22 พฤษภาคม 2567, 23:34:46
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1] 2 3 ... 16  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง  (อ่าน 106314 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« เมื่อ: 12 มกราคม 2551, 10:14:51 »

เริ่มคนแรก

นายห้างเทียม โชควัฒนา

"แค่หยุดอยู่กับที่ ก็กลายเป็นผู้ล้าหลัง"

อธิบาย :

คนที่ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีการศึกษาสูง คนที่การศึกษาสูง เรียนสูงๆ ปริญญาโท. ปริญญาเอก, เรียนหลังปริญญาเอก (Post Doctor) ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ แต่โอกาสของเขาก็จะมี…
คนที่ไม่ได้เรียนสูงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้เป็นคนที่ไม่มีสติปัญญา ความรู้
…นางห้างเทียม โชควัฒนา เป็นตัวอย่างหนึ่ง
คุณเทียม โชควัฒนา มอบคำคมไว้ให้กับสังคมมากมาย
“ปรัชญาของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จมักจะกล่าวกันว่า นักธุรกิจนั้นต้องเป็นคนของวันพรุ่งนี้ เพราะเพียงแต่เขาเป็นคนของวันนี้ อะไรๆ มันก็สายไปเสียแล้ว”
คนของพรุ่งนี้เป็นคนอย่างไร?
คุณเทียม บอกว่า คนของพรุ่งนี้ต้องเป็นคนทันสมัย
คำว่าทันสมัยนั้นคือ ท่านจะต้องรู้จักอินเตอร์เน็ต เล่นคอมพิวเตอร์เป็น เข้าเว็บไซต์เป็น ฯลฯ
คุณเทียมเคยเล่าว่า ช่วงนั้น หนังกลางแปลงเป็นที่นิยม ลูกน้องที่ทำการตลาดบอกว่าจะทำการตลาดผ่านหนังกลางแปลง คุณเทียมพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “คิดดี ตอนนี้เริ่มกระจายแล้ว คนออกจากบ้านน้อยลง หนังกลางแปลงอาจจะไม่สำเร็จเหมือนปีก่อนๆ ที่เราเคยทำ”
คนทันสมัยไม่พอ…ต้องเป็นคนทันโลก

คัดลอกจาก FM 96.5

วันจันทร์ จะคัดลอก วิธี คิด ของ คุณ อดิเรก  ศรีปทุมรักษ์ ประธานบริหาร CPF หัวหน้าใครหว่า??

ป้อม
บันทึกการเข้า
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #1 เมื่อ: 14 มกราคม 2551, 12:41:52 »

ขอเลื่อนของคุณ อดิเรก มา Post ข้อคิดเรื่องกาแฟ

ที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แห่งหนึ่งของสยามประเทศ บรรดาศิษย์เก่าที่จบจากสถาบันนี้ แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพมีชื่อเสียงในวงสังคมตามวงการต่างๆ มากมาย มีทั้งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และที่กระท่อนกระแท่นยังดิ้นรนอยู่ในหน้าที่การงานก็เยอะ
 
เนื่องในวาระที่อาจารย์พ่อซึ่งเป็นที่เคารพของศิษย์เก่าทุกคน เกษียณอายุ บรรดาศิษย์เก่าจึงถือเป็นโอกาสดีที่จะกลับไปเยี่ยมสถาบัน เพื่อเลี้ยงสังสรรค์และรำลึกถึงอาจารย์พ่อ
 
หลังจากกินเลี้ยงกันมาได้พักใหญ่ วงสนทนาก็เริ่มเปลี่ยน ไปเป็นการบ่นพร่ำเกี่ยวกับความเครียด ในการทำงานและปัญหาชีวิต แต่ละคน มีปัญหาแตกต่างกันออกไปมากบ้างน้อยบ้าง อาจารย์พ่อฟังปัญหาของลูกศิษย์ทุกคนอย่างตั้งใจ รับฟังโดยไม่มีคำวิจารณ์ หรือนำเสนอความเห็นของอาจารย์เลยแม้แต่น้อย
 
เมื่อฟังปัญหาของลูกศิษย์จบทุกคน อาจารย์พ่อเสนอเลี้ยงกาแฟกลุ่มลูกศิษย์เก่า ท่านเดินเข้าไปในครัว และออกมาพร้อมกับกาแฟเหยือกโตและถ้วยกาแฟ แบบต่างๆ บ้างเป็นถ้วยกระเบื้องบ้าง เป็นถ้วยพลาสติก และบ้างทำด้วยแก้ว มีถ้วยกาแฟหลายใบที่เป็นแบบพื้นๆ ธรรมดา บางใบ สวยวิจิตรสูงค่า
 
" อาจารย์ ชงกาแฟใส่เหยือกมาให้แล้ว พวกเธอจัดการรินใส่แก้วดื่มกันเองนะ" บรรดาลูกศิษย์ มองถ้วยกาแฟหลากหลาย ด้วยความสนใจ แล้วพากันเลือกถ้วยกาแฟพร้อมๆ กับรินกาแฟออกมาจากเหยือกใส่ถ้วยต่างกันออกไปเอามือไว้
 
