีปลาของถูกเป็นโปรตีน หมู ไก่ เนื้อวัว เป็นของแพง ไม่ค่อยได้ทาน อาหารนอกบ้านก็ถูกสอนว่าไม่สะอาด และแพง

พอมีครอบครัวและบ้านเอง เลยยังจำได้ว่าทานอาหารต้องครบ 5 หมู่ ต้องมีผักทุกมื้อ ประกอบกับต้องประหยัด พี่ติ๋มเริ่มทำงานเป็นครู เงินเดือนน้อย ต้องทำอาหารทานเองทั้งสามมื้อ คุณแม่อยู่ด้วยก็เลยโชคดีได้วิชาทำอาหารไว้เยอะ แต่ก็เลยอดไม่ได้ว่าทำอาหารต้องอร่อย แต่ต้องมีประโยชน์กับร่างกาย แถมติดนิสัยชาวสวนจากตายาย ที่บ้านเลยชอบปลูกผักทานเอง มันดูยุ่งยากและขาดแคลน แต่ก็ทำให้ครอบครัวทานอาหารมีประโยชน์ แต่ไม่มีให้ทานมากจนเกินพอค่ะ

คนปัจจุบันมีเศษฐกิจดีกว่าคนรุ่นพี่ติ๋ม เลยมีให้ทานกันเพื่อรสชาติและรสนิยมใหม่ๆเป็นสำคัญ


อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 29 เมษายน 2556, 22:57:24
ปัจจุบัน ผู้คนเสพและแสวงหาอาหารมาบำรุงบำเรอกายจนเกินพอ
แต่ไม่ใส่ใจหาอาหารใจมาบำรุงใจบ้าง
ทำให้กายเกินพอ ใจขาดแคลน


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 30 เมษายน 2556, 02:35:53
ขอบคุณน้องพธู ช่วยพี่ติ๋มเริ่มได้ พี่ป้อมเล่นสั่งเอา พี่ปี๊ดผู้เชี่ยวชาญกำลังตั้งตัว

ตั้งสติก่อนนะ

พูดถึงอาหารทางกายก็ยังให้ไม่ถูกต้อง ทานกันจนเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ทานกันจนเกินพอดี
แล้วถึงจะไม่ลืมให้อาหารทางจิตใจ แต่เราท่านนั้นทราบไหมว่าอาหารทางใจที่ถูกต้องแต่ชีวิตอันมีคุณภาพนั้นเป็นอย่างไร


อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 30 เมษายน 2556, 00:38:21
สวัสดีค่ะ เริ่มเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 30 เมษายน 2556, 02:37:25
พี่ปี๊ดจะตั้งตัวนานไหมเอ่ย น้องต้องการความช่วยเหลือ
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 30 เมษายน 2556, 00:49:23
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 30 เมษายน 2556, 00:38:21
สวัสดีค่ะ เริ่มเลยค่ะ
                emo29:P: emo29:P:  ไม่ให้ ตั้งหลักเลย.......นะ หนูป้อม
             


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 30 เมษายน 2556, 07:33:29
สวัสดี ตอนเช้า ครับ น้องติ๋ม ป้อม พธู และ สมาชิก ประการแรก ต้องขอขอบคุณ น้องติ๋ม ที่เปิดกระทู้ นี้ขึ้นมา....สมาชิกอย่าง
พี่อยากให้มีคนเข้ามา คุยเยอะๆ มีประโยชน์แน่นอน........เพราะกระทู้นี้ จะมีสาระ และ ความจริง ที่เป็นจริง/ ธรรมชาติยิ่งใหญ่
เกินกว่า คนธรรมดาที่จะพูด แต่ก็อยากเชิญชวน ให้พวกเราได้หาโอกาสเข้ามา เรียนรู้ ไม่ช้าเกินไปที่จะเริ่ม แล้วก็เรียนรู้ไป  พร้อมๆกันได้.........เพราะเราต้องอยู่กับ ความจริงเหล่านี้ แน่นอน ไม่มีทางหนี ไม่มีทางรอด......ไม่ช้าก็เร็วที่เราควรจะต้องรู้
เมื่อเทียบกับคำสอนของพระพุทธองค์ พี่ปี๊ดเป็นเพียงเด็ก ชั้นอนุบาล เพิ่งเรียนรู้เท่านั้น ครับน้องติ๋ม ......ก็คุยภาษาเด็กไป
........ธรรมะ คือ อะไร.......เป็นคำถามนำในการเปิด กระทู้ ของ น้อง ติ๋ม.......ถ้าจะตอบแบบสบายๆ สไตล์ แมงโม้ ก็คือ
 ธรรมะ  คือ  ธรรมะ  ........น้องทราย ต้องบอกว่า "เป็นคำตอบ แบบ ก.ต. แน่เลย ".....ฮิฮิ ( กำลังสะอึกอยู่หรือเปล่า? น้อง)
ธรรมะ คือ คำบัญญัติ ที่พระพุทธเจ้า ทรงถ่ายทอดไว้ ให้พวกเราได้รู้ ว่าความจริง ในธรรมชาติว่า มีอะไร บ้าง และ เป็น  
"ปรมัตถ์"ที่ผู้ที่ จะรู้ได้แจ่มแจ้ง ต้องปฏิบัติ รู้ได้ ด้วยตนเอง (ไม่มีวิธีอื่น)เป็นหนทางเดียว
          2500 กว่า แล้ว ที่มีผู้พยายามตามพิสูจน์ คำสอน (ธรรมะ) ของพระพุทธองค์ ว่าเป็น จริง หรือไหม? ก็ยังไม่สามารถ
 เห็นข้อผิดพลาด ได้ (เป็นจริงทุกประการ) แต่ผู้ที่จะไปพิสูจน์ได้ ต้อง มีดวงตาธรรม นะครับ "ตาเนื้อ ตาหนัง"  ธรรมดา ยัง
 พิสูจน์ไม่ได้ .........เพราะ บุคคลธรรมดา เห็นได้เพียงแค่ "รูปธรรม" ที่ ตาเนื้อ ตาหนัง สัมผัสได้ เพียงเท่านั้น
          ความเป็นจริง ทางธรรมชาตินั้น มนุษย์ สัตว์ มีองค์ประกอบ 2 อย่าง คือ
               1. รูปธรรม.......สัมผัสได้ ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
               2. นามธรรม.....ภาษา "บัญญัติ" เรียกว่าเป็น พลังงาน มาอาศัยอยู่กับร่าง สิ่งนี้แหละ ที่บุคคลธรรมดา ไม่สามารถ
 จะสัมผัสได้ด้วยวิธีทั่วๆไป  เป็นความจริงแท้ ที่มีอยู่แล้ว ตามธรรมชาติ เป็น "ปรมัตถ์" ต้องพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติ เพียงอย่าง
 เดียว จึงจะ รู้ ว่า " มีจริง เป็นจริง "  อธิบายไม่ได้ เมื่อ เข้า ถึง จะ "รู้" เพียงอย่างเดียว
          พอจะเป็น คำตอบได้ไหม? ครับ น้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 30 เมษายน 2556, 15:47:18
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 30 เมษายน 2556, 00:49:23
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 30 เมษายน 2556, 00:38:21
สวัสดีค่ะ เริ่มเลยค่ะ
                emo29:P: emo29:P:  ไม่ให้ ตั้งหลักเลย.......นะ หนูป้อม
             
หนูดีใจจะได้อ่านธรรมะสำนวนติ๋มมั่ง อิๆ 


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ทราย 16 ที่ 30 เมษายน 2556, 17:57:10
สาธุ สาธุ สาธุ
ไปนั่งสมาธิยามเย็นที่พุทธมณฑลดีกว่า ...
(http://www.cmadong.com/picup/201212/9536713673194179875974608.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 30 เมษายน 2556, 18:06:42
อ้างถึง
ข้อความของ ทราย 16 เมื่อ 30 เมษายน 2556, 17:57:10
สาธุ สาธุ สาธุ
ไปนั่งสมาธิยามเย็นที่พุทธมณฑลดีกว่า ...
(http://www.cmadong.com/picup/201212/9536713673194179875974608.jpg)
             สาธุ......ระวังพระพุทธ รูปจะล้มใส่ หรือไม่ก็ให้ประคองตัว อย่าไปล้มใส่พระพุทธรูป นะ น้องทราย


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ทราย 16 ที่ 30 เมษายน 2556, 19:19:41
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 30 เมษายน 2556, 18:06:42
อ้างถึง
ข้อความของ ทราย 16 เมื่อ 30 เมษายน 2556, 17:57:10
สาธุ สาธุ สาธุ
ไปนั่งสมาธิยามเย็นที่พุทธมณฑลดีกว่า ...
(http://www.cmadong.com/picup/201212/9536713673194179875974608.jpg)
             สาธุ......ระวังพระพุทธ รูปจะล้มใส่ หรือไม่ก็ให้ประคองตัว อย่าไปล้มใส่พระพุทธรูป นะ น้องทราย
ถ้าเกิดแบบที่ว่า ... คงไปสู๋นิพพานเป็นแน่
เหอ เหอ เหอ ...


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: wannee ที่ 30 เมษายน 2556, 20:19:26
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 29 เมษายน 2556, 22:21:29
เพื่อนฝูงพี่น้องซีมะโด่งคะ

ขอเปิดกระทู้ที่กำลังสนใจอยู่นะคะ ขอให้เป็นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ อันเป็นประโยชน์ต่อ ธรรมชาติ ที่เป็นธรรมะ คือ กายและใจ(จิต)
ฟังดูน่าเบื่อ แต่ขอรับรองค่ะ สิ่งเหล่านี้ น่าสนใจอย่างมหรรศจรรย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตมาพอ อาจจะเข้าใจว่า กระทู้นี้จะพาท่านไปไหน

เริ่มแรกนี้ขอเสนอ คำถามว่า "ธรรมะ คือ อะไร"

คนเราปัจจุบันมักดูแลกาย และสิ่งภายนอก จนลืมดูแลจิตใจ จริงไหม?


น่าสนใจมากค่ะติ๋ม.. emo6::)) 


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 30 เมษายน 2556, 20:31:27
ไปไหนต่อไหนมาทั่วประเทศ
ข้ามเขตขันทสีมาไปต่างแดนก็เคย
พบคนต่างชาติต่า่งศาสนาก็มาก
เจอคนไทยที่แอบอ้างตัวเป็นพุทธศาสนิกมากมาย
เป็นพุทธแบบอัตโนมัย (คิดไปเอง)
ไม่เคย ศึกษา หาความรู้ ปฏิบัติธรรม
ถามใครต่อใครหลายคนว่า
หลักปฏิบัติของ คนพุทธ มีอะไร
เกือบทั้งหมดตอบไม่ได้(ท่านตอบได้ไหม)
ที่น่าเศร้า ผู้ห่มผ้ากาสาวะ หลายท่าน ยังไม่ทราบ
เอาแต่รับ กิจนิมนต์ สวดเปล่าเอาแต่เปลือก หาแก่นมิได้
เป็นสมณะ ไม่ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม เผยแพร่ธรรม
แล้วจะบวชเพราะอามิชสินจ้างหรือกระไร


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 30 เมษายน 2556, 20:47:32
บางคนตอบผมว่า หลักปฏิบัติของคนพุทธคือ
"ต้องถือศิล ปฏิบัติธรรม" น่าจะตอบถูกสัก 40%
บางคน ว่า "ไม่ทำความชั่ว" น่าจะตอบถูกสัก 33%
บางคนว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" อันนี้เป็นหลักของอิสลาม
เรียกว่าหลักอาบูดาบี หรือ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" ไม่ใช่พุทธ
เพราะอธิบายไม่ได้ กรณีคนที่ทำชั่วที่เกลื่อนกราดในปัจจุบันแต่ยังได้ดีอยู่
แต่คนทำดี แต่ไม่ได้รับผลดี ค้าขายก็ขาดทุน โดนโกงเอาเปรียบตลอด



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 30 เมษายน 2556, 20:58:21
ถ้่าเป็นพุทธ ต้องศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องกรรม

เมื่อยังเสวยกรรมดีอยู่ ผลของกรรรมชั่วยังไม่บังเกิด
เมื่อรับกรรมชั่ว กรรมดีย่อมยังไม่ให้ผล
เพื่อให้พ้นกรรมชั่ว ไม่ต้องรับกรรม

จึงต้อง    เว้นจากกรรมชั่วทั้งปวง
ทำแต่กรรมดี
ทำจิตใจให้ผ่องแผ้วแจ่มใส

นี้เป็นหลักปฏิบัติสามประการของชาวพุทธ
 


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 30 เมษายน 2556, 21:01:00
หลักปฏิบัติของชาวพุทธ /โอวาทปาฏิโมก
 ๏ สพฺพปาปสฺส อกรณํ  การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑
 กุสลสฺสูปสมฺปทา การบำเพ็ญแต่ความดี ๑
 สจิตฺตปริโยทปนํ   การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑
 เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ  นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
 

       
     
     


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 01 พฤษภาคม 2556, 02:35:30
ชัดเจนดีค่ะ นี่ขนาดอนุบาลหรือคะ สั้นๆตรงเป้า
หลังจากออกไปพจญโลกกว้างเรียนธรรมชาติแบบชีววิทยา ศึกษาทางโลกมานาน ช่วงนี้ติ๋มกลับมามองจุดย่อยคือตัวเรา อันตัวเรานั้น ธรรมะคือ กายกับจิต
คำอธิบายของพี่ปี๊ดจึงตรงเป้าได้ดีถ้าเรากำลังมองตัวเอง

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 30 เมษายน 2556, 07:33:29
สวัสดี ตอนเช้า ครับ น้องติ๋ม ป้อม พธู และ สมาชิก ประการแรก ต้องขอขอบคุณ น้องติ๋ม ที่เปิดกระทู้ นี้ขึ้นมา....สมาชิกอย่าง
พี่อยากให้มีคนเข้ามา คุยเยอะๆ มีประโยชน์แน่นอน........เพราะกระทู้นี้ จะมีสาระ และ ความจริง ที่เป็นจริง/ ธรรมชาติยิ่งใหญ่
เกินกว่า คนธรรมดาที่จะพูด แต่ก็อยากเชิญชวน ให้พวกเราได้หาโอกาสเข้ามา เรียนรู้ ไม่ช้าเกินไปที่จะเริ่ม แล้วก็เรียนรู้ไป  พร้อมๆกันได้.........เพราะเราต้องอยู่กับ ความจริงเหล่านี้ แน่นอน ไม่มีทางหนี ไม่มีทางรอด......ไม่ช้าก็เร็วที่เราควรจะต้องรู้
เมื่อเทียบกับคำสอนของพระพุทธองค์ พี่ปี๊ดเป็นเพียงเด็ก ชั้นอนุบาล เพิ่งเรียนรู้เท่านั้น ครับน้องติ๋ม ......ก็คุยภาษาเด็กไป
........ธรรมะ คือ อะไร.......เป็นคำถามนำในการเปิด กระทู้ ของ น้อง ติ๋ม.......ถ้าจะตอบแบบสบายๆ สไตล์ แมงโม้ ก็คือ
 ธรรมะ  คือ  ธรรมะ  ........น้องทราย ต้องบอกว่า "เป็นคำตอบ แบบ ก.ต. แน่เลย ".....ฮิฮิ ( กำลังสะอึกอยู่หรือเปล่า? น้อง)
ธรรมะ คือ คำบัญญัติ ที่พระพุทธเจ้า ทรงถ่ายทอดไว้ ให้พวกเราได้รู้ ว่าความจริง ในธรรมชาติว่า มีอะไร บ้าง และ เป็น   
"ปรมัติ"ที่ผู้ที่ จะรู้ได้แจ่มแจ้ง ต้องปฏิบัติ รู้ได้ ด้วยตนเอง (ไม่มีวิธีอื่น)เป็นหนทางเดียว
          2500 กว่า แล้ว ที่มีผู้พยายามตามพิสูจน์ คำสอน (ธรรมะ) ของพระพุทธองค์ ว่าเป็น จริง หรือไหม? ก็ยังไม่สามารถ
 เห็นข้อผิดพลาด ได้ (เป็นจริงทุกประการ) แต่ผู้ที่จะไปพิสูจน์ได้ ต้อง มีดวงตาธรรม นะครับ "ตาเนื้อ ตาหนัง"  ธรรมดา ยัง
 พิสูจน์ไม่ได้ .........เพราะ บุคคลธรรมดา เห็นได้เพียงแค่ "รูปธรรม" ที่ ตาเนื้อ ตาหนัง สัมผัสได้ เพียงเท่านั้น
          ความเป็นจริง ทางธรรมชาตินั้น มนุษย์ สัตว์ มีองค์ประกอบ 2 อย่าง คือ
               1. รูปธรรม.......สัมผัสได้ ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
               2. นามธรรม.....ภาษา "บัญญัติ" เรียกว่าเป็น พลังงาน มาอาศัยอยู่กับร่าง สิ่งนี้แหละ ที่บุคคลธรรมดา ไม่สามารถ
 จะสัมผัสได้ด้วยวิธีทั่วๆไป  เป็นความจริงแท้ ที่มีอยู่แล้ว ตามธรรมชาติ เป็น "ปรมัติ" ต้องพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติ เพียงอย่าง
 เดียว จึงจะ รู้ ว่า " มีจริง เป็นจริง "  อธิบายไม่ได้ เมื่อ เข้า ถึง จะ "รู้" เพียงอย่างเดียว
          พอจะเป็น คำตอบได้ไหม? ครับ น้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 01 พฤษภาคม 2556, 02:37:23
อนุโมทนากับทรายด้วยค่ะ
มีวิธีที่ดี มีประโยชน์ ก็ให้เพื่อนเป็น ธรรมทานบ้างนะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ ทราย 16 เมื่อ 30 เมษายน 2556, 17:57:10
สาธุ สาธุ สาธุ
ไปนั่งสมาธิยามเย็นที่พุทธมณฑลดีกว่า ...
(http://www.cmadong.com/picup/201212/9536713673194179875974608.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 01 พฤษภาคม 2556, 02:39:09

เสียดสนใจก็อย่ารอช้าคุยมาให้เพื่อนได้ฟังมุมมอง หรือประสบการณ์ของเสียดบ้างนะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ wannee เมื่อ 30 เมษายน 2556, 20:19:26
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 29 เมษายน 2556, 22:21:29
เพื่อนฝูงพี่น้องซีมะโด่งคะ

ขอเปิดกระทู้ที่กำลังสนใจอยู่นะคะ ขอให้เป็นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ อันเป็นประโยชน์ต่อ ธรรมชาติ ที่เป็นธรรมะ คือ กายและใจ(จิต)
ฟังดูน่าเบื่อ แต่ขอรับรองค่ะ สิ่งเหล่านี้ น่าสนใจอย่างมหรรศจรรย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตมาพอ อาจจะเข้าใจว่า กระทู้นี้จะพาท่านไปไหน

เริ่มแรกนี้ขอเสนอ คำถามว่า "ธรรมะ คือ อะไร"

คนเราปัจจุบันมักดูแลกาย และสิ่งภายนอก จนลืมดูแลจิตใจ จริงไหม?


น่าสนใจมากค่ะติ๋ม.. emo6::)) 


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 01 พฤษภาคม 2556, 02:44:34
เสียดายนะคะ อย่างที่พี่เคยได้ยินหรือเปล่าว่า ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรมที่แท้จริง
หรือว่าคนเราดับทุกข์ด้วยวิธีที่ต่างกัน
จุดมุ่งหมายในชีวิตของคนเราก็ต่างกัน แม้แต่ความสุขของคนเรายังไม่เหมือนกันเลยนะคะ
ยิ่งออกมาเห็นโลกกว้าง ทางชีวิต วัฒนธรรมที่ต่างกัน ก็ยิ่งเข้าใจ พระพุทธเจ้าว่าท่านทรงให้สิ่งมีค่าที่สุดแก่เราไว้

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 30 เมษายน 2556, 20:31:27
ไปไหนต่อไหนมาทั่วประเทศ
ข้ามเขตขันทสีมาไปต่างแดนก็เคย
พบคนต่างชาติต่า่งศาสนาก็มาก
เจอคนไทยที่แอบอ้างตัวเป็นพุทธศาสนิกมากมาย
เป็นพุทธแบบอัตโนมัย (คิดไปเอง)
ไม่เคย ศึกษา หาความรู้ ปฏิบัติธรรม
ถามใครต่อใครหลายคนว่า
หลักปฏิบัติของ คนพุทธ มีอะไร
เกือบทั้งหมดตอบไม่ได้(ท่านตอบได้ไหม)
ที่น่าเศร้า ผู้ห่มผ้ากาสาวะ หลายท่าน ยังไม่ทราบ
เอาแต่รับ กิจนิมนต์ สวดเปล่าเอาแต่เปลือก หาแก่นมิได้
เป็นสมณะ ไม่ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม เผยแพร่ธรรม
แล้วจะบวชเพราะอามิชสินจ้างหรือกระไร


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 01 พฤษภาคม 2556, 02:46:33
สาธุค่ะ
สรุปข้อปฏิบัติทางพุทธได้ง่าย และสั้นค่ะ
แตทำไมผู้ปฏิบัติธรรมจึงต้องใช้เวลานาเป็นปีๆ เพราะราละเอียดอื่นๆนั้นยังมีอีกมายนัก


อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 30 เมษายน 2556, 21:01:00
หลักปฏิบัติของชาวพุทธ /โอวาทปาฏิโมก
 ๏ สพฺพปาปสฺส อกรณํ  การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑
 กุสลสฺสูปสมฺปทา การบำเพ็ญแต่ความดี ๑
 สจิตฺตปริโยทปนํ   การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑
 เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ  นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
 

      
    
      


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 01 พฤษภาคม 2556, 02:48:02
คำถามต่อไป
ควาสุขของมนุษย์เราโดยทั่วไปคืออะไร โดยไม่นับศาสนาเป็นองค์ประกอบ
ความสุขตามความหมายทางพระพุทธศาสนาคืออะไร

ความสุขของแต่ละบุคคลที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมนั้นได้มาและมีมาต่างกัน???

ความสุขของแต่ละบุคคลที่ยังได้ปฏิบัติธรรมแล้วนั้นควรได้มา มีมาเช่นเดียวกัน????





หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 01 พฤษภาคม 2556, 15:49:17
ทราย และเพื่อนๆ พี่น้อง
ติ๋มเข้าไปเยี่ยม บ้านธัมมะ ที่ทรายแนะนำแล้ว ชอบมาก ขอบคุณมากๆนะคะ
ติ๋มเลยเอาของฝากมาให้เพื่อนๆ พี่น้องที่สนใจศึกษา และพูดคุยกันในกระทู้นี้ค่ะ

ถ้าเราเรียนปริยัติถูกต้อง คือ เรียนจากพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง มีการตั้งจิตไว้ชอบ คือ รู้ว่าเป็นสัจจะ หาฟังได้ยาก จึงศึกษาด้วยความเคารพนอบน้อมจริงๆ ไม่ศึกษาเพื่อเหตุแห่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ศึกษาเพื่อพอกพูนกิเลส มีความสำคัญตน เป็นต้น ไม่ศึกษาแบบจับงูพิษข้างหาง แต่ศึกษาเพื่อเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ รู้จุดประสงค์ที่ถูกต้องของการศึกษาธรรม ว่าเพื่อเข้าใจถูก เพื่อละความไม่เข้าใจ เมื่อเรียนแล้วค่อยๆ เข้าใจถูกตามปริยัติที่ได้เรียน ปัญญาก็จะค่อยๆ ละทิ้งข้อปฏิบัติที่ผิด ผลก็คือสามารถปฏิบัติถูกต้องตามหนทางพ้นทุกข์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ได้ จึงทำให้เกิดการละเว้นอกุศลกรรม เจริญปัญญา เจริญกุศลทุกประการ ขัดเกลากิเลสที่มีในชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นปัจจัยให้ถึงการดับกิเลสในภายภาคหน้า

แต่ผู้ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ แล้วอยู่ๆ ไปปฏิบัติ โดยไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจในพระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง ปัญหาที่พบ ก็คือ จะปฏิบัติผิด, จะสะสมความเห็นผิด,จะพอกพูนการยึดมั่นในข้อปฏิบัติที่ผิดนั้นครับ ผลก็คือ ทำให้ไม่พ้นทุกข์, ทำให้ความไม่รู้และอกุศลต่างๆ มีมากยิ่งขึ้น และทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเนิ่นนานต่อไปไม่สิ้นสุดครับ เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะตั้งต้นเรียนปริยัติ ก็เรียนปริยัติที่ถูกต้องจะดีกว่า ถ้าไปเรียนปริยัติแบบผิดๆ จะมีโทษมากกับตนเองและผู้อื่นที่เราแสดงสิ่งผิดๆ ให้เขาฟัง


จาก เวป บ้านธัมมะ

อ้างถึง
ข้อความของ ทราย 16 เมื่อ 30 เมษายน 2556, 17:57:10
สาธุ สาธุ สาธุ
ไปนั่งสมาธิยามเย็นที่พุทธมณฑลดีกว่า ...
(http://www.cmadong.com/picup/201212/9536713673194179875974608.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 01 พฤษภาคม 2556, 18:10:13
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 01 พฤษภาคม 2556, 02:48:02
คำถามต่อไป
ควาสุขของมนุษย์เราโดยทั่วไปคืออะไร โดยไม่นับศาสนาเป็นองค์ประกอบ
ความสุขตามความหมายทางพระพุทธศาสนาคืออะไร

ความสุขของแต่ละบุคคลที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมนั้นได้มาและมีมาต่างกัน???

ความสุขของแต่ละบุคคลที่ยังได้ปฏิบัติธรรมแล้วนั้นควรได้มา มีมาเช่นเดียวกัน????




  สวัสดี ครับ น้องติ๋ม และ สมาชิก
            ช่วยกัน เข้ามา คุย เรื่อง ความสุข หน่อย ครับ จะได้ความรู้หลากหลาย เปิดใจกว้าง รับฟังความเห็น ร่วมสนทนา
 กัน / ชาวซีมะโด่ง น้องทราย น้องป้อม ไปไหน? มาช่วยหน่อย จะได้ไม่เงียบ.... ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 01 พฤษภาคม 2556, 23:51:55
หนูชอบอ่านค่ะ บรรยายไม่เป็น ชอบเก็บข้อมูล 555 เอิ๊กๆ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 02 พฤษภาคม 2556, 01:28:40

ป้อมขา
คนมีปัญญามาก มักเป็นคนชอบฟังและอ่านค่ะ
กระทู้นี้สงสัยจะคุด ถ้ามีแต่คนอ่าน ป้อมต้องยอมเผื่อแผ่ปัญญาแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะเพื่อนรักของป้อมเองอย่างติ๋มนี่ไง

ติ๋มเริ่มกระทู้เพราะสนใจอยากฟังความเห็นของท่านๆนะเจ้าคะ

แน่ใจว่าแต่ละคนให้ความหมายของความสุขต่างๆกันไป เลยอยากฟังว่าของท่านอื่นความสุขนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรกัน

ตัวติ๋มเองนั้น เพิ่งมีเวลา 2 ปีนี้เองที่มาศึกษาอย่างจริง เพราะต้องการคำจำกัดความของความสุขหลังจากที่ต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักอีกท่านหนึ่งคือ คุณแม่ จึงเป็นจุดเริ่มให้มองหาธรรมะ คือธรรมชาติของกายและจิตของตัวเองค่ะ

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 01 พฤษภาคม 2556, 23:51:55
หนูชอบอ่านค่ะ บรรยายไม่เป็น ชอบเก็บข้อมูล 555 เอิ๊กๆ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 02 พฤษภาคม 2556, 11:07:31
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 01 พฤษภาคม 2556, 23:51:55
หนูชอบอ่านค่ะ บรรยายไม่เป็น ชอบเก็บข้อมูล 555 เอิ๊กๆ
              เอิ๊ก เอิ๊ก ...........ระวังโดน เรื่องลิขสิทธิ์ ทางปัญญา นะ น้องป้อม.......พวกนาซี ชอบเอาไป บีบขมับ ให้คาย
 ความรู้ ออกมา   emo20:)):) emo20:)):) emo20:)):) :)like


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 02 พฤษภาคม 2556, 14:10:18
555  แล้วมันก็จะบีบจมูกวิ่งหนีเพราะสิ่งที่บีบออกมาได้คือขยะเน่าเหม็นทั้งน๊าน
เอาละ ความสุขของหนูคือ อยู่เย็นเป็นสุขธรรมดาๆนี่แหละค่ะ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีอะไรมากวนใจให้เครียดค่า


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: wannee ที่ 02 พฤษภาคม 2556, 19:57:53
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 02 พฤษภาคม 2556, 14:10:18
555  แล้วมันก็จะบีบจมูกวิ่งหนีเพราะสิ่งที่บีบออกมาได้คือขยะเน่าเหม็นทั้งน๊าน
เอาละ ความสุขของหนูคือ อยู่เย็นเป็นสุขธรรมดาๆนี่แหละค่ะ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีอะไรมากวนใจให้เครียดค่า

ความสุขก็คล้ายๆที่ป้อมสรุปค่ะ   emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 02 พฤษภาคม 2556, 21:21:52

ป้อมขา
อย่าปรามาสตนเองเช่นนั้นค่ะ บาปกรรม
พฤติกรรมของป้อมไม่บ่งถึงขยะในสมองเลย


อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 02 พฤษภาคม 2556, 14:10:18
555  แล้วมันก็จะบีบจมูกวิ่งหนีเพราะสิ่งที่บีบออกมาได้คือขยะเน่าเหม็นทั้งน๊าน
เอาละ ความสุขของหนูคือ อยู่เย็นเป็นสุขธรรมดาๆนี่แหละค่ะ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีอะไรมากวนใจให้เครียดค่า


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 02 พฤษภาคม 2556, 21:37:15
เอาล่ะค่ะ  ได้คำตอบจากเพื่อนรักสองท่านก็มากพอสำหรับกระทู้ธรรมดาๆ นะคะ

จากคำตอบก็จะเห็นว่า เพื่อนทั้งสองเห็นด้วยว่าความสุขของเรา คือ สุขกาย และสุขใจ ซึ่ง เป็นความสุขทางพระพุทธศาสนาโดยแท้ และเป็นสุขตามธรรมชาติ  ขออ้างจากที่ติ๋มสรุปมาจากการฟังพระอริยะสงฆ์เทศน์ไว้นะคะ เช่นท่านพระพุทธทาส และหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านหลวงพ่อพุธ มีความรู้ทั้งทางปริญัติ และปฏิบัติค่ะ

ทางที่จะให้ได้สุขมาซึ่ง กายและใจก็ต้องอาศัยความเพียรปฏิบัติค่ะ คนที่มีความมุ่งหมายให้ไม่ทุกข์มาเจือปนกับสุข(หรืออุเบกขา) อีกเลย ก็ต้องปฏิบัติจนถึงนิพพาน



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือ ธรรมะ ???
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 02 พฤษภาคม 2556, 23:16:13
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม น้องป้อม น้องเสียด และ สมาชิกที่ไม่ประสงค์จะปรากฏ ตัวทุกท่าน
         ได้เพื่อนรักของน้องติ๋ม มาเอื่อนเอ่ย อีก 2 คน ดีจัง น้องติ๋ม ตั้งชื่อให้มันผ่อนคลายกว่านี้อีกหน่อยได้ไหม? ดูมันจริงจัง
 มาก เพราะธรรมะ เป็น เรื่องที่คนไม่กล้าพูด คิดว่าถ้าพูดผิดเพี้ยนจาก พุทธวจนะ จะเป็นบาป (คนกลัวบาป) เป็นอวดอุตริ
         เลยคนก็จะรอฟัง ผู้ที่อยู่ในผ้าเหลืองพูด (เทศน์) ให้ฟังอย่างเดียว หรือไม่ก็ ต้องไปยกเอา พุทธวจนะ หรือพระไตรปิฏก
 มาอ้างประกอบยืนยันความจริงอยู่ ตลอดเวลา เวลาคุย...ไม่เป็นธรรมชาติ. ทั้งๆที่เรากำลังเรียนรู้เรืองธรรมชาติทีแท้จริงอยู่...
 พระพุทธองค์เองก็บอกว่า "ไม่ต้องเชื่อท่าน " แต่ให้ปฏิบัติและทดลองทำพิสูจน์ ด้วยตนเอง
         พี่ปิ๊ดอยากให้กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ คน ธรรมดา อย่างเราๆ คุยกัน แลกเปลียนความคิดเห็นกัน มากกว่า ที่จะต้องเอา
 พระโสดาบัน มาคุยฉันถึงจะฟัง.....เรามาช่วยกันทำให้ ทุกคนรู้สึกว่าศาสนาเป็นเรื่องใกล้ๆ ตัว เข้าถึงง่ายๆ ใครๆก็เข้า
 ใจได้ กันดีกว่า......ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 02 พฤษภาคม 2556, 23:30:56
ที่จริงก็ขึ้นต้นด้วยคำว่า ธรรมชาติ ธรรมดาไว้ก่อนแล้ว เพราะติ๋มเชื่อ ธรรมชาติ และความเป็นธรรมดามากๆ
จิ้งจกทัก พ่อแม่บอกให้หยุดฟัง นี่พี่ปิ๊ดทัก ติ๋มตกลงรีบเลยค่ะ
กระทู้นี้เกี่ยวกับธรรมชาติ และเรื่องราวจากคนธรรมดาๆอย่างติ๋มเป็นต้นค่ะ

แล้วจะมีคนมาคุยกับคนธรรมดาๆอย่างเรามะคะเนี่ย
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 02 พฤษภาคม 2556, 23:16:13
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม น้องป้อม น้องเสียด และ สมาชิกที่ไม่ประสงค์จะปรากฏ ตัวทุกท่าน
         ได้เพื่อนรักของน้องติ๋ม มาเอื่อนเอ่ย อีก 2 คน ดีจัง น้องติ๋ม ตั้งชื่อให้มันผ่อนคลายกว่านี้อีกหน่อยได้ไหม? ดูมันจริงจัง
 มาก เพราะธรรมะ เป็น เรื่องที่คนไม่กล้าพูด คิดว่าถ้าพูดผิดเพี้ยนจาก พุทธวจนะ จะเป็นบาป (คนกลัวบาป) เป็นอวดอุตริ
         เลยคนก็จะรอฟัง ผู้ที่อยู่ในผ้าเหลืองพูด (เทศน์) ให้ฟังอย่างเดียว หรือไม่ก็ ต้องไปยกเอา พุทธวจนะ หรือพระไตรปิฏก
 มาอ้างประกอบยืนยันความจริงอยู่ ตลอดเวลา เวลาคุย...ไม่เป็นธรรมชาติ. ทั้งๆที่เรากำลังเรียนรู้เรืองธรรมชาติทีแท้จริงอยู่...
 พระพุทธองค์เองก็บอกว่า "ไม่ต้องเชื่อท่าน " แต่ให้ปฏิบัติและทดลองทำพิสูจน์ ด้วยตนเอง
         พี่ปิ๊ดอยากให้กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ คน ธรรมดา อย่างเราๆ คุยกัน แลกเปลียนความคิดเห็นกัน มากกว่า ที่จะต้องเอา
 พระโสดาบัน มาคุยฉันถึงจะฟัง.....เรามาช่วยกันทำให้ ทุกคนรู้สึกว่าศาสนาเป็นเรื่องใกล้ๆ ตัว เข้าถึงง่ายๆ ใครๆก็เข้า
 ใจได้ กันดีกว่า......ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 02 พฤษภาคม 2556, 23:45:59
 :)like :)like
 emo20:)):)
 emo4:))

เหอๆ คิดว่าแก้หัวข้อได้แล้วค่ะ พี่ปี๊ดกรุณาเช็คอีกทีนะคะ

ขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 03 พฤษภาคม 2556, 00:15:34
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 02 พฤษภาคม 2556, 23:45:59
:)like :)like
 emo20:)):)
 emo4:))

เหอๆ คิดว่าแก้หัวข้อได้แล้วค่ะ พี่ปี๊ดกรุณาเช็คอีกทีนะคะ

ขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ
เฮอ เฮอ ........ ค่อยๆ คิด จ้าาา..... เราเปลียน  Title ของเราได้ ตลอด


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 03 พฤษภาคม 2556, 04:01:21
พี่ปี๊ดและเพื่อนพี่น้อง
เปลี่ยนเรื่องคุยนิดหนึ่ง ให้เข้ากับชื่อใหม่ของกระทู้นี้ค่ะ
วันนี้คิดถึงเพลงนี้ค่ะ อาจจะเพราะเนื้อร้องตรงนี้
หอมดอกหอมดอกราตรี แม้ไม่สดสี แต่หอมดีน่าดม

แบบไทยเดิม

http://www.youtube.com/watch?v=TEOKZz4kchc

อีกแบบเป็นแบบผสมผสานไทยกับสากล

http://www.youtube.com/watch?v=XIzfAyMSnrM


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 03 พฤษภาคม 2556, 06:02:32
สวัสดี ยามเช้า ครับน้องติ๋ม และสมาชิก ทุกท่าน
                     ได้ฟังเพลงไทยเดิมแต่เช้า ดีครับ  วันนี้วันพระ ทำจิตใจให้ สงบ เบาสบาย สักวัน   เป็น กุศล แล้วอะไร
 ดี ดี ก็จะ ตามมาทั้งวัน ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Leam ที่ 03 พฤษภาคม 2556, 09:20:45

สวัสดียามสายครับ...

พี่ติ๋ม..พี่ปี๊ด..พี่เสียด..พี่ป้อม..พี่เหยง..พี่ทราย..น้องป๋าทู และพี่น้องทุกท่าน

ตามมาศึกษาธรรม และฟังเพลง... ตามคำชี้ชวนพี่เจ้าของห้องครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 03 พฤษภาคม 2556, 10:54:16
สวัสดีวันพระค่ะ

ขอส่งความรักมาให้สมาชิกทุกๆท่านค่ะ

หลวงพ่อพุธ ฐานิโยสอนไว้ว่า จงมีความรักแบบเมตตากรุณา และต้องมิใช่ความรักแบบกิเลส


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Leam ที่ 03 พฤษภาคม 2556, 15:33:05

คำสอนท่านแค่นี้... แต่ต้องตีความขยายความอีกเยอะเลยครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 03 พฤษภาคม 2556, 20:28:46
ถ้าคนเรามีความรักแบบความหมายของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย โลกนี้ก็จะไม่มีคำว่า "มีรักก็ต้องมีทุกข์"เลยนะครับน้องแหลม
เพราะความเมตตา กรุณานั้นเป็น 2 ในพรมวิหาร 4 ที่ผู้ที่เชื่อพระพุทธเจ้าควรพึงปฏิบัติเป็นนิสัยเพื่อความไม่มีทุกข์อยู่แล้วครับ



อ้างถึง
ข้อความของ Leam เมื่อ 03 พฤษภาคม 2556, 15:33:05

คำสอนท่านแค่นี้... แต่ต้องตีความขยายความอีกเยอะเลยครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 03 พฤษภาคม 2556, 21:30:38
 emo47


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 03 พฤษภาคม 2556, 23:23:38
ขอโทษน้องพธู ที่พี่เขียน งงๆ
รีบวิ่งไปส่งลูกไปสนามบิน กลัวไปช้าไม่ทันเครื่อง ฝนตกหนัก อุบัติเหตุเยอะ เลยรีบออกไปแต่เนิ่นๆค่ะ ผิดจากแผนการเดิมไปหน่อย เลยรีบส่งข้อความขึ้นไปแบบไม่ได้อ่านทวน
พี่ไปแก้ไขแล้วค่ะ
ให้อภัยพี่นะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 03 พฤษภาคม 2556, 21:30:38
emo47


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 04 พฤษภาคม 2556, 23:48:00
วันที่ 4 พฤษภาคม 2556
ส่งภาพธรรมชาติหลังบ้านมาเป็นของฝากแด่ท่านที่มาเยี่ยมชมธรรมชาติค่ะ
เมื่อวานเป็นวันพระ ฝนตกทั้งวัน อากาศเปลี่ยนมาเย็นลงอีกมาก เลยไปดูเป็ดหลังบ้านว่าเขาจะอยู่กันอย่างไร
ภาพที่เห็นนั้นคือ แม่เป็ดกางปีกห่อหุ่มลูกเอาไว้ ลูกเป็ด 9 ตัวซุกได้อย่างไรใต้ปีกของแม่เป็ดตัวเดียว

เสียดายถ่ายเป็น Video ไว้ แต่เป็น AVI เวบนี้ไม่ support


(http://www.cmadong.com/picup/201212/4807013676860128525370946.jpg)

(http://www.cmadong.com/picup/201212/822071367686013173123171.jpg)




หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Leam ที่ 05 พฤษภาคม 2556, 01:22:51

สวัสดียามดึกครับ... พี่ติ๋ม..พี่ปี๊ด..พี่เสียด..พี่ป้อม..พี่เหยง..พี่ทราย..น้องป๋าทู และพี่น้องทุกท่าน

เดี๋ยวจะไปหาคลิปดีๆมาโพสท์ที่นี้สักคลิป... ขออนุญาตครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Leam ที่ 05 พฤษภาคม 2556, 01:26:06

ตาดู หูฟัง... ใจสบาย


" มยุราภิรมย์ "

http://www.youtube.com/v/3AH1BU2kg88


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 05 พฤษภาคม 2556, 01:59:46
โอโห น้องแหลม
สุดยอดเลยคร้าบ
 emo6::)) emo43
น้องเราชอบแบบไทย ชื่นใจแท้

อ้างถึง
ข้อความของ Leam เมื่อ 05 พฤษภาคม 2556, 01:26:06

ตาดู หูฟัง... ใจสบาย


" มยุราภิรมย์ "

http://www.youtube.com/v/3AH1BU2kg88


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ti2521 ที่ 05 พฤษภาคม 2556, 09:54:22

.....สวัสดีครับ พี่ติ๋ม ตามชมแบบไทยๆครับ.....


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 05 พฤษภาคม 2556, 11:23:45
ภูมิใจมากที่น้องๆยังชอบสิ่งดีๆแบบไทยๆนะคะ

ที่นำมาฝากต่อไปนี้เป็นไทยเดิมแท้ๆ ไม่คอยมีคนนิยมฟัง นอกจากพวกเล่นดนตรีไทยเองและชาวต่างชาติทึ่งมากในความไพเราะอ่อนหวานของการเอื่อนเสียงร้องค่ะ

แขกขาว สองชั้น
ขับร้องโดย จันทรา สุขะวิริยะ ศิษย์อาจารย์เจริญใจ สุนทรวาทิน

บทร้องจากพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา
งามจริงยิ่งเทพนิมิต ให้คิดเสีดายเป็นหนักหนา
เสโทไหลหลั่งทั้งกายา สะบัดปลายเกศาเนืองไป
กรกอดอนุชาก็ตกลง จะรู้สึกองค์ก็หาไม่
แต่เวียนจูบสียะตรายาใจ สำคัญพระทัยว่าเทวี
ความรักรุมจิตพิศวง จนลืมองค์ลืมอายนางโฉมศรี
เป็นอารมณ์สมประดี ภูมีหลงขับขึ้นฉับพลันฯ

รูปภาพชมรมดนตรีไทย สจม.บรรเลงออกอากาศทางโทรทัศน์
จาก Facebook: Chidpong Songsermvorakul

http://www.youtube.com/watch?v=t8l5Hs80G6Q


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 07 พฤษภาคม 2556, 00:44:04

วันนี้ได้ฟังอาจารย์พราหมณ์จากวัดใน Australia เลยเอามาฝากเพื่อนพี่น้องค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=H_BMnJ1BdFk






หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 07 พฤษภาคม 2556, 05:23:25

เมื่อ 2-3 ปีก่อน เคยคิดเหมือนกันว่าทำอย่างไรจึงจะได้หยุดคิดสักพัก เพราะเหนื่อยเหลือเกิน

http://www.youtube.com/watch?v=qzR62JJCMBQ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: เริง2520 ที่ 07 พฤษภาคม 2556, 14:37:10

แบบไทยๆ สักสองภาพ  


ภาพการตักบาตรพระ 108  ที่อำเภอบางกรวย นนทบุรี เมือ 6 ธันวาคม ที่ผ่านมา เป็นการตักบาตรพระทางน้ำ

(http://www.cmadong.com/picup/201212/2043313679121572296253978.jpg)


(http://www.cmadong.com/picup/201212/726121367912667995101341.jpg)


มีหลายภาพในตามครูไปเที่ยว หน้า 15 ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 07 พฤษภาคม 2556, 21:53:02

ขอบคุณครับ
เด็กๆ ตอนปิดเทอม คุณแม่มักจะพาไปเยี่ยมญาติฝ่ายคุณแม่ที่คลองดำเนินสะดวก บรรยากาศคล้ายๆแบบนี้ครับ

อ้างถึง
ข้อความของ เริง2520 เมื่อ 07 พฤษภาคม 2556, 14:37:10

แบบไทยๆ สักสองภาพ  


ภาพการตักบาตรพระ 108  ที่อำเภอบางกรวย นนทบุรี เมือ 6 ธันวาคม ที่ผ่านมา เป็นการตักบาตรพระทางน้ำ

(http://www.cmadong.com/picup/201212/2043313679121572296253978.jpg)


(http://www.cmadong.com/picup/201212/726121367912667995101341.jpg)


มีหลายภาพในตามครูไปเที่ยว หน้า 15 ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 07 พฤษภาคม 2556, 22:03:42
เรื่องของธรรมชาติ กับการปรุงแต่ง
เธอผู้นี้ช่างพูดออกมาจากใจที่เป็นธรรมชาติ เต็มไปด้วยความจริงอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์สมัยนี้ เธออยู่ในอาชีพที่ต้องปรุงแต่งอยู่เป็นนิจ ชอบมากๆค่ะ เลยเอามาฝาก

http://www.youtube.com/watch?v=KM4Xe6Dlp0Y


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 08 พฤษภาคม 2556, 01:29:29
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม.......แสดงว่าน้องติ๋ม ได้เข้าไปดู  TED  บ่อยๆ ไม่ทราบว่าใช่ หรือเปล่า? พี่ปี๊ดก็เคย ดู หนักไปทาง
      สิ่งประดิษฐ์ และ เทคโนโลยี่    ถ้าจำไม่ผิดพี่ปิ๊ดเริ่มถาม ตัวเองว่า " ทำไมเราจึงต้องคิดอยู่ ตลอดเวลา หยุดคิดบ้าง
 ได้ไหม? "...ตอนอายุ 40 ปลายๆ....พี่ปิ๊ด เป็นเจ้าของทฤษฏี "จงอย่าพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่" เวลา สอนให้เด็ก ให้เป็น
  product designer "เมื่อท่านหยุดคิด ท่าน ตก งาน" สมัยนั้น เริ่มมองเห็น ความขัดแย้ง ทางศาสนา (การปล่อยวาง)
 กับ การเป็น ยอดนักคิด นักค้นคว้า และ นักประดิษฐ์ (ปล่อยวางไม่ได้)  ใช้เวลา มากกว่า 10 ปี จึงค่อยๆได้ คำตอบ โดย
 ยังเป็นนักคิดอยู่ และได้เรียนรู้หลักธรรมทาง ศาสนา เพิ่มขึ้น มีความสุขทางจิตใจมากขึ้น และยังคิดได้เหมือนเดิม ดีกว่า
 เดิม เร็วกว่าเดิม  ณ ปัจจุบัน ....ครับ น้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 08 พฤษภาคม 2556, 08:44:31
แล้วเวลาคุยอย่าลืมเรียกป้อมมาฟังด้วยนะคะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Leam ที่ 08 พฤษภาคม 2556, 18:46:44

สวัสดียามเย็นครับ... พี่ติ๋ม..พี่ปี๊ด..พี่ป้อม..พี่เสียด..พี่เหยง..พี่ทราย..พี่เริง..พี่ตี๋..น้องป๋าทู และพี่น้องทุกท่าน


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 08 พฤษภาคม 2556, 19:19:29
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 08 พฤษภาคม 2556, 08:44:31
แล้วเวลาคุยอย่าลืมเรียกป้อมมาฟังด้วยนะคะ
 น้องเจอกัน ถึงจะคุย มัน ครับ น้องป้อม คุยทาง webแถวนี้ มีคนเก่งเยอะ เขิน ครับ
  สวัสดี ครับ น้องแหลม....ทาท่างน้องต๋มจะยังไม่ตืน......สวัสดี ตอนเช้า ครับ น้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 08 พฤษภาคม 2556, 22:13:39

พี่ปี๊ด
ตื่นนานแล้วแต่ต้องทำหน้าที่ทางบ้านก่อนค่ะ ลูกทำงานทั้งคืน กลับบ้านเลยหิว และเหนื่อย คุณน้องเขยของพี่ปี๊ดต้องทานอาหารก่อนไปทำงาน
แล้วก็นั่งกับลูก คุยนิดหน่อยและส่วนใหญ่ดูหน้าให้ชื่นใจ มองเขาเผื่อคุณยายที่หมดสังขารจะมองหลานสุดที่รัก

 emo43  emo20:)):) emo9:huhu: emo2:)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 08 พฤษภาคม 2556, 22:25:35
สวัสดีอีกครั้งค่ะ... พี่ปี๊ด..พี่ป้อม..พี่เสียด..พี่เหยง..พี่ทราย..น้องแหลมฺ...น้องเริง..น้องตี๋..น้องป๋าทู และพี่น้องทุกท่าน (เลียนแบบ น้องแหลม)

เมื่อวานได้ฟังหลวงพ่อทอง วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ท่านบรรยายธรรมช้าๆ เสียงเบาๆ ดูเหมือนจะน่าเบื่อ
แต่เนื้อหาเต็มเพรียบ เรียนรู้จากท่านได้อย่างเต็มอิ่ม ฟังแล้วชื่นใจ แต่อย่างที่ท่านว่าคือ ฟังก็ได้แต่รู้ธรรม แต่จะไม่ถึงธรรมเลย ถ้าไม่ปฏิบัติอย่างจริงจัง

http://www.youtube.com/watch?v=tADZSssSBgU


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ทราย 16 ที่ 08 พฤษภาคม 2556, 22:38:49
จริงค่ะติ๋ม ต้องปฏิบัติจึงจะเห็นธรรม
อ่าน ฟังจากแหล่งผู้รู้และปฏิบัติค่ะ ได้ผลจริงๆ
ห้องนี้ของติ๋มมีประโยชน์มากค่ะ
จะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆน่ะคะ
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
 emo40:: emo40::


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 09 พฤษภาคม 2556, 01:11:14



วันวิสาขบูชา ขึ้น15 ค่ำ เดือน 6
วันวิสาขบูชา หนึ่งในวันสำคัญทางพุทธศาสนา และถือเป็นวันที่มหัศจรรย์ของชาวพุทธ เพราะได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า ขึ้นถึง 3 เหตุการณ์

โดยความมหัศจรรย์เนื่องในวันวิสาขบูชาทั้งสามคือ เป็นวันคล้ายวัน “ประสูติ” ของเจ้าชายสิทธัตถะ และต่อมาได้ “ตรัสรู้” เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงกอปรไปด้วย พระบริสุทธิคุณ , พระปัญญาคุณ ผู้ซึ่งได้ทรงสั่งสอนประกาศพระสัจธรรม คือความจริงของโลกแก่พหูชนทั้งปวง จวบจน “เสด็จดับขันธปรินิพพาน” ในวาระสุดท้าย ซึ่งทั้งสามเหตุการณ์ล้วนเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6 ทั้งสิ้น

ชาวพุทธจึงเรียกการบูชาในวันนี้ว่า วิสาขบูชา ซึ่งย่อมาจากคำว่า วิสาขปูรณมีบูชา การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ วิสาขบูชา มีการนับถือปฏิบัติกันในหลายประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งมหายานและเถรวาททุกนิกายมาช้านานแล้ว เป็นวันสำคัญของพุทธศาสนาโลก และด้วยเหตุนี้ที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติจึงยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็น วันสำคัญสากลนานาชาติ (International Day) หรือ วันสำคัญของโลก ตามคำประกาศของที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 54 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2542

พุทธชยันตี หมายถึง การครบรอบชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่มีต่อกิเลสทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา เมื่อ 2,600 ปีก่อน ทำให้พระนามว่า สัมมาสัมพุทธ ปรากฏขึ้นในโลก เป็นจุดเริ่มต้นแห่งหลักธรรม อริยสัจ (ความจริงอันประเสริฐ) ประกอบด้วย 4 ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค คือ อันเป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา ทำให้พุทธศาสนิกชนได้มีพระธรรมเป็นหลักแห่งการดำเนินชีวิต



วันวิสาขบูชา ปี 2556 นี้ ตรงกับวันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2556 ซึ่งเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า 3 ประการ คือ

วันประสูติ
ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ปรินิพพาน

ความหมาย คำว่า “วิสาขบูชา” หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 วิสาขบูชา ย่อมาจาก “วิสา – ขบุรณมีบูชา” แปลว่า “การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ” ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน 7

ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง 3 คราวคือ

1. ประสูติ

วันวิสาขบูชา เป็นวันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ณ ลุมพินีสถาน เมื่อ วันเพ็ญเดือน ๖ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาต จากพระสวามี ให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครเดิมของพระนาง เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า “สิทธัตถะ” ซึ่งต่อมาพระองค์ได้ออกบวช จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณอันประเสริฐสูงสุด) สำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงถือว่าวันนี้เป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้า

 

2. ตรัสรู้

วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ร่มพระศรีมหาโพธิบัลลังก์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี

การตรัสอริยสัจสี่ คือของจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ของพระพุทธเจ้า เป็นการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสของพระพุทธเจ้า จึงจัดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลกชาวพุทธทั่วไป จึงเรียกวันวิสาขบูชาว่า วันพระพุทธ(เจ้า) อันมีประวัติว่า พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า “ฌาน” เพื่อให้บรรลุ “ญาณ” จนเวลาผ่านไปจนถึง …

ยามต้น : ทรงบรรลุ “ปุพเพนิวาสานุติญาณ” คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น
ยามสอง : ทรงบรรลุ “จุตูปปาตญาณ” คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ยามสาม : ทรงบรรลุ “อาสวักขญาณ” คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจสี่ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา
ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ (อริยสัจ ๔) หรือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่…

