Cmadong Chula

เรือนประจำรุ่น อบอุ่นทุกสมัย => รุ่น 2515 => ข้อความที่เริ่มโดย: seree_60 ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553, 09:05:24



หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553, 09:05:24
หวัดดีทุกคน
ผมขอเปิดหัวข้อ การเมืองเป็นเรื่องสนุก ตามสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ ม28และ29 ที่บัญญัติเอาไว้ดังนี้

ม.28 บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น
ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน

ม.29 การกำจัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอำนาจตามบัญญัติแห่งกฎหมาย
เฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบ กระเทือนสาระสำคุญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้

  ดังนั้นตราบใดที่เราไม่ทำผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ และละเมิดสิทธิคนอื่นๆ เราสามารถ คุยเรื่องการเมืองได้
การปิดห้องการเมือง นั้นชอบแล้ว เพราะเป็นการตัดปัญหาต่างๆให้จบลงไป
ส่วนการห้ามคุยเรื่องการเมือง นั้นกระทำมิได้ หากการกระทำนั้น เป็นไปตามที่ รัฐธรรมนูญกำหนด
จึงขอเชิญชวน พี่น้องคอการเมือง มาแลกเปลี่ยน ทัศนะ ที่สร้างสรร เพื่อพัฒนา การเมืองของเราให้ก้าวหน้าต่อไป


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553, 09:21:26

ที่ผ่านมา ผมโพสต์การเมือง โดยนำเรื่องราวที่น่าสนใจมาเสนอ และไม่ได้โจมตีใคร
นอกจาก ข้อมูลและเนื้อที่เกี่ยวกับการ กระทำต่างๆของนักการเมือง ที่จะทำให้ประเทศเสียหาย
ดังนั้นผมจึงยังคง ยึดเจตนาเดิมทุกประการ คือไม่ทะเลาะกับใคร และไม่ด่าใคร
( ถ้าไม่ถูกละเมิด และทำไป เพื่อปกป้องสิทธฺ ตามรัฐธรรมนูญ)


ฉากหลังเบิร์ดเดย์ "สุวัจน์"โดย : KANCHANATUK@HOTMAIL.COM

งานวันเกิด สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ฉลองครบรอบ 55 ปี



  แกนนำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา เมื่อ 2 วันก่อน เปิดบ้านพักย่านราชวิถีรับแขกบุคคลสำคัญๆ ที่มาอวยพรคับคั่ง

เจ้าภาพใหญ่อย่าง "มาดามติ้ง" พล.ท.หญิงพูนภิรมย์  ลิปตพัลลภ สวมบทแม่บ้านยืนเคียงข้างรับแขกตั้งแต่เช้ายันค่ำ
ก็เจ้าภาพเป็นคนของสังคมก็ยังงี้ละท่าน

งานวันเกิดครั้งนี้ "ไม่ธรรมดา"! ที่ว่าไม่ธรรมดา ก็เพราะบรรดาแกนนำพรรคการเมืองดูเหมือนจะถูกนายใหญ่แต่ละพรรค จัดฉาก "เนียน" เสียเหลือเกิน

ใช้วิธีทยอยส่งลิ่วล้อบ้าง หัวหน้าพรรคบ้าง เป็นตัวแทนเข้าอวยพร แรกๆ คิดว่าเจ้าของวันเกิดจัดตารางเข้าอวยพรเสียอีก เพราะถ้าใครอยู่ในงานวันนั้น คงต้องเกิดข้อกังขาพอสมควร

พยายามถามไถ่เจ้าภาพอยู่นานสองนาน ได้ความว่า ไม่ได้จัดฉาก ใครมาก็ต้อนรับทั้งนั้น

เริ่มที่พรรคภูมิใจไทย ชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค อาสานำกระเช้าเข้าอวยพรตั้งแต่เวลา 8.30 น. ถัดมาเวลา 10.00 น. สรอรรถ กลิ่นประทุม จากนั้น 11.00 น. อนุทิน ชาญวีรกูล จบที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่หอบหิ้วกระเช้าเข้าอวยพรเวลา 15.00 น. แต่พรรคนี้ไร้เงา เนวิน ชิดชอบ

พรรคชาติไทยพัฒนา ของ "ป๋าเติ้ง" บรรหาร ศิลปอาชา  ส่ง ชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค เข้าอวยพร จากนั้นเวลา 11.00 น. สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล พร้อม นิกร จำนง ควงคู่เข้าอวยพร งานนี้ ป๋าเติ้งทำได้เพียงยกหูโทรศัพท์อวยพร เพราะมีอาการป่วย

พรรคเพื่อแผ่นดิน พินิจ จารุสมบัติ ขนลูกทีมอย่างปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ไชยยศ จิรเมธากร  ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม ไปร่วมงานกันพร้อมเพรียง งานนี้ไม่ธรรมดา ยังมีบรรดา ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย สายโคราชยกโขยงไปร่วมอวยพรเสียด้วยซ้ำ

ที่แปลกประหลาด กลุ่มแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่เข้าร่วมงานนี้ สลับสับเปลี่ยนเข้าอวยพรกันอย่างคึกคัก แต่ที่น่าทึ่ง ทุกกลุ่มสามารถจัดเวลาแบบไม่ต้องเผชิญหน้ากับขบวนของ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่หอบหิ้ว สุเทพ เทือกสุบรรณ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ  อลงกรณ์ พลบุตร มีเพียงกลุ่มของพินิจ และสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคกิจสังคม เท่านั้น ที่ดูเหมือนมีความตั้งอกตั้งใจอยู่ร่วมจิบน้ำชา บนโต๊ะเดียวกับนายกฯ อภิสิทธิ์

สุวัจน์ และ "มาดามติ้ง" เปิดบ้านชั้นสอง เชิญคณะนายกฯ อภิสิทธิ์  กลุ่มพินิจ และสุวิทย์ ร่วม 10 คน ร่วมประทานอาหาร ตั้งแต่เวลา 12.30 น. งานนี้ทำเอากองทัพสื่อมวลชน "งง" เป็นไก่ตาแตก ว่ารับประทานอาหารหรือวางแผนยุบสภา ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเกือบ 3 ชั่วโมง ผิดวิสัยนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่ใช้เวลาร่วมวงเมาท์นานขนาดนี้ โอ้แม่เจ้า...

มีเสียงเล็ดลอดผ่านช่องลมชั้นสองบ้านราชวิถี บนโต๊ะอาหาร ดูเหมือนนายกฯ อภิสิทธิ์ นั่งหัวโต๊ะ เอ็นจอย เริงร่า อย่างไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่เป็นนายกฯ พูดคุยแบบหัวเราะ..หัวฮา.. กระเซ้าเย้าแหย่ไปทั่ว งานนี้ไม่มีการสนทนาการเมืองแม้แต่น้อย

ส่วน "มาดามติ้ง" กับ หมอวรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา กลายเป็นกับแกล้มบนโต๊ะเสียมากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น มีเซอร์ไพรส์เกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆ นายกฯ อภิสิทธิ์ หยิบแก้วไวน์ขึ้นขอชนไปทั่วทั้ง พินิจ สุวัจน์ และอีกหลายๆ คน ทำเอาผู้ร่วมโต๊ะ ตะลึงไปตามๆ กัน หลายคนไม่เคยเห็นอาการอย่างนี้มาก่อน

ดูเหมือนจะเริงร่าชอบกล คงจะเหลียวซ้าย มองขวาแล้ว ผู้ร่วมวงรับประทาน  ก็ลูกหม้อพรรครวมใจไทยชาติพัฒนาเสียส่วนใหญ่ เป็นเหตุให้คุยอย่างสบายใจ ไม่รู้สึก "เคอะเขิน"

สำคัญยิ่งนาทีนี้ นายกฯ อภิสิทธิ์ กรองแล้วกรองอีกคงเห็นแล้วว่า สุวัจน์ คือเพื่อนแท้ เพราะตลอดเวลาหลังฉากการเมืองของสุวัจน์ แม้จะเป็นคนเจนจัดเวทีการเมือง แต่ดูเหมือนสุวัจน์เก็บอาการได้ดีในหลายๆ เรื่อง

สำคัญยิ่งบนโต๊ะสนทนาเหลียวซ้าย มองขวา อย่างน้อยก็ภาพความเป็นมิตรแท้อยู่ในมือแล้ว 3 พรรค  น่าจะอุ่นใจได้ท่ามกลางการเมืองร้อนระอุ ที่ มีแต่แรงกดดันทั่วสารทิศ

ภาพที่ปรากฏไม่รู้ว่า นายกฯ อภิสิทธิ์  กำลังส่งสัญญาณอะไรผ่านไปยังพรรคภูมิใจไทยกับพรรคชาติไทยพัฒนา..!!!   

เห็นมั้ยครับ..เปิดฉากมาก็สนุกแล้วครับ..ม่วนๆ..แซ่บๆๆหลายๆเด้อ   
 
 
 
 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553, 13:24:42
เมื่อฮุนเซนโดนหมัดหลงหงายท้องที่ตาเมียนธม: บทเรียนจากข่าว และความจริง  
 
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 10 กุมภาพันธ์ 2553 14:17 น.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000019228
 
 
 
“Ye shall know the Truth, And the Truth shall make you angry!”
      
       “ท่านควรจะรู้ความจริง และความจริงนั้นจะทำให้ท่านโกรธ”
                                                 Aldous Huxley
      
       Lord Wilson อดีตนายกฯ 2 สมัยอังกฤษบอกว่า “7 วันในการเมืองนั้นนับว่านานโข”
      
       จากวันที่ 6 ก.พ. ถึงวันที่ 8 ก.พ. เมื่อฮุนซวยเปิดแน่บ กระฟัดกระเฟียดกลับไปจากชายแดนตาเมียนธม จังหวัดสุรินทร์นั้นเหตุการณ์เปลี่ยนไป
      
       เรายังไม่ถึงกับเห็นทหารเขมรวิ่งหางจุกตูดอย่างที่เราอยากดู โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าผมกระหายสงครามหรือเกลียดชาวเขมร
      
       แต่ผมอยากเห็นฮุนเซนถูกหมัดตรง หมัดฮุค หรืออับเปอร์คัดก็ได้ ไม่ใช่หมัดหลง ที่ไม่รู้ใครต่อใครหลับตาเหวี่ยงไป หมัดที่ถูกเบ้าตาของฮุนซวยอาจจะเป็นหมัดเดียวของวีระ สมความคิดและพี่น้องผู้กล้า 300 คนก็ได้
      
       2 วันหลังนี้ ฮุนซวยกับไทยได้คะแนน C เท่ากัน
      
       สำหรับนายกฯ อภิสิทธิ์ผู้ตัดสินจากสหรัฐฯ ให้ A ผู้ตัดสินเยอรมนีให้ B- ผมให้ B+ เฉลี่ยแล้วได้ B ผู้ตัดสินเยอรมนีลำเอียงเพราะหลงไปว่าฮุนซวยเป็น 3 หัวขวดสวย เนื่องจากต่อยสไตล์เดียวกัน 100% แปลกแท้ๆ ทำไมอภิสิทธิ์จึงไม่น็อก ผู้ตัดสินเยอรมนีบอกว่าต่อยอย่าง 3 หัวขวดสวย ถ้าเป็นที่เยอรมนีรับรองว่าเข้าคุกภายในหนึ่งวัน
      
       ยกเว้นคะแนน ผมยืนยันอย่างอื่นที่เขียนไว้ตอนจบ ที่ตกออนไลน์ 6 ก.พ. คือ
      
       “ผมขอพูดให้ชัดเจนอีกครั้งไม่กลัวใครโกรธว่า เมื่อเอาผลประโยชน์ของชาติกับภาวะผู้นำเป็นตัววัด ฮุนซวยได้คะแนน A- ในขณะที่ไทยผมให้ D- เพราะฮุนซวยส่งสัญญาณที่ชัดเจนเด็ดเดี่ยวหนักแน่นและมีเอกภาพทั้งคำพูดและการกระทำรับกัน แต่ไทยคาบลูกคาบดอกวอกแวกไม่รู้ว่าใครเป็นหัวเป็นหาง ต่างประ เทศจะเอาอย่าง กองทัพภาคที่ 2 จะเอาอย่าง กลาโหมจะเอาอีกอย่าง นายกฯ จะเอาอย่างไรไม่มีใครรู้ ดูมีแต่ความสับสน confusing ไร้ทิศทาง directionless และ compound ปัญหาให้สะสมถมทับมากขึ้น ระวังจะสายเกินแก้”
      
       ผมขอย้ำว่า ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคมก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ดี หรือแม้กระทั่งในสงครามก็ดี การส่งสัญญาณที่สับสน(confusing) รังแต่จะ compound หรือพอกพูนทับถมปัญหาให้มากและแก้ยากยิ่งขึ้น
      
       การส่งสัญญาณนั้น การกระทำดังก้องกว่าคำพูด action speaks louder than voice
      
       การกระทำและคำพูดของฝ่ายไทยในเหตุการณ์ครั้งนี้สับสนและอ่อนแอยิ่ง ดีแต่ฮุนซวยเป็นปลาหมอตายเพราะปาก และอ่านสัญญาณผิดว่าไทยจะเคลียร์พื้นที่ปราสาทตาเมียนธมให้
      
       แทนที่ไทยจะต้องขายผ้าเอาหน้ารอด กลับได้กำไร เพราะสามารถกุมเงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่จะยกเลิกการประกาศฝ่ายเดียวของยูเนสโกได้ ขอให้นายกฯ อภิสิทธิ์รีบทำอย่างที่พูดให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้
      
       นั่นก็คือ มีหนังสือไปบอกยูเนสโกว่าศาลไทยมีคำสั่งอย่างไร ชาวไทยผู้รักชาติมีความรู้สึกอย่างไร การกระทำของฮุนซวยและรัฐบาลไทยขายชาติก่อความตึงเครียด และอันตรายต่อสันติภาพเพียงใด
      
       และขอให้รัฐบาลให้ความรู้แก่ประชาชนด้วยว่าอังกฤษ อเมริกา และสิงคโปร์ลาออกจากยูเนสโกเพราะเหตุผลใด เราจะเอาบ้างดีไหม
      
       เมื่อร้ายกลายเป็นดีไปได้ ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนไทย 300 คนที่ขึ้นไปประกาศเจตนารมณ์แทนคนไทยผู้รักชาติทั้งมวล และขอขอบคุณใน prudence ของนายกฯ อภิสิทธิ์
      
       ผมแปล prudence เป็นไทยไม่ได้ เลยอยากแถมเวสารัชชกรณธรรมทั้ง 5 คือธรรมที่จะทำให้เกิดความแกล้วกล้าเพิ่มให้นายกฯ
 
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553, 15:47:05
(http://i285.photobucket.com/albums/ll41/allseasons_photo/thairathcmadong.jpg)
ฝีมือน้องชัชชัย ศิลปกรรม 35


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553, 19:58:53
อ้างถึง
ข้อความของ Intania๑๖ เมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2553, 15:47:05
(http://i285.photobucket.com/albums/ll41/allseasons_photo/thairathcmadong.jpg)
ฝีมือน้องชัชชัย ศิลปกรรม 35
แหม  นึกว่าของจริง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2553, 17:55:59
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2553, 09:05:24
หวัดดีทุกคน
ผมขอเปิดหัวข้อ การเมืองเป็นเรื่องสนุก ตามสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ ม28และ29 ที่บัญญัติเอาไว้ดังนี้

ม.28 บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น
ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน

ม.29 การกำจัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอำนาจตามบัญญัติแห่งกฎหมาย
เฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบ กระเทือนสาระสำคุญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้

  ดังนั้นตราบใดที่เราไม่ทำผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ และละเมิดสิทธิคนอื่นๆ เราสามารถ คุยเรื่องการเมืองได้
การปิดห้องการเมือง นั้นชอบแล้ว เพราะเป็นการตัดปัญหาต่างๆให้จบลงไป
ส่วนการห้ามคุยเรื่องการเมือง นั้นกระทำมิได้ หากการกระทำนั้น เป็นไปตามที่ รัฐธรรมนูญกำหนด
จึงขอเชิญชวน พี่น้องคอการเมือง มาแลกเปลี่ยน ทัศนะ ที่สร้างสรร เพื่อพัฒนา การเมืองของเราให้ก้าวหน้าต่อไป

เอาเลยเพื่อน จะคอยเชียร์
อยู่ในห้อง15 ใครกล้ามาแหยม เอ็งตายลูกเดียว
เอ๊ยเว้นวรรคผิดไปหน่อย ใครกล้ามาแหยมเอ็ง emo5:( ตายลูกเดียว

เคี้ยก เคี้ยก หัวเราะแบบตัวร้ายในเรื่องจีนกำลังภายใน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2553, 20:26:54
อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2553, 17:55:59
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2553, 09:05:24
หวัดดีทุกคน
ผมขอเปิดหัวข้อ การเมืองเป็นเรื่องสนุก ตามสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ ม28และ29 ที่บัญญัติเอาไว้ดังนี้

ม.28 บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น
ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน

ม.29 การกำจัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอำนาจตามบัญญัติแห่งกฎหมาย
เฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบ กระเทือนสาระสำคุญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้

  ดังนั้นตราบใดที่เราไม่ทำผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ และละเมิดสิทธิคนอื่นๆ เราสามารถ คุยเรื่องการเมืองได้
การปิดห้องการเมือง นั้นชอบแล้ว เพราะเป็นการตัดปัญหาต่างๆให้จบลงไป
ส่วนการห้ามคุยเรื่องการเมือง นั้นกระทำมิได้ หากการกระทำนั้น เป็นไปตามที่ รัฐธรรมนูญกำหนด
จึงขอเชิญชวน พี่น้องคอการเมือง มาแลกเปลี่ยน ทัศนะ ที่สร้างสรร เพื่อพัฒนา การเมืองของเราให้ก้าวหน้าต่อไป

เอาเลยเพื่อน จะคอยเชียร์
อยู่ในห้อง15 ใครกล้ามาแหยม เอ็งตายลูกเดียว
เอ๊ยเว้นวรรคผิดไปหน่อย ใครกล้ามาแหยมเอ็ง emo5:( ตายลูกเดียว

เคี้ยก เคี้ยก หัวเราะแบบตัวร้ายในเรื่องจีนกำลังภายใน
ขอบใจเพื่อน ตอนนี้ต้องพักร้อนหน่อยละ
เขียนอะไรไป ถูกมองว่าเหน็บ ชาวบ้าน เขา ตอนนี้ เพื่อให้น้องๆเขาสบายใจ
ก็ขอพักนิ้ว ก่อนแล้ว ซักพักหนึ่ง
แต่ก็จะแอบมาแว๊บๆ บ้าง แถวๆห้อง 15 นี้แหละ คงไม่กล้าไปเที่ยวไหน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2553, 22:54:15
ถูกกักบริเวณ เหมือนอองซาน ซูจี


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: YOTSAWIN ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553, 12:41:28
มาดูลาดเลาก่อนครับ
 emo20:)):)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553, 12:53:11
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2553, 20:26:54
อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2553, 17:55:59
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2553, 09:05:24
หวัดดีทุกคน
ผมขอเปิดหัวข้อ การเมืองเป็นเรื่องสนุก ตามสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ ม28และ29 ที่บัญญัติเอาไว้ดังนี้

ม.28 บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น
ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน

ม.29 การกำจัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอำนาจตามบัญญัติแห่งกฎหมาย
เฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบ กระเทือนสาระสำคุญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้

  ดังนั้นตราบใดที่เราไม่ทำผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ และละเมิดสิทธิคนอื่นๆ เราสามารถ คุยเรื่องการเมืองได้
การปิดห้องการเมือง นั้นชอบแล้ว เพราะเป็นการตัดปัญหาต่างๆให้จบลงไป
ส่วนการห้ามคุยเรื่องการเมือง นั้นกระทำมิได้ หากการกระทำนั้น เป็นไปตามที่ รัฐธรรมนูญกำหนด
จึงขอเชิญชวน พี่น้องคอการเมือง มาแลกเปลี่ยน ทัศนะ ที่สร้างสรร เพื่อพัฒนา การเมืองของเราให้ก้าวหน้าต่อไป

เอาเลยเพื่อน จะคอยเชียร์
อยู่ในห้อง15 ใครกล้ามาแหยม เอ็งตายลูกเดียว
เอ๊ยเว้นวรรคผิดไปหน่อย ใครกล้ามาแหยมเอ็ง emo5:( ตายลูกเดียว

เคี้ยก เคี้ยก หัวเราะแบบตัวร้ายในเรื่องจีนกำลังภายใน
ขอบใจเพื่อน ตอนนี้ต้องพักร้อนหน่อยละ
เขียนอะไรไป ถูกมองว่าเหน็บ ชาวบ้าน เขา ตอนนี้ เพื่อให้น้องๆเขาสบายใจ
ก็ขอพักนิ้ว ก่อนแล้ว ซักพักหนึ่ง
แต่ก็จะแอบมาแว๊บๆ บ้าง แถวๆห้อง 15 นี้แหละ คงไม่กล้าไปเที่ยวไหน



http://www.youtube.com/watch?v=ry-cRcuJZHU

P~Tawan, you are always on our mind


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553, 21:20:06
เพราะจังเพลงนี้เพลงโปรดเลยครับพี่วนิชย์


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 08:39:34
ข้าวต้มฮุนเซน
 วันก่อนเจอเพื่อนไม่ได้เจอกันนาน คุยกันจนเย็นย่ำ ท้องก็ส่งเสียงร้องเตือนว่า หิวๆๆๆ
เพื่อนเลยชวนว่า ไปหาอะไรกินกันดีฝ่า
แล้วไปกินอะไรดีล่ะ???

ต่างคนต่างเสนอ เลยตกลงกันไม่ได้ เงียบไปพักหนึ่ง
มีเพื่อนคนหนึ่ง โพล่งออกมาว่า

ไปกินข้าวต้มฮุนเซน  ดีกว่า
งงกันละซี้ อึ้งกิมกี่กันไปพักหนึ่ง
ข้าไม่เคยได้ยินเลยวะ..มีข้าวต้มฮุนเซน ขายด้วยหรือ
เพื่อหัวเราะพร้อมเฉลยว่า......ก็ข้าวต้ม กุ๊ย..ไงล่ะ เพือก[/b]


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 09:36:16
สวัสดีค่ะ  พี่ตะวัน ..


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: TAE2540 ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 10:36:52
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 08:39:34
ข้าวต้มฮุนเซน
 วันก่อนเจอเพื่อนไม่ได้เจอกันนาน คุยกันจนเย็นย่ำ ท้องก็ส่งเสียงร้องเตือนว่า หิวๆๆๆ
เพื่อนเลยชวนว่า ไปหาอะไรกินกันดีฝ่า
แล้วไปกินอะไรดีล่ะ???

ต่างคนต่างเสนอ เลยตกลงกันไม่ได้ เงียบไปพักหนึ่ง
มีเพื่อนคนหนึ่ง โพล่งออกมาว่า

ไปกินข้าวต้มฮุนเซน  ดีกว่า
งงกันละซี้ อึ้งกิมกี่กันไปพักหนึ่ง
ข้าไม่เคยได้ยินเลยวะ..มีข้าวต้มฮุนเซน ขายด้วยหรือ
เพื่อหัวเราะพร้อมเฉลยว่า......ก็ข้าวต้ม กุ๊ย..ไงล่ะ เพือก[/b]

ฮาดีครับพี่ตะวัน คิดได้ไงอ่ะ ข้าวต้มฮุนเซน วันหลังถ้ามีโอกาสไปกิน จะขอใช้คำนี้มั่ง
 emo20:)):) 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 21:38:42
อ้างถึง
ข้อความของ เต้ ณ บ้านครู เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 10:36:52
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 08:39:34
ข้าวต้มฮุนเซน
 วันก่อนเจอเพื่อนไม่ได้เจอกันนาน คุยกันจนเย็นย่ำ ท้องก็ส่งเสียงร้องเตือนว่า หิวๆๆๆ
เพื่อนเลยชวนว่า ไปหาอะไรกินกันดีฝ่า
แล้วไปกินอะไรดีล่ะ???

ต่างคนต่างเสนอ เลยตกลงกันไม่ได้ เงียบไปพักหนึ่ง
มีเพื่อนคนหนึ่ง โพล่งออกมาว่า

ไปกินข้าวต้มฮุนเซน  ดีกว่า
งงกันละซี้ อึ้งกิมกี่กันไปพักหนึ่ง
ข้าไม่เคยได้ยินเลยวะ..มีข้าวต้มฮุนเซน ขายด้วยหรือ
เพื่อหัวเราะพร้อมเฉลยว่า......ก็ข้าวต้ม กุ๊ย..ไงล่ะ เพือก[/b]

ฮาดีครับพี่ตะวัน คิดได้ไงอ่ะ ข้าวต้มฮุนเซน วันหลังถ้ามีโอกาสไปกิน จะขอใช้คำนี้มั่ง
 emo20:)):) 

น้องเต้ ไม่สงวนลิขสิทธ์ครับ เอาไปฮากันได้นะครับ ยิ่งมากยิ่งดี


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 21:40:59
อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 09:36:16
สวัสดีค่ะ  พี่ตะวัน ..
หวัดดีน้องหยี ซำบายดีบ๊อ???
พักนี้วุ่นๆ เลยไม่ค่อยได้โพสต์
แต่คิดถึงน้องๆทุกคนครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 21:42:09
วุ่นเช่นกันค่ะ .. งานเข้า ทั้งราษฎร์ ทั้งหลวง และงานการกุศล
คิดถึงพี่มากมาย
ได้รับเมล์จากพี่ด้วยนะคะ  ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 21:43:43
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 21:40:59
อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 09:36:16
สวัสดีค่ะ  พี่ตะวัน ..
หวัดดีน้องหยี ซำบายดีบ๊อ???
พักนี้วุ่นๆ เลยไม่ค่อยได้โพสต์
แต่คิดถึงน้องๆทุกคนครับ

 emo19:((:ใจคอจะไม่คิดถึงพี่ๆเพื่อนๆด้วยรึ อดีตroommate emo7:(:


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 21:47:14
ไปดู หนัง ขงจื๊อ มามีข้อคิดดีๆ เอามาฝาก ครับ

  บ้านเมืองจะสงบได้ มิใช่แค่กฎหมายควบคุมบังคับ
แต่ต้องให้ประชาชนได้รับการศึกษาด้านคุณธรรม จริยธรรม
ก็ไม่ต้องกังวลว่า บ้านเมืองจะไม่สงบเจริญรุ่งเรือง

และอีกข้อ

บัณฑิต ย่อมไม่เป็นทุกข์ เพราะว่า ไม่มีฐานะตำแหน่ง
แต่ควรเป็นทุกข์ เพราะไม่มีคุณธรรม


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 21:50:25
อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 21:43:43
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 21:40:59
อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 09:36:16
สวัสดีค่ะ  พี่ตะวัน ..
หวัดดีน้องหยี ซำบายดีบ๊อ???
พักนี้วุ่นๆ เลยไม่ค่อยได้โพสต์
แต่คิดถึงน้องๆทุกคนครับ

 emo19:((:ใจคอจะไม่คิดถึงพี่ๆเพื่อนๆด้วยรึ อดีตroommate emo7:(:

เหี่ยวๆแบบเอ็ง คิดถึงก็เหี่ยวแห้ง
สวยๆ แบบน้องหยีค่อยน่าคิดถึงกว่าตั้งเยอะ..จริง มะ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553, 22:05:43
จริงจ้ะ ..      emo21:):):


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: opas ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553, 16:36:44
ไม่มีความเห็น   มาได้ไม๊ครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553, 06:19:47
พี่ตะวัน และพี้น้องซีมะโด่ง ไปซื้อฉบับประวัติศาสตร์เก็บไว้ให้ลูกหลานดู รึยัง?
(http://img408.imageshack.us/img408/2683/mgrpdf20100227page01.jpg)
(http://img408.imageshack.us/img408/3300/mgrpdf20100227page08.jpg)
พลาดไม่ได้ ต้องซื้อฉบับประวัติศาสตร์เก็บไว้ให้ลูกหลานดู
อย่าให้เสียชื่อว่าอยู่เมืองไทย คนเมกามีเก็บไว้แล้ว นี่คือยุคดิจิตอล


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 มีนาคม 2553, 12:56:53
นาฬิกาแห่งการโกหก


โดนัลด์ รัมเฟลด์ ได้ตายลงและไปยังสวรรค์ ขณะที่เขานั่งลงหน้า เซนต์ปีเตอร์ ที่ประตูมุก
เขามองเห็นกำแพงขนาดมหึมาเต็มไปด้วยนาฬิกาอยู่เบื้องหลัง

เขาจึงถามว่า " นาฬิกาพวกนั้น มันคือ อะไรน่ะ "
เซนต์ ปี เตอร์ ตอบ "มันคือ นาฬิกาแห่งการโกหก ทุกๆคนบนโลกจะมีนาฬิกานี้คนละ 1 เรือน
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณโกหก เข็มนาฬิกาของคุณจะเคลื่อนไป"


" โอ.." รัมเฟลด์ กล่าว " นั่นมันนาฬิกาของใครกัน"

" นั่นเป็นของแม่ชีเทเรซ่า เห็น มั๊ย ว่าเข็มนาฬิกาไม่เคยเคลื่อนที่ไปเลย แสดงว่าหล่อนไม่เคยโกหกเลยสักครั้ง"

" เหลือเชื่อจริง ๆ" รัมเฟลด์ ถามต่อ "แล้วนั่นของใครกันล่ะ"

เซนต์ ปี เตอร์ ตอบ " นั่นคือนาฬิกาของ อับบราฮัม ลินคอล์น เข็มนาฬิกาเดินไปสองครั้ง
 บอกให้รู้ว่า อับราฮัม พูดโกหก แค่ 2 ครั้งเท่านั้น ตลอดชั่วชีวิตของเขา"

" เอ๊ะ แล้วนาฬิกาของ ทักษิณ อยู่ไหนกันล่ะ" รัมเฟลด์ ถามต่อ

" อ๋อ นาฬิกาของ ทักษิณ อยู่ในห้องทำงานของพระผู้เป็นเจ้าน่ะ ท่านกำลังใช้มันแทนพัดลมเพดาน "


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 มีนาคม 2553, 13:01:13
เหลือเชื่อ!! สุดยอดไอเดียบรรเจิด ประกาศจับ “นช.แม้ว-หญิงอ้อ” พุ่งเฉียด 8 แสน
 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 มีนาคม 2553 05:16 น.




สุดยอดไอเดียบรรเจิด เมื่อนักท่องอินเทอร์เน็ตหัวใส ใช้นามแฝง “musicxpresso” นำโปสเตอร์ประกาศจับ “นช.ทักษิณ” ควงคู่ “หญิงอ้อ” มาเปิดประมูลเคาะราคากันอย่างดุเดือดผ่านเว็บไซต์อีเบย์ โดยตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ 0.99 เหรียญสหรัฐ ปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น จนล่าสุดเมื่อรุ่งสางของวันนี้ เช็กราคาล่าสุด 12.45 น. วันที่ 4 มี.ค.พบว่า ยอดกระฉูดถึง 23,300 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 768,900 บาท
       

      ไอเดียสุดบรรเจิด นักท่องอินเทอร์เน็ตหัวใส ใช้นามแฝง “musicxpresso” นำโปสเตอร์ประกาศจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร มาเปิดประมูลเคาะราคาผ่านเว็บไซต์ “อีเบย์” (eBay) ผลปรากฏว่า เพียงระยะเวลาไม่นานเรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อประกาศจับ พ.ต.ท.ทักษิณ กับอดีตภริยา กลายเป็นที่สนอกสนใจ จนทำให้จากเดิมราคาประมูลเริ่มต้นที่ 0.99 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 33 บาท แต่พอผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เปิดประมูล โปสเตอร์ดังกล่าวกลับทำเงินได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา มีการฟาดฟันราคากันอย่างดุเดือด
       
       โดยจากการที่เฝ้าติดตามการประมูลครั้งนี้พบว่า ราคาประมูลเมื่อเช้ามืดวันที่ 4 มีนาคม เวลาประมาณ 05.00 น. ราคาประมูลโปสเตอร์ประกาศจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณพจมาน ปาเข้าไป 8,000 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 264,000 บาท ล่าสุดเวลา 12.45 น. วันที่ 4 มี.ค.พบว่า ราคาประมูลพุ่งขึ้นไปถึง 23,300 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 768,900 บาท

       
       สำหรับผู้ที่พลาดโอกาสการประมูลเมื่อวานนี้ไปไม่ต้องเสียอกเสียใจ เพราะเจ้าของโปสเตอร์ยังเหลือเวลาให้ร่วมประมูลอีกหลายวัน ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม จนถึงวันที่ 9 มีนาคมนี้ ซึ่งน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งว่าสุดท้ายแล้วราคาประมูลโปสเตอร์ดังกล่าวจะไปจบลงอยู่ที่เท่าไหร่ และใครจะเป็นผู้ที่ได้โปสเตอร์นี้ไปครอบครอง ต้องติดตามกันต่อไป
       


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 04 มีนาคม 2553, 21:13:38
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 04 มีนาคม 2553, 12:56:53
นาฬิกาแห่งการโกหก


โดนัลด์ รัมเฟลด์ ได้ตายลงและไปยังสวรรค์ ขณะที่เขานั่งลงหน้า เซนต์ปีเตอร์ ที่ประตูมุก
เขามองเห็นกำแพงขนาดมหึมาเต็มไปด้วยนาฬิกาอยู่เบื้องหลัง

เขาจึงถามว่า " นาฬิกาพวกนั้น มันคือ อะไรน่ะ "
เซนต์ ปี เตอร์ ตอบ "มันคือ นาฬิกาแห่งการโกหก ทุกๆคนบนโลกจะมีนาฬิกานี้คนละ 1 เรือน
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณโกหก เข็มนาฬิกาของคุณจะเคลื่อนไป"


" โอ.." รัมเฟลด์ กล่าว " นั่นมันนาฬิกาของใครกัน"

" นั่นเป็นของแม่ชีเทเรซ่า เห็น มั๊ย ว่าเข็มนาฬิกาไม่เคยเคลื่อนที่ไปเลย แสดงว่าหล่อนไม่เคยโกหกเลยสักครั้ง"

" เหลือเชื่อจริง ๆ" รัมเฟลด์ ถามต่อ "แล้วนั่นของใครกันล่ะ"

เซนต์ ปี เตอร์ ตอบ " นั่นคือนาฬิกาของ อับบราฮัม ลินคอล์น เข็มนาฬิกาเดินไปสองครั้ง
 บอกให้รู้ว่า อับราฮัม พูดโกหก แค่ 2 ครั้งเท่านั้น ตลอดชั่วชีวิตของเขา"

" เอ๊ะ แล้วนาฬิกาของ ทักษิณ อยู่ไหนกันล่ะ" รัมเฟลด์ ถามต่อ

" อ๋อ นาฬิกาของ ทักษิณ อยู่ในห้องทำงานของพระผู้เป็นเจ้าน่ะ ท่านกำลังใช้มันแทนพัดลมเพดาน "

เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  กร้ากๆๆๆๆๆ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 มีนาคม 2553, 14:49:25
วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 12:59:32 น.   มติชนออนไลน์

งัดเศรษฐศาสตร์แนะทักษิณ

โดย วรากรณ์ สามโกเศศ

คนไทยที่รู้ร้อนรู้หนาวกำลังกังวลอย่างใจจดใจจ่อกับความแค้นของอดีตนายก รัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ข้อมูลที่เห็นกันก็คือกลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงสนับสนุนการกลับมาของอดีตนายกฯ ทักษิณอย่างเปิดเผยและอย่าง "ลับ ลวง พราง" และต่างกำลังพยายามระดมผู้คนจากทั่วประเทศเพื่อบีบให้รัฐบาลยุบสภาเพื่อ เลือกตั้งใหม่ ในการตัดสินใจเดินหน้าครั้งนี้ของคุณทักษิณ เศรษฐศาสตร์สามารถช่วยในการตัดสินใจที่เหมาะสมสำหรับคุณทักษิณได้เป็นอย่าง ดี


บัดนี้เป็นที่ชัดเจนจากการยอมรับอย่างเปิดเผยจากทุกฝ่ายและจากตัวคุณ ทักษิณเอง ว่าคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และคุณทักษิณ คือสิ่งเดียวกันทั้งหมด โดยมีเป้าหมายคือการกลับมามีอำนาจอีกครั้งผ่านการนิรโทษกรรมคดีทั้งหมดและ การคืนทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ศาลพิพากษาให้ยึดเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่ว่าข้ออ้างในการประท้วงคือเพื่อ "ล้มล้างอำมาตย์" "เพื่อแก้ไขสอง "มาตรฐาน"" "เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงคืนมา" ฯลฯ แต่ประชาชนไทยส่วนใหญ่ก็เห็นชัดเจนว่าเป้าประสงค์ที่แท้จริงก็คือการช่วย เหลือคุณทักษิณอย่างเดียว


ความรู้เศรษฐศาสตร์ในเรื่องแรกที่จะช่วยในการตัดสินใจเดินหน้าของคุณ ทักษิณก็คือสิ่งที่เรียกว่า income effect (ผลจากรายได้) อธิบายได้ง่ายๆ ก็คือเวลาเราถูกหวย เงินเดือนขึ้นสองขั้น ได้รับมรดก ได้เงินก้อนใหญ่มา ฯลฯ จะรู้สึกว่าตนเอง "รวย" ขึ้น เพราะจะสามารถจับจ่ายซื้อของหรือทรัพย์สินได้เพิ่มขึ้น และมีทางโน้มที่จะใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้น


ในทางตรงกันข้าม เมื่อสูญเสียเงินจะรู้สึกว่าตนเอง "จน" ลง และมีพฤติกรรมที่จะใช้จ่ายเงินน้อยลง หรือหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการสูญเสียเงิน ก้อนใหญ่


เงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่อยู่ในรูปธนบัตรใบละ 1,000 บาท หากเอามาวางเป็นตั้งจะมีความสูงถึง 5.842 กิโลเมตร หนัก 18.4 ตัน การสูญเสียเงินไปขนาดนี้ย่อมทำให้คุณทักษิณรู้สึก "จน" ลงอย่างแน่นอน (ไม่ว่าจะมีเหลือสักกี่หมื่นล้านบาทก็ตาม) ดังนั้น โอกาสที่ "ท่อน้ำเลี้ยง" จะไหลโจ๊กเพื่อสนับสนุนการชุมนุมอย่างเต็มที่เป็นไปได้น้อยเพราะมนุษย์ทุกคน หลีกหนี income effect ไม่พ้นเพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น


ประการที่สอง ปัญหา Principal-Agent ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และบริหารธุรกิจ เป็นสิ่งที่หลีกไม่พ้น การมี "ตัวแทน (agent)" ทำงานแทน "ตัวการ (principal)" ไม่ว่าจะเป็นนายหน้า ทนายความ "แกนนำสู้แล้วรวย" สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ดูแลผลประโยชน์ กรรมการบริษัท ฯลฯ เกิดปัญหาขึ้นเสมอเพราะ "ตัวแทน" มักจะปฏิบัติในลักษณะที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ตนเองมากกว่าผลประโยชน์ของ "ตัวการ"


ไม่ว่า "ตัวการ" จะพยายามออกแบบระบบจูงใจ "ตัวแทน" ดีอย่างไร "ตัวการ" ก็จะประสบปัญหาเสมอ ยิ่งผลประโยชน์ตอบแทนยิ่งสูง จำนวน "ตัวแทน" ยิ่งมากและซับซ้อนในโครงสร้าง ยิ่งระยะทางและการควบคุมยิ่งห่าง ปัญหา Principal-Agent จะยิ่งสูง ดังนั้น "ตัวการ" มีโอกาสสูญเสีย "ค่าจ้าง" หรือผลประโยชน์สูงเนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์นั้น ไม่ว่า "ตัวแทน" จะเป็น "คนดี" อย่างไรก็อดมองไปที่ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลักไม่ได้


คุณทักษิณได้ประสบปัญหา Principal-Agent มาตลอดจนน่าจะสูญเสียเงินทองไปมากมาย ไม่ว่าจะออกแบบระบบจูงใจอย่างไรคุณทักษิณไม่มีวันเอาชนะประเด็น Principal-Agent ตามหลักวิชาการไปได้เลย


ประการที่สาม นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์และเชื่อว่ามนุษย์ไม่มีเหตุมีผล เหมือนดังที่เคยเชื่อกันมา ตัวอย่างแรกก็คือ "การเฮโลคิดกันไปตามฝูงชน (herd mentality) ของมนุษย์ไม่ว่าในเรื่องหุ้น เรื่องฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ การเห่อสินค้า (black นะครับ ไม่ใช่ blueberry เหมือน blueberry cheese cake) ฯลฯ มนุษย์ไม่ใช่ผู้ชอบวิเคราะห์ข้อมูลอย่างแข็งขัน ถ้าเชื่ออะไรสักอย่างแล้ว จะมีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมในการโน้มน้าวใจตนเองให้เห็นว่าสิ่งที่เขา เชื่อนั้นเป็นจริง


การตัดสินคดีว่าคุณทักษิณ "ซุกหุ้น" ตลอดช่วงสองเวลาของการเป็นนายกรัฐมนตรี (ผู้พิพากษาลงมติเป็นเอกฉันท์) และประพฤติมิชอบใน 5 คดีโดยใช้อำนาจหาประโยชน์ให้แก่ครอบครัวตนเองถือได้ว่าเป็นการสร้างความเสีย หายอย่างใหญ่หลวงแก่ชาติในสายตาประชาชนทั่วไป (ABAC โพลระบุว่าเกือบร้อยละ 60 เห็นว่าคุณทักษิณควรยอมรับคำตัดสิน ซึ่งมีนัยว่าคนเหล่านี้เห็นว่าคุณทักษิณทุจริตจริง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนต่างประเทศ (ถ้าเป็นฝรั่งก็เรียกว่าการตัดสินครั้งนี้ damaging สำหรับตัวคุณทักษิณอย่างยิ่ง)


เชื่อได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันโดยเฉพาะคนที่อยู่ตรงกลางหรือ กลางแบบเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง บัดนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการ "เฮโลคิดไปตามฝูงชน" กระแสประชาชนที่จะช่วยคุณทักษิณเข้าใจว่าเหือดแห้งไปมากโดยสามารถใช้ความ เข้าใจมนุษย์ของเศรษฐศาสตร์มาช่วยอธิบาย


ประการที่สี่ นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมอธิบายว่าสาเหตุที่มนุษย์ผิดพลาดก็เพราะการคิดเข้า ข้างตนเอง กล่าวคือมนุษย์นั้นเข้าใจ รับรู้รับทราบ รัก ชอบ (อย่างที่นักจิตวิทยาเรียกว่า perception) อย่างที่ตนเองเลือกที่จะรับรู้รับทราบ เข้าใจ เกลียด รักชอบ ฯลฯ ("ความรักทำให้ตาบอด" "ตัวเองดีที่สุด ถูกต้องเสมอ") จนเกิดความเอนเอียงและมักตัดสินใจไปอย่างขาดสติ


คุณทักษิณก็อยู่ในสภาวการณ์เช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งโลก กล่าวคือเลือกที่จะรับรู้รับทราบอย่างที่ใจตนเองต้องการ ยิ่งอยู่ห่างบ้าน ห่างข้อมูล มีแต่ "ตัวแทน" ซึ่งมีวัตถุประสงค์แห่งผลประโยชน์แตกต่างกันอยู่รายล้อม แถมมีเงินและมีความเคียดแค้นเป็นเจ้าเรือน การตัดสินใจของคุณทักษิณจึงน่าจะไม่อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลที่ใกล้โลกแห่ง ความเป็นจริงนัก


คนที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกับคุณทักษิณจะมองเห็นว่าการ "ออกแรง" บีบรัฐบาลครั้งนี้มีโอกาสประสบผลสำเร็จต่ำ เพราะเชื่อว่า "การเฮโลคิดไปตามฝูงชน" ได้เกิดขึ้นแล้วจากการที่ได้เห็นคำพิพากษา ดังนั้น การอาศัยฝูงชนจึงทำได้ไม่ง่าย แถมเศรษฐีแฟนคลับต้องช่วยควักกระเป๋าในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปแทนคุณทักษิณ ที่ถูกฤทธิ์ income effect ความไหลคล่องของน้ำเลี้ยงจึงน่าจะน้อยลงไป


สมมุติว่า "ออกแรง" ได้สำเร็จจนยุบสภา เลือกตั้งใหม่ กลุ่มคุณทักษิณได้มาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง คิดหรือว่ากฎหมายนิรโทษกรรมและการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำได้ง่ายๆ เมื่อครั้งตอนรัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชายซึ่งคุณทักษิณ "แข็งแกร่ง" กว่านี้มากยังไม่สามารถทำได้ เหตุใดจะสามารถทำได้ในอนาคตซึ่งมีความไม่แน่นอนเป็นอันมากในการได้กลับมา เป็นรัฐบาลอีกครั้ง (ซึ่งคุณทักษิณก็ไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกหากรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้รับการแก้ไข) แค่หา "ตัวแทน" สักคนที่สังคมพอยอมรับได้เสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ครั้งที่จะถึงนี้ยังหาไม่ได้เลย


หากประมวลและประเมินประโยชน์ (benefit) และต้นทุน (cost) ภายใต้การตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผลแล้ว สามารถใช้เศรษฐศาสตร์ช่วยตอบได้ว่าคุณทักษิณควรทบทวนการ "ออกแรง" 12 มีนาคมนี้ เพราะ "เสีย" สูงกว่า "ได้" มาก การ "เสีย" นั้นจะมีผลลามไปถึงครอบครัว ญาติพี่น้อง อีกมากมาย และหากมีผู้คนล้มตายจากการจลาจลและคุณทักษิณตกเป็นจำเลยคนสำคัญของแผ่นดิน


ถ้าหยุดเสีย ทำใจให้ได้ และหาความสุขกับเงินที่มีอยู่อีกนับหมื่นล้านบาทและกับครอบครัวในเวลาที่ เหลือของชีวิต และกับการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ อย่างจริงใจให้กับสังคมไทย คุณทักษิณจะมีทั้งความสุขและจะพอมีที่พิเศษอยู่ในหัวใจของคนไทย และประวัติศาสตร์จะบันทึกไว้อย่างเมตตา


คนมีเงินไม่ถึงหมื่นบาทยังมีความสุขได้ ความสงบในจิตใจได้ ทำไมคนมีเงินเป็นหมื่นล้านบาทจึงหาความสุขในชีวิตไม่ได้ ทำไมคุณทักษิณไม่หาความสุขจากสิ่งที่มีแทนที่จะมีความทุกข์กับอดีต และหวังว่าจะมี "ความสุข" กับอนาคตอันแสนเลือนรางซึ่งสุดแสนสุ่มเสี่ยงต่อการก่อให้เกิดอันตรายแก่ ชีวิตของคนไทยด้วยกันเอง ชื่อเสียงของตัวเองในประวัติศาสตร์และคนที่คุณทักษิณรัก





หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 05 มีนาคม 2553, 15:16:43
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 04 มีนาคม 2553, 12:56:53
นาฬิกาแห่งการโกหก


โดนัลด์ รัมเฟลด์ ได้ตายลงและไปยังสวรรค์ ขณะที่เขานั่งลงหน้า เซนต์ปีเตอร์ ที่ประตูมุก
เขามองเห็นกำแพงขนาดมหึมาเต็มไปด้วยนาฬิกาอยู่เบื้องหลัง

เขาจึงถามว่า " นาฬิกาพวกนั้น มันคือ อะไรน่ะ "
เซนต์ ปี เตอร์ ตอบ "มันคือ นาฬิกาแห่งการโกหก ทุกๆคนบนโลกจะมีนาฬิกานี้คนละ 1 เรือน
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณโกหก เข็มนาฬิกาของคุณจะเคลื่อนไป"


" โอ.." รัมเฟลด์ กล่าว " นั่นมันนาฬิกาของใครกัน"

" นั่นเป็นของแม่ชีเทเรซ่า เห็น มั๊ย ว่าเข็มนาฬิกาไม่เคยเคลื่อนที่ไปเลย แสดงว่าหล่อนไม่เคยโกหกเลยสักครั้ง"

" เหลือเชื่อจริง ๆ" รัมเฟลด์ ถามต่อ "แล้วนั่นของใครกันล่ะ"

เซนต์ ปี เตอร์ ตอบ " นั่นคือนาฬิกาของ อับบราฮัม ลินคอล์น เข็มนาฬิกาเดินไปสองครั้ง
 บอกให้รู้ว่า อับราฮัม พูดโกหก แค่ 2 ครั้งเท่านั้น ตลอดชั่วชีวิตของเขา"

" เอ๊ะ แล้วนาฬิกาของ ทักษิณ อยู่ไหนกันล่ะ" รัมเฟลด์ ถามต่อ

" อ๋อ นาฬิกาของ ทักษิณ อยู่ในห้องทำงานของพระผู้เป็นเจ้าน่ะ ท่านกำลังใช้มันแทนพัดลมเพดาน "

                 
               Joke นี้อ่านแล้ว ฮา ครับ  อ่านแล้วนั่งหัวเราะ หึ หึ อยู่คนเดียว  ค่อยหายเครียดขึ้นมานิดหนึ่ง

               จากเหตุการณ์ที่กำลังขมึงเกลียวเข้ามาทุกทีในช่วงนี้


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 มีนาคม 2553, 20:55:44
ชวนไปฟังดนตรี

                เพลงประชาชนฉลองวันสตรีสากล
วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2553 เวลา 17:30 - 21:00 น.
ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร


เอกลักษณ์ของรูปแบบการจัด
การจัดงานแสดงดนตรีในครั้งนี้ จะมีลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิมที่ผ่านมาบางประการ:

1.ไม่เน้นความอลังการของดนตรีในรูปแบบวงมโหรีขนาดใหญ่ แต่เป็นการแสดงดนตรี “ของแท้” จากฐานที่มั่นของนักต่อสู้ในอดีตที่ร้องมาตลอด 40 ปีแล้ว
2.เน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในหมู่ผู้เข้าร่วม เช่น การร้องเพลงร่วมกัน และจะมีการรำวงร่วมกันในแต่ละช่วงของ โดยเป็นการรำวงตามแบบฉบับของแท้จากฐานที่มั่นในอดีต
3.การแสดงปาฐกถาโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เนื่องในวันสตรีสากล

ผู้กล่าวในงานวันสตรีสากล
1.คุณดุษฎี พนมยงค์
2.คุณศรีสว่าง พั่ววงศ์แพทย์
3.คุณสุภิญญา กลางณรงค์
4.คุณพัชณีย์ คำหนัก
5.คุณสินี จักรธรานนท์
6.ป้าผึ้ง
7.ป้าขวัญ

เพลงที่จะร้องในงาน
เป็นเพลงเกี่ยวกับสตรีเนื่องในงานวันสตรีสากล และเพลงประชาชนอื่น ๆ จำนวนประมาณ 20 เพลง และมาร่วมพบกับนักร้องรับเชิญจากเขตงานต่าง ๆ เช่น

1.คุณกมล สุสำเภา (ส.ประดิษฐ์ ที่มั่นแดง)
2.คุณศุภลักษณ์ สุวรรณประสพ (ก้อย กงล้อ - ส.แวว ศิลปิน 82)
3.คุณประพร จันโท (ส.เทิด ภูพาน)
4.คุณรุ่งรวี สิทธินันทน์ (ส.คำราม ที่มั่นแดง)

สิ่งที่ท่านจะได้รับจากงานนี้

1.การฟังเพลงปฏิวัติที่หาโอกาสได้ยาก
2.การรำวงมาตรฐานของอดีตนักปฏิวัติ
3.การพบปะ สมานมิตรกับมิตรสหายจากทั่วทุกภูมิภาค
หวังว่าจะได้พบมิตรสหายจากทั่วเขตงาน ทั่วทุกภูมิภาคมาร่วมงานกัน แต่อย่าลืมจองที่นั่งล่วงหน้า มีที่นั่งจำกัด
รายได้และค่าใช้จ่ายในการจัดงาน
งานนี้ขอรับบริจาคจากผู้เข้าร่วมงานท่านละ 300 บาท (สามารถบริจาคได้เพิ่มเติมตามอัธยาศัย) เพื่อมอบให้ชมรมมิตรสัมพันธ์ ซึ่งเป็นชมรมที่ช่วยเหลือมิตรสหายอดีตนักปฏิวัติอาวุโสที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการยังชีพ
โดย โอนเงินเข้าบัญชี น.ส.นงลักษณ์ จตุเทน
เลขที่บัญชี 748-2-03431-9
ประเภทบัญชีออมทรัพย์
ธ.กสิกรไทย สาขาย่อยเซ็นทรัลพระรามที่ 3
และโปรดส่งใบโอนเงิน ถึง คุณจันทิรา สระทองเขียว โทรสาร 0.2295.1154 โทรศัพท์ 08.2522.6064


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 มีนาคม 2553, 14:26:04
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kyun8z-b9ccb6.jpg)

  ขอให้พระจงคุ้มครอง บ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 มีนาคม 2553, 14:38:51
ก่อนถึง 14 มีค. 53 การชุมนุมหญ่าย ของเอแดง
มีเรื่องตลกๆมาให้อ่าน จากข้อเขียนข้างล่างนี้


ตัวตลกเสื้อแดงPosted by PinMEMO on Apr 12, '09 2:03 PM for everyone
Link: http://evolution.diaryis.com/?20090411

วันที่ 10 เมษายน 2009
ตัวตลกเสื้อแดง

เหลือง ของเราคือธรรมประจำจิต
แดงของเราคือโลหิตอุทิศให้

ต่อไปนี้ชาว ธรรมศาสตร์จงอย่าปล่อยให้ใครเอาสีของสถาบันเราไปใช้ก่อความวุ่นวายอีกต่อไป

วัน ที่ 09 52เมษายน ที่ผ่านมา
ผมนั่งรอประชุมอยู่ในห้องแล็ปที่จุฬาฯ
แล้ว ข่าวก็ประกาศเข้ามาในห้องว่า
รถแท็กซี่เสื้อแดงปิดล้อมอนุเสาวรีย์ฯ ไว้แล้ว
ผมจึงต้องโดดประชุมกลับบ้านไปก่อน

ครั้งถึงบ้านน้องสาวคน เล็กก็โทรมา
ถามว่าผมกลับบ้านแล้วหรือยัง
บอกว่าติดอยู่จุฬาฯ กลับบ้านไม่ได้
แม่กำลังไปรับ ก็ออกไม่ได้
ก็ขอโทษน้องไปเพราะไม่รู้ ว่าน้องก็ไปมหาวิทยาลัย

กลับถึงบ้านผูกเนคไทสีดำแล้วขับรถฝ่าออกไป งานศพตอนห้าโมงเย็น
ข่าวกลุ่มคนเสื้อแดงปิดล้อมคนทะยอยประกาศออกมาจุด แล้วจุดเล่า
รถก็ติด ฝนก็ตกหนักจนมองแทบไม่เห็นรถคันหน้า
กว่าจะถึง งานศพที่วัดพระศรีมหาธาตุก็ปาเข้าไปทุ่มครึ่ง
เหลือแค่เจ้าภาพกับศพ ส่วนพระกลับกันหมดแล้ว

ทานข้าวกับอาจารย์ที่งานศพต่อแล้วออกไปหา เพื่อนที่รัชโยธิน
กินข้าวกันได้สักพักผมก็ชวนน้อง D. (ชื่อย่อ) กับน้อง P. กลับบ้าน
เนื่องจากว่าข่าวไม่ค่อยดีเลยตัดสินใจกลับพร้อมๆ กัน
ขับ รถคนละคันตามๆ กันไป มีอะไรจะได้ช่วยกันถูก

ผมตัดสินใจขับรถตรงไป ขึ้นทางด่วนดินแดง
โดยที่ไม่ได้ขึ้นโทลเวย์เพราะคิดว่าดึกแล้วรถคงไม่ติด
หา รู้ไม่ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงทำการปิดล้อมทางขึ้นทางด่วนไว้แล้ว

ขับๆ ไปจนถึงด่านปิดล้อมที่หนึ่ง
ผม น้อง D. และน้อง P. ก็ชะลอรถ
เนื่อง จากมีรถขับสวนย้อนศรมาจำนวนมาก
ผมเลยโทรหาน้อง D. ที่อยู่ฝั่งซ้าย
น้อง D. บอกว่าจะตัดสินใจกลับรถ
แต่ผมเหลือบไปเห็นคนเสื้อแดง เอามอเตอร์ไซด์กั้นถนนไว้
ผมเลยตัดสินใจโทรบอกให้น้อง D. และน้อง P. ช่วยกันกดแตร
ถ้าเราสามัคคีกันมันต้องกลัวพวกเราแน่นอน

แล้วผมก็ เริ่มกดก่อน ปิ๊น สั้นๆ
น้อง D. กับน้อง P. ก็เริ่มกดตาม
พวกเราลด กระจกลงแล้วบอกให้รถคันอื่นช่วยกันกด
มอเตอร์ไซด์เสื้อแดงก็กล้าๆ กลัวๆ เดินมาขวางทางไว้
ผมตะโกนออกไปด้วยเสียงของว้ากเกอร์ โปรเจคเสียงไปข้างหน้า
พลางเข้าเกียร์ N เอาไว้แล้วเหยียบคันเร่งดังๆ

"ผม จะนับหนึ่งถึงสิบ"
บรึมๆๆๆๆ
"นับถึงสิบเมื่อไหร่อย่าหาว่าผมไม่เตือน นะ"
ในใจก็คิดว่าถ้าถึงสิบแล้วมันไม่เปิดกุกลับรถก็ได้วะ
คนอย่างผม ไม่กล้าขับรถชนให้มีเรื่องกับพวกนี้หรอก
บรืนๆๆๆๆ
รถคันข้างๆ ก็ช่วยกันกดไล่ม็อบ
นับยังไม่ทันถึงห้าด่านที่หนึ่งก็แตกพ่าย
พวก มอเตอร์ไซด์เสื้อแดงโบกให้รถพวกเราผ่านไปโดยดี

ขับต่อไปได้ไม่กี่ กิโลเมตร
พวกเสื้อแดงขวางทางรถบรรทุกเอาไว้ด้านซ้าย
รถคันที่ผ่านมา ก่อนก็ตัดสินใจจะกลับรถ
เนื่องจากมีรถสวนกลับมาเป็นระยะ
ผมเห็นตำรวจ ยืนโบกให้กลับรถอยู่ตรงหัวมุม
ในขณะที่เสื้อแดงยืนกร่างเอามอเตอร์ไซด์ ขวางถนน

ผมลดกระจกรถลงแล้วตะโกนออกไปนอกรถดังๆ
"คุณมีสิทธิอะไรมา ยืนขวางถนน"

เสื้อแดงโพกแขนความจริงวันนี้รีบหันมาตอบว่า
"พี่ๆ พันธมิตรบุกมา ผมรีบมาเตือนพี่"
ไอ้เราก็รีบตามน้ำเลยครับว่าพันธมิตรมา จริงๆ เหรอ
"งั้นรีบเปิดทางเลยผมจะรีบไปไล่พันธมิตร"

มันทำหน้าเห วอแล้วหันไปมองหน้ากัน
ผมรีบตะโกนซ้ำออกไปว่า
"นี่พวกเมิงคิดว่ากุ โง่เหรอไง"
"ข่าวก็บอกว่าพวกเมิง ปิดถนนไว้ยังจะมาใส่ร้ายพันธมิตร"
"น้อง P. ถ่ายรูปมันไว้เลยครับ อัดเสียงไว้ด้วย เอาไปทำข่าว"
ผมรีบตะโกนบอก น้อง P. ในรถอีกคันที่จบทางสื่อสารมวลชน
"ไหนพูดอีกทีดิ๊ว่าพวกเสื้อแดง หรือว่าพันธมิตร"
พวกมันก็ตอบว่ารู้แล้วจะมาถามทำไม

"มอเตอร์ไซด์ คันหน้าของใคร" ผมถามซ้ำ
เจ้าของมอเตอร์ไซด์หน้าโง่รีบวิ่งออกมา
ผม รีบตะโกนถามหาใบขับขี่
"ใบขับขี่อยู่ไหน เอาออกมาเดี๋ยวนี้"
ตามฟอร์ม ครับมันต้องบอกว่าไม่ได้พกมา
"แล้วบัตรประชาชนล่ะ"
มันก็บอกว่าไม่ได้ พกมาอีกแล้วครับท่าน
เข้าทางผมพอดีผมเปิดไฟสูงแล้วหันไปบอกคุณตำรวจ
ว่า ใบขับขี่ บัตรประชาชนไม่ได้พก เอารถขวางถนน
คุณตำรวจจัดการยกรถไปเลยครับ

ตำรวจ ยืนงงเลยครับ
หันมาหาผมแล้วรีบขับมอเตอร์ไซด์หนีไป
ตำรวจไทย แก้ปัญหาด้วยการหนีปัญหา
ผมรีบตะโกนไล่หลังว่า "ระวังจะโดนสอบวินัย"

เอา ละสิครับเหลือแต่พวกผมกับเสื้อแดง
ตำรวจก็ไม่อยู่ช่วยดันหนีกลับไปอีก
ผม ทำใจดีสู้เสือรีบตะคอกใส่พวกมัน
"ตำรวจพวกมันยังกลัวกุ พวกเมิงจะเปิดไม่เปิด"
พวกมันรีบเปิดทางให้ผมกับน้องๆ ที่ตามมา
"ผม รีบตะคอกใส่ซ้ำว่า รู้ว่าไม่ดีแล้วทำไมยังทำ"
ตอกย้ำความผิดในมโนสำนึก ที่ยังพอมีเหลือของพวกมัน
พวกมันตอบคำถามผมไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องปิดถนน
ผม รีบถามซ้ำว่า "จ้างมาเท่าไหร่"
เสื้อแดงที่ดูเป็นหัวหน้ากลุ่มรีบตอบว่า
"ไม่ ครับ พวกผมมาด้วยใจ ไม่มีใครจ้างมา"
ผมเลยรีบอำต่อไปว่า "ยังจะมาโกหกอีก"
"ด่านที่แล้วเค้าบอกว่าจ้างมาสองพัน"
ทั้งๆ ที่ด่านที่แล้วไม่ได้คุยกันสักคำ

เจ้าของมอเตอร์ไซด์รีบหันมาด่าคน ที่เหมือนหัวหน้าว่า
"อ้าวพี่ แล้วทำไมให้พวกผมแค่พันเดียว"
แล้ว เสื้อแดงก็เริ่มแตกคอกันไปเอง
ผมตะโกนไล่หลังว่า
"เค้ารับมาสองพันให้ พวกเมิงแค่พันเดียว"
"วันก่อนมีคนโดนเบี้ยวไม่จ่ายตังค์ด้วย"
ไอ้ เสื้อแดงหัวโจกก็โดนลูกน้องรุมซัก
ผมตะโกนขู่ซ้ำว่าจะให้ตำรวจมายกรถไป
พวก มันเลยรีบเปิดถนนให้พวกผมขับผ่านไป

ขับตรงต่อมาไม่กี่กิโล
มีรถ สวนกลับมาอีกบอกว่าด่านจ่ายค่าผ่านทางปิด
ผมกับน้องๆ ที่มาด้วยกันจึงตัดสินใจกลับรถ
โชคดีที่เจอตำรวจใจดีเปิดทางให้ขึ้นโท ลเวย์
ผมขับรถสวนทางขึ้นไปกลับรถบนโทลเวย์
เสียวก็เสียวรถขับสวนมา เร็วๆ แต่ก็รู้สึกสนุกดี
จะว่าไปตำรวจดีๆ ก็มีเหมือนกันแฮะ

คืน นั้นออกจากรัชโยธินมาสี่ทุ่ม
กว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปเที่ยงคืน
กลับ ถึงบ้านผมโทรบอกขอโทษน้อง D. กับ P.
ที่ผมพาไปเสี่ยงอันตรายยามค่ำคืนแบบ นี้
น้องๆ ก็ไม่โกรธ แถมบอกว่าประสบการณ์คืนนี้สนุกดี
พวกเสื้อแดง ปัญญาอ่อนกลายเป็นตัวตลกไปเลย


เช้าวันที่สิบ
แม่ครัวที่จ้าง ให้ทำกับข้าวมาขอลางาน
ผมก็ถามไปว่าจะลาไปไหน
คุณเธอก็รีบตอบมาว่าลา ไปเข้ากลุ่มเสื้อแดง
ผมถามว่าเค้าให้มาคนละเท่าไหร่
แม่ครัวที่บ้าน รีบตอบว่าให้คนละห้าร้อย
ผมก็เลยอนุญาตให้ลางานได้
แล้วก็บอกว่าให้ไป เขียนใบลาออกต่อด้วยเลย
แม่ครัวหน้าจ๋อยไม่ยอมไปม็อบ


ตอนบ่ายๆ ได้ข่าวจากนราธิวาส-สาธร ว่า
ชาวสาธรออกมาไล่ม็อบเสื้อแดงผ่านไปได้
แถม เปิดดูคลิปเห็นธงแดงโดนเผาก็สะใจไม่น้อย
หารู้ไม่ว่าผ่านไปอีกแค่วัน เดียวเท่านั้นเอง
ประเทศไทยจะโดนย่ำยีจนเสียหายขนาดนี้

เอาคืนมา กันเถอะครับพี่น้องธรรมศาสตร์ที่รักของผม
สีเสื้อของพวกเรา อย่าให้เขาเอาไปใส่แอบอ้างต่อไปอีกเลย


GentleManiac
11 เม.ย. 2552 เวลา 22:38 น.


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 มีนาคม 2553, 14:54:38
เพียงแวบเดียวที่เห็น แกนนำที่จะมาชุมนุม (แปลงโฉม เพื่อมิให้ ตำรวจจำได้)
คุณจะหลงรักแกนนำ(สาว)เสื้้อแดงทันที



(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kywj6u-5a6e2b.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 มีนาคม 2553, 14:59:01
ใครว่า เสื้อแดงโหดร้าย
ผมม่ายเชื่อ ลองดูซิครับ
ร้อยบาท เหยียบขี้หมา 1 กอง ใครจะ รองมั้ยครับ

(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kywjhu-75f13e.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 07 มีนาคม 2553, 21:13:27
วันนี้แถวบ้านผมเอารถกระจายเสียงเชิญชวนชาวบ้านเข้าร่วมชุมนุมวันที่ 14 มีนา


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2553, 11:57:43
เป็ดเหลิม” ขี้ขึ้นสมอง!! หอบสังขารหนีไปนอกช่วงเสื้อแดงชุมนุม  
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 มีนาคม 2553 00:11 น.
 
 
 “เฉลิม” หัวหด!! ดอดหลบอุณหภูมิการเมืองร้อน หนีไปสิงคโปร์ช่วงเสื้อแดงชุมนุม อ้างไปพบเพื่อน ก่อนหน้าที่จะเดินทางได้ไปเยี่ยม “จิ๋ว” แจ้งแล้วไม่อยู่วอร์รูมเพื่อไทย และจะเดินทางกลับเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย
       
       วานนี้ (10 มี.ค.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวว่า ตนทราบข่าวจากแหล่งข่าวว่าจะมีทหาร 3 กองร้อยจากค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เดินทางมาปักหลักที่วัดบางบอน ซึ่งอยู่ใกล้บ้านตน ตอนเวลาประมาณตี 5 ของเช้าวันที่ 11 มี.ค.เพื่อติดตามการชุมนุมของคนเสื้อแดง แต่ตนจะไม่อยู่ที่บ้านเพราะเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ เพื่อไปพบเพื่อนและจะเดินทางกลับเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง
       
       ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ตนได้เดินทางไปพบ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎแล้ว เพื่อแจ้งว่าจะไม่อยู่ประชุมวอร์รูมที่พรรคเพื่อไทยระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง และก็คาดว่า พล.อ.ชวลิต ก็จะไม่เข้าร่วมวอร์รูมด้วยเช่นกันเนื่องจากยังต้องใช้เวลารักษาตัวอีกหลายวัน

 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2553, 12:07:14
แดงเผาเมืองแน่!! “สงค์” เตือน “มาร์ค” ระวังคนในลอบสังหาร 
 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 มีนาคม 2553 11:17 น.
 
 
 
 “ประสงค์” เชื่อเสื้อแดงเผาเมืองแน่ คาดมวลชน 8 หมื่นเข้ากรุง พร้อมจัดคนคุมศูนย์ราชการนับ 10 จังหวัด รับสงสารแดงไม่รู้อีโหน่อีเหน่ร่วมม็อบโดนพวกเดียวกันทำร้ายสร้างสถานการณ์ ปูดแดงฝึกฮาร์ดคอร์ไว้ลำตะคองก่อนส่งปาบึ้มโยนความผิดรัฐ เชื่อแก๊งนักโทษหวังสถาปนารัฐไทยใหม่ คาดสามเกลอไม่ได้วางแผนเอง จี้รัฐอย่ากลัวผีนรก วอนคนไม่เกี่ยวข้องอย่าจุ้นม็อบ แนะชาวชุมชนลุกสู้ต้านคนป่วน ชี้หากรัฐคุมไม่อยู่คนที่รักษาความมั่นคงจะจัดการเอง เย้ย “ทักษิณ” ชาตินี้ก็ไม่มีทางชนะ เสียดายไม่น่าเกิดในแผ่นดินไทย จี้รัฐหากชนะเลิกจับงูข้างหางเหตุจะไม่ยืดเยื้อ เตือน “มาร์ค” ระวังคนในลอบสังหาร
       
       

       
       วันนี้ (11 มี.ค.) ที่สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ถึงแนวโน้มของสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เท่าที่ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอดเห็นว่าการเตรียมการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคพวก มีความพร้อมยิ่งกว่าสมัยที่ผ่านมา เพราะมีสัญญาณหลายอย่างที่แสดงให้เห็น เช่น การปลุกระดมผ่านเวทีชุมนุม ทางสื่อโทรทัศน์และวิทยุของกลุ่มคนเสื้อแดง การหาประชาชนเข้าร่วมชุมนุม และการจัดหารถขนส่ง ส่วนเรื่องความขัดแย้งในการจ่ายเงินสนับสนุนก็ยอมรับว่ามีจริง แต่คนทำงานใหญ่เขาทำงานกันมาเป็นเดือนแล้ว ซึ่งตนเตือนว่าอย่าประมาทในจำนวนคน ทั้งนี้ ตนยังเชื่อว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะมีวิธีการที่นำปฏิบัติรุนแรงกว่าเหตุการณ์เมื่อเดือนเมษายน ปี2552
       
       ขณะที่การเคลื่อนตัวของมวลชนคนเสื้อแดงก็ต้องมองทั้งในส่วนกลาง และต่างจังหวัด โดยในต่างจังหวัดก็มีมวลชนส่วนนึงในพื้นที่ที่คาดว่าไม่ต่ำกว่า 10 จังหวัด เพื่อเฝ้าระวังในจุดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการจังหวัด ส่วนคนที่เข้ามาในกรุงเทพมหานครก็มาตามจุดนัดหมายตั้งแต่ วันที่ 12 ซึ่งตนคาดว่าในวันที่ 14 นี้ จะมีคนเข้ามามาก แต่ไม่น่าจะเกิน 80,000 คน
       
       “ผมสงสารคนเสื้อแดงที่เข้ามาชุมนุมทั้งจากการชักชวนหรือว่าจ้าง โดยไม่รู้เรื่องว่าจะมีการปฏิบัติการจากคนพวกเดียวกัน ซึ่งได้รับการฝึกฝนอยู่ที่ลำตะคองเป็นเดือนๆ และไม่ได้เข้ามามือเปล่า ซึ่งคนพวกนี้ผ่านการใช้อาวุธ กระสุน ระเบิดมาแล้ว และข่าวที่ว่ามีการจัดซื้อขวดเปล่า ขณะนี้ก็นำเข้ามาอยู่ใน กทม.แล้ว สิ่งที่ต้องระวังคือการยิง ปาระเบิด นอกจากระเบิดมือ และระเบิดวาง ก็คือระเบิดขวด ซึ่งตรงนี้จะประมาทไม่ได้ เพราะมีการรวบรวมดำเนินการอย่างนี้จริงๆ และผมเชื่อว่า แนวโน้มความรุนแรงจะมีมากกว่าเก่า คนเสื้อแดงที่ไม่รู้เรื่องน่าสงสารที่สุด เพราะอะไรที่ยิงเข้าไปในกลุ่ม คนเสื้อแดงก็จะโทษรัฐ ทั้งๆ ที่เป็นฝีมือพวกเดียวกันทำ จนถึงการเผาบ้านเผาเมืองก็เป็นไปได้” น.ต.ประสงค์ กล่าว
       
       ส่วนเป้าหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคพวกในการชุมนุมครั้งนี้นั้น น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า มี 3 อย่าง คือ 1.ล้มอำนาจรัฐ 2.จัดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารปกครองอำนาจเบ็ดเสร็จ และ 3.สถาปนารัฐไทยใหม่ ฉะนั้นการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ยุบสภา แต่แฝงไว้ด้วยการจราจล จากการที่แกนนำข่มขู่ อาฆาตมาดร้ายไว้หลายครั้ง ซึ่งตนเชื่อว่าการวางแผนทั้งหมดไม่ใช่ฝีมือสามเกลอ แต่มีอีกพวกหนึ่ง และจะไม่ได้วางแผนเพียงแค่แผนเดียว ซึ่งการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ไม่ใช่แผนเดียว แต่เป็นเพียงแผนแรก ถ้าไม่สำเร็จก็จะมีอีกแผนให้ยืดเยื้อต่อไป ขณะที่จะสำเร็จหรือไม่ ตนเห็นว่าขึ้นอยู่กับรัฐซึ่งมีจุดแข็งคือกำลังพล อาวุธ และกฎหมาย แต่ก็มีจุดอ่อน คือ ถ้ารัฐทำงานเป็นคงไม่ลากมาถึงเหตุการณ์ช่วงนี้ ที่ผ่านมาดูเหมือนกับว่ากลัวอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ผิดกับคนกลัวผี ถ้ายิ่งกลัวผีก็ยิ่งมาหา สิ่งที่น่าจะจัดการได้กลับไม่ทำ การใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ก็เหมือนเอายันต์มากันผีหลอก แต่ครั้งนี้ผีไม่ได้มาตัวเดียว มาทั้งแดนนรก แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมา 2-3 วันก็ดูรัฐทำงานกระฉับกระเฉงขึ้น ถือเป็นสิ่งที่ดี ส่วนกรณีแนวคิดรัฐไทยใหม่ของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ตนยังเชื่อว่าประชาชนจะไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวที่จะสถาปนาประเทศโดยไม่มีระบบพระมหากษัตริย์ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ยอมแน่
       
       น.ต.ประสงค์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องระวังในขณะนี้คือความอลหม่าน ถ้าหากมีการใช้ระเบิดก็จะมีความอลหม่านเกิดขึ้นมีการล้มตาย และทำให้มีการปราบปราม ซึ่งรัฐบาลจะเสียเปรียบ ส่วนของภาคประชาชนที่ไม่ใช่กลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ตนขอให้ประชาชนเข้าใจว่าศึกครั้งนี้ไม่ใช่การเผชิญหน้าของคน 2 ฝ่าย แต่เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องคุมสถานการณ์ จึงขอให้ประชาชนอย่าเข้าไปยุ่งในเหตุการณ์เป็นอันขาด โดยประชาชนส่วนใหญ่ต้องช่วยกันดูแลภายในชุมชนที่อาศัย หากมีใครเข้ามาก่อเรื่องในชุมชน ชาวชุมชนและในหมู่บ้านใกล้เคียงต้องลุกขึ้นมาต่อต้าน และตอบโต้กลับไปอย่างถึงที่สุด พร้อมทั้งขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ทราบทิศทางของสถานการณ์ ถ้าหากคนเหล่านี้เลยเถิดไปก่อปัญหากับสถาบัน ก็ขอให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศออกมาปกป้อง ขณะที่ทางภาครัฐก็ควรใช้สื่อของรัฐให้ข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่องจนจบสถานการณ์ เพื่อประชาชนจะได้ติดตามข่าวสารได้โดยไม่ต้องมาดูเหตุการณ์ในพื้นที่
       
       ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างสถานการณ์เพื่อให้มีการนิรโทษกรรมตัวเองแบบสมัยพฤษภาทมิฬนั้น น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า เขาอาจจะคิดอย่างนั้น แต่เขาวางแผนก้าวล่วงเกินไปแล้ว ซึ่งเชื่อว่าฝ่ายรัฐจะสามารถจัดการได้ และหากรัฐทำไม่ได้คนที่รักษาความมั่นคงก็จะมีวิธีจัดการ ทั้งนี้ ขอตำหนิรัฐที่ปล่อยปละละเลยให้มีการละเมิดสถาบัน และจาบจ้วง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ตนไม่เห็นว่ารัฐจะใส่ใจจัดการคนผิดกฎหมาย เลยทำให้คนพวกนี้ได้ใจ แต่ส่วนตัวแล้วเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชาตินี้จะไม่มีทางชนะ ซึ่งตนเสียดายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่น่าเกิดมาในแผ่นดินไทยที่ให้ได้โกงได้มหาศาลแล้วยังจะกระทำอย่างนี้อีก ขณะที่ภาครัฐหากชนะครั้งนี้ได้ก็จะต้องเลิกจับงูข้างหาง ต้องจัดการหัวโจกตามกฎหมาย แต่ถ้ายังทำปกติก็จะมีเหตุการณ์ยืดเยื้อต่อไป ทั้งนี้ ขอเตือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องระวังความปลอดภัยให้มากที่สุด โดยเอาบทเรียนของการลอบสังหารผู้นำต่างประเทศมาศึกษา โดยเฉพาะคนในต้องระวังเป็นพิเศษ

 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 11 มีนาคม 2553, 16:07:41
(http://img294.imageshack.us/img294/1029/fffi.gif)
ขอขอบคุณ นสพ.แนวหน้า


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 11 มีนาคม 2553, 20:45:42
กลุ้มใจ  เมื่อฝ่ายมั่นคงไม่ถึง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 13 มีนาคม 2553, 05:49:15
บทพิสูจน์ "ไม่มีใครจ้าง กูมาเอง?"

แจกกันจะจะ เสื้อแดงนครพนมรับหัวละสองพันก่อนล่องกรุง

นี่คือ ประชาธิปไตย แบบ ทักษิณ ชินวัตร ซื้อกันด้วยเงินครับ

ประเทศไทยราคาเท่าไรกัน? มีหมื่นล้านบาท ก็ซื้อและยึดเอาไว้ได้

การเมือง ไม่ใช่เรื่องสนุก แต่เป็นเรื่องของเงิน ขอแย้งพี่ตะวันสักครั้งเต๊อะ

พี่น้องซีมะโด่ง กรุณาดูวิดีโอ จาก youtube

http://www.youtube.com/watch?v=izNHIDiBTT8


(http://img169.imageshack.us/img169/7852/a02f.jpg)

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4765.new.html
 (http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4765.new.html)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 13 มีนาคม 2553, 07:16:33
(http://img215.imageshack.us/img215/2452/mgrpdf20100313page16.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มีนาคม 2553, 08:45:20
เมื่อพระสงฆ์เมินกระบวนการยุติธรรม - ถึงเวลาที่"ฆราวาส"ต้องตัดสิน!
 
 นสพ.ผู้จัดการ ออนไลน์ :โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 13 มีนาคม 2553 07:22 น.
 
 
  บรรดาแกนนำเสื้อแดงเคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่า ในการชุมนุมวันที่ 14 มี.ค.นี้ จะมีพระภิกษุสงฆ์เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างน้อยถึง 20,000 รูป ซึ่งหากเป็นจริง ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจพอสมควร เนื่องจากจะเกิดคำถามตามมาอีกมากมายว่า พระสงฆ์องคเจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย หรือเป็นการสมควรหรือไม่ ที่พระสงฆ์จะเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองกับฆราวาส หรือแม้แต่ ใช่เป็นกิจของสงฆ์หรือไม่
       
       คำถามดังกล่าวยังไม่มีใครสามารถตอบให้กระจ่างได้ นอกจากตัวพระคุณเจ้าเอง แต่สิ่งที่ได้เห็นและเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา อันเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้นำไทยนั้น มีพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งเดินกันให้จีวรปลิวว่อนภายในศาล เรียกว่า ไปลุ้นระทึกยิ่งกว่าเจ้าของทรัพย์เสียอีก ส่วนที่รั้วกำแพงนอกศาล ก็เห็นภาพพระคุณเจ้า บ้างก็เดินสะพายย่าม ถลกจีวรขึ้นบ่าไปมาราวกับนักเลงวังหลัง บ้างก็นอนเอกเขนกบนเตียงผ้าใบ ที่ญาติโยมคนเสื้อแดงจัดมาถวาย แถมข้างๆเตียงยังมีขวดเครื่องดื่มชูกำลังให้พระคุณเจ้า คอยยกจิบเอาแรงอีกต่างหาก
       
       ภาพเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ย่อมเกิดคำถามดังกล่าวเบื้องต้นตามมา ในขณะที่ตัวพระคุณเจ้าเองไม่ได้นึกถึงความมีและความเป็นแห่ง"สมณสารูป" คือความประพฤติอันสมควรของสมณะ แม้แต่น้อย สิ่งที่ปรากฏผ่านสื่อไปยังสาธารณชน จะทำให้เกิดวิกฤติ"ศรัทธาไทย" คือการทำให้ศรัทธาเสื่อมไปหรือไม่ พระคุณเจ้าไม่ได้คำนึงถึง ในขณะเดียวกัน การเดินทางมาของพระสงฆ์ยังทำความหนักใจให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจตรา และรักษาความสงบเรียบร้อยด้วย เพราะด้วยความเป็นเมืองพระพุทธศาสนา เมื่อเห็น"ผ้าเหลือง" ตำรวจย่อมต้องมีความ"กริ่งเกรงใจ"บ้างอยู่แล้ว การที่จะไปเคร่งครัดกับพระคุณเจ้า ก็ดูเหมือนจะปฏิบัติเกินขอบเขตไปเช่นกัน ข้อสำคัญ มักไม่มีใครกล้าเข้าไปว่ากล่าวตักเตือน
       
       หรือในกรณีของ "พระมหาโชว์ ทัสนีโย" ที่จาบจ้วงกระบวนการยุติธรรมและขึ้นเวทีด่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ หรือ "พระครูสุเทพสิทธิคุณ" เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง จ.เชียงใหม่ ที่ปลุกระดมให้พระสงฆ์ออกมาชุมนุมร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดง ก็เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับสมณสารูปเช่นกัน
       
       สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ระบุไว้ชัดเจนถึงการที่กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศว่า จะมีพระสงฆ์เข้าร่วมชุมนุมกว่า 20,000 รูปว่า ไม่น่าจะมีพระสงฆ์เข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะไม่เหมาะสม หรือถ้าจะมีพระสงฆ์เข้าร่วมชุมนุม ก็ไม่สมควร เพราะบทบาทของพระสงฆ์ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองอยู่แล้ว
       
       "ตามประกาศและคำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่องห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่ พ.ศ.2538 เป็นต้นมา ก็ห้ามพระสงฆ์ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนั้นไม่ควรไปละเมิดกฎ ระเบียบ ประกาศหรือคำสั่ง ยิ่งเป็นพระสังฆาธิการที่มีตำแหน่งทางการปกครอง เช่น เป็นเจ้าคณะ ยิ่งไม่สมควร เพราะเท่ากับเป็นการไม่เคารพกฎที่มหาเถรสมาคมวางเอาไว้ ที่สำคัญประชาชน จะติเตียนและเสื่อมศรัทธาในสถาบันสงฆ์"สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ระบุไว้
       
       แม้พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจะมีธรรมวินัยคอยกำกับดูแล เสมือนหนึ่งเป็นตัวบทกฏหมายควบคุมความประพฤติ และวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์อยู่แล้ว แต่เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ในเมืองไทย โดยฝ่ายอาณาจักร จึงได้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ขึ้น เพื่อให้คณะสงฆ์ผู้ปกครอง ก็คือมหาเถรสมาคส(มส.) ใช้กฏระเบียบบังคับวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง อีกทั้งในอดีตที่ผ่านมา "การเมือง" เป็นฝ่ายรุกเข้าไปหาพระสงฆ์มากขึ้น โดยเฉพาะการเลือกตั้งแทบทุกพื้นที่ "นักการเมือง"ต้องเข้าไปอาศัยพึ่งใบบุญพระสงฆ์ในพื้นที่ ให้ช่วยชี้นำหรือแนะนำชาวบ้านเพื่อลงคะแนนเลือกตั้งให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะถือว่า พระสงฆ์เป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณ เมื่อชี้แนะใครแล้ว ยากที่ชาวบ้านจะปฏิเสธได้
       
       เมื่อพระสงฆ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากขึ้น จนกระทั่งไปเข้าร่วมในการชุมนุมหลายต่อหลายครั้งในการเมืองทุกระดับ ทาางมหาเถรสมาคม จึงได้ออก คำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่องห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ.2538 ลงวันที่ 2 มกราคม 2538 ระบุไว้ว่า " ....4. ห้ามพระภิกษุสามเณรเข้าไปในที่ชุมนุม หรือบริเวณสภาเทศบาล หรือสภาการเมืองอื่นใด หรือในที่ชุมนุมทางการเมือง ไม่ว่ากรณีใดๆ 5. ห้ามพระภิกษุสามเณรทำการใดๆ อันเป็นการสนับสนุนช่วยเหลือโดยตรง หรือโดยอ้อมแก่การหาเสียง เพื่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสภาเทศบาล หรือสภาการเมืองอื่นใด แก่บุคคลหรือคณะบุคคลใดๆ 6. ห้ามพระภิกษุสามเณรร่วมชุมนุมในการเรียกร้องสิทธิของบุคคลหรือคณะบุคคลใดๆ 7. ห้ามพระภิกษุสามเณรร่วมอภิปราย หรือบรรยายเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งจัดตั้งขึ้นทั้งในวัดหรือนอกวัด 8. ให้พระสังฆาธิการตั้งแต่ชั้นเจ้าอาวาสขึ้นไป ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการปกครอง ชี้แจงแนะนำผู้อยู่ในปกครองของตน ให้ทราบคำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ และกวดขันอย่าให้มีการฝ่าฝืนละเมิด 9. พระภิกษุสามเณรรูปใด ฝ่าฝืน ละเมิด คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้พระสังฆาธิการปกครองใกล้ชิดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของตน ถ้าความผิดเกิดขึ้นนอกเขตสังกัด ให้เจ้าคณะเจ้าของเขตที่ความผิดเกิดขึ้น ว่ากล่าวตักเตือน แล้วแจ้งให้พระสังฆาธิการผู้ปกครองใกล้ชิดดำเนินการ 10. ให้พระสังฆาธิการผู้มีอำนาจหน้าที่ในทางปกครองทุกชั้น ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งมหาเถรสมาคมนี้โดยเคร่งครัด"
       
       ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาอย่าง ศาสตราจารย์จำนงค์ ทองประเสริฐ เคยระบุไว้ในหนังสือพระพุทธศาสนากับสังคมและการเมืองว่า "ในสมัยพุทธกาล พระพุทธศาสนาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย พระพุทธเจ้าได้ทรงดำเนินการพระศาสนาอย่างอิสระ ไม่ขึ้นต่อพรรคการเมืองใดๆ หรือระบอบการปกครองใดๆทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงสามารถประกาศพระศาสนาไปได้ทุกประเทศแว่นแคว้นไม่เลือกว่าแคว้นนั้นๆจะมีการปกครองในระบอบใด พระศาสนาสามารถชำแรกเข้าสู่จิตใจของประชาชนได้ทุกชาติชั้นวรรณะและทุกเพศทุกวัย ในระยะ เวลา 45 ปี ที่พระองค์ทรงประกาศพระศาสนา พระองค์ได้เสด็จจาริกจากแคว้นโน้นมาแคว้นนี้ จากแคว้นนี้ไปสู่แคว้นโน้นตลอดเวลา การดำเนินการเผยแผ่ศาสนาของพระองค์และบรรดาสาวกทั้งหลายมิได้ถูกแทรกแซงจากผู้ปกครองประเทศและนักการเมืองใดๆทั้งสิ้น พระองค์ทรงทำงานอย่างเป็นอิสระจริงๆ ทั้งนี้ก็ได้รับความอุปถัมภ์จากบรรดาผู้ปกครองและประชาชนด้วยดี แต่เป็นการให้ความอุปถัมภ์อย่างบริสุทธิ์ใจ มิได้มีการเมืองมาปะปนเลย การเผยแผ่พระศาสนาจึงดำเนินไปด้วยดีและบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่ง ในสมัยนั้นไม่มีนักการเมืองใดที่ใช้พระศาสนาเป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจ หรือในการหาเสียงเลย พระศาสนาจึงสามรถทรงตัวอยู่ได้ด้วยดี และอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องตลอดมา ในอดีต การที่พระพุทธศาสนาอยู่ได้ เพราะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง"
       
       ปัจจุบัน แทนที่พระสงฆ์จะนำคุณธรรมและจริยธรรมไปสู่นักการเมือง กลับกลายเป็นว่า นักการเมือง มาชักนำและชักจูงพระสงฆ์ให้ห่างไกลออกไปจากคุณธรรมและจริยธรรมอย่างชัดเจน ซึ่งหากปล่อยให้เกิดกรณีเช่นนี้ต่อไป ในอนาคต คงต้องเชิญนักการเมือง และนักปลุกระดมขึ้นธรรมาสน์เทศน์แทนในเทศกาลงานบุญต่างๆแทนพระสงฆ์กระมัง?
       
       ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่พุทธศาสนิกชน ฆราวาสอย่างเรา จะต้องตัดสิน วัตรปฏิบัติของพระสงฆ์บางกลุ่ม ที่ยังดื้อดึงไม่เชื่อในกระบวนการยุติธรรม และกำลังนำพาชาวบ้านไปสู่ทางแห่งอบาย ด้วยการงดและเว้นไม่เข้าใกล้ ไม่ยืนใกล้ ไม่นั่งใกล้ ฯลฯ จนถึงมาตรการบอยคอร์ตด้วยการไม่ใส่บาตร และยกมือประนมนมัสการ เหมือนดังการเขี่ยดอกไม้ที่ใกล้เน่าในแจกันทิ้งลงถังขยะเสีย ฉะนั้น
       

 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มีนาคม 2553, 14:36:26
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kz7mga-6c74a0.jpg)

     รูปนี้ copy มาครับ ขออนุญาตนำมาเผยแพร่ด้วยนะครับ ( แต่ไมรู้ เจ้าของ)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มีนาคม 2553, 14:38:44
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kz7mk7-0aead3.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มีนาคม 2553, 14:39:37
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kz7mlm-bf6c7a.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มีนาคม 2553, 21:29:33
 อริสมันต์เจอดีแล้ว ศาลอาญาออกหมายจับ ฐานยั่วยุชาวบ้านก่อหวอด
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มีนาคม 2553 19:33 น.
 
 
 
ศาลอาญาอนุมัติหมายจับ อริสมันต์  หลังปราศรัยปลุกปั่นปลุกระดมมวลชน หวังก่อหวอดป่วนเมือง "ไถง" เร่งประสานตม. สกัดจับ หลังมีกระแสข่าวจองตั๋วทิ้งเตรียมบินนอกทิ้ง “หางแดง”
       
       วันนี้(12 มี.ค.) พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ได้สั่งการให้ตำรวจกองปราบปราม นำหลักฐานไปยังศาลอาญา เพื่อขออนุมัติหมายจับ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขออนุมัติหมายจับนายอริสมันต์ ในข้อหาผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่ก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ซึ่งศาลพิจารณาแล้วได้อนุมัติหมายจับ นายอริสมันต์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
       
       สำหรับการขออนุมัติหมายจับครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน และแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปรามให้ดำเนินคดีกับ นายอริสมันต์ ในความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร กรณีที่ปราศรัยในการชุมนุมคนเสื้อแดงที่กองทัพบก เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา และที่เวทีความจริงสัญจร ลานน้ำพุบึงแก่นนคร จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาเข้าข่ายเป็นการชี้ชวนประชาชนให้ก่อความไม่สงบตามสถานที่ราชการ องค์กรอิสระ และบุคคลสำคัญ หลังรับเรื่อง พล.ต.ท.ไถง จึงสั่งการให้รวบรวมหลักฐานไปขออนุมัติหมายจับดังกล่าว
       
       ทั้งนี้ หลังศาลอนุมัติหมายจับตามหมายเลขที่ 611/2553 612/2553 ลงวันที่ 12 มี.ค. นายอริสมันต์ แล้ว พล.ต.ท.ไถง ได้สั่งการให้ตำรวจกองปราบปรามเร่งติดตามตัว นายอริสมันต์ อย่างทันที ขณะเดียวกันพนักงานสอบสวนได้นำหมายจับประสานตำรวจทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งด่านตรวจคนเข้าเมืองตามจุดต่างๆทั่วประเทศเพื่อติดตามจับกุมแล้ว
       
       อนึ่ง เมื่อวันที่ 12 มี.ค. มีกระแสข่าวสะพัดตลอดวันว่า นายอริสมันต์ ได้จองตั๋วเครื่องบินเดินทางไปประเทศอังกฤษวันที่ 14 มี.ค. .