เมื่อลูกศิษย์ทุกคนต่างมีถ้วยกาแฟในมือกันทุกคน แล้วอาจารย์พ่อ กล่าวว่า
" ลองดูถ้วยกาแฟในมือของพวกเธอ กับถ้วยกาแฟที่เหลืออยู่ในถาดซึ่งไม่มีคนเลือกสิ "
" สังเกตกันรึเปล่า.... ถ้วยสวย ๆ แพง ๆ ถูกเลือกไปหมด เหลือไว้แต่ถ้วยแบบธรรมดาราคาถูก "
" เป็นเรื่องปกติ...ที่พวกเรามักจะเลือก สิ่งที่ดีที่สุดโดยลืมคิดถึงความต้องการที่แท้จริงของเราและ นี่คือที่มาของความเครียดและปัญหาทั้งหลายในชีวิต "
 
" ความจริงวันนี้สิ่ง ที่พวกเราต้องการแท้จริงคือกาแฟ ไม่ใช่ถ้วยกาแฟ แต่จิตสำนึกกลับ นำพาเราไปเลือกที่ถ้วย มิหนำซ้ำยังคอยชำเลืองมองถ้วยของคนอื่นๆ อีกด้วย
 
หากชีวิตคือกาแฟ หน้าที่การงาน ตำแหน่งต่างๆ ในสังคม ก็คือ ถ้วยกาแฟ มันเป็นเพียงเครื่องมือ อุปกรณ์ช่วยหยิบจับหรือประคองชีวิตของเรา มันไม่ได้ทำให้เนื้อหาจริงๆ ของชีวิต เปลี่ยนไป บางครั้ง....การมัวเพ่งที่ถ้วยใส่กาแฟ มันก็จะทำให้เราลืมใส่ใจกับรสชาติของตัวกาแฟ "
 
" ถ้ารู้จักชีวิตที่แท้จริง....ของหรือตำแหน่งหน้าที่ มันก็แค่ส่วนเคลือบ ไม่ใช่เนื้อหาหรือแก่นแท้ที่สำคัญของชีวิต"
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2 เมื่อ: 14 มกราคม 2551, 14:52:20 »

Nong,
this text was too late...I used to read it from room 43!!
nice to read it again...
visit room 43 you'll see what a professional means!
they are a sien nian folk...
p.head of
บันทึกการเข้า


wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #3 เมื่อ: 16 มกราคม 2551, 07:48:00 »

เมื่อนักการเงิน ร่ำสุราก็เอ่ยคำว่า

"ให้มีเงินพอซื้อเบียร์กินได้ ก็อย่าเป็นหนี้เพื่อซื้อแชมเปญ"
บันทึกการเข้า
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #4 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 08:05:51 »

คุณบัณฑูรตั้งชื่อเรื่องว่า “ใจ..เอ๋ย..ใจ” โดยขึ้นต้นว่า “จิตของมนุษย์เป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญที่สุดที่จะนำพาชีวิตของมนุษย์นั้นไปสู่ความเจริญก้าวหน้า หรือไปสู่ความเสื่อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวหรือเรื่องธุรกิจการงาน...”

คุณบัณฑูรเขียนเตือนว่า “สิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่ควรละเลยที่จะทำคือ การจัดการกับจิต ของตนเอง เพราะคุณลักษณะของจิตนั้นเอง จะกำกับให้มนุษย์ทำอะไร ออกไปหรือลงไป ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีบ้างและผลเลวบ้าง

มนุษย์ทั้งหลายล้วนอยากจะทำให้ได้ผลดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นทุกครั้งไปไม่ ก็เพราะจิตของตนเองนั้น ยิ่งกว่าปัจจัยอื่นใด...”

คุณบัณฑูรแนะนำว่า “การจัดการกับจิตใจให้ได้ประสิทธิผลนั้น มีข้อสังเกตพึงคำนึง 2 ข้อคือ

1. จิตที่ไม่เข้มแข็งนั้น ไม่สามารถนำพามนุษย์ไปสู่การกระทำที่เป็นผลสำเร็จได้เลย จิตที่เข้มแข็งนั้นจะต้องมีความแน่วแน่ชัดเจน มีความเพียร ไม่ย่อท้อ และมี ความมั่นใจ แทนที่จะวอกแวก อยู่ในความโลเล ความกังขา หรือความกลัว กันไม่จบสิ้น

กิจอันมีความหมายทั้งหลายของมนุษย์นั้น ล้วนยากเย็น การที่จะฟันฝ่าไปให้บรรลุถึงเป้าหมาย นั้น ย่อมจะต้องได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง จากจิตที่ได้พัฒนาให้เข้มแข็งแล้วนั้น