ทุกข์ คือ ความลำบาก ความไม่สบายกายไม่สบายใจ
สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
นิโรธ คือ ความดับทุกข์ และ
มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์
ทั้ง ๔ ข้อนี้ถือเป็นสัจธรรม เรียกว่า อริยสัจ เพราะเป็นสิ่งที่พระอริยเจ้าทรงค้นพบ เป็นสัจธรรมชั้นสูง ประเสริฐกว่าสัจธรรมสามัญทั่วไป

3. ปรินิพพาน

วันวิสาขบูชา เป็นวันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ร่มไม้รัง (ต้นสาละ) คู่ ในสาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป)

การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลกเพราะชาวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีป ของโลก เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญชาวพุทธทั่วไปมีความเศร้าสลด เสียใจและอาลัยสุดจะพรรณนา อันมีประวัติว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมาเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก

ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีนั้น ได้มีปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อสุภัททะขอเข้าเฝ้า และได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสาวกองค์สุดท้าย เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด” หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น

ความสำคัญของ วันวิสาขบูชา

พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพานเวียนมาบรรจบในวันและเดือนเดียวกัน คือ วันเพ็ญเดือนวิสาขะ จึงถือว่าเป็นวันที่สำคัญของพระพุทธเจ้า หลักธรรมอันเกี่ยวเนื่องจากการประสูติ ตรัสรู้และเสด็จดับขันธปรินิพพาน คือ ความกตัญญู อริยสัจ ๔ และความไม่ประมาท

ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา เนื่องจากมีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓ อย่าง เกิดขึ้นในวันเดียวกันคือ ประสูติ ตรัสรู้ธรรม และปรินิพพาน วันวิสาขบูชาตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖

ชาวพุทธศาสนิกชนทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับ วันวิสาขบูชา นี้ และเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ สหประชาชาติได้ยอมรับญัตติที่ประชุม กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก และเป็นวันหยุดวันหนึ่งของสหประชาชาติ เพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญเนื่องในวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระบรมศาสดา เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติเมื่อ ๒๖๐๐ กว่าปี ล่วงมาแล้ว
พระ บิดาพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดาพระนามว่าพระนางสิริมหามายา ก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นเจ้าชายในราชสกุลโคตมะ แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย คำว่า ‘พุทธ’ หรือ ‘พุทธิ’ ในภาษาบาลีและสันสกฤตมีความหมายเหมือนกัน แปลว่า ปัญญา หรือ การตรัสรู้

จากคำสอนในพระไตรปิฎกกล่าวว่า วันวิสาขบูชา พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงเป็นผู้รู้สัจจธรรม และทรงมีพระญาณทัศนะกว้างไกลที่พระองค์ทรงรู้เห็นกำเนิด และความเป็นไปของสัตว์โลกตลอดภพสาม มีพระพุทธเจ้านับไม่ถ้วนพระองค์ได้อุบัติขึ้นในโลกนี้ เมื่อแต่ละพระองค์ตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐแล้ว ทรงสั่งสอนธรรมะเพื่อให้ชาวโลกพ้นจากวัฏสงสารด้วยมหากรุณา จากพระไตรปิฏก “อปทานสูตร และพุทธวงศ์” กล่าวถึงการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ นานนับอสงไขยกว่าที่จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ

แม้ในขุททกนิกาย ชาดก ได้เล่าการสร้างบารมีถึง ๕๔๗ ชาติของพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ มาตลอดกว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระชาติสุดท้าย เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเป็นผู้มีบุญที่เพียบพร้อมด้วยสติปัญญา และความเมตตา หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้เพียง ๗ วัน พระมารดาก็สวรรคต พระน้านางคือพระนางปชาบดีโคตมี เป็นผู้บำรุงเลี้ยงรักษา หลังจากประสูติได้ไม่นาน พระบิดาได้อัญเชิญอสิตดาบสมาทำนายอนาคตของเจ้าชายสิทธัตถะ อสิตดาบสแสดงอาการประหลาดต่อหน้าพระที่นั่งคือ หัวเราะและร้องไห้ หัวเราะเพราะดีใจที่ได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ และได้ทำนายว่าเจ้าชายจะตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน แต่ร้องไห้เพราะอสิตดาบสนั้นจะมีอายุไม่ยืนยาวทันรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์นี้ คำทำนายนี้ได้รับการยืนยันจาก โกณฑัญญะ ซึ่งเป็นดาบสอีกท่านหนึ่งที่ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะสละราชสมบัติ เมื่อผนวชแล้วจะบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ส่วนดาบสอื่นๆ ล้วนทำนายว่า ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่ทรงผนวช จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ คำทำนายดังกล่าวสร้างความตระหนกพระทัยแก่พระเจ้าสุทโธทนะเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงปรารถนาจะให้เจ้าชายสิทธัตถะปกครองแว่นแคว้นสืบทอดราชบัลลังก์ต่อ จากพระองค์ และเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ จึงทรงป้องกันเจ้าชายสิทธัตถะไม่ให้เห็นความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดต่าง ๆ ที่จะทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้สึกเบื่อหน่าย และอยากออกบวช

ด้วยเหตุนี้พระเจ้าสุทโธทนะ จึงทรงมีพระบัญชาให้เหล่าอำมาตย์เสนาบดี ช่วยกันสร้างปราสาทสามฤดูแก่เจ้าชาย ปราสาทแต่ละแห่งแวดล้อมด้วยเหล่าสนมกำนัลที่สวยงาม ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนทรงออกผนวช จึงเป็นชีวิตที่เพียบพร้อมด้วย รูปสมบัติ และทรัพย์สมบัติอย่างแท้จริง. เมื่อเจ้าชายทรงพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา พระมเหสีคือพระนางยโสธรา พิมพาประสูติพระโอรส พระนามว่า ราหุล วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงรถม้าประพาสสวนนอกเมือง ทรงเห็นคนแก่ คนป่วย คนตาย และนักบวช ภาพคนแก่ คนป่วย และคนตายทำให้พระองค์นึกถึงความทุกข์ และความไม่เที่ยงแท้ของสังขารมนุษย์ ต่อมา

เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงออกจากวัง ถือเพศเป็นนักบวชเที่ยวภิกขาจารไปเพื่อแสวงหาโมกขธรรม วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้ธรรม ณ ใต้ควงต้นพระศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะบรรลุธรรม เจ้าชายสิทธัตถะได้แสวงหาผู้สอนวิธีหลุดพ้นแก่พระองค์ ๒ คนคือ อาฬารดาบส และอุทกดาบส ซึ่งทั้งสองนี้สอนพระองค์ให้ได้ญานชั้นสูง แต่ไม่บรรลุธรรม เมื่อพระองค์บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงประกาศธรรม เผยแผ่คำสอนที่สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติตามพ้นทุกข์ตามพระองค์ไปได้ พระพุทธองค์ ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นเวลา ๔๕ ปี ทรงวางรากฐานพระพุทธศาสนา และมีพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ซึ่งในสมัยนั้นมีตั้งแต่ กษัตริย์ เจ้าชาย พ่อค้า แม่ค้า พราหมณ์ เศรษฐี ยาจกเข็ญใจ และชนทุกชั้นในสังคม

ประวัติความเป็นมาของวันวิสาขบูชาในประเทศไทย

วันวิสาขบูชานี้ ปรากฏตามหลักฐานว่า ได้มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งสันนิษฐานว่า คงจะได้แบบอย่าง มาจากลังกา กล่าวคือ เมื่อประมาณ พ.ศ. 420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาอย่าง มโหฬาร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา กษัตริย์ลังกาในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็ทรงดำเนินรอยตาม แม้ปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติอยู่ สมัยสุโขทัยนั้น ประเทศไทยกับประเทศลังกามีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนาใกล้ชิดกันมากเพราะ พระสงฆ์ชาวลังกา ได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเชื่อว่าได้นำการประกอบพิธีวิสาขบูชามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย

ในหนังสือนางนพมาศได้กล่าวบรรยากาศการประกอบพิธีวิสาขบูชาสมัยสุโขทัยไว้ พอสรุปใจความได้ว่า ” เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัยทั่วทุก หมู่บ้านทุกตำบล ต่างช่วยกันทำความสะอาด ประดับตกแต่งพระนครสุโขทัยเป็นการพิเศษ ด้วยดอกไม้ของหอม จุดประทีปโคมไฟแลดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นการอุทิศบูชาพระรัตนตรัย เป็นเวลา 3 วัน 3 คือ พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็น ก็เสด็จพระราช ดำเนิน พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ไปยังพระ อารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน

ส่วนชาวสุโขทัยชวนกันรักษาศีล ฟังธรรมเทศนา ถวายสลากภัต ถวายสังฆทาน ถวายอาหารบิณฑบาต แด่พระภิกษุ สามเณรบริจาคทรัพย์แจกเป็นทานแก่คนยากจน คนกำพร้า คนอนาถา คนแก่ คนพิการ บางพวกก็ชวนกันสละทรัพย์ ปล่อยสัตว์ 4 เท้า 2 เท้า และเต่า ปลา เพื่อชีวิตสัตว์ให้เป็นอิสระ โดยเชื่อว่าจะทำให้คนอายุ ยืนยาวต่อไป”

ในสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้วยอำนาจอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ เข้าครอบงำประชาชนคนไทย และมีอิทธิพลสูงกว่าอำนาจของพระพุทธศาสนา จึงไม่ปรากฎหลักฐานว่า ได้มีการประกอบพิธีบูชาในวันวิสาขบูชา จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2360) ทรงดำริกับ สมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ มีพระราชประสงค์จะให้ฟื้นฟู การประกอบพระราชพิธีวันวิสาขบูชาขึ้นใหม่ โดย สมเด็จพระสังฆราช ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรกในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2360 และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อมีพระประสงค์ให้ประชาชนประกอบการบุญการกุศล เป็นหนทางเจริญอายุ และอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากทุกข์โศกโรคภัย และอุปัทวันตรายต่างๆ โดยทั่วหน้ากัน

ฉะนั้น การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาในประเทศไทย จึงได้รื้อฟื้นให้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และถือปฏิบัติมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน

การจัดงานเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกยุค ทุกสมัย คงได้แก่การจัดงานเฉลิมฉลอง วันวิสาขบูชา พ.ศ.2500 ซึ่งทางราชการเรียกว่างาน ” ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ “ ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 18 พฤษภาคม รวม 7 วัน ได้จัดงานส่วนใหญ่ขึ้นที่ท้องสนามหลวง ส่วนสถานที่ราชการ และวัดอารามต่างๆ ประดับธงทิวและโคมไฟสว่างไสวไปทั่วพระ ราชอาณาจักร ประชาชนถือศีล 5 หรือศีล 8 ตามศรัทธาตลอดเวลา 7 วัน มีการอุปสมบทพระภิกษุสงฆ์รวม 2,500 รูป ประชาชน งดการฆ่าสัตว์ และงดการดื่มสุรา ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 14 พฤษภาคม รวม 3 วัน มีการก่อสร้าง พุทธมณฑล จัดภัตตาหาร เลี้ยงพระภิกษุสงฆ์วันละ 2,500 รูป ตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารแก่ประชาชน วันละ 200,000 คน เป็นเวลา 3 วัน ออกกฎหมาย สงวนสัตว์ป่าในบริเวณนั้น รวมถึงการฆ่าสัตว์ และจับสัตว์ในบริเวณวัด และหน้าวัดด้วย และได้มีการปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ อย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นกรณีพิเศษ ในวันวิสาขบูชาปีนั้นด้วย

หลักธรรมที่ควรปฏิบัติ ในวันวิสาขบูชา

กตัญญู กตเวที
ความกตัญญู คือ ความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว้ก่อนเป็นคุณธรรมคู่กับ ความกตเวที คือ การตอบแทนอุปการะคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้นผู้ที่ทำอุปการรคุณก่อนเรียกว่า บุพการี ขอยกมากล่าวในที่นี้คือ บิดามารดา และครูอาจารย์ บิดามารดา มีอุปการะคุณแก่บุตร ธิดา ในฐานะเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ให้การศึกษา อบรมสั่งสอน ให้ละเว้นจากความชั่ว มั่นคงในการทำความดี เมื่อถึงคราวมีคู่ครองได้จัดหาคู่ครอบที่เหมาะสมให้และมอบทรัพย์สมบัติให้ ไว้เป็นมรดก บุตร ธิดา
เมื่อรู้อุปการะคุณที่บิดามารดาทำไว้ย่อมตอบแทนด้วยการ ประพฤติตัวดี สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล เลี้ยงดูท่าน และช่วยทำงานของท่าน และเมื่อล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน ครูอาจารย์ มีอุปการะคุณแก่ศิษย์ในฐานะเป็นผู้ประสาทความรู้ให้ ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดีสอนศิลปวิทยาให้อย่างไม่ปิดบัง ยกย่องให้ปรากฎแก่คนอื่นและช่วยคุ้มครองศิษย์ทั้งหลาย ศิษย์เมื่อรู้อุปการคุณที่ครูอาจารย์ทำไว้ย่อมตอบแทนด้วยการตั้งใจเรียน ให้เกียรติ และให้ความเคารพไม่ล่วงละเมิดโอวาทของครู ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ถือว่าเป็นเครื่องหมายของคนดีส่งผลให้ครอบครัว และสังคมมีความสุขได้ เพราะบิดามารดาจะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการทำอุปการคุณให้ก่อน และบุตร ธิดา ก็จะรู้จัก หน้าที่ของตนเองด้วยการทำดีตอบแทน
สำหรับ ครูอาจารย์ก็จะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการทำอุปการคุณ คือ สอนศิลปวิทยาอย่างเต็มที่และศิษย์ก็จะรู้จักหน้าที่ของตนเอง ด้วยการตั้งใจเรียน และให้ความเคารพเป็นการตอบแทน นอกจากจะใช้ในกรณีของบิดามารดากับบุตรธิดา และครูอาจารย์กับศิษย์แล้ว คุณธรรมข้อนี้ก็สามารถนำไปใช้ได้แม้ระหว่าง พระมหากษัตริย์กับพสกนิกร นายจ้างกับลูกจ้าง เพื่อนกับเพื่อนและบุคคลทั่วไป รวมทั้งมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุพการีในฐานะที่ทรงสถาปนาพระพุทธศาสนาและทรงสอนทางพ้น ทุกข์ให้แก่เวไนย-สัตว์ พุทธศาสนิกชน รู้พระคุณอันนี้ จึงตอบแทนด้วยอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา กล่าวคือ การจัดกิจกรรมในวันวิสาขบูชา เป็นส่วนหนึ่งที่ชาวพุทธแสดงออก ซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ ด้วยการทำนุบำรุงส่งเสริม พระพุทธศาสนา และประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อดำรงอายุพระพุทธศาสนาสืบไป


อริยสัจ ๔
อริยสัจ คือ ความจริงอันประเสริฐ หมายถึง ความจริงที่ไม่ผันแปร เกิดมีได้แก่ทุกคนมี ๔ ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า มนุษย์ทุกคนมีทุกข์เหมือนกันทั้งทุกข์ขั้นพื้นฐานและทุกข์เกี่ยวกับการ ดำเนินชีวิตประจำวัน? ทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ ทุกข์ที่เกิดจากการเกิด การแก่ และการตาย ส่วนทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวันคือ ทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทุกข์ที่เกิดจากการประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ทุกข์ที่เกิดจากการไม่ได้ตามใจปรารถนา รวมทั้งทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตด้านต่างๆ สมุทัย คือ เหตุแห่งปัญหา พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์ทั้งหมด ซึ่งเป็นปัญหาของชีวิตล้วนมีเหตุให้เกิดเหตุนั้น คือ ตัณหา อันได้แก่ ความอยากได้ต่างๆ
ซึ่งประกอบไปด้วย ความยึดมั่น นิโรธ คือ การแก้ปัญหาได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิตทั้งหมดนั้นแก้ไขได้ โดยการดับตัณหา คือ ความอยากให้หมดสิ้น มรรค คือ ทางหรือวิธีแก้ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็ เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์คือปัญหาของชีวิตทั้งหมดที่สามารถแก้ไขได้นั้นต้องแก้ไขตามมรรคมีองค์ ๘

ความไม่ประมาท
ความไม่ประมาท คือ การมีสติทั้งขณะทำ ขณะพูดและขณะคิด สติ คือ การระลึกรู้ทัน ที่คิด พูดและทำ ในภาคปฏิบัติเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หมายถึงการระลึกรู้ทันการเคลื่อนไหวอิริยาบถ ๔ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน การฝึกให้เกิดสติ ทำได้โดยตั้งสติกำหนดการเคลื่อนไหวอิริยาบถกล่าวคือ ระลึกรู้ทันในขณะยืน เดิน นั่งและนอน รวมทั้งระลึกรู้ทันในขณะพูดขณะคิด และขณะทำงานต่างๆ
 

ในวันนี้พุทธศาสนิกชนต่างพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยการไปชุมนุมตามพระอารามต่าง ๆ เพื่อกระทำการบูชาปูชนียวัตถุอันได้แก่ พระธาตุเจดีย์หรือพระพุทธปฏิมา ที่เป็นพระประธานในพระอุโบสถอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยเครื่องบูชามีดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น เริ่มด้วยการสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ด้วยบทสวดมนต์ตามลำดับดังนี้คือ

บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ

สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ. บทสรรเสริญ พระสังฆคุณ

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ

จากนั้นก็จะกระทำ ประทักษิณ หรือที่เรียกว่า เวียนเทียน รอบพระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธปฎิมาในพระอุโบสถ ด้วยการเดินเวียนขวาสามรอบ รอบแรกจะสวดบทสรรเสริญพระพุทธคุณ รอบที่สองจะสวดบทสรรเสริญพระธรรมคุณ และรอบที่สามสวดบทสรรเสริญพระสังฆคุณ เมื่อครบ 3 รอบแล้วจึงนำดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธรูปในพระอุโบสถ ณ ที่บูชาอันควรเป็นอันเสร็จพิธีเวียนเทียน

จากนั้นก็จะมีการแสดงพระธรรมเทศนาในพระอุโบสถ ซึ่งปกติจะมีเทศน์ ปฐมสมโพธิ ซึ่งเป็นเรื่องพระพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน พิธีเริ่มตั้งแต่ประชุมฟังพระทำวัตรสวดมนต์ แล้วจึงฟังเทศน์ซึ่งจะมีไปตลอดรุ่ง

วันวิสาขบูชาจึงเป็นวันที่พุทธศาสนิกชน ได้บำเพ็ญประโยชน์ตน และสืบต่อพระพุทธศาสนา ให้ดำรงคงอยู่อย่างถูกต้องตรงทาง เพื่อประโยชน์สุขของตนและของผู้อื่นตลอดชั่วกาลนาน…..


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 09 พฤษภาคม 2556, 02:07:19

พี่ปี๊ดขา
ชอบฟัง TED ค่ะ เพราะเขามีหัวข้อหลากหลาย น่าสนใจ ไม่เฉพาะเจาะจงทางใดทางหนึ่ง ชอบเรียนรู้อะไรๆใหม่ๆบ้าง เก่าๆบ้าง ไม่เห็นเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม ถ้าคิดให้ถูก ย่อมเป็นประโยชน์ ไม่ว่าเรื่องใดทั้งสิ้น กระมังคะ

ท่าทางจะเห็นว่าพี่ปี๊ดได้ไปไกลมากแล้ว เริ่มมานานกว่าติ๋มมาก จนดูเหมือนพี่มีธรรมะเหมือนมีข้าวสุกหอมมะลิในจานวางใว้ตรงหน้า พร้อมที่พี่จะรับประทาน ส่วนติ๋มนั้นยังฝึกขั้นแรกๆให้จิตสงบก่อน คงยังอยู่ในขั้นหว่านเมล็ดข้าวเปลือก ลงในที่นาที่ติ๋มได้มีการจัดเตรียมดินมาระยะหนึ่ง (ฟัง อ่าน เริ่มปฏิบัติ)) และยังมีอีกหลายขั้นตอนนักกว่าที่ติ๋มจะถึงขั้นเดียวกับพี่ปี๊ดผู้มีข้าวสวยพร้อมให้รับประทานอยู่ในจานลายสวย

ตอบช้าไปหน่อยเพราะมั่วไปปลูกข้าวค่ะ

เอาคำสอนหลวงตาบัวมาฝากไว้เผื่อพี่ๆน้องๆมีเวลาฟังค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=rqLhXoSdSZU



อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 08 พฤษภาคม 2556, 01:29:29
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม.......แสดงว่าน้องติ๋ม ได้เข้าไปดู  TED  บ่อยๆ ไม่ทราบว่าใช่ หรือเปล่า? พี่ปี๊ดก็เคย ดู หนักไปทาง
      สิ่งประดิษฐ์ และ เทคโนโลยี่    ถ้าจำไม่ผิดพี่ปิ๊ดเริ่มถาม ตัวเองว่า " ทำไมเราจึงต้องคิดอยู่ ตลอดเวลา หยุดคิดบ้าง
 ได้ไหม? "...ตอนอายุ 40 ปลายๆ....พี่ปิ๊ด เป็นเจ้าของทฤษฏี "จงอย่าพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่" เวลา สอนให้เด็ก ให้เป็น
  product designer "เมื่อท่านหยุดคิด ท่าน ตก งาน" สมัยนั้น เริ่มมองเห็น ความขัดแย้ง ทางศาสนา (การปล่อยวาง)
 กับ การเป็น ยอดนักคิด นักค้นคว้า และ นักประดิษฐ์ (ปล่อยวางไม่ได้)  ใช้เวลา มากกว่า 10 ปี จึงค่อยๆได้ คำตอบ โดย
 ยังเป็นนักคิดอยู่ และได้เรียนรู้หลักธรรมทาง ศาสนา เพิ่มขึ้น มีความสุขทางจิตใจมากขึ้น และยังคิดได้เหมือนเดิม ดีกว่า
 เดิม เร็วกว่าเดิม  ณ ปัจจุบัน ....ครับ น้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 09 พฤษภาคม 2556, 02:10:58
ขอบคุณครับน้องพธู มาช่วยทำให้กระทู้นี้มีคุณค่าชวนอ่านมากขึ้น
 :)like :)like


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 10 พฤษภาคม 2556, 00:30:47

สวัสดีครับพี่ติ๋ม และสมาชิกญาติธรรมทุกท่าน
เพิ่งหาทางเข้าบ้านธรรมของพี่ติ๋มเจอครับ
ยังอ่านได้ไม่ครบ...อย่างละเอียด
ขอบคุณพี่ติ๋มที่เปิดกระทู้ที่มีประโยชน์กับพวกเราครับ...



 emo6::)) emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 10 พฤษภาคม 2556, 01:03:23
น้องหนุนครับ
วันนี้วันพระไปแล้ว เอาเรื่องของถือศีลแบบเพลงฉ่อยมาฝาก

http://www.youtube.com/watch?v=uv4G0ku3Ado


ขำๆสักหน่อย อย่าว่าพี่ติ๋มเลอะเทอะเลยนะคร้าบ

อ้างถึง
ข้อความของ หนุน'21 เมื่อ 10 พฤษภาคม 2556, 00:30:47

สวัสดีครับพี่ติ๋ม และสมาชิกญาติธรรมทุกท่าน
เพิ่งหาทางเข้าบ้านธรรมของพี่ติ๋มเจอครับ
ยังอ่านได้ไม่ครบ...อย่างละเอียด
ขอบคุณพี่ติ๋มที่เปิดกระทู้ที่มีประโยชน์กับพวกเราครับ...



 emo6::)) emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Dtoy16 ที่ 10 พฤษภาคม 2556, 15:58:06
       สวัสดีจ๊ะติ๋ม      ต้อยเพิ่งเข้ามาเยี่ยมในกระทู้นี้ มีอะไรที่ธรรมชาติ และเป็นธรรมดาเติมธรรมะให้ชีวิต
                           ชอบข้อคิดเห็นของพี่ปิ๊ด ติ๋มและหลายๆคนส่วนต้อยยังต้องออกแรง(ขุด คุ้ย)ความรู้สึกและข้อคิดเห็น
                           ติดไว้ก่อนน่ะติ๋ม 


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: wannee ที่ 10 พฤษภาคม 2556, 18:36:39


จะคอยติดตามอ่านนะคะต้อย  emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 10 พฤษภาคม 2556, 19:40:21
ธรรมชาติหลังบ้านค่ะ
ยามฝนกตก อากาศหนาวเย็น แม่เป็ดกับลูก 9 ตัว เขาอยู่กันอย่างไร
เอาภาพธรรมชาติของความเป็นแม่และพ่อมาฝากค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=RkntyxItEXI

ส่วนพ่อก็ตามปกป้องอยู่ข้างหลังยามออกหากินกัน


(http://www.cmadong.com/picup/201212/7597413682018847036354066.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 11 พฤษภาคม 2556, 04:23:31
Sam Harris  เดินทางมา Asian Countries เขามาเจอสิ่งที่เป็นความสุขที่แท้จริง คืออยู่กับปัจจุบัน ซึ่งฟังดูเหมือนง่าย แต่ทำยาก

http://www.youtube.com/watch?v=ckUw79xG0fg

http://www.youtube.com/watch?v=T3JzcCviNDk

http://www.youtube.com/watch?v=h1cnR9rfk6I


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ทราย 16 ที่ 11 พฤษภาคม 2556, 08:17:45
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 09 พฤษภาคม 2556, 02:10:58
ขอบคุณครับน้องพธู มาช่วยทำให้กระทู้นี้มีคุณค่าชวนอ่านมากขึ้น
 :)like :)like
น้องพธูให้ข้อมูลดีมากๆค่ะ
 :)like :)like :)like


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 11 พฤษภาคม 2556, 10:02:27
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
            พี่ปิ๊ด ทำแค่ ดู VDO ของ คุณ Sam Harris 3 ตอน เท่าที่ น้องติ่ม post มาให้ชมแค่ นี้ ไม่ได้ไป ค้นต่อ เพิ่มเติม
สงสัยกลุ่ม Atheist ว่าเป็น อย่างไร? แล้วก็คุณ sam เขาเข้าใจ พุทธ แค่ไหน? จาก 3 VDO เหมือนกับว่า เขายังไม่พัฒนาจิตไปถึงไหนเลย  แน่นอน เมื่อ ท่านใดนั้งสมาธิ หยุด ความคิดทั้งหมด ยอมเกิด สุข แต่เป็นสุขแบบ เหยียบหยุดไว้ (ชั่วคราว)
คุณ sam  แกอยู่ที่ สมถะ (สมาธิ) แค่ นั้นเอง (จาก 3เทปนี้) ยังไม่ขึ้น วิปัสสนากรรมฐาน เลย ผู้ปฏิบัติธรรม ในเมืองไทย
 เราก็มีแค่คุณ sam เยอะมาก.........ยังอีกไกล บันไดขั้นแรกของโสดาบัน ก็ยังไปไม่ถึง เลย ครับ (เน้น แค่ 3 เทปนี้เท่านั้น)
 น้อง ติ๋ม...ถ้าเอาแค่นี้... เสียดาย ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ (เสียเวลาและเสียโอกาส) ไม่รู้จะได้เกิดอีก หรือเปล่า? อาจจะอีกเป็น พันๆ ปี
 การได้เกิดเป็นมนุษย์ นั้น ยากมาก เพราะยังมีอีก 30 ภพภูมิ ที่เราได้ สิทธิ์ จากกรรมที่ได้สะสมบน ภพมนุษย์เท่านั้น (หนึ่งใน
 สามสิบเอ็ด ภพภูมิ)ไปเวียนเกิด  =  อีก 30 เสวยกรรมสะสม อย่างเดียว......ครับน้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ทราย 16 ที่ 11 พฤษภาคม 2556, 11:21:31
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 10 พฤษภาคม 2556, 19:40:21
ธรรมชาติหลังบ้านค่ะ
ยามฝนกตก อากาศหนาวเย็น แม่เป็ดกับลูก 9 ตัว เขาอยู่กันอย่างไร
เอาภาพธรรมชาติของความเป็นแม่และพ่อมาฝากค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=RkntyxItEXI

ส่วนพ่อก็ตามปกป้องอยู่ข้างหลังยามออกหากินกัน


(http://www.cmadong.com/picup/201212/7597413682018847036354066.jpg)
น่ารักอย่างซาบซึ้งค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 11 พฤษภาคม 2556, 13:11:28
(http://www.cmadong.com/picup/201212/7316713682526484089123159.jpg)
เด๋วนี้มีมุมมองเกี่ยวกับสถานะทางเพศมากขึ้น


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Leam ที่ 11 พฤษภาคม 2556, 18:29:02

สวัสดียามเย็นครับ...

พี่ติ๋ม..พี่ปี๊ด..พี่ทราย..พี่เสียด..พี่ต้อย..พี่ป้อม..พี่เริง..พี่หนุน..พี่ตี๋..น้องป๋าทู และพี่น้องทุกท่าน


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 11 พฤษภาคม 2556, 21:25:43
สวัสดีค่าน้องแหลม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 11 พฤษภาคม 2556, 21:54:41
ได้เริ่มจากสมถะก่อนยังดีกว่าไม่เคยคิดจะเริ่มเลยใช่ไหมคะ ถ้ามีวิริยะวิปัสสนาก็จะได้ทำต่อไปอย่างถูกต้อง
ติ๋มขอกลับมาเป็นคนใจเย็นช้าๆเหมือนตอนเป็นเด็กเช่นน้องของพี่ปี๊ดที่หอซีมะโด่งก่อน
ขอไม่โลดเต้นวิ่งข้ามขั้น เพราะที่ผ่านมา 34 ปีมันเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีสติบ้าง ไม่มีสติบ้าง ตามสภาพเพื่อจุดมุ่งหมายของชีวิตที่ขึ้นอยู่กับความเป็นไปภายนอก จนไม่มีเวลาดูแลจิตของตัวเองให้สงบโดยไม่คิดได้เลย
บัดนี้ขอพี่ปี๊ดใจเย็นๆกับน้องที่ยังเดินเตาะแตะ ถ้าบุญมีพอก็จะได้ถึงจุดที่พี่ปี๊ดอยู่ตอนนี้ค่ะ ไม่หวังหรือต้องการอะไรมาก แค่มีโอกาสได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง

ที่เอา VDO Atheist มาก็เพราะสนใจที่พวกที่เข้าไม่เชื่อใน God เขามาทำตามทางพระพุทธเจ้า แต่อาจจะยังติดอยู่ที่สมถะแต่ของแบบนี้ push กันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องลึกซึ้ง ใครไม่ได้ปฏิบัติก็จะไม่เข้าใจ ท่านจึงบอกว่าอย่าเชื่อ ให้ทำเอง รู้เอง เห็นธรรมเอง จริงไหมคะ พี่ปี๊ด

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 11 พฤษภาคม 2556, 10:02:27
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
            พี่ปิ๊ด ทำแค่ ดู VDO ของ คุณ Sam Harris 3 ตอน เท่าที่ น้องติ่ม post มาให้ชมแค่ นี้ ไม่ได้ไป ค้นต่อ เพิ่มเติม
สงสัยกลุ่ม Atheist ว่าเป็น อย่างไร? แล้วก็คุณ sam เขาเข้าใจ พุทธ แค่ไหน? จาก 3 VDO เหมือนกับว่า เขายังไม่พัฒนาจิตไปถึงไหนเลย  แน่นอน เมื่อ ท่านใดนั้งสมาธิ หยุด ความคิดทั้งหมด ยอมเกิด สุข แต่เป็นสุขแบบ เหยียบหยุดไว้ (ชั่วคราว)
คุณ sam  แกอยู่ที่ สมถะ (สมาธิ) แค่ นั้นเอง (จาก 3เทปนี้) ยังไม่ขึ้น วิปัสสนากรรมฐาน เลย ผู้ปฏิบัติธรรม ในเมืองไทย
 เราก็มีแค่คุณ sam เยอะมาก.........ยังอีกไกล บันไดขั้นแรกของโสดาบัน ก็ยังไปไม่ถึง เลย ครับ (เน้น แค่ 3 เทปนี้เท่านั้น)
 น้อง ติ๋ม...ถ้าเอาแค่นี้... เสียดาย ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ (เสียเวลาและเสียโอกาส) ไม่รู้จะได้เกิดอีก หรือเปล่า? อาจจะอีกเป็น พันๆ ปี
 การได้เกิดเป็นมนุษย์ นั้น ยากมาก เพราะยังมีอีก 30 ภพภูมิ ที่เราได้ สิทธิ์ จากกรรมที่ได้สะสมบน ภพมนุษย์เท่านั้น (หนึ่งใน
 สามสิบเอ็ด ภพภูมิ)ไปเวียนเกิด  =  อีก 30 เสวยกรรมสะสม อย่างเดียว......ครับน้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 11 พฤษภาคม 2556, 22:05:13
Interesting!

อ้าว!  พี่ติ๋มกำลังฝึกไปในทางตรงกันข้ามกับความเป็นไปในปัจจุบันนะซีคะ
กำลังฝึกให้มองทุกคนแบบไม่มีเพศ มนุษย์เหมือนกันหมด ไม่มีสีผิว ไม่มีเพศ
สงสัยทวนกะแส มากไปไหม หรือ คนเดี๋ยวนี้ทางเลือกเยอะ ปรุงแต่ง (สังขาร) มีมากขึ้น
???


อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 11 พฤษภาคม 2556, 13:11:28
(http://www.cmadong.com/picup/201212/7316713682526484089123159.jpg)
เด๋วนี้มีมุมมองเกี่ยวกับสถานะทางเพศมากขึ้น


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 11 พฤษภาคม 2556, 23:31:57
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 11 พฤษภาคม 2556, 21:54:41
ได้เริ่มจากสมถะก่อนยังดีกว่าไม่เคยคิดจะเริ่มเลยใช่ไหมคะ ถ้ามีวิริยะวิปัสสนาก็จะได้ทำต่อไปอย่างถูกต้อง
ติ๋มขอกลับมาเป็นคนใจเย็นช้าๆเหมือนตอนเป็นเด็กเช่นน้องของพี่ปี๊ดที่หอซีมะโด่งก่อน
ขอไม่โลดเต้นวิ่งข้ามขั้น เพราะที่ผ่านมา 34 ปีมันเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีสติบ้าง ไม่มีสติบ้าง ตามสภาพเพื่อจุดมุ่งหมายของชีวิตที่ขึ้นอยู่กับความเป็นไปภายนอก จนไม่มีเวลาดูแลจิตของตัวเองให้สงบโดยไม่คิดได้เลย
บัดนี้ขอพี่ปี๊ดใจเย็นๆกับน้องที่ยังเดินเตาะแตะ ถ้าบุญมีพอก็จะได้ถึงจุดที่พี่ปี๊ดอยู่ตอนนี้ค่ะ ไม่หวังหรือต้องการอะไรมาก แค่มีโอกาสได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง

ที่เอา VDO Atheist มาก็เพราะสนใจที่พวกที่เข้าไม่เชื่อใน God เขามาทำตามทางพระพุทธเจ้า แต่อาจจะยังติดอยู่ที่สมถะแต่ของแบบนี้ push กันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องลึกซึ้ง ใครไม่ได้ปฏิบัติก็จะไม่เข้าใจ ท่านจึงบอกว่าอย่าเชื่อ ให้ทำเอง รู้เอง เห็นธรรมเอง จริงไหมคะ พี่ปี๊ด

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 11 พฤษภาคม 2556, 10:02:27
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
            พี่ปิ๊ด ทำแค่ ดู VDO ของ คุณ Sam Harris 3 ตอน เท่าที่ น้องติ่ม post มาให้ชมแค่ นี้ ไม่ได้ไป ค้นต่อ เพิ่มเติม
สงสัยกลุ่ม Atheist ว่าเป็น อย่างไร? แล้วก็คุณ sam เขาเข้าใจ พุทธ แค่ไหน? จาก 3 VDO เหมือนกับว่า เขายังไม่พัฒนาจิตไปถึงไหนเลย  แน่นอน เมื่อ ท่านใดนั้งสมาธิ หยุด ความคิดทั้งหมด ยอมเกิด สุข แต่เป็นสุขแบบ เหยียบหยุดไว้ (ชั่วคราว)
คุณ sam  แกอยู่ที่ สมถะ (สมาธิ) แค่ นั้นเอง (จาก 3เทปนี้) ยังไม่ขึ้น วิปัสสนากรรมฐาน เลย ผู้ปฏิบัติธรรม ในเมืองไทย
 เราก็มีแค่คุณ sam เยอะมาก.........ยังอีกไกล บันไดขั้นแรกของโสดาบัน ก็ยังไปไม่ถึง เลย ครับ (เน้น แค่ 3 เทปนี้เท่านั้น)
 น้อง ติ๋ม...ถ้าเอาแค่นี้... เสียดาย ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ (เสียเวลาและเสียโอกาส) ไม่รู้จะได้เกิดอีก หรือเปล่า? อาจจะอีกเป็น พันๆ ปี
 การได้เกิดเป็นมนุษย์ นั้น ยากมาก เพราะยังมีอีก 30 ภพภูมิ ที่เราได้ สิทธิ์ จากกรรมที่ได้สะสมบน ภพมนุษย์เท่านั้น (หนึ่งใน
 สามสิบเอ็ด ภพภูมิ)ไปเวียนเกิด  =  อีก 30 เสวยกรรมสะสม อย่างเดียว......ครับน้องติ๋ม
   สวัสดี น้องติ๋ม พี่ปิ๊ดเข้าใจที่ น้องติ๋ม เขียนตอบ ครับ.....2500 กว่าปี ศาสนา ได้แตกสาขา วิธีการปฏิบัติ ความเข้าใจ
 ในคำสอน ความเชื่อ ความหลง ออกไปอีกมากมาย.....เพราะฉนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า วิธีไหน? คือทางสายตรง ไปสู่
  เป้าหมาย ได้สั้นที่สุด ดีที่สุด และ เร็วที่สุด .......ถ้าเรารู้ เราควรจะเลือกทางนั้น เพราะชีวิตไม่แน่นอน เราอาจจะอยู่ได้
 เพียงวันเดียวหลังจากวันนี้ หรือ อีก ปี สองปี ฯลฯ ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งตัวเราเอง.....เมื่อตนเองยังมีเวลาอยู่บนโลกนี้ ให้
 รีบ ปฏิบัติ ...และไปให้ถูกทาง จะไม่เนิ่นช้า ......ครับ ไม่สงสัยเลยหรือว่า?ในพุทธกาล ทำไมคนบรรลุธรรมกันง่ายๆ ....เมื่อได้
 ฟังธรรมะ จากพระโอษฐ์ โดยตรง...?  emo26:D emo26:D


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 11 พฤษภาคม 2556, 23:44:52

พี่ปี๊ด ครูผู้ใจดี
ขอพูดเรื่องการปฏิบัติส่วนตัวนิดหนึ่ง ทีแรกก็ไม่อยากเอาสิ่งที่ติ๋มทำมาเสนอแต่เพียงอย่างเดียว กลัวเป็นการอวดรู้ เพราะยังไม่รู้ เลยเอามุมมองกว้างๆมาไว้
แต่ไม่อยากให้พี่ปี๊ดเป็นห่วงว่าน้องจะเดินผิดทาง เลยขอมาพูดถึงตัวติ๋มเองทีหนึ่งนะคะ น้องได้ทางจากวัดมหาธาตุ (ท่านเจ้าคุณชาดก) ฟังจากเทปเก่าของท่าน และท่านอาจารย์ทอง วัดจอมทองเชียงใหม่ พี่ปี๊ดว่าอย่างไรคะ ดีไหม ปรึกษานะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 11 พฤษภาคม 2556, 23:31:57
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 11 พฤษภาคม 2556, 21:54:41
ได้เริ่มจากสมถะก่อนยังดีกว่าไม่เคยคิดจะเริ่มเลยใช่ไหมคะ ถ้ามีวิริยะวิปัสสนาก็จะได้ทำต่อไปอย่างถูกต้อง
ติ๋มขอกลับมาเป็นคนใจเย็นช้าๆเหมือนตอนเป็นเด็กเช่นน้องของพี่ปี๊ดที่หอซีมะโด่งก่อน
ขอไม่โลดเต้นวิ่งข้ามขั้น เพราะที่ผ่านมา 34 ปีมันเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีสติบ้าง ไม่มีสติบ้าง ตามสภาพเพื่อจุดมุ่งหมายของชีวิตที่ขึ้นอยู่กับความเป็นไปภายนอก จนไม่มีเวลาดูแลจิตของตัวเองให้สงบโดยไม่คิดได้เลย
บัดนี้ขอพี่ปี๊ดใจเย็นๆกับน้องที่ยังเดินเตาะแตะ ถ้าบุญมีพอก็จะได้ถึงจุดที่พี่ปี๊ดอยู่ตอนนี้ค่ะ ไม่หวังหรือต้องการอะไรมาก แค่มีโอกาสได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง

ที่เอา VDO Atheist มาก็เพราะสนใจที่พวกที่เข้าไม่เชื่อใน God เขามาทำตามทางพระพุทธเจ้า แต่อาจจะยังติดอยู่ที่สมถะแต่ของแบบนี้ push กันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องลึกซึ้ง ใครไม่ได้ปฏิบัติก็จะไม่เข้าใจ ท่านจึงบอกว่าอย่าเชื่อ ให้ทำเอง รู้เอง เห็นธรรมเอง จริงไหมคะ พี่ปี๊ด

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 11 พฤษภาคม 2556, 10:02:27
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
            พี่ปิ๊ด ทำแค่ ดู VDO ของ คุณ Sam Harris 3 ตอน เท่าที่ น้องติ่ม post มาให้ชมแค่ นี้ ไม่ได้ไป ค้นต่อ เพิ่มเติม
สงสัยกลุ่ม Atheist ว่าเป็น อย่างไร? แล้วก็คุณ sam เขาเข้าใจ พุทธ แค่ไหน? จาก 3 VDO เหมือนกับว่า เขายังไม่พัฒนาจิตไปถึงไหนเลย  แน่นอน เมื่อ ท่านใดนั้งสมาธิ หยุด ความคิดทั้งหมด ยอมเกิด สุข แต่เป็นสุขแบบ เหยียบหยุดไว้ (ชั่วคราว)
คุณ sam  แกอยู่ที่ สมถะ (สมาธิ) แค่ นั้นเอง (จาก 3เทปนี้) ยังไม่ขึ้น วิปัสสนากรรมฐาน เลย ผู้ปฏิบัติธรรม ในเมืองไทย
 เราก็มีแค่คุณ sam เยอะมาก.........ยังอีกไกล บันไดขั้นแรกของโสดาบัน ก็ยังไปไม่ถึง เลย ครับ (เน้น แค่ 3 เทปนี้เท่านั้น)
 น้อง ติ๋ม...ถ้าเอาแค่นี้... เสียดาย ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ (เสียเวลาและเสียโอกาส) ไม่รู้จะได้เกิดอีก หรือเปล่า? อาจจะอีกเป็น พันๆ ปี
 การได้เกิดเป็นมนุษย์ นั้น ยากมาก เพราะยังมีอีก 30 ภพภูมิ ที่เราได้ สิทธิ์ จากกรรมที่ได้สะสมบน ภพมนุษย์เท่านั้น (หนึ่งใน
 สามสิบเอ็ด ภพภูมิ)ไปเวียนเกิด  =  อีก 30 เสวยกรรมสะสม อย่างเดียว......ครับน้องติ๋ม
    สวัสดี น้องติ๋ม พี่ปิ๊ดเข้าใจที่ น้องติ๋ม เขียนตอบ ครับ.....2500 กว่าปี ศาสนา ได้แตกสาขา วิธีการปฏิบัติ ความเข้าใจ
 ในคำสอน ความเชื่อ ความหลง ออกไปอีกมากมาย.....เพราะฉนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า วิธีไหน? คือทางสายตรง ไปสู่
  เป้าหมาย ได้สั้นที่สุด ดีที่สุด และ เร็วที่สุด .......ถ้าเรารู้ เราควรจะเลือกทางนั้น เพราะชีวิตไม่แน่นอน เราอาจจะอยู่ได้
 เพียงวันเดียวหลังจากวันนี้ หรือ อีก ปี สองปี ฯลฯ ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งตัวเราเอง.....เมื่อตนเองยังมีเวลาอยู่บนโลกนี้ ให้
 รีบ ปฏิบัติ ...และไปให้ถูกทาง จะไม่เนิ่นช้า ......ครับ ไม่สงสัยเลยหรือว่า?ในพุทธกาล ทำไมคนบรรลุธรรมกันง่ายๆ ....เมื่อได้
 ฟังธรรมะ จากพระโอษฐ์ โดยตรง...?  emo26:D emo26:D


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 12 พฤษภาคม 2556, 01:58:06

สวัสดีค่ะเพื่อนพี่น้อง

วันนี้มาชวนฟังหลวงพ่อพุธ ฐานิโย กันนะคะ ท่านพูดถึง ธรรมมะ กับ กายและใจ

http://www.youtube.com/watch?v=Z9SmSIFNigs


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 12 พฤษภาคม 2556, 03:22:35
พี่ปิ๊ด เอง ซิ ที่ต้องไม่กล้าบอก น้องติ๋มนะถามได้
       เพราะพี่ปิ๊ดเป็นพวก อุตตริ  (ตอนเล็กๆ ถูกครูด่าบ่อย ฮะฮะ ก็ยอมรับ กันไป ไม่ได้เปลียนแปลงนะ) ต่างหาก และเริ่ม
 ลึกซึ้งขึ้น พี่อาจต้องใช้วิธี บอกน้องหลังไม ดีครับที่น้องติ๋ม ขยาย ความส่วนตัว จำที่พี่ปิ๊ดแหย่ได้ไหม ว่า "จากพระอาจารย์
 ที่น้องติ๋มศึกษา พี่ปิ๊ด ต้องใช้เวลาอีกเป็นปี กว่าจะกลับมาคุยกับ น้องติ๋ม รู้เรื่อง" มันเป็น จริงเช่นนั้น .....แต่ด้วยปัจจัยบาง
 อย่าง ธรรมะก็เลย จัดให้ น้องติ๋มพูดออกมา......พี่ปิ๊ดเลย รู้จัก น้องติ๋มเพิ่ม ขึ้น และกล้าที่จะ บอกอะไรบางอย่าง ... เป็น
 Tectic ครับ ไม่ใช่ Technics .....พี่ปิ๊ด ต้องถือว่า น้องติ๋ม กับพี่ปิ๊ด เริ่มที่พระอาจารย์ องค์เดียวกัน      พระอาจารย์...
  โชดก วัดมหาธาตุ ข้างธรรมศาสตร์  
  ถ้าได้เริ่ม ปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่มีอะไรผิดทาง ครับ .....เดี๋ยวขอเวลาเรียบเรียง สมองนิดหนึ่ง จะขยายความหลังไม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา ของแม่
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 13 พฤษภาคม 2556, 07:41:20
วันนี้เป็นวันแม่ที่ US ค่ะ

ธรรมชาติของผู้เป็นแม่นั้น ต่อให้ใครต่อใครชมว่าเธอเป็นแม่ที่ดีนั้น จะไม่ชื่นใจมากเท่าที่ลูกบอกแม่เอง

(http://www.cmadong.com/picup/201212/8345113684057446090015624.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 13 พฤษภาคม 2556, 07:52:03
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 13 พฤษภาคม 2556, 07:41:20

วันนี้เป็นวันแม่ที่ US ค่ะ

ธรรมชาติของผู้เป็นแม่นั้น ต่อให้ใครต่อใครชมว่าเธอเป็นแม่ที่ดีนั้น จะไม่ชื่นใจมากเท่าที่ลูกบอกแม่เอง


   Happy Mom's Day  (USA)ครับ น้องติ๋ม ........เป็นวันที่ พ่อ เป็นไม่ได้ ในชาติ นี้ ถึงแม้ว่า พ่อ จะเป็นผู้เลี้ยงลูกหรือรับเอาลูกคนอื่นเขามาเลี้ยงตั้งแต่เกิด.....ความเป็น แม่ กับ ลูก มีอะไร ที่ยิ่งใหญ่ นอกเหนือ กว่าสิ่งที่ ตา มองเห็น...... ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 13 พฤษภาคม 2556, 11:48:00
พี่ปี๊ดไม่ต้องรีบร้อนค่ะ ติ๋มรอให้พี่ปี๊ดเรียบเรียงขยายความได้เสมอ นานก็จะรอ เพราะเรื่องนี้ใจร้อนไม่ได้ ติ๋มไม่ได้นึกด้วยซ้ำว่าพี่ปี๊ดแหย่ เพราะติ๋มเองนั่งฟังนอนฟังจากท่านทั้งหลายเหล่านั้นมาเกือบสองปี กว่าจะหาทางที่ตรงจริตได้จริงๆ ในที่สุดก็พูดได้ว่าเลือกทางวัดมหาธาตุ ท่านแรกที่ฟังแล้วประทับใจทันทีคือหลวงพ่อพุธ วิธีของท่านถูกจริตของติ๋มมากค่ะ ฟังง่ายเข้าใจง่าย และท่านเอาทั้งทางปริญัติและปฏิบัติมาผสมผสานกันได้อย่างเหมาะเจาะ ประกอบกับช่วงนั้นยังทำงานเต็มเวลาอยู่เลยเหมาะกับวิธีของท่าน ตอนนี้ไม่ต้องทำงานเลยมีเวลาฟังไปปฏิบัติไปอย่างจริงจังมากขึ้น ทำให้มีข้อมูลพอที่คิดว่าควรตัดสินใจได้ว่าจะไปทางไหนแน่ๆค่ะ
แล้วติ๋มก็มีคำถามรอพี่ปี๊ดอยู่แล้วค่ะ พี่ปี๊ดเรียบเรียงเสร็จเมื่อไหร่ เริ่มมาได้เลยนะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 12 พฤษภาคม 2556, 03:22:35
พี่ปิ๊ด เอง ซิ ที่ต้องไม่กล้าบอก น้องติ๋มนะถามได้
       เพราะพี่ปิ๊ดเป็นพวก อุตตริ  (ตอนเล็กๆ ถูกครูด่าบ่อย ฮะฮะ ก็ยอมรับ กันไป ไม่ได้เปลียนแปลงนะ) ต่างหาก และเริ่ม
 ลึกซึ้งขึ้น พี่อาจต้องใช้วิธี บอกน้องหลังไม ดีครับที่น้องติ๋ม ขยาย ความส่วนตัว จำที่พี่ปิ๊ดแหย่ได้ไหม ว่า "จากพระอาจารย์
 ที่น้องติ๋มศึกษา พี่ปิ๊ด ต้องใช้เวลาอีกเป็นปี กว่าจะกลับมาคุยกับ น้องติ๋ม รู้เรื่อง" มันเป็น จริงเช่นนั้น .....แต่ด้วยปัจจัยบาง
 อย่าง ธรรมะก็เลย จัดให้ น้องติ๋มพูดออกมา......พี่ปิ๊ดเลย รู้จัก น้องติ๋มเพิ่ม ขึ้น และกล้าที่จะ บอกอะไรบางอย่าง ... เป็น
 Tectic ครับ ไม่ใช่ Technics .....พี่ปิ๊ด ต้องถือว่า น้องติ๋ม กับพี่ปิ๊ด เริ่มที่พระอาจารย์ องค์เดียวกัน      พระอาจารย์...
  โชดก วัดมหาธาตุ ข้างธรรมศาสตร์ 
  ถ้าได้เริ่ม ปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่มีอะไรผิดทาง ครับ .....เดี๋ยวขอเวลาเรียบเรียง สมองนิดหนึ่ง จะขยายความหลังไม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 13 พฤษภาคม 2556, 12:29:36
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 13 พฤษภาคม 2556, 11:48:00
พี่ปี๊ดไม่ต้องรีบร้อนค่ะ ติ๋มรอให้พี่ปี๊ดเรียบเรียงขยายความได้เสมอ นานก็จะรอ เพราะเรื่องนี้ใจร้อนไม่ได้ ติ๋มไม่ได้นึกด้วยซ้ำว่าพี่ปี๊ดแหย่ เพราะติ๋มเองนั่งฟังนอนฟังจากท่านทั้งหลายเหล่านั้นมาเกือบสองปี กว่าจะหาทางที่ตรงจริตได้จริงๆ ในที่สุดก็พูดได้ว่าเลือกทางวัดมหาธาตุ ท่านแรกที่ฟังแล้วประทับใจทันทีคือหลวงพ่อพุธ วิธีของท่านถูกจริตของติ๋มมากค่ะ ฟังง่ายเข้าใจง่าย และท่านเอาทั้งทางปริญัติและปฏิบัติมาผสมผสานกันได้อย่างเหมาะเจาะ ประกอบกับช่วงนั้นยังทำงานเต็มเวลาอยู่เลยเหมาะกับวิธีของท่าน ตอนนี้ไม่ต้องทำงานเลยมีเวลาฟังไปปฏิบัติไปอย่างจริงจังมากขึ้น ทำให้มีข้อมูลพอที่คิดว่าควรตัดสินใจได้ว่าจะไปทางไหนแน่ๆค่ะ
แล้วติ๋มก็มีคำถามรอพี่ปี๊ดอยู่แล้วค่ะ พี่ปี๊ดเรียบเรียงเสร็จเมื่อไหร่ เริ่มมาได้เลยนะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 12 พฤษภาคม 2556, 03:22:35
พี่ปิ๊ด เอง ซิ ที่ต้องไม่กล้าบอก น้องติ๋มนะถามได้
       เพราะพี่ปิ๊ดเป็นพวก อุตตริ  (ตอนเล็กๆ ถูกครูด่าบ่อย ฮะฮะ ก็ยอมรับ กันไป ไม่ได้เปลียนแปลงนะ) ต่างหาก และเริ่ม
 ลึกซึ้งขึ้น พี่อาจต้องใช้วิธี บอกน้องหลังไม ดีครับที่น้องติ๋ม ขยาย ความส่วนตัว จำที่พี่ปิ๊ดแหย่ได้ไหม ว่า "จากพระอาจารย์
 ที่น้องติ๋มศึกษา พี่ปิ๊ด ต้องใช้เวลาอีกเป็นปี กว่าจะกลับมาคุยกับ น้องติ๋ม รู้เรื่อง" มันเป็น จริงเช่นนั้น .....แต่ด้วยปัจจัยบาง
 อย่าง ธรรมะก็เลย จัดให้ น้องติ๋มพูดออกมา......พี่ปิ๊ดเลย รู้จัก น้องติ๋มเพิ่ม ขึ้น และกล้าที่จะ บอกอะไรบางอย่าง ... เป็น
 Tectic ครับ ไม่ใช่ Technics .....พี่ปิ๊ด ต้องถือว่า น้องติ๋ม กับพี่ปิ๊ด เริ่มที่พระอาจารย์ องค์เดียวกัน      พระอาจารย์...
  โชดก วัดมหาธาตุ ข้างธรรมศาสตร์  
  ถ้าได้เริ่ม ปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่มีอะไรผิดทาง ครับ .....เดี๋ยวขอเวลาเรียบเรียง สมองนิดหนึ่ง จะขยายความหลังไม
 พี่ปิ๊ด ตอบไปทางหลังไม PM ของน้องติ๋มแล้ว ไม่ทราบว่า ได้เปิดอ่าน หรือ ยัง ? ไปแชร์ ความคิด เหมือนเด็ก หัดเดิน เช่นกัน .....เราคุย ธรรมะ ภาษาเด็กกัน/ ตรงหน้า web บางอย่างคุย ยาก ....เพราะเราจะคุยภาษาเด็ก เดี๋ยวผู้ใหญ่ มาอ่านเจอเข้า......กลัวว่า เขาจะไม่เอา (คบ)เรา ไป สร้าง บ้าน  emo20:)):) emo20:)):)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 13 พฤษภาคม 2556, 12:49:46

