15 พฤษภาคม 2567, 07:46:37
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: "ข่าวดี มีแหล่งฝากเงินใหม่ แต่มีความเสี่ยง ไม่ต้องง้อแบ๊งค์ที่ให้ดอกเบี้ยน้อย"  (อ่าน 4672 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 01 กันยายน 2552, 15:52:39 »


บิ๊กอสังหาฯ แก้เกมแบงก์เข้ม หันออก หุ้นกู้ แทน กู้แบงก์โดย : สุกัญญา สินถิรศักดิ์



นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

 ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผยเทรนด์แหล่งเงินทุนบิ๊กอสังหาฯ หันออกหุ้นกู้ หลังแบงก์เข้ม

พร้อมระบุ แนวโน้มครึ่งปีหลังโอกาสเป็นบวก สินเชื่อรายย่อยดี

นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า

แนวโน้มการหาเม็ดเงินลงทุนของผู้ประกอบการในช่วง 2-3 ปีมานี้

เน้นการออกหุ้นกู้มากขึ้น โดยเห็นได้จากสัดส่วนของมูลค่าหุ้นกู้ในแต่ละปี

ของบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เพิ่มสูงขึ้น สะท้อนได้จากตัวเลขย้อนหลังตั้งแต่ปี 2548

การออกหุ้นกู้ของบริษัทยักษ์ใหญ่มีมูลค่าน้อยมาก ประมาณ 13,900 ล้านบาท

ต่อมาในปี 2549 ขยับขึ้นเท่าตัวเป็น 39,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 59,492 ล้านบาท

ในปี 2550  และในปี 2551 ที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้นเป็น 65,926 ล้านบาท

รวมถึง ตัวเลขล่าสุดในช่วงครึ่งปีแรกปี 2552 มีมูลค่าอยู่ที่ 35,110 ล้านบาท ก็เพิ่มสูงขึ้น

จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 31,103 ล้านบาท

ขณะที่สัดส่วนการกู้เงินของโครงการต่างๆ ผ่านสถาบันการเงินกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง

โดยในครึ่งปีแรก 2552 มีมูลค่าอยู่ที่ 22,842 ล้านบาท ลดลงสูงถึง 37% เมื่อเทียบกับ

ช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ครึ่งปีแรก 2551) ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 36,482 ล้านบาท และ

หากย้อนหลังไปดูตัวเลขของครึ่งปีแรก 2550 มีมูลค่าอยู่ที่ 31,448 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาภาพรวมการลงทุนจากแหล่งเงินทั้งสองแล้ว จะพบว่า

การลงทุนไม่ได้ลดลงเลย แต่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอ

โดย ผอ.ศูนย์ข้อมูลฯ ระบุว่า ตัวเลขการลงทุนรวม 2 ช่องทาง ทั้งการออกหุ้นกู้ และ

เงินกู้จากสถาบันการเงินย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2548 (รวมทั้งปี) มีมูลค่าประมาณ 43,000 ล้านบาท

ในปี 2549 เม็ดเงินลงทุนเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาอยู่ที่ประมาณ 70,000 ล้านบาท

เพิ่มขึ้นเป็น 81,000 ล้านบาทในปี 2550 และเพิ่มขึ้นเป็น 135,000 ล้านบาท ในปี 2551 ที่ผ่านมา

ขณะที่ตัวเลขล่าสุดในปีนี้ ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 58,000 ล้านบาท คาดการณ์ว่า

ภาพรวมทั้งปีก็จะสูงกว่าปีที่ผ่านมา

ตัวเลขลงทุนสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการยังคงลงทุนต่อเนื่อง

เพียงแต่ช่องทางในการหาเม็ดเงินลงทุนปรับตัวไปตามสถานการณ์ ปัจจัยหนึ่ง

เป็นผลมาจากการที่สถาบันการเงินมีความเข้มในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น