2. อย่างไรก็ดี จิตที่เข้มแข็งนั้น ก็อาจจะเป็นอันตรายมหันต์ต่อจิต และผู้เป็นเจ้าของจิตเอง หากจิตนั้นถูกครอบงำด้วย โทสะจริต (ความโกรธ) โลภะจริต (ความอยากได้) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โมหะจริต (ความหลง) และครอบงำในดีกรีที่เลยเถิดเกินไป (เพราะจริงๆแล้ว จิตของทุกคนก็ถูกครอบงำด้วยจริต ทั้งสามนี้ในบางดีกรีด้วยกันทั้งนั้น)

จากคุณบันฑูร ล่ำซำ
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 08:15:14 »

แยะจัง เมื่อยตา

ป้าหมีสรุปให้ละกันนะหลานรัก

"สติมาปัญญาเกิด" ค่ะ
บันทึกการเข้า
akenui
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 3,092

« ตอบ #6 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 08:33:05 »

^
ฮิฮิ ขำหมีตอบจัง สรุปได้เยี่ยมไปเลยไอ้น้เอง ไม่กี่คำเอง
บันทึกการเข้า

สุดจะทน ก็ต้องทน
newstar
Cmadong พันธุ์แท้
****


Normal Man
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2532
คณะ: บัญชี'ถิติ
กระทู้: 2,978

« ตอบ #7 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 10:51:20 »

ป้อม ขออนุญาตแก้ไขนามสกุลของ คุณอดิเรก แห่ง CPF ครับ นามสกุล ศรีประทักษ์ ไม่ใช่ ศรีปทุมรักษ์ ครับ
บันทึกการเข้า
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #8 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 11:03:41 »

อ้างจาก: "newstar"
ป้อม ขออนุญาตแก้ไขนามสกุลของ คุณอดิเรก แห่ง CPF ครับ นามสกุล ศรีประทักษ์ ไม่ใช่ ศรีปทุมรักษ์ ครับ


พอดีวางยาไว้รอให้ อดิเรก การีโรจน์ มาแก้ แต่มันไม่มาสงสัยมันฝากเพื่อนมา
บันทึกการเข้า
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #9 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 11:14:42 »

พี่หนิงเคยถาม มาแล้วคุณใหญ่ตอบ ป้อมเสริม


การใช้สื่อของวิกรมนั้น ผมไม่ได้พูดถึงประเด็นสำคัญ นั่นคือหนังสือประวัติชีวิตเล่มแรกของเขา หนังสือเล่มนั้นคือ “ผมจะเป็นคนดี”

ครั้งแรกที่ผมได้สัมภาษณ์วิกรมเมื่อประมาณกลางปี 2547 นั้น ผมไม่ได้เคยพบเขามาก่อน ความรู้เกี่ยวกับตัวเขาค่อนข้างน้อย ตอนนั้นเขายังไม่โด่งดังเป็นพลุแตกเฉกเช่นทุกวันนี้

เขาเพิ่งสึกไม่นาน หลังจากบวชอยู่กี่เดือนผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน

ก่อนวันที่สัมภาษณ์ ผมได้อ่านหนังสืออัตชีวประวัติฉบับแรกของเขาที่ชื่อ “ผมจะเป็นคนดี”

หนังสือเล่มนี้เป็น autobiography ที่แปลกที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมา เพราะเปิดฉากมาก็เป็นบทที่ว่าด้ายเขาบึ่งรถกลับบ้านที่เมืองกาญจน์เพื่อเปิดศึกกับพ่อ ถึงขนาดเอาเป็นเอาตายทีเดียว

เรื่องราวแบบนี้ ฝรั่งเรียกว่า “โครงกระดูกในตู้” หมายความว่าเป็นเรื่องลับในครอบครัวที่เก็บเอาไว้ไม่เล่าให้ฟัง

ผมใช้คำว่า “เล่า” หมายถึงการพูดโดยผ่านปากให้บุคคลที่ 3 ฟัง ซึ่งขนาดเล่าก็ไม่ทำกันแล้ว อย่าว่าจะเขียนให้คนทั้งประเทศอ่าน

หนังสือเล่มนี้เกือบครึ่งเล่ม เขียนถึงความขัดแย้งและปมในใจที่เขามีต่อพ่อ ซึ่งผมคิดว่าน้อยคนจะกล้าเขียนออกมาแบบถึงกึ๋นขนาดนี้ เพราะในสังคมไทยจะถือกัน ทำให้ผมแปลกใจมากๆ เพราะวิกรม ในสายตาของผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์เอามากๆ ข่าวไม่ดีของเขาไม่ค่อยหลุดออกมา แล้วทำไม จู่ๆถึงได้เขียนหนังสือออกมาได้ เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้หลายคนเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนพีอาร์ทั้งหลายที่เอาคงร้องเสียงหลง