พี่ปี๊ด
จะไปอ่านค่ะ ไม่ยากเกินไปใช่ไหมคะ
แต่ติ๋มปล่อยออกมาหมดเปลือกแล้วด้วยความจริงใจที่นี่นะคะ
สงสัยติ๋มจะเป็นคนเดียวที่ไม่มีใครคบไปสร้างบ้านซะแล้ว
แต่ไม่เป็นไรค่ะ ติ๋มอาศัยคำว่า "พุธโท" เป็นเพื่อนไปก่อนได้เสมอ แล้วอาจจะมีคนมาชวนไปสร้างเมืองก็ได้ แต่ไม่หวังอะไรมากค่ะ

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 13 พฤษภาคม 2556, 12:29:36
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 13 พฤษภาคม 2556, 11:48:00
พี่ปี๊ดไม่ต้องรีบร้อนค่ะ ติ๋มรอให้พี่ปี๊ดเรียบเรียงขยายความได้เสมอ นานก็จะรอ เพราะเรื่องนี้ใจร้อนไม่ได้ ติ๋มไม่ได้นึกด้วยซ้ำว่าพี่ปี๊ดแหย่ เพราะติ๋มเองนั่งฟังนอนฟังจากท่านทั้งหลายเหล่านั้นมาเกือบสองปี กว่าจะหาทางที่ตรงจริตได้จริงๆ ในที่สุดก็พูดได้ว่าเลือกทางวัดมหาธาตุ ท่านแรกที่ฟังแล้วประทับใจทันทีคือหลวงพ่อพุธ วิธีของท่านถูกจริตของติ๋มมากค่ะ ฟังง่ายเข้าใจง่าย และท่านเอาทั้งทางปริญัติและปฏิบัติมาผสมผสานกันได้อย่างเหมาะเจาะ ประกอบกับช่วงนั้นยังทำงานเต็มเวลาอยู่เลยเหมาะกับวิธีของท่าน ตอนนี้ไม่ต้องทำงานเลยมีเวลาฟังไปปฏิบัติไปอย่างจริงจังมากขึ้น ทำให้มีข้อมูลพอที่คิดว่าควรตัดสินใจได้ว่าจะไปทางไหนแน่ๆค่ะ
แล้วติ๋มก็มีคำถามรอพี่ปี๊ดอยู่แล้วค่ะ พี่ปี๊ดเรียบเรียงเสร็จเมื่อไหร่ เริ่มมาได้เลยนะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 12 พฤษภาคม 2556, 03:22:35
พี่ปิ๊ด เอง ซิ ที่ต้องไม่กล้าบอก น้องติ๋มนะถามได้
       เพราะพี่ปิ๊ดเป็นพวก อุตตริ  (ตอนเล็กๆ ถูกครูด่าบ่อย ฮะฮะ ก็ยอมรับ กันไป ไม่ได้เปลียนแปลงนะ) ต่างหาก และเริ่ม
 ลึกซึ้งขึ้น พี่อาจต้องใช้วิธี บอกน้องหลังไม ดีครับที่น้องติ๋ม ขยาย ความส่วนตัว จำที่พี่ปิ๊ดแหย่ได้ไหม ว่า "จากพระอาจารย์
 ที่น้องติ๋มศึกษา พี่ปิ๊ด ต้องใช้เวลาอีกเป็นปี กว่าจะกลับมาคุยกับ น้องติ๋ม รู้เรื่อง" มันเป็น จริงเช่นนั้น .....แต่ด้วยปัจจัยบาง
 อย่าง ธรรมะก็เลย จัดให้ น้องติ๋มพูดออกมา......พี่ปิ๊ดเลย รู้จัก น้องติ๋มเพิ่ม ขึ้น และกล้าที่จะ บอกอะไรบางอย่าง ... เป็น
 Tectic ครับ ไม่ใช่ Technics .....พี่ปิ๊ด ต้องถือว่า น้องติ๋ม กับพี่ปิ๊ด เริ่มที่พระอาจารย์ องค์เดียวกัน      พระอาจารย์...
  โชดก วัดมหาธาตุ ข้างธรรมศาสตร์ 
  ถ้าได้เริ่ม ปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่มีอะไรผิดทาง ครับ .....เดี๋ยวขอเวลาเรียบเรียง สมองนิดหนึ่ง จะขยายความหลังไม
  พี่ปิ๊ด ตอบไปทางหลังไม MP ของน้องติ๋มแล้ว ไม่ทราบว่า ได้เปิดอ่าน หรือ ยัง ? ไปแชร์ ความคิด เหมือนเด็ก หัดเดิน เช่นกัน .....เราคุย ธรรมะ ภาษาเด็กกัน/ ตรงหน้า web บางอย่างคุย ยาก ....เพราะเราจะคุยภาษาเด็ก เดี๋ยวผู้ใหญ่ มาอ่านเจอเข้า......กลัวว่า เขาจะไม่เอา (คบ)เรา ไป สร้าง บ้าน  emo20:)):) emo20:)):)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 13 พฤษภาคม 2556, 22:12:24


สวัสดีค่ะเพื่อนพี่น้อง
พี่ปี๊ด
ธรรมเทศนานี้นั้ พอจะสนับสนุนที่พี่ปี๊ดพูดมานี่ได้ไหมคะ


http://www.youtube.com/watch?v=MjVTMWxKGPE


อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 11 พฤษภาคม 2556, 10:02:27
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
            พี่ปิ๊ด ทำแค่ ดู VDO ของ คุณ Sam Harris 3 ตอน เท่าที่ น้องติ่ม post มาให้ชมแค่ นี้ ไม่ได้ไป ค้นต่อ เพิ่มเติม
สงสัยกลุ่ม Atheist ว่าเป็น อย่างไร? แล้วก็คุณ sam เขาเข้าใจ พุทธ แค่ไหน? จาก 3 VDO เหมือนกับว่า เขายังไม่พัฒนาจิตไปถึงไหนเลย  แน่นอน เมื่อ ท่านใดนั้งสมาธิ หยุด ความคิดทั้งหมด ยอมเกิด สุข แต่เป็นสุขแบบ เหยียบหยุดไว้ (ชั่วคราว)
คุณ sam  แกอยู่ที่ สมถะ (สมาธิ) แค่ นั้นเอง (จาก 3เทปนี้) ยังไม่ขึ้น วิปัสสนากรรมฐาน เลย ผู้ปฏิบัติธรรม ในเมืองไทย
 เราก็มีแค่คุณ sam เยอะมาก.........ยังอีกไกล บันไดขั้นแรกของโสดาบัน ก็ยังไปไม่ถึง เลย ครับ (เน้น แค่ 3 เทปนี้เท่านั้น)
 น้อง ติ๋ม...ถ้าเอาแค่นี้... เสียดาย ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ (เสียเวลาและเสียโอกาส) ไม่รู้จะได้เกิดอีก หรือเปล่า? อาจจะอีกเป็น พันๆ ปี
 การได้เกิดเป็นมนุษย์ นั้น ยากมาก เพราะยังมีอีก 30 ภพภูมิ ที่เราได้ สิทธิ์ จากกรรมที่ได้สะสมบน ภพมนุษย์เท่านั้น (หนึ่งใน
 สามสิบเอ็ด ภพภูมิ)ไปเวียนเกิด  =  อีก 30 เสวยกรรมสะสม อย่างเดียว......ครับน้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 14 พฤษภาคม 2556, 00:33:06
สวัสดี ครับ น้อง ติ๋ม.......ถ้ามีโอกาสได้ ฟังเทศน์ ฟังธรรม นะ ดี ทั้งนั้น แหละ ครับ ข้อสำคัญ มันอยู่ที่ การ ย่อย หลังฟัง
  คนคนเดียวกันคุย พระองค์เดียวกันเทศน์ ผู้ฟังแต่ละท่านจะ ย่อย ความ ออกมา ได้ไม่เหมือนกัน...... ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ ปัญญา
  ของแต่ละ คน......พี่ปิ๊ดไม่บังควร เอ่ย ถึงแม้ว่าจะมี คำตอบ อยู่ในใจ / น้องติ๋ม ต้องบอกให้กับตัวเองได้ ถ้ายังไม่มั่นใจ ก็ต้อง
  สะสมภูมิ ปัญญา ของตัวเองให้มากขึ้นอีก.......ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 14 พฤษภาคม 2556, 04:58:49

ไม่ตอบอีกจนได้
งั้นถามต่อไม่ออก
ต้องเปลี่ยนเรื่องคุยไปก่อนนะคะ


อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 14 พฤษภาคม 2556, 00:33:06
สวัสดี ครับ น้อง ติ๋ม.......ถ้ามีโอกาสได้ ฟังเทศน์ ฟังธรรม นะ ดี ทั้งนั้น แหละ ครับ ข้อสำคัญ มันอยู่ที่ การ ย่อย หลังฟัง
  คนคนเดียวกันคุย พระองค์เดียวกันเทศน์ ผู้ฟังแต่ละท่านจะ ย่อย ความ ออกมา ได้ไม่เหมือนกัน...... ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ ปัญญา
  ของแต่ละ คน......พี่ปิ๊ดไม่บังควร เอ่ย ถึงแม้ว่าจะมี คำตอบ อยู่ในใจ / น้องติ๋ม ต้องบอกให้กับตัวเองได้ ถ้ายังไม่มั่นใจ ก็ต้อง
  สะสมภูมิ ปัญญา ของตัวเองให้มากขึ้นอีก.......ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 14 พฤษภาคม 2556, 07:41:02
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 14 พฤษภาคม 2556, 04:58:49

ไม่ตอบอีกจนได้
งั้นถามต่อไม่ออก
ต้องเปลี่ยนเรื่องคุยไปก่อนนะคะ


อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 14 พฤษภาคม 2556, 00:33:06
สวัสดี ครับ น้อง ติ๋ม.......ถ้ามีโอกาสได้ ฟังเทศน์ ฟังธรรม นะ ดี ทั้งนั้น แหละ ครับ ข้อสำคัญ มันอยู่ที่ การ ย่อย หลังฟัง
  คนคนเดียวกันคุย พระองค์เดียวกันเทศน์ ผู้ฟังแต่ละท่านจะ ย่อย ความ ออกมา ได้ไม่เหมือนกัน...... ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ ปัญญา
  ของแต่ละ คน......พี่ปิ๊ดไม่บังควร เอ่ย ถึงแม้ว่าจะมี คำตอบ อยู่ในใจ / น้องติ๋ม ต้องบอกให้กับตัวเองได้ ถ้ายังไม่มั่นใจ ก็ต้อง
  สะสมภูมิ ปัญญา ของตัวเองให้มากขึ้นอีก.......ครับ
  พี่เองก็ยังเขียน เล่าค้าง ไว้ ..เดี๋ยวต้องต่อให้จบ   ครับ น้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 15 พฤษภาคม 2556, 09:38:56


สวัสดีครับพี่ติ๋มพี่ปี๊ด และสมาชิกทุกท่าน
ติดตามอ่านอยู่นะคร้าบบบบบ....



 emo6::)) emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 15 พฤษภาคม 2556, 10:43:05
อ้างถึง
ข้อความของ หนุน'21 เมื่อ 15 พฤษภาคม 2556, 09:38:56


สวัสดีครับพี่ติ๋มพี่ปี๊ด และสมาชิกทุกท่าน
ติดตามอ่านอยู่นะคร้าบบบบบ....



 emo6::)) emo6::))
   อ่านแล้ว ต้องแชร์ความคิดด้วย (ไม่งั้น ต้องเสีย ค่า ลิขสิทธิ์ ) จะได้เพลิดเพลิน กับ ธรรมชาติ และ ธรรมะ คุยแบบเด็กๆ
 หัดเดิน จะได้ช่วยกัน หาข้อมูลมาถาม- ตอบกัน (สนุก).......เออ น้องติ๋ม เคย ตั้ง ปุจฉา ตอนต้นๆว่า.....ความสุข ทางโลกๆ
ไม่เอาทางธรรมหมายถึงอะไร?...พี่ปิ๊ดไม่ได้ ตอบ.....เพราะนึกอยู่เป็นนาน ก็นึกไม่ออก "ความสุขตอนได้หลับในที่ๆมี่อุณห
 ภูมิ พอๆดี ๆ มั้งเช่นในห้องแอ" /คงให้ความสำคัญกับ ชีวิต สำหรับ คำๆ นี้ น้อยมาก จนให้ความหมายส่วนตัวไม่ได้.....แต่
 รู้จักคำว่า "สนุก" มากกว่า.....ทำอะไรก็"สนุก"มาตั้งแต่เด็ก อะไรทีคิดว่าไม่สนุก ก็จะว่างเฉย ไม่ขัด เพราะตัวเราไม่สนุก แต่ คนอื่นเขา อาจจะสนุก ก็ได้........ครับ น้องติ๋ม น้องหนุน และ สมาชิกทุกท่าน
 
 


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบสนุกๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 15 พฤษภาคม 2556, 19:55:59
พี่ปี๊ดที่เคารพรัก

โชคดีที่รักคนชื่อแอเลยได้นอนห้องแอทุกคืน ไม่ต้องติดแอร์ก็สุขได้  :)like  :)like

พี่ปี๊ดก็โชคดีอีกนั่นแหละที่ความสุขของพี่ปี๊ดคือ สนุก ติ๋มหวังว่าสิ่งที่เป็นความสนุกของพี่ปี๊ดนั้นหาได้ง่าย มีอยู่ในธรรมชาติ ธรรมดา ราคาไม่แพงและไม่ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเดือดร้อน  ถ้ามากไปกว่านี้ล่ะก็ จะเป็นไปได้ที่สุขจะกลายเป็นทุกข์ ซึ่งมันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว

ตอนติ๋มเป็นเด็กๆ เคยได้ยินผู้ใหญ่เตือนบ่อยว่า อย่ารักแต่สนุกทุกข์จะถึงตัว แต่พอเป็นผู้ใหญ่จึงทราบว่าไม่จริงเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าเรามีสติแค่ไหน และสนุกอย่างไร


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ti2521 ที่ 15 พฤษภาคม 2556, 22:34:35

.....สวัสดีครับ พี่ติ๋ม.....


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 15 พฤษภาคม 2556, 23:10:00

น้องตี๋หายยุ่งแล้วเหรอครับ กลับมาคุยกับพวกเราต่อนะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ ti2521 เมื่อ 15 พฤษภาคม 2556, 22:34:35

.....สวัสดีครับ พี่ติ๋ม.....


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ti2521 ที่ 15 พฤษภาคม 2556, 23:27:04
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 15 พฤษภาคม 2556, 23:10:00

น้องตี๋หายยุ่งแล้วเหรอครับ กลับมาคุยกับพวกเราต่อนะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ ti2521 เมื่อ 15 พฤษภาคม 2556, 22:34:35

.....สวัสดีครับ พี่ติ๋ม.....

.....ครับ พี่ติ๋ม ว่างบ้าง ยุ่งบ้าง ไม่แน่นอนครับ๕๕๕

     แต่เข้าเวปหอ มีความสุข อบอุ่นดีครับ.....




หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 15 พฤษภาคม 2556, 23:30:13
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 15 พฤษภาคม 2556, 19:55:59
พี่ปี๊ดที่เคารพรัก

โชคดีที่รักคนชื่อแอเลยได้นอนห้องแอทุกคืน ไม่ต้องติดแอร์ก็สุขได้  :)like  :)like

พี่ปี๊ดก็โชคดีอีกนั่นแหละที่ความสุขของพี่ปี๊ดคือ สนุก ติ๋มหวังว่าสิ่งที่เป็นความสนุกของพี่ปี๊ดนั้นหาได้ง่าย มีอยู่ในธรรมชาติ ธรรมดา ราคาไม่แพงและไม่ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเดือดร้อน  ถ้ามากไปกว่านี้ล่ะก็ จะเป็นไปได้ที่สุขจะกลายเป็นทุกข์ ซึ่งมันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว

ตอนติ๋มเป็นเด็กๆ เคยได้ยินผู้ใหญ่เตือนบ่อยว่า อย่ารักแต่สนุกทุกข์จะถึงตัว แต่พอเป็นผู้ใหญ่จึงทราบว่าไม่จริงเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าเรามีสติแค่ไหน และสนุกอย่างไร

            ขอขัดใจ น้องติ๋ม นี๊ดหนึ่ง  พี่ปี๊ด นอนพัดลม ตลอด ไม่ได้ นอน ห้องแอ ครับ ยังอยู่กันเหมือนเดิม  หอหญิง
 ก็อยู่แบบหอหญิง   หอชายก็อยู่แบบหอชาย  อย่างไง อย่างนั้น  รักษามาตรฐานดั้งเดิม ไว้ตลอด  emo20:)):) emo20:)):)


หัวข้อ: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบจีน ๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 16 พฤษภาคม 2556, 03:58:55
http://www.youtube.com/watch?v=uJqRXSKSJZM


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 16 พฤษภาคม 2556, 21:17:36

น้องพธู
ขอบคุณครับ

รู้สึกดีเวลาฟัง สุข สดชื่น ถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่อง อ้อรู้แตว่ามีคำว่า ห่อ ฮ้อๆ ดีๆเยอะมาก

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 16 พฤษภาคม 2556, 03:58:55
http://www.youtube.com/watch?v=uJqRXSKSJZM


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 17 พฤษภาคม 2556, 01:48:47

เพื่อนพี่น้องที่รัก
วันนี้เอาลมหายใจมาฝากค่ะ


http://www.youtube.com/watch?v=yVeGLlxRNPY


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 17 พฤษภาคม 2556, 07:33:58
  สาธุ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: wannee ที่ 17 พฤษภาคม 2556, 08:14:58
อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 11 พฤษภาคม 2556, 13:11:28
(http://www.cmadong.com/picup/201212/7316713682526484089123159.jpg)
เด๋วนี้มีมุมมองเกี่ยวกับสถานะทางเพศมากขึ้น

ช่างเปรียบเทียบ  emo20:)):)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: wannee ที่ 17 พฤษภาคม 2556, 08:16:31
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 16 พฤษภาคม 2556, 21:17:36

น้องพธู
ขอบคุณครับ

รู้สึกดีเวลาฟัง สุข สดชื่น ถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่อง อ้อรู้แตว่ามีคำว่า ห่อ ฮ้อๆ ดีๆเยอะมาก

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 16 พฤษภาคม 2556, 03:58:55
http://www.youtube.com/watch?v=uJqRXSKSJZM

เด็กๆน่ารัก สดใสเสมอ  :)like


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบฝรั่งใจพุทธ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 17 พฤษภาคม 2556, 23:43:46

เพื่อนพี่น้องที่รัก

วันนี้มาปลุกให้ตื่นรู้ โดยฝรั่งหัวใจเป็นพุทธะค่ะ


http://www.youtube.com/watch?v=hnJ14hWu0pA


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 18 พฤษภาคม 2556, 08:39:20
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 17 พฤษภาคม 2556, 23:43:46

เพื่อนพี่น้องที่รัก

วันนี้มาปลุกให้ตื่นรู้ โดยฝรั่งหัวใจเป็นพุทธะค่ะ


http://www.youtube.com/watch?v=hnJ14hWu0pA

             ดี ครับ น้องติ๋ม   :)like :)like :)like


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 18 พฤษภาคม 2556, 22:11:49

พี่ปี๊ดขา ติ๋มตอบคำถามพี่ไปแล้ว ได้รับหรือยังคะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 19 พฤษภาคม 2556, 01:58:31
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 18 พฤษภาคม 2556, 22:11:49

พี่ปี๊ดขา ติ๋มตอบคำถามพี่ไปแล้ว ได้รับหรือยังคะ
   สวัสดี ครับ น้องติ๋ม ได้รับแล้ว ครับ .......เดี๋ยวนี้ เพราะเพิ่งกลับมาจาก นครถม ไปบ้านพี่ปรีดา มา ครับ......
 ดี ครับ พอจะมีเรื่อง คุยกับ น้องติ๋ม ต่อได้......คุยแบบเด็กๆ หัดเดิน คุยกัน  :)like emo26:D


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 19 พฤษภาคม 2556, 10:05:53

พี่คุยกันดังๆนะครับ
น้องๆ จะได้ฟังด้วย อิ อิ


 emo6::)) emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 19 พฤษภาคม 2556, 10:17:48
ฝรั่งที่บวชเป็นพระ .. เท่าที่พบ ร้อยทั้งร้อย สำรวมและเคร่งครัดในการปฏิบัติพระวินัยอย่างมาก   emo30:sorry:


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 19 พฤษภาคม 2556, 11:04:03

น้องหนุนครับ
พี่ติ๋มน่ะคุยดังได้ แต่พี่ปี๊ดคนขี้อายจะไม่ยอมคุยกะพี่ติ๋ม เลยต้องมาโพสที่ฟังๆมาแบ่งให้น้องฟัง แล้วจะได้ช่วยกันวิจารณ์บ้างน่ะค่ะ
อ้างถึง
ข้อความของ หนุน'21 เมื่อ 19 พฤษภาคม 2556, 10:05:53

พี่คุยกันดังๆนะครับ
น้องๆ จะได้ฟังด้วย อิ อิ


 emo6::)) emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 19 พฤษภาคม 2556, 11:14:26

เพื่อนพี่น้องคะ
มีคำถามมาให้ช่วยกันตอบหน่อยนะคะ พี่ติ๋มเองก็ยังงงงงง

สมาธิฝึกสติ หรือ สติฝึกสมาธิ
อะไรมาก่อน อะไรมาหลัง
ฝึกสมาธิให้มีสติ หรือฝึกให้มีสติเพื่อช่วยสมาธิ



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 19 พฤษภาคม 2556, 11:29:54
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 19 พฤษภาคม 2556, 11:14:26

เพื่อนพี่น้องคะ
มีคำถามมาให้ช่วยกันตอบหน่อยนะคะ พี่ติ๋มเองก็ยังงงงงง

สมาธิฝึกสติ หรือ สติฝึกสมาธิ
อะไรมาก่อน อะไรมาหลัง
ฝึกสมาธิให้มีสติ หรือฝึกให้มีสติเพื่อช่วยสมาธิ


    เอ๊ก เอ๊ก........พี่ปิ๊ด ช่วยลุ้น คำตอบด้วยคน ครับ น้องติ๋ม ......
     แล้วพี่ปิ๊ด แถม อีก "วลี" หนึ่ง ( ไม่ postในบ้านแมงโม้ เพราะจะไม่มี ใครคุยด้วย) มาคุยตรงนี้ สนุกเพราะสร้างความเดือด ร้อนให้เจ้าของกระทู้
     ในความเป็น พุทธ ของ เรา  อะไร คือความน่าจะเป็นที่ พระพุทธองค์ ได้ให้ไว้
          " ศีล รักษา คน   หรือว่า  คน รักษา ศีล"  ......ปุจฉา   emo47 emo4:)) แล้วหันกลับมามองตังเองว่า "เราเป็นแบบไหน?ธรรมะ สบายๆ
     วันหยุด


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 19 พฤษภาคม 2556, 11:39:16
ขอตอบก่อนเลยนะคะแบบซื่อๆของติ๋มนี่แหละ มาจากจิตที่ไม่ต้องคิดมากเลยล่ะกันค่ะ

คือคนจะต้องเป็นผู้รักษาศีลค่ะ ศีลไม่มีความสามารถไปรักษาใครได้เพราะศีลเป็นแค่ข้อปฏิบัติที่มนุษย์ควรรักษาเอาไว้เพื่อความเป็นปกติของชีวิต
ศีล


อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 19 พฤษภาคม 2556, 11:29:54
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 19 พฤษภาคม 2556, 11:14:26

เพื่อนพี่น้องคะ
มีคำถามมาให้ช่วยกันตอบหน่อยนะคะ พี่ติ๋มเองก็ยังงงงงง

สมาธิฝึกสติ หรือ สติฝึกสมาธิ
อะไรมาก่อน อะไรมาหลัง
ฝึกสมาธิให้มีสติ หรือฝึกให้มีสติเพื่อช่วยสมาธิ


    เอ๊ก เอ๊ก........พี่ปิ๊ด ช่วยลุ้น คำตอบด้วยคน ครับ น้องติ๋ม ......
     แล้วพี่ปิ๊ด แถม อีก "วลี" หนึ่ง ( ไม่ postในบ้านแมงโม้ เพราะจะไม่มี ใครคุยด้วย) มาคุยตรงนี้ สนุกเพราะสร้างความเดือด ร้อนให้เจ้าของกระทู้
     ในความเป็น พุทธ ของ เรา  อะไร คือความน่าจะเป็นที่ พระพุทธองค์ ได้ให้ไว้
          " ศีล รักษา คน   หรือว่า  คน รักษา ศีล"  ......ปุจฉา   emo47 emo4:)) แล้วหันกลับมามองตังเองว่า "เราเป็นแบบไหน?ธรรมะ สบายๆ
     วันหยุด
link=topic=18098.msg638279#msg638279 date=1368937794]
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 19 พฤษภาคม 2556, 11:14:26

เพื่อนพี่น้องคะ
มีคำถามมาให้ช่วยกันตอบหน่อยนะคะ พี่ติ๋มเองก็ยังงงงงง

สมาธิฝึกสติ หรือ สติฝึกสมาธิ
อะไรมาก่อน อะไรมาหลัง
ฝึกสมาธิให้มีสติ หรือฝึกให้มีสติเพื่อช่วยสมาธิ


    เอ๊ก เอ๊ก........พี่ปิ๊ด ช่วยลุ้น คำตอบด้วยคน ครับ น้องติ๋ม ......
     แล้วพี่ปิ๊ด แถม อีก "วลี" หนึ่ง ( ไม่ postในบ้านแมงโม้ เพราะจะไม่มี ใครคุยด้วย) มาคุยตรงนี้ สนุกเพราะสร้างความเดือด ร้อนให้เจ้าของกระทู้
     ในความเป็น พุทธ ของ เรา  อะไร คือความน่าจะเป็นที่ พระพุทธองค์ ได้ให้ไว้
          " ศีล รักษา คน   หรือว่า  คนรักษาศีล"  ......ปุจฉา   emo47 emo4:))
[/quote]


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 19 พฤษภาคม 2556, 11:50:43


พี่ปี๊ดคะ

ข้อสังเกตุนี้ อยากทราบว่าพี่ปี๊ดเห็นว่าอย่างไร


 emo4:))
การรักษาศีลนั้นเป็นสิ่งที่คนที่รักษายึดปฏิบัติไปด้วยจิตที่มีพรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาเป็นที่ตั้ง และเพื่อให้เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา. ผู้รักษาศีลไม่ควรทำไปเพราะต้องการได้ผลตอบแทนจากการถือศีลเช่นถือศีลแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์และอื่นๆ  มิฉะนั้นจะเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของการถิอศีลอันเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 19 พฤษภาคม 2556, 12:24:18
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 19 พฤษภาคม 2556, 11:50:43


พี่ปี๊ดคะ

ข้อสังเกตุนี้ อยากทราบว่าพี่ปี๊ดเห็นว่าอย่างไร


 emo4:))
การรักษาศีลนั้นเป็นสิ่งที่คนที่รักษายึดปฏิบัติไปด้วยจิตที่มีพรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาเป็นที่ตั้ง และเพื่อให้เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา. ผู้รักษาศีลไม่ควรทำไปเพราะต้องการได้ผลตอบแทนจากการถือศีลเช่นถือศีลแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์และอื่นๆ  มิฉะนั้นจะเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของการถิอศีลอันเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา
ขอบคุณ ครับน้องติ๋ม อยากฟังจากท่านอื่น ด้วย......ธรรมะ กับ แมงโม้ ไม่เครียด ครับ มีแต่ สนุก เชิญ แสดงความคิดเห็น  ครับ ...น้องๆ 16 เข้ามาช่วย ติ๋ม ด้วย กระทู้นี้จะได้ สนุก และ ตื่น
     อย่าลืม ปุจฉา ก่อนหน้านี้  ระหว่าง  สมาธิ กับ สติ .....ครับ  เริ่ม สนุกละ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 19 พฤษภาคม 2556, 23:52:28
 สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
        ทำไงดีละ ไม่มีใครมา post เพิ่มเติม อีก เลยทั้งวัน จะได้เวลา นอนกันแล้ว......ถึงเวลาที่ พี่ปี๊ด ต้องตอบปุจฉา ของตัวเอง แล้วหรือ?


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 20 พฤษภาคม 2556, 01:34:37
ได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งจากเวปธรรมะ   http://larndham.org/index.php?/topic/32488-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4/page__st__5

เพื่อนคนนั้นป่วยเป็นโรคร้ายระยะสุดท้าย เค้าก็ปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติก็ก้าวหน้าด้วยดี และได้อภิญญาบางอย่างเป็นของแถม
แต่ว่า ตัวเค้าเองนั้นถือศีลเพียงแค่ 4 ข้อมาตลอด
แต่ในอนาคตไม่แน่ว่าเค้าอาจรักษาได้ครบ 5 ข้อ

มีผู้ปฏิบัติธรรมอาวุโสท่านหนึ่ง ซึ่งท่านก็ได้อภิญญาเหมือนกัน
บอกกับเพื่อนคนนี้ว่า เพื่อนจะหาย จะไม่เป็นอะไร
และอีกไม่เกิน 4 ปี จะได้ดีแน่ในทางปฏิบัติ

เลยอยากถามว่าผู้ที่ถือศีลเพียง 4 ข้ออย่างนี้
จะสามารถบรรลุธรรมในขั้นต้น(โสดาบัน)ได้มั้ย
หรือว่าต้องมี 5 ข้อเป็นอย่างน้อย


รบกวนผู้รู้ช่วยตอบด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ



ตอบ

การอยู่ในระเบียบวินัย คือ ศีล นั้น เป็นมงคลอันสูงสุด เหมือนกับคนที่ปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมือง ชีวิตผู้นั้นก็จะอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะถูกตำรวจจับ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถทำมาหากินได้อย่างสะดวก ไม่เป็นศัตรูกับใคร

ศีลก็เหมือนกันหากผู้ปฏิบัติอยู่ในกรอบแห่งศีล แม้นจะผิดพลาดบ้างเล็กน้อยก็ค่อยแก้ไขกันไป หมายความว่าไม่ได้มีเจตนา หรือมีสันดารชั่วในการที่จะละเมิดศีล หรือปฏิเสธศีลโดยเป็นประเภทปะทะปรมัตถ์ คือ ดื้อด้าน ยโสโอหัง ไร้จิตสำนึก การที่มีศีลบ้างบางข้อ ก็ถือว่าได้ยอมรับในเรื่องของศีลโดยรวมแล้ว เมื่อยอมรับแล้วก็เป็นเบื้องต้นในการปลูกศรัทธาอันดีงามหรือมีความเห็นอันชอบไว้ในเบื้องต้นแล้ว ต่อไปก็ให้ค่อยปลูกศีลลงไปในจิตตนเองตามสัจจะที่ได้ตั้งไว้มากขึ้น จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ หรือจะปฏิบัติแบบเต็มเหนี่ยวเลยก็ได้แล้วแต่จริตของแต่ละท่าน อันนี้เป็นสิทธิส่วนตนที่เกิดจากกำลังศรัทธา ความเพียร สติ สมาธิ ปัญญา

คนที่มีศีล ก็เปรียบเหมือนบ้านที่ได้ลงรากฐานไว้ หรือบ้านที่ได้มีรั้วรอบขอบชิด ทำให้อบอุ่นใจ มั่นใจในระดับหนึ่ง สมมติว่า เรามีศีล 4 ข้อ ไม่มีศีลข้อ 5 คือ สุราเมรัย เราก็ต้องเหนื่อยที่จะต้องมานั่งลบอยู่กับเจ้าตัวสุราเมรัย แทนที่จะมีเวลาไปปฏิบัติจิตภาวนาได้เต็มร้อย ก็ต้องมารำลึกถึงสุราเมรัยว่าได้เวลาดื่มแล้ว ยิ่งถ้าติดสุราด้วย ร่างกายก็จะแสดงอาการที่ต้องการดื่ม จิตใจก็หงุดหงิด เหมือนคนหิวข้าวแล้วไม่ได้กินข้าวมาหลายวันก็จะฟุ้งซ่าน

ลำพังการหิวข้าว หิวน้ำเราก็ยุ่งจะแย่แล้วที่จะต้องหารับประทาน นี้เป็นวิสัยของสิ่งมีชีวิตที่เป็นปกติ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์ นอกนั้นเป็นสิ่งเกินความจำเป็นทั้งนั้น หากเผลอไปรับเข้ามาแล้วติดอยู่ ก็เดือดร้อน เพราะจะกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และต่อ ๆ ไป ก็จะรู้สึกว่าอึดอัด ขัดข้องขึ้นมาลึก ๆ ในจิตใจ แต่ไม่ได้เฉลียวใจ เพราะมัวไปหลงเพลิดเพลิน คะนองไปกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น จนกระทั่งเมื่อไม่ได้ดังใจกับสิ่งนั้นก็จะทำให้รู้สึกชัดเจนถึงความอึดอัดขัดข้อง เป็นที่หนักอกหนักใจขึ้นมา และเป็นความเดือดร้อน เป็นฟืนเป็นไฟแก่ตนเอง และแถมบางครั้งยังต้องเดือดร้อนแก่ผู้อื่นด้วย

การปฏิบัติในกรอบของศีลเพียง 5 ข้อใหญ่นี้ เป็นพื้นฐาน เป็นปกติของจิตใจ และครอบคลุมได้หมด แต่หากรู้จักวิเคราะห์วิจัยในศีล 5 ข้อใหญ่ หรือ 5 ข้อหลักนี้ ให้ละเอียดลึกลงไปจะมีรายละเอียดอยู่ในนั้นมากมายจนกลายเป็นศีล 227 ข้อ แบบพระสงฆ์ไปเลย ใครปฏิบัติได้ถึงขนาดนั้นก็ได้ชื่อว่า มีระเบียบวินัยของสงฆ์อยู่ในจิตใจแล้ว

สติสัมปชัญญะ เป็นสิ่งจำเป็น การระลึกรู้ให้เท่าทันในเหตุของธรรมอันเป็นเหตุปัจจัยภายในบ้างภายนอกบ้างแล้วรู้จักยับยั้งชั่งใจ แล้วใช้ปัญญาวิเคราะห์เจาะลึกเข้าไป ก็จะทำให้เกิดความรู้ เกิดการยอมรับในสิ่งอันดีงาม อันชอบธรรม และเกิดภาษาธรรมของตนเองขึ้นมา จะคิด พูด ทำ ก็จะอยู่ในกรอบนั้น ก็เป็นอันว่ามั่นใจได้ว่าได้แสดงออก ด้วยกาย วาจา ใจด้วยความสุจริตใจ

สุจริตใจนี้แหละ เป็นสิ่งที่ต้องเน้น เพราะว่าศีลนี้ทำให้เราเป็นผู้สุจริตใจ คือ ไม่มีเล่ห์กระเท่ห์ ไม่เล่นลิ้น ไม่โหยหาจนผิดธรรม เป็นผู้เปิดเผยตรงไปตรงมา อันนี้บอกว่า ฆ่าไม่ได้ก็บอกว่าฆ่าไม่ได้ เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฆ่าไม่ได้ แต่หากเป็นฆ่าเวลา อันนี้ก็ฆ่าได้ เพราะเวลาไม่มีชีวิตแม้นนาฬิกามันจะเดินได้ก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต หรือ การทำร้ายกันจองเวรเบียดเบียนกัน กระทำต่อกันโดยอีกฝ่ายไม่ได้ยินยอม ไปลักขโมยเขา ขโมยตั้งแต่สิ่งของ ไปจนถึงสัตว์สิ่งมีชีวิต และจนไปถึงขโมยพรหมจรรย์ของเขา ใช้เล่ห์ โกหก หลอกลวงสารพัดต่าง ๆ นา ๆ จนถึงการเบียดเบียนตนเองด้วยการดื่มสุราเมรัย ไม่สนใจว่าดื่มแล้วจะทำให้ร่างกายนั้นเสื่อมโทรม ทำให้กระบวนการทำงานของร่างกายอันเป็นเหตุปัจจัยภายในนั้นผิดปกติ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รวนไปหมด สัมผัสสิ่งต่างตามอำเภอใจไปหมด ดื่มสุราจนรู้สึกว่าสุราหอมหวาน ทั้งที่มันขมจะแย่อยู่แล้ว นั่งหลังขดหลังแข็งเป็นเวลานานก็บอกว่าเป็นความสุข ทั้งที่มันทุกข์จะแย่อยู่แล้ว กินกับแก้มจนท้องโต กินน้ำโซดา น้ำขวด จนมีแต่แก๊สเต็มพุง ก็ยังบอกว่าสบายตัว ทั้งที่มันอึดอัดขัดข้องจะแย่อยู่แล้ว พอเมาขึ้นมาก็หัวซุกหัวซุนเที่ยวซุกซนไปเรื่อย แล้วก็อ้วกเลอะเทอะ อ้วกทั้งที่ปาก และที่อวัยวะเพศ แถมกลิ่นตัวก็เหม็น ก็ยังหลอกตัวเองว่าดื่มสุราแล้วดี เข้าสังคมดี เพื่อนดี อาหารดี เพศศึกษาดี ชกต่อยตีกันดี ชั่งสามารถกลบเกลื่อนความอ่อนแอตนเองได้แบบไม่ละอายเกรงกลัวบาปเลยจริง ๆ แล้วอย่างนี้จะเอาสติ ปัญญาที่ไหนไปปฏิบัติธรรม คงต้องรอชาติหน้าตอนบ่าย ๆ

เริ่มต้นให้เสียสละเป็นสิ่งดี ลดตระหนี่ใจแคบลงเสียบ้าง

ใช้ประหยัดมีวินัยแบบปล่อยวาง ไม่เลือนล้างน้อมนำสิ่งดีงาม

ให้มีศีลซื่อสัตย์แก่กายใจ ทำสิ่งใดใคร่ครวญคอยติดตาม

แม้นลำบากยากเข็ญต้องแบกหาม ทุกโมงยามจะเพียรหามเพื่อสิ่งดี

ภาวนาจิตใจให้คล่องแคล่ว จะไม่แห้วเกิดดีปัญญามี

รู้วิเคราะห์วิจัยธรรมให้ดี ทุกชีวีก่อเกิดความดีเอย


อ่านแล้วน่าคิดเลยเอามาฝาก ลุงปิ้ดจะได้ไม่เหงา


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 20 พฤษภาคม 2556, 04:02:41
ขอบคุณครับ น้องพธู

          สวัสดี น้องติ๋ม
         ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ องค์พระศาสดาเอง ยังกล่าว เน้นยํ้าด้วย
พระองค์เอง เลย ว่า "ท่านไม่ต้องเชื่อ เราแต่ให้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง"
พวกเรา ผิดเพี้ยนไปตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว มีใครฟังพระสวด รู้เรื่องบ้าง ตั้งแต่ แรกได้ยิน
ไม่รู้เรื่อง แต่ก็เชื่อ ทั้งๆที่ไม่เข้าใจภาษาบาลีเลย หรือการขอศีลจากพระก็ไม่ทราบ
เหมือนกันว่า ขอแล้วเอาไปไหน?

     ที่จริงแล้ว ศีล ต้องเกิดขึ้นที่ใจ ก่อน เราจึงจะ รักษาศีลได้ ...ไม่เช่นนั้น ไม่มีทาง
รักษาศีลได้ ตัวเราเองก็เกิดมาจาก กิเลส อยู่แล้ว (การเวียนว่ายตายเกิด)สังสารวัฏ
 จะไปรักษาได้ อย่างไร กิเลส (ตัวตน) มันจะพา Excuse me ตลอด  พระพุทธองค์
 ได้บอกทางไว้คือ ให้ ตามรู้ ตามดู สภาวะ กาย เวทนา จิต ธรรม (มหาสติปัฏฐาน4)
 ดูเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ทุกอย่างจะมีการ เกิด ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมชาติจริงแท้
 ทำสมํ่าเสมอ จนสภาวะจิตสงบ ศีลจะเกิดขึ้นเอง จิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ และปัญญา
 ก็จะเกิด ตามมา /ถ้าศีลไม่เกิด ก็ไม่ไปไหนดอกครับ ถึงแม้ว่าจะท่องและจำศีลได้ทุกข้อ 
 ก็ตามเพราะจิตไม่พัฒนา /ศีลจะรักษาคน ที่ปฏิบัติธรรม จนเข้าถึงนิพพาน (ทางสาย
เอก)
 ครับ น้องติ๋ม ทดลองไปศึกษา ปัญญา 3 ดู
        1. สุตมยปัญญา ...จากสมอง
        2. จินตามยปัญญา...จากสมอง
        3. ภาวนามยปัญญา...จากจิตที่พัฒนา (จิตตั้งมั่น)ในทางพุทธศาสนา
 ถ้าคนที่ไม่ได้เข้ามาบนทางสายเอก จะใช้แค่ 1+2 เท่านั้น ถึงจะมี ดร.สัก 5 ใบก็ตาม
 ข้อที่ 3 นี่แหละ ที่มนุษย์ทั่วไป ขาด ต้องปฏิบัติธรรมเพียงทางเดียว จึงจะเกิดปัญญา
 ดังกล่าว ใครก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นนักบวช (ถ้าไปถูกทาง) .../.เน้นไม่ใช้สมอง
 ใช้จิตอย่างเดียว./.. จิตทันจิต หรือ จิตดูจิต เป็นสภาวะหลุดพ้น ระหว่าง รูป กับ นาม
 จิตเขาจะทำงานเอง ทางภาษา ผู้ปฏิบัติธรรม จะเรียกว่า "ข้ามฝากแล้ว" อยู่ในกระแส
 โสดาบัน.....ผู้ที่ถึงขั้นนี้แล้ว จะดูกันเองออก หลอกไม่ได้ ครับ น้องติ๋ม
 
   


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 20 พฤษภาคม 2556, 20:35:34
เหอๆๆๆ emo20:)):) emo20:)):)
 :)like :)like
 emo49:))
ท่านคุณเสือพี่ปี๊ดที่เคารพ
คำเฉลยของพี่นั้นชัดเจน แจ่มแจ้ง ดั่งแสงจันทร์วันเพ็ญเดือนวิสาขะ   วันฟ้าไร้เมฆ
emo43

ในที่สุดทั้งน้องพธู และ พี่ติ๋มก็ล่อเสือออกจากถ่ำมาวาดลายพาดกลอนให้เราได้เห็น
ขอบคุณน้องพธูที่มาช่วยกันอย่างชาญฉลาด




อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 20 พฤษภาคม 2556, 04:02:41
ขอบคุณครับ น้องพธู

          สวัสดี น้องติ๋ม
         ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ องค์พระศาสดาเอง ยังกล่าว เน้นยํ้าด้วย
พระองค์เอง เลย ว่า "ท่านไม่ต้องเชื่อ เราแต่ให้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง"
พวกเรา ผิดเพี้ยนไปตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว มีใครฟังพระสวด รู้เรื่องบ้าง ตั้งแต่ แรกได้ยิน
ไม่รู้เรื่อง แต่ก็เชื่อ ทั้งๆที่ไม่เข้าใจภาษาบาลีเลย หรือการขอศีลจากพระก็ไม่ทราบ
เหมือนกันว่า ขอแล้วเอาไปไหน?

     ที่จริงแล้ว ศีล ต้องเกิดขึ้นที่ใจ ก่อน เราจึงจะ รักษาศีลได้ ...ไม่เช่นนั้น ไม่มีทาง
รักษาศีลได้ ตัวเราเองก็เกิดมาจาก กิเลส อยู่แล้ว (การเวียนว่ายตายเกิด)สังสารวัฏ
 จะไปรักษาได้ อย่างไร กิเลส (ตัวตน) มันจะพา Excuse me ตลอด  พระพุทธองค์
 ได้บอกทางไว้คือ ให้ ตามรู้ ตามดู สภาวะ กาย เวทนา จิต ธรรม (มหาสติปัฏฐาน4)
 ดูเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ทุกอย่างจะมีการ เกิด ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมชาติจริงแท้
 ทำสมํ่าเสมอ จนสภาวะจิตสงบ ศีลจะเกิดขึ้นเอง จิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ และปัญญา
 ก็จะเกิด ตามมา /ถ้าศีลไม่เกิด ก็ไม่ไปไหนดอกครับ ถึงแม้ว่าจะท่องและจำศีลได้ทุกข้อ  
 ก็ตามเพราะจิตไม่พัฒนา /ศีลจะรักษาคน ที่ปฏิบัติธรรม จนเข้าถึงนิพพาน (ทางสาย
เอก)
 ครับ น้องติ๋ม ทดลองไปศึกษา ปัญญา 3 ดู
        1. สุตมยปัญญา ...จากสมอง
        2. จินตามยปัญญา...จากสมอง
        3. ภาวนามยปัญญา...จากจิตที่พัฒนา (จิตตั้งมั่น)ในทางพุทธศาสนา
 ถ้าคนที่ไม่ได้เข้ามาบนทางสายเอก จะใช้แค่ 1+2 เท่านั้น ถึงจะมี ดร.สัก 5 ใบก็ตาม
 ข้อที่ 3 นี่แหละ ที่มนุษย์ทั่วไป ขาด ต้องปฏิบัติธรรมเพียงทางเดียว จึงจะเกิดปัญญา
 ดังกล่าว ใครก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นนักบวช (ถ้าไปถูกทาง) .../.เน้นไม่ใช้สมอง
 ใช้จิตอย่างเดียว./.. จิตทันจิต หรือ จิตดูจิต เป็นสภาวะหลุดพ้น ระหว่าง รูป กับ นาม
 จิตเขาจะทำงานเอง ทางภาษา ผู้ปฏิบัติธรรม จะเรียกว่า "ข้ามฝากแล้ว" อยู่ในกระแส
 โสดาบัน.....ผู้ที่ถึงขั้นนี้แล้ว จะดูกันเองออก หลอกไม่ได้ ครับ น้องติ๋ม
  
  


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 20 พฤษภาคม 2556, 21:27:41

พูดถึงเสือ ธรรมชาติแบบไทยๆ เลยไปนึกถึงหนังที่เคยดูมาหลายปีแล้ว
"Tears of the Black Tiger" หรือ "ฟ้าทลายโจร"  คนไทยไม่ชื่นนชมดู แต่มีฉายทั่วไปใน US เป็นที่ชื่นชอบเพราะมีความเป็นไทยๆแปลกจากเรื่องอื่นๆ
ภาพสวย เพลงอมตะ ใช้ Surrealism เน้นธรรมชาติและเนื้อหา
เราดูแล้วเกิด เวทนา สัญญา สังขาร ร้อยแปดในเวลาเดียวกัน
ให้ความเป็นธรรมดา ล้วนอนิจจังใดๆบ้าง ต้องดูเอง สัญญาของเอกกัตบุคคล ทำให้เกิดเวทนา และสังขารไม่เหมือนกัน
นานาจิตตัง

http://www.youtube.com/watch?v=fFSt5cfg-hc

http://www.youtube.com/watch?v=GbGg0GLn_wc

http://www.youtube.com/watch?v=fCshCL5yr1M


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: เริง2520 ที่ 20 พฤษภาคม 2556, 23:27:59
ภาพเก่าทะเลคราวเดียวกับในฟ้าทลายโจร


(http://www.cmadong.com/picup/201212/9568313690672517794264024.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 20 พฤษภาคม 2556, 23:48:36
 ความจริง จำเนื้อเรื่องไม่ได้แล้ว ฮะฮะ......เพลงประกอบภาพยนตร์ รู้จักทุกเพลง ครับ น้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 21 พฤษภาคม 2556, 21:27:59

สวัสดีค่ะเพื่อน พี่ น้อง
วันนี้มาทำจิตให้สงบ สบายๆกันนะคะ

http://www.youtube.com/watch?v=z-dktQUBYnw


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 23 พฤษภาคม 2556, 00:05:04
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม เพิ่งกลับมาจากนอก office รู้สึกว่า web กระทู้นี้ไม่ขยับ ยังไม่มีใครเข้ามาคุยกับ น้องติ๋ม เรื่อง  "สมาธิ"  กับ 
  "สติ"เลย.........น่าจะมีท่านที่รู้ เข้ามา แชร์ ธรรมะกันบ้าง แบบสบายๆ ถูก ผิด ใช่ไม่ใช่  ไม่เป็นประเด็น .....ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 23 พฤษภาคม 2556, 00:50:31
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค


              ปัญญาในการสำรวมแล้วตั้งไว้ด้วยดี เป็นสมาธิภาวนามยญาณ
อย่างไร สมาธิอย่างหนึ่ง คือ เอกัคคตาจิต สมาธิ ๒ คือ โลกิยสมาธิ ๑
โลกุตรสมาธิ ๑ สมาธิ ๓ คือ สมาธิมีวิตกและวิจาร ๑ สมาธิไม่มีวิตกมีแต่
วิจาร ๑ สมาธิไม่มีวิตกไม่มีวิจาร ๑ สมาธิ ๔ คือ สมาธิมีส่วนเสื่อม ๑
สมาธิเป็นส่วนตั้งอยู่ ๑ สมาธิเป็นส่วนวิเศษ ๑ สมาธิเป็นส่วนชำแรกกิเลส ๑
สมาธิ ๕ คือ สมาธิมีปีติแผ่ไป ๑ สมาธิมีสุขแผ่ไป ๑ สมาธิมีจิตแผ่ไป ๑
สมาธิมีแสงสว่างแผ่ไป ๑ สมาธิมีการพิจารณาเป็นนิมิต ๑ สมาธิ ๖ คือ
สมาธิคือเอกัคคตาจิตมิได้ฟุ้งซ่านด้วยสามารถพุทธานุสสติ ๑ ธรรมานุสสติ ๑
สังฆานุสสติ ๑ สีลานุสสติ ๑ จาคานุสสติ ๑ เทวตานุสสติ ๑ สมาธิ ๗ คือ
ความเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ ๑ ความเป็นผู้ฉลาดในการเข้าสมาธิ ๑ ความเป็นผู้
ฉลาดในการตั้งสมาธิ ๑ ความเป็นผู้ฉลาดในการออกจากสมาธิ ๑ ความเป็นผู้
ฉลาดในความงามแห่งสมาธิ ๑ ความเป็นผู้ฉลาดในโคจรแห่งสมาธิ ๑ ความ
เป็นผู้ฉลาดในการน้อมไปแห่งสมาธิ ๑ สมาธิ ๘ คือ สมาธิ คือเอกัคคตาจิต
มิได้ฟุ้งซ่านด้วยสามารถปฐวีกสิณ ๑ อาโปกสิณ ๑ เตโชกสิณ ๑ วาโยกสิณ ๑
นีลกสิณ ๑ ปีตกสิณ ๑ โลหิตกสิณ ๑ โอทาตกสิณ ๑ สมาธิ ๙ คือ
รูปาวจรสมาธิส่วนเลว ๑ ส่วนปานกลาง ๑ ส่วนประณีต ๑ อรูปาวจรส่วนเลว
๑ ส่วนปานกลาง ๑ ส่วนประณีต ๑ สุญญตสมาธิ ๑ อนิมิตตสมาธิ ๑
อัปปณิหิตสมาธิ ๑ สมาธิ ๑๐ คือ สมาธิคือเอกัคคตาจิตมิได้ฟุ้งซ่าน ด้วย
สามารถอัทธุมาตกสัญญา ๑ วินีลกสัญญา ๑ วิปุพพกสัญญา ๑ วิฉิททก
สัญญา ๑ วิกขายิตกสัญญา ๑ วิกขิตตกสัญญา ๑ หตวิกขายิตกสัญญา ๑
โลหิตกสัญญา ๑ ปุฬุวกสัญญา ๑ อัฏฐิกสัญญา ๑  สมาธิเหล่านี้รวมเป็น
๕๐ ฯ
               อีกอย่างหนึ่ง สภาพในความเป็นสมาธิแห่งสมาธิ ๒๕ ประการ
คือ สมาธิเพราะอรรถว่าอันสัทธินทรีย์เป็นต้นกำหนดถือเอา ๑ เพราะอรรถว่า
อินทรีย์เป็นบริวารแห่งกันและกัน ๑ เพราะอรรถว่าสัทธินทรีย์เป็นต้นบริบูรณ์
๑ เพราะอรรถว่ามีอารมณ์เป็นอันเดียว ๑ เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ๑ เพราะ
อรรถว่าไม่แส่ไป ๑ เพราะอรรถว่าไม่ขุ่นมัว ๑ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว ๑
เพราะอรรถว่าหลุดพ้นจากกิเลส ๑ เพราะความที่จิตตั้งอยู่ด้วยสามารถความตั้งมั่น
ในความเป็นจิตมีอารมณ์เดียว ๑ เพราะอรรถว่าแสวงหาความสงบ ๑ เพราะ
อรรถว่าไม่แสวงหาธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบ ๑ เพราะแสวงหาความ
สงบแล้ว ๑ เพราะไม่แสวงหาธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบแล้ว ๑ เพราะ
อรรถว่ายึดมั่นความสงบ ๑ เพราะอรรถว่าไม่ยึดมั่นธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความ
สงบ ๑ เพราะยึดมั่นความสงบแล้ว ๑ เพราะไม่ยึดมั่นธรรมอันเป็นข้าศึก
แก่ความสงบแล้ว ๑ เพราะอรรถว่าปฏิบัติสงบ ๑ เพราะอรรถว่าไม่ปฏิบัติไม่
สงบ ๑ เพราะปฏิบัติสงบแล้ว ๑ เพราะไม่ปฏิบัติไม่สงบแล้ว ๑ เพราะ
อรรถว่าเพ่งความสงบ ๑ เพราะอรรถว่าเผาธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบ ๑
เพราะเพ่งความสงบแล้ว ๑ เพราะเผาธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบแล้ว ๑
เพราะอรรถว่าเป็นธรรมสงบ เป็นสภาพเกื้อกูลและนำสุขมาให้ ๑ สภาพใน
ความเป็นสมาธิแห่งสมาธิเหล่านี้รวมเป็น ๒๕ ฯ
             ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่า
รู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการสำรวมแล้วตั้งไว้ดี เป็น
สมาธิภาวนามยญาณ ฯ