ตั้งแต่เศรษฐกิจชะลอตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ จึงเป็นเหตุผลที่ผู้ประกอบการ

ต้องมองหาช่องทางการเงินอื่นๆ เพื่อเสริมสภาพคล่อง

นอกจากนี้ เรื่องการคุมต้นทุนทางการเงินก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเช่นกันที่

ทำให้ผู้ประกอบการหันมาออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้น เพราะการออกหุ้นกู้มีต้นทุนทางการเงิน

ที่ต่ำกว่าการกู้แบงก์ หรือหากจะสูงกว่า ก็สามารถคุมต้นทุนได้ เพราะ

เป็นกำหนดอัตราผลตอบแทนให้กับผู้ซื้อหุ้นกู้ไว้แล้ว ซึ่งเป็นต้นทุน

ที่ผ่านการคำนวณมาแล้วว่า ยังคุ้ม

คาดครึ่งปีหลัง สินเชื่อรายย่อยขยับเร็วขึ้น

สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของรายย่อย ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น

หลังจากที่แบงก์เข้มกับการปล่อยสินเชื่อมากตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ส่งผลให้หลายแบงก์มียอดปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยต่ำกว่าเป้าหมาย

จึงเชื่อว่าจะกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แบงก์จะรุกตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยหนักขึ้น

ในช่วงครึ่งหลังนี้ บวกกับสถานการณ์ในช่วงครึ่งหลัง มีแนวโน้มที่ดูเป็นบวกมากขึ้น

นอกจากนี้ นายสัมมา ยังกล่าวอีกว่า นโยบายผลักดันสินเชื่อสู่ระบบ

เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้สินเชื่อที่อยู่อาศัย

ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ขยายตัวมากขึ้น ผู้ซื้อบ้านมีโอกาสได้รับ

การอนุมัติวงเงินสินเชื่อเร็วขึ้น โดยภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัย

ในครึ่งปีแรก 2552 ทั้งระบบอยู่ที่ 134,683 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน

ของปีที่ผ่านมา 3-4% ตัวเลขสินเชื่อที่กล่าวถึง แบ่งเป็น

การปล่อยโดยธนาคารพาณิชย์ต่างๆ 78,950 ล้านบาท

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 46,195 ล้านบาท และ

สถาบันการเงินอื่นๆ 9,538 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ภาพรวมตลาดในช่วงครึ่งปีหลังที่

ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลฯ เมองว่ามีปัจจัยเป็นบวกมากขึ้นนั้น

ต้องยอมรับว่า หากมีปัจจัยทางการเมืองเข้ามากระทบภาพรวมตลาด

อาจไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากเท่าที่คาดการณ์ และมองว่า

ปัจจัยทางการเมืองกลายเป็นปัจจัยลบสำคัญ

ที่มีความอ่อนไหวกับตลาดมากเป็นอันดับต้นๆ

Tags : หู้นกู้

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/property/property/20090901/73660/บิ๊กอสังหาฯ-แก้เกมแบงก์เข้ม-หันออก-หุ้นกู้-แทน-กู้แบงก์.html

นำข่าวมาบอกพวกเรา เ่พื่อให้พวกเราได้มีทางเลือกมากขึ้น

แต่......การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญานให้รอบคอบ ก่อนลงทุน


 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2552, 10:55:56 »




วอเรนต์ บัฟเฟต คัดลอกบางส่วนจากหนังสือชื่อ

The Essays of Warren Buffett : Lessons for Corporate America

ซึ่งนาย Michael Brush สรุปแนวคิดของบัฟเฟตต์ออกมาเป็น 10 ข้อ

และต่อมา ดร.ไสว ทองมา ได้แปลเป็นภาษาไทยและ

ได้มีการเผยแพร่ออกไปตามสื่อต่าง ๆ จึงขอนำมาขยายต่อเพื่อประโยชน์ต่อ

สาธารณชนเป็นความรู้ในการลงทุนต่อไป

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

หมายเหตุ ทาง น.ส.พ.เดลินิวส์ มีหลายตอน

ผม สำเริง 17 ขอค้ดลอกเฉพาะหัวข้อ แต่ละบัญญัติมาโพสท์ให้พวกเราได้ดูง่าย ๆ

เพื่อว่าถ้าอยากลงทุนแทนฝากธนาคาร ที่ความเสี่ยงน้อย ผลตอบแทนน้อย

และ การนำเงินออกมาลงทุน จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศได้เติบโตขึ้นอีกด้วย