“ผมจะเป็นคนดี” สร้างปรากฏการณ์การเขียนประวัติชีวิตตนเอง ที่เอาความจริงมาตีแผ่ ไม่ใช่เขียนเอง เออเอง มีแต่ความดีทุกกระเบียดนิ้ว เพราะมนุษย์ทุกผู้นาม ไม่ดีใครดีหมดและชั่วหมดอยู่แล้ว

“ผมจะเป็นคนดี” ได้ Branding วิกรมว่าเขาเป็นผู้ประกอบการที่กล้าพูดความจริง เพราะขนาดเรื่องที่คนทั่วๆไปไม่กล้าพูดถึงมากที่สุด เขายังนำมาเปิดฉากหนังสือหน้าแรกของเขานั้น ทำให้ผู้อ่านต้องคิดว่าเขาเป็นคนเปิดเผย มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ คนที่เคยคุยกับเขา “นอกรอบ” จะรู้ดีว่าเขาเป็นคน “ตรงมาก”

ประวัติชีวิตเล่มแรกของเขาเรียบเรียงโดย ประภัสสร เสวิกุล นักเขียนรางวัลซีไรท์ ซึ่งคุ้นเคยกับชีวิตเจ้าสัวไทยเป็นอย่างดี เพราะเขาคือผู้เขียนนิยายเรื่อง “ลอดลายมังกร” ซึ่งว่ากันว่าเป็นการนำเอาชีวิตของนายห้างเทียมกับนายห้างชินมาผสมกัน

ดังนั้นต้องถือว่าวิกรมพิถีพิถันและเลือกถูกคน

“ผมจะเป็นคนดี” เล่มแรกทำเป็นพ็อกเก็ตบุ้กส์ขนาดมาตรฐาน ขาย 200 กว่าบาท ขายดีมาก วิกรมกันไว้แจกหลายพันเล่ม แจกให้คนหนุ่มๆที่ผิดพลาดในชีวิตจนต้องติดคุกติดตะราง

“ผมอยากจะสร้างลายแทงชีวิตให้กับคนที่กำลังเดินอยู่ พวกหนุ่มๆ ทั้งหลาย อยากให้เซฟเวลา ในการที่พวกเขาต้องเดินให้มันเซฟ ลดต้นทุนชีวิต เมื่อลดต้นทุนชีวิตได้ สังคมก็จะเข้มแข็ง เพราะว่าไม่ไปเสียโดยใช่เหตุ

อันที่สอง ผมอยากให้ความผิดพลาดของเขาน้อย เพราะการที่เขาผิดพลาดยิ่งน้อย ปัญหาของสังคมก็ยิ่งต่ำ อันนั้นคือประเด็นที่ผมนั้นตอนเด็กๆ เราอยากจะได้ในสิ่งที่เรากำลังจะให้ เพราะตอนนั้นเราไม่มี ตอนที่ไม่มีเราโหยหา เราต้องการ เรารู้คุณค่าของมัน แต่เมื่อเรามี เราต้องมาผลิต เราต้องมาถ่ายทอด เราต้องมาส่งต่อ เพราะเราถือว่านี่คือหน้าที่”

“ผมจะเป็นคนดี” ฉบับสมบูรณ์ยังไม่พิมพ์ แต่ทยอยตีพิมพ์ตามหนังสือพิมพ์และนิตยสารบางเล่ม

วิกรมวางแผนจะออกหนังสือปีละ 3 เล่ม ตอนนี้ออกได้ 4-5 เล่มได้แล้ว

เล่มสุดท้ายของเขาวางพล็อตเอาไว้แล้ว

“ ผมก็ตั้งชื่อเรื่องไว้แล้ว “เมื่อวันนั้นมาถึง” ผมจะเขียนต่อเมื่อผมนั่งอยู่บนเตียงแล้ว ผมจะหยิบปากกาเขียน ปากกาเล่มนั้นจะเขียนหมึกหยดสุดท้ายจะไปหยดจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย

ผมอยากจะบอกคนในโลกนี้ที่ยังหายใจอยู่ให้รู้ว่านี่คือวันของมัน และก่อนที่จะไปถึงวันของมันในช่วงนั้น ตาแก่คนหนึ่งจะเจออะไร มีความนึกคิดอะไรที่กำลังจะเดินไปข้างหน้า ผมรู้สึกอะไรตอนนั้น ผมมองเห็นอะไรตอนนั้น และคิดอะไรตอนนั้น
และอยากจะบอกอะไรตอนนั้น ผมจะบอกออกมาเป็นหนังสือเล่มนั้นให้หมดเลย เล่มสุดท้าย”

คัดลอกจาก FM 96.5
หาอ่านเพิ่มได้ใน http://thaicoon.wordpress.com/

ป้อม
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 11:25:54 »

ยาวจัง  ไว้มีเวลามากกว่านี้ จะมาสรุปประเด็นให้นะ

อ่าน ม่าย หวาย ย ย ย  ตัวมันเล็กน่ะ
บันทึกการเข้า
akenui
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 3,092

« ตอบ #11 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 12:33:57 »