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑  บรรทัดที่ ๑๐๘๘ - ๑๑๒๙.  หน้าที่  ๔๕ - ๔๖.
 http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=1088&Z=1129&pagebreak=0
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=92
             สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑
http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๓๑
http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_31


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 23 พฤษภาคม 2556, 10:56:53


น้องพธูไม่ให้เสียเวลาเลย ใช้พระไตรปิฏกเป็นอ้างอิง
ขอบคุณมากๆครับ
อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 23 พฤษภาคม 2556, 00:50:31
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค


              ปัญญาในการสำรวมแล้วตั้งไว้ด้วยดี เป็นสมาธิภาวนามยญาณ
อย่างไร สมาธิอย่างหนึ่ง คือ เอกัคคตาจิต สมาธิ ๒ คือ โลกิยสมาธิ ๑
โลกุตรสมาธิ ๑ สมาธิ ๓ คือ สมาธิมีวิตกและวิจาร ๑ สมาธิไม่มีวิตกมีแต่
วิจาร ๑ สมาธิไม่มีวิตกไม่มีวิจาร ๑ สมาธิ ๔ คือ สมาธิมีส่วนเสื่อม ๑
สมาธิเป็นส่วนตั้งอยู่ ๑ สมาธิเป็นส่วนวิเศษ ๑ สมาธิเป็นส่วนชำแรกกิเลส ๑
สมาธิ ๕ คือ สมาธิมีปีติแผ่ไป ๑ สมาธิมีสุขแผ่ไป ๑ สมาธิมีจิตแผ่ไป ๑
สมาธิมีแสงสว่างแผ่ไป ๑ สมาธิมีการพิจารณาเป็นนิมิต ๑ สมาธิ ๖ คือ
สมาธิคือเอกัคคตาจิตมิได้ฟุ้งซ่านด้วยสามารถพุทธานุสสติ ๑ ธรรมานุสสติ ๑
สังฆานุสสติ ๑ สีลานุสสติ ๑ จาคานุสสติ ๑ เทวตานุสสติ ๑ สมาธิ ๗ คือ
ความเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ ๑ ความเป็นผู้ฉลาดในการเข้าสมาธิ ๑ ความเป็นผู้
ฉลาดในการตั้งสมาธิ ๑ ความเป็นผู้ฉลาดในการออกจากสมาธิ ๑ ความเป็นผู้
ฉลาดในความงามแห่งสมาธิ ๑ ความเป็นผู้ฉลาดในโคจรแห่งสมาธิ ๑ ความ
เป็นผู้ฉลาดในการน้อมไปแห่งสมาธิ ๑ สมาธิ ๘ คือ สมาธิ คือเอกัคคตาจิต
มิได้ฟุ้งซ่านด้วยสามารถปฐวีกสิณ ๑ อาโปกสิณ ๑ เตโชกสิณ ๑ วาโยกสิณ ๑
นีลกสิณ ๑ ปีตกสิณ ๑ โลหิตกสิณ ๑ โอทาตกสิณ ๑ สมาธิ ๙ คือ
รูปาวจรสมาธิส่วนไม่ดี ๑ ส่วนปานกลาง ๑ ส่วนประณีต ๑ อรูปาวจรส่วนไม่ดี
๑ ส่วนปานกลาง ๑ ส่วนประณีต ๑ สุญญตสมาธิ ๑ อนิมิตตสมาธิ ๑
อัปปณิหิตสมาธิ ๑ สมาธิ ๑๐ คือ สมาธิคือเอกัคคตาจิตมิได้ฟุ้งซ่าน ด้วย
สามารถอัทธุมาตกสัญญา ๑ วินีลกสัญญา ๑ วิปุพพกสัญญา ๑ วิฉิททก
สัญญา ๑ วิกขายิตกสัญญา ๑ วิกขิตตกสัญญา ๑ หตวิกขายิตกสัญญา ๑
โลหิตกสัญญา ๑ ปุฬุวกสัญญา ๑ อัฏฐิกสัญญา ๑  สมาธิเหล่านี้รวมเป็น
๕๐ ฯ
               อีกอย่างหนึ่ง สภาพในความเป็นสมาธิแห่งสมาธิ ๒๕ ประการ
คือ สมาธิเพราะอรรถว่าอันสัทธินทรีย์เป็นต้นกำหนดถือเอา ๑ เพราะอรรถว่า
อินทรีย์เป็นบริวารแห่งกันและกัน ๑ เพราะอรรถว่าสัทธินทรีย์เป็นต้นบริบูรณ์
๑ เพราะอรรถว่ามีอารมณ์เป็นอันเดียว ๑ เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ๑ เพราะ
อรรถว่าไม่แส่ไป ๑ เพราะอรรถว่าไม่ขุ่นมัว ๑ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว ๑
เพราะอรรถว่าหลุดพ้นจากกิเลส ๑ เพราะความที่จิตตั้งอยู่ด้วยสามารถความตั้งมั่น
ในความเป็นจิตมีอารมณ์เดียว ๑ เพราะอรรถว่าแสวงหาความสงบ ๑ เพราะ
อรรถว่าไม่แสวงหาธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบ ๑ เพราะแสวงหาความ
สงบแล้ว ๑ เพราะไม่แสวงหาธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบแล้ว ๑ เพราะ
อรรถว่ายึดมั่นความสงบ ๑ เพราะอรรถว่าไม่ยึดมั่นธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความ
สงบ ๑ เพราะยึดมั่นความสงบแล้ว ๑ เพราะไม่ยึดมั่นธรรมอันเป็นข้าศึก
แก่ความสงบแล้ว ๑ เพราะอรรถว่าปฏิบัติสงบ ๑ เพราะอรรถว่าไม่ปฏิบัติไม่
สงบ ๑ เพราะปฏิบัติสงบแล้ว ๑ เพราะไม่ปฏิบัติไม่สงบแล้ว ๑ เพราะ
อรรถว่าเพ่งความสงบ ๑ เพราะอรรถว่าเผาธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบ ๑
เพราะเพ่งความสงบแล้ว ๑ เพราะเผาธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบแล้ว ๑
เพราะอรรถว่าเป็นธรรมสงบ เป็นสภาพเกื้อกูลและนำสุขมาให้ ๑ สภาพใน
ความเป็นสมาธิแห่งสมาธิเหล่านี้รวมเป็น ๒๕ ฯ
             ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่า
รู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการสำรวมแล้วตั้งไว้ดี เป็น
สมาธิภาวนามยญาณ ฯ

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑  บรรทัดที่ ๑๐๘๘ - ๑๑๒๙.  หน้าที่  ๔๕ - ๔๖.
 http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=1088&Z=1129&pagebreak=0
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=92
             สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑
http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๓๑
http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_31


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 23 พฤษภาคม 2556, 12:01:32
ติ๋มคะ
เขาออกสื่อแล้ว งานคืนสู่เหย้า 25 มกราคม 2557 ค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: เหยง 16 ที่ 23 พฤษภาคม 2556, 12:49:55
คุณป้อม


มั่นใจได้ขนาดนั้นเชียวหรือ ??

เช้า-จัดงานทำบุญ
บ่าย-ประชุมวิสามัญของสมาคม นั่นคิือ การรับรองงบดุลและการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ คนใหม่
งานหนักอยู่ที่เรื่องงบดุล ของสมาคมฯ ปี 2556
ปกติ งบดุล สมาคม มูลนิธิ บริษัท ต้องเสร็จและส่งสรรพากรภายในเดือนพฤษภาคม ของปีถัดไป
ประชุม 25 ม.ค. ผู้ตรวจสอบบัญชีต้องตรวจสอบและรายงานงบดุลให้เสร็จก่อนวันประชุม

ส่วนเรื่องเลือกตั้งนายกสมาคมฯ และคณะกรรมการสมาคมฯ ไม่น่าจะมีปัญหา

หากจัดงาน ก็เรียกประชุม จัดการเลือกตั้งนายกสมาคมและกรรมการ งบดุลทิ้งไว้ทีหลัง

เย็น/ค่ำ-จัดงาน"คืนสู่เหย้า"


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 23 พฤษภาคม 2556, 13:16:38
ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขาออกข่าวมาแล้ว วันที่ 14 มิย.อยู่กทม.หรือเปล่า ไปกินข้าวด้วยกันไหม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: เหยง 16 ที่ 23 พฤษภาคม 2556, 13:27:07
ข่าวที่ไม่มีรายละเอียด มีแต่รูป อ่อนการ ปชส.??  emo47

วันที่ 14 มิถุนายน ยังไม่มีโปรแกรม และยังไม่มีกำหนดว่าจะเข้า กทม. วงเอาไว้ก่อนน่ะ
  emo24:(


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 23 พฤษภาคม 2556, 21:54:59
ป้อมขา
ถ้าเป็นอย่างที่คุณเหยงเขาดูถึงสถานการณ์ก็น่าจะเลยไปต้นเดือนกุมภาฯนะคะ ซึ่งดีกว่าสำหรับติ๋มเพราะอยากอยู่ทำบุญให้บุพการีและอื่นๆอีกมากมายในเดือนกุมภาพันธ์ อ้อ! แล้วก็วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวัน มาฆบูชาด้วยค่ะ

เกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเป็นธรรมดาของธรรมชาติ เดือนกุมภาพันธ์นี้เป็นเดือนที่เน้นให้ติ๋มเห็นหลักธรรมชาตินี้เป็นอย่างดีเลยค่ะ


อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 23 พฤษภาคม 2556, 13:16:38
ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขาออกข่าวมาแล้ว วันที่ 14 มิย.อยู่กทม.หรือเปล่า ไปกินข้าวด้วยกันไหม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 24 พฤษภาคม 2556, 00:01:05
คงต้องรอฟังข่าวต่อไปอีกค่ะ ยังอีกนานนะคะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 24 พฤษภาคม 2556, 01:44:41

วันวิสาขบูชามาเยือนอีกครั้ง
ขอให้ทุกๆท่านทั้งหลายผู้โชคดีที่ยังมีโอกาสปฏิบัติสัมมาสมาธิอันเป็นการปฏิบัติขั้นสำคัญของมรรคซึ่งมีองค์ ๘ นะคะ
ขอความตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีลเพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม...สมเด็จพระสังฆราช

http://www.youtube.com/watch?v=gpqsh9iuK4I


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 24 พฤษภาคม 2556, 01:59:30


วันวิสาขบูชา ขอส่งดอกบัวที่ได้จากสุโขทัยมาฝากเพื่อนพี่น้องสำหรับบูชาพระพุทธเจ้าค่ะ

(http://www.cmadong.com/picup/201212/1970013693351365913456762.jpg)

ซออู้ไพเราะมาก
http://www.youtube.com/watch?v=eB9-BOBJ89s

http://www.youtube.com/watch?v=_lNjLIBfOsc


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: เหยง 16 ที่ 24 พฤษภาคม 2556, 07:19:57
คุณติ๋ม, คุณป้อม

หากตัดเรื่องการรับรอง "งบดุล" ออกไป ก็สามารถจัดประชุมและจัดงาน "คืนสู่เหย้า"ได้
เพราะปัญหาอยู่ที่สถานที่จัดงานว่าจะเป็นที่ใด ?? หากเป็น "ศาลาพระเกี้ยว" ต้องดูว่ามีใครจองแล้วหรือยัง ??
หากเป็นบริเวณที่ว่างข้างหอชาย ซึ่งเคยจัดงานเมื่อครั้งก่อนโน้น ก็ไม่มีปัญหาใดๆ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: เหยง 16 ที่ 24 พฤษภาคม 2556, 07:21:34
"ดอกบัว" ราคาแพงขึ้น เพราะวันนี้ใช้ดอกบัวเป็นสัญญลักษณ์


ปัญหาอยู่ที่ พระได้รับดอกบัวเป็นอามิสบูชาแล้ว นำไปไหว้พระต่อหรือเปล่า?? หรือโยนทิ้งหลังเสร็จพิธี ??


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 24 พฤษภาคม 2556, 11:16:16
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
            พี่ปิ๊ด เปิด VDO ทั้งสองตอนในกระทู้ พี่ปิ๊ด แล้วรู้สึกดี เลย ขออนุญาต ย้ายมาลงที่บ้านนี้ ทนฟังให้จบ แล้วน่าจะเข้าใจศาสนาพุทธ ได้ชัดขึ้น......ฟัง ด้วยเวลาที่ให้ และ ปัญญาที่เรามี ครับ
                            http://www.youtube.com/watch?v=asp4YiWMIN8
                            http://www.youtube.com/watch?v=kqtVBoriq4M


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 24 พฤษภาคม 2556, 19:53:28
เรื่องที่ ๑)วันที่จัดงาน ถ้าไม่ตรงงานฟุตบอลประเพณี ไม่เลื่อนจัด
เรื่องที่ ๒)สถานที่จัดงาน อันดับ ๑ ข้างหอ อันดับ ๒ โรงยิมหอ อันดับ ๓ หน้าหอประชุมใหญ่ ไม่มีศาลาพระเกี้ยวขอรับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 25 พฤษภาคม 2556, 11:02:35

สาธุ เป็นที่ถูกใจยื่งค่ะ

ขอบพระคุณพี่ป๊ีดมากๆค่ะ

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 24 พฤษภาคม 2556, 11:16:16
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
            พี่ปิ๊ด เปิด VDO ทั้งสองตอนในกระทู้ พี่ปิ๊ด แล้วรู้สึกดี เลย ขออนุญาต ย้ายมาลงที่บ้านนี้ ทนฟังให้จบ แล้วน่าจะเข้าใจศาสนาพุทธ ได้ชัดขึ้น......ฟัง ด้วยเวลาที่ให้ และ ปัญญาที่เรามี ครับ
                            http://www.youtube.com/watch?v=asp4YiWMIN8
                            http://www.youtube.com/watch?v=kqtVBoriq4M


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 25 พฤษภาคม 2556, 11:15:57

ชัดเจน รับทราบครับ ขอบคุณ

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 24 พฤษภาคม 2556, 19:53:28
เรื่องที่ ๑)วันที่จัดงาน ถ้าไม่ตรงงานฟุตบอลประเพณี ไม่เลื่อนจัด
เรื่องที่ ๒)สถานที่จัดงาน อันดับ ๑ ข้างหอ อันดับ ๒ โรงยิมหอ อันดับ ๓ หน้าหอประชุมใหญ่ ไม่มีศาลาพระเกี้ยวขอรับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 25 พฤษภาคม 2556, 22:03:49
ฟังธรรมะจากท่านสมเด็จพระสังฆราชแล้วจึงขนลุก รู้สึกขึ้นมาถึงบุญที่ติ๋มเองกับลูกโฟล้ทได้เคยเข้าไปกราบท่านถึงเตียงที่โรงพยาบาลสงฆ์จุฬาฯเมื่อ พศ 2554 (คศ 2011) จึงก้มลงกราบท่านจาก Memphis ซึ่งอยู่อีกข้างหนึ่งของโลกกลมๆนี้ แต่รู้สึกเหมือนก้มกราบที่หน้าองค์ท่านมากกว่าที่ได้ไปกราบองค์ท่านจริงๆในห้องพักเสียอีก ดั่งนี้จึงซาบซึ้งถึงความเป็นจริงแท้ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"


http://www.youtube.com/watch?v=YaAATNolX9U

ด้วยเหตุฉะนี้จึงทำให้รู้สึกปิติในความเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง
ถึงไปกราบพระที่ไหนๆ ดั้นด้นไปให้ถึงตัวตนของท่านอย่างแสนใกล้ แต่ไม่เคยสนใจฟังธรรมจากท่านเหล่านั้น ก็เหมือนดั่งไม่เคยได้เห็นท่านเหล่านั้นเลย แล้วจะมีประโยชน์อันใดถ้าฟังแล้วไม่นำมาปฏิบัติให้เกิดมรรคผล


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 27 พฤษภาคม 2556, 14:01:17
(http://www.cmadong.com/picup/201212/5048613696380254948686524.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 28 พฤษภาคม 2556, 02:23:37

ถูกใจ โดนใจมากค่ะ น้องพธู
ใครคิดได้แบบนี้นั้นถือว่าเป็นผู้โชคดี แบบไม่ต้องถูก Lottery เลยนะคะ


 :)like :)like


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 28 พฤษภาคม 2556, 02:28:10
(http://www.cmadong.com/picup/201212/7604413696828656454539964.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 28 พฤษภาคม 2556, 19:58:40
 :)like :)like
ขอบคุณสำหรับข้อคิดที่ดีๆ และทำให้ห้องนี้น่าชม น่าอ่าน น่ามาเยือนค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: เริง2520 ที่ 28 พฤษภาคม 2556, 22:41:17
 :)like :)like :)like ด้วย ฮ่า ฮ่า


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 28 พฤษภาคม 2556, 23:16:42
ไม่ได้คิดเองครับ เห็นว่า ฉุกใจ ได้ดี เลยนำมาบอกต่อขอรับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 29 พฤษภาคม 2556, 01:07:56

วันนี้เอาเรื่องของ นิวรณ์ 5 มาฝากพี่ป๋องและเพื่อนพี่น้องที่รักค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=phyAt6VIHcY


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 29 พฤษภาคม 2556, 01:44:36
(http://www.cmadong.com/picup/201212/304113697666332044172575.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 31 พฤษภาคม 2556, 02:44:23

อัตตา
 emo20:)):) emo20:)):)


http://www.youtube.com/watch?v=Sj1NQrIVJ98


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 31 พฤษภาคม 2556, 21:49:00

อตัมมยตา

มันเป็นเช่นนั้นเอง

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


http://www.youtube.com/watch?v=spsG8NPkqsc


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 02 มิถุนายน 2556, 11:13:04

 emo4:))
อยู่บ้านคนเดียว เลยเงียบๆ เปลี่ยนบรรยากาศเป็นฟังเพลงพระราชนิพนธ์บ้างล่ะกันเรา


นิจจัง สังขาร นั้นไม่เที่ยง


http://www.youtube.com/watch?v=SMOM7fdc9EI


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบ US
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 02 มิถุนายน 2556, 21:50:13
 emo42

http://www.youtube.com/watch?v=uReGn1l4ir8


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 03 มิถุนายน 2556, 00:09:48
 ฟังเพลงนี้แล้ว ก็ ต้องนึก ถึง หนังการ์ตูนเรื่องนี้  ตอนเด็กๆ ได้ ดู Pinocchio จำไม่ได้ว่าได้ดู อย่างไร ที่ไหน น่าจะเข้าโรงใหญ่
 เด็กพูดโกหก (หุ่นไม้)เกิดมีชีวิตจากการขอพร จากเทพแห่งดวงดาว  จมูก งอกยาวขึ้นๆเวลาพูดโกหก ,...? ตอนจบได้กลายเป็นเด็ก จริงๆ  ...
                           http://www.youtube.com/watch?v=hKaVpVj9rCQ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 03 มิถุนายน 2556, 10:41:19

สวัสดีครับพี่ติ๋ม พี่ปี๊ด น้องป๋าทู
ตามดูตามอ่านครับ แต่ไม่ได้ฟังทั้งหมด อิ อิ


 emo4:)) emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 05 มิถุนายน 2556, 01:12:19

ยินดีที่น้องหนุนแวะมาเยี่ยมค่ะ
ส่วนใหญ่จะอยู่บ้านคนเดียว มีพี่ปี๊ดมาทักทายเป็นขาประจำ นอกนั้นคงแวะมาเมียงมองบ้าง
ถ้าได้ฟังที่พี่ติ๋มโพสท์ก็เป็นแค่เสนอว่าพี่ติ๋มฟังอะไร สนใจอะไร เผื่อมีพี่น้องสนใจคล้ายๆกัน




อ้างถึง
ข้อความของ หนุน'21 เมื่อ 03 มิถุนายน 2556, 10:41:19

สวัสดีครับพี่ติ๋ม พี่ปี๊ด น้องป๋าทู
ตามดูตามอ่านครับ แต่ไม่ได้ฟังทั้งหมด อิ อิ


 emo4:)) emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 05 มิถุนายน 2556, 01:15:50
                                               กาลามสูตร

กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร

อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น

สูตรนี้ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาละมะนั้นเป็นชาวเกสปุตตะนิคม ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ



ตัวอย่าง

อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 05 มิถุนายน 2556, 10:01:55
เด๋วนี้การปงใจเชื่อ ขาดธรรม มาก
เลยวุ่นวายมาก


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 05 มิถุนายน 2556, 20:57:03
โฮ จริงด้วย น้องพธูก็เป็นอีกแรงที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้บ้านนี้มีสิ่งน่าสนใจมากขึ้น
จริงค่ะ พระตถาคตทรงเห็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบปลงใจเชื่อไว้ก่อนเพราะง่ายกว่าที่จะต้องค้นหาเอง พระองค์จึงทรงเตือนไว้

ที่ US นี่กำลังมีปัญหาว่าหาคนจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ยาก เพราะเส้นทางของวิชามันลำบากมากกว่าอย่างอื่น เพราะเป็นวิชาการที่ต้องตั้งโจทย์และหาคำตอบเอาเอง อัตตา หิ อัตตโน นาโถ

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 05 มิถุนายน 2556, 10:01:55
เด๋วนี้การปงใจเชื่อ ขาดธรรม มาก
เลยวุ่นวายมาก


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 06 มิถุนายน 2556, 01:43:35

ธรรมะคือ ปกติชีวิต
อิทัปปจจยตา สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี


http://www.youtube.com/watch?v=ZvGrSYOXyeI


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 06 มิถุนายน 2556, 22:34:00

มองเป็นก็เห็นสุข

http://www.youtube.com/watch?v=vcvBWCEdDiM


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 07 มิถุนายน 2556, 03:31:29
เปลี่ยนบรรยากาศ
ฟังเพลงคนรุ่นใหม่ Improvide ได้ไพเราะ เหมาะสมัย
มีเวลาเยอะก็เอามารักษาวัฒนธรรมกันดีนะคะ

 :)like :)like

http://www.youtube.com/watch?v=stdykbgf_Zs


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 07 มิถุนายน 2556, 10:00:34
เรียบเรียงใหม่ได้ดีจัง เครื่องเสียงเยอะขึ้น  (ก็ไม่เชิงไม่เท่าวงใหญ่) ชัดถ้อย ชัดคำ....ไพเราะ ครับ น้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 08 มิถุนายน 2556, 01:55:20

เพลงไทยสากลเก่าๆ สะท้อนภาพไทยๆ ความสุขแบบไทยๆ

http://www.youtube.com/watch?v=_iSuXzbnnxk

http://www.youtube.com/watch?v=2-iq-Voq3P4


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 08 มิถุนายน 2556, 02:00:52


ยิ้มเถิด ยิ้มเถิด นะยิ้ม ยิ้มแยมแจ่มใส สุขสราญบานใจ ขอให้สวัสดี

http://www.youtube.com/watch?v=20I1VXyzZ-Q


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 11 มิถุนายน 2556, 03:04:24

สาธุ กับสิ่งที่ดีๆ

http://www.youtube.com/watch?v=t-JnKwxdENY


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 11 มิถุนายน 2556, 09:15:03
ดีจัง....ที่น้องติ๋มนํา VDO ข้างบนมาลง......พระเจสัน......สาธุ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 11 มิถุนายน 2556, 10:38:45
เพลงเพราะๆทั้งนั้นเลย ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 11 มิถุนายน 2556, 10:59:26
หลายคนสะท้านสะเทือนกับข่าว'พระมิตซูโอะ คเวสโก' เจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มมูลนิธิมายา โคตมี ลาสิกขา
แต่เมื่อพิจารณาตามหลักไตรลักษณ์ ทำให้เข้าใจถึงความไม่เที่ยงยิ่งขึ้น แม้ว่าท่านจะอยู่ในเพศสมณะมาเกือบ 40 ปี แต่เมื่อไม่สามารถครองเพศสมณะได้ต่อไป จนต้องลาสิกขา ก็ดีกว่าทำท่าครองผ้าไตรแต่ใจไปไหนไม่รู้ ท่านคงได้ไตร่ตรองแล้ว และตัดสินใจแล้ว เราควรเคารพการตัดสินใจของท่าน
 แต่ในความเห็นส่วนตัวเมื่อลาสิกขาไปท่านอาจช่วยพระศาสนาในฐานะฆราวาสต่อไปก็ได้ และเมื่อหากท่านรักษาตัวจนหายดี ท่านคงกลับมาบวชใหม่ เพราะทุกข์ของฆราวาสมากมายกว่านักบวชนัก


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pooh20 ที่ 11 มิถุนายน 2556, 11:02:47
พี่ติ๋มคะ
-ปุ๊/ครุฯ20ค่ะ
-ชอบเพลงหลายๆเพลงที่พี่นำมาค่ะ  บางเพลงเหมือนจะลืมไปแล้วแต่พอเห็นชื่อและลองเปิดฟัง  มันเรียกคืนบรรยากาศในอดีตได้ดีเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 11 มิถุนายน 2556, 12:26:51
อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 11 มิถุนายน 2556, 10:59:26
หลายคนสะท้านสะเทือนกับข่าว'พระมิตซูโอะ คเวสโก' เจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มมูลนิธิมายา โคตมี ลาสิกขา
แต่เมื่อพิจารณาตามหลักไตรลักษณ์ ทำให้เข้าใจถึงความไม่เที่ยงยิ่งขึ้น แม้ว่าท่านจะอยู่ในเพศสมณะมาเกือบ 40 ปี แต่เมื่อไม่สามารถครองเพศสมณะได้ต่อไป จนต้องลาสิกขา ก็ดีกว่าทำท่าครองผ้าไตรแต่ใจไปไหนไม่รู้ ท่านคงได้ไตร่ตรองแล้ว และตัดสินใจแล้ว เราควรเคารพการตัดสินใจของท่าน
 แต่ในความเห็นส่วนตัวเมื่อลาสิกขาไปท่านอาจช่วยพระศาสนาในฐานะฆราวาสต่อไปก็ได้ และเมื่อหากท่านรักษาตัวจนหายดี ท่านคงกลับมาบวชใหม่ เพราะทุกข์ของฆราวาสมากมายกว่านักบวชนัก

 :)like :)like emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 11 มิถุนายน 2556, 12:28:55

สวัสดีครับพี่ติ๋ม พี่ปี๊ด พี่ป้อม พี่ปุ๊ ป๋าทู และพี่น้องทุกท่าน
เข้ามาตามอ่านตามชมครับ


 emo6::)) emo43


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: สมชาย17 ที่ 11 มิถุนายน 2556, 14:47:06
 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 07 มิถุนายน 2556, 03:31:29
เปลี่ยนบรรยากาศ
ฟังเพลงคนรุ่นใหม่ Improvide ได้ไพเราะ เหมาะสมัย
มีเวลาเยอะก็เอามารักษาวัฒนธรรมกันดีนะคะ

 :)like :)like

http://www.youtube.com/watch?v=stdykbgf_Zs
อ้างถึง
ข้อความของ หนุน'21 เมื่อ 11 มิถุนายน 2556, 12:26:51
อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 11 มิถุนายน 2556, 10:59:26
หลายคนสะท้านสะเทือนกับข่าว'พระมิตซูโอะ คเวสโก' เจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มมูลนิธิมายา โคตมี ลาสิกขา
แต่เมื่อพิจารณาตามหลักไตรลักษณ์ ทำให้เข้าใจถึงความไม่เที่ยงยิ่งขึ้น แม้ว่าท่านจะอยู่ในเพศสมณะมาเกือบ 40 ปี แต่เมื่อไม่สามารถครองเพศสมณะได้ต่อไป จนต้องลาสิกขา ก็ดีกว่าทำท่าครองผ้าไตรแต่ใจไปไหนไม่รู้ ท่านคงได้ไตร่ตรองแล้ว และตัดสินใจแล้ว เราควรเคารพการตัดสินใจของท่าน
 แต่ในความเห็นส่วนตัวเมื่อลาสิกขาไปท่านอาจช่วยพระศาสนาในฐานะฆราวาสต่อไปก็ได้ และเมื่อหากท่านรักษาตัวจนหายดี ท่านคงกลับมาบวชใหม่ เพราะทุกข์ของฆราวาสมากมายกว่านักบวชนัก

 :)like :)like emo6::))

ได้แต่มาเมียงมอง กระทู้นี้มาหลาย เพลา  แต่มิกล้าเข้ามาทักทาย
เมื่อมาฟังเสียงเพลง ใสๆเย็นๆ แล้วนึก ถึงภาพของ พี่จันทร์ฉาย สมัยอยู่เรียนหอ ที่เคยเล่นตะเข้ ก็ไพเราะแบบๆนี้แหละ

เรื่องท่าน คเวสโก ลาสิกขาบท ซึ่งกำลังเป็นข่าว ทุกวันนี้   ผมเองได้อ่านบทความธรรมะที่ท่านเขียนบ่อยๆ
อ่านแล้วเข้าใจง่าย บทความชุดแรกๆ ผมได้รับมาจาก พี่ ดร.ทราย   ท่าน คเวสโก ท่านเองคงมีแผนชีวิตของท่านเอง  แบบ น้องพธู ว่าไว้ เราต้องเคารพในการตัดสินใจของท่าน


กระทู้ ดี มีประโยชน์มาก แต่มิกล้า เข้ามาทักทาย ได้แต่ เมียงมอง ครับผม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 11 มิถุนายน 2556, 21:15:54

น้องชายครับ
พี่ติ๋มดีใจที่น้องเข้ามาเยี่ยม และจำพี่สาวคนนี้ได้ ขออย่าได้แต่เมียงมองเลย กรุณาแสดงความเห็นแลกเปลี่ยนความเห็น เพื่อความสุขสงบสวัสดีแก่เราพี่น้องถ้วนหน้าเถอะนะคะ
พี่เห็นด้วยกับน้องๆที่การเคารพการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของเอกัตตบุคคลค่ะ เราไม่สามารถทราบถึงเหตุผลส่วนตัวของเขาผู้อื่นได้
ที่เราทำได้ก็คือตั้งใจดูความมีศีลและ สติกำหนดรู้จิตกับกายของตนนั้นสำคัญมากมายนัก

น้องชายเข้ามาคุยบ่อยๆนะคะ



อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 11 มิถุนายน 2556, 14:47:06
 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 07 มิถุนายน 2556, 03:31:29
เปลี่ยนบรรยากาศ
ฟังเพลงคนรุ่นใหม่ Improvide ได้ไพเราะ เหมาะสมัย
มีเวลาเยอะก็เอามารักษาวัฒนธรรมกันดีนะคะ

 :)like :)like

http://www.youtube.com/watch?v=stdykbgf_Zs
อ้างถึง
ข้อความของ หนุน'21 เมื่อ 11 มิถุนายน 2556, 12:26:51
อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 11 มิถุนายน 2556, 10:59:26
หลายคนสะท้านสะเทือนกับข่าว'พระมิตซูโอะ คเวสโก' เจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มมูลนิธิมายา โคตมี ลาสิกขา
แต่เมื่อพิจารณาตามหลักไตรลักษณ์ ทำให้เข้าใจถึงความไม่เที่ยงยิ่งขึ้น แม้ว่าท่านจะอยู่ในเพศสมณะมาเกือบ 40 ปี แต่เมื่อไม่สามารถครองเพศสมณะได้ต่อไป จนต้องลาสิกขา ก็ดีกว่าทำท่าครองผ้าไตรแต่ใจไปไหนไม่รู้ ท่านคงได้ไตร่ตรองแล้ว และตัดสินใจแล้ว เราควรเคารพการตัดสินใจของท่าน
 แต่ในความเห็นส่วนตัวเมื่อลาสิกขาไปท่านอาจช่วยพระศาสนาในฐานะฆราวาสต่อไปก็ได้ และเมื่อหากท่านรักษาตัวจนหายดี ท่านคงกลับมาบวชใหม่ เพราะทุกข์ของฆราวาสมากมายกว่านักบวชนัก

 :)like :)like emo6::))

ได้แต่มาเมียงมอง กระทู้นี้มาหลาย เพลา  แต่มิกล้าเข้ามาทักทาย
เมื่อมาฟังเสียงเพลง ใสๆเย็นๆ แล้วนึก ถึงภาพของ พี่จันทร์ฉาย สมัยอยู่เรียนหอ ที่เคยเล่นตะเข้ ก็ไพเราะแบบๆนี้แหละ

เรื่องท่าน คเวสโก ลาสิกขาบท ซึ่งกำลังเป็นข่าว ทุกวันนี้   ผมเองได้อ่านบทความธรรมะที่ท่านเขียนบ่อยๆ
อ่านแล้วเข้าใจง่าย บทความชุดแรกๆ ผมได้รับมาจาก พี่ ดร.ทราย   ท่าน คเวสโก ท่านเองคงมีแผนชีวิตของท่านเอง  แบบ น้องพธู ว่าไว้ เราต้องเคารพในการตัดสินใจของท่าน


กระทู้ ดี มีประโยชน์มาก แต่มิกล้า เข้ามาทักทาย ได้แต่ เมียงมอง ครับผม



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 11 มิถุนายน 2556, 21:29:08

น้องปุ๊คะ
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมพี่ติ๋มที่นี่ ดีใจที่น้องยังชอบเพลงไทยๆของเราอยู่ มีอะไรแนะนำก็กรุณาเข้ามาเขียนคุยกันนะคะ

วันนี้เอาเพลงทองย่อน ที่ร้องโดยครูเก่าผู้มีเสียงและลีลาการร้องที่หายากยิ่งนัก ท่านเป็นคุณพ่อของครูสุรางค์ และ คุณนฤพล ดุริยพันธุ์ ค่ะ
ไม่ทราบว่าน้องรู้จักท่านเหล่านี้บ้างไหม


http://www.youtube.com/watch?v=QYG4XqafBTg

อ้างถึง
ข้อความของ Pooh เมื่อ 11 มิถุนายน 2556, 11:02:47
พี่ติ๋มคะ
-ปุ๊/ครุฯ20ค่ะ
-ชอบเพลงหลายๆเพลงที่พี่นำมาค่ะ  บางเพลงเหมือนจะลืมไปแล้วแต่พอเห็นชื่อและลองเปิดฟัง  มันเรียกคืนบรรยากาศในอดีตได้ดีเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบเมตตา กรุณา
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 11 มิถุนายน 2556, 21:39:32
 emo6::)) emo4:))

Love, no matter what - ยังไงๆก็รัก

http://www.youtube.com/watch?v=9EVEmZ2c_es


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pooh20 ที่ 11 มิถุนายน 2556, 23:15:21
#พอเห็นคำว่าเพลงทองย่อน  ทำให้คิดถึงอดีตเพื่อนที่ทำงานขึ้นมาเลยค่ะ (เพื่อนไปสบายแล้ว...)..เพื่อนร้องเพลงไทยเดิมได้ไพเราะมากค่ะ..
#ชื่อคุณนฤพนธ์ ดุริยพันธ์...คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นนักแสดงทางโทรทัศน์.. รูปหล่อ.. ร้องเพลงเพราะ..ทั้งเพลงไทยสากลและเพลงไทยเดิม..
   


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 12 มิถุนายน 2556, 00:47:52
จากช่องข่าว เป็นช่องธรรมมะได้แผลบเดียว กลายเป็นช่อง MV ซะแล้ว


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 12 มิถุนายน 2556, 03:44:38



แต่งใจ ไม่ให้เหมือนเดิม
พระพรรษาน้อย แต่บรรยายธรรมแบบคนแก่ต้องรีบก้มกราบ
สาธุ สาธุ สาธุ
ถึงจะยาวมาก แต่ฟังแล้วจิตสบาย  :)like  :)like


http://www.youtube.com/watch?v=Duyufg3Brns


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 12 มิถุนายน 2556, 22:28:08
ฟังจบแล้ว น้องตี๊ม ท่านเทศน์  ใช้ได้เลยละ แสดงว่าท่านมีพระอาจารย์ดี มีคุณแม่ที่ถือศีลด้วย คงไปได้ไกล กว่าท่านจะมีพรรษา
 มากๆ .......ที่ work มาก คือท่านเทศน์ได้ ทั้ง สองภาษา ซึ่งเป็นประโยชน์ มาก  สำหรับวงการศาสนาพุทธ   :)like emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 12 มิถุนายน 2556, 22:42:07
อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 12 มิถุนายน 2556, 00:47:52
จากช่องข่าว เป็นช่องธรรมมะได้แผลบเดียว กลายเป็นช่อง MV ซะแล้ว
เหอๆๆๆ ธรรมดาน่ะค่ะ โลกเปลี่ยน (สนามแม่เหล็กโลกเปลี่ยน) ฤดูเปลี่ยน จิตเปลี่ยน ช่องนี้เปลี่ยน มันเป็นเช่นนั้นเอง
ช่องนี้ก็เป็นธรรมดาตามธรรมชาติน่ะค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 13 มิถุนายน 2556, 08:31:07

"เหตุผลบางประการ.ที่ทำให้บุญส่งผลช้า"

ทุกท่าน....คงเคยได้ยินว่า ทำบุญแล้ว บุญไม่เห็นส่งผลสักที
หากเรากำลังประสบปัญหานี้ หรือเจอใครที่พบปัญหานี้ ก็ให้ลองมาสำรวจกันว่า เป็นเพราะเหตุผลบางประการเหล่านี้หรือไม่...
1. ทำบุญด้วยความไม่ศรัทธา
2. ทำบุญด้วยความเกรงใจ
3. ทำแล้วไม่ปลื้ม
4. ทำแล้วไม่ตามตรึกระลึกนึกถึงบุญอย่างต่อเนื่อง
5. ทำไม่เต็มกำลัง
6. ทำบุญช้า เวลาได้อะไรเลยช้า
7. เวลาจะทำบุญคิดแล้วคิดอีก มีเงื่อนไขในการทำบุญ เวลาได้อะไรก็เลยได้ยาก มีเงื่อนไขมาก
กว่าจะได้ทรัพย์มาก็เหนื่อย ต้องแลกมาด้วยความยากลำบาก
8. ก่อนทำบุญ ขณะทำบุญ หลังทำบุญ ใจไม่ใส มีเรื่องหงุดหงิด กังวล โมโห จนทำให้ใจหมอง
9. วัตถุหรือเงินที่นำมาทำบุญ เป็นวัตถุไม่บริสุทธิ์ ได้มาจากความไม่สุจริต ได้จากอาชีพไม่บริสุทธิ์
10. ผู้ให้และผู้รับเป็นบุคคลไม่บริสุทธิ์ เช่นรักษาศีล 5 ศีล 8 หรือศีล 227 ข้อไม่ครบ หรือมีศีลด่างพร้อย
11. เจตนาในการทำบุญไม่บริสุทธิ์ เช่น ทำบุญเอาหน้า ทำเพราะแข่งดีแข่งเด่น ไม่ได้ทำเพราะอยากบรรลุมรรคผลนิพพาน
12. ทำบุญแล้วนึกเสียดายภายหลัง
13. ทำบุญไม่ถูกแหล่งเนื้อนาบุญ
14. ทำบุญไม่ต่อเนื่อง ทำให้บาปที่เคยทำไว้ได้ช่องส่งผลก่อนบุญจะส่งผล
15. ขาดการนั่งสมาธิที่สม่ำเสมอ เพราะการนั่งสมาธิจะทำให้ใจใส และเมื่อใจใสจะมีอำนาจไปดึงดูดบุญ
ที่เคยทำไว้ให้มารวม ส่งผลได้เร็วแรง
(จากหนังสืออยู่ในบุญ)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 14 มิถุนายน 2556, 23:16:21
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
มีกรรมเป็นของตน
มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
มีกรรมเป็นผู้นำไป
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
เป็นผู้รับผลกรรมของตน
ใครทำกรรมอันใดไว้
จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม
จักเป็นผู้รับผล
แห่งกรรมนั้นอย่างแน่นอน



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 15 มิถุนายน 2556, 02:07:03
ต่อจากน้องพธู-เรื่องของกรรม

สุข ทุกข์ ใครทำ
ธัมมานุสติ
๑. สวากขาโต เป็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว
๒. สันทิฏฐิโก เป็นธรรมที่ผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง
๓. อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลสมัย (ใช้ได้ทุกสมัย)
๔. เอหิปัสสิโก เป็นธรรมที่ควรเรียกกันมาดู (ให้พิสูจน์ดูได้)
๕. โอปนยิโก เป็นธรรมที่ควรน้อมเข้ามาในตน (ดีมีประโยชน์)
๖. ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นธรรมอันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน




http://www.youtube.com/watch?v=kiIRshjN6rw


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 16 มิถุนายน 2556, 20:45:53

วันนี้วันพ่อที่นี่

ขอบคุณพ่อทุกคนนะคะที่รักและดูแลลูกจนเติบใหญ่เป็นคนดีมีประโยคต่อส่วนรวม


http://www.youtube.com/watch?v=0-7pBxpY7Gw


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 16 มิถุนายน 2556, 21:51:42
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 16 มิถุนายน 2556, 20:45:53

วันนี้วันพ่อที่นี่

ขอบคุณพ่อทุกคนนะคะที่รักและดูแลลูกจนเติบใหญ่เป็นคนดีมีประโยคต่อส่วนรวม


http://www.youtube.com/watch?v=0-7pBxpY7Gw
                 :)like :)like emo6::)) emo6::))
                     


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 16 มิถุนายน 2556, 22:13:20
กฎแห่งกรรม คือ กฎธรรมชาติ ข้อหนึ่ง ที่ว่าด้วยการกระทำ และผลแห่งการกระทำ ซึ่ง การกระทำและ ผลแห่งการกระทำนั้น ย่อมสมเหตุ สมผลกัน เช่น ทำดี ย่อมได้รับผลดี ทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว เป็นต้น
กรรมใดใครก่อ ตนเองเท่านั้นที่จะได้รับผลของสิ่งที่กระทำ
กรรมในปัจจุบันเป็นผลมาจากการกระทำในอดีต และกรรมที่ก่อไว้ในปัจจุบันเป็นเหตุที่จะส่งผลสืบเนื่องต่อไปยังอนาคต
กรรมดี-กรรมชั่ว ลบล้างซึ่งกันและกันไม่ได้
ถึงแม้ว่าการทำกรรมดีจะลบล้างกรรมชั่วเก่าที่มีอยู่เดิมไม่ได้ แต่มีส่วนช่วยให้ผลจากกรรมชั่วที่มีอยู่เดิมผ่อนลง คือ การผ่อนหนักให้เป็นเบา (ข้อนี้ อุปมาได้กับ การที่เรามีน้ำขุ่นข้นอยู่แก้วหนึ่ง หากเติมน้ำบริสุทธิ์ลงไปแล้ว มิสามารถทำให้น้ำขุ่นกลับบริสุทธิ์ได้ แต่ทำให้น้ำขุ่นข้นนั้นกลับเจือจางลงและใสยิ่งขึ้นกว่าเดิม)
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 18 มิถุนายน 2556, 02:26:31


จิตตภาวนา

http://www.youtube.com/watch?v=lBXCaNds2nk


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 18 มิถุนายน 2556, 02:50:06
(http://www.cmadong.com/picup/201212/4401313714985722165405345.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 18 มิถุนายน 2556, 11:26:08

สวัสดีตอนสายใกล้เที่ยง...ที่เมืองไทยครับพี่ติ๋ม


(http://www.cmadong.com/picup/201212/2392613715295428593685496.jpg)


 emo6::)) emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 18 มิถุนายน 2556, 21:20:00

สวัสดีค่ะน้องหนุน น้องพธู และทุกท่านที่สนใจธรรมชาติ และธรรมดาชึวิต

ที่เมืองไทยก็ใกล้เวลานอนแล้วนะคะ
ขอให้พี่น้องนอนหลับสบาย ธรรมดาคนเราจะฝันยามหลับ ก็ขอให้เป็นฝันดี แต่ทางพุทธเขาว่ากันว่าผู้มีสมาธิและตั้งสติก่อนนอนจะไม่ฝัน
ในทาง Neuroscience and Memory ฝันเป็นการหลับที่อยู่ใน stage ที่เรียกว่า REM Sleep ซึ่งมักเป็นฝันที่จำได้ และ Stage นี้เป็นการหลับที่ช่วยเสริมสร้างความจำแบบ procedural memory and spatial memory เด็กทารกจะหลับแบบ REM ถึง 80% เพราะสมองกำลังเสริมสร้าง Neurons


Interesting Article:
http://www.happynews.com/living/sleep/rem-sleep.htm (http://www.happynews.com/living/sleep/rem-sleep.htm)
http://en.wikipedia.org/wiki/Rapid_eye_movement_sleep (http://en.wikipedia.org/wiki/Rapid_eye_movement_sleep)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 20 มิถุนายน 2556, 02:25:18
ชีวิตต้องมีความหวัง

https://www.youtube.com/watch?v=nLeeTVmVrtA&list=FLeTGD4P6ybNn8n0md33heKg&index=1 (https://www.youtube.com/watch?v=nLeeTVmVrtA&list=FLeTGD4P6ybNn8n0md33heKg&index=1)

http://www.youtube.com/watch?v=nLeeTVmVrtA


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 20 มิถุนายน 2556, 04:07:14
(http://www.cmadong.com/picup/201212/9001213716760069123597219.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 20 มิถุนายน 2556, 22:23:40

ดอกไม้ไหว้ครู

ธรรมชาติของดอกมะเขือ เป็นดอกที่โน้มต่ำลงมาเสมอ ดอกจะไม่ชูขึ้น คนไทยโบราณจึงเลือกมาเป็นดอกไม้สำหรับไหว้ครู ทั้งครูดนตรี ครูมวย ครูสอนหนังสือ ก็ให้ใช้ดอกมะเขือนี้ เพื่อศิษย์จะได้อ่อนน้อมถ่อมตนพร้อมที่จะเรียนวิชาความรู้ต่างๆ นอกจากนี้มะเขือยังมีเมล็ดมาก ไปงอกงามได้ง่ายในทุกที่ เช่นเดียวกับหญ้าแพรก

ดอกที่เห็นนี้ไปงอกที่ Memphis, USA ค่ะ


(http://www.cmadong.com/picup/201212/5036013717417388833013367.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 21 มิถุนายน 2556, 19:40:26
ธรรมชาติของคนปกติทุกคนก็จะชอบดูดอกไม้สวย ฟังเพลงไพเราะ สิ่งเหล่านี้จึงยังเป็นปัจจัยในชีวิตที่ยังหาความสุขอยู่เป็นธรรมดา

http://www.youtube.com/watch?v=WT9K6tM1vqg


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 21 มิถุนายน 2556, 20:40:44
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 21 มิถุนายน 2556, 20:53:53
พี่ปี๊ดคะ หลังไมค่ะ
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 21 มิถุนายน 2556, 20:40:44
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 28 มิถุนายน 2556, 04:14:13

กำลังใช้เวลามองดูตัวเรา กาย วาจา ใจ


http://www.youtube.com/watch?v=fbbDP65k7NA


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 02 กรกฎาคม 2556, 22:03:17

ความเห็นส่วนบุคคล และเป็นธรรมดา ถ้าคนอื่นจะไม่เห็นด้วย

จิตที่เป็นพุทธะคงเป็นแบบนี้
สาธุ สาธุ สาธุ

บทความ โดย
Somsagol Piromwaragorn


กรณีอาจารย์มิตสุโอะที่สังคมกำลังวิจารณ์อย่างหนัก
ในฐานะที่ผมเป็นชาวพุทธคนหนึ่งขอกล่าวว่า

"แทนที่จะเสื่อมศรัทธา ทำไมเราไม่มองอีกด้านว่าเหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ให้เราเห็นคุณค่าและต้องรักษาพระดีที่ยังมีอยู่?"

เราเป็นพุทธบริษัท4 เป็นเจ้าของศาสนาด้วย ต้องช่วยกันรับผิดชอบป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ด้วย อย่าบ่นว่าอย่างเดียว แต่ต้องกล้าพูดในสิ่งที่สมควร กล้าปกป้องในสิ่งที่สมควร

ผมเป็นหมอ เวลาพระมาตรวจแผนกผม ผมห้ามผู้หญิงแตะตัวเลย ยืนช่วยห่างๆหมอบริการเอง
จนท และพยาบาล ชอบคิดว่าพระป่วยไม่เปนไร
ผมบอก"ไม่ได้ ถ้าไม่ฉุกเฉิน ต้องให้ผู้ชายทำ" คิดตื้นๆมักง่ายอย่างนี้สิพระถึงทนไม่ไหวสึกกันหมด
พระที่ไม่เคร่งเรื่องนี้ก็มี แต่เราต้องมีจุดยืนว่าเราไม่อยากรับเศษกรรม เราไม่อยากเป็น 1 ในมือที่ทำลายศาสนา
ผมเห็นพระอรหันต์หลายองค์ทั้งที่สิ้นกิเลสแล้ว กลับยอมตายในป่า ไม่ยอมมารักษาเพราะกลัวพยาบาลจับตัว
พวกผมต้องรับประกันมั่นเหมาะว่าจะจัดทีมดูแลอย่างดีไม่ให้ผู้หญิงถูกตัว ท่านจึงยอมออกมารักษา
ปัญญาระดับท่านยอมตายเพื่อรักษาธรรมวินัย
ปัญญาพระปุถุชนอาจไม่ถึงขั้นท่าน
แต่เรารู้แล้วว่านักปราชญ์คิดยังไง
เราต้องเลือกปฏิบัติตามนักปราชญ์
หมอผู้หญิงให้ยืนยันไปเลยว่า"ให้ถูกตามธรรมวินัยดีกว่าค่ะ ให้น้องผู้ชายช่วยนะคะ หมอคุมอยู่ตรงนี้ค่ะ"

พระปฏิบัติหนีสังคมไปเข้าป่ามานาน ถ้ากิเลสยังไม่หมด เห็นแค่ผู้หญิงใส่ยีนส์ รู้ขนาดเรียวขา ก็คิดเตลิดไปถึงไหนแล้ว ถ้าถูกมือนิ่มๆของผู้หญิงสัมผัสตัวจะเตลิดขนาดไหน
วัดป่าจึงให้สตรีใส่ผ้าถุงดำมิดชิด เสื้อผ้าอย่าใส่คอกว้าง กราบทีเห็นนมหก อย่าใส่รัดรูปเห็นหมดว่าคัพ A B C อย่าใส่ผ้าบางเห็นทะลุถึงชั้นใน พวกนี้เรียกว่า"ชุดสึกพระ"

จริงอยู่ความรับผิดชอบส่วนใหญ่ต้องอยู่ที่ตัวพระเอง
แต่ฆราวาสอย่างเราก็มีส่วนใช่ว่าพวกเราจะไม่มีผลเสียเลย
ต้องทำในส่วนที่เราทำได้ดังกล่าวมา
ไม่งั้นให้สาวๆนุ่งสายเดี่ยวเข้าวัด เพราะเป็นความรับผิดชอบพระที่ต้องหลับตาเอาเองเหรอ?