 
 
 

 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 มีนาคม 2553, 11:22:13
เสียงจาก สายัณห์ คนเก่า พี่เป้า คนเดิม

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553

คมชัดลึก > บันเทิง > เพลงไทยลูกทุ่ง

"พี่เป้า"ฉะแดง-ขวิดกันแย่งอำนาจ
 นักร้องขวัญใจคนเดิม พี่เป้า สายัณห์ สัญญา จวกเละ-แดง ทำชาวบ้านเดือดร้อน ฟันธงทักษิณหมดโอกาสกลับเมืองไทย


 สายัณห์ สัญญา นักร้องผู้สนใจข่าวสารบ้านเมืองและไม่ขลาดกลัวต่อการแสดงออกทางความคิดตามระบอบประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ทีมข่าว ”คม ชัด ลึก” ถึงกรณีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในอีก 2 วันที่จะถึงนี้

 “มีคนติดต่อมาแต่เราไม่ไป เรามีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่วิธีการต่อสู้แบบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง การออกมาแบบนี้รถราติดชาวบ้านเดือดร้อน แล้วจะให้เขามาเป็นพวกด้วยได้ไง ถ้าพี่ทำงานตรงนี้พี่จะไม่ใช่วิธีนี้ และวิธีของพี่จะได้ผลดีไม่ต้องกลัวตำรวจด้วย แบบออกมาทำสังคมเดือดร้อนไม่ดี ไม่รู้จะมีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า พี่ว่าเขาทำเกินเลยไปทางแก้มีเยอะแยะ”

 นักร้องขวัญใจคนเดิมบอกอีกว่า การเคลื่อนไหวทุกวันนี้ไม่ว่าฝ่ายใดก็ดูเป็นเรื่องธุรกิจไปหมดแล้ว ไม่ได้คิดถึงประเทศชาติ

 “ถ้ายังคิดและทำแบบนี้ คุณทักษิณไม่มีโอกาสได้กลับเมืองไทยแน่นอน พี่มองว่าวันนี้ทั้งไอ้พวกเหลืองและพวกแดงเขาทำเป็นธุรกิจไปแล้วไม่ว่าเหลืองหรือแดง พวกนี้พาบ้านเมืองเสียหาย เวลามันพูดมีแต่เรื่องน้ำเน่าๆ ใครเป็นอย่างไร ควรแก้ไขอย่างไรมันไม่พูด วันนี้ทุกอย่างกลายเป็นเกมการเมือง หาเงินสนับสนุนกลุ่มตัวเอง“

 เมื่อถามว่าทราบได้อย่างไรว่ามีการรับเงิน พี่เป้า สายัณห์บอกว่า

 “ผมอยากถามว่าที่ออกมาเคลื่อนไหวแบบนี้ทำกันเป็นอาชีพแล้วเหรอ  ทุกเรื่องต้องแก้กฎหมาย แต่ทุกพรรคไม่เห็นมันพูดถึงไอ้ที่น่าพูดไม่พูด ถูกรังแกยังไงก็บอกกับสังคมเลย  แต่นี่ไม่ทำยุกันให้ขวิดกันเหมือนควาย 2 ตัวขวิดกันอยู่ไม่รู้จักจบสิ้น ทำคิดให้เป็นเรื่องๆ ไป มีเด็กแถวบ้านคุยให้ผมฟังว่ามันรับจ้างไป”

 เมื่อถามว่าการชุมนุมวันนี้ต่างจากวันที่ไปขึ้นเวที นปก. อย่างไร นักร้องอมตะคนดังบอกว่า

 “สมัยที่ไปขึ้นเวที นปก. พี่ไม่เคยด่าใคร ที่ขึ้นเพราะไม่ชอบความเป็นเผด็จการ  จะทำอะไรให้นึกถึงประชาชนมากๆ ถ้าคุณทักษิณคิดว่าให้เสื้อแดงทำแบบนี้แล้วคุ้มหรือ อย่ามัวทำเพื่ออำนาจผลประโยชน์ เหตุผลที่พี่ไม่เข้าไปร่วมเพราะมันทำไม่ตรงกับอุดมการณ์ของพี่เลย  ของพี่ต้องเคารพกฎหมาย ทำแล้วไม่ต้องกลัวตำรวจมาจับไม่ต้องกลัวทหารพาไปยิงทิ้ง พูดแล้วคนก็เห็นใจ อยากช่วย ไม่ต้องไปจ้างใครมาเลย สันติวิธี ใครมาอยากอภัยก็ต้องอภัย เมตตาสงสาร พี่เคยพูดนำเสนอพวกมัน แต่มันไม่ให้เราพูด มาทำสังคมเดือดร้อน ชาวบ้านไม่เป็นอันทำมาหากิน เหมือนเป็นพวกอันธพาล หวังคิดแค่ได้เงินมาเคลื่อนไหว  ทำงาน ประชาธิปไตยไม่มีใครปิดบ้านเมืองแบบนี้ ที่ไอ้พวกแดงมันทำเพราะเห็นไอ้พวกเหลืองมันทำแล้วไม่มีใครเอาผิดพวกมันได้ พี่ว่าเลวทั้งคู่เคลื่อนไหวแค่ตอบสนองเจ้านายพวกมันเท่านั้น บ้านเราจะเจริญมากถ้าไม่มีพวกนี้”

 ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าคิดจะไปร่วมกับกลุ่มสีไหนหรือไม่ พี่เป้าตอบทันทีว่า

 “พี่ไม่ไปร่วม ไม่สน อยากให้พวกมันไปชุมนุมที่สนามกีฬาก็ได้คนจะได้ไม่เดือดร้อน มีรั้วรอบขอบชิดปลอดภัยกว่า นี่ออกมาทำชาวบ้านเดือดร้อนปัญญาอ่อนกันรึเปล่า ถ้ารักประชาธิปไตยต้องอย่าให้ใครเดือดร้อน อย่าไปด่ากระทบคนนั้น คนนี้มีข้อมูลก็บอกกันไปเลยด่าไปไม่เกิดประโยชน์เลย“

 ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าการเคลื่อนไหวแบบนี้ในฐานะประชาชนคนหนึ่งมองว่า สุดท้ายคิดว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร

 “พี่ฟันธงเลยว่าพวกนี้ไม่มีทางทำสำเร็จ สุดท้ายบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟมันมีประโยชน์อะไรหรือ ชิงแต่อำนาจ สภาไม่ยุบ ยืดไว้หวงไว้อีกฝ่ายก็จะชิงอำนาจไม่มีทางสงบ พูดไม่มีใครฟังกันแล้ว ด่าไอ้เสื้อเหลืองแล้วมาทำเสียเอง สนองอารมณ์ตัวเองนี่หว่า เราอยากพูดในแบบของเราในอุดมการณ์ของเราแต่มันไม่ให้เราพูดเลยไม่เป็นไร กูไม่ร่วมกับมึงก็ได้“ พี่เป้ากล่าวทิ้งท้ายอย่างจริงจัง
[/color]


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 มีนาคม 2553, 11:29:14
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553

คมชัดลึก > การเมือง > รายงานการเมือง

กงจักรทักษิณ !

 : เมืองพุทธยามนี้ ปกคลุมไปด้วยข่าวร้าย และอวิชชา ฉุดดึงคนจำนวนหนึ่ง
 ตกไปอยู่ในหล่มโคลนแห่งความเท็จ เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว


 ความเป็นพุทธะกับสามัญชน ดุจฝ่ามือหนึ่ง

 แม้สีของฝ่ามือจะแตกต่างกันระหว่างหน้าและหลัง ดำและขาว แต่ก็ยังเป็นฝ่ามือเดียวกัน

 คนเช่น องคุลีมาล หรืออหิงสกะ จึงอาจกลายเป็นพุทธะได้ หากกลับใจไม่เห็นผิดเป็นชอบ มิเห็นกงจักรเป็นดอกบัว

 คนใสซื่อ จริงใจ ถูกลากจูงด้วยคนฉ้อฉล จนดวงตามืดบอด ไม่รู้ว่าสิ่งใดคือกงจักร สิ่งไหนคือดอกบัว

 เมื่อครั้งที่อหิงสกะ บุตรของปุโรหิตถูกอาจารย์ทิศาปาโมกข์หลอกลวงให้ฆ่าผู้อื่น ด้วยหวังให้ถูกคนอื่นฆ่าเสียนั้น อหิงสกะมีความโลภเข้าครอบงำ ปรารถนาผลประโยชน์และอำนาจ ความเป็นมนุษย์ถูกหมู่มารครอบงำ กลายเป็นโทสะจริตโดยไม่รู้ตัว

 ครั้นพระพุทธองค์ ทรงเตือนสติ

 "เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด"

 องคุลีมาล ก็เกิดความฉงนขึ้นในใจ ถามกลับไปว่า

 "ท่านยังเดินอยู่ เหตุไฉนจึงบอกว่าหยุด"

 "ในมือเราปราศจากศัสตราวุธ มิได้เบียดเบียนชีวิตของผู้ใด แต่ท่านสิยังคงกำศัสตราวุธเบียดเบียนชีวิต
เราจึงได้ชื่อว่าหยุด แต่ท่านสิยังไม่หยุด"

 คำของพระพุทธองค์ เสมือนประทีปส่องทะลุโทสะจริต เสียดแทงเข้าไปในใจขององคุลีมาล
จนเกิดสติ ทิ้งดาบแล้วร่ำไห้ เดินตามพระพุทธเจ้ากลับมาที่วัดพระเชตวัน
 ขอบวชเป็นพระภิกษุ บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

 แล้วองคุลีมาล ในพุทธศักราชนี้ อีกนานเท่าใดจะได้รู้สติ เกิดปัญญารู้แจ้ง

 จิตที่รู้แจ้งในความดี ความชั่วนั้น ย่อมจัดอยู่ในกลุ่มผู้รู้แจ้ง ดุจเดียวกับพระพุทธะ

 มีบางคนรู้เรื่องราวของคนอื่นมากมาย หากแต่ไม่รู้จักพุทธะของตนเอง

 กล่าวคือ รู้เพียงกายเนื้อ แต่หาได้รู้กายธรรมไม่

 สูงสุดของความสุข สงบ คือรู้จักทั้งกายและใจตนเอง รู้จักแบ่งแยกดีและชั่ว รู้จักความต้องการที่เพียงพอ

 พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้คราหนึ่งว่า

 "ผู้ใดดวงตาเห็นธรรม ผู้นั้นได้เห็นตถาคต ผู้ใดดวงตาไม่เห็นธรรม แม้เกาะจีวรของตถาคตอยู่ ผู้นั้นย่อมไม่เห็นตถาคต"

 ทำนองเดียวกับ อุปมา นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ คนไม่เห็นโลก

 สัตว์ทั้งหลายที่เกิดกายอยู่ในโลก ต่างไม่รู้สภาพความจริงแท้รอบๆ ตัวเอง กลับมองเห็นกงจักรเป็นดอกบัว หลงใหลและติดยึดจนขาดสติ

 เหตุใดจึงยังมีคนจำนวนหนึ่ง จมจ่อมอยู่ในหล่มโคลนแห่งความชั่วร้ายของนักการเมืองกังฉินอย่าง ทักษิณ ชินวัตร หรือนักสู้ที่มีความแค้นส่วนตัวเป็นที่ตั้ง เหตุเพราะมองไม่เห็นความจริง หรือความจริงถูกบดบังไว้ด้วยผลประโยชน์ ลาภ ยศ สรรเสริญ

 กิเลสที่สั่งสมไว้ คล้ายม่านหมอกที่ปิดบังตา ทำให้เห็นภาพมายาเป็นความจริง และยอมมอบกายถวายชีวิตให้แก่ความชั่วร้าย อย่างไม่ลืมหูลืมตา

 เมื่อมองไม่เห็นโลก จึงมองไม่เห็นหนทางสว่าง ปล่อยให้มิจฉาทิฏฐิเข้าครอบงำ

 "ท่านมานั่งขัดหิน ต้องการอะไรหรือ"

 ศิษย์ผู้หนึ่งถามอาจารย์เซน ด้วยความใคร่รู้ เมื่อเห็นอาจารย์นั่งขัดหินอยู่อย่างขมักเขม้น

 "เราต้องการให้หินนี้กลายเป็นกระจก" อาจารย์ตอบ

 "ในโลกนี้มีด้วยหรือ ที่ขัดหินจนเป็นกระจก" ศิษย์ถามต่อ

 "แล้วที่ท่านหลับตา ลูบคลำกงจักร แล้วเที่ยวป่าวประกาศไปทั่วแว่นแคว้นว่าเป็นดอกบัว ท่านได้พบดอกบัวจริงหรือไม่" อาจารย์ให้สติ

 กงจักร ก็ยังเป็นกงจักร ดอกบัว ก็ยังเป็นดอกบัว

จักร์กฤษณ์ เพิ่มพูล
http://www.oknation.net/blog/chakkrish 
แทน (สุทธิชัย หยุ่น)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 มีนาคม 2553, 11:39:34
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553

คมชัดลึก > บันเทิง > ข่าวทั่วไป


"ดารา"คิดเห็นอย่างไร?กับการชุมนุมของคนเสื้อแดง



เกี่ยวกับเรื่องนี้ ช่วงนี้หลายฝ่ายต่างออกมาแสดงความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ กัน มาดูกันหน่อยดีกว่า ว่าคนบันเทิงบ้านเราคิดกันอย่างไรบ้าง

เริ่มจาก "บอย" ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ ที่ล่าสุดเพิ่งมีผลงานละคร เรื่องหัวใจสองภาค ได้กล่าวอย่างกลางๆ ว่าอยากให้ทุกๆ ฝ่ายนึกถึงผลที่ตามมาก่อนจะทำอะไร

"คือคิดให้ดีก่อนที่จะทำน่าจะดีที่สุด โดยส่วนตัวก็ไม่มีผลกระทบอะไร เพราะก็มีงานถ่ายหนัง ซึ่งกองถ่ายก็ไม่ได้หยุด เราคงจะทำงานอยู่ในกองถ่ายเสียมากกว่า ช่วงนี้คงต้องติดตามข่าวสารนิดหนึ่ง ถ้าหากมีข่าวว่าจะเกิดอะไรขึ้นตรงไหน เราก็แค่หลีกเลี่ยงเส้นทางบริเวณนั้นก็น่าจะพอ” บอยกล่าว

 ถัดมาที่  “โย” ยศวดี หัสดีวิจิตร กล่าวว่าเห็นใจทั้งสองฝ่าย "เราไม่ได้เข้าข้างใคร ถ้าหากคิดว่าสิ่งที่ทำถูกต้องก็ทำไป แต่ต้องดูให้ดีนิดหนึ่ง อย่าให้มีผลกระทบเยอะ ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประเทศชาติหรือประชาชนทั่วไป เพราะเศรษฐกิจบ้านเราตอนนี้ก็ไม่ค่อยดี ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ก็คงมีบ้าง ตอนนี้ก็รอฟังผลอยู่ ว่าแฟชั่นวีกอาทิตย์หน้าจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็ขอให้สามารถทำงานได้ เพราะทุกคนก็มีอาชีพ ไม่ว่าคนเดินถนน หรือทำงานในออฟฟิศก็ต้องผ่านถนนเส้นต่างๆ ที่กล่าวถึง ขอให้ความเป็นธรรมกับคนที่ไม่ได้ร่วมกลุ่มด้วย” โยกล่าวเสียงเรียบ

 ฟากหนุ่มติสต์อย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ได้กล่าวว่า "เรื่องนี้มันเป็นเรื่องไร้สาระ คือว่าทำสิ่งอื่นที่มันมีประโยชน์มากกว่านี้ ผมไม่อยากวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรเพราะรู้สึกเสียเวลา ผมเอาเวลาไปทำอย่างอื่นยังได้ประโยชน์กว่ามานั่งวิเคราะห์เรื่องพวกนี้" ซันนี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ

ในขณะที่ “ชาม” ไอยวริญท์ โอสถานนท์ กล่าวว่า ทั้งนี้คงไม่รู้ว่าผลสรุปของเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร บอกได้อย่างเดียว ว่าต้องไม่ประมาท ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง

"แต่อยากให้ทุกคนสามัคคีไว้น่าจะดีกว่า ส่วนผลกระทบเราคงต้องระวังเวลาไปไหนมาไหน สำหรับชามเอง ตอนนี้ก็เริ่มมีงานแคนเซิลบ้างแล้ว มีหลายคนบ่นๆ กันบ้างซึ่งเราก็เข้าใจ เพราะเรื่องแบบนี้อยู่นอกเหนือความควบคุม ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายได้เร็วที่สุด" ชามบอก

ส่วน  “ขวัญ” อุษามณี ไวทยานนท์ กล่าวว่า อะไรที่ยอมกันได้ก็ยอมกันเถอะ เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศชาติจะทำอะไรก็อย่าคิดถึงประโยชน์ส่วนตัวเพียงด้านเดียว

"อยากให้คิดถึงหน้าตาของประเทศ คิดถึงในหลวง พระราชินี รวมไปถึงทุกคนที่พยายามกู้ชื่อเสียงประเทศของเรา เอาใจเขาใจเรา เรายังรักบ้านตัวเองเลย นี่เป็นประเทศของเรา เราจะไม่รักประเทศของเราเลยหรือ ตัวขวัญเองคงไม่กระทบมาก คงระวังตัวเหมือนคนทั่วไป ถ้าเลี่ยงเส้นทางเหล่านั้นได้ก็คงเลี่ยง แต่ไม่อยากให้คนต่างประเทศมอง ว่าทำไมทะเลาะกันเอง จริงๆ แล้วเมืองไทยเป็นเมืองของคนนักคิด ก็น่าจะคิดเป็นทำเป็น สันติไว้น่าจะดีที่สุด" ขวัญกล่าว

ในขณะที่ "จาตุรงค์ มกจ๊ก" หรือ จาตุรงค์ พลบูรณ์ กล่าวว่ายังมองไม่เห็นเป้าหมายและจุดประสงค์ของกลุ่มชุมนุมว่าต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร

 "ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เหมือนเดือนเมษายนเมื่อปีที่แล้ว ที่มีการปาขวดน้ำมัน มีระเบิด เป็นภาพที่คนต่างชาติก็มองไม่ดี แล้วการชุมนุมโดยมีคนเยอะๆ มันจะสงบได้อย่างไร ไม่เชื่อหรอก เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้ว และที่กลัวที่สุด คือกลัวเหตุการณ์บานปลายและรัฐบาลจะเอาไม่อยู่ ช่วงนั้นคงจะหยุดรับงานและคงไม่ออกจากบ้านและคงไม่พาลูกๆ ออกไปไหน ตอนนี้ห่วงหนังเรื่อง "บ้านฉัน...ตลกไว้ก่อน (พ่อสอนไว้)" มาก เพราะหนังจะเข้าอาทิตย์นี้พอดี พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจะออกมารูปแบบไหน ก็ได้แต่ภาวนาว่าคงไม่เกิดอะไรร้ายแรงเท่านั้น" จาตุรงค์กล่าว

มาปิดท้ายที่วีเจ “วุ้นเส้น” วิริฒิพา ภักดีประสงค์ ซึ่งได้กล่าวด้วยน้ำเสียงปลงๆ ว่า "อะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด เราก็เตรียมตัวโดยการอยู่ในที่ที่มันปลอดภัย คงไม่ตื่นตูมหรือทำอะไรมากมาย อยากให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ เพราะเราไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ถนนบางเส้นทางที่เราต้องสัญจรก็ต้องปิด และไม่มีอะไรดีขึ้นกับประเทศเรา เศรษฐกิจก็แย่ แต่เราก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผลกระทบอย่างแรกคงเป็นเรื่องรถติด แล้วอาจจะมีงานบางอย่างที่ต้องถูกแคนเซิลไปถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา เราเป็นคนตัวเล็กๆ ก็คงทำอะไรไม่ได้ ก็ขออยู่ในที่ที่ของเราดีกว่า" วุ้นเส้นกล่าว


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 มีนาคม 2553, 14:44:30
 
แพทยสภาระบุระดมเลือดเสื้อแดงเป็นการกระทำไม่เหมาะสม

นนทบุรี 15 มี.ค.-นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวแสดงความคิดเห็นกรณีระดมเลือดเพื่อนำไปเทที่หน้าทำเนียบรัฐบาลของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า การเจาะเลือดคนนับแสนคนนั้น ในความเห็นส่วนตัวเชื่อว่า ผู้เจาะครั้งนี้คงไม่ใช่แพทย์ทั้งหมด หรือหากมีแพทย์จริงก็คงเป็นจำนวนน้อยมาก ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม หากมีผู้ร้องเรียนก็สามารถส่งเรื่องต่อกรรมแพทยสภาพิจารณาว่าผิด พ.ร.บ.ประกอบวิชาชีพโรคศิลปะหรือไม่ ส่วนผู้บริจาคไม่สามารถเอาผิดใด ๆ เนื่องจากถือเป็นเรื่องของความสมัครใจ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ เลือดที่มีการระดมจากคนจำนวนมาก ให้ได้ 1 ล้านซีซี. หรือประมาณ 1,000 ลิตร นั้นไม่สามารถตรวจได้ว่ามีเชื้อโรคในกระแสเลือดหรือไม่ ดังนั้น ควรระมัดระวังไม่ให้มีการสัมผัสเลือดดังกล่าว เพราะอาจติดโรคได้ กรณีมีบาดแผลถลอกตามร่างกาย.-สำนักข่าวไทย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 มีนาคม 2553, 14:48:22
นที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 10:47:56 น.   มติชนออนไลน์

"ปู่ชัย"บอกเสียดายเลือดประชดเอาออกบ้างเผื่อหาย เครียด โต้"แม้ว"ต้องรับทุกข์ทรมานแทนมากกกว่าสุขสบาย

ปธ.สภาฯโต้"แม้ว"ไม่ได้สบาย จวกต้องรับทุกข์แทนหนักยันลุยแก้ปัญหาบ้านเมืองต่อ
 "ปู่ชัย"ประชดบอกเสื้อแดงเอาเลือดออกบ้างเผื่อหายเครียดแต่ยังอดเสียดายไม่ ได้

ปธ.สภาฯโต้"แม้ว"ไม่ได้สบาย จวกต้องทุกข์แทนหนัก

เมื่อวันที่ 16 มี.ค. นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินเข้ามาในเวทีคนเสื้อแดงเรียกร้องให้นายชัย และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวออกจากรัฐบาล ว่า ไม่ได้ยิน เห็นแต่ท่านว่าตาชัย แกสบายแล้ว ตนก็ไม่เห็นว่าสบายตรงไหน ตนทุกข์แทนพ.ต.ท.ทักษิณอย่างหนัก


เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่านายชัยได้เป็นประธานสภาฯน่าจะพอใจและถอนตัวได้แล้ว นายชัย กล่าวว่า "ผมไม่เห็นสบายตรงไหน สภาฯยุบผมก็หมดภาระไปเท่านั้น ใครจะอยู่เกิน 4 ปีได้ ระเบียบเขียนไว้ ไม่ต้องไปห่วงอะไร ตาชัยแกก็ไม่ได้สบายอะไร ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณเรียกร้องให้ยุบสภานั้น ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ผมเห็นว่าท่านก็ควรเดินทางมาในประเทศไทย เพื่อมาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ใช่ปล่อยให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟอย่างนี้ ผมอยากเชิญให้ท่านเข้ามา ถ้าท่านต้องการมาเมื่อไหร่ก็บอกรัฐบาลให้ไปรับตัวมาก็ได้ ไม่เห็นยากอะไร กระบวนการยุติธรรมมีอยู่แล้ว"

"ปู่ชัย"ประชดบอก เสื้อแดงเอาเลือดออกบ้างเผื่อหายเครียด

นายชัย ชิดชอบ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงประกาศกรีดเลือดเพื่อนำมาเทหน้าประตูทำเนียบฯ กดดันให้นายกรัฐมนตรียุบสภา ว่า น่าจะประนีประนอมกันได้มากกว่า คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะฟังแล้วก็เห็นว่าจะเอาเลือดไปทิ้งขว้าง เสียดายเลือดมาก


"แต่ก็ดี เพราะบางทีเรากำลังเครียดจัด พอเลือดมันออกไปก็หายเครียด" นายชัยกล่าว


เมื่อถามว่า การนำเลือดไปสาดตามสถานที่ต่าง ๆ ถือว่าส่งสัญญาณรุนแรงหรือไม่ นายชัย กล่าวว่า คงไม่ มันจะระงับบรรเทาเบาบางไป

 

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 16 มีนาคม 2553, 21:11:15
หาบันไดหน่อยพี่ตะวัน  ให้เค้าลงหน่อยตอนนี้ติดอยู่บนยอดไม้


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 17 มีนาคม 2553, 08:05:17


ทักษิณชินวัตร,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตร,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณชินวัตรทักษิ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณชินวั,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณชินวัตรทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณชินวัตรทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวั,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทัก,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณชินวัตรทัก,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทัก,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณชินวัตรทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณ,,,,,,,,ทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณ,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,ทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณ,,,,,,,,ทักษิณช,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตร,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทัก,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทัก,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,กินหัว


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 มีนาคม 2553, 11:29:19
จ้าวฮะ ตอนนี้ จ้าวอยู่ที่ไหนฮะ

          จ้าวฮะ เมื่อคืนผมฟังจ้าวโฟนอินให้พวกเราสู้ต่อ เพื่อจ้าว เพื่อครอบครัวจ้าว ผมรักจ้าวฮะ ผมจะสู้ต่อฮะ จ้าวบอกว่ารักพวกเราทุกๆ คน ผมซึ้งมากน้ำตาไหลเลยฮะ สงสารจ้าวจังฮะ
พวกเราทุกคนรักจ้าวฮะ จะสู้เพื่อจ้าวฮะ ไม่ว่าจ้าวจะบินอยู่จุดไหนๆ ของโลก
          จ้าวฮะ ตอนนี้จ้าวอยู่ที่ไหนฮะ พวกเรา นอนกลางถนน กินตำส้ม ขี้เยี่ยวลำบากมากฮะ น้ำก็ไม่ได้อาบ ฟันก็ไม่ได้แปรง ไปไหนมาไหน ก็ไม่ได้ แต่พวกเราก็ทนเพื่อจ้าวฮะ
          จ้าวฮะ จ้าว เอาลูก เอาเมีย หนีไปอยู่ต่างประเทศนะดีแล้วฮะ เพื่อความปลอดภัยของคุณหนูๆ พวกผมมันลูกชาวไร่ ชาวนา ขนลูก ขนเมียมาสู้เพื่อจ้าว ไม่เป็นไรหรอกฮะ
          จ้าวฮะ แกนนำ สามเกลอปราศรัยมันมากฮะ แต่ไม่รู้ว่าจะพวกเราไปไหนทำอะไรเพื่อใคร ทั้งอ้ายตู่ อ้ายเต้น อ้ายตัวอ้วนๆ พีๆ แต่ละตัว  ใส่สร้อยเพชร สร้อยทอง เส้นใหย่ๆ โตๆ รวยอู้ฟู่ กันทุกเลยฮะเจ้า
          จ้าวฮะ ผมกลัวใอ้สามเกลอมันจะหลอกแดกจ้าวนะฮะ ยิ่งนานวันเห็นพวกมันยิ่งรวยขึ้นๆ แต่จ้าวของผม เห็นจนลงจนลง ทุกวัน เห็นจ้าวหน้าหมอง หน้าซีดเหมือนคนติดฝิ่น ผมยิ่งสงสารจ้าวฮะ
          จ้าวฮะ ผมมาจากสันกำแพง เมืองเจียงใหม่ บ้านเดียวกับจ้าวฮะ อ้ายเพ็ดวัด มันพาพวกผมมาฮะ มันว่ามาก่อนเอาไปห้าร้อย กินอยู่ฟรีรับอีกวันละห้าร้อย ฮะจ้าว
          แต่จ้าวฮะ เพื่อนที่ผมรู้จักที่เขามาจากอุดรที่อ้ายขวัญไช มันพามา เขาบอกว่า จ้าวให้พวกมันทั้งคนละสองพันแนะ ผมได้ห้าร้อยเองฮะจ้าว ไม่รู้ว่าพวกอ้ายเพ็ด มันอม อะป่าว ฮะจ้าว ผมละงง จิงจิงฮะ
          จ้าวฮะ บอกใอ้สามเกลอด้วยว่า ทีหลังตอนจ่ายตัง อย่าเล่นสองมาตรฐานนะฮะ เดี่ยวใครก็นินทาจ้าวได้ว่า สองมาตรฐานเหมือนใอ้พวกนั้นนะ
          จ้าวฮะ พวกเรายึดมันสันติวิธีฮะ ไม่ไปตีนาย ไม่ทำร้ายใคร ถ้าใครให้ไปตีใคร ผมไม่ไปนะจ้าว ถามจิงจิง ฮะ ทันทีที่เสียงปืนดัง จ้าวจะมานำม็อบเหมือนเดิมหรือเปล่าฮะ
          จ้าวฮะ ถ้ายึดสันติวิธีต้องบอกอ้ายกี้ ให้มันหยุดปลุกชาวบ้านให้ระดมน้ำมันมาเผากรุงเทพฯ  แล้วบอกอ้ายพันลบ อ้ายจิ๋ว สองเฒ่าชะแรแก่ชราแล้วไปเลี้ยงหลานเถิดฮะ
          จ้าวฮะ ต้องบอกอ้ายแดงไม่ให้ฝึกทหารดำ ฝึกวางระเบิด ฝึกอะหยั่งๆ ก็บ่ฮุ้ ฮะจ้าว
          จ้าวฮะ ที่จ้าวบอกว่าให้พวกเราล้มพวกอำมง อำมาตย์ อารายเนี่ย ผมไม่รู้จักดอกครับ รู้จักแต่ท่านปุโรหิต ท่านโหราจารย์ในหนังจักรๆ วงศ์ ตอนเช้าในวันเสาร์ อาทิตย์ ตามช่อง 7 จะให้พวกไปล้มมันไหมฮะ เดี่ยวผมจัดให้ฮะ รับรองได้ผลฮะ
          จ้าวฮะ เขียนมาซะยาว ตอนนี้สะตังค์ ผมจะหมดแล้วฮะ โดนหักหัวคิวไปหลายบาท หมดตังแล้ว ผมจะปิ๊คเลยนะจ้าว รอจ้าวจ่ายรอบใหม่ผมกับพวกจะมาแห่มรอบฮะ


ขอให้จ้าวรักษาตนให้อยู่รอดพ้นจากพวกปอกลอกนะฮะ
ทัดดาวแท้ หาทองทา[/color]

 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 มีนาคม 2553, 22:22:30
"โอ๊ค"ทวิตเลือดแดงล้างง่ายกว่า"ถุงยาง"ในทำเนียบฯ ช่วงพธม.ยึด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 17 มีนาคม นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ได้ทวิตข้อความในเว็บบล็อกทวิตเตอร์ ว่า

 "กลุ่มเสื้อแดงเทเลือดหน้าทำเนียบ มันคือเลือดบริสุทธิ์แห่งความเสียสละเพื่ออุดมการณ์
 เพื่อความยุติธรรม เพื่อประชาธิปไตย เพราะเป็นเลือดแห่งความบริสุทธิ์ จึงล้างทำความสะอาดง่าย
 ไม่ต้องใช้ไม้กวาดมากวาด เหมือนกวาดขยะและถุงยางช่วงที่พันธมิตรฯยึดทำเนียบครับ"


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 มีนาคม 2553, 22:29:51
แฉ “พราหมณ์แดง” ลวงโลก! ไม่เคยบวช แถมพ่อทำเสื่อมโดนไล่ออกจากโบสถ์ 20 ปีแล้ว 
 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มีนาคม 2553 14:12 น.
 
 
 
 เผยพราหมณ์ นปช.อุปโลกน์ตัวเอง[ นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ "พราหมณ์แดงจอมลวงโลก" ]
ไม่เคยบวชแถมทำตัวเสื่อมเสีย อ้างพ่อเคยทำงานในวัง “พระราชครูวามเทพมุนี” ชี้ ถูกขับจากโบสถ์พราหมณ์นาน 20 ปีแล้ว พร้อมแจงเทเลือดสาปแช่งไม่ใช่วิถีพราหมณ์ ส่งผลร้ายไม่เป็นมงคลกับเจ้าของเลือด เตือน “ทักษิณ” อยู่ในศีลในธรรมจะเป็นมงคลกับตัวเองมากกว่า
       


      วันนี้ (17 มี.ค.) พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กล่าวถึงการที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงทำพิธีนำเลือดมาเทที่ทำเนียบรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักนายกรัฐมนตรี ว่า
       
       
       จากที่ได้เห็นการกระทำดังกล่าวนั้น คิดว่า เป็นการทำพิธีที่ไม่ใช่การกระทำในวิถีของพราหมณ์ เพราะการนำเลือดคนมาเททิ้งนั้น เป็นการไม่ให้เกียรติ การให้เลือดคนมาหนึ่งหยด ก็มีคุณค่า แต่กลับนำมาเทด้วยความอาฆาตมาดร้าย หรือ สาปแช่งด้วยวิธีต่างๆ จึงไม่ใช่วิถีพราหมณ์ที่จะปฏิบัติ ซึ่งวิถีของพราหมณ์ คือ การส่งเสริมความสงบ ความสุข สันติเกิดขึ้นในจิตใจ
       
       ส่วนการที่ นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ ผู้ที่แต่งกายเป็นพราหมณ์นำประกอบพิธี และได้มีการอ้างตนว่ามีพ่อเป็นพราหมณ์หลวงในสำนักพระราชวังนั้น ความจริงแล้วเขามีเชื้อสายพราหมณ์ แต่พ่อเขาไม่ได้ทำงานในวัง และไม่ได้เป็นพราหมณ์ของสำนักพระราชวัง แต่เคยมาอยู่ในโบสถ์พราหมณ์เมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยได้มาทำพิธีที่ทำให้เสื่อมเสียและปฏิบัติตนไม่เหมาะสมจึงให้ออกไป เพราะฉะนั้น จึงไม่ถือว่าเขาเป็นพราหมณ์ อีกทั้ง นายศักดิ์ระพี ก็ไม่ได้มาบวชที่โบสถ์พราหมณ์แต่อย่างใด แต่ได้แต่งตัวและทำตัวเป็นพราหมณ์ขึ้นมาเอง
       
      พระราชครูวามเทพมุนี กล่าวต่อว่า ส่วนจุดประสงค์ที่ทางกลุ่มเสื้อแดงประกอบพิธีเพื่อความเป็นอัปมงคลของคนไทยและชาตินั้น เป็นวิธีที่เขาคิดขึ้นมาเอง และการกล่าวอ้างว่าเป็นอัปมงคลนั้นก็เป็นเรื่องจริง เพราะการที่นำเลือดมาเทลงพื้นและเดินเหยียบไปมา ไม่ได้เป็นมงคลกับชีวิต และตนเอง ซึ่งเป็นผู้กระทำก็จะต้องเดือดร้อน เพราะความรู้สึกอาฆาตมาดร้ายที่ได้ทำแล้วเกิดความเสียหาย
       

       ในส่วนนี้เป็นเรื่องที่น่าสงสารที่ผู้คิดและทำไม่ได้ให้เกียรติตนเอง และไม่ได้ให้เกียรติกับผู้ที่ให้เลือด ส่วนการตรวจสอบหรือเอาผิดกับผู้ที่อ้างตัวเป็นพราหมณ์นั้นคงจะไม่ตรวจสอบ เพราะคนพวกนี้มักมีการแอบอ้างอยู่ตลอด ดังนั้น การเป็นพราหมณ์ที่ดีก็จะทำแต่สิ่งที่เป็นมงคลยึดถือแนวปฏิบัติที่ดี สำหรับประชาชนทั่วไปจะมองว่าดีหรือไม่ดีให้ดูที่แนวคิดและการปฏิบัติ ส่วนการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนหรือสาปแช่งผู้อื่นให้เกิดความไม่สบายใจหรือหวาดกลัวก็ไม่ใช่พราหมณ์ที่ดี
       
       หัวหน้าพราหมณ์เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ตนมองว่า กำลังสร้างความหวาดกลัวให้กับสังคม พยามนำไสยศาสตร์ นำสิ่งที่ไม่เป็นมงคล เข้ามาเชื่อมโยงทำให้คนหวาดกลัว รวมทั้งการกล่าวถึงภูตผีปีศาจ เปรตนั้น พวกนี้เป็นพวกที่ทุกข์ทรมานอยู่แล้วยังไปปลุกขึ้นมาเพื่อเอามาทำพิธี จึงทำให้คนพวกนี้ก็จะได้รับแต่บาปเพิ่มเสริมเข้าไปอีก ดังนั้น ขอให้ผู้ชุมนุมทุกคนชุมนุมอย่างสันติ ทำจิตใจและไปสร้างกุศลผลบุญให้มากขึ้นเพื่อที่จะไม่ต้องตกอยู่ในขุมนรก และเกิดความหวาดกลัว จิตใจหม่นหมอง หดหู่ นอกจากนี้อยากฝากว่า บาปเกิดได้ตลอดเวลา
       
       พระราชครูวามเทพมุนี กล่าวอีกว่า ขอให้ผู้ชุมนุมอย่าตกเป็นเครื่องมือของใครบางคนที่อยากได้นั่นอยากได้นี่ และฝากไปยังผู้นำกลุ่มคนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอให้ทำในสิ่งที่ดี แต่การจะถึงความดีได้นั้นจะต้องอยู่ในศีลธรรมอันดี อย่าสร้างบาปให้เพิ่มขึ้น ตนเองก็จะได้แต่ทุกข์ แต่ควรจะสร้างกุศลเพื่อเป็นมงคลกับตัวเองมากกว่า
       
      อนึ่ง นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ พราหมณ์ประจำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อ้างว่า ตนเป็นบุตรชายคนที่ 4 ของพราหมณ์แจ้ง พรหมชาติ พราหมณ์ราชสำนัก ทุกครั้งที่มีการเคลื่อนพลชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ตัวเขาจะเป็นคนประกอบพิธีกรรมบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดา รวมถึงการทำพิธีในวันที่ 12-14 มี.ค.ที่ผ่านมาด้วย

 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 มีนาคม 2553, 11:32:23
วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 10:41:42 น.   มติชนออนไลน์

"ทักษิณ"กับ"มอนเตเนโกร"

ม่น่าแปลกใจครับที่ ในที่สุด ก็มีผู้พบเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปนั่งจิบกาแฟแกล้มเค้ก อยู่ที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งในเมือง บุดวา แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของ มอนเตเนโกร

มอนเตเนโกร เป็นประเทศเล็กๆ ที่เพิ่งแยกตัวเป็นอิสระจากเซอร์เบีย อดีตรัฐในยูโกสลาเวีย เมืองบุดวา เป็นเมืองเก่าแก่ อายุมากถึง 2,500 ปี ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเอเดรียติก ด้านตะวันตกของมอนเตเนโกร เมืองนี้เล็กขนาดไหนดูเอาจากจำนวนประชากรของเมืองได้ ทั้งหมดมีเพียง 15,000 คนเท่านั้นเอง


ส่วนที่เจริญที่สุดของเมือง เรียกว่า "บุดวันสก้า รีวิเยร่า" คือหัวใจของการท่องเที่ยวของมอนเตเนโกร เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงสำคัญในแง่ของความสวยงามของหาดทราย ชีวิตราตรีที่หลากหลาย รวมถึงสถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่เป็นตัวอย่างที่ดีของรูปแบบสถาปัตยกรรมเมดิเต อเรเนียน


แต่ทั้งหมดนั่นไม่น่าจะเป็นเรื่อง "ดึงดูด" สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในยามที่ต้อง "บัญชาการ" การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงตามท้องถนนในกรุงเทพฯแน่


แล้วทำไม อดีตนายกรัฐมนตรีถึงจำเป็นต้องไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่น?


คำตอบประการหนึ่งนั้นเกิดจากความเคลื่อนไหวล่าสุดของ ทางการสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ในที่สุดก็ตัดสินเชื้อเชิญอดีตผู้นำออกจากที่พำนักซึ่งปักหลักมานานในดู ไบ เพราะไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับยูเออีต้องเสียหายมากไปกว่านี้


อังกฤษ ประกาศถอนวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณไปแล้วอย่างเป็นทางการ เป็นที่รับรู้กันทั่วไป เมื่อวันที่ 15 มีนาคม สถานีโทรทัศน์ ฟีนิกซ์ ในฮ่องกง รายงานเอาไว้ว่า เยอรมนี มีคำสั่งห้ามพ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศไปตั้งแต่ปีที่แล้ว นอกจากนั้น ยังระบุเอาไว้ด้วยว่า ทางการเยอรมนีกำลังสอบสวนเงียบๆ อยู่ว่า มีการใช้ "พาสปอร์ตปลอม" เดินทางเข้าประเทศหรือไม่? อย่างไร?


ในยุโรป ดูเหมือนจะมีประเทศเดียวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีสิทธิเดินทางเข้าออกได้แบบสบายๆ ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ลำบากใจดังกล่าว นั่นคือ มอนเตเนโกร


ที่ พ.ต.ท.ทักษิณเข้า-ออกที่นั่นได้แบบสบายๆ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มีพาสปอร์ตของ มอนเตเนโกร คนที่ออกมายืนยันข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ไม่ใช่ใคร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทีชื่อ "นพดล ปัทมะ" นั่นแหละ


และเพราะเหตุที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีพาสปอร์ตมอนเตเนโกร นี่แหละ ที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับ "บุดวา" โดยตรง เพราะห่างจากชายหาดเลื่องชื่อของบุดวา ออกไปแค่ 840 เมตร มีเกาะเล็กๆ อยู่เกาะหนึ่ง มีชื่อเรียกขานอย่างเป็นทางการว่า "สเว ติ นิโคลา" แต่เด็กๆ แถวๆ นั้นชอบเรียกมันว่า "ฮาวายแห่งเอเดรียติค"


เกาะเล็กๆ แห่งนั้นยาวแค่ 2 กิโลเมตร เนื้อที่ทั้งหมดมีแค่ 37,000 ตารางเมตร รูปร่างเหมือนแท่งหินจมน้ำไปครึ่งหนึ่ง ส่วนที่สูงที่สุดของเกาะคือ หน้าผาที่เห็นซึ่งสูงจากพื้นทะเลราว 121 เมตร


เกาะแห่งนี้เล็กก็จริง แต่หาดสวยมากครับ หาดดีๆ วิวดีๆ และกว้างใหญ่พอที่จะไปปักหลักทำแหล่งท่องเที่ยว เปิดกาสิโนได้มีอยู่ 3 แห่ง


เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วนี่เอง ธนาคาร เฟิร์สท์ แบงก์ แห่ง มอนเตเนโกร ประกาศประมูล 1 ใน 3 หาดบนเกาะแห่งนี้ เป็นหาดที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดในบรรดาหาดของเกาะสเวติ นิโคลา


ปรากฏชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เข้าไปเป็นหนึ่งในผู้ร่วมประมูลอยู่กะเขาด้วย


การประมูลที่ว่านี้เริ่มต้นที่ 28 ล้านยูโร เทียบอัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้ก็ 1,260 ล้านบาท แต่ตอนที่เป็นข่าวอดีตรัฐมนตรีนพดลบอกว่า ราคา 992 ล้านบาทเท่านั้นเอง!


ทำไมต้องไปประมูลหาดของเกาะเล็กๆ ขนาดนั้น? คำตอบก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ จำเป็นครับ


ก่อนหน้านั้น พอมีรายงานข่าวขึ้นมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พาสปอร์ตของประเทศผู้นำ เอ็นจีโอ มอนเตเนโกรที่ชื่อ วันยา คาโลวิช ยื่นประท้วงต่อ องค์กรเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศ (ทีไอโอ) ทันที เรียกร้องให้รัฐมนตรีมหาดไทยมอนเตเนโกร อธิบายความว่า เพราะเหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณถึงมีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับพาสปอร์ตประเทศนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ถือสัญชาติเป็นพลเรือนมอนเตเนโกรสักหน่อย


นั่นเป็นที่มาของความพยายาม "ทำที" ว่า "จะซื้อ" เกาะเล็กๆ แห่งนี้


แต่ก็อธิบายได้เป็นอย่างดีว่า ทำไม อดีตนายกรัฐมนตรีไทยถึงได้ไปปรากฏตัวที่นั่น ในยามที่หลายๆ ประเทศ "ปฏิเสธ" พ.ต.ท.ทักษิณ กันหมดแล้ว


มอนเตเนโกร วันนี้ อาจเป็นเหมือนป้อมค่ายลำดับท้ายๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ


ถ้าไม่นับ นิการากัว และอีกบางประเทศในแอฟริกา


ที่ดูช่างห่างไกลราชดำเนินเสียเหลือเกิน!!

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 มีนาคม 2553, 12:23:27
เลือดล้างเท้า
รายงานข่าวโดย: ณ กาฬ 17 มีนาคม 2553 เวลา 22:28 น.post today

ไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น เมื่อมีการเอาเลือดไปสาดที่ทำเนียบฯ พรรคประชาธิปัตย์ และบ้านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

ทั้งหมด จะเป็นคุณไสย เคล็ดลางก็ว่ากันไป

แต่ประวัติศาสตร์ในอดีต มีเรื่องเกี่ยวกับเอาเลือดล้างเท้าเหมือนกัน โดยต้องบอกว่าข้อมูลนี้มาจากเว็บไซต์ภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ดังนี้

กษัตริย์เขมร พระยาละแวก ในช่วงที่บ้านเมืองไทยถูกรุกรานจากพม่า ก็ใช้เป็นโอกาสเข้าปล้นชายแดนไทยเสมอมา

หลังจากที่สำเร็จศึกกับพม่าแล้ว สมเด็จพระนเรศวร เคยมีพระสัจจาที่จะทำโทษโดยพิธีปฐมกรรม กับกษัตริย์เขมรให้จงได้ จึงได้กรีธากองทัพไทย ไปตีเมืองเขมร และให้จับพระยาละแวกมาเข้าเฝ้า

พระองค์ท่านทรงพระราชดำรัสถามว่าท่านเป็นถึงกษัตริย์ เมื่อมีใจใฝ่หาจะขยายดินแดน ไฉนจึงไม่ยกทัพมาทำศึกให้สมกับชายชาติกษัตริย์เล่า การลักลอบโจมตีในลักษณะโจรที่ท่านทำมานั้น ไม่สมควรอยู่

พระยาละแวกกราบขออภัยโทษ แต่สมเด็จพระนเรศวรปฏิเสธ เหตุที่ทรงมีพระวาจาที่จะลงโทษในฐานะกษัตริย์ที่กล่าวไว้ แต่รับอุปการะ พระราชวงศ์ของพระยาละแวก

ในพิธีปฐมกรรมสมเด็จพระนเรศวร ทรงให้สร้างศาลาสองชั้น พระองค์ประทับอยู่ชั้นบน ในชั้นล่างให้ทำพิธีตัดพระเศียรพระยาละแวก เลือดที่พุ่งออกมาเอาพานรอง และขึ้นถวาย

สมเด็จพระนเรศวรได้เอาพระโลหิตพระยาละแวก มาล้างพระบาท ตามพิธีกรรม

การที่แดงเอาเลือดตัวเองให้รัฐบาลและอภิสิทธิ์เหยียบ สงสัยจะตกวิชาประวัติศาสตร์ ไม่ก็หน้ามืดตามัวไปหน่อย

หรือก็อาจเป็นกรรมเก่าผสมกรรมใหม่ ดันไปเป็นพวกฮุนเซน พญาละแวกเสียนั่น

ทุกอย่างเลยเกิดด้วยเหตุแห่งผลกรรมดังที่เห็น!!!




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 18 มีนาคม 2553, 13:23:46
(http://img221.imageshack.us/img221/6287/montenegropassport.jpg)

(http://img221.imageshack.us/img221/7766/bbc.jpg)

(http://img100.imageshack.us/img100/8556/montenegro02.jpg)


ทักษิณ ตัดขาดจากความเป็น "คนไทย" แล้ว ถือพาสปอร์ตประเทศมอนเตนิโกร เดินทางแทน

พวกเสื้อแดง รู้บ้างรึปล่าว? นช. ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยแล้ว ใช้พาสปอร์ตของประเทศมอนเตนิโกร เดินทางแทนพาสปอร์ตไทย แล้วคนเสื้อแดงจะต่อสู้ไปให้คนต่างด้าว เยี่ยง  ทักษิณ ชินวัตร ทำไมกัน

สื่อของอังกฤษ BBC ก็ออกข่าวแล้วว่า ทักษิณ เป็นพลเมืองประเทศมอนเตนิโกร  เท่ากับเป็นการยอมรับของมันเอง  ขณะนี้มันกำลังไปเยี่ยมเยียนประเทศแถบบอลข่าน  ในภาพลูกสาวมัน 2 คน อ้างว่าไปดูงานที่เยอรมัน โดนคนไทยที่ไปออกงาน โห่ขับไล่ เลยมาสุมหัวกับพ่อมัน ที่ประเทศมอนเตนิโกร

ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยอีกต่อไป ไชโย ไชโย ไชโย!!!



ไชโย!!!  ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยแล้ว ไชโย!!!  มันจะกลับมาเล่นการเมืองไม่ได้อีก เพราะมันไม่ใช่คนไทย
ไชโย!!! ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยแล้ว ไชโย!!! มันจะกลับมาเล่นการเมืองไม่ได้อีก เพราะมันไม่ใช่คนไทย
ไชโย!!! ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยแล้ว ไชโย!!! มันจะกลับมาเล่นการเมืองไม่ได้อีก เพราะมันไม่ใช่คนไทย
 
และมันก็เป็นทรราชย์ชาติชั่ว ทำลายทำร้ายแม้กระทั่งแผ่นดินเกิด เพราะความละโมบไม่รู้จักพอของมัน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 18 มีนาคม 2553, 13:40:37
 
(http://img91.imageshack.us/img91/6413/montrenegeo07.jpg)
(http://img91.imageshack.us/img91/7899/montenegro000.jpg)
(http://img91.imageshack.us/img91/8877/montenegro00.jpg)
(http://img91.imageshack.us/img91/3415/montenegro03.jpg)
(http://img221.imageshack.us/img221/8473/svnikola2.jpg)

นพเหล่ ยืนยันบิดาบังเกิดเกล้ามัน กำลังจะประมูลซื้อเกาะ Sveti Nikola ที่นั้น 

ยกโขยงไปกันอยู่กันที่นั้นให้หมดเลย พวกเสื้อแดง อย่าลืม จูงควายไปด้วย เอาหญ้าไปด้วย เมืองฝรั่งไม่มีควายแบบไทยๆ เอาไป จะได้ไม่ต้องคิดถึงประเทศไทยอีก  จะได้ไม่ต้องกลับมาอีก หนักแผ่นดินไทย



Sveti Nikola Island (Serbian: Острво Свети Никола, Ostrvo Sveti Nikola) is an island on the Adriatic Sea, in Montenegrin municipality of Budva.
Sveti Nikola island is located opposite to the town of Budva, 1 km from Budva's old town. The island is 2 km long, and it has the area of 36 ha. Highest point on the island is a cliff that rises 121 m above the sea.

เกาะนี้ หน้าผาสูงถึง 121 เมตร สูงดี เวลาที่ทักษิณเครียดๆ พวกเสื้อแดงไถตังค์มากๆ ไม่มีจะให้ หรือหญิงอ้อทะเลาะกับยัยเลียดี จนบ้านแตก อับอายลูกๆ 3 คน และๆไพร่เลว จะได้กระโดดหน้าผา ตายสมใจ ไม่ทรมานมาก   


หัวข้อ: (ภาคพิเศษ)การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 18 มีนาคม 2553, 17:39:42
อ้างถึง
ข้อความของ Intania๑๖ เมื่อ 18 มีนาคม 2553, 13:23:46
(http://img221.imageshack.us/img221/6287/montenegropassport.jpg)

(http://img221.imageshack.us/img221/7766/bbc.jpg)

(http://img100.imageshack.us/img100/8556/montenegro02.jpg)


ทักษิณ ตัดขาดจากความเป็น "คนไทย" แล้ว ถือพาสปอร์ตประเทศมอนเตนิโกร เดินทางแทน

พวกเสื้อแดง รู้บ้างรึปล่าว? นช. ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยแล้ว ใช้พาสปอร์ตของประเทศมอนเตนิโกร เดินทางแทนพาสปอร์ตไทย แล้วคนเสื้อแดงจะต่อสู้ไปให้คนต่างด้าว เยี่ยง  ทักษิณ ชินวัตร ทำไมกัน

สื่อของอังกฤษ BBC ก็ออกข่าวแล้วว่า ทักษิณ เป็นพลเมืองประเทศมอนเตนิโกร  เท่ากับเป็นการยอมรับของมันเอง  ขณะนี้มันกำลังไปเยี่ยมเยียนประเทศแถบบอลข่าน  ในภาพลูกสาวมัน 2 คน อ้างว่าไปดูงานที่เยอรมัน โดนคนไทยที่ไปออกงาน โห่ขับไล่ เลยมาสุมหัวกับพ่อมัน ที่ประเทศมอนเตนิโกร

ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยอีกต่อไป ไชโย ไชโย ไชโย!!!



ไชโย!!!  ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยแล้ว ไชโย!!!  มันจะกลับมาเล่นการเมืองไม่ได้อีก เพราะมันไม่ใช่คนไทย
ไชโย!!! ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยแล้ว ไชโย!!! มันจะกลับมาเล่นการเมืองไม่ได้อีก เพราะมันไม่ใช่คนไทย
ไชโย!!! ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยแล้ว ไชโย!!! มันจะกลับมาเล่นการเมืองไม่ได้อีก เพราะมันไม่ใช่คนไทย
 
และมันก็เป็นทรราชย์ชาติชั่ว ทำลายทำร้ายแม้กระทั่งแผ่นดินเกิด เพราะความละโมบไม่รู้จักพอของมัน
ถ้าพี่ใช้เกณฑ์นี้นะคณะรัฐมนตรีปัจจุบันหลายคนคงไม่ใช่คนไทย ปัจจุบันคนไทยที่ถือสัญชาติอื่นด้วยมีมากกว่า 300,000 คนเชียวนะพี่


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: YOTSAWIN ที่ 18 มีนาคม 2553, 19:02:53
ตอนนี้งานยุ่งๆ อ่านอย่างเดียวก่อนครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 18 มีนาคม 2553, 21:15:09
อ้างถึง
ข้อความของ YOTSAWIN เมื่อ 18 มีนาคม 2553, 19:02:53
ตอนนี้งานยุ่งๆ อ่านอย่างเดียวก่อนครับ
ดีแล้วน้องเจี๊ยบ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 18 มีนาคม 2553, 22:02:02
Taksin phone in to fool redshirts again tonight 5 5 5.


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 มีนาคม 2553, 22:04:49
ผลเลือกตั้ง ก.ต. “ม.ล.ฤทธิเทพ-มานิตย์” หลุดโผ
 

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 18 มีนาคม 2553 14:41 น. manager online
 
 
  ผลเลือกตั้ง ก.ต.ชั้นศาลฎีกา ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รอง ปธ.ฎีกา องค์คณะเสียงข้างน้อย 8-1 คดียึดทรัพย์แม้ว หลุดไปอยู่อันดับ 7 อดเป็น ก.ต. ด้านอุทธรณ์ เปลี่ยน 2 ตำแหน่ง “วิบูลย์-บุญชู” ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในอุทธรณ์ ได้รับเลือก ส่วนชั้นต้น อธ.ภ.3 แซง “มานิตย์” รอง อธ.พ.อาญา โต้โผฟัน ป.ป.ช. ลุอำนาจ พลาดได้เพียงอันดับ 3
       
       วันนี้ (18 มี.ค.) เมื่อเวลา 08.30 น.ที่สำนักงานศาลยุติธรรม ชั้น 12 นายสุรจิตร ศรีบุญมา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา ประธานและคณะกรรมการนับคะแนนเลือกตั้งคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) รวม 14 คน ร่วมกันนับคะแนนเลือกตั้ง ก.ต. จากชั้นศาลฎีกา 6 ตำแหน่ง ศาลอุทธรณ์ 4 ตำแหน่ง และศาลชั้นต้น 2 ตำแหน่ง รวม 12 ตำแหน่ง แทน ก.ต.ชุดเก่าที่หมดวาระ โดยมีผู้พิพากษาทั้ง 3 ชั้นศาลมีสิทธิลงคะแนนทั้งสิ้นจำนวน 4,186 คน มีผู้พิพากษาส่งบัตรลงคะแนนทั้งสิ้น 3,456 ใบ เป็นบัตรดี 3,445 ใบ บัตรเสีย 9 ใบ และบัตรเสียบางส่วน 2 ใบโดยใช้เวลานับคะแนนประมาณ 3 ชั่วโมงเศษจึงเสร็จสิ้น
       
       ผลปรากฏว่าผู้ได้รับเลือกเป็น ก.ต.ชั้นศาลฎีกา ประกอบด้วย อันดับ 1 นายประทีป เฉลิมภัทรกุล 82 คะแนน ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา อันดับ 2 นายมนตรี ยอดปัญญา รองประธานศาลฎีกา 80 คะแนน อันดับ 3 นายวีระพล ตั้งสุวรรณ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา 77 คะแนน อันดับ 4 นายมานัส เหลืองประเสริฐ ประธานแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในศาลฎีกา 76 คะแนน อันดับ 5 นายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา 69 คะแนน อันดับ 6 นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ประธานแผนกผู้บริโภคในศาลฎีกา 67 คะแนน ส่วน ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา อดีต ก.ต. ชุดที่ผ่านมา ซึ่งเป็นองค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 8-1 ที่เห็นว่าทักษิณ ชินวัตร ไม่มีความผิด กรณีออกนโยบาย 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจตัวเอง ในคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 7 จำนวน 65 คะแนนพลาดไม่ได้รับเลือกเป็น ก.ต.
       
       สำหรับผู้ได้รับเลือกเป็น ก.ต. จากชั้นศาลอุทธรณ์รวม 4 ตำแหน่งประกอบด้วย อันดับ 1 นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานศาลอุทธรณ์ 308 คะแนน อันดับ 2 นายโชติวัฒน์ เหลืองประเสริฐ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ 290 คะแนน อันดับ 3 นายวิบูลย์ แสงชมภู ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ 242 คะแนน และอันดับ 4 นายบุญชู ทัศนประพันธ์ ประธานคดีสิ่งแวดล้อมในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ 241 คะแนน ส่วนนายบวร กุลทนันทน์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 6 อดีต ก.ต.ได้ 197 คะแนนมาเป็นอันดับ 6 พลาดได้รับเลือกอีกคน
       
       ส่วนศาลชั้นต้น ผู้ได้รับเลือกเป็น ก.ต.2 ตำแหน่ง ได้แก่นายธนรัตน์ ทั่งทอง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักงานอธิบดีศาลภาค 4 ได้ 1,187 คะแนน และอันดับ 2 นายพรเทพ อัมพรกลิ่นแก้ว อธิบดีภาค 3 ได้ 817 คะแนน ส่วนนายมานิตย์ สุขอนันต์ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อดีต ก.ต.ที่เคยรวบรวมรายชื่อผู้พิพากษาศาลอาญา ผู้พิพากษาอาวุโส และผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรวม 150 คน เสนอที่ประชุม ก.ต.ให้พิจารณาเรื่องสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งกรรมการไต่สวน นายอิทธิพล โสขุมา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรณีออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีดีเอสไอ เป็นการลุแก่อำนาจหรือไม่ เข้ามาเป็นลำดับ 3 ได้เพียง 690 คะแนน จึงไม่ได้รับเลือกเป็น ก.ต.ในวาระนี้
       
       โดยหลังจากนี้คณะกรรมการนับคะแนนจะส่งรายชื่อให้สำนักงานศาลยุติธรรมส่งให้ประธานศาลฎีกาประกาศรายชื่อผู้ได้รับเลือกเป็น ก.ต. และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อมีผลต่อไป

 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 มีนาคม 2553, 23:18:58

โปรดใช้วิจารณญาน ในการอ่าน เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรมีผู้ปกครองให้คำปรึกษา

บรื๊อส์...เวทีแดง ทับประตูผี
ประเด็น:เสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ , 17 มีนาคม 2553 เวลา 12:22 น.
"ผู้ที่เรียนฮวงจุ้ย ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเวทีเสื้อแดงที่ตั้งคร่อมสะพานผ่านฟ้าลีลาศนั้นเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดีนักเหมือนปลูกบ้านคร่อมตอหม้อ โบราณท่านว่าไม่มั่นคง "

คนไทยสมัยโบราณจะทำสงครามเล็ก-ใหญ่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คำนึงถึงอันดับต้น ๆ คือการตั้งทัพ และเดินทัพ ต้องสอดคล้องตำรับพิชัยสงคราม หากทำได้ ชัยชนะในการศึกก็ไม่ไกลเกินเอื้อม หากทำไม่ถูกต้อง หรือผิดจากตำรับพิชัยสงคราม การพ่ายแพ้ก็มีให้เห็น แม้ว่าจะแก้เคล็ด อย่างไรก็ยากที่จะเอาชนะได้


จะเห็นว่าในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อมีการยกทัพไปปราบข้าศึกที่มาพิชิตจะต้องทำพิธีต่าง ๆ ที่วัดชนะสงคราม หรือวัดตองปุ บางลำพู ตามตำรับพิชัยสงครามเสมอ

เมื่อดูการทำสงครามของคนเสื้อแดงกับรัฐบาลในขณะนี้ แรกทีเดียวผู้คนตระหนกตกใจว่าจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะแดงทั้งแผ่นดิน ประชาชนคนชนบทยกทัพบุกกรุง แบบป่าล้อมเมืองของเหมา เจ๋อ ตง ทำให้คนกรุงขวัญผวา รัฐบาลย้ายที่ทำการจากทำเนียบรัฐบาลไปตั้งที่ศูนย์ราชการ กระทรวงบางแห่งปิดหรือย้ายที่ทำการเพื่อความปลอดภัย

แต่ผ่านมา 4 วัน เสื้อแดงก็มีท่าทีแผ่วลงเกือบหมดแรง ดัชนีตลาดหลัดทรัพย์ที่ขึ้นไปบวกกว่า 17 จุดโดยขึ้นไปปิดที่ 752.20 จุด (เมื่อวันที่ 16 มีนาคม) คือจุดสะท้อนว่าไม่เกรง ไม่กลัวม็อบ

การเอาเลือดไปเทหน้าทำเนียบนั้น กระแสข่าวบางแห่งบอกว่า “นายใหญ่” สั่งให้ทำเพื่อแก้เคล็ดไม่ให้เลือดนองแผ่นดิน อีกบางกระแสก็ว่าผู้นำเสื้อแดงต้องการรู้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่เคยพูดว่าจะไม่เดินไปบนกองเลือดคนไทยด้วยกันนั้นจะทำอย่างไร เมื่อบรรดาเสื้อแดงเอาเลือดไปลาดทางเข้าทำเนียบเสียแล้ว ยังจะกล้าเหยียบเข้าทำเนียบหรือไม่

ในการศึกนั้นแม่ทัพจะต้องศึกษาทำเลจุดพักของทัพใหญ่ ต้องยึดเอาชัยภูมิที่ดีจึงทำให้มีชัย แต่เวทีเสื้อแดง หน้าป้อมมหากาฬนั้น ไม่ค่อยตรงกับฮวงจุ้ยนัก แม้ว่าผู้นำเสื้อแดงบางคนจะคุยว่าทำเลที่ตั้งดีมาก สอดคล้องกับฮวงจุ้ย

แต่ผู้ที่เรียนฮวงจุ้ยเห็นก็ร้องจ้าก เพราะเวทีตั้งคร่อมสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เหมือนปลูกบ้านคร่อมตอหม้อ โบราณท่านว่าไม่มั่นคง คลอนแคลนแลพังพาบได้ง่าย แค่ใครไปขย่มก็หล่นร่วงแถมอาจมีความปั่นป่วนภายใน

ส่วนคลองรอบกรุงไม่ได้ให้คุณเพราะไม่ได้อยู่ด้านหน้าเวทีแต่อยู่ด้านข้างคอยเซาะกร่อนจนอ่อนแรง ขณะที่ถนนราชดำเนินนั้นถือว่าเป็นมังกร พาดผ่านเวที แทนที่จะให้คุณกลับให้โทษเพราะเวทีไปเบียดมังกร ทำให้ทำอะไรก็ไม่ได้ดังปรารถนา

ด้านหลังที่ว่าแน่นหนาเพราะป้อมมหากาฬ ก็ต้องดูให้ลึกว่าป้อมนี้ให้คุณหรือให้โทษ เมื่อดูความเป็นมาของป้อมจะพบว่าป้อมนี้มีส่วนสูงจากพื้นดินถึงหลังคาป้อม 15 เมตร มีแนวกำแพงเมืองตามยาวถนนมหาไชย ไปเกือบจรดประตูผี การที่ยาวตามถนนมหาไชยนี้แหละทำให้ได้รับกระแสแห่งประตูผีที่สี่แยกสำราญราษฎร์อีกด้วย

การมีประตูผีตรงนี้ ก็เพื่อขนย้ายคนตายออกจากตัวเมืองชั้นใน หรือเขตพระนครมาทำพิธีฌาปนกิจที่วัดสระเกศ หรือวัดอื่น ๆ ที่อยู่นอกเขตพระนคร ทั้งนี้เพราะคนธรรมดาสามัญห้ามฌาปนกิจในเขตพระนคร เว้นแต่ศพเจ้า ที่มีพระบรมราชานุญาตให้จัดถวายพระเพลิงได้ที่ท้องสนามหลวงเป็นครั้งคราว

ประตูผีมีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 เป็นต้นมาเมื่อมีโรคระบาดครั้งใหญ่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คืออหิวาตกโรค หรือที่เรียกในเวลานั้นว่า ไข้ป่วงใหญ่

อหิวาตกโรคเริ่มระบาดเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 2 เมื่อพ.ศ.2362 เกิดขึ้นที่เมืองเกาะหมาก(ปีนัง) ก่อน แล้วข้ามมาหัวเมืองฝ่ายตะวันตก ติดต่อขึ้นมาจนถึงปากน้ำเจ้าพระยา ชาวเมืองสมุทรปราการตายลงเป็นอันมาก ราษฎรอพยพขึ้นมากรุงเทพฯ ในกรุงเทพฯเริ่มเป็นอหิวาตกโรคตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2363 ชั่วระยะเวลา 8 วัน คนตายกันมากจนเผาไม่ทัน ในแม่น้ำลำคลองก็มีศพลอยเกลื่อนไปหมด เมื่อสำรวจแล้วปรากฏว่า ผู้ที่เสียชีวิตครั้งนั้นทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองใกล้เคียง มีจำนวนถึง 3 หมื่นคน นับเป็นโรคระบาดครั้งใหญ่ครั้งแรกในกรุงเทพฯ

ครั้งที่ 2 โรคระบาดเกิดขึ้นในรัชกาลที่ 3 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2392 ในครั้งนั้นประชาชนพากันเรียกว่า “ห่าลงปีระกา” ผู้คนล้มตายกันมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่ครั้งทรงผนวชอยู่ ได้ทรงแนะนำให้เก็บศพไปเผาที่วัดสระเกศ วัดบางลำพู(วัดสังเวชวิศยาราม) วัดเชิงเลน (วัดบพิตรพิมุขฯ) ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม มีจำนวนคนตายที่ถูกนำมาเผาที่วัดทั้งสามแห่งนี้ถึง 5,457 ศพ อันที่จริงก่อนที่จะมีอหิวาตกโรคระบาดครั้งนี้ ได้เกิดกาฬโรคระบาดมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อพ.ศ.2382 แต่เคราะห์ดีที่ได้มีการปลูกฝีป้องกันได้ทันท่วงที

จึงพอสรุปได้ว่าความพยายามของเสื้อแดงที่จะโค่นรัฐบาลอภิสิทธิ์ หรือเรียกร้องให้ยุบสภา จะต้องแท้ง ไม่ใช่เพราะเรียกร้องเพื่อนายใหญ่ หรือเพื่อคน ๆเดียวเท่านั้น ยังแท้งเพราะฮวงจุ้ยเป็นพิษอีกด้วย

ยุวดี เรืองฉาย หรือ ปู โลกเบี้ยว ผู้สนใจในศาสตร์ฮวงจุ้ย บอกว่า การเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมเสื้อแดงเชื่อว่า มีกุนซือที่คอยให้คำแนะนำเรื่องฮวงจุ้ย หรือความเชื่อต่างๆ อยู่ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าในการสื่อสารกันไปมาจะมีข้ออะไรผิดพลาดหรือไม่ ถึงมีวันเคลื่อนขบวนอยู่ 2 วัน ซึ่งวันที่ 12 มี.ค. นั้น ไม่เป็นการดีที่จะทำการใดๆ แต่ถ้าวันที่ 14 มี.ค. นี่คือวันดีมากๆ ของการเริ่มต้นหรือทำการอะไรระดับประเทศก็จะประสบความสำเร็จ

“ก็อยู่ที่ว่าเขายึดวันไหนแล้วล่ะที่เป็นวันเคลื่อนขบวนจริง แล้วถ้ายิ่งยึดว่าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยคือศูนย์กลาง เวทีก็จะอยู่ด้านตะวันตก ซึ่งหลักฮวงจุ้ยในปีนี้ทิศตะวันตกดี นำมาซึ่งชัยชนะ แต่ขณะเดียวกันก็จะมีอันตรายเกิดขึ้นเช่นกัน จากของเหลวคือน้ำเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องของฝนก็คือเลือด แล้วจะนำมาซึ่งโรคระบาด เป็นการระบาดแบบอันตรายและน่ากลัว

อย่างไรก็ตาม ถ้ามีเรื่องเงินสะพัด (อาจหมายถึงเศรษฐกิจดี) สงครามก็จะไม่เกิด ซึ่งถ้าประมวลภาพทั้งหมดแล้ว มีความต้องการที่ต้องเอาชนะในครั้งนี้ให้ได้” ปู-ยุวดีกล่าว

ด้าน หมอช้าง-ทศพร ศรีตุลา หมอดูและนักฮวงจุ้ยชื่อดัง บอกว่า ตำแหน่งยุทธศาสตร์ การตั้งเวทีของเสื้อแดง ในการประท้วงครั้งนี้ อยู่ตรงประตูผี ในทางฮวงจุ้ยเป็นตำแหน่งที่ไม่ดี

จริงๆ แล้ว ประตูผีสมัยโบราณเป็นที่เคลื่อนศพ บ้านของคนที่ตั้งอยู่ใกล้ประตู มักเกิดความขัดแย้ง แต่ถ้าเป็นการชุมนุมหรือการตั้งร้านค้าใกล้ประตู หรือวงเวียน จะเกิดการรวมตัวของคนจำนวนมากๆ นี่คือหลักทางจีน แต่ถ้าเป็นคนไทย อะไรที่ตั้งอยู่ตรงประตู เช่น ประตูผี คนจะเชื่อถือเรื่องโชคลาง เกิดความรุนแรง

“หลักจีนเรื่องประตูผีจะตรงข้ามกับหลักไทย หลักจีนอาจพลิกร้ายให้กลายเป็นดี การชุมนุมคนคึกคัก แต่พลังเร้นลับที่อยู่แถวนั้น หรือสิ่งที่มองไม่เห็น อาจเป็นพลังลับ ๆ ที่อาจก่อปัญหาตามมาภายหลัง แต่คาดว่า หลังจากวันที่ 18-19 มี.ค. จะมีดวงดาวเคลื่อนย้าย เกิดการถีบตัวทำให้เมืองเกิดความวุ่นวาย แต่ถ้าพ้นมาได้ดวงเมืองก็จะดี แม้ไม่ได้เกิดการประท้วงก็อาจเกิดปัญหาภัยธรรมชาติ ช่วงหลังวันที่ 19 มีนาคม พวกนักลงทุนขอให้ระวัง หุ้นอาจไม่ดีอย่างที่คิด

ขณะที่ หมอนิด-กิจจา ทวีกุลกิจ หมอดูดวงและฮวงจุ้ยมานานกว่า 25 ปี บอกว่า ต่อให้เวทีไปตั้งบนสวรรค์ก็แพ้ เพราะดวงแกนนำหรือผู้ที่มีอำนาจสั่งการแต่ละคนไม่ดี แม้จะตั้งเวทีอยู่บนสวรรค์ก็ตกสวรรค์ แม้จะส่งผลทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนได้ แต่ไม่มีทางชนะ ส่วนอภิสิทธิ์เองก็อยู่ยาก ไม่ถึงกับยุบสภาแต่อาจลาออก เพราะดวงอภิสิทธิ์ก็ไม่ดีเช่นกัน ตอนนี้คนที่มีดวงเหนือกว่าใคร คือดวงของทหาร

สำหรับวันที่เริ่มเคลื่อนพลวันที่ 12 เป็นธาตุทอง ส่วนอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นธาตุไฟ และนัดรวมพลใหญ่กันวันที่ 14 ซึ่งเป็นธาตุน้ำ ซึ่งธาตุน้ำก็มาดับธาตุไฟพอดี

“ไม่รู้ว่าอดีตนายกใช้ใครมาช่วยดูหมอให้ รวมทั้งรวมพลคนดวงไม่ดีมาช่วยเขาเต็มไปหมด ในหลักโหราศาสตร์ การทำอะไรต้องหาวันที่เป็นมิตรกับคนทำ ถ้าเป็นอริกัน ก็จะมีแต่ความพ่ายแพ้ ไม่มีทางชนะ อดีตนายกฯ อาจจะสามารถทำให้อภิสิทธิ์อยู่ไม่ได้ แต่ตัวเขาเองก็หมดสิทธิ์”
 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 มีนาคม 2553, 11:00:07
"สีส้ม" สีแห่งความสุขที่ยังไม่เกิดขึ้นในไทย
ประเด็น:เสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ , 18 มีนาคม 2553 เวลา 18:44 น.posttoday online

สีเหลือง ผสมเข้ากับ สีแดง คือสีสันแห่งความสุข แต่ทว่าการปะทะของกลุ่มเสื้อแดงและเหลืองในไทยกลับถูกแปรเปลี่ยนเป็นความหายนะ

จาการ์ตา โพสต์ ของอินโดนีเซีย แสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไทยผ่านบทบรรณาธิการ ภายใต้หัวข้อว่า ประเทศไทยสีส้ม

บทความดังกล่าวเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามอย่างง่ายๆ แต่แฝงไว้ด้วยความหมายที่ลึกซึ้งว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ สีแดง ผสมกับ สีเหลือง ซึ่งแน่นอนว่า คำตอบก็คือ สีส้ม ซึ่งเป็น สีแห่งความสุข


จาการ์ตา โพสต์ ระบุว่า สำหรับประเทศไทย ความสุขและสนุกสนานแห่งสีส้มไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อสีทั้งสองมาพบกัน อีกทั้งยังระบุว่า การปะทะกันระหว่างเสื้อแดง และกลุ่มเสื้อเหลืองเป็นความล่มจมของระบอบประชาธิปไตยในไทย

รัฐบาลไทยกำลังถดถอย ทั้งที่ในความจริงแล้วไทย ควรจะเป็นกำลังสำคัญในการเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจภายในภูมิภาค

แต่ทว่าราว 5 วันมาแล้วที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้ก่อการประท้วงกลายเป็นอีกหนึ่งซีรีย์ของการประท้วงในไทย ด้วยไฮไลท์ของการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ด้วยการรับบริจาคเลือดและสาดไปยังสถานที่ทำการของรัฐบาล แต่ทว่าเมื่อความเหนื่อยล้าเริ่มก่อตัว และความอดทนก็เริ่มจางลง นั่นอาจจะทำให้การประท้วงอย่างสันติเป็นโฉมเป็นความรุนแรง และแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็คือ กลุ่มเสื้อเขียว หรือกองทัพก็จะต้องก้าวออกมา ด้วยเหตุที่ทุกฝ่ายก็อ้างเป็นเสียงเดียวกัน คือ เพื่อความเป็นประชาธิปไตย

จาการ์ตา โพสต์ ระบุว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในไทยเป็นสถานการณ์ที่น่าเศร้า และจากประสบการณ์ของอินโดนีเซียก็เข้าใจว่าประชาธิปไตยบ่อยครั้งก็เป็นเรื่องของความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในเวลานี้ไม่ใช้ทางออกของปัญหา อีกทั้งยังความรุนแรงก็ไม่ได้แก้ไขได้ด้วยการช้ำเติมด้วยความรุนแรง

ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่การรัฐประหาร จากเหล่าเจ้าหน้าที่ของกองทัพ แต่ทหารควรเป็นกลุ่มที่จะกระตุ้นเตือนให้สาธารณชนแสดงออกอย่างสันติ เพื่อที่ว่าความวุ่นวายในไทยขณะนี้จะไม่ได้เป็นหนึ่งในเมืองที่เป็นที่เล่าขานมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kzigfi-e1e9b6.jpg)
     ภาพโดย ตะวัน...สถานที่..: ONUMA PARK..Hakodate..Hokkaido Japan


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 19 มีนาคม 2553, 13:07:34
พี่ตะวัน รูปนี้หล่อมาก แต่เล็กไปหน่อยมองหน้าไม่ชัด


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 19 มีนาคม 2553, 14:54:39
(http://img144.imageshack.us/img144/8634/mgrpdf20100319page01.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 19 มีนาคม 2553, 15:13:31
Redshirts are very very fool people under takky control ha ha and we dont like to feed here people.


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: YOTSAWIN ที่ 19 มีนาคม 2553, 17:15:07
อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 18 มีนาคม 2553, 21:15:09
อ้างถึง
ข้อความของ YOTSAWIN เมื่อ 18 มีนาคม 2553, 19:02:53
ตอนนี้งานยุ่งๆ อ่านอย่างเดียวก่อนครับ
ดีแล้วน้องเจี๊ยบ
ครับพี่ทู  จริงๆ ก็งง ด้วยครับว่า อะไรกันนักหนา บ้านเมือง
อีกอย่าง เห็นเว็ปนี้ไม่ค่อยชอบให้คุยการเมือง
เลยขี้เกียจ ไปวอแว เราตัวนิดเดียว  ให้พี่รุ่นใหญ่(พี่ตะวัน กับพี่วณิชย์)ดีกว่าครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 19 มีนาคม 2553, 17:18:33
อ้างถึง
ข้อความของ YOTSAWIN เมื่อ 19 มีนาคม 2553, 17:15:07
อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 18 มีนาคม 2553, 21:15:09
อ้างถึง
ข้อความของ YOTSAWIN เมื่อ 18 มีนาคม 2553, 19:02:53
ตอนนี้งานยุ่งๆ อ่านอย่างเดียวก่อนครับ
ดีแล้วน้องเจี๊ยบ
ครับพี่ทู  จริงๆ ก็งง ด้วยครับว่า อะไรกันนักหนา บ้านเมือง
อีกอย่าง เห็นเว็ปนี้ไม่ค่อยชอบให้คุยการเมือง
เลยขี้เกียจ ไปวอแว เราตัวนิดเดียว  ให้พี่รุ่นใหญ่(พี่ตะวัน กับพี่วณิชย์)ดีกว่าครับ
ไม่ใช่อย่างนั้นเจี๊ยบ บ้านเมืองเป็นของทุกคน หากทำให้ดีไม่ได้ เราก้ออย่าทำให้เลวลง เรื่องบางเรื่องจะเล็กหรือใหญ่อยู่ที่ใจคน ทางที่ดี คิดแบบเขาเอาเราไว้ที่หลัง แต่เวลาทำเริ่มที่เราเอาเขาไว้ที่หลัง น่าจะดีนะ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: YOTSAWIN ที่ 19 มีนาคม 2553, 17:26:45
ครับ พี่ทู  ผมก็เห็นเป็นอย่างนั้นครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 มีนาคม 2553, 20:53:24
ทักษิณนึกว่า 'ใช้' เขา ทั้งๆ ที่ตัวเองถูกเขา 'ใช้'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

 มีคนบอกผมว่าใครต่อใครต่างก็ "ใช้" ทักษิณ ชินวัตร เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมาย ทางการเมืองของตนทั้งนั้น


 พูดง่ายๆ คือ ไม่มีใครเอากับทักษิณ จริงๆ

 นักการเมืองบางกลุ่ม หลอกทักษิณเพื่อปอกลอกเงินของเขา มาใช้ในการหาเสียงเพื่อตัวเองจะได้รับการเลือกตั้ง

 นักการเมืองพวกนี้ หากว่ามีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ก็จะยังใช้ชื่อและเงินของทักษิณหาเสียง แต่เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วก็จะไม่ยอมฟังคำสั่งของทักษิณ อีกต่อไป

 นักการเมืองอีกบางกลุ่ม กำลังวางแผนจะ "ยึดพรรค" จากทักษิณ... แต่จะอำพรางแผนการของตัวเองไว้อย่างแนบเนียน... พูดจาปราศรัยในที่สาธารณะ ก็จะยังพูดถึงทักษิณ ด้วยน้ำเสียงยกย่องและนับถือ แต่พอลับหลังแล้วก็บอกใครต่อใครว่า "ยังไงๆ ทักษิณก็ไม่ได้กลับมาประเทศไทยหรอก..."

 นักวิชาการบางกลุ่ม เกาะกับทักษิณ เพราะหวังจะได้ใช้บารมีทักษิณ เข้าถึงบางแหล่งเงินและแหล่งวิชาชีพ ออกมาปกป้องทักษิณ ด้วยการอ้างว่าคนที่วิจารณ์ทักษิณ ไม่เข้าใจถึงความสำเร็จของนโยบาย "ประชานิยม" ของทักษิณ

 นักวิชาการเหล่านี้ อ้างเสมอว่าพวกเขาเข้าใจ "รากหญ้า" มากกว่านักวิชาการคนอื่นๆ และที่ชื่นชมทักษิณนั้น ก็เพราะเห็นเขาเป็นนักการเมืองคนแรก ที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ในชนบทดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

 แต่นักวิชาการเหล่านี้ จะไม่ยอมพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของทักษิณ จะไม่สอนลูกศิษย์ถึงอันตราย ของคนที่ใช้เงินงบประมาณและภาษีประชาชน เพื่อสร้างฐานการเมือง สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปเป็นเป้าหมายสำคัญ

 นักวิชาการ ที่เรียกตัวเองว่า "ซ้าย" ก็ใช้ทักษิณ เพื่อเสริมฐานะของตัวเองในสังคม พวกเขาเหล่านี้พร้อมจะแสดงตนเป็น "แนวร่วม"  ของทักษิณ ในบางเรื่องเพื่อยืนยันว่า สิ่งที่พวกตนพูดและเขียนนั้นเป็นแนวทาง "มวลชน" ที่สอดคล้องกับนโยบายทักษิณ

 นักวิชาการ ที่เรียกตัวเองว่า "ซ้าย" บางคน ได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบของเงินๆ ทองๆ กับตำแหน่งแห่งหน หรือไม่ก็ได้งบประมาณจากทักษิณ สมัยมีอำนาจในการทำกิจกรรมที่ตนต้องการทำ

 อีกบางคน ก็เกาะทักษิณ เพราะทักษิณเอานโยบายบางเรื่อง บางด้าน ที่ตนเสนอมาใส่ในแผนการของพรรคและรัฐบาล สมัยเรืองอำนาจ

 "ซ้าย" วิชาการ กับ "ประชานิยม" "ทุนนิยม" เข้ากันได้อย่างไรเป็นเรื่องที่ประหลาด แต่เมื่อต่างคนต่างแอบคิคว่าสามารถ "ใช้" อีกฝ่ายหนึ่งเป็นบันไดพาดไปถึงสิ่งที่ตนต้องการจะไปถึง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากอะไรๆ ที่เราเห็นอยู่นั้น เป็นเรื่องประหลาดจากทฤษฎีสังคมการเมืองที่เราเคยเห็นมาตลอด

 ดังนั้น คำว่า "รัฐไทยใหม่" ที่นักวิชาการ "สีแดง" ใช้เรียกขานแผนการ "เปลี่ยนประเทศไทย" นั้น จึงเป็นคำที่ทักษิณ ยังไม่เคยอธิบายชี้แจงว่าหมายถึงอะไร?

 ทักษิณ ใช้คำว่า "สงครามประชาชน" เพื่อเปลี่ยนประเทศไทย แต่ไม่ได้บอกว่ารูปแบบของ "สงคราม" ที่ว่านี้มีเป้าหมายให้ไทยเป็น "รัฐใหม่" แบบใด?

 เป็นรัฐทุนนิยมสุดขั้วผสมประชานิยมสุดกู่ เพื่อให้พรรคการเมืองของตนชนะการเลือกตั้งทุกครั้งอย่าล้นหลาม เพราะใช้เงินและนโยบายซื้อใจประชาชนได้ในทุกเรื่อง

 หรือเป็นรัฐไทยใหม่ ตามแนวคิด "ซ้าย" ที่บางคนเรียกว่า "ล้มปืน ล้มเจ้า" เพื่อสถาปนาระบบการปกครองแบบสังคมนิยม ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเป้าหมายหลัก ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ทำไม่สำเร็จ?

 เพราะเมื่อนักปราศรัยบนเวทีเสื้อแดงพูดถึงคำว่า "สงครามชนชั้น" และ "สงครามไพร่โค่นอำมาตย์" จนกลายเป็นคำขวัญประจำไปแล้ว ก็ย่อมหลีกหนีไม่พ้นที่ผู้คนที่ฟังบ่อยๆ เข้า จะต้องตีความว่านี่คือการสะท้อนแนวคิดแบบมาร์กซิสต์ ที่แน่นอนว่าเป็นคนละสูตร กับระบอบประชาธิปไตยรัฐสภา ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างในปัจจุบันแน่นอน

 นักปราศรัยของคนเสื้อแดงที่ใช้คำต่างๆ เหล่านี้ จะเข้าใจคำว่า "สงครามชนชั้น" มากน้อยแค่ไหน ไม่อาจจะรู้ได้ แต่เมื่อเปล่งออกมาจนกลายเป็นวาทะประจำของการรณรงค์ "โค่นอำมาตย์" แล้ว ก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูดออกไป

 นั่นก็เหมือนกับว่า นักพูดบนเวทีเหล่านี้ จะ "ใช้" ทักษิณ เพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเช่นกัน

 ขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมว่า ทักษิณ เอง ก็เชื่อว่าตนเองสามารถ "ใช้" นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งขั้วทุนนิยม ขั้วนักเลือกตั้ง และนักวิชาการหัวขวาตกขอบ และซ้ายนักฉวยโอกาส เพื่อเป็นเครื่องมือให้ตนมีอำนาจทางการเมืองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เช่นกัน

 ใครใช้ใคร? ใครเป็นเครื่องมือใคร? ใครหลอกใคร? เป็นคำถามที่กำลังเห็นคำตอบ คลี่ออกมาทีละข้อสองข้อแล้ว


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 มีนาคม 2553, 10:02:32
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:02:53 น.   มติชนออนไลน์

"ศรีศักร"ชี้"แดง"เริ่มอ่อนแรง ไม่นานจบ ซัดกลุ่มใช้ช่องเดือดร้อนของปชช.เพื่อผลประโยชน์คนๆเดียว

เว็บไซต์ เนชั่น รายงานโดยอ้าง คำสัมภาษณ์ของ ศ.พิเศษ ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการด้านมานุษยวิทยาและโบราณคดี และกรรมการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ถึงปัญการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เห็นได้ชัดว่า กำลังอ่อนแรง ซึ่งไม่นานก็น่าจะจบลง แต่หากคนกลุ่มนี้หันมาใช้ความรุนแรง ตนเห็นว่า มีแต่ตายกับตายเพียงอย่างเดียว และมีแต่จะทำให้คนกรุงเทพมหานครเกิดความเกลียดชังกลุ่มคนเสื้อแดงเพิ่มมาก ขึ้น เพราะคนเหล่านี้เหมือนเป็นผู้อาศัย ยังมาทำให้บ้านของคนกรุงเทพฯเขาเดือดร้อน เขาก็รับไม่ได้ เช่น การขัดขวางการจราจร เป็นต้น


" ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนกลุ่มนี้ ที่ส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกกดขี่หรือใช้ความไม่เป็นธรรมจากระบบอำมาตย์ ก็คือ ข้าราชการ หรือนักการเมือง ซึ่งเดือดร้อนจริงๆ แต่ก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งนำมาเชื่อมโยง เพื่อเรียกร้องประโยชน์ให้คนเพียงคนเดียว ด้วยการอาศัยความเดือนร้อนของประชาชนมาบังหน้า เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง" ศ.พิเศษ ศรีศักร กล่าว

 

นักวิชาการด้านมานุษยวิทยากล่าวว่า  สิ่งที่รัฐบาลต้องแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ก็คือเรื่องของการกดขี่ข่มเหงประชาชนของระบบราชการ หากแก้ปัญหาไม่ได้ เรื่องการชุมนุมโดยมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งนำมาเชื่อมโยงกับการเมืองเหล่านี้ ก็จะไม่หมดสิ้น รวมทั้งการใช้ระบบประชานิยมทำให้ประชาชนเคยตัว ชอบความสบาย เมื่อรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรี แจกเงินคนก็ชอบ ไม่มีใครหรอกที่ไม่ชอบ แม้แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เองก็ยังทำ

 

"รัฐบาลต้องเลิกสร้างนิสัยประชานิยมเหล่า นี้ให้ประชาชน ต้องสร้างให้เขามีอาชีพที่สุจริต และอยู่อย่างพอเพียง อีกทั้งต้องยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักความรู้รักสามัคคี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาให้ประชาชนเรียนรู้อย่างจริงจัง เมื่อเขาท้องอิ่ม รัฐไม่ข่มเหง มีความรู้เรื่องการใช้ชีวิตพอเพียง ชุมชนสามัคคี ก็จะไม่มีใครใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมืองได้อีกในอนาคต" ศ.พิเศษ ศรีศักร กล่าว


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 20 มีนาคม 2553, 11:03:16
(http://img89.imageshack.us/img89/3843/mgrpdf20100320page01.jpg)


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 มีนาคม 2553, 21:30:29
เพลงแม้ว!!!มอนเตฯ

 

สู้เถอะพี่น้อง เสียงขอร้องจากแม้วมอนเตฯ

อยู่ริมทะเล ประเทศมอนเตรเนโกร

 นั่งจิบกาแฟ เอกเขนก กินเค๊กชิ้นโต

 ลิงค์วีดีโอ บงการเผาผลาญบ้านไทย

  ตากแดดตากฝน สู้เพื่อคนมอนเตรเนโกร

 พาลูกอวดโชว์ มอนเตเนโกรซื้อเกาะเอาไว้

 เป็นนักโทษหนี ใส่ร้ายย่ำยีศักดิ์ศรีศาลไทย

 วันนี้กำลังจุดไฟ เผาไหม้เมืองไทยแหลกราน

 
ภาพคนเสื้อแดง อ่อนแรงหิวโหยโรยรา

 ทักษิณจูงพิณทองทายิ้มร่ารื่นเริงสำราญ

 ภาพคนเสื้อแดงแดดแรงรุ่มร้อนกลางลาน

 ลูกโอ๊คและแพทองธารเบิกบานที่เมืองมอนเตรฯ

 
สู้เถอะพี่น้องเสียงขอร้องจากคนเมืองไกล

ให้สู้ต่อไป ผู้ชายสัญชาติมอนเตรเนโกร

 จะแดดจะฝนให้สู้ทนอย่าได้เยโย

 มอนเตเนโกร ลูกสาวลูกชายผมสบายดี

 สู้กันต่อไป ลูกสาวลูกชายผมสบายดี

 >ตากแดดกันไป ลูกสาวลูกชายผมสบายดี

 >ตากฝนกันไป ลูกสาวลูกชายผมสบายดี

 โง่กันต่อไป ลูกสาวลูกชายผมสบายดี



หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 20 มีนาคม 2553, 22:39:53

   เวรจริง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 21 มีนาคม 2553, 22:09:41
อ้างถึง
ข้อความของ kitty-wit เมื่อ 20 มีนาคม 2553, 22:39:53

   เวรจริง
เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 22 มีนาคม 2553, 16:01:13
(http://img153.imageshack.us/img153/6919/mgrpdf20100322page39.jpg)

เพื่อไว้อาลัย ถึงนายตำรวจคนดี แห่งอ.บันนังสตาร์ จังหวัดยะลา ที่ นายกรัฐมนตรี ไม่เหลียวแล  ถ้าหากมีการตั้งค่าหัวไว้แล้ว ต้องย้ายออกจากพื้นที่ทันที  


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 มีนาคม 2553, 22:15:33
อย่าพลาด! ระดมทุนช่วย “ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์” 28 มี.ค.นี้
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 มีนาคม 2553 19:04 น.
 
 

    ASTVผู้จัดการ - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม นี้ ทางสำนักปฏิบัติธรรมสันติอโศก กรุงเทพฯ จะจัดงานระดมทุนเพื่อช่วยเหลือ นายอังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ ในวัย 83 ปี ซึ่งกำลังประสบความยากลำบากในการใช้ชีวิต เนื่องจากปัจจุบันป่วยเป็นโรคเรื้อรังหลายโรค คือ โรคหัวใจและโรคเบาหวาน ขณะที่งานศิลปะทั้งภาพเขียนและบทกวีก็ไม่สามารถขายได้ดีเหมือนเช่นในอดีต
       
       สมณะโพธิรักษ์ ผู้ก่อตั้งพุทธสถานสันติอโศก เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า การจัดงานช่วยเหลือนายอังคารนั้น จะมีขึ้นตลอดทั้งวันกิจกรรมหลากหลายรูปแบบภายใต้ชื่องานว่า “อังคาร ผู้ผ่านปัจฉิมวัย” โดยเป็นกิจกรรมผสมผสานทั้งบันเทิงและวิชาการ
       
       “นายอังคาร เป็นกวีที่มีความคิดระดับภูมิธรรม ไม่ใช่กวีในเชิงโลกีย์ แต่มีธรรมะที่ผู้คนเข้าไม่ถึง รวมทั้งเป็นจิตรกรที่มีฝีมือชั้นยอดของประเทศไทย มีความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ และภูมิปัญญาตกผลึก ในความเห็นส่วนตัวบอกได้ว่าในรอบ 100 ปีอาจจะมีศิลปินเช่นนี้เกิดขึ้นสักคน
       
       “ชีวิตของ ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เป็นคนที่ติดดิน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น แม้ตัวเองจะตกทุกข์ได้ยากก็ไม่ร้องขอ หรืออ้อนวอนจากใคร เขาไม่มีกิเลสและยอมอดเยี่ยงอย่างเสือ การจัดงานหาเงินช่วยเหลือท่านอังคารในครั้งนี้เป็นความต้องการของกัลยาณมิตรและผู้เคารพศรัทธาในชีวิตและผลงานท่านอังคาร ที่อยากเห็นศิลปินท่านนี้จรรโลงงานศิลปะให้ยืนยาวนานที่สุด จึงต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ” สมณะโพธิรักษ์ กล่าว
       
       สำหรับงาน “อังคาร ผู้ผ่านปัจฉิมวัย” จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2553 นี้ ณ สำนักปฏิบัติธรรมสันติอโศก ย่าน ถ.นวมินทร์ เขตบึงกุ่ม โดยงานจะจั้งตั้งแต่ช่วงเช้าถึงค่ำ โดยรูปแบบงานจะมีกิจกรรมบนถนนคนเดิน ดนตรีคอนเสิร์ต ทั้งลูกกรุง ลูกทุ่ง และเพื่อชีวิต โดยผู้ร่วมงานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แต่สามารบริจาคได้ตามกำลังทรัพย์และความศรัทธา
       
       สำนักปฏิบัติธรรมสันติอโศก
       65/1 ซอย 44 (เทียมพร) ถนนนวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม
       เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ 10240
       โทร.0-2374–5230
       
       นอกจากนี้ ผู้ที่มีจิตศรัทธายังสามารถโอนเข้าบัญชี
       
       คุณอุ่นเรือน กัลยาณพงศ์ (ภรรยาท่านอังคาร) ธนาคารไทยพาณิชย์ บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 009-2-60612-1 ได้อีกด้วย

 
 
 
 
 
 
 



หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 23 มีนาคม 2553, 14:44:51
http://www.youtube.com/watch?v=OxFyQ7OIF9k
เพลงใหม่ล่าสุด "แม้ว ซังเต" เอ้ย "แม้ว มอนเต"


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 มีนาคม 2553, 21:38:26
วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:38:40 น.   มติชนออนไลน์

"ทักษิณ"ยังเจ็บคอไม่หาย ทวิตงดจ้อปลุก"เสื้อแดง"อีกวัน โต้ยังอยู่"ดูไบ" ไม่ได้หนีไปไหนตามข่าวลือ

"ทักษิณ" อ้างป่วยของดปราศรัยอีกวัน

เมื่อเวลาประมาณ 19.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พิมพ์ข้อความลงในเว็บไซต์ทวิตเตอร์ส่วนตัว "ทักษิณไลฟ์" ว่า
 "ขอ อนุญาตลาป่วยอีกวันครับคอยังเจ็บอยู่ยังไม่สามารถปราศรัยได้แต่ผมยังอยู่ที่ ดูไบไม่ได้เดินทางไปไหนตามข่าวลือครับ"


 

"นพดล" ชี้คนธรรมดาเจ็บป่วยได้ ไม่จำเป็นต้องโกหก

 

นายนพดล  ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายกษิต  ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่าได้รับรายงานว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางออกจากเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อคืนวันที่ 22 มีนาคม ว่า ตนไม่ทราบ แต่ก่อนหน้านี้ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้พูดถึงกำหนดการเดินทางไปประเทศอื่น จึงคิดว่าขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะอยู่ที่เมืองดูไบ ส่วนที่นายกษิต ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าเจ็บคอและงดวิดีโอลิงก์เพราะกำลังเดินทางไปที่อื่นนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนธรรมดาต้องมีเจ็บมีป่วยบ้าง และไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องโกหก

 


"กษิต"เผย"ทักษิณ"ออกจากดูไบแล้วอ้าง เจ็บคอ งดวิดีโอลิงก์

ที่พรรคประชาธิ ปัตย์ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระบุงดวีดีโอลิงก์ โดยอ้างว่าเจ็บคอว่า ได้รับรายงานว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางออกจากเมืองดูไบ เมื่อคืนวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ทราบว่าจะเดินทางไปที่ไหน ซึ่งตนได้ให้เจ้าหน้าที่ติดตามอยู่



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 มีนาคม 2553, 21:51:43
แถลงการณ์ยัน 'หลวงตามหาบัว' ไม่สังฆกรรมเสื้อแดง

ไทยรัฐออนไลน์ 23มีค.2553


วัดป่าบ้านตาดแถลงการณ์ยัน "หลวงตามหาบัว" ไม่เคยบริจาคเงิน มอบวัตถุมงคลให้ม็อบ ตามที่สื่อเสนอข่าว ไม่มีมูลความจริงนำพาไปสู่ความแตกแยกทั้งในด้านพระพุทธศาสนา รวมทั้งวัด...