จะได้มีแนวทางตามคุณวอเรนต์ บัฟเฟต ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน

แต่อย่างไรก็ตาม การเล่นหุ้นมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาน ในการลงทุน


 win win win

บัญญัติข้อ 1. จงเป็นผู้มัธยัสถ์ แม้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการลงทุนโดยตรง

แต่มันมีความสำคัญพื้นฐานต่อการคิดของบัฟ เฟตต์

ทั้งที่เป็นอภิมหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของโลก

เขามีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย เช่น

ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมซึ่งเขาซื้อเมื่อปี 2501 ที่เมืองโอมาฮาในรัฐเนแบรสกา

ซึ่งยังเป็นชนบทเสียเป็นส่วนใหญ่ หลังจากต่อเติมบ้าง

บ้านหลังนั้นก็ยังเป็นแบบของคนอเมริกันชั้นกลางโดยทั่วไป

บัญญัติข้อ 2. จงยึดหลักช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม หรือมีความอดทนเพื่อรอโอกาส ทอง

ที่จะเกิดขึ้นจากความผันผวนอย่างหนักของตลาดหลักทรัพย์

ในปัจจุบันวิกฤติเศรษฐกิจและความผันผวนของราคาโภคภัณฑ์รวมทั้ง

น้ำมันปิโตรเลียมและแร่ธาตุ

อาจทำให้หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งตกลงมาอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น

ฉะนั้น ในช่วงนี้บัฟเฟตต์จะมีโอกาสดีเป็นพิเศษ

มีรายงานข่าวออกมาว่าเขาได้เข้าไปซื้อหุ้นในหลายบริษัทที่ทำกิจการ

ด้านน้ำมันปิโตรเลียม ด้านการบริการพลังงานไฟฟ้า ด้านธนาคารพาณิชย์ และ

ด้านการขนส่งทางรถไฟ และหรือเมื่อเกิดวิกฤติการณ์สถาบันเงินครั้งรุนแรง

ในเดือนกันยายน 2551 ที่ ผ่านมา และนักลงทุนส่วนใหญ่แห่กันเทขายหุ้น

จนทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำอย่างรุนแรงถึงเกือบครึ่งหนึ่ง

บัฟเฟตต์ก็ได้ถือโอกาสนี้เข้าไปซื้อหุ้นที่มีคุณค่าที่ดีส่วนหนึ่งเก็บไว้

แม้ว่าจะเกิดการขาดทุนจำนวนมากในปี 2551 แต่เชื่อว่า

น่าจะสร้างกำไรกลับคืนมาได้ในระยะยาว.

บัญญัติข้อ 3. จงเดินทวนกระแส บัฟเฟตต์เฝ้ามองว่าฝูงนักลงทุนจะพากัน

เดินไปทางไหนแล้วเขาจะพยายามเดินไปทางตรงข้าม

เนื่องจากทางที่นักลงทุนพากันไปนั้น โอกาสทำกำไรได้งดงามมีน้อย

เพราะนักลงทุนพวกนั้นได้ผลักดันราคาของหุ้นให้สูงขึ้นแล้ว

ฉะนั้นตอนที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายบัฟเฟตต์ไม่เข้าไปร่วมด้วย แต่ตอนที่นักลงทุนจำนวนมากมองหาทางเทขาย