เคยครั้งหนึ่งขณะทำการรักษาหลวงพ่อองค์นึงอยู่ ซึ่งต้องถอดจีวรท่านเปลือยท่อนบน ลูกศิษย์ชักกล้องออกมาถ่าย
ผมหยุดเลย บอกว่า พี่ลบรูปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นผมไม่ทำแล้ว
หลวงพ่อถอดอังสะออก นุ่งแต่ผ้าสบง มันงดงามมั้ย ถ่ายได้ยังไง
แถมบอกว่าจะอัพเฟสบุค ให้เพื่อนๆโมทนา
ไม่คิดบ้างว่า สมควรรึเปล่า เอารูปครูบาอาจารย์เปลื้องผ้ากำลังทำการรักษาไปลง social network

ผู้ชายก็ควรรู้ธรรมวินัยเช่น พระคุยกับสีกาตามลำพังเป็นอาบัติเพราะอาจมีการจีบกันได้ เวลาผมอยู่วัด ถ้าสีกามีธุระคุยกับพระผมต้องตามเข้าไปนั่งข้างๆ เพื่อไม่ให้ท่านอาบัติ และเป็นพยานให้ท่านว่าไม่มีการจีบกัน
เวลานั่งรถสองแถว หรือนั่งเก้าอี้ในที่สาธารณะอย่างหมอชิต สนามบิน ผู้ชายควรเข้าไปนั่งติดข้างพระเป็นต้น

การที่ท่านยังไม่บรรลุธรรม ไม่ได้แปลว่าท่านจะไม่บรรลุในอนาคต
เราในฐานะพุทธบริษัทต้องช่วยกันส่งเสริมป้องกันท่าน
ไม่ใช่มีส่วนกระชากผ้าเหลืองออกจากท่าน
เห็นครูบาอาจารย์บางองค์ที่ผมมีส่วนร่วมดูแลจนนาทีสุดท้าย เผาออกมากระดูกเป็นแก้วเป็นเครื่องยืนยันความเป็นพระอรหันต์ เราก็หายเหนื่อย
อย่าประมาทพระหนุ่มที่ยังไม่บรรลุธรรม
บางทีท่านจะบรรลุธรรมหรือไม่ อยู่ที่การส่งเสริมป้องกันของพวกเรานี่แหละใครจะรู้

หลวงปู่รูปนึง หลังจากอาพาธหนักจนเดินไม่ได้ขยับตัวไม่ได้ไข้ขึ้นสูงเกือบช็อค
พวกเราลากมารักษาที่ศิริราช อาการดีขึ้นมาก ถึงจะยังเดินไม่ได้ แต่หายปวดบวมหายไข้และพ้นจากICU
มีอาจารย์ผู้มีคุณธรรมท่านนึงกล่าวกับเพื่อนผมว่า
การที่ท่านทุเลาลงไป ทำให้ท่านตั้งจิตขึ้นมาใหม่และภาวนาต่อได้ พิจารณาความเจ็บปวดทรมานจนสิ้นกิเลสขณะรักษาตัวในศิริราชนั้นเอง
ที่เล่ามาเพราะอยากจะบอกว่า"ฆราวาสอย่างพวกเรามีส่วนมาก ในการสนับสนุนหรือทำลายพระอริยเจ้าที่กำลังจะเกิดขึ้น"

จึงอยากให้มองอีกด้านของเหตุการณ์นี้ว่า ถ้าเราไม่อยากให้เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็อย่าแค่วิพากษ์วิจารณ์ แต่ต้องปกป้องดูแลศาสนาของเราด้วย

ผมคิดว่า"สิ่งผิดพลาดทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อให้เราก่นด่า หรือท้อแท้ต่อการทำดี
หากคือประวัติศาสตร์ที่สอนพวกเราอย่าให้ทำผิด และให้เห็นค่าสิ่งดีๆที่เรายังมีเหลืออยู่"

ความวุ่นวายทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้คนไม่สนใจการเมืองอย่างผมและคนมากมาย ลุกขึ้นมาเห็นค่าของคุณธรรมและเรียกร้องความถูกต้อง

การนองเลือดทางภาคใต้ทำให้คนไทยใฝ่หาสันติ และเกิดการตื่นตัวของปัญญาชนอิสลาม

หวังว่าเหตุการณ์อ.มิตสึโอะ จะไม่ทำให้พวกเราเสื่อมศรัทธา
หากแต่ให้พวกเราเห็นค่าของสิ่งที่มีและควรปกป้อง
ในฐานะ 1 ในพุทธบริษัท4 พวกเราเป็นเจ้าของศาสนา ไม่ใช่ลูกค้าที่จะคอยติว่าสินค้า

สุดท้ายนี้ยังไงผมก็ขอบคุณท่านมิตสึโอะที่รีบสึกก่อนจะเกิดเรื่องไม่งามให้ศาสนามัวหมอง
ใครจะมองว่าศาสนาเสื่อมแต่ผมว่าไม่เสื่อม!!
คนที่รู้ตัวว่าแพ้ ก็ถอยออกไปเพื่อรักษาผ้าเหลืองไม่ให้มัวหมอง แบบนี้สิศาสนาจึงยังบริสุทธิ์อยู่ได้ !!!!
"ขอบคุณท่านมิตสุโอะ ขอบคุณที่ยอมถอยออกไป ขอบคุณที่กระตุ้นจิตสำนึกพุทธบริษัทไทย ขอบคุณจริงๆครับ"


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 02 กรกฎาคม 2556, 22:40:39
ดี ครับ น้องติ๋ม ขอบคุณ ข้อความและผู้เขียน ควรเป็นเช่นนั้นในฐานะชาวพุทธ....... ด้วยใจ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: สมชาย17 ที่ 03 กรกฎาคม 2556, 10:00:08
 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 02 กรกฎาคม 2556, 22:40:39
ดี ครับ น้องติ๋ม ขอบคุณ ข้อความและผู้เขียน ควรเป็นเช่นนั้นในฐานะชาวพุทธ....... ด้วยใจ

ตามมาเห็นด้วยอีกคน  ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 05 กรกฎาคม 2556, 21:07:30

สาธุ
ขอบคุณครับ

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 03 กรกฎาคม 2556, 10:00:08
 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 02 กรกฎาคม 2556, 22:40:39
ดี ครับ น้องติ๋ม ขอบคุณ ข้อความและผู้เขียน ควรเป็นเช่นนั้นในฐานะชาวพุทธ....... ด้วยใจ

ตามมาเห็นด้วยอีกคน  ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 05 กรกฎาคม 2556, 21:10:19

 emo20:)):) emo20:)):)

http://www.youtube.com/watch?v=s0YjL9rZyR0


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Dtoy16 ที่ 07 กรกฎาคม 2556, 07:26:02
            หวัดดีจ๊ะติ๋ม  หาเรื่องมาทักทายกันคุยกัน เช้านี้ที่บ้านได้ลูกเจี๊ยบเพิ่ม มาอีก 2 ตัวหลังจากแม่กกอยู่เป็นอาทิตย์
                            ตอนแม่ไก่กกไข่นะตัวพ่อมันก็เกาะขอบกะบะเฝ้าไม่ไปไหน นอกจากเวลาให้อาหาร
                            เวลานึกอยากไปโน่นมานี่ ต้องกลับไปเล้าไก่แล้วจะทำให้อยู่ติดบ้าน
                            ติ๋มล่ะ ที่บ้านมีสัตว์เลี้ยงบ้างมั้ย


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แจง-24 ที่ 07 กรกฎาคม 2556, 20:43:53
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 31 พฤษภาคม 2556, 02:44:23

อัตตา
 emo20:)):) emo20:)):)


http://www.youtube.com/watch?v=Sj1NQrIVJ98

อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 11 มิถุนายน 2556, 21:39:32
emo6::)) emo4:))

Love, no matter what - ยังไงๆก็รัก

http://www.youtube.com/watch?v=9EVEmZ2c_es

อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 05 กรกฎาคม 2556, 21:10:19

 emo20:)):) emo20:)):)

http://www.youtube.com/watch?v=s0YjL9rZyR0

สวัสดีค่ะพี่ติ๋ม แวะมาทักทายค่ะ
เพิ่งมีเวลาได้ดู clip ของพี่ติ๋ม แต่ยังดูได้ไม่หมด
ที่ดูแล้วชอบมาก มี 3 คลิปนี้ค่ะ

ทั้ง 3 ท่าน มีสิ่งที่เหมือนกัน คือความคิดที่ลึกซื้งแตกฉาน
แต่สามารถสื่อสารด้วยภาษาที่เรียบง่าย ตรงประเด็น และเข้าใจง่าย
ฟังแล้วได้ทั้งความรู้และมุมมองแปลกใหม่ ต่อยอดทางความคิดได้อีกเยอะ

ขอบพระคุณพี่ติ๋มที่โพสต์มาให้ชมกันค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 11 กรกฎาคม 2556, 09:27:40


ดีใจที่น้องแจงมาตามอ่านและชอบบ้างค่ะ
พี่ติ๋มชอบอะไรเห็นอะไรดีๆก็อยากแบ่งปันให้พี่ๆน้องๆค่ะ

อ้างถึง
ข้อความของ แจง-24 เมื่อ 07 กรกฎาคม 2556, 20:43:53
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 31 พฤษภาคม 2556, 02:44:23

อัตตา
 emo20:)):) emo20:)):)


http://www.youtube.com/watch?v=Sj1NQrIVJ98

อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 11 มิถุนายน 2556, 21:39:32
emo6::)) emo4:))

Love, no matter what - ยังไงๆก็รัก

http://www.youtube.com/watch?v=9EVEmZ2c_es

อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 05 กรกฎาคม 2556, 21:10:19

 emo20:)):) emo20:)):)

http://www.youtube.com/watch?v=s0YjL9rZyR0

สวัสดีค่ะพี่ติ๋ม แวะมาทักทายค่ะ
เพิ่งมีเวลาได้ดู clip ของพี่ติ๋ม แต่ยังดูได้ไม่หมด
ที่ดูแล้วชอบมาก มี 3 คลิปนี้ค่ะ

ทั้ง 3 ท่าน มีสิ่งที่เหมือนกัน คือความคิดที่ลึกซื้งแตกฉาน
แต่สามารถสื่อสารด้วยภาษาที่เรียบง่าย ตรงประเด็น และเข้าใจง่าย
ฟังแล้วได้ทั้งความรู้และมุมมองแปลกใหม่ ต่อยอดทางความคิดได้อีกเยอะ

ขอบพระคุณพี่ติ๋มที่โพสต์มาให้ชมกันค่ะ



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 11 กรกฎาคม 2556, 09:31:36


น่ารักดีนะคะต้อยพวกนก เป็ดไก่ นั่งดูเขาเฝ้าเลี้ยงลูกก็เพลิดกับธรรมชาติที่ไร้เดียงสาของพวกเขา หลังบ้านติ๋มมีเป็ด พ่อ แม่ ลูก 9 ตัวเดินไปมาให้ดูเล่นค่ะ
นก กระรอกนี่วิ่งว่อนร่อนไปมาสนุกทั้งวันค่ะ
อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 07 กรกฎาคม 2556, 07:26:02
            หวัดดีจ๊ะติ๋ม  หาเรื่องมาทักทายกันคุยกัน เช้านี้ที่บ้านได้ลูกเจี๊ยบเพิ่ม มาอีก 2 ตัวหลังจากแม่กกอยู่เป็นอาทิตย์
                            ตอนแม่ไก่กกไข่นะตัวพ่อมันก็เกาะขอบกะบะเฝ้าไม่ไปไหน นอกจากเวลาให้อาหาร
                            เวลานึกอยากไปโน่นมานี่ ต้องกลับไปเล้าไก่แล้วจะทำให้อยู่ติดบ้าน
                            ติ๋มล่ะ ที่บ้านมีสัตว์เลี้ยงบ้างมั้ย


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 20 กรกฎาคม 2556, 05:21:38

คำสอนของหลวงพ่อพุธบทนี้ เป็นสุดยอดของความยอดแห่งธรรมะ สาธุ ขอกราบท่านด้วยความเคารพนบนอบบูชา
"..ปฏิบัติธรรมแล้วถ้ารู้สึกเบื่อครอบครัว เบื่อโลก เบื่อสงสาร
อย่าไปเชื่อความรู้สึกของตัวเอง
ถ้ามันเบื่อ ดูไปจนมันหายเบื่อ

แต่ถ้าหากพอปฏิบัติธรรม ได้ธรรม เห็นธรรมแล้วนี่
มันทำให้รู้สึกเคารพบูชาพ่อแม่ปู่ย่าตายาย
เมตตาสงสารครอบครัว
แล้วความรักระหว่างครอบครัวของเรานี่
ทีแรกเรารักด้วยกิเลสตัณหา
แต่มาภายหลังจะเหลือแต่ความเมตตาปราณี
แล้วเราจะทอดทิ้งซึ่งกันและกันไม่ได้

ยิ่งปฏิบัติไปเท่าไร ความเมตตาปราณีมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
เราจะอยู่ด้วยกัน โดยไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น
เกี่ยวกับทางเรื่องของกิเลส เราจะมีอะไรต่อกัน
หรือไม่มีอะไรต่อกัน เราจะอยู่กันได้อย่างสบาย
เพราะความรักและความเมตตาปราณี
นี่เป็นความรักที่บริสุทธิ์สะอาด

ถ้าความรู้สึกอันนี้เกิดขึ้นในบรรดาพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายแล้ว
สันนิษฐานได้ว่าเราปฏิบัติธรรมได้ผล

แต่ถ้าปฏิบัติแล้วเบื่อโลกสงสารอยากโกนหัวไปบวช
อย่าเพิ่งเชื่อมัน อันนั้นแหละตัวมารร้ายที่สุด
บางทีเราหลงเชื่อมัน เราทิ้งครอบครัวไป
ไปแล้วในเมื่อมันหายเบื่อ แล้วมันก็ไปเจอ(เบื่อ)ข้างหน้า
ไปมี(เบื่อ)ข้างหน้าอีก....."

หลวงปู่พุธ ฐานิโย

Crd by ธรรมโอสถ

อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 11 กรกฎาคม 2556, 09:31:36


น่ารักดีนะคะต้อยพวกนก เป็ดไก่ นั่งดูเขาเฝ้าเลี้ยงลูกก็เพลิดกับธรรมชาติที่ไร้เดียงสาของพวกเขา หลังบ้านติ๋มมีเป็ด พ่อ แม่ ลูก 9 ตัวเดินไปมาให้ดูเล่นค่ะ
นก กระรอกนี่วิ่งว่อนร่อนไปมาสนุกทั้งวันค่ะ
อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 07 กรกฎาคม 2556, 07:26:02
            หวัดดีจ๊ะติ๋ม  หาเรื่องมาทักทายกันคุยกัน เช้านี้ที่บ้านได้ลูกเจี๊ยบเพิ่ม มาอีก 2 ตัวหลังจากแม่กกอยู่เป็นอาทิตย์
                            ตอนแม่ไก่กกไข่นะตัวพ่อมันก็เกาะขอบกะบะเฝ้าไม่ไปไหน นอกจากเวลาให้อาหาร
                            เวลานึกอยากไปโน่นมานี่ ต้องกลับไปเล้าไก่แล้วจะทำให้อยู่ติดบ้าน
                            ติ๋มล่ะ ที่บ้านมีสัตว์เลี้ยงบ้างมั้ย


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 20 กรกฎาคม 2556, 08:04:41
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม เช้าวันเสาร์ที่ 20
                      หายไป พักหนึ่ง น้องติ๋ม และ ครอบครัว สบายดี นะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 20 กรกฎาคม 2556, 22:09:33

สวัสดีครับพี่ติ๋ม สบายดีนะครับ

 emo6::)) emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 24 กรกฎาคม 2556, 09:53:20

สวัสดีค่ะ พี่ปี๊ดน้องหนุน เพื่อนพี่น้องทุกๆท่าน
 emo6::)) emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 24 กรกฎาคม 2556, 21:48:19
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 24 กรกฎาคม 2556, 09:53:20

สวัสดีค่ะ พี่ปี๊ดน้องหนุน เพื่อนพี่น้องทุกๆท่าน
 emo6::)) emo6::))

   สวัสดี ครับ น้องติ๋ม welcome back ครับ
            ขยายความเรื่องพระพูดถึง   อารมณ์เป็นนิพพาน  หน่อยซิ  อยากฟังจัง    emo47 emo47 emo26:D


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 25 กรกฎาคม 2556, 02:46:07

พี่ปี๊ดขาคือว่าความเป็นเช่นนี้ค่ะ

ติ๋มไปทำบุญที่วัดวันอาสาฬหบูชาตรงกับวันจันทร์ซึ่งคนส่วนใหญ่ไปทำงานกัน วัดจึงเงียบเพราะเขามาทำบุญกันวัดอาทิตย์แทน  พระท่านเลยถือโอกาสเทศน์ตามความสนใจของผู้ฟัง ท่านเทศน์ถึงวันปฐมเทศนาซึ่งมีพระอัญญาโกณฑัญญะผู้มีอารมณ์เป็นนิพพานอยู่แล้ว จึงเป็นการง่ายที่พระพุทธเจ้าทรงให้ได้บวชก่อนผู้อื่น ด้วยการตรัสเพียงสั้นๆ ไม่ต้องเตรียมการบวชมากมายเพราะท่านเป็นผู้รู้ธรรมและมีอารมณ์เป็นนิพพานอยู่แล้ว ปกติพระพุทธเจ้าไม่ทรงบวชให้ใครง่ายๆถ้ายังไม่มีความสนใจในการละกิเลสอย่างแท้จริง
ดังนั้นการบวชจึงมีการตระเตรียมมากมายสืบเนื่องกันมาถึงปัจจุบัน นึกจะบวชก็บวชนั้นเป็นความไม่ถูกต้อง ปัจจุบันอาจมีจุดหมายต่างออกไปบ้างตามวิวัฒนาการ และตามผู้คน


อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 24 กรกฎาคม 2556, 21:48:19
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 24 กรกฎาคม 2556, 09:53:20

สวัสดีค่ะ พี่ปี๊ดน้องหนุน เพื่อนพี่น้องทุกๆท่าน
 emo6::)) emo6::))

   สวัสดี ครับ น้องติ๋ม welcome back ครับ
            ขยายความเรื่องพระพูดถึง   อารมณ์เป็นนิพพาน  หน่อยซิ  อยากฟังจัง    emo47 emo47 emo26:D


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 25 กรกฎาคม 2556, 06:55:19
สวัสดี ครับ เช้าๆของเมืองไทย ครับ น้องติ๋ม
        ดีจัง พี่ปี๊ดเองอยู่เมืองไทยใกล้พระแท้ๆ แต่ไม่ได้ค่อยเข้าวัดเพือการฟังเทศน์ ฟังธรรม สักเท่าไหร? น้องติ๋มเล่า
 ความเลยหายส่งสัยละ.....คำว่าอารมณ์ ไปกับ นิพพาน ก็ไม่ถูกต้องแล้ว.... เพราะ นิพพาน เป็น ปรมัตถธรรม เป็นสภาวะ
 ที่มีจริงทางธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายหรืออยู่เหนือ ภาษา (สมมุติบัญญัติ) ที่จะอธิบาย ให้เข้าใจได้....
        ตรงที่ พระท่านเทศน์ ว่า "พระพุทธเจ้า ทรงเห็นพราหม อัญญาโกณฑัญญะผู้มีอารมณ์เป็นนิพพาน อยู่แล้ว"...ฮะฮะฮ่า
 หลวงพี่ เล่นคํา ....ง่ายให้เป็นยาก....เจอ น้องติ๋มเข้าก็เลย งง งง สงสัย.....ดีจังครับ ที่คาบมาถามกัน พี่ปี๊ดก็ได้ ความรู้ไป
 ด้วย  ถ้าน้องติ๋ม ถามพระ ตรงนั้นก็คงได้ คำ ตอบ แล้วพี่ปี๊ดก็อด ไม่ได้ไปฟังเทศน์ด้วย.... ฮะฮะฮ่า
        ท่านน่าจะใช้ ภาษา ง่ายๆว่า"พระพุทธเจ้าทรงมองเห็น ความ พร้อม หรือ ความเป็นไปได้ ในการที่ พราหม โกณฑัญญะ
 หนึ่งใน ห้า ปัญจวัคคี มีสภาวธรรมพร้อมที่สุดที่จะเข้าใจธรรมะ ของพระองค์ท่าน"......
        ขยายความ.....พระสงฆ์ ที่มีความเข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้ง และ แตกฉาน (ได้ฌาน แล้ว หรือ ได้ระดับโสดาบัน up)
 เวลาเทศน์แยก ท่านจะสอบประวัติ ของแต่ละบุคคล ก่อนสอนด้วยฌาน เพื่อให้ได้ธรรมะ ที่เหมาะ สมกับ บุคคล คนนั้น
( เพราะท่านได้หูทิพย์ ตาทิพย์เรียบร้อยแล้ว ) ......เพราะสภาวธรรม ของแต่ละคน จะไม่เท่ากัน น้องติ๋มจะสังเกตุ ง่ายๆ
 จากตัวเอง (พี่ปิ๊ดเป็น) เวลาไปฟังเทศน์ ตามวัด เราจะมีความรู้สึกได้ในเนื้อหาของพระที่กำลังเทศน์....เช่น ไม่เห็นมีเนื้อ
 หาเลย......แต่ชาวบ้านก็นั่งฟังกันอย่างมีความสุข เต็มศาลาวัด......ก็เพราะสภาวธรรม เรา เลยตรงนั้นไปเเล้ว ไม่ใช่ว่า
 พระท่านเทศน์ไม่เก่ง แต่คนหมูมาก ตรงนั้น รับ ธรรมะ ได้ที่ระดับ นั้น ท่านจึงเทศน์เช่นนั้น และการได้พูด คุยกับพระ แบบ
 one by one เราก็จะรู้ระดับ ความความแตกฉาน ในธรรมของพระองค์ นั้นด้วย ครับ น้องติ๋ม  emo4:)) ให้น้องติ๋มฝึกวัดระดับ
 ตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อวัดการเปลียนแปลงของตัวเอง "ด้วยความรู้สึก" อย่าใช้ปัญญาวัด เพราะเดี๋ยวจะเกิด อารมณ์ Negative
 Mind ขึ้น จะไม่เป็นผล ดี  ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 25 กรกฎาคม 2556, 14:32:31
วันเสาร์ที่ผ่านมา ไปสุพรรณ รับคุณแม่ไปจันท์ รถติดมากทั้งขาไปและกลับ
ค่ำๆถึงจันท์แวะไปหา หมอแป๊ะ เพื่อนรัก ให้รักษาอาการนิ้๊วล๊อคที่มือ
เช้าวันอาทิตย์พาแม่ไปทำบุญที่วัดป่าแก้ว แล้วเข้าสวน ได้ทุเรียนมาหนึ่งพู
ลองกองเบอร์ aaa สัก 20 กก. มังคุด ดอกอีก 6 โล สละสุมาลี 3 กล้วย 5 หวี
พาแม่ไปกินอาหารทะเล ที่ร้านท่าแฉลบ. ทั้งเราและแม่ไม่ปลื้ม
วันจันทร์แม่ขอกลับสุพรรณ ก่อนกำหนด โดยไม่มีเหตุ อาจเป็นเพราะห่วงบ้าน
และผลไม้ของฝาก แถมเป้าหมายที่ต้องการได้ครบ (ยาเหลือง ท๊อปฟรี้ถั่ว ยา ทุเรียน)
เลยพาไปอำลาที่ร้านจันทรโภชนา มี ปูทะเลหลน ถั่วฝักยาวผัดกะปิ เส้นจันท์ผัดปู
หมูชะมวง มัสมั่นไก่หมอนทอง ส้มตำไทก้านยาว สำรองน้ำแดง กว่าจะถึงบ้านที่สุพรรณ
ก้อใกล้ค่ำ ทิ้งฝนที่ตกกระหน่ำจันทบุรีตลอดคืน
วันอังคารตื่นมาพร้อมข่าวว่าจันท์น้ำท่วม โรงแรมที่พักทางเข้าน้ำสูง 90 ซม.
ตลาดเก่า ตลาดน้ำพุเป็นเมตร ถ้ากลับตามกำหนดการเดิมคง ขลุกขละน่าดู


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 25 กรกฎาคม 2556, 21:07:48

น่าสนุก ตื่นเต้น เที่ยวกับคุณแม่ก็มีความสุขแบบปลื้มๆ โดยเฉพาะไม่ต้องนั่งคิดถึงท่านเมื่อมีอาหารโปรดของท่านมาวางอยู่ตรงหน้าเรา แต่ท่านไม่อยู่ตรงนั้นทานของที่ท่านชอบกับเรา
มีบุญที่ได้ทำ ทำไปเรื่อยๆ สร้างอดีตที่เป็นปิติดีนะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 25 กรกฎาคม 2556, 14:32:31
วันเสาร์ที่ผ่านมา ไปสุพรรณ รับคุณแม่ไปจันท์ รถติดมากทั้งขาไปและกลับ
ค่ำๆถึงจันท์แวะไปหา หมอแป๊ะ เพื่อนรัก ให้รักษาอาการนิ้๊วล๊อคที่มือ
เช้าวันอาทิตย์พาแม่ไปทำบุญที่วัดป่าแก้ว แล้วเข้าสวน ได้ทุเรียนมาหนึ่งพู
ลองกองเบอร์ aaa สัก 20 กก. มังคุด ดอกอีก 6 โล สละสุมาลี 3 กล้วย 5 หวี
พาแม่ไปกินอาหารทะเล ที่ร้านท่าแฉลบ. ทั้งเราและแม่ไม่ปลื้ม
วันจันทร์แม่ขอกลับสุพรรณ ก่อนกำหนด โดยไม่มีเหตุ อาจเป็นเพราะห่วงบ้าน
และผลไม้ของฝาก แถมเป้าหมายที่ต้องการได้ครบ (ยาเหลือง ท๊อปฟรี้ถั่ว ยา ทุเรียน)
เลยพาไปอำลาที่ร้านจันทรโภชนา มี ปูทะเลหลน ถั่วฝักยาวผัดกะปิ เส้นจันท์ผัดปู
หมูชะมวง มัสมั่นไก่หมอนทอง ส้มตำไทก้านยาว สำรองน้ำแดง กว่าจะถึงบ้านที่สุพรรณ
ก้อใกล้ค่ำ ทิ้งฝนที่ตกกระหน่ำจันทบุรีตลอดคืน
วันอังคารตื่นมาพร้อมข่าวว่าจันท์น้ำท่วม โรงแรมที่พักทางเข้าน้ำสูง 90 ซม.
ตลาดเก่า ตลาดน้ำพุเป็นเมตร ถ้ากลับตามกำหนดการเดิมคง ขลุกขละน่าดู


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 31 กรกฎาคม 2556, 02:02:34


อยู่แบบไทยๆ ภาพของชีวิตไทยๆ คุณค่าที่ประมาณค่ามิได้

http://www.youtube.com/watch?v=UHrPEE_6fGk


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 31 กรกฎาคม 2556, 05:25:23
 สวัสดี ยามเช้าเมืองไทย ครับ น้องติ๋ม
                  กทม.ฝนยังตกอยู่อย่างต่อเนื่อง  น้องติ๋มและครอบครัวสบายดี นะ ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 31 กรกฎาคม 2556, 08:07:17

สวัสดีเช้าวันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2556 ครับพี่ติ๋ม
วันสุดท้ายของเดือน
ฝนฟ้าเททั่ว แบบปรอยๆ ทั้ง กทม.เลยครับ...


 emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 31 กรกฎาคม 2556, 21:16:17
พี่ปี๊ดกะน้องหนุน และเพื่อนพี่น้อง
วันนี้ 31 กค ที่อีกฝากโลกก็ฝนตกปรอยๆทั้งคืนวันเช่นกันค่ะ ความต่างก็มีความเหมือนได้ ไม่อะไรก็อะไร เอาแน่นอนกับวัฏสงสารไม่ได้ เราจึงต้องฝึกอยู่อย่างมีสติ ตั้งใจให้สดใส เบิกบาน เตรียมพร้อมกับสุขและทุกข์หมุนเวียนไปมาเป็นไตรลักษณ์
ระลึกถึงทุกๆท่านเสมอค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=8G_CBxBgjnI

อ้างถึง
ข้อความของ หนุน'21 เมื่อ 31 กรกฎาคม 2556, 08:07:17

สวัสดีเช้าวันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2556 ครับพี่ติ๋ม
วันสุดท้ายของเดือน
ฝนฟ้าเททั่ว แบบปรอยๆ ทั้ง กทม.เลยครับ...


 emo6::))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 01 สิงหาคม 2556, 09:35:32
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
                           อยาก Turn off ความรู้สึกทั้งหลาย.........ครับ แต่ยังฝืน....อยู่กับความรับผิดชอบและหน้าที่ เหมือน
 supper high way ตัดผ่านข้างบ้านแล้วยังไม่สามารถใช้ได้ทั้งๆที่ไม่มีเครื่องกีดขวาง....นอกจากตัวเราเอง จะเลือกเส้นทาง emo29:P: emo40::
 


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 01 สิงหาคม 2556, 20:09:33

ค่ะพี่ปี๊ด
เห็นด้วยค่ะว่า ยากมากๆถ้ายังมีความรับผิดชอบและหน้าที่หนักๆอยู่มากมาย รวมถึงความจำเป็นที่ต้องอยู่และเจอกับผู้คนหลากหลาย ติ๋มออกมาก็เห็นว่ามีอยู่วิธีเดียวที่ทำได้คือตั้งใจอยู่กับปัจจุบันวินาทีนั้นๆ ไม่ข้องแวะกับนาทีที่แล้วหรือนาทีต่อไป ทำนาทีขณะนาทีนั้นอย่างมีสติ ด้วยศีล อันมีพรมวิหาร 4 เป็นที่ตั้ง
แต่ถ้าเรายังอยู่ในนั้นไม่ได้ออกมามอง ก็ไม่เห็นได้ง่ายๆค่ะ เหมือนอยู่ในกล่องหาทางออกไม่เจอ พอออกมานอกกล่องจึงเห็นช่องทางหลายช่อง แต่จะให้กลับเข้ากล่องอีก ก็ยังไม่แน่ใจว่าอยู่ในนั้นแล้วจะเห็นเหมือนตอนอยู่ข้างนอกไหม
ก็ด้วยประการฉะนี้แล

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 01 สิงหาคม 2556, 09:35:32
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
                           อยาก Turn off ความรู้สึกทั้งหลาย.........ครับ แต่ยังฝืน....อยู่กับความรับผิดชอบและหน้าที่ เหมือน
 supper high way ตัดผ่านข้างบ้านแล้วยังไม่สามารถใช้ได้ทั้งๆที่ไม่มีเครื่องกีดขวาง....นอกจากตัวเราเอง จะเลือกเส้นทาง emo29:P: emo40::
 


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 01 สิงหาคม 2556, 22:47:49
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 01 สิงหาคม 2556, 20:09:33

ค่ะพี่ปี๊ด
เห็นด้วยค่ะว่า ยากมากๆถ้ายังมีความรับผิดชอบและหน้าที่หนักๆอยู่มากมาย รวมถึงความจำเป็นที่ต้องอยู่และเจอกับผู้คนหลากหลาย ติ๋มออกมาก็เห็นว่ามีอยู่วิธีเดียวที่ทำได้คือตั้งใจอยู่กับปัจจุบันวินาทีนั้นๆ ไม่ข้องแวะกับนาทีที่แล้วหรือนาทีต่อไป ทำนาทีขณะนาทีนั้นอย่างมีสติ ด้วยศีล อันมีพรมวิหาร 4 เป็นที่ตั้ง
แต่ถ้าเรายังอยู่ในนั้นไม่ได้ออกมามอง ก็ไม่เห็นได้ง่ายๆค่ะ เหมือนอยู่ในกล่องหาทางออกไม่เจอ พอออกมานอกกล่องจึงเห็นช่องทางหลายช่อง แต่จะให้กลับเข้ากล่องอีก ก็ยังไม่แน่ใจว่าอยู่ในนั้นแล้วจะเห็นเหมือนตอนอยู่ข้างนอกไหม
ก็ด้วยประการฉะนี้แล

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 01 สิงหาคม 2556, 09:35:32
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
                           อยาก Turn off ความรู้สึกทั้งหลาย.........ครับ แต่ยังฝืน....อยู่กับความรับผิดชอบและหน้าที่ เหมือน
 supper high way ตัดผ่านข้างบ้านแล้วยังไม่สามารถใช้ได้ทั้งๆที่ไม่มีเครื่องกีดขวาง....นอกจากตัวเราเอง จะเลือกเส้นทาง emo29:P: emo40::
 
                   emo6::)) :)like :)like
         


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 02 สิงหาคม 2556, 01:57:50
วันนี้อยากส่งเพลงนี้ให้น้องๆรุ่นใหม่ และระลึกถึงพี่จิ๊ด จิระนันทน์ พิตรปรีชา ที่ได้บรรจงแต่งบทกวีนี้ได้ไพเราะจับใจยิ่งนัก

เราชอบบทที่ว่า "ดอกไม้ บานให้คุณค่า จงบานช้าๆ แต่ว่ายั่งยืน ที่นี่ และที่อื่นๆ ดอกไม้สดชื่น ยื่นให้มวลชน"


http://www.youtube.com/watch?v=cb1cyzXLbsU


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: สมชาย17 ที่ 02 สิงหาคม 2556, 08:37:12
 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 01 สิงหาคม 2556, 20:09:33

ค่ะพี่ปี๊ด
เห็นด้วยค่ะว่า ยากมากๆถ้ายังมีความรับผิดชอบและหน้าที่หนักๆอยู่มากมาย รวมถึงความจำเป็นที่ต้องอยู่และเจอกับผู้คนหลากหลาย ติ๋มออกมาก็เห็นว่ามีอยู่วิธีเดียวที่ทำได้คือตั้งใจอยู่กับปัจจุบันวินาทีนั้นๆ ไม่ข้องแวะกับนาทีที่แล้วหรือนาทีต่อไป ทำนาทีขณะนาทีนั้นอย่างมีสติ ด้วยศีล อันมีพรมวิหาร 4 เป็นที่ตั้ง
แต่ถ้าเรายังอยู่ในนั้นไม่ได้ออกมามอง ก็ไม่เห็นได้ง่ายๆค่ะ เหมือนอยู่ในกล่องหาทางออกไม่เจอ พอออกมานอกกล่องจึงเห็นช่องทางหลายช่อง แต่จะให้กลับเข้ากล่องอีก ก็ยังไม่แน่ใจว่าอยู่ในนั้นแล้วจะเห็นเหมือนตอนอยู่ข้างนอกไหม
ก็ด้วยประการฉะนี้แล

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 01 สิงหาคม 2556, 09:35:32
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
                           อยาก Turn off ความรู้สึกทั้งหลาย.........ครับ แต่ยังฝืน....อยู่กับความรับผิดชอบและหน้าที่ เหมือน
 supper high way ตัดผ่านข้างบ้านแล้วยังไม่สามารถใช้ได้ทั้งๆที่ไม่มีเครื่องกีดขวาง....นอกจากตัวเราเอง จะเลือกเส้นทาง emo29:P: emo40::
 
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 02 สิงหาคม 2556, 01:57:50
วันนี้อยากส่งเพลงนี้ให้น้องๆรุ่นใหม่ และระลึกถึงพี่จิ๊ด จิระนันทน์ พิตรปรีชา ที่ได้บรรจงแต่งบทกวีนี้ได้ไพเราะจับใจยิ่งนัก

เราชอบบทที่ว่า "ดอกไม้ บานให้คุณค่า จงบานช้าๆ แต่ว่ายั่งยืน ที่นี่ และที่อื่นๆ ดอกไม้สดชื่น ยื่นให้มวลชน"


http://www.youtube.com/watch?v=cb1cyzXLbsU

ผมกด  :)like :)like :)like :)like ให้ทั้ง2 เรื่อง ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 15 สิงหาคม 2556, 02:39:27

ขอบคุณและดีใจมากที่ถูกใจน้องชายครับ สมเป็นน้องชายพี่ติ๋ม เชียร์กันเองอยู่เสมอ

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 02 สิงหาคม 2556, 08:37:12
 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 01 สิงหาคม 2556, 20:09:33

ค่ะพี่ปี๊ด
เห็นด้วยค่ะว่า ยากมากๆถ้ายังมีความรับผิดชอบและหน้าที่หนักๆอยู่มากมาย รวมถึงความจำเป็นที่ต้องอยู่และเจอกับผู้คนหลากหลาย ติ๋มออกมาก็เห็นว่ามีอยู่วิธีเดียวที่ทำได้คือตั้งใจอยู่กับปัจจุบันวินาทีนั้นๆ ไม่ข้องแวะกับนาทีที่แล้วหรือนาทีต่อไป ทำนาทีขณะนาทีนั้นอย่างมีสติ ด้วยศีล อันมีพรมวิหาร 4 เป็นที่ตั้ง
แต่ถ้าเรายังอยู่ในนั้นไม่ได้ออกมามอง ก็ไม่เห็นได้ง่ายๆค่ะ เหมือนอยู่ในกล่องหาทางออกไม่เจอ พอออกมานอกกล่องจึงเห็นช่องทางหลายช่อง แต่จะให้กลับเข้ากล่องอีก ก็ยังไม่แน่ใจว่าอยู่ในนั้นแล้วจะเห็นเหมือนตอนอยู่ข้างนอกไหม
ก็ด้วยประการฉะนี้แล

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 01 สิงหาคม 2556, 09:35:32
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
                           อยาก Turn off ความรู้สึกทั้งหลาย.........ครับ แต่ยังฝืน....อยู่กับความรับผิดชอบและหน้าที่ เหมือน
 supper high way ตัดผ่านข้างบ้านแล้วยังไม่สามารถใช้ได้ทั้งๆที่ไม่มีเครื่องกีดขวาง....นอกจากตัวเราเอง จะเลือกเส้นทาง emo29:P: emo40::
 
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 02 สิงหาคม 2556, 01:57:50
วันนี้อยากส่งเพลงนี้ให้น้องๆรุ่นใหม่ และระลึกถึงพี่จิ๊ด จิระนันทน์ พิตรปรีชา ที่ได้บรรจงแต่งบทกวีนี้ได้ไพเราะจับใจยิ่งนัก

เราชอบบทที่ว่า "ดอกไม้ บานให้คุณค่า จงบานช้าๆ แต่ว่ายั่งยืน ที่นี่ และที่อื่นๆ ดอกไม้สดชื่น ยื่นให้มวลชน"


http://www.youtube.com/watch?v=cb1cyzXLbsU

ผมกด  :)like :)like :)like :)like ให้ทั้ง2 เรื่อง ครับ



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 15 สิงหาคม 2556, 02:43:29

ขอโทษที่หายไปหลายวัน ลูกหลานมาอยู่ด้วย เลยเพลิดทำกิจกรรมกับพวกเขา แรงเขาเยอะ เราพยายาม Keep Up เลยเหนื่อยสลบทุกคืนค่ะ
 emo40::
 เลี้ยงเด็ก ก็เพลินได้ธรรมะจากธรรมชาติของเด็กมากมาย เวลาใกล้อบรมบ่มนิสัยนี้มีค่ากว่าเงินทองของเล่นใดๆมากมายนัก



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 15 สิงหาคม 2556, 08:25:58
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม
           ใช่ครับ อยู่กับเด็ก มีความสุข อีกแบบหนึ่ง หลายๆครั้งที่ เด็กๆ ช่วยรีด ปัญญาของเราให้ปรากฏ เพราะแค่ เราจะหาวิธีอย่างไรที่จะทำให้เขาเข้าใจก็ สุด สุด แล้ว....ธรรมะเกิดขึ้นตลอดเวลา ครับ สมัยเลี้ยงลูก พี่ปี๊ดยังไม่สนใจธรรมะ แต่พอมานึกย้อน ตอนนี้ แค่ คิด มีสติ(ไม่โกรธ) วางเรื่องอารมณ์ มีสมาธิที่จะ ต่อสู้กับลูก ด้วยปัญญา และความเข้าใจ...นั้นแหละ ธรรมะ
ล้วนๆ......ครับน้องติ๋มกลับมาคุยดีครับ เพราะช่วงนี้รู้สึกว่า ทุกคนจะฝืดๆ ส่งสัยหนีไป FB กันหมด พี่ปี๊ดก็ ฝืดๆ หมด มุก ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 21 สิงหาคม 2556, 21:15:02

กลับมาบ้านแล้วค่ะพี่ปี๊ด และเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ
สลบไปหนึ่งวัน ขี่จักรยาน 16 ไมล์ นี่เล่นเข่าปวด เลยต้องสยบกับสังขารอันชราภาพนี้
ตอนนี้ก็กลับมาเป็นปกติอีกค่ะ คืออยู่กับตัวเอง ปฏิบัติให้จิตพร้อมอยู่
เด็กๆเขาช่วยมาทดสอบจิตที่ฝึกไว้ ที่ผ่านไปนั้นดูว่าพอใช้ ไม่มีอาการหงุดหงิด มีแต่รักและเมตตาให้พวกเขา
แบบฝึกหัดต่อไปจะเป็นอะไรค่อยว่ากันน่ะค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 21 สิงหาคม 2556, 22:41:44
เทคนิคสำหรับการครองคู่อย่างสงบสุข 

ตื่นนอนแต่เช้า
ใส่บาตรทำบุญ
เกื้อหนุนงานบ้าน
หูบอดทวนลม
ข่มใจพูดน้อย
 ใช้สอยประหยัด
ไม่ขัดใจเมีย
เล่นไลน์ปิดเสียง
 ละครมา ไปจิ้มไลน์
ใช้ไปไหนไม่เกี่ยง
 ไม่โต้ไม่เถียงขัดแย้ง
เรื่องเราเรื่องเล็ก
 เรื่องเขาเรื่องใหญ่

ถ้าอยากได้สุขภาพกายและใจที่ดี สำหรับการครองเรือนยามแก่เฒ่า พึงจำเอาไปปฏิบัติเทอญ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 22 สิงหาคม 2556, 21:20:05


แล้วนี่จะเป็นการทำอย่างประชดหรือจากใจครับ
ถ้าไม่มาจากใจนี่ สุขภาพจิตฝ่ายชายแย่แน่ๆ


อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 21 สิงหาคม 2556, 22:41:44
เทคนิคสำหรับการครองคู่อย่างสงบสุข 

ตื่นนอนแต่เช้า
ใส่บาตรทำบุญ
เกื้อหนุนงานบ้าน
หูบอดทวนลม
ข่มใจพูดน้อย
 ใช้สอยประหยัด
ไม่ขัดใจเมีย
เล่นไลน์ปิดเสียง
 ละครมา ไปจิ้มไลน์
ใช้ไปไหนไม่เกี่ยง
 ไม่โต้ไม่เถียงขัดแย้ง
เรื่องเราเรื่องเล็ก
 เรื่องเขาเรื่องใหญ่

ถ้าอยากได้สุขภาพกายและใจที่ดี สำหรับการครองเรือนยามแก่เฒ่า พึงจำเอาไปปฏิบัติเทอญ



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 22 สิงหาคม 2556, 22:48:26
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 22 สิงหาคม 2556, 21:20:05


แล้วนี่จะเป็นการทำอย่างประชดหรือจากใจครับ
ถ้าไม่มาจากใจนี่ สุขภาพจิตฝ่ายชายแย่แน่ๆ


อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 21 สิงหาคม 2556, 22:41:44
เทคนิคสำหรับการครองคู่อย่างสงบสุข 

ตื่นนอนแต่เช้า
ใส่บาตรทำบุญ
เกื้อหนุนงานบ้าน
หูบอดทวนลม
ข่มใจพูดน้อย
 ใช้สอยประหยัด
ไม่ขัดใจเมีย
เล่นไลน์ปิดเสียง
 ละครมา ไปจิ้มไลน์
ใช้ไปไหนไม่เกี่ยง
 ไม่โต้ไม่เถียงขัดแย้ง
เรื่องเราเรื่องเล็ก
 เรื่องเขาเรื่องใหญ่

ถ้าอยากได้สุขภาพกายและใจที่ดี สำหรับการครองเรือนยามแก่เฒ่า พึงจำเอาไปปฏิบัติเทอญ

ชอบไอเดียคนคิด คงเก็บกดมาก อย่างพี่ว่า


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 23 สิงหาคม 2556, 21:25:36

มีท่านผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงท่านหนึ่ง อวยพรเราตอนแต่งงานว่า
 "อยู่ด้วยกัน ว่าอะไรก็ว่าตามกัน"
ท่านอยู่กับสามีของท่านเป็นเวลา 68 ปี ท่านจากโลกนี้เป็นหลังจากสามีของท่านจากไปไม่ถึงปี
ขอยกย่องความซื่อสัตย์ รักแท้ของท่านผู้ใหญ่ท่านนี้จริงๆ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 29 สิงหาคม 2556, 17:24:59
- เทคนิคอันแยบยล -

“สิ่งที่ทำดังกว่าที่พูด” วิธีการสอนของหลวงพ่อ
ลงรอยกับภาษิตโบราณบทนี้เป็นอย่างดี
เพราะท่านได้ถือหลัก ทำให้ดู เป็นวิธีการสอนที่สำคัญ
ท่านให้ลูกศิษย์ปฏิบัติอย่างไร ท่านก็เป็นผู้พาทำอย่างนั้นเสมอ
ไม่ใช่สักแต่ว่าให้ลูกศิษย์ปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง
แต่ตัวท่านเองพักผ่อนตามสบาย

เช่นบางครั้งท่านให้ลูกศิษย์นั่งสมาธิตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเที่ยงคืน
ท่านก็นั่งเป็นประธานตรงและนิ่งเป็นภูเขาอยู่เช่นนั้นตลอดเวลา
เมื่อเป็นอย่างนี้ลูกศิษย์ก็มีกำลังใจ เพราะมีตัวอย่างที่ยืนยัน
ให้เห็นว่า การปฏิบัติอย่างนี้ทำได้และได้ผลจริง
ปฏิปทาของหลวงพ่อจึงเป็นมาตรฐานที่พระเณรทุกรูปมุ่งเข้าถึง
อนึ่ง ความมั่นคงและเยือกเย็น อีกทั้งความเมตตาและปัญญา
ของท่านที่ปรากฏให้ลูกศิษย์เห็นเป็นประจำ
ก็เป็นบทศึกษาในตัวเองว่า
นี่คือผลของการปฏิบัติ เป็นแรงบันดาลใจให้ลูกศิษย์แต่ละรูป
มุ่งมั่นที่จะบรรลุผลนั้นตามอย่างครูบาอาจารย์

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
จากหนังสืออุปลมณี น.๒๖๖


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 31 สิงหาคม 2556, 10:15:16

แยบยลจริงค่ะ ผู้บริหารควรนำเทคนิคนี้ไปใช้จริงๆค่ะ

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 29 สิงหาคม 2556, 17:24:59
- เทคนิคอันแยบยล -

“สิ่งที่ทำดังกว่าที่พูด” วิธีการสอนของหลวงพ่อ
ลงรอยกับภาษิตโบราณบทนี้เป็นอย่างดี
เพราะท่านได้ถือหลัก ทำให้ดู เป็นวิธีการสอนที่สำคัญ
ท่านให้ลูกศิษย์ปฏิบัติอย่างไร ท่านก็เป็นผู้พาทำอย่างนั้นเสมอ
ไม่ใช่สักแต่ว่าให้ลูกศิษย์ปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง
แต่ตัวท่านเองพักผ่อนตามสบาย

เช่นบางครั้งท่านให้ลูกศิษย์นั่งสมาธิตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเที่ยงคืน
ท่านก็นั่งเป็นประธานตรงและนิ่งเป็นภูเขาอยู่เช่นนั้นตลอดเวลา
เมื่อเป็นอย่างนี้ลูกศิษย์ก็มีกำลังใจ เพราะมีตัวอย่างที่ยืนยัน
ให้เห็นว่า การปฏิบัติอย่างนี้ทำได้และได้ผลจริง
ปฏิปทาของหลวงพ่อจึงเป็นมาตรฐานที่พระเณรทุกรูปมุ่งเข้าถึง
อนึ่ง ความมั่นคงและเยือกเย็น อีกทั้งความเมตตาและปัญญา
ของท่านที่ปรากฏให้ลูกศิษย์เห็นเป็นประจำ
ก็เป็นบทศึกษาในตัวเองว่า
นี่คือผลของการปฏิบัติ เป็นแรงบันดาลใจให้ลูกศิษย์แต่ละรูป
มุ่งมั่นที่จะบรรลุผลนั้นตามอย่างครูบาอาจารย์

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
จากหนังสืออุปลมณี น.๒๖๖


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 31 สิงหาคม 2556, 10:18:59


ธรรมะกับการทำงาน

http://www.youtube.com/watch?v=PBWOVzlDqzM


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 08 กันยายน 2556, 01:38:36
ความสำคัญของการนอนหลับ

http://www.youtube.com/watch?v=LWULB9Aoopc


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 10 กันยายน 2556, 01:36:34
 
ฟังแล้วนำมาคิด น่าพิจารณา น่าวิปัสนา





http://www.youtube.com/watch?v=oHw4GdNAePI


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 10 กันยายน 2556, 19:23:25
"มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม
เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพัก จนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ
ชายคนนั้นมองด้วยความสนใจ เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป
ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะดิ้นรนต่อไป แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเองว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหม ไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยตนเอง
ด้วยความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น ทำให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น
เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา
แต่เขาสังเกตว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ ปีกเหี่ยวย่น
แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็มีลักษณะบวมผิดปกติ

กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกาย เพื่อพยายามจะดันตัวมันออกจากรังไหมนั้น เป็นกระบวนการธรรมชาติที่จะกระตุ้นให้ของเหลวชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อเคลื่อนที่มาสู่ปีก เพื่อทำให้ปีกแข็งแรงเพียงพอจะบินได้

ด้วยความปรารถนาดีของชายคนนั้น ผีเสื้อตัวนี้ปีกจึงเหี่ยวย่นไม่แข็งแรงเพียงพอจะบินได้ แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ เพราะของเหลวที่ควรจะอยู่ที่ปีก ดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน

อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคน ก็คล้ายๆกับสิ่งที่เจ้าผีเสื้อเผชิญ
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาทักษะ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น
ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ
แต่จะได้คุณค่ามาก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี
เราจะคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต โดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้

เมื่อเราเผชิญอุปสรรค แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน
เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน"
- The Power of Failure


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 13 กันยายน 2556, 03:20:27

อันนี้ถูกใจมาก
ขอบคุณ ขอบคุณ


อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 10 กันยายน 2556, 19:23:25
"มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม
เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพัก จนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ
ชายคนนั้นมองด้วยความสนใจ เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป
ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะดิ้นรนต่อไป แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเองว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหม ไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยตนเอง
ด้วยความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น ทำให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น
เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา
แต่เขาสังเกตว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ ปีกเหี่ยวย่น
แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็มีลักษณะบวมผิดปกติ

กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกาย เพื่อพยายามจะดันตัวมันออกจากรังไหมนั้น เป็นกระบวนการธรรมชาติที่จะกระตุ้นให้ของเหลวชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อเคลื่อนที่มาสู่ปีก เพื่อทำให้ปีกแข็งแรงเพียงพอจะบินได้

ด้วยความปรารถนาดีของชายคนนั้น ผีเสื้อตัวนี้ปีกจึงเหี่ยวย่นไม่แข็งแรงเพียงพอจะบินได้ แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ เพราะของเหลวที่ควรจะอยู่ที่ปีก ดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน

อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคน ก็คล้ายๆกับสิ่งที่เจ้าผีเสื้อเผชิญ
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาทักษะ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น
ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ
แต่จะได้คุณค่ามาก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี
เราจะคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต โดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้

เมื่อเราเผชิญอุปสรรค แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน
เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน"
- The Power of Failure


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 13 กันยายน 2556, 18:36:48

สวัสดีครับพี่ติ๋ม พี่ปี๊ด น้องป๋าทู
ชอบเรื่องที่ป๋าทูมาเล่านะครับ ให้ข้อคิดดีมาก


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 13 กันยายน 2556, 21:40:07

สวัสดีครับน้องหนุน
ดีจังที่น้องเข้ามาอ่าน
น้องพธูเขาเอาเรื่องเข้ากับชื่อกระทู้จริงนะคะ


อ้างถึง
ข้อความของ หนุน'21 เมื่อ 13 กันยายน 2556, 18:36:48

สวัสดีครับพี่ติ๋ม พี่ปี๊ด น้องป๋าทู
ชอบเรื่องที่ป๋าทูมาเล่านะครับ ให้ข้อคิดดีมาก



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 13 กันยายน 2556, 23:51:22
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม สบายดี นะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 14 กันยายน 2556, 04:18:54

สบายดีแล้วค่ะพี่ปี๊ด ออกกำลังกายตามปกติ ขอบคุณพี่ปี๊ดที่แป็นห่วง
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 13 กันยายน 2556, 23:51:22
สวัสดี ครับ น้องติ๋ม สบายดี นะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 14 กันยายน 2556, 10:54:36
 ตกลงแค่ ความดันตํ่า เป็นเหตุหลัก ใช่ไหม? ....น้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 14 กันยายน 2556, 21:58:04
ตอนนี้ยังแค่นี้ก่อนค่ะพี่ปี๊ด ต้องสังเกตุไปเรื่อยๆ ดูว่าออกกำลังได้นานแค่ไหน
ตอนนี้ติ๋มก็ดูด้วยว่าออกกำลังให้ได้ Stress ได้ถึง 138 อย่างน้อยได้สบายๆไหม
แล้วพี่ปี๊ดสบายดีนะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 14 กันยายน 2556, 10:54:36
ตกลงแค่ ความดันตํ่า เป็นเหตุหลัก ใช่ไหม? ....น้องติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 15 กันยายน 2556, 01:47:58
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 14 กันยายน 2556, 21:58:04
ตอนนี้ยังแค่นี้ก่อนค่ะพี่ปี๊ด ต้องสังเกตุไปเรื่อยๆ ดูว่าออกกำลังได้นานแค่ไหน
ตอนนี้ติ๋มก็ดูด้วยว่าออกกำลังให้ได้ Stress ได้ถึง 138 อย่างน้อยได้สบายๆไหม
แล้วพี่ปี๊ดสบายดีนะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 14 กันยายน 2556, 10:54:36
ตกลงแค่ ความดันตํ่า เป็นเหตุหลัก ใช่ไหม? ....น้องติ๋ม
    พี่ปี๊ด สบายดี ครับ   emo26:D emo20:)):)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 17 กันยายน 2556, 21:49:46


Being at Peace in the World of Conflicts:

http://www.youtube.com/watch?v=3bq2qsOgssI


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 01 ตุลาคม 2556, 21:56:57
บ้านที่แท้จริง

http://www.youtube.com/watch?v=C0iy1Rtqzao




หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 02 ตุลาคม 2556, 00:55:31
เมืองไทยพัฒนายาก เพราะขาด

1.ความไว้ใจ คิดแต่ว่าใครทำงานต้องโกงหรือได้ประโยชน์จากโครงการ ทำให้คนทั่วไป ไม่อยากคิด ไม่อยากทำ ไม่แก้ปัญหา เพราะคนด่ามีมากกว่าคนสนับสนุน ไม่ทำไม่ถูกด่า สบายใจกว่า

2.ความเข้าใจ คนส่วนใหญ่ไม่ค้นคว้าหาข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจ ไม่สนใจอ่านเอกสารต้นฉบับ อ่านเอาแต่เอกสารที่นำมาตัดต่ออ้างถึง เลยขาดภูมิรู้ความจริงทั้งหมด การเผยแพร่ซักถามไปเน้นความเห็นมากกว่าข้อมูลข้อเท็จจริง ทำให้เกิดการขัดแย้งสูงและหาทางยุติปัญหาข้อขัดแย้งยาก เพราะความเห็นที่ขาดข้อเท็จจริงและองค์ความรู้มีแต่ความเชื่อ ยากที่จะตัดสินอย่างเหมาะควรได้

3.ความเห็นใจ เนื่องจากมุ่งเน้นทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ขาดมุมมองทางสังคม จริยธรรม ทำให้ใช้หลักประโยชน์ตนเป็นหลักพิจารณา ไม่เน้นประโยชน์ท่าน กรอบแนวคิดในการตัดสินใจ จึงไม่อยู่ที่ ประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม

4.ความจริงใจ เนื่องจากขาดการอบรมบ่มใจให้มีศีลมีธรรม ทำให้ขาดความจริงใจในการทำงาน แก้ปัญหา ทำโครงการ ผู้ใหญ่มีมุสาวาทเป็นปกติ ไม่ทำตามที่พูด ไม่พูดในเรื่องที่ทำ เด็กและผู้น้อยเห็นว่าการพูดจริงเป็นเรื่องไม่ควรทำ จนกล่าวกันว่าเรื่องจริงเป็นสิ่งไม่ตายแต่คนพูดตาย ทำให้หาผู้อาจหาญยึดถือสัจจะความจริงได้ยาก

5.ความอดใจ หากสังคมมีความอดใจต่อจิตใจไฝ่ชั่ว อดใจต่อผลประโยชน์ที่ไม่ชอบธรรม อดใจต่อความไม่เป็นธรรม มีหริโอตัปปะ ละอายความชั่ว สังคมจะน่าอยู่ยิ่ง

6.ความทำใจ ต้องถือกติกาของสังคม แข่งขันแพ้ต้องยอมรับ แข่งขันชนะไม่ลำพองใจ ยอมรับชัยชนะของผู้อื่นได้ อดทนรอเวลาเป็น อย่างที่เรียกว่าทำใจได้

ลองคิดดูว่าจริงไหม
พธู กะยาจิ
23/9/56


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 02 ตุลาคม 2556, 03:52:35
อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 02 ตุลาคม 2556, 00:55:31
เมืองไทยพัฒนายาก เพราะขาด

1.ความไว้ใจ คิดแต่ว่าใครทำงานต้องโกงหรือได้ประโยชน์จากโครงการ ทำให้คนทั่วไป ไม่อยากคิด ไม่อยากทำ ไม่แก้ปัญหา เพราะคนด่ามีมากกว่าคนสนับสนุน ไม่ทำไม่ถูกด่า สบายใจกว่า

2.ความเข้าใจ คนส่วนใหญ่ไม่ค้นคว้าหาข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจ ไม่สนใจอ่านเอกสารต้นฉบับ อ่านเอาแต่เอกสารที่นำมาตัดต่ออ้างถึง เลยขาดภูมิรู้ความจริงทั้งหมด การเผยแพร่ซักถามไปเน้นความเห็นมากกว่าข้อมูลข้อเท็จจริง ทำให้เกิดการขัดแย้งสูงและหาทางยุติปัญหาข้อขัดแย้งยาก เพราะความเห็นที่ขาดข้อเท็จจริงและองค์ความรู้มีแต่ความเชื่อ ยากที่จะตัดสินอย่างเหมาะควรได้

3.ความเห็นใจ เนื่องจากมุ่งเน้นทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ขาดมุมมองทางสังคม จริยธรรม ทำให้ใช้หลักประโยชน์ตนเป็นหลักพิจารณา ไม่เน้นประโยชน์ท่าน กรอบแนวคิดในการตัดสินใจ จึงไม่อยู่ที่ ประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม

4.ความจริงใจ เนื่องจากขาดการอบรมบ่มใจให้มีศีลมีธรรม ทำให้ขาดความจริงใจในการทำงาน แก้ปัญหา ทำโครงการ ผู้ใหญ่มีมุสาวาทเป็นปกติ ไม่ทำตามที่พูด ไม่พูดในเรื่องที่ทำ เด็กและผู้น้อยเห็นว่าการพูดจริงเป็นเรื่องไม่ควรทำ จนกล่าวกันว่าเรื่องจริงเป็นสิ่งไม่ตายแต่คนพูดตาย ทำให้หาผู้อาจหาญยึดถือสัจจะความจริงได้ยาก

5.ความอดใจ หากสังคมมีความอดใจต่อจิตใจไฝ่ชั่ว อดใจต่อผลประโยชน์ที่ไม่ชอบธรรม อดใจต่อความไม่เป็นธรรม มีหริโอตัปปะ ละอายความชั่ว สังคมจะน่าอยู่ยิ่ง

6.ความทำใจ ต้องถือกติกาของสังคม แข่งขันแพ้ต้องยอมรับ แข่งขันชนะไม่ลำพองใจ ยอมรับชัยชนะของผู้อื่นได้ อดทนรอเวลาเป็น อย่างที่เรียกว่าทำใจได้

ลองคิดดูว่าจริงไหม
พธู กะยาจิ
23/9/56

 สวัสดี ครับ น้องติ๋ม น้องพธู
           จากบทความของน้องพธู 6 ข้อถูกทุกข้อ และถ้าเขียนเพิ่มอีก 10 ข้อก็คงปฏิเสธ ไม่ได้ว่า "ไม่ใช่ ความจริง"
   แล้วจะอะไร ต่อไปล่ะ.......มองเห็นปัญหา....../.แล้วมองเห็นต้นเหตุ ของการที่ ทำให้ คนไทย ทั่วๆไป มีนิสัย พฤติกรรม
   และความคิด ตาม 6 ข้อ หรือ 16 ข้อ หรือ ฯลฯ เหล่านี้หรือเปล่า ? .......ถ้ามีผู้เห็น ต้นทาง ของการเกิด และปลายทาง
   ของผลที่เกิดแล้ว..../  สิ่งต่อไป ก็คงจะต้องถามว่า จะแก้ อย่างไร ? ใครจะเป็นคนแก้ ? เริ่มที่ไหน? /  หรือ จะปล่อยมัน
   อยู่กับมัน.......เพราะ สิ่งที่เราคุยกันนี้ มันเกิดจากการพัฒนาทางความคิด พฤติกรรม ของมนุษย์ ในสังคมนั้นๆ รุ่นสู่ รุ่น
   มันมิได้เกิดขึ้นเอง.....จากผู้ใหญ่ สู่เด็ก....แล้วก็จากเด็กมาเป็น... ผู้ใหญ่ .....ทำอย่างไรกันดี ละ นั้นคือสิ่งที่ควร คิด ควรทำ
   ทำอย่างไร ละที่เราจะ แก้ที่ ต้นเหตุ.......ส่วนปลายนั้นมัน จึงจะ เปลียนแปลงไปตามปัจจัยที่ต้องการได้.......
  (ที่นี่ ประเทศไทย )    emo29:P: emo29:P: emo47


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 02 ตุลาคม 2556, 21:24:13


ธรรมชาติของคนที่ไม่มีพรมวิหาร 4 โดยเฉพาะ มุทิตา
6.ความทำใจ ต้องถือกติกาของสังคม แข่งขันแพ้ต้องยอมรับ แข่งขันชนะไม่ลำพองใจ ยอมรับชัยชนะของผู้อื่นได้ อดทนรอเวลาเป็น อย่างที่เรียกว่าทำใจได้
ข้อนี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ยุคนี้กระมังคะ ไม่ใช่เฉพาะเมืองไทย ชาติที่เขาเรียกตัวเองว่าพัฒนาแล้วอยู่แถวหน้าของชาติอื่น พรรคคนรวยเขายังหยุดการทำงานของรัฐบาลได้เพราะแพ้เสียงเรื่อง Health Care สำหรับช่วยคนจน และไม่อยากเห็นความสำเร็จของฝ่ายตรงข้าม

มนุษย์ก็คือคนไม่ว่าที่ไหนชาติใดเหมือนกันทั้งนั้น เห็นแก่ตัวและพวกพ้อง
 emo2:) emo2:)



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 20 ตุลาคม 2556, 03:22:33
คุณครับ
เมื่อคุณตาย คุณจะรู้ว่า ไม่มีอะไรเป็นของเรา เอาอะไรไม่ได้
เพราะเราไม่มี จะมีของเราได้อย่างไีร
มัวหลงว่าเป็นของเรา ไม่รู้ว่า ไม่มีเรา ไม่เป็นเรา

ธรรมสนทนา -พระอาจารย์จีรเดช อภิเชโต
-วัดป่าแก้ว จันทบุรี ๑๙ ต.ค.๕๖


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 10 มกราคม 2557, 07:14:23


(http://www.cmadong.com/picup/201401/1541213893128428376009957.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 11 มกราคม 2557, 14:13:34
สวัสดีปีใหม่ค่า



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 13 มกราคม 2557, 22:53:48
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 11 มกราคม 2557, 14:13:34
สวัสดีปีใหม่ค่า


สวัสดีค่ะป้อม
ได้คอมใหม่แล้วค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 14 มกราคม 2557, 08:32:02
ดีจังเลยค่ะ คุณเหยงเขาก็ติดตามถามถึงอยู่ค่ะ เมื่อวันที่ 11 มกรา พี่ๆ 2514 มาเชียงใหม่กัน 2 รถตู้ ป้อมกับน้อยได้ไปร่วมสังสันทน์ด้วย ชวนน้องๆไปกันหลายคน น้องอ้อมไม่อยู่ไปลำปาง จุ๋มคุณพ่อแฟนเสีย สมควรติดงานปีใหม่บริษัท มีน้องกุ้งน้องแขกน้องไมน้องแอมาแจมด้วยค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะมือถือแฟลตไม่ค่อยดี แต่พี่ๆถ่ายไว้ค่ะ เดี๋ยวคงได้ดู


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 14 มกราคม 2557, 22:38:44

จะรอดูรูปค่ะ คิดถึงค่ะ

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 14 มกราคม 2557, 08:32:02
ดีจังเลยค่ะ คุณเหยงเขาก็ติดตามถามถึงอยู่ค่ะ เมื่อวันที่ 11 มกรา พี่ๆ 2514 มาเชียงใหม่กัน 2 รถตู้ ป้อมกับน้อยได้ไปร่วมสังสันทน์ด้วย ชวนน้องๆไปกันหลายคน น้องอ้อมไม่อยู่ไปลำปาง จุ๋มคุณพ่อแฟนเสีย สมควรติดงานปีใหม่บริษัท มีน้องกุ้งน้องแขกน้องไมน้องแอมาแจมด้วยค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะมือถือแฟลตไม่ค่อยดี แต่พี่ๆถ่ายไว้ค่ะ เดี๋ยวคงได้ดู


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 15 มกราคม 2557, 01:38:18
มาแย้ว พีฉัน


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 21 มกราคม 2557, 01:01:36

 emo43 emo9:huhu:
นอนป่วยเป็น Flu ซะเป็นอาทิตย์เลยค่ะ
ได้นอนท่องพุทโธนานมาก ป่วยแต่กายค่ะ แต่ใจไม่ยอมป่วยตาม
จิตมีห่วงบ้างก็พี่น้องคนไทยด้วยกัน
ได้แต่ขอพรคุณพระให้คนไทยมีทิศทางที่ดี ไม่ต้องเจ็บ เสียหายไปมากกว่านี้นะคะ
ได้แต่เอาใจช่วย



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 21 มกราคม 2557, 02:24:21
“...ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น
ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึง
ชาติหน้าชาติหลัง
หรือนรกสวรรค์อะไรก็ได้

ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรง
ศีล สมาธิ ปัญญา
อย่างแน่วแน่ก็พอ 

ถ้าสวรรค์มีจริง
ถึง ๑๖ ชั้นตามตำรา 
ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ก็ย่อมได้
เลื่อนฐานะของตนเองโดยลำดับ 

หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย
ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้
ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์
ย่อมอยู่เป็นสุข
เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ 

การฟังจากคนอื่น การค้นคว้าจากตำรานั้น 
ไม่อาจแก้ข้อสงสัยได้

ต้องเพียรปฏิบัติ
ทำวิปัสสนาญาณให้แจ้ง 
ความสงสัยก็หมดไปเอง
โดยสิ้นเชิง..” 

โอวาทธรรม
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
*****************************

  .... ธรรมะสวัสดี ราตรีสวัสดิ์ ....


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 21 มกราคม 2557, 23:07:27

ขอบคุณมากค่ะน้องพธู เยี่ยม
ได้รับพรปีใหม่ที่วิเศษมากๆมา
ขอส่งพรนี้ต่อให้เพื่อนพี่น้องซีมะโด่งทุกท่านค่ะ

New Year Blessing - พรปีใหม่
Ten meritorious performances one can feel blessed:
กิริยาวัตถุ ๑๐
(1) doing charity -ทาน
(2) self discipline -ศีล
(3) meditation -ภาวนา
(4) respecting the virtue -เคารพผู้มีคุณธรรม
(5) well performing obligations -ทำกิจการงานเสร็จด้วยดี
(6) donation with true faith- ทำบุญด้วยสรัทธา
(7) congratulating to success -อนุโมทนาในบุญที่คนอื่นทำ
(8) acquiring knowledge - ฟังธรรมตามกาล
(9) sharing knowledge -แสดงธรรมตามกำลัง
(10) searching for truth - ทำพระนิพพานให้แจ้ง



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 23 มกราคม 2557, 08:35:18
ถึงเวลาตอบแทนบุญคุณพ่อแม่คุณแล้วหรือยัง
เรื่องแปลกของพ่อแม่ลูก

เวลาไม่มีเงิน ...
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่

แต่พอมีเงิน ...
คนแรกที่คิดถึง คือแฟนและเพื่อน

อยากได้รถ ...
คนแรกที่คิดถึง คือพ่อและแม่

แต่พอมีรถ ...
คนแรกที่จะไปรับ คือแฟนและเพื่อน

ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศคลาสสิค ...
มีไว้สำหรับ แฟนและเพื่อน

อาหารบนโต๊ะที่บ้าน ... กลับมีสำหรับพ่อและแม่

โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า ...
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน

ทีวี และสวนหน้าบ้าน ...
มีไว้สำหรับพ่อและแม่

พ่อและแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน ...

ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนตก่อนนอน ...

เวลาเรามีความสุข ...
มักจะมองหา แฟนและเพื่อน

เวลาเรามีความทุกข์ ...
คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่

เวลาประสบความสำเร็จ !..
เรามักมองหาแฟนและเพื่อน เพื่อนัดฉลองและสังสรร

แต่คนที่ดีใจที่สุด คือพ่อและแม่ ...

แต่พ่อและแม่ กลับกลายเป็นคนที่เรา มองข้ามไป ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ ...
พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย ..เพื่อให้ลูกได้ดี แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูด ... เป็นแค่เรื่องไร้สาระ

พ่อและแม่ ... คือผู้ฝ่าฟันปัญหา เป็นร้อยพันประการเพื่อลูก แต่เมื่อลูกมีปัญหา กับแฟน กับการเรียน ... มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่หรืออยากตาย!!!!

พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง และยืนเคียงข้างลูกจวบจนชีวิตจะหาไม่ ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด ... ???

คำว่า "พ่อ" หรือ "แม่" อาจเป็นคำแรก ที่เราพูดได้ตั้งแต่เกิด แล้วคุณเตรียมอะไรไว้ เพื่อคุณพ่อคุณแม ่ของคุณหรือยัง ?

แปลกมะ...ที่บางวัน ตื่นมาพร้อมกับคนที่รู้จักกันไม่ถึง 1 วัน

แปลกมะ... ที่คนที่คุณบอกว่ารักเค้า กลับทิ้งคุณไป
แปลกมะ... ที่เราต้องส่งเมล์ ให้กับคนที่ทำงาน อยู่โต๊ะติดกัน
แปลกมะ...ที่วันเกิดเรา  พ่อแม่ดีใจที่สุด แต่เรากับไปทานข้าวกับคนอื่น
แปลกมะ... ที่เราต้องพูดจาเพราะ ๆ เพื่อให้เค้ายอมรับ แต่ไม่เคยพูดครับคะ กับพ่อแม่ตัวเอง
แปลกมะ... ที่เพื่อนโทรมาชวนเรา เวลาไหนเราก้อออกไป แต่พ่อแม่จะมาหาเรา กลับบอกไม่ว่าง
แปลกมะ... ที่เรารักใครบางคน ที่ไม่กล้าจับแม้กระทั่ง กางเกงในของเรา แต่เรากลับเบื่อ เสียงเตือนของคน ที่ล้างก้นเรา ได้มากกว่าสิบปี
แปลกมะ... ที่คุณทำอะไรได้ทุกๆสิ่ง เพื่อใครบางคน แต่คุณไม่เคยทำ สิ่งที่พ่อแม่แอบดีใจ
แปลกมะ... ที่เรารักเพื่อนที่เคย เลี้ยงข้าวเราเพียง 1 มื้อ แต่เรากลับไม่เคยส่งเงิน ให้กับคนที่เลี้ยงข้าวเรา มาสิบกว่าปี

…แปลกมะ...ที่คุณยังรอ ที่จะทำบุญกับท่าน ในวันที่ท่านไม่อยู่....

แปลกจริงสำหรับคนส่วนใหญ่


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 23 มกราคม 2557, 22:35:50

มันเป็นกฏของธรรมชาติที่ยังดิบๆค่ะ ยังไม่ได้ขัดเกลา
ความกตัญญูนั้นเป็นเรื่องต้องสอนจนเป็นวัฒนธรรม เรื่องนี้ขอยกให้คนจีนโบราณก่อนลัทธิคอมมิวนิส คนไทยก็ใช้ได้ถ้านับถือพุทธแบบปฏิบัติ
เชื่อหรือไม่ว่าคนตะวันตกไม่มีคำนี้อยู่ในวัฒนธรรมเขา ไม่สอนกันแบบไทย จืน
เราทำให้เขาดู เขาสุดทึ่ง และเอาแบบอย่างค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 23 มกราคม 2557, 22:36:27
มันเป็นกฏของธรรมชาติที่ยังดิบๆค่ะ ยังไม่ได้ขัดเกลา
ความกตัญญูนั้นเป็นเรื่องต้องสอนจนเป็นวัฒนธรรม เรื่องนี้ขอยกให้คนจีนโบราณก่อนลัทธิคอมมิวนิส คนไทยก็ใช้ได้ถ้านับถือพุทธแบบปฏิบัติ
เชื่อหรือไม่ว่าคนตะวันตกไม่มีคำนี้อยู่ในวัฒนธรรมเขา ไม่สอนกันแบบไทย จืน
เราทำให้เขาดู เขาสุดทึ่ง และเอาแบบอย่างค่ะ



อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 23 มกราคม 2557, 08:35:18
ถึงเวลาตอบแทนบุญคุณพ่อแม่คุณแล้วหรือยัง
เรื่องแปลกของพ่อแม่ลูก

เวลาไม่มีเงิน ...
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่

แต่พอมีเงิน ...
คนแรกที่คิดถึง คือแฟนและเพื่อน

อยากได้รถ ...
คนแรกที่คิดถึง คือพ่อและแม่

แต่พอมีรถ ...
คนแรกที่จะไปรับ คือแฟนและเพื่อน

ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศคลาสสิค ...
มีไว้สำหรับ แฟนและเพื่อน

อาหารบนโต๊ะที่บ้าน ... กลับมีสำหรับพ่อและแม่

โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า ...
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน

ทีวี และสวนหน้าบ้าน ...
มีไว้สำหรับพ่อและแม่

พ่อและแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน ...

ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนตก่อนนอน ...

เวลาเรามีความสุข ...
มักจะมองหา แฟนและเพื่อน

เวลาเรามีความทุกข์ ...
คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่

เวลาประสบความสำเร็จ !..
เรามักมองหาแฟนและเพื่อน เพื่อนัดฉลองและสังสรร

แต่คนที่ดีใจที่สุด คือพ่อและแม่ ...

แต่พ่อและแม่ กลับกลายเป็นคนที่เรา มองข้ามไป ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ ...
พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย ..เพื่อให้ลูกได้ดี แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูด ... เป็นแค่เรื่องไร้สาระ

พ่อและแม่ ... คือผู้ฝ่าฟันปัญหา เป็นร้อยพันประการเพื่อลูก แต่เมื่อลูกมีปัญหา กับแฟน กับการเรียน ... มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่หรืออยากตาย!!!!

พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง และยืนเคียงข้างลูกจวบจนชีวิตจะหาไม่ ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด ... ???

คำว่า "พ่อ" หรือ "แม่" อาจเป็นคำแรก ที่เราพูดได้ตั้งแต่เกิด แล้วคุณเตรียมอะไรไว้ เพื่อคุณพ่อคุณแม ่ของคุณหรือยัง ?

แปลกมะ...ที่บางวัน ตื่นมาพร้อมกับคนที่รู้จักกันไม่ถึง 1 วัน

แปลกมะ... ที่คนที่คุณบอกว่ารักเค้า กลับทิ้งคุณไป
แปลกมะ... ที่เราต้องส่งเมล์ ให้กับคนที่ทำงาน อยู่โต๊ะติดกัน
แปลกมะ...ที่วันเกิดเรา  พ่อแม่ดีใจที่สุด แต่เรากับไปทานข้าวกับคนอื่น
แปลกมะ... ที่เราต้องพูดจาเพราะ ๆ เพื่อให้เค้ายอมรับ แต่ไม่เคยพูดครับคะ กับพ่อแม่ตัวเอง
แปลกมะ... ที่เพื่อนโทรมาชวนเรา เวลาไหนเราก้อออกไป แต่พ่อแม่จะมาหาเรา กลับบอกไม่ว่าง
แปลกมะ... ที่เรารักใครบางคน ที่ไม่กล้าจับแม้กระทั่ง กางเกงในของเรา แต่เรากลับเบื่อ เสียงเตือนของคน ที่ล้างก้นเรา ได้มากกว่าสิบปี
แปลกมะ... ที่คุณทำอะไรได้ทุกๆสิ่ง เพื่อใครบางคน แต่คุณไม่เคยทำ สิ่งที่พ่อแม่แอบดีใจ
แปลกมะ... ที่เรารักเพื่อนที่เคย เลี้ยงข้าวเราเพียง 1 มื้อ แต่เรากลับไม่เคยส่งเงิน ให้กับคนที่เลี้ยงข้าวเรา มาสิบกว่าปี

…แปลกมะ...ที่คุณยังรอ ที่จะทำบุญกับท่าน ในวันที่ท่านไม่อยู่....

แปลกจริงสำหรับคนส่วนใหญ่


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 23 มกราคม 2557, 22:43:46
ขอต่อขอความจากน้องพธูด้วยการแบ่งปันข้อความนี้ค่ะ

"พระอรหันต์อยู่ในบ้าน"



http://pantip.com/topic/30556803 (http://pantip.com/topic/30556803)

สมเด็จโตท่านเป็นยอดนักเทศน์ ท่านเทศน์ได้จับใจคนฟัง ธรรมเทศนาของท่านเข้าใจง่าย ไม่ต้องนั่งแปลไทยให้เป็นไทย เพราะท่านใช้คำไทยตรงๆ เป็นภาษาพื้นๆ ที่คนทั่วไปได้ฟังก็เข้าใจ เป็นที่นิยมของชนทุกชั้น
ฟังไปก็สนุกเพลิดเพลิน และยังได้คติธรรม ไม่ง่วงเหงาหาวนอนเหมือนนักเทศน์ท่านอื่นๆ

สมเด็จโตท่านได้เล่าว่า มีคราวหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ให้แสดงธรรม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกมาท่ามกลางเหล่าขุนนาง ข้าราชการ และข้าราชบริพาร ครั้นพอพบหน้าท่านเจ้าผู้ครองแผ่นดินก็ทรงสัพยอกว่า “ท่านเจ้าคุณ เห็นเขาชมกันทั้งเมืองว่าท่านเทศน์ดีนักนี่ วันนี้ต้องขอพิสูจน์หน่อย”

สมเด็จโตทรงทูลว่า “ผู้ที่ไม่เคยฟังในธรรม ครั้นเขาฟังธรรม และได้รู้เห็นในธรรมนี้แล้ว เขาก็ชมว่าดี ขอถวายพระพร มหาบพิตร” และวันนี้อาตมาจะมาเทศน์เรื่อง “พระอรหันต์อยู่ในบ้าน”

    
        
    
ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเหล่าขุนนาง ข้าราชการและข้าราชบริพารต่างก็มีความสงสัย เพราะเคยได้ยินแต่ว่าพระอรหันต์ท่านจะอยู่ในถ้ำ ในป่า ในเขา ในที่เงียบสงัดหรือที่วัดวาอารามเท่านั้น แต่ทำไมสมเด็จโตจึงกล่าวว่าจะเทศนาเรื่องพระอรหันต์อยู่ในบ้าน ในขณะที่ทุกคนพากันคิดสงสัยอยู่นั้น ฝ่ายสมเด็จโตทรงทราบด้วยญาณวิถีของทุกคน
ท่านจึงขยายความต่อไปว่า จิตพระอรหันต์เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านละจากความโลภ ความหลง ไม่ยินดียินร้ายในเรื่องใดๆทั้งสิ้น เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยม หากใครได้ทำบุญกับพระอรหันต์แล้วไซร้ ก็ถือได้ว่าเป็นลาภอันประเสริฐที่สุด บุญที่ได้ทำกับท่านจะให้ผลในชาติปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า ทุกๆคนจึงมุ่งเสาะแสวงหาแต่พระอรหันต์ที่อยู่นอกบ้าน แต่ไม่เคยมองเห็นพระอรหันต์ที่อยู่ในบ้านเลย

ทุกๆคนที่นั่งฟังเทศนาอยู่ในที่แห่งนั้น ต่างทำสีหน้างุนงงไปตามกัน เพราะไม่เข้าใจความหมาย สมเด็จโตจึงเทศนาต่อไปว่า “พระอรหันต์คือ พระผู้ประเสริฐ คนเราทั้งหลายพยายามค้นหาพระผู้ประเสริฐ เพียงหวังที่จะยึดท่าน เกาะผ้าเหลืองท่าน เกาะหลังของท่าน เพื่อให้ท่านพาไปสู่ความสุข แม้ว่าท่านจะอยู่ไกลสุดขอบฟ้า คนเราก็ยังอุตสาห์ดั้นด้นดิ้นรนไปหา เพียงหวังเพื่อยึดเหนี่ยวและบูชาท่าน แต่พระที่อยู่ภายในที่ใกล้ตัวที่สุดกลับมองข้าม มองไม่เห็นเหมือนใกล้เกลือ แต่กลับไปกินด่าง อันน้ำใจของพ่อ แม่ ที่ให้ต่อลูก มีแต่ความบริสุทธิ์ ไม่คิดหวังสิ่งตอบแทน เช่นเดียวกับน้ำใจของพระอรหันต์ที่ให้ต่อมนุษย์ ก็มีความบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน

พ่อแม่จึงเปรียบเสมือนพระอรหันต์ของลูก ท่านมีน้ำจบริสุทธิ์ต่อลูกมากมายนัก ท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่อยู่ในท้องของท่าน ทนทุกข์ทรมานร่วมเก้าเดือนบ้างสิบเดือนบ้าง แต่ท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นสักนิด มีแต่ความสุขใจ แม้ลูกเกิดมาแล้วพิกลพิการ หูหนวก ตาบอด ท่านก็ยังรักยังสงสาร เพราะท่านคิดเสมอว่านั้นคือสายเลือด ถือว่าเป็นลูก ไม่เคยคิดรังเกียจและทอดทิ้ง แต่ท่านกลับจะเพิ่มความรักความสงสารมากยิ่งขึ้น ครั้นตอนที่เราเป็นเด็กเล็กๆ ก็ซุกซนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราเคยหยิก เคยข่วน ทุบ ตี เตะ ต่อย กัด หรือด่าทอพ่อแม่ต่างๆ นานา เพราะความไร้เดียงสา ท่านก็ไม่เคยโกรธเคือง กลับยิ้มร่าชอบใจเพิ่มความรักความเอ็นดูให้เสียอีก แม้เราจะเป็นผู้ใหญ่รู้ผิดชอบชั่วดี แต่บางครั้งด้วยความโกรธ ความหลง เราก็ยังทุบตีหรือด่าทอท่านอยู่ แทนที่ท่านจะโกรธหรือถือโทษเอาผิดต่อเรา ท่านกลับยอมนิ่งเฉย ยอมที่จะทนรับทุกข์เพียงฝ่ายเดียว ยอมเสียน้ำตา ยอมเป็นเครื่องรองรับมือ รับเท้า และปากของเรา


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2557, 21:57:44
http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=16946 (http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=16946)

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

      การพูดและการนิ่งก็คือจิต   เจตสิกที่ทำหน้าที่   การพูด    พูดด้วยจิตที่เป็นกุศลก็ได้

อกุศลก็ได้ การนิ่ง นิ่งด้วยจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้   พระพุทธเจ้าทรงแสดงในเรื่อง

ของการพูดไว้ว่าเราไม่กล่าวว่าควรพูดในสิ่งที่เราเห็น  ได้ยินทั้งหมด    เพราะสิ่งใดเมื่อ

พูดแล้วจิตเป็นอกุศล(ผู้พูด) สิ่งนั้นก็ไม่ควรพูด   แม้เรื่องนั้นจะจริงก็ตาม เรื่องใดไม่จริง

ไม่ควรพูด เรื่องใดจริง แท้แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ไม่ควรพูด เรื่องใดจริง ประกอบ

ด้วยประโยชน์   ควรพูดแต่ดูกาลเทศะที่จะพูดด้วย คำว่าประกอบด้วยประโยชน์  ในที่นี้

คือเป็นกุศลกับตัวเองและทำให้ผู้อื่นเป็นกุศลหรือให้ออกจากอกุศล



กล่าววาจาต่อหน้าและลับหลัง [อรณวิภังคสูตร]

องค์แห่งวาจาสุภาษิต ๕ ประการ [วาจาสูตร]  

                                     ********************

การนิ่ง การนิ่งที่เราเรียกว่า ดุษณีภาพ    การนิ่ง  นิ่งด้วยจิตที่เป็นอกุศลก็ได้  กุศลก็ได้

ผู้ที่นิ่งก็ด้วยเหตุหลายประการตามพระไตรปิฎกที่ได้แสดงไว้พอสรุปได้ดังนี้

1. นิ่งเพราะไม่รู้จึงนิ่ง ไม่พูด

2. เป็นผู้ไม่แกล้วกล้าจึงนิ่ง ไม่พูด

3. เป็นผู้สำรวมงดเว้นจากการพูดวจีทุจริตจึงนิ่ง ไม่พูด

4. โกรธจึงนิ่ง

5. เป็นผู้นิ่งอย่างพระอริยคือเป็นการนิ่งอันประเสริฐ

การนิ่งอย่างพระอริยะ    หรือกานิ่งอย่างประเสริฐหมายถึง ขณะที่สติปัฏฐานเกิดขณะ

ที่นิ่งหรือขณะที่พิจารณาสภาพธรรมอยู่   ซึ่งขณะนั้น   ไม่ได้พูดหรือแสดงออกทางกาย

วาจาอย่างใดอย่างหนึ่ง  จึงชื่อว่าเป็นการนิ่งอย่างพระอริยะ   ด้วยจิตที่เป็นกุศล

สรุปได้ว่า  การนิ่งจึงเป็นไปทั้งจิตที่เป็นกุศลและอกุศล  บุคคลจะเป็นผุ้มีปัญญา   เป็นผู้

สงบ เพราะเหตุคือเป็นผู้นิ่งหรือเป็นผู้พูดมากก็ไม่ใช่   แต่สำคัญที่ใจและความเข้าใจที่มี

ของบุคคลนั้น



ไม่ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะความเป็นผู้นิ่ง [คาถาธรรมบท]

                                     ********************

 เมื่อไหร่ควรพูด เมื่อไหร่ไม่ควรพูด(เป็นผู้นิ่ง)....ธรรมเป็นอนัตตาเมื่อมีเหตุปัจจัยก็พูด

หรือไม่พูด แต่ถ้าเป็นความถูกต้องแล้ว หากจะนิ่งไม่พูดเพราะจิตเป็นอกุศลก็ไม่ควร พูด

ด้วยจิตที่เป็นอกุศลก็ไม่ควรแต่ขณะที่ฟังธรรม ขณะที่เข้าประชุมพระพุทธเจ้าทรงแสดง

ว่าสิ่งที่ควรพูดคือกล่าวธรรมหรือหากเธอไม่กล่าวธรรมก็ควรเป็นผู้นิ่ง นิ่งอย่างพระอริยะ

คือพิจารณาธรรม    เป็นต้น  การพูดคือควรพูดในสิ่งทีเป็นประโยชน์ด้วยจิตที่เป็นกุศล

และการนิ่งก็นิ่งด้วยจิตที่ประกอบด้วยกุศล มีการพิจารณาธรรม เป็นต้น

                                     ********************


     พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 73

เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า  " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   เธอประชุมกันแล้ว  ก็มีกิจ

ที่ควรกระทำ  ๒  อย่าง  คือ   ธรรมีกถา  กล่าวธรรม  หรือดุษณีภาพนิ่งอย่างอริยะ".

ควรเป็นผู้นิ่ง   เพราะเคารพธรรม  หากจะกล่าวเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่เรื่องของพระธรรมก็ควร

นิ่งเสีย  ในขณะที่ฟังธรรม  เพราะเป็นผู้เคารพธรรม  



นิ่งไม่พูด เรื่องไม่เป็นประโยชน์เพราะเคารพธรรม [ปุนัพพสุสูตร]

                                     ********************

ควรเป็นผู้นิ่ง   ด้วยเหตุเมื่อได้รับคำด่า   วาจาที่ไม่เป็นธรรม เพื่อประโยชน์กับตัวเองคือ

รักษาจิตตัวเองและรักษาผู้อื่นไม่ให้ผู้อื่นเกิดอกุศลมากไปกว่านี้ หากมีการกล่าวโต้ตอบ

กัน จึงควรนิ่งเสียด้วยกุศลจิต

         พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 471

                           ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว   เป็นผู้มีสติระงับไว้ได้  

          ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายตนและคนอื่น  

                                      เรื่องควรนิ่งเมื่อถูกคำด่าว่า

        พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ 715

       พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสคาถานี้แล้ว   จึงรับสั่งถามพระอานนทเถระว่า   ดูก่อน

อานนท์  ภิกษุทั้งหลายถูกคำว่าเย้ยหยันอย่างนี้แล้วพูดอย่างไร.   กราบทูลว่า  มิได้พูด

อะไรเลย พระเจ้าข้า.  ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์   เราเป็นผู้มีศีลมิใช่หรือ   เพราะฉะนั้นควร

นิ่งในเรื่องทั้งหมด  แม้รู้อยู่ก็ไม่พูด   เพราะคนพาลกับบัณฑิตเข้ากัน ไม่ได้.  

เรื่องที่ควรพูด.......พูดด้วยกุศลจิต    พูดเพื่อตักเตือน     พูดเพื่อประโยชน์กับผู้อื่นและ

บางอย่าง  เมื่อผู้อื่นกล่าวคำติเตียน  พระรัตนตรัย  ก็ควรพูดเพื่อให้มีความเข้าใจถูกและ

เคารพในพระรัตนตรัย แต่ควรดูกาลเทศะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557, 23:49:17
ใกล้วันแห่งความรัก
เขาว่ากันว่า"มีรักก็มีทุกข์"
ความรักเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ในทุกรูปแบบ
ทำอย่างไรจึงจะทำให้ธรรมชาตินี้ให้เป็นประโยชน์ แทนที่จะเป็นทุกข์

เมตตาบารมี หมายถึง ไมตรีจิต ความรัก ความปรารถนาดีความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจดีต่อกัน ต้องการสร้างเสริมประโยชน์สุขให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย เมตตาจัดเป็นธรรมพื้นฐานของใจขั้นแรก ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งทำให้มองกันในแง่ดี หวังดีต่อกัน พร้อมที่จะรับฟัง และเจรจากันด้วยความเข้าใจ ไม่เห็นแก่ตัว  ไม่มีอคติ คือ ความโกรธ ความเกลียด เป็นที่ตั้ง เป็นหลักธรรมพื้นฐานสำหรับสร้างความสามัคคีและเอกภาพของหมู่ชน  ประกอบด้วยเมตตากายกรรม การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เมตตาวจีกรรม การพูดจากันด้วยถ้อยคำสุภาพอ่อนโยน ว่ากล่าวตักเตือนด้วยความหวังดีและจริงใจ เมตตามโนกรรม การมองกันในแง่ดี มีความปรารถนาดี มีความหวังดี มีความสงสาร มีความเห็นใจ อยากช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ คิดทำแต่สิ่งที่จะอำนวยประโยชน์สุขให้แก่กันและกัน

   ความเมตตาอย่างสูงสุดมุ่งที่จะเห็นผู้อื่นพ้นทุกข์ในสังสารวัฏ จึงยอมสละได้แม้กระทั่งทรัพย์สิน คนรัก อวัยวะร่างกาย หรือแม้กระทั่งชีวิต เห็นการเกิดแก่เจ็บตายของสรรพสัตว์เป็นสิ่งที่จะต้องให้ความช่วยเหลือ พระพุทธเจ้าเมื่อยังมิได้ตรัสรู้ ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ทรงปฏิบัติในเมตตาบารมีอย่างแรงกล้ามาโดยลำดับ ๓ ขั้น ดังนี้

(๑) เมตตาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมีมาโดยลำดับ ทรงรักษาปฏิบัติในเมตตาบารมีเพื่อพระโพธิญาณยิ่งกว่ารักษาคนที่รักและทรัพย์สิน

(๒) เมตตาอุปบารมี พระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมียิ่งขึ้นโดยลำดับ ทรงรักษาเมตตาบารมียิ่งกว่าอวัยวะร่างกาย คือ ทรงรักษาปฏิบัติในเมตตาบารมีเพื่อพระโพธิญาณยิ่งกว่าอวัยวะร่างกาย

(๓) เมตตาปรมัตถบารมี  พระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมีอย่างสูงสุด  ด้วยการรักษาเมตตาบารมียิ่งกว่าชีวิต คือ  ทรงรักษาปฏิบัติในเมตตาบารมีเพื่อพระโพธิญาณยิ่งกว่าชีวิต

อ้างอิงจาก
http://www.jariyatam.com/ten-fo-buddha/59-2009-06-21-02-06-12


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557, 21:36:38
วันนี้วันดี เป็นวันแห่งความรัก ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ แผ่เมตตาแก่มวลมนุษย์และทุกสิ่งมีชีวิตที่เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น


http://www.youtube.com/watch?v=xMVpidwdMd8


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557, 22:02:35
เรื่องยุ่งๆในบ้านเมืองเกิดขึ้นเสมอๆ  เป็นเพราะต้องพึ่งผู้มีปัญญาบารมีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
คติธรรม : บำเพ็ญปัญญาบารมี
ปัญญาอันล้ำเลิศนั้นย่อมทำคุณให้แก่บุคคล ยิ่งกว่ามีทรัพย์นับแสน แม้มิมีปัญญาดั่งปราชญ์ แต่ถ้าเป็นผู้รู้จักคิดให้รอบคอบก่อน ก็ย่อมเป็นผู้มีปัญญาและประพฤติชอบแล้ว


http://www.youtube.com/watch?v=9K65JVGQZtk


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557, 23:31:38
ส่งเพลงไพเราะมาฝากอีกค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=Am9t88Z_ZXc


อุเบกขาบารมี  หมายถึง การวางใจให้เป็นกลาง  แม้จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความลำบากยุ่งยากใจ ก็มีใจเป็นกลางไม่โกรธเกลียด  มองทุกสิ่งและยอมรับตามความเป็นจริง  อุเบกขาในเบื้องต้น  เป็นการยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ให้อคติมามีอิทธิพลทำให้เอนเอียงไปด้านในด้านหนึ่ง  ด้วยอำนาจของความรักชัง   อุเบกขาอย่างสูง ได้แก่ อุเบกขาในฌาน อันเป็นผลมาจากกำลังสมาธิที่เกิดจากความสงบระงับอย่างสูง

เมื่อครั้งพระพุทธเจ้า ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ได้บำเพ็ญอุเบกขาสูงสูดด้วยการเกิดเป็นพรหม ดำรงอยู่ในอุเบกขาอันเป็นสุขอย่างสูงสุด เพราะไม่มีความทุกข์สุขอันเป็นผลมาจากรักชัง แม้เช่นนั้นก็ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ อุเบกขามี ๓  ขั้น  คือ

(๑) อุเบกขาบารมี คือ อุเบกขาของผู้บำเพ็ญเพื่อประโยชน์แห่งพระโพธิญาณ รักษาอุเบกขายิ่งกว่ารักษาคนและทรัพย์สิน

(๒) อุเบกขาอุปบารมี คือ อุเบกขาของผู้บำเพ็ญเพื่อประโยชน์แห่งพระโพธิญาณ รักษาอุเบกขายิ่งกว่ารักษาอวัยวะของตนเอง

(๓) อุเบกขาปรมัตถบารมี คือ อุเบกขาของผู้บำเพ็ญเพื่อประโยชน์แห่งพระโพธิญาณ รักษาอุเบกขายิ่งกว่ารักษาชีวิตของตน


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557, 23:59:59
สวัสดีค่ะติ๋ม ติดตามอ่านอยู่นะคะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2557, 22:10:08

ดีใจที่ป้อมมาฟังค่ะ
อยากให้ป้อมฟังเพลงนี้แล้วฟังเนื้อร้องทุกคำๆอย่างตั้งใจไปพร้อมกับหายใจเบาๆสบายๆนะคะ เป็นการทำสมาธิแบบง่ายๆอย่างหนึ่งค่ะ
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2557, 23:59:59

http://www.youtube.com/watch?v=kXOGn_57AkY

สวัสดีค่ะติ๋ม ติดตามอ่านอยู่นะคะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2557, 20:14:06
เข้ามาฟังแล้วนะคะ ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557, 22:08:30
ทศชาติชาดก : ชาติที่ 6 พระภูริทัต (ศีลบารมี)



พระราชาพระองค์หนึ่ง พระนามว่า “พรหมทัต” ครอง ราชสมบัติอยู่ที่เมืองพาราณสี พระโอรสทรงดำรง ตำแหน่งอุปราช อยู่ต่อมาพระราชาทรงระแวงว่า พระโอรสจะคิดขบถ แย่งราชสมบัติ จึงมีโองการให้ พระโอรสออกไปอยู่ให้ไกลเสียจากเมือง จนกว่าพระราชา จะสิ้นพระชนม์จึงให้กลับมารับราชสมบัติ พระโอรสก็ปฏิบัติ ตามบัญชา เสด็จไปบวชอยู่ที่บริเวณแม่น้ำชื่อว่า “ยุมนา”

มีนางนาคตนหนึ่งสามีตาย ต้องอยู่แต่เพียงลำพัง เกิดความ ว้าเหว่จนไม่อาจทนอยู่ในนาคพิภพได้ จึงขึ้น มาจากน้ำ ท่องเที่ยวไปตามริมฝั่งมาจนถึงศาลาที่พักของพระราชบุตร นางนาคประสงค์จะลองใจดูว่า นักบวชผู้พำนักอยู่ในศาลานี้ จะเป็นผู้ที่บวชด้วยใจเลื่อมใสอย่างแท้จริงหรือไม่ จึงจัดประดับ ประดาที่นอนในศาลานั้นด้วยดอกไม้หอม และของทิพย์จาก เมืองนาค ครั้นพระราชบุตรกลับมา เห็นที่นอนจัดงดงาม น่าสบายก็ยินดีประทับนอนด้วยความสุขสบายตลอดคืน รุ่งเช้าก็ออกจากศาลาไป นางนาคก็แอบดู พบว่าที่นอน มีรอยคนนอน จึงรู้ว่านักบวชผู้นี้มิได้บวชด้วยความศรัธรา เต็มเปี่ยม ยังคงยินดีในของสวยงาม ตามวิสัยคนมีกิเลส จึงจัดเตรียมที่นอนไว้ดังเดิมอีก ในวันที่สาม พระราชบุตรมีความสงสัยว่า ใครเป็นผู้จัด ที่นอนอันสวยงามไว้ จึงไม่เสด็จออกไปป่า แต่แอบดูอยู่บริเวณ ศาลานั่นเอง เมื่อนางนาคเข้ามาตกแต่งที่นอน



พระราชบุตร จึงไต่ถามนางว่า นางเป็นใครมาจากไหน นางนาคตอบว่า นางเป็นนาคชื่อมาณวิกา นางว้าเหว่าที่สามีตาย จึงออกมา ท่องเที่ยวไป พระราชบุตรมีความยินดีจึงบอกแก่นางว่า หากนางพึงพอใจจะอยู่ที่นี่ พระราชบุตรก็จะอยู่ด้วยกับนาง นางนาคมาณวิกาก็ยินดี ทั้งสองจึงอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา จนนางนาคประสูติโอรสองค์หนึ่ง ชื่อว่า “สาครพรหมทัต” ต่อมาก็ประสูติพระธิดาชื่อว่า “สมุทรชา” ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตสวรรคต บรรดาเสนาอำมาตย์ ทั้งหลายไม่มีผู้ใดทราบว่าพระราชบุตรประทับ อยู่ ณ ที่ใด บังเอิญพรานป่าผู้หนึ่งเข้ามาแจ้งข่าวว่า ตนได้เคยเที่ยวไปแถบ แม่น้ำยมุนา และได้พบพระราชบุตรประทับอยู่บริเวณนั้นอำมาตย์ จึงได้จัดกระบวนไปเชิญเสด็จพระราชบุตรกลับมาครองเมือง พระราชบุตรทรงถามนางนาคมาณวิกาว่า จะไปอยู่ เมืองพาราณสีด้วยกันหรือไม่

นางนาคทูลว่า “วิสัยนาค นั้นโกรธง่ายและมีฤทธิ์ร้าย หากหม่อมฉันเข้าไปอยู่ในวัง แล้วมีผู้ใดทำให้โกรธ เพียงหม่อมฉัน ถลึงตามอง ผู้นั้นก็จะ มอดไหม้ไป พระองค์พาโอรสธิดากลับไปเถิด ส่วนหม่อมฉัน ขอทูลลากลับไปอยู่เมืองนาค ตามเดิม”

พระราชบุตรจึงพา โอรสธิดากลับไปพาราณสีอภิเษกเป็นพระราชา อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่โอรสธิดาเล่นน้ำอยู่ในสระ เกิดตกใจกลัวเต่า ตัวหนึ่ง พระบิดาจึงให้คนจับเต่านั้นไป ทิ้งที่วันน้ำวนในแม่น้ำ ยมุนา เต่าจมลงไปถึงเมืองนาค เมื่อถูกพวกนาคจับไว้



เต่าก็ออก อุบาย บอกแก่ นาคว่า “เราเป็นทูตของพระราชาพาราณสี พระองค์ ให้เรามาเฝ้าท้าวธตรฐ พระราชทานพระธิดาให้เป็นพระชายา ของท้าวธตรฐ เมืองพาราณสีกับนาคพิภพจะได้เป็นไมตรีกัน” ท้าวธตรฐทรงทราบก็ยินดี สั่งให้นาค 4 ตนเป็นทูตนำ บรรณาการไปถวายพระราชาพาราณสีและขอรับตัว พระธิดามาเมืองนาค พระราชาทรงแปลกพระทัย จึงตรัสกับ นาคว่า “มนุษย์กับนาคนั้นต่างเผ่าพันธุ์กัน จะแต่งงานกัน นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้”

เหล่านาคได้ฟังดังนั้น จึงกลับไปกราบทูลท้าวธตรฐว่า พระราชาพาราณสีทรงดูหมิ่นว่านาคเป็นเผ่าพันธุ์งู ไม่คู่ควรกับพระธิดา ท้าวธตรฐทรงพิโรธ ตรัสสั่งให้ฝูงนาค ขึ้นไปเมืองมนุษย์ ไปเที่ยวแผ่พังพานแสดง อิทธิฤทธิ์อำนาจ ตามที่ต่างๆ แต่มิให้ทำอันตรายชาวเมือง ชาวเมืองพากันเกรงกบัวนาคจนไม่เป็นอันทำมาหากิน ในที่สุดพระราชาก็จำพระทัยส่ง นางสมุทรชา ให้ไปเป็นชายา ท้าวธตรฐ นางสมุทรชาไปอยู่เมืองนาคโดยไม่รู้ว่าเป็นเมืองนาค เพราะท้าวธตรฐให้เหล่า บริวารแปลงกายเป็นมนุษย์ทั้งหมด นางอยู่นาคพิภพด้วยความสุขสบาย จนมีโอรส 4 องค์ ชื่อว่า สุทัศนะ ทัตตะ สุโภคะ และ อริฏฐะ



อยู่มาวันหนึ่ง อริฏฐะได้ฟังนาคเพื่อนเล่นบอกว่า พระมารดาของตนไม่ใช่นาค จึงทดลองดูโดยเนรมิต กายกลับเป็นงู ขณะที่กำลังกินนมแม่อยู่ นางสมุทรชาเห็นลูก กลายเป็นงูก็ตกพระทัย ปัดอริฏฐะตกจากตัก เล็บของนาง ไปข่วนเอานัยน์ตาอรฏฐะบอกไปข้างหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมา นางจึงรู้ว่าได้ลงมาอยู่เมืองนาค ครั้นเมื่อพระโอรสทั้ง 4 เติบโตขึ้น ท้าวธตรฐก็ทรงแบ่งสมบัติ ให้ครอบครองคนละเขต

ทัตตะผู้เป็นโอรส องค์ที่สองนั้น มาเฝ้าพระบิดามารดาอยู่เป็นประจำ ทัตตะเป็นผู้มีปัญญา เฉลียวฉลาดได้ช่วยพระบิดาแก้ไข ปัญหาต่างๆอยู่เป็นนิตย์ แม้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเทวดา ทัตตะก็แก้ไขได้จึงได้รับการยกย่อง สรรเสริญว่า เป็นผู้ปรีชาสามารถ ได้รับขนานนามว่า ภูริทัตต์ คือ ทัตตะผู้เรืองปัญญา ภูริทัตต์ได้เคยไปเห็นเทวโลก ว่าเป็นที่น่ารื่นรมย์จึงตั้งใจว่า จะรักษาอุโบสถศีลเพื่อจะได้ไปเกิดใน เทวโลก จึงทูล ขออนุญาตพระบิดา ก็ได้รับอนุญาต แต่ท้าวธตรฐสั่งว่า มิให้ออกไปรักษาอุโบสถนอก เขตเมืองนาค เพราะอาจ เป็นอันตราย

ครั้นเมื่อรักษาศีลอยู่ในเมืองนาค ภูริทัตต์ รำคาญว่าพวกฝูงนาคบริวาร ได้ห้อมล้อม ปรนนิบัติเฉพาะในตอนเช้าเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมา ภูริทัตต์ก็ขึ้นไปรักษาอุโบสถศีลอยู่ที่จอมปลวก ใกล้ต้นไทรริมแม่น้ำยมุนา ภูริทัตต์ตั้งจิต อธิษฐานว่า แม้ผู้ใดจะต้องการหนัง เอ็น กระดูก เลือดเนื้อของตน ก็จะยอมบริจาคให้ ขอเพียงให้ได้ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ครั้งนั้นมีนายพรานชื่อ เนสาท ออกเที่ยวล่าสัตว์ เผอิญได้ พบภูริทัตต์เข้า สอบถามรู้ว่าเป็นโอรสของ ราชาแห่งนาค



ภูริทัตต์เห็นว่าเนสาทเป็นพรานมีใจบาปหยาบช้า อาจเป็น อันตรายแก่ตน จึงบอกแก่ พรานเนสาทว่า “เราจะพาท่าน กับลูกชาย ไปอยู่เมืองนาคของเรา ท่านทั้งสองจะมีความสุข สบายในเมือง นาคนั้น”

พรานเนสาทลงไปอยู่เมืองนาค ได้ไม่นาน เกิดคิดถึงเมืองมนุษย์จึงปรารภกับภูริทัตต์ว่า “ข้าพเจ้าอยากจะกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้อง แล้วจะออกบวช รักษาศีลอย่างท่านบ้าง” ภูริทัตต์รู้ด้วยปัญญาว่าพรานจะเป็นอันตรายแก่ตน แต่ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี จึงต้องพาพรานกลับไป เมืองมนุษย์ พรานพ่อลูกก็ออกล่าสัตว์ต่อไปตามเดิม

มีพญาครุฑตนหนึ่งอาศัยอยู่บนต้นงิ้ว ทางมหาสมุทรด้านใต้ วันหนึ่งขณะออกไปจับนาคมากิน นาคเอาหางพันกิ่งไทรที่อยู่ ท้ายศาลาพระฤาษี จนต้นไทรถอนรากติดมาด้วย ครั้นครุฑ ฉีกท้องนาคกินมันเหลว แล้วทิ้งร่างนาคลงไป จึงเห็นว่า มีต้นไทรติดมาด้วย ครุฑรู้สึกว่าได้ทำผิด คือถอนเอา ต้นไทรที่พระฤาษี เคยอาศัยร่มเงา จึงแปลงกายเป็นหนุ่ม น้อยไปถามพระฤาษีว่า เมื่อต้นไทรถูกถอนเช่นนี้ กรรมจะตก อยู่กับใคร



พระฤาษีตอบว่า “ทั้งครุฑและนาคต่างก็ไม่มี เจตนาจะถอนต้นไทรนั้น กรรมจึงไม่มีแก่ผู้ใดทั้งสิ้น” ครุฑดีใจจึงบอกกับพระฤาษีว่าตนคือครุฑ เมื่อพระฤาษี ช่วยแก้ปัญหาให้ตนสบายใจขึ้นก็จะสอนมนต์ชื่อ อาลัมพายน์ อันเป็นมนต์สำหรับครุฑใช้จับนาค ให้แก่พระฤาษี อยู่มาวันหนึ่ง มีพราหมณ์ซึ่งเป็นหนี้ชาวเมืองมากมาย จนคิด ฆ่าตัวตาย จึงเข้าไปในป่า เผอิญได้พบพระฤาษี จึงเปลี่ยนใจ อยู่ปรนนิบัติพระฤาษีจนพระฤาษีพอใจ สอนมนต์อาลัมพายน์ ให้แก่พราหมณ์นั้น พราหมณ์เห็นทางจะเลี้ยงตนได้ จึงลา พระฤาษีไป เดินสาธยายมนต์ไปด้วย นาคที่ขึ้นมาเล่นน้ำ ได้ยินมนต์ก็ตกใจ นึกว่าครุฑมา ก็พากันหนีลงน้ำไปหมด ลืมดวงแก้วสารพักนึกเอาไว้บนฝั่ง พราหมณ์หยิบ ดวงแก้วนั้นไป