รออ่านสรุปจากหมีดีกั่ว
บันทึกการเข้า

สุดจะทน ก็ต้องทน
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #12 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 12:41:34 »

นุ้ย แก่แล้วใช้ศัพท์ วัยรุ่น น๊ะคุณ
บันทึกการเข้า
yai
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,489

« ตอบ #13 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 13:42:25 »

อ้างจาก: "wirat"
พี่หนิงเคยถาม มาแล้วคุณใหญ่ตอบ ป้อมเสริม


การใช้สื่อของวิกรมนั้น ผมไม่ได้พูดถึงประเด็นสำคัญ นั่นคือหนังสือประวัติชีวิตเล่มแรกของเขา หนังสือเล่มนั้นคือ “ผมจะเป็นคนดี”

ครั้งแรกที่ผมได้สัมภาษณ์วิกรมเมื่อประมาณกลางปี 2547 นั้น ผมไม่ได้เคยพบเขามาก่อน ความรู้เกี่ยวกับตัวเขาค่อนข้างน้อย ตอนนั้นเขายังไม่โด่งดังเป็นพลุแตกเฉกเช่นทุกวันนี้

เขาเพิ่งสึกไม่นาน หลังจากบวชอยู่กี่เดือนผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน

ก่อนวันที่สัมภาษณ์ ผมได้อ่านหนังสืออัตชีวประวัติฉบับแรกของเขาที่ชื่อ “ผมจะเป็นคนดี”

หนังสือเล่มนี้เป็น autobiography ที่แปลกที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมา เพราะเปิดฉากมาก็เป็นบทที่ว่าด้ายเขาบึ่งรถกลับบ้านที่เมืองกาญจน์เพื่อเปิดศึกกับพ่อ ถึงขนาดเอาเป็นเอาตายทีเดียว

เรื่องราวแบบนี้ ฝรั่งเรียกว่า “โครงกระดูกในตู้” หมายความว่าเป็นเรื่องลับในครอบครัวที่เก็บเอาไว้ไม่เล่าให้ฟัง

ผมใช้คำว่า “เล่า” หมายถึงการพูดโดยผ่านปากให้บุคคลที่ 3 ฟัง ซึ่งขนาดเล่าก็ไม่ทำกันแล้ว อย่าว่าจะเขียนให้คนทั้งประเทศอ่าน

หนังสือเล่มนี้เกือบครึ่งเล่ม เขียนถึงความขัดแย้งและปมในใจที่เขามีต่อพ่อ ซึ่งผมคิดว่าน้อยคนจะกล้าเขียนออกมาแบบถึงกึ๋นขนาดนี้ เพราะในสังคมไทยจะถือกัน ทำให้ผมแปลกใจมากๆ เพราะวิกรม ในสายตาของผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์เอามากๆ ข่าวไม่ดีของเขาไม่ค่อยหลุดออกมา แล้วทำไม จู่ๆถึงได้เขียนหนังสือออกมาได้ เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้หลายคนเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนพีอาร์ทั้งหลายที่เอาคงร้องเสียงหลง

“ผมจะเป็นคนดี” สร้างปรากฏการณ์การเขียนประวัติชีวิตตนเอง ที่เอาความจริงมาตีแผ่ ไม่ใช่เขียนเอง เออเอง มีแต่ความดีทุกกระเบียดนิ้ว เพราะมนุษย์ทุกผู้นาม ไม่ดีใครดีหมดและชั่วหมดอยู่แล้ว

“ผมจะเป็นคนดี” ได้ Branding วิกรมว่าเขาเป็นผู้ประกอบการที่กล้าพูดความจริง เพราะขนาดเรื่องที่คนทั่วๆไปไม่กล้าพูดถึงมากที่สุด เขายังนำมาเปิดฉากหนังสือหน้าแรกของเขานั้น ทำให้ผู้อ่านต้องคิดว่าเขาเป็นคนเปิดเผย มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ คนที่เคยคุยกับเขา “นอกรอบ” จะรู้ดีว่าเขาเป็นคน “ตรงมาก”

ประวัติชีวิตเล่มแรกของเขาเรียบเรียงโดย ประภัสสร เสวิกุล นักเขียนรางวัลซีไรท์ ซึ่งคุ้นเคยกับชีวิตเจ้าสัวไทยเป็นอย่างดี เพราะเขาคือผู้เขียนนิยายเรื่อง “ลอดลายมังกร” ซึ่งว่ากันว่าเป็นการนำเอาชีวิตของนายห้างเทียมกับนายห้างชินมาผสมกัน

ดังนั้นต้องถือว่าวิกรมพิถีพิถันและเลือกถูกคน

“ผมจะเป็นคนดี” เล่มแรกทำเป็นพ็อกเก็ตบุ้กส์ขนาดมาตรฐาน ขาย 200 กว่าบาท ขายดีมาก วิกรมกันไว้แจกหลายพันเล่ม แจกให้คนหนุ่มๆที่ผิดพลาดในชีวิตจนต้องติดคุกติดตะราง