ยังผลให้ราคาหุ้นโดยทั่วไปตกและหุ้นของบางบริษัทตกมากเป็นพิเศษ

ตอนนี้บัฟเฟตต์ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะซื้อหุ้นได้ในราคาถูก

บัญญัติข้อที่ 4. คือการเลือกลงทุนเฉพาะในธุรกิจที่ตนเองมีความเข้าใจเท่านั้น

ว่าประกอบธุรกิจอะไร และสามารถสร้างผลกำไรของกิจการได้อย่างไร และ

ธุรกิจนั้นที่มีการผลิตหรือแหล่งที่มาของรายได้สลับซับซ้อนมาก เขาจะไม่ลงทุน

บัญญัติข้อ 5. จงอย่าฟังนักวิจารณ์ หรือ การยืนยันของตลาด

ยุคนี้มีนักวิจารณ์จำนวนมากออกมาวิจารณ์การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ตามสื่อ

หรือ ไม่ก็แย้งการตัดสินใจในการลงทุนของนักลงทุนใหญ่ ๆ

บัฟเฟตต์จะไม่ฟังคำวิจารณ์และไม่ต้องการดูราคาหุ้นว่าไปทางไหน

เขาจะตัด สินใจบนฐานของการวิเคราะห์ข้อมูลของเขาเอง

ซึ่งต่างจากนักเล่นหุ้นในตลาดหุ้นไทยส่วนหนึ่งจะเล่นหุ้นตามข่าวลือ

ข่าวปล่อยจากวงในที่รู้กันว่าอินไซเดอร์ คนที่เล่นหุ้นตามข่าวรายวันนี้

จึงเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้นแต่ไม่ใช่นักลงทุนที่แท้จริง

บัญญัติข้อ 6. จงค้นหาของดีราคาถูกให้พบ ในกระบวนการค้นหา บัฟเฟตต์

เริ่มวิเคราะห์เพื่อค้นหา “มูล   ค่าภายใน” (intrinsic value) ของบริษัทเป็นขั้นแรก

กระบวนการนี้อาจมองดูว่า   ราคาหุ้นของบริษัทคล้าย ๆ กันเป็นอย่างไรหรือไม่

ก็คำนวณค่าปัจจุบันของเงินสดที่บริษัทนั้น น่าจะทำได้ในอนาคต

รายละเอียดของวิธีคำนวณอาจหาได้ในหนังสือชื่อ

The Warren Buffet Way ของ Robert Hagstrom

หากราคาหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดต่ำกว่ามูล ค่าภายในมาก ๆ

บริษัทนั้นน่าสนใจเพราะมี “ส่วนเผื่อความปลอดภัย” (margin of safety) สูงมาก

ซึ่งคล้ายกับเมื่อตลาดหุ้นตกต่ำลงถึงเกือบร้อยละ 50

ในช่วงเกิดวิกฤติการเงินในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนตุลาคม 2551

นายบัฟเฟตต์ เห็นว่าราคาต่ำกว่ามูลค่าภายในแล้ว

จึงได้เข้าเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2551 เป็นต้นมา
   
นายบัฟเฟตต์ไม่ค่อยให้ความสนใจเรื่องผลกำไรต่อหุ้น

หากสนใจในผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น (return on equity)

ส่วนต่างระหว่างราคาขายของสินค้ากับต้นทุน และภาระหนี้สินของบริษัท

นอกจากนั้นเขายังต้องการเห็นบริษัททำเงินสดได้มาก ๆ

แล้วนำไปลงทุนอย่างชาญฉลาด หรือไม่ก็จ่ายปันผลและซื้อหุ้นของตนคืน

ในกระบวนการวิเคราะห์นี้เขาจะมองย้อนไปในอดีต  อย่างน้อย 5 ปี

เพื่อดูว่าบริษัทมีประวัติการประกอบการอย่างไรในภาวะต่าง ๆ กัน

ฉะนั้น เขาจะไม่เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัท ใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีประวัติดี

จนเป็นที่ประจักษ์

บัญญัติข้อ 7. จงมองหาบริษัทที่มีรั้วรอบขอบชิด หรือล้อมรอบด้วยคูลึก

บริษัทจำพวกนี้มักมีประวัติในการทำกำไรได้ดี และ มีความได้เปรียบอย่างยั่งยืน

เพราะคู่แข่งเกิดขึ้นได้ยากมาก 

บริษัทจำพวกนี้สามารถขึ้นราคาสินค้าและบริการได้โดยไม่กระทบยอดขาย และ

มักไม่ได้รับผลกระทบมากนักในภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ฉะนั้นบัฟเฟตต์จึงถือหุ้นจำนวนมากในบริษัทประกอบการรถไฟ เพราะ

ยากที่จะมีใครสามารถสร้างรางขึ้นมาแข่งได้ในทวีปอเมริกาเหนือ และ

ในบริษัทโคลา-โคลาเพราะมีเครื่องหมายการค้า ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง

พร้อมกับมีระบบการจัดจำหน่ายที่มีตลาดกว้างขวางทั่วโลก

บัญญัติข้อ 8. จงทุ่มเทเงินลงไปในบริษัทที่น่าซื้อ

เรื่องนี้เป็นลักษณะหนึ่งของการเดินย้อนกระแสของปรัชญาการลงทุน

ที่แนะนำให้มีการกระจายการลงทุน

ซึ่งนักลงทุนโดยทั่วไปมักใช้การกระจายการลงทุนออกไปเพื่อหวังลดความเสี่ยง

แต่บัฟเฟตต์กลับชอบลงทุนแบบกระจุกตัวมากกว่า

เมื่อใดเขามองเห็นโอกาสดีเป็นพิเศษ เมื่อนั้นเขาจะทุ่มทุนซื้อหุ้นของบริษัทนั้นทันที

เขามองว่าการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนและการที่ความอดทนที่จะรอได้

“ส่วนเผื่อความปลอดภัย” สูงมาก ๆ เป็นมาตร การลดความเสี่ยงที่ดีที่สุดแล้ว

ฉะนั้น ประวัติ การลงทุนของเขาบ่งว่า ความสำเร็จของเขาเกิดจาก

ผลตอบแทนสูงมากที่เขาได้จากการทุ่มลงทุนในหุ้น

ของบริษัทเพียงราวหนึ่งโหลเท่านั้น
   
บัญญัติข้อ 9. จงซื้อเพื่อถือไว้หา  ผลกำไรในระยะยาว บัฟเฟตต์มองว่า

ถ้าได้   วิเคราะห์เป็นอย่างดีแล้วว่าควรลงทุนในบริษัท ไหน

บริษัทนั้นควรจะให้ผลกำไรดีเป็นเวลานาน จะต้องติดตามและวิเคราะห์เหตุการณ์

อย่างรอบด้านอย่างใกล้ชิด

เมื่อใดเห็นว่าบริษัทนั้นหมดโอกาสที่จะทำกำไรดีต่อไปหรือ

กำลังเดินเข้าภาวะยากลำบากเป็นเวลานาน  เมื่อนั้นจงรีบขายออกไปทันที

ด้วยหลักข้อนี้ บัฟเฟตต์จึงขายหุ้นจำนวนมากในบริษัทรับจำนองบ้านขนาดยักษ์

ที่รู้จักกันในนาม Fannie Mae กับ Freddie Mac ก่อนที่สองบริษัทนั้น

จะประสบปัญหาจนถูกรัฐเข้าไปยึดเมื่อปีที่แล้ว

บัฟเฟตต์มองว่าการซื้อขายหุ้นบ่อย ๆ รังแต่จะเป็นเหยื่อให้แก่ นายหน้าค้าหุ้น

ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้บริหารกองทุน

เขาประเมินว่าคนเหล่านั้นหักเอาผลกำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไป 20%