เมื่อ วันที่ 23 มี.ค. พระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน รองเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี กล่าวว่า คณะสงฆ์วัดป่าบ้านตาดได้ออกแถลงการณ์ว่า ตามที่มีข่าวทางสื่อมวลชนเสนอข่าวว่า พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ได้บริจาคเงิน และมอบวัตถุมงคลให้กับกลุ่มบุคคลในการเข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นทางการเมือง นั้น ทางวัดป่าบ้านตาดขอชี้แจงว่า การนำเสนอข้อมูลข่าวสารดังกล่าว โดยอ้างหลวงตามหาบัว เข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความแตกแยกทั้งในด้านพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชน ตลอดจนนำความเสื่อมเสียเข้าไปภายในวัดได้ ซึ่งข้อมูลข่าวสารที่กลุ่มบุคคลเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนต่างๆนั้น ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด.
ไทยรัฐออนไลน์

    * โดย ทีมข่าวภูมิภาค
    * 23 มีนาคม 2553, 20:40 น.



หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 24 มีนาคม 2553, 07:48:26
(http://img180.imageshack.us/img180/6947/mgrpdf20100324page40.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 มีนาคม 2553, 10:11:01
หนทางที่ 4
รายงานข่าวโดย: ณ กาฬ 23 มีนาคม 2553 เวลา 21:48 น.posttodayonline

มาแล้ว มาตามนัด จิ๋วหวานเจี๊ยบ-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นำทีม สส.เพื่อไทย เปิดแถลงถึงจุดยืนต่อสถานการณ์ทางการเมือง

ไม่แปลกประหลาดที่ข้อเรียกร้องของพรรคเพื่อไทย สอดคล้องกับม็อบแดงโดยแท้ เป็นการพิสูจน์อีกครั้ง ม็อบแดง และพรรคเพื่อไทยจะเป็นของใครไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ ทักษิณ ชินวัตร

ข้อเรียกร้องของพรรคเพื่อไทย คือ 1.ให้ยุบสภา 2.พรรคเพื่อไทยจะพบพรรคร่วมรัฐบาลแสวงหาทางออกด้วยสันติวิธี 3.หากมีการเลือกตั้ง ทุกฝ่ายต้องเคารพผล

นี่แหละ 3 หนทางสันติที่ เสื้อแดง+เพื่อไทย โก่งร้องในทำนองเพื่อแม้ว

ทว่าความจริงแล้วยังมีหนทางที่ 4 อีก นั่นคือให้ทักษิณหยุดเคลื่อนไหว

แล้วรอไปให้สภาหมดอายุ เลือกตั้งพิสูจน์กันใหม่

ม็อบแดงหยุด สส.เพื่อไทยหยุด ความปั่นป่วนหยุด

มหาสันติวิธี ยิ่งกว่ามหาไพร่ ง่ายกว่ากันเยอะ

แต่ข้ออ้างที่แดงและเพื่อไทยรอไม่ได้ก็คือ รัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตย มีที่มาไม่ถูกต้อง

ว่าไปคำพูดนี้ก็มีน้ำหนักอยู่ เพราะรู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกิดขึ้นได้ด้วยสีเขียวอุ้มสม

แต่ถ้าจะเปิดใจกันให้กว้างกว่า เราควรตั้งหลักว่าต้องการประชาธิปไตยที่รูปแบบหรือเนื้อหา

ถ้าต้องการที่รูปแบบ ประชาธิปไตยจะมีค่าแค่เพียง 1 นาที เมื่อกาบัตรหย่อนหีบเลือกตั้งเท่านั้น แล้วทุกคนก็หมดสิทธิ

แล้วเราก็ต้องก้มหน้ารับผลการที่พรรคการเมืองแผ่อิทธิพล ผูกขาดอำนาจทั้งสภาล่าง สภาบน ทำลายกลไกคาน-ดุลตรวจสอบในระบอบทั้งหมด

ใครวิพากษ์วิจารณ์จะกลายเป็นขาประจำ ประชาชนจังหวัดไหนถ้าไม่เลือก สส.ยกพรรค จังหวัดนั้นก็ไม่ต้องได้งบประมาณ

เราต้องทนคำวาทะ โจรกระจอก ที่นำไปสู่ความรุนแรงในภาคใต้ หรือนโยบายประชานิยมที่มีการคอร์รัปชันเชิงนโยบายเป็นของแถม

เหล่านี้คือวิถีประชาธิปไตยที่แท้ หรือเป็นแค่เพียงรูปแบบ

แต่หากต้องการประชาธิปไตยที่เป็นเนื้อหา รัฐบาลต้องถูกตรวจสอบ ต้องปล่อยให้กลไกคาน-ดุลทำหน้าที่ตามปกติ

ไม่มีใครปฏิเสธหรอก รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีปัญหาคอร์รัปชัน แต่เป็นหน้าที่ อภิสิทธิ์ ต้องจัดการ ไม่เช่นนั้นก็อยู่ไม่ได้

เราจึงจำเป็นต้องเข้าใจประชาธิปไตยที่เน้นรูปแบบหรือเนื้อหา

เพราะฝูงผีกำลังตั้งท่าใส่เสื้อประชาธิปไตยมาหลอกหลอน!!!




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 มีนาคม 2553, 14:41:57
อ่านคลายเครียด



  ถาม: เจองู กับ เจอแขก
            ท่านเลือกจะตีงูหรือตีแขก?
 
  ตอบ : ตีทักษิณก่อน

ถาม : ถ้ามีไม้ 2 อัน อันแรกตีทักษิณก่อน แล้วอันที่ 2 ล่ะ?

ตอบ : ตีทักษิณอีกที (กลัวมันไม่ตาย)
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 มีนาคม 2553, 22:49:15
ลือสะพัด! อ.จุฬาฯ เสื้อแดง ทำข้อสอบ ป.โท หายกลางม็อบ
 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มีนาคม 2553 17:54 น.

ลือหึ่งอาจารย์คณะอักษร รั้วจามจุรีสีชมพู ผู้ฝักใฝ่การชุมนุมร่วมกับคนเสื้อแดง หอบ
 “ข้อสอบประมวล” ของนิสิตปริญญาโท หลักสูตร EIL ไปตรวจกลางม็อบแดง
 ผลปรากฏข้อสอบหายทั้งปึก นิสิตซวยเจอให้สอบใหม่ เจ้าตัวอ้าง ทำหายในร้านกาแฟ

 
  มีรายงานข่าวว่า เกิดเหตุอาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 ที่รับผิดชอบสอนในหลักสูตรสหสาขาวิชาภาษาอังกฤษ เป็นภาษานานาชาติ (EIL) รายหนึ่ง
ได้ทำข้อสอบประมวลข้อเขียนของนิสิตปริญญาโท หลักสูตรสหสาขาวิชาภาษาอังกฤษ เป็นภาษานานาชาติ
 ที่ได้จัดสอบไปแล้วหายไป และได้ให้นิสิตกลุ่มดังกล่าวสอบใหม่อีกครั้ง โดยอ้างว่าทำข้อสอบหายในร้านกาแฟ
       
       จากกรณีดังกล่าวทำให้มีเสียงร่ำลือในหมู่นิสิตและคณาจารย์ผู้ทราบข่าว และทราบว่า
อาจารย์รายนี้มีแนวคิดนิยมกลุ่มเสื้อแดง และมักจะเดินทางไปร่วมการชุมนุมอย่างสม่ำเสมอ
 โดยเฉพาะในช่วงการชุมนุมใหญ่ล่าสุดของกลุ่ม นปช.ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าข้อสอบของนิสิตน่าจะหายในม็อบเสื้อแดงมากกว่า
 และคาดว่า อาจารย์รายนี้น่าจะเอาไปตรวจในม็อบ และทำหายไป มากกว่าที่จะทำหายในร้านกาแฟ
เพราะโดยปกติแล้วนิสัยของอาจารย์รายนี้ ไม่ได้ชื่นชอบการนั่งร้านกาแฟ และหากทำหายในร้านกาแฟจริง
 ก็น่าจะติดตามหรือสอบถามที่ร้านได้บ้าง
 


เฉลย เป็นคนรับจ้างสอน คณะ อักษรศาสตร์ เป็นสุภาพสตรี นิยม สีแดง
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: อ้อย 14 ที่ 25 มีนาคม 2553, 11:47:58
 emo4:))ป่านฉะนี้ ข้อสอบปึกนั้น คงถูกเอาไปรองนั่ง....ปูพื้นไว้วางจานส้มตำ ข้างเหนียว....บังแดด...และ สุดท้าย เช็ดก้น emo48:)


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: อ้อย 14 ที่ 25 มีนาคม 2553, 11:53:19
เอามาฝากให้อ่าน...จ๊ะ

ถึงเพื่อนที่ชอบสีแดง,

เมื่อตอนบ่ายโมงของวันเสาร์ที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่เราซื้อของจากเอ็มโพเรียมเสร็จแล้วราวๆ บ่ายสองโมง
เรากับแม่ก็ตกลงที่จะใช้เส้นทางผ่านสุขุมวิท 31 ไปเข้าเพชรบุรีตัดใหม่ โดยที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวว่ามีการชุมนุมกันอยู่ที่หน้า
บ้านนายกฯ ในตอนที่เราจะเข้าซอย ได้มีการเอาแผงมากันด้านขาเข้าปากซอย 31 ส่วนด้านขาออกที่จะมายังถนนสุขุมวิทนั้น
มีผู้หญิงสวมเสื้อแดงยืนกันอยู่ และไม่มีอาการสนอกสนใจถึงรถราที่วิ่งเข้าวิ่งออกในซอยนั้นเท่าไรนัก เราก็เลยบีบแตรรถเพื่อ
ให้ผู้หญิงคนนั้นหลีกให้พ้นทาง แล้วเราก็ขับรถเข้าซอยไป... ระหว่างทางเรากับแม่เห็นผู้ชายใส่เสื้อสีแดง ย้อมผมสีส้มยืน
ปัสสาวะอยู่ริมถนน (อย่างไม่อายสายตาใคร) บนรั้วสีขาวของชาวบ้านในซอย 31 โดยที่ในตอนนั้นยังฉุกคิดไม่ทันเสียด้วยซ้ำ
ว่าเกิดอะไรกันขึ้น

จนกระทั่งเราวิ่งเข้ามาจนถึงหน้าร้าน Homework ซึ่งบริเวณนั้นถูกปิดอยู่โดยกลุ่มคนที่ใส่เสื้อแดง พอรถเราหยุด เราก็เห็นผู้ชาย
ตัวใหญ่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ถือธงไทยปลิวไสวมาหยุดอยู่ที่ข้างๆ ตัว พร้อมกับลงมาจากมอเตอร์ไซค์แล้วก็เริ่มเคาะที่กระจกรถ
เรา จากนั้นก็พูดว่า “มรึ..งบีบแต.. ทำไม?”... ส่วนเราก็พยายามมองไปที่ท้ายรถคันข้างหน้าเพราะไม่อยากจะไปยุ่งด้วย ซึ่งการทำ
แบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นเท่าไหร่นัก ... หลังจากนั้นแค่อึดใจ ก็มีชายฉกรรจ์อีกประมาณ 4 - 5 คนเดินมามุงที่รถเรา
ซึ่งขณะนั้นผู้ชายคนเดิมก็ย้ำคิดย้ำทำอาการเดิมๆ อยู่ โดยเคาะที่กระจกรถแล้วก็พูดต่อ.... “มรึ..งบีบแต..ทำไม?” แม่ของเราซึ่งอายุ
75 แล้ว ก็คงจะเริ่มกลัวแต่ก็ยังมีสติพอที่จะบอกให้เรากลับรถและวนกลับไปยังหน้าซอย แต่พวกผู้ชายเหล่านั้นก็ยังไม่ลดละที่จะมา
ยืนมุงรถเราอยู่... และถามซ้ำประโยคเดิมๆ จนเราทนไม่ได้ เราเลยหันกลับไปมองหน้าคนที่เคาะกระจก แล้วพูดว่า “แล้วจะทำไม?” ...
พอผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นอ่านปากเราสำเร็จ เขาก็เริ่มเปลี่ยนจากประโยคคำถามเดิม เป็นประโยคคำถามใหม่ “มรึ..งบีบแต.. ด่ากูใช่ไม๊?” ...
เราก็ไม่ตอบและหันหน้าหนีเพื่อที่จะรอให้รถคันข้างหน้าขยับ และเราก็จะได้ขยับด้วย... แต่ก็ดูเหมือนไม่สำเร็จ “โธ่...อีเหรี้..ย.!!!”….
“อีสั...ว์!!” และอีกสารพัดอี... แต่เดชะบุญรถคันข้างหน้าเราเริ่มขยับได้... เราก็เลยสามารถที่จะขยับตาม และเริ่มที่จะกลับรถได้

พอรถเราเริ่มหันไปทางทิศปากซอยได้... พวกผู้ชายตัวใหญ่ๆ ใส่เสื้อแดง... รวมทั้งเสื้อดำมีผ้าปิดหน้า (ผ้าเจาะรูที่ลูกตาสองข้าง)
ก็ยังไม่ลดละที่จะเดินมาประชิดข้างๆ ตัวเราอีก...พร้อมทั้งพยายามดึงประตูรถ (ทั้งทางฝั่งเรา และฝั่งของแม่) และเอาหัวแหวน
(ขนาดใหญ่) มาเคาะที่กระจกด้านที่เรานั่ง หลายๆ ครั้งหลายหน จนเราทนไม่ได้ ต้องหันกลับไปพูดว่า “กูจะกลับบ้าน”....เท่านั้นแหละ
ผู้ชายที่ยืนอยู่ก็ยิ่งกระชากประตูรถแรงขึ้นๆ ทั้งทางฝั่งเรา และฝั่งแม่เรา “มรึ..งบีบแต...หาแม่มรึ..งเหรอ?? … มรึ..งลงมาเดี๋ยวนี้เลย!!... อีเหรี้..ย”
“โธ่...อีสั..ว์”.... ฯลฯ (นี่... ถ้าคว้านรูลูกตาไอ้โม่งให้มันกว้างกว่านี้อีกสักนิดก็คงจะเห็นหรอกนะว่า... แม่กูนั่งอยู่นี่!!) แล้วก็เคาะๆๆๆ แรง
มาก... จนเราต้องหันหน้าไปจ้องตากับผู้ชายคนนั้น... จ้องกันได้ไม่นาน... ผู้ชายคนนั้นก็ทำท่าทำทางฮึดฮัด และพยายามที่จะหยิบอะไร
ออกมาจากสะเอว (เหมือนกระเป๋าใบเล็กๆ รูปทรงกะทัดรัด) …. แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราหยุดที่จะจ้องเข้าไปในรูเล็กๆ ที่ปิดบังลูกตาของผู้ชาย
คนนั้นอยู่... เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกันว่า “แล้วจะทำไม?” … ยิ่งจ้องผู้ชายคนนั้นก็ยิ่งฮึดฮัด เขย่าที่เปิดประตูรถแรงขึ้นๆ... จนเราได้ยิน
เสียงผู้ชายอีกคนพูดว่า “ปล่อยมันไปเหอะ... ผู้หญิง... ผู้หญิง... ปล่อยมันไปเหอะ”… พอเราได้สติ นึกขึ้นได้ว่าแม่นั่งอยู่ด้วย เราก็เลยเข้า
เกียร์เดินหน้า แต่มิวายก็ได้ยินเสียงรถ “ถูกถีบ” ตามมาให้เราได้ยินก่อนที่จะขับรถจากไป

จากเหตุการณ์ที่เราเล่า เป็นเรื่องที่เราประสบด้วยตัวเอง... ไม่มีการตัดต่อ ไม่มีการใส่สีใส่ไข่ให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เราต้องพูดอย่างนี้ก็
เพราะว่าหลายๆ ครั้ง เพื่อนสีแดงของเราชอบบอกว่าข่าวสารบ้านเมืองของเราถูกบิดเบือน พวกชาวบ้านอย่างเราถูก “ปิดหูปิดตา” … เพื่อนๆ
บางคนอาจจะเห็นว่าเรา “วอน” หาเรื่อง หรืออาจจะมีความรู้สึกกับเรื่องราวที่เราเราให้ฟังนี้ไปได้อีกหลากหลาย แต่สำหรับแม่ของเรา ซึ่งไม่
เคยเจอะเคยเจออะไรประชิดตัวอย่างนี้มาจนอายุ 75… แน่นอน เป็นเรื่องที่ทำให้แม่ตกใจมาก และสั่นกลัวไปทั้งวัน จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น
แม่ก็ยังตกใจกลัวอยู่ ... ส่วนตัวเราเองตั้งแต่วินาทีที่ขับรถพ้นคนกลุ่มนั้นออกมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้น และชัดเจนที่สุดที่สามารถอธิบายได้คือ
“นี่มันอะไรกัน?” อะไรที่ทำให้คนที่ไม่รู้จักกัน ไม่เคยมีเรื่องมีราวกัน สามารถที่จะปฏิบัติต่อกันได้ขนาดนี้? และเราก็บอกได้เลยว่าในสายตา
และท่าทางของคนเหล่านั้น เราสามารถรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่มีมากมายราวกับสะสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

ความรู้สึกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในวันนั้น... มันได้ทำให้ความรู้สึกเดิมๆ ที่เคยมีแต่ต้องเก็บเอาไว้มันหวนกลับมาในสมองของเราอีก...
เพื่อนๆ ที่ศรัทธาในสีแดงของเราทุกเฉด... เราขอบอกตรงนี้นะว่า “หยุดเถอะ” หยุดที่จะสร้างความอึดอัดให้กับคนรอบข้างที่รักเพื่อน และที่ยิน
ยอมที่จะไม่พูด ไม่เถียง เพียงเพราะต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน และแตกคอกันของคนในสังคมเล็กๆ ของเรา ... หลายครั้งที่เรา
หยุด และเลี่ยง เพียงเพราะต้องการให้การสังสรรค์ หรือความสุขที่เรามีร่วมกันขณะนั้นมันสามารถไปต่อได้ ... แต่ตอนนี้เราขอบอกตรงๆ กับ
เพื่อนนะว่า เราไม่สามารถที่จะมีความสุขในลักษณะนี้ได้อีกต่อไปแล้ว

เราไม่รู้หรอกว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เพื่อนบางคนรู้สึกศรัทธาในสีที่ว่านี้ ... มันอาจจะมาจากความเป็นอยู่ที่สุขสบายมากขึ้น หรือเพียงแต่
ศรัทธาเพราะต้องการที่จะแตกต่าง หรือศรัทธาเพราะคนรุ่นเราถูกสอนให้ “รู้จักคิด” และ “แสดงความคิด” เราไม่รู้ ... แต่สำหรับเรา สิ่งที่เรา
รักและศรัทธานั้นเกิดขึ้นมานานกว่าช่วงเวลาที่ “คนๆ นั้น” ก้าวขึ้นมามีอำนาจ และเราก็มั่นใจอีกว่ามันนานกว่าชั่วชีวิต 40กว่าปีของเราด้วยซ้ำ
เพราะความรัก ความศรัทธานี้มีมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยายของเรา และมันก็ฝังลึกเกินกว่าที่เราจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้... ดังนั้นเราขอให้
เพื่อนหยุดเถอะ... หยุดสร้างความรู้สึกกดดัน และอึดอัดให้กับคนอื่นๆ ที่รักเพื่อนเสียที...

เรารู้เสียใจที่หลายครั้งต้องมารับรู้ว่ามีหลายครอบครัวที่คนในบ้านมีการ แบ่งสี แบ่งฝ่าย…. ทะเลากันจนทำให้พี่น้องต้องแตกหักกันไป ... แต่
สำหรับเราเอง... เรายังโชคดีที่คนในครอบครัว และคนรอบๆ ตัวเราส่วนใหญ่ไม่ได้ศรัทธา หรือเชื่อในสิ่งที่ “คนๆ นั้น”พยายามทำให้มันเกิดขึ้น
แต่เพื่อนสีแดงของเราทั้งหลาย... นับแต่บัดนี้เราขอบอกเพื่อนว่า...วันนี้เราจะไม่หลีกเลี่ยงการพูดจาตรงไปตรงมากับเพื่อนอีกต่อไป... เราจะ
ไม่ตำหนิติเตียนความคิดเห็นของเพื่อนลับหลังอีกต่อไป... ขอให้เพื่อนรู้เอาไว้ตรงนี้แล้วกันนะว่า การที่เรา... หรือพวกเราเงียบเป็นเพราะว่าเรา
ยังมีความรักในตัวเพื่อนอยู่มาก แต่ถ้าเมื่อใด ความก้าวล่วงความรู้สึกที่ว่านี้มันมีมากขึ้นๆ และเพื่อนยังไม่เลิกดูหมิ่นหรือพูดจาลบหลู่สิ่งที่เราเคารพ
สูงสุดในชีวิตของเราอีก ความรักและความอดทนนั้นมันก็จะคงหมดไปได้ในที่สุดเหมือนกัน

เราขอร้องเพื่อนครั้งนี้เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย เราไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะต้องปกป้องใคร หรือเชื่อคำพูดใดๆ ของใครสิ่งที่เราคิด... สิ่งที่เราเป็น
เกิดจากสิ่งที่เราเห็นและประสบด้วยตัวเองทั้งหมด... เรามีชีวิตที่มีความสุขพอสมควรได้ขนาดนี้... ประเทศของเราสามารถยืนหยัดเป็นประเทศไทย
อยู่ได้ทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้เกิดจากการปกครองโดย “ธรรม” ของ “ผู้ปกครอง” แล้วจะเกิดจากใคร? ที่พวกเราได้เก็บเกี่ยวดอกผลแห่งความสุขกันอยู่ได้
ทุกวันนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นในแค่ช่วงเวลาที่ “คนๆ นั้น” ขึ้นมาปกครอง... มันน่าจะนานกว่านั้นนะ!! มันน่าจะนานกว่าชีวิตปู่ ย่าตา ยาย ของพวกเราด้วยซ้ำ ...
คิดดูให้ดี ... เราขอร้อง... อย่ามาทะเลาะกันเพียงเพื่อให้คนๆ เดียวได้ความสะใจอีกเลยได้ไหม?

รักเพื่อนเสมอ และลาก่อนสำหรับเพื่อนที่ยังคงศรัทธาในสีแดง

ref: http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000041339


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 25 มีนาคม 2553, 12:45:31
พิมเสน  ย่อมมีค่ามากเกินกว่าที่จะไปแลกกับเกลือ ..     emo30:sorry:


ด้วยความเห็นใจอย่างที่สุดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  
หากเป็นเราคงหัวใจละลายตายไปตรงนั้นแล้ววว ล่ะค่ะ


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 25 มีนาคม 2553, 12:46:26
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย 14 เมื่อ 25 มีนาคม 2553, 11:53:19
เอามาฝากให้อ่าน...จ๊ะ

ถึงเพื่อนที่ชอบสีแดง,

เมื่อตอนบ่ายโมงของวันเสาร์ที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่เราซื้อของจากเอ็มโพเรียมเสร็จแล้วราวๆ บ่ายสองโมง
เรากับแม่ก็ตกลงที่จะใช้เส้นทางผ่านสุขุมวิท 31 ไปเข้าเพชรบุรีตัดใหม่ โดยที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวว่ามีการชุมนุมกันอยู่ที่หน้า
บ้านนายกฯ ในตอนที่เราจะเข้าซอย ได้มีการเอาแผงมากันด้านขาเข้าปากซอย 31 ส่วนด้านขาออกที่จะมายังถนนสุขุมวิทนั้น
มีผู้หญิงสวมเสื้อแดงยืนกันอยู่ และไม่มีอาการสนอกสนใจถึงรถราที่วิ่งเข้าวิ่งออกในซอยนั้นเท่าไรนัก เราก็เลยบีบแตรรถเพื่อ
ให้ผู้หญิงคนนั้นหลีกให้พ้นทาง แล้วเราก็ขับรถเข้าซอยไป... ระหว่างทางเรากับแม่เห็นผู้ชายใส่เสื้อสีแดง ย้อมผมสีส้มยืน
ปัสสาวะอยู่ริมถนน (อย่างไม่อายสายตาใคร) บนรั้วสีขาวของชาวบ้านในซอย 31 โดยที่ในตอนนั้นยังฉุกคิดไม่ทันเสียด้วยซ้ำ
ว่าเกิดอะไรกันขึ้น

จนกระทั่งเราวิ่งเข้ามาจนถึงหน้าร้าน Homework ซึ่งบริเวณนั้นถูกปิดอยู่โดยกลุ่มคนที่ใส่เสื้อแดง พอรถเราหยุด เราก็เห็นผู้ชาย
ตัวใหญ่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ถือธงไทยปลิวไสวมาหยุดอยู่ที่ข้างๆ ตัว พร้อมกับลงมาจากมอเตอร์ไซค์แล้วก็เริ่มเคาะที่กระจกรถ
เรา จากนั้นก็พูดว่า “มรึ..งบีบแต.. ทำไม?”... ส่วนเราก็พยายามมองไปที่ท้ายรถคันข้างหน้าเพราะไม่อยากจะไปยุ่งด้วย ซึ่งการทำ
แบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นเท่าไหร่นัก ... หลังจากนั้นแค่อึดใจ ก็มีชายฉกรรจ์อีกประมาณ 4 - 5 คนเดินมามุงที่รถเรา
ซึ่งขณะนั้นผู้ชายคนเดิมก็ย้ำคิดย้ำทำอาการเดิมๆ อยู่ โดยเคาะที่กระจกรถแล้วก็พูดต่อ.... “มรึ..งบีบแต..ทำไม?” แม่ของเราซึ่งอายุ
75 แล้ว ก็คงจะเริ่มกลัวแต่ก็ยังมีสติพอที่จะบอกให้เรากลับรถและวนกลับไปยังหน้าซอย แต่พวกผู้ชายเหล่านั้นก็ยังไม่ลดละที่จะมา
ยืนมุงรถเราอยู่... และถามซ้ำประโยคเดิมๆ จนเราทนไม่ได้ เราเลยหันกลับไปมองหน้าคนที่เคาะกระจก แล้วพูดว่า “แล้วจะทำไม?” ...
พอผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นอ่านปากเราสำเร็จ เขาก็เริ่มเปลี่ยนจากประโยคคำถามเดิม เป็นประโยคคำถามใหม่ “มรึ..งบีบแต.. ด่ากูใช่ไม๊?” ...
เราก็ไม่ตอบและหันหน้าหนีเพื่อที่จะรอให้รถคันข้างหน้าขยับ และเราก็จะได้ขยับด้วย... แต่ก็ดูเหมือนไม่สำเร็จ “โธ่...อีเหรี้..ย.!!!”….
“อีสั...ว์!!” และอีกสารพัดอี... แต่เดชะบุญรถคันข้างหน้าเราเริ่มขยับได้... เราก็เลยสามารถที่จะขยับตาม และเริ่มที่จะกลับรถได้

พอรถเราเริ่มหันไปทางทิศปากซอยได้... พวกผู้ชายตัวใหญ่ๆ ใส่เสื้อแดง... รวมทั้งเสื้อดำมีผ้าปิดหน้า (ผ้าเจาะรูที่ลูกตาสองข้าง)
ก็ยังไม่ลดละที่จะเดินมาประชิดข้างๆ ตัวเราอีก...พร้อมทั้งพยายามดึงประตูรถ (ทั้งทางฝั่งเรา และฝั่งของแม่) และเอาหัวแหวน
(ขนาดใหญ่) มาเคาะที่กระจกด้านที่เรานั่ง หลายๆ ครั้งหลายหน จนเราทนไม่ได้ ต้องหันกลับไปพูดว่า “กูจะกลับบ้าน”....เท่านั้นแหละ
ผู้ชายที่ยืนอยู่ก็ยิ่งกระชากประตูรถแรงขึ้นๆ ทั้งทางฝั่งเรา และฝั่งแม่เรา “มรึ..งบีบแต...หาแม่มรึ..งเหรอ?? … มรึ..งลงมาเดี๋ยวนี้เลย!!... อีเหรี้..ย”
“โธ่...อีสั..ว์”.... ฯลฯ (นี่... ถ้าคว้านรูลูกตาไอ้โม่งให้มันกว้างกว่านี้อีกสักนิดก็คงจะเห็นหรอกนะว่า... แม่กูนั่งอยู่นี่!!) แล้วก็เคาะๆๆๆ แรง
มาก... จนเราต้องหันหน้าไปจ้องตากับผู้ชายคนนั้น... จ้องกันได้ไม่นาน... ผู้ชายคนนั้นก็ทำท่าทำทางฮึดฮัด และพยายามที่จะหยิบอะไร
ออกมาจากสะเอว (เหมือนกระเป๋าใบเล็กๆ รูปทรงกะทัดรัด) …. แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราหยุดที่จะจ้องเข้าไปในรูเล็กๆ ที่ปิดบังลูกตาของผู้ชาย
คนนั้นอยู่... เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกันว่า “แล้วจะทำไม?” … ยิ่งจ้องผู้ชายคนนั้นก็ยิ่งฮึดฮัด เขย่าที่เปิดประตูรถแรงขึ้นๆ... จนเราได้ยิน
เสียงผู้ชายอีกคนพูดว่า “ปล่อยมันไปเหอะ... ผู้หญิง... ผู้หญิง... ปล่อยมันไปเหอะ”… พอเราได้สติ นึกขึ้นได้ว่าแม่นั่งอยู่ด้วย เราก็เลยเข้า
เกียร์เดินหน้า แต่มิวายก็ได้ยินเสียงรถ “ถูกถีบ” ตามมาให้เราได้ยินก่อนที่จะขับรถจากไป

จากเหตุการณ์ที่เราเล่า เป็นเรื่องที่เราประสบด้วยตัวเอง... ไม่มีการตัดต่อ ไม่มีการใส่สีใส่ไข่ให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เราต้องพูดอย่างนี้ก็
เพราะว่าหลายๆ ครั้ง เพื่อนสีแดงของเราชอบบอกว่าข่าวสารบ้านเมืองของเราถูกบิดเบือน พวกชาวบ้านอย่างเราถูก “ปิดหูปิดตา” … เพื่อนๆ
บางคนอาจจะเห็นว่าเรา “วอน” หาเรื่อง หรืออาจจะมีความรู้สึกกับเรื่องราวที่เราเราให้ฟังนี้ไปได้อีกหลากหลาย แต่สำหรับแม่ของเรา ซึ่งไม่
เคยเจอะเคยเจออะไรประชิดตัวอย่างนี้มาจนอายุ 75… แน่นอน เป็นเรื่องที่ทำให้แม่ตกใจมาก และสั่นกลัวไปทั้งวัน จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น
แม่ก็ยังตกใจกลัวอยู่ ... ส่วนตัวเราเองตั้งแต่วินาทีที่ขับรถพ้นคนกลุ่มนั้นออกมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้น และชัดเจนที่สุดที่สามารถอธิบายได้คือ
“นี่มันอะไรกัน?” อะไรที่ทำให้คนที่ไม่รู้จักกัน ไม่เคยมีเรื่องมีราวกัน สามารถที่จะปฏิบัติต่อกันได้ขนาดนี้? และเราก็บอกได้เลยว่าในสายตา
และท่าทางของคนเหล่านั้น เราสามารถรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่มีมากมายราวกับสะสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

ความรู้สึกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในวันนั้น... มันได้ทำให้ความรู้สึกเดิมๆ ที่เคยมีแต่ต้องเก็บเอาไว้มันหวนกลับมาในสมองของเราอีก...
เพื่อนๆ ที่ศรัทธาในสีแดงของเราทุกเฉด... เราขอบอกตรงนี้นะว่า “หยุดเถอะ” หยุดที่จะสร้างความอึดอัดให้กับคนรอบข้างที่รักเพื่อน และที่ยิน
ยอมที่จะไม่พูด ไม่เถียง เพียงเพราะต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน และแตกคอกันของคนในสังคมเล็กๆ ของเรา ... หลายครั้งที่เรา
หยุด และเลี่ยง เพียงเพราะต้องการให้การสังสรรค์ หรือความสุขที่เรามีร่วมกันขณะนั้นมันสามารถไปต่อได้ ... แต่ตอนนี้เราขอบอกตรงๆ กับ
เพื่อนนะว่า เราไม่สามารถที่จะมีความสุขในลักษณะนี้ได้อีกต่อไปแล้ว

เราไม่รู้หรอกว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เพื่อนบางคนรู้สึกศรัทธาในสีที่ว่านี้ ... มันอาจจะมาจากความเป็นอยู่ที่สุขสบายมากขึ้น หรือเพียงแต่
ศรัทธาเพราะต้องการที่จะแตกต่าง หรือศรัทธาเพราะคนรุ่นเราถูกสอนให้ “รู้จักคิด” และ “แสดงความคิด” เราไม่รู้ ... แต่สำหรับเรา สิ่งที่เรา
รักและศรัทธานั้นเกิดขึ้นมานานกว่าช่วงเวลาที่ “คนๆ นั้น” ก้าวขึ้นมามีอำนาจ และเราก็มั่นใจอีกว่ามันนานกว่าชั่วชีวิต 40กว่าปีของเราด้วยซ้ำ
เพราะความรัก ความศรัทธานี้มีมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยายของเรา และมันก็ฝังลึกเกินกว่าที่เราจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้... ดังนั้นเราขอให้
เพื่อนหยุดเถอะ... หยุดสร้างความรู้สึกกดดัน และอึดอัดให้กับคนอื่นๆ ที่รักเพื่อนเสียที...

เรารู้เสียใจที่หลายครั้งต้องมารับรู้ว่ามีหลายครอบครัวที่คนในบ้านมีการ แบ่งสี แบ่งฝ่าย…. ทะเลากันจนทำให้พี่น้องต้องแตกหักกันไป ... แต่
สำหรับเราเอง... เรายังโชคดีที่คนในครอบครัว และคนรอบๆ ตัวเราส่วนใหญ่ไม่ได้ศรัทธา หรือเชื่อในสิ่งที่ “คนๆ นั้น”พยายามทำให้มันเกิดขึ้น
แต่เพื่อนสีแดงของเราทั้งหลาย... นับแต่บัดนี้เราขอบอกเพื่อนว่า...วันนี้เราจะไม่หลีกเลี่ยงการพูดจาตรงไปตรงมากับเพื่อนอีกต่อไป... เราจะ
ไม่ตำหนิติเตียนความคิดเห็นของเพื่อนลับหลังอีกต่อไป... ขอให้เพื่อนรู้เอาไว้ตรงนี้แล้วกันนะว่า การที่เรา... หรือพวกเราเงียบเป็นเพราะว่าเรา
ยังมีความรักในตัวเพื่อนอยู่มาก แต่ถ้าเมื่อใด ความก้าวล่วงความรู้สึกที่ว่านี้มันมีมากขึ้นๆ และเพื่อนยังไม่เลิกดูหมิ่นหรือพูดจาลบหลู่สิ่งที่เราเคารพ
สูงสุดในชีวิตของเราอีก ความรักและความอดทนนั้นมันก็จะคงหมดไปได้ในที่สุดเหมือนกัน

เราขอร้องเพื่อนครั้งนี้เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย เราไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะต้องปกป้องใคร หรือเชื่อคำพูดใดๆ ของใครสิ่งที่เราคิด... สิ่งที่เราเป็น
เกิดจากสิ่งที่เราเห็นและประสบด้วยตัวเองทั้งหมด... เรามีชีวิตที่มีความสุขพอสมควรได้ขนาดนี้... ประเทศของเราสามารถยืนหยัดเป็นประเทศไทย
อยู่ได้ทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้เกิดจากการปกครองโดย “ธรรม” ของ “ผู้ปกครอง” แล้วจะเกิดจากใคร? ที่พวกเราได้เก็บเกี่ยวดอกผลแห่งความสุขกันอยู่ได้
ทุกวันนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นในแค่ช่วงเวลาที่ “คนๆ นั้น” ขึ้นมาปกครอง... มันน่าจะนานกว่านั้นนะ!! มันน่าจะนานกว่าชีวิตปู่ ย่าตา ยาย ของพวกเราด้วยซ้ำ ...
คิดดูให้ดี ... เราขอร้อง... อย่ามาทะเลาะกันเพียงเพื่อให้คนๆ เดียวได้ความสะใจอีกเลยได้ไหม?

รักเพื่อนเสมอ และลาก่อนสำหรับเพื่อนที่ยังคงศรัทธาในสีแดง

พี่เจี๊ยบ คนต่ำช้าพวกนี้ ไปอยู่ที่ไหนก็ก่อเเต่ความเสื่อม อย่าได้คล่องแวะด้วย เป็นดี อย่าไม่คล่องแวะ มีเรื่อง


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 25 มีนาคม 2553, 12:51:20
พี่อ้อย หรือเปล่า ปาทู .. ไม่น่าจะใช่พี่เจี๊ยบนะ .. ??      emo47

ง่วงหรือเมา  .. ตอนนี้อย่าขับรถนะคะ
ด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง



(http://img230.imageshack.us/img230/8954/capturemu.jpg)


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 25 มีนาคม 2553, 14:28:17
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 24 มีนาคม 2553, 14:41:57
อ่านคลายเครียด



  ถาม: เจองู กับ เจอแขก
            ท่านเลือกจะตีงูหรือตีแขก?
 
  ตอบ : ตีทักษิณก่อน

ถาม : ถ้ามีไม้ 2 อัน อันแรกตีทักษิณก่อน แล้วอันที่ 2 ล่ะ?

ตอบ : ตีทักษิณอีกที (กลัวมันไม่ตาย)
 
 
 
 
 


              ถาม     ถ้ามีไม้อันที่ 3  จะตีใครต่อไป?

              ตอบ     ตีอัลไซเม่อร์จิ๋ว


             ถาม       แล้วถ้ามีไม้อีกอันเป็นไม้อันที่ 4 ล่ะ จะตีใครต่อไปดี?

             ตอบ      ต้องตีเตี้ยบรรหาญ

           
             ประเทศอื่นๆอดีตผู้นำที่ลงจากอำนาจและตำแหน่งหน้าที่แล้ว  เขาก็มักจะปฎิบัติทำตัวให้เป็นประโยชน์

       ต่อสังคมและประเทศชาติ  ทำตัวเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ให้แก่บ้านเมืองเป็นที่เคารพนับถือของประชาชน  คอย

      ให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาให้แก่คนที่รับช่วงต่อมา  เข้าให้ความช่วยเหลือยามที่ประเทศชาติเดือดร้อนมี

      วิกฤตการหรือประสบปัญหา ไม่แต่เฉพาะภายประเทศของตนแต่ยังเผื่อแผ่ประเทศอื่นๆยามประสบปัญหาด้วย

      ดังเช่นอดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา,ฟิลลิปปิน,อดีตนายกฯอังกฤษ ฯลฯ 


                 แต่เมื่อกลับมามองย้อนดูบ้านเราในปัจจุบัน  เห็นแล้วก็เศร้าใจและน่าอับอายที่อดีตผู้นำ(นายกรัฐมนตรี)

      ของประเทศเราถึง 3 คน  กลับปฎิบัติตัวไม่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่สมกับที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำของประเทศ

      ไม่ทำตัวให้เป็นที่น่าเคารพนับถือ  ไม่เคยคิดที่จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ตอบแทนคุณให้แก่ประเทศชาติและ

      ประชาชน คอยสร้างแต่ปัญหาเพียงเพื่อต้องการสนองตัณหา  อยากกลับมามีอำนาจและความรํ่ารวยจากอำนาจ

      ตำแหน่งหน้าที่กันอีกไม่สิ้นสุด  ไม่เคยคิดกันเลยหรือว่าตอนนี้แต่ละคนก็อายุมาก(แก่)กันแล้ว  อยู่กันอีกไม่กี่

      ปีก็ต้องตายจากโลกนี้ไปสวรรค์(หรือลงนรก)กันทั้งหมด  เวลาตายไปแล้วทั้งเงินและอำนาจก็เอาติดตัวไปไม่

      ได้  มีเพียงเหรียญบาทอันเดียวเท่านั้นที่สัปเหร่อยัดใส่ปากให้ติดตัวเพื่อซื้อที่ทางก่อนตีปิดฝาโลง


                                                 สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์

                                                 เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น

                                                 จงเป็นสุข เป็นสุข เถิด.....

          (ขออาสาสมัครช่วยต่อบทสวดมนต์นี้ให้จบด้วยครับ ไม่อยากพิมพ์ต่อแล้วแต่อยากหาไม้มาสัก 4 อัน)

                                     
                                             



     


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 25 มีนาคม 2553, 16:11:18
อย่ามีเวรแก่กันและกันเลย ..

จงเป็นสุข เป็นสุข เถิด

อย่าได้ทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย ..
     



emo30:sorry:


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 25 มีนาคม 2553, 16:12:10
ว่าแล้วก็ยื่นไม้ (หน้าสาม ดามด้วยเหล็ก) จำนวน 4 อัน  ส่งให้พี่แก้ว ทันที .. คริคริ     emo49:))


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 25 มีนาคม 2553, 16:15:04
อาสาสมัคร มาขอต่อจากพี่ปรีชา ที่เข้มแข็ง-ที่เคารพของพวกเรา


คำแผ่เมตตา

สัพเพ สัตตา
สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น

อะเวรา
จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด
อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อัพพะยาปัชฌา
จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด
อย่างได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อะนีฆา
จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด
อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย

สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ.
จงมีความสุขกาย สุขใจ
รักษาตนให้พ้นจาก ทุกข์ ภัย ทั้งสิ้น เถิด.
........


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 25 มีนาคม 2553, 16:16:30
โห .. พี่วณิชย์ของจริง  มาเป็นแผงเลยอ่ะ ..      emo20:)):)


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 25 มีนาคม 2553, 17:31:14
อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 25 มีนาคม 2553, 12:51:20
พี่อ้อย หรือเปล่า ปาทู .. ไม่น่าจะใช่พี่เจี๊ยบนะ .. ??      emo47

ง่วงหรือเมา  .. ตอนนี้อย่าขับรถนะคะ
ด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง



(http://img230.imageshack.us/img230/8954/capturemu.jpg)
พี่อ้อยครับ พอดีนึกถึงพี่ที่ทำงานอยู่เลยสับสน ขออำไพ


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 25 มีนาคม 2553, 17:36:59
ใจลอย ..    emo43


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 25 มีนาคม 2553, 20:19:45
รำผิดหรือป๋าทู


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 25 มีนาคม 2553, 20:35:10
อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 25 มีนาคม 2553, 16:12:10
ว่าแล้วก็ยื่นไม้ (หน้าสาม ดามด้วยเหล็ก) จำนวน 4 อัน  ส่งให้พี่แก้ว ทันที .. คริคริ     emo49:))

    น้องหะยีคงกลัวว่าใช้ไม้ธรรมดาๆตีไม้คงจะหักเพราะคนเหล่านี้หนังหนา(รวมทั้งหน้าด้วย)  ก็เลยอุตส่าห์หาไม้

    หน้าสามแถมเสริมดามเหล็กให้ด้วย  ขอขอบคุณน้องหะยีมากๆ


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 25 มีนาคม 2553, 20:49:52
ตอนแรกคิดว่าจะส่งเหล็กทั้งแท่งให้พี่ด้วยนะคะ  แต่กลัวพี่ยกไม่ไหว .. เลยขอใช้ไม้ดามเหล็กแทน     emo20:)):)


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 26 มีนาคม 2553, 15:46:38
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย 14 เมื่อ 25 มีนาคม 2553, 11:53:19
เอามาฝากให้อ่าน...จ๊ะ

ถึงเพื่อนที่ชอบสีแดง,

เมื่อตอนบ่ายโมงของวันเสาร์ที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่เราซื้อของจากเอ็มโพเรียมเสร็จแล้วราวๆ บ่ายสองโมง
เรากับแม่ก็ตกลงที่จะใช้เส้นทางผ่านสุขุมวิท 31 ไปเข้าเพชรบุรีตัดใหม่ โดยที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวว่ามีการชุมนุมกันอยู่ที่หน้า
บ้านนายกฯ ในตอนที่เราจะเข้าซอย ได้มีการเอาแผงมากันด้านขาเข้าปากซอย 31 ส่วนด้านขาออกที่จะมายังถนนสุขุมวิทนั้น
มีผู้หญิงสวมเสื้อแดงยืนกันอยู่ และไม่มีอาการสนอกสนใจถึงรถราที่วิ่งเข้าวิ่งออกในซอยนั้นเท่าไรนัก เราก็เลยบีบแตรรถเพื่อ
ให้ผู้หญิงคนนั้นหลีกให้พ้นทาง แล้วเราก็ขับรถเข้าซอยไป... ระหว่างทางเรากับแม่เห็นผู้ชายใส่เสื้อสีแดง ย้อมผมสีส้มยืน
ปัสสาวะอยู่ริมถนน (อย่างไม่อายสายตาใคร) บนรั้วสีขาวของชาวบ้านในซอย 31 โดยที่ในตอนนั้นยังฉุกคิดไม่ทันเสียด้วยซ้ำ
ว่าเกิดอะไรกันขึ้น

จนกระทั่งเราวิ่งเข้ามาจนถึงหน้าร้าน Homework ซึ่งบริเวณนั้นถูกปิดอยู่โดยกลุ่มคนที่ใส่เสื้อแดง พอรถเราหยุด เราก็เห็นผู้ชาย
ตัวใหญ่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ถือธงไทยปลิวไสวมาหยุดอยู่ที่ข้างๆ ตัว พร้อมกับลงมาจากมอเตอร์ไซค์แล้วก็เริ่มเคาะที่กระจกรถ
เรา จากนั้นก็พูดว่า “มรึ..งบีบแต.. ทำไม?”... ส่วนเราก็พยายามมองไปที่ท้ายรถคันข้างหน้าเพราะไม่อยากจะไปยุ่งด้วย ซึ่งการทำ
แบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นเท่าไหร่นัก ... หลังจากนั้นแค่อึดใจ ก็มีชายฉกรรจ์อีกประมาณ 4 - 5 คนเดินมามุงที่รถเรา
ซึ่งขณะนั้นผู้ชายคนเดิมก็ย้ำคิดย้ำทำอาการเดิมๆ อยู่ โดยเคาะที่กระจกรถแล้วก็พูดต่อ.... “มรึ..งบีบแต..ทำไม?” แม่ของเราซึ่งอายุ
75 แล้ว ก็คงจะเริ่มกลัวแต่ก็ยังมีสติพอที่จะบอกให้เรากลับรถและวนกลับไปยังหน้าซอย แต่พวกผู้ชายเหล่านั้นก็ยังไม่ลดละที่จะมา
ยืนมุงรถเราอยู่... และถามซ้ำประโยคเดิมๆ จนเราทนไม่ได้ เราเลยหันกลับไปมองหน้าคนที่เคาะกระจก แล้วพูดว่า “แล้วจะทำไม?” ...
พอผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นอ่านปากเราสำเร็จ เขาก็เริ่มเปลี่ยนจากประโยคคำถามเดิม เป็นประโยคคำถามใหม่ “มรึ..งบีบแต.. ด่ากูใช่ไม๊?” ...
เราก็ไม่ตอบและหันหน้าหนีเพื่อที่จะรอให้รถคันข้างหน้าขยับ และเราก็จะได้ขยับด้วย... แต่ก็ดูเหมือนไม่สำเร็จ “โธ่...อีเหรี้..ย.!!!”….
“อีสั...ว์!!” และอีกสารพัดอี... แต่เดชะบุญรถคันข้างหน้าเราเริ่มขยับได้... เราก็เลยสามารถที่จะขยับตาม และเริ่มที่จะกลับรถได้

พอรถเราเริ่มหันไปทางทิศปากซอยได้... พวกผู้ชายตัวใหญ่ๆ ใส่เสื้อแดง... รวมทั้งเสื้อดำมีผ้าปิดหน้า (ผ้าเจาะรูที่ลูกตาสองข้าง)
ก็ยังไม่ลดละที่จะเดินมาประชิดข้างๆ ตัวเราอีก...พร้อมทั้งพยายามดึงประตูรถ (ทั้งทางฝั่งเรา และฝั่งของแม่) และเอาหัวแหวน
(ขนาดใหญ่) มาเคาะที่กระจกด้านที่เรานั่ง หลายๆ ครั้งหลายหน จนเราทนไม่ได้ ต้องหันกลับไปพูดว่า “กูจะกลับบ้าน”....เท่านั้นแหละ
ผู้ชายที่ยืนอยู่ก็ยิ่งกระชากประตูรถแรงขึ้นๆ ทั้งทางฝั่งเรา และฝั่งแม่เรา “มรึ..งบีบแต...หาแม่มรึ..งเหรอ?? … มรึ..งลงมาเดี๋ยวนี้เลย!!... อีเหรี้..ย”
“โธ่...อีสั..ว์”.... ฯลฯ (นี่... ถ้าคว้านรูลูกตาไอ้โม่งให้มันกว้างกว่านี้อีกสักนิดก็คงจะเห็นหรอกนะว่า... แม่กูนั่งอยู่นี่!!) แล้วก็เคาะๆๆๆ แรง
มาก... จนเราต้องหันหน้าไปจ้องตากับผู้ชายคนนั้น... จ้องกันได้ไม่นาน... ผู้ชายคนนั้นก็ทำท่าทำทางฮึดฮัด และพยายามที่จะหยิบอะไร
ออกมาจากสะเอว (เหมือนกระเป๋าใบเล็กๆ รูปทรงกะทัดรัด) …. แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราหยุดที่จะจ้องเข้าไปในรูเล็กๆ ที่ปิดบังลูกตาของผู้ชาย
คนนั้นอยู่... เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกันว่า “แล้วจะทำไม?” … ยิ่งจ้องผู้ชายคนนั้นก็ยิ่งฮึดฮัด เขย่าที่เปิดประตูรถแรงขึ้นๆ... จนเราได้ยิน
เสียงผู้ชายอีกคนพูดว่า “ปล่อยมันไปเหอะ... ผู้หญิง... ผู้หญิง... ปล่อยมันไปเหอะ”… พอเราได้สติ นึกขึ้นได้ว่าแม่นั่งอยู่ด้วย เราก็เลยเข้า
เกียร์เดินหน้า แต่มิวายก็ได้ยินเสียงรถ “ถูกถีบ” ตามมาให้เราได้ยินก่อนที่จะขับรถจากไป

จากเหตุการณ์ที่เราเล่า เป็นเรื่องที่เราประสบด้วยตัวเอง... ไม่มีการตัดต่อ ไม่มีการใส่สีใส่ไข่ให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เราต้องพูดอย่างนี้ก็
เพราะว่าหลายๆ ครั้ง เพื่อนสีแดงของเราชอบบอกว่าข่าวสารบ้านเมืองของเราถูกบิดเบือน พวกชาวบ้านอย่างเราถูก “ปิดหูปิดตา” … เพื่อนๆ
บางคนอาจจะเห็นว่าเรา “วอน” หาเรื่อง หรืออาจจะมีความรู้สึกกับเรื่องราวที่เราเราให้ฟังนี้ไปได้อีกหลากหลาย แต่สำหรับแม่ของเรา ซึ่งไม่
เคยเจอะเคยเจออะไรประชิดตัวอย่างนี้มาจนอายุ 75… แน่นอน เป็นเรื่องที่ทำให้แม่ตกใจมาก และสั่นกลัวไปทั้งวัน จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น
แม่ก็ยังตกใจกลัวอยู่ ... ส่วนตัวเราเองตั้งแต่วินาทีที่ขับรถพ้นคนกลุ่มนั้นออกมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้น และชัดเจนที่สุดที่สามารถอธิบายได้คือ
“นี่มันอะไรกัน?” อะไรที่ทำให้คนที่ไม่รู้จักกัน ไม่เคยมีเรื่องมีราวกัน สามารถที่จะปฏิบัติต่อกันได้ขนาดนี้? และเราก็บอกได้เลยว่าในสายตา
และท่าทางของคนเหล่านั้น เราสามารถรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่มีมากมายราวกับสะสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

ความรู้สึกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในวันนั้น... มันได้ทำให้ความรู้สึกเดิมๆ ที่เคยมีแต่ต้องเก็บเอาไว้มันหวนกลับมาในสมองของเราอีก...
เพื่อนๆ ที่ศรัทธาในสีแดงของเราทุกเฉด... เราขอบอกตรงนี้นะว่า “หยุดเถอะ” หยุดที่จะสร้างความอึดอัดให้กับคนรอบข้างที่รักเพื่อน และที่ยิน
ยอมที่จะไม่พูด ไม่เถียง เพียงเพราะต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน และแตกคอกันของคนในสังคมเล็กๆ ของเรา ... หลายครั้งที่เรา
หยุด และเลี่ยง เพียงเพราะต้องการให้การสังสรรค์ หรือความสุขที่เรามีร่วมกันขณะนั้นมันสามารถไปต่อได้ ... แต่ตอนนี้เราขอบอกตรงๆ กับ
เพื่อนนะว่า เราไม่สามารถที่จะมีความสุขในลักษณะนี้ได้อีกต่อไปแล้ว

เราไม่รู้หรอกว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เพื่อนบางคนรู้สึกศรัทธาในสีที่ว่านี้ ... มันอาจจะมาจากความเป็นอยู่ที่สุขสบายมากขึ้น หรือเพียงแต่
ศรัทธาเพราะต้องการที่จะแตกต่าง หรือศรัทธาเพราะคนรุ่นเราถูกสอนให้ “รู้จักคิด” และ “แสดงความคิด” เราไม่รู้ ... แต่สำหรับเรา สิ่งที่เรา
รักและศรัทธานั้นเกิดขึ้นมานานกว่าช่วงเวลาที่ “คนๆ นั้น” ก้าวขึ้นมามีอำนาจ และเราก็มั่นใจอีกว่ามันนานกว่าชั่วชีวิต 40กว่าปีของเราด้วยซ้ำ
เพราะความรัก ความศรัทธานี้มีมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยายของเรา และมันก็ฝังลึกเกินกว่าที่เราจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้... ดังนั้นเราขอให้
เพื่อนหยุดเถอะ... หยุดสร้างความรู้สึกกดดัน และอึดอัดให้กับคนอื่นๆ ที่รักเพื่อนเสียที...

เรารู้เสียใจที่หลายครั้งต้องมารับรู้ว่ามีหลายครอบครัวที่คนในบ้านมีการ แบ่งสี แบ่งฝ่าย…. ทะเลากันจนทำให้พี่น้องต้องแตกหักกันไป ... แต่
สำหรับเราเอง... เรายังโชคดีที่คนในครอบครัว และคนรอบๆ ตัวเราส่วนใหญ่ไม่ได้ศรัทธา หรือเชื่อในสิ่งที่ “คนๆ นั้น”พยายามทำให้มันเกิดขึ้น
แต่เพื่อนสีแดงของเราทั้งหลาย... นับแต่บัดนี้เราขอบอกเพื่อนว่า...วันนี้เราจะไม่หลีกเลี่ยงการพูดจาตรงไปตรงมากับเพื่อนอีกต่อไป... เราจะ
ไม่ตำหนิติเตียนความคิดเห็นของเพื่อนลับหลังอีกต่อไป... ขอให้เพื่อนรู้เอาไว้ตรงนี้แล้วกันนะว่า การที่เรา... หรือพวกเราเงียบเป็นเพราะว่าเรา
ยังมีความรักในตัวเพื่อนอยู่มาก แต่ถ้าเมื่อใด ความก้าวล่วงความรู้สึกที่ว่านี้มันมีมากขึ้นๆ และเพื่อนยังไม่เลิกดูหมิ่นหรือพูดจาลบหลู่สิ่งที่เราเคารพ
สูงสุดในชีวิตของเราอีก ความรักและความอดทนนั้นมันก็จะคงหมดไปได้ในที่สุดเหมือนกัน

เราขอร้องเพื่อนครั้งนี้เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย เราไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะต้องปกป้องใคร หรือเชื่อคำพูดใดๆ ของใครสิ่งที่เราคิด... สิ่งที่เราเป็น
เกิดจากสิ่งที่เราเห็นและประสบด้วยตัวเองทั้งหมด... เรามีชีวิตที่มีความสุขพอสมควรได้ขนาดนี้... ประเทศของเราสามารถยืนหยัดเป็นประเทศไทย
อยู่ได้ทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้เกิดจากการปกครองโดย “ธรรม” ของ “ผู้ปกครอง” แล้วจะเกิดจากใคร? ที่พวกเราได้เก็บเกี่ยวดอกผลแห่งความสุขกันอยู่ได้
ทุกวันนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นในแค่ช่วงเวลาที่ “คนๆ นั้น” ขึ้นมาปกครอง... มันน่าจะนานกว่านั้นนะ!! มันน่าจะนานกว่าชีวิตปู่ ย่าตา ยาย ของพวกเราด้วยซ้ำ ...
คิดดูให้ดี ... เราขอร้อง... อย่ามาทะเลาะกันเพียงเพื่อให้คนๆ เดียวได้ความสะใจอีกเลยได้ไหม?

รักเพื่อนเสมอ และลาก่อนสำหรับเพื่อนที่ยังคงศรัทธาในสีแดง


(http://img230.imageshack.us/img230/9039/36725416.png)
(http://img230.imageshack.us/img230/4612/45443109.png)
(http://img231.imageshack.us/img231/3717/13973622.jpg)
(http://img135.imageshack.us/img135/3449/52279480.jpg)
(http://img135.imageshack.us/img135/1482/68869410.jpg)
(http://img231.imageshack.us/img231/9862/81369554.jpg)

เรียน พี่อ้อย
ได้อ่านข้อความพี่อ้อยทั้งหมดแล้ว เห็นใจครับ  เป็นผู้หญิง ไม่รู้จะไปสู้รบปรบมือได้อย่างไร กับพวกคนถ่อย ที่อยู่เหนือกฎหมาย  เพราะผู้รักษากฎหมายจำนวนมาก ก็ยังต้องเข้าข้างพวกนี้  ภาพข้างบน มันฟ้องครับ เพราะผลประโยชน์ เพราะคอร์รัปชั่นได้  ถ้าผู้รักษากฎหมายเคร่งครัด จะไม่มีเหตุการณ์ถ่อยๆเยี่ยงนั้น เกิดขึ้นกับพี่อ้อย กับคนอื่นๆ แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี เป็นอันขาด

แม้จะเป็นผู้ชายก็เถอะ  ถ้าไม่มีอาวุธ ไม่มีกำลังคนมากพอ ก็คงจะลำบากเช่นกัน ได้แต่สาปแช่งให้พวกมันตกนรกเร็วๆวขึ้นเท่านั้นเอง ได้แต่เจ็บใจโกรธแค้น แต่ถ้ามาตั้งสติให้ดี  คิดว่า ช่างมารดามัน ก็จบ ไม่เอาความแค้น มาทำลายความคิดดีๆให้สูญไป หรืออย่างที่พี่ปรีชา สวดแผ่เมตตาไป

จริงๆแล้ว เท่าที่ผมสังเกตุจากเวปชาวซีมะโด่ง พวกพี่ๆรุ่นเก่าๆ  แทบจะไม่มีใครนิยมชมชอบกับระบอบทักษิณนะ ไม่ว่าพี่ปรีชา พี่แอ๊ะ พี่ตะวัน ฯลฯ ผมอาจจะรู้จักชาวหอไม่มาก เพราะปลีกตัวมาอยู่เมืองนอกเสียนาน

การเมืองของเราในอดีต ถูกปกครองโดยทหาร  มาโดยตลอด  มาเปลี่ยนแปลงเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 จากนั้นก็เป็นพลเรือน แต่ระบอบคอร์รัปชั่น ไม่เคยหายไปจากระบบราชการ และระบบการเมืองไทย  แม้แต่น้อย มีแต่เพิ่มพูน และอภิมหาโกง เพราะใครๆก็อยากมีบ้านหลังโตๆ ระดับ 100 ล้าน ขับเบนซ์ ขับโรลสรอยสซ์ มีเครื่องบินส่วนตัว มีอีหนู ส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอก ฯลฯ นี่คือจิตใจ ของคนที่เรียกตนเองว่า "พุทธมามก"

ประเทศไทยเรา จึงเติบโตมาได้แบบพิกลพิการ มีรัฐธรรมนูญ มีกฎหมาย แต่สามารถซื้อความยุติธรรมได้ นับตั้งแต่ พศ. 2475 เป็นต้นมา มีข้าราชการโดนจับติดคุก ข้อหาคอร์รัปชั่น ถึง 20 คนมั้ย นักการเมือง โดนจับติดคุกถึง 10 คนมั้ย บางคน แค่เริ่มฟ้องร้องในศาลชั้นต้น หรือศาลฎีกาสำหรับนักการเมือง ก็หนีหายไปจากประเทศไทยแล้ว

ถ้าปัญญาชนทุกคนมีสติ มารวมกันให้จงได้ ผลักดันการเมือง ให้มีธรรมภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ ต่อต้านการซื้อเสียง การโกงเลือกตั้ง ลงโทษนักการเมืองเลวโดยเฉียบขาด เราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ 


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 26 มีนาคม 2553, 21:41:22
สวัสดีครับเพื่อนๆ และพี่น้อง

ขอส่งต่อและเผยแพร่ความจริงจัง เป็นธุระเพื่อบ้านเมือง ของเพื่อนเตรียมอุดมฯคนหนึ่งที่เป็นคนดีมากๆและมีฝีมือถ่ายรูปขั้นเทพ มีแนวคิดและการปฏิบัติตนที่เพื่อนทุกคนชื่นชม เป็นชาวนิติ จุฬาฯ16ด้วย แต่ไม่ใช่ชาวหอฯ

ผมในฐานะประชาชนธรรมดาๆในกรุงเทพคนหนึ่ง
ขอคัดค้านการก่อวินาศกรรมใดๆ
ที่ จะมีขึ้นในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๓ อย่างถึงที่สุด
ขอ เชิญคลิ๊กเข้าไปอ่านและแสดงความเห็นได้ที่
web.me.com/prasarnmitr/bkk (http://web.me.com/prasarnmitr/bkk)
 
 พีร วัศ กี่ศิริ/ Peerawas Keesiri
 peerawas.keesiri@gmail.com
 phone: +66 81846 4862


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 26 มีนาคม 2553, 22:22:00
อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 26 มีนาคม 2553, 21:41:22
สวัสดีครับเพื่อนๆ และพี่น้อง

ขอส่งต่อและเผยแพร่ความจริงจัง เป็นธุระเพื่อบ้านเมือง ของเพื่อนเตรียมอุดมฯคนหนึ่งที่เป็นคนดีมากๆและมีฝีมือถ่ายรูปขั้นเทพ มีแนวคิดและการปฏิบัติตนที่เพื่อนทุกคนชื่นชม เป็นชาวนิติ จุฬาฯ16ด้วย แต่ไม่ใช่ชาวหอฯ

ผมในฐานะประชาชนธรรมดาๆในกรุงเทพคนหนึ่ง
ขอคัดค้านการก่อวินาศกรรมใดๆ
ที่ จะมีขึ้นในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๓ อย่างถึงที่สุด
ขอ เชิญคลิ๊กเข้าไปอ่านและแสดงความเห็นได้ที่
web.me.com/prasarnmitr/bkk (http://web.me.com/prasarnmitr/bkk)
 
 พีร วัศ กี่ศิริ/ Peerawas Keesiri
 peerawas.keesiri@gmail.com
 phone: +66 81846 4862

เข้าไปดูมาแล้วครับพี่เปี๊ยก


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 26 มีนาคม 2553, 22:22:46
ดูแล้วเช่นกันค่ะ ..      emo24:(


หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 มีนาคม 2553, 11:27:00
อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 26 มีนาคม 2553, 21:41:22
สวัสดีครับเพื่อนๆ และพี่น้อง

ขอส่งต่อและเผยแพร่ความจริงจัง เป็นธุระเพื่อบ้านเมือง ของเพื่อนเตรียมอุดมฯคนหนึ่งที่เป็นคนดีมากๆและมีฝีมือถ่ายรูปขั้นเทพ มีแนวคิดและการปฏิบัติตนที่เพื่อนทุกคนชื่นชม เป็นชาวนิติ จุฬาฯ16ด้วย แต่ไม่ใช่ชาวหอฯ

ผมในฐานะประชาชนธรรมดาๆในกรุงเทพคนหนึ่ง
ขอคัดค้านการก่อวินาศกรรมใดๆ
ที่ จะมีขึ้นในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๓ อย่างถึงที่สุด
ขอ เชิญคลิ๊กเข้าไปอ่านและแสดงความเห็นได้ที่
web.me.com/prasarnmitr/bkk (http://web.me.com/prasarnmitr/bkk)
 
 พีร วัศ กี่ศิริ/ Peerawas Keesiri
 peerawas.keesiri@gmail.com
 phone: +66 81846 4862

เปี๊ยก เพื่อนรัก
ขอบใจนะที่เอาข่าวมาบอก
วันนี้ดู เสื้อแดง เคลื่อนไหวแล้ว บอกว่า มันตั้งใจ ให้เกิดความรุนแรง
มันมีสิทธิ์อะไร ที่จะมาขับไล่ทหาร ตำรวจ ที่มารักษาความสงบ
มันกลัวจะก่อวินาศกรรมไม่สดวกใช่มั้ย จึงออกมาขับไล่ทหาร ตำรวจ
ปากมันท่องแต่คำว่า สงบ สันติ อหิงสา แต่การกระทำ กลับตรงข้าม
เลวจริงๆ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 มีนาคม 2553, 21:16:24
วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:52:53 น.   มติชนออนไลน์

ระทึก! ระเบิดป่วนเมือง วาง "บึ้ม"22 ครั้งในรอบ 1 เดือนเย้ย พ.ร.บ.รักษาความมั่นคง

ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ได้สรุปเหตุการณ์ระเบิดในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล รวม 16 ครั้ง และเหตุการณ์ระเบิดในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ อีก 4 ครั้ง ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2553 ทั้งก่อนและหลังการประกาศ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร แยกเป็น

 


27 กุมภาพันธ์ เวลา 21.20 น. คนร้ายนำลูกระเบิดขว้าง แบบเอ็ม 76 ขว้างใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาพระราม 2 แต่ระเบิดไม่ทำงาน 27 กุมภาพันธ์ เวลา 21.20 น. คนร้ายขว้างระเบิด แบบเอ็ม 26 ใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนสีลม จับคนร้ายได้ 2 คน เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง

 

27 กุมภาพันธ์ เวลา 23.30 น. คนร้ายขว้างระเบิดไม่ทราบชนิดใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาพระประแดง ทำให้กระจกเสียหาย

 

28 กุมภาพันธ์ เวลา 00.30 น. พบลูกระเบิดขว้าง แบบเอ็ม 67 ขว้างใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาศรีนครินทร์ เจ้าหน้าที่เก็บกู้ไว้ได้

 

15 มีนาคม เวลา 13.30 น. คนร้ายยิงเอ็ม 79 ใส่กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ 6 ลูก แต่ทำงานเพียง 4 ลูก กำลังพลบาดเจ็บ 2 นาย

 

15 มีนาคม เวลา 02.00 น. คนร้ายปาประทัดยักษ์ใส่ตู้เอทีเอ็ม ธนาคารกรุงเทพ ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ คาดว่าวัยรุ่นสร้างสถานการณ์

 

16 มีนาคม เวลา 02.20 น. คนร้ายยิงเอ็ม 79 เข้าไปในซอยลาดพร้าว 25 ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด

 

16 มีนาคม เวลา 03.40 น. คนร้ายปาระเบิดบริษัทพ่อตาของนายเนวิน ชิดชอบ ที่ จ.เชียงใหม่ ไม่ระบุสาเหตุ

 

19 มีนาคม เวลา 03.45 น. คนร้ายยิงเอ็ม 16 ใส่บ้านประชาชนในซอยทองหล่อ 3 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. ไม่มีผู้บาดเจ็บ คาดว่าเป็นการทวงหนี้

 

19 มีนาคม เวลา 04.00 น. คนร้ายยิงเอ็ม 16 ใส่บ้านประชาชนภายในซอยสุขุมวิท 53 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ คาดว่าเป็นการทวงหนี้

 

19 มีนาคม เวลา 23.00 น. คนร้ายใช้น้ำมันก๊าดจุดไฟโยนใส่รถถังหน้ากองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ จับกุมคนขับแท็กซี่ร่วมก่อเหตุเป็นผู้ชุมนุมเสื้อแดง 2 คน

 

20 มีนาคม เวลา 21.40 น. คนร้ายขว้างระเบิด เอ็ม 67 ใส่สำนักงาน ป.ป.ช. ที่ จ.นนทบุรี ไม่มีผู้บาดเจ็บ

 

20 มีนาคม เวลา 22.40 น. คนร้ายยิงจรวดอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหม มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 คน พบผู้ต้องสงสัยพร้อมอาวุธ ออกหมายจับ ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม อดีต ตชด. จ.สระแก้ว

 

20 มีนาคม เวลา 23.45 น. พบวัตถุต้องสงสัยบริเวณเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจ้าหน้าที่กู้ทำลายได้

 

22 มีนาคม ไม่ระบุเวลา คนร้ายขว้างระเบิดเอ็ม 67 ใส่สำนักงานบำรุงทางธนบุรี ไม่มีผู้บาดเจ็บ

 

23 มีนาคม เวลา 14.00 น. คนร้ายยิงเอ็ม 79 จำนวน 2 นัด ตกข้างรั้วกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข มีรถเสียหาย 4 คัน 24 มีนาคม เวลา 19.45 น. คนร้ายปาระเบิดบริเวณตู้ควบคุมไฟฟ้าริมรั้วของศาลากลาง จ.นนทบุรี

 

24 มีนาคม เวลา 20.40 น. คนร้ายขว้างระเบิดเอ็ม 67 บริเวณเสาไฟฟ้าริมรั้วของกรมบังคับคดี เขตตลิ่งชัน

 

24 มีนาคม เวลา 14.30 น. พบลูกระเบิดเอ็ม 79 ข้างห้างเซ็นทรัลแอร์พอร์ต พลาซ่า อ.เมืองเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่เก็บกู้สำเร็จ

 

25 มีนาคม เวลา 08.15 น. เจ้าหน้าที่ตรวจพบระเบิดเอ็ม 26 ที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่เก็บกู้สำเร็จ

 

25 มีนาคม เวลา 22.30 น. คนร้ายโยนระเบิดเอ็ม 76 ใส่รถกระบะ ที่ถนนติวานนท์ จังหวัดนนทบุรี ก่อนถึงกระทรวงสาธารณสุข แต่ระเบิดไม่ทำงานเนื่องจากสลักไม่หลุด

 

26 มีนาคม ไม่ระบุเวลา พบวัตถุระเบิดชนิดเอ็ม 67 ถูกบรรจุอยู่ภายในถุงพลาสติก ตกอยู่ภายในลานจอดรถที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ถ.รัชดาฯ เชื่อว่าคนร้ายน่าจะนำมาโยนตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ระเบิดไม่ทำงาน

คนร้าย ขว้างระเบิดใส่ช่อง 5 ทหาร-ปชช.บาดเจ็บ

เมื่อเวลา 19.00น. วันที่ 28 มีนาคม มีรายงานข่าวแจ้งว่าเกิดเหตุคนร้ายพยายามขว้างระเบิดไม่ทราบชนิดเข้าไปภายใน สถานีโทรทัศน์ ช่อง 5 สนามเป้า ถนนพหลโยธิน  เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 คน เป็นพลทหารเจ็บ 2 นาย และประชาชนอีก 2 ราย มี 

ยิงถล่มธนาคารกรุงเทพ สาขา อ.ดอกคำใต้

 


ขณะที่อีกเหตุการณ์หนึ่งนั้น  เมื่อเวลา 09.00 น. พล.ต.ต.จรินทร์ อินทร์สุวรรณโณ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(ผบก.ภ.จว.)พะเยา เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก พ.ต.อ.สว่างวิทย์ สุทธหลวง ผกก.สภ.ดอกคำใต้ เกิดเหตุยิงถล่มธนาคารกรุงเทพ สาขา อ.ดอกคำใต้ ตั้งอยู่ติดถนนสายดอกคำใต้-พะเยา ใกล้กับตลาดในเขตชุมชน ภายในเขตเทศบาลเมืองดอกคำใต้ ห่างจาก สภ.ดอกคำใต้ ประมาณ 100 เมตร เมื่อออกไปตรวจสอบพบบริเวณสัญญลักษณ์ตราครุฑของธนาคาร บริเวณป้ายและกระจกหน้าธนาคาร ถูกยิงด้วยอาวุธชนิดเอ็ม 79 จำนวน 2 นัด เศษกระจก เศษปูน ตกกระเด็นใส่บ้านเรือนประชาชนในระแวกใกล้เคียง เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานได้เบื้องต้น ประกอบด้วย ปลอกกระสุนปืนอาก้า จำนวน 20 ปลอก เอ็ม 15 อีก10 กว่าปลอก


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 มีนาคม 2553, 21:54:44
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kzy412-675ead.jpg)

  ชาวชุมชน กทม.ออกโรงแล้ว..เพราะการชุมนุมของเสื้อแดง มันก้าวพ้นความพอดีไปแล้ว


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 27 มีนาคม 2553, 22:09:42
ระเบิดป่วนเมือง
ช่อง 5 โดนเมื่อเช้า .. พลทหารเจ็บ 4
เมื่อกี้ช่อง 11 โดนด้วย  .. พลทหารเจ็บ 2 รปภ. เจ็บ 1

เมื่อเช้ามืด  กรมศุลากรโดนร่างแหไปอีก  วรวุฒิเพื่อนหยีจะมีชีวิตรอดไหมเนี่ย ??



สงสารประเทศไทย ..
     emo19:((:


หัวข้อ: Re: (ภาคพิเศษ)การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุ ปาตานี ที่ 27 มีนาคม 2553, 22:47:39
ยินดีครับ..สำหรับห้องการเมืองครั้งใหม่


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 27 มีนาคม 2553, 23:14:34
@ Taksin will die tomorrow @


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 27 มีนาคม 2553, 23:17:07
Why not today ??      emo47


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 มีนาคม 2553, 23:23:38
สุสานอยู่ที่ ราบ 11 ที่พรุ่งมันจะแห่กันงานศพ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 27 มีนาคม 2553, 23:34:37
จริงเหรอคะ  พี่ตะวัน ..

โฮ โฮ .. น้องชายหยี (คนรองจากหยีเลย) เขาต้องไปกินไปนอน ไปทำงานอยู่ที่ราบ 11 ..
ไม่ได้กลับบ้านมาเป็นอาทิตย์แล้ว
อย่าทำอะไรน้องข้าพเจ้านะ .. ขอร้องล่ะ .. ลูกสาวเขาเพิ่ง 4 ขวบเอง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 28 มีนาคม 2553, 00:02:58
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 24 มีนาคม 2553, 14:41:57
อ่านคลายเครียด



  ถาม: เจองู กับ เจอแขก
            ท่านเลือกจะตีงูหรือตีแขก?
 
  ตอบ : ตีทักษิณก่อน

ถาม : ถ้ามีไม้ 2 อัน อันแรกตีทักษิณก่อน แล้วอันที่ 2 ล่ะ?

ตอบ : ตีทักษิณอีกที (กลัวมันไม่ตาย)
 
 
 
 
 

                                            ชาว Cmadong ผู้ติดตามอ่านในห้องนี้โปรดทราบ

       ข้อเขียนความเห็นของผมต่อจากข้อความที่อ้างถึงนี้  ได้ถูกลบทิ้งไปโดยไม่แจ้งให้ผมทราบโดยเสียมารยาท


       ผมขอถามผู้ลบข้อความของผมว่าคุณใช้อะไรมาเป็นมาตราฐานมาลบ ทั้งๆข้อความที่ผมเขียนขึ้นมา

       นั้นเป็นความจริงผู้คนเขาก็วิพากวิจารณ์กันในเว็บต่างๆทั่วบ้านทั่วเมือง  รุนแรงและหยาบคายกว่าผมหลาย

       ร้อยเท่า    ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่รักประเทศชาติปฎิบัติตนเป็นพลเมืองดี เสียภาษีให้ชาติเต็มเม็ดเต็มหน่วย

      ไม่เคยโกงภาษีชาติแม้แต่บาทเดียวตั้งแต่เริ่มทำงานจนปลดเกษียณ   ผมไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นเลยหรือ?

       ว่านักการเมืองที่กินเงินเดือน(โดยภาษีของผม)ทำอะไรถูก,ทำอะไรไม่ถูกบ้าง     

                           


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 28 มีนาคม 2553, 00:06:50
เพิ่งสังเกตค่ะ ว่าหายไปจริง ๆ ด้วย .. เพราะหยีก็เขียนต่อจากพี่แก้วเช่นกัน      emo47


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุ ปาตานี ที่ 28 มีนาคม 2553, 00:15:37
ไม่เข้าใจเหมือนกันครับพี่ปรีชา

ในสังคมของพวกเราจัดอยู่ในกลุ่มของสังคมที่มีความรู้ ผมว่าเราน่าจะเป็นกลุ่มสังคมที่สามารถแสดงออกได้อย่างชัดเจน

และมีสิทธิวิพากวิจารณ์ได้อย่างเต็มที่ 

วันนี้ผมได้สอบถามเรื่อง การทำตามมติในห้องการเมืองเนื่องจากมันผ่านไป 1 เดือนกับ 16 วันแล้ว  ทั้งที่มีการรับว่าจะดำเนิน

การภายใน 1 เดือน จึงมีการสนองตอบ แต่ก็ยังสงวนสิทธิ์และเป็นห้องลับอยู่

มันอะไรกันนักกันหนาครับ
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 28 มีนาคม 2553, 00:21:06


         แม้แต่ข้อเขียนของน้องหะยีที่เขียนต่อจากผม  ซึ่งไม่ได้วิจารย์นักการเมืองก็ยังถูกลบเช่นกัน

         จุฬาฯสอนและปลูกฝังพวกเราให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง    กล้าๆกันหน่อยครับกลัวกันไปหมดใน

         ทุกสิ่งทุกอย่างแบบนี้   บ้านเมืองเรามันถึงได้ถูกกระทำยํ่ายีกันแทบแหลกสลายเช่นทุกวันนี้


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: suriya2513 ที่ 28 มีนาคม 2553, 00:46:52
โพสท์ที่หมิ่นเหม่ต่อการขัดแย้งของต่างสี และมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น ตามอุณหภูมิการเมือง
เราำได้จัดแยกเข้าไปไว้ในชั้นความลับอีกระดับหนึ่ง ให้ตามไปที่

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,5236.msg368689.html#msg368689

และให้ไปพิจารณาเหตุผลที่ลิงค์ข้างล่างนี้

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,5238.msg371489.html#msg371489

จะทำให้เข้าใจได้ว่า สามารถเข้าดู เข้าโพสท์ ได้ดังเดิม


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 28 มีนาคม 2553, 12:05:42
แล้วทำไมต้องย้ายกระทู้เตือนให้พวกเราช่วยกันเป็นหูเป็นตา คอยระวังเหตุจากผู้ไม่หวังดีด้วยล่ะครับ ไม่เห็นจะมีอะไรรุนแรง น่ากลัวหรือหยาบคายซักหน่อย คนเขียนก็แสดงตัวออกชัดเจน

ผมใน ฐานะประชาชนธรรมดาๆในกรุงเทพคนหนึ่ง
ขอคัดค้านการก่อวินาศกรรมใดๆ
ที่ จะมีขึ้นในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๓ อย่างถึงที่สุด
ขอ เชิญคลิ๊กเข้าไปอ่านและแสดงความเห็นได้ที่
web.me.com/prasarnmitr/bkk
 
 พีร วัศ กี่ศิริ/ Peerawas Keesiri
 peerawas.keesiri@gmail.com
 phone: +66 81846 4862

ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คงอย่างที่พี่แก้วว่า กลัวกันจนเกินเหตุ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ผมไม่มีสีและพยายามไม่เกี่ยวกับการเมืองเลย ต้องขอประท้วงอีกคน จะเลิกเข้าเว็บสักพัก ไปเฮฮากับเพื่อนฝูงดีกว่า


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 มีนาคม 2553, 13:06:47
พี่แก้วครับ
ผมว่า คนดูแลเวบ ต้องเป็นโรค หวาดกลัวขึ้นสมอง
ถ้าเป็นอย่างนี้ ปิดไปเลยดีกว่า
แล้วเอาแต่เรื่องไร้สาระ มาพูดกัน ประสาชาวซีมะโด่งขนานแท้

ที่ผ่านมีปัญหา เพราะเด็กกวนเมือง 3คนมาป่วนเท่านั้นเอง
แถม คนบางคน ใช้โอกาสดังกล่าว มาเล่นตลกจะปิดเวบ

คำพูดบางคำพูดยังไม่ร้ายแรง เท่ากับการละเมิด ทรัพย์ทางปัญญาของคนบางคน
แต่  วม.ยังไม่จัดการ ปล่อยให้ อยู่ได้
แต่ที่พูดกันเล่นๆ มาซีเรียจจริงจัง อย่างนี้มัน 2 มาตรฐานตัวจริง

ทักษิณเป็นนักโทษ ที่หนีคุก เราจะด่ามันอย่างไรก็ได้
แล้วต้องไปแคร์คนที่มันบูชาทักษิณ ทำไม
มันบังอาจ จาบจ้วงเบื้องสูง เราชาวจุฬา ที่จงรักภักดีต่อสถาบัน
สามารถด่ามันได้ทุกเวลา
ความถูกต้อง และการมีจุดยืน เป็นเรื่องสำคัญ
หากเราไม่ยืนข้างความจริง บ้านเมืองมันไปไม่ได้ ต้องย่ำแย่ อย่างทุกวันนี้แหละครับ

ดังนั้น โปรดนำเหตุผลที่ ลบข้อความ ของพี่แก้ว และน้องหยี มาแสดง ให้ประจักษ์ ด้วยนะครับ




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 28 มีนาคม 2553, 13:44:15
@@ .......@@


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: suriya2513 ที่ 28 มีนาคม 2553, 13:46:40
ผมคงเข้ามาวุ่นวายกับสิทธิเสรีภาพของทุกท่านมากเกินไป

ขอชี้แจงว่าผมไม่ได้ลบ เพียงแต่ย้าย ไปอยู่ตามลิงค์ที่แสดงไว้นี้


http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,5236.msg368689.html#msg368689


ถ้าเห็นว่าเป็นโพสท์ที่มีประโยชน์ ก็สามารถนำกลับมาแปะไว้ได้เหมือนเดิม ได้ไม่ยาก

ผมจะแจ้งเว็บมาสเตอร์ให้จัดการให้


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 28 มีนาคม 2553, 13:59:22
ไม่เป็นไรค่ะ .. หยีไม่ติดใจ
เพราะที่เขียนไปก็ไม่มีสาระอะไร
เพียงแต่แหย่ประเด็นที่พี่แก้วทิ้งเอาไว้เท่านั้น
ตั้งใจอยากจะให้บรรยากาศเป็นเหมือนการสนทนาจริง ๆ คือมีกระเซ้าเย้าแหย่กัน ในยามพูดคุยกัน
ภาษาเมียงูเรียกว่า .. ตบมุก .. ค่ะ

ปกติก็ไม่ค่อยมีสาระเป็นทุนอยู่แล้ว  ..  
เฮ้อ .. เกลียดความไม่ฉลาดของตัวเองจังเลย

พี่ป๋องอย่าวิตก  พี่แก้วอย่ากังวล  พี่เปี๊ยกอย่ามีน้ำโห  พี่ตะวันอย่าเครียดนะคะ .. เดี๋ยวไม่หล่อ
ส่วนน้องยาเดี๋ยวนัดมาร้องเพลงกัน ..


เหอ ๆ ๆ ๆ ๆ
    emo48:)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: suriya2513 ที่ 28 มีนาคม 2553, 19:26:13
เรียน สมาชิกที่รักทุกท่าน

โพสท์ที่เคยถูกย้ายไปหนึ่งวันกลับมาอยู่ที่เดิมแล้วครับ ตามลิงค์ข้างล่างนี้


http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4788.msg368689.html#msg368689

ต้องขอโทษที่ทำให้พี่น้องขัดเคืองใจ ต่อไปผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ
หวังว่าคงได้รับการยกโทษให้บ้างนะครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 28 มีนาคม 2553, 19:29:07
รักพี่ป๋องค่ะ .. จุ๊บ จุ๊บ     emo6::))


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 มีนาคม 2553, 19:44:11
พี่ป๋องที่เคารพ
ด้วยความเชื่อมั่นใน ดุลยพินิจของชาวหอจุฬา ที่เรียนมากันอย่างมีสติปัญญาชั้นเทพ ทั้งนั้น
คงไม่มีใครมาเขียน ข้อความที่แย่ๆ (ยกเว้น พวกป่วนเมือง 3คนนั้น)
ผมจะดูแลตรงนี้ให้ดี ไม่ให้หยาบคาย และละเมิด คนอื่น
แต่อะไรที่พาดพิงถึง นช.แม้ว นักโทษหนีคุกบ้างก็ธรรมดา( แต่จะเน้นในเรื่องข้อมูลมากกว่า คือ เน้นเปิดโปงความเลวของเขา
แต่คงไม่ด่าหยาบคายเหมือนเสื้อแดง รับรองได้)

ปล่อยๆไปเถอะพี่ อย่าซีเรียจมาก อะไรที่หนัก ก็วางไว้บ้าง
โลกทั้งใบไม่ใช่ของพี่คนเดียว


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 29 มีนาคม 2553, 08:46:37
(http://img180.imageshack.us/img180/4600/mgrpdf20100329page40.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 มีนาคม 2553, 09:28:33
เหลวแต่“แดงติดบ่วง”ตายคาจอ!!  
 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 มีนาคม 2553 00:27 น.
 
 
  เกาะกระแส
       โดย...ก้อนกรวด
      
      
       00 แม้ว่าดูท่าทีของบรรดาแกนนำ “3 เกลอ” ที่ฟังดูซุ่มเสียงอ่อนลง ยอมเข้าร่วมเจรจากับ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งใช้สถานที่สถาบันพระปกเกล้าฯในการเจรจา แต่ก็เป็นไปตามคาด คงจะเหลวไม่เป็นท่า คือหาข้อยุติไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งถือว่ายังเป็นนิมิตที่ดี ที่มีการพูดคุย และที่สำคัญเป็นการส่งสัญญาณในการกัน นช.ทักษิณ ชินวัตร ออกไปนอกวง
      
       00 เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า การเจรจาต้องเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เฉพาะบุคคลเท่านั้น และแม้ว่าผลจะออกมาในทางเหลว แต่อีกมุมหนึ่งก็แสดงให้เห็นถึงท่าทีที่กระตือรือร้นของบรรดา 3 เกลอ อย่างออกนอกหน้า สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความพยายามในการ “หาทางลง” ของเหล่าบรรดาแกนนำดังกล่าว เพราะกระแส “จุดไม่ติด”
      
       00 พ่นน้ำลายมาราธอนนับชั่วโมง ได้ฟังข้อเปรียบเทียบของทั้งสองฝ่าย บอกได้คำเดียว 3 แดงพ่ายยับกลางอากาศ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถหาข้อยุติกันได้ตามคาด แต่ประเด็นสำคัญก็คือ “ท่าที” ที่ต้องยอมรับว่า ฝ่ายรัฐบาลที่นำโดย นายกฯอภิสิทธิ์ สามารถใช้วาทะถล่มเสื้อแดงแล้วลามไปถึง นช.ทักษิณ ที่สั่งการอยู่เบื้องหลัง เรียกได้ว่า “ดับคาจอ” ที่มีการถ่ายทอดสดทางทีวีวิทยุทั่วประเทศ
      
       00 จะเรียกว่าสถานการณ์บังคับพาไปให้ติดบ่วงก็อาจจะสรุปอย่างนั้นก็ได้ โดยเฉพาะพวกเสื้อแดงที่ดันส่ง เหวง โตจิราการ เป็นหนึ่งในตัวแทน ซึ่งทางฝ่ายรัฐบาลก็ปล่อยให้พ่นน้ำลายจน “ออกทะเล” นานเกือบชั่วโมง คนก็ยิ่งสมเพช เพราะแม้แต่พวกเดียวกันยังทนฟังต่อไปไม่ไหว ต้องส่งโน๊ตให้รีบหุบปาก
      
       00 ประเด็นสำคัญก็คือ การเจรจาหรือจะเรียกว่าการโต้วาทีก็ได้ ไม่ได้อยู่ที่ว่าสามารถหาทางออกกันได้ทันที แต่กลายเป็นว่าเป็นดับกระแสการ “ปลุกระดม” บิดเบือนได้อย่างชะงัด เพราะอย่างน้อยได้เห็นบรรยากาศการถ่ายทอดทางทีวี ที่ทางฝ่ายคนเสื้อแดงก็ต้องฟังแทบทุกคน
      
       00 ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง ถ้ามองตามความเป็นจริงสังเกตให้ดีนับวันการระดมคนเข้ามาต่อเนื่องกันมาสามสัปดาห์จำนวนยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ และนับวันแนวร่วมโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ก็ไม่เอาด้วย ดังนั้นโอกาสที่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย “ม้วนเดียวจบ” คงทำไม่ได้แล้ว และที่สำคัญการก่อม็อบยืดเยื้อมันไม่สนุก ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล อีกทั้งเป้าหมายยังห่างไกลคิดหรือว่า “เสี่ยแม้ว” จะยินดีจ่ายแบบไม่สิ้นสุด ขณะเดียวกันการเดินสายในลักษณะป่วนกรุง ก็ย่อมมีแรงกดดันกลับมาทุกทิศทาง
      
       00 ว่ากันว่าเวลานี้หัวหน้า 3 เกลอที่แท้จริงไม่ใช่ วีระ มุสิกพงศ์ แต่กลายเป็น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ดูเหมือนว่าได้รับความไว้วางใจจาก ทักษิณ มากกว่าใครเพื่อน แต่ก็ไม่ใช่หมายความว่าจะตัดสินใจได้ทุกเรื่อง เพราะคน “เหลี่ยมจัด” มันเล่นไพ่หลายหน้า เพราะสายตรงคนอื่นก็มี โดยเฉพาะแกนนำในต่างจังหวัดประเภท “กุ๊ย” ก็มี แต่ไม่ว่าจะเล่นกี่รูปแบบ มันก็มีแนวโน้มถดถอยลงทุกทาง
      
       00 ข่าวลือเรื่องอาการป่วย “มะเร็งต่อมลูกหมาก” กำเริบ เริ่มมีการพูดถึงกันมากขึ้น ทั้งในเรื่องของการบำบัดอาการด้วยเคมีบำบัด (คีโม) ส่วนเรื่องการหยุดวีดิโอลิงก์ มาสองสามวันก่อนหน้านี้ จะเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตาม แต่เท่าที่รู้มาก็คือเวลานี้ ยูเออี กำลังบีบอย่างหนัก หลังจากเริ่มไม่แฮปปี้กับบทบาทไม่ยอมทำตามคำพูดที่เคยรับปากกันเอาไว้ และถ้าสังเกตให้ดี ยังเห็นใบหน้าบวม รวมถึงทรงผมที่เหมือนกับคนที่ใส่วิกยังไงพิกล
      
       00 ระเบิดที่ระดมเข้ามาอย่างถี่ยิบในช่วงนี้ แม้ว่าทั้งหมดยังมีเป้าหมายตามสถานที่ราชการสำคัญ หรือสื่อของรัฐ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสิบกว่ารายแล้ว โดยเฉพาะเมื่อคืนวันที่ 27 มี.ค. ถล่มช่อง 5 ตามด้วยช่อง 11 และกรมทหารราบ 11 ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ศอ.รส. เป็นศูนย์กลางอำนาจระหว่างการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ถือว่ามีเจตนาข่มขู่ชัดเจน และอีกมุมหนึ่งยังเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า เป็นการเดินคู่ขนานกันไป คือชุมนุมสันติ กับใช้ความรุนแรง ซึ่งหากยุทธวิธีนี้ไม่ได้ผลก็อาจจะ “โหด” กว่าเดิมคือ ถล่มเข้าไป “กลางวงเสื้อแดง” ให้จลาจล แล้วนำไปสู่เป้าหมายที่ “คนหน้าเหลี่ยม” ต้องการ
      
       00 นี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บรรดา 3 เกลอ ต้องมีท่าทีอ่อนลง เพราะยังต้องหากินกับม็อบอีกนาน เพราะนอกจากตัวเองอาจตกเป็นเป้าหมาย “สังเวย” แล้วหากจบลงด้วยความรุนแรงในฐานะแกนนำก็ย่อมปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องระวังระเบิดระหว่างการเจรจา หรือหลังจากการเจรจารอบแรกผ่านไปแล้ว !!

 --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
  

 
 
 
 
 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 มีนาคม 2553, 10:06:47

ถุงลมนิรภัย "kiss me please

(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l00wig-534743.jpg)

แม้ว่ารถยนต์ของท่านจะมีระบบป้องกันภัยดีแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านไม่ควรมองข้ามไปคือความประมาทขณะขับรถ
 ด้วยถุงลมนิรภัยสกรีนลาย "kiss me please" ของเราจะทำให้ท่านขับรถอย่างมีสติเพิ่มขึ้น

จากการวิจัยพบว่า ความกลัวที่จะทำให้ถุงลมนิรภัยโป่งออกมากระทบใบหน้าจนจูบกับลายสกรีน
กระตุ้นให้ผู้ขับขี่เกิดความระมัดระวังขณะขับรถมากขึ้น สามารถลดอุบัติเหตุได้ลงมากกว่า 50%

พิเศษ!! 100 ท่านแรกที่สั่งซื้อเข้ามาก่อน แถมฟรี เบาะรองนั่ง "kiss my ass" ลายสกรีนเดียวกับถุงลมนิรภัย
 ช่วยให้ท่านรู้สึกผ่อนคลายขณะขับรถ ลดภาวะตึงเครียดอันเกิดจากการคอยระวังถุงลมนิรภัย


คำเตือน พวกไพร่ไม่ควรแอบซื้อไปใช้ เพราะจะทำให้ท่านขับรถโดยประมาทเพิ่มขึ้น
 เพราะอยากจะให้ถุงลมโป่งออกมาไปซะทุกที แต่ท่านไม่ต้องกังวล
 เพราะเรามีมาตรการควบคุมการแอบสั่งซื้อ โดยให้ลูกค้าทุกคนทำแบบทดสอบความเป็นไพร่ก่อนซื้อ
 เดี๋ยวจะหาว่าคุย แบบทดสอบของเราได้มาตรฐานเทียบเท่าข้อสอบคัดเลือก Oh Yes!! Net นะเออ จะบอกให้
 

 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 29 มีนาคม 2553, 15:45:57
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 28 มีนาคม 2553, 19:44:11
พี่ป๋องที่เคารพ
ด้วยความเชื่อมั่นใน ดุลยพินิจของชาวหอจุฬา ที่เรียนมากันอย่างมีสติปัญญาชั้นเทพ ทั้งนั้น
คงไม่มีใครมาเขียน ข้อความที่แย่ๆ (ยกเว้น พวกป่วนเมือง 3คนนั้น)
ผมจะดูแลตรงนี้ให้ดี ไม่ให้หยาบคาย และละเมิด คนอื่น
แต่อะไรที่พาดพิงถึง นช.แม้ว นักโทษหนีคุกบ้างก็ธรรมดา( แต่จะเน้นในเรื่องข้อมูลมากกว่า คือ เน้นเปิดโปงความเลวของเขา
แต่คงไม่ด่าหยาบคายเหมือนเสื้อแดง รับรองได้)

ปล่อยๆไปเถอะพี่ อย่าซีเรียจมาก อะไรที่หนัก ก็วางไว้บ้าง
โลกทั้งใบไม่ใช่ของพี่คนเดียว

เห็นด้วยครับว่า ไม่ควรหยาบคาย ไม่ว่าจะหยาบคายแบบเสื้อแดงหรือหยาบคายแบบเสื้อเหลือง มันเลวเกินกว่า ผู้ที่เป็นบัณฑิตที่ผ่านการสาบานตนต่อหน้าองค์พระประมุขหรือผู้แทนพระองค์ พึงกระทำครับ ส่วนข้อมูลจริงหรือไม่จริง วม.หรือวค.คงมาจัดการได้ อันนั้นคงต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 29 มีนาคม 2553, 20:37:14

๐  คุยร้อยรอบพันรอบ ก็กรอบเก่า

เมื่อต้นตอรากเหง้า คือทักษิณ-

หมายฉีก สภาแหลกเป็นแฉกชิ้น

เพื่อให้สิ้นชั่วฉลพ้นตะราง

๐  สารพัดข้อหามิจฉาชีพ

จะถูกถีบถูกกลิ้งไปทิ้งขว้าง

และธาตุแท้แสนตํ่าจะอําพราง

เมื่อล้มล้างสภาปัจจุบัน


๐  ไม่มีหรอก ร้องหาประชาธิปไตย

ไม่มีหรอกเพื่อให้ไทยคงมั่น

ไม่มีหรอกสงครามแห่งชนชั้น

ก็เห็นอยู่ทุกวัน ว่าเพื่อใคร


๐  สามขวดที่อวดโอ่โต้วาทะ

เพียงเสี้ยวเศษขยะจากกองใหญ่

แค่สมุนสับปลับทาสรับใช้

จึงการตัดสินใจที่ไหนมี

๐  ยิ่งคุย ยิ่งถ่อยและยิ่งเถื่อน

ยิ่งลามเรื้อนกําแหงจากแดงสี

คุยกับวัวกับควายยังได้ดี-

กว่ากุลีอันธพาลบ้านเมือง


๐  เหตุผลพ่นใส่ ก็ไม่ฟัง

ละคราวครั้งสํานึกไม่กระเตื้อง

เถอะนายกฯ บอกเล่าก็เปล่าเปลือง

ควายเชื่องเชื่องมันก็สู้ไม่รู้ตาย


๐  ตราบที่โจรทักษิณยังบัญชา

ต้องการ ยุบสภาให้ฉิบหาย

เจรจา ก็เหมือนนํ้ารดผืนทราย

เหมือนฟาดแส้ลงลาย โค-กระบือ

..............................