“ผมอยากจะสร้างลายแทงชีวิตให้กับคนที่กำลังเดินอยู่ พวกหนุ่มๆ ทั้งหลาย อยากให้เซฟเวลา ในการที่พวกเขาต้องเดินให้มันเซฟ ลดต้นทุนชีวิต เมื่อลดต้นทุนชีวิตได้ สังคมก็จะเข้มแข็ง เพราะว่าไม่ไปเสียโดยใช่เหตุ

อันที่สอง ผมอยากให้ความผิดพลาดของเขาน้อย เพราะการที่เขาผิดพลาดยิ่งน้อย ปัญหาของสังคมก็ยิ่งต่ำ อันนั้นคือประเด็นที่ผมนั้นตอนเด็กๆ เราอยากจะได้ในสิ่งที่เรากำลังจะให้ เพราะตอนนั้นเราไม่มี ตอนที่ไม่มีเราโหยหา เราต้องการ เรารู้คุณค่าของมัน แต่เมื่อเรามี เราต้องมาผลิต เราต้องมาถ่ายทอด เราต้องมาส่งต่อ เพราะเราถือว่านี่คือหน้าที่”

“ผมจะเป็นคนดี” ฉบับสมบูรณ์ยังไม่พิมพ์ แต่ทยอยตีพิมพ์ตามหนังสือพิมพ์และนิตยสารบางเล่ม

วิกรมวางแผนจะออกหนังสือปีละ 3 เล่ม ตอนนี้ออกได้ 4-5 เล่มได้แล้ว

เล่มสุดท้ายของเขาวางพล็อตเอาไว้แล้ว

“ ผมก็ตั้งชื่อเรื่องไว้แล้ว “เมื่อวันนั้นมาถึง” ผมจะเขียนต่อเมื่อผมนั่งอยู่บนเตียงแล้ว ผมจะหยิบปากกาเขียน ปากกาเล่มนั้นจะเขียนหมึกหยดสุดท้ายจะไปหยดจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย

ผมอยากจะบอกคนในโลกนี้ที่ยังหายใจอยู่ให้รู้ว่านี่คือวันของมัน และก่อนที่จะไปถึงวันของมันในช่วงนั้น ตาแก่คนหนึ่งจะเจออะไร มีความนึกคิดอะไรที่กำลังจะเดินไปข้างหน้า ผมรู้สึกอะไรตอนนั้น ผมมองเห็นอะไรตอนนั้น และคิดอะไรตอนนั้น
และอยากจะบอกอะไรตอนนั้น ผมจะบอกออกมาเป็นหนังสือเล่มนั้นให้หมดเลย เล่มสุดท้าย”

คัดลอกจาก FM 96.5
หาอ่านเพิ่มได้ใน http://thaicoon.wordpress.com/

ป้อม


ไม่ใช่วะ ผมถึงงง ตอนที่เป้เขียนว่าผมจะเป็นคนดีหรือเปล่า
นึกว่าแซว
เล่มที่ผมอ่านมันเล่มละ 100 บาท
แต่จำชื่อไม่ได้ชัด ประมาณว่า ชีวิตวัยเยาว์ อะไรประมาณนั้น
ประภัสสร   เสวิกุล ช่วยเรียบเรียงให้
แล้วมีใครมาเขียนคำนำให้อีกคน
เดี๋ยวกลับไปอ่านแล้วมาโพสต์ใหม่
บันทึกการเข้า
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 16:36:29 »

อ้างจาก: "wirat"
คุณบัณฑูรตั้งชื่อเรื่องว่า “ใจ..เอ๋ย..ใจ” โดยขึ้นต้นว่า “จิตของมนุษย์เป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญที่สุดที่จะนำพาชีวิตของมนุษย์นั้นไปสู่ความเจริญก้าวหน้า หรือไปสู่ความเสื่อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวหรือเรื่องธุรกิจการงาน...”

คุณบัณฑูรเขียนเตือนว่า “สิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่ควรละเลยที่จะทำคือ การจัดการกับจิต ของตนเอง เพราะคุณลักษณะของจิตนั้นเอง จะกำกับให้มนุษย์ทำอะไร ออกไปหรือลงไป ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีบ้างและผลเลวบ้าง

มนุษย์ทั้งหลายล้วนอยากจะทำให้ได้ผลดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นทุกครั้งไปไม่ ก็เพราะจิตของตนเองนั้น ยิ่งกว่าปัจจัยอื่นใด...”