ของผลกำไรทั้งหมดซึ่งมีผลกระทบทางลบต่อผลประกอบการของบริษัท
   
บัญญัติข้อ 10. จงเชื่อมั่นในอเมริกา บัฟเฟตต์จะไม่มองว่าใครเข้าเป็นประธานาธิบดี

แต่มองว่าในระยะยาวบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง

จะกลับมาทำกำไรดีอีกครั้งแม้    ในขณะนี้ดูจะมีปัญหาบ้างก็ตาม

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
   
ในวันนี้เราก็ได้บัญญัติ 10 ประการ ของนักลงทุนหุ้นสำคัญของโลกครบถ้วนแล้วนะคะ

หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติในการลงทุนหุ้น และ

ขอเรียนย้ำนะคะว่าการลงทุนหุ้นนั้นควรที่จะรับความผันผวนระยะสั้น

ที่อาจเกิดการติดลบได้ เพื่อผลตอบแทนการลงทุนระยะยาว และ

ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนนะคะ.

  หึหึ หึหึ หึหึ

นำมาจาก น.ส.พ.เดลินิวส์ ตอนสุดท้ายของบัญญัติ 10 ประการ

คลิกดูเนื้อหาข่าวตอนสุดท้ายที่ข้างล่าง และ ที่มุมขวามือจะมีตอนต่างๆ ให้เข้าดูได้


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=26417&categoryID=315

 win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2552, 06:55:14 »




พิชัย จาวลา นักคิดผู้กล้าเสนอความจริงที่แตกต่าง

"นี่ไม่ใช่ทฤษฎีผู้มีอำนาจคุมตลาด (Big Brother) แต่เป็น “ความจริง” อยู่ในมุมเล็กๆ ของกลไกตลาดที่คนส่วนใหญ่มักมองข้าม ถ้าคิดจะทำกำไรในตลาดหุ้นคุณจะต้องเป็นคนส่วนน้อยของตลาดที่ต้องคิดต่างไปจากคนส่วนใหญ่ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักบอกว่าลงทุนด้วยเหตุผล เราก็ต้องลงทุนโดยไม่ใช้เหตุผลเหมือนคนส่วนใหญ่"

พิชัยเสริมว่าแนวคิดนี้ใกล้เคียงกับการลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่บอกว่า การเก็งกำไรจากตลาดหุ้นทำได้ยากมาก วิธีการทำกำไรที่ดีที่สุดคือการค้นหาหุ้นคุณค่าที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงแล้วถือให้ยาว และไม่แห่ลงทุนตามกระแส

บทสรุปของวิธีคิดนี้คือ จงกล้าในขณะที่คนส่วนใหญ่กลัวและจงกลัวในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังฮึกเหิม คำพูดนี้คือ "สัจธรรม" ในตลาดหุ้น เพราะฉะนั้นจงเป็น "คนส่วนน้อย" เพื่อจะเป็น "ผู้ชนะ" ในตอนจบ

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

การลงทุนมีความเสี่ยง ต้องใช้วิจารณญาน มองในแง่อาจไม่เป็นอย่างที่ลงทุนได้ด้วย

ถ้ารับไม่ได้ ก็เลือกลงทุนในกองทุนที่ความเสี่ยงต่ำ  gek gek gek


อ่านบทความทั้งหมดได้ที่

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20091123/87319/%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1..%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2.html

 win win win
 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #3 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2553, 16:20:03 »


ขอขอบคุณเวบไทยรัฐ วันที่ 26/06/2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.thairath.co.th/content/eco/92047



สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เผยมติคณะกรรมการเพื่อพิจารณา
แนวทางการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในรูปแบบ PublicPrivatePartnerships (PPPs)
ซึ่งถือเป็นการระดมทุนรูปแบบใหม่ที่มีผู้ให้ความสนใจค่อนข้างมาก และได้รับการยอมรับว่า
ช่วยลดข้อจำกัดด้านงบประมาณของภาครัฐ และทำให้รัฐบาลสามารถขยายการลงทุนใน
โครงการพื้นฐานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อความต้องการของประชาชน


สคร.เห็นชอบ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง และ โครงการทางพิเศษ
สายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก กทม.ให้ดำเนินการโครงการด้วยวิธี PPPs...