..เพลงผ้า..

ขอบพระคุณพระอาจารย์ครูหยาดกวี

ขอบพระคุณครูกลอนทุกท่าน

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยือน

ปล.ไม่รู้จะหาภาพอะไรมาเปรียบพวกนี้ได้ค่ะ

ที่มา  http://www.oknation.net/blog/charothon/2010/03/29/entry-2

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: อ้อย 14 ที่ 30 มีนาคม 2553, 12:19:05
@สองแฉก@ โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
       
       @ แฉกหนึ่งสันติอหิงสา
       แฉกสองระเบิดบ้าสาไถย
       แฉกหนึ่งประชาธิปไตย
       แฉกสองรับใช้เผด็จการ
       
       แฉกหนึ่งด่าใครได้คล่อง
       แฉกสองว่าสองมาตรฐาน
       แฉกหนึ่งสังคมอุดมการ
       แฉกสองอันพาลป่วนบ้านเมือง
       
       แฉกหนึ่งปากไพร่ใจทาส
       แฉกสองมหาอำมาตย์มาดเขื่อง
       แฉกหนึ่งหัวโล้นหัวเรือง
       แฉกสองเศกเรื่องรุนแรง
       
       แฉกหนึ่งสะอาดมาดหมดจด
       แฉกสองรากษสสยดแสยง
       แฉกหนึ่งกระหายเลือดเดือดแดง
       แฉกสองแอบแฝงมนต์ดำ
       
       สองฉากสองช่องลิ้นสองแฉก
       สองตีนสองแตกสูงต่ำ
       ตีนหนึ่งตีนตบเริงรำ
       ตีนหนึ่งเหยียบย่ำประเทศไทย
       
       
       เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
       พฤ.๒๖/๓/๕๓

 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 มีนาคม 2553, 20:25:16
ชวนนท์” เชื่อ “ทักษิณ” เคลื่อนไหวโจมตีไทย ยากขึ้น ชี้ทุกประเทศ เริ่มรู้ทัน
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มีนาคม 2553 18:05 น.
 
 
  "ชวนนท์" เผย “นช.แม้ว” เผ่นออกจากสวีเดน ตั้งแต่เที่ยงวันเสาร์ (27 มี.ค) โดยไม่ทราบจุดหมายปลายทาง ชี้ ทุกประเทศเริ่มรู้ทัน ไม่ยินยอมให้ “ทักษิณ” ใช้แผ่นดินตัวเองเป็นฐานเคลื่อนไหวโจมตีประเทศไทยแน่ มั่นใจทุกประเทศให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
       
       วันนี้ (30 มี.ค.) นายชวนนท์ โกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดีทุจริต ได้เดินทางออกจากสวีเดนแล้ว ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางออกจากประเทศสวีเดน เมื่อช่วงเที่ยงของวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม ที่ผ่านมา เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศ ได้ประสานไปยังสถานทูตสวีเดนอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากประเทศสวีเดนเป็นอย่างดี ทั้งนี้ประเทศสวีเดนเห็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากกว่าตัวบุคคล รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไป กระทรวงต่างประเทศ ก็ได้มีการประสานไปในทุกประเทศ ที่มีสนธิสัญญากับประเทศไทย หรือหากประเทศเหล่านั้นไม่มี เราก็ใช้ช่องทางทางกฎหมายด้านอื่น ทั้งกลไกและเครื่องมือที่เรามีอยู่
       
       “เราพยายามทำทุกวิถีทาง รวมถึงการขอร้อง ช่วยดูแลไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เคลื่อนไหวโจมตีประเทศไทย เพราะจะให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นกับประเทศไทย ถูกมองไปในทางที่ไม่ดี ทำให้เกิดความเข้าผิดได้ ซึ่งประเทศเหล่านั้นก็เข้าใจไทย และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ตนเชื่อว่า คงไม่มีประเทศไหนที่จะให้พี่พักพิง หรือยินยอมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้มาเคลื่อนไหวโจมตีประเทศไทย ที่เป็นแผ่นดินบ้านเกิดของตัวเอง เพราะเขารู้ว่าเป็นอย่างไร” เลขานุการ รมว.บัวแก้ว กล่าว
       
       นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ไม่ทราบจุดหมายปลายทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ไปพักอยู่ที่ แต่ถ้ากลับไปดูไบก็เป็นสิทธิของของดูไบ ที่จะยินยอมให้เข้าประเทศหรือไม่ ซึ่งตรงนั้นกระทรวงการต่างประเทศคงไม่เข้าไปก้าวก่าย

 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 30 มีนาคม 2553, 21:50:51
เงินยังมี  ยังไม่จบง่ายหรอกครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 มีนาคม 2553, 22:34:15
ทักษิณ"ขอพักพิงบรูไน-เหตุ"อภิสิทธิ"บินแจง
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

 แหล่งข่าวอ้างถึง"สุเทพ" ระบุเหตุที่นายกฯบินไปเยือนบรูไนตามคำเชิญอย่างเป็นทางการ เพราะ"ทักษิณ"ทำเนื่องขอพักพิง



แหล่งข่าวจากที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ อ้างว่าเป็นคำพูดของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เล่าถึงสาเหตุที่นายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องเดินทางไปเยือนประเทศบรูไน เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา ตามคำเชิญของกษัตริย์บรูไน

เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำเรื่องขอใช้พื้นที่ประเทศบรูไนเป็นที่พักพิง ทางรัฐบาลบรูไนจึงต้องการขอความเห็นท่าทีจากรัฐบาลไทย และเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้"นายใหญ่"สั่งล้มโต๊ะเจรจา


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 31 มีนาคม 2553, 09:24:20
ใครหยาบคาย เรียงว่า"เหวง"ไปเลยยยยยยยยยยย

อย่ามา"เหวง" กับฉันนะ เอางี้ดีไหมเป็นกติกา 55555555555555555

ตอนนี้ วัยรุ่นไทย เค้าก้าวไกลมากขนาดนี้แล้วค่ะ

[color=#eb0000]ประกาศวัยรุ่นไทยโปรดทราบ หลังเหตุการณ์เจรจา บัดนี้คำว่าเหวง กลายเป็นศัพท์ฮิตใหม่ไปแล้ว แปลว่าพูดไม่รู้เรื่อง ยกตัวอย่าง "มรึงอย่ามาเหวงได้มะ" "อย่าไปคุยกะมัน แม่งเหวง" "เหวงแระไอ้นี่ เลิกคุยๆ" เรียนนำให้ไปใช้โดยทั่วกัน คำนี้แรงก่อนใช้คิดก่อน รักษาน้ำใจด้วย=)) [/b] [/color]


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 มีนาคม 2553, 09:27:52
 "เหวง"ประกาศวัยรุ่นไทยโปรดทราบ หลังเหตุการณ์เจรจา บัดนี้คำว่า"เหวง"
 กลายเป็นศัพท์ฮิตใหม่ไปแล้ว แปลว่าพูดไม่รู้เรื่อง
 ยกตัวอย่าง "มรึงอย่ามาเหวงได้มะ" "อย่าไปคุยกับมัน มันเหวง" "
เหวงและไอ้นี่ เลิกคุยๆ" ...

-อธิบายเพิ่มเติม-

เหวง หมายความถึงการพูดที่คนอื่นในวงเสวนากำลังพูดเรื่องหนึ่ง
แต่มีคนพูดอีกเรื่องหนึ่งในขณะเดียวกัน
เช่น ขณะที่มีคนพูดว่า ท่านลองเสนอมาดูซิว่ายุบสภาจะใช้เวลากี่วัน
ขณะที่ผู้ตอบกำลังตอบและอธิบายเหตุผล ก็มีอีกคนหนึ่งบอกว่า
คุณต้องฟังผม ผมอายุมากกว่า มีประสบการณ์มามากกว่า
ทหารนั่งชันเข่าเล็งปืนไปที่ประชาชนและเป็นกระสุนจริง
การพูดแบบนี้ของคนสุดท้ายเรียกว่า "เหวง"

เทียบเคียงกับ ไปไหนมา สามวาสองศอก เป็นต้น
อีกความหมายหนึ่ง หมายถึง อาการพูดไม่รู้เรื่อง เพราะหูดับ
(คือไม่ได้ยินการชี้แจงหรือการพูดของคนอื่น) ได้ยินแต่เสียงของตนเอง

เช่น นช.เหลี่ยมกำลังดุลูกน้อง ว่า เอ็งเจรจายังไงเข้าทางพวกมันหมดเลย
แถมยังให้มันหลอกจี้ใจดำกรูออกทีวีอีกต่างหาก เดี๋ยวพวกรากหญ้าก็รู้ความจริงหมด ไอ้5
ลูกน้องแก้ตัวว่า: ผมกำลังรุกไล่มันอยู่ครับนาย ทหารนั่งชันเข่าเล็งปืน....(ยังพูดไม่จบ)
นช.เหลี่ยม โธ่ ไอ้ซิบหาย กรูกำลังจะบอกว่า.......
ลูกน้องแก้ตัวอีกว่า: ผมกำลังรุกไล่............
นช.เหลี่ยม.......ไอ้5 มรึงยังมาเหวง กับกรูอยู่ได้ อย่ามาเหวงกับกรูอีก โธ่เว้ย เป็นต้น.
กำ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 มีนาคม 2553, 09:31:27
ภาษาไทยวันละหลายคำ


ชิง"แม้ว"เกิด...................สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ(เกิดเป็น..ม.า ดีกว่าเป็นแม้ว)
อย่ามา"เหวง"..................เพ้อเจ้อ
ทำไมไม่เลิก(ตุ๊ด)ตู่ซะที.....แถไปเรื่อย,ทรพี
ผู้ชายอย่างงี้เรียก"เด็จพี่"....หน้าตัวเมีย
ทำไมช่างเป็นคนที่"การุณ"เยี่ยงนี้.... ต่ำ กุ้ย

ยืมตังค์แค่นี้อย่ามา"พจมาร"ไปหน่อยเลย.....ขี้งก ขี้เหนียว หน้าเงิน ตระหนี่ ไร้ยางอาย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: เจตน์ ที่ 31 มีนาคม 2553, 10:10:58
เพลง เด็กเสื้อแดง

เด็กเอ๋ยเด็กชินต้องมีหน้าที่ 10 อย่างด้วยกัน
หนึ่งนับถือตระกูลหนา
สองรักษาความเลวมั่น
สามเชื่อโคตรเหง้าพจมาร
สี่วาจานั้นต้องสร้างความร้าวฉาน
ห้ายึดมั่นข้างพวกกู
หกเป็นผู้รู้รักคนพาล
เจ็ดต้องอิจฉาเข้าสันดาร ต้องมานะบากบั่น ขมขู่คนค้าน
แปดรู้จักโกงสะบัด
เก้าตระบัดสัตย์ตลอดกาล
น้ำใจนักกินเมืองล้างผลาญ ให้เหมาะแก่การสมัยชาติทักษิณา
สิบทำตนให้ไร้ประโยชน์ ล้อบาปบุญคุณโทษ เร่งขายชาติศาสนา
เด็กสมัยชาติทักษิณาจะเป็นเด็กที่พาชาติล่มจมเอย

 emo42


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 31 มีนาคม 2553, 13:54:18
(http://img143.imageshack.us/img143/5018/mgrpdf20100331page01.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 31 มีนาคม 2553, 14:33:19
โหวงเหวงยังไงชอบกล


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 มีนาคม 2553, 22:28:38
วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:41:01 น.   มติชนออนไลน์

ป.ป.ช.ไม่รับเรื่ององค์คณะศาลฎีาฯคดียึด ทรัพย์4.6หมื่นล้าน-ระบุเป็น"ดุลพินิจอิสระ"-ไม่มีหลักฐานทุจริต

 

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่เอกสารข่าวเมื่อวันที่ 31 มีนาคมว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันอังคารที่ 29 มีนาคม ได้มีมติไม่รับคำร้อง กรณีเรื่องกล่าวหา องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำนวน 9 คนในคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและครอบครัวว่า ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบก่อให้เกิดความเสียหายและทำลาย หลักนิติธรรมของรัฐเนื่องจากเป็นดุลพินิจโดยอิสระของ ผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีดังกล่าว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 197และยังไม่มี พยานหลักฐานว่า องค์คณะผู้พิพากษามีพฤติกาณณ์ในการ ทุจริตเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยมีเจตนาทุจริต


เอกสารเผยแพร่ของสำนักงาน ป.ป.ช.ระบุว่า ตามที่ นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทยและเครือข่าย ได้มีหนังสือกล่าวหา องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวน 9 คนในคดีดังกล่าวว่า ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในการพิจารณาพิพากษาคดียึดทรัพย์จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท  กล่าวคือได้พิจารณาพิพากษาในกรณีที่อัยการ สูงสุด กล่าวหา  พ.ต.ท. ทักษิณว่า ทำให้รัฐเสียหายในการแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต ทั้งที่ เป็นการซ้ำซ้อนและแตกต่างไปจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้ตรวจสอบความ ชอบด้วยกฎหมายถึงสองครั้งแล้วว่า รัฐไม่เสียหาย ซึ่งองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ จำนวน 9 คน จะต้องปฏิบัติในการทำคำพิพากษาโดยผูกพันตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายอีกต่อไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 216วรรคห้า


อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาหนังสือกล่าวหาของ นายพิชา  ข้างต้นแล้ว ปรากฏว่า นายพิชา วิจิตรศิลป์แล้ว นายพิชาเพียงแต่กล่าวอ้างว่า การกระทำขององค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ทั้ง 9 คนเป็นการซ้ำซ้อนและแตกต่างไปจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อันเป็นการเบี่ยงเบน บิดเบือนการบังคับใช้กฎหมายโดยมิชอบธรรม การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปโดยจงใจและมีเจตนาฝ่าฝืนบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ . อันเป็นการทำลายหลักนิติธรรมของประเทศ โดยมิได้ระบุว่า องค์คณะผู้พิพากษาดังกล่าวมีพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดตามข้อกล่าวหาประการใด บ้าง อันจะถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 84 ประกอบมาตรา 85 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป


คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้ขอเชิญให้ นายพิชา  ผู้กล่าวหามาพบเพื่อขอทราบว่า มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานใดสนับสนุนข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ แต่ก็ได้รับแจ้งว่า ไม่มีข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นใดเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ได้ยื่นคำ กล่าวหาไว้แล้ว


คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า การพิจารณาพิพากษาคดี พ.ต.ท. ทักษิณรํ่ารวยผิดปกติ ขององค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯงทั้ง  9 คน ในประเด็นที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ  ทำให้รัฐเสียหายในการแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิตนั้นเป็นดุลพินิจ โดยอิสระของผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีทัทั้งปวงตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 197 บัญญัติรองรับไว้


ดังนั้น ตราบใดที่ไม่มีการกล่าวอ้างโดยมีข้อ กล่าวหาและพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดตามข้อกล่าวหาที่ชัดเจน พร้อมพยานหลักฐานหรืออ้างพยานหลักฐานว่า การกระทำดังกล่าวเป็นทั้งทัง้ เก้าคน เป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการป.ป.ช. ที่จะดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไปได้ ที่ประชุมจึงมีมติไม่รับคำกล่าวหานี้ไว้พิจารณา

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 31 มีนาคม 2553, 23:00:46
(ขอแก้ไขครับ) ว่าง ๆ แวะมาอ่านไปเรื่อย ๆ

ใครอยากให้ยุบสภา ให้ไปลงชื่อที่หมอเหวง

และแนะนำให้แกนนำ นปช.ไปฉีดยารอบสะดือ 5 5 5


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 01 เมษายน 2553, 02:32:33
พูดไม่ออกเลย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 01 เมษายน 2553, 07:55:01
แวะมาทักทายค่ะ  พี่น้อง     emo48:)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 01 เมษายน 2553, 08:11:44
"ยุบ" หรือ "ไม่ยุบ" สภา โหวตได้ที่นี่ ได้เพียงคนละ 1 เสียง ต้องใส่หมายเลขบัตรประชาชนด้วย

www.siamza.com/event/vote2/index.php

หมายเหตุ เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ถ้าให้โหวตผ่านระบบอินเตอร์เน็ท แทบจะไม่ต้องโหวต ก็พอจะทราบผลล่วงหน้าได้เลยว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร  เพราะชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ ไม่มีภูมิปัญญา หรือคนแก่ ที่ใช้อินเตอร์เน็ทไม่เป็น หรือพวกคนเสื้อแดง ซึ่งเราๆท่านๆก็ทราบกันดีว่าเป็นใคร โหวตผ่านระบบอินเตอร์เน็ทแบบนี้ แพ้แน่นอนครับ

เพราะฉะนั้น นักวิชาเกิน 155 คน พวกมหาลัยสองยาม ที่เสนอให้รัฐบาลยุบสภานั้น กรุณาเอาเท้าไปก่ายหน้าผาก คิดแทนสมองเถอะครับ เสียดายคนพวกนี้ ที่อุตส่าห์เรียนจบระบบด๊อก มาจากต่างประเทศ บ้าง ในประเทศบ้าง เก่งแต่เรียนหนังสือ เก่งแต่ข้อสอบ บนกระดาษ  แต่ชีวิตจริง สอบตกทุกวิชา ถ้าเป็นอาจารย์มหาลัย ลาออกมาเถอะครับ ไปเลี้ยงกระบือดีกว่า


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 01 เมษายน 2553, 08:46:45


                  จาก นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมม์เปลว สีเงิน วันที่ 1 เมษายน 2553

                            http://www.thaipost.net/news/010410/20189


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: เจตน์ ที่ 01 เมษายน 2553, 08:58:07
สวัสดีครับ.. ไม่ยุบครับ  emo48:)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 เมษายน 2553, 09:18:34
หวัดดีทุกท่านครับ
ขอเชิญเปลี่ยนรูป อาวาตาร์
เป็นสีเขียว เพื่อแสดงเจตนารมณ์
ของการไม่ยุบสภา ต่อต้านการชุมนุมที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 01 เมษายน 2553, 09:25:44

(http://img227.imageshack.us/img227/5131/thaksin.gif)

เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ Date: April 1 ,2010


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 01 เมษายน 2553, 13:16:48
(http://img89.imageshack.us/img89/1714/22388450.jpg)
เสื้อแดงขู่บุกNBTขู่จุฬาไม่อยากเจอหายนะ
อย่าเล่นสกปรกปลุกมวลชนต้าน

จตุพรขู่พาแดงบุกNBTหากยังตีข่าวชี้นำโค่นอามาตย์80กว่าโยงสถาบันเบื้องสูงปัดแผนเผาเมือง3เม.ย.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง แถลงข่าวว่า อาจพากลุ่มผู้ชุมนุม เดินทางไปที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ กรณีนำเสนอข่าวทำนองว่าการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มเสื้อแดง เพื่อโค่นอำมาตย์ อายุ 80 กว่า หมายถึงสถาบันเบื้องสูง ซึ่งไม่เป็นความจริงคนเสื้อแดงต่อสู้ตั้งแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษลงมา พร้อมปฎิเสธกรณีข่าวที่ว่า กลุ่มคนเสื้อแเดง เตรียมเผาบ้าน เผาเมือง ในวันที่ 3 เม.ย. และยืนยันว่า วันดังกล่าวจะมีการเคลื่อนขบวนแน่ แต่ยังไม่ขอบอกว่าจะไปยังที่ใดบ้าง

นายจตุพร กล่าวต่อว่า กลุ่มคนเสื้อแดง อาจะเดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในวันที่ 5 เม.ย.นี้ เพื่อทวงถามความคืบหน้าคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีรับเงินบริจาค จำนวน 258 ล้านบาท เพราะเห็นว่าการดำเนินคดีไปด้วยความล่าช้า มีสองมาตราฐาน และกำลังให้ฝ่ายกฏหมายดำเนินคดีกับประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.ในข้อหาปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ป.อาญา


"วันที่ 5 เม.ย.นี้ คนเสื้อแดงจะบุกไปกกต.ทวงถามความคืบหน้าคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถือว่าล่าช้ามากหากเทียบกับการยุบพรรคการเมืองอื่นๆต้องถามว่าทำไมถึงมีมาตรฐานไม่เท่ากัน อีกทั้งขณะนี้ได้ให้ฝ่ายกฎหมายทำเรื่องดำเนินคดีกับกกต.ทั้ง 5 คน ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157ด้วยและสำหรับนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธานกกต. หากยังยืนยันในท่าทีเดิมอาจจะเจอมากกว่านั้น" นายจตุพร กล่าว

 นายจตุพร ยังกล่าวตือนไปยังจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมของกลุ่มคนเสื้อสีชมพู เพื่อต่อต้านการชุมนุมของคนเสื้อแดงวันที่ 2 เม.ย. เวลา 14.00 น.อยากถามจุฬาฯว่าพร้อมจะเจอกับความหายนะหรือไม่  ที่ปล่อยให้มีการรวมตัวแบบนี้ ก็รู้กันดีว่าทั้งนายจรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงษ์ อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ล้วนแล้วแต่เป็นพวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เคยยึดทำเนียบรัฐบาลและยึดสนามบิน

 "ถามว่าจุฬาฯอยากจะเข้ามีเรื่องด้วยหรือไม่ เพราะตอนนี้คนเสื้อแดงกำลังว่างๆอยู่"  นายจตุพร กล่าว และยืนยันว่าหากรัฐบาลจะยุบสภาภายใน 9 เดือน ก็ขอให้เลิกคิดไปได้เลยเพราะจะไม่ยอมเจรจาด้วยแน่นอน

นายจตุพร กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มเสื้อชมพู ที่จะมีการรวมตัวกันที่สวนลุมพินี ในวันพรุ่งนี้ เพื่อคัดค้านการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแเดงว่า  พวกนี้เป็นคนกลุ่มเดิมที่เคยขึ้นเวทีกับพันธมิตร เข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ปิดล้อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ คนพวกนี้เคยใส่เสื้อสีเหลือง มาก่อนทำให้คนไทยทั้งประเทศไม่กล้าสวมใส่มาแล้ว

 "ขอเตือนไปยังจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยว่าอย่ามาเป็นศัตรูกับกลุ่มคนเสื้อแดง ด้วยการใช้สัญลักษณ์สีชมพู พวกนักวิชาการหน้าช้ำ  คนพวกนี้เคยขึ้นเวทีพันธมิตรมาก่อนขออย่าได้เล่นสกปรกเอามวลชนที่เป็นเนื้อเดียวกับรัฐบาล มากดดันการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง" นายจตุพร กล่าว

ที่มา: http://www.posttoday.com/ข่าว/การเมือง/20231/เสื้อแดงขู่บุกNBTขู่จุฬาไม่อยากเจอหายนะอย่าเล่นสกปรกปลุกมวลชนต้าน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: อ้อย 14 ที่ 01 เมษายน 2553, 13:32:26
เรียนคุณ thaksin และ staff ของคุณ ที่เคารพ

ผมจำได้เมื่อคุณลงเล่นการเมืองและได้เป็นนายก
ผมแทบไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเมืองไทยเราจะมีนายก
ที่ฉลาด หลักแหลม ว่องไว เฉีบยขาดและสามารถ
นำบ้านเมืองไปสู่จุดสูงสุด ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ตอยคุณเริ่มหาเสียง ผมคุยกับชาวบ้านว่ามันไม่สามารถเป็นไปได้ แต่เค้าบอกมันรวยนะ ไม่น่าโกง

เราทั้งบ้านโดยมิได้นัดหมายก็ไม่ได้เลือกคุณ หลัง
จากออกมาจากหน่วยเลือกตั้งทุกคนเลือกประชาธิปัตย์
แต่รู้ว่ายังไงคุณก็ได้เพราะโปรโมทดี นโยบายกินขาด
แสดงว่าเตรียมกันมาดีมาก

หลังจากนั้นคุณก็เริ่มส่งกลิ่น แปลกนะคุณก็รวยแสนรวย
ทำไมยังมาเป็นปัญหาแก่ชาติบ้านเมืองที่ปั้นคุณขึ้นมาได้ขนาดนี้

ในใจคุณทำด้วยอะไรกันหรือ

คุณเกือบเป็นวีระบุรุษที่เราชาวไทยเกือบจะภาคภมิใจ
ที่เกือบมีนายกที่เจ๋งที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ผมขับรถเร็วไปหน่อยลูกสาว เตือนพ่ออย่าขับเร็วเดี๋ยวรถชน

และลูกคุณก็จบเรียนสูง ๆ กันทั้งนั้น เมียคุณก็เป็นถึงคุณหญิงไม่เคยเตือนเลยหรือว่าอย่าทำกับประเทศ
ขนาดนี้ หรือคุณมีแต่ลูกน้องเลียแข้งเลียขา

"ท่านครับเดี๋ยวผมดำเนินการให้เรียบร้อย"

คุณอาจไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรให้คุณบ้าง
เรื่องที่เราได้เห็นได้ยินมาทั้งหมดอาจมาจากคำสั่งคุณแค่นิดหน่อยมั้ง

" ไปจัดการให้เรียบร้อย"

ลองวิดิโอลิงค์มาอีกซิครับ
ว่าข้าพเจ้านาย.......หลังจากนอนไตร่ตรองมาแล้ว
เสื้อแดงขอกราบพื้นดินว่าขอโทษ แล้วกลับบ้านกันให้หมด

มันเป็นการจบที่คุณอาจคิดว่าเสียศักด์ศรี
แต่คุณเข้าใจหลักธรรมะ ว่าสมบัตรผลัดกันชม
คุณจะปล่อยวางได้

การอาฆาตพยาบาท คุณเหมือนผู้ชนะ
แต่ลึก ๆ คุณคงต้องร้องไห้ ร้องออกมาดัง ๆเถอะครับ
แสดงให้ชาวโลก และเด็กไทยได้รู้ว่า การทำผิดแล้วยอมรับผิดได้นั้น ในสายตาของศาลคุณคือนักโทษหนีคุก
แต่ในหัวใจของคนไทยจำนวนมากคุณคือวีรบุรุษ

ต้องอย่าลืมนำครับศาลมีหลักฐานมากมาย และอีก 10-20 คน ตัดสิน อีก 30 คนพยาน แต่ คนไทยอีก 60 กว่าล้านคนเค้าตัดสินใจจากสิ่งที่ได้รับรู้ และเค้าก็จะบอกต่อถึงลูกถึงหลาน

ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ตามลูก หลานเหลน นามสกุลชินวัตรของคุณและคนไทยอีก 10-20 ปีข้างหน้าจะอ่านเจอใน กูเกิ้ล และวิกีพีเดีย

เมื่อคุณตายจากโลกใบนี้เนื่องจากถูกแช่ง
ถูกกรรมตามสนอง ถูกเก็บ ด้วยโรคร้าย
หรือชราภาพ วันนั้นคุณก็วิดิโอลิงค์มาอีกไม่ได้
เพราะคุณได้จากโลกนี้ไปแล้ว

วีระบุรุษ และสตรี มากมายที่คุณกล่าวถึงทั้งหมด
คุณลองไปอ่านประวัติการต่อสู้ของเค้าดูซิ
มันช่างมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
เค้าเหล่านั้นนักสู้แบบอหิงสา ตัวจริง

ครับอดีตท่านนายก เลิกเถอะครับ
ทุกคนมีเวลาสะสมทรัพย์และสร้างความดี และความไม่ดี อีกไม่นานนัก ทำไม่ไม่ทำให้ปวงชนชาวไทย
ระลึกถึงคุณด้วยความรู้สึกที่วิเศษสุดยอด

จึงเรียนมาเพื่อทราบ
2648


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 เมษายน 2553, 21:31:28
ไหนว่าชุมนุม แบบสงบ สันติ อหิงสา ไอ้เลวเอ๋ย พอคนอื่นจะชุมนุม บ้างดัน ออกมาข่มขู่ เลวจริงๆๆ

เสื้อแดงฉุนถูกนักวิชาการต้าน ประกาศบุกจุฬาฯพรุ่งนี้บ่ายโมง
01 เมษายน 2553 เวลา 19:07 น.
แกนนำนปช.แถลงเคลื่อนขบวนบุกจุฬาฯหลังกลุ่มนักวิชาการประกาศใส่เสื้อสีชมพูรณรงค์คัดค้านยุบสภา
 ฉุนถูกกลุ่มพี่น้องมหิดลเผยผลตรวจเลือดมีเชื้อเอดส์-ไวรัส จี้มหาวิทยาลัยชี้แจง

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงว่า ในวันพรุ่งนี้ (2เม.ย.) กลุ่มคนเสื้อแดงจะเคลื่อนขบวนไปที่จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เพื่อถามอธิการบดีจุฬาฯว่า เป็นนโยบายของมหาวิทยาลัยหรือไม่ที่ปล่อยให้บุคลากรที่เคยขึ้นเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเป้าหมายทางการเมือง

"เวลานี้มีบุคลากรตามมหาวิทยาลัย บุคลากรตามวงการต่างๆในสังคมจะออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง เช่น กลุ่มอาจารย์จุฬาฯ กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวโรงแรม ที่จะออกมาเคลื่อนไหวโดยใส่เสื้อสีชมพู จึงอยากขอตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มคนเหล่านี้เคยร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มเสื้อเหลืองมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งเป็นแผนในการสลับร่างออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเป้าหมายทางการเมือง"นายณัฐวุฒิกล่าว

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้จะตั้งขบวนที่สะพานผ่านฟ้าเวลา 12.00 น. ก่อนจะเคลื่อนไปยังจุฬาฯ ซึ่งคาดว่าจะไปถึงในเวลา 13.00น. ทั้งนี้กลุ่มนปช.ยืนยันว่าจะไม่บุกเข้าไปภายในบริเวณมหาวิทยาลัย แต่จะไปที่หน้าประตูและส่งตัวแทนเข้าไปพบอธิการบดี รวมทั้งจะไม่มีการขัดขวางการชุมนุมของกลุ่ม

โวยถูกกล่าวหาเลือดติดเอดส์ขู่เคลื่อนไปมหิดล

นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงกรณีที่บุคลากรของมหาวิทยาลัยมหิดลได้ออกมาระบุว่าผลการตรวจเลือดของคนเสื้อแดงที่นำไปเทตามสถานที่ต่างๆมีเชื้อเอดส์และไวรัสตับอักเสบบี-ซี รวมทั้งมีเลือดหมูปนเปื้อนว่า กลุ่มดังกล่าวมีสิทธิอะไรที่มาตรวจสอบ มีการได้รับมอบหมายหรือมีความชอบธรรมอย่างไรที่มาดำเนินการ การปฏิบัติที่บอกไปเก็บตัวอย่างเลือดมีความเป็นจริงได้อย่างไร เพราะทันทีที่เทเลือดก็มีเจ้าหน้าที่มาล้างเลือด และบุคลากรที่มาล้างก็มาจากสาธารณสุข คนกลุ่มนี้อยู่ที่ไหนในเวลานั้นรวมทั้งใช้วิธีเก็บตัวอย่างเลือดอย่างไร

"เรื่องนี้เป็นการกระทำของบุคลากรทางการแพทย์ที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับการเมืองโดยไม่คำนึงถึงจรรยาบรรณทางการแพทย์ ดังนั้น แพทยสภา มหาวิทยาลัยมหิดลควรมีคำอธิบายภายในวันพรุ่งนี้ (2เม.ย.)  ไม่เช่นนั้นในวันที่ 3 เม.ย. จะยกขบวนคนเสื้อแดงไปสอบถาม"นายณัฐวุฒิกล่าว
( ใหญ่จริง โคตรอันธพาลเลยจริงๆ)

ขณะที่นาย  จตุพร พรหมพันธุ์  แกนนำนปช. กล่าวว่า   จากการสืบประวัติของ นพ.กุศล พบว่าเคยเป็นแพทย์ที่เข้าพบ พล.อ.เปรม  ติณสูลานนท์  ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ช่วงก่อนมีการยึดอำนาจ และขณะนี้เปิดคลินิคศัลยกรรมอยู่ที่เดอะมอลล์ บางแค และ งามวงศ์วาน ดังนั้น การที่หมอคนดังกล่าวทำกับคนเสื้อแดงแบบนี้หาว่าเลือดคนเสื้อแดงติดเชื้อโรคและมีเลือดสัตว์ถือว่าเป็นศตรูของคนเสื้อแดงไปแล้ว  เพราะฉะนั้นคนเสื้อแดงคนไหนจะไปคลินิคแห่งนี้ก็ได้ตามสบาย

“ไม่ว่านายแพทย์คนนี้จะอยู่สุดหล้าฟ้าเขียวที่ไหน ผมต้องไปหาตัวให้พบให้ได้ เพื่อไปดูว่าเลือดของเขาเป็นแบบไหน  ความเดรัจฉานของหมอคนนี้จะต้องถูกไล่ล่าโดยคนเสื้อแดง  เชื่อว่าคนที่ต้องทำศัลยกรรมต่อไปต้องเป็นหมอกุศลแน่นอน”  นายจตุพรกล่าว
ไอ้ตุ๊ดตู่ โคตร วรนุชเลยจริง บ้านเมืองนี้ เป็นของมันจริงๆหรือนี่

ด้าน นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กล่าวว่า ต้องการให้แพทยสภาออกมาตรวจสอบ เพราะกระบวนการเก็บตัวอย่าง น่าสงสัย ออกมาดูว่าการกระทำอย่างนี้ผิดจรรยาแพทย์หรือไม่

อ้างอิง http://www.posttoday.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/20343/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%89%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B8%AF%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%87


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 01 เมษายน 2553, 21:52:41
ใครไม่เห้นด้วยไม่ได้เลยนะเนี่ย   เสื้อแดงจะต้องไปจัดการ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 02 เมษายน 2553, 10:46:19
(http://img101.imageshack.us/img101/1354/resizeofmakeoffer.jpg)


"ข้าจะเสนอสิ่งที่เจ้าปฎิเสธมิได้"



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 02 เมษายน 2553, 14:32:17
อีก 9 เดือนเหรอ

แล้วตูจะรอด ( มะเร็ง ) มั๊ยนี่


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 02 เมษายน 2553, 16:28:37

(http://img227.imageshack.us/img227/2973/00001r.gif)



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 02 เมษายน 2553, 16:36:47
2010 อันธพาลครองเมือง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 02 เมษายน 2553, 16:56:35

(http://img181.imageshack.us/img181/7476/cu001.jpg)
(http://img181.imageshack.us/img181/6971/cu000.jpg)
(http://img227.imageshack.us/img227/7531/cu008.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 02 เมษายน 2553, 21:36:56
ผมว่าเสื้อแดงมีน้อยลงทุกวัน  ไม่มีอำนาจต่อรองอารายแล้ว  มีแต่คำพูดเพ้อเจ้อไปวันๆ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 02 เมษายน 2553, 22:39:57
สนุกจริง ๆ ค่ะ  พี่น้อง .. เชิญชม      emo43


http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,5259.msg374050.html#msg374050


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 02 เมษายน 2553, 22:51:52
@@@ ยอดเยี่ยม กระเทียมดอง @@@


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 02 เมษายน 2553, 23:06:57
น่าส่งชุดนี้ไปเจรจา


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 03 เมษายน 2553, 02:05:37
(http://img220.imageshack.us/img220/7779/mgrpdf20100403page01.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 03 เมษายน 2553, 21:34:37
ผมว่าเลือดไม่ตก  งานนี้ไม่จบ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 03 เมษายน 2553, 23:41:27
อ้างถึง
ข้อความของ ตุ๋ย 22 เมื่อ 03 เมษายน 2553, 21:34:37
ผมว่าเลือดไม่ตก  งานนี้ไม่จบ

เมื่อวานตกไปหน่อย ..
เพราะมีสีแดงป้วนเปี้ยนป่วนในบริเวณที่สีชมพูชุมนุมกันอยู่
เราไม่เห็นเหตุการณ์  เพราะคนเยอะ .. วิ่งไปมุงกันเต็ม
เราวิ่งไม่ทัน  เพราะอ้วน

ไม่ถึง 3 นาที  มี sms แจ้งมาว่า .. แดงเลือกตก  โดนชมพูรุมยำ ..
พี่หนุนหัวเราะ  บอกว่า .. เลือดที่ตกนั้น  มีปริมาณถึง 10 cc  หรือเปล่า ??
เป็นห่วง  กลัวไม่ได้ตามเป้า .. ฮา





หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: เจตน์ ที่ 03 เมษายน 2553, 23:49:01
ผมดูพาดหัวข่าวไทยรัฐกับเดลินิวส์ ได้เห็นภาพจังหวะสาวหมัดด้วยครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 03 เมษายน 2553, 23:52:57
อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 03 เมษายน 2553, 23:41:27
อ้างถึง
ข้อความของ ตุ๋ย 22 เมื่อ 03 เมษายน 2553, 21:34:37
ผมว่าเลือดไม่ตก  งานนี้ไม่จบ

เมื่อวานตกไปหน่อย ..
เพราะมีสีแดงป้วนเปี้ยนป่วนในบริเวณที่สีชมพูชุมนุมกันอยู่
เราไม่เห็นเหตุการณ์  เพราะคนเยอะ .. วิ่งไปมุงกันเต็ม
เราวิ่งไม่ทัน  เพราะอ้วน

ไม่ถึง 3 นาที  มี sms แจ้งมาว่า .. แดงเลือกตก  โดนชมพูรุมยำ ..
พี่หนุนหัวเราะ  บอกว่า .. เลือดที่ตกนั้น  มีปริมาณถึง 10 cc  หรือเปล่า ??
เป็นห่วง  กลัวไม่ได้ตามเป้า .. ฮา




จะเอาไปรวมกันล้างเท้าอีกมั้งเนี่ยพี่หนุน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 เมษายน 2553, 00:01:17
มาชุมนุมงวดนี้ ม่วน อีหลี ขนาด เด้อ ครับเด้อ....

แดงจัดโคโยตี้โชว์ปลุกม็อบคึกรอบดึก
ประเด็น:เสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ , 03 เมษายน 2553 เวลา 23:02 น.
บรรยากาศการชุมนุมช่วงแยกราชประสงค์เป็นไปด้วยความคึกคัก มีการโชว์เต้นโคโยตี้สร้างความเฮฮาให้กับวัยรุ่นเสื้อแดงอย่างมาก

บรรยากาศการปิดถนนช่วงสะพานท่าเรือประตูน้ำ กระทั่งถึงแยกประตูน้ำ ไล่มาจนถึงแยกปรารภใต้ทางด่วนการชุมนุมมีคนหนาแน่นเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละประมาณ 300-400 คน เนื่องจากการชุมนุมล้อมม็อบโคโยตี้ที่เต้นอยู่ท้ายรถกระบะ

ทั้งนี้ โคโยตี้มีทั้งหญิงแท้และหญิงเทียม เปิดทั้งเพลงสากลและรำเซิ้งเพลงท้องถิ่น แต่ละซุ้มมีทั้งติดป้ายชูว่า เป็นเสื้อแดงมาจากภาคใด ซึ่งบรรยากาศชุมนุมเฮฮามาก เนื่องจากเสื้อแดงไม่สนใจปราศรัยบนเวที สนใจแต่โคโยตี้

นอกจากนี้บรเวณสี่แยกชิดลม ก็ยังมีการเต้นโคโยตี้ของคนเสื้อแดง โดยมีหญิงสาวขึ้นไปบนรถกระบะที่ติดเครื่องเสียงอย่างดี เปิดเพลงกระหึ่มทั่วทั้งสี่แยก โดยบนรถกระบะ บริเวณหลังคารถจะมีผู้หญิงเต้นคู่ผู้ชาย ขณะที่ท้ายกระบะก็มีหญิงสาวนุ่งสั้นใส่เสื้อแดงเต้นยั่วยวน บางครั้งก็มีการเปิดเสื้อโชว์สะดือ สร้างความคึกครื้นให้กับกลุ่มวัยรุ่นเสื้อแดงเกือบ 200 คน ที่ยืนล้อมรถอย่างมาก


อ้างอิง http://www.posttoday.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/20738/%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%81


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 04 เมษายน 2553, 22:39:12

“ฮุนเซน” สำนึกบาป! กร้าว “แม้ว” ห้ามเข้าเขมร


(http://img143.imageshack.us/img143/6963/hunsen.jpg)

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าพบหารือกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่า ช่วงเช้าที่สมเด็จฯ ฮุนเซนเดินทางมา ตนได้โทรศัพท์พูดคุยไปแล้ว และได้เรียนสมเด็จฯ ฮุนเซนว่าตนคงไม่สามารถมาพบได้ จึงขอคุยทางโทรศัพท์ แต่ตอนบ่ายได้ทราบว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดสมเด็จฯ ฮุนเซน ในฐานะคนรักชอบกันตามประเพณีไทยก็เลยมาอวยพร ได้ถือโอกาสพูดคุยกัน ท่านได้ให้กำลังใจ เอาใจช่วยขอให้ประเทศไทยได้คืนกลับสู่ความสงบเรียบร้อย
       
       นายสุเทพกล่าวว่า สมเด็จฯ ฮุนเซนบอกกับตนว่าอาจจะมีคนเข้าใจท่านผิดบ้าง แต่ท่านได้แสดงออกชัดเจน เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำลุ่มแม่น้ำโขง เชิญท่านไปท่านรีบตอบมาทันทีโดยไม่ลังเลใจ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าที่คนเข้าใจท่านไม่ถูกต้องนั้น จริงๆ ไม่ถูก ท่านแยกแยะได้ระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องของบ้านเมือง ท่านบอกกับตนว่าท่านได้ตัดสินใจ ได้วางแนวทางในการปฏิบัติชัดเจนว่าท่านมีความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะส่วนตัว แต่ไม่ให้ความสัมพันธ์นั้นมากระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา

ที่มา : http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000046805


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: opas ที่ 05 เมษายน 2553, 07:24:59
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย 14 เมื่อ 01 เมษายน 2553, 13:32:26
เรียนคุณ thaksin และ staff ของคุณ ที่เคารพ

ผมจำได้เมื่อคุณลงเล่นการเมืองและได้เป็นนายก
ผมแทบไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเมืองไทยเราจะมีนายก
ที่ฉลาด หลักแหลม ว่องไว เฉีบยขาดและสามารถ
นำบ้านเมืองไปสู่จุดสูงสุด ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ตอยคุณเริ่มหาเสียง ผมคุยกับชาวบ้านว่ามันไม่สามารถเป็นไปได้ แต่เค้าบอกมันรวยนะ ไม่น่าโกง

เราทั้งบ้านโดยมิได้นัดหมายก็ไม่ได้เลือกคุณ หลัง
จากออกมาจากหน่วยเลือกตั้งทุกคนเลือกประชาธิปัตย์
แต่รู้ว่ายังไงคุณก็ได้เพราะโปรโมทดี นโยบายกินขาด
แสดงว่าเตรียมกันมาดีมาก

หลังจากนั้นคุณก็เริ่มส่งกลิ่น แปลกนะคุณก็รวยแสนรวย
ทำไมยังมาเป็นปัญหาแก่ชาติบ้านเมืองที่ปั้นคุณขึ้นมาได้ขนาดนี้

ในใจคุณทำด้วยอะไรกันหรือ

คุณเกือบเป็นวีระบุรุษที่เราชาวไทยเกือบจะภาคภมิใจ
ที่เกือบมีนายกที่เจ๋งที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ผมขับรถเร็วไปหน่อยลูกสาว เตือนพ่ออย่าขับเร็วเดี๋ยวรถชน

และลูกคุณก็จบเรียนสูง ๆ กันทั้งนั้น เมียคุณก็เป็นถึงคุณหญิงไม่เคยเตือนเลยหรือว่าอย่าทำกับประเทศ
ขนาดนี้ หรือคุณมีแต่ลูกน้องเลียแข้งเลียขา

"ท่านครับเดี๋ยวผมดำเนินการให้เรียบร้อย"

คุณอาจไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรให้คุณบ้าง
เรื่องที่เราได้เห็นได้ยินมาทั้งหมดอาจมาจากคำสั่งคุณแค่นิดหน่อยมั้ง

" ไปจัดการให้เรียบร้อย"

ลองวิดิโอลิงค์มาอีกซิครับ
ว่าข้าพเจ้านาย.......หลังจากนอนไตร่ตรองมาแล้ว
เสื้อแดงขอกราบพื้นดินว่าขอโทษ แล้วกลับบ้านกันให้หมด

มันเป็นการจบที่คุณอาจคิดว่าเสียศักด์ศรี
แต่คุณเข้าใจหลักธรรมะ ว่าสมบัตรผลัดกันชม
คุณจะปล่อยวางได้

การอาฆาตพยาบาท คุณเหมือนผู้ชนะ
แต่ลึก ๆ คุณคงต้องร้องไห้ ร้องออกมาดัง ๆเถอะครับ
แสดงให้ชาวโลก และเด็กไทยได้รู้ว่า การทำผิดแล้วยอมรับผิดได้นั้น ในสายตาของศาลคุณคือนักโทษหนีคุก
แต่ในหัวใจของคนไทยจำนวนมากคุณคือวีรบุรุษ

ต้องอย่าลืมนำครับศาลมีหลักฐานมากมาย และอีก 10-20 คน ตัดสิน อีก 30 คนพยาน แต่ คนไทยอีก 60 กว่าล้านคนเค้าตัดสินใจจากสิ่งที่ได้รับรู้ และเค้าก็จะบอกต่อถึงลูกถึงหลาน

ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ตามลูก หลานเหลน นามสกุลชินวัตรของคุณและคนไทยอีก 10-20 ปีข้างหน้าจะอ่านเจอใน กูเกิ้ล และวิกีพีเดีย

เมื่อคุณตายจากโลกใบนี้เนื่องจากถูกแช่ง
ถูกกรรมตามสนอง ถูกเก็บ ด้วยโรคร้าย
หรือชราภาพ วันนั้นคุณก็วิดิโอลิงค์มาอีกไม่ได้
เพราะคุณได้จากโลกนี้ไปแล้ว

วีระบุรุษ และสตรี มากมายที่คุณกล่าวถึงทั้งหมด
คุณลองไปอ่านประวัติการต่อสู้ของเค้าดูซิ
มันช่างมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
เค้าเหล่านั้นนักสู้แบบอหิงสา ตัวจริง

ครับอดีตท่านนายก เลิกเถอะครับ
ทุกคนมีเวลาสะสมทรัพย์และสร้างความดี และความไม่ดี อีกไม่นานนัก ทำไม่ไม่ทำให้ปวงชนชาวไทย
ระลึกถึงคุณด้วยความรู้สึกที่วิเศษสุดยอด

จึงเรียนมาเพื่อทราบ
2648

ข้าพเจ้ากลับเห็นต่างครับ
ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่แต่เรื่องเงิน  วัตถุมาล่อ  ผลประโยชน์โน่นนี่นู่นสารพัด
แสดงว่านิสัยส่วนตัวน่าจะไปทางไหน

ตอนนั้นเห็นการหาเสียงขณะขับมอไซด์เที่ยวอยู่บนดอย  คิดในใจว่าถ้าได้แบบนี่คงยุ่ง  แต่ไม่คิดว่าจะได้
ปรากฏว่าได้จริงๆ  ผล......เละเกินกว่าจะคาดคิด


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวหน่อ เมืองพลาญ ที่ 05 เมษายน 2553, 09:27:01
อ้างถึง
ข้อความของ opas เมื่อ 05 เมษายน 2553, 07:24:59
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย 14 เมื่อ 01 เมษายน 2553, 13:32:26
เรียนคุณ thaksin และ staff ของคุณ ที่เคารพ

ผมจำได้เมื่อคุณลงเล่นการเมืองและได้เป็นนายก
ผมแทบไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเมืองไทยเราจะมีนายก
ที่ฉลาด หลักแหลม ว่องไว เฉีบยขาดและสามารถ
นำบ้านเมืองไปสู่จุดสูงสุด ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ตอยคุณเริ่มหาเสียง ผมคุยกับชาวบ้านว่ามันไม่สามารถเป็นไปได้ แต่เค้าบอกมันรวยนะ ไม่น่าโกง

เราทั้งบ้านโดยมิได้นัดหมายก็ไม่ได้เลือกคุณ หลัง
จากออกมาจากหน่วยเลือกตั้งทุกคนเลือกประชาธิปัตย์
แต่รู้ว่ายังไงคุณก็ได้เพราะโปรโมทดี นโยบายกินขาด
แสดงว่าเตรียมกันมาดีมาก

หลังจากนั้นคุณก็เริ่มส่งกลิ่น แปลกนะคุณก็รวยแสนรวย
ทำไมยังมาเป็นปัญหาแก่ชาติบ้านเมืองที่ปั้นคุณขึ้นมาได้ขนาดนี้

ในใจคุณทำด้วยอะไรกันหรือ

คุณเกือบเป็นวีระบุรุษที่เราชาวไทยเกือบจะภาคภมิใจ
ที่เกือบมีนายกที่เจ๋งที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ผมขับรถเร็วไปหน่อยลูกสาว เตือนพ่ออย่าขับเร็วเดี๋ยวรถชน

และลูกคุณก็จบเรียนสูง ๆ กันทั้งนั้น เมียคุณก็เป็นถึงคุณหญิงไม่เคยเตือนเลยหรือว่าอย่าทำกับประเทศ
ขนาดนี้ หรือคุณมีแต่ลูกน้องเลียแข้งเลียขา

"ท่านครับเดี๋ยวผมดำเนินการให้เรียบร้อย"

คุณอาจไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรให้คุณบ้าง
เรื่องที่เราได้เห็นได้ยินมาทั้งหมดอาจมาจากคำสั่งคุณแค่นิดหน่อยมั้ง

" ไปจัดการให้เรียบร้อย"

ลองวิดิโอลิงค์มาอีกซิครับ
ว่าข้าพเจ้านาย.......หลังจากนอนไตร่ตรองมาแล้ว
เสื้อแดงขอกราบพื้นดินว่าขอโทษ แล้วกลับบ้านกันให้หมด

มันเป็นการจบที่คุณอาจคิดว่าเสียศักด์ศรี
แต่คุณเข้าใจหลักธรรมะ ว่าสมบัตรผลัดกันชม
คุณจะปล่อยวางได้

การอาฆาตพยาบาท คุณเหมือนผู้ชนะ
แต่ลึก ๆ คุณคงต้องร้องไห้ ร้องออกมาดัง ๆเถอะครับ
แสดงให้ชาวโลก และเด็กไทยได้รู้ว่า การทำผิดแล้วยอมรับผิดได้นั้น ในสายตาของศาลคุณคือนักโทษหนีคุก
แต่ในหัวใจของคนไทยจำนวนมากคุณคือวีรบุรุษ

ต้องอย่าลืมนำครับศาลมีหลักฐานมากมาย และอีก 10-20 คน ตัดสิน อีก 30 คนพยาน แต่ คนไทยอีก 60 กว่าล้านคนเค้าตัดสินใจจากสิ่งที่ได้รับรู้ และเค้าก็จะบอกต่อถึงลูกถึงหลาน

ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ตามลูก หลานเหลน นามสกุลชินวัตรของคุณและคนไทยอีก 10-20 ปีข้างหน้าจะอ่านเจอใน กูเกิ้ล และวิกีพีเดีย

เมื่อคุณตายจากโลกใบนี้เนื่องจากถูกแช่ง
ถูกกรรมตามสนอง ถูกเก็บ ด้วยโรคร้าย
หรือชราภาพ วันนั้นคุณก็วิดิโอลิงค์มาอีกไม่ได้
เพราะคุณได้จากโลกนี้ไปแล้ว

วีระบุรุษ และสตรี มากมายที่คุณกล่าวถึงทั้งหมด
คุณลองไปอ่านประวัติการต่อสู้ของเค้าดูซิ
มันช่างมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
เค้าเหล่านั้นนักสู้แบบอหิงสา ตัวจริง

ครับอดีตท่านนายก เลิกเถอะครับ
ทุกคนมีเวลาสะสมทรัพย์และสร้างความดี และความไม่ดี อีกไม่นานนัก ทำไม่ไม่ทำให้ปวงชนชาวไทย
ระลึกถึงคุณด้วยความรู้สึกที่วิเศษสุดยอด

จึงเรียนมาเพื่อทราบ
2648

ข้าพเจ้ากลับเห็นต่างครับ
ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่แต่เรื่องเงิน  วัตถุมาล่อ  ผลประโยชน์โน่นนี่นู่นสารพัด
แสดงว่านิสัยส่วนตัวน่าจะไปทางไหน

ตอนนั้นเห็นการหาเสียงขณะขับมอไซด์เที่ยวอยู่บนดอย  คิดในใจว่าถ้าได้แบบนี่คงยุ่ง  แต่ไม่คิดว่าจะได้
ปรากฏว่าได้จริงๆ  ผล......เละเกินกว่าจะคาดคิด



แต่ก็มีคนส่วนนึง (ตรงแยกราชประสงค์ และสะพานผ่านฟ้า) ที่หลับหูหลับตา ไม่รับฟังผลของความจริง สนเฉพาะลมปากเท่านั้น

การพูดปราศัยบนเวที พูดให้สนุก พูดให้คนตบมือ พูดให้คนหัวเราะ ใครๆก็พูดได้ แต่หลังจากคุณะูดแล้ว กล้ารับผิดชอบต่อคำพูดของคุณหรือเปล่า อยากให้บอกเลย ว่า ใครพูดอะไรไปบ้าง มันเยอะเกินกว่าหลักฐานในชั้นศาลแล้ว ฟ้องศาลไหนก็ชนะ (ศาลพระภูมิยังชนะเลย)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 เมษายน 2553, 10:02:41
ฝี...แตก
ประเด็น:เสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ , 05 เมษายน 2553 เวลา 06:05 น.

ใครเคยเป็นฝีคงจะรู้ ถ้าจะรักษาให้หายต้องทำให้ฝีแตก หรือไม่ก็ต้องผ่าเอาหัวของมันออกมา

จะไปทายา จะไปนวดคลึงอย่างไรก็ไม่หาย

อาการของแดงคงไม่ต่างจากการเป็นฝี ปวดกันไปทั่ว

สงครามไพร่ สงครามชนชั้นที่ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทย กลับมีการจุดไฟกลางหัวใจขึ้นมา

นี่แหละ... ฝีของแผ่นดิน

การรักษาจะทายาคงไม่หาย หนทางเดียวต้องทำให้ฝีแตก

และการปิดถนนราชประสงค์ในครั้งนี้ ก็ใกล้เคียงกับอาการฝีแตกเต็มทน

เพราะแดงเริ่มระส่ำระสาย จะกลับบ้านกันวันสงกรานต์

เงินที่เติมมาโดยเฉพาะจากอีสาน ก็เริ่มไม่มีความหมาย

แดงตัวพ่อจึงต้องขอให้อยู่ต่อภายใต้คำปลอบว่า งานนี้ชนะแน่

ทั้งหมดจึงนำมาสู่การปิดถนนราชประสงค์ ในย่านที่ถือว่าเป็นหัวใจของธุรกิจเมืองไทย

เป้าหมายไม่ใช่ต้องการให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยุบสภาหรอก

แต่สิ่งที่ต้องการไม่พ้นกดดันให้รัฐบาลหมดความอดทน และต้องทำอะไรบางสิ่งบางอย่างเพื่อเข้าทางแดง

ประวัติศาสตร์การจัดม็อบในประเทศนี้ยืนยันออกมาแล้ว การที่ม็อบจะชนะมีหนทางเดียว

นั่นคือรัฐบาลต้องล้อมปราบ

และนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายจากฝีมือใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นมือที่สาม มือที่สี่

รัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้

แต่นั่นแหละ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็รู้เช่นกัน การล้อมปราบเป็นหมากที่พ่ายทั้งกระดาน

ใครอดทนได้นานกว่าคนนั้นจึงจะชนะ

กระบวนการของรัฐบาลจึงออกมาในแนวทางการใช้กฎหมายเป็นขั้นตอน และทำให้ม็อบแดงถูกโดดเดี่ยว โดยเฉพาะจากคนกรุงเทพฯ

แม้แดงจะยึดราชประสงค์ได้ แต่แดงกำลังเสียเปรียบ

อย่าลืม การปิดราชประสงค์เท่ากับกระทบกับคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ไม่เพียงแต่ในศูนย์กลางธุรกิจเท่านั้น แต่การจราจรเข้าขั้นสาหัส

แดงถูกด่าจมหูตั้งแต่แรก

แดงจะถูกด่าต่อไป และสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลมากขึ้น

ยิ่งเฉพาะรัฐบาลมีตัวช่วยมากมาย อาทิ เป็นผู้กุมกลไกจังหวะในข้อกฎหมายในเกมม็อบ จะช้า จะเร็ว จะหนัก จะเบา ล้วนแต่กำหนดได้หมด

ที่สำคัญ อีกเพียงสัปดาห์เดียวก็จะปิดสงกรานต์

และอย่าลืม...รัฐบาลสามารถประกาศวันหยุดพิเศษ เร่งวันหยุดไปชนกับวันสงกรานต์ได้อีก คล้ายๆ กับที่เคยเกิดในเดือน เม.ย.ปีก่อน

เท่ากับว่าถ้าหยุดยาวไปแตะสงกรานต์เร็วเท่าใด แดงก็เหนื่อยหนักเท่านั้น

และสิ่งที่จะสะท้อนเงื่อนปม เค้าลางแห่งการพ่ายแพ้ก็คือ จะเกิดปรากฏการณ์ความรุนแรงต่างๆ อาทิ ระเบิดลึกลับทยอยถี่จะเป็นฝีมือใคร หรือแม้กระทั่งแดงเทียมก็เถอะ

เพราะความรุนแรงดังกล่าวเหมือนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา สำแดงอาการความรีบร้อนต้องการปิดเกม

งานนี้จึงต้องจับตาให้ดี

ฝีมันกำลังจะแตก




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 เมษายน 2553, 22:32:19
ประธานศาลปค.จี้รัฐใช้บังคับกม.อย่าให้ปัญหาลุกลาม
05 เมษายน 2553 เวลา 20:43 น.
"อักขราทร"จี้รัฐบังคับใช้กฏหมายอย่าปล่อยให้ปัญหาลุกลามเปรียบหากไม่มีการบังคับใช้ก็ไม่ต่างกับระฆังที่ไร้ลูกตุ้ม

นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวปาฐกถาหัวข้อ "การบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความยุติธรรมในสังคมไทย"ในงาน "วันสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2553"ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต ว่า บ้านเมืองในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคมอย่างมาก ปัญหาในปัจจุบันใกล้ๆจะเข้มข้น หากสิ่งนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอื่นๆ ในโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศประชาธิปไตยร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่น ฝรั่งเศส อเมริกา ฯลฯ แต่ละชาติจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยการบังคับใช้กฎหมายที่มีลักษณะสากล จะไม่ปล่อยให้เรื่องต่างๆ ลุกลาม หรือปล่อยให้สถานการณ์นั้นแก้ไขด้วยตัวเอง

"ผู้ที่คิดว่ามีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ ถ้าไปมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องของการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เมื่อยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการดูแลการชุมนุม จึงพยายามอธิบายว่ารัฐในฐานะผู้ดูแลรับผิดชอบบ้านเมืองไม่อาจจะทำอะไรได้ ต้องรอจนกว่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะรอจนกว่าเมื่อไหร่" นายอักขราทรกล่าว และว่า กฎหมายนั้นต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ และมีผลบังคับได้อย่างแท้จริง กฎหมายเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ความประพฤติของสังคมที่ต้องยอมรับในการดำรงอยู่ ในทุกสังคม กฎหมายที่ไม่มีการบังคับใช้ก็ไม่ต่างอะไรกับระฆังที่ไม่มีลูกตุ้ม.



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 06 เมษายน 2553, 16:00:33
http://www.youtube.com/watch?v=I0AGoDHURqw

** เนื้อเพลง ... แม้ว มอนเต **
       
     สู้เถอะพี่น้อง เสียงขอร้องจากแม้วมอนเตฯ
       อยู่ริมทะเล ประเทศมอนเตรเนโกร
       นั่งจิบกาแฟ เอกเขนก กินเค๊กชิ้นโต
       ลิงค์วีดีโอ บงการเผาผลาญบ้านไทย

     
      ตากแดดตากฝน สู้เพื่อคนมอนเตรเนโกร
      พาลูกอวดโชว์  มอนเตเนโกรซื้อเกาะเอาไว้
      เป็นนักโทษหนี ใส่ร้ายย่ำยีศักดิ์ศรีศาลไทย
      วันนี้กำลังจุดไฟ เผาไหม้เมืองไทยแหลกราน


     ภาพคนเสื้อแดง อ่อนแรงหิวโหยโรยรา
     ทักษิณจูงพิณทองทายิ้มร่ารื่นเริงสำราญ
     ภาพคนเสื้อแดงแดดแรงรุ่มร้อนกลางลาน
     ลูกโอ๊คและแพทองธารเบิกบานที่เมืองมอนเตรฯ


     สู้เถอะพี่น้องเสียงขอร้องจากคนเมืองไกล
     ให้สู้ต่อไป ผู้ชายสัญชาติมอนเตรเนโกร
     จะแดดจะฝนให้สู้ทนอย่าได้เยโย
     มอนเตเนโกร ลูกสาวลูกชายผมสบายดี
     สู้กันต่อไป ลูกสาวลูกชายผมสบายดี

     ตากแดดกันไป ลูกสาวลูกชายผมสบายดี ....
     ตากฝนกันไป ลูกสาวลูกชายผมสบายดี ....
     โง่กันต่อไป ลูกสาวลูกชายผมสบายดี ....





หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: อ้อย 14 ที่ 08 เมษายน 2553, 09:03:47
สถานการ์ณตอนนี้  น่าจะเหมือนยุคอันธพาลครองเมือง 2499  และยุคอั้งยี่  เพี่ยงแต่สมัยก่อนนู้น  ผู้คนคงรักชาติบ้านเมืองมากกว่านี้....


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 09 เมษายน 2553, 06:25:23
(http://img245.imageshack.us/img245/306/resizeofmgrpdf20100409p.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 09 เมษายน 2553, 19:30:53
มอบให้แด่ความหน่อมแน้มของรัฐบาลและนายทหารขี้ครอก


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 10 เมษายน 2553, 05:51:18
(http://img406.imageshack.us/img406/5407/mgrpdf20100410page09.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 10 เมษายน 2553, 10:10:46

                            จาก นสพ.ไทยโพสต์ วันที่ 10 เมษายน 2553


                           http://www.thaipost.net/news/100410/20639


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 10 เมษายน 2553, 14:58:10
แบบฟอร์ม ถอดถอน 3 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกือก

(http://img233.imageshack.us/img233/2107/form.jpg)

หรือจะดาวน์โหลดเอาจากที่นี้ก็ได้

http://files.thaiday.com/download/dw1.pdf

จากเมกา วันนี้ส่งไปหลายฉบับแล้วครับ



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 เมษายน 2553, 13:14:35
ลอกคราบ 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ'นายทุนสื่อ “ล้มเจ้า” 
 
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 24 เมษายน 2553 09:12 น.
 
 
   หากเอ่ยชื่อ 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' คนทั่วไปอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าพูดถึง 'ฟ้าเดียวกัน' เว็บไซต์และนิตยสารที่มีเนื้อหาโจมตีสถาบันกษัตริย์อย่างรุนแรงตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาแล้วล่ะก็หลายคนคงร้องอ๋อ.. เพราะเขาคือนายทุนผู้ให้การสนับสนุนสื่อที่ถูกตั้งคำถามจากสังคมถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่แท้จริง ?
       
       ธนาธร หรือ 'เอก' นักธุรกิจหนุ่มวัย 32 ปี เป็นหลานชายแท้ๆของ 'สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ' อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และ รมว.อุตสาหกรรม ผู้อื้อฉาวจากคดีคอร์รัปชั่น CTX เขาเป็นบุตรชายคนโตของ นายพัฒนา จึงรุงเรืองกิจ (เสียชีวิตแล้ว) และนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นักธุรกิจหมื่นล้าน เจ้าของบริษัทผลิตอะไหล่รถยนต์รายใหญ่ของไทย
       
       เมื่อบิดาเสียชีวิต เขาจึงต้องเข้ามาบริหารธุรกิจในตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิต แต่ก็ยังคงเป็นนายทุนของเว็บไซต์และนิตยสาร'ฟ้าเดียวกัน' สื่อที่เน้นการเผยแพร่เนื้อหาที่โจมตี และลดความน่าเชื่อถือของสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น การโจมตีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ การโจมตีพิธีพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ว่าใช้เงินมากเกินไป นอกจากนั้นเว็บไซต์นี้ยังมีการเผยแพร่ธงชาติใหม่ของ “สาธารณรัฐสยาม” และแนวคิดเรื่อง “รัฐไทยใหม่” ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ นช.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของเงินและเจ้าของม็อบเสื้อแดงด้วย
       
       ว่ากันว่า ธนาธร ถูกขนานนามว่า 'แอ๊กทิวิสต์ซ้ายจัด' ตั้งแต่ครั้งที่เป็นนักศึกษาคณะวิศวะ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ที่คลั่งไคล้ในลัทธิมาร์กซและต่อต้านระบอบกษัตริย์อย่างโจ่งแจ้ง แต่ขณะเดียวกันก็กลับชื่นชมระบบทุนนิยมอย่างออกหน้าออกตา เขาเคยให้สัมภาษณ์ในฐานะรองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิต ว่า “ เราจะไม่ยอมเป็นบริษัทที่อยู่ในทุนนิยมหางแถว แต่ต้องการเป็นบริษัทที่สามารถใช้ประโยชน์จากทุนนิยม ”
       
       ล่าสุดในการให้สัมภาษณ์ 'มติชนสุดสัปดาห์' ฉบับวันที่ 16-22 เม.ย.2553 ธนาธรเปิดตัวชัดเจนว่าเขาสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง โดยไม่ได้แสดงท่าทีกังขากับวิธีการถ่อยสถุลที่ไม่ต่างจากอันพาลและพฤติกรรมเผาบ้านเผาเมืองของผู้ชุมนุมกลุ่มนี้แต่อย่างใด อีกทั้งยังสนับสนุนแนวคิดโค่น 'อำมาตย์' ด้วยเห็นว่าเป็นตัวการที่ทำให้ระบบทุนนิยมของไทยไม่สามารถก้าวต่อไปได้
       
       “ ผมทำธุรกิจหลายหมื่นล้าน วันนี้ผมก็เป็นไพร่ คำว่าไพร่และอำมาตย์ วันนี้มันกลับมามีความหมายอีกครั้งทำไมเราถึงต้องสนับสนุนเสื้อแดง ผมคิดว่าดูที่ข้อเสนอคำว่าไพร่กับอำมาตย์ มันเป็นคีย์เวิร์ด อะไรคือความหมายของคำว่าอำมาตย์ ผมคิดว่าความหมายของอำมาตย์ มันไม่ใช่ข้าราชการอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ผมคิดว่าถ้าจะนิยามให้ถูกว่าอำมาตย์ในภาวะปัจจุบันคืออะไร ผมคิดว่าคือคนที่มีอำนาจ และไม่ถูกตรวจสอบ คนที่มีอำนาจ และไม่มีกลไก check and balance และในสังคมประชาธิปไตย อำนาจมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ณ วันนี้คนกลุ่มหนึ่งในสังคมไทย มีอำนาจและปราศจากความรับผิดชอบใด ๆ มีคนที่มีอำนาจและไม่ถูกตรวจสอบ ปัญหาคือ ถ้าเสื้อแดงกลับมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ จัดวางระบบสังคมใหม่ เอาอำมาตย์ เอาทหารออกไป ผมคิดว่าคนกลุ่มนี้ไม่ยอม” ธนาธรให้สัมภาษณ์กับมติชนสุดสัปดาห์
       
       ทั้งนี้ หากพิเคราะห์จากตัวตนและแนวคิดของธนาธรตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาแล้ว คำว่า 'โค่นอำมาตย์' ในความหมายของเขาคงไม่ใช่แค่การโค่นล้มประธานองคมนตรี เช่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่น่าจะหมายถึงผู้ที่อยู่ในฐานะสูงกว่านั้น เพราะบทความแต่บทแต่ละตอนของ 'ฟ้าเดียวกัน' นั้นล้วนพุ่งโจมตีต่อสถาบันกษัตริย์โดยตรง
       
       แม้แต่ในหมู่เพื่อนๆต่างรู้กันดีว่า ธนาธรมีมุมมองที่เป็นลบต่อสถาบันสูงสุดของไทยมานานแล้ว
       
       'กิตติยศ ไผ่เรือง' เพื่อนนิสิตซึ่งเรียนปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่นเดียวกับธนาธร พูดถึงไพร่หมื่นล้านคนนี้ว่า
       
       “ เอกเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ค่อยฟังใคร คิดว่าความคิดของตัวเองถูกต้องที่สุด และด้วยความที่เป็นคนเรียนเก่ง ไหวพริบดี อ่านหนังสือเยอะ แต่บางครั้งพอไปอ่านเจอตำราเรื่องราวบางอย่างที่ตัวเองเชื่อ เช่น ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส รัสเซีย ซึ่งมีการโค่นล้มระบอบกษัตริย์ ก็เลยคิดว่ามันใช่นะ เขามองว่าการค้าเสรีมันทำให้เศรษฐกิจดี ซึ่งเอกเขาเป็นนายทุนไง เขาจะมองในแง่นี้อยู่แล้วว่าอะไรที่ทำให้ระบบทุนนิยมขับเคลื่อนได้ช้าก็เป็นสิ่งไม่ไม่ดี เขามองว่าระบอบกษัตริย์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนได้ช้า คือพวกฝ่ายซ้ายบางคนไม่ได้ต่อต้านกษัตริย์โดยตรงนะแต่เขามีความเชื่อบางอย่างเกี่ยวกับการทำธุรกิจหรือแนวความคิดแบบทุนนิยม ซึ่งอาจจะมองว่าเห็นแก่ตัวก็ได้ ”
       
       กล่าวได้ว่า ธนาธรนั้นก็ไม่ต่างจาก 'ซ้ายอกหัก' อีกหลายคน ที่นอกจากไม่เคยลุกขึ้นมาต่อต้านการคอร์รัปชั่นซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดช่องว่างทางชนชั้นในสังคมแล้ว เขายังยินดีร่วมมือกับทุนสามานย์แห่งระบอบทักษิณที่เหิมเกริมจนถึงขั้นต้องการสถาปนารัฐไทยใหม่ ด้วยจุดมุ่งหมายเพียงประการเดียว นั่นคือ 'ผลประโยชน์' ของตนเองและพวกพ้อง
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 เมษายน 2553, 11:01:58
โปรดใช้วิจารณญาณ ในการอ่าน เท็จจริง เร็ววันคงได้รู้

เพื่อนส่งมาบอกว่า

วันนี้ได้คุยกับเพื่อนเรื่อง งาน บังเอิญคุยเรื่องการเมืองกันแถมท้าย เพื่อนเล่าให้ฟังว่า นายแพทย์ที่เป็นเพื่อนกับแม่เขาเป็นทีมรักษามะเร็งให้ทักษิณอยู่ ข่าวลือต่างๆที่ออกสื่อนั้น เป็นเรื่องจริง

จริงๆแล้ว ผมก็ถามว่าทำไม่ไม่ไปรักษาต่างประเทศ เช่น อเมริกา เพื่อนบอกว่า ไป อเมริกาไม่ได้ ตามแพทย์เขาก็ ไม่มา จริงๆแล้ว แพทย์ไทยเก่งสุดๆอยู่แล้ว เป็นรองก็ อเมริกาเท่านั้น

เพื่อนก็เล่าต่ออีกว่า ที่ทักษิณมา เขมรก็เพราะ จะมารักษาตัวไปตามแพทย์ให้มารักษาง่ายและเร็วหน่อย เท่านั้น

จริงๆ ก็น่าจะอาการดีขึ้นแล้วแล้ว เพราะ รักษาด้วย ฟังแร่กัมมันตภาพรังสี นั้นคือ เรเดี่ยม แต่พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรีคงจะมีจริง เพื่อนก็บอกเช่นนั้น เหมือนกัน ปรากฏว่า เรเดี่ยม แตก ซึมเข้ากระเสโลหิต นายแพทย์ ก็งงว่า โอกาศเกิด หนึ่งใน ล้าน ซวยซ้ำซวยซ้อน คนที่รักษา ได้มีเพียง ที่อเมริกาเท่านั้น ครับ แต่ไปไม่ได้ ต้องใช้เครื่องมือ ที่ไม่มีในไทยและประเทศอื่นๆ แพทย์ เลยลงความเห็นว่า ไม่น่าเกิน หกเดือน ก็เลยเป็นข่าวออกมา

พวก แกนนำเสื้อแดง รู้แล้ว ตอนนี้เลย ถ่วงเวลา ดูดเงิน ทักษิณต่อไป กรรม จริงๆ จะตายอยู่แล้วยังจะมาแก้แค้นอีก คงจะบ้าไปแล้วจริงๆ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 26 เมษายน 2553, 19:10:41
ถ้าเป็นอย่างที่พี่ตะวันได้ข่าวมา
ก็น่าจะทำให้เหตุการณ์วุ่นวายตามท้องถนนในช่วงนี้
จะกลับคืนสู่สภาพปรกติในเร็ววัน
ใช่มั๊ยครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 27 เมษายน 2553, 15:08:44
(http://img227.imageshack.us/img227/315/birdinusa.jpg)

คนไทยในสหรัฐฯ แอลเอ - นิวยอร์ค
ต้านคอนเสิร์ต เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตรย์
22 พฤษภาคม 2010 แสดงที่แอลเอ
31 พฤษภาคม 2010 แสดงที่นิวยอร์ค
ตั๋วราคาก็แพง อ้างรายได้ส่วนหนึ่ง ถวายเป็นพระราชกุศล (เพียง10%)
ข่าวลือกันว่า เบิร์ดเคยเอาน้ำดื่มไปแจกพวกเสื้อแดง
แกรมมี่-อากู๋ สนับสนุนทักษิณมาตลอด
ตั๋วขายไม่ออกเลย พธม. มีมากกว่า ส่วนเสื้อแดงในเมกามีน้อยมาก


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 27 เมษายน 2553, 18:54:44
(http://img91.imageshack.us/img91/5035/24832384051852917555552.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤษภาคม 2553, 10:36:08
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนทรยศและหลอกลวง !??
 

โดย คำนูณ สิทธิสมาน 5 พฤษภาคม 2553 15:11 น. ผู้จัดการออนไลน์
 
 
 
ถ้าเราคาดหวังจากนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไว้สูง หรืออยากให้ท่านเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น ไม่ใช่เป็นในสิ่งที่ท่านเป็น การตัดสินใจยื่นข้อเสนอแผนปรองดองแห่งชาติของท่านเมื่อคืนวันที่ 3 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่พวกเรา....
       
        ถูกหลอก !
       
        ถูกทรยศ !!
       
        แค่ชื่อแผนก็บอกเล่าได้มากแล้ว ท่านเลือกใช้คำว่า “ปรองดอง” แทนที่จะใช้คำว่า “ปฏิรูป” หรือ “ปฏิรูปประเทศ” ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับสมานฉันท์ สามัคคี เป็นกลาง ฯลฯ เฉพาะคำก็ฟังดูดีไม่น่าจะมีอะไรผิด แต่ถ้าพิจารณาจากบริบทของเหตุการณ์ปัจจุบันมันก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่พวกเราจะต้องตั้งคำถามกำลับไปว่า ท่านต้องการให้เกิดความปรองดองระหว่างความถูกกับความผิดหรือ ? ท่านต้องการให้เกิดความปรองดองระหว่างพวกเราที่ต้องการรักษาราชอาณาจักรไทยไว้โดยการปฏิรูปใหญ่กับขบวนการสถาปนารัฐไทยใหม่โดยจุดชนวนสงครามประชาชนหรือ ?
       
        จริงอยู่ ท่านมีกรอบ 5 กรอบมาตั้งเป็นธงนำก่อนจะพูดเรื่องกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ 14 พฤศจิกายน 2553 แต่พูดก็พูดเถอะ ทั้ง 5 กรอบนี้มีน้ำเสียงที่ “ปร่าแปร่ง” อยู่ไม่น้อย
       
        และผมเชื่อเกิน 100 ว่าในวันที่ประกาศท่านยังคงไม่ตกผลึกว่าจะเริ่มนับ 1 ให้เป็นรูปธรรมอย่างไร
       
        ไม่ต้องพูดว่าจะทำให้มันมั่นคงอย่างไรก่อนวันเลือกตั้งใหม่
       
        ผู้คนหลายกลุ่มหลายเหล่ารวมทั้งผมที่เสนอเรื่องปฏิรูปประเทศ ต้องการให้รัฐบาลใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาสในการแก้ปัญหาที่รากฐาน และให้เป็นองค์รวมของข้อเสนอทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่กว่าและก้าวหน้ากว่าข้อเสนอแบบมีวาระซ่อนเร้นของคนเสื้อแดง การปฏิรูปประเทศที่ว่านี้ขอเพียงให้รัฐบาลเปิดเวทีให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม โดยมีวิธีการตั้งแต่ตั้งขั้นต่ำ ๆ ก็ตั้งกรรมการอิสระตามนโยบายข้อ 1.1.3 ของรัฐบาลเอง ไปจนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 1 ประเด็นเปิดให้มีหมวดพิเศษว่าด้วยการปฏิรูปประเทศเพื่อเป็นหลักประกันการเดินหน้าต่อเนื่อง การปฏิรูปประเทศที่ว่านี้จะไม่ผูกติดอยู่กับการแก้ปัญหาการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย การก่อการร้ายที่แฝงเข้ามา และการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน เราเชื่อว่าข้อเสนอทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่กว่าและก้าวหน้ากว่าที่จะต้องเดินหน้าเป็นรูปธรรมทันทีนี้จะตอกย้ำชัยชนะทางการเมืองของรัฐบาลและสังคมไทยเหนือแกนนำคนเสื้อแดงที่เห็นชัดแล้วหลังกรณีบุกโรงพยาบาลจุฬาฯให้มีน้ำหนักขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
       
        เมื่อชนะทางการเมืองแล้ว การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการชุมนุมจะง่ายขึ้นมาก
       
        และไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการนองเลือด !
       
        เราเสนอให้รัฐบาลประกาศแผนปฏิรูปประเทศ ไม่ใช่ประกาศวันเลือกตั้งใหม่
       
        ความปรองดองจะเกิดขึ้นตามมาภายใต้กระบวนการปฏิรูปประเทศตามแผน และการเลือกตั้งใหม่จะเกิดตามมาเอง
       
        เราเสนอ 2 ด้านที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในด้านการแก้ปัญหาการชุมนุม ก็ไม่ไปขีดเส้นให้รัฐบาลว่าต้องทำให้จบภายในวันวันนั้นวันนี้ จะอีกกี่วันกี่สัปดาห์สุดแท้แต่ความเหมาะสมและผลึกของสถานการณ์ที่จะตกตะกอนเอง เช่นเดียวกับที่เราไม่ปฏิเสธการเลือกตั้งใหม่ซึ่งเป็นเรื่องการเมืองของนักการเมือง ขอเพียงแต่อย่าไปกำหนดล่วงหน้า
       
        เราบอกแล้วว่าการตกลงเรื่องวันเลือกตั้งใหม่ว่าจะทันทีหรือจะ 9 เดือน 6 เดือน 1 เดือน รัฐบาลแพ้ทั้งนั้น
       
        ไม่ใช่แพ้เลือกตั้ง แต่แพ้ทางการเมือง !
       
        วันนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแปรสภาพเป็นรัฐบาลสุรยุทธ จุลานนท์ 2 ไปแล้ว ตรงที่ยังไม่ทันทำอะไรก็กำหนดวันเลือกตั้ง
       
        ประกาศชื่อแผนออกมาก็แพ้ทางการเมืองไปขั้นหนึ่งแล้ว เพราะแสดงว่าคุณไม่ได้จะสู้ แต่จะปรองดอง พอกรอบ 5 กรอบตามออกมาด้วยสภาวะไร้รูปธรรมและยังไม่เกิดขึ้นทันทีแถมยังปร่าแปร่งอีกต่างหาก มันก็แพ้ขั้นที่สอง สุดท้ายพอระบุวันเลือกตั้งออกมาชัดเจนพร้อมกันก็คือแพ้ขั้นที่สาม
       
        ทุกฝ่ายไม่ได้พูดถึง 5 กรอบ แต่พูดกันเฉพาะเรื่องเลือกตั้ง !
       
        ความปร่าแปร่งของ 5 กรอบนี้หลายคนอาจไม่สังเกตเห็น ผมขออนุญาตชี้ประเด็นโดยสังเขปนะ
       
        กรอบ 1 เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ท่านพูดคลุม ๆ แต่ก็มีนัยให้คนคิดได้ว่าไม่ต้องการให้ทุกฝ่ายนำประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตรริย์เข้ามาเป็นส่วนในข้อต่อสู้ทางการเมือง หมายถึงดำเนินคดีกับกลุ่มผู้จาบจ้วงน่ะแน่นอน ไม่สงสัย แต่ฝ่ายพิทักษ์ปกป้องนี่ในความเห็นลึก ๆ ของท่านนายกฯก็ควรให้หยุดพูดด้วยหรือเปล่า
       
        กรอบ 3 เรื่องการปฏิรูปสื่อ นอกจากโทรทัศน์และวิทยุชุมชนฝ่ายเสื้อแดงที่หยุดไปแล้ว ท่านจะเอายังไง ? ASTV อยู่ในข่ายต้องปรับตัวด้วยใช่ไหม ? เรื่องนี้ไม่ว่ากัน แต่กรณีช่อง NBT ของรัฐเองล่ะ รายการของอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อาจารย์เสรี วงษ์มณฑา แทนคุณ จิตต์อิสระ สันติสุข มะโรงศรี และ ฯลฯ ต้องถูกถอดหรือลดเวลาลงด้วยหรือเปล่า ก็นี่จะ “ปรองดอง” กันแล้วนี่
       
        กรอบ 5 เรื่องการเมืองของนักการเมือง ท่านคิดจะนิรโทษกรรมให้นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีเพราะโดนยุบพรรคทั้งกลุ่ม 111 และกลุ่ม 109 ด้วยใช่ไหม เพื่อตามใจพรรคร่วมรัฐบาล
       
        ไม่ต้องพูดถึงกรอบ 2 การปฏิรูปประเทศและกรอบ 4 การตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ยังไร้รูปธรรม
       
        ท่านนายกฯเสียโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตไปแล้ว !
       
        ตรงทาง 2 แพร่ง ระหว่างทางไปสู่ความเป็นรัฐบุรุษ กับทางไปสู่ความเป็นนักการเมืองดาด ๆ อีกคนหนึ่ง เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา ท่านประกาศแล้วว่าเลือกทางหลัง !!
       
        เพลวันนั้น ผมอภิปรายว่าท่านนายกฯจะเดินแหกกรอบ “การเมืองที่ล้มเหลว” ตามที่ท่านประกาศไว้เมื่อแรกรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2551 ได้มีอยู่หนทางเดียว คือใช้กุญแจวิเศษดอกที่ชื่อพลังศรัทธาของพี่น้องประชาชน ที่จะเกิดขึ้นจากแนวทางที่ถูกต้องในการปฏิรูปประเทศประกาศออกมาจากปากและท่าทีท่วงทำนองที่อุดมไปด้วยเสน่ห์สาธารณะของท่าน
       
        ท่านนั่งฟังอยู่อย่างตั้งใจ แต่ปรากฏการณ์หลังจากนั้นทำให้ผมเชื่อว่าท่านฟังแต่ไม่ได้ยิน
       
        เพราะพิสูจน์แล้วว่าท่านใช้กุญแจสนิมเขรอะดอกเดิม
       
        จากนี้ไปเราจะเห็นวิถีทางเดิม ๆ ของนักการเมืองที่ชาญฉลาดในการเลือกตั้ง ย้ายผู้ว่าฯย้ายนายอำเภอ ย้ายตำรวจ ย้ายข้าราชการ จัดงบประมาณลงพื้นที่ ที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้ง ทั้งอำนาจรัฐ และอำนาจเงิน ที่คิดว่าจะเอาชนะพรรคเพื่อไทยให้ได้มากที่สุด เราจะเห็นพรรคประชาธิปัตย์ต้องเป็นเบี้ยล่างนายเนวิน ชิดชอบ นายบรรหาร ศิลปอาชา และนายอะไรต่อมิอะไร มากขึ้น
       
        เราถูกหลอกและถูกทรยศจากนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหรือไม่ ขึ้นอยู่กับจริตและมุมมองของแต่ละท่าน ไม่ว่ากัน
       
       แต่ในประเด็นนี้เราทำอะไรไม่ได้....นอกจาก....
       
       เลิกหลอกตัวเองว่านายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากสิ่งที่ท่านเป็นมาเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น !
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤษภาคม 2553, 11:20:49
มาร์คเอ๋ยมาร์ค
รายงานข่าวโดย: ณ กาฬ 06 พฤษภาคม 2553 เวลา 05:59 น.postoday online


แผนปรองดองแห่งชาติ เหมือนจะทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถูกขนาบด้วยแรงบีบทั้งสองด้าน

ด้านแรก-แดง ยังไม่ถอยทัพ พร้อมกับได้ทีกระโดดขี่คอสั่งการให้อภิสิทธิ์ไปคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล ไปคุยในพรรคประชาธิปัตย์ถึงแผนสันติภาพที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนพฤศจิกายนเสียก่อน แล้วค่อยมาเจรจากับแดง

นอกจากนั้น แดงยังสำทับอีก ต้องการให้อภิสิทธิ์ กำหนดให้ชัด จะยุบสภาฯวันไหน ถึงจะตัดสินใจสั่งถอย

ใครได้เปรียบ-เสียเปรียบ ก็ดูเองแล้วกัน

ส่วนแรงบีบอีกด้าน มาจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการยุบสภาฯ

กลุ่มเหล่านี้เคยอยู่ข้างอภิสิทธิ์ และให้กำลังใจอภิสิทธิ์

แต่วันนี้ ไม่ใช่เสียแล้ว

เพราะกลุ่มดังกล่าวรับไม่ได้กับการตัดสินใจที่เหมือนกับการยุบสภาฯเอาหน้ารอดของอภิสิทธิ์

เหตุผลเนื่องจากความรู้สึกของคนในชาติถูกปลุกเร้าอย่างรุนแรงด้วยข้อมูลของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน --ศอฉ. ในประเด็นขบวนการล้มเจ้าที่เกี่ยวพันกับแกนนำแดงเป็นโขยง

สำหรับคนไทย ความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ ต้องทำทุกอย่างให้เด็ดขาด รู้ดำ-รู้แดง ใครผิดก็ต้องว่าผิด ถูกก็ต้องว่าถูก ไม่มีคำว่าปรองดองอย่างเด็ดขาด

ทว่าลีลาการปรองดองของอภิสิทธิ์ นั้น กำลังทำราวกับว่าจะโน้มตัวลงไปจูบปากกับแกนนำแดง

แค่คิดก็เสียวซ่านสะท้านทรวง

อย่าลืมแกนนำหลายคนถูกเอาปูนแดงป้ายหัวอยู่ในขบวนการล้มเจ้า

คนจำนวนมากจึงไม่เห็นด้วยกับแผนปรองดองของอภิสิทธิ์ และมองเห็นว่า แม้จะยุบสภาฯปัญหาก็ไม่จบ

พ่อรูปหล่อ จะหลอกลวง ทุรยศ รักที่ให้แล้วฤา ?

และงานนี้ถ้าทำไม่ดี ปฏิกริยาย้อนกลับอาจเกิดขึ้นได้ทันที ทำนอง อภิสิทธิ์ กับ ขุนทหารไล่ตั้งแต่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เอาสถาบันหลักมาเล่นการเมืองในคดีล้มเจ้าหรือเปล่า ???

เพราะเคยชี้หน้าแกนนำแดง อยู่ในข่ายล้มเจ้า แต่จู่ๆ ก็จะมาจับมือถือแขนร้องรำทำเพลง พลอดรักปรองดองกันดื้อๆ

อภิสิทธิ์เอ๋ยอภิสิทธิ์ ...



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: เจตน์ ที่ 06 พฤษภาคม 2553, 16:08:39
เสียดายภาษีที่จ่าย...

เสียดายเงินบำรุงพรรคการเมือง...

เสียดายความรู้สึก...



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 กรกฎาคม 2553, 12:25:09
วันที่ 02 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 22:39:39 น.   มติชนออนไลน์

รัฐบาล ไม่ให้ราคา"อัมสเตอร์ดัม"ตีปี๊บแค่ให้คุ้มค่าจ้าง .