ฝ่ายพรานเนสาทก็เที่ยวล่าสัตว์อยู่ เห็นพราหมณ์เดินถือ ดวงแก้วมา จำได้ว่าเหมือนดวงแก้วที่ภูริทัตต์ เคยให้ดู จึงออกปากขอ และบอกแก่พราหมณ์ว่า หากพราหมณ์ ต้องการอะไรก็จะหามาแลกเปลี่ยน พราหมณ์บอกว่าต้องการ รู้ที่อยู่ของนาค เพราะตนมีมนต์จับนาค พรานเนสาทจึงพา ไปบริเวณที่รู้ว่า ภูริทัตต์เคยรักษาศีลอยู่ เพราะความโลภ อยากได้ดวงแก้ว โสมทัตผู้เป็นลูกชาย เกิดความละอายใจที่บิดาไม่ซื่อสัตย์ คิดทำร้ายมิตร คือภูริทัตต์ จึงหลบหนีไป ระหว่างทาง เมื่อไปถึงที่ภูริทัตต์รักษาศีลอยู่ ภูริทัตต์ลืมตาขึ้นดูก็รู้ว่า พราหมณ์คิดทำร้ายตน แต่หากจะตอบโต้ ถ้าพราหมณ์เป็น อันตรายไป ศีลของตนก็จะขาด ภูริทัตต์ปรารถนาจะรักษาศีล ให้บริสุทธิ์จึงหลับตาเสีย ขดกายแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว พราหมณ์ก็ร่ายมนต์อาลัมพายน์ เข้าไปจับภูริทัตต์ไว้กด ศีรษะอ้า ปากออก เขย่าให้สำรอกอาหารออกมา และทำร้าย จนภูริทัตต์เจ็บปวดแทบสิ้นชีวิต แต่ก็มิได้โต้ตอบ



พราหมณ์จับ ภูริทัตต์ใส่ย่ามตาข่าย แล้วนำไปออกแสดงให้ประชาชนดูเพื่อหาเงิน พราหมณ์บังคับให้ภูริทัตต์แสดงฤทธิ์ต่างๆ ให้เนรมิตตัวให้ ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ให้ขด ให้คลาย แผ่พังพาน ให้ทำสีกายเป็น สีต่างๆ พ่นไฟ พ่นควัน พ่นน้ำ ภูริทัตต์ก็ยอมทุกอย่าง ชาวบ้าน ที่มาดูเวทนาสงสาร จึงให้ ข้าวของเงินทอง พราหมณ์ก็ยิ่งโลภ พาภูริทัตต์ไปเที่ยวแสดง จนมาถึงเมืองพาราณสี จึงกราบทูล พระ ราชาว่าจะให้นาคแสดงฤทธิ์ถวายให้ทอดพระเนตร ขณะนั้นสมุทรชา ผิดสังเกตที่ภูริทัตต์หายไป ไม่มาเฝ้า จึงถามหา ในที่สุดก็ทราบว่า ภูริทัตต์หายไป พี่น้องของภูริทัตต์ จึงทูลว่าจะออกติดตาม สุทัศนะจะไปโลกมนุษย์ สุโภคะไป ป่าหิมพานต์ อริฏฐะไป เทวโลกส่วนนางอัจจิมุข ผู้เป็นน้องสาว ต่างแม่ของภูริทัตต์ของตามไปกับสุทัศนะพี่ชายใหญ่ด้วย เมื่อติดตามมาถึงเมืองพาราณสี สุทัศนะก็ได้ข่าวว่ามีนาค ถูกจับมาแสดงให้คนดู จึงตามไปจนถึงบริเวณที่แสดง ภูริทัตต์เห็นพี่ชาย จึงเลื้อยไข้าไปหาซบหัวร้องไห้อยู่ที่เท้า ของสุทัศนะแล้วจึงเลื้อยกลับไปเข้าที่ขัง ของตนตามเดิม

พราหมณ์จึงบอกกับสุทัศนะว่า “ท่านไม่ต้องกลัว ถึงนาคจะ กัดท่านไม่ช้าก็จะหาย”

สุทัศนะตอบว่า “เราไม่กลัวดอก นาคนี้ไม่มีพิษ ถึงกัดก็ไม่มีอันตราย”

พราหมณ์หาว่าสุทัศนะ ดูหมิ่นว่าตน เอานาคไม่มีพิษมาแสดง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น สุทัศนะจึงท้าว่า “เขียดตัวน้อยของเรานั้นยังมีพิษมากกว่า นาคของท่านเสียอีก จะเอามาลองฤทธิ์กันดูก็ได้”



พราหมณ์ กล่าวว่าหากจะให้สู้กัน ก็ต้องมีเดิมพันจึงจะสมควร สุทัศนะจึง ทูลขอพระราชาพาราณสีให้เป็นผู้ประกันให้ตน โดยกล่าวว่า พระราชาจะได้ทอด พระเนตรการต่อสู้ระหว่างนาคกับเขียด เป็นการตอบแทน พระราชาก็ทรงยอมตกลงประกันให้แก่ สุทัศนะ สุทัศนะเรียก นางอัจจิมุข ออกมาจากมวยผมให้คายพิษ ลงบนฝ่ามือ 3 หยด แล้วทูลว่า “พิษของเขียดน้อยนี้แรงนัก เพราะนางเป็นธิดาท้าวธตรฐ ราชาแห่งนาค หากพิษนี้หยดลง บนพื้นดิน พืชพันธุ์ไม้จะตายหมด หากโยนขึ้นไปในอากาศ ฝนจะไม่ตกไป 7 ปี ถ้าหยดลงในน้ำสัตว์น้ำจะตายหมด”

พระราชาไม่ทราบจะทำอย่างไรดี สุทัศนะจึงทูลขอให้ ขุดบ่อ 3 บ่อบ่อแรกใส่ยาพิษ บ่อที่สองใส่โคมัย บ่อที่สามใส่ยาทิพย์ แล้วจึงหยดพิษลงในบ่อแรก ก็เกิดควันลุกจนเป็นเปลวไฟ ลามไปติดบ่อที่สองและสาม จนกระทั่งยาทิพย์ไหม้หมด ไฟจึงดับ พราหมณ์ตัวร้าย ซึ่งยืนอยู่ข้างบ่อ ถูกไอพิษจนผิวหนังลอก กลายเป็นขี้เรื้อน ด่างไปทั้งตัว จึงร้องขึ้นว่า “ข้าพเจ้ากลัวแล้ว ข้าพเจ้าจะ ปล่อยนาคนั้นให้เป็นอิสระ”

ภูริทัตต์ได้ยินดังนั้น ก็เลื้อยออกมาจากที่ขัง เนรมิตกาย เป็นมนุษย์ พระราชาจึงตรัสถามความเป็นมา ภูริทัตต์จึงตอบว่า “ข้าพเจ้าและพี่น้องเป็นโอรสธิดาของท้าวธตรฐราชาแห่งนาคกับ นางสมุทรชา ข้าพเจ้ายอมถูกจับมา ยอมให้พราหมณ์ทำร้ายจน บอบช้ำ เพราะปราถนาจะรักษาศีล บัดนี้ข้าพเจ้าเป็น อิสระแล้ว จึงขอลากลับไปเมืองนาคตามเดิม”

พระราชาทรงดีพระทัยเพราะทราบว่าภูริทัตต์เป็นโอรสของ นางสมุทรชา น้องสาวของพระองค์ที่บิดายกให้แก่ราชานาคไป จึงเล่าให้ภูริทัตต์และพี่น้องทราบว่า เมื่อนางสมุทรชาไปสู่ เมืองนาคแล้ว พระบิดาก็เสียพระทัย จึงสละราชสมบัติ ออกบวช พระองค์จึงได้ครองเมืองพาราณสีต่อมา พระราชาประสงค์จะให้ นางสมุทรชาและบรรดาโอรสได้ไป เฝ้าพระบิดา จะได้ทรงดีพระทัย สุทัศนะทูลพระราชาว่า “ข้าพเจ้าจะ กลับไปทูลให้พระมารดาทราบ ขอให้พระองค์ ไปรออยู่ที่อาศรมของพระอัยกาเถิด ข้าพเจ้าจะพา พระมารดาและพี่น้องตามไปภายหลัง”

ทางฝ่ายพรานเนสาท ผู้ทำร้ายภูริทัตต์เพราะหวังดวงแก้ว สารพัดนึก เมื่อตอนที่พราหมณ์โยนดวงแก้วให้ นั้น รับไม่ทัน ดวงแก้วจึงตกลงบนพื้นและแทรกธรณีกลับไปสู่เมืองนาค พรานเนสาทจึงสูญเสียดวงแก้ว สูญเสียลูกชาย และเสียไมตรี กับภูริทัตต์ เที่ยวซัดเซพเนจรไป ครั้นได้ข่าวว่าพราหมณ์ผู้จับ นาคกลายเป็น โรคเรื้อนเพราะพิษนาค ก็ตกใจกลัว ปราถนา จะล้างบาป จึงไปยังริมน้ำยมุนา ประกาศว่า “ข้าพเจ้าได้ ทำร้ายมิตร คือ ภูริทัตต์ ข้าพเจ้าปราถนาจะล้างบาป” พรานกล่าวประกาศอยู่ หลายครั้ง เผอิญขณะนั้น สุโภคะกำลังเที่ยวตามหาภูริทัตต์อยู่ ได้ยินเข้าจึงโกรธแค้น เอาหางพันขาพราน ลากลงน้ำให้จมแล้ว ลากขึ้นมาบนดินไม่ให้ถึงตาย ทำอยู่เช่นนั้นหลายครั้งพราน จึงร้องถามว่า “นี่ตัวอะไรกัน ทำไมมาทำร้าย เราอยู่เช่นนี้ ทรมาณเราเล่นทำไม”



สุโภคะตอบว่าตนเป็นลูกราชานาค พรานจึงรู้ว่าเป็นน้องภูริทัตต์ ก็อ้อนวอนขอให้ปล่อยและกล่าว แก่สุโภคะว่า “ท่านรู้หรือไม่ เราเป็นพราหมณ์ ท่านไม่ควร ฆ่าพราหมณ์ เพราะพราหมณ์เป็นผู้บูชาไฟ เป็นผู้ทรงเวทย์ และเลี้ยงชีพด้วยการขอ ท่านไม่ควรทำร้ายเรา”

สุโภคะไม่ทราบจะตัดสินใจอย่างไร จึงพาพรานเนสาทลงไป เมืองนาค คิดจะไปขอถามความเห็นจากพี่น้อง เมื่อไปถึงประตู เมืองนาค ก็พบอริฏฐะนั่งรออยู่ อริฏฐะนั้นเป็นผู้เลื่อมใสพราหมณ์ ครั้นรู้ว่าพี่ชายจับพราหมณ์มา จึงกล่าวสรรเสริญคุณของพราหมณ์ สรรเสริญความยิ่งใหญ่แห่งพรหม และกล่าวว่าพราหมณ์เป็นบุคคล ที่ไม่สมควรจะถูกฆ่า ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ การฆ่าพราหมณ์ซึ่ง เป็นผู้บูชาไฟนั้นจะทำ ให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง สุโภคะกำลังลังเลใจ ไม่ทราบจะทำอย่างไร พอดีภูริทัตต์กลับมาถึง ได้ยินคำของอริฏฐะจึงคิดว่า อริฏฐะ นั้นเป็นผู้เลื่อมใสพราหมณ์ และการบูชายัญของพราหมณ์ จำเป็นที่จะต้องกล่าววาจาหักล้าง มิให้ผู้ใด คล้อยตามในทางที่ผิด

ภูริทัตต์จึงกล่าวชี้แจงแสดง ความเป็นจริง และในที่สุดได้กล่าวว่า “การบูชาไฟนั้น หาได้เป็น การบูชาสูงสุดไม่ หากเป็นเช่นนั้น คนเผาถ่าน คนเผาศพ ก็สมควรจะได้รับยกย่องว่าเป็นผู้บูชา ไฟยิ่งกว่าพราหมณ์ หากการบูชาไฟเป็นสูงสุด การเผาบ้านเมืองก็คงได้บุญสูงสุด แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ หากการบูชายัญจะเป็นบุญสูงสุดจริง พราหมณ์ก็น่าจะเผาตนเองถวายเป็นเครื่องบูชา แต่พราหมณ์กลับ บูชาด้วยชีวิตของผู้อื่น เหตุใดจึงไม่เผาตนเองเล่า”

อริฏฐะกล่าวว่า “พรหมเป็นผู้ทรงคุณยิ่งใหญ่ เป็นผู้สร้างโลก”

ภูริทัตต์ตอบว่า “หากพรหมสร้างโลกจริง ไฉนจึงสร้างให้โลก มีความทุกข์ ทำไมไม่สร้างให้โลกมีแต่ความสุข ทำไมพรหม ไม่สร้างให้ทุกคนมีความ เท่าเทียมกัน เหตุใดจึงแบ่งคนเป็น ชั้นวรรณะ คนที่อยู่ในวรรณะต่ำ เช่น ศูทร จะไม่มีโอกาสมี ความสุข เท่าเทียมผู้อื่นได้เลย พราหมณ์ต่างหากที่พยายาม ยกย่องวรรณะของตนขึ้นสูง และเหยียดหยามผู้อื่นให้ต่ำกว่า โดยอ้างว่าพราหมณ์เป็นผู้รับใช้พรหม เช่นนี้จะถือว่าพราหมณ์ ทรงคุณยิ่งใหญ่ได้อย่างไร”

ภูริทัตต์กล่าววาจาหักล้างอริฏฐะด้วยความเป็นจริง ซิ่งอริฏฐะ ไม่อาจโต้เถียงได้ ในที่สุดภูริทัตต์จึงสั่งให้ นำพรานเนสาทไปเสีย จากเมืองนาค แต่ไม่ให้ทำอันตรายอย่างใด จากนั้นภูริทัตต์ก็พา พี่น้องและนางสมุทรชาผู้เป็นมารดา กลับไปเมืองมนุษย์ เพื่อไป เฝ้าพระบิดา พระเชษฐาของนางที่รอคอยอยู่แล้ว เมื่อญาติพี่น้องทั้งหลายพากันแยกย้ายกลับบ้านเมือง ภูริทัตต์ขออยู่ที่ศาลากับพระอัยกา บำเพ็ญเพียร รักษาอุโบสถศีล ด้วยความสงบ ดังที่ได้เคยตั้งปณิธานไว้ว่า “ข้าพเจ้าจะมั่นคงในการ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ จะไม่ให้ศีลต้องมัวหมอง ไม่ว่าจะต้องเผชิญความ ทุกข์ยากอย่างไร ข้าพเจ้าจะอดทน อดกลั้น ตั้งมั่นอยู่ ในศีลตลอดไป”

คติธรรม : บำเพ็ญศีลบารมี
ความโลภนั้นเป็นสิ่งชั่วร้ายเช่นเดียวกับการเนรคุณ แต่ความอดทนย่อมประเสริฐยิ่งนักแล้ว


http://www.dhammada.net/2011/05/19/9452/


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 03 มีนาคม 2557, 22:58:51
“ดิน น้ำ ไฟ ลม”
ไม่อาจหยั่งลงได้ในที่ไหน
เกวัฏฏะ ! เรื่องเคยมีมาแล้ว : ภิกษุรูปหนึ่ง
ในหมู่ภิกษุนี้เอง เกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า “มหาภูตสี่ คือ
ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ
ในที่ไหนหนอ” ดังนี้.
(ความว่า ภิกษุรูปนั้นได้เข้าสมาธิอันอาจนำไปสู่เทวโลก
ได้นำเอาปัญหาข้อที่ตนสงสัยนั้นไปเที่ยวถามเทวดาพวกจาตุมมหาราชิกา,
เมื่อไม่มีใครตอบได้ ก็เลยไปถามเทวดาในชั้นดาวดึงส์, เทวดาชั้นนั้น
โยนให้ไปถามท้าวสักกะ, ท้าวสุยามะ, ท้าวสันตุสิตะ, ท้าวสุนิมมิตะ,
ท้าวปรนิมมิตวสวัตตี, ถามเทพพวกพรหมกายิกา กระทั่งท้าวมหาพรหม
ในที่สุด, ท้าวมหาพรหมพยายามหลีกเลี่ยง เบี่ยงบ่ายที่จะไม่ตอบอยู่พักหนึ่ง
แล้วในที่สุดได้สารภาพว่าพวกเทวดาทั้งหลาย พากันคิดว่าท้าวมหาพรหมเอง
เป็นผู้รู้เห็นไปทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ที่จริงไม่รู้ ในปัญหาที่ว่า มหาภูตรูป
จักดับไปในที่ไหนนั้นเลย มันเป็นความผิดของภิกษุนั้นเอง ที่ไม่ไปทูลถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้า ในที่สุดก็ต้องย้อนกลับมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า)

เกวัฏฏะ ! ภิกษุนั้นได้กลับมาอภิวาทเรา นั่ง ณ
ที่ควร แล้วถามเราว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มหาภูตสี่ คือ ดิน
น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ ในที่ไหน?” ดังนี้.
เกวัฏฏะ ! เมื่อเธอถามขึ้นอย่างนี้ เราได้กล่าวกะ
ภิกษุนั้นว่า แน่ะภิกษุ ! เรื่องเก่าแก่มีอยู่ว่า พวกค้าทางทะเล
ได้พานกสำหรับค้นหาฝั่งไปกับเรือค้าด้วย เมื่อเรือหลงทิศ
ในทะเล และแลไม่เห็นฝั่ง พวกเขาปล่อยนก สำหรับค้นหา
ฝั่งนั้นไป นกนั้นบินไปทางทิศตะวันออกบ้าง ทิศใต้บ้าง
ทิศตะวันตกบ้าง ทิศเหนือบ้าง ทิศเบื้องบนบ้าง ทิศน้อย ๆ บ้าง
เมื่อมันเห็นฝั่งทางทิศใดแล้ว มันก็จะบินตรงไปยังทิศนั้น,
แต่ถ้าไม่เห็น ก็จักบินกลับมาสู่เรือตามเดิม. ภิกษุ !
เช่นเดียวกับเธอนั้นแหละ ได้เที่ยวหาคำตอบของปัญหานี้
มาจนจบทั่วกระทั่งถึงพรหมโลกแล้ว ในที่สุดก็ยังต้องย้อน
มาหาเราอีก.
ภิกษุ ! ในปัญหาของเธอนั้น เธอไม่ควรตั้งคำถาม
ขึ้นว่า “มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลมเหล่านี้ ย่อมดับสนิท
ไม่มีเศษเหลือในที่ไหน?” ดังนี้เลย,

อันที่จริง เธอควรจะตั้งคำถามขึ้นอย่างนี้ว่า :
“ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน?
ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม
ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน ? นามรูป ย่อมดับสนิท
ไม่มีเศษเหลือในที่ไหน ? ดังนี้ ต่างหาก.
ภิกษุ ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้ :
“สิ่ง” สิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มี
ปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้
โดยรอบนั้นมีอยู่ ใน “สิ่ง”นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม
ไม่หยั่งลงได้ ใน “สิ่ง” นั้นแหละความยาว ความสั้น
ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ
นามรูปดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของ
วิญญาณ, ดังนี้”


สิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง
“สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง
เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด
มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ, นั้นมีอยู่;
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ
ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้;
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ
ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่
ความงาม ความ ไม่งาม ไม่หยั่งลงได้;
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ
นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ;
นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้
เพราะการดับสนิทของวิญญาณ; ดังนี้แล.


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 11 มีนาคม 2557, 21:16:15
ที่ที่ควรไปของจิต

http://www.youtube.com/watch?v=16XWurCrBU8


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 21 มีนาคม 2557, 03:53:43

 
ทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์
›››››

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร



คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์

อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

]

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

ปัญญาในธรรมนั้นโดยตรงคือในสัจจธรรม ธรรมะที่เป็นตัวความจริง สัจจธรรมในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และได้ทรงแสดงสั่งสอนเป็นหลักใหญ่นั้น ก็คือหลักอริยสัจจ์ทั้ง ๔ จะได้แสดงสมุทัยอริยสัจจ์ หรือทุกขสมุทัยอริยสัจจ์ อริยสัจจ์คือทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ สืบต่อจากทุกขอริยสัจจ์ อริยสัจจ์คือทุกข์ที่ได้แสดงแล้ว

ตัณหา ๓

ทุกขสมุทัยอริยสัจจ์ อริยสัจจ์ คือ ทุกขสมุทัยนั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงยกตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากขึ้นตรัสแสดงชี้ ว่าเป็นสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ โดยได้ตรัสอธิบายไว้แปลความว่า ตัณหานี้ใดที่เป็นไปเพื่อถือชาติภพใหม่ ไปกับนันทิคือความเพลิน ราคะคือความติดใจ

อภินันท์คือยินดียิ่งในอารมณ์นั้นๆ อันได้แก่ กามตัณหา ตัณหาในกาม ภวตัณหา ตัณหาในภพ วิภวตัณหา ตัณหาในวิภพ

อธิบายต่อไปได้ว่าตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก เป็นไปเพื่อถือชาติภพใหม่ คือนำไปให้เกิดอีกในชาติภพใหม่ เป็นไปกับนันทิคือความเพลิน ราคะคือความติดใจยินดี มีความอภินันท์ยินดียิ่งๆ ขึ้นไปในอารมณ์นั้นๆ

ภพชาติใหม่ในปัจจุบัน

คำแรกที่ว่าเป็นไปให้ถือเอาชาติภพใหม่นั้น คือให้เกิดอีกในชาติภพต่อไป แต่ก็อาจอธิบายเป็นปัจจุบันได้ว่า อันภพชาติหรือว่าชาติภพอย่างละเอียดนั้น คือความเป็นขึ้นใหม่ๆ ของจิตใจในปัจจุบันนี้เอง ซึ่งตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากนำให้เป็นไปใหม่ๆ นั้นๆ ได้ กล่าวคือตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากนั้นที่เป็นไปในสิ่งนั้น เป็นไปในสิ่งนี้ เมื่อเป็นไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ก็นำให้เป็นไปในสิ่งอื่นต่อไปอีก ทำให้เป็นเราเป็นของเราในสิ่งต่างๆ เรื่อยไปโดยไม่จบถ้วน

เช่นว่าตัณหาต้องการสิ่งนี้ เมื่อได้สิ่งนี้มาแล้วตัณหาก็ต้องการสิ่งใหม่ต่อไปอีก เมื่อได้มาก็ต้องการสิ่งใหม่ต่อไปอีก ซึ่งท่านเปรียบเหมือนอย่างว่า เหมือนอย่างไฟไม่อิ่มเชื้อ เมื่อก่อไฟขึ้นไฟก็ติดฟืนไม้หรือไม้ฟืนที่ก่อไฟนั้น และเมื่อนำไม้ฟืนมาใส่ไฟเข้าอีก ไฟก็ติดไม้ฟืนที่ใส่ใหม่นั้นเผาให้เป็นเถ้าถ่านไป แล้วก็ใส่ไฟเข้าอีกไฟก็ติดอีก เพราะฉะนั้นไฟจึงต้องการฟืนใหม่ๆ ที่จะต้องใส่ให้ไม่รู้จักจบถ้วน จะกำหนดว่าเพียงสิบท่อนก็พอหาได้ไม่ ไฟก็จะไหม้สิบท่อนหมดไป (เริ่ม ๑๘๓/๒) และต้องเอาฟืนมาใส่เข้าอีกสิบท่อน ก็ไหม้หมดไป เอาใส่อีกสิบท่อนก็ไหม้หมดไป

และยิ่งใส่มากไฟก็ยิ่งกองโตขึ้น และกินเชื้อมากขึ้น เหมือนอย่างไฟที่มีต้นไฟเพียงไฟฟ้าชอร์ต หรือไม้ขีดก้านเดียว ก็ลุกไหม้บ้านเรือนเป็นกองโตมากมายเป็นสิบๆ หลัง ก็ไม่พอแก่ไฟอยู่นั่นเอง ตัณหาก็เช่นเดียวกัน เมื่อได้สิ่งหนึ่งก็เหมือนอย่างเป็นเชื้อไฟ ที่ถูกตัณหาคือไฟ ไฟคือตัณหาไหม้มอด ก็ต้องการเชื้อที่สองเป็นเชื้อใหม่ เกิดเป็นตัวเราของเราอยู่ในสิ่งเหล่านั้นเรื่อยๆ ไป ตัวเราของเรานี้ก็กองโตขึ้น กองโตขึ้น จนไม่มีที่สุด

อันนี้แหละเป็นลักษณะของคำว่า เป็นไปให้ถือชาติภพใหม่ คือชาติภพนั้นก็คือเป็นเกิดเป็นตัวเราของเรานั้นเองในสิ่งทั้งหลายในโลก เพราะฉะนั้น จึงได้มีพระพุทธภาษิตที่ตรัสเอาไว้ว่า แม้จะได้ภูเขาทองตั้งลูกหนึ่งสองลูก ก็คงไม่เพียงพอแก่ตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากนั้นเอง ศัพท์บาลีท่านว่า โปโนพฺภวิกา ที่แปลว่าเป็นไปให้ถือเอาภพใหม่ ก็คือเป็นตัวเราของเราใหม่ แล้วก็ใหม่ แล้วก็ใหม่ อยู่เรื่อยๆ ไปดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ในการอธิบายนั้นได้ใช้คำว่าชาติภพซึ่งเป็นคำมักจะพูดคู่กัน หรือภพชาติ แต่ชาติกับภพนี้ก็เป็นสิ่งที่คู่กันเช่นเดียวกัน คือเกิดเป็น หรือเป็นเกิด เกิดเป็นเราของเรา เป็นเกิดเราของเราขึ้นมา นี้คือภพ หรือภพชาติ หรือชาติภพ ดังที่กล่าวมาแล้ว

นันทิ ราคะ

มาถึงอีกบทหนึ่งที่ว่าไปกับ นันทิ คือความเพลิดเพลิน ราคะ คือความติดใจยินดี ก็คือมีความเพลินและความติดใจยินดีไปด้วยกันกับความดิ้นรนทะยานอยาก คือว่าความดิ้นรนทะยานอยากนั้นเกิดในสิ่งใด ก็เพลินอยู่ในสิ่งนั้น ติดใจยินดีอยู่ในสิ่งนั้นด้วย หรือจะกล่าวว่าเพลินติดใจยินดีอยู่ในสิ่งใด ก็ดิ้นรนทะยานอยากอยู่ในสิ่งนั้นด้วย เพราะฉะนั้น ความเพลิน ความติดใจยินดี กับความดิ้นรนทะยานอยาก จึงไปด้วยกัน

เพราะฉะนั้น จึงละได้ยาก เพราะเหตุว่าผู้ที่มีตัณหานี้กำกับจิตใจอยู่ ไม่ต้องการที่จะละตัณหา เพราะยังมีความเพลินมีความติดใจยินดีอยู่ เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากจะละ ยังอยากที่จะรักษาตัณหาเอาไว้ ยังอยากที่จะอยู่กับตัณหา คือความดิ้นรนทะยานอยาก ก็เพราะว่าตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากนี้ เป็นเหตุให้เกิดสุขเวทนา คือเวทนาที่เป็นสุขได้ด้วย ไม่ใช่ก่อให้เกิดทุกข์อย่างเดียว

และแม้เวทนาที่เป็นสุขนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวทุกข์อยู่ด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ทนอยู่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ได้ทุกข์ปนสุข ได้สุขปนทุกข์ ไปอยู่ เหมือนอย่างหิวก็เป็นทุกข์ บริโภคอาหารอิ่มก็เป็นสุข แล้วหิวขึ้นใหม่ก็เป็นทุกข์ บริโภคอาหารใหม่ก็เป็นสุข เป็นสุขปนทุกข์อยู่ดั่งนี้

เหตุให้ละตัณหาได้ยาก

เพราะฉะนั้น เมื่อยังมีจิตใจไม่ละเอียดพอด้วยสติและปัญญา จึงยากที่จะกำหนดรู้ และรับรองว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แม้ว่าทุกคนจะรู้จักตัวตัณหาอยู่ในใจของตัวเอง คือสำหรับที่เป็นตัณหาอนุสัย ตัณหาอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่นั้นอาจจะไม่รู้ แต่ว่าตัณหาที่ปรากฏขึ้นในใจเป็นความดิ้นรนทะยานอยากย่อมรู้ และความเพลินก็ย่อมรู้ ความติดใจยินดีก็ย่อมรู้ ฉะนั้นจึงยังไม่อยากที่จะละ การละจึงเป็นไปได้ด้วยยาก

แต่แม้เช่นนั้นเมื่อใช้ปัญญาพิจารณาแล้วก็ย่อมจะรู้ได้ เบื้องต้นก็ต้องรู้ตามที่ตรัสสอนไว้ตรงๆ นี้ว่า ตัณหาไปกับนันทิคือความเพลิน ราคะคือความติดใจยินดี จะได้รู้ว่าเพราะเหตุนี้เองจึงทำให้ละได้ยาก แต่เมื่อตั้งใจจะละก็ย่อมละได้ แต่ก็ให้รู้ไว้ว่าความเป็นไปของตัณหาเป็นดั่งนี้ก่อน และเป็นลักษณะของตัณหา

อภินันท์ ความเพลิดเพลินยิ่งขึ้น

อีกประการหนึ่ง อภินันท์ยินดียิ่งขึ้น เพลิดเพลินยิ่งๆ ขึ้นไปในอารมณ์นั้นๆ ก็เป็นคำอธิบายให้ชัดขึ้นว่าข้อที่มีความดิ้นรนทะยานอยาก ไปพร้อมกับความเพลิน และความติดใจยินดีนั้น ก็เป็นไปในอารมณ์นั้นๆ นั้นเอง แล้วก็มากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น ยากที่จะถดถอย ยากที่จะลดน้อยลง มีแต่จะมากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น คือว่าเมื่อรับอารมณ์นั้นๆ ดังที่ทุกคนรับอารมณ์ทั้งหลายอยู่เป็นประจำอยู่ทุกวันทุกเวลา ตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก พร้อมทั้งความเพลินและความติดใจยินดี ก็ยิ่งทวีมากขึ้นๆ จนยากที่จะยับยั้งได้

อันนี้ก็เป็นคำอธิบายในบทต้นๆ ๒ บท คือบทที่ว่า โปโนพฺภวิกา เป็นไปเพื่อถือชาติภพใหม่ และบทว่า นนฺทิราคสหคตา ไปกับนันทิคือความเพลิน และราคะคือความติดใจยินดี ก็มาทำให้มีความอภินันท์ยินดีเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป จนทำให้เหมือนอย่างเป็นไฟกองเล็ก แล้วก็กลายเป็นกองโตขึ้น กองโตขึ้น ดังที่กล่าวอุปมามาแล้วในเบื้องต้น

นี้แหละเป็นลักษณะของตัณหาตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงสั่งสอนไว้ อันทุกคนควรจะกำหนดดูให้รู้จักที่จิตใจของตัวเอง ว่านี่แหละเป็นทุกขสมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์







หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 21 มีนาคม 2557, 04:05:16
ธัมมานุปัสสนา


สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

    บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต  ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ  พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น  ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ  ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง  เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม 
    การปฏิบัติพุทธศาสนาต้องปฏิบัติให้ถึงจิต  จึงจะประสบผลและก้าวหน้าไปสู่ความสิ้นทุกข์ได้โดยลำดับ  การปฏิบัติให้ถึงจิตนั้นก็ต้องตั้งต้นตั้งแต่ขั้นฐานขั้นศีล สืบถึงขั้นสมาธิขั้นปัญญา  อันรวมความว่าให้เข้าทางแห่งอริยมรรคที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้  หรือว่าเข้าทางบารมีทั้งสิบที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญ  การปฏิบัติเข้าทางบารมีนั้นก็ตั้งต้นแต่ทาน การให้ การบริจาค  ต้องปฏิบัติให้ถึงจิต คือให้จิตสละ โลภะ มัจฉริยะ ให้จิตบริสุทธิ์  แม้จะให้น้อยก็ตาม เมื่อจิตบริสุทธิ์ก็ชื่อว่ามาก ให้มากถ้าจิตไม่บริสุทธิ์ก็ชื่อว่าน้อย 

    จิตที่บริสุทธิ์นั้นก็หมายถึง มิใช่ให้เพื่อเพิ่มโลภะ แต่ว่าให้เพื่อที่จะชำระโลภะ ความโลภอยากได้  มัจฉริยะความหวงแหนตระหนี่เหนียวแน่น เป็นการสละจิต คือสละทางจิต  ให้จิตบริสุทธิ์ดังกล่าว เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ชื่อว่าจิตประณีต  จะให้เพียงนิดหน่อยเมื่อจิตประณีตวัตถุที่ให้นั้นก็ประณีต จึงได้ผลมาก  และผลมากที่ได้นั้นก็หมายถึงผลทางจิตใจ คือความบริสุทธิ์นั้นเอง 

    พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอริยมรรคทางมีองค์ ๘  เป็นหลักแห่งการปฏิบัติในพุทธศาสนา สรุปเข้ามาก็เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา  ศีลสมาธิปัญญาทั้ง ๓ นี้ก็ตั้งขึ้นในจิตทั้งนั้น ต้องให้จิตเป็นศีล จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นปัญญา  จิตเป็นศีลนั้นก็คือว่าจิตเป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม  ประกอบด้วยความสงบกาย สงบวาจา สงบใจ จากบรรดากิเลสอย่างหยาบ  อันจะเป็นเครื่องดึงจิตให้ก่อเจตนาก่อกรรมที่เป็นบาปอกุศลทุจริตทั้งหลาย  จิตเป็นสมาธินั้นก็คือจิตที่ตั้งมั่นอยู่ในทางที่ชอบ เป็นจิตสงบจากนิวรณ์  คือกิเลสที่บังเกิดขึ้นในใจ ทำจิตใจให้ชอบให้ชังให้หลงไปต่างๆ ในอารมณ์ต่างๆที่บังเกิดขึ้น  จึงตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ ถอนจิตจากอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของกิเลสเหล่านั้น  จึงเป็นการตั้งจิตไว้ในทางที่ชอบ และเป็นจิตที่สงบ เป็นจิตที่สว่าง เป็นจิตที่โปร่ง  มองเห็นเหตุผลที่เป็นจริง มองเห็นความจริงของสิ่งทั้งหลาย  จึงส่งขึ้นไปสู่จิตที่เป็นปัญญา ซึ่งเป็นจิตรู้จิตเห็น 

    เมื่อกล่าวโดยสรุปในทางธรรมปฏิบัติ  ก็เป็นจิตที่รู้ที่เห็นบาปบุญคุณโทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์ตามความเป็นจริง  เป็นจิตที่รู้ที่เห็นในทุกข์ ในสมุทัยเหตุเกิดทุกข์ ในนิโรธความดับทุกข์  ในมรรคทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ซึ่งเป็นอริยมรรคที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้เมื่อนำตนเข้าสู่ศีลสมาธิปัญญา ให้จิตเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ดังกล่าว  ก็ชื่อว่าเดินเข้าไปในทางอริยมรรคของพระพุทธเจ้า มิใช่ดำเนินไปในทางของมาร  ถ้าเดินออกนอกทางอริยมรรค ก็ย่อมชื่อว่าดำเนินไปในทางของมาร ก็คือกิเลสมาร  อันได้แก่เดินทางไปในทางของตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก  หรือว่าในทางของราคะ ของโลภะ ความโลภอยากได้  ในทางของโทสะความโกรธแค้นขัดเคือง ในทางของโมหะความหลง  เมื่อเดินทางไปในทางของมารดังกล่าวนี้ จิตก็จะเป็นตัณหา  จิตก็จะเป็นราคะหรือโลภะ จิตก็จะเป็นโทสะ จิตก็จะเป็นโมหะ  ดั่งนี้ก็เป็นอันว่าเดินไปในทางของมาร 

    เพราะว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่อ่อน  อันหมายถึงน้อมไปได้ง่าย ทั้งในทางดี ทั้งในทางชั่ว  เป็นธรรมชาติที่ควรแก่การงาน ก็ได้ทั้งสองทางเช่นเดียวกัน  แต่ว่าธรรมชาติของจิตที่แท้จริงนั้น เป็นธรรมชาติที่เป็นธาตุรู้  และเป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่อง  ดังจะพึงเห็นได้ว่าเมื่อปฏิบัติให้จิตเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา จะปรากฏความผุดผ่องของจิต  คือเดินในทางอริยมรรค และจิตก็ควรแก่การงานอันหมายความว่าปฏิบัติได้  เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญายิ่งๆขึ้นไป ปฏิบัติได้ไม่ยาก ปฏิบัติได้ง่าย  แต่ถ้าหากว่าจิตดำเนินไปในทางของมาร จิตก็จะเศร้าหมอง ไม่ผุดผ่อง  แม้ว่าจะได้ผลเป็นความพอใจจากผลต่างๆ จากอารมณ์ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจต่างๆ  เป็นนันทิคือความเพลิดเพลิน เป็นความติดใจยินดี อันทำให้รู้สึกว่าเป็นสุข เป็นความสำราญ  เป็นความชื่นบานสนุกสนาน แต่ว่าอันที่จริงนั้นความเพลิดเพลินยินดีพอใจ...  ซึ่งตั้งอยู่บนความผุดผ่องอันเป็นธรรมชาติของจิต  จึงจะรู้ได้ว่าอันความสุขที่ตั้งอยู่บนความผุดผ่องอันเป็นธรรมชาติของจิตนั้น  แตกต่างจากความสุขที่ตั้งอยู่บนความเศร้าหมอง  และจะมองเห็นว่าความเศร้าหมองนั้นเอง เป็นเครื่องที่ทำให้เกิดความหลงเข้าใจผิด  ว่าเป็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลินยินดีพอใจ 

    เหมือนอย่างสีต่างๆที่เขียนลงไปบนแผ่นผ้าขาวที่สะอาด สีต่างๆนั้นอันที่จริงเป็นสิ่งที่เศร้าหมอง  เช่นเมื่อมีสีมาเปื้อนเสื้อผ้าที่สวมใส่ หรือของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  บุคคลจะรู้สึกว่าเป็นความสกปรก ต้องซัก ฟอก ล้าง ให้สีต่างๆนั้นหมดไป  แต่ถ้าหากว่าเอาสีนั้นเองที่เห็นว่าสกปรกไปวาดเขียนบนแผ่นผ้าขาวเป็นทัศนียภาพ  ภาพที่น่าดู ก็จะกลับเห็นตรงกันข้ามว่าน่าดูน่าพอใจ น่าเพลิดเพลิน  ในจิตรกรรมที่เขียนขึ้นนั้น ไม่เห็นว่าเป็นของสกปรก ก็มีความสุขเพลิดเพลินอยู่ในภาพนั้น  แต่อันที่จริงก็คงเป็นสีที่เขียน ซึ่งเป็นความสกปรกนั้นเอง  แต่เพราะเหตุที่เป็นทัศนียภาพ จึงทำให้เกิดความยินดีพอใจเพลิดเพลิน  ทั้งนี้ก็เพราะว่า การที่เขียนลงไปเป็นภาพ ที่เป็นทัศนียภาพ เช่นภาพต้นไม้ ภาพภูเขา  ภาพบุคคล ภาพสัตว์ต่างๆ นี่แหละคือเป็นสังขาร ที่แปลว่าส่วนผสมปรุงแต่ง  หรือสิ่งผสมปรุงแต่ง และบุคคลก็เก็บเอาสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งนั้น  มาเป็นสังขารขึ้นในจิต คือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งขึ้นในจิต  ภาพที่เขียนเป็นต้นไม้ เมื่อดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นต้นไม้ ก็มาตั้งเป็นสังขารคือเป็นต้นไม้ขึ้นในจิต  ภาพที่เขียนเป็นภูเขา ป่า เป็นต้น ก็เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งของสีต่างๆบนผืนผ้า  แล้วเข้ามาตั้งเป็นสังขารขึ้นในจิตก็เป็นภูเขา ต้นไม้ อยู่ในจิต  และแม้ว่าไม่ใช่ภาพเขียน เป็นต้นไม้ที่เห็นเป็นต้นไม้กันอยู่ เป็นภูเขาที่เห็นเป็นภูเขากันอยู่  เป็นแม่น้ำที่เห็นเป็นแม่น้ำกันอยู่ หรือว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลต่างๆที่เห็นด้วยตา  ที่เรียกกันว่าเป็นต้นไม้จริงๆ เป็นภูเขาจริงๆ เป็นแม่น้ำจริงๆ เป็นคนจริงๆ  เป็นสัตว์เดรัจฉานจริงๆ เหล่านี้เป็นต้น ก็ล้วนเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งเหมือนกัน  เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น เหมือนอย่างภาพที่เขียนขึ้นนั้น  และเมื่อบุคคลได้มองเห็นก็เก็บมาเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งในจิตใจ  ปรากฏเป็นต้นไม้ขึ้นจริงๆ เป็นภูเขาขึ้นจริงๆ เป็นแม่น้ำขึ้นจริงๆ  เป็นคนขึ้นจริงๆ เป็นสัตว์เดรัจฉานขึ้นจริงๆในจิตใจ 

    แม้สิ่งที่ประสบทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย และทางมนะคือใจ  คือผุดขึ้นในใจจากสิ่งที่ได้เคยเห็นมาแล้วเป็นต้น ก็ตาม  ก็ล้วนเป็นสังขารคือสิ่งที่ผสมปรุงแต่งทั้งนั้น  เพราะฉะนั้นแม้ว่ากายและใจของตนเองนี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่ผสมปรุงแต่ง คือเป็นสังขาร  แม้กายใจของบุคคลทุกๆ คนก็เป็นสังขารคือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งด้วยกันทั้งหมด  และก็จิตใจนี้เองก็รับเข้ามาเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งขึ้นในจิตใจ  แต่ว่าจิตใจนี้ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าเป็นธรรมชาติที่เป็นธาตุรู้ และเป็นธรรมชาติที่ผุดผ่อง  คือปภัสสรผุดผ่อง แต่ว่ายังมีอวิชชาคือความไม่รู้ อันหมายความว่าไม่รู้ตามความเป็นจริง  ไม่ใช่หมายความว่าไม่รู้อะไรเลย ถ้าไม่รู้อะไรเลยก็จะไม่ต่างอะไรกับก้อนดินก้อนหินเป็นต้น  แต่ว่าทุกๆคนนี้ไม่ใช่ก้อนดินไม่ใช่ก้อนหิน เพราะว่ารู้อะไรๆได้ ดังจะพึงเห็นได้ว่า เห็นรูปก็รู้รูป  ได้ยินเสียงก็รู้เสียง ได้ทราบกลิ่น ทราบรส ทราบสิ่งถูกต้อง ก็รู้กลิ่น รู้รส รู้สิ่งถูกต้อง  รู้อะไรทางมโนคือใจ ก็ทราบสิ่งที่รู้นั้น จึงไม่ใช่ก้อนดินไม่ใช่ก้อนหิน เพราะว่ารู้  แต่ว่ารู้ดังกล่าวนี้ยังมีอวิชชาประกอบอยู่ อันเป็นเหตุให้เกิดโมหะคือความหลงถือเอาผิดต่างๆ 

    อันสิ่งที่ผสมปรุงแต่งเป็นสังขารนั้น  ดังที่ได้เปรียบเป็นภาพเขียนในทีแรกก็เขียนให้สวยสดงดงาม  และแม้ว่าสังขารจริงๆ คือที่เป็นต้นไม้จริงๆ ภูเขาจริงๆ คนจริงๆ เป็นต้น  ดังที่ได้กล่าวต่อมา ว่าเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งเช่นเดียวกันกับภาพเขียน  ซึ่งเมื่อเห็นเมื่อได้ยินเป็นต้น ก็มาปรากฏเป็นสังขารขึ้นในจิตใจ ซึ่งเป็นธาตุรู้  แต่ว่าจิตใจที่เป็นธาตุรู้นี้ยังประกอบด้วยอวิชชาด้วยโมหะ  ฉะนั้นจึงมีความหลงถือเอาผิด ตั้งต้นแต่มีสัญโญชน์คือความผูกพัน  และเกิดความยินดีเกิดความยินร้ายเพิ่มความหลงต่างๆ ขึ้นอีก  คือเกิดยินดีพอใจซึ่งเป็นราคะหรือโลภะขึ้นในสิ่งผสมปรุงแต่ง  คือสังขารที่สวยสดงดงาม ที่น่ายินดีพอใจต่างๆ  เหมือนอย่างภาพที่เขียนขึ้นให้วิจิตรงดงามต่างๆนั้น ก็เกิดความพอใจ  เป็นราคะบ้าง เป็นโลภะโลภอยากได้เอามาบ้าง  ถ้าสังขารคือส่วนผสมที่ปรุงแต่งนั้นไม่สวยสดงดงามเพราะร่วงโรยไป  โดยธรรมชาติก็ตาม ซึ่งเปรียบเหมือนอย่างภาพเขียนที่เขียนให้น่าเกลียดน่ากลัวต่างๆ  ให้ไม่สวยสดงดงามต่างๆ ดูแล้วก็ไม่พอใจ ก็เป็นชนวนของความไม่ชอบความชัง  ตลอดจนถึงความโกรธ ความพยาบาทมุ่งร้ายต่างๆ  ถ้าไม่เช่นนั้นก็เกิดความหลงยึดถือติดอยู่ ซึ่งมีเป็นพื้นฐาน  ประกอบกับอวิชชาคือความไม่รู้ อันนี้เองเป็นเครื่องปิดบังสัจจะที่เป็นตัวความจริง  ว่าสิ่งทั้งปวงเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น เหมือนอย่างเป็นภาพเขียนทั้งนั้น  ซึ่งภาพเขียนนั้นไม่มีความจริงอยู่ในนั้น เขียนเป็นต้นไม้ เขียนเป็นภูเขา  ก็ไม่เป็นต้นไม้จริง ไม่เป็นภูเขาจริง เพราะเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง  ซึ่งทุกคนก็เห็นว่าช่างเขียนเขาเขียนขึ้นมา 

    คราวนี้สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นคนจริงๆ  เป็นต้นไม้จริงๆ เป็นภูเขาจริงๆ ซึ่งความเข้าใจนั้นก็ต้องพิจารณา  ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ก่อน ว่านั่นเป็นเป็นอวิชชา เป็นโมหะ  เพราะสิ่งที่คิดว่าจริงนั้น อันที่จริงก็เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งเช่นเดียวกัน  ไม่ต่างอะไรกับภาพเขียน ไม่มีต้นไม้จริงๆ ไม่มีภูเขาจริงๆ ไม่มีร่างกายใจที่เป็นอัตภาพนี้จริงๆ  ทั้งที่เป็นคน ทั้งที่เป็นสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ล้วนเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น  และพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงสั่งสอนให้บุคคลทราบถึง สังขตลักษณะ  ลักษณะคือเครื่องกำหนดหมายแห่งสังขารคือสิ่งที่ผสมปรุงแต่งทั้งหลายว่ามี ๓ ประการ  คือ ๑ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๒ ความเสื่อมสิ้นไปปรากฏ  และ ๓ เมื่อตั้งอยู่มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ  นี้เป็นลักษณะของสังขารทั้งหลาย 

    ดูจากภาพเขียนก่อน เมื่อช่างมาเขียนขึ้น นั่นก็คือว่ามีความเกิดขึ้นปรากฏ  ปรากฏเป็นภาพของสิ่งต่างๆ และต่อจากนั้นก็เก่าเสื่อมไปโดยลำดับเป็นความเสื่อมสิ้นปรากฏ  จนถึงเสื่อมไปหมดสิ้น คือ ผุ หรือว่าเลือนหายไป  และเมื่อยังตั้งอยู่ก็มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับ ต้องเลอะเลือนไปโดยลำดับ  จะเห็นได้จากภาพเขียนในโบสถ์เก่าๆทั้งหลาย โบสถ์รั่วบ้าง อะไรบ้าง  ภาพเขียนนั้นก็เสื่อมสิ้นเก่าเสื่อมไปโดยลำดับ  และแม้สังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งที่เข้าใจกันว่าเป็นต้นไม้เป็นภูเขาจริงๆ  เป็นอัตภาพของบุคคล ของสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายจริงๆก็เช่นเดียวกัน  มีความเกิดขึ้นปรากฏ ตั้งแต่เป็น กลละ ขึ้นในครรภ์ของมารดา  คลอดออกมาก็เรียกกันว่าเกิดก็ปรากฏ แล้วก็มีวัยคือความเสื่อมสิ้นไปปรากฏโดยลำดับ  เรียกว่าแก่ขึ้น คือเป็นเด็กเล็ก เด็กใหญ่ เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แล้วก็แก่ลง  เพราะชำรุดทรุดโทรม เป็นคนแก่ ผมหงอกฟันหัก ความเสื่อมถอยต่างๆ  ของตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ ไปจนถึงมรณะคือความตายในที่สุด  และเมื่อตั้งอยู่นั้นก็เปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆไม่เปลี่ยนแปลง  เปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับ เมื่อพิจารณาจึงจะมองเห็น  เพราะฉะนั้นจึงได้มีแสดงว่าทุกๆ คนนั้นที่เกิดมา เมื่อเกิดมาก็เดินบ่ายหน้าไปสู่ความดับในที่สุด  ด้วยกันทุกคน ไม่มีหยุดสักขณะเดียว

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้หมั่นพิจารณา  ในเมื่อได้ปฏิบัติทำสติปัฏฐานในกาย ในเวทนา ในจิต มาโดยลำดับแล้ว  ก็เป็นอันว่าได้อบรมจิตให้เป็นศีลเป็นสมาธิขึ้นมาโดยลำดับ ก็ให้ศีลสมาธิอบรมปัญญาต่อไป  จับพิจารณาให้มองเห็นว่าเป็นสังขารดังกล่าวมาแล้ว  และมีลักษณะของสังขารที่ปรากฏดังที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้  อันนี้แหละที่ตรัสสอนไว้ว่า อนิจจานุปัสสี  ตั้งสติพิจารณาให้เห็นตามอนิจจะคือความไม่เที่ยง  คือความที่มีความเกิดขึ้นปรากฏ มีความเสื่อมสิ้นไปปรากฏ  เมื่อยังตั้งอยู่ ก็เริ่มแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับไม่มีหยุดยั้ง  อันนี้เรียกว่า อนิจจานุปัสสนา 

    เมื่อได้อนิจจานุปัสสนาดั่งนี้แล้ว ก็จะได้วิราคะคือความสิ้นติดใจยินดี  ก็ให้ตั้งสติพิจารณาตามดูตัววิราคะคือความสิ้นติดใจยินดีที่บังเกิดขึ้น  ก็จะได้ความดับ ดับความติดใจยินดี ดับความเพลิดเพลิน  ก็ให้ตั้งสติพิจารณาตามดูตามรู้ตามเห็นตัวความดับดังกล่าวนี้ที่บังเกิดขึ้นในใจ  ก็จะได้ความปล่อยวาง สิ่งอะไรที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวเราของเราก็จะปล่อยวางลงได้  ก็ให้ตั้งสติพิจารณาตามดูตามรู้ตามเห็นตัวความปล่อยวางนี้ ที่ตามศัพท์เรียกว่าสละคืน  เหมือนอย่างว่าไปยึดเอาของเขามาก็คืนของเขาไป  เมื่อไปยึดเอาสังขารมาเป็นตัวเราของเรา ก็คืนความยึดถือ  ปล่อยสังขารที่ยึดเอามาว่าเป็นตัวเราของเราลงไป ออกไป คืนให้แก่เจ้าของเขาไป  ก็คืนให้แก่ธรรมดา เพราะที่จริงเป็นธรรมดาทั้งนั้น ซึ่งจะต้องมีลักษณะเป็นไปดังกล่าวนั้น  แต่เพราะยังมีอวิชชามีโมหะ จึงไปหลงยึดถือเอาธรรมดานั้นมาเป็นตัวเราของเรา  ซึ่งที่จริงไม่ใช่ ของเขาเป็นธรรมดาอย่างนั้นเอง เขาเป็นสังขาร เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง  ที่จะต้องเป็นไปตามธรรมดาดั่งนั่น แต่บุคคลไปยึดเอามาเป็นตัวเราของเรา  จึงได้บังเกิดความทุกข์ต่างๆ  แต่เมื่อตั้งสติตามดูตามรู้ตามเห็น ให้รู้เห็นตามเป็นจริงได้แล้ว  ก็จะปล่อยวางได้ คืนเขาไป คืนเขาไปแก่ธรรมดา ไม่ฝืนไม่ยึด  เมื่อเป็นดั่งนี้ก็เป็นอันวางทุกข์ลงไปได้โดยลำดับ จะเป็นความสิ้นทุกข์ไปโดยลำดับ  ดั่งนี้เป็นการปฏิบัติในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้  ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป 


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 26 มีนาคม 2557, 21:44:32
พุทธวจน

สังโยชน์สิบ
ภิกษุทั้งหลาย ! สังโยชน์ ๑๐ ประการเหล่านี้ มีอยู่สิบประการอย่างไรเล่า ? สิบประการ คือ :-
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ.
 
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?
คือ สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส, กามฉันทะ, พยาบาท
เหล่านี้ คือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ.
 
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?
คือ รูปราคะ, อรูปราคะ, มานะ, อุทธัจจ, อวิชชา
เหล่านี้คือ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ.
 
ภิกษุ ทั้งหลาย เหล่านี้แล สังโยชน์ ๑๐ ประการ.
คู่มือโสดาบัน หน้า ๑๒๗ 


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 27 มีนาคม 2557, 22:20:05
  สาธุ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 28 มีนาคม 2557, 22:34:18
พุทธวจน

ความไม่เพลินในอายตนะ
คือความหลุดพ้นจากทุกข์
ภิกษุ ท. ! ส่วนผู้ใด ย่อมไม่เพลินกะตา, ไม่เพลินกะหู, ไม่
เพลินกะจมูก, ไม่เพลินกะลิ้น, ไม่เพลินกะกาย, ไม่เพลินกะใจ แล้วไซร้;
ผู้นั้น ชื่อว่า ย่อมไม่เพลิดเพลินกะสิ่งอันเป็นทุกข์. ผู้ใด ย่อมไม่เพลิดเพลิน
กะสิ่งอันเป็นทุกข์; เรากล่าวว่า ผู้นั้น ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.
- สฬา. สํ. ๑๘/๑๖/๑๙.
ภิกษุ ท. ! ส่วนผู้ใดแล ย่อมไม่เพลิดเพลินกะรูป, ไม่เพลิดเพลิน
กะเสียง, ไม่เพลิดเพลินกะกลิ่น, ไม่เพลิดเพลินกะรส, ไม่เพลิดเพลิน
กะโผฏฐัพพะ, ไม่เพลิดเพลินกะธรรมารมณ์ แล้วไซร้; ผู้นั้น ชื่อว่า ย่อม
ไม่เพลิดเพลินกะสิ่งอันเป็นทุกข์. ผู้ใด ย่อมไม่เพลิดเพลินกะสิ่งอันเป็นทุกข์;
เรากล่าวว่า ผู้นั้นย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้แล.