คุณบัณฑูรแนะนำว่า “การจัดการกับจิตใจให้ได้ประสิทธิผลนั้น มีข้อสังเกตพึงคำนึง 2 ข้อคือ

1. จิตที่ไม่เข้มแข็งนั้น ไม่สามารถนำพามนุษย์ไปสู่การกระทำที่เป็นผลสำเร็จได้เลย จิตที่เข้มแข็งนั้นจะต้องมีความแน่วแน่ชัดเจน มีความเพียร ไม่ย่อท้อ และมี ความมั่นใจ แทนที่จะวอกแวก อยู่ในความโลเล ความกังขา หรือความกลัว กันไม่จบสิ้น

กิจอันมีความหมายทั้งหลายของมนุษย์นั้น ล้วนยากเย็น การที่จะฟันฝ่าไปให้บรรลุถึงเป้าหมาย นั้น ย่อมจะต้องได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง จากจิตที่ได้พัฒนาให้เข้มแข็งแล้วนั้น

2. อย่างไรก็ดี จิตที่เข้มแข็งนั้น ก็อาจจะเป็นอันตรายมหันต์ต่อจิต และผู้เป็นเจ้าของจิตเอง หากจิตนั้นถูกครอบงำด้วย โทสะจริต (ความโกรธ) โลภะจริต (ความอยากได้) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โมหะจริต (ความหลง) และครอบงำในดีกรีที่เลยเถิดเกินไป (เพราะจริงๆแล้ว จิตของทุกคนก็ถูกครอบงำด้วยจริต ทั้งสามนี้ในบางดีกรีด้วยกันทั้งนั้น)

จากคุณบันฑูร ล่ำซำ


จะพยายามทำ...จิตที่เข้มแข็ง บางทีมีอะไรนิดหน่อยมากวนใจ จิตก็อ่อนแอลง...สู้เว้ย! ขอบคุณนะคะที่นำข้อคิดดีๆ มาแชร์  Cheesy
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

yai
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,489

« ตอบ #15 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 16:45:17 »

อ้างจาก: "iamfrommoon"
อ้างจาก: "wirat"
คุณบัณฑูรตั้งชื่อเรื่องว่า “ใจ..เอ๋ย..ใจ” โดยขึ้นต้นว่า “จิตของมนุษย์เป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญที่สุดที่จะนำพาชีวิตของมนุษย์นั้นไปสู่ความเจริญก้าวหน้า หรือไปสู่ความเสื่อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวหรือเรื่องธุรกิจการงาน...”

คุณบัณฑูรเขียนเตือนว่า “สิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่ควรละเลยที่จะทำคือ การจัดการกับจิต ของตนเอง เพราะคุณลักษณะของจิตนั้นเอง จะกำกับให้มนุษย์ทำอะไร ออกไปหรือลงไป ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีบ้างและผลเลวบ้าง

มนุษย์ทั้งหลายล้วนอยากจะทำให้ได้ผลดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นทุกครั้งไปไม่ ก็เพราะจิตของตนเองนั้น ยิ่งกว่าปัจจัยอื่นใด...”

คุณบัณฑูรแนะนำว่า “การจัดการกับจิตใจให้ได้ประสิทธิผลนั้น มีข้อสังเกตพึงคำนึง 2 ข้อคือ

1. จิตที่ไม่เข้มแข็งนั้น ไม่สามารถนำพามนุษย์ไปสู่การกระทำที่เป็นผลสำเร็จได้เลย จิตที่เข้มแข็งนั้นจะต้องมีความแน่วแน่ชัดเจน มีความเพียร ไม่ย่อท้อ และมี ความมั่นใจ แทนที่จะวอกแวก อยู่ในความโลเล ความกังขา หรือความกลัว กันไม่จบสิ้น

กิจอันมีความหมายทั้งหลายของมนุษย์นั้น ล้วนยากเย็น การที่จะฟันฝ่าไปให้บรรลุถึงเป้าหมาย นั้น ย่อมจะต้องได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง จากจิตที่ได้พัฒนาให้เข้มแข็งแล้วนั้น

2. อย่างไรก็ดี จิตที่เข้มแข็งนั้น ก็อาจจะเป็นอันตรายมหันต์ต่อจิต และผู้เป็นเจ้าของจิตเอง หากจิตนั้นถูกครอบงำด้วย โทสะจริต (ความโกรธ) โลภะจริต (ความอยากได้) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โมหะจริต (ความหลง) และครอบงำในดีกรีที่เลยเถิดเกินไป (เพราะจริงๆแล้ว จิตของทุกคนก็ถูกครอบงำด้วยจริต ทั้งสามนี้ในบางดีกรีด้วยกันทั้งนั้น)

จากคุณบันฑูร ล่ำซำ


จะพยายามทำ...จิตที่เข้มแข็ง บางทีมีอะไรนิดหน่อยมากวนใจ จิตก็อ่อนแอลง...สู้เว้ย! ขอบคุณนะคะที่นำข้อคิดดีๆ มาแชร์  Cheesy


ความรักหรือเปล่า
ตกลง ความรักดีไหมเนี่ยะ
บันทึกการเข้า
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #16 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 18:19:24 »