สภาสหรัฐหนุนแผนปรองดองรัฐบาล


สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ว่าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ มีมติเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ด้วยเสียงท่วมท้นสนับสนุนแผนการแก้ไขวิกฤตการเมืองของไทย 411 ต่อ 4 เสียง สนับสนุนให้ไทยแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองด้วยสันติวิธีและตามแนวทางประชาธิปไตย นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรคของไทยหันมาปรองดองกันตามแผนปรองดองแห่ง ชาติ 5 ข้อ ที่นำเสนอโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี


ทั้งนี้ ตามข้อเสนอของนายเอนี ฟาเลโอมาวาเอกา สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการเอเชียแปซิฟิกฯ คณะกรรมาธิการต่างประเทศ ที่แสดงความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในไทย ระบุว่า จากการที่เกิดเหตุความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นในไทยจนนำไปสู่สถานการณ์ปัญหา ทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดในไทยนับตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา นำไปสู่วิกฤตที่อาจส่งผลกระทบด้านลบต่อทั้งชาวไทย เศรษฐกิจและสังคมของไทย ในฐานะที่สหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับประเทศไทยและเป็นมิตรกับ ไทยมานานตั้งแต่ปี 2376 เมื่อสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างกันขึ้นอย่างเป็นทางการ และความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐยังคงแข็งแกร่งจนถึงปัจจุบัน

  
ทางสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จึงมีความเห็น 2 ข้อต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ข้อแรก ขอให้ทุกพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในไทย ยุติการใช้ความรุนแรงและให้คำมั่นว่าจะแก้ปัญหาการเมืองด้วยสันติวิธี ตามแนวทางประชาธิปไตย ข้อ 2 พรรคการเมืองทุกพรรคควรจะร่วมมือกันเพื่อหาทางยุติความแตกต่าง โดยใช้หลักการตามแนวทางของแผนปรองดองแห่งชาติ 5 ข้อ ที่เสนอโดยนายกฯที่ให้เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์, ทำการปฏิรูปการเมือง และแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม


บัวแก้วคุยเป็นผลงานป้อนข้อมูล


น.ส.วิมล คิดชอบ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ข้อมติของสภาผู้แทนฯสหรัฐซึ่งนำเสนอโดยนายฟาเลโอมาวาเอกา มีสาระสำคัญสนับสนุนให้ทุกฝ่ายในวิกฤตการเมืองไทยปฏิเสธการใช้ความรุนแรงและ แก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีตามกระบวนการประชาธิปไตย และแก้ไขความแตกต่างบนพื้นฐานของแผนปรองดองของนายกรัฐมนตรี  ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ได้ประสานพูดคุยและให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกสภาผู้แทนฯสหรัฐมาตลอด

 

 

ทั้งนี้ ข้อมติดังกล่าวสะท้อนถึงมิตรภาพระหว่างสองประเทศ และแสดงให้เห็นว่าสหรัฐมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในไทย ระหว่างการพิจารณาข้อมติดังกล่าวสมาชิกสภาผู้แทนฯสหรัฐยังได้กล่าวสนับสนุน การดำเนินงานของรัฐบาลไทยในการพยายามเยียวยาข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม ประท้วง  พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นต่อการดำเนินการตามแผนปรองดอง รวมทั้งเห็นว่าไทยมีสถานะเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของสหรัฐ ดังนั้น สหรัฐจึงควรสนับสนุนการปรองดองในไทย

 
ปชป.คุยข่ม-ชี้ "นพดล" ล็อบบี้เหลว


 นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ติดตามการเดินสายเคลื่อนไหวในต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ใช้ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศไทย และทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของประเทศ โดยประสานผ่านเครือข่ายในและต่างประเทศ และบริษัท ล็อบบี้ยิสต์ โดยในส่วนของรัฐสภาสหรัฐมีการประสานงานของเครือข่ายต่างประเทศ ซึ่งเชื่อมโยงกับบริษัทล็อบบี้ยิสต์ชั้นนำในสหรัฐ เพื่อหวังเปลี่ยนแปลงการเตรียมยื่นญัตติเพื่อลงมติของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ มีการเตรียมการก่อนนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปถึง และในระหว่างเดินทางนายนพดลพยายามที่จะพบกับสมาชิกของรัฐสภาด้านต่างประเทศ เพื่อหวังจะเปลี่ยนแปลงประเด็นที่ทางรัฐสภาเตรียมที่จะออกแถลงการณ์ในลักษณะ สนับสนุนแนวทางการดูแลรักษาความสงบ และกระบวนการปรองดองของรัฐบาล แต่ความพยายามไม่สัมฤทธิผลเพราะรัฐสภาของสหรัฐได้ลงมติเป็นแถลงการณ์ด้วย คะแนนเป็นเอกฉันท์ 411 ต่อ 4 เสียง สนับสนุนแนวทางของรัฐบาลใน 5 สาระหลัก ไม่ใช่สนับสนุนเฉพาะกรอบการปรองดองเหมือนอย่างที่นายนพดลบอก

 
ดักคอเดินสายล็อบบี้"อียู"ต่อ

 
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า พรรครับทราบว่าได้มีการเตรียมการที่จะดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับทาง รัฐสภาของสหภาพยุโรป โดยนายนพดลเตรียมเดินทางไปที่กรุงบรัสเซลส์ เพื่อที่ล็อบบี้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดในประเทศไทย พรรคเห็นว่าความร่วมมือของประเทศต่างๆ ถือว่าเป็นสาระสำคัญในการติดตามกระบวนการที่เชื่อมโยงกันกับการก่อความ วุ่นวายที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ในต่างประเทศ และเชื่อว่ากระบวนการที่พยายามดึงเอาองค์กรระหว่างประเทศ หรือประเทศอื่นๆ เข้ามากดดันหรือแทรกแซงการเมืองภายในประเทศนั้นจะไม่สัมฤทธิผล และยืนยันว่ารัฐบาลไทยพร้อมที่จะชี้แจงตามข้อเท็จจริงและให้ความร่วมมือกับ ทุกมิตรประเทศในการที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับเหตุการณ์ความขัด แย้งในการเมืองภายในประเทศ แม้จะมีเครือข่ายที่พยายามสร้างความเข้าใจในลักษณะอื่น ตามการว่าจ้างของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถือเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักในยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศในขณะนี้
  
เชื่อ"อัมสเตอดัมส์"จงใจดิสเครดิต


ส่วนกรณีนายโรเบิร์ต อัมสเตอดัมส์ ทนายความชาวสหรัฐอเมริกาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เรียกร้องให้ใช้กฎหมายระหว่างประเทศรวมถึงดึงองค์กรระหว่างประเทศมาตรวจสอบ เหตุการณ์การชุมนุมเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น

 

นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า  ถือว่าไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย โดยมีเจตนาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศ พรรคเห็นว่าความพยายามที่จะแทรกแซงดังกล่าวซ้ำซ้อนกันกับในส่วนแกนนำ นปช.ที่ทุกคนก็มีทีมทนายความชาวไทย และสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายทุกประการ ทั้งการประกันตัว การเตรียมสำนวนเพื่อต่อสู้ในชั้นศาลและยืนยันว่าทุกคนยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตามมาตรฐานสากล

 

ทั้งนี้ นายอัมสเตอดัมส์ที่จะหยิบเรื่องเหล่านี้มานั้น เพื่อสร้างความเข้าใจผิดจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่นการส่งจดหมายถึงนางพีเลย์ ในฐานะข้าหลวงของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งๆ ที่ผ่านมานางพีเลย์ได้เคยเขียนแถลงการณ์แสดงความเข้าใจต่อการใช้อาวุธดูแล ความสงบในสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ จึงถือว่าการส่งจดหมายดังกล่าวไปเป็นความพยายามสร้างความเข้าใจผิดอย่างต่อ เนื่องผ่านการขับเคลื่อนของเครือข่ายระหว่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ผ่านทั้งบริษัทล็อบบี้ยิสต์และทนายความและนายนพดลด้วย


"สุเทพ"ร่วมตีปี๊บ"น่าชื่นชมยินดี"

  
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าฝ่ายต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศน่าจะชื่นชมยินดี หลังเห็นลู่ทางในการทำให้เหตุการณ์ต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดี ประชาชนมีความรักและปรองดองกัน สมมุติถ้าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดในประเทศอื่น หากคนไทยได้ยินข่าวคงจะรู้สึกพอใจและยินดีไปด้วย ไม่มีใครที่สติดีจะคิดร้ายต่อประเทศอื่น โดยส่วนตัวคิดว่ากลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับโรดแมปมีไม่มาก แต่มีคนกลุ่มหนึ่งไม่ต้องการให้การปรองดองสำเร็จ เพราะถ้าคนรักใคร่ปรองดองและสามัคคีกัน กลุ่มของตนจะเสียประโยชน์ คนพวกนี้หาประโยชน์จากความแตกแยกและความบาดหมางของคนในชาติ คนกลุ่มนี้เป็นคนเล็กน้อยเพียงหยิบมือเดียว ดังนั้น คนไทยในฐานะเจ้าของประเทศก็ต้องออกมาแสดงพลัง


"อัมสเตอร์ดัม" แค่ทำงานคุ้มค่าจ้าง


นายสุเทพกล่าวถึงจดหมายเปิดผนึกของนายอัมสเตอร์ดัมว่า ยังไม่เห็นจดหมาย เรื่องที่นายอัมสเตอร์ดัมมาเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูล ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอยืนยันว่ารัฐบาลจะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โปร่งใส และมีหน้าที่รายงานต่อคนไทยในฐานะเจ้าของประเทศว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร นายกฯจึงตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงฯ ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ขึ้นมาสอบสวน

 

"รัฐบาลไม่มีหน้าที่ต้องไปรายงานนายอัมสเตอร์ดัม ผมไม่มีหน้าที่ต้องชี้แจงนายอัมสเตอร์ดัม เพราะเขาเป็นลูกจ้างของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ผู้มีหน้าที่มาสั่งการอะไรกับผมหรือรัฐบาลไทย ไม่ว่าจะขอในนามใครก็แล้วแต่ "นายสุเทพกล่าว


ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่านายอัมสเตอร์ดัมคาดหวังจะเอาคำตอบจากรัฐบาลจริง หรือต้องการประจานรัฐบาลไทยเท่านั้น นายสุเทพกล่าวสวนทันควันว่า "เขาทำงานแลกกับเงิน เขาทำงานรับใช้ ดร.ทักษิณ เขาก็ทำไปตามนั้น ส่วนผมมีหน้าที่รับผิดชอบต่อประชาชนคนไทย ต่อประเทศไทย ส่วนที่มีการขู่จะฟ้องศาลโลกนั้น ไม่มีอะไรต้องกังวล พวกนี้ก็สร้างภาพไปเรื่อย ตีปี๊บไปเรื่อย ทำให้คุ้มค่าเงินที่เขาว่าจ้าง"
 
 
แฉที่แท้ใช้ล็อบบี้ยิสต์ "บีจีอาร์"

 
นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า การที่นายนพดลอ้างว่าไปพบ ส.ว.สหรัฐ 3-4 คน เท่าที่ทราบมาคือไม่ได้พบ และการเดินทางไปสหรัฐก็เป็นความพยายามใช้ล็อบบี้ยิสต์ในการนำเสนอข่าว ทราบว่าบริษัทล็อบบี้ยิสต์ที่ใช้ไม่ได้มีชื่อตามที่สื่อมวลชนไทยนำเสนอ แต่มีชื่อย่อว่าบีจีอาร์ ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่อดีตคนในรัฐบาลก่อนๆ เคยใช้



นายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ ออกแถลงการณ์ เรื่อง จดหมายเปิดผนึกของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมว่า สภาทนายความเห็นว่าการกระทำของนายโรเบิร์ต เกินกว่าหน้าที่ของทนายความที่ถือปฏิบัติกันโดยทั่วไป ทั้งในระดับสากลและโดยเฉพาะในประเทศไทย

 
"มาร์ค" ชูประชาคมโลกเข้าใจไทย


 
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีสภาคองเกรสของสหรัฐมีมติสนับสนุนแผนปรองดองของรัฐบาลไทยว่า เป็นการยืนยันสิ่งที่เคยย้ำและเชื่อมั่นว่ารัฐบาลและองค์กรต่างๆ ของต่างประเทศมีความเข้าใจที่ดีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมองเห็นว่าแนวทางที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่จะเป็นแนวทางที่มีโอกาสใน การแก้ไขปัญหาได้ แต่อาจจะมีองค์กรบางส่วนที่ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติม แต่ส่วนใหญ่ของภาครัฐของประเทศต่างๆ จะมีความเข้าใจที่ดี


 "การเคลื่อนไหวของทนายทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศที่เคลื่อนไหวให้ กับคุณทักษิณ ก็คงเคลื่อนไหวต่อไป ไปห้ามการเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ผมคิดว่าสิ่งที่สภาสหรัฐมีมติออกมาก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ความจริงแล้วความเข้าใจพื้นฐานของประชาคมโลกก็เป็นไปในทางบวก" นายอภิสิทธิ์กล่าว


 
"อัมสเตอดัม"บิดเบือนข้อมูล


 
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการให้ข้อมูลนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่มีขอเข้ามาทั้งจากคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการ ปรองดองแห่งชาติ ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน และจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นายอภิสิทธิ์ย้อนถามว่า "เขาขอใคร"  เมื่อผู้สื่อข่าว ระบุว่าขอข้อมูลจาก ศอฉ. นายอภิสิทธิ์จึงกล่าวว่า ให้ทาง ศอฉ.พิจารณา แต่ต้องย้ำอีกครั้งว่าบุคคลนี้ก็เป็นลูกจ้างและมีวัตถุประสงค์ชัดเจน อีกทั้งก็เคยเข้ามายังประเทศไทยโดยเลือกที่จะรับทราบและไม่รับทราบข้อมูล บางอย่าง หรือเลือกเผยแพร่เฉพาะข้อมูลบางอย่าง


  "นายอัมสเตอร์ดัมมีวัตถุประสงค์ชัดเจน เคยเข้ามาประเทศและเลือกที่จะไม่รับทราบข้อมูลบางอย่างหรือเผยแพร่ข้อมูล บางอย่าง เช่น มาประเทศไทยและเห็นว่าการชุมนุมมีความชัดเจนว่ามีอาวุธ ก็ยังออกไปพูดยังต่างประเทศว่าตลอดเวลาการชุมนุมไม่มีคนที่ติดอาวุธเลย เป็นต้น ดังนั้น น้ำหนักจึงค่อนข้างน้อย และทำให้เห็นว่าข้อมูลหากเราส่งไปก็อาจจะถูกบิดเบือน แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับทาง ศอฉ." นายอภิสิทธิ์กล่าว

  
หยันรับจ้างเขามาก็ต้องทำตามนั้น

 
เมื่อถามว่า แต่นายอัมสเตอร์ดัมอ้างสนธิสัญญาระหว่างประเทศเพื่อขอข้อมูล นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงไม่ผูกพันกับนายอัมสเตอร์ดัม เป็นเรื่องระหว่างรัฐกับรัฐ ซึ่งต้องยอมรับว่าเขาต้องพยายามเข้ามาแทรกแซง ต้องดิ้นรนเพราะรับเงินมาทำงานด้านนี้แล้ว วันนี้ไม่ทราบว่านายอัมสเตอร์ดัมเขาอ้างกฎหมายระหว่างประเทศในฐานะอะไร มีองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบหลายองค์กร เป็นผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในลักษณะนี้เข้ามา ซึ่งทั่วไปก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แม้แต่คนที่สนใจมาดูการทำงานของนายคณิตมีหลายองค์กรที่ติดต่อมาก็เป็นความ ร่วมมือกันด้วยดี ไม่มีปัญหา แต่กรณีของนายอัมสเตอร์ดัมแล้วเห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเจตนาในเรื่องที่จะมา ช่วยเหลืออะไร นอกจากการทำงานให้กับนายจ้างเท่านั้น ซึ่งประวัติเขาก็เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะเดินทางไปยังสหภาพยุโรปเช่นกัน ก็เป็นเรื่องของคนที่เขามีหน้าที่ได้รับจ้างมาให้ทำอะไรเขาก็ต้องทำตามนั้น


  ผู้สื่อข่าวถามว่า จะสามารถดำเนินการกับบุคคลเหล่านี้ได้หรือไม่ เพราะการดำเนินการส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าหากมีการไปทำอะไรที่เกินเลยเข้าขั้นผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นการกระทำผิดขั้นไหน เป็นการบิดเบือนข้อมูล การพูดความจริงครึ่งเดียว ทุกคนก็ต้องช่วยกันดูและควรจะให้ความเชื่อถือให้พื้นที่กับคนเหล่านี้มากแค่ ไหน อย่างกรณีของนายอัมสเตอร์ดัมเขาก็มีวิธีการที่ใช้มาหลายกรณีแล้ว ที่เคยทำคดีต่างๆ มาเขาจะมีเครือข่าย มีทรัพยากรมากพอสมควร ทำให้ค่าจ้างก็สูงพอสมควร เมื่อถามว่า สมควรที่จะให้เข้าประเทศไทยอีกต่อไปหรือไม่   นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยู่ที่ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่


กษิตซัดมีแต่ฝรั่งเลวแกล้งไม่เข้าใจ


นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 35 ปี ไทย-จีนของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ให้สัมภาษณ์หลังหารือกับนายหยาง เจี๋ยฉือ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนว่า จีนเห็นว่าแผนปรองดองของไทยเป็นฐานสำคัญที่จะทำให้เดินหน้าไปได้ จึงเน้นให้ทราบว่าไทยทำสองอย่างพร้อมกันคือการเดินหน้าในกระบวนการปรองดอง ควบคู่ไปกับกระบวนการยุติธรรม จีนยังสอบถามถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย และได้ชี้แจงไปว่ายังคงมีอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นอย่างในอดีต เพียงแต่พยายามเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ให้ดูครึกโครม จับใจคน ฝรั่งไม่กี่คนก็ชอบ เพราะมันขายข่าวได้


ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายนพดล ปัทมะ เดินทางไปสหรัฐเพื่อชี้แจงมุมมองของกลุ่มเสื้อแดงเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการ เมืองของไทย     นายกษิตกล่าวว่า คงไม่ทำอะไรแล้วเพราะได้ทำไปหมดแล้ว ทั้งเขียนจดหมายถึงฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ และอธิบายต่อนายเคิร์ท แคมเบลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ และเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ที่ได้พบหลายครั้ง


�ัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย แต่มีกลุ่มการเมืองที่อยากล้มรัฐบาลนี้ สังคมนี้ และสถาบันนี้ด้วยวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หากฝรั่งมังค่าใดที่ไม่เข้าใจแล้วไปให้ท้าย ไอ้ฝรั่งคนนั้นมันก็เป็นคนเลว เป็นคนที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยแต่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตย โกหกพกลม หรือเหยียบเรือสองแคมเพื่อเก็บไว้ใช้ในอนาคต แต่รัฐบาลนี้ไม่ยอมให้ใครเข้ามาครอบงำ�นายกษิตกล่าว

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 กรกฎาคม 2553, 22:05:52
  You don't find this in CNN report.
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l4zljj-4eb5c6.jpg)

 


Mission complete! UDD, Red shirts protesters steal clothes from department

stores. Protesters cause a riot and set a fire to department stores after leaders
decided to surrender in Rachaprasong.
Bangkok / May 19th 2010
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l4zlln-e8fd28.jpg)
 



A man broke into a bank and looking for things for steal. UDD, Red shirts
protester's site in Ding Deng.
Bangkok / May 18th 2010   
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l4zlmu-dd1d9e.jpg)



A boy broke into a bank and looking for things for steal. UDD, Red shirts
protester's site in Ding Deng.
Bangkok / May 18th 2010   
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l4zlo3-26dceb.jpg)



UDD, Red shirts protesters throw ping pong bombs during crackdown by
government troops in Rachaprasong.
Bangkok / May 19th 2010   
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l4zlox-7b35b2.jpg)


UDD, Red shirts protesters prepare ping pong bombs during crackdown by
government troops in Rachaprasong.
Bangkok / May 19th 2010   
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l4zlps-6d15fe.jpg)



UDD, Red shirts protesters cause a riot and set a fire to department stores
after leaders decided to surrender in Rachaprasong.
Bangkok / May 19th 2010   
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l4zlqq-3696d5.jpg)



UDD, Red shirts protester throw a bomb. Protester cause a riot and set a fire
to department stores after leaders decided to surrender in Rachaprasong.
Bangkok / May 19th 2010   
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l4zlt7-ac5917.jpg)


UDD, Red shirts protesters cause a riot and set a fire to department stores
after leaders decided to surrender in Rachaprasong.
Bangkok / May 19th 2010   
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l4zlu5-d71e6b.jpg)


UDD, Red shirts protesters try to steal clothes from department store.
Protesters cause a riot and set a fire to department stores after leaders
decided to surrender in Rachaprasong.
Bangkok / May 19th 2010   
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l4zlv9-2ca40e.jpg)


UDD, Red shirts protesters stole a cash box from department store.
Protesters cause a riot and set a fire to department stores after leaders
decided to surrender in Rachaprasong.
Bangkok / May 19th 2010
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l4zlw1-3efc14.jpg)
 

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 กรกฎาคม 2553, 09:27:14
วันที่ 05 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 05:09:09 น.   มติชนออนไลน์

เปิดปมเงื่อน 2รัฐมนตรีบิ๊กเนม ถอนเงินสดๆ จากแบงก์40ล้าน ไฉน! แจ้งป.ป.ช. มีทรัพย์สินแค่จิ๊บจ๊อย

     

     กรณีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีคำสั่งห้ามทำธุรกรรมทางการเงินนักการเมือง 2 คนจากทั้งหมด 152 ราย  คือนาย สันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการการกระทรวงพาณิชย์ เนื่องจากพบว่ามีความเคลื่อนไหวทางการเงินผิดปกติ

      นายสันติ พร้อมพัฒน์ และ นายไชยา สะสมทรัพย์ ต่างปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นท่อน้ำเลี้ยงสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง

     นายสันติ กล่าวภายหลังเข้าชี้แจงธุรกรรมการเงินต้องสงสัยต่อพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เมื่อวันที่ 1  กรกฎาคม สรุปว่าได้ถอนเงินสดออกมาเก็บไว้กับตัว เพราะรัฐบาลจะทำอะไรก็ได้ จึงต้องมีเงินสดสำรองไว้ที่บ้าน จึงเบิกถอนเงินออกจากธนาคารครั้งละ 1-2 ล้านบาท ประมาณ 3-4 ครั้ง มั่นใจว่าสามารถชี้แจงครบถ้วน แต่พนักงานสอบสวนยังติดใจสงสัยในบัญชีเงินเดือน ส.ส. ซึ่งตนจะรวบรวมหลักฐานส่งเข้าชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร 

     ขณะ ที่นายไชยากล่าวว่า มาขอรับประเด็นคำถามเพื่อชี้แจงประเด็นที่พนักงานสอบสวนต้องการทราบในวันที่ 22 กรกฎาคมนี้ อาทิ เรื่องการเบิกถอนเงิน 20  ล้านบาทไม่ใช่เบิกถอนภายในวัน เดียวแต่เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน ที่เบิกมาจัดงานวันเกิดและบริจาคสร้างโรงพยาบาล ซื้อคอมพิวเตอร์ให้โรงเรียน ซึ่งมีใบอนุโมทนาบัตรแต่ต้องใช้เวลาในการจัดเตรียมเอกสารและสอบถามไปยัง ธนาคารถึงรายละเอียดค่าใช้จ่าย เพราะไม่มีใครจำได้ว่าเมื่อ 9 เดือนที่ผ่านมาใช้จ่ายเงินไปอย่างไร

 

      จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐาน ทางที่เชื่อมโยงได้ว่าการทำธุรกรรมทางการเงินของบุคคลทั้งสองเกี่ยวข้องกับ ท่อน้ำเลี้ยงขกลุ่มคนเสื้อแดง

 

      กระนั้นถ้าดูบัญชีแสดงรายการ ทรัพย์สินและหนี้สินที่ทั้งสองคนยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  จะพบข้อมูลที่น่าสนใจ

     

     นายสันติ ตอนพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ครบ 1 ปี วันที่ 25 กันยายน 2552 แจ้ง ป.ป.ช.มีทรัพย์สิน 7,331,278 บาท ในจำนวนเป็นเงินฝาก 2 บัญชี  1,451,278 บาท  หนี้สิน 9,277 บาท  ส่วนนางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 14,077,391 บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินฝาก 3  บัญชี 4,943,066 บาท หนี้สิน 220,979 บาท

     ก่อนหน้านี้ ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.วันที่ 22 มกราคม 2551 นายสันติแจ้งต่อ ป.ป.ช.มีทรัพย์สิน 7,583,115 บาท    หนี้สิน 121,504,765  บาท  มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 113,921,650  บาท  ในจำนวนนี้แจ้งว่ามีเงินฝากธนาคารเพียง 603,115 บาท ไม่มีคู่สมรส (แจ้งว่าหย่า นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ อดีตภรรยา)

       ตอน รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยุครัฐบาล วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 7 ล้านบาทเศษ หนี้สิน 121.6 ล้านบาท มีเงินฝาก 2 บัญชีเพียง 114,079  บาท  (แจ้งว่าหย่า-นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์อดีตภรรยา)

       แสดงว่าขณะยื่นบัญชีฯต่อ ป.ป.ช.แต่ละครั้ง นายสันติมีเงินฝากเพียง  1 แสนบาทเศษ , 6 แสนบาทเศษ และ 1.4 ล้านบาทเศษตามลำดับ

       

      ขณะที่นายไชยาตอนพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ครบ 1 ปี วันที่ 25 กันยายน 2552  ระบุมีเงินฝาก 5 บัญชีรวม 3,226,644 บาท จากทรัพย์สิน 5,711,901 บาท นางจุไรภรรยามีเงินฝาก 9 บัญชีรวม  4,553,410 บาท จากทรัพย์สินรวม 75,209,410 บาท  นาง จุไรมีหนี้สิน 1,511,530 บาท

      ก่อนหน้านี้ตอนพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุขครบ 1 ปี วันที่ 7 มีนาคม 2552 ระบุ มีเงินฝาก 6 บัญชี  1,086,730 บาท  ไม่ มีหนี้สิน นางจุไรมีเงินฝาก 9 บัญชี 4,878,895 บาท จากทรัพย์สิน 76,034,895 บาท หนี้สิน 2,043,396 บาท

      แสดงว่าขณะยื่นบัญชีฯต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.แต่ละครั้งนายไชยามีเงินฝาก  1 ล้านบาท และ 3.2 ล้าน บาทตามลำดับ

     

      และถ้าย้อนไปดูคำสั่ง "แช่แข็ง" ทางการเงินต่อบุคคลทั้งสองคนจะพบว่า

      กรณีนายสันติ มีข้อมูลระบุว่าดีเอสไอได้ตรวจสอบพบว่าในช่วงเดือนกันยายน 2552 –พฤษภาคม 2553 มีการโอนเงินเข้าใน บัญชีธนาคารของนายสันติประมาณ 21.5 ล้านบาท และถอนเงินออกจากบัญชีภายใน  9  วัน

       กรณีนายไชยา ในช่วงเวลาเดียวกัน มีการทำธุรกรรมกับสถาบันการเงิน โดยมียอดเงินหมุนเวียนประมาณ  40 ล้านบาท (ฝากประมาณ 18  ล้านบาท ถอนประมาณ  19 ล้านบาท) ซึ่งมีการฝากถอนเงินเกือบทุกวัน

     

        ในการยื่นบัญชีฯต่อ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2552 (ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับ ที่ ดีเอสไอตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงิน) นายสันติแจ้งว่ามีรายได้ "เงินเดือน" ส.ส.จากเดือนมกราคม-ตุลาคม 2552 จำนวน 1,076,954 บาท  ส่วน นางวันเพ็ญมีรายได้ ในช่วงเดียวกัน 1,251,960 บาท

        ไม่มีรายได้อื่น

        ขณะที่นายไชยาในการยื่นบัญชีฯ เดือนมีนาคม 2552 แจ้งว่ามีรายได้เงินเดือนจากเอกชน 2,400,000 บาท

       

        เงื่อนปมที่น่าสนใจก็คือ นายสันติแจ้ง ป.ป.ช.ว่ามีรายได้จากเงินเดือน ส.ส. ประมาณเดือนละ 1 แสนบาท  ไม่มีธุรกิจอื่น กลับมีเงินโอนเข้าในบัญชีเงินฝาก 21.5  ล้านบาท

        ขณะที่นายไชยา แจ้ง ป.ป.ช.ว่ามีเงินลงทุนเพียงไม่กี่แสนบาท  มีรายได้ เงินเดือนจากเอกชน 2.4 ล้านบาท  แต่ บัญชีเงินฝากธนาคารมีกระแสเงินหมุนเวียนมากถึง 40 ล้าน บาท

 

        นอกจากถูกดีเอสไอตรวจสอบความเชื่อมโยงกับท่อน้ำ เลี้ยงแดงหรือไม่แล้ว

        อีกด้านหนึ่งอาจถูกตั้ง คำถามด้วยว่า ยื่นบัญชีฯต่อ ป.ป.ช.  ครบถ้วนหรือไม่?
[/color]

               ..............


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กรกฎาคม 2553, 19:27:07
วันที่ 05 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 17:20:30 น.   มติชนออนไลน์

วิเคราะห์ปัญหาเรื่องสัญชาติ กรณีการขอตัว "พ.ต.ท.ทักษิณ"เป็นผู้ร้ายข้ามแดน

โดย ... วิชัย ศรีรัตน์ ศูนย์กฎหมายสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช




ดู เหมือนว่าปัญหา "สัญชาติ" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นประเด็นปัญหากฎหมายที่ "ชี้เป็นชี้ตาย" ในเรื่องว่าจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณมาดำเนินคดีอาญาหรือไม่

บทความนี้ผู้เขียนต้องการแสดง ให้เห็นว่าเรากำลังหลงประเด็น สามเรื่องใหญ่ๆ

หนึ่ง การเข้าใจว่าการที่ พ.ต.ท.ไม่มีสัญชาติไทยแล้วทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจพิจารณาคดี

สอง การเข้าใจว่า "ประเด็นสัญชาติ" เป็นประเด็นหลักในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งจริงๆ มิใช่ทั้งหมด

สาม เข้าใจว่าถ้าไม่มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ถูกไต่สวนความผิด

และไม่ต้องรับผิดใดๆ "ถ้า" เขาทำผิด

ความเสียหายเกิดในไทย : ทักษิณจะมีสัญชาติไทยหรือไม่-ไม่ใช่ปัญหา

ประเทศไทยมีอธิปไตยทางศาล มาร้อยกว่าปี การที่บุคคลหนึ่ง (ไม่ว่าจะสัญชาติใดๆ) กระทำความผิดในดินแดนไทย หรือทำความผิดต่อประเทศไทย ศาลไทยย่อมมีอำนาจในการพิพากษาลงโทษต่อบุคคลนั้น

ถ้าเราไปพิจารณา เงื่อนไขสัญชาติก่อน กล่าวคือ ให้ศาลของรัฐผู้ที่บุคคลนั้นมีสัญชาติพิจารณาความผิด (ที่ทำลงในประเทศไทย) เท่ากับว่าเราถอยหลังไปใช้หลักสิทธิสภาพนอกอาณาเขตซึ่งไม่มีประเทศไหนใช้ หลักนี้แล้ว

กรณีเช่น คดี ป เป็ด ยืนยันได้เป็นอย่างดี ป เป็ด ซึ่งเป็นคนสัญชาติไทยแต่ทำความผิดในอเมริกา ถือว่ารัฐอเมริกันเสียหาย ศาลอเมริกาย่อมมีอำนาจพิจารณาลงโทษ ป เป็ด โดยไม่ต้องคำนึงว่า ป เป็ด มีกี่สัญชาติ

ดังนั้น ในกรณีนี้ การที่เรากลับไปพิจารณาว่าบุคคลนั้นมีสัญชาติไทย หรือเสียสัญชาติไทย หรือมีกี่สัญชาติ จึง "ผิดประเด็น และไม่มีประโยชน์ใดๆ"

แต่ประเด็น ที่ควรพิจารณาอยู่ที่ว่า (1) ประเทศไทย (รัฐ หรือบุคคล) ได้รับความเสียหายหรือไม่ หรือ (2) ความผิดนั้นกระทำลงในแผ่นดินไทยหรือไม่ หรือ (3) เป็นความผิดสากลหรือไม่

ดังนั้น ถ้าเข้าอย่างหนึ่งอย่างใดในสามข้อข้างต้น ศาลไทยมีอำนาจพิจารณาคดี "ส่วนทักษิณจะมีกี่สัญชาติ ไม่ใช่ปัญหา"

ประเด็นจึงมีเพียงว่า จะนำตัวมาขึ้นศาลได้อย่างไร เพราะเขาอยู่ในอธิปไตยของอีกประเทศ เราจะบุกไปจับตัวมาขึ้นศาลไทยไม่ได้ เมื่อไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน จะให้มอนเตเนโกรส่งตัวให้เฉยๆ ก็ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นศักดิ์ศรีของรัฐที่จะไม่ทำคำบงการของรัฐอื่น

ดังนั้น ทางปฏิบัติจึงมีหลักถ้อยที่ถ้อยอาศัย "เราจะส่งให้ท่าน ถ้าท่านจะส่งให้เรา" (ซึ่งปัจจุบันหลักนี้ได้แปลงมาเป็นข้อสัญญาหมดแล้ว)

สัญชาติ มอนเตเนโกรหรือไม่ : ปัญหาของการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

คดีนี้ อัยการคงไม่ต้องเสียเวลากับการหาข้อมูลเพื่อพิสูจน์สัญชาติไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่น่าจะใช้เวลาในการหาข้อมูลว่าทักษิณ "มีสัญชาติมอนเตเนโกรหรือไม่" เนื่องจากรัฐธรรมนูญมอนเตเนโกร มาตรา 12 บัญญัติว่า

"พลเมืองมอนเตเนโกร (Montenegrin citizen) จะไม่ถูกขับไล่ออกนอกประเทศหรือถูกส่งตัวฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศใด เว้นแต่จะเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ"

ประเด็นนี้ต่างจากการ พิจารณาเรื่อง "การมีหรือเสียสัญชาติไทย" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเป็นประเด็นกฎหมายเรื่อง "การส่งผู้ร้ายข้ามแดน" (ไม่ใช่ประเด็นอำนาจศาลไทยในการพิจารณาคดีอาญา)

นั่นก็คือ รัฐบาลไทยต้องต่อสู้ให้ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ "ไม่ได้เป็นพลเมืองมอนเตเนโกร" ดังนั้น สิ่งที่อัยการไทยต้องทำคือ พิสูจน์สัญชาติมอนเตเนโกรของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะถ้ารัฐบาลไทยพิสูจน์ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีสัญชาติมอนเตเนโกร เขาก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ

นั่นคือ มอนเตเนโกรสามารถที่จะส่งตัวให้รัฐอื่นได้ เนื่องจากเขาไม่เป็นพลเมือง (ส่วนข้ออ้างไม่ส่งเนื่องจากสาเหตุด้านสิทธิมนุษยชนก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง)

สัญชาติ มอนเตเนโกร : บนความคลุมเครือ

สัญชาติมอนเตเนโกรของทักษิณ มีความคลุมเครืออยู่พอสมควร ทั้งในแง่ข้อเท็จจริงและแง่กฎหมาย

ใน เรื่องข้อเท็จ ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปใด ว่าทักษิณได้สัญชาติมอนเตเนโกรหรือยัง เพราะมีเพียงคำอ้างของรัฐมนตรีว่าการการต่างประเทศมอนเตเนโกรออกมาชี้แจง ผ่านสื่อว่าทักษิณเป็นพลเมืองของมอนเตเนโกร ซึ่งเป็นแต่เพียงข้อมูลจาก "แหล่งข่าว"

ซึ่งเราจะได้ข้อสรุปข้อเท็จจริงก็ต่อเมื่อรัฐบาลมอนเตเน โกรได้ทำจดหมายแจ้งอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลไทยหรือองค์การตำรวจสากลว่าจะ ไม่ส่งตัวให้ เนื่องจากทักษิณเป็น "พลเมือง" และการส่งพลเมืองขัดรัฐธรรมนูญมอนเตเนโกร (จนถึงวันที่เขียนบทความนี้ ผู้เขียนไม่ทราบว่ากระทรวงการต่างประเทศได้รับการปฏิเสธหรือยัง)

ใน เรื่องข้อกฎหมาย จากการพิจารณากฎหมายสัญชาติมอนเตเนโกร พบว่ายังมีความคลางแคลงใจในประเด็นนี้ กล่าวคือ ตาม "รัฐบัญญัติแห่งมอนเตเนโกรว่าด้วยสัญชาติ" ค.ศ.1999 (montenegro Citizenship Law, Decree No. 01-1982/2) มาตรา 2 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการได้สัญชาติมอนเตเนโกรไว้ 4 กรณี คือ

(1) โดยสายเลือด (พ่อหรือแม่เป็นคนมอนเต)

หรือ (2) โดยการเกิดในดินแดนของมอนเตเนโกร

หรือ (3) โดยการจดทะเบียน (โดยการขอสัญชาติ)

หรือ (4) โดยสนธิสัญญาพันธไมตรี

จะเห็นได้ ว่าข้ออื่นๆ คงไม่เข้าเงื่อนไขกรณีสัญชาติมอนเตเนโกรของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ข้อที่น่าพิจารณาคือ ข้อ (3) อย่างไรก็ตาม ตามมาตรา 9 รัฐบัญญัติฉบับนี้เองได้ตั้งเงื่อนไขด้านระยะเวลาในกรณีการได้สัญชาติโดยการ จดทะเบียน ซึ่งมีสาระสำคัญว่า

"การได้สัญชาติโดยการจดทะเบียนนั้น บุคคลนั้นจะต้องมีอายุกว่า 18 ปี และพำนักอยู่ในดินแดนมอนเตเนโกรไม่น้อยกว่า 10 ปี ก่อนการขอจดทะเบียน (have rosiding in the Republic of Montenegro not earlier than 10 years prior to applying for citizenship)"

ประเด็นที่สงสัยคือว่า "ทักษิณได้พำนักในมอนเตเนโกรมาครบ 10 ปีแล้วหรือไม่ และมีหลักฐานการขอจดทะเบียนเมื่อใด"

นอกจากนั้น ปัญหาอาจมีว่าทางปฏิบัติมีการให้สัญชาติเฉพาะกรณีแก่บุคคลที่ทำคุณประโยชน์ อย่างยิ่งต่อประเทศ หรือให้เป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ ยังมีความคลุมเครือทางกฎหมายว่า พลเมืองเหล่านี้ถือว่ามีสัญชาติและได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเช่น เดียวกับการได้มาตามมาตรา 2 หรือไม่

ซึ่งเรื่องนี้คงต้องเป็นการบ้าน ของอัยการฝ่ายไทยในการหาข้อมูลพิสูจน์

สัญญาผู้ร้ายข้ามแดน?

: ทางออกถ้า พ.ต.ท.ทักษิณมีสัญชาติมอนเตเนโกร

แม้ว่ารัฐธรรมนูญมอนเต เนโกรมีข้อยกเว้นให้ส่งพลเมืองฐานะผู้ร้ายข้ามแดนได้ภายใต้พันธกรณีระหว่าง ประเทศ ดังนั้น ถ้าประเทศไทยทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับมอนเตเนโกร ก็สามารถขอให้มอนเตเนโกรส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนได้

ซึ่ง ผู้เขียนมีความเห็นว่าไม่น่าเข้าข่ายการใช้กฎหมายอาญาย้อนหลัง ซึ่งเป็นหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะความผิดนั้นได้กระทำลง ขณะที่กฎหมายได้บัญญัติไว้แจ้งชัดว่าเป็นความผิด

แต่การทำสัญญาส่ง ผู้ร้ายข้ามแดนหาใช่ทางออกกรณีนี้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณสามารถคัดค้านการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษย ชน

(นั่นคือ ข้ออ้างว่าคดีมีเหตุจูงใจทางการเมือง เสี่ยงต่อการถูกทรมาน และสภาพเรือนจำที่เลวร้าย และเสี่ยงต่อโทษประหารชีวิต)

ความเป็นไปได้ : พิจารณาในศาลมอนเตเนโกร

ผู้เขียนเห็นว่าข้อสรุปนี้ "มีความเป็นไปได้มากที่สุด" ด้วยเหตุผลทางกฎหมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัญชาติ หรือเรื่องสิทธิมนุษยชน

คำถามก็คือว่า คดีนี้ศาลมอนเตเนโกรมีอำนาจพิจารณาคดีก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือ ไม่

คำตอบก็คือ ขึ้นอยู่กับกฎหมายมอนเตเนโกรเรื่องอำนาจศาลเหนือคดีอาญา (Montenegro Criminal Code) และความผิดนั้นต้องเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาของมอนเตเนโกรด้วย หรือที่เรียกว่ามีฐานความผิดเหมือนกัน

ซึ่งเท่าที่ผู้เขียนได้ตรวจ สอบ Montenegro Criminal Code มีความสอดคล้องกับประมวลกฎหมายอาญาของไทยหลายประการ ไม่ว่าหลักเรื่องอำนาจศาล เหนือดินแดน เหนือตัวบุคคล หรือเหนือความผิดสากล (มาตรา 134-136) หลักในเรื่องเจตนา และองค์ประกอบความผิด ที่สำคัญคือ "การยุยง ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิด" (มาตรา 24-25) เป็นความผิดเช่นเดียวกันกับกฎหมายไทย

แต่ที่แตกต่างกันชัดเจนคือ

หนึ่ง อัตราโทษ โทษร้ายแรงสูงสุดในคดีอาญา คือ จำคุกไม่เกิน 30 ปี (ของไทย ความผิดฐานก่อการร้าย ประหารชีวิต)

สอง ความผิดฐานก่อการร้ายไม่มีในประมวลกฎหมายของมอนเตเนโกร แต่ความผิดที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่กฎหมายไทยเรียกว่า "การก่อการร้าย" บัญญัติอยู่ในมาตราต่างๆ เช่น ฐาน การก่อภยันตรายต่อสาธารณะ โดยการวางเพลิง ฯลฯ หรือความผิดฐานฆ่า หรือทำร้ายร่างกาย

(ข้อแตกต่างทางกฎหมายคือ ไม่ต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อข่มขู่รัฐบาล ผลคือ คดีง่ายขึ้น แต่ไทยต้องเปลี่ยนข้อหาเป็นความผิดพื้นฐาน)

ประเด็นสุดท้าย

เมื่อ ดูเหตุผลที่ยกมาแล้วจะเห็นได้ว่ามิใช่เรื่องง่ายในการที่จะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นบุคคลที่รัฐบาลเชื่อว่าต้องรับผิดชอบในคดีอาญามาพิสูจน์ความ บริสุทธิ์ และลงโทษในกรณีที่เขากระทำผิด

และถ้านำเหตุผลทั้งหมดมา ผนวกกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณจ้าง GJ Alexander Knoops ซึ่งใครๆ บอกว่าจ้างมาเพื่อฟ้องรัฐบาลไทยฐานละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ตาม แต่ถ้าเราได้รู้ว่า Knoops ผู้นี้คือผู้เชี่ยวชาญฝ่าย "จำเลย" ในคดีอาญาระหว่างประเทศ (หนังสือสร้างชื่อของ Knoops คือ Defenses in Contemporary International Criminal Law พิมพ์โดย Martinus Nishoff สำนักพิมพ์ตำรากฎหมายระหว่างประเทศที่ดีที่สุด) ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า ทักษิณเตรียมตัวเป็น "จำเลย" ในศาลมอนเตเนโกรเป็นอย่างดี

นี่คงเป็น คำตอบว่า ทำไมทักษิณเลือกมีสัญชาติมอนเตเนโกร พ.ต.ท.ทักษิณมองเกมได้อย่างทะลุปรุโปร่งและทำการบ้านดี

งาน นี้ "ลากยาว"


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 กรกฎาคม 2553, 10:16:05
เบื้องหลังครม.เลิกพรก.ฉุกเฉิน5จังหวัด
ประเด็น:เสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ , เสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ , 06 กรกฎาคม 2553 เวลา 22:22 น.
การก่อตัวของคนเสื้อ แดงเมื่อเดือนเม.ย.ปี 52 และยุติลงได้ ก็ทิ้งช่วงเป็นปีถึงมารวมตัวเคลื่อนไหว แต่สำหรับสถานการณ์ขณะนี้ เมื่อเหตุการณ์ยุติลงแล้ว ก็จะมารวมตัวกันใหม่และจะเร็วกว่าเดิม

โดย ทีมข่าวการเมืองposttoday online

แม้ผลการประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน( ศอฉ.) จะมีมติให้คงประกาศ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉินต่อไปอีก 3 เดือนใน 24 จังหวัด แต่เมื่อมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วานนี้ ปรากฎว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แหกมติศอฉ. เล็กน้อย ด้วยการขอให้ยกเลิก พรก.ฉุกเฉินใน 5 จังหวัด

เบื้องหลังการหารือในที่ประชุม ครม. เป็นไปความตึงเครียดและนานกว่าหนึ่งชั่วโมง โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงในฐานะผอ.ศอฉ. เปิดฉาก หยิบเอกสารริมแดงของศอฉ. รายงานซึ่งศอฉ.ได้อธิบายสถานการณ์ทั่วไป บทวิเคราะห์  เหตุผลและความจำเป็นในการคงพรก.ฉุกเฉิน 

อย่างไรก็ตามเอกสารศอฉ. มีการแนบข้อเสนอหน่วยงานความมั่นคงหน่วยงานหนึ่ง เห็นควรยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน ใน 4 จังหวัด แต่เมื่อศอฉ.ประชุมแล้วมีมติให้คงพรก.ฉุกเฉินต่อไปทั้ง 24 จังหวัด

นาย สุเทพ กล่าวต่อที่ประชุมว่า  มีหลักฐานค่อนข้าง ชัดเจนมีกลุ่มคนที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลต่อไป มวลชนกลุ่มนี้รู้สึกว่าพ่ายแพ้หลังจากเจ้าหน้าที่รัฐเข้ากระชับพื้นที่การ ชุมนุม พร้อมออกมาก่อการได้ทุกเมื่อ กรณีดังกล่าวสร้างความกังวลต่อฝ่ายรัฐบาลมาก

“ปฏิกิริยาของกลุ่มคนดังกล่าว รู้สึกถึงความพ่ายแพ้  เกลียดชัง ไม่ยอมแพ้รัฐบาล พร้อมก่อการ ขณะเดียวกันมีสถานการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆโดยตลอด นี่คือเหตุผลต้องคงพรก.ฉุกเฉิน 24 จังหวัด ต่อไปอีก 3 เดือน ” นายสุเทพ กล่าว



นายสุเทพ รายงานต่อไปว่า  มวลชนเหล่านี้พร้อมลุกฮือ โดยสื่อเป็นปัจจัยสำคัญ "อีก 1-2 สัปดาห์ คนเสื้อแดงเตรียมเปิดทีวีดาวเทียม เอเชียอัพเดต  เราก็จะเห็นคนหน้าเดิมปรากฎบนจอ โทรทัศน์อีก"

ทั้งนี้ รายงานศอฉ.ระบุว่า ศอฉ.เข้าใจแรงกดดันรัฐบาลเป็นอย่างดี แต่ขณะเดียวกัน คนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นด้วยให้คงประกาศพรก.ฉุกเฉิน

นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า  หากจำกันได้ การก่อตัวของคนเสื้อ แดงเมื่อเดือนเม.ย.ปี 52 และยุติลงได้ ก็ทิ้งช่วงเป็นปีถึงมารวมตัวเคลื่อนไหว แต่สำหรับสถานการณ์ขณะนี้ เมื่อเหตุการณ์ยุติลงแล้ว ก็จะมารวมตัวกันใหม่และจะเร็วกว่าเดิมไม่ใช่ปีชนปีเหมือนคราวก่อนแน่นอน

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเองฟังทุกความเห็น แม้แต่ทีมแพทย์ก็รับฟังว่าควรหรือไม่ควรยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน จึงอยากฟังความเห็นครม.ด้วย

นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย กล่าวว่า หากยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน ก็อาจเป็นความสงบเพียงชั่วคราว เห็นด้วยให้คงพรก.ฉุกเฉิน  เพราะผู้ชุมนุมรู้สึกว่า สูญเสีย ตอนนี้กระทรวงมหาดไทยกำลังให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเช็คข้อมูลแต่ละพื้นที่มี ใครร่วมชุมนุมบ้าง จากนั้นทางราชการจะส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ทำความเข้าใจ แก้ไขเยียวยา  ขณะที่นายกรณ์ จติกวณิช รมว.คลัง ตั้งข้อสังเกตว่าถ้ายืดเวลาออกไปอีก 3 เดือน รัฐบาลนจะถูกมองว่าซื้อเวลาหรือไม่

ถึงตอนนี้  นายสุเทพ กล่าวแทรกว่า  เหตุผลการคง พรก.ฉุกเฉินมีข้อดีหลายประการ  คือสามารถบูรณาการ เจ้าหน้าที่ทำงานร่วมกัน และ พรก.ฉุกเฉิน ได้สร้างขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ ในยามปฏิบัติงานไม่ถูกฟ้องร้อง    อย่างไรก็ตามนับแต่วันพรุ่งนี้( 7 ก.ค.) เป็นต้นไป จะเริ่มมีเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.เป็นวิทยากรออกไปปฏิบัติการมวลชนเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องในพื้นที่

ขณะที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ กล่าวว่าตนเองก็เห็นด้วยให้ขยายประกาศพรก.ฉุกเฉิน แต่สิ่งที่อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการคือทำความเข้าใจประชาชน เอาคนที่ต่างสีมาอยู่ร่วมกันเหมือนเช่น  เลยโมเดล ที่ตนเองจะลงพื้นที่สัปดาห์หน้า

ด้านนายอิสระ สมชัย รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวเห็นด้วยในการคงพรก. ฉุกเฉิน พร้อมเสนอว่า ระหว่างนี้รัฐบาลควรชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาที่ไปถึงการตัดท่อน้ำ เลี้ยงกลุ่มคนต่างๆให้ชัดเจน

"การทำความเข้าในพื้นที่สำคัญมาก  กรณีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยได้เยอะ เพราะคนเหล่านี้สามารถทำความเข้าใจประชาชนในพื้นที่ได้มาก ความรุนแรงจะลดลง อย่างตอนนี้ที่จ.อุบลบราชธานี  ผม ทราบว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ท่านยินดีจะให้ขึ้นแผ่นป้ายยืนคู่กับท่านนายกฯ แล้วก็ไม่ถูกทำลาย"นายอิสระ กล่าว

เมื่อครม.อภิปรายไปได้สักระยะ  นายกฯ กล่าวขึ้นมาว่า ตนเองเห็นด้วยกับการประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ในเมืองหลักโดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานการณ์รุนแรงเคยเกิดเหตุเผาศาลากลาง แต่ตนเองอยากให้ข้อคิดครม.ว่า  หน้าที่หลักของครม.คือฟื้นฟูเยียวยาให้กับพี่น้เองประชาชน   การฟื้นฟูดังกล่าวต้องร่วมมือกับบุคลากรท้องถิ่นมากขึ้น

“ผมไม่อยากให้ตัวเราเสพติดกับ พรก.ฉุกเฉิน ตัวอย่างเช่น พื้นที่ 3 จังหวัด ภาคใต้  ประกาศมา 4-5 ปี  ไม่รู้แล้วว่าจะหาทางออกอย่างไร  เหมือน คิดอะไรไม่ออกก็ประกาศพรก. ขณะเดียวกัน การประกาศพรก.ก็ทำให้กลุ่มต่อต้านใช้เป็นเงื่อนไขนำมากล่าวอ้างเคลื่อนไหว ได้  ผมขอเป็นเสียงส่วนน้อยในที่ประชุมแห่งนี้บ้าง  แต่อยากชี้แจงให้ครม.รับทราบ จากข้อมูลของผม มีหลายจังหวัดสถานการณ์ค่อนข้างคืนสู่ความสงบ  ผม เสนอว่า ควรยกเลิกไปก่อนในบางจังหวัด แต่ถ้ามีเหตุร้าย ก็สามารถประกาศใหม่ได้อีก และจะเป็นความชอบธรรมในการประกาศด้วย” นายกฯกล่าว

ในที่สุด ครม.เห็นชอบตามนายกฯ ให้ยกเลิก พรก. ฉุกเฉินโดยเปรียบเหมือนโครงการนำร่อง ใน  5  จังหวัด ประกอบด้วย จ.ศรีสะเกษ กาฬสินธุ์ น่าน นครสวรรค์ และนครปฐม 

อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอแนะจากนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ระบุว่า ก่อนหน้านี้การประกาศพรก.ฉุกเฉินแต่ละจังหวัดจะไม่ตรงกัน เช่นประกาศเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ,13 ส.ค., 16 ส.ค. และ 19 ส.ค. และถ้าจะประกาศยกเลิกจะมีผลกระทบถึงคำสั่ง ประกาศย่อยต่างๆด้วย  ทั้งนี้คุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฏีกา ชี้แจงว่า ในส่วนของ  5 จังหวัดก็สามารถประกาศยกเลิกได้เลย  ส่วน ประกาศพรก.ฉุกเฉิน ในวันที่ 7 ก.ค. ,13 ส.ค. และ 16 ส.ค. ให้ขยายต่อไปถึงวันที่ 19 ส.ค.และประกาศขยายเวลาออกไปอีก 3 เดือน นับจากวันที่ 19 ส.ค.                 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 กรกฎาคม 2553, 10:28:38
วันที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:37:08 น.   มติชนออนไลน์

เปิดชื่อ สมัชชา-กก.ปฏิรูปชุด "ประเวศ-อานันท์" 46คน มีทั้งสีเหลือง-แดง "นิธิ -เสกสรรค์-ชัยอนันต์"ร่วม

เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม  ศ.นพ.ประเวศ วะสี   ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปจำนวน 27 คน ประกอบด้วย  1. นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย  2. ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย  3. ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย  4. ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
5. ประธานสมาคมธนาคารไทย

 

6. เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ    7. นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์  ปลัดกระทรวงยุติธรรม  หนึ่งในกรรมการชุดดร.คณิต ณ นคร  8. นายชัยวัฒน์ ถิระพันธ์  นักวิชาการอิสระ  9. ผศ.ชิดชนก ราฮิมมูลา อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 

 

10. นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ  11. นายต่อพงษ์ เสลานนท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ  ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์มูลนิธิของคนตาบอดไทย  12. นางเตือนใจ ดีเทศน์  อดีตวุฒิสมาชิก   13. รศ.นิพนธ์ พัวพงศกร  ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย  14. นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์  ศิลปินแห่งชาติ  15. นางปรีดา คงแป้น  ผู้ประสานงาน เวทีขับเคลื่อนสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย   

 

16. นายปรีดา เตียสุวรรณ  ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ผู้บริจาคเงินให้พรรคการเมืองใหม่  17. นางเปรมฤดี ชามภูนท  นายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก 18. นายพลเดช ปิ่นประทีป กรรมการบริหาร องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.)และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สมัย รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ 19. นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม  อดีตรองนายกฯ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์

 

 20. นายมานิจ สุขสมจิตร  อดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ  21. นายรัชฏะ ศรีบุญรัตน์  ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย  22. นางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข  สภาพัฒนาการเมือง  และกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน   23.  นพ. วิชัย โชควิวัฒน รองประธานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)  24. นายสน รูปสูง  ปราชญ์ชาวบ้าน รองประธานสภาพัฒนาการเมือง 25. นายสมพร ใช้บางยาง อดีตอธิบดีกรมการปกครองท้องถิ่น 26. นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค  27. นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.)

 

 

วันเดียวกัน  นายอานันท์ ปันยารชุน  ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูป จำนวน 19 คน ประกอบด้วย  1. นายกฤษณพงษ์ กีรติกร  อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา  2. คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา  อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3. นายชัยอนันต์ สมุทรวณิช อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ   4. นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ  อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ 5. นายนิธิ เอียวศรีวงศ์   นักวิชาการอิสระ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์"มติชน"

 

6. นายบัณฑร อ่อนดำ ที่ปรึกษาสถาบันพัฒนาองค์กรประชาชน (พอช.)  7. นางปราณี ทินกร   อดีตคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์   8. นายพงศ์โพยม วาศภูติ  อดีตนายกสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย  9. นายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์   สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   10. พระไพศาล วิสาโล  พระนักกิจกรรม วัดป่าสุคะโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ 

 

11. นางรัชนี ธงไชย (แม่แอ๊ว) ครูใหญ่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก ภริยานายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  12. นพ. วิชัย โชควิวัฒน  ประธานมูลนิธิ 14 ตุลาคม กรรมการสมัชชาปฏิรูป ชุด นพ.ประเวศ วะสี   13. นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธ์  อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธานฝ่ายกฎหมายและสิทธิเสรีภาพมนุษยชน สภาคนพิการแห่งประเทศไทย 14. นายศรีศักร วัลลิโภดม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร 15. นายสมชัย ฤชุพันธุ์  กรรมการกฤษฎีกา อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

 

16. นางสมปอง เวียงจันทร์ แกนนำผู้ชุมนุมชาวปากมูลและตัวแทนคณะกรรมการชาวบ้านเพื่อฟื้นฟูชีวิตและ ชุมชนลุ่มน้ำมูล17. นางสาวสมสุข บุญญะบัญชา อดีตผู้อำนวยการ พอช.  18. นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล  อดีตผู้นำนักศึกษาสมัย 14 ตุลาคม 2516 และอดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 19. ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ อดีตผู้อำนวยการโครงการสร้างสรรค์และพัฒนาชุมชน สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
[/color]


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 กรกฎาคม 2553, 10:24:32
วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:51:39 น.   มติชนออนไลน์

"อธิบดีคุก"เคลียร์ปมร้อน ละเมิดสิทธิฯผู้ต้องขัง"นปช." โต้กก.สิทธิมนุษยชน ยันทำตามขั้นตอนกม.

.

หมายเหตุ - พ.อ.เฟื่องวิชช์ อนิรุธเทวา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ร่วมกันแถลงข่าวเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ที่กระทรวงยุติธรรม กรณีกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงผลการลงพื้นที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ที่มีการควบคุมตัวผู้ต้องขังกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่ง ชาติ (นปช.) ผู้กระทำผิดตาม พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ยังมีการปฏิบัติลักษณะละเมิดสิทธิมนุษยชน

1.ประเด็นข่าว
หนังสือพิมพ์หลายฉบับ ได้เสนอข่าวกรณี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงผลการลงพื้นที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ที่มีการควบคุมตัวผู้กระทำผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พบว่า ยังมีการปฏิบัติในลักษณะละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนี้
1.1 ผู้ถูกควบคุมตัว 28 ราย ไม่มีทนายความคอยให้คำแนะนำในการสู้คดี
1.2 บางรายไม่รู้ว่าถูกควบคุมตัวด้วยข้อหาอะไร
1.3 ไม่สามารถติดต่อกับครอบครัวที่อยู่ในต่างจังหวัดอะไร
1.4 ไม่ได้รับการรักษาพยาบาล


2. ข้อเท็จจริง
2.1 ข้อมูลผู้ต้องขัง
ปัจจุบันมีผู้ต้องขับ กลุ่ม นปช.ที่ถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จำนวนรวม 59 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ก.ค.53)
2.2 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้เดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และได้พบกับผู้ต้องขังกลุ่ม นปช.บางส่วน และได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนปรากฏเป็นประเด็นข่าวตามข้อ 1


3. การชี้แจงประเด็นข่าว
ประเด็น 1.1 ผู้ถูกควบคุมตัว 28 ราย ไม่มีทนายความคอยให้คำแนะนำในการสู้คดี
กรมราชทัณฑ์ไม่มีอำนาจหน้าที่ใน การจัดการหรือแต่งตั้งทนายความให้แก่ผู้ต้องหา หรือผู้ถูกควบคุมตัวที่มีความผิดตามพระราชกฤษฎีกาบริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือคดีอาญาใดๆ ได้ แต่หากผู้ต้องหาดังกล่าวได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในชั้นพิจารณาของศาลในคดีที่มี อัตราโทษจำคุก ศาลต้องถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ หากไม่มีศาลต้องถามความต้องการ และถ้าจำเลยต้องการทนายความ ศาลจะต้องตั้งทนายความให้เสมอ (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรค 2)


นอกจากการตั้งทนายความให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังกล่าวแล้ว กระทรวงยุติธรรมได้มีระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยกองทุนยุติธรรม พ.ศ.2549 ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนเงิน หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนในด้านกฎหมาย การฟ้องร้อง การดำเนินคดี หรือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นต้น ผู้ต้องหาหรือทายาทสามารถขอสนับสนุนเงินหรือค่าใช้จ่ายในการวางเงินประกัน การปล่อยตัวชั่วคราว หรือในการจ้างทนายความว่าความในคดีอาญา รวมถึงการสนับสนุนเงินหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนยุติธรรมได้อีกทางหนึ่ง


สำหรับกรณีนี้ จากการตรวจสอบทราบว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2553 มีทนายความ ชื่อ นายจีระศักดิ์ บุณณะ เลขหมายใบอนุญาตให้เป็นทนายความ 1672/2529 ได้มาติดต่อที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครพร้อมหนังสือลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2553 ขอคัดรายชื่อผู้ต้องขับในคดีดังกล่าวทั้งหมดที่ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษ กรุงเทพมหานครและเรือนจำกลางคลองเปรม โดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์ในการติดตามสอบข้อเท็จจริง และลงนามในใบแต่งทนายความ ซึ่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้ดำเนินการให้ตามความประสงค์แล้วส่วนจะไป เป็นทนายความให้กับทุกคนหรือไม่นั้น กรมราชทัณฑ์ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการเข้าไปตรวจสอบ

ประเด็น 1.2 บางรายไม่รู้ว่าถูกควบคุมตัวด้วยข้อหาอะไร


การถูกจับกุมตัวผู้ต้องหาในการกระทำความผิดทางอาญา เจ้าพนักงานผู้จับกุม จะต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับกุมทราบในโอกาสแรก พร้อมทั้งจะต้องแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาหรือผู้ถูกจับกุมให้ทราบด้วย ซึ่งเป็นเป็นไปตามมาตรา 7/1 และมาตรา 83 ประกอบกับมาตรา 2 (16) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กล่าวคือ เมื่อพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ถูกจับกุมหรือผู้ต้องหาแล้ว จะเป็นสิทธิของผู้ถูกจับกุมจะรับหรือปฏิเสธ และสามารถแต่งตั้งทนายความ หรือผู้ที่ตนเองไว้วางใจ เข้าร่วมรับฟังการสอบสวนได้ เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้น พนักงานสอบสวนก็จะให้ผู้ถูกจับกุม ลงลายมือชื่อรับทราบตามข้อกล่าวหาตามที่พนักงานสอบสวนได้ตั้งข้อกล่าวหาไว้ ซึ่งในการนี้ ผู้ถูกจับกุมสามารถคัดค้านการจับกุมหากเห็นว่าตนถูกจับกุมหรือควบคุมตัวโดย มิชอบด้วยกฎหมาย

กรณีนี้ แม้ว่าตอนที่ผู้ต้องขังจะถูกจับกุมตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯ และไม่ได้ดำเนินการขั้นตอนปกติของ ป.วิฯ อาญา เนื่องจาก พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯ มิได้กำหนดไว้ก็ตาม แต่เมื่อมีการส่งตัวไปให้พนักงานสอบสวนนำตัวไปฟ้องและฝากขังต่อศาลพนักงาน สอบสวนก็จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิฯ อาญา ซึ่งจะต้องมีการแจ้งข้อหาให้ผู้ถูกจับกุมทราบ ดังนั้น จากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่อ้างถึง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ถูกจับกุมหรือผู้ต้องขังดังกล่าว จะอ้างว่าไม่ทราบข้อกล่าวหาว่าตนกระทำความผิดอะไร


ประเด็น 1.3 ไม่สามารถติดต่อกับครอบครัวที่อยู่ในต่างจังหวัดได้


กรมราชทัณฑ์ไม่เคยปิดกั้นไม่ให้ผู้ถูกควบคุมหรือผู้ต้องขังติดต่อกับ ญาติแต่อย่างใด ซึ่งในเรื่องดังกล่าวกรมราชทัณฑ์ได้มี ข้อบังคับกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการเยี่ยม การติดต่อของบุคคลภายนอกต่อผู้ต้องขังและการเข้าดูกิจการหรือติดต่อการงาน กับเรือนจำ พ.ศ.2547 ได้กำหนดไว้ให้ ผู้ถูกควบคุมสามารถติดต่อกับญาติได้อยู่แล้ว ทั้งนี้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช 2479 มาตรา 7 มาตรา 33 และมาตรา 45 ประกอบกับมาตรา 7/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็ได้กำหนดให้ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาซึ่งถูกควบคุมสามารถให้เจ้าพนักงานแจ้ง ให้ญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกหรือผู้ต้องหาไว้วางใจทราบถึงการถูกจับกุมและสถาน ที่ถูกควบคุมในโอกาสแรก และมีสิทธิได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติได้ตามสมควร


สำหรับกรณีนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีผู้ต้องขังกลุ่ม นปช.ได้มีการติดต่อทางจดหมายหรือทางครอบครัว ซึ่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครก็ได้ดำเนินการให้ตามระเบียบดังปรากฏตามบัญชี ข้อมูลจดหมายที่ผู้ต้องขังติดต่อญาติจำนวน 7 รายที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้จัดทำไว้


ประเด็น 1.4 ไม่ได้รับการรักษาพยาบาล


การรักษาพยาบาลเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขังที่มีสิทธิที่จะได้ รับ โดยทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจะมีสถานพยาบาลในเรือนจำ และมีแพทย์จากภายนอกเข้ามาทำการตรวจรักษาในช่วงเช้าทุกวัน ซึ่งในแต่ละวันจะมีผู้ต้องขังขอรับการบำบัดรักษาโรคต่างๆ ประมาณวันละ 40 คน ผู้ต้องขังในเรือนจำที่ป่วยสามารถแจ้งความประสงค์ไปสถานพยาบาลได้โดยตรง โดยการนำบัตรประจำตัวใส่ลงในกล่องที่ทางแดนจัดไว้ให้ ทั้งนี้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช 2479 มาตรา 29 และมาตรา 30 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 7/1 (4) ก็ได้กำหนดให้สิทธิผู้ถูกจับกุมหรือผู้ต้องหามีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาล โดยเร็วเมื่อเกิดการเจ็บป่วย


สำหรับในกรณีของผู้ต้องขังกลุ่ม นปช.นั้น จากข้อมูลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้มีผู้ต้องขังจำนวน 24 คน ที่มาติดต่อขอรับการรักษาพยาบาล ดังปรากฏเอกสารหลักฐานตามสำเนาบัตรประจำตัวผู้ป่วยของผู้ต้องขัง (Opd card) ที่แนบมาพร้อมนี้


------------------------------------------------------

24 ผู้ต้องขัง"นปช."ขอรักษาพยาบาล


1. เอกชัย มูลเกษ เลขหมาย 1009/53 แดน 2
2. ณัทกร ชยธรดำรงสุข แดน 4
3. บัณฑิต สิทธิทุม เลขหมาย 1653/53 แดน 4
4. ศุภณัฐ หุลเวช เลขหมาย 1654/53 แดน 6
5. ธเนตร อนันตวงษ์ เลขหมาย 1871/53 แดน 2
6. สมพล แวงประเสริฐ เลขหมาย 1887/53 แดน 4
7. โกวิทย์ แย้มประเสริฐ เลขหมาย 1945/53 แดน 5
8. ประพฤทธิ์ พิพิธารมย์ เลขหมาย 2038/53 แดน2
9. เพชร แสงมณี เลขหมาย 2039/53 แดน 4
10.ธาดา เปี่ยมฤทัย เลขหมาย 2044/53 แดน 4
11.นคร สังสุวรรณ์ เลขหมาย 2045/53 แดน 5
12.แก่น คำโคตร เลขหมาย 2046/53 แดน 5
13.วีระยุทธ สุภาพ เลขหมาย 2048/53 แดน 5
14.วิชัย แสงแพง เลขหมาย 2050/53 แดน 6
15.ธนพงษ์ บุตรดี เลขหมาย 2187/53 แดน 8
16.นพรัตน์ ศรีเข้ม เลขหมาย 2212/53 แดน 4
17.เพอร์เซลล์ คอนเนอร์ เลขหมาย 2204/53 แดน 8
18.ซาเวจ เจฟฟีย์ ฮัก เลขหมาย 2203/53 แดน 8
19.ซยุต ไหลเจริญ เลขหมาย 2243/53 แดน 8
20.สายชล แพบัว เลขหมาย 2447/53 แดน 4
21.วีระ มุสิกพงศ์ เลขหมาย 2524/53 แดน 4
22.เฉลิมพงษ์ กลิ่นจำปา เลขหมาย 2575/53 แดน 4
23.เดชพล พุทธจง เลขหมาย 2747/53 แดน 5
24.จักรกริช จอมทอง เลขหมาย 1183/53 แดน




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 กรกฎาคม 2553, 10:59:49
“วีระ” มอบตัวคดีถอน “หมุดจีพีเอส” ทหารฉาว - ยันสู้คดีถึงที่สุด พ้อป้องแผ่นดินไทยกลับถูกจับ
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กรกฎาคม 2553 19:31 น.
 
 
บุรีรัมย์- “วีระ สมความคิด” เข้ามอบตัวตามหมายเรียกที่ สภ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ หลังกรมแผนที่ทหารแจ้งความดำเนินคดีทำให้เสียทรัพย์ กรณีถอนหมุดหลักโครงข่ายจีพีเอสทหารฉาว ลึกเข้ามาเขตไทย 12.5 กม.พร้อมยืนยันต่อสู้คดีถึงที่สุด ตัดพ้อทำเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยกลับถูกจับ แต่พวกโกงกินบ้านเมืองไม่จับมาดำเนินคดี ท่ามกลางเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ให้กำลังใจแน่นโรงพัก
       
       วันนี้ (13 ก.ค.) นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน ได้เดินทางเข้ามอบกับ พ.ต.อ.เอกชัย ปรัชญาวุฒิรัตน์ ผู้กำกับการ (ผกก.) สภ.บ้านกรวด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวน หลังกรมแผนที่ทหาร ได้เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีกับ นายวีระ ในข้อหา “ทำให้เสียทรัพย์ หรือทำให้เสื่อมค่า และไร้ประโยชน์”
       
       ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30 เม.ย.53 ที่ผ่านมา นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน ได้นำสมาชิกประมาณ 100 คน ขึ้นไปรื้อถอนหมุดหลักโครงข่ายจีพีเอส ที่ทางคณะกรรมการปักปันเขตแดน กรมแผนที่ทหาร ได้ทำการปักขึ้น ออกมาจากสันเขื่อนห้วยเมฆา อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ลึกจากชายแดนไทย-กัมพูชา เข้ามาในเขตแดนไทยกว่า 12.5 กิโลเมตร (กม.) แล้วนำหมุดไปเก็บไว้ที่เมฆาอโศก
       
       นายวีระ เข้าใจว่า หลักหมุดดังกล่าวเป็นหลักปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา แต่หลักหมุดดังกล่าวเป็นหลักโครงข่ายจีพีเอส ของกรมแผนที่ทหาร ได้ทำการปักขึ้น ต่อมาวันที่ 2 มิ.ย.53 พล.ท.อมรเทพ โรจนสโรช เจ้ากรมแผนที่ทหาร ได้มอบหมายให้ พ.อ.ปรัชญา นครเก่า ผู้อำนวยการกองเขตแดนระหว่างประเทศ กรมแผนที่ทหาร เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายกับ นายวีระ และกลุ่มมวลชนทั้งหมด ในข้อหา ทำให้เสียทรัพย์ หรือทำให้เสื่อมค่าและไร้ประโยชน์
       
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหา นายวีระ ฐาน “ทำให้เสียทรัพย์หรือทำให้เสื่อมค่า และไร้ประโยชน์ของหมุดหลักที่ถูกเคลื่อนย้าย” ท่ามกลางกลุ่มเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ และเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่นจากหลายจังหวัด กว่า 100 คน เดินทางมาให้กำลังใจเต็มโรงพัก
       
       นายวีระ สมความคิด กล่าวว่า ตนพร้อมจะต่อสู้คดีจนถึงที่สุด เพราะไม่มีจุดประสงค์ที่จะทำลายทรัพย์สินของทางราชการตามที่ถูกกล่าวหา แต่ตนกระทำไปก็เพื่อต้องการจะปกป้องผืนแผ่นดินไทย ไม่ให้เสียดินแดนให้กับกัมพูชา แต่กลับถูกจับดำเนินคดี ส่วนคนที่โกงกินบ้านเมือง ไม่เห็นไปจับมาดำเนินคดีสักรายเดียว
       
       อย่างไรก็ตาม หากศาลพิพากษาว่า ตนกระทำผิดจริง ก็พร้อมที่จะยอมรับโทษตามคำสั่งศาล แต่หากศาลตัดสินว่าตนไม่ผิด ตนจะแจ้งความดำเนินคดีกับทุกคนที่แจ้งความกล่าวหาตนจนถึงที่สุดเช่นกัน เพราะถือว่าทำให้ตนเองเสียหาย
       
       ทางด้าน พ.ต.อ.เอกชัย ปรัชญาวุฒิรัตน์ ผกก.สภ.บ้านกรวด กล่าวว่า คดีดังกล่าว ไม่ต้องใช้ลักทรัพย์ประกันตัว เพราะ นายวีระ ได้เข้ามามอบตัวตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวน โดยพนักงานสอบสวนจะได้ทำการสอบปากคำ พิมพ์ลายนิ้วมือ และปล่อยตัวไปชั่วคราว สำหรับคดีดังกล่าวมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท และ นายวีระ มีความประสงค์ ที่จะมามอบตัวให้ดำเนินคดี
       
       ทางฝ่ายทหาร ยืนยันว่า หมุดหลักดังกล่าวเป็นหมุดหลักโครงข่าย จีพีเอส ที่ทางคณะกรรมการปักปันเขตแดน กรมแผนที่ทหาร ได้ทำการปักขึ้น ซึ่งก็จะมีทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา โดยฝ่ายไทย มีอยู่ 2 แห่ง คือ ที่ จ.สระแก้ว และ ที่สันเขื่อนเมฆา อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
       
       ส่วนฝ่ายกัมพูชา จะอยู่ที่บ้านนำปึน และบันเตียเมียนเจย ซึ่งหมุดหลักจีพีเอส ทั้ง 4 จุด คือ ในฝ่ายไทย 2 จุด และฝ่ายกัมพูชา 2 จุด เป็นหมุดหลัก จีพีเอส ที่ใช้สำหรับการขยายงานโครงข่ายงานแผนที่ของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาเชื่อมโยงไปยังแนวเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังมีปัญหาพิพาทกันอยู่ เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาตกลงเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนที่ชัดเจนต่อไปในอนาคต
       
       หมุดหลักทั้งหมดจะเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่มีความชัดเจนเรื่องเขตแดนของทั้ง 2 ประเทศ ไม่ได้ปักเข้ามาในพื้นที่พิพาทแต่อย่างใด และไม่ได้มีการยึดถือหมุด จีพีเอส เป็นหมุดหลักในการปักปันแนวเขตแดน แต่เป็นเพียงหมุดที่ใช้ในการประกอบการพิจารณาปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ต่อไปเท่านั้น

 
 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 กรกฎาคม 2553, 11:21:17
เสื้อแดง-พท.ขยับ ปลุกรากหญ้าพาแม้วกลับ
14 กรกฎาคม 2553 เวลา 07:53 น.posttoday online
บอลโลกจบ การเมืองไทยกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ยังคุกรุ่นด้วยความขัดแย้ง


“ทักษิณ ชินวัตร” โหมโรงหลังเสร็จศึกบอลโลก ทวีตข้อความตอนหนึ่ง “Road Map ชื่อเพราะๆ ประดิษฐ์คำเสียสวยงาม ตั้งกรรมการสวยหรูไม่ช่วยอะไรถ้าขาดหัวใจที่มีเมตตาธรรมไม่มองโลกแบบคนพุทธ ก็คงจบยากคนและชาติก็ช้ำต่อไป

การรักษาอำนาจเผด็จการแบบนี้หลอกตัวเองได้หลอกพวกตัวเองได้ แต่หลอกคนอื่นและชาวโลกไม่ได้หรอก ปิดทั้งสื่อ ใช้ทั้งทหาร ศาล องค์กรที่สมมติว่าอิสระ” เช่นเดียวกับ แกนนำเสื้อแดง และเพื่อไทย ใช้โอกาสนี้ ค่อยๆ ฟื้นกระแสเพราะหากอยู่ในสภาพตั้งรับต่อไปก็อาจเป็นภัยกับตัวเอง

“จตุพร พรหมพันธุ์” ประกาศว่า จากนี้เสื้อแดงจะมีกิจกรรม จัดคอนเสิร์ตระดมทุนประเดิม วันที่ 1 ส.ค. ที่ตลาดใกล้วัดอ้อมน้อย จ.สมุทรสาคร รูปแบบจะให้ ศิลปินเสื้อแดง ทั้งที่เคยขึ้นเวทีผ่านฟ้า ราชประสงค์ ขับกล่อมร้องเพลงคนละเพลงเพื่อให้แฟนเสื้อแดง

เสร็จจาก จ.สมุทรสาคร จะมีคิวเดินสายไปจังหวัดอื่นอีก ยกเว้น 19 จังหวัดที่มีการประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน
เป็นมาตรการเชิงรุกครั้งแรก ไม่นับการตั้งเวทีหาเสียงเลือกตั้งซ่อม เขต 6 ชานเมืองกรุง หลังจากแกนนำเสื้อแดงบอกว่า พวกเขาโดนรัฐบาลไล่ล่า ถูกดำเนินคดีสารพัด ปิดสื่อพีเพิลแชนแนล ถูกแช่แข็งธุรกรรมการเงิน ทุกลมหายใจทำอะไรก็ผิดไปหมด

ครั้งนี้ แทนที่จะเป็นการปราศรัยเหมือนเคย แต่เสื้อแดงต้องเลียบๆ เคียงๆ เป็น จัดคอนเสิร์ต แทน แม้จะเป็นงานดนตรี ร้องรำทำเพลง แต่เชื่อว่าจะมีเนื้อหาโจมตีรัฐบาลผสมโรงไปด้วย พร้อมด้วยการปลุกของจตุพรและแกนนำ นปช.ที่มาถูกจับกุม

รัฐบาลซึ่งพยายามควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบกับประเทศ ไม่ให้มีการยั่วยุ ปลุกระดมด้วยข้อมูลเท็จ ตอกลิ่มความแตกแยก ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก นี่จึงไม่ต่างจากการเดินสายชุมนุม ปลุกคนเสื้อแดงที่ยังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ของความเสียใจ พ่ายแพ้ สิ้นหวังที่พี่น้องเสื้อแดงซึ่งเดินทางไปสู้ถึงเมืองหลวง แต่กลับต้องได้ลูกปืนเสียชีวิตถึง 70 กว่าราย คอนเสิร์ตเสื้อแดงที่จะเดินสายจากนี้ เชื่อว่าจะมี “พลังแดง” ตอบรับคึกคัก เพราะจะเป็นครั้งแรกที่มีการจัดชุมนุมกึ่งคอนเสิร์ตหลังเกิดเหตุการณ์พฤษภาวิปโยคมาได้เกือบ 2 เดือน

อีกด้านเครื่องจักรสีแดงอีกตัว คือ พรรคเพื่อไทย จะยืดเส้นยืดสายไปพร้อมๆ กัน หลังจากผ่านการสัมมนา สส.พรรค ที่พัทยา เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยมีมติว่าจะเดินหน้า “นโยบายจัดนิทรรศการชุมนุม ปราศรัยตรวจสอบ”แต่กลยุทธ์ที่จะดึงมวลชน เรียกคะแนนให้มีพลังมากที่สุด คือ การเดินสายปราศรัย เบื้องต้นพรรคระบุว่า จะไปภาคอีสานเป็นภาคแรก เริ่มจาก จ.สุรินทร์ อำนาจเจริญ หนองคาย ส่วนจะไปจังหวัดไหนต่อไป อยู่ที่ความพร้อมของ สส.และมวลชนและการคุมเข้มของฝ่ายรัฐ การลงพื้นที่จะยาวนานต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปิดสมัยประชุมสภา ยาวไปเปิดสภา ถึงสิ้นปี โดยจะใช้ช่วงเสาร์อาทิตย์ ยกพลไปปราศรัย สัมมนา จัดนิทรรศการเบื้องลึกเบื้องหลัง

“เหตุการณ์ชุมนุมพฤษภาคม 2553” โจมตีรัฐบาลและทหารว่า ฆ่าประชาชน และทุจริต ใช้อำนาจมิชอบเอื้อกับพวกพ้อง การพุ่งที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ หรือภาคกลาง นำโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ล้วนเป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทยทั้งนั้น หากดูบรรยากาศหลังเหตุการณ์ “พฤษภามหาทมิฬ” คนเสื้อแดงอาจดูเก็บตัวเงียบ แต่ลึกๆ แล้ว คนที่มาชุมนุมที่สมรภูมิ “ผ่านฟ้า–ราชประสงค์” รวมแล้วร่วมหลายแสน ถือเป็นหัวคะแนนอย่างดีให้กับพรรคเพื่อไทย

แกนนำแดงธรรมชาติเหล่านี้ต่างเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.ลงพื้นที่มาพบปะกับพี่น้องประชาชน เพื่อปลุกขวัญกำลังใจ เนื่องจากทีวีเสื้อแดง “พีเพิลแชนแนล” ที่เป็นเพื่อนหลายวัน ถูกปิดตายจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

เมื่อสถานการณ์การเมืองเริ่มผ่อนคลาย รัฐบาลยอมยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในบางจังหวัด จึงเป็นจังหวะที่พรรคเพื่อไทย เสื้อแดงจะได้ปูพรมแดงเรียกคะแนนกลับรองรับ “การเปลี่ยนแปลง” ทางการเมืองที่อาจขึ้นจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ หรือการเลือกตั้งในอันใกล้

การหาเสียง ปราศรัย ลงพื้นที่ จัดคอนเสิร์ต ถือเป็นกลยุทธ์ที่สื่อสารตรงกับมวลชนเสื้อแดงรากหญ้าได้ดีที่สุด นี่จึงเป็นสิ่งที่ทักษิณเน้นย้ำให้ขุนพลเร่ง “ขึ้นรูป” เสื้อแดงอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น นายใหญ่ยังสั่งฟื้นทีวีเสื้อแดงภาค 3 ทุ่มทุนเปลี่ยนชื่อใหม่ จากพีเพิลแชนแนล เป็น “เอเชียอัพเดท” กลับมาออกอากาศได้เหมือนเดิม ทุกกลไก แขนขาของทักษิณขยับ “เสื้อแดงเพื่อไทย” แยกกันเดิน รวมกันตีรวมพลังเป็นแม่น้ำสายเดียวกัน สิ่งที่กำลังทำ จึงเหมือนช่วงฟื้นเสื้อแดงภาค 2 หลังเหตุการณ์ “สงกรานต์เลือด” ที่เสื้อแดง พรรคเพื่อไทย ตายเกือบสนิท จนที่สุดค่อยๆ ตื่นขึ้นทีละนิดจนแข็งแกร่ง เบ่งกล้ามคับประเทศ

ที่ต้องจับตาคือ เดือน ก.ค.นี้ จะเป็นเดือนแห่งการโหมโรงของทักษิณ เพราะมีวันสำคัญหลายวัน เริ่มจาก 14 ก.ค. เป็นวันก่อกำเกิดของพรรคต้นตำรับ “ไทยรักไทย” 25 ก.ค. เป็นวันเลือกตั้งซ่อม แกนนำพรรคประกาศว่า จะระดมพลช่วย “ก่อแก้ว พิกุลทอง” ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบ 61 ปีให้ทักษิณ ในวันที่ 26 ก.ค. ให้ได้

แต่ก่อนถึงวันเลือกตั้ง จะมีปราศรัยใหญ่ช่วย ก่อแก้ว ในวันที่ 23 ก.ค. โดยขุนพลเฉลิม และ จตุพร ที่สวนสยาม ตั้งเป้าว่าจะมีคนเข้าร่วมฟัง 1 แสนคน ถัดมา หลังทราบผลเลือกตั้งเป็นวันเกิดทักษิณศูนย์รวมใจคนเสื้อแดง งานนี้จะเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ที่ จ.ลำพูน โดยมีพิธีกรรมทางศาสนาวัดพระธาตุหริภุญไชย จากนั้น “บิ๊กเหลิม” กับ จตุพร ปราศรัยใหญ่ที่ตลาดจตุจักร จ.ลำพูน

ไม่พลาดที่ทักษิณเตรียมวิดีโอลิงก์ปลุกให้คนสู้ ยึดอำนาจรัฐกลับคืนรอเลือกตั้งใหญ่ไม่ปีนี้ก็ปีหน้า ย้ำจะกลับประเทศไทยแน่ เหมือนที่ลั่นวาจากับลูกพรรคเพื่อไทย “ผมจะกลับมาปีนี้”

 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 กรกฎาคม 2553, 22:52:43
“หญิงเหล็กกัมพูชา” ยอมเข้าคุก ไม่ก้มหัวให้ "ฮุนเซน" 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กรกฎาคม 2553 21:38 น.
 
 
 

ยอมเข้าคุก-- ภาพรอยเตอร์วันที่ 15 ก.ค.2553 นางมัว สุจัว สส.ฝ่ายค้าน ที่ถูกเสนอชื่อชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปีนี้ ประกาศไม่ก้มหัวให้ระบอบฮุนเซน ยอมติดคุก แทนการจ่ายค่าปรับตามคำสั่งศาล หลังสู้มาแล้วถึง 4 ศาล ท่ามกลางการสนับสนุนจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรีระหว่างประเทศ 
 

 
       
ASTVผู้จัดการรายวัน-- นางมู สุจัว (Mu Suchua) รองหัวหน้าพรรคสมรังสี เปิดแถลงตอนเช้าวันพฤหัสบดี (15 ก.ค.) ว่า เธอได้ตัดสินใจที่จะไม่จ่ายเงินค่าปรับให้แก่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาฮุนเซน หลังจากศาลฎีกา ได้พิพากษาให้เธอมีความผิดฐานหมิ่นประมาท
       
       นางสุจัว ถูกศาลสั่งให้จ่ายเป็นค่าเสียหายแก่นายกรัฐมนตรีเป็นเงิน 8 ล้านเรียล (65,500 เศษ) กับอีก 8.5 ล้านเรียลเป็นค่าศาล แต่รองหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านกล่าวว่า เธอตกเป็นเหยื่อของกระบวนการยุติธรรม และจะไม่ยอมจ่ายเงินใดๆ ตามคำสั่งศาล และขอเลือกที่จะติดคุก
       
       นางสุจัวมีเวลาจนถึงวันศุกร์ (16 ก.ค.) นี้ สำหรับการจ่ายเงินตามคำสั่งศาล ไม่เช่นนั้นก็จะถูกบังคับคดีและนำตัวเข้าสู่การคุมขัง
       
       พรรคสม รังสี ประกาศก่อนหน้านี้จะรับผิดชอบและจ่ายเงินค่าปรับให้แก่รองหัวหน้าพรรค ชาวเขมรในต่างแดนหลายกลุ่มก็ได้ร่วมรณรงค์เคลื่อนไหว ขอบริจาคเพื่อช่วยเหลือนักการเมืองหญิง แต่ถูกนางสุจัวคัดค้าน
       
       มัว สุจัว ซึ่งปัจจุบันเป็น สส.จาก จ.กัมโป้ต (Kampot) เป็นนักสิทธิมนุษยชนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีและเด็กในกัมพูชามานานกว่า 10 ปี เป็นที่รู้จักทั่วโลก และปีนี้เป็นบุคคลหนึ่งที่ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เธอได้กลายเป็นสัญลักษณ์นักการเมืองสตรีที่ต่อสู้กับอำนาจอธรรมในระบบของกัมพูชา
       
       หลายฝ่ายเรียกนางสุจัวเป็น "อองซานซูจีแห่งกัมพูชา"
       
       นางสุจัว สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ สามารถพูดได้หลายภาษา ที่ผ่านมาได้เดินทางไปทั่วโลก เพื่อร่วมรณรงค์ เรื่องสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม เมื่อต้นเดือนนี้ได้มาแวะประเทศไทย และไปเยี่ยมอดีต สส.พรรคสมรังสีตกยาก ซึ่งนอนป่านอนาถาอยู่ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี
       
       รองหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านกับนายกรัฐมนตรีได้กลายเป็นกรคู่กรณีกันเมื่อปีที่แล้ว เธอเป็นฝ่ายฟ้องร้องผู้นำรัฐบาลฐานหมิ่นประมาท แต่ศาลพิพากษาเข้าข้างคู่ความ ทำให้ฮุนเซนเป็นฝ่ายฟ้องกลับ และ เธอแพ้คดีความตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลฎีกา
       
       กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนได้ตั้งข้อวิจารณ์มาเป็นเวลานานแล้วว่า ระบบศาลของกัมพูชามีแนวโน้มในการพิจารณาความเข้าข้างรัฐบาล และผู้นำระดับสูงของภาครัฐมาโดยตลอด
       
       แตกต่างไปจากระบบในประเทศอื่นๆ สำหรับกัมพูชา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งหรือถอดถอนผู้พิพากษาในทุกระดับ
       
       ชาวเขมรที่อาศัยทำกินในต่างแดน องค์กรสิทธิมนุษยชนจำนวนหนึ่งได้เริ่มเคลื่อนไหวขอประชามติ และล่ารายชื่อ เพื่อถวายฎีกาต่อสมเด็จพระบรมนาถนโรมดมสีหนมุนีกษัตริย์แห่งกัมพูชา ขออภัยให้แก่นักการเมืองหญิง
       
       อย่างไรก็ตามผู้ที่จะยื่นขอพระราชทานอภัยโทษแก่บุคคลใด ก็ยังเป็นผู้นำรัฐบาลอยู่ดี.
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 กรกฎาคม 2553, 21:11:34
วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 13:38:20 น.   มติชนออนไลน์

เปิดสำนวนคดีป.ช.ช.ฟัน"แม้ว"ทุจริตปล่อย ก.คลังเข้าฮุบบริหารบอร์ด"ทีพีไอ"


ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ช.) เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 16 กรกฎาคม   ได้มีการแถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.  เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง เรื่องกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เห็นชอบให้  ร้อยเอก สุชาติ  เชาว์วิศิษฐ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยินยอมให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้บริหารแผนของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน)

 

ทั้งนี้ นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษก ป.ป.ช. ได้แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวนแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 ให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีไอ โดยมี บริษัท เอ็ฟแฟ๊คทีฟ แพลนเนอร์ จำกัด เป็นผู้บริหารแผน  ภายหลังศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งลงวันที่ 21 เมษายน 2546 ให้บริษัท เอ็ฟแฟ๊คทีฟ แพลนเนอร์ จำกัด  พ้นจากการเป็นผู้บริหารแผน และตั้งให้คณะผู้บริหารลูกหนี้เป็นผู้บริหารแผนชั่วคราวร่วมกับเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์


หลังจากนั้นศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งลงวันที่ 13 มิถุนายน 2546 ว่า ศาลล้มละลายกลาง เห็นว่า ภายใต้สถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง และไม่ไว้วางใจกันอย่างรุนแรง เชื่อว่าคงเป็นการยากที่จะบริหารจัดการกิจการและทรัพย์สินของบริษัทให้เป็น ไปด้วยความราบรื่น  เนื่องจากผู้บริหารแผนคนใหม่ที่มาจากการประชุมของเจ้าหนี้ขาดการยอมรับจาก ลูกหนี้ และพนักงานของลูกหนี้เป็นส่วนใหญ่ ในเมื่อมีความชัดเจนแล้วว่า
รัฐบาล มีดำริที่จะร่วมมือกับศาลยุติธรรมในการแก้ไขปัญหาของลูกหนี้อย่างบูรณาการ เบ็ดเสร็จโดยกระทรวงการคลังได้เสนอเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้บริหารแผนคน ใหม่


จึงเห็นเป็นการสมควร ที่จะขอให้กระทรวงการคลังเข้ามาเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ตามมติที่ประชุมเจ้า หนี้  จึงมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แจ้งต่อกระทรวงการคลังเพื่อขอหนังสือยินยอมเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่สำนัก ฟื้นฟูกิจการจึงได้มีหนังสือสอบถามกระทรวงการคลัง  เพื่อขอหนังสือยินยอมการเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ กระทรวงการคลัง โดยร.อ.สุชาติ  เชาว์วิศิษฐ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือแจ้งว่ายินยอมเข้าเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ และขอเสนอรายชื่อ พล.อ.มงคล  อัมพรพิสิฏฐ์  นายพละ สุขเวช  นายปกรณ์  มาลากุล ณ อยุธยา  นายทนง  พิทยะ และนายอารีย์  วงศ์อารยะ เป็นตัวแทนของกระทรวงการคลังในการบริหารแผน  ซึ่งศาลล้มละลายกลาง ก็ได้มีคำสั่งลงวันที่ 11  กรกฎาคม 2546 ว่า เมื่อที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติเลือกกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ จึงเห็น สมควรตั้งกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ และสุดท้ายศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งลงวันที่ 26 เมษายน 2549 ว่า ผู้บริหารแผนได้ดำเนินการตามแผนจนครบถ้วนแล้ว ประกอบกับกิจการของลูกหนี้มีสถานะมั่นคง  ผลประกอบการมีรายได้และกำไรสม่ำเสมอ สามารถประกอบกิจการด้วยตนเองได้แล้ว  ถือได้ว่าการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ได้ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนแล้ว  จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้


อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า มีประเด็นที่จะต้องพิจารณา วินิจฉัยดังนี้
 

ประเด็นที่ 1   ร.อ.สุชาติ  เชาว์วิศิษฐ   เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.คลัง ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต กรณียินยอมให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือไม่  ข้อเท็จจริงปรากฏว่า กระทรวงการคลังเป็นส่วนราชการตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 มีหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่กำหนด โดยไม่มีหน้าที่บริหารกิจการของเอกชน  การที่ ร.อ.สุชาติ   ยินยอมให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ แต่ปรากฏว่า ในระหว่างการไต่สวน ร.อ.สุชาติ  ได้ถึงแก่กรรม  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงย่อมระงับไปโดยความตายของผู้กระทำผิด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1)จึงมีมติให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบ


ประเด็นที่ 2   พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้รู้เห็นหรือทราบเรื่องที่กระทรวงการคลังยินยอมเข้าเป็นผู้บริหารแผนคน ใหม่ของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ตามที่ศาลล้มละลายกลางร้องขอ แต่ไม่คัดค้านหรือทักท้วงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิ ชอบหรือโดยทุจริตหรือไม่  อย่างไร


ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี  มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อร.อ.สุชาติ
ได้มาปรึกษาเรื่องที่จะให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้ บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท อุตสาหกรรม ปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็น
บริษัทเอกชน พ.ต.ท.ทักษิณ  ได้เห็นชอบและเสนอชื่อ พล.อ.มงคล  อัมพรพิสิฏฐ์ และนายทนง  พิทยะ  เป็นคณะผู้บริหารแผน  และภายหลังกระทรวงการคลังได้ยินยอมเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการอัน เป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลัง  ตามมาตรา 10 แห่งพ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 เป็นเหตุให้เกิด ความเสียหายแก่ระบบราชการ  การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงมีมูลความผิด
ฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต  ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157


ส่วนนายสมคิด  ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า รู้เห็นหรือยินยอมในการที่กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนด้วย  ข้อกล่าวหาจึงไม่มีมูล  ให้ข้อกล่าวหาตกไป

 

ประเด็นที่ 3   ผู้แทนกระทรวงการคลังที่เข้าเป็นคณะผู้บริหารแผนได้กระทำการใดซึ่งเป็นการ สนับสนุน ร.อ.สุชาติ   ในการยินยอมให้กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือไม่ อย่างไร คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า คณะผู้บริหารแผนได้ร่วมกระทำความผิด  โดยยินยอมให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนแต่อย่างใด  คณะผู้บริหารแผนเพียงแต่ได้กระทำตามหน้าที่ตามที่ได้รับแต่งตั้งเท่านั้น ข้อกล่าวหานี้จึงไม่มีมูล  ให้ข้อกล่าวหาตกไป

 

ประเด็นที่ 4   ผู้แทนกระทรวงการคลังที่เข้าเป็นคณะผู้บริหารแผนได้กำหนดค่าตอบแทนให้แก่ตน เอง  ที่ปรึกษา  และการอนุมัติให้ว่าจ้างและจ่ายเงินค่าตอบแทน บริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต หรือไม่ อย่างไร


ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้แทนกระทรวงการคลังที่เข้าเป็นผู้บริหารแผนได้รับเงินค่าตอบแทนจากบริษัท ทีพีไอ ตามที่ศาลล้มละลายกลางได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วโดยค่าตอบแทนดังกล่าวต่ำ กว่าเงินค่าตอบแทนเมื่อครั้งที่ นายประชัย  เลี่ยวไพรัตน์  กับพวก เป็นผู้บริหารแผนชั่วคราวร่วมกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  ส่วนการที่คณะผู้บริหารแผนได้อนุมัติให้ว่าจ้างและจ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่ บริษัท ซินเนอจีฯ นั้น  ศาลล้มละลายกลางได้พิจารณาแล้วว่า บริษัท ซินเนอจีฯ ได้มีการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ตั้งแต่กระทรวงการคลังมีหนังสือยินยอม
เป็น ผู้บริหารแผน จึงมีสิทธิเรียกเก็บเงินค่าบริการ  ข้อกล่าวหานี้จึงไม่มีมูล  ให้ข้อกล่าวหาตกไป


ประเด็นที่ 5   ผู้แทนกระทรวงการคลังที่เข้าเป็นคณะผู้บริหารแผน ได้กำหนดราคาการซื้อขายหุ้นเพิ่มทุนในราคาต่ำ อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสีย หายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยทุจริตหรือไม่ อย่างไร


จากการไต่สวนข้อเท็จจริงฟังได้ว่า  ศาลล้มละลายกลาง ได้ให้สิทธิโดยเด็ดขาดกับกระทรวงการคลังในการจัดหาผู้ร่วมทุนตามแผนฟื้นฟู  การกำหนดราคาซื้อขายหุ้นเพิ่มทุน  ศาลล้มละลายกลางได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว  เงินที่ได้จากการขายหุ้นเพิ่มทุนมากกว่าจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทจะได้รับ จากการขายส่วนทุนที่กำหนดไว้ตามแผน  ดังนั้น ตามที่กล่าวหาว่าผู้บริหารแผนได้กำหนดราคาการซื้อขายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท ทีพีไอ ในราคาต่ำ เป็นเหตุให้บริษัทฯ  และผู้ค้ำประกันหนี้ได้รับความเสียหาย จึงไม่มีมูล  ให้ข้อกล่าวหาตกไปเช่นกัน





หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 กรกฎาคม 2553, 10:11:09
ไอติมยึด"มาร์คโมเดล" ไม่หวาดกลัวลงสู่ถนนการเมือง
17 กรกฎาคม 2553 เวลา 09:10 น.
เดินตาม “มาร์คโมเดล” ปูทางเข้าสู่ถนนสายการเมืองแบบเต็มสูบสำหรับ “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ หลานชายแท้ๆ ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่แน่วแน่กับเส้นทางที่เลือกแล้วในวันนี้ แม้จะไม่รู้ว่าจะจบลงที่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีเหมือน “น้ามาร์ค” หรือไม่


กับหน้าตาหล่อขั้นเทพถอดแบบ “น้ามาร์ค” แถมพูดจาแบบตรงๆ แฝงอารมณ์ยียวนในบางลีลา ไปจนถึงสีหน้าท่าทาง มือไม้ประกอบการสนทนาท่าคิด...ท่าเขิน...ท่าขำ...