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: สมชาย17 ที่ 29 มีนาคม 2557, 07:39:24
สวัสดีครับ พี่ติ๋ม

พุทธวัจนะ  ข้อนี้ ไม่หลงเพลินในอายตนะ
ผมว่ายากที่สุดแล้ว และสำคัญที่สุดด้วย

อ่านแล้วเข้าใจ คิดตามก็เข้าใจ  แต่ปฏิบัติไม่ได้เลย emo5:(

แค่ตามองเห็น  สติตามไปรู้ว่า เห็น หนอ  วินาทีเดียว
จิตคิดต่อไปไกลมาก ทั้งกุศล และ อกุศล เต็มไปหมด นี่แค่ วินาทีเดียว

นี่แค่เรื่องตา การมองเห็น  ยังเหลือ อีกตั้ง 5 ทาง
ผมจึงว่ายากมาเลย การปฏิบัติ ให้ดี ในข้อนี้ ไม่หลงเพลินใน อายตนะ

แต่ต้องขอบคุณมาก ที่ พี่ติ๋ม มาช่วย เสนอแนวทาง ดีๆ เช่นนี้

จะตามต่อไปครับ พี่ติ๋ม


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 31 มีนาคม 2557, 21:40:35
ดีใจที่น้องสมชายได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย พี่จะนำสิ่งที่พี่อ่านและฟังแล้วน่าจะเป็นประโยชน์กับท่านเพื่อนพี่น้องมาลงไว้ให้ติดตามกันตามอัธยาศัยนะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 29 มีนาคม 2557, 07:39:24
สวัสดีครับ พี่ติ๋ม

พุทธวัจนะ  ข้อนี้ ไม่หลงเพลินในอายตนะ
ผมว่ายากที่สุดแล้ว และสำคัญที่สุดด้วย

อ่านแล้วเข้าใจ คิดตามก็เข้าใจ  แต่ปฏิบัติไม่ได้เลย emo5:(

แค่ตามองเห็น  สติตามไปรู้ว่า เห็น หนอ  วินาทีเดียว
จิตคิดต่อไปไกลมาก ทั้งกุศล และ อกุศล เต็มไปหมด นี่แค่ วินาทีเดียว

นี่แค่เรื่องตา การมองเห็น  ยังเหลือ อีกตั้ง 5 ทาง
ผมจึงว่ายากมาเลย การปฏิบัติ ให้ดี ในข้อนี้ ไม่หลงเพลินใน อายตนะ

แต่ต้องขอบคุณมาก ที่ พี่ติ๋ม มาช่วย เสนอแนวทาง ดีๆ เช่นนี้

จะตามต่อไปครับ พี่ติ๋ม



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 31 มีนาคม 2557, 21:45:45
หลังจากฟังแล้ว คิดว่าถ้าเราเป็นกัลยาณมิตรของชาวซีมะโด่ง เราต้องนำมาฝากไว้ให้ทุกท่านที่สนใจค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=xB4z6SONcyU

https://www.youtube.com/watch?v=xB4z6SONcyU (https://www.youtube.com/watch?v=xB4z6SONcyU)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 01 เมษายน 2557, 21:05:13
วันนี้เอาธรรมชาติของชีวิตมาฝาก เผื่อมีประโยชน์กับรุ่นใกล้ชราภาพบ้างค่ะ

วิธีป้องกันหรือชลอความเสื่อมของสมอง


(http://www.cmadong.com/picup/201401/5281413963608394093039301.png)

http://www.helpguide.org/elder/alzheimers_prevention_slowing_down_treatment.htm (http://www.helpguide.org/elder/alzheimers_prevention_slowing_down_treatment.htm)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 09 เมษายน 2557, 21:45:49
ตัวเราคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือธรรมะ

พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๓
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
หน้าที่ ๑๒๗/๕๑๘ ข้อที่ ๑๕๘
ลิงก์สำหรับแบ่งปันหน้านี้
เป็นของมิใช่ตัวตน. เธอย่อมเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้น ครั้นเธอเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้นแล้ว
ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้สงบ ธรรมชาตินี้ประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขาร
ทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้. เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น ย่อม
บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ย่อมเป็นโอปปาติกะ  จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
ความยินดี ความเพลิดเพลินในธรรมนั้น และเพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้ง ๕ ดูกร
อานนท์ มรรคแม้นี้แล ปฏิปทาแม้นี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕.
     ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่.
     ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุข
ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้
เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข.
     ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข
ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่. เธอพิจารณา
เห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในภายในสมาบัตินั้น ฯลฯ
เพื่อละสังโยชน์

http://www.youtube.com/watch?v=cviLxTMuLHg


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: สมชาย17 ที่ 11 เมษายน 2557, 10:51:24
สวัสดีครับ พี่ติ๋ม
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับผม

พี่สิงห์ ท่านน่าจะไปถึง จตุตถณาน แล้วครับ ผมสังเกตุจากการอ่าน บทความของ พี่สิงห์ ครับ
ผมเอง ปฐมณาน ยังไม่รู้จักเลยครับ  แต่จะพยายาม เพียร ปฏิบัติ ต่อไป  ผมเลือกทางสายนี้แน่นอนแล้ว ครับ

สวัสดี ปีใหม่ไทย ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 14 เมษายน 2557, 21:48:45
ยินดีมากครับที่น้องสมชายมาเป็นกัลยณมิตรร่วมเดินทางด้วยค่ะด้วย

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 11 เมษายน 2557, 10:51:24
สวัสดีครับ พี่ติ๋ม
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับผม

พี่สิงห์ ท่านน่าจะไปถึง จตุตถณาน แล้วครับ ผมสังเกตุจากการอ่าน บทความของ พี่สิงห์ ครับ
ผมเอง ปฐมณาน ยังไม่รู้จักเลยครับ  แต่จะพยายาม เพียร ปฏิบัติ ต่อไป  ผมเลือกทางสายนี้แน่นอนแล้ว ครับ

สวัสดี ปีใหม่ไทย ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 14 เมษายน 2557, 21:53:20
ถาม-ตอบพุทธวจนอันนี้สำหรับผู้ใฝ่ปฏิบัติธรรม ดีมากค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=GRtpNXSYFZM


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 16 เมษายน 2557, 01:22:41
 บุคคล ท่านใด สามารถ เห็น การเกิด-ดับ ของจิตได้อย่างสมํ่าเสมอ......ให้พากเพียร รักษาการภาวนาปฏิบัติ ไว้อย่าง
   สมํ่าเสมอ โดยเดินตามแนวทางสติปัฏฐาน 4  ระวัง นิวรณ์5 กิเลส10 และ การหลงตน....จน แยกกาย-ใจ ได้เด่นชัด
   แสดงว่าท่านอยู่ในกระเเสทางของโสดาบัน...... (โสดาปัดติมรรค/ โสดาปัดติผล).....ถึงสภาวะนั้นได้ ก็จะไม่ย้อนกลับ
   มาภพชาติที่ตํ่าอีกต่อไป  แล้ว .......สาธุ   ครับ น้องติ๋ม   


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: สมชาย17 ที่ 16 เมษายน 2557, 09:26:08
สาธุ ครับ พี่ปี๊ด

ละ นิวรณ์ ก็ยากแล้ว   ละกิเลส ยิ่งยากขึ้นไปใหญ่ (เพราะเสพสุข จากการสนองความต้องการ ของกิเลส มานาน)

แต่ไม่อยากลงต่ำ กว่ามนุษย์  emo19:((:  ขณะเดียวกัน ความเพียร พยายาม ต่ำไปหน่อย ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 17 เมษายน 2557, 03:01:07
ความสิ้นกรรม --- >

ไม่มีกรรม กรรมดับสนิท หมดไป พอสิ้นกรรมก็สิ้นทุกข์ เพราะกรรมนั้นมันเกิดจากกิเลส มีความไม่รู้อริยสัจ ก็เกิดความอยากได้เพื่อตนเอง อยากให้ตัวเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ไปทำกรรมตามความยึดถือ ทำกรรมแล้วก็ได้รับผลวิบากเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง พอได้รับผลสุขบ้างทุกข์บ้างก็ยังไม่หมดอวิชชา ก็ไม่หมดตัณหา มันไม่อิ่มก็ทำวนเวียนไปเรื่อย ๆ

แต่เมื่อใด เราฝึกฝนจนรู้ความจริง ตัณหาก็ถูกละได้ ละความอยาก ละความต้องการ ละความคาดหวังได้ นั่นแหละจึงจะสิ้นกรรม กรรมสิ้นไป ทุกข์ก็สิ้นไป

ที่เรียนเรื่องกรรมนี่นะ ไม่ใช่เพื่อให้ท่านทั้งหลายไปทำกรรมให้เยอะๆ หรอก แต่เรียนเพื่อที่จะฝึกฝนตนเองให้ถูกวิธี ถ้ายังทำผิดอยู่ จะได้แก้ไขให้ถูกต้อง หยุดแล้วก็สำรวมระวัง แล้วก็ชำระล้าง ลดโอกาสที่สิ่งไม่ดีจะมาให้ผล จนกระทั่งปิดไปได้ แล้วก็ถึงที่สุด คือให้สิ้นกรรมหมดกรรมไป เริ่มต้นก็สิ้นกรรมไม่ดีก่อน ท้ายสุดแม้แต่ดีก็ไม่เอาด้วย หนทางฝึกฝนก็ตามหลักโพธิปักขิยธรรมมีอริยรรคมีองค์ ๘ ประการเป็นกลุ่มสุดท้าย

ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ตัณหักขยสูตร พระไตรปิฏกเล่มที่ ๑๙ ข้อ ๒๐๗ พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“เพราะละตัณหาได้ กรรมย่อมถูกละได้”

เมื่อเกิดปัญญา รู้ความจริงว่า สังขารทั้งปวงมันเป็นอย่างนั้น เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จนได้รู้อริยสัจ ก็ละตัณหาได้กรรมก็ถูกละได้ เจตนาจะทำเพื่อตนเอง จะเอานั่นจะเอานี่เพื่อตนเองก็ไม่มี การกระทำก็เป็นเพียงสักว่าการกระทำ เป็นเพียงกิริยาเท่านั้น

“เพราะละกรรมได้ ทุกข์ย่อมถูกละได้”

ถ้ายังไปทำกรรมเพื่อตัวเอง ตามกำลังของตัณหา อุปาทาน ก็เป็นการก่อภพต่อชาติ ความเกิดขึ้นของกองทุกข์ก็มีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะละกรรมได้นั่นแหละ ทุกข์จึงจะถูกละได้ พระองค์สรุปว่า

อิติ โข อุทายิ ตณฺหกฺขยา กมฺมกฺขโย, กมฺมกฺขยา ทุกขกฺขโย

ดูก่อนอุทายี ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล เพราะความสิ้นไปของตัณหา ความสิ้นไปของกรรมจึงมีได้ เพราะความสิ้นไปของกรรม ความสิ้นไปของทุกข์จึงมีได้

ถ้าเราเรียนเรื่องกรรมแล้ว มัวแต่ไปหลงทำกรรมวนเวียนอยู่ ก็ย่อมไม่อาจจะพ้นไปจากทุกข์ได้ เพราะ
ความสิ้นกรรมเท่านั้น ความสิ้นทุกข์จึงมีได้ กรรมจะถูกละได้ก็ต่อเมื่อละตัณหาได้ ตัณหาจะถูกละได้ก็ต่อเมื่อรู้ความจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่มันเป็นจริง รู้จนเลิกอยากได้ อยากเอา อยากมี อยากเป็น พอเลิกอยาก เลิกคาดหวัง ตัณหาก็ไม่มี ที่จะทำเพื่อตัวเอง ให้ตัวเองได้นั่นได้นี่ก็ไม่มี กรรมไม่มี ทุกข์ก็ไม่มี ก็จบเรื่องกันไป

พระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้ที่ถึงความสิ้นไปของกรรมทั้งปวงแล้ว พระองค์ได้ทำก่อน แล้วก็บอกทางให้เราทั้งหลายแล้ว ในขุททกนิกาย อิติวุตตกะ โลกสูตร พระไตรปิฏกเล่มที่ ๒๕ ข้อ ๑๑๒ มีคาถาแสดงคุณของพระพุทธเจ้าเอาไว้ว่า

เอส ขีณาสโว พุทฺโธ อนีโฆ ฉินฺนสํสโย
สพฺพกมฺมกฺขยํ ปตฺโต วิมุตฺโต อุปธิสงฺขเย
เอส โส ภควา พุทฺโธ เอส สีโห อนุตฺตโร
สเทวกสฺส โลกสฺส พรฺหมฺจกฺกํ ปวตฺตยิ

พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระขีณาสพ เป็นผู้ไม่เบียดเบียน เป็นผู้มีความสงสัยสิ้นไปแล้ว เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งกรรมทั้งปวง เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะความสิ้นไปของอุปธิ

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นประดุจสีหะ เป็นผู้ไม่มีผู้ใดยิ่งกว่า ทรงประกาศพรหมจักร แก่ชาวโลก พร้อมทั้งเทวโลก

ในคาถานี้มีคำว่า สพฺพกมฺมกฺขยํ ปตฺโต เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งกรรมทั้งปวง นี้เป็นคุณของพระพุทธเจ้า พระองค์ถึงความสิ้นไปแห่งกรรมทั้งปวง ทรงทำก่อนแล้ว ตอนออกบวช พญามารก็มาหลอกล่อบอกว่าพระองค์จงไปครองราชย์เถิด จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีทรัพย์เงินทองมากมาย ได้ทำบุญเยอะๆ จะได้เสวยผลที่ดีๆ พระพุทธเจ้าก็บอกกับมารว่า ดูก่อนมารผู้มีบาปท่านจงไปพูดเรื่องบุญกับคนที่ต้องการบุญเถอะ

เราทั้งหลายผู้เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เป็นยังไงกันบ้าง อยากได้บุญ ตกอยู่ภายใต้บ่วงมารกัน แต่ที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมนั้น ก็เพื่อให้เราทั้งหลายประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความสิ้นไปแห่งทุกข์โดยชอบ


อ้างอิง
http://www.namjaidham.net/forum/index.php?topic=712.0


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: สมชาย17 ที่ 17 เมษายน 2557, 08:45:04
สวัสดี พี่ติ๋ม พี่ปี๊ด  ขอขอบคุณก่อนเป็นประการแรก

เพราะ วันนี้ได้อ่าน ธรรมะ ดีๆ ถึง สองกระทู้  ห้องพี่สิงห์ และห้องนี้

วันนี้คงเป็นวันดีเป็นแน่แท้ ครับ emo4:))


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 17 เมษายน 2557, 15:11:47
สวัสดี ครับ น้องสมชาย
           การปฏิบัติธรรม นะไม่ยาก.....มันจะยากก็เฉพาะ ผู้ไม่ปฏิบัติ  เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ที่(มี)      
 เป็นอยู่ เพียงแต่ มนุษย์ไปใช้สมองปรุงแต่ง และสมมุติว่าเป็นสุข เป็นทุกข์ จนไม่รู้ความเดิมว่า " ทุกสิ่งมันเป็นเช่นนั้นแล"
 เมื่อมีไอ้นี้ มันจึงมีไอ้นั้น ทุกอย่างเป็นเหตุ เป็นผล ซึ่งกันและกัน เสมอ ค่อยๆฝึก ค่อยๆทำ ครับน้องสมชาย หยุดใช้สมอง
 ใช้ความรู้สึกแทน ไม่ต้องท่องไม่ต้องจำ เพราะเราไม่ต้องการที่จะไปสอนใคร แต่ให้เอาจิตไปจับที่อิริยาบถของตัวเอง รู้
 ปัจจุบัน ไปเรื่อยๆ ความ โลภ โกรธ หลง จะเกิดขึ้นกับตัวเองทุกขณะ speed การเข้าไปจับของจิต จะดีขึ้น แล้วไปดูที่
 เหตุของการเกิด เราก็จะปล่อยว่างได้ สนิท ทำเช่นนี้/ รู้ตัว รู้ตัว ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวธรรมะก็จะเกิดขึ้นเองในจิต ตามคำสอน
 ของพระพุทธองค์ ....ง่ายๆ ครับ น้องสมชาย  ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่เป็นผลตามมาจากการกระทำใดๆ ก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่
 ที่จะทำให้เราหลง.....เพราะมันเป็น ธรรมดา เป็นธรรมชาติ ทั้งสิ้น ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 17 เมษายน 2557, 20:51:43

พี่ปี๊ดคะ วิธีปฏิบัติที่พี่ปี๊ดอธิบายนี่ ท่านทั้งหลายที่มีประสบการณ์ ท่านเรียกว่าทางสายเอก
สาธุค่ะ


 :)like :)like :)like :)like :)like :)like :)like :)like :)like


อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 17 เมษายน 2557, 15:11:47
สวัสดี ครับ น้องสมชาย
           การปฏิบัติธรรม นะไม่ยาก.....มันจะยากก็เฉพาะ ผู้ไม่ปฏิบัติ  เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ที่(มี)      
 เป็นอยู่ เพียงแต่ มนุษย์ไปใช้สมองปรุงแต่ง และสมมุติว่าเป็นสุข เป็นทุกข์ จนไม่รู้ความเดิมว่า " ทุกสิ่งมันเป็นเช่นนั้นแล"
 เมื่อมีไอ้นี้ มันจึงมีไอ้นั้น ทุกอย่างเป็นเหตุ เป็นผล ซึ่งกันและกัน เสมอ ค่อยๆฝึก ค่อยๆทำ ครับน้องสมชาย หยุดใช้สมอง
 ใช้ความรู้แทน ไม่ต้องท่องไม่ต้องจำ เพราะเราไม่ต้องการที่จะไปสอนใคร แต่ให้เอาจิตไปจับที่อิริยาบถของตัวเอง รู้
 ปัจจุบัน ไปเรื่อยๆ ความ โลภ โกรธ หลง จะเกิดขึ้นกับตัวเองทุกขณะ speed การเข้าไปจับของจิต จะดีขึ้น แล้วไปดูที่
 เหตุของการเกิด เราก็จะปล่อยว่างได้ สนิท ทำเช่นนี้/ รู้ตัว รู้ตัว ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวธรรมะก็จะเกิดขึ้นเองในจิต ตามคำสอน
 ของพระพุทธองค์ ....ง่ายๆ ครับ น้องสมชาย  ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่เป็นผลตามมาจากการกระทำใดๆ ก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่
 ที่จะทำให้เราหลง.....เพราะมันเป็น ธรรมดา เป็นธรรมชาติ ทั้งสิ้น ครับ



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: สมชาย17 ที่ 18 เมษายน 2557, 08:24:36
ขอขอบคุณพี่ปี๊ด มากครับ

นำเสนอวิธี ปฏิบัติ  ที่เป็นแก่นจริงๆ 

ที่พี่ปี๊ดให้วิธีการมา  จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก

ขึ้นอยู่กับ พื้นฐานดั้งเดิมของ เราเอง ถ้าฐานเดิมดีก็อาจจะง่าย

ฐานผม เป็นลิง  ก็ต้องบีบ บังคับก่อน ให้เชื่อง   แล้วทำตามแบบที่พี่ปี๊ดว่าไว้ ต่อไป

เรียกว่า สติ อยู่  จิต อยู่ กับตัว รู้ตัวตลอดเวลา  emo4:))  ตอนนี้ยังไม่อยู่ จิตมันท่องเทียวไปเรื่อย หาตัวไม่ค่อยจะเจอครับ emo19:((:

กำลังพยายามอยู่ สะสม ที่ละเล็ก ที่ละน้อย ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 22 เมษายน 2557, 21:29:58
น้องสมชายคะ
ที่น้องรู้และบอกได้ว่าเขาหายไป เป็นลิง ก็แสดงว่าจิตเขากลับมาแล้วล่ะค่ะ ถ้าไม่กลับน้องจะไม่รู้และบอกไม่ได้ว่าเขาไป และมันก็ไป มา เกิด ดับให้เห็นไปเรื่อยๆตราบใดที่ยังติดอยู่กับขันธ์ห้า นี่แหละค่ะคือ อิทัปปจยตา ปฏิจสมุปบาท


 [๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า แรกตรัสรู้ ประทับอยู่
ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข
ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็น
อนุโลมและปฏิโลม ตลอดปฐมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
(การเกิดขึ้นของทุกข์)
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
(การดับไปแห่งทุกข์)
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ

อ้างอิงจาก
http://www.nkgen.com/28.htm


อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 18 เมษายน 2557, 08:24:36
ขอขอบคุณพี่ปี๊ด มากครับ

นำเสนอวิธี ปฏิบัติ  ที่เป็นแก่นจริงๆ  

ที่พี่ปี๊ดให้วิธีการมา  จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก

ขึ้นอยู่กับ พื้นฐานดั้งเดิมของ เราเอง ถ้าฐานเดิมดีก็อาจจะง่าย

ฐานผม เป็นลิง  ก็ต้องบีบ บังคับก่อน ให้เชื่อง   แล้วทำตามแบบที่พี่ปี๊ดว่าไว้ ต่อไป

เรียกว่า สติ อยู่  จิต อยู่ กับตัว รู้ตัวตลอดเวลา  emo4:))  ตอนนี้ยังไม่อยู่ จิตมันท่องเทียวไปเรื่อย หาตัวไม่ค่อยจะเจอครับ emo19:((:

กำลังพยายามอยู่ สะสม ที่ละเล็ก ที่ละน้อย ครับ



หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 22 เมษายน 2557, 21:34:06
กฏธรรมชาติ ปฏิจสมุปบาท

http://www.youtube.com/watch?v=5gvg114X3Yw


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: สมชาย17 ที่ 23 เมษายน 2557, 08:56:30
ขอบคุณครับ พี่ติ๋ม   ที่ส่งคำบรรยาย ปฏิจจสมุปบาท มาให้ฟังครับ
กำลังอยากฟังรายละเอียดของ ปฏิจจสมุปบาท อยู่พอดี  เข้าใจยากจังครับ
แต่จะฟังไปเรื่อยๆ หลายๆ รอบ น่าจะเข้าใจมากขึ้นครับ

ขอให้พี่ติ๋ม รักษาสุขภาพตัวเอง ให้แข็งแรง แจ่มใส ภายในเร็ววัน นะครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 30 เมษายน 2557, 22:14:25
น้องสมชาย พี่เอามาฝากให้ฟังอีกค่ะ อันนี้ทำให้รู้สึกว่าทำได้ง่ายๆค่ะ แค่ต้องขยันทำเสมอๆ

http://www.youtube.com/watch?v=9OXHpzu4NJI


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 05 พฤษภาคม 2557, 22:10:23
ความสุขอย่างแท้จริงคือละวางทุกๆอย่างแล้ว มีใจสดชื่นเย็นฉ่ำยิ่งขึ้นเสมอ

พระพุทธทาสภิกขุ


(http://www.cmadong.com/picup/201401/516581399302606896760062.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 20 พฤษภาคม 2557, 21:42:01

พระพุทธเจ้าสอนให้เราเลิกเป็นไปตามกรรม แต่เป็นผู้มีอริยมรรค

การปฏิบัติสมาธิภาวนาเพื่อได้อริยมรรคคือเปลี่ยนจากคนที่เคยไม่ธรรมดาหรือคนพิเศษให้กลายเป็นคนธรรมดาที่อิสระจากทุกข์  เรายิ่งปฎิบัติธรรมมากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งเป็นคนธรรมดามากขึ้นเท่านั้น


(http://www.cmadong.com/picup/201401/1720814005968507652365081.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 21 พฤษภาคม 2557, 05:51:38
อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 20 พฤษภาคม 2557, 21:42:01

พระพุทธเจ้าสอนให้เราเลิกเป็นไปตามกรรม แต่เป็นผู้มีอริยมรรค

การปฏิบัติสมาธิภาวนาเพื่อได้อริยมรรคคือเปลี่ยนจากคนที่เคยไม่ธรรมดาหรือคนพิเศษให้กลายเป็นคนธรรมดาที่อิสระจากทุกข์  เรายิ่งปฎิบัติธรรมมากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งเป็นคนธรรมดามากขึ้นเท่านั้น


(http://www.cmadong.com/picup/201401/1720814005968507652365081.jpg)
 ครับ ดีจังน้องติ๋ม  เป็นวลีที่ เป็นจริง (ไปถูกทาง) ความเป็นธรรมดา มิใช่ จะเกิดขึ้นแต่ภายนอก ทีตามองเห็นเพียงอย่างเดียว
 ต้อง กาย วาจา และใจ ......ซึ่ง จะมีผลโดยตรง ต่อความ รู้สึก ของตนเอง ....โลภ โกรธ หลง   และ ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่
 เราคิดอยู่ เสมอว่า เป็นความสุข ผู้ปฏิบัติธรรม หลายท่าน ใช้คำว่า ตัวเอง  "หมดไปแล้ว ไม่มี" ต่อ สิ่งเหล่านั้น......นั้นแหละ
 ครับ หลง ตัวเบ่อร์เริ่มเทิ่ม เลย ครับ ตราบใดที่เรายังอยู่ในขันธ์ 5   รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ยังเกิดอยู่ ไม่มีการยกเว้น
 แม้กระทั้งระดับพระอรหันต์ (อาริยบุคคล) ก็เกิดเช่นกัน เพียงแค่รู้ไม่เอาจิตไปจับ  เกิด-ดับ เร็วขึ้น speed (ความเร็ว) ดัง
 กล่าวที่เกิดขึ้น นั้น ตัวเองจะรู้ (เพียงส่วนตน) คือการ พัฒนา ไปสู่ ความเป็นธรรมดา ที่เป็น อิสระจากความทุกข์ อย่าง
 แท้ จริง และกลายเป็นคนธรรมดา  มิใช่่วิเศษ วิโส ไปจาก ผู้อื่น ดังข้อความที่ น้องติ๋ม ยกมา ข้างบน ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: สมชาย17 ที่ 22 พฤษภาคม 2557, 10:24:28
สวัสดีครับ พี่ปี๊ด พี่ติ๋ม

ขอบคุณครับ สำหรับ แก่นธรรม อันนำไปสู่ความเป็นธรรมดา   สาธุครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 02 มิถุนายน 2557, 23:08:53
ค่านิยมแห่งชีวิต

ผู้อัจฉริยะ คือผู้สามารถที่วางตัวเองถูกที่

ส่วนผู้โง่เง่าในสายตาเรา
อาจจะเป็นผู้มีความสามารถที่บังเอิญวางตัวเองผิดที่นั่นเอง

ตัวอย่างเช่น
คุณกับคนป่าผู้หนึ่ง ขณะหลงทางในป่าอัฟริกา ขาดแคลนทั้งน้ำและอาหาร
 
ในภาวะเช่นนั้น คุณต้องถือว่าคนป่าผู้นี้เป็นอัจฉริยะ เพราะเขารู้วิธีเอาตัวรอดในป่า

ในทางกลับกัน หากคุณพาคนป่าเข้าเมือง สั่งให้เขาใช้คอมพิวเตอร์
สถานการณ์จะกลับหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะเขากลายเป็น idiot ไปแล้ว

คนเราเกิดมาย่อมใช้ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

นักวิทยาศาสตร์บางคนแยกบันไดเสียงไม่ออก จิตรกรบางคนเขียนจดหมายไม่เป็น
แต่คนเหล่านี้วางตัวเองถูกที่ จึงประสบความสำเร็จใหญ่หลวง

Picasso เดิมทีอยากจะเป็นกวี แต่บทกวีของเขาถูก
Gertrude Stein กวีหญิงวิจารณ์จนไม่มีชิ้นดี 
แต่เพราะมีสุภาพสตรีคนหนึ่งมาสะกิดเตือน เขาจึงวางตัวเองในจุดใหม่
จนกลายเป็นจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่

อันที่จริง ผู้คนและเรื่องราวต่างๆ ล้วนน่าชื่นชมทั้งนั้น ถ้าอยู่ในกาลเทศะที่เหมาะสม

เช่น ซุปรสเด็ดเมื่อหยดลงบนเสื้อเชิ้ตกลับกลายเป็นจุดด่างพร้อย

คำหวานลับเฉพาะบนเตียง เมื่อเล็ดลอดไปสู่สาธารณชนกลับกลายเป็นคำหยาบโลน
แปลกดีไหม

อาหารที่อมอยู่ในปาก ถ้าบ้วนออกมาดูน่าขยะแขยง
ถ้ากลืนเข้าไปกลับมีคุณค่าทางโภชนาการ

ต่อให้เป็นขยะสกปรกสิ้นดี
ถ้าวางถูกที่ เช่นฝังกลบดิน
ก็จะกลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงดอกไม้งาม
และผลิตอาหารสุขภาพให้เรา

อาจกล่าวได้ว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใด คนใด ต่ำต้อยหรือไร้ประโยชน์
ทุกคน ทุกสิ่ง ถ้าวางอยู่ในที่ถูก ย่อมอำนวยประโยชน์ได้ทั้งนั้น

จุดหมายสูงสุดของชีวิต
คือสรรหาเวทีที่เหมาะสม
บุกเบิกเส้นทางของตน แล้วแสดงความสามารถเฉพาะตัวให้สุดเหวี่ยง

ขอขอบคุณ ผู้เขียน (ไม่ทราบว่าเป็นใคร) และขอบคุณผู้ที่แชร์สิ่งดีๆให้กับผู้อื่นได้อ่าน


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 04 มิถุนายน 2557, 22:41:33
ขอบคุณมากครับน้องพธู ที่หาสิ่งดีๆมาแบ่งปันกัน



อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 02 มิถุนายน 2557, 23:08:53
ค่านิยมแห่งชีวิต

ผู้อัจฉริยะ คือผู้สามารถที่วางตัวเองถูกที่

ส่วนผู้โง่เง่าในสายตาเรา
อาจจะเป็นผู้มีความสามารถที่บังเอิญวางตัวเองผิดที่นั่นเอง

ตัวอย่างเช่น
คุณกับคนป่าผู้หนึ่ง ขณะหลงทางในป่าอัฟริกา ขาดแคลนทั้งน้ำและอาหาร
 
ในภาวะเช่นนั้น คุณต้องถือว่าคนป่าผู้นี้เป็นอัจฉริยะ เพราะเขารู้วิธีเอาตัวรอดในป่า

ในทางกลับกัน หากคุณพาคนป่าเข้าเมือง สั่งให้เขาใช้คอมพิวเตอร์
สถานการณ์จะกลับหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะเขากลายเป็น idiot ไปแล้ว

คนเราเกิดมาย่อมใช้ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

นักวิทยาศาสตร์บางคนแยกบันไดเสียงไม่ออก จิตรกรบางคนเขียนจดหมายไม่เป็น
แต่คนเหล่านี้วางตัวเองถูกที่ จึงประสบความสำเร็จใหญ่หลวง

Picasso เดิมทีอยากจะเป็นกวี แต่บทกวีของเขาถูก
Gertrude Stein กวีหญิงวิจารณ์จนไม่มีชิ้นดี 
แต่เพราะมีสุภาพสตรีคนหนึ่งมาสะกิดเตือน เขาจึงวางตัวเองในจุดใหม่
จนกลายเป็นจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่

อันที่จริง ผู้คนและเรื่องราวต่างๆ ล้วนน่าชื่นชมทั้งนั้น ถ้าอยู่ในกาลเทศะที่เหมาะสม

เช่น ซุปรสเด็ดเมื่อหยดลงบนเสื้อเชิ้ตกลับกลายเป็นจุดด่างพร้อย

คำหวานลับเฉพาะบนเตียง เมื่อเล็ดลอดไปสู่สาธารณชนกลับกลายเป็นคำหยาบโลน
แปลกดีไหม

อาหารที่อมอยู่ในปาก ถ้าบ้วนออกมาดูน่าขยะแขยง
ถ้ากลืนเข้าไปกลับมีคุณค่าทางโภชนาการ

ต่อให้เป็นขยะสกปรกสิ้นดี
ถ้าวางถูกที่ เช่นฝังกลบดิน
ก็จะกลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงดอกไม้งาม
และผลิตอาหารสุขภาพให้เรา

อาจกล่าวได้ว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใด คนใด ต่ำต้อยหรือไร้ประโยชน์
ทุกคน ทุกสิ่ง ถ้าวางอยู่ในที่ถูก ย่อมอำนวยประโยชน์ได้ทั้งนั้น

จุดหมายสูงสุดของชีวิต
คือสรรหาเวทีที่เหมาะสม
บุกเบิกเส้นทางของตน แล้วแสดงความสามารถเฉพาะตัวให้สุดเหวี่ยง

ขอขอบคุณ ผู้เขียน (ไม่ทราบว่าเป็นใคร) และขอบคุณผู้ที่แชร์สิ่งดีๆให้กับผู้อื่นได้อ่าน


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 05 มิถุนายน 2557, 09:09:27
ได้มาอ่านด้วย ขอบคุณนะคะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 23 กรกฎาคม 2557, 22:28:35
ทำใจสบายๆ เป็นธรรมชาติ แต่ยังมีผู้รู้คอยมองว่าจิตนี้ว่ามีเจตสิกหรืออารมณ์ใดมาเกาะอยู่ อยู่นานไหม หายไปเร็วไหม

http://www.youtube.com/watch?v=fbbDP65k7NA


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: supichaya ที่ 24 กรกฎาคม 2557, 09:04:44
ติดตามอยู่เรื่อยๆ ค่ะ ชอบค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 25 กรกฎาคม 2557, 09:30:22
เป็นบุญค่ะน้องก้อย สาธุ พี่ติ๋มยินดีด้วยค่ะ
อ้างถึง
ข้อความของ supichaya เมื่อ 24 กรกฎาคม 2557, 09:04:44
ติดตามอยู่เรื่อยๆ ค่ะ ชอบค่ะ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา คือธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 03 กันยายน 2557, 07:21:29

แด่เพื่อนพี่น้องซีมะโด่งค่ะ
เนื่องด้วยการจากไปของพี่พงษ์ จิรโสภณ ทำให้ชาวหอมีจิตใจมารวมกันเช่นเคยแบบคนซีมะโด่ง คือเราไม่เคยลืมกัน เราเป็นดั่งพี่น้องกินนอนด้วยกัน ผูกพันไม่ลืม เราเกิดมาด้วยธรรมชาติเอื้ออำนวย แล้วเมื่อถึงเวลา เราทุกคนก็เป็นไปตามธรรมชาติ รวมตัวกันกับธรรมชาติเสมือนมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เราก็คือพี่น้องร่วมธรรมชาติเดียวกันเช่นเคยกับที่เราเป็นซีมะโด่งด้วยกัน

พฤษภกาสร                               อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง                          สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย                            มลายสิ้นทั้งอินทรี
สถิตทั่วแต่ชั่วดี                            ประดับไว้ในโลกา


คำฉันท์ กฤษณาสอนน้อง(อินทรวิเชียรฉันท์)

พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส


หัวข้อ: ธรรมชาติ ธรรมดา คือธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 23 ตุลาคม 2557, 04:23:46


ฤดูผ่าน  ใบไม้ครัน  ผันเปลี่ยนสี               เหลืองแสดมี  ส้มแดง  แฝงสดสวย
แล้วร่วงล้น  ลงดิน  สิ้นระหวย                  เคยได้ช่วย  เป็นร่มเงา  เหล่านกกา
หมดหน้าที่  ใบไม้พลี  ทิ้งลำต้น               ยังต้องทน  หนาวลม  ห่มดินฟ้า
รอจนฝน  อุ่นมาเยือน  เตือนเวลา             ผลิดอกมา  พาใบกิ่ง  ยิ่งร่าเริง

เห็นชีวิต  เวียนวน  ให้ค้นหา                     ถึงเวลา  ต้องลาไป  ไม่สับสน
เมื่ออยู่ทำ  แต่ความดี  มีอดทน                 ช่วยเหลือคน  ทุกสัตว์โลก  โศกเหมือนกัน
ทุกชนชั้น  เกิดมาแล้ว  อนิจจัง                 จะโด่งดัง  มากน้อยปี  มีผกผัน
ทุกข์สุขทน  จนถึงที่  อำลากัน                  สงบพลัน  หลับสนิท  ปิดวนเวียน


(http://www.cmadong.com/picup/201401/6516914140128582073713936.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 30 ตุลาคม 2557, 22:36:26
ไม่ค่อยเข้าใจวัน Halloween ของเขาสักเท่าไหร่ แต่เปลี่ยนให้เป็นโอกาสก็แล้วกัน ทำมรณานุสติ เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ผีมาเคาะประตูก็ให้ขนมไป เขาก็ดีใจกันแล้ว

(http://www.cmadong.com/picup/201401/7806514146833021746160332.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 31 ตุลาคม 2557, 13:15:46
ฮึอ .......ฝาก หาที่มาที่ไป ของวันนี้ ให้หน่อยซิ น้องติ๋ม.......( พี่ปิ๊ดลืมหาความรู้ไปเมื่อ ครั้งที่มีโอกาส)...เป็นวิทยาทาน ครับ




หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ติ๋ม จันทร์ฉาย ที่ 31 ตุลาคม 2557, 22:28:51
ที่แปลกมากนะคะวัน Halloween ซึ่งถือเป็นวันปล่อยผีของชาวคริสต์อยู่ในช่วงเวลาของการปล่อยสิ่งต่างๆจาภพต่างๆของชาวพุทธ (พราหมณ์) ให้ออกมารับบุญจากภพโลก แต่เดี๋ยวจะหารายละเอียดที่มามาเล่านะคะ

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 31 ตุลาคม 2557, 13:15:46
ฮึอ .......ฝาก หาที่มาที่ไป ของวันนี้ ให้หน่อยซิ น้องติ๋ม.......( พี่ปิ๊ดลืมหาความรู้ไปเมื่อ ครั้งที่มีโอกาส)...เป็นวิทยาทาน ครับ





หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pracharatch916 ที่ 07 พฤษภาคม 2559, 02:41:01
ความสุข ของการเป็นธรรมดาสามัญ จะยึดติดกับสิ่งใดเล่า :)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 18 พฤษภาคม 2559, 16:31:40
สวัสดี ครับ  น้องติ๋ม (เจ้าของกระทู้)  และสมาชิกทุกท่าน
       กลับมานั่งย้อนอ่าน กระทู้ ธรรมะ ของน้องติ๋ม แล้ว นึกเสีย ดาย จัง เลย ที่ กระทู้นี้ หยุด นิ่งไปนาน อยากให้กลับเข้ามาคุย กันต่อ จัง....ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา เป็นเรื่องที่เราทุกท่าน จะต้องอยู่กับสิ่งเหล่า นี้ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ อยู่ /ห้องนี้ ถูก
เปิดประเด็น ว่า  ธรรมะ คืออะไร ?
                               http://www.youtube.com/watch?v=tj_VPs4b4dg


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 04 มิถุนายน 2559, 10:03:38
  สวัสดี ตอนเช้าชาวซีมะโด่ง และสมาชิกทุกท่าน วันนี้ วันเสาร์ที่ 4 มิย.  เป็นวันพระ  เรามา คุยธรรมะ ต่อ....
   สั้นๆ เข้าใจ ง่ายๆ .........
  สรุป  ธรรมะ คือ ธรรมชาติ จริง แท้ ของโลก และ จักรวาล ที่ พระพุทธองค์ ไปพบ และ นํามาบอกต่อ ในชาติสุดท้าย ที่ พระองค์
 เกิดมาเป็น มนุษย์ อย่างเราๆ พระองค์  ก็มี คำถามว่า  "ทำไมต้อง มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ และ มีตาย"  และพระพุทธองค์ ก็พบคำ ตอบ
  คือ ถ้า ไม่เกิด  ก็จะ ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ และ ไม่มีตาย.... กุญแจ (Key) ของศาสนาพุทธ อยู่ ที่ ตรง นี้ เอง .......เข้าใจง่ายๆ
 (ไปให้ ถูกท่าง)  ที่เราเรียกว่า ไปนิพพาน...... ครับ

                             http://www.youtube.com/watch?v=d67VxQpN4Qk
 


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 06 มิถุนายน 2559, 03:18:50
ความเจ็บไข้มาถึงนี่เราจะนั่งร้องไห้อยู่ทำไม เราก็พิจารณาว่ามันมาสอนให้เราฉลาด ให้เราเข้มแข็ง ให้เรารู้จักความจริงว่าชีวิตมันเป็นอย่างนี้
- พุทธทาสภิกขุ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 25 มิถุนายน 2559, 00:07:05
 เมือพูดถึงธรรม ของศาสนาพุทธ ก็ต้อง ยอมรับ ว่า พระพุทธเจ้า เป็น ผู้ พบ ความลับของ ธรรมชาติ แล้ว ท่านก็มาบอกต่อ
พระองค์ เป็นมนุษย์ธรรมดา เช่นเราๆ (อาจจะรวย และ พิเศษ หน่อย เพราะ เป็นกษัตริย์) แต่ท่านก็ปล่อยวางทุกอย่าง
บำเพ็ญเพียร จนพบสัจธรรม ที่เป็น จริงในธรรมชาติ จนเป็น พุทธะ และนำมาบอกต่อ....
                           http://www.youtube.com/watch?v=BZeHMiJmK_U


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 19 กรกฎาคม 2559, 07:32:00
สวัสดี ครับ วันนี้วันอังคารที่ 19 กรกฏาคม วัน อาสาฬหบูชา เป็นวัน ที่ พุทธศาสนา มีครบ องค์ พระพุทธ พระธรรม และ
  พระสงฆ์  อยู่มาได้ 2559 ปี  ทางทิศตะวันออกของซีกโลก ความเสื่อมถอย ก็กำลัง บังเกิดขึ้น กับชาวตะวันออก เป็น ธรรมชาติ
 ของสรรพสิ่ง ศาสนาพุทธกำลังเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกของโลก อีก 2500  แล้วศาสนาพุทธก็จะสูญสิันตามคำทำนาย
 เกิดมีศาสดา องค์ใหม่...ที่สุดของสรรพสิ่งบนโลกนี้แล้ว คือความไม่แน่นอน แม้แต่คำสอนของพระพุทธองค์  ครับ
 ขอให้ ทุกท่านเจริญในธรรม  ถ้ามีโอกาส ในชาตินี้......สาธุ
                              http://www.youtube.com/watch?v=X1BunKRm4Rw


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 26 กรกฎาคม 2559, 13:49:26
สวัสดี ครับ พี่น้อง ซีมะโด่ง และสมาชิก
  พรุ่งนี้ วันพุธ ที่ 27 กรก. วันพระ ฟังพระเทศน์ บ้าง ก็ดีนะ ครับ ไหนๆ ก็เกิดมา เป็นมนุษย์ แล้ว ทดลอง ฟัง   ความจริง
  ของธรรมชาติ ที่ถูกพบโดย มนุษย์ เช่นเราๆ ซึ่ง เรา เรียกท่านว่า พระพุทธเจ้า พระองค์พบธรรมชาติ ของสรรพสิ่งบนโลกนี้
  แล้วมาบอกต่อ บอกกันมา 2500 กว่าปี แล้ว ก็ยัง บอกต่อกัน ไปไม่มีที่สิ้นสุด......แล้วเราล่ะ ก็เป็นส่วน หนึ่งของธรรมชาติ จะ
 ไม่ หันไปฟัง บ้างหรือ? ว่า เขาพูด อะไร?กัน   (ความจริงมันเป็นเรื่องของตัวเราทั้งนั้น แต่ มันซ้อนอยู่ เราไม่รู้ มองไม่เห็น และ
  สัมผัส ไม่ได้ ) ...... มีการบอก-เล่า ต่อ (อย่างเป็นทางการ) ก็โดย พระสงฆ์  ....... เชิญชวนให้ท่านทั้งหลาย มาทดลองฟัง
 เทศน์ ฟังธรรม กัน บ้าง ถ้าไม่ดีจริง คงไม่สามารถ อยู่ ได้มายาวนาน เท่านี้.... ด้วยความ ยาว นาน ของกาลเวลา ก็เป็น
 ธรรมดา (ธรรมชาติ) ที่จะมีการ บิดเบือน ปรุ่ง แต่ง โกหก หลอกลวง หรือ นำ เอา คำสอนของพระพุทธองค์ ไป ทำมาหากิน
 หาผลประโยชน์ใส่ตนเอง และ พวกพ้อง.....พวกเรา ห่างไกล ต้นฉบับ มา 2500 กว่าปี ก็ต้อง เลือก ฟัง หน่อย ว่าอะไร ใช่    ไม่ใช่ ครับ....สาธุ
                             http://www.youtube.com/watch?v=Lz6ckfh37_8
 


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 01 สิงหาคม 2559, 08:50:25
สวัสดี เช้าๆ วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2559 
        คุยกัน ทางธรรมะ  เมื่อมีโอกาส เก็บสะสม ไว้ในใจ วันละนิดวันละหน่อย ....ชีวิตเรามันไม่แน่นอน เราเองก็ไม่รู้ว่า
 มาจาก ไหน?.... และชีวิต หลังความตาย..... ก็ไม่รู้ว่า ตัวเราจะไปไหน? ...เราเองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มีเกิด-ดับ
 อยากจะรู้ ก็ต้อง ใส่ใจในธรรมชาติ....ในสภาวะ หนึ่ง เราก็จะทราบ ว่า เราเองจะ ไปไหน ได้บ้าง ( ชีวิต หลังความตาย)
                              http://www.youtube.com/watch?v=pnIIwIKQmuk


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 18 สิงหาคม 2559, 07:37:05
   สวัสดี ชาวซีมะโด่ง และสมาชิก วันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม  2559 เป็น วันพระ
                             ขอให้ท่านทั้งหลายมีโอกาส ได้ศึกษา และ มีความ เจริญในธรรม  ครับ
                              http://www.youtube.com/watch?v=6L691DvDp9w


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 23 ตุลาคม 2559, 06:41:36
สวัสดี ครับชาวซีมะโด่ง และสมาชิก
                              http://www.youtube.com/watch?v=3tcYzeZhXEM


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 23 ตุลาคม 2559, 07:44:16
ธรรมะเปลียนชีวิต ครั้งที่13 ตอนที่ 2  (ตอนจบ)
                                http://www.youtube.com/watch?v=Xph6usgWHaw


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 23 ธันวาคม 2559, 20:22:06
สวัสดีครับ สำหรับชาวซีมะโด่งและสมาชิก ทุกท่านที่ ชอบ ธรรมะ แบบ เบาๆ สบายๆ เชิญเข้ามาสนทนาธรรม ในห้องนี้ได้
 วันนี้ ขอ อนุญาต เสนอธรรมเบาๆ ของ หลวงพ่อ พระพรหมคุณณาภรณ์ (ป.อ .ปยุต โต) มาให้พวก เราได้ ฟัง  ครับ...... สาธุ
                              http://www.youtube.com/watch?v=absHChh6c9s


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 05 พฤษภาคม 2560, 23:47:45
สวัสดี ครับมาฟังเทศน์ ฟังธรรมกันบ้างดีกว่า
                            http://www.youtube.com/watch?v=h6wvx-rPJUE


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 06 สิงหาคม 2560, 21:32:55
 สวัสดี ครับ ชาวซีมะโด่ง และสมาชิก ทุกท่าน  
    ผมได้ห่างหาย ไปจาก  web นานพอสมควร กลับมาแล้ว ครับ พยายามที่จะกลับมา ใครที่สนใจ ทางธรรมะ ก็ขอเชิญ ทางนี้
 ครับ มาช่วย กัน share ความรู้ความเข้าใจ เพราะเป็นสิ่งที่เราคงหนี ไม่พ้น มันเป็นเรื่อง จริง ของธรรมชาติ ที่ เราควรจะรู้ ศึกษา
 ทราบ แล้ว บอกต่อ ตามรอย พระบาท ของพระพุทธองค์
 วันนี้ จะนำเสนอ เรื่อง " เรียนรู้เรื่องจิต ก่อน ปฏิบัติธรรม" โดย ธรรมเทศนาของหลวงพ่อ ปราโมทย์
                              http://www.youtube.com/watch?v=sBD4FekWi4k
 เหมาะ สำหรับ ผู้ที่กำลัง เริ่มต้น สนใจ ในการปฏิบัติธรรม....


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 10 ธันวาคม 2560, 05:33:49
สวัสดี ครับ พี่ๆน้องๆ ชาวซีมะโด่ง กลับมา แล้ว หลังจากที่ ใช้เวลา ในการเรียนรู้ เกียวกับร่างกาย และจิตใจ ของตัวเอง
 ตามธรรมชาติ ที ละเล็ก ละน้อย ค่อยๆเก็บไปเรื่อยๆ ไหนๆ ตัวเราก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วในชาตินี้ อย่าพลาดโอกาส และเสีย
 เวลา ........
                     http://www.youtube.com/watch?v=mnQOXqSBBqQ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 22 ธันวาคม 2560, 21:56:41
เรื่องของความตาย ที่น่าสนใจ ในประเทศจีน ในอดีต
                             http://www.youtube.com/watch?v=HHZjSOjHdck


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 08 เมษายน 2561, 07:05:40
สวัสดี ครับ ชาวซีมะโด่ง และ สมาชิก นานๆ เจอกันสักที  วันนี้นำเสนอเรื่องราว ธรรมชาติ แบบไทย ไทย ที่ ฝรั่งต่างชาติสนใจ
                           http://www.youtube.com/watch?v=Rn4jUCsBWGc


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 21 มิถุนายน 2561, 23:17:06
มาฟัง ธรรมะ กันสักหน่อย  เพื่อสร้างความเข้าใจ พื้นๆ ในธรรมชาติ  ในหัวข้อถ้าเราตายแล้วไปไหน?
                           http://www.youtube.com/watch?v=NlKGr2LWalY


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 13 กรกฎาคม 2561, 00:21:58
คุยธรรมะกันสักหน่อย.........ในหัวข้อเรื่อง ว่า " สมาธิตามคำสอนของพระพุทธเจ้า"  ครับ
                             http://www.youtube.com/watch?v=X1BunKRm4Rw


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 28 กรกฎาคม 2561, 12:27:48
(มุมมอง)  ปัญหาทางโลก กับ คำตอบในทางธรรม ที่ท่านพระอาจารย์ นวลจันทร์ ได้ ให้ ไว้อย่างน่าสนใจ ........
 
                           http://www.youtube.com/watch?v=TOPbES1c_dI


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 07 กันยายน 2561, 23:50:30
 สวัสดี ครับ ชาวหอ ซีมะโด่ง และ สมาชิก
    วันนี้ จะน้ำเสนอ ธรรมะ ที่เข้าใจยากสักหน่อย ก็เหมาะสำหรับ ท่าน ที่สนใจ และ ได้เคยศึกษาธรรมะมาอย่างจริงจัง
    ถึงจะฟังได้เข้าใจ พอสมควร เพราะธรรมะ เป็นอะไรที่ ฟัง และจดจำเพียงแค่นั้นไม่ได้ ต้องปฏิบัติด้วย ตัว เอง เพราะ
ขั้นปรมัตถธรรมแล้ว ไม่สามารถ อธิบายให้ผู้อื่น เข้าใจได้ ต้องรู้ด้วยตัวเองด้วยการปฏิบัติ ไม่แปลก นะครับ ที่ฟังคำสอน
 ของระดับพระอรหันต์แล้วจะไม่เข้าใจ ว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไร แล้ว เป็นจริงเช่นนั้นหรือ?
    ธรรมะของปรมาจารย์ ตั๊กม้อ พระชาวอินเดีย ที่ได้เดินทางไปเผยเเพร่ พุทธศาสนาในจีน และเป็นผู้ก่อตั้งหรือกำเนิด
    วัด เส้าหลิน ที่โด่งดังไปทั่วโลก มาพยายามฟังดู คำสอนของท่าน
                            http://www.youtube.com/watch?v=x1RXi2irLFc


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 27 ตุลาคม 2561, 22:17:30
  สวัสดี  ครับ
                           http://www.youtube.com/watch?v=FhKD7uwe0C4
 emo33:(: emo33:(:
[mthai=640,480http://www.youtube.com/watch?v=FhKD7uwe0C4[/mthai]


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 10 ธันวาคม 2561, 00:03:10
สวัสดี   ครับ
                            http://www.youtube.com/watch?v=UhPeT8BMwHQ


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 24 ธันวาคม 2561, 06:09:29
                           http://www.youtube.com/watch?v=yz6TSShCCBI


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 01 มกราคม 2562, 21:35:32
(http://www.cmadong.com/picup/201401/6639215463521376580660236.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2562, 23:04:50
สวัสดี ครับ วันตรุษจีน
                       http://www.youtube.com/watch?v=JXdyetHITtQ

<iframe width="640" height="480" src="http://www.youtube.com/embed/qar4ypHV3Dc" frameborder="0" gesture="media" allowfullscreen></iframe>


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 10 มีนาคม 2562, 15:00:52
สวัสดี ซีมะโด่ง  ศาสตร์แห่งศาสนาพุทธ ไม่ใช่ รู้ โดยสมอง (ฉลาด) ควรผึกปฎิบัติ ตาม โดย รู้ เข้าไป ในจิต จนเป็น
นิสัย หรือ เกิดเป็นพฤติกรรมแบบ ออร์โตเมติก............
                              http://www.youtube.com/watch?v=3BX-7yuN1PI


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 19 มิถุนายน 2562, 23:31:30
                            http://www.youtube.com/watch?v=NlKGr2LWalY


หัวข้อ: Re: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 19 มิถุนายน 2562, 23:38:59
                            http://www.youtube.com/watch?v=M5S1JTjiS2A