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. นางสาวสุภา ปิยะจิตติ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)
เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางการเพิ่มบทบาทภาคเอกชน
ในรูปแบบ PPPs โดยมีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2553 ว่า

คณะกรรมการ PPPs ได้พิจารณาเกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง และ
โครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร

เนื่องจากการเปิดโอกาสให้เอกชนมาร่วมลงทุนกับรัฐบาล จะเป็นการลดภาระให้กับรัฐ
ในการที่จะต้องจัดสรรเงินมาลงทุนในโครงการฯ ไม่ว่าจะเป็นเงินงบประมาณหรือเงินกู้
อีกทั้งเอกชนยังมีประสบการณ์และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยอันเป็นประโยชน์ต่อรัฐ และ
ถ่ายทอดความรู้มาสู่บุคลากรของรัฐ

โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงซึ่งมี อยู่ 4 เส้นทาง มูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาทนั้น สคร.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอกรอบแนวทางเบื้องต้น ในการร่วมลงทุนกับเอกชน
ให้คณะกรรมการพิจารณา 4 แนวทาง คือ

1.ให้รัฐบาลลงทุนทั้งหมด

2. เอกชนลงทุนเฉพาะขบวนรถและรับผิดชอบงานระบบรถไฟฟ้าและศูนย์ซ่อมบำรุง

3. เอกชนหรือบริษัทลูกลงทุน 50%

4. เอกชนหรือบริษัทลูกลงทุน 30% โดยมีรูปแบบการจัดเก็บ และการแบ่งรายได้หรือ
จ่ายค่าตอบแทนให้เอกชน ดังนี้

1.Net Cost Concession
2.Gross Cost Concession
3.Modified Gross Concession

ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อจัดเตรียมรายละเอียดในการ
จัดทำ Market Sounding เพื่อให้ทราบถึงความต้องการของภาคเอกชนทั้งชาวไทยและ
ชาวต่างชาติว่า มีความสนใจในเส้นทางไหน และในรูปแบบการลงทุนเช่นไร

ทั้งนี้การจัดทำ Market Sounding จะเปิดกว้างสำหรับทุกความคิดเห็น ซึ่งอาจจะก่อให้
เกิดแนวทางและรูปแบบการลงทุนเพิ่มเติมและหลากหลาย

นอกเหนือจากกรอบแนวทางเบื้องต้นได้ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการดังกล่าว และให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จ
ภายในเดือนสิงหาคม เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี
เพื่อพิจารณาอนุมัติในหลักการ ภายในเดือนกันยายน 2553

สำหรับโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นทางด่วนยกระดับ
ขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทางรวม 16.7 กิโลเมตร

ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการด้วยวิธี PPPs เช่นกัน
โดยรัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 9,564 ล้านบาท เพื่อให้โครงการฯ
มีความเป็นไปได้ในการลงทุนด้านการเงิน

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติในหลักการให้ดำเนินการ ตามกระบวนการที่กำหนดในพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 และ
ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตในการหาแนวทางการลงทุนในรูปแบบ PPPs ที่ดีที่สุดต่อไป

อย่างไรก็ตาม สคร. เชื่อมั่นว่า การลงทุนโครงการภาครัฐในรูปแบบ PPPs จะก่อให้เกิดการพัฒนา
ในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จำเป็นภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด
เพื่อประโยชน์อย่างสูงต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแน่นอน.


XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

เอกสารอ้างอิง:ดูร่างคู่มือแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐในรูปแบบ PPPs ได้ที่

http://www.pdmo.mof.go.th/?q=th/node/1140

 gek gek gek

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

พบข่าวนี้ดีใจมาก เป็นโครงการให้ประชาชนร่วมลงทุนกับภาครัฐ PPPsได้ แทนที่จะ
ให้นายทุนรับไป หรือ ให้ธนาคารรับไป ได้ประโยชน์กับกลุ่ม

กลายมาเป็นประชาชนระดับกลางจำนวนมาก ได้มีสิทธิเลือกลงทุน
ร่วมได้ไม่ต้องผ่าน ธนาคาร แล้ว ธนาคารนำเงินไปให้กู้เอากำไร กินหัวคิว แทนประชาชน
 emo4:))เป็นประชาชนได้เลือกว่า จะให้กิจการใดกู้จากตนเอง โดยตรง


 win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #4 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2553, 14:05:08 »


ขอขอบคุณเวบแคนนอทดอทอินโฟ วันจันทร์ 5 กรกฏาคม 53 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://m.cannot.info/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88/%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%2065%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A5%20%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1



ลุยรถไฟเร็วสูง 6.5แสนล. ดึงเอกชนร่วม

คลังเตรียมเปิดเอกชนร่วมแสดงความเห็นโครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูงใน 4 เส้นทาง
มูลค่า 6.5 แสนล้านบาท ก่อนเปิดโอกาสให้ร่วมลงทุน โดย

สำนักงานคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)
เตรียมส่งหนังสือเชิญร่วมหารือภายในเดือน ก.ค.นี้...

เมื่อวันที่ 5 ก.ค. นางสาวสุภา ปิยะจิตติ ผู้อำนวยการ สคร. เปิดเผยว่า
สคร.เตรียมส่งหนังสือเชิญนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ มารับฟังและ
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน
เพื่อนำมาสรุปถึงความเป็นไปได้ในการลงทุนก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.)
ภายในเดือน ก.ย.นี้ โดย

รัฐบาลมีแนวคิดที่จะเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนระยะแรกใน 4 โครงการ

ทั้งหมดเป็นโครงการลงทุนก่อสร้างเส้นทางเดินรถด้วยรถไฟความเร็วสูง 
มูลค่าโครงการรวมกว่า 6.5 แสนล้านบาท คือ

1. เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่

2. เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย

3. เส้นทางกรุงเทพฯ-หาดใหญ่ และ

4. เส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง

"สคร.จะส่งหนังสือเชิญนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ที่มีเทคโนโลยี มีความเชี่ยวชาญ
การเดินรถไฟความเร็วสูง เช่น

จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส มารับฟังแนวคิดของเราเกี่ยวกับการลงทุนรถไฟความเร็วสูง และ
ให้เขาแสดงความเห็นว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร

ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้แสดงความจำนงชัดเจนด้วยว่าจะเปิดโอกาสให้เข้าร่วมลงทุนด้วย
คาดว่าภายในเดือน ก.ค.นี้ จะมีการหารือกัน" นางสาวสุภา กล่าว

ที่มา : www.thairath.co.th
วันที่ 05 Jul 2010

 gek gek gek

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

อยากเข้าร่วมลงทุนด้วย โดยตรงไม่ต้องผ่านนายทุน หรือ ธนาคาร ตามที่มีแนวทาง
การเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในรูปแบบ

PublicPrivatePartnerships (PPPs)

ซึ่งถือเป็นการระดมทุนรูปแบบใหม่ที่มีผู้ให้ความสนใจค่อนข้างมาก และได้รับการยอมรับว่า
ช่วยลดข้อจำกัดด้านงบประมาณของภาครัฐ และทำให้รัฐบาลสามารถขยายการลงทุนใน
โครงการพื้นฐานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อความต้องการของประชาชน

 บ่ฮู้บ่หัน บ่ฮู้บ่หัน บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><