ยิ่งชวนให้รู้สึกว่าเหมือนได้ย้อนไปคุยกับนายกฯ มาร์ค เมื่อครั้งอายุ 17 ปี!!! ซึ่ง “ไอติม” วิเคราะห์ความเหมือนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ว่าอาจจะมาจาก “กรรมพันธุ์”

“ไอติม” บอกว่า ถ้าถามว่าสนใจองค์กรทางการเมืองไหมก็สนใจ แต่ผมตอบไม่ได้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน

...ถามว่านายกฯ เป็นต้นแบบไหม ก็ไม่ได้เป็นต้นแบบ ไม่ใช่ผมจะทำทุกอย่างตามนายกฯ การที่มีญาติอยู่ในวงการการเมืองก็ช่วยให้เราเห็นว่าการเป็นนักการเมือง ต้องทำอะไรบ้าง ช่วยให้ความรู้มากกว่าอะไรที่จะไปลอกมา มันไม่ใช่อย่างนั้น

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “ไอติม” ไม่ยึดอาชีพหมออย่างคุณพ่อคุณแม่ พร้อมก้าวสู่ถนนสายการเมืองตามน้าชาย เพราะไม่ชอบทางด้านสายวิทยาศาสตร์ ยิ่งหากเรียนหมอที่อังกฤษจะต้องใช้เวลาที่นั่น 10 ปี ซึ่งเขาอยากกลับมาเมืองไทยมากกว่า

ยิ่งได้ไปฝึกงานที่ทำเนียบรัฐบาล ต่อด้วยการเข้าอบรมอินเทิร์นชิปของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ฟังนักการเมือง รัฐมนตรีมาให้ความรู้สถานการณ์การเมือง ยิ่งจุดประกายความฝันให้เดินเข้าสู่ถนนการเมือง แม้จะเห็นความลำบากการทำงานหนัก และเสี่ยงอันตรายของน้ามาร์คก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ยังจะมีเสียงไม่เห็นด้วยจากคุณยาย ที่ไม่อยากให้หลานเข้ามาสู่การเมือง เพราะเห็นการกระทำของเสื้อแดง และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ยิ่งบ้านนายกฯ ที่อยู่ใกล้ๆ ถูกปาทั้งเลือดทั้งอุจจาระ “ไอติม” ก็ต้องอธิบายกับคุณยายว่า จบ PPE มาทำงานได้หลายอย่าง ไม่ใช่แค่นักการเมือง


ที่สำคัญความรุนแรงที่เกิดขึ้น และตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับ “น้ามาร์ค” กลับไม่ได้ทำให้หลานไอติม หวาดกลัว จนไม่อยากมาทำงานการเมืองที่ตั้งใจ

“มันก็เป็นเรื่องยาก ทำให้ทำงานยาก มีคนขู่ฆ่า แต่ผมว่าเวลามันได้ มันก็ได้เยอะ เวลาคนชอบเรา โหวตให้เรา สนับสนุนเรา มีคนเกลียดก็เรื่องปกติ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน น้าผมตอนเข้าการเมืองก็คงรู้มาก่อน ก็คงรู้ว่าจะต้องมีคนเกลียด”

ปีสุดท้ายในรั้วอีตัน “ไอติม” จึงต้องเตรียมตัวอย่างหนักกับความฝันก้าวต่อไปในรั้วออกซฟอร์ด เพราะความเก่งระดับนักเรียนทุนจากโรงเรียนชั้นนำของโลกที่ผลิตนายกฯ มาแล้วนับ 20 คน ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจกับการแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยครั้งนี้

แต่กระนั้น เขายังต้องแบ่งเวลามาติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะตลอดช่วงเวลาการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่ผ่านมา แถมต้องคอยทำหน้าที่ชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับนักเรียนและอาจารย์ที่โน่น

“มันไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวออก อย่างตอนเสื้อแดง ทางบีบีซี ซีเอ็นเอ็น ข่าวออกเหมือนกับฆ่าคน แย่มากๆ ผมก็อธิบายว่าเป็นยังไง และหลายคนก็ไม่เข้าใจว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร...เขาก็ไม่เข้าใจว่าเสื้อนี้ฝ่ายไหน ผมก็เหมือนกับต้องอธิบายเหมือนเล่าประวัติศาสตร์ประเทศไทยให้ฟัง ไม่ได้ใส่สีสัน”
ต้นเหตุขัดแย้ง “ไอติม” มองว่ามีสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ชอบ ความจริงแล้วสิ่งที่แตกต่างอยู่ที่คนคนเดียว ส่วนประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำของสังคม เป็นเครื่องมือของเสื้อแดง ซึ่งเห็นชัดว่าเขาใช้อุดมการณ์ของมาร์กซิสม์ ที่เหมือนเอาเรื่องการเมืองมารวมกับเรื่องสังคม

“กลายเป็นว่า แทนที่จะเป็นเรื่องของสองฝ่ายที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน กลายเป็นว่าฝั่งนี้เป็นชนชั้นล่างที่มีเยอะกว่า มาต่อสู้กับคนชั้นสูง และหาว่าเป็นอำมาตย์”

กับปฏิบัติการ “กระชับพื้นที่” หรือ “ขอพื้นที่คืน” จนถูกตีตราเป็น “นายกฯ มือเปื้อนเลือด”“ไอติม” มองว่ารัฐบาลไม่มีทางเลือกเท่าไหร่ การที่บุกเข้าไปที่ชุมนุมก็ช้ามาก เพราะรอมานานแล้ว การเจรจาปรองดองที่มีการถ่ายทอดสดเกือบสำเร็จ แต่พอคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ได้รับโทรศัพท์หรืออะไรสักอย่างเข้ามาก็ตัดสินใจยกเลิกหมด

ทั้งเงื่อนไขช่วงหนึ่งบอกจะยอมเลือกตั้งใน 6 เดือน แต่เสื้อแดงบอกว่าต้องบอกวันยุบสภา ซึ่งเป็นข้ออ้างที่แปลกมาก เพราะสามารถบวกลบเลขเอาว่ากี่เดือนทางกฎหมาย แต่พอให้เขาได้ เขาก็ขออีกให้คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปมอบตัว อย่างนี้ก็ดูออกว่าให้อะไรเขาไป เขาก็ขอต่อไม่มีวันจบ
กับสถานะสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้มาตอนเข้าอบรมอินเทิร์นชิปเมื่อปีก่อน “ไอติม” ยืนยันว่าถึงจะไม่ใช่หลานนายกฯ มาร์ค เขาก็คงจะตัดสินใจเลือกร่วมงานทางการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน

แม้จะถูกมองว่าประชาธิปัตย์มีแต่คนจบนอก ไม่ติดดิน นักเรียนอีตันอย่างไอติม ชี้แจงแบบเอาจริงเอาจัง ว่าไม่เกี่ยวกัน จบนอกมาก็สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ ไปเรียนเมืองนอกยิ่งทำให้คิดถึงประเทศไทยมากขึ้น

“ทำไมการเรียนเมืองนอกกลายเป็นเรื่องไม่ดีไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน จะบอกว่าประชาธิปัตย์ไม่ติดดินก็ไม่ได้ การเลือกตั้งซ่อม คุณพนิช ก็เดินไปหาเสียงเคาะตามบ้านทุกวัน คุณก่อแก้ว (พิกุลทอง) ก็ไม่ได้ไปไหน ส่วนมากก็เพราะอยู่ในคุก แต่ว่าพรรคเลือกให้คนอยู่ในคุกมาหาเสียง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เขาจะไปรู้ปัญหาประชาชนได้อย่างไร ถ้าเขาอยู่ในคุก ปัญหาตัวเองเขายังไม่รอดเลย”

ในสถานการณ์แตกแยกของบ้านเมือง ซึ่งไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร “ไอติม” วิเคราะห์ว่าปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหาต้องแยกแยะปัญหาการเมืองกับปัญหาสังคม เพราะตอนนี้ถ้าคุณมาเล่นสงครามการเมืองชนชั้น คุณก็ปลุกระดมคนได้

ทั้งที่การเมืองไม่ควรเกี่ยวกับชนชั้น แต่เขาเล่นอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะคนจนมีมากกว่าคนรวย เพราะถ้านับหัวเขาก็ได้ แต่เขามองว่าพรรคการเมืองไม่ควรจะมีฐานเสียงจากชนชั้นหนึ่ง ในระบบที่มีหลายพรรคการเมือง พรรคการเมืองหนึ่งก็ควรจะสนับสนุนโดยทั้งคนรวยและคนจน เพราะเชื่อในอุดมคติ หรืออุดมการณ์ นโยบายนี้ไม่ใช่เพราะเราเป็นคนจนเหมือนกัน คนรวยเหมือนกัน

เส้นทางสู่ถนนการเมืองจากนี้จึงอยู่แค่เอื้อม ส่วนจะไปได้ไกลแค่ไหน หรือเริ่มต้นแบบจริงจังเมื่อไหร่นั้น “ไอติม” ตอบแบบไม่ผูกมัดตัวเองตามสไตล์นักการเมืองอาชีพว่า
“ยังตอบไม่ได้ครับ ตอนนี้ต้องตั้งใจเรียนก่อน”

หัวใจ"ไอติม"


ช่วงสายๆ ในวันฝนพรำ“ไอติม” ในเสื้อโปโลสีฟ้า(ที่ค่อนข้างยับ) กับกางเกงยีนส์หลวมๆ ออกมาต้อนรับทีมงานโพสต์ทูเดย์ หน้าบ้านพัก ซอยสุขุมวิท 31 ถัดจากบ้านนายกฯ ไปสองหลัง ในละแวกที่เรียกได้ว่าเป็นชุมชนย่อยๆ ของตระกูล “เวชชาชีวะ” ซึ่งมีด่านเฝ้ารักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ในห้องกึ่งรับแขก กึ่งทำงาน ที่ออกแนวรก ด้วยกระเป๋าสัมภาระกระจายตัวอยู่บนพื้นที่ห้อง ทีมงานซักซ้อมเรื่องการถ่ายรูปว่าจะเปลี่ยนเสื้อหรือไม่ เพื่อให้รูปออกมาดูดี ขณะที่เจ้าตัวตอบแบบลังเลว่า “เอาไงดีครับ สำหรับผมตัวนี้ก็ได้ ไม่เป็นไร” ก่อนจะเริ่มต้นเข้าสู่การสนทนา
 
“มีแฟนหรือยัง” คำถามที่ทำเอา “ไอติม” ออกอาการอึกอัก หลังจากตอบฉะฉานในทุกประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องการเมือง เรื่องเศรษฐกิจ ก่อนจะเก็บอาการไม่อยู่ มือไม้อยู่ไม่เป็นที่ คอยลูบหน้าลูบตา
 
“ไม่ขอตอบได้ไหมครับ” ไอติมหัวเราะกลบเกลื่อนอาการเขินหลังตอบเสร็จ
 “ไม่ตอบแบบนี้ แสดงว่ามีแฟนแล้ว” ทีมงานซักต่อ แต่ “ไอติม” ยังตอบแบบเขิน “ไม่ๆๆๆ ไม่ตอบครับ”
 “เจ้าชู้ไหม” เจ้าตัวจะตอบแต่เพียงว่า “ไม่ครับ”

ไอติม อธิบายสเปกของตัวเองว่า ชอบผู้หญิงเรียบร้อย เพราะถ้าห้าวๆ คงไม่ไหว และชอบคนไทยมากกว่าฝรั่ง เพราะคุยกันเข้าใจมากกว่า
 
“ผมเป็นคนง่ายๆ กินง่าย อยู่ง่าย สบายๆ แต่อาจจะเป็นคนพูดตรงบ้าง ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะผิดอะไร ถ้าผมพูดตรงกับเรื่องที่ผมคิด และผมเป็นคนขี้เหนียว คือผมไม่ชอบซื้อของบ่อยนัก ส่วนมากคุณแม่ซื้อให้ แต่ก็ไม่บ่อย

...สไตล์การแต่งตัวก็อย่างที่เห็นล่ะครับ เสื้อคอโปโล กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ไม่ค่อยติดยี่ห้อ ผมก็ตัดทรงนี้ตลอด ไม่บ้าแฟชั่นอะไร มีบีบีเครื่องเดียวแต่ก็ไม่ได้ติดอะไร เพราะที่โรงเรียนห้ามใช้โทรศัพท์ในห้องเรียน ส่วนมากเอาไว้ที่ห้องพักมากกว่า”

ทั้งนี้ เมื่อแซวว่านิสัยขี้เหนียวเหมือนนายกฯ “ไอติม” ทำหน้างงๆ ก่อนออกตัวว่า มีฐานะก็ไม่ได้แปลว่าประหยัดไม่ได้ เพราะเรื่องฐานะไม่เกี่ยวกับการใช้เงิน คนที่รวยไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ บางทีคนเขารวยเพราะใช้เงินน้อยก็ได้

พยายามวกกลับมาเรื่องความรักต่อ ด้วยการถามถึง “ความหล่อ” ถึงขั้นสาวๆ หลายคนแอบกรี๊ด แต่ไอติม ตอบแต่ว่า “ไม่ได้รู้สึกอะไร และไม่รู้ว่าเราหล่อมั้ย ผมไม่ได้มองตัวเองแบบนั้น เพราะผมไม่ใช่คนบ้าตัวเอง”
 
“ไม่ได้คิดว่าตัวเองดังอะไร ก็ดีใจในระดับหนึ่งที่มีคนจำได้ แต่ไม่รู้ว่าเขาจำเราได้เพราะอะไร แต่อยากให้ถูกจำได้เพราะเป็นตัวของตัวเองมากกว่า ไม่ใช่จำได้เพราะเป็นหลานนายกฯ เพราะหากเป็นแบบนั้นมันก็อึดอัดเหมือนกัน คือตอนนี้อาจจะโอเค เพราะผมเป็นเด็ก แต่สมมติโตขึ้นไปและคุณน้ายังอยู่ในวงการก็คงอึดอัดเหมือนกัน”

กลับมาที่คำถามเดิม “สรุปว่ามีแฟนหรือยัง สาวๆ หลายคนอยากรู้”
 “ไม่เป็นไรครับ ให้เขาเดาดูก็สนุกดี” ไอติม ยังไม่ยอมเฉลยปริศนาในเรื่องนี้ พร้อมกับหัวเราะกรุ้มกริ่ม

ไอติม เดอะค็อป

ถอดแบบมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว ระหว่าง “หลานไอติม” และ “น้ามาร์ค” จะมีก็แค่ทีมฟุตบอลเท่านั้นที่อาจจะชื่นชอบกันไปคนละทีม เมื่อเป็นที่รู้กันว่า “น้ามาร์ค” เป็นสาวกสาลิกาดง “นิวคาสเซิล” ขณะที่ “ไอติม” ประกาศตัวเป็นเดอะค็อป ลิเวอร์พูลแฟนคลับตัวยง

ที่มาที่ไปอย่าง “น้ามาร์ค” เชียร์ “นิวคาสเซิล” เพราะเกิดที่นั่น แต่สำหรับเขาไม่รู้ว่าเชียร์ลิเวอร์พูลเพราะอะไร แต่หลังจากเริ่มได้ดูบอลสมัยเรียนที่อังกฤษ ก็เทใจให้กับลิเวอร์พูลไม่คิดเปลี่ยนใจไปเชียร์ทีมอื่น

ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะความโดดเด่นในฝีเท้าของสตีเวน เจอร์ราร์ด และไมเคิล โอเวน ที่ทำให้ต้องหันมาเชียร์ลิเวอร์พูลจนถึงทุกวันนี้ แม้จะมีโอกาสได้ไปดูฟุตบอลบางนัดในช่วงที่เรียนอยู่อีตัน แต่ยังไม่มีโอกาสจะไปดูถึงถิ่นแอนฟิลด์เนื่องจากอยู่ไกลจากโรงเรียนมาก ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ “ไอติม” สอบเสร็จพอดีจึงได้จังหวะร่วมเชียร์บอลโลกติดขอบจอแทบทุกนัด โดยเฉพาะการร่วมเชียร์ “อังกฤษ” ร่วมกับเพื่อนๆ ที่อีตัน

“แต่เชียร์ไม่ขึ้นจริงๆ เพราะเล่น 4 นัดเล่นไม่ดีแม้แต่นัดเดียว แต่แทนที่จะโทษทีมว่าเล่นได้ไม่ดี แต่กลับมาโทษกรรมการกำกับเส้นที่ไม่ให้ประตู ถือว่าเป็นโชคของเขาไปที่สามารถหาเรื่องอื่นมาโทษความผิดของตัวเองได้”


จากนั้น “ไอติม” จึงผันตัวเองมาเชียร์ทีม “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะฝีเท้าหรือคำพยากรณ์จากปลาหมึกพอล ทำให้ทำได้แค่ที่ 3 ในครั้งนี้ ไม่น่าแปลกที่วันว่างของ “ไอติม” จะชักชวนเพื่อนฝูงไปเตะบอลเป็นประจำ เมื่อสนามที่อังกฤษมีอยู่เป็นจำนวนมาก สมกับเป็นกีฬาประจำชาติ เรื่อง “ฝีเท้า” กองหน้า และกองกลาง อย่าง “ไอติม” ชี้แจงว่าไม่ใช่ย่อย เมื่อการแข่งขันภายใน Eton College ทีมของเขาจะรั้งตำแหน่งที่ 5 จากทั้งหมด 25 ทีม ที่สำคัญในทีมของเขาทั้งหมดเรียกได้ว่าเป็นนักเรียนหัวกะทิได้รับทุนการศึกษากันทั้งนั้น งานนี้การันตีได้ว่านักเรียนทุนไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งอย่างเดียว   เรื่องฟุตบอลจึงกลายเป็นอีกหัวข้อสนทนาของ “น้าหลาน” คู่นี้ที่กระชับความสัมพันธ์ในวัยห่างกันนับ 30 ปีแม้จะรู้ว่าฟอร์มการเล่นของทั้งนิวคาสเซิลและลิเวอร์พูล จะย่ำแย่ด้วยกันทั้งคู่

“ตอนที่นิวคาสเซิลตกชั้นไม่เจอน้ามาร์คก็เลยไม่ได้แซว แต่ตอนนี้ลิเวอร์พูลก็เริ่มตกต่ำแล้ว เพราะฉะนั้นไม่คุยเรื่องบอลดีกว่า” ไอติม เล่าพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่เป็นเรื่องของจังหวะและโอกาส ที่ทำให้น้าหลานคู่นี้ไม่เคยได้ลงสนามวัดฝีเท้ากันสักแมตช์ แต่เมื่อถูกถามว่าระหว่างน้ามาร์คกับหลานไอติม ใครเล่นเก่งกว่ากัน ไอติม ตอบแบบติดตลกว่า “ผมเด็กกว่า 30 ปีก็หวังว่า อันนี้ก็ตอบไม่ได้” เห็นลีลาอย่างนี้ต้องบอกว่า “ฝีปาก” และ “ฝีเท้า” “น้าหลาน” คู่นี้คงเฉือนกันลำบาก




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 กรกฎาคม 2553, 15:53:02
9พธม.ปฏิเสธหมายเรียกตำรวจ

เมื่อเวลา 12.00 น. วันเดียวกัน ที่ร้านอาหารมัลลิกา ถนนเกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นำโดย พล.อ.ปานเทพ ภูวนาทนุรักษ์ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น (คปต.) นายการุณ ใสงาม อดีต ส.ส. และ ส.ว.บุรีรัมย์ นายไทกร พลสุวรรณ และคณะรวม 9 คน แถลงข่าวกรณีถูกออกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาก่อการร้าย และเตรียมฟ้องดำเนินคดี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าว

นายการุณกล่าวว่า พวกเราถูกออกหมายเรียกครั้งที่ 1 เป็นผู้ต้องหาแล้ว เป็นความอาญา ผู้กล่าวหาคือสำนักงานเลขานายกรัฐมนตรี ส่วนข้อหาที่ทุกคนได้รับเป็นข้อหาร้ายแรงที่สุดคือผู้ก่อการร้าย ข้อหากบฏเป็นลำดับถัดมา ทั้งสองข้อหาอัตราโทษสูงสุดคือประหารชีวิต พวกเราทั้ง 9 คนจึงปรึกษาหารือกันว่าเมื่อตกเป็นผู้ต้องหาแล้วและมีข้อเสนอที่เห็นด้วย ร่วมกันคือหมายเรียกของแต่ละคนที่ออกมานั้นไม่ตรงกัน จากการปรึกษากัน พวกเราจะไม่ไปพบพนักงานสอบสวน ด้วยเหตุผลคือพวกเรามีความเห็นว่าไม่ได้กระทำความผิด ตามข้อกล่าวหา และความมั่นใจว่าการกระทำของเราไม่ได้เป็นความผิด แม้จะมีความผิด ก็เป็นโทษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

"เพราะฉะนั้นจะสู้ทุกรูปแบบ ตามขั้นตอนที่มีอยู่ในกฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งจะสู้โดยไม่  ไปให้การในชั้นพนักงานสอบสวนที่ออกหมายมา เพราะเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ พวกเราจะฟ้องในทุกข้อหาตั้งแต่ตั้งข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จเพื่อให้พวกเรารับ โทษทางอาญา ในขณะเดียวกันการกระทำของเจ้าพนักงานล้วนเป็นกระทำในนามของเจ้าหน้าที่ของ รัฐ" นาย

การุณกล่าว และว่า พวกเราจะรวบรวมหลักฐานยื่นฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้องในการทำคดี โดยยื่นฟ้องก่อนวันนัดของพนักงานสอบสวน เช่นนัดในวันที่ 28 กรกฎาคม จะไปยื่นฟ้องในวันที่ 26-27 กรกฎาคม ส่วนกรณีที่จะฟ้องนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี จะตรวจสอบก่อนว่าบุคคลใดมีส่วนในการกระทำผิดก่อน




   




   
   
   
   


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 กรกฎาคม 2553, 09:05:15
นที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 02:20:06 น.   มติชนออนไลน์

2 มุ้งอีสานพท.ยุล่าชื่อปรับโครงสร้างพรรค จี้เร่งสกัดไหลออก เหนือ"อ้างแค่เรื่องบางคนเข้าใจผิด


2 มุ้งอีสานพท.ยุปรับโครงสร้าง


สำหรับปัญหาความไม่ลงรอยกันของ ส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย (พท.) ถึงขั้นมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาค โดยเปลี่ยนตัวนายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่คุมภาคนี้อยู่นั้น ส.ส.ภาคอีสาน พท.ที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือกลุ่มอีสานพัฒนา นำโดยนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม ที่ต้องการผลักดันนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล แกนนำกลุ่มพิจิตรใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาคุมภาคอีสานแทน และกลุ่มของว่าที่ ร.ต.พงศ์พันธ์ สุนทรชัย ส.ส.หนองคาย ที่สนับสนุนให้นายพายัพ เป็นประธานภาคอีสานต่อไปแล้วให้นายพายัพ ผลักดันนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค


 


อีสานพัฒนาจี้เร่งสกัดไหลออก


นายไพจิตกล่าวว่า ทางกลุ่มนำเสนอปัญหาและเสนอแนะการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาคอีสานให้กับแกนนำ พรรคไปแล้วในช่วงการสัมมนาใหญ่พรรค ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างที่ผู้ใหญ่กำลังตัดสินใจ เนื่องจากผู้ใหญ่ยังมีความเกรงอกเกรงใจแกนนำพรรคคนอื่นๆ ว่าจะเสียใจ กลัวว่าจะต้องผิดหวังและต้องให้เกียรติ จึงทำให้เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการดำเนินการ เรื่องจึงยังค้างอยู่ที่การรอมติพรรคและมติภาคเพื่อให้แกนนำพรรคไปจัดการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
 

"เรื่องนี้ต้องเร่งทำให้แล้วเสร็จก่อนที่จะมีการเปิดสมัยประชุมสภา และเข้าสู่ช่วงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระ 2 และ 3 ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม เพื่อหยุดการไหลออกของ ส.ส.เพื่อไทย ขณะนี้เรารับรู้ท่าทีและมีข้อมูลการเคลื่อนไหวของพรรครัฐบาลที่จะต้องผลัก ดันร่าง พ.ร.บ.งบฯ และต้องผ่านวิกฤตยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่อาจจะทำให้เสียงของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลลดลง จึงมีการทาบทาม ส.ส.เพื่อไทย ไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับฝ่ายรัฐบาล แต่หากแกนนำพรรคยังไม่ดำเนินการตามข้อเสนอของกลุ่มอีสานพัฒนา พวกเราก็จะรวบรวมรายชื่อ ส.ส.เสนอญัตติเข้าที่ประชุมพรรคเพื่อให้มีการลงมติให้แกนนำพรรคได้ไปดำเนิน การทำให้เลือดหยุดไห” นายไพจิตกล่าว และว่า อยากให้พรรคเดินไปในแนวทางของประชาธิปไตย ที่มีหัวหน้าพรรคและประธานภาคเป็น ส.ส. รายชื่อที่จะเสนอให้พรรคพิจารณาเป็นประธานภาคอีสาน อาทิ นายสมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา นายพีระพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น


"เหนือ"อ้างแค่เรื่องบางคนเข้าใจผิด


นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พท. กล่าวว่า กระแสข่าว ส.ส.อีสาน พท.กดดันนายพายัพลาออกจากประธานภาคนั้น คิดว่าเป็นการเข้าใจผิดและความไม่เข้าใจของ ส.ส.บางคน เพราะที่ผ่านมา ส.ส.พท.ที่ยึดผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งมากกว่าการอยู่ด้วยใจกับพรรคนั้น ย้ายพรรคไปหมดแล้ว ส.ส.ที่เหลืออยู่คือกลุ่มที่อยู่ด้วยใจที่เชื่อมั่นต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง กระแสข่าวการผลักดันนายพงษ์ศักดิ์ขึ้นเป็นประธานภาคอีสานแทนนั้นยิ่งเป็นไป ไม่ได้ เพราะโดยส่วนตัวมีความคุ้นเคยกับนายพงษ์ศักดิ์ ได้รับการยืนยันมาโดยตลอดว่าไม่ต้องการรับตำแหน่งใดๆ ในพรรคหรือในรัฐบาล ต้องการเพียงทำมาหากินตามปกติ เพราะนายพงษ์ศักดิ์ให้เหตุผลว่าการเมืองทำให้เปลืองตัว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่มีความเข้าใจกันแล้วให้นายพงษ์ศักดิ์เข้าไปมี ตำแหน่งด้วยแล้ว ไม่ใช่ความต้องการแม้แต่น้อย


"ใครจะเป็นประธานภาคไหน ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้ทำหน้าที่ประธานภาคต้องเป็นที่ยอมรับของ ส.ส.ในภาคนั้นๆ ที่สำคัญต้องประสานงานและตามนโยบายต่างได้ทันเหตุการณ์ เพราะ ส.ส.จะประชุมพรรคทุกสัปดาห์ พร้อม ส.ส.ทุกภาคจะจี้งานจากประธานภาค ซึ่งประธานทำงานไม่ใช่เรื่องง่ายเลยยิ่งกว่านั้น ส.ส.ทุกคนในพรรคคิดเสมอว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนไม่สบายใจให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ" นายวิสุทธิ์กล่าว

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 กรกฎาคม 2553, 09:35:15
วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:59:36 น.   มติชนออนไลน์

"หรั่ง" คนสนิทเสธ.แดง ปิดปากไม่ให้ข้อมูลดีเอสไอต่อ หลังไม่ได้ถูกกันไว้เป็นพยานตามข้อตกลงเดิม

 

รายงานข่าวจากดีเอสไอเปิดเผยเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ว่า หลังจากศาลอนุญาตให้ฝากขังนายสุรชัย หรือหรั่ง  เทวรัตน์  ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายและคนสนิท พล.ต.ขัตติยะ  หรือ เสธ.แดง  สวัสดิผล  อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก นั้น  นายสุรชัยยื่นเงื่อนไขเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการเปิดเผยข้อมูลถึงขบวนการก่อ การร้าย และผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งการทั้งหมด โดยขอให้ดีเอสไอ ยอมกันตัวเองเป็นพยานในคดี และขอให้รับภรรยา แม่และลูกสาวของตนเข้าสู่การคุ้มครองพยาน  ซึ่งดีเอสไอตกลงจะคุ้มครองแม่ ลูกและภรรยาตามมาตรการคุ้มครองพยาน ให้อยู่ที่ดีและมีความปลอดภัยในชีวิต  แต่ไม่สามารถกันตัวนายสุรชัยเป็นพยานคดีได้เพราะมีส่วนเกี่ยวกับคดีก่อการ ร้ายหลักๆถึง 8 คดี และเป็นหนึ่งในขบวนการค้าอาวุธสงครามด้วย  นายสุรชัยจึงยังไม่ยอมให้การเพิ่มเติมแก่ดีเอสไอ
 

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าทันทีที่นายสุรชัยเข้าไปถูกควบคุมในเรือนจำ กลุ่มนปช.ได้เข้าเยี่ยมและติดต่อจะให้ความช่วยเหลือและดูแลครอบครัวให้


ด้าน พล.อ.อภิชาต  เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่โรงแรมรอยัล ริเวอร์ ถึงกรณีมีข่าวนายสุรชัยให้การว่า มีนายทหาร ตท.16 เข้าไปสนับสนุนการก่อการร้าย ว่า ถ้าหากเข้าไปเกี่ยวข้องทางเจ้าหน้าที่คงจะพิจารณาดำเนินการ


เมื่อถามว่าแสดงว่าการก่อเหตุที่ผ่านมามีทั้งกลุ่มสีเขียวและสีกากี เข้าไปเกี่ยวข้องกับ พล.อ.อภิชาต กล่าว่า ความจริงตามหลักฐานที่ปรากฏตั้งแต่ต้นมีเครือข่ายโยงใยกันอยู่ แต่ต้องติดตามกันต่อไป




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 กรกฎาคม 2553, 09:41:04
“เป็ดเหลิม” คิดเป็นใหญ่ เสียไม่เป็น จะเอาแต่ได้! 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2553 23:51 น.
 
 
  ในความปั่นป่วนวุ่นวาย แกนนำพรรค-ส.ส.หลายกลุ่มหลายก๊วนในพรรคเพื่อไทย เปิดศึกคว้ามีด คว้าดาบไล่แทงทั้งต่อหน้าและลับหลังกันอย่างหนัก แบบไม่มีใครกลัวใคร
       
       
       ขนาด พายัพ ชินวัตร น้องชาย“ผู้มีพระคุณ” ทักษิณ ชินวัตร ของส.ส.เพื่อไทย ยังโดนส.ส.อีสาน เลื่อยขาเก้าอี้ วางแผนหักหน้า เพื่อกดดันออกจากตำแหน่งประธานภาค ส.ส.อีสาน จากความไม่พอใจหลายเรื่อง แต่หลักๆ คงหนีไม่พ้น
       
       เรื่อง “ท่อน้ำเลี้ยง”
       
       
       ที่พายัพเล่นยึกยัก ปล่อยเงินไม่ตรงเวลาไม่พอ ยังมีลูกหักลูกดึงสารพัด ทำให้ส.ส.อีสานอิดหนาระอาใจ บอกให้แก้ไขหลายรอบ ก็อ้างสารพัด
       
       ยิ่งพอโดน “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” (ศอฉ.) ขึ้นบัญชีดำแช่แข็งห้ามทำธุรกรรมทางการเงิน เลยยิ่งสบโอกาส อ้างว่าขยับลำบาก เงินเข้าออกไม่ได้ ทำให้ส.ส.อีสานเกิดอาการเหนื่อยหน่ายหัวใจ ไม่ไหวจะทวงแล้ว กระทุ้งหลายรอบก็ทำเป็นหูตึง ไม่ได้ยิน
       
       แต่ตอนนี้คงค่อยยังชั่วเมื่อได้ “เจ๊ตุ๋ย” วิยดี สุตะวงศ์ ที่มีข่าวว่ามีธุรกิจใหญ่โตในแวดวงธุรกิจคมนาคม และเข้ามาช่วยเพื่อไทย เพราะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร เลยมาช่วยแบ่งเบาภาระให้พายัพแบบ “จ่ายหนัก-จ่ายจริง” ตั้งแต่พนักงานเปิดประตูพรรค-พนักงานกดลิฟท์เข้าห้องประชุมพรรค จนถึงพวกส.ส.-ว่าที่ผู้สมัครส.ส.อีสานเพื่อไทย
       
       โดย “เจ๊ตุ๋ย”หวังแลกกับการมีชื่อเป็นผู้สมัครส.ส.สัดส่วน อันดับต้นๆ ในโซนอีสานของเพื่อไทย
       
       เลยทำให้พายัพยิ้มออก ไม่ต้องควักกระเป๋า แต่เชื่อเถอะปัญหาในเพื่อไทยยังไม่จบแค่นี้ และไม่ได้มีแค่ในอีสาน แต่มีเกือบทุกภาค ทุกกลุ่ม ทุกมุ้ง ต้องทำทักษิณเวียนหัว เครียดจนลูกหมากบวม มะเร็งกำเริบแน่
       
       ยามนี้ ส.ส.ลูกพรรคเพื่อโจรเผาไทย จึงว้าเหว่อย่างพูดไม่ออก บอกไม่ถูก ครั้นจะพึ่งพาแกนนำพรรครุ่นใหญ่แต่ละคนให้ช่วยประคับประคองพรรค เหลือบมองก็เห็นแต่พวก คิดจะเอาแต่ได้ กอบโกย หากินกับซากศพของทักษิณ ชินวัตร แบบไม่จบไม่สิ้น
       
       ยิ่งขุนพลนามอุโฆษอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ทำตัวไม่ให้เป็นที่พึ่งในยามยาก เมื่อพรรคพบวิบากกรรม
       
       
       ตอนนี้ ข่าวล่ามาเร็วส่งมาจากดูไบ บอกว่า ทักษิณไม่สบอารมณ์ท่าทีของเฉลิมอย่างยิ่ง เพราะคำประกาศหลายครั้งของ เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งแสดงธาตุแท้สันดานเอาแต่ได้ หากต้องเสี่ยงหรือไม่ชัวร์ ก็กระโดดหนี ยิ่งกว่ารักตัวกลัวตายเสียอีก
       
       จนประกาศแบบมั่นใจว่า ไม่ขอเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่มีตำแหน่งใดๆ ในกรรมการบริหารพรรค แต่พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี 6 เดือน หลังเลือกตั้งหากเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แล้วค่อยออกกฎหมายนิรโทษกรรม เอาทักษิณ ชินวัตร กลับเมืองไทย จากนั้นจะลาออกเพื่อให้ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สาม
       
       เมื่อถอดรหัสออกมาก็พบเหตุผลง่ายๆ เบื้องหลังการออกมาโพนทะนาแบบนี้คือ กลัวว่าหากพรรคเพื่อไทยถูกส่งเรื่องให้ยุบพรรค โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งที่เฉลิมประกาศหลายครั้งว่า มีคนจ้องจะหาเรื่องยุบพรรคเพื่อไทย เป็นครั้งที่สาม
       
       ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย พร้อมจะรับทุกตำแหน่งทางการเมือง หากเพื่อไทยได้เป็นแกนนำรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ขอเป็นหัวหน้าพรรค หรือแม้แต่กรรมการบริหารพรรค
       
       นี่คือ สันดานที่แท้จริงของคนๆนี้ รับแต่ชอบ แต่ไม่เอาผิด
       
       
       ซึ่งไม่ใช่แค่คนในเพื่อไทยจะไม่ค่อยพอใจเท่านั้น แต่สังคมควรต้องตั้งคำถามกับนักการเมืองคนนี้ด้วยว่า ถ้าเล่นการเมืองแบบนี้แล้วจะเข้ามาเป็น “ผู้นำประเทศ” ที่ต้องรับผิดชอบกับชีวิตความเป็นอยู่ ความเป็นความตายของคนเกือบ 70 ล้านคน ได้อย่างไร
       
       ก็ขนาดแค่โทษคดีเว้นวรรคการเมือง 5 ปี ที่เป็นเรื่องอนาคต แล้วเป็นเรื่องที่ใครก็ไปวางแผนสร้างสถานการณ์เพื่อกลั่นแกล้งเพื่อไทยไม่ได้ หากคนของเพื่อไทยไม่ไปคิดชั่ว โกงการเลือกตั้ง เล่นการเมืองแบบตรงไปตรงมา ไม่ไปเปิดโรงแรม เซฟเฮ้าส์วางแผนโกงการเลือกตั้งแบบที่เกิดขึ้นกับพรรคพลังประชาชน
       
       แล้วทำไมเฉลิมต้องกลัว ถึงขนาดยอมแก้ผ้าล่อนจ้อน เปลือยกายทางการเมืองให้ผู้คนเห็นเช่นนี้
       ท่าทีทางการเมืองของเฉลิม นอกจากสังคมยังไม่ให้การยอมรับ เพราะขาดภาวะความเป็นผู้นำและเล่นการเมืองแบบเอาแต่ได้แล้ว ยังทำให้เฉลิมไม่ได้ใจทั้งทักษิณ ชินวัตร และคนเพื่อไทย
       
       การที่เฉลิมจะมาอ้างบุญคุณกับพรรคทุกครั้งตอนให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เป็นคนทำให้พรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งซ่อมที่สกลนคร และศรีสะเกษ ทำให้พรรคภูมิใจไทย และเนวิน ชิดชอบ เสียศูนย์ และหมดเงินไปจำนวนมากแต่แพ้ให้กับเพื่อไทยนั้น เป็นการอ้างที่แรกๆทักษิณ ก็คงไม่คิดอะไร แต่เมื่อเฉลิมอ้างบ่อยๆ ก็ทำให้ทักษิณ และแกนนำพรรคคนอื่นๆ รวมถึงส.ส.อีสาน ของเพื่อไทย ชักรำคาญแล้ว

       
       เพราะก็รู้กันอยู่ว่า ชัยชนะทั้งสองสนามเกิดขึ้นบนกระแสทักษิณในอีสาน และแรงหนุนจากเสื้อแดงในสกลนคร และศรีสะเกษทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเฉลิม ที่แค่ไปขึ้นเวทีปราศรัย แต่ยังให้ทักษิณโฟนอินมาช่วยเป็นไฮไลต์ จนเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งซ่อมทิ้งห่างคู่แข่ง แบบถล่มทลาย
       
       รวมถึงการอ้างเรื่องความเก่งกาจของตัวเองว่าเป็นขุนพลอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 ครั้ง จนทำให้ประชาธิปัตย์กำลังจะถูกยุบพรรค ทั้งที่การอภิปรายของเฉลิมทั้ง 2 นัด คือเมื่อปี 2552 และ 2553 ผู้คนที่ได้ยินได้ฟังก็เห็นตรงกันว่า
       
       มีแต่ราคาคุย ที่โหมโรงล่วงหน้าว่าอภิปรายแล้วรัฐบาลอยู่ไม่ได้ ต้องยุบสภาทันที เพราะหลักฐานมันชัด ผู้คนก็เห็นแล้วว่าข้อมูลการอภิปรายของเฉลิมส่วนใหญ่เป็นการตัดแปะข่าวของสื่อมวลชนและทีมงานในพรรคเพื่อไทย ทำมาให้เกือบทั้งสิ้น
       
       เช่น เรื่องการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ของซิโน-ไทย และ ช.การช่าง หรือเรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เฉลิมก็ได้ข้อมูลมาจากนายตำรวจในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ตั้งเรื่องมาให้เพื่อชงให้มีการยุบประชาธิปัตย์ ตามใบสั่งของทักษิณ ชินวัตร ที่มีไปถึงนายตำรวจบางคนในกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อแลกกับเก้าอี้ใหญ่โตเป็นการตอบแทน แล้วแบบนี้ เฉลิมจะมาอ้างความดีความชอบของตัวเองได้อย่างไร
       
       ยิ่งตอนนี้มีคู่แข่งในพรรคพร้อมเปิดตัวชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแข่งกับเฉลิม อย่าง มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เฉลิมก็รีบออกมาสกัดทันทีว่า ไม่เหมาะกับการชูให้ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรค เพราะเหลิม รู้ดีว่า มิ่งขวัญได้รับการโปรโมตจากฝ่ายเครือญาติทักษิณ ทั้งพายัพ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมถึงพวกนักโทษการเมืองคดียุบพรรค ที่ประจำการอยู่ที่ ตึกชินวัตร 3
       
       ถือว่าเป็นการเล่นการเมืองแบบเก่าๆ ที่ไม่สร้างสรรค์ของเหลิม ที่ทำท่าว่ายากจะแก้ไขได้ เพราะนี่คือธาตุแท้ของเขา
       
       เฉลิมเลิกหากินกับทักษิณ ชินวัตรไม่ได้ เพราะใครๆก็รู้ว่า นักการเมืองรุ่นเก่าคนนี้ จะเกาะทักษิณเพื่อไปให้ถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี 
 
 

 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 กรกฎาคม 2553, 13:45:46
โยกย้ายทหาร คลื่นใต้น้ำที่ยังไม่สงบ
22 กรกฎาคม 2553 เวลา 03:23 น.posttoday
ออกอาการสะดุดเล็กน้อย กับเส้นทางสู่เก้าอี้ ผบ.ทบ. ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. เมื่อปรากฏชื่อ พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก เข้ามาเสียบขัดตาทัพก่อนหนึ่งปี

โดย...ทีมข่าวการเมือง


ทั้งในฐานะเพื่อน ตท.10 ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. บวกกับแรงหนุนจาก “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะนายทหารม้า “ลูกป๋า” ทำให้ พล.อ.พิรุณ มาแรงในช่วงโค้งสุดท้าย แซงหน้า พล.อ.ประยุทธ์ (ตท.12) ที่ยังมีเวลาเหลือเฟือเมื่อต้องเกษียณอายุราชการในปี 2557

ทว่าหลายฝ่ายยังปักใจเชื่อว่า “บิ๊กตู่” ซึ่งได้รับการปูทางจนมา “จ่อคิว” รอขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของกองทัพบก ดูจะได้เปรียบ พล.อ.พิรุณ ทั้งในแง่การครองอัตราจอมพลที่อาวุโสกว่า พล.อ.พิรุณ ที่แม้จะเป็นรุ่นพี่ก็ตาม

ยิ่งในยุคที่ “บูรพาพยัคฆ์” กำลังเรืองอำนาจ “3 ป” ทั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามามีบทบาทสำคัญทั้งในกองทัพและการเมือง

โอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้ามาสืบทอดอำนาจ “บูรพาพยัคฆ์” จึงเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะท่ามกลางบรรยากาศสถานการณ์บ้านเมืองที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จนไม่อาจไว้วางใจในอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

การมี “มือไม้” ไว้สานต่อภารกิจให้สำเร็จไปตลอดรอดฝั่ง หรือเป็น “ไม้กันหมา” ป้องกันการไล่เช็กบิลย้อนหลัง หากฝ่ายตรงข้ามสามารถพลิกสถานการณ์กลับเข้ามาเป็นฝ่ายได้เปรียบ จึงเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นที่ต้องการคนไว้ใจได้ รู้ตื้นลึกหนาบางมาสานต่อภารกิจให้ลุล่วง

ที่ผ่านมายังเคยมีเสียงเรียกร้องให้ดัน “บิ๊กตู่” ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. แทน “บิ๊กป๊อก” กลางศึก หวังอาศัยความเด็ดขาด เด็ดเดี่ยวของ “บิ๊กตู่” มารับมือกับสถานการณ์การชุมนุม เมื่อเกิดเสียงครหาว่า “บิ๊กป๊อก” พยายามเซฟตัวเองเพื่อรอวันเกษียณแบบไม่เจ็บตัว

แม้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ออกมาจะเป็นไปในทำนองเรื่องการ “สมนาคุณ” ตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันช่วงกว่า 2 เดือน กับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง

การพิจารณาโยกย้ายปรับ “ขุมกำลัง” ในกองทัพเที่ยวนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามว่ารูปร่างหน้าตาออกมาอย่างไร โดยเฉพาะแนวคิดที่จะ “จำกัด” บทบาท “ทหารแตงโม” ไม่ให้รบกวนการทำงานของทัพ หรือทำให้ข้อมูลรั่วไหวไปสู่ฝ่ายตรงข้ามอย่างที่ผ่านมา

สำหรับรายชื่อที่ติดโผ 5 เสือ ทบ. เที่ยวนี้ นอกจากจะมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ. แล้ว ยังมี พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นรอง ผบ.ทบ. พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. เป็น เสธ.ทบ. พล.ท.ชลวิชญ์ เพิ่มทรัพย์ ปลัดบัญชี ทบ. เป็น ผช.ผบ.ทบ. และ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 เป็น ผช.ผบ.ทบ.

อีกตำแหน่งสำคัญที่มีบทบาทอย่างมากในกองทัพ อย่างปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่ง พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ จะเกษียณปีนี้ พบว่า พล.อ.ประวิตร เตรียมดัน พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท รอง ผบ.สส. ข้ามมาคุมตำแหน่งนี้

ทั้งสถานะที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.8 กับ พล.อ.อภิชาต แล้ว ยังถือเป็นสายตรง “บูรพาพยัคฆ์” เป็นอีกคนสนิทของ “บิ๊กป้อม” ที่เติบโตมาจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) เคยเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการติดตาม พล.อ.ประวิตร ก่อนข้ามไปเป็นรอง ผบ.สส.

ทว่า ในวันที่ “บูรพาพยัคฆ์” กำลังเรืองอำนาจต่อเนื่อง ย่อมสะเทือนไปถึง “วงศ์เทวัญ” อีกสายอำนาจในกองทัพที่เคยเรืองเฟื่องฟูมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องการที่จะแทรกตัวให้กลับเข้ามาในขั้วอำนาจ ไม่ถูกกลืนหายไปในยุคนี้

การจัดความสมดุลให้เกิดขึ้นในกองทัพ จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยประสาน “รอยร้าว” อุดช่องโหว่ และไม่ให้เกิด “คลื่นใต้น้ำ” มาคอยปั่นป่วนภายในจนอาจลุกลามส่งผลกระทบรุนแรงต่อกองทัพ และความเป็นทหารมืออาชีพ

ยิ่งทุกวันนี้สารพัดโครงการจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ กำลังถูกตรวจสอบจากทั้งพรรคฝ่ายค้าน และสังคมกำลังจับตาเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เครื่องจีที 200 มาจนถึงการจัดซื้อเครื่องบินกริพเพน รถหุ้มเกราะยูเครน บอลลูนสังเกตการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้

รวมแล้วงบประมาณจำนวนมหาศาลที่จัดสรรไปให้กับกองทัพ กลับถูกนำไปใช้ในโครงการที่ชัดเจนว่ามีเงื่อนงำความไม่ชอบมาพากล และเป็นจุดอ่อนที่จะกลายเป็นปัญหาในระยะยาวต่อกองทัพ

ตามหลักการแล้ว การจัดทัพโยกย้ายทหารภายใต้ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม 2551 ถือเป็นหน้าที่การพิจารณาของคณะกรรมการ ซึ่งประกอบไปด้วย 6 คน ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ

ดูหน้าค่าตาแล้วจึงค่อนข้างชัดเจนว่า อำนาจการตัดสินใจที่จะชี้นำบอร์ดชุดนี้ น่าจะอยู่ที่ฝั่ง “บูรพาพยัคฆ์” ทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ที่จะมีส่วนสำคัญในการวางโครงสร้างและรูปร่างหน้าตาของกองทัพหลังจากนี้

แม้บอร์ดชุดนี้จะตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกันการเข้ามาล้วงลูกของฝ่ายการเมืองกับการจัดขุมกำลังของกองทัพ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ต่างแสดงออกชัดเจนว่า ลงเรือลำเดียวกับรัฐบาลประชาธิปัตย์ไปแล้ว

เสียงวิจารณ์ระยะหลังจึงออกมาเป็นห่วงเรื่องการเลือกข้างของ “กองทัพ” ซึ่งจะสะท้อนผ่านการจัดโผโยกย้ายรอบนี้ ที่จะต้องการจะดัน พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมากุมอำนาจกองทัพ ล้างภาพทหารแตงโมจนน่าเป็นห่วงเสถียรภาพภายในกองทัพ

สุดท้ายการจัดโผกองทัพเที่ยวนี้ จึงเป็นเรื่อง “เปราะบาง” ท่ามกลางสัญญาณป่วนจากคลื่นใต้น้ำที่กดดันอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ได้แต่รอจับตาดูว่า “สมดุล” จากการปรับขบวนภายในกองทัพเที่ยวนี้จะออกมาอย่างไร และจะส่งผลอย่างไรต่อไปในระยะยาว



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 กรกฎาคม 2553, 18:04:40
เปลว สีเงิน” จวก “นวยนิ่ม” ทำคดี “อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์” ไม่ดูข้อเท็จจริง ซัดอันตรายต่อสังคม
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2553 13:40 น.
 
 คอลัมน์ คนปลายซอย นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันนี้ (22 ก.ค.)
 

 ASTVผู้จัดการ - “ป๋าเปลว” แปลกใจคำพูด “อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์” พูดกลางงานประกาศรางวัลนาฏราช คนฟังกินใจแต่กลับถูก ดีเจลูกทุ่ง แจ้งความหมิ่นสถาบัน จวกตำรวจเอาตัวรอด ไม่สนใจข้อเท็จจริง ชี้เป็นอันตรายต่อสังคม กลายเป็นเครื่องมือเอื้อประโยชน์โจร ถามใจ “นวยนิ่ม” เป็นถึงนายตำรวจรู้กฎหมายแต่ยังไร้เดียงสา ดูเจตนาไม่ออกว่าเป็นคุณหรือโทษ แต่เพื่อไม่ให้ถูกครหาแนะฟังความให้ครบด้าน
       
       วันนี้ (22 ก.ค.) คอลัมน์คนปลายซอย ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ “เปลว สีเงิน” ผู้บริหารและคอลัมนิสต์อาวุโสของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เขียนบทความเรื่อง ตำรวจ กับ “วิสามัญสำนึก” โดยวิพากษ์วิจารณ์ถึงการที่ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะเรียกตัวนายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง หรือ “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” ดารานักแสดงชื่อดังที่ถูก นายภูมิพัฒน์ วงศ์ยาชวลิต หรือ “แน็ต พีรกร” ศิลปินลูกทุ่งและผู้จัดรายการวิทยุลูกทุ่ง เข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากการกล่าวแสดงความรู้สึกในงานประกาศผลรางวัลนาฏราช ซึ่งจัดขึ้นที่หอประชุมกองทัพเรือเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา และถ่ายทอดสดผ่านไทยทีวีสีช่อง 3
       
       เปลว สีเงิน ระบุว่า คำที่นายพงษ์พัฒน์พูดบนเวทีถึงเรื่อง “พ่อ” และได้รับเสียงปรบมือยาวนานในงานที่จัดโดยโทรทัศน์ช่อง 3 และเป็นคำกล่าวที่ผู้ฟังทั่วไปชื่นชอบด้วยรู้สึกกินใจอย่างกว้างขวางนั้น นายภูมิพัฒน์กลับไปแจ้งตำรวจให้จับนายพงษ์พัฒน์ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 ซึ่งตอนนี้ พล.ต.ต.อำนวยและทีมงานประชุมลงมติกันแล้วว่า เมื่อมีผู้มาแจ้งความตำรวจก็ต้องทำหน้าที่
       
       คอลัมนิสต์อาวุโสยังชี้ให้เห็นว่า ตำรวจก็ทำงานอยู่ระหว่างเขาควาย จึงต้องรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี โดยไม่คำนึงว่า ข้อเท็จจริงและเจตนาเป็นอย่างไร เข้าข่ายตามกฎหมายหรือไม่ และผู้แจ้งหวังยืมมือตำรวจสร้างเงื่อนไขทำลายล้างผู้อื่นหรือไม่ แต่กลับมองว่าใครมาแจ้งก่อนเป็นโจทก์ ใครถูกแจ้งเป็นจำเลย ตามกระบวนการพิจารณาความของไทยที่ใช้ระบบกล่าวหา ซึ่งการที่ตำรวจไม่สนใจว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับผลกระทบ
       
       “การรับคดีโดยไม่ดูข้อเท็จจริงและเจตนานี่ ‘อันตราย’ ต่อสังคมมาก ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันและมีการถูกนำมาใช้เป็น ‘เกม’ เพื่อการให้คุณ-ให้โทษอีกกับอีกฝ่ายด้วยแล้ว ถ้ากระบวนการยุติธรรมขั้นต้นคือ ‘ตำรวจ’ ทำหน้าที่ด้วยกลัว ด้วยหวั่นไหว มุ่งเอาตัวเองรอด ขาดความอาจหาญบนจิตวินิจฉัย ‘เสียสละ-คุณธรรม-ความถูกต้อง’ แล้วละก็ ตำรวจจะเป็นเครื่องมือเอื้อประโยชน์โจรมากกว่าเป็น ‘ผู้อภิบาลคนดี-ย่ำยีคนร้าย’ ขืนเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ประชาชนผู้แบกภาระชาติจะเกิดความรู้สึก ทำดีเพื่อสถาบัน "มีแต่ตาย กับเสมอตัว" แล้วจะทำทำไม!?”
       
       นอกจากนี้ เปลว สีเงิน ยังแสดงความแปลกใจต่อ พล.ต.ต.อำนวย ถึงการสอบถามนายพงษ์พัฒน์ว่า เหตุใดจึงมีอากัปกิริยาเช่นนั้นขณะรับรางวัล เจตนาล่วงเกินสถาบันหรือไม่ และทำไมจึงเรียก ‘พ่อ’ เฉยๆ โดยเห็นว่าควรจะเรียกคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น หรือบุคคลทั่วไปที่ได้รับฟัง ทั้งนักกฎหมาย ทั้งอาจารย์ภาษาไทย มาให้ปากคำ มาให้ความเห็นว่าที่นายพงษ์พัฒน์ พูดบนเวทีในงานรับรางวัลนาฏราชนั่นหมายถึงใคร
       
       และคนฟังเมื่อฟังแล้วเข้าใจอย่างไร มีความรู้สึกตอบสนองอย่างไร เมื่อสอบเสร็จ ฟังรอบด้านแล้ว จึงจะมาสรุปกันว่าที่นายพงษ์พัฒน์พูดนั้นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่ ซึ่ง พล.ต.ต.อำนวยบอกว่า ไม่เกิน 1 เดือนก็สามารถสรุปได้ ซึ่ง พล.ต.ต.อำนวย เป็นถึงนายตำรวจมือกฎหมาย น่าจะรู้ว่าคำพูดของนายพงษ์พัฒน์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่ พูดเป็นคุณ หรือเป็นโทษ พูดด้วยเจตนาดี หรือเจตนาร้าย แต่เพื่อไม่ให้แต่ละฝ่ายยกเป็นข้อครหายามไม่ถูกใจ จึงเห็นว่าควรฟังความให้ครบด้าน หยั่งกระแสแล้วค่อยสรุปว่าเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่ายที่หลัง
       
       สำหรับ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เคยสร้างวีรกรรมในระหว่างเหตุการณ์สลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมหน้ารัฐสภาด้วยระเบิดแก๊สน้ำตาและอาวุธเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ซึ่งมักจะออกมาทำหน้าที่แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเพื่อแก้ต่างให้กับตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในทำนองว่าได้ใช้แก๊สน้ำตาเป็นเครื่องมือควบคุมฝูงชนตามหลักสากลที่ใช้กันทั่วโลก ไม่ได้ใช้กระสุนยาง ส่วนผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บนั้น อาจเกิดจากการวิ่งและลื่นหกล้ม นอกจากนี้ยังปฏิเสธภาพที่ตำรวจขว้างปาวัตถุคล้ายระเบิดใส่ผู้ชุมนุมที่สื่อมวลชนนำเสนอ และยังยืนยันว่าตำรวจมีอำนาจโดยชอบที่จะดำเนินการสลายการชุมนุม
       
       นอกจากนี้ ด้วยความที่ พล.ต.ต.อำนวยเป็นนายตำรวจมือกฎหมาย ครั้งหนึ่งภายหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ก็มีนายสิทธิพร โพธิโสดา ซึ่งอ้างว่าเป็นทนายความ ได้ฟ้องร้องต่อศาลอาญาเพื่อให้ดำเนินการเอาผิดต่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. และพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.รวม 5 คน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่านายสิทธิพรไม่ใช่ผู้เสียหาย และมีรายงานว่านายสิทธิพรเป็นเพื่อนสนิท และเป็นคน จ.สงขลา บ้านเดียวกันกับ พล.ต.ต.อำนวย
       
       ภายหลังพบว่า พล.ต.ต.อำนวยอาศัยกรณีที่นายสิทธิพรฟ้องร้องนำไปยื่นฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้หยุดไต่สวนเอาผิด โดยอ้างถึง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 86 บัญญัติ ห้ามไม่ให้ ป.ป.ช.รับคำกล่าวหาที่เกี่ยวกับเรื่องที่ศาลรับฟ้องในประเด็นเดียวกัน ภายหลังเมื่อศาลนำคำฟ้องมาตรวจพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีไม่ครบองค์ประกอบความผิด จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องและงดการไต่สวนมูลฟ้องดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.อำนวยยังมีความพยายามที่จะขัดขวางการไต่สวนเอาผิดกับตำรวจที่สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมรายงานว่า พล.ต.ต.อำนวยได้ส่งหนังสือถึง พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ นายกสมาคมตำรวจ และอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ขอล่ารายชื่อตำรวจ ยื่นถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช.พ้นตำแหน่งอีกทางหนึ่งด้วย
       
 
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 กรกฎาคม 2553, 09:46:49
 
ชะตากรรมของทักษิณ และคอร์โดคอฟสกี้ ความล้มเหลวของโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กรกฎาคม 2553 00:07 น.
 
 
 
  ในเว็บไซต์ robertamsterdam.com ของนายโรเบิร์ต แอมสเตอร์ดัม มือปืนรับจ้างสร้างภาพ ให้ นช. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักประชาธิปไตย มีสมุดปกขาวอยู่หลายเล่ม เล่มหนึ่งเป็นเรื่อง การปิดกั้น สิทธิเสรีภาพทางการเมืองในสิงคโปร์ โดยยกเอากรณีของนายจีซุนจวน เลขาธิการพรรคประชาธิปไตยสิงคโปร์ พรรคฝ่ายค้าน ที่ถูกจำคุก ในข้อหาหมิ่นประมาท เพราะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เล่มหนึ่งเป็นเรื่องของอำนาจเผด็จการของรัฐบาลรัสเซีย ที่จับนายมิคาอิล โคดอร์คอฟสกี้ อดีตมหาเศรษฐี และนักธุรกิจมาเฟียเข้าคุก
       
       ยังมีสมุดปกขาว พูดถึงนักการเมืองฝ่ายค้านในไนจีเรีย และนายธนาคารในเวเนซุเอลา ที่ถูกรัฐบาลรังแก ตั้งข้อหา คอร์รัปชั่น ทำผิดกฎหมายเงินตราต่างประเทศ จนต้องหนีไปอยู่ในต่างประเทศ
       ทุกคนที่เป็นตัวละครในสมุดปกขาวเหล่านี้ ล้วนเป็นลูกค้าของนายอัมสเตอร์ดัม ที่จ้างให้เขาเคลื่อนไหว สร้างภาพ สร้างข่าวให้ปรากฏในสื่อต่างประเทศ เพื่อหวังจะสร้างแรงสนับสนุนจากประชาคมนานาชาติ เป็นอาวุธในการต่อสุ้ของตัวเอง
       
       จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องแปลกใจ ที่สมุดปกขาวเล่มล่าสุดของนายอัมสเตอร์ดัม จะเป็นเรื่อง The Bangkok Massacres : A Call For Accountability การสังหารหมู่ที่กรุงเทพ เสียงเรียกร้องหาความรับผิดชอบ ที่เขียนคำนิยม โดย นช. ทักษิณ ชินวัตร เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของ แพ็คเก็จ การใส่ร้าย ป้ายสีประเทศไทย การสร้างภาพ นช. ทักษิณ ว่าเป็นนักประชาธิปไตย ที่ถูกล้มล้างด้วยการรัฐประหาร ที่นช.ทักษิณ จ้างให้นายอัมสเตอร์ดัมดำเนินการ
       
       นายอัมสเตอร์ดัมมีชื่อเสียงขึ้นมา จากการรับจ้างสร้างภาพให้ นายโคดอร์ดอฟสกี้ ว่า เป็นผู้ที่มีความคิดแบบเสรีนิยม สนับสนุนระบบประชาธิปไตย และระบบทุนนิยมเสรี เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ ในการสร้างรัสเซียใหม่ หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ซึ่งตกเป็นเหยื่อของ ระบบการปกครองที่เผด็จการของรัสเซีย ที่มีนายลาดิเมียร์ ปูติน เป็นผู้นำ
       
       กลยุทธ์การสร้างภาพเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ “ ขายได้” ในโลกตะวันตก ที่บูชาคาถา “ ตลาดเสรี - ประชาธิปไตย-สิทิมุนษยชน- ต่อต้านปูติน “ เว็บไซต์ และบล็อกของนายอัมสเตอร์ดัม จึงมีแต่เรื่องที่ใส่สี ตีไข่ สร้างเป็นภาพปูติน และรัสเซีย ให้เป็นยักษ์มาร และเชิดชูนายโคดอร์คอฟสกี ให้เป็นนักเสรีนิยม ผู้สนับสนุนการค้าเสรี
       
       แต่ความจริงแล้ว นายโคดอร์ดอฟสกี้ เป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญ ในการสร้างระบบทุนนิยมมาเฟีย หลังโซเวียตล่มสลาย ยูคอส ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของรัสเซีย ที่เกิดขึ้นจากการ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ หลังการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ เป็นกิจการที่โคดอร์ดอฟสกี้ และกลุ่มคณาธิปไตยหรือ oligarch ของรัสเซีย “ ปล้น”มาจากรัฐ ด้วยวิธีการอันฉ้อฉล ในยุคที่บอรีส เยลต์ซินเป็นประธานาธิบดี
       
       เมื่อปูตินขึ้นมามีอำนาจ ยูคอสถูกกล่าวหาว่า เลี่ยงภาษี และมีพฤติกรรมทุจริต ปี 2003 นายอัมสเตอร์ดัมมีโอกาสพบกับนายโคดอร์คอฟสกี้ ที่วอชิงตัน โดยการแนะนำของเพื่อนคนหนึ่ง และต่อมากลายเป็นที่ปรึกษากฎหมายของนายโคดอร์คอฟสกี้ แต่ไม่ใช่ทนายความ เพราะนายอัมสเตอร์ดัม ไม่มีสิทธิว่าความในรัสเซีย และไม่มีความรู้เรื่องรัสเซีย
       
       นายอัมสเตอร์ดัม เป็นล้อบบี้ยิสต์ และนักสร้างภาพ ป้ายสี ใส่ไข่มากกว่า เขาสร้างภาพว่านายโคดอร์ดอฟสกี้ถูกรังแกจากระบอบเผด็จการของนายปูติน ด้วยการจัดแถลงข่าว เขียนบทความ ทำเว็บบล็อก จัดสัมมนา เรื่องที่เป็นด้านลบของรัสเซีย
       
       แต่สุดท้ายแล้ว ยูคอส ถูกพิพากษาให้ล้มละลาย นายโคดอร์คอฟสกี้ ถูกจำคุกที่ไซบีเรีย เป็นเวลา 8 ปี ส่วนนายโคดอร์คอฟสกี้ ถูกขับออกจากรัสเซีย แต่ว่า มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากเรื่องนี้ ทุกวันนี้ เขายังหากินกับนายโคดอร์คอฟสกี้อยู่
       
       กลยุทธ์ของนายอัมสเตอร์ดัม คือ การสร้างข่าว ใช้ความจริงส่วนเดียว ผสมความเท็จ หลายส่วน สร้างโจรให้เปน็น็น็นฮีโร่ ภาพ และข่าว-บทวิเคราะห์ที่ปรากฏในเว็บบล็อประเทศไทย ในเว็บไซต์โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมนั้น เป็นภาพ และเป็นเรื่องเดียวกับ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงนำเสนอผ่านสื่อภาษาไทย และมุมมองของนักวิชาการเสื้อแดง เช่น กรณี 6 ศพ ที่วัดปทุมวนาราม , ภาพคนห่มเหลืองโดนทหารจับมัดมือไพล่หลัง , ภาพทหารเล็งปืนเข้าใส่ผู้ชุมนุม , การบิดเบือน การสลายการชุมนุมว่า เป็นการสังหารหมู่ การใช้ พรก. ฉุกเฉิน คือ การใช้อำนาจเผด็จการไล่ล่าคนเสื้อแดง การชุมนุมของคนเสื้องแดง คือ การเรียกร้องประชาธิปไตย ฯลฯ
       
       ตรรกะ และวาทกรรมเหล่านี้ คือ เหตุผลซ้ำซาก ที่กลุ่มคนเสื้อแดงบิดเบือนเพื่อหาคำอธิบายกับความพ่ายแพ้ของตนเอง ไม่มีเรื่องไหนใหม่เลย ไม่มีประเด็นไหน เป็นประเด็นใหม่ ที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ และสื่อไทยบางค่าย ไม่เคยกุขึ้นมาก่อน นายอัมสเตอร์ดัมทำงานง่ายไปหน่อย เขาหวังว่า เรื่องโกหก ที่แปลมาจากภาษาไทยเหล่านี้ จะได้รับความสนใจจากต่างชาติ แต่กลับกลายเป็น สื่อไทย ที่ไปเอาเรื่องแปลของฝรั่ง มาเสนอเป็นภาษาไทยอีกรอบหนึ่งไปเสียฉิบ
       
       
       เป้าหมายของนช.ทักษิณ ในการว่าจ้างนายอัมสเตอร์ดัมคือ ต้องการให้ มีการนำเรื่อ งการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ไปสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ และต้องการให้สหประชาชาติ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา เข้ามาสอบสวนเรื่องนี้ในประเทศไทย
       แต่ท่าที่ขององค์การสหประชาชาติ สหภาพยุโรป รัฐบาลสหรัฐฯ ที่แสดงผ่านแถลงการณ์หลังเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม สะท้อนว่า ต่างชาติเข้าใจว่า อะไร เป็น อะไร และมติของสภาผู้แทนราษฎร สหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนแผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ อย่างท่วมท้น เมื่อเร็วๆนี้ ชี้ชัดว่า นายอัมสเตอร์ดัม ล้มเหลวในการสร้างภาพลบของประเทศไทยในเวทีสากล
       
       การออกสมุดปกขาว ใส่ร้ายประเทศไทยว่า มีการสังหารหมู่เกิดขึ้นในเมืองหลวง เป็นการบิดเบือนความจริง เพื่อ วางบิล เก็บเงินจาก นช. ทักษิณ เท่านั้น
       
       สุดท้ายแล้ว ชะตากรรมของ นช. ทักษิณ กับ นายโคดอร์คอฟสกี้ไม่ต่างกัน คือ ถูกนายอัมสเตอร์ดัมหลอกหากิน ทุกวันนี้ นายโคดอร์คอฟสกี้ ติดคุกอยู่ที่ไซบีเรีย นช. ทักษิณ ต้องระเหเร่ร่อน ไปๆมาระหว่างมอนเตรนีโกรกับรัสเซีย อยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ไปไหนไม่มีใครต้อนรับ อยู่ที่ไหนไม่กล้าบอก
       
       เพราะไม่มีเทวดาหน้าไหน สามารถสร้างภาพ ฟอกคนผิด คนโกง ให้เป็นคนดี ทาสีขาวทับสีแดง เปลี่ยนผู้ก่อการร้าย ให้เป็นผู้เรียกร้องประชาธิปไตยได้
 
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 กรกฎาคม 2553, 10:36:50
วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 06:43:03 น.   มติชนออนไลน์

อย่าพลาด ! จันทร์ดับ New Moon 26 ก.ค. ขอพรจากฟ้าได้ 8 ประการ ...ห้ามบอกใคร?

 26  กรกฎาคม ตามตำราโหราศาสตร์หลายอาจารย์ ระบุว่า เป็นวันจันทร์ดับ หรือ New Moon   เป็นวันที่เหมาะแก่การ  “ขอพรจากฟ้าวันจันทร์ดับ”
 

จริงๆ แล้ว ปรากฏการณ์ New Moon เกิดขึ้นปีละหลายครั้ง    เช่นปี 2553  เกิด 25 ครั้ง  ปีที่แล้ว เกิดขึ้น 12 ครั้ง
 

นักโหราศาสตร์โบราณเรียกว่า “วันอมาวสี” ในวันนี้จะเป็นวันที่ตำแหน่งองศาของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ทับกันสนิท
 

ทางโหราศาสตร์ เชื่อกันว่าวันนี้เหมาะแก่การ “ขอพรจากฟ้า-ขอพรจากพระจันทร์”บางคนจึงเรียกว่า “วันขอเงินพระจันทร์”
   

อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ บอกว่า วันขอพรจากฟ้า ฤกษ์ดี ปี 2553จะมีทั้งหมด 25 ครั้ง ครั้งล่าสุดคือ 

      ครั้งที่ 15 วันที่ 26 ก.ค. เวลา 08.37 น.
    - ครั้งที่ 16 วันที่ 10 ส.ค. เวลา 10.10 น.
    - ครั้งที่ 17 วันที่ 25 ส.ค. (คืน 24 ส.ค.) เวลา 00.05 น.
    - ครั้งที่ 18 วันที่ 8 ก.ย. เวลา 17.31 น.
    - ครั้งที่ 19 วันที่ 23 ก.ย. เวลา 16.19 น.
    - ครั้งที่ 20 วันที่ 8 ต.ค. (คืน 7 ต.ค.) เวลา 01.45 น.
    - ครั้งที่ 21 วันที่ 23 ต.ค. เวลา 08.38 น.
    - ครั้งที่ 22 วันที่ 6 พ.ย. เวลา 11.52 น.
    - ครั้งที่ 23 วันที่ 22 พ.ย. (คืน 21 พ.ย.) เวลา 00.29 น.
    - ครั้งที่ 24 วันที่ 6 ธ.ค. (คืน 5 ธ.ค.) เวลา 00.37 น.
    - ครั้งที่ 25 ของปี 2553 วันที่ 21 ธ.ค. เวลา 15.14 น.
 

อาจารย์ภิญโญ   อธิบายว่า  วันจันทร์ดับ หรือการเกิด “จุดจันทร์เพ็ญ” ว่าวัน-เวลาดังกล่าวนี้เปรียบเป็นวันที่ “ประตูฟ้าเปิด” อิทธิพลทั้งหลายของดวงดาวจะถูกถ่ายทอดลงมาสู่โลกมนุษย์ และมีฤทธิ์นานประมาณ 1 เดือน ซึ่งถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับใครในวันจันทร์ดับหรือวันอมาวสีเป็นเช่นไร เหตุการณ์ในเดือนนั้นทั้งเดือนก็จะเป็นเช่นนั้น
 

ดังนั้น วันอมาวสีจึงถือเป็นวัน “เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดี” หากเริ่มต้นดี คิดทำอะไรดี ๆ ก็จะดีไปตลอดทั้งเดือน ซึ่งถ้าคิดดีและทำในสิ่งที่ดีๆ ได้ทุกช่วงวันอมาวสี ก็จะยิ่งเป็นเรื่องดี
   

ส่วนอาจารย์ จรัล พิกุล ผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ยูเรเนียนโบราณ ผู้ซึ่งล่วงลับไปแล้ว เป็นผู้ให้ความรู้ไว้ พร้อมทั้งมีคำแนะนำไว้ ประมาณว่า วันขอพรจากฟ้า สามารถขอได้ในช่วงก่อนและหลังเวลาเกิดนิวมูนหรืออมาวสี 8 ชั่วโมง วิธีการก็เช่น เขียนขอสิ่งที่ปรารถนาที่สอดคล้องความเป็นจริง ไม่เกิน 8 ข้อ ไว้บนมือข้างไหนก็ได้ ให้เชื่อมั่นศรัทธา ทำจิตให้นิ่ง มีสมาธิ ต้องขอเพื่อตัวเองเท่านั้น วันขอพรจากฟ้า ขอแทนคนอื่นไม่ได้ ห้ามให้ใครรู้ว่าขออะไรและควรขอในเวลาที่สงบ ดูดวง ดวง ทำนายฝัน ดูดวงสบายๆ
   

ขณะที่ คุณหมอลักษณ์ เรขานิเทศ  โหรฟันธง แนะวิธีขอเงินจากพระจันทร์ว่า  ขอ ให้ท่านทั้งหลายทำใจให้สบาย ไม่ควรทะเลาะเบาะแว้งกับใคร จนทำให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัว พยายามทำให้วันนั้นเป็นวันที่สงบ ราบเรียบ ควรไปปฏิบัติธรรม รับศีล อยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ สมณะชีพราหมณ์ แบบนี้จะเป็นมงคลอย่างมาก ในวันจันทร์ดับนั้น ห้ามอย่างยิ่งที่จะให้ใครหยิบยืมสตางค์ อย่าให้ใครมาทวงหนี้ หรือพยายามอย่าให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีทั้งหลายเกิดขึ้น เพราะถ้าเกิดขึ้น เหตุการณ์นั้นจะดำรงคงอยู่ไป 1 เดือนเต็ม

 

อย่างไรก็ตาม พรที่ดีที่สุดจาก นิวมูน ก็คือ ทำดี ย่อมได้ดี (ครับ)




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 กรกฎาคม 2553, 18:36:22
ภาคีสลายหลังพอใจถกนายกฯ!! “ปานเทพ” รับ “มาร์ค” เห็นต่าง แต่ย้ำยึดสันปันน้ำ    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 กรกฎาคม 2553 17:03 น.


      
“ปานเทพ” เผยหลังคุยพระวิหารร่วมนายกฯ ยอมรับ 2 ฝ่ายยังเห็นไม่ตรงกัน หลัง “มาร์ค” ไม่เลิกเอ็มโอยู 43 หวังใช้ระบุเขตทับซ้อน บอกประท้วงเขมรยึดพื้นที่แต่ไม่ไล่หวั่นเกิดสงคราม ยันส่ง “สุวิทย์” หวังค้านจนสุดๆ แต่ถ้าพลาดค่อยว่ากันใหม่ ย้ำยึดสันปันน้ำ ไม่เอาแผนที่ฝรั่งเศส ล่าสุด "จำลอง" สั่งสลายการชุมนุม หลังหารือเป็นผล ยูเนสโกส่งข้อเสนอไปบราซิลแล้ว
       

       วันนี้ (27 ก.ค.) ที่ ASTV-ผู้จัดการ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ถึงผลการหารือระหว่างตัวแทนพันธมิตรฯ และภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในกรณีการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกว่า ในเบื้องต้นทั้ง 2 ฝ่ายยังมีความเห็นค่อนข้างไม่ตรงกัน อาทิ กรณีที่พันธมิตรฯ เห็นว่าควรมีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจการสำรวจและการปักปันเขตแดนทางบกปี 2543 หรือเอ็มโอยู เพราะหวั่นจะเป็นอันตรายในอนาคตหากรัฐบาลจะนำมาใช้ประโยชน์เพื่อส่วนตน แต่นายกฯ กลับเห็นว่า เป็นประโยชน์ในการแบ่งพื้นที่ทับซ้อน ขณะที่ข้อเสนอให้ขับไล่ทหารและชาวกัมพูชาพ้นจากพื้นที่พิพาท นายกฯ กล่าวตอบว่า รัฐบาลได้พยายามใช้สิทธิ์ในการประท้วงกรณีดังกล่าวแล้ว แต่ทั้งนี้รัฐบาลไม่อยากจะให้นำไปสู่การเกิดภาวะสงครามขึ้น
       
       นายปานเทพกล่าวว่า ส่วนข้อเสนอที่เห็นว่ารัฐบาลไม่ควรส่งผู้แทนรัฐเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการ มรดกโลกที่ประเทศบราซิล โดยให้เป็นการทำหนังสือส่งไปแทนนั้น นายกรัฐมนตรีกลับเห็นว่ารัฐบาลจะได้ขอใช้สิทธิในการประท้วงให้สิ้นสุดก่อน จากนั้นค่อยมาหาวิธีการจัดการกันต่อไป ซึ่งตรงนี้พันธมิตรฯ เชื่อว่าจะไม่เป็นผลนัก รัฐบาลจะต้องบอยคอตในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันกับตนว่ารัฐบาลจะยึดหลักสันปันน้ำในการแบ่งเขต แดนบริเวณเขาพระวิหาร และไม่ยอมรับการใช้แผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ของกัมพูชาที่ใช้ยื่นจดทะเบียนปราสาท เพราะถือเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทย ทั้งนี้ตนและคณะผู้เข้าร่วมประชุม เตรียมนำผลสรุปดังกล่าวไปแจ้งให้ผู้ชุมนุมทราบก่อนที่กลุ่มภาคีฯ จะสรุปเพื่อหาแนวทางการเคลื่อนไหวต่อไป
       
       ล่าสุด ที่หน้าองค์การยูเนสโก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมสลายตัวแล้ว หลังองค์การยูเนสโกได้ประกาศจะนำข้อเสนอของทางภาคีฯ ส่งไปยังที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ณ ประเทศบราซิล ขณะที่ผลหารือระหว่างนายกฯ และตัวแทนพันธมิตรฯ เป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้พล.ต.จำลอง ยืนยันว่า รัฐบาลจะต้องไล่ทหารและพลเรือนกัมพูชาออกจากพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระ วิหารให้ได้


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 กรกฎาคม 2553, 10:25:26
นที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 22:39:39 น.   มติชนออนไลน์

แกะรอยสโมสรฟุตบอลดัง โอนหุ้นพิสดาร 4 ตลบ ช่วง นปช.ชุมนุมใหญ่ โยงบิ๊กนักการเมือง-ท่อน้ำเลี้ยงแดง?

แกะเงื่อนงำสโมสรฟุตบอลดัง โอนหุ้นพิสดาร 4 ตลบ ช่วง กลุ่มนปช.ชุมนุมใหญ่ โยงนักการเมืองระดับบิ๊ก-ท่อน้ำเลี้ยงแดง?


[b]ในการชี้แจงต่อศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยุครัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช แกนนำพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็น 1 ใน 152 รายที่ถูกอายัดการทำธุรกรรมทางการเงิน ได้ชี้แจงว่าไม่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงเพราะเงินก้อนดัง กล่าวได้นำไปสร้างสนามฟุตซอลและสโมสรฟุตบอลนครปฐมเอฟซี โดยมีใบอนุญาตก่อสร้างถูกต้องตามกฎหมาย และก่อสร้างก่อนที่ ศอฉ.จะมีคำสั่งระงับการทำธุรกรรมการเงิน

 

การชี้แจงดังกล่าวของนายไชยาเกิดขึ้นเพราะ ศอฉ.ตรวจเส้นทางการเงินพบว่าระหว่างเดือนกันยายน 2552- พฤษภาคม 2553 นายไชยามีเงินหมุนเวียนในบัญชีประมาณ 40 ล้านบาท  (ฝากประมาณ 18 ล้านบาท ถอนประมาณ 19 ล้านบาท-ฝาก ถอนเกือบทุกวัน) ศอฉ.สงสัยว่าเงินก้อนนี้อาจนำไปใช้สนับสนุนการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคน เสื้อแดงเมื่อช่วงก่อนและหลังวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา

 

ก่อนที่พิจารณาว่าคำชี้แจงของนายไชยามีน้ำหนักสมเหตุสมผลหรือไม่ อย่างไร? ต้องดูข้อมูลนี้เสียก่อน

 

"มติชนออนไลน์"ตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า สโมสรฟุตบอลนครปฐมเอฟซี จดทะเบียนในชื่อ บริษัท สโมสรฟุตบอล นครปฐม จำกัด เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2551 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่  2 ถนนเกษตรสิน ตำบลลำพยา อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม

 

ผู้ถือหุ้นเริ่มแรก 6 คนคือนายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ (บุตรชายคนโตของนายไชยา) 3,500 หุ้น  ,นายสถิตย์ ทวีนุช 2,500 หุ้น, นายวุฒิไชย สุทธิพิเชษฐ์ 2,000 หุ้น ,นางสาวณัฎฐิกา จำปาแก้ว 1,000 หุ้น ,นายรัฐกิจ พณิชย์ไพบูลย์ 800 หุ้น ,นายฐานุพงศ์ รังสิไตรพงศ์ 200 หุ้น  รวม 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท มีนายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ และนายสถิตย์ ทวีนุช เป็นกรรมการ  (ดูตารางประกอบ)

 

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2552  บริษัท สโมสรฟุตบอล นครปฐม จำกัด หุ้นของนายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์  นายวุฒิไชย สุทธิพิเชษฐ์  สาวณัฎฐิกา จำปาแก้ว  นายรัฐกิจ พณิชย์ไพบูลย์ และ นายฐานุพงศ์ รังสิไตรพงศ์  ถูกโอนไปให้ผู้ถือหุ้นรายใหม่คือบริษัท มี เมเนจเม้นท์ จำกัด ทั้งหมด

 

ทำให้บริษัท  มี เมเนจเม้นท์ จำกัด กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน 7,499 หุ้น , นายสถิตย์ ทวีนุช 2,500 หุ้น  และ นายวสันต์ หอมแสงประดิษฐ์ 1 หุ้น โดยนายวสันต์เป็นกรรมการ
   

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่อีกครั้ง


บริษัท มี เมเนจเม้นท์ จำกัด ได้โอนหุ้นนายสถิตย์ ทวีนุช ทั้งหมดทำให้นายสถิตย์กลับมาเป็นถือหุ้นใหญ่จำนวน  9,998 หุ้น  ขณะที่ นายวสันต์ หอมแสงประดิษฐ์  และ นายอัศวิน ลิ้มสมบัติอนันท์ ถือคนละ 1 หุ้น  โดยนายวสันต์เป็นกรรมการ
 

วันที่ 1 เมษายน 2553  นายสถิตย์ ทวีนุช ได้โอนหุ้นให้นายไชยา สะสมทรัพย์ ทำให้นายไชยาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน 9,997 หุ้น  นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายสถิตย์ ทวีนุช และ นายวุฒิไชย สุทธิพิเชษฐ์ ถือคนละ 1 หุ้น  โดยนายไชยาเป็นกรรมการ


  วันที่ 30 เมษายน 2553  บริษัท สโมสรฟุตบอล นครปฐม จำกัด  เปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้งเหมือนในช่วงก่อตั้ง
นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์   3,500 หุ้น  ,นายสถิตย์ ทวีนุช 2,500 หุ้น, นายวุฒิไชย สุทธิพิเชษฐ์ 2,000 หุ้น ,นางสาวณัฎฐิกา จำปาแก้ว 1,000 หุ้น ,นายรัฐกิจ พณิชย์ไพบูลย์ 800 หุ้น ,นายฐานุพงศ์ รังสิไตรพงศ์ 200 หุ้น  โดยนายสถิตย์ ทวีนุช เป็นกรรมการ

 

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า บริษัท สโมสรฟุตบอล นครปฐม จำกัด มีรายได้ปี 2552 จำนวน 4.7 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย 7.4 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 2.7 ล้านบาท โดยมีเงินกู้ยืมจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกัน 2 ล้านบาท

 

 

บริษัท มี เมเนจเม้นท์ จำกัด ก่อตั้งวันที่  21 พฤษภาคม 2552  ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ประกอบธุรกิจโอน รับโอน รับซื้อ จัดหา รับจ้างผลิต ที่ตั้งเลขที่ 333/100 หมู่ 4 อาคาร หลักซี่พลาซ่า ห้อง ซี 1 ชั้น 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ มีนายวสันต์ หอมแสงประดิษฐ์ เป็นกรรมการ

 

ส่วนนายสถิตย์ ทวีนุช เคยทำธุรกิจเหมือนหินอ่อนร่วมกับนายไชยามาตั้งแต่ปี 2536 ชื่อ บริษัท อาณาจักรศรีวิชัย จำกัด ที่ตั้งเลขที่ 127-129 หมู่ที่ 1 ตำบลธรรมศาลา อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม  นายทะเบียนได้ขีดชื่อออกจากทะเบียนเป็นบริษัทร้าง เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2543

 

จากข้อมูลเห็นได้ว่าสโมสรฟุตบอลแห่งนี้  นายจิรวัฒน์บุตรชายนายไชยาถือหุ้นในช่วงก่อตั้ง  ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2552 - สิ้นเดือนมีนาคม 2553  มีการโอนหุ้นให้บุคคลอื่น คือบริษัท มี เมเนจเม้นท์ จำกัด และ นายสถิตย์ ทวีนุช (มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับนายไชยา) โดยนายไชยามิได้ถือหุ้นตั้งแต่เริ่มแรกแต่เข้ามาถือหุ้นในช่วงต้นเดือน เมษายน 2553 เพียง 1 เดือนก็โอนให้นายจิรวัฒน์บุตรชาย

 

 

เห็นได้ว่า นอกจากมีการโอนหุ้นพิสดาร 4 ตลบแล้ว การที่นายไชยาอ้างว่าเบิกถอนเงิน (มีการฝาก ถอนเกือบทุกวัน) โดยที่ตัวเองเพิ่งถือหุ้นใหญ่ในช่วงเดือนเมษายน 2553 (อยู่เพียง 1 เดือน)ไปสร้างสนามฟุตซอลและสโมสรฟุตบอลนครปฐม (ศอฉ.แถลงข่าวอายัดเงินบุคคลต่างๆในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2553)

 

จึงชวนพิศวงอย่างยิ่ง?

......

 
[/b]
   


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 กรกฎาคม 2553, 12:49:28
นที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:41:56 น.   มติชนออนไลน์

ครม.มีมติให้"สุวิทย์"เป็นตัวแทนไทยถอนตัวจากภาคีสมาชิก-วอล์คเอาท์ ถ้าคกก.มรดกโลกขึ้นทะเบียนพระวิหาร

"สมช."รับ"มาร์ค" สั่งหาทางตอบโต้"ยูเนสโก" รับแผนพัฒนาพื้นที่ของ"กัมพูชา"



มีรายงานในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ประเทศบราซิล เพื่อพิจารณาแผนการจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาเป็นมรดกโลก ว่า ประเทศไทยได้ยื่นประท้วงคัดค้านเรื่องนี้ อย่างเป็นทางการแล้ว โดยแหล่งข่าวระบุว่า คณะผู้แทนจากรัฐบาลไทยที่มี นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปฏิเสธที่จะยอมรับคณะกรรมการร่วม 7 ประเทศ ที่ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาพื้นที่ทับซ้อน และ ไทยยังจะไม่เข้าร่วมในคณะกรรรมการร่วมดังกล่าว

 

นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า หากกรรมการพิจารณาลงมติกรณีขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารมรดกโลก (28 )ไม่ว่าทั้งในทางเปิดเผยหรือทางลับ ไทยจะถอนตัวจากภาคีสมาชิก หรือ วอล์คเอาท์ ออกจากการประชุมทันที

 

ข่าวแจ้งว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อเช้าวันที่ 28 กรกฏาคม ยังมีมติให้นายสุวิทย์ สามารถถอนตัวจากการเป็นสมาชิกยูเนสโกได้ หากที่ประชุมมรดกโลก มีมติรับรองแผนการจัดการพื้นที่พระวิหาร

 

"สมช." รับ"มาร์ค" สั่งหาทางตอบโต้ "ยูเนสโก" รับแผนพัฒนาพื้นที่ของ “กัมพูชา”


เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 28 กรกฏาคม นายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมการประชุม ครม.ที่อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ทำเนียบรัฐบาลถึงการหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 27 กรกฎาคมว่าในการหารือกับนายกรัฐมนตรีนั้นได้พูดคุยเรื่องประสาทพระวิหาร ซึ่งไทยยืนยันว่าจะคัดค้านการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และการที่กัมพูชาเสนอแผนเพื่อการพัฒนาที่มีการรวมเอาพื้นที่ที่ไทยอ้าง สิทธิ์เหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งขณะนี้นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้อยูที่ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นสถานที่จัดประชุมคณะกรรมการมรดกโลก และอาจจะมีการรายงานความคืบหน้าล่าสุดมาในที่ประชุม ครม. แต่ถ้าสถานการณ์ถึงที่สุดคือมีการขึ้นทะเบียนหรือว่าไทยคัดค้านไม่สำเร็จ นายกรัฐมนตรีก็ได้มอบหมายให้สมช.ไปพิจารณามาตรการต่างๆที่จะแสดงสิทธิ์เหนือ พื่นที่อ้างสิทธิ์ โดยที่ประชุม สมช.ในช่วงบ่ายวันที่ 28 กรกฎาคมก็จะมีการพิจารณาเรื่องนี้


เมื่อถามว่าได้เตรียมการอย่างไรถึงได้ไม่รู้ว่าทางกัมพูชาจะเสนออะไร นายถวิลกล่าวว่าเราก็เตรียมการเต็มที่ แต่ระเบียบบางอย่างก็ทำให้เราไม่สามารถเข้าไปในการประชุมบางเรื่องได้ แต่ใน ครม.ก็ได้มอบหมายให้ไปเตรียมการเรื่องนี้เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา


“จนถึงขนาดนี้เราก็ยังอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ หากทางกัมพูชาเสนอเข้ามาในพื้นที่เราก็จะคัดค้าน ซึ่งมีหลายวิธี และหากการคัดค้านไม่เป็นผลก็จะมีมาตรการทางอื่น แต่แน่นอนว่าคงไม่ไปสู่การสู้รบเพราะเอ็มโอยูปี 2543 ยัวเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะอย่างน้อยที่สุดก็แสดงว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นมีปัญหา ทั้งสองฝ่ายจึงมีข้อตกลงกันเอาไว้ ส่วนทางการฑูตนั้นยังไม่มีการเจรจา เพราะยังอยู่ในภาวะที่เผชิญหน้ากันอยู่จึงอาจจะยังเจรจากันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีที่เป็นปรปักษ์ต่อกัน” นายถวิลกล่าว เมื่อถามว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้ถือว่าไทยกำลังเสียเปรียบหรือไม่ นายถวิลกล่าวว่า คงยังพูดไม่ได้ เพราะเหตุผลที่เราอ้างอิงก็เป็นเหตุผลที่มีน้ำหนัก คือองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโกเป็นองค์การเพื่อการศึกษาและสันติภาพ เพราะฉะนั้นการกระทำที่จะนำไปสู่การเผชิญหน้านั้นทางยูเนสโกก็จะต้องทบทวน


นายถวิลกล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ไปยื่นข้อเรียกร้องต่อยู เนสโก ซึ่งโดยหลักการแนวทางของพันธมิตรฯไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับรัฐบาล แต่ข้อเรียกร้องบางเรื่องนั้นรัฐบาลไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะรัฐบาลต้องดำเนินการตามกรอบกติกาและสนธิสัญญาที่มีอยู่ เมื่อถามว่าหากยูโนสโกรับเรื่องแผนพัฒนาพื้นที่ของกัมพูชาจะมีผลผูกพันทำให้ พื้นที่บางส่วนตกเป็นของกัมพูชาเลยหรือไม่ นายถวิล กล่าวว่า เรื่องเขตแดนนั้นไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น ไม่มีใครจะมาทำให้เราเสียดินแดนได้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องของไทยกับกัมพูชา ซึ่งยูเนสโก ไม่สามารถมาตัดสินเรื่องดินแดนได้


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 กรกฎาคม 2553, 10:33:24
กก.มรดกโลกเลื่อนถก แผนจัดการพระวิหารของเขมรออกไป 24ชม.