เคล็ดลับของผู้ยิ่งใหญ่

จงอยู่เบื้องหลังและเก็บเนื้อเก็บตัว


มนุษย์ในโลกตะวันตกเชื่อเรื่องการสร้างชื่อ การสร้างแบรนด์ การทำตัวให้โดดเด่น
ส่งผลให้ฝรั่งชอบทำตัวเป็นคนดัง เปิดเผยตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ในสาขาวิชาชีพใดก็ตาม ในระยะหลังซีอีโอและเจ้าของกิจการก็เกือบจะกลายเป็นดาราไปแล้ว เพียงแต่เวทีของพวกเขาก็คือหนังสือพิมพ์ นิตยสารและทีวี ที่นำเสนอเรื่องราวทางธุรกิจ
ขณะที่นักธุรกิจจีนรุ่นลายครามจะมีแนวความคิดตรงกันข้าม นั่นคือจะเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่โชว์ออฟ ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์สื่อทุกชนิดทั้งที่ธุรกิจของพวกเขาต้องเกี่ยวข้องกับมวลชนส่วนใหญ่ของประเทศ
Tycoon ระดับมังกรยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาทำตัวราวกับมังกรจำศีล น้อยครั้งนักจะให้สัมภาษณ์
ธนินท์ เจียรวนนท์ มังกรในมังกร นานๆครั้งจะให้สัมภาษณ์สักครั้ง หลังวิกฤตพบสื่อถี่หน่อย ทว่าให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการเพียงปีละครั้ง
พวกเขาถือคติตามคัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง(บทที่ 56) ว่า
ผู้รู้ ไม่พูด…
ผู้พูด ไม่รู้…
สะกดความรู้สึก…
ปิดใจ…
ซ่อนคม…
งำประกาย…
คลุกดิน…
เจริญ เจริญรอยตามคำภีร์เต๋า เต็ก เก็ง ซึ่งถือเป็นคัมภีร์มังกร ด้วยเช่นกัน
อย่าว่าแต่จะการนัดสัมภาษณ์ กระทั่งการปรากฏตัวต่อสาธารณชนก็นับครั้งได้
เขาบำเพ็ญตนเป็นมังกรซ่อนกาย
ดำเนินการอยู่เบื้องหลัง
เน้นประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากกว่าอยากดัง
อย่างไรก็ตามระยะหลังเขาปรากฏกายบนเวทีเสวนามากขึ้นพร้อมๆกับธนินท์และบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ซึ่งอาจเป็นเพราะได้รับการร้องขอจากผู้ใหญ่
เจริญถึงกับควงลูกและภรรยามางานซีอีโอที่ตลาดหลักทรัพย์จัดขึ้น
เมื่อธุรกิจบริษัทเบียร์ช้างของเขากำลังจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เขาต้องโปร่งใสและเปิดกับสาธารณชนมากยิ่งขึ้น
ทว่าเจริญก็ยังเป็นเจริญคนเดิม
มังกรซ่อนกาย
บันทึกการเข้า
Tritti_83
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,481

เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 18:24:43 »

รบกวนถามพี่ๆหน่อยครับตอนนี้สับสนระหว่างคำว่าประสิทธิผลกับประสิทธิภาพว่าต่างกันยังไงครับ...
บันทึกการเข้า
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #18 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 18:38:07 »

ถ้าพี่มั่วไม่ผิดน๊ะ

ประสิทธิผล เป็น Out come เน้นผลสำเร็จ
ประสิทธิภาพ เป็น Efficiency เน้นที่แต่ละกระบวนการ

ตอนนี้ พี่ อยู่ฝ่าย ขาย เลยห่างไปมาก น้องรอ พรุ่งนี้ พี่ใหญ่ ยัง อยู่โรงงาน จะบอกเขามาบอก
บันทึกการเข้า
akenui
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 3,092

« ตอบ #19 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 18:52:00 »

บู หมี เก่งจังเลย  พี่นุ้ยขอปรบมือให้ :idea:
บันทึกการเข้า

สุดจะทน ก็ต้องทน
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #20 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 18:53:54 »

เก่งอะไร งง งง  :shock:  :shock:  :shock:
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #21 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 18:57:15 »

อ้างจาก: "akenui"
บู หมี เก่งจังเลย  พี่นุ้ยขอปรบมือให้ :idea:


ข้าน้อยมิบังอาจ
บันทึกการเข้า
akenui
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 3,092

« ตอบ #22 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 19:00:36 »

อ้าว ลบ ทำไมอะ
บันทึกการเข้า

สุดจะทน ก็ต้องทน
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #23 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 19:01:19 »

เถ้าแก่

แล้วมีใครเห็นข้อความบ้างหรือเปล่า
บันทึกการเข้า
akenui
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 3,092

« ตอบ #24 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 19:07:19 »

ไม่รู้สิ คิดว่าไม่มีนะ มั่นใจ 95%
บันทึกการเข้า

สุดจะทน ก็ต้องทน
  หน้า: [1] 2 3 ... 16  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><