มติชนออนไลน์ 29 กค.2553

รายงานข่าวล่าสุดเปิดเผยว่า ก่อนเข้าวาระการประชุม คณะกรรมการมรดกโลก องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ในประเด็นการพิจารณารับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามข้อ เสนอของประเทศกัมพูชา ในเวลา 02.00 น (เวลาในประเทศไทย) วันที่ 29 กรกฏาคม หรือเวลาประมาณ 14.00 น. (เวลาท้องถิ่นบราซิล) ของวันที่ 28 กรกฏาคม ปรากฏว่า ทางตัวแทนของกัมพูชา ได้ขอเจรจานอกรอบกับตัวแทนของประเทศไทย ทำให้เมื่อถึงเวลาในการพิจารณาวาระดังกล่าว ตัวแทนทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่สามารถหารือกับเรียบร้อย


ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกฯ จึงเลื่อนวาระการพิจารณา รับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามข้อเสนอของประเทศกัมพูชา ออกไปอีก 1 วัน โดยจะพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งในวาระแรกของการประชุมเช้าวันที่ 29 กรกฏาคม เวลาประมาณ 10.00 น. (เวลาท้องถิ่นบราซิล) ซึ่งตรงกับ เวลา 22.00 น. (เวลาในประเทศไทย) ของคืนวันที่ 29 กรกฏาคมนี้



นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้สัมภาษณ์ทางรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางทีวีช่อง 3 ว่า เป็นการพูดคุยเรื่องนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรก ระหว่างไทย-กัมพูชา และมีแนวทางใดที่จะหาข้อยุติได้หรือไม่ เพื่อให้ไทยสนับสนุนแผนการจัดการของเขมรไปก่อน โดยเขมรยืนยันว่าจะเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป ซึ่งเราก็ต้องยืนยันแนวทางเดิมของเราต่อไป ตามที่ครม.ของไทยมีมติออกมา


"อภิสิทธิ์"ชูรักษาอธิปไตย-เลิกเป็นภาคี


ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี  แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ถึงท่าทีของรัฐบาลไทย ต่อดำเนินการของคณะกรรมการมรดกโลก องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ในการพิจารณารับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามข้อเสนอของ ประเทศกัมพูชา ว่า ระหว่างประชุม ครม.นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โทรศัพท์รายงานให้ทราบว่ากัมพูชาส่งเอกสารและฝ่ายเลขานุการที่ประชุมนำส่ง ร่างข้อมติที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศบราซิลแล้ว ในรายละเอียดโดยสรุปของร่างข้อมติและเอกสาร ยังมีอยู่หลายจุดที่ทำให้เรายอมรับไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแนบสิ่งที่ เรียกว่าแผนผังหรือแผนที่เข้ามาสู่การพิจารณา โดยรายงานของกัมพูชาจะยอมรับว่าการจะส่งแผนที่ที่เป็นข้อยุติเกี่ยวกับการ บริหารจัดการแผนทั้งหมด ไม่สามารถกระทำได้เพราะต้องรอการจัดทำหลักเขตแดนตามแนวทางที่กำหนดไว้ตาม บันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อปี 2543 ที่มีคณะกรรมาธิการร่วมชายแดน (เจบีซี) ไทย-กัมพูชาดำเนินการอยู่


นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า โดยรวมยังยืนยันในจุดยืนเดิม วันนี้ ครม.ย้ำด้วยการมีมติให้นายสุวิทย์ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เดินหน้าคัดค้านการนำเรื่องนี้เข้าสู่วาระการพิจารณา แต่ถ้านำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาเราจะต้องดำเนินการแถลงคัดค้านอย่างชัด แจ้ง ถึงสิ่งที่ไทยไม่สามารถยอมรับได้ ในส่วนของการดำเนินการของคณะกรรมการมรดกโลก ถ้าไม่ฟังเสียงของไทยแล้วมีความพยายามที่จะลงมติโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของ ไทย ก็คงไม่เข้าร่วมในการลงมติดังกล่าว และถ้ายังลงมติไปในลักษณะที่ทำให้มีการดำเนินการสืบเนื่องมาแล้วมากระทบ สิทธิของประเทศไทย จะไม่ยอมรับและไม่สามารถให้ความร่วมมือได้ เพราะจำเป็นต้องแสดงออกถึงการปกป้องอธิปไตยของไทย


"ที่เราไม่ร่วมมือแล้วมีปัญหา จะพิจารณาทบทวนการเป็นภาคีของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งมติทั้งหมดมอบหมายให้นายกษิต ภิรมย์ รับมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการแจ้งต่อประธานคณะกรรมการมรดกโลกทราบ ก่อนการประชุมที่จะประชุมวันที่ 29 กรกฎาคม" นายอภิสิทธิ์กล่าว

 

"สุวิทย์"เสนอถอนประชุมมรดกโลก


รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม.แจ้งว่า ที่ประชุมใช้ประมาณ 1 ชั่วโมงในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกรณีที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก เตรียมพิจารณารับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามข้อเสนอของ ประเทศกัมพูชา ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ ยกเรื่องดังกล่าวขึ้นหารือในที่ประชุม ครม. เป็นวาระสุดท้าย โดยระบุว่า ได้รับรายงานจากนายสุวิทย์ ช่วงค่ำวันที่ 27 กรกฎาคม ว่ากำลังเจรจากับประเทศสมาชิกทั้ง 21 ประเทศให้เลื่อนการพิจารณาวาระออกไป เนื่องจากกัมพูชา       เพิ่งแจกจ่ายเอกสาร พร้อมแนบแผนที่ที่เรียก ว่า "แผนผัง" ให้สมาชิกในช่วงค่ำวันที่ 26 กรกฎาคม (ตามเวลาท้องถิ่น) ก่อนพิจารณาวาระนี้ในเวลา 16.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) อย่างไรก็ตาม นายสุวิทย์อยากหารือกับ ครม. ว่าหากคณะกรรมการมรดกโลกหยิบยกเรื่องแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระ วิหารขึ้นมาหารือ จะให้ผู้แทนไทยดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งโดยส่วนตัวของนายสุวิทย์เสนอให้ไทยถอนตัวจากการเข้าร่วมประชุม


"กษิต"ซัด"ยูเนสโก"ลำเอียง


จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เปิดโอกาสให้ ครม. แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการกำหนดท่าทีของไทยหลังจากนี้ โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เสนอว่า เท่าที่ติดตามข้อมูลรู้สึกว่าสาระหลักเป้าหมายแท้จริงของกัมพูชาไม่ได้อยู่ ที่การมีมรดกโลก แต่มีเจตนาซ่อนเร้นต้องการเอาผืนแผ่นดินไทยที่มีข้อพิพาทกันอยู่มากกว่า ต้องแยกให้ออกระหว่างเรื่องมรดกโลกกับพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งยูเนสโกจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของไทยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูท่าทีของยูเนสโกไม่ค่อยจะตอบสนองและยืนอยู่ข้างไทยมากนัก แต่เราจำเป็นต้องย้ำจุดยืนเรื่องการรักษาดินแดนและอธิปไตยของประเทศเป็น สำคัญ


ขณะที่นายกษิตอภิปรายสนับสนุนว่า ยูเนสโกไม่ค่อยให้ความเป็นธรรมกับไทยเท่าไร ที่ผ่านมาจะเห็นว่ากระบวนการต่างๆ เป็นไปอย่างไม่โปร่งใส และก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศมากกว่าเสริมสร้างสันติภาพ ซึ่งปกติเวลายูเนสโกจะประกาศให้โบราณสถานไหนเป็นมรดกโลกจะไม่ทำในพื้นที่ที่ ยังมีข้อพิพาทกันอยู่ เรามีข้อมูลที่เชื่อได้ว่าก่อนหน้านี้ทางกัมพูชาพยายามล็อบบี้หลายประเทศให้ ร่วมสนับสนุน อาทิ ฝรั่งเศส สหรัฐ ซึ่งประเทศเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากการเข้าไปร่วมพัฒนาพื้นที่รอบปราสาทพระ วิหาร


รมต.ยุให้วอล์กเอ๊าต์ประท้วง


ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อธิบายถึงขั้นตอนในการลงมติของที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกซึ่งมีสมาชิกอยู่ 21 ประเทศ ซึ่งแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ รับการรับรองด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3 หรือมากกว่า 14 เสียง หากบรรจุวาระนี้เข้าที่ประชุมจริง คณะผู้แทนไทยที่ไปร่วมประชุมเสนอให้ไทยขยับสถานะออกมาเป็นเพียงผู้สังเกต การณ์ โดยไม่ต้องร่วมลงมติ ไม่เช่นนั้นอาจถูกกัมพูชาหยิบยกไปกล่าวอ้างได้ในอนาคตว่าไทยยอมรับมติด้วย แต่รัฐมนตรีอีกคนเสนอให้วอล์กเอ๊าต์ทันทีที่มีการโหวตเพื่อแสดงการประท้วง ขณะที่รัฐมนตรีอีกรายเสนอให้ถอนตัวจากการเป็นภาคีคณะกรรมการมรดกโลกเลย ทำให้นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี กล่าวขึ้นมาว่า ขณะนี้หนทางเหลือเพียง 2 อย่างคือ อยู่ร่วมโหวต หรือออกมาสู้เย้วๆ อยู่ข้างนอก ขอให้ ครม.ช่วยกันคิดและตัดสินใจให้ดี แต่การสู้อยู่ข้างนอกจะเสียเปรียบและสุดท้ายอาจไม่สามารถสู้ได้เลย


"มาร์ค"ขอมติครม.ค้าน3ข้อ


แหล่งข่าวกล่าวว่า ภายหลัง ครม. อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง นายอภิสิทธิ์กล่าวสรุปและขอมติ ครม. 3 ข้อคือ 1.ไทยยืนยันคัดค้านและไม่ร่วมมือกับแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระ วิหารตามที่กัมพูชาเสนอ และถ้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกให้เป็น ดุลพินิจของคณะนายสุวิทย์ ตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดระหว่างการงดลงมติ หรือการวอล์กเอ๊าต์ 2.ไทยจะพิจารณาทบทวนการเป็นภาคียูเนสโกในลำดับต่อไป และ 3.มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทำหนังสือแจ้งมติ ครม. อย่างเป็นทางการส่งไปที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ประเทศบราซิลภายในวันนี้ (วันที่ 28 กรกฎาคม) ก่อนการประชุมจะเริ่มต้นขึ้น


"ทั้งนี้หากคณะกรรมการมรดกโลกมีมติรับแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร ฉบับกัมพูชา ไทยพร้อมกำหนดมาตรการแสดงสิทธิและรักษาสิทธิต่อไป ทำให้นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที กล่าวเสริมว่า หลังจากนี้ถ้าทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามา เราต้องรักษาอธิปไตย ถ้าสุดท้ายมีความจำเป็นต้องยิงก็ต้องยิง"


"ปณิธาน"เผย"สุวิทย์"รับเสียเปรียบ


ด้าน นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุม ครม.ว่า นายสุวิทย์โทรศัพท์มาคุยกับตนในเวลา 02.00 น. วันที่ 28 กรกฎาคม โดยแสดงความกังวลว่าหลายประเทศที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก ยืนยันจะเดินหน้ารับแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามที่กัมพูชา เสนอ เพราะมองว่าเมื่อศาลโลกมีมติรับรองการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวไปแล้ว ทางกัมพูชามีสิทธิเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ได้ ซึ่งประเทศที่ให้การสนับสนุนกัมพูชาส่วนใหญ่เป็นประเทศมหาอำนาจ เนื่องจากในอดีตเคยเป็นประเทศที่ก่อสงครามไว้มาก จึงอยากเข้าไปมีบทบาทเรื่องการพัฒนาและฟื้นฟู ส่วนประเทศที่สนับสนุนฝ่ายไทยมี แต่น้อย


"ขณะนี้ถือว่าเสียงของไทยอาจไม่ได้เปรียบนัก แต่ยังไม่สามารถสรุปคะแนนเสียง หรือคาดการณ์ผลโหวตของประเทศสมาชิกทั้ง 21 ประเทศได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ามติ ครม.ที่ออกมาจะมีน้ำหนักเพียงพอในการโน้มน้าวประเทศสมาชิกได้ แต่อยากให้คุณสุวิทย์พูดให้ชัดเจนว่าถ้าคณะกรรมการมรดกโลกยอมรับแผนบริหาร จัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชา จะสุ่มเสี่ยงต่อการมีคนตาย มีการเผชิญหน้าของประชาชน 2 ประเทศ และเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ นี่คือประเด็นหลักที่เราจะใช้ต่อสู้ เราสงสัยว่าคณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาประเด็นนี้บ้างหรือไม่" นายปณิธานกล่าว

 

เผยที่มามติ"ครม."ประท้วงยูเนสโก


"หากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกมีมติรับแผนบริหารจัดการพื้นที่ของ กัมพูชาจริง จะไม่มีผลทางกฎหมายและไม่กระทบต่ออธิปไตยของไทย เนื่องจากตามสนธิสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลียระบุว่า องค์กรระหว่างประเทศไม่สามารถตัดสินเรื่องอธิปไตยและดินแดนให้ประเทศใดได้ ยกเว้นรัฐชาติ หรือรัฐอธิปไตยเท่านั้นที่จะตัดสินเรื่องดินแดนได้ แต่เพื่อความไม่ประมาท รัฐบาลจำเป็นต้องปิดทุกช่องทางที่อาจถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างในอนาคต จึงเป็นที่มาของมติ ครม.เรื่องการประท้วงยูเนสโก ไม่เช่นนั้นอาจมีการกล่าวอ้างว่าไทยเห็นด้วยและรับรองมติดังกล่าว หากในอนาคตมีการส่งเรื่องไปสู้กันถึงศาลโลก ก็อาจสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้ไทยเสียดินแดนในพื้นที่ทับซ้อน" นายปณิธานกล่าว


นายปณิธานกล่าวว่า จำเป็นต้องกำหนดมาตรการในการแสดงออกอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งนอกจากประท้วงแล้ว เราจำเป็นต้องมีมาตรการแสดงสิทธิและรักษาสิทธิในพื้นที่ข้อพิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรตามขั้นตอน โดยเริ่มจากการประท้วงทั้งด้วยวิธีส่งหนังสือ และเรียกทูตมาชี้แจง การปฏิบัติต่อเครื่องหมาย อาทิ ปักธง คงกำลังทหารเอาไว้ในพื้นที่ แต่ยืนยันว่าจะไม่ใช้มาตรการรุนแรง แข็งกร้าว หรือข่มขู่ มิเช่นนั้นจะสุ่มเสี่ยงต่อการให้ประเทศเล็กนำไปร้องเรียนต่อนานาชาติได้ และทำให้ประเทศอื่นเข้ามาจัดการปัญหาแทนที่จะเป็นเรื่องระหว่าง 2 ประเทศ แต่ขณะเดียวกันไทยต้องมีมาตรการชัดเจนในการปกป้องและรักษาดินแดนไทย


"สุขุมพันธุ์"หนุนรบ.ถอนตัว


ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณีที่ไทยจะถอนตัวจากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศบราซิล ว่า ในฐานะที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เคยมีส่วนร่วมในการหารือเพื่อหาข้อยุติ ขอสนับสนุนการดำเนินการของไทย และยืนยันว่าที่ไทยไม่เข้าร่วมเป็นการทำที่ถูกต้อง ตราบใดที่ยังไม่มีการตกลงปัญหาพื้นที่ทับซ้อน ที่กินพื้นที่เข้ามาในไทย 4.6 ตารางกิโลเมตร ดังนั้น ไทยไม่จำเป็นต้องร่วมมือ เพราะหากร่วมมือไปแล้วจะมีผู้มาอ้างว่าไทยยอมรับ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าปัญหายังมีทางแก้ คือ ควรขึ้นทะเบียนร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องไม่กระทบกระเทือนในสิทธิของแต่ละฝ่ายในการปักปันเขตแดน ต่อกัน จากนั้น ทั้งสองฝ่ายควรร่วมมือกันในการหาข้อยุติเรื่องการปักปันเขตแดนต่อไป


"อดุล"หนุนรบ.ทบทวนเป็นภาคี


ด้าน นายอดุล วิเชียรเจริญ ที่ปรึกษาคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกของไทยและอดีตคณะกรรมการมรดกโลก 21 ประเทศ กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์เตรียมพิจารณาทบทวนการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกต่อ ยูเนสโก หากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกไม่เลื่อนวาระพิจารณาแผนบริหารจัดการบริเวณ ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาว่า สมควรอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยต้องแสดงท่าทีดังกล่าว แต่ต้องชี้แจงเหตุผลในการประกาศท่าทีเพื่อแสดงจุดยืนให้ประชาคมโลกได้รับรู้ ว่าแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาส่งผลกระทบต่อความเป็น อธิปไตยของไทยอย่างไรบ้าง


นายอดุลกล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ขณะนี้อาจไปถึงขั้นที่รัฐบาลไทยจำเป็นต้อง  ประกาศยกเลิกการร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลก เนื่องจากยูเนสโกมีทีท่าเอื้อประโยชน์ต่อทางการกัมพูชามาโดยตลอด อาทิ กรณีการเปิดเผยเอกสารรายละเอียดแผนบริหารจัดการของกัมพูชาล่าช้า ทั้งที่มีผลทำให้ไทยเสียเปรียบ ทั้งนี้ การที่ไทยยึดถือความเป็นอธิปไตยเป็นสิ่งที่ดี เพราะการจะเอาดินแดนของไทยไปเข้าแผนบริหารจัดการของกัมพูชาเป็นเรื่องใหญ่ ที่เรายอมไม่ได้ และหากยูเนสโกยังมีท่าทีเกื้อกูลกัมพูชาต่อไป รัฐบาลไทยต้องปฏิเสธการเข้าร่วมคณะกรรมการร่วม 7 ประเทศที่ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนด้วย


"หากไทยจะยกเลิกการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลก หรือยกเลิกการเป็นสมาชิกกับยูเนสโกจริง จะเกิดผลดีในกรณีที่ไทยจะไม่ต้องยึดหลักการหรือข้อกำหนดต่างๆ อันจะทำให้กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ ส่วนผลเสียที่ส่งผลกระทบต่อแหล่งมรดกโลกของไทย คงไม่มีเพราะไม่พบข้อกำหนดที่จะให้เพิกถอนการเป็นแหล่งมรดกโลก กรณีที่ประเทศนั้นๆ ลาออกจากการเป็นภาคีอนุสัญญาฯ อย่างไรก็ตาม หากจะมาถอดถอนกันเพราะเหตุทางการเมืองก็ไม่เป็นไร เนื่องจากแหล่งมรดกโลกของเราได้ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามขั้นตอน" นายอดุลกล่าว


"กษิต-ประวิตร"ทำแผนดูแลอธิปไตย


ด้าน นายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือกับนายอภิสิทธิ์ เกี่ยวกับปัญหาประสาทพระวิหาร ว่า นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ สมช.ไปพิจารณามาตรการต่างๆ ที่จะแสดงสิทธิเหนือพื้นที่อ้างสิทธิ จนถึงขณะนี้ไทยก็ยังอ้างสิทธิในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ หากทางกัมพูชาเสนอเข้ามาในพื้นที่เราจะคัดค้าน ซึ่งมีหลายวิธี หากการคัดค้านไม่เป็นผลจะมีมาตรการทางอื่น แต่แน่นอนว่าคงไม่ไปสู่การสู้รบเพราะเอ็มโอยูปี 2543 ยังเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างน้อยที่สุด แสดงว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นมีปัญหา ทั้งสองฝ่ายจึงมีข้อตกลงกันเอาไว้ ส่วนทางการทูตนั้นยังไม่มีการเจรจา เพราะยังอยู่ในภาวะที่เผชิญหน้ากันอยู่


ต่อมาเวลา 15.30 น. นายถวิลแถลงผลประชุมฝ่ายความมั่นคง ที่นายอภิสิทธิ์ เป็นประธานประชุม ว่า ที่ประชุมหารือการเตรียมพร้อมในการเตรียมแสดงสิทธิอธิปไตยเหนือดินแดนที่ไทย อ้างกรรมสิทธิ์ไว้ หลังมีข้อพิพาท กรณีปราสาทพระวิหารกับทางการกัมพูชา โดยมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายกษิต รับไปพิจารณาและเสนอมาตรการให้นายกรัฐมนตรี รับทราบอีกครั้ง


ผู้สื่อข่าวถามว่า จะส่งกำลังทหารลงพื้นที่บริเวณแนวชายแดนเพิ่มเติมหรือไม่ นายถวิลกล่าวว่า ขณะนี้ก็มีกำลังทหารอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันมีชาวกัมพูชาเข้ามาตั้งรกรากในบริเวณพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งในแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารฉบับกัมพูชามีการระบุว่า จะเร่งอพยพคนเหล่านี้ออกไป อย่างไรก็ตามในส่วนของไทยยังไม่มีการหารือเรื่องการผลักดันคนกลุ่มนี้ออกจาก พื้นที่


มทภ.2ยันชายแดนยังปกติ


ด้าน พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภาพรวมยังอยู่ในภาวะปกติ ไม่พบว่ามีการคลื่อนไหวใดๆ ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ขอยืนยันทหารทั้ง 2 ฝ่ายยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ส่วนปัญหาข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดนนั้นเป็นเรื่องของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย ที่จะเจรจาตกลงกัน ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ดูแลรักษาอธิปไตยของประเทศเท่านั้น และยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถและจะไม่ยอมให้มีการสูญ เสียดินแดนของประเทศอย่างเด็ดขาด


"ส่วนสถานการณ์การค้าขายตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะนี้ทุกอย่างก็ยังเป็นไปตามปกติ ช่องทางสำคัญที่เป็นจุดผ่านแดนถาวร หรือจุดผ่อนปรนที่มีอยู่ยังคงมีการไปมาหาสู่ค้าขายกันระหว่างประชาชนทั้ง 2 ประเทศตามปกติ" พล.ท.วีร์วลิตกล่าว


ทหารคุมเข้มขึ้น"ผามออีแดง"


สำหรับความเคลื่อนไหวของประชาชนในต่างจังหวัดปรากฏว่ามีหลายกลุ่มออก มาเคลื่อนไหว อาทิ กลุ่มประชาชนรักประชาธิปไตยพะเยา เข้ายื่นหนังสือต่อนายเชิดศักดิ์ ชูศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เสนอต่อไปยังนายอภิสิทธิ์ เพื่อแสดงพลังต่อต้านการประกาศพื้นที่ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ขณะที่กลุ่มประชาชนชาวกาญจนบุรีผู้รักชาติ กว่า 30 คน นำโดย นายวีระพันธ์ มาลัยพันธุ์ ยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ ผ่าน นายเริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก


ด้านบรรยากาศที่บริเวณด่านเก็บค่าธรรมเนียมอุทยานแห่งชาติเขาพระ วิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทหารไทยตั้งด่านตรวจเข้มถึง 2 ด่าน ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องขึ้นไปที่บริเวณผามออีแดง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อย่างเด็ดขาด เนื่องจากเกรงว่าอาจจะไม่ปลอดภัย แต่ทหารไทยและกัมพูชายังไม่มีความเคลื่อนไหวด้านการเสริมกำลังทหารบริเวณรอบ เขาพระวิหารแต่อย่างใด


ผอ.ยูเนสโกย้ำจุดยืนสร้างสันติ


ด้าน นางไอรินา โบโกวา ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก ให้สัมภาษณ์ที่กรุงปารีส เกี่ยวกับปัญหาเขาพระวิหาร หลังมีการประท้วงที่หน้าสำนักงานองค์การยูเนสโก กรุงเทพฯ ว่าได้เรียกร้องให้หารือในการคุ้มครองปราสาทพระวิหาร และเน้นย้ำถึงบทบาทของอนุสัญญามรดกโลกปี 2515 ในฐานะสื่อกลางเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ


นางไอรินา โบโกวา เน้นย้ำถึงความห่วงไยแรกที่คณะกรรมการมรดกโลกมีคือการคุ้มครองและส่งเสริม มรดกโลกของมวลมนุษยชาติ ด้วยความเคารพและปราศจากอคติ ที่มีต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศสมาชิก หรือต่อการอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของอาณาเขต


"การคุ้มครองและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติของพวกเรา หมายความถึงการสร้างสันติภาพ ความเคารพ และความสามัคคี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของภารกิจขององค์การยูเนสโก นี่คือความรับผิดชอบหลักที่เข้าใจตรงกัน คือการให้มรดกโลกเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ การร่วมหารือ และความปรองดองซึ่งกันและกัน" นางโบโกวากล่าว


"ฮอนัมฮง"รู้"ไทย"ค้านแผนบริหาร


วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ รายงานโดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของนายฮอ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ระบุว่า ข้อโต้แย้งที่ผู้ชุมนุมชาวไทย บริเวณหน้าสำนักงานยูเนสโก ในกรุงเทพฯเพื่อคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารว่า เป็นข้อโต้แย้งที่เก่าไปแล้ว โดยนายฮอ นัมฮง กล่าวว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร       เป็นมรดกโลกนั้น ยูเนสโกดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าฝ่ายไทยจะทำอะไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ได้


ทั้งนี้ พนมเปญโพสต์รายงานว่า วัตถุ ประสงค์ของกลุ่มผู้ชุมนุมในไทย เป็นการเรียกร้องให้ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกชะลอแผนบริหารจัดการพื้นที่ ต่อเนื่องซึ่งนำเสนอโดยกัมพูชาออกไป จนกว่าความขัดแย้งเรื่องการอ้างสิทธิของพื้นที่โดยรอบจะมีข้อยุติ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการขึ้นทะเบียนตัวปราสาทที่รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ระบุถึง โดยพนมเปญโพสต์ระบุว่า รัฐบาลไทยแสดงท่าทีคัดค้านแผนบริหารจัดการดังกล่าว ซึ่งนายฮอ นัมฮง ยอมรับว่า ได้รับทราบถึงการคัดค้านของทางฝ่ายไทยในที่ประชุมที่บราซิลแล้ว แต่ไม่ได้เปิดเผยอะไรเพิ่มเติมแต่อย่างใด


อัดพวกหัวรุนแรงไทยเลิกก่อกวน


ขณะเดียวกัน พนมเปญโพสต์ระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพกัมพูชาเปิดเผยว่า นักการทูตตัวแทนของประเทศต่างๆ มากกว่า 20 ประเทศ อาทิ อังกฤษ,ออสเตรเลีย, คิวบา,ฟิลิปปินส์,พม่า,ลาว และเวียดนาม เดินทางเยือนพื้นที่พระวิหารเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อสังเกตสถานการณ์ ตามแนวชายแดน
ทั้งนี้ พล.ท.เจีย ดารา รองผู้บัญชาการทหารประจำภาคพื้นพระวิหาร กล่าวกับพนมเปญโพสต์ว่า ได้แจ้งให้บรรดานักการทูตเหล่านั้นรับทราบว่า ไทยไม่สามารถอาศัย "พระหรือชาวบ้าน" บุกรุกพื้นที่เขาพระวิหารได้อีกต่อไป


"พวกหัวรุนแรงในไทยควรเลิกก่อกวนกัมพูชาได้แล้ว เพราะเราไม่ยินดีต้อนรับพวกเขา เราจะต้อนรับพวกเขาด้วยปืน" รองผู้บัญชาการกองทัพพื้นที่พระวิหารกล่าว

 

 

 

 




   




   
   
   
   


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 กรกฎาคม 2553, 10:02:57
กระชากหน้ากาก “คนแก่โรคจิต” ผู้อยู่เบื้องหลังระเบิดบิ๊กซีราชดำริ
 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 กรกฎาคม 2553 00:51 น.
 
 
   เสียงระเบิดดังสนั่นห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ราชดำริ คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปอีก 1 ชีวิต พร้อม ๆ กับเป็นการส่งสัญญาณคุกคามสังคมไทยครั้งใหม่ว่า
               
                 ทิศทางของกลุ่มก่อการร้ายทำลายบ้านเมืองกำลังเบนเข็มพุ่งเป้าไปที่ประชาชนคนบริสุทธิ์มากขึ้น แทนที่จะเป็นการก่อเหตุกับสถานที่ในเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเหมือนที่ผ่านมา
       
                 เพราะความย่อยยับของสถานที่ยังมิอาจสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลมากพอ ไม่เหมือนกับการเอาชีวิตเลือดเนื้อผู้บริสุทธิ์มาเซ่นสังเวยความอำมหิตผิดมนุษย์ของกลุ่มคนที่ไม่เคยสำนึกถึงบาปบุญคุณโทษ
       
                 ร่องรอยของการก่อเหตุร้ายที่ทิ้งเอาไว้มีหลายอย่างที่น่าค้นหา เนื่องจากมีความชัดเจนว่าฝีมือคนประกอบระเบิดสังหารนี้อยู่ในขั้นปีศาจเรียกพี่ และต้องเป็นผู้มีความชำนาญการด้านวัตถุระเบิดในระดับครูฝึกจึงจะสามารถประกอบระเบิดเอ็ม 67 โดยมีการถอดกระเดื่องออกใส่ฝักแค ต่อวงจรเข้ากับนาฬิกา ก่อนจะนำไปวางกระชากวิญญาณผู้คนในที่สาธารณะ
       
                 ที่สำคัญคือลักษณะการประกอบระเบิดล่าสังหารเช่นนี้ มิใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เคยพบก่อนหน้านี้มาแล้วถึงสองครั้งสองครา คือ เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ในท้องที่ของตำรวจนครบาลโคกคราม และพบอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 3 เมษายน ในท้องที่ตำรวจนครบาลนางเลิ้ง
       
                 ทั้งสองแห่ง โชคดีที่มีการเก็บกู้ได้ทัน จึงไม่มีความสูญเสียเกิดขึ้น
               
                 เมื่ออาชญากรทิ้งหลักฐานสำคัญให้ตามต่อ ชุดสืบสวนจึงแกะรอยจากระเบิดเอ็ม 67 เป็นปฐมบท เพราะเป็นอาวุธที่ถูกนำมาใช้บ่อยครั้งในการก่อวินาศกรรมช่วงการชุมนุมของก่อการร้ายแดงที่ผ่านมา
       
                 ถ้ายังจำกันได้วันที่ 4 มีนาคม 2553 เกิดเหตุปล้นคลังแสงจากกองพันทหารช่าง 401 ค่ายอภัยบริรักษ์ สังกัดกองทัพภาคที่ 4 จังหวัดพัทลุง ถูกคนร้ายบุกเข้าไปขโมยอาวุธสงคราม และเครื่องกระสุน ทั้งระเบิดสังหารบุคคลชนิดเอ็ม 26 และเอ็ม 67 จำนวน 20 ลูก กระสุนปืนชนิดเอ็ม 16 และเอชเค 2,000 นัด กระสุนชนิด 11 มม. 1,000 นัด
               
                 เป็นการปล้นคลังแสงก่อนเกิดการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดง ในวันที่ 14 มีนาคม เพียง 10 วัน แม้ว่ากองทัพจะออกมาชี้แจงในภายหลังว่าได้ติดตามอาวุธที่หายออกจากคลังแสงกลับมาได้ทั้งหมด
               
                 แต่วงในกลับยืนยันว่า มีอาวุธจำนวนไม่น้อยจากคลังแสงดังกล่าวที่ถูกทยอยนำออกจากพื้นที่โดยคนในค่าย และยังไม่สามารถจับมือใครดมได้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนจะเป็นอาวุธที่นำมาก่อเหตุด้วยหรือไม่ เป็นเรื่องที่ชุดสืบสวนต้องเร่งขยายผล
               
                 เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ค่ายอภัยบริรักษ์ เคยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของบุตรชายอดีตนายทหารสายเหยี่ยวคนหนึ่งที่นอกจากจะมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แล้ว ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงทางการเมืองมาแล้วหลายเหตุการณ์ แถมยังเคยประกาศก่อตั้งกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามบัญชาของ ทักษิณ ชินวัตร แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากถูกสังคมคว่ำบาตร
               
                 หลังลมหายใจของ “เสธ.แดง” ขาดสะบั้นลง “ทหารแก่นักล่าสังหาร” ที่ถอยฉากไปอยู่เบื้องหลัง ก็ถูกร้องขอให้ออกมานำทัพ เพราะขาดหัวหน้าทีมปฏิบัติการโฉด จึงไม่น่าแปลกใจที่ระเบิดครั้งหลังสุดหน้าห้างบิ๊กซี จึงพุ่งเป้าไปที่การสังหารชีวิตมนุษย์ผู้บริสุทธิ์แทนการระเบิดสถานที่
               
                 เนื่องจากความเหี้ยมของคนสั่งการมีดีกรีอยู่ในระดับที่ผ่านสนามรบมาแล้วหลายครั้ง เป็นหัวหน้าทีมล่าสังหารมาแล้วก็หลายคราว ความอำมหิตจึงไม่ต้องพูดถึง
               
                 สถานการณ์ของชาติในวันนี้ต้องเรียกว่าเปราะบางและสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดเหตุร้ายได้ทุกเวลา โดยการก่อวินาศกรรมที่หวังผลต่อชีวิตเป็นสิ่งที่ฝ่ายข่าวต้องติดตามอย่างใกล้ชิด การลอบสังหารผู้นำเพื่อทำลายการเมืองทั้งระบบ เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้
               
                 ขณะที่ ศอฉ.ต้องปรับกลยุทธในการดูแลรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงของชาติอย่างเข้มแข็ง ใช้เครื่องมือทางกฎหมายที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ล่าตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษให้ได้
       
                 อย่าเอาแต่ก่นด่าเหมือนที่ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. ระเบิดอารมณ์ว่า
               
                 คนโรคจิต คิดประทุษร้ายต่อประเทศชาติยังมีอยู่ เมื่อไหร่ที่พวกนี้กลับตัวกลับใจ ถึงจะเลิก บางคนแก่แล้วยังคิดอยู่ แย่มาก
               
                 คำพูดที่แสดงให้เห็นว่าพอรู้ถึงเบาะแสว่า ใครเป็นผู้บงการต้องสาวไปให้ถึงต้นตอ เพราะจะรอให้พระมาโปรด จนคนชั่วกลับใจเลิกทำร้ายชาติ คงยาก
       
                 ถ้าไม่เชื่อก็ลองถาม "พล.อ.พัลลภ" ดู จะได้คำตอบว่า คนแก่มีฤทธิ์มากแค่ไหน
               
       
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 กรกฎาคม 2553, 22:59:47
ย้อนรอย 'iรอยด่าง' ยูเนสโก สมาชิก 'ถอนตัว'
30 กรกฎาคม 2553 เวลา 05:33 น.posttoday

จากการศึกษาประวัติความเป็นมานับตั้งแต่การก่อตั้งขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมื่อปี ค.ศ. 1946 พบว่าเหตุการณ์ที่ประเทศสมาชิกของยูเนสโกขอถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งมักจะมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจต่อท่าทีและการดำเนินนโยบายของยูเนสโกที่กระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ

ในกรณีของประเทศแอฟริกาใต้ได้ประกาศถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1956 เนื่องจากไม่พอใจบทบาทของยูเนสโกที่เข้ามาก้าวก่ายปัญหาเรื่องปัญหาการเหยียดสีผิวภายในประเทศ โดยการตีพิมพ์และแจกจ่ายเอกสารซึ่งให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องสีผิวให้กับประชาชนในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวที่สุดในแอฟริกาใต้ขณะนั้น

เอกสารดังกล่าวของยูเนสโกได้รวบรวมเอาความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องสีผิว อคติเกี่ยวกับสีผิว รวมทั้งอธิบายความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสีผิวและยีน อาทิ ความเข้าใจที่ว่าคนผิวขาวเหนือกว่าคนผิวดำ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แอฟริกาใต้ได้กลับเข้าเป็นสมาชิกยูเนสโกอีกครั้งเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ปี ค.ศ. 1994

ในกรณีของสหรัฐก็เคยถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกยูเนสโกเช่นเดียวกันเมื่อปี ค.ศ. 1984 และอังกฤษกับสิงคโปร์ที่ได้ประกาศถอนตัวเมื่อปี ค.ศ. 1985 เนื่องมาจากทั้งสามประเทศไม่พอใจบทบาทของยูเนสโกที่ผลักดันระเบียบข่าวสารและการสื่อสารโลกใหม่ (NWICO) อันเป็นข้อเสนอของกลุ่มประเทศในโลกที่สามที่ต้องการให้มีแนวปฏิบัติระหว่างประเทศว่าด้วยการรวบรวมและกระจายข่าว

ข้อเสนอดังกล่าวเกิดขึ้นจากความเชื่อของบรรดาประเทศโลกที่สามที่ว่า ข่าวสารต่างๆ ในระดับระหว่างประเทศมักจะถูกควบคุมโดยสำนักข่าวจากประเทศตะวันตก ซึ่งให้ข่าวเกี่ยวกับประเทศโลกที่สามอย่างไม่ครบถ้วน ไม่รอบด้าน มีทัศนคติในแง่ลบ และเบี่ยงเบนไปจากความจริง

ในช่วงเวลานั้นยูเนสโกซึ่งมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นประเทศในโลกที่สาม มีบทบาทอย่างมากในการผลักดันระเบียบข่าวสารและการสื่อสารโลกใหม่ โดยประกาศเป็นหลักการ 12 ข้อ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติสำหรับชาติสมาชิกต่างๆ

สาระสำคัญของหลักการ 12 ประการดังกล่าว กำหนดให้รัฐบาลออกมาตรการเพื่อควบคุมสื่อมวลชนให้มากขึ้น อาทิ การกำหนดให้มีใบอนุญาตสำหรับนักหนังสือพิมพ์ ฝ่ายประเทศตะวันตกซึ่งมีแนวคิดให้เสรีภาพกับสื่อมวลชน และสนับสนุนการนำเสนอข่าวสารโดยปราศจากการควบคุม ก็ได้ขัดขวางหลักการตามระเบียบใหม่นี้อย่างหัวชนฝา

จากจุดยืนของสหรัฐที่คัดค้านหลักการของระเบียบข่าวสารและการสื่อสารใหม่ รวมทั้งความไม่พอใจที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นลัทธิอาณานิคมใหม่ และการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของยูเนสโก ทั้งหมดเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สหรัฐประกาศถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกยูเนสโกในปี ค.ศ. 1984 ซึ่งอังกฤษและสิงคโปร์ก็ประกาศถอนตัวตามมาในปี ค.ศ. 1985

กระนั้น อังกฤษได้กลับเข้าเป็นสมาชิกยูเนสโกอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ. 1997 สหรัฐเมื่อปี ค.ศ. 2003 และสิงคโปร์เมื่อปี ค.ศ. 2007



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 สิงหาคม 2553, 22:58:42
การเมือง
วันที่ 2 สิงหาคม 2553 21:00

'สมเถา'ศิลปินดังถูกโพสต์บล็อกขู่เอาชีวิต
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



 "สมเถา สุจริตกุล" นักเขียนชื่อดัง ถูกโพสต์ในบล็อกส่วนตัวขู่ฆ่า หลังโต้"อัมสเตอร์ดัม"ออกสมุดปกขาว ผบช.น.รุดสอบปากคำด้วยตนเอง สั่งแกะรอย


เวลา 13.30 น. วันนี้(2 ส.ค.) นายสมเถา สุจริตกุล อายุ 58 ปี วาทยากร คีตกวี ผู้กำกับภาพยนตร์ และนักเขียนที่มีชื่อเสียงระดับสากลของไทย อยู่บ้านเลขที่ 48 ซ.สุขุมวิท 33/5 แขวงคลองเตย เขตวัฒนา เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว หลังจากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีส่งข้อความข่มขู่เอาชีวิตทางอินเตอร์เน็ท ผ่าน www.somtow.org ซึ่งเป็นเว็บบล็อกส่วนตัวของตน

นายสมเถา เล่าว่าจากกรณีนายโรเบิร์ธ อัมสเตอร์ดัม ทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ออกมา เผยแพร่สมุดปกขาว ความยาว 80 หน้าใช้ชื่อว่า " การสังหารหมู่กรุงเทพ เสียงเรียกร้องความรับผิดชอบ" ซึ่งมีเนื้อหาเรียกร้องกองทัพและรัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ไม่เหมาะสมด้านสิทธิมนุษยชนและการก่ออาชญากรรมต่อมนุษย์ที่ กรุงเทพฯ เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา

นายสมเถา กล่าวว่า ภายหลังจากที่ตนได้อ่านตนจึงเขียนบทความเพื่อตอบโต้ลงในอินเตอร์เน็ทผ่านทางเว็บบล็อกของตนเอง หลังจากนั้นมีคนที่เข้ามาอ่านบทความของตนได้ส่งข้อความแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนราวๆ เที่ยงคืนของวันดังกล่าวก็ได้มีบุคคลลึกลับส่งข้อความเข้ามา ซึ่งมีเนื้อหาข่มขู่คุกคามจำนวน 5 ข้อความติด โดยมีเนื้อหา "พวกเราจะเอาเลือดคุณไปราดที่ราชประสงค์ คนอย่างคุณควรจะเอาไปตัดหัว พวกคุณทั้งโคตรจะไม่มีอีกแล้ว เพราะเราจะทำลายคุณ"

โดยปกติถ้ามีบุคลอื่นเข้ามาอ่านบทความของตน และมีการแสดงความคิดเห็น ก่อนที่ข้อความจะถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ตนต้องเป็นผู้กดอนุญาตเผยแพร่เอง หลังจากเห็นข้อความข่มขู่ดังกล่าวก็รู้สึกตกใจ จึงได้ตัดสินใจปิดการแสดงความคิดเห็น

นักเขียนชื่อดัง กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นได้ทำสำเนาข้อความดังกล่าวส่งไปให้คนที่รู้จักหลายๆ คนอ่าน หนึ่งในนั้นก็มี ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเชียน ซึ่งรู้จักมานาน ภายหลัง ดร.สุรินทร์ได้อ่านข้อความดังกล่าวจึงรู้สึกเป็นห่วงในความปลอดภัย จึงได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ระดับชั้นผู้ใหญ่ในกองบัญชาการตำรวจนครบาล จนกระทั่งวานนี้(1 ส.ค.) พล.ต.ท. สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พร้อมตำรวจอีก 5 นาย ได้เดินทางมาพบตนที่บ้านพัก สอบถามเรื่องราวด้วย ซึ่งก็ได้ให้ข้อมูลทั้งในส่วนข้อความที่ถูกข่มขู่ และหมายเลขไอพี แอดเดรสของคนโพสต์ข้อความข่มขู่

นายสมเถา กล่าวว่า ภายหลังจากที่ให้ข้อมูลกับทางตำรวจแล้ว ทางด้าน ผบช.น. ก็ได้รับปากว่าจะจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาติดตั้งตู้แดง พร้อมกับจะกำชับให้เพิ่มความถี่ถ่วนในการตรวจตราบริเวณบ้านพักของตน นอกจากนี้กรณีที่ตนมีธุระต้องการเดินทางออกจากบ้านหากเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย ทางเจ้าหน้าที่ก็จะจัดตำรวจนอกเครื่องแบบไปดูแลความปลอดภัย ในส่วนของการตามหาตัวบุคคลที่ส่งข้อความมา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้กล่าวกับตนว่าจะนำหมายเลขไอพีที่ได้ไปแกะรอยเพื่อหาต้นทางที่ส่งมาว่าส่งมาจากที่ไหน

นักเขียนคนเดิม กล่าวในตอนท้ายว่า ที่ผ่านมาตนไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์อย่างนี้ โดยปกติการเขียนบทความก็ไม่ได้เข้าข้างใครถึงขนาดนั้น ก่อนหน้านี้ก็เคยเขียนบทความคอมเมนต์ถึง แดน รีฟเวอร์ ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ก็มีผู้คนเข้าที่เข้ามาอ่านได้แสดงความคิดเห็นถึง 400 ข้อความ ซึ่งก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่เคยเจอข้อความไหนที่มาข่มขู่เอาชีวิตถึงขนาดนี้ หลังจากโดนข่มขู่ตนไม่กล้าที่จะออกจากบ้าน ยิ่งเวลากลางคืนไม่กล้าที่จะออกไปไหน พอภายหลังที่เจ้าหน้าที่เข้ามาสอบถาม และรับปากที่จะเข้ามาดูแลความปลอดภัยทำให้ตนสบายใจขึ้น

ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 เปิดเผยว่า ตนยังไม่ได้รับรายงานในเรื่องดังกล่าว แต่โดยปกติพื้นที่ของสน.ทองหล่อ จะมีบ้านบุคคลสำคัญจำนวนหลายคน  ปกติได้กำชับให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่คอยดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษอยู่แล้ว ส่วนกรณีหากมีการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ทางตำรวจจะประสานกับกระทรวงไอซีทีช่วยตรวจสอบหาต้นทางของผู้ที่ส่งข้อความมาได้ และคาดว่าทางพล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. คงให้คำแนะนำไปกับผู้เสียหายไปบ้างแล้วหลังจากเข้าไปสอบถามข้อมูล

นายสมเถา ระบุอีกว่า อัมสเตอร์ดัม บอกว่าเป็นทนายของทักษิณ แต่ดูท่าทีแล้วน่าจะทำหน้าที่เป็นล็อบบี้ยิสต์มากกว่า เหมือนกับการทำงานให้นายมิคาอิล คาร์ดาคอฟสกี้ อดีตมหาเศรษฐีรัสเซียที่ติดคุก แต่ก็ใช่ว่าเขาจะทำงานอย่างได้ผล และก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเชื่อว่าเขาจะทำงานได้สำเร็จในกรณีของทักษิณ ถ้าเราไม่ปล่อยให้เขาทำมันให้สำเร็จ และจะเป็นอันตรายมาก หากรัฐบาลไทยจะหลงประเด็น และเสียเวลาไปกับการพยายามตอบโต้นายอัมสเตอร์ดัม

นายสมเถา ยังระบุด้วยว่า นายอัมสเตอร์ดัมเป็นลูกจ้างของทักษิณ และมีหน้าที่ในการฟอกชื่อเสียงของทักษิณ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้กลับมาประเทศไทย โดยยังมีทรัพย์สินอยู่ครบถ้วน และไม่ต้องติดคุก เมื่อเป็นเช่นนี้ สมุดปกขาวจึงไม่ได้หวังเรียกร้องอย่างจริงจังเพื่อให้รัฐบาลออกมารับผิดชอบ หรือวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองของไทยอย่างรอบด้าน แต่เป็นเครื่องมือหนึ่งของนายอัมสเตอร์ดัมในการทำให้เป้าหมายของเจ้านายเป็นจริงเท่านั้น

Tags : สมเถา สุจริตกุล
.


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 สิงหาคม 2553, 09:50:57
เพลงดาบของสมเถา
โดย อัญชะลี ไพรีรัก    4 สิงหาคม 2553 16:49 น.manager online

ขณะที่ครอบครัว “สุจริตกุล” นำโดย ดร.สมปอง-อ.ถ่ายเถา (นักประพันธ์ลือนาม) -ดร.นฎาประไพ (นักวิชาการอิสระ) กำลังออกมาให้ข้อมูลทางวิชาการเพื่อปกป้องดินแดนไทยรอบๆ ปราสาทพระวิหารไม่ให้ตกเป็นของเขมรอย่างอยุติธรรม
       
       ให้ปรากฏว่า บุตรชายคนโตของครอบครัวนี้ก็ออกมา “ประดาบ” จนกระบี่ของ “สมเถา สุจริตกุล” ดื่มเลือดศัตรูของแผ่นดินไทยไปเรียบร้อยก่อนเก็บเข้าฝัก กับกรณีสมุดปกขาวของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายโจร-ผีฝรั่งโม่แป้งของทักษิณ ที่ถึงกับร่ำร้องครวญครางใน Blog ของเขาอย่างไม่เหลือแววทนายใหญ่ขวัญใจมาเฟียรัสเซีย หลังถูกสมเถาตอกหน้าหงายด้วยจดหมายตอบโต้สมุดปกขาวในประเด็น “คำโกหกที่ไร้ยางอายของทนายหิวเงิน”
       
       การปะทะกันทางคำพูดอย่างมีเหตุและผลระหว่าง “สมเถา สุจริตกุล” ผู้รักชาติและจงรักภักดี กับ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายโจรชาวยิวที่เกิดในแคนาดาผู้รักทักษิณเพราะ “เช็คเงินสด” ถ้าเป็นภาษามวยก็เรียกได้ว่า มวยถูกคู่ คนดูถูกใจ งานนี้มีเฮครับท่าน!!!
       
       จดหมายฉบับเดียวของอ.สมเถาส่งผลให้ลูกค้ารายใหญ่หลายรายของนายผีโม่ แป้งคนนี้โบกมือลา จนนายอัมสเตอร์ดัมคร่ำครวญในกล่อง Letter ของเขาว่า “นายสมเถากับอาการกราดเกรี้ยวของเขาทำให้ผมตกใจ อ่านจบแล้วเหมือนคนเมาเหล้าไปเลย” ....วัวสันหลังหวะผู้พินอบพิเทากับทักษิณดุจทาสในเรือนเบี้ย โอดกาเหว่าในกล่องจดหมายที่ Blog ของเขาเองอย่างกะปลกกะเปลี้ยเต็มที
       
       งานนี้ อ.สมเถา เปิดศึกอัดกลับนายอัมสเตอร์ดัม ด้วยลีลาศิลปินขั้นมือรางวัลระดับโลก ชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร และไม่มีการยอมกันอีกต่อไป และไม่ยี่หระที่ถูกนายอัมสเตอร์ดัมเหน็บแนมว่า ข้อโต้แย้งเบาหวิวและลีลาลวดลายเต็มไปด้วยจินตนาการราวนวนิยาย
       
       นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ อ.สมเถาวิพากษ์วิจารณ์ข้อคิดข้อเขียนของบริวารต่างชาติของทักษิณ หากทว่าก่อนหน้านี้ถ้อยคำโต้เถียงในแต่ละประเด็นร้อนๆ มีมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ไม่เป็นที่ปรากฏในสื่อสาธารณะเท่านั้น
       
       อ.สมเถาประกาศตัวเสมอๆ ว่า เขาไม่ใช่เสื้อเหลืองแต่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และไม่ยอมให้ใครมาทำลายย่ำยีบีฑาอย่างง่ายๆ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ และทำสม่ำเสมอคือ การแสดงความคิดความเห็นวิจารณ์เหตุบ้านการเมือง-โต้เถียงกับทักษิณ-อัดผีโม่ แป้งผ่านทางสื่อออนไลน์ และ ส่งไปทางสำนักพิมพ์ต่างๆ ไล่หลังบทสัมภาษณ์ที่บิดเบือนใส่ไคล้ ซึ่งสามารถหาอ่านกันได้เต็มๆ จากอีเมล และ Fb ของเขาที่แพร่หลายในหมู่วงศาคณาญาติ และเพื่อนสนิทมิตรสหาย
       
       หลังจากสมุดปกขาวเฮงซวยตลบตะแลงของนายอัมสเตอร์ดัมที่เผยแพร่ผ่านทาง เว็บไซต์มาสักระยะหนึ่ง ทำให้ผู้คนที่ผ่านหูผ่านตาเกิดอาการเดือดเลือดพล่านกับคำโกหกหน้าด้านๆ ของฝรั่งคนนี้ จนเป็นเหตุให้คนไทยกลุ่มหนึ่งถึงกับถามไถ่กันและกันว่า “เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว เพื่อจัดการให้คนคนนี้ กับเจ้านายของมัน และบอกกับพวกมันด้วยว่า ความหลอกลวงไม่มีวันชนะความจริงไปได้”
       
       นี่คือจุดเริ่มต้นของ อ.สมเถา กับการจรดปากกา “ด่ากลับ” ฝรั่งหิวเงินที่เคยติดคุกติดตารางและโดนไล่ไม่ให้เข้าประเทศรัสเซียมาแล้ว
       
       อ.สมเถา สุจริตกุล วัย 58 ปี มีประวัติของครอบครัวที่จัดได้ว่าเป็นชั้น “อำมาตย์” เต็มตัว เขาเป็นศิษย์เก่าอีตัน และจบปริญญาตรี และโทที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เหมือนกับบิดาของเขา ต่อมาประกอบอาชีพนักแต่งนวนิยาย กวี และรังสรรค์บทเพลงคลาสสิกตามรอยเท้ามารดาที่ปลูกฝังให้ลูกทุกคนเป็นนักอ่าน มุ่งการเรียน รื่นรมย์กับศิลปะ
       
       อ.สมเถาเรียนจบและอาศัยอยู่ในอังกฤษระยะหนึ่งต่อมาไปใช้ชีวิตที่ สหรัฐฯ เกือบ 10 ปี ก่อนกลับมาเมืองไทยและมุ่งมั่นกับการก่อสร้าง “บางกอกโอเปร่า” ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยจงได้
       
       จะว่าไปแล้วอ.สมเถา เป็นนักแต่งเพลงซึ่งเป็นที่รู้จักในโลกตะวันตกมากกว่าเมืองไทย ทั้งยังเป็นวาทยกรเพลงซิมโฟนี ออเคสตราอันเลื่องชื่อระดับโลก ยังเป็นนักเขียนนวนิยายทั้งไทยและอังกฤษที่ขายดิบขายดีมีรางวัลติดไม้ติดมือ มากมาย ชื่อของ “สมเถา สุจริตกุล” สำหรับวงการศิลปินในต่างแดนแล้ว เขาจัดอยู่ในขั้น “คนสำคัญ” ทีเดียว
       
       ลูกศิษย์อ.สมเถาคนหนึ่งซึ่งรักเสมือน “ลูกชาย” นาม PIZZA หรือฉายา ขลุ่ยมรณะ เป็นวาทยกรรุ่นใหม่ที่อ.สมเถาปั้นมากับมือ หนุ่มน้อยคนนี้มีครอบครัวเป็นพันธมิตรการบินไทยและวิธีคิด วิธีอธิบายไม่ต่างอะไรไปจากอาจารย์ของเขาเลย
       
       เมื่ออาจารย์สมเถาตอบโต้ทักษิณและบริวารด้วยวิธีการที่เชี่ยวชาญคือ งานเขียน แต่ขลุ่ยมรณะเลือกที่จะใช้วิธี “ตัดต่อ” ภาพและคำพูดต่างกรรมต่างวาระของทักษิณ หรือเฉลิม ส่งผ่านyou tube จนเป็นที่รู้จักกว้างขวางจาก “เหลิมแร็ป” และ “แม้วแร็ป”
       
       อ.สมเถา และขลุ่ยมรณะ เพิ่งผ่านพ้นการจัดงานคอนเสิร์ตซิมโฟนีออเคสตราเทิดพระเกียรติฯ ร่วมกัน และประสบความสำเร็จล้นหลามที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
       
       หลังจากนั้นไม่นาน อ.สมเถา ก็หันมาเจอสมุดปกขาวของนายอัมสเตอร์ดัม และนี่คือที่มาของ “ข้อแนะนำ” ให้นายอัมสเตอร์ดัมหยุดสนใจเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่จะได้จากทักษิณเสีย ควรหันไปแนะนำในทางที่ดีกับลูกความด้วยการหยุดคิดได้แล้วว่า “เคยโดนถีบออกไปจากประเทศไทยอย่างไม่ยุติธรรม” แต่ให้กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนมาต่อสู้คดีเสียแต่โดยดี
       
       อ.สมเถายังบอกอีกว่า สมุดปกขาวของทนายโจรอัมสเตอร์ดัมช่างเต็มไปด้วยความฟูมฟายทุรนทุรายในการที่ จะใส่ร้ายผู้นำของประเทศไทยและกองทัพไทยกับการกระชับพื้นที่เพื่อยุติการ ชุมนุมของพี่น้องเสื้อแดงที่กำลังทำลายประเทศเพื่อคนทุจริตและทำผิดกฎหมาย อย่างทักษิณคนหนีคุกคนเดียว
       
       โดยอ.สมเถาชี้ทีละประเด็นให้คนทั้งโลกเห็นว่าทนายผู้นี้พยายามแก้ ต่างให้ทักษิณอย่างไม่นำพาข้อเท็จจริง...ถือได้ว่าสมุดปกขาวเล่มนี้โกหก อย่างร้ายกาจ
       
       วาทยกรเอกก้องโลกทายาทจากสายสกุลสุจริตกุลยังบรรเลงเพลงดาบอาบเลือดทนายโจรต่อไปอีกว่า “จะไม่โต้ตอบนายอัมสเตอร์ดัมเม็ดต่อเม็ดด้วย ไม่ใช่ทนายความ” ... แต่เขากลับกระซวกมีดดาบคมกริบในมือแทงหัวใจทนายโจรทะลุถึงหลัง ปักกันให้เห็นๆ กับประโยคที่ว่า “ทนาย อัมสเตอร์ดัมพยายามโกหกหน้าด้านๆ ถึงกับบิดเบือนข้อมูลทุกประเด็น มักตีหน้าตายเมื่อถูกจับได้ไล่ทัน และเสแสร้งเถียงข้างๆ คูๆ ว่า เอาล่ะ!!!.ทักษิณข่มขืนและข่มเหงประเทศไทยแล้วไงล่ะ!!! เมืองไทยจะว่าไป ก็ใช่ผู้หญิงดีเด่อะไรนักหนา แถมยังเชื้อเชิญเขาด้วยซ้ำ!!!”
       
       ในจดหมายโต้ตอบของอ.สมเถา ได้อรรถาธิบายความเลวร้ายของทักษิณที่ทำกับประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ตั้งแต่โกงบ้านกินเมือง เผด็จการรัฐสภา แทรกแซงองค์กรอิสระ แทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชน ละเมิดสิทธิมนุษยชน เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ทั้งกรณียาเสพติด และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผลประโยชน์ทับซ้อน และเผาบ้านเผาเมือง
       
       อ.สมเถาไม่ยี่หระกับการใส่ร้ายของนายอัมสเตอร์ดัมที่หยามว่า “ข้อถกเถียงของสมเถาเหมือนระบายสีใหม่ทับรอยเก่าให้อภิสิทธิ์ ช่างน่าอายเพราะไม่ต่างอะไรไปจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นกระบอกเสียงผู้ซื่อสัตย์ของนายอภิสิทธิ์”
       
       หากแต่นักเขียนนวนิยายมือทองระดับรางวัลระดับโลกมากมายคนนี้ กลับพยายามที่จะบอกกับคนทั่วไปว่า
       
       “ทนายหิวเงินคนนี้ ซื่อสัตย์กับลูกความเพราะเงินว่าจ้างราคาสูง แต่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ และไม่ได้เก่งกาจอะไรหนักหนา แถมยังเคยทำลูกความคนดัง ผู้มั่งคั่งในรัสเซียติดคุกติดตารางมาแล้ว ส่วนตัวเองยังติดร่างแหโดนจับและขับไล่ออกนอกประเทศ...น่าอับอายไร้ ศักดิ์ศรีไม่มีความน่าเชื่อถือ”
       
       หลังจากการปะทะกันระหว่างอ.สมเถากับนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ปรากฏต่อสาธารณชนผ่านสื่อไปแล้ว ให้ปรากฏว่า สถานการณ์อ.สมเถาไม่สู้ดีนัก เพราะถูก “คนรักทักษิณ” โทร.มาขู่ฆ่า ขู่วางระเบิดบ้านแทบทุกวันจนต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ และกวดขันกับไปรษณีย์มากขึ้น
       
       แต่กระนั้นคนอย่างเขาก็ไมได้เรียกร้องให้รัฐบาลลงมาช่วยหรือดูแล ยังใช้ชีวิตตามปกติ แต่งเพลง กวี นวนิยาย วาดรูป เป็นต้น
       
       เพียงแต่มีความต้องการมากขึ้น ในการที่จะให้คนไทยที่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษดี ช่วยกันส่งข้อมูลที่ถูกต้องออกไปยังสื่อต่างประเทศให้มากเท่ามาก เพื่อ “แก้แทนประเทศไทย” และ “ปกป้องพระเจ้าอยู่หัว” หลังจากถูกทักษิณและเหล่าบริวารบิดเบือดใส่ร้ายปู้ยี่ปู้ยำมานานหลายปี
       
       เพลงดาบสุดท้ายของอ.สมเถานั้น เขากำลังพยายามจะคิดให้ออกว่า ควรจะทำอะไรดีกับสมุดปกขาวแสนโกหกที่เปรอะเปื้อนเลอะเทอะเล่มนี้
       
       หากแต่ ดร.นฎาประไพ สุจริตกุล น้องสาวช่วยคิดแทนว่า “เอามาให้เช็ดตีนยังไม่อยากได้เลย!!! มาทางไหนส่งคืนไปทางนั้น”


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 09 สิงหาคม 2553, 08:18:31
http://www.youtube.com/watch?v=-AHa3Eyfuq0

ทหารใส่ชุดลายพรางคนนี้ มีสิทธิอะไรที่ใช้เท้ากระทืบ เหยียบ เตะหน้า ทหารหนุ่มอีก 2 คน

สิทธิของความเป็นมนุษย์อยู่ที่ไหน?

กองทัพต้องทำความกระจ่างแจ้ง ไล่ไอ้ทหารเลวคนน้้นคนนั้น ออกโดยด่วน และโดยทันที แล้วให้จำคุกฐานทำร้ายร่างกาย ทำร้ายจิตใจ ทหารใต้บังคับบัญชา

วิดีโอ ชุดนี้ คนดูแล้ว 23,630 ครั้ง คนไทยจะต้องดูเป็นแสนเป็นล้านครั้ง   ส่งคนไทยได้ดูกันทุกคน

กองทัพบก จะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง ทหารชั้นผู้น้อย ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่สัตว์ ที่ใครจะมารังแกไม่ได้

ทหารเป็นรั้วของชาติ เป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่คนรับใช้ คนทำความสะอาดบ้านนายทหาร คนซักเสื้อผ้า-กางเกงในเมียนายทหาร ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 สิงหาคม 2553, 20:29:06
เลวจริงๆ..ทำไมไม่ถ่ายให้เห็นหน้า ไอ้เสื้อลายพราง
อยากเห็นหน้าเลวๆของมัน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 สิงหาคม 2553, 09:14:29
วันที่ 09 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 17:09:39 น.   มติชนออนไลน์

3 แนวร่วม นปช. ให้การปฏิเสธครอบครองอาวุธสงคราม-ระเบิด บ่นน้อยใจ "แกนนำ" ไม่เหลียวแล



3 แนวร่วม นปช. ให้การปฏิเสธครอบครองอาวุธสงคราม – ระเบิด ขณะที่ แนวร่วม นปช. ออกตัว น้อยใจ แกนนำ นปช- พท. ไม่คิดช่วยเหลือ

 

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 9 สิงหาคม ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ถ.สรรพาวุธ ศาลนัดสอบคำให้การคดีที่อัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ อายุ 50 ปี , นายชาตรี ศรีจินดา อายุ 33 ปี และนายสุรชัย นิลโสภา อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)  ในความผิดฐานร่วมกันครอบครองอาวุธปืนสงคราม เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต และปลอมเอกสาราชการและใช้เอกสารปลอม


โดยศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยทั้งสามฟังแล้วสอบคำให้การ จำเลยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ศาลจึงกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก ในวันที่ 10 มิถุนายน 2554


ต่อมาญาติของจำเลย ยื่นคำร้องและหลักทรัพย์ขอประกันตัว ทั้งนี้ศาลพิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง และพฤติการณ์เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุม จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง


นางนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ หนึ่งในจำเลยคดีนี้ กล่าวว่า พวกตนทั้งสามรู้สึกน้อยใจที่ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจาก นปช.และ พรรคเพื่อไทย ทั้งที่พวกตนมาร่วมสู้เรียกร้องประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ อยู่แนวหน้าให้กับ นปช. และคนเสื้อแดงมาตลอด ตั้งแต่ปี 2549 ขณะที่แนวร่วมคนอื่นที่ถูกจับในข้อหาแบบเดียวกัน ต่างได้รับการประกันตัวปล่อยตัวชั่วคราวหมดแล้ว  ทุกวันนี้บ้านตนก็กำลังจะถูกยึด แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะยังติดอยู่ในเรือนจำ ชีวิตแทบไม่เหลืออะไรแล้วตั้งแต่เข้าร่วมต่อสู้กับนปช.             

                                                       
ผู้สื่อ ข่าวรายงานว่า สำหรับจำเลยดังกล่าว ถูกตำรวจชุดปฎิบัติการ กองบังคับการตำรวจปฎิบัติการพิเศษ (191) ตำรวจ สน.คลองตัน และกองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 เข้าทำการจับกุมเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่ทาวน์เฮ้าส์ เลขที่ 231 หมู่บ้านฮอลริวู๊ด ซอยอ่อนนุช 17 แยก 9 แขวงและเขตสวนหลวง กทม. พร้อมของกลาง ระเบิดเพลิงบรรจุขวดน้ำมัน จำนวน 107 ขวด อาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนอาร์ก้า จำนวน 5 กระบอก อาวุธปืนคาร์บิน จำนวน 1 กระบอก เครื่องกระสุนใช้กับอาวุธปืนชนิดต่างๆจำนวนมาก แม็กกาซีน พร้อมซองใส่ ระเบิดลูกเกลี้ยง จำนวน 10 ลูก ระเบิดควัน และระเบิดแก๊สน้ำตา โดยการเข้าตรวจค้นจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มบุคคลลักลอบนำอาวุธปืนสงคราม และระเบิดเพลิงจำนวนมากมาเก็บซุกซ่อนไว้เพื่อก่อเหตุ และสร้างสถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล             


 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 สิงหาคม 2553, 10:25:16
มหาเศรษฐีผู้มีจิตวิญญาณกับวิวัฒนาการของสังคม
โดย : ดร.ไสว บุญมา


  สัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องมหาเศรษฐีอเมริกันที่มีทรัพย์ระดับพันล้านดอลลาร์ 40 คน ให้คำมั่นสัญญาว่าจะบริจาคอย่างต่ำครึ่งหนึ่งของทรัพย์ที่ตนมีอยู่


เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นข่าวใหญ่ในสื่อไทยเกือบทุกสื่อ แต่เท่าที่เห็นไม่มีใครได้เจาะลึกลงไปถึงที่ไปที่มาว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร และเศรษฐีเหล่านั้นมีข้อคิดอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษบ้าง จึงขอนำบางอย่างมาเล่า

 
วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ บิล เกตส์ สองเพื่อนซี้ที่อายุต่างกันคราวพ่อกับลูกเป็นต้นคิดและเมื่อปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ได้นัดพบลับๆ กับบรรดามหาเศรษฐีครั้งแรกในนครนิวยอร์ก โดยมี เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ เป็นเจ้าภาพ หลังจากนั้น ก็มีการพบกันอีกหลายครั้งรวมทั้งบิล เกตส์ บินมาพบลับๆ กับมหาเศรษฐีในเอเชียด้วย จุดมุ่งหมายของการพบกัน ได้แก่ การปรึกษาหารือเรื่องการบริจาคทรัพย์ช่วยเพื่อนมนุษย์ หลังการพบกันครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา พวกเขาได้ข้อตกลงว่า จะเชิญชวนมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์ระดับพันล้านดอลลาร์ ให้พิจารณาบริจาคทรัพย์ของตนคนละไม่ต่ำกว่า 50% เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์โดยการเขียนคำมั่นสัญญาลงในเว็บไซต์ ชื่อ www.givingpledge.org
 

คำมั่นสัญญานี้ไม่มีผลทางกฎหมาย หากเป็นการแสดงเจตนาโดยวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประเดิมเป็นคนแรก เขาเขียนว่า เขาจะสละทรัพย์ของเขาไม่ต่ำกว่า 99% ช่วยเพื่อนมนุษย์
 

ในคำมั่นสัญญาที่ยาวราว 1 หน้ากระดาษ วอร์เรน บัฟเฟตต์ พูดถึงหลายอย่างรวมทั้งสิ่งเหล่านี้ด้วย 1. จริงอยู่ทรัพย์ที่เขาจะให้นั้นมีค่านับหมื่นล้านดอลลาร์ แต่หากวัดกันในด้านของการเสียสละแล้วมันยังน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่น ทั้งนี้ เพราะแม้เขาจะยก 99% ของทรัพย์ให้การกุศล เงินที่เหลือยังมากมาย ยังผลให้เขาไม่ต้องเสียสละอะไรที่จำเป็นต่อชีวิตของเขาเลย ต่างกับผู้สละทรัพย์อีกจำนวนมาก ที่แม้จะบริจาคเพียงไม่กี่ดอลลาร์ แต่เงินนั้นอาจมาจากงบประมาณสำหรับซื้ออาหาร ซึ่งผู้บริจาคจะต้องอด 2. หลายๆ คน สละเวลาซึ่งมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์เพื่อช่วยผู้อื่น ส่วนเขาสละเฉพาะทรัพย์เท่านั้น 3. เขามองว่าการสะสมของมีค่าทางวัตถุต่างๆ ไม่มีความสำคัญ เพราะสิ่งเหล่านั่นแหละคือโซ่รัดคอของผู้สะสม สิ่งที่มีค่ากว่าวัตถุคือสุขภาพและเพื่อน และ 4. ทรัพย์ที่เขาบริจาคไปนั้น แม้จะเก็บไว้ก็จะไม่ทำให้เขาและลูกๆ มีความสุขเพิ่มขึ้น ตรงข้ามมันจะทำให้เพื่อนมนุษย์จำนวนมากมีชีวิตดีขึ้น
 

อาจเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ทรัพย์ของมหาเศรษฐีเช่นวอร์เรน บัฟเฟตต์ ส่วนใหญ่อยู่ในรูปหุ้นบริษัท มูลค่าของทรัพย์จึงขึ้นลงตามราคาของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปีที่แล้ว นิตยสารฟอร์บส์ประเมินว่า ทรัพย์ของเขามีค่าราว 37,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่าหนึ่งล้านล้านบาท เมื่อปี 2549 วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ให้คำมั่นสัญญากับ บิล เกตส์ ว่า เขาจะเริ่มบริจาคทรัพย์ของเขาราว 83% ให้แก่มูลนิธิของบิล เกตส์ เพื่อให้มูลนิธินั้นนำไปใช้ในกิจการช่วยเพื่อนมนุษย์ การให้คำมั่นสัญญาครั้งนี้ จึงมีค่าเท่ากับการบริจาคเพิ่ม 
 

บิล เกตส์ รวมอยู่ในผู้ที่เขียนคำมั่นสัญญาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วย เขาเคยพูดไว้นานแล้วว่า เขาจะยกทรัพย์ราว 95% ให้มูลนิธิเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ที่เขาและภรรยาตั้งขึ้น อาจเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า เขาและภรรยาได้บริจาคให้มูลนิธินั้นแล้วราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และมูลนิธินั้นได้นำรายได้ไปบริจาคให้แก่โครงการต่างๆ ทั่วโลกหลายพันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในด้านการค้นหายาใหม่ๆ นอกจากนั้น  เขายังได้เกษียณจากงาน เมื่ออายุเพียง 53 ปี เพื่ออุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้แก่การกุศล 
 

บิล เกตส์ และภรรยาให้ข้อคิดไว้หลายอย่างเช่นกัน ข้อคิดที่สำคัญสุดน่าจะเป็น 1. พ่อแม่ทุกคนไม่ว่าจะมาจากส่วนไหนของโลกรักลูกและอยากให้ลูกมีโอกาสดีที่สุดในชีวิต เขาทั้งสองมองว่าทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน และควรจะมีโอกาสเท่าๆ กัน ที่จะทำให้ความฝันของตนเป็นจริง 2. ในประเทศกำลังพัฒนา ปัญหาเบื้องต้นคือผู้คนเข้าไม่ถึงการสุขอนามัย ยังผลให้เด็กจำนวนมากตายตั้งแต่ยังเป็นทารก งานการกุศลหลักของเขาในโลกกำลังพัฒนา จึงเป็นการค้นหาวิธีที่จะทำให้ทารกรอดตายและโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรง โดยเฉพาะการวิจัยเพื่อค้นหาวัคซีนใหม่ๆ ส่วนในอเมริกาเขาเน้นการศึกษาเป็นหลัก 3. มหาเศรษฐีที่เขามีโอกาสคุยด้วยล้วนพยายามช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ และเห็นพ้องต้องกันว่า การให้เป็นปัจจัยที่ทำให้ชีวิตของพวกเขามีค่ายิ่งขึ้น
 

มหาเศรษฐี 40 คนนั้นมักเป็นนักธุรกิจและเป็นเพียงส่วนน้อยของมหาเศรษฐีพันล้านอเมริกัน ซึ่งนิตยสารฟอร์บส์ประเมินว่า มีอยู่ด้วยกันกว่า 400 คน และมีทรัพย์รวมกันราว 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ สำนักข่าวบางแห่งประเมินว่าคนเหล่านั้นบริจาคเงินเพื่อการกุศลโดยเฉลี่ยประมาณ 10% ของทรัพย์อยู่แล้ว หากการเชิญชวนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ และบิล เกตส์ ประสบความสำเร็จ การบริจาคก็จะเพิ่มขึ้นซึ่งอาจถึงเป้าหมายที่ 6 แสนล้านดอลลาร์ก็ได้ แน่นอน เงินจำนวนนี้ย่อมจะมีผลดีมหาศาลต่อการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ณ วันนี้ ยังไม่มีการประเมินว่าเป้าหมายนี้ จะมีโอกาสเป็นไปได้แค่ไหน
 

หลังจากติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่วันที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียนคำมั่นสัญญาลงในเว็บไซต์เมื่อกลางเดือนมิถุนายน ผมมีความรู้สึกหลายอย่างรวมทั้ง 1. ความเคลื่อนไหวของมหาเศรษฐีเหล่านี้เป็นไปตามที่ปีเตอร์ ดรักเกอร์ หวังไว้ นั่นคือ ภาคประชาสังคมจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่ง เพื่อถ่วงดุลของภาครัฐและภาคธุรกิจซึ่งกำลังรวมหัวกันพาสังคมไปในทางที่ไม่ดีนัก นี่คือ นิมิตดี 2. นิมิตดีนี้ยังไม่มีเกิดขึ้นในเมืองไทยอย่างจริงจัง หากมองจากข้อมูลของการสำรวจความเห็นนักธุรกิจไทยเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งพบว่ากิจกรรมของภาคธุรกิจไทยเพื่อช่วยเหลือสังคมราว 90% เป็นไปเพื่อการประชาสัมพันธ์ (กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 2 ก.ค.) ความแตกต่างระหว่างนักธุรกิจอเมริกันกับนักธุรกิจไทยเช่นนี้ ย่อมมีผลสำคัญยิ่งต่ออนาคตของเมืองไทย หากเราใช้การอ่านวิวัฒนาการโลกของปีเตอร์ ดรักเกอร์ เป็นกรอบ เรื่องนี้น่าจะเป็นที่ใส่ใจเป็นพิเศษของคณะกรรมการปฏิรูป

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 สิงหาคม 2553, 20:20:56
วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 19:25:55 น.   มติชนออนไลน์

ศาลสหรัฐสั่งจำคุก 2 สามี-ภรรยาติดสินบนอดีตผู้ว่าฯททท.เป็นคนในวงการบันเทิงคู่แรกกระทำผิดในต่างแดน

( นี่เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับตักขี้ สมัยที่เขายังเป็นนายกฯ อยู่)

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม สำนักข่าวเอพีรายงานว่า นายเจอรัลด์และนางแพทริเซีย กรีน สามีภรรยานักสร้างภาพยนตร์ ถูกศาลแขวงนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน หลังจากนั้นให้กักบริเวณภายในบ้านพักอีก 6 เดือน และถูกปรับอีก 250,000 ดอลลาร์ (ราว 8 ล้านบาท) จากความผิดในข้อหาติดสินบน นางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อให้ได้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ และงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่นๆ


ผู้พิพากษาจอร์จ วู ระบุในคำตัดสินว่า อาชญากรรมที่ทั้ง 2 ก่อขึ้นนั้นร้ายแรง แต่ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับกรณีอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน นอกจากนี้ เพราะว่านายเจอรัลด์ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพอง ผู้พิพากษาจึงมีความเห็นว่าการต้องถูกจำคุกเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อเขา ทั้งนี้ ข่าวระบุว่า ทั้ง 2 ไม่ได้มาปรากฏตัวต่อศาลเพื่อฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด


ข่าวระบุว่า เมื่อเดือนกันยายนปี 2552 นายเจอรัลด์ วัย 78 ปี และนางแพทริเซียวัย 55 ปี ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงในข้อหาสมคบคิดและฟอกเงิน โดยคณะลูกขุนพบว่าทั้งคู่ได้จ่ายเงินสินบนให้นางจุฑามาศเป็นเงินประมาณ 1.8 ล้านดอลลาร์ (ราว 58 ล้านบาท) เพื่อให้ได้จัดงานนิทรรศการภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ และข้อตกลงเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่นๆ ในช่วงระหว่างปี 2545-2550 ซึ่งทำให้พวกเขามีรายได้รวมกว่า 13 ล้านดอลลาร์ (ราว 418 ล้านบาท)


พนักงานอัยการระบุว่า คู่สามีภรรยากรีนจัดตั้งบริษัทหลายแห่งขึ้นมาบังหน้าเพื่อเป็นช่องทางการ จ่ายเงินให้กับนางจุฑามาศ และได้โอนเงินเข้าบัญชีของลูกสาวของนางจุฑามาศและเพื่อนคนหนึ่งเพื่อให้ได้ สัญญาในการดำเนินธุรกิจเป็นการตอบแทน


ทั้งนี้ นางจุฑามาศปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดและยังไม่ถูกแจ้งข้อหาใดๆ เลยในไทย แต่อดีตผู้ว่าการ ททท.และลูกสาวถูกศาลแขวงลอสแองเจลิสตั้งข้อหาสมคบคิดและข้อกล่าวหาอื่นๆ อีก 8 กระทง ซึ่งหากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงอาจจะต้องรับโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี


ทนายความของคู่สามีภรรยากรีนปฏิเสธว่า เงินที่ทั้งคู่จ่ายให้นางจุฑามาศไม่ใช่เงินสินบน และตั้งคำถามต่อทฤษฎีของอัยการที่ว่าทั้งคู่ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากการจัด งานในประเทศไทย


ข่าวระบุว่า คู่สามีภรรยากรีนเป็นบุคคลในวงการบันเทิงคู่แรกที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดภาย ใต้ รัฐบัญญัติการประพฤติมิชอบในต่างประเทศ ซึ่งเป็นกฎหมายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ป้องกันการจ่ายเงินสินบนให้เจ้าหน้าที่ต่างชาติเพื่อแลกกับผลตอบแทนทาง ธุรกิจ


ข่าวระบุว่า คู่สามีภรรยากรีนช่วยเปลี่ยนเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯให้มีชื่อเสียง ขึ้นมาในระดับนานาชาติจากการนำภาพยนตร์ใหม่ๆ มาฉาย รวมทั้งดึงตัวดาราดังอย่างไมเคิล ดักลาส เจเรมี ไอร์ออนส์ และผู้กำกับอย่างโอลิเวอร์ สโตน มาร่วมงานเทศกาลในเมืองไทย


เจอรัลด์ กรีน ใช้ชีวิตอยู่ในวงการภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดมานานกว่า 30 ปี โดยเขาเคยร่วมงานกับสโตน ในหนังเรื่อง "ซัลวาดอร์" ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2 สาขา และเคยเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่อง เรสคิวดอว์น ในปี 2549 ซึ่งนำแสดงโดยดาราดังอย่าง คริสเตียน เบล ขณะที่แพริเซีย กรีน เคยเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังตลกเรื่อง ไดมอนด์ส ที่นำแสดงโดย เคิร์ก ดักลาส และลอเรน บาคัลล์



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 สิงหาคม 2553, 09:35:08
ขังยาวไม่ใช่ขังลืม ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ - แกนนำเผาเมือง
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 สิงหาคม 2553 00:42 น.
 
 
  คำสั่งศาลอาญา ที่ให้ยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ และแกนนำ นปช. อีก 4 คน เมื่อวานนี้ ทำให้ทั้ง 5 ซึ่งบัดนี้อยู่ในฐานะจำเลยในคดีก่อการร้าย ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ ตลอดระยะเวลาที่คดีอยู่ในการพิจารณาของศาล
       
       เฉพาะศาลชั้นต้น กว่าจะสืบพยาน จนถึงวันพิพากษา ไม่ต่ำกว่า 1 - 2 ปี ขึ้นอยู่กับ จำนวนพยานที่นำสืบ ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย รวมทั้ง การพิจารณาคดีว่า ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง หรือมีเหตุต้องเลื่อนบ่อยๆ หรือไม่ ในขั้นศาลอุทธรณ์ และฎีกา หากศาลไม่มีคำสั่งปล่อยตัว ระยะเวลาที่จะต้องถูกคุมขังก็จะยิ่งยาวนานออกไป รวมเบ็ดเสร็จ กว่าคดีจะถึงที่สุดแล้ว น่าจะเฉียดๆ 10 ปี
       
       นานพอที่จะกล้อมแกล้มได้ว่า เป็น เนลสัน แมนเดลลา เมืองไทย แม้ว่า พฤติกรรมจะต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะว่า ติดคุกจริง ไม่เหมือนลูกพี่ที่หนีคุกไปอยู่เมืองนอก แต่เที่ยวไปยกตัวเทียบกับคนดีๆ ที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมอย่างแท้จริง
       
       การยื่นประกันตัว ของแกนนำ นปช. ทั้ง 5 คน เมื่อวานนี้ เป็นครั้งแรก ในขั้นตอนที่คดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลแล้ว ก่อนหน้านั้น ซึ่งยังอยู่ในชั้นสอบสวน นายณัฐวุฒิ กับคนอื่นๆ รวม 16 คน ที่ถูกตั้งข้อหาในคดีก่อการร้าย เคยยื่นขอประกันตัวมาแล้วหลายรอบ โดยเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ให้สูงขึ้นไปในแต่ละครั้ง แต่ศาลก็ไม่ให้ประกันตัว ยกเว้น กรณีของนายวีระ มุสิกพงศ์ ซึ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เพราะ อาศัยนายกอบศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐนตรี ให้การเป็นพยานว่า ไม่ได้เห็นด้วยกับ การใช้ความรุนแรง
       
       เหตุผลของศาล ที่ใม่ให้ประกันตัว ในชั้นสอบสวนคือ คดีนี้ เป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง เกรงว่า หากปล่อยตัวไปแล้ว จะหลบหนี ส่วนเหตุผลของศาล เมื่อวานนี้ ที่ยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวคือ ยังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ก็คือ ศาลยังเห็นว่า คดีนี้ มีอัตราโทษสูง เกรงวง่า หากปล่อยตัวไปแล้ว จะหลบหนี
       
       แม้ว่า ทนายความของนายณัฐวุฒิ จะยกแม่น้ำทั้งห้า มาใส่ไว้ในคำร้อง บรรยายสรรพคุณของนายณัฐวุฒิว่า เป็นนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติมากมาย นอกจากนี้ ยังมีภรรยา และบุตรธิดา อีก 2 คน ภรรยาไม่มีรายได้ จึงมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว ทั้งยังสัญญาว่า จะไม่หลบหนี ไม่ไปหยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ไม่ไปก่อเหตุร้ายใดๆอีก พร้อมจะทำตามเงื่อนไขของศาลทุกประการ ถ้าเงินที่เตรียมมาประกันตัว 2 ล้านบาท ศาลเห็นว่า น้อยไป อยากจะให้วางเงินเพิ่มอีกกี่ล้านบาท ก็ให้ศาลบอกมา จะหามาให้
       
       แต่ก็ไม่เป็นผล ต้องกลับไปนอนคุกต่อไป และทำใจว่า ต้องถูกคุมขังอีกนาน
       
       คำสั่งของศาลอาญาเมื่อวานนี้ ยังเป็นสัญญาณบอกให้ จำเลยที่เหลืออีก 11 คน ซึ่งหลายๆคน เป็นการ์ด นปช. เป็นคนสนิทของ เสธฯแดง ที่กำลังจะทยอยยื่นขอประกันตัว ได้รู้ว่า พวกเขาเองก็ต้องถูกขังยาว เช่นเดียวกับ นายณัญวุฒิ นายขวัญชัย ไพรพนา นายนิสิต สินธุไพร นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และนายยศวริส ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก
       
       รวมทั้งพวกที่หลบหนี ในคดีเดียวกันนี้ อย่าง นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายพายัพ ปั้นเกตุ พ.ต.ท. ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ และนายอดิศร เพียงเกษ ที่จะต้องหนีให้สุด หนีให้พ้น จนกว่าคดีจะหมดอายุความ หากถูกจับได้ ก็ต้องถูกขังยาวเช่นกัน
       
       การหาเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปสมัยหน้าของพรรคเพื่อไทย อาจจะต้องเพิ่มนโยบายต่อท้าย "เอาทักษิณกลับบ้าน" อีกสักประโยคว่า "เอาแกนนำ นปช.ออกจากคุก"  เว้นเสียแต่ว่า จะไม่รักกันจริง
       
       ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่ง ยกระดับการต่อสู้ ตามความคืบหน้าของคดี จากที่เคยสาดโคลนใส่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในตอนที่คดีอยู่ในชั้นสอบสวน เมื่อสำนวนถึงมืออัยการ และอัยการสั่งฟ้อง ก็ยกระะดับการต่อสู้ ขึ้นไปให้ร้ายนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด มาถึงขั้นตอนที่คดีอยู่ในศาลแล้ว จะกล้าเดินหน้ายกระดับการต่อสู้ให้สูงขึ้นไปอีกหรือไม่
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 สิงหาคม 2553, 09:50:11
เปิดบัญชีขึ้นเงินเดือนผู้ทรงเกียรติ
17 สิงหาคม 2553 เวลา 20:15 น Posttoday
ความพยายามปรับขึ้นเงินเดือนบรรดาสมาชิกรัฐสภาผู้ทรงเกียรติ  ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ หลังจากมีข่าวว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) สอดไส้เข้าไปในวาระการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญด้วย.....

โดย....ธรรมสถิตย์  ผลแก้ว

ความพยายามปรับขึ้นเงินเดือนบรรดาสมาชิกรัฐสภาผู้ทรงเกียรติ  ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ หลังจากมีข่าวว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) สอดไส้เข้าไปในวาระการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญด้วย    แม้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะออกมาชี้แจงว่าเป็นแค่การศึกษาจนทำให้ส.ส.พรรคเพื่อไทยออกมากระทุ้งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร 

แต่อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเอกสารวาระครม.  ปรากฎมีการแนบเอกสารร่างพระราชกฤษฏีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกวุฒิส ภา สมาชิกสภาผุ้แทนราษฎร และกรรมาธิการ เข้ามาจริง

 


ทั้งนี้ ข้อเสนอของคณะกรรมการพิจารณาเงินดือนแห่งชาติ(กงช.) ระบุว่า นอกจากจะมีการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการทุกประเภทในสังกัดราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พนักงานราชการ และลูกจ้างของส่วนราชการ มีรายได้เพิ่มขึ้น 5 % เท่ากันทุกคนแล้ว ก็เห็นว่าควรปรับบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสว. ส.ส.ด้วย

ที่พิเศษกว่าข้าราชการประเภทอื่น  เห็นจะเป็นข้อเสนอ ที่ระบุว่า การปรับบัญชีเงินเดือนสมาชิกรัฐสภาให้ปรับมากกว่า 5 เปอร์เซนต์  โดยให้เหตุผลเพื่อรักษาจุดยึดโยงของค่าตอบแทน (เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง) ระหว่างข้าราชการประเภทต่างๆ และเจ้าหน้าที่ของรัฐในตำแหน่งหลักขององค์กร    อีกทั้งกลุ่มนี้ไม่ได้รับการปรับบัญชีฯในช่วงระหว่างปี 2547-2550  ตัวอย่างเช่น อัตราเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของประธานรัฐสภา ที่ปัจจุบันน้อยกว่าเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี  ซึ่งขัดกับหลักการที่ กงช. และครม.เคยเห็นชอบให้ตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ มีอัตราค่าตอบแทนเท่ากัน จึงต้องปรับในอัตราที่สูงกว่า 5 เปอร์เซนต์   




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 สิงหาคม 2553, 11:34:06

ความน่ารังเกียจ ของนักการเมืองในสภา
ผู้จัดการออนไลน์ 23สค2010
เกาะกระแส"
       โดย...ก้อนกรวด
       
       00 บางครั้งการมองโลกในแง่ดี มองในแง่ของการส่งเสริมประชาธิปไตย ให้ชาวบ้านได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน มันก็เป็นผลเสียหากนำมาใช้กับ คนหรือ นักการเมืองที่ด้อยคุณภาพ หรือเข้าใจเรื่องราวอะไรแต่เปลือก เพราะหากพิจารณาจากความเป็นจริงจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณางบประมาณ ปี 2554 วาระที่ 2-3 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา การที่เปิดโอกาสให้มีการถ่ายทอดการประชุมทางโทรทัศน์ อาจเป็นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การประชุมต้องล่าช้า ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์และตามหลักการพิจารณางบประมาณ
       
       00 สิ่งที่ต้องขบคิดกันก็คือ บรรดา ส.ส.ที่น่ารังเกียจเหล่านั้นใช้เวลาของสภา และเวลาของการถ่ายทอดสด พูดในสิ่งที่ไร้สาระ หรือเพียงเพื่อหาเสียงเพียงแค่คิดว่าการได้โผล่หน้าออกทีวี หรือแค่ได้ลุกขึ้นประท้วง หรือได้พูดอะไรก็ได้ หรือแม้แต่มีพฤติกรรมแปลกๆ ว่านี่คือความนิยมชมชอบของชาวบ้านที่นั่งดูอยู่ ไม่เคยคิดว่านี่คือการสร้างความสะอิดสะเอียน เพิ่มความน่ารังเกียจเข้าไปอีก ส.ส.พวกนี้ไม่เคยสำเหนียกว่าเวลานี้ชาวบ้านเขาพัฒนาไปไกลกว่าพวกนักการเมือง “กระจอก” เหล่านี้หลายเท่านัก ไม่เชื่อก็ลองพิจารณาจากพฤติกรรมและคำพูดของ คนเหล่านี้ว่าใช่หรือไม่ เช่น ส.ส.ที่ชื่อ สุนัย จุลพงศธร จตุพร พรหมพันธุ์ เป็นต้น
       
       00 ดังนั้นบางครั้งหากไม่มีเครื่องมือให้พวก ส.ส.กระจอกพวกนี้ได้เสนอหน้ามันก็อาจทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น การที่บอกว่าอาจจะไม่มีการถ่ายทอดทางทีวีในเรื่องการอภิปรายงบในวันที่ 24 ส.ค.มองอีกมุมหนึ่งน่าจะเป็นผลดี ทำให้การพิจารณาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และมีแก่นสารมากขึ้นก็ได้
       
       00 กลายเป็นว่าเวลานี้ฝ่ายที่เริ่มเต้นเร่าเป็นเจ้าเข้า กลายเป็นพรรคเพื่อไทย ของ ทักษิณ ชินวัตร เพราะคิดหวังตั้งแต่ต้นแล้วว่า ถึงอย่างไรพรรคประชาธิปัตย์จะต้องถูกยุบพรรคค่อนข้างแน่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป จะเป็นเพราะทุกอย่างเริ่มต้นจากการเมืองก็ทำท่าพลิกผันเป็นตรงกันข้าม ตั้งแต่เริ่มมีการเปลี่ยนตัวอธิบดีดีเอสไอจาก “เพื่อนแม้ว” ที่ชื่อ ทวี สอดส่อง มาเป็น ธาริต เพ็งดิษฐ์ มาจนถึงการสั่งไม่ฟ้องในคดี “คู่แฝด” คือคดีเงินบริจาคของผู้บริหารทีพีไอกับพรรคการเมือง ทำให้น้ำหนักคดีเงินบริจาค 258 ล้านและคดีเงินอุดหนุนพรรคการเมือง 29 ล้านที่ ปชป.คาอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญมีน้ำหนักลดฮวบ
       
       00 จะเป็นเพราะสัญญาณบวกแบบนี้หรือเปล่าไม่อาจทราบได้ ทำให้ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มีท่าทางเบาใจขึ้นบ้าง และบอกว่าพร้อมจะยอมรับคำตัดสินไม่ว่าออกมารูปไหน และพร้อมยุบสภาทุกเมื่อ การพูดออกมาแบบนี้ทางหนึ่งแสดงถึงความมั่นใจอยากพิสูจน์กับฝ่ายตรงข้าม หรือพูดด้วยความมั่นใจว่าจะต้องมีข่าวดีแน่ๆ และเริ่มคุมเกมได้มากขึ้นหรือเปล่า
       
       00 กลายเป็นเหยื่อของ “ฮุนเซน” รายล่าสุด สำหรับ 3 คนไทยที่เข้าไปหาของป่าในเขตชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ เพราะล่าสุดได้ใช้ข้อหา “สายลับ” มายัดเยียดใส่มือและส่งเข้าเรือนจำรอการพิพากษา แต่ที่น่าสังเกตก็คือเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ “บันคีมูน” เลขาฯ ยูเอ็นมาเยือนภูมิภาคนี้พอดี เป็นการสร้างข่าวรับกันพอดี แสดงให้ชาวโลกเห็นว่าไทยกำลัง “คุกคาม” ประเทศเล็กกว่าอย่างกัมพูชา เป้าหมายก็เพื่อดึงองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซง ลูกไม้ตื้นๆแบบนี้ใครๆก็รู้ทันอยู่แล้ว
       
       00 อย่างไรก็ดีขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไทยจะมีเอกภาพกันแค่ไหน มีการเปิดเผยข้อมูลให้เห็นกันอย่างตรงไปตรงมาเพื่อเดินไปข้างหน้าด้วยกัน และสำหรับปัญหากับฝ่ายกัมพูชา มันก็ต้องขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายด้วยว่าจะเห็นดีด้วยหรือไม่ ซึ่งสำหรับจะต้องไม่ยินยอมให้องค์กรระหว่างประเทศอื่นเข้ามายุ่มย่ามเป็นอันขาด
       
       00 การเดินเกมของ ฮุนเซน เที่ยวนี้หากมองในแง่ทางการเมืองมันก็เหมือนการดิ้นรนเพื่อสร้างกระแสภายในต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมาได้โปรโมทเอาไว้เกินจริงในเรื่องการขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหาร แต่เมื่อถูกฝ่ายไทยเริ่มตีโต้กลับทั้งในเรื่องของการกดดันจากภาคประชาชนที่ไม่ยอมให้รัฐบาลทำอะไรได้ตามอำเภอใจเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ทุกอย่างต้องค้างเติ่ง ขณะที่ฝ่ายค้านอย่างพรรค “สมรังสี” ก็ยังกระทุ้งเรื่องชายแดนเวียดนามไม่เลิก ทำให้ได้แต้มไม่เต็มที่ ขณะเดียวกันหากสถานการณ์ยังคารางคาซังมันย่อมไม่เกิดผลดีทั้งสองฝ่ายแน่ แต่หากไทยอยู่นิ่ง ยืนหลักการให้มั่น มันก็ไม่ทำให้ฝ่ายกัมพูชาเดินหน้าไปได้มากกว่าแน่นอน
       
       00 เริ่มโหมโรงหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ สำหรับพรรคเพื่อไทย โดยร่วมมือกับแกนนำเสื้อแดงในต่างจังหวัด เพื่อรองรับการเดินสายปลุกระดมกันทั่วประเทศอีกรอบ ซึ่งเปิดชื่อออกมาก็อย่าได้แปลกใจที่รายการนี้จะต้องมี “ขงเบ๊จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มานำทัพในภาคอีสาน เพราะยังเชื่อว่า “พ่อใหญ่” ยังขายได้ แต่ที่ต้องถามกันให้แซดก็คือจะมี “เป็ดเหลิม” ไปขึ้นเวทีด้วยหรือเปล่า แต่ถ้าร่วมขบวนไปด้วย นั่นก็หมายความว่ายอมรับบท “พระรอง” หมดหวังได้ลุ้นเป็นนายกฯ อีกแล้ว แต่เอาเถอะได้แค่นี้ถือว่ากำไรล้วนๆ ในเมื่อไม่ได้ลงทุนอะไร จะเอาอะไรกันนักหนา จริงมั๊ย เหลิม ก๊าบๆ !!



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 สิงหาคม 2553, 10:31:57
วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:35:07 น.   มติชนออนไลน์

สะท้านวงการศาล ร้องผู้พิพากษาอุทธรณ์เรียก70ล้านคดีตระกูลนักการเมืองดังไซ่ฟ่อนเงินบริษัท-หลักฐานเพียบ

สะท้าน วงการตุลาการ ร้องเรียนคณะกรรมการตุลาการผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เรียกเงิน70ล้านคดีตระกูล นักการเมืองไซ่ฟ่อนเงินบริษัทจดทะเบียน ใช้หญิงสาวที่มีสัมพันธ์สวาทเป็นเครื่องมือเรียกสินบนอีกหลายคดี หลักฐานเพียบ

แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลยุติธรรมเปิดเผย"มติชนออนไลน์"ว่า  เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีการทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการตุลาการ(ก.ต.)กล่าว โทษผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายหนึ่งว่า นอกจากมีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาวกับหญิงที่มีสามีแล้ว ยังอาศัยหญิงรายดังกล่าวใช้ในการเรียกร้องสินบนในการตัดสินพิพากษาคดีต่างๆ หลายคดีเป็นเงินรวมหลายสิบล้านบาทขึ้นอยู่กับความสำคัญของคดี เช่น


1. มีการเรียกสินบนเป็นเงิน 70 ล้านบาทในการพิจารณาคดีบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งที่กลุ่มผู้บริหารบริษัท ถูกกล่าวหาว่า กระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในการยักยอกทรัพย์หรือไซ่ฟ่อนเงินของ บริษัทและเกี่ยวพันกับตระกูลนักการเมืองระดับรัฐมนตรี ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งยกฟ้อง

 

2.คดีโรงแรมชื่อดังย่านสุขุมวิท


3. คดีการประกันตัว เจ้าของบริษัทที่เปิดขึ้นบังหน้าเป็นจำเลยในคดีตาม พ.ร.บ. การกู้เงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่มีการเรียกเงินสินบน 2 ล้านบาท หลังจากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้วจำเลยได้ซื้อรถยนต์ Benz รุ่น S 280 ปี 2002  ในราคา2.1 ล้านบาท ที่เหลืออีก 1.5 ล้านบาทบาท จัดไฟแนนซ์ให้อีกด้วย


4.เรียกสินบน 3.5 ล้านบาทในการสั่งอนุญาตการปล่อยชั่วคราวชาวต่างประเทศรายหนึ่ง โดย ทนายความหญิงของจำเลยได้ยื่นคำร้องประกอบการขอปล่อยชั่วคราวต่อศาลอาญาและ ศาลอุทธรณ์มาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้รับการอนุญาตทนายความจึงติดต่อผ่าน หญิงที่มีสัมพันธ์กับผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งตกลงเรื่องเงินสินบนเป็นเงิน3.5 ล้านบาท

จากนั้นเมื่อเดือนกันยายน 2552 ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าวมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยตามข้อตกลง


แหล่งข่าวกล่าวว่า ในการร้องเรียนครั้งนี้ผู้ร้องได้เปิดเผยชื่อตนเองพร้อมส่งพยานหลักฐาน เอกสาร ภาพถ่ายประกอบการพิจารณาของ ก.ต.อย่างค่อนข้างชัดเจน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่า ก.ต.มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อร้องเรียนกรณีดังกล่าวแล้ว


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 สิงหาคม 2553, 12:37:38
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 05:40:23 น.   มติชนออนไลน์

ก.ต.เด้ง"ผู้พิพากษาอุทธรณ์"คดีสินบน70ล้านเข้ากรุ ตั้งสอบวินัยซ้ำ ระบุเข้าข่ายผิดอาญาต้องส่ง ป.ป.ช.


แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลยุติธรรรมเปิดเผย"มติชนออนไลน์"เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมถึงความหน้ากรณีมีการทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการตุลาการ(ก.ต.)กล่าว โทษผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายหนึ่งว่า มีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาวกับหญิงที่มีสามีและ ยังอาศัยหญิงรายดังกล่าว(คนสนิท)ใช้ในการเรียกรับสินบนในการตัดสินพิพากษา คดีต่างๆหลายคดีเป็นเงินรวมแล้วกว่า 70 ล้านบาทจน ก.ต.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงว่า  ในการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นคณะกรรมการเห็นว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวมีมูลเนื่องจากผู้ร้องเรียนมีตัวตนและยืนยันข้อเท็จจริง ตามคำร้องเรียน นอกจากนั้นยังมีเอกสารหลักฐานในคดี การปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยชาวต่างประเทศที่มีการเปิดบัญชีผ่าน"นอมินี"กับ ทนายความหญิงของจำเลยชาวต่างประเทศอย่างชัดเจน จึงสรุปความเห็นเสนอ ก.ต.ให้พิจารณา


แหล่งข่าวกล่าวว่า หลังจากการพิจารณาผลสรุปการสอบสวนเบื้องต้น ก.ต.จึงมีมติเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านให้ย้ายผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าวไปเป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ประจำสำนักงานศาลยุติธรรมซึ่งเป็นแขวนไม่มีหน้าที่ใดๆในการพิจารณาคดีโดยเฉพาะคดีที่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยักยอกทรัพย์หรือไซ่ฟ่อนเงินมีการเปลี่ยนตัวผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน


แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนั้น ก.ต.ยังแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าว มีนายวีระวัฒน์  ปวราจารย์  ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เป็นประธาน


แหล่งข่าวกล่าวว่า จากเรื่องร้องเรียนดังกล่าว ถ้าผลการสอบสวนทางวินัยพบว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายนี้มีความผิดจริง ก็เข้าข่ายเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมเพราะเป็นการรับสินบนเพื่อล้มคดีหรือให้ปล่อยตัวจำเลยชั่วคราวซึ่ง เป็นความผิดทางอาญา ทาง ก.ต.น่าจะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป .ป.ช.)ไต่สวนเพราะมิเช่นนั้นแล้วเท่ากับเป็นการช่วยเหลือให้พ้นผิดในทางอาญา


แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนั้นยังมีความผิดในทางอาญาและกฎหมายอื่นเกี่ยวพันไปถึงบุคคลอีกหลายคน

 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 สิงหาคม 2553, 12:39:12
วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09:41:16 น.   มติชนออนไลน์

ผู้ร้องเปิดโปง"ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ "ซิกแซ็กรับ70ล้านล้มคดี รับเงินสด-หุ้น-"นอมินี"เปิดบัญชี

แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลยุติธรรรมเปิดเผย "มติชนออนไลน์" เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมถึงความหน้ากรณีมีการทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการตุลาการ(ก.ต.) กล่าวโทษผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายหนึ่งว่า มีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาวกับหญิงที่มีสามีและ ยังอาศัยหญิงรายดังกล่าวใช้ในการเรียกรับสินบนในการตัดสินพิพากษาคดีต่างๆ หลายคดีเป็นเงินรวมแล้วกว่า 70 ล้านบาทจน ก.ต.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงว่า คณะ กรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้เชิญผู้ร้องเรียนมาให้ปากคำซึ่งผู้ร้องเรียนได้ ยืนยันตามที่มีหนังสือร้องเรียนและพยานหลักฐานที่ส่งให้แก่ ก.ต.


แหล่งข่าวกล่าวว่า ผู้ร้องเรียนเปิดเผยถึงวิธีการในการเรียกสินบนของผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ราย ดังกล่าวว่า ค่อนข้างซับซ้อนโดยใช้หญิงที่มีความสัมพันธ์กันเป็นตัวกลางเพื่อป้องกันการ ตรวจสอบ


แหล่งข่าวกล่าวว่า ในคดีที่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยักยอกทรัพย์หรือไซ่ฟ่อน เงินนั้น ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าวให้ใช้หญิงที่มีความสัมพันธ์กัน(หญิงคนสนิท)ไป ติดต่อเรียกรับเงินสิบบน 70 ล้านบาทจากคนในตระกูลนักการเมืองซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัท เพื่อจะได้ตัดสินให้ยกฟ้องคดีนี้ ตามที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณายกฟ้องไปแล้ว


ครั้งแรก คนในตระกูลนักการเมืองยังไม่เชื่ออย่างสนิทใจ จึงยังไม่กล้าจ่ายเงินผ่านหญิงคนสนิทของผู้พิพากษา ดังนั้นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์จึงต้องมอบสำนวนคดีตัวจริงนี้ให้หญิงคนสนิทนำไป ให้ดู จนเชื่อสนิทใจว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าวเป็นผู้พิจารณาตัดสินสำนวนคดีนี้จริง จึง ได้ทยอยมอบเงินให้ผ่านหญิงคนสนิทเป็นเงิน 20 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถหาเงินอีก 50 ล้านบาทตามข้อตกลงได้ จึงต่อรองจะให้เป็นหุ้นของบริษัทผลิตอาหารกระป๋องแห่งหนึ่ง ที่มีเงินค้ำประกันเรื่องการส่งออกลำไย อยู่กับองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) เป็นจำนวนเงิน 50 ล้านบาท ซึ่งศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้ อ.ต.ก. คืนเงินจำนวน 50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 บาทต่อปี ให้แก่บริษัทดังกล่าวแล้ว ขณะนี้คดีค้างอยู่ที่ศาลอุทธรณ์


อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันการตรวจสอบผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายนี้ได้ให้หญิงคนสนิท เข้าถือหุ้นบริษัทนี้แทนผู้ถือหุ้นที่เป็น"นอมินี"ของ ตระกูลนักการเมือง เมื่อ อ.ต.ก. คืนเงิน 50 ล้านบาทให้แก่บริษัทนี้แล้ว หญิงคนสนิทของผู้พิพากษาซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก็จะได้รับเงินจำนวนนี้


แต่มีข้อแม้จากผู้พิพากษาว่า  หญิงคนสนิทจะต้องหย่าขาดกับสามีก่อนมิเช่นนั้นสามีของหญิงคนสนิทจะมีส่วนได้ เงินจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งในฐานะคู่สมรส หากไม่มีใบหย่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ก็จะไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้และหากหย่าได้สำเร็จ  ก็จะยอมตัดสินยกฟ้องคดีนี้ตามศาลชั้นต้นไปก่อน


แต่ปรากฏว่า สามีของหญิงคนสนิทของผู้พิพากษาไม่ยอมหย่า  ผู้พิพากษาผู้นี้จึงดึงสำนวนคดีนี้เก็บไว้ก่อน โดยยังไม่พิจารณาตัดสินคดีนี้ทั้งๆ ที่ได้รับสำนวนคดีนี้มาพิจารณานานแล้ว


นอกจากนั้นในคดีมีคำสั่งอนุญาตการปล่อยชั่วคราวชาวต่างประเทศรายหนึ่ง ทนายความหญิงของชาวต่างประเทศ ตกลง เรื่องเงินสินบนกับหญิงคนสนิท เป็นเงินจำนวน 3,500,000 บาทโดยมีการทำเป็นสัญญา(ไม่มีมูลหนี้)ระหว่างญาติของหญิงคนสนิทของผู้ พิพากษากับทนายความของจำเลยชาวต่างประเทศ โดยทนายความหญิงกับญาติของหญิงคนสนิทของผู้พิพากษาได้นำเงินตามข้อตกลงดัง กล่าวไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขา เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร่วมกัน หมายเลขบัญชี 157-217895-3 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2552 เป็นเงินจำนวน 3,500,000 บาท


ต่อมาปลายเดือน 30 กันยายน 2552 ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยชาวต่างประเทศตามข้อตกลง


ต่อมาในวันที่ 3 ตุลาคม 2552 หญิงคนสนิทของผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ได้สั่งให้ทนายความหญิงแล ญาติของตนเอง ไปเบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวจำนวน 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) เพื่อเป็นรางวัล ค่าตอบแทนกับญาติของตน


หลังจากที่จำเลยชาวต่างประเทศ ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำตามข้อตกลงแล้วทนายความหญิงและญาติของหญิงคนสนิท ของผู้พิพากษาได้ไปเบิกถอนเงินจากบัญชีหมายเลข 157-217895-3 มาเปิดบัญชีถ่ายโอนเงินให้กับหญิงคนสนิทของผู้พิพากษา หมายเลขบัญชี 157-218075-6 เป็นจำนวน 3,400,000 (สามล้านสี่แสนบาทถ้วน)


ต่อจากนั้นหญิงคนสนิทของผู้พิพากษาทยอยเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าว ครั้งละไม่เกิน 1,000,000 บาท ส่งมอบให้ผู้พิพากษาศาลอุทรณ์เป็นเงินสด


หลังจากช่วยให้ประกันตัวสำเร็จ จำเลยชาวต่างประเทศแล้วเกิดความเชื่อถือหญิงคนสนิทของผู้พิพากษาว่า จะสามารถช่วยให้ชนะคดีได้ จึงตกลงทำสัญญาว่าจ้างให้หญิงคนสนิทฯช่วยเป็นเงิน 9,200,000 บาท เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2552 และได้ชำระเงินให้หญิงคนสนิท ไปแล้ว 4,000,000 บาท คงเหลืออีก 5,200,000 บาท

 

( ติดตาม ตอนต่อไป )

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 สิงหาคม 2553, 16:11:20
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l7wpgg-b272f6.jpg)

   TAKKEE...WHERE ARE YOU?? emo7:(: emo7:(: emo7:(:


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 กันยายน 2553, 10:36:45
เเดงเเฉเหลือบหากินกับศพเเดง
29 กันยายน 2553 posttoday.com

สาวไส้กันเอง!! เสื้อแดงบุกเพื่อไทย แฉเหลือบหากินกับศพ
 หักหัวคิวเงินบริจาคพรรค ด่าพวกทรยศ เขียนบอร์ดด่าญาติสะใภ้วีระ จตุพร ลั่นใครผิดจัดการทันที
 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงค่ำวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้เกิดเรื่องระทึก ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย  โดยหลังจากพรรคเพื่อไทยได้เปิดนิทรรศการ 4 ปีแห่งความสุข และให้ประชาชนคนเสื้อแดงเขียนข้อความผ่านกระดาษโน๊ตว่า อยากให้พรรคต้องการทำอะไร ปรากฎว่า ในบอร์ด 4 ปีแห่งความสุขที่ตั้งอยู่ชั้น 1 ของพรรค  ได้มีกระดาษโน๊ตข้อความหลายแผ่นเขียนโจมตีนายวีระ มุสิกพงษ์ ประธานนปช. อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน

นอกจากนี้ ยังมีข้อความโจมตีนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ แกนนำนปช.ที่พรรคมีมติให้ลงเลือกตั้งซ่อม สส.สุราษฎร์ธานีว่า เป็นคนลืมตัว และไม่เห็นด้วยให้ลงสมัครเลือกตั้ง สส.สุราษฎร์ธานี  ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวได้ยืนอ่านข้อความดังกล่าวได้มีหญิงสาววัยกลางคนมาพูดคุยว่า คนที่เขียนเรื่องอย่างนี้แสดงว่ามีข้อเท็จจริง   และเมื่อทราบว่า มีผู้สื่อข่าวอยู่ที่ห้องผู้สื่อข่าวของพรรคตรงข้ามบอร์ด จึงเดินเข้ามาพร้อมกับคณะเสื้อแดงจำนวนหนึ่งเกือบ 10  คน พูดด้วยสีหน้าตื่นเล็กน้อยว่า “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอเล่าเรื่องเหลือบเสื้อแดงที่กินเงินบริจาคหน่อย”

นางเอ (ชื่อสมมติ) เล่าให้ผู้สื่อข่าวว่า  ตนเองมีอาชีพธุรกิจเดินเรือที่อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ส่วนสามีเคยทำงานในสถานทูตซึ่งศรัทธาการต่อสู้ของเสื้อแดง และได้มาร่วมชุมนุมตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. จากนั้นได้ระดมเงินบริจาคกับเพื่อนๆช่วยเสื้อแดงวันละ 1-2 หมื่นบาทรวมถึงช่วยค่าศพหลังเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุม จนถึงวันนี้ได้ช่วยเหลือไปเกือบ 2 ล้านบาท ถือเป็นเงินส่วนตัวของพวกตนทั้งหมด 

นางเอ เล่าพร้อมแสดงสมุดบันทึกรายละเอียดการบริจาคเงิน และ สลิปการโอนเงินตั้งแต่ช่วงที่ผ่านมา ให้สื่อมวลชนดู  พร้อมกล่าวว่าในการบริจาคเงินให้กับการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา มีการหลอกลวงต้มตุ๋นหลายลักษณะ เริ่มตั้งแต่ การหลอกลวงมีตั้งแต่น้องสะใภ้นายวีระ มีชื่อเล่นว่า" แหม่ม" ได้ร่วมมือกับตั๋ม เช่น ครั้งหนึ่งแหม่มบอกว่า ยังมีศพค้างอยู่ 33 ศพที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ตอนแรกพวกตนก็หลงเชื่อ ช่วยเหลือค่าทำศพให้แต่พบว่า เงินไม่ถึงญาติผู้เสียชีวิต  โดยเรื่องนี้ได้เข้าไปสอบถาม พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย  สส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ถึงที่สภาโดยตรง ก็ได้รับคำตอบว่า พรรคเพื่อไทยและนปช.ได้ช่วยเหลือศพละ 1 แสนบาทไปแล้ว

นางเอ ยังเล่าต่อโดยได้นำรูปถ่ายของผู้หญิงเสื้อแดงผมสีขาวรายหนึ่งที่อยู่บนเวทีร่วมกับแนวร่วมนปช. ซึ่งหญิงเสื้อแดงคนดังกล่าวเป็นที่คุ้นหน้าสื่อมวลชนเพราะปรากฎตัวอยู่ตามเวทีเสื้อแดงเป็นประจำ  โดย นางเอ เล่าว่าหญิงคนนี้หักหัวคิวเงินบริจาคซึ่งเป็นที่รับรู้กัน เช่น ครั้งหนึ่ง มีคนใส่ซองบริจาคช่วยจำนวน 3,000 บาท แต่หญิงคนนี้ได้เก็บออกไปเหลือแค่ 500 บาท  จนเมื่อเรื่องแดงก็มีการประกาศว่า ไม่ให้เข้าพรรคเพื่อไทย แต่ หญิงผมขาว ยังไปหากินอยู่ที่อิมพิเรียล ที่ล่าสุดเพิ่งมีการเปิด ศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบในการชุมนุมของคนเสื้อแดง และยังพบตามงานเสื้อแดง ล่าสุดวันเสาร์กิจกรรมเสื้อแดงที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนางเอและกลุ่มเสื้อแดง ที่เดินทางมาร้องเรียนที่พรรคจนมาพบกับผู้สื่อข่าว พร้อมกับแฉเรื่องราวอย่างออกรส ช่วงเวลาเป็นเวลาค่ำซึ่งไม่มีเจ้าหน้าที่พรรค และ สส.อยู่ แต่เมื่อเรื่องรู้ถึงหูคนในพรรคว่า มีการร้องเรียนความไม่ชอบมาพากลทำให้ รปภ. เจ้าหน้าที่พรรค รีบเข้ามาสังเกตุการณ์อย่างคร่ำเครียด  เจ้าหน้าที่พรรครายหนึ่งได้เข้ามาพูดกลางวงว่า " พี่จะให้ข่าว ผมไม่ขัดข้อง แต่เรื่องนี้ พรรคไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่ได้ให้ข้อมูลในนามพรรค" ซึ่งนางเอ และกลุ่มนางเอ เริ่มมีอาการหวั่นวิตกเล็กน้อย จนเมื่อเจ้าหน้าที่ออกจากห้องจึงมีทีมงานโฆษกพรรค ได้เข้ามาสอบถามเรื่องราวเบื้องต้น ที่สุดเจ้าหน้าที่ได้เรียกเพื่อนนางเอ จูงมึงออกไปไปนอกห้องผู้สื่อข่าว จากนั้นไม่นานเพื่อนนางเอจึงกลับมากระซิบข้างหูให้เลิกให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว จนนางเอต้องขอร้องผู้สื่อข่าวว่า เดี๋ยวขอปรึกษาพรรคพวกก่อนเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่  ทั้งนี้ช่วงดังกล่าว  เจ้าหน้าที่พรรคได้รีบดึง โน๊ตข้อความที่มีการโจมตีแกนนำนปช.ออกจากบอร์ดหมด

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช.ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า ในการดูแลคนเจ็บและตาย ของผู้มาร่วมชุมนุม แบ่งเป็น2ห้วงเวลา 1.หลังเหตุการณ์หลัง10เม.ย. ขณะนั้นได้นำเงินบริจาคไปช่วยเหลือทั้งผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต โดยมีคนที่ได้รับบาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิตมารับเงินไปแล้วบางส่วนหลังเวที  2.หลังเหตุการณ์กระชับพื้นที่19พ.ค.

ทั้งนี้ ในส่วนของนปช.แทบไม่มีปัญญาเพราะแกนนำหลายคนถูกอายัดทำธุรกรรมทางการเงิน ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก แต่ช่วงนี้พรรคเพื่อไทยเริ่มเข้ามาช่วยเหลือบางส่วน โดยผู้เสียชีวิตรายละ1แสนบาท ยอมรับว่าการช่วยเหลือครบบ้าง ไม่ครบบ้าง อย่างไรก็ดีช่วงการชุมนุม มีคนมาร่วมบริจาคเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนตัวไม่ได้ยุ่งหรือไปจับต้องอะไรด้วย เมื่อมีพี่น้องเดือดร้อนก็จะนำเงินบริจาคไปช่วยดูแล ซึ่งยอมรับว่าช่วงหลังๆมีคนมาแอบอ้างเยอะ แต่ในส่วนของนปช.ที่จัดระดมทุนจริงๆ มีเพียง2ครั้ง ครั้งแรก คอนเสิร์ตระดมทุน อ้อมน้อย ครั้งที่สองที่พัทยา และในวันที่9ต.ค.เตรียมจัดมินิคอนเสิร์ตอีกครั้ง ที่ห้องอิมพีเรียลลาดพร้าว   

เมื่อถามว่ารู้จัก แหม่ม หรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า รู้จัก แต่ปัญหาที่เป็นประเด็น อยากให้คนที่มาให้ข้อมูล ถ้าเจตนาดีควรออกมาเปิดเผยตัว โดยไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ขณะเดียวกันคนที่ถูกกล่าวหาควรนำหลักฐานออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง หากใครผิดจริงเราไม่ไว้อยู่แล้ว

เมื่อถามถึงบทบาท ‘แหม่ม’ ที่ผ่านมา นายจตุพรกล่าวว่า ได้เข้ามาช่วยงานหลังเวทีตั้งแต่วันที่ 10เม.ย.มาช่วยทุกวัน ทั้งเรื่องอาหารการกิน และพักหลังๆเริ่มไปดูคนที่ได้รับบาดเจ็บ กับ แหม่ม ไม่ได้เจอมานานแล้ว แต่เมื่อคืนวันที่27ก.ย. เพิ่งโทรศัพท์พูดคุยกับนายวีระ บอกช่วยเอาข้อมูลมาให้หน่อย ไม่ใช่เพราะว่ารู้เรื่องอะไรมา แต่เป็นเพราะขณะนี้ นปช.เพิ่งตั้งศูนย์ช่วยเหลือเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบในการชุมนุม และเตรียมเปิดตัววันที่4ต.ค.นี้ เลยอยากรู้ว่าได้ช่วยเหลือส่วนไหนไปแล้วบ้าง ส่วนไหนยังตกหล่นไปบ้าง เพื่อเรียกบัญชีมาดูค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ในช่วงการชุมนุม การบริจาคหลังเวทีมีเยอะ แต่เข้ามาก็หมดไป เพราะแต่ละวันมีค่าใช้จ่าย หลายส่วนที่ต้องจ่ายออกไป

ถามว่า ช่วงชุมนุม แหม่ม เป็นคนคุมค่าใช้จ่ายเป็นหลักใช้หรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า เป็นคนหนึ่งที่อาสาเข้ามา เราก็คิดว่าพอเห็นหน้าค่าตากันมา และเป็นน้องสะใภ้ท่านวีระ ก็ไม่น่ามีอะไรสงสัย ทุกคนก็ไม่ติดใจ แต่ช่วงการชุมนุมแต่ละวันหลังเวที ก็มีหลายเรื่องวุ่นวาย เลยต้องแบ่งคนไปดูในแต่ละส่วน แต่ตอนนี้ต้องขอความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เมื่อเกิดเรื่องแล้วอยากให้แต่ละฝ่ายนำข้อมูลออกมาเปิดเผย เพื่อทำการตรวจสอบต่อไป

 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 กันยายน 2553, 22:04:46
วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 18:34:54 น.   มติชนออนไลน์

แล้ว สื่อตัวดี (ก็) ถูกลอกคราบ ล่อนจ้อน

เมื่อวาน ผมเขียนเรื่อง พอเถอะ(ครับ) กรูเบื่อเต็มทนแล้ว  กับข่าวอื้อฉาวในสังคมดารา

 

แต่ดูเหมือนคนอ่านจะสนใจข่าวเฮียฮ้อ  ปล่อยข่าวทุบ”แอนนี่”จนหมอบคาพื้นมากกว่า   เมื่อพ่อพระกลายมาเป็น

ยมทูต   เล่นบทโหดสุดๆ  โดยออกมาแฉว่า ไม่ใช่แค่ ฟิล์ม แต่ยังมีผู้ชาย อีกหลายคน

 

ตัวละครที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ ทำให้นักข่าวตามเจาะเรื่องส่วนตัว อย่างขนานใหญ่ ราวกับข่าวพูลิตเซอร์

 

เรตติ้งข่าวพุ่งปรู๊ด  ไม่น่าเชื่อ เพียงข่าวเดียวกลบข่าวทุกเรื่องในสังคมไปในทันที

 

ผมถามดูได้ความว่า เรตติ้งของทีวีช่อง 3 ดีมาก ในช่วงเสนอข่าวฉาว

 

ในรายการ ตี 10  นักข่าวตัวใหญ่ที่เข้าไม่ถึงตัวแอนนี่  เพราะถูกช่อง 3 กีดกัน ยิงคำถามแอนนี่ ราวกับว่า เธอคือผู้ต้องหาฆ่าคนตาย

 

เช่นเดียวกับ หนังสือพิมพ์ที่ขายข่าวอื้อฉาวก็ขายดี เกลี้ยงแผง

 

พูดกันแบบแรงๆ ก็คือ สื่อหากินบนเรือนร่างของแอนนี่

 

เพื่อนผมเดินทางไปต่างประเทศกับคณะชุดใหญ่  เล่าว่า หัวข้อสนทนาในคณะเดินทาง คือ เรื่องผู้ชายของแอนนี่ เป็นใคร และขอโทษ คนที่อยากรู้ข่าวฉาว ล้วนเป็นคนที่มีการศึกษาสูง

 

เรื่องส่วนตัวของดารา กลายเป็นข่าวที่ได้รับความสนใจ มากกว่า ข่าวเทพเทือกจะลาออกจากตำแหน่งรองนายกฯไปลงสมัครส.ส.  หรือ ข่าวจุดเสี่ยงถูกบึมกลางกรุง หรือข่าวการเมืองฉาวย้าย 48 ผู้ว่าราชการ

 

นักรัฐศาสตร์ผู้ใหญ่ ท่านหนึ่งบอกผมว่า  ลงพื้นที่ไปต่างจังหวัด พบว่า คนต่างจังหวัดก็เสพข่าว รสนิยมเดียวกับคนกรุง ไม่มีใครสนใจว่าปัญหาประชาธิปไตย 

 

ข่าวการเมือง  ...มันหนัก มันเครียด และมันน่าหมดหวัง

 

เจ้าพ่อสื่อ เชื่อว่า ข่าวที่ขายได้ คือ ข่าวดี   !!! 

 

ขณะที่ นักการเมือง ด่าสื่อว่า  ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดี เสียตังค์  ความหมายก็คือ ข่าวดี  มันไม่ลงกัน แต่ข่าวเน่า ๆ  (หละ) พวกมึงชอบนัก  !!!

 

ทำไมข่าวบันเทิง ขายดีกว่า ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวสังคม ข่าวสิ่งแวดล้อม

 

ทั้ง ๆ ที่ในหลักสูตรวารสาร นิเทศศาสตร์  ไม่มีวิชาการเขียนข่าวบันเทิง

 

นักข่าวใหญ่สายบันเทิง เคยสารภาพว่า ทำข่าวบันเทิง ไม่ยาก ตั้งคำถามแค่ 4 คำถาม

 

หนึ่ง  เป็นกิ๊กกันหรือเปล่า   สอง  เลิกกันแล้วใช่ไหม  สาม  หายไปทำแท้งหรือไปออกลูก   สี่  ใครเป็นพ่อเด็ก

 

4 คำถามที่ใช้หากิน ได้ตลอดชีวิต  4 คำถามนี้ ถูกใช้กับแอนนี่  ทุกคำถาม

 

หลังจาก สื่อ ละเลงข่าวแอนนี่ มาได้ 12 วัน

 

ยกแรก คะแนนสงสาร เป็นของแอนนี่

 

ยกที่สอง คะแนนเป็นของฟิล์มและเฮียฮ้อ

 

ยกสาม คะแนนกลับมาเป็นของแอนนี่  เมื่อเฮียฮ้อ ชกใต้เข็มขัด  จนนางเอกลงไปหมอบกับเวที

 

แต่พอยกสี่ สื่อถูกน็อคคาเวที  เพราะสังคมเริ่มทนไม่ไหว นักวิชาการ และองค์กรสตรี ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สื่อ จนหูตูบ

 

ผมว่า มันก็สมควรแล้ว   เมื่อสื่อถูกด่ามาก ๆ จนภาพลักษณ์เริ่มเลวทราม สื่อยักษ์ใหญ่เปลี่ยนมาเล่นบทหมาแก่  ออกแนวเตือนสติสังคม  เอื้ออาทร  เริ่มพูดเรื่องการปรองดอง  พลิกบทบาทไปเล่นบทผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ 

 

กลับตัวได้เร็ว อย่างไม่น่าเชื่อ

 

ผมเริ่มเชื่อแล้วว่า  สังคมไทยที่มันเสื่อมทรามลงทุกวัน  ก็เพราะพวกสื่อตัวดี นี่เอง   ไอ้สันขวาน !!!

                       

Blue Shirt

                     

29 กันยายน 2553


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 ตุลาคม 2553, 18:22:30
วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 15:00:15 น.   มติชนออนไลน์

เปิดเส้นทางผู้ว่าฯ "หนุ่ม" ที่สุดในประเทศ "เก่ง-สุทธิพงษ์ จุลเจริญ"

ผ่านไปหมาดๆ สำหรับการโยกย้ายใหญ่ประจำปี 2553 ของกระทรวงมหาดไทย ที่บรรดาข้าราชการตั้งตารอคอย


ทุกครั้งในการแต่งตั้งโยกย้าย ยอมมีทั้งผู้ที่สมหวังและผู้ที่ผิดหวัง


สำหรับ 48 ตำแหน่ง ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 กันยายน


ใน 21 ตำแหน่งที่มีการแต่งตั้งรองผู้ว่าฯขึ้นเป็นผู้ว่าฯนั้น


มี 1 ตำแหน่งที่น่าสนใจและฮือฮามากที่สุด ที่บรรดาข้าราชการคลองหลอดต้องจับกลุ่มเม้าธ์ไม่ขาดปาก อย่างตำแหน่งรองผู้ว่าฯนครนายก ที่ขึ้นเป็นผู้ว่าฯนครนายก ของ "สุทธิพงษ์ จุลเจริญ" หรือที่คนกันเองเรียกชื่อเล่นว่า "เก่ง" วัยเพียง 46 ปี


เท่ากับว่า "สุทธิพงษ์" จะขึ้นระดับ 10 ทั้งที่ยังเหลืออายุราชการอีก 14 ปี คงเป็นผู้ว่าฯหรืออธิบดีจนเบื่อ แถมมีสิทธิคั่วปลัดกระทรวงด้วย


ชีวิตการรับราชการของสุทธิพงษ์ เมื่อครั้งเริ่มรับราชการ เป็นปลัดอำเภอเมื่อปี 2521 ที่ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง


สนิทสนมกับ "ชานนท์ สุวสิน" อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย "สิงห์ดำ" รัฐศาสตร์ จุฬาฯ รุ่นพี่ที่คุ้นเคยกันอย่างดีกับ "คุณหญิงอ้อ" พจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี


สุทธิพงษ์จบโรงเรียนนายอำเภอ (นอ.) รุ่น 48 รุ่นเดียวกับ "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" น้องชายเนวิน ชิดชอบ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูมิใจไทย และมีบารมีล้นในกระทรวงมหาดไทยขณะนี้


ก่อนหน้านี้เคยเป็นที่ฮือฮามาแล้ว เมื่อครั้งที่สุทธิพงษ์ดำรงตำแหน่งปลัดอำเภออาวุโส (8 ว.) อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เมื่อเดือนมกราคม 2548


ต่อมาในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ระดับ 9) ในยุค พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา เป็น รมว.มหาดไทย "รัฐบาลทักษิณ"


จนกระทั่งยุคปฏิวัติ 19 กันยาฯ "อารีย์ วงศ์อารยะ" เป็น มท.1 สุทธิพงษ์ยังคงอยู่ในตำแหน่งอย่างเหนียวแน่น จนเข้าสู่ยุคเลือกตั้ง 2550 "รัฐบาลพลังประชาชน" ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็น มท.1 หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีก็ยังคงชื่อสุทธิพงษ์ แม้จะเปลี่ยนรัฐมนตรีมาแล้วถึง 4 คน


จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2551 มีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนอกฤดูกาล สุทธิพงษ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้ว่าฯสมุทรสงคราม และย้ายไปเป็นรองผู้ว่าฯนครนายก ในปี 2552


ในระหว่างดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าฯ สุทธิพงษ์ยังต้องรับภาระเป็นคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มีประธานคณะทำงานชื่อ "ศักดิ์สยาม"


และได้รับการการผลักดันให้เข้าอบรมหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูงสถาบันพระปกเกล้า ในโควต้าของประธานสภา ชัย ชิดชอบ จนจบหลักสูตร เพื่อเป็นการปูทางขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ว่าฯ


สุทธิพงษ์จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ว่าฯที่อายุน้อยที่สุดในประเทศในปัจจุบัน จนหลายคนต้องกล่าวขวัญว่า "เก่ง" สมชื่อจริงๆ

 

(จากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2553)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 ตุลาคม 2553, 18:29:13
ที่แท้สาวก “เสื้อแดง” โทร.ขู่บึ้มศิริราช อ้างไม่พอใจพรรคคู่แข่ง 
 
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 4 ตุลาคม 2553 17:02 น.
 
 
 
 พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา รรท.ผบช.น.แถลงข่าวจับกุมนายสุริยันต์ หรือหมี กกเปือย อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาโทรขู่วางบึ้มศิริราช

 
 ที่แท้สาวก “เสื้อแดง” โทร.ขู่บึ้ม รพ.ศิริราช ตำรวจรวบตัวได้ขณะกำลังไปทำงานซ่อมรองเท้าหน้าช่อง 5 พร้อมยึดของกลางเสื้อ “ความจริงวันนี้” เจ้าตัวรับชื่นชอบพรรคการเมืองหนึ่ง และไม่พอใจอีกพรรคการเมืองหนึ่ง เหตุที่ทำเพราะความคึกคะนองและลงมือก่อเหตุคนเดียวไม่มีใครจ้าง ด้าน ตร.เตรียมนำตัวฝากขังวันพรุ่งนี้ พร้อมคัดค้านประกันตัว
       
         วันนี้ (4 ต.ค.) เวลา 15.30 น.ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 (บก.น.1) พล.ต.ท.จักรทิพย์ พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย พ.ต.อ.ชาตรี กาญจนกันติ ผกก.สน.ดินแดง แถลงฝ่ายสืบสวน สน.ดินแดง นำกำลังจับกุม นายสุริยันต์ หรือ หมี กกเปือย อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 194 หมู่ 6 ต.สงเปือย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร พร้อมของกลางกางเกงยีนส์ สีน้ำเงิน 1 ตัว เสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีแดง ปักชื่อว่า “ความจริงวันนี้” 1 ตัว เสื้อยืดสีชมพู ปักชื่อ “ไม่ต้องจ้างกูมาเอง” 1 ตัว รองเท้าแตะ 1 คู่ และถุงพลาสติกสีเหลือง 1 ใบ ที่ถือในวันเกิดเหตุ จับได้ที่ร้านซ่อมรองเท้า ใกล้โรงพยาบาลพญาไท 2 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ผ่านมา โดยนำภาพผู้ต้องหามาแถลงไม่ได้นำตัวมาแถลงแต่อย่างใด
       
       พล.ต.ท.จักรทิพย์ กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุดังกล่าว ทาง พล.ต.ต.สุเมธ ได้กำชับ พล.ต.ต.วิชัย ให้ฝ่ายสืบสวน สน.ดินแดง ติดตามสืบสวนจับกุม จากการสืบสวนพบว่าคนร้ายโทรศัพท์จากตู้สาธารณะบริเวณหน้าช่อง 5 โดยออกจากห้องพักย่านสะพายควายเวลาประมาณ 07.00 น.จากนั้นโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะ เวลาประมาณ 08.00 น.ขณะกำลังจะไปทำงานที่ร้านซ่อมรองเท้าหน้าช่อง 5 โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 5 วันในการติดตามจับกุม โดยขณะนี้ก็อยู่ระหว่างสอบสวนอยู่ ถึงรายละเอียดต่างๆ โดยเบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่าทำคนเดียวไม่มีใครจ้างมา ทำเพราะความคึกคะนองเท่านั้น แต่ก็จะสอบสวนต่อไป โดยเท่าที่พูดคุยเรื่องความผิดปกติเรื่องจิตก็เป็นปกติดี
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่าผู้ต้องหามีความจงรักภักดีต่อสถาบันหรือไม่ พล.ต.ท.จักรทิพย์ กล่าวว่า เท่าที่ถามก็มีแต่น่าจะเป็นเพราะอารมณ์พาไปมากกว่า เพราะชื่นชอบพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง และที่โทรไปที่โรงพยาบาลศิริราช ก็เนื่องจากเป็นสถานที่สำคัญไม่ได้คิดอะไร โดยก็ถามว่าก่อนทำไปดูหนังอะไรมาหรือเปล่า ก็บอกว่าเมื่อคืนดูหนังฝรั่งมาเรื่องหนึ่ง ซึ่งขอฝากไปถึงประชาชนทั่วไปว่าทำแบบนี้ไม่เป็นผลดี ทุกวันนี้เทคโนโลยี กล้องวงจรปิดเยอะ บางครั้งประชาชนอาจคาดไม่ถึงว่าเจ้าหน้าที่จะตามจับได้ เพราะฉะนั้นอย่าทำดีกว่า
       
       ด้าน พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า ที่ไม่ได้นำผู้ต้องหามาแถลงเนื่องจากเป็นคดีสำคัญ อาจกระทบต่อความรู้สึก และก็กำลังสอบสวนว่า มีผู้เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ อย่างไรก็ตามเบื้องต้นผู้ต้องหาทำเพียงคนเดียว และทำไปเพราะความคึกคะนอง ที่ผ่านมาก็ไม่ได้หลบหนีแต่หยุดงานซ่อมรองเท้าวันเสาร์-อาทิตย์ จึงเพิ่งตามจับได้
       
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาว่า ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว หรือความตกใจ โดยการขู่เข็ญ มีโทษจำคุก 1 ปีปรับไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งในชั้นนี้คัดค้านการประกันตัว และจะส่งฝากขังต่อศาลในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ สำหรับสาเหตุที่ทำก็เพราะไม่พอใจพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง และยอมรับว่าเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมา
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังแถลงข่าวเสร็จสิ้น พล.ต.ท.จักรทิพย์ ได้มอบเงินสดจำนวน 20,000 บาท ให้กับ พ.ต.อ.ชาตรี เพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกน้องและขอบคุณที่ตามจับคนร้ายได้ โดยเมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ก็ได้มอบเงินกว่า 150,000 บาท ให้กับเจ้าหน้าที่ บก.สส. บช.น.ที่ตามจับคนร้ายคดีปล้นรถขนเงินธนาคารทหารไทย 16 ล้านบาทได้ด้วย
       
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 ตุลาคม 2553, 13:30:37
ผบช.น.โอเค !!พธม.จัดรำลึก 7 ตุลา ลานพระรูปได้ ชี้ไม่ละเมิด พ.ร.ก.
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 ตุลาคม 2553 12:02 น.
 
 
  โฆษกพันธมิตรฯ เผยทำความเข้าใจ “จักรทิพย์” แล้ว ยันจัดรำลึก 7 ตุลา ลานพระรูปมีแค่พิธีสงฆ์ เจ้าตัวกางข้อกฎหมายโชว์ ชี้ไม่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จัดงานได้ พร้อมส่งกำลังรักษาความปลอดภัย เตรียมแจง ศอฉ.ต่อ
       
       วันนี้ (5 ต.ค.) ที่บ้านพระอาทิตย์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการจัดงานรำลึกครบรอบ 2 ปี เหตุการณ์ 7 ตุลาว่า วันนี้ตนได้ไปพบ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมคณะจัดงาน เพื่อทำความเข้าใจหลังจากที่ ทาง ศอฉ.ได้แถลงว่าไม่เห็นชอบกับการจัดงานของพันธมิตรฯ ในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ เราก็ไปชี้แจงว่างานดังกล่าวจะแบ่งเป็นกิจกรรม 2 ส่วน คือ กิจกรรมในช่วงเช้าที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งจะเป็นกิจกรรมทางศาสนาเพียงอย่างเดียว ส่วนกิจกรรมตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ก็จะเป็นกิจกรรมที่จัดบริเวณหน้าลานสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ซึ่งเราได้อธิบายในกิจกรรมแรกว่าจะมีพระสงฆ์มาเพื่อให้ญาติโยมได้ทำบุญตักบาตรเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ต่างๆ ตลอด 193 วันในการชุมนุมของพันธมิตรฯ โดยไม่มีการปราศรัยแต่อย่างใด มีเพียงแต่ปะรำพิธีทางศาสนาอย่างเดียว มีการใช้เครื่องเสียงเฉพาะพระสงฆ์สวด
       
       นายปานเทพกล่าวต่อว่า เมื่อไปชี้แจงเสร็จทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาลก็เอาข้อกฎหมายให้ดูก็ได้พบว่า กิจกรรมที่ทางพันธมิตรฯ จะจัดนั้นไม่ถือเป็นการชุมนุม ไม่เป็นการมั่วสุม แต่เป็นพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งแตกต่างจากการยั่วยุปลุกระดมให้เกิดความรุนแรง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่เข้าข่ายในเกณฑ์ข้อห้ามตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนการจัดพิธีก็อยู่ในพื้นที่ฟุตบาทอาจจะมีล้ำในพื้นที่ถนนบ้างแต่ก็ไม่ถือเป็นการปิดการจราจร ทั้งนี้ยังได้มีการประสานงานกับตำรวจในหลายส่วน โดยเจ้าหน้าที่จะจัดการดูแลรักษาความปลอดภัยให้ เมื่อมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างภาคประชาชนและเจ้าหน้าที่ ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่มีการร่วมมือกัน ทำให้การจัดกิจกรรมดีๆสามารถเดินต่อไปได้ ขณะที่กิจกรรมที่บ้านเจ้าพระยานั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็จะทำการตรวจสกัดสิ่งที่อาจจะเป็นอันตรายต่อการจัดงาน ตั้งแต่หัวถนน และท้ายถนน รวมถึงพื้นที่ด้านแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย อย่างไรก็ตามทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาลจะไปชี้แจงให้ทาง ศอฉ.ทราบต่อไป
       
       โดยกำหนดการจัดงาน 7 ตุลา อย่าให้สูญเปล่า ในวันที่ 7 ตุลาคม 2553 มีดังนี้
       ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า
       06.00-07.00 น. ประชาชนร่วมกันตักบาตรข้าวสวยแด่พระสงฆ์
       07.00-07.59 น. ถวายภัตตาหารเช้าพระสงฆ์
       08.00 น.ร้องเพลงชาติ โดย นายสุชาติ ชวางกูร
       08.01-10.00 น. ถวายสังฆทาน ทอดผ้าบังสุกุล และพิธีกรรมทางศาสนาอื่นๆ
       
       บริเวณลานหน้าสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี
       11.00-13.30 น. แสดงดนตรี อ่านบทกวี และวาดภาพบนเวที
       13.30-14.30 น. เสวนา เวทีวีรชน : ผู้บาดเจ็บ
       14.30-16.00 น. แสดงดนตรีและกิจกรรมของญาติวีรชน
       16.00-17.30 น. แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 1, 2 กล่าวรำลึกวีรชน
       17.30-22.00 น. แสดงดนตรี

 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 ตุลาคม 2553, 11:14:14
ข้อคิดดีๆ จากชายชราที่จากไป.....ป๋วย อึ้งภากรณ์‏





เมื่อได้อ่านแล้ว
ผมรู้สึกคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปครับ

แง่คิดดีๆ   จากชายชราผู้จากไป

(ยกมาจากอีเมล์ส่งต่อ)  

สัปดาห์ สุดท้ายของปี   2548   ผมไป งานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย  81 ปีที่ผมรู้จักเขามา
 ยาว นาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ  แต่สนิทกันรักใคร่เสมือนญาติ
 
 ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยา แบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า
 สวด สามวันแล้วเผา
 ไม่ ต้องบอกใครให้วุ่นวาย
 อย่า เศร้า
 อย่า ร้องไห้
 ทุกคน ต้องมีวันนี้
เพียง แต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน
 แล้ว ลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง
 สวด สามวันเผา
งาน สวด 3  คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ    14 คน
คือเมีย ลูก หลาน!
 เขย สะใภ้
 และผมซึ่งเป็นคนนอก
 
 เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด
 
 วันเผามีเพิ่มเป็น 17   คน
 สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็น
 คนหนึ่งเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย
 เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่ง
 และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น
 ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา
 เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
 เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว  3 วัน
 
 หลังฌาปนกิจ พระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่า เจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง
 พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพ ที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก
 
 จริงๆ  แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์
 ทำงาน ธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่ง หัวหน้าหน่วย
 แต่ ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย   อึ๊งภากรณ์
 อดีต ผู้ว่าการแบงค์ชาติ
 จึง ดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน -
 แม้ กระทั่งวันตาย
 
 ผม สนิทกับเขา เพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิม
  ที่ เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้
 เมื่อ ตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้
 พอมาเจอะผมที่เป็น นักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา

การมี โอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด  30  ปี
ทำให้ได้แง่คิดดีๆมา ใช้ในการ ดำรงชีวิต
 
 วัน หนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา  4 แสนกว่าบาท  เขา ปลอบใจผมว่า
' ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา
 แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา
 คิดซะว่าได้ทำบุญ  จะได้ไม่ทุกข์ '
 
 เขามี วิธีคิด ' เท่ๆ '
 แบบผม คิดไม่ได้มากมาย
เป็น ต้นว่า
สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา
อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร
 คง เป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข
 ช่วง ปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา
 เบา หวาน หัวใจ ความดัน  เกาต์
 และไต ทำงานเพียง 5  เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น
แถม ยัง   สามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวัน หยุดสุดสัปดาห์
โดยที่ตัวเองต้อง หิ้วถุง ปัสสาวะ ไป ด้วยตลอดเวลา
เนื่อง จากไตไม่ทำงาน  ปัสสาวะเองไม่ได้    
6  เดือน สุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป
 เวลา ลูกหลาน   หรือเพื่อนของลูกรวมทั้ง ผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
เขามี แรงพูดติดต่อกันไม่เกิน  10 นาที
แต่ 10 นาที    ที่ พูด  มีแต่เรื่องสนุกสนาน
 เรียก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไป   เยี่ยม ไข้
ทุกคน พูดตรงกันว่า
' คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย
ตลกเหมือนเดิม '
 พอ แขกกลับ
 ลูก หลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก
เขา ตอบว่า

' ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย
 วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก '
 
 เขา เป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่
 บ่อย ครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว
 แต่ สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุย
ไม่จบ เรื่อง  
แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ !
 
 4 เดือน สุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัย เป็นแพทย์อินเทิร์น
 จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก แนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน
 
 แต่ อยู่ได้ 4   วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน
 หมอซึ่งรักษากันมา 16  ปีไม่ยอม
เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า
 ' ขอให้ผมกลับบ้าน เถอะ
ผมอยากฟังเสียงนกร้อง'
 คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร
 เพราะ  พอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน '
 หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้
 ยอมให้คนไข้กลับบ้าน
 แต่ กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง
 
 1  เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
 เขา สูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด
 เคลื่อน ไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา
 แต่ แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก
 เวลา ลูก   เมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า
' ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที '
 เขา กะพริบตาสองทีทุกครั้ง !
 เห็น แล้วทั้งดีใจและใจหาย
 
 เขา ยังรับรู้
 แต่ พูดไม่ได้
 นี่ กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง
 
 สิบ วันก่อนพลัดพราก
 ภรรยา กระซิบข้างหูว่า
 ' พ่อสู้นะ '
เขา ไม่กะพริบตาซะแล้ว
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า
 ' สู้ '
 
 เขา สู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค
สู้ ชนิดที่หมอออกปากว่า
 ' คุณลุงแกสู้จริงๆ '
 
 ตอน ที่วางดอกไม้จันทน์
 ผมนึก ถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า
  
' โรค ภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว
อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย '
' แง่คิดดีๆ   จากชายชราที่จากไป '
 สอน ให้เรารู้ว่า...
 
 เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์
 และมันสมองมหัศจรรย์
 ที่จะสามารถเรียนรู้
 แยกแยะเรื่องดีๆและสิ่งร้ายๆในชีวิต
 จงใช้โอกาสดีๆที่ร่างกายและจิตใจของเรา
ยังทำอะไรๆได้อย่างที่สมองสั่ง

 จงเรียนรู้
 และสร้างประโยชน์สุข
 ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง
และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ!

 หากทุกๆครั้งที่เรียนรู้
 เราล้ม
 เราพลาดอาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที
 แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที..แต่ข้อให้มีกำลังใจที่จะสู้ ต่อไป
ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า

 การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป
 เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม
  


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 ตุลาคม 2553, 12:04:01
ไม่ใช้ผู้นำยอดแย่ แต่เป็นผู้นำที่เลว ทักษิณ ชินวัตร ที่ Foreign Policy อยากให้โลกรู้จัก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 ตุลาคม 2553 23:46 น.

      
ถูกต้องแล้ว ที่นายนพดล ปัทมะะ ที่ปรึกษา นช. ทักษิณ ชินวัตร จะแก้ต่าง แทนเจ้านายของตนว่า บทความเรื่อง Bad Exes ที่เขียนโดย นายโจชัว อี คีทติ้ง ซึ่งเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ foreignpolicy.com ไม่ได้ระบุว่า นช. ทักษิณ เป็น 1 ใน 5 ผู้นำยอดแย่
       
       คำว่า Bad Exes ต้องแปลว่า ผู้บริหารชั่ว ผู้บริหารเลว จึงจะฟังเข้าท่า ดูเข้าทีกว่า
       
       นายคีทติ้ง ซึ่งเป็นผู้ข่วยบรรณาธิการของ foreignpolicy เขียนโปรยไว้ในตอนต้นเรื่องว่า "อดีตประธานาธิบดี และอดีตนายกรัฐมนตรีส่วนใหญ่ อุทิศตนสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้โลก หรือไม่ก็ปลีกตัวหายไปเงียบๆ ต่อไปนี้คือ อดีตผู้นำ 5 ราย ที่ไม่ได้เป็นทั้งสองแบบนี้ "
       
       นช. ทักษิณ เป็น 1 ใน 5 รายที่ว่านี้ ที่ไม่ได้อยู่เฉยๆ และไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้โลกใบนี้เลย
       
       นายคีทติ้ง ไม่ได้บอกว่า นช. ทักษิณ ใช้พาสปอร์ตปลอม แต่ใช้พาสปอร์ต ที่ได้รับมาอย่างผิดกฎหมาย จากประเทศต่างๆจำนวนหนึ่ง ( illegally received passports ) ซึ่งอาจจะหมายถึง หนังสือเดินทาง ที่ซื้อ หรือขอ หรือได้มาด้วยการแลกเปลี่ยนที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมก็ได้
       
       จนถึงเย็นวานนี้ เว็บไซต์ foreignpolicy.com มีผู้เข้าไปอ่านเรื่อง Bad Exes มากเป็นอันดับหนึ่ง และมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มีทั้งเห็นด้วย และด่าผู้เขียนบทความ รวมทั้ง แก้ต่างให้ นช. ทักษิณ
       
       นช. ทักษิณ เคยแต่จ้างวานให้บริษัทพีอาร์ และสื่อต่างประเทศ เขียนข่าวบิดเบือนให้ร้ายประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง มาเจอเรื่องจริง ที่คนไทยรู้เช่นเห็นชาติมานานแล้ว ที่สื่อฝรั่งนำไปเผยแพร่เข้าให้บ้าง ย่อมจะต้องร้อนตัวเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องจริงของเขา มาปรากฏในเว็บไซต์ของนิตยสารที่เป็นที่รู้จักกันในหมู่นักการทูต ผู้บริหารประเทศ และผู้สนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความมั่นคง อย่าง Foreign Policy
       
       นิตยสารเล่มนี้ มีอายุถึงวันนี้ 40 ปีแล้ว เพราะก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1970 โดย แซมมวล ฮันติงตัน และ วาร์เรน เดเมียน แมนเซล
       
       ฮันติงตัน เป็นนักวิชาการรัฐศาสตร์ชื่อก้องโลกคนหนึ่ง ผลงานที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู้ผู้ที่ศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ หว่างประเทศคือ หนังสือชื่อ "การปะทะกันของอารยธรรม และการจัดระเบียบโลกใหม่" ( The Clash of Civilization and the Remaking of World Order) ซึ่งเสนอมุมมองใหม่ เกี่ยวกับสถานการณ์โลก หลังยุคสงครามเย็น
       
       ส่วนแมนเซล เป็นชาวเยอรมนี ซึ่งโอนสัญชาติเป็นอเมริกัน เป็นเพื่อนเรียนหนังสือกับเฮนรี่ คิสซืงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ผู้ทรงอิทธิพลของสหรัฐ เคยเป็นทูตสหรัฐ ฯ ประจำเดนมาร์ก ระหว่างปี 1978 -1981 และยังเป็น วาณิชธนกร ด้วย
       
       ทั้งสองคนนี้ เป็นบรรณาธิการนิตยสาร Foreign Policy จนถึงปี 1977
       
       นิตยสารเล่มนี้ ในยุคแรกๆ เป็นนิตยสารรายไตรมาส ซึ่งต่อมาได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนคาร์เนกี เพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ( Carnegie Endowment for International Peace ) ซึ่งเป็นสถาบันที่ผลิตงานเชิงความคิด และนโยบายทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของเอกชน ก่อตั้งโดย แอนดรูว์ คาร์เนกี มหาเศรษฐีนักอุตสาหกรรมชาวอเมริกัน เมื่อปี 1910
       
       เป็นปกติ ของนิตยสารวิชาการเฉพาะด้าน ที่มีเนื้อหาเคร่งเครียด น่าเบื่อ ไม่น่าอ่านสำหรับคนทั่วไปที่มิใช่นักวิชาการ หรือผู้ทีสนใจในเรื่องนั้นๆ การจัดรูปเล่มก็ไม่ชวนอ่าน เพราะให้ความสำคัญกับสาระมากกว่ารูปแบบ นิตยสารForeign Policy ก็เป็นเช่นนั้น จึงแทบจะไม่เป็นที่รู้จักทั่วไปสักเท่าไรนัก และถ้าพูดถึง การได้รับความยอมรับ และอิทธิพลในวงการแล้ว ก็น่าจะด้อยกว่า นิตยสารประเภทเดียวกันคือ Foreign Affairs ซึ่งเกิดก่อนเกือบ 50 ปี และเป็นสื่อความเห็นของ สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือ Council of Foreign Relation ซึ่งเป็นกลุ่มนักธุรกิจขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล และอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ที่มีอิทธิพลอย่างสูง ต่อนโยบายต่างประเทศของอเมริกา
       
       คนที่ทำให้ foreign policy เปลี่ยนโฉม จากนิตยสารเชยๆ เนื้อหาน่าเบื่อ มาเป็นนิตยสารเกี่ยวกับ "เศรษฐกิจ การเมือง และความคิด ของโลก" ในรูปลักษ์ใหม่ที่มีสีสัน การจัดรูปเล่ม และกราฟฟิค ชวนอ่าน จนได้รับรางวัล นิตยสารที่เป็นเลิศแห่งชาติ ถึง 3 ครั้ง คือ Moises Naim ชาวเวเนซุเอลา ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และ เป็นนักเขียน คอลัมนิสต์ ในเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ การพัฒนา และโลกาภิวัตน์ มีผลงานในหนังสือพิมพ์ชั้นนำของสหรัฐฯ และยุโรป
       
       Moises Naim ยังเปลี่ยน Foreign Policy จากนิตยสารรายไตรมาส เป็น นิตยสารราย 2 เดือน และเพิ่มเนื้อหาใหม่ๆ ที่เป็นปรากฎการณ์ของโลกาภิวัตน์ เช่น เรื่องของ วิคเตอร์ บูท ซึ่งเป็นพ่อค้าค้าอาวุธรายใหญ่ ขบวนการซื้อขายเด็ก ในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อขายให้กับ ดารา ไฮโซ ในสหรัฐฯ ที่นิยมสะสมลูกบุญธรรมต่างผิวพันธุ์ เส้นทางการหลบหนีออกจากประเทศของชาวเกาหลีเหนือ ที่มีปลายทางอยู่ที่เชียงราย ฯลฯ
       
       นอกจากนั้น ยังร่วมกับมูลนิธิ กองทุนสันติภาพ จัดทำดัชนี รัฐที่ล้มเหลว (Failed State Index ) ทุกปี จนถูกนำไปใช้อ้างอิงอย่างกว้างขวาง รวมทั้ง การจัดทำดัชนีโลกาภิวัตน์ ( Globalization Index) เพื่อวัดความเป็นโลกาภิวัฒน์ของประเทศต่างๆในแต่ละปี
       
       ความเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา
       
       Foreign Policy มียอดจำหน่ายฉบับละ 100,000 เล่ม แต่ยังต้องขาดทุนประมาณปีละ 1 ล้านเหรียญ
       
       Moises Naim เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ตั้งแต่ปี 1996-2010 เขาลาออกเมื่อต้นปีนี้ หลังจากที่ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ซื้อ Foreign Policy ในเดือน ตุลาคม 2008 และแต่งตั้งให้ซูซาน แกลสเซอร์ ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวระดับชาติของวอชิงตันโพสต์มาเป็นบรรณาธิการบริหาร
       
       เป้าหมายหนึ่งของวอชิงตันโพสต์คือ ใช้ Foreign Policy เป็นฐานในการพัฒนาข่าวออนไลน์ โดยอาศัยจุดแข็งของForeign Policy ที่มีข่าว และบทความที่กว้างกว่า ครอบคลุมถึงสถานการ์ทั่วโลก อย่างหลากหลาย ในขณะที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ จะเน้นที่ การเมือง และนโยบายในวอขิงตัน ดีซี เป็นหลัก
       
       เดิม เว็บไซต์ foreignpolicy.com ทำหน้าที่เป็นตัวเสริมนิตยสารเท่านั้น แต่หลังจากวอขิงตันโพสต์เป็นเจ้าของ ได้พัฒนา foreignpolicy.com ให้เป็นสื่อออนไลน์ เพื่อเป็น "นิตยสารรายวันของผู้ที่สนใจเรื่องของโลก" โดยการระดมนักข่าว นักเขียนในเครือวอชิงตัน โพสต์ และนักเขียนภายนอก มาเขียนบล็อก มีกองบรรณาธิการที่ทำข่าวป้อนให้เป็นทุกวัน เพื่อให้เว็บมีความเคลือนไหว สด ใหม่ ทุกวัน โดยที่ เนื้อหาจากนิตยสาร เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ เว็บไซต์เท่านั้น ที่เปิดให้ผุ้ที่ลงทะเบียนอ่านฟรี
       
       เว็บไซต์ foreignpolicy.com เปิดตัวโฉมใหม่มาตั้งแต่ เดือนมกราคมปีที่แล้ว บางที บทความเรื่อง ผู้บริหารเลวๆ ชิ้นนี้ อาจจะทำให้ มีผู้เข้าไปชมเว็บไซต์นี้มากที่สุดวันหนึ่งก็ได้


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 ตุลาคม 2553, 09:56:03
วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 06:30:48 น.   มติชนออนไลน์

"สายลับ2หน้า"เจาะยาง-ล้วงตับศาลรัฐธรรมนูญคดียุบ ปชป. ตุลาการผวาไม่กล้ากินน้ำ-อาหารหวั่นถูกวางยา

ถ้าตัดประเด็นเรื่องข้อเท็จจริงในการพิสูจน์ว่าคลิป 5 ตอนที่ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ Youtube และอ้างว่า เป็นการต่อรองในเรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์แล้ว


การที่คลิปในที่ประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปรึกษาหารือในคดี ความต่างๆถูกนำออกมาจากที่ประชุมมาเผยแพร่ตามเว็บไซต์ในลักษณะเช่นนี้ได้ สร้างความวิกตกังวลและหวาดผวาแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคน


เพราะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ในศาลรัฐธรรมนูญ มี"หนอนบ่อนไส้"ที่นำเอาความเคลื่อนไหวและความลับของศาลรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะการปรึกษาหารือเรื่องคดีความซึ่งถือเป็น"ความลับสุดยอด" ของตุลาการไม่ว่า ศาลใดๆออกมารายงานให้บุคคลภายนอกรู้ซึ่งจะเปิดช่องให้มีการวิ่งเต้นคดีและทำให้สาธารณชนขาดความเชื่อมั่นต่อระบบศาล


จากคลิปที่มีการนำมาเผยแพร่ในYoutubeนั้น  ตอนที่ 1 เป็นเพียงภาพนิ่งของกลุ่มบุคคลที่นั่งคุยกันในห้องรับแขกประมาณ 6 คน ขณะที่มีเจ้าหน้าที่สาวรายหนึ่งกำลังเสิร์ฟน้ำและ/น้ำชา กาแฟ บุคคลที่รู้จักกันดีและผู้เผยแพร่ต้องการให้เห็นมากที่สุดคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายอักขราทร จุฬารัตน อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด(ดูคลิปตอนที่ 1 ในYoutube)

 

แต่มิได้มีหลักฐานว่า คุยกันเรื่องอะไร เหตุเกิดที่ไหน และเมื่อไหร่


ตอนที่ 2 เป็นภาพเคลื่อนไหวของนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในทีมกฎหมายในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์รับประทานและพูดคุยกับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ณ ร้านอาหารฟู้ดดี้ หมู่บ้านปูนซิเมนต์ไทย ย่านถนนประชาชื่น


จากภาพเห็นชัดว่า ผู้ถ่ายภาพซ่อนกล้องไว้ข้างกระเป๋าใบหนึ่ง ในช่วงแรกนายพสิษฐ์นั่งหันให้กล้อง และนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนายวิรัชซึ่งการพูดคุยก็สะดวกอยู่แล้ว  แต่อยู่ดีๆกลับลุกขึ้นออกมานั่งด้านข้างเหมือนจงใจให้กล้องถ่ายเห็นหน้านาย วิรัช(คำชี้แจงของนายวิรัช ร่มเย็น)


นอกจากนั้นในคลิป นายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นเพื่อนกับนายวิรัชนั่งอยู่ด้วย(ดูคลิปตอนที่ 2 ในYoutube)

 

ตอนที่ 3-5 เป็นการถ่ายในห้องประชุมตุลาการที่มีการปรึกษาหารือเรื่องคดี โดยมีเจ้าหน้าที่หลายคนนั่งอยู่ด้วย


เป็นที่น่าสังเกตุว่า มุมกล้องในคลิปตอนที่ 3 และตอนที่ 4 และ 5  แตกต่างกันเล็กน้อย โดยคลิปตอนแรกเห็นหน้านายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเห็นด้านข้างของนายสุพจน์ ไขมุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกคนหนึ่ง


แต่คลิปตอนที่ 4และ 5 เห็น นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและเจ้าหน้าที่สตรีอีกคนหนึ่ง(ดูคลิป ตอน3 )(ดูลิป ตอนที่ 4 )(ดูคลิปตอนที่5)

 

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรายหนึ่งเปิดเผยว่า เมื่อดูภาพจากคลิปที่ถ่ายในห้อง ประชุมแล้วเห็นชัดว่า  เป็นการแอบถ่ายโดยคลิปตอนที่ 3 กับตอนที่ 4และ 5 เป็นการถ่ายคนละวัน


คลิปตอนที่ 3 นั้น เป็นการประชุมในวันจันทร์ที่ 4 หรือ 11 ตุลาคม จำไม่ได้แน่ชัด ต้องขอตรวจสอบอีกครั้ง ในวันดังกล่าว เป็นการหารือกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์  ส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่า ถ้าไม่มีใบสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไปนานแล้วว่า เข้าข่ายหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะดำเนินคดีกับนายจตุพรหรือไม่ มิได้มีการหารือเกี่ยวกับคดียุบพรรคโดยตรง เพราะในคลิปจะได้ยินเสียงของนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ หนึ่งในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งถอนตัวจากการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัต ย์ทั้ง 2 คดี แสดงความเห็นว่า  เป็นอำนาจของเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินใจว่าจะดำเนินคดีหรือไม่


จากนั้นนายวสันต์ได้ออกจากที่ประชุมไปพร้อมนายเฉลิมพล  เอกอุรุ ตุลาการรัฐธรรมนูญที่ถอนตัวจากคดีเช่นเดียวกัน


ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า ส่วนคลิปตอนที่ 4 หรือ 5 น่าจะเป็นการประชุมวันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม ซึ่งในการประชุมมีการรายงานความคืบหน้าเรื่องการดำเนินคดีกับนายจตุพร ไม่เกี่ยวกับคดียุบพรรคเช่นเดียวกัน


" ถ้าตรวจสอบจริงๆก็คงรู้ว่า ใครนั่งตรงจุดที่มีการแอบถ่ายคลิปและคงรู้ว่า เป็นใคร ขึ้นอยู่กับประธานศาลรัฐธรรมนูญและเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการ แต่ สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงว่า ไม่สามารถไว้ใใจใครได้แล้ว เพราะมีหนอนบ่อนไส้ในศาลรัฐธรรมนูญคอยรายงานความ เคลื่อนไว้ให้คนภายนอกรู้บอกตรงๆว่า ผมไม่ยอมกินน้ำ กาแฟ หรืออาหารที่ศาลจัดไว้ให้  ผมต้องเอากินเองเพราะกลัวโดนวางยา"ตุลาการรายเดิมกล่าว


ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนกับมีคนบางคน คอยรายงานความเคลื่อนไหวให้ฝ่ายค้านรู้ ขณะเดียวกันใช้วิธีการทำเป็นพวกเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์แล้วล่อซื้อให้ติด กับเพื่อเล่นงานพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพฤติกรรมคล้าย"สายลับ 2 หน้า" และส่งผลเสียต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย


สำหรับนายพศิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญที่ตกเป็นข่าวว่าไปพูดคุยกับนายวิรัช ร่มเย็นนั้น ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ที่ทราบประธานไปชวนมาเป็นเลขานุการ จบทางด้ายกายภาพบำบัด เดิมทำงานที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์(กำลังเรียนปริญญญาเอก สาขาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง  มหาวิทยาลัยรังสิต จบปริญญาโทบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น)


ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า การที่มีหลักฐานว่า นายพสิษฐ์ซึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัวไปพบ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในลักษณะดังกล่าว ทำให้คนตั้งข้อสงสัยและเสียหายถึงตัวประธานและศาลรัฐธรรมนูญด้วย
------------------------------
หมายเหตุ-ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย นายชัช  ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ   นายจรัญ  ภักดีธนากุล นายจรูญ  อินทจาร  นายเฉลิมพล  เอกอุรุ นายนุรักษ์  มาประณีต นายบุญส่ง  กุลบุปผา นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ นายสุพจน์  ไข่มุกด์ นายอุดมศักดิ์  นิติมนตรี

   


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 ตุลาคม 2553, 10:38:39
แดงนำพรรค-พท.กำเดาไหล จุดบอดชวดรัฐบาล
14 ตุลาคม 2553 posttoday online
ยังมี สส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งที่อยากเห็นพรรคถอยฉากจากเสื้อแดง

โดย...ทีมข่าวการเมือง

 


ยังมี สส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งที่อยากเห็นพรรคถอยฉากจากเสื้อแดง

เพื่อแยกความรับผิดชอบ เลี่ยงผลกระทบไม่ให้พรรคเพื่อไทยเผชิญกับแรงต้านทางการ เมือง โดยเฉพาะระเบิดที่ลงกับเสื้อแดงและกระเทือนเป็นโดมิโนต่อพรรคเพื่อไทย

จุดแข็งของเสื้อแดงในด้านมวลชนทำให้พรรคเพื่อไทยมีฐานสนับสนุนเข้มแข็ง แต่ด้านหนึ่งถ้าเสื้อแดงทำพลาด ใช้ความรุนแรง เผาเมือง โจมตีสถาบัน ก็ส่งผลลบต่อพรรคเพื่อไทยเพียงชั่วข้ามคืนเช่นกัน

การต่อสู้ในช่วงหลัง มีหลักฐานซัดทอดเสื้อแดงว่า ใช้ความรุนแรง เตรียมสร้างสถานการณ์ป่วนเมือง กรณีนักรบเสื้อแดง 39 คน ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันไปเขมรเพื่อฝึกอาวุธ เตรียมลอบสังหารคนสำคัญในรัฐบาล

ทุกเรื่อง “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำ นปช. เป็นตัวแทนขบวนเสื้อแดง ชี้แจง ตอบโต้ คนเดียวหมด บางเรื่องที่คลุมเครือ อาจพอรับฟังได้ แต่ที่มีหลักฐานแน่น เช่นกรณี “สมัย วงศ์สุวรรณ” คนเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ ที่ประกอบระเบิดเองจนพลาดเสียชีวิต ยุทธวิธี “แถ 360 องศา” ที่จตุพรใช้มาตลอด

ซึ่งหลายครั้งคนในเพื่อไทยก็รื้อสมองไม่ทัน เช่น วาทกรรม เสื้อแดงเทียม ทุบรถอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทยจนอึ้งกันทั้งเมือง

เมื่อจตุพรป้ายสีกลับว่า เป็นแผนฝ่ายตรงข้ามเพราะ “สมัย” มือบึ้มเป็นญาติห่างๆ กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เนื่องจากนามสกุลคล้ายกัน แต่เมื่ออีกฝั่งยืนยันไม่เกี่ยวข้อง จตุพรก็ไหลลื่นไปเรื่อย ทำให้เสียคะแนน “คนกลางๆ” ที่ติดตามคดีบึ้มด้วยใจเป็นธรรม

แน่นอน คำชี้แจงของจตุพรจะจริงจะเท็จ ย่อมไม่มีผลต่อชาวเสื้อแดงด้วยกันที่พร้อมเชื่อฟังเกิน 100% และคิดว่าทุกอย่างที่เสื้อแดงเรียกร้องประชาธิปไตยและเลิกสองมาตรฐานมีแต่ความสวยงาม เพราะยึด สันติ อหิงสาปราศจากอาวุธ แต่ถ้ามีรอยด่างใช้ความรุนแรงนอกกฎหมายเมื่อไหร่จะไม่ใช่เสื้อแดงแน่นอน แต่เป็นฝีมือของ ศอฉ.ที่จ้องดิสเครดิต

ทั้งที่แกนนำเสื้อแดงก็ยอมรับว่า มีแดงบาง กลุ่มที่เชื่อในการต่อสู้ใต้ดิน หรือสายฮาร์ดคอร์เพื่อล้มรัฐบาล!!

เมื่อขบวนการเสื้อแดงเจอมรสุมหลายลูกจากผลของเหตุการณ์ชุมนุม เหมือนยอดภูเขาน้ำแข็งที่ค่อยๆ โผล่เหนือน้ำ “จตุพร” ที่ยึดอำนาจเงียบจากพรรคเพื่อไทย และแสดง “บทบาทนำ” หลายเรื่อง เช่น เป็นตัวแทนพรรค พูดคุยปรองดองกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ คนกลางจากพรรคชาติไทยพัฒนา ทั้งที่เลขาธิการพรรค รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต้องเป็นตัวแทนพรรคหารือในวาระสำคัญของพรรค

แกนนำพรรคถูกเบียดตกขอบ จนไม่เหลือบทบาท ...

เมื่อจตุพรเป็นเป้านิ่งที่คิดการใหญ่จากผู้นำขบวนการเสื้อแดงที่เหลืออยู่ และถีบตัวเองเป็นหัวขบวนพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เขาก็ต้องแบกรับผิดชอบกับปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในขบวนการที่ใหญ่โตและไร้ระบบนี้

ดังนั้น พลันที่ “เมธี อมรวุฒิกุล” แนวร่วมแดงออกมาแฉเรื่องภายในขบวนการ แม้เมธีจะอยู่ในโครงการคุ้มครองพยานของดีเอสไอ แต่การเป็น “คนใน” รู้เส้นสนกลในของฝ่ายฮาร์ดคอร์เสื้อแดง หมัดที่เมธีทิ่มใส่จตุพรก็ทำให้มึนได้ ไม่ว่าปัญหาเงินบริจาค 68 ล้านบาทตอกย้ำก่อนหน้านี้ที่คนเสื้อแดงปีกเชียงแสนออกมาแฉกันเอง ถึงเหลือบแดงใกล้ตัวแกนนำ นปช. ที่หาประโยชน์ในเงินบริจาค หรือการเล่นใต้สะดือจตุพร ดิสเครดิตเรื่องชู้สาว

ไม่เฉพาะตู่ที่เลือดกำเดาไหล แต่คำพูด แววตาถมึงทึงของเมธีดั่งระเบิดเอ็ม 79 ก็กระทบทั้งกองกำลังเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย

กลุ่มพิราบ ที่หวังดีต่อเพื่อไทยเคยเตือนว่า พรรคควรเป็นพรรคสู้ด้วยนโยบาย นำเสนอวิธีการแก้ปัญหาค่าเงินบาท ปัญหาปากท้องส่วนเสื้อแดงก็เป็นเรื่องเสื้อแดง สู้ทางสัญลักษณ์เรื่องประชาธิปไตย

แต่ทุกวันนี้ จตุพรแถลงที่พรรค ไม่แยกใช้อิมพีเรียลสำนักงานเสื้อแดง และขู่คนในพรรคและพวก 111 ไทยรักไทยว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยปฏิเสธมวลชนเสื้อแดงเมื่อไร หรือไม่สนใจผู้บาดเจ็บ เสื้อแดงก็อาจสั่งสอนพรรคเพื่อไทยแน่

คำพูดของจตุพรตีกับกลุ่มสันติพิราบ ที่พยายามสลายการนำของเสื้อแดงในพรรค โดยให้พรรคเป็นสถาบัน ขณะที่พี่น้องชินวัตรก็ควรมีระยะห่าง

ผลเสียของการผสมพันธุ์สู้บนดินใต้ดินร่วมกัน ก็อาจลากให้พรรคถูกยุบได้อีกครั้ง ล่าสุด กรณีการโอนเงินพันกับเหตุก่อการร้าย บึ้มสมานเมตตาแมนชั่นที่ไปๆ มาๆ พันกับ “วิสุทธิ์ไชยอรุณ” สส.พะเยา พรรคเพื่อไทย ในฐานะที่เสนอแต่งตั้ง วสา เทพเรียน เลขาฯ ประจำคณะกรรมาธิการ ปปง. ซึ่งโอนเงิน 5 หมื่นบาท ให้ กษิ ดิฐธนรัชต์ นักธุรกิจปุ๋ย ผู้ต้องหาคดีบึ้ม

ข้อสำคัญ ถ้าพรรคยังไม่สามารถแยกบทบาทการต่อสู้กับเสื้อแดงได้ ก็จะเสียคะแนนในกทม. และภาคกลาง และตะวันออก ที่ยังเป็น“จุดบอด” ของเพื่อไทย หากหาคะแนนในพื้นที่เหล่านี้ไม่ได้ ก็อย่าหวังจะชนะเกินกึ่งหนึ่งในสภาและได้จัดตั้งรัฐบาล

โดยเฉพาะใน กทม. ซึ่งได้รับผลกระทบกับการชุมนุมของเสื้อแดงโดยตรง ถ้าเสื้อแดงยังติดภาพความรุนแรงอยู่ พรรคเพื่อไทยก็ไม่มีทางได้ สส. เป็นกอบเป็นกำ

ทว่า จตุพรคนเดียวคงยึดพรรคไม่ได้ ถ้าทักษิณและน้องๆ ทักษิณไม่ให้ท้ายจตุพร!

แกนนำ 111 อดีตไทยรักไทย วิเคราะห์ว่า น้องๆ ทักษิณต่างละอ่อนเกมการเมือง เมื่อถูกขู่ว่าเสื้อแดงจะทิ้งพรรค ก็กลัวกันหมด จึงยอมให้เสื้อแดงนำ และอยู่เบื้องหลังซีนที่ให้จตุพร “สุนัย จุลพงศธร” แกนนำแดงฝ่ายซ้าย เป็น 2 ใน 3 ตัวแทนพรรค นั่งโต๊ะคุยกับ เสธ.หนั่น วันนั้น

ทั้งที่ 2 สส.สีแดง เป็นจุดอ่อน จตุพรถูกมองเป็นแดงฮาร์ดคอร์ ส่วนสุนัยก็เป็นแดงฝ่ายซ้ายที่หาเสียงทีไรมักพูดจาคลุมเครือ หมิ่นเหม่ตลอด เมื่อทั้งสองคือตัวแทนพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ หากจะเอาผิดก็อาจกระเทือนทั้งพรรค

ที่ตอกย้ำว่า จตุพรคือสายตรงทักษิณ ทักษิณหนุนเสื้อแดงนำพรรค เห็นชัดทั้งในการวิดีโอลิงก์ล่าสุดที่ทักษิณพูดกับลูกพรรคหนุนให้ส่งแกนนำเสื้อแดงลงเลือกตั้งในจังหวัดที่พรรคยังว่างอยู่

สำคัญกว่านั้น ช่วงก่อน พฤษภาอำมหิต แกนนำเสื้อแดง คนเพื่อไทย พูดตรงกัน ขณะเกิดวิกฤตทหารล้อมราชประสงค์ แกนนำจะนำม็อบลงปล่อยประชาชนกลับบ้านได้หรือไม่ บิ๊กๆ ที่ต่อสายถึงทักษิณเพื่อให้ยอมก็จะได้ยินคำพูดว่า “ให้ไปคุยกับจตุพรเอง”

แดงนำพรรค พรรคนำแดง ไม่สนตราบใดที่ทักษิณยังเดินเกมดุ ใช้แดงบู๊กดดันเพื่อนิรโทษกลับไทย


 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 ตุลาคม 2553, 10:33:19
ชำแหละคลิปลับศาล รธน. (ตอนที่ 1) ทุ่มพันล้านจ้าง “พสิษฐ์” ขายตัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 ตุลาคม 2553 00:22 น.


      
คลิปลับจากฝีมือการสร้างและกำกับการแสดงโดยคนของศาลรัฐธรรมนูญ 5 ตอน ที่ออกมาให้สังคมไทยได้ดูได้ชม แล้วต้องอดสูใจที่สถาบันตุลาการถูกลากเข้าไปเป็นเหยื่อของเกมการต่อสู้ที่ มุ่งเอาชนะล้มล้างกันทางการเมืองอยู่ในขณะนี้
       
       พร้อมกันนี้ มีเรื่องที่คนไทยควรจะได้ใช้โอกาสนี้เรียนรู้เหตุการณ์ที่มีคนพยายามทำลาย กระบวนการยุติธรรม ซึ่งถือเป็นเสาหลักของชาติ เพื่อจะได้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายของคนที่ยังไม่เคยเลิกคิดคดทรยศต่อ ชาติ
       
       พิรุธของคลิปทั้ง 5 ตอน อยู่ที่ความสัมพันธ์ของห้วงเวลา โดยมีความชัดเจนว่า คลิปแรกที่เป็นภาพนิ่งของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นั่งอยู่ในห้องรับรองร่วมกับ ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ใหญ่ของบ้านเมืองอีกหลายคน อาทิ สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และ นายอักขราธร จุฬารัตน อดีตประศาลปกครองสูงสุด
       
       ภาพดังกล่าวไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการเขียนบรรยายใต้ภาพโดย ohmygod3009 ว่า เป็นการพบกันเพื่อล็อบบี้ให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญช่วยพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้ ถูกยุบ ด้วยการเสนอตำแหน่งองคมนตรีเป็นข้อแลกเปลี่ยน
       
       เพราะการพบกันครั้งดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 เมษายน ปี 2552 ซึ่ง พล.อ.เปรม เป็นประธานมอบรางวัลนักกฎหมายดีเด่น รางวัลสัญญาธรรมศักดิ์ มูลนิธินิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้แก่ นายชัช ซึ่งได้รับรางวัลนักกฎหมายดีเด่น ประจำปี 2552 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
       
       การบิดเบือนข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงถือเป็นการกระทำที่ชั่วบริสุทธิ์ ในการดึงเอาประธานองคมนตรีสู่วังวนแห่งความขัดแย้งภายใต้วาทกรรม “อำมาตย์แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม กลั่นแกล้งทักษิณ ช่วยพรรคประชาธิปัตย์”
       
       แต่ในมุมกลับกันก็กลายเป็นข้อดี เพราะทำให้สังคมไทยได้เห็นภาพขบวนการทำลายกระบวนการยุติธรรมของไทยชัดเจนมากขึ้น
       
       มาถึง คลิปที่ 2 ซึ่งเป็นภาพการสนทนาบนโต๊ะอาหารระหว่าง วิรัช ร่มเย็น ทีมกฎหมายคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กับ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการส่วนตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญ และ นายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการปกครองส่วนท้องถิ่นที่นายวิรัชเป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ
       
       ต้องยอมรับความจริงว่า แม้จะเห็นชัดว่าเป็นการจัดฉากขุดบ่อล่อปลาให้ วิรัช ติดกับดัก จากความพยายามในการตั้งคำถามชี้นำเพื่อง้างปากให้ วิรัช พูดเกี่ยวกับความต้องการที่จะกำหนดพยานให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เปรียบในคดี ยุบพรรค แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เนื้อหาในบทสนทนาระหว่างกันได้ก้าวล่วงไปถึงอำนาจของตุลาการในการกำหนดพยาน ด้วย
       
       หาก วิรัช ฉลาดพอหรือมีจิตใจบริสุทธิ์จริง ควรที่จะหลีกเลี่ยงในการพูดเรื่องดังกล่าว เพราะคดีกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และทั้งวิรัชกับพสิษฐ์ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเป็นคู่สนทนาในเรื่องนี้
       
       เพราะคนหนึ่งเป็นทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะมีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวอย่างไร ในห้วงเวลานี้ก็ต้องห่างกันให้ไกลเพื่อให้พ้นข้อครหา
       
       ประกอบกับมีขบวนการที่พยายามเชื่อมโยงว่า พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปแทรกแซงกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อ เนื่อง และมีบทเรียนราคาแพงจากกรณี ทศพล เพ็งส้ม ทีม กฎหมายอีกคนที่ติดกับดักจาก พสิษฐ์ นัดให้ไปรับเอกสารจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับคดีถือหุ้นขัดรัฐธรรมนูญของ ส.ส. ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคเลย ก็ยังมีคนแถบถ่ายภาพส่งให้พรรคเพื่อไทยนำไปขยายผลมาแล้วรอบหนึ่ง
       
       จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์จะโกรธเป็นฟืน เป็นไฟ เมื่อรับรู้เรื่องนี้จากคลิปที่ถูกโพสต์บนยูทิวบ์ “เราเตือนกันในที่ประชุมฝ่ายกฎหมายแล้วใช่ไหม ว่าคนคนนี้อันตราย”
       
       สาเหตุที่ พสิษฐ์ ถูกระบุว่าเป็นบุคคลอันตราย เป็นเพราะก่อนหน้าที่ วิรัช จะติดกับดัก พสิษฐ์ได้พยายามติดต่อขอพบผู้ใหญ่ในพรรคหลายคน ไม่เว้นแม้กระทั่ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่ไม่มีใครสนใจที่จะไปตามนัดหมาย เพราะเห็นว่าเป็นการไม่สมควรที่คนของพรรคจะไปพบกับบุคลากรของศาลรัฐธรรมนูญ
       
       ที่น่าสนใจ คือ ประจวบ สังข์ขาว พยานปากสำคัญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ พูดต่างกรรมต่างวาระหลายครั้งกับเพื่อนหลายคนบนโต๊ะกินข้าวว่า
       
       มีความสนิทสนมกับ “พี่ปอย” (ชื่อเล่นของพสิฐ) พร้อมกับอ้างคำบอกเล่าของ “พี่ปอย” ว่า มีเงินผ่านมือหลักพันล้านบาทเพื่อให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์
       
       ถ้าจำกันได้ ก่อนหน้านี้แกนนำพรรคเพี่อไทยต่างก็ออกมานั่งยันนอนยันว่า ประชาธิปัตย์ถูกยุบแน่ จะเป็นผลเชื่อมโยงถึงคำบอกเล่าเกี่ยวกับเงินผ่านมือครั้งนี้หรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าคิด
       
       และเป็นเพราะว่าเงินพันล้านบาทมิอาจแทรกแซงกระบวนการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญได้ เฉกเช่นเดียวกับถุงขนม 2 ล้านบาท ที่ทำให้ พิชิฎ ชื่นบาน ทนายความของทักษิณ ชินวัตรถูก จำคุก 6 เดือน และห้ามว่าความเป็นเวลา 5 ปี ใช่หรือไม่ เงินจำนวนนั้นจึงมิได้กระจายออกไปแต่อยู่ในมือคนคนเดียวจนยอมพลีชีพเพื่อ ทำลายศาลรัฐธรรมนูญ
       
       เป็นเรื่องที่กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากจะต้องหาคำตอบแล้ว ควรจะต้องดำเนินคดีต่อพสิษฐ์ ฐานก่ออาชญากรรมต่อกระบวนการยุติธรรม ด้วยการโจรกรรมข้อมูลและลักลอบบันทึกภาพการหารือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออก ไปแผยแพร่อย่างถึงที่สุดด้วย
       
       สำหรับคลิปที่ 3-5 ซึ่งเป็นภาพการหารือระหว่างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น มีความชัดเจนว่าผู้ที่ลักลอบถ่ายมีความผิดทางกฎหมาย และเป็นการกระทำที่อุกอาจสั่นสะเทือนต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยอย่างรุนแรง โดยผู้ที่วางแผนกระทำการครั้งนี้ย่อมเล็งถึงผลที่จะได้หลายชั้น คือการกดดันทางคดี ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะถูกมองได้ว่าโดนแทรกแซงจากกระแสกดดัน
       
       แต่ถ้าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จุดชนวนสองมาตรฐานจูงเสื้อแดงลงถนนเผาเมืองรอบสาม โดยผู้คนจะหลงลืมเนื้อหาการต่อสู้หักล้างข้อกล่าวหาในคดีเสียสิ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสังคมไทยที่ควรจะได้เรียนรู้ และเคารพต่อการตัดสินของกระบวนการยุติธรรม
       
       นอกจากนี้ คลิปที่ออกมายังมีเจตนาทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งคำพูดของ คางคกตู่-จตุพร พรหมพันธุ์ ก็ชัดเจนว่า “ต่อไปจะต้องยุบศาลรัฐธรรมนูญ”
       
       ทุกอย่างที่ทำในวันนี้ก็เพื่อปูทางไปสู่การยุบศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ พรรคเพื่อไทยมีอำนาจ เพราะอาฆาตจากกรณีพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชนถูกยุบ โดยไม่ได้สำนึกหรือหวั่นกลัวถึงความผิดของตัวเองแม้แต่น้อย ใช่หรือไม่?
       
       ที่เลวร้ายคือพรรคเพื่อไทยไม่เคยย้อนความหลังเลยว่า ศาลรัฐธรรมนูญยุคหนึ่งก็เคยตัดสินให้ ทักษิณ พ้นคดีซุกหุ้น ในวันนั้น ทักษิณ ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล แต่ไม่มีใครคิดล้มล้างศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินดังกล่าว
       
       กระบวนการแทรกแซงศาลรัฐธรรมนูญด้วยวาจาของพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจจะไปไกลถึงขั้นสมรู้ร่วมคิดกับการก่ออาชญากรรมต่อกระบวนการยุติธรรม ด้วยการลักลอบบันทึกภาพและเสียงการประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมาเผย แพร่ เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่สะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยเข้าข่ายที่จะถูกยุบพรรคเป็น รอบที่สาม
       
       ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องร่วมกันแสดงออกว่า ประเทศชาติจะอยู่รอดผู้คนต้องเคารพกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมต้องได้รับความคุ้มครอง อย่ายอมให้ไอ้อีตัวไหนมาทำลายเสาหลักของชาติ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 ตุลาคม 2553, 10:34:33
ชำแหละคลิปลับศาล รธน.จับพิรุธโยง “จอมบงการ” (จบ)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 ตุลาคม 2553 08:35 น.
       ความจริงไม่อยากจะอ้างอิงถึงคำพูดของ “คางคกตู่” เท่าใดนัก แต่ในกรณีนี้เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการอ่านทะลุไปถึงขบวนการทำลายศาลรัฐ ธรรมนูญอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่องว่า
       
       “จอมบงการ-พสิษฐ์ ศักดาณรงค์-พรรคเพื่อไทย” มีความเกี่ยวโยงกันหรือไม่?
       
        “คางคกตู่”พ่นผ่านสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา ยกย่องให้ พสิษฐ์ เป็นวีรบุรุษ แถมอธิบายถึงการขุดบ่อล่อปลาที่ทำให้ วิรัช ร่มเย็น ติดกับดักว่า เปรียบเสมือนการล่อซื้อยาเสพติดที่จะประณามผู้ล่อซื้อไม่ได้
       
       
       แค่ข้อความข้างต้นก็เห็นภาพชัดเจนว่า “คางคกตู่” รับ พสิษฐ์ เป็นพวกเดียวกันไปเรียบร้อยแล้ว
       
       
       ส่วนจะเพิ่งมายกระดับจับเข้าแก๊งหรือร่วมก๊วนวางแผนกันมาตั้งแต่ต้น เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องแกะรอยเพื่อนำผู้กระทำความผิดก่ออาชญากรรม ต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งถือเป็นอาญาแผ่นดินมาลงโทษให้ได้
       
       ที่น่าสนใจ คือ “คางคกตู่” และแกนนำพรรคเพื่อไทย ไม่มีใครสักคนจะกดดันไปที่ ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเจ้านายของ พสิษฐ์ และถูกระบุชี้นำไว้ในคลิปที่โพสต์โดย ohmygod 3009 ว่า เป็นคนที่ถูกล็อบบี้เพื่อให้ช่วยพรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นคดี
       
       
       ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทยกระทำการกดดันยื่นเรื่องร้องค้านจนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คน คือ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ และ เฉลิม เอกอุรุ และยังพยายามกดดันให้ จรัญ ภักดีธนากุล ถอนตัวจากคดีนี้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
       
       แล้วทำไมในกรณีที่พรรคเพื่อไทยเห็นว่าคลิปยุบพรรคประชาธิปัตย์มัดแน่นว่า อำมาตย์ล็อบบี้ประธานศาลรัฐธรรมนูญ แต่ “คางคกตู่” กลับไม่ใช้เรื่องนี้มากดดันให้ ชัช ต้องถอนตัวออกจากองค์คณะในการพิจารณาคดีนี้
       
       หรือเป็นเพราะมีเหตุต้องละเว้น? หรือเป็นเพราะรู้จากทุรชนคนถ่ายคลิปว่า การตัดสินของใครบ้างที่จะไม่ขัดแย้งกับความต้องการของพรรคเพื่อไทย จึงมีแต่คำถามที่มุ่งกดดันไปที่ตุลาการคนอื่นแทน
       
       
       “วันนี้แม้ว่าจะมีการปลดเลขาฯประธานศาลรัฐธรรมนูญออกไปก็ไม่จบ เพราะผมจะเปิดเผยอีก 1 ประเด็น โดยขอเรียกร้องให้นายชัช ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่มีการโกงข้อสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลรัฐ ธรรมนูญ โดยตุลาการไม่น้อยกว่า 3 คน ร่วมกันโกงข้อสอบหวังให้คนของตัวเองสอบผ่าน นายชัช กรุณาตอบเรื่องนี้ และตั้งกรรมการสอบให้ชัดเจน”
       
       จะเห็นได้ว่าคำพูดของ “คางคกตู่” นอกจากจะไม่ตั้งข้อสงสัยในตัวนายชัช ซึ่งมีการระบุในคลิปแรกว่าถูกล็อบบี้โดยอำมาตย์ ให้ช่วยพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ยังมีลักษณะชูให้ ชัช เป็นพระเอก จัดการกับตุลาการอีกสามคนที่ “คางคกตู่” อ้างว่าพัวพันกับการทุจริตการสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญด้วย
       
       เป็นพิรุธที่เห็นชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทย-พสิษฐ์ และยังมีคนบางคนน่าจะมีความหมายต่อกันและกันอย่างไร?
       
       
       จอมมารมือสร้างคลิปอย่าง พสิษฐ์ หนีเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ทิ้งให้ ชัช ชลวร ผู้บังคับบัญชาโดยตรงต้องอยู่รับกรรมแทน ซึ่งกระแสสังคมกดดันให้ ชัช แสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ ตามหลักของการใช้อำนาจ เมื่อตั้งคนไม่ดีเข้ามาทำงาน ก็ต้องร่วมรับผิดด้วย
       
       ด้าน ชัช ชลวร มีมุมหนึ่งที่น่ารู้จัก คือ ในขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการศาลยุติธรรม เคยได้รับเสนอชื่อเป็นประธานศาฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ไปไม่ถึงดวงดาว
       
       และในสมัยเป็นเลขาธิการศาลยุติธรรม เคยกระทำการนอกประเพณี เชิญ ทักษิณ ชินวัตร กับ โภคิน พลกุล อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปเสวนาร่วมกับประธานศาลฎีกาในงานครบรอบวันศาลยุติธรรม ซึ่งไม่เคยมีการเชิญฝ่ายบริหาร และการเมืองเข้ามาใกล้ชิดกับฝ่ายตุลาการ เช่นนี้มาก่อน
       
       ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์อย่างรุนแรง จนเป็นเหตุคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม หรือ กต.ไม่อนุมัติให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง ก่อนจะผันตัวเองมาทำหน้าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และได้รับเลือกให้เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยคะแนน 6 ต่อ 3 โดยต้องมีการลงคะแนนกันถึงสองครั้ง
       
       นอกจากนี้ ถ้าพิจารณาจากเสียงในคลิประหว่างการหารือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการฟ้อง “คางคกตู่” ที่บังอาจกล่าวหาว่า มีใบสั่งห้ามศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ จะเห็นได้ว่าคนที่ไม่เห็นด้วยในการฟ้อง “คางคกตู่” เพื่อปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ ก็คล้ายจะเป็น ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่อ้างว่า อาจจะกลายเป็นการเข้าทางพรรคเพื่อไทย เพราะจะทำให้ตุลาการเป็นคู่คดี จนตุลาการท่านหนึ่งถึงกับออกปากโต้แย้งว่า
       
       “ไม่น่าจะเข้าทางอย่างที่ท่านประธานว่า เพราะถ้าเขาร้องอย่างนั้น ก็เท่ากับตุลาการทุกคนเป็นคู่กรณี คดีนี้ก็เดินไม่ได้ ไม่มีคนพิจารณาคดี เขาจะกล้าทำอย่างนั้นหรือ”
       
       ขณะเดียวกัน ก็มีการเรียกร้องโดยตรงไปยัง เชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ ว่า มีหน้าที่ปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ และควรเป็นคนตั้งเรื่องเพื่อดำเนินคดีกับ จตุพร พรหมพันธุ์ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากเลขาฯ ศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
       
       ถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
       
       
       เพราะโดยปกติแล้ว เลขาฯศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ตอบสนองนโยบายของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่กรณีนี้ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สั่นคลอนเกียรติภูมิของศาลรัฐธรรมนูญ เชาวนะ กลับละเลยที่จะดำเนินการ
       
       ทำไม เชาวนะ จึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น เมื่อดูที่มาการขึ้นสู่ตำแหน่งเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญของ เชาวนะ จะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น วงในศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่า ตำแหน่งนี้ได้มาจากแรงผลักดันของ พสิษฐ์ หลังจากที่ไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ อดีตเลขาศาลรัฐธรรมนูญ ทนพฤติกรรมเจ้ากี้เจ้าการของใครบางคนไม่ได้ จนต้องหนีไปเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชน จึงเป็นจังหวะที่ พสิษฐ์ ได้ เชาวนะ มาเดินกุมเป้าตามหลัง คอยรับคำสั่ง
       
       
       ไม่น่าแปลกใจที่ เชาวนะ ไม่เคยคิดฟ้อง “คางคกตู่” และแกนนำพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ล่วงละเมิดจาบจ้วงศาลรัฐธรรมนูญ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า
       
       ชัช ในฐานะประธานศาลรัฐธรรมนูญ ต้องให้คำตอบกับสังคมในประเด็นนี้ด้วย ว่า ทำไม เชาวนะ ไม่ปฏิบัติตามความต้องการของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ต้องการปกป้ององค์กร
       
       ขณะเดียวกัน ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบกรณีที่เลขานุการส่วนตัวมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมไปพบ กับคู่กรณีที่คดียังไม่ได้ข้อยุติ และยังก่ออาชญากรรมต่อกระบวนการยุติธรรมด้วยการลักลอบบันทึกภาพและเสียงใน ห้องประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อสถาบันศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง
       
       ชัช ควรจะได้พิจารณาตัวเองว่า ในฐานะประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ทำหน้าที่ปกป้ององค์กรอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ชัช จะยังสมควรเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญต่อไปหรือไม่ ?
       
       
       และหลังจากที่เลขาฯ ส่วนตัวทำเรื่องงามหน้าขนาดนี้ แม้จะปลดให้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ชัช จะยังสมควรเป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้ต่อไป หรือไม่
       
       จะดีกว่าหรือเปล่าถ้าจะถอนตัวจากการเป็นองค์คณะเสีย
       
       เพราะอย่างน้อยก็จะทำให้การลากเอาวาทกรรมอำมาตย์แทรกแซงศาลรัฐ ธรรมนูญ จะกระทำต่อไปมิได้ เนื่องจากตุลาการคนที่ถูกระบุว่าโดนล็อบบี้ ได้ถอนตัวจากการพิจารณาคดีไปแล้ว
       
       ยังพอมีเวลาที่ ชัช จะได้ใคร่ครวญบนพื้นฐานประโยชน์ขององค์กรศาลรัฐธรรมนูญและประเทศชาติโดยรวม แต่ถ้ายังไม่ทำอะไรเลย ยอมเป็นหมากบนกระดานให้พรรคเพื่อไทย นำไปขยายผลสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง ก็คงมิอาจพ้นข้อครหา...!
       
       ชัช ควรจะได้พิจารณาตัวเองว่าในฐานะประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ทำหน้าที่ปกป้อง องค์กรอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ชัช จะยังสมควรเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญต่อไปหรือไม่?


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 พฤศจิกายน 2553, 09:21:48
เปิดตัว5กลุ่มทุนใหญ่บริจาคเงินพรรคเพื่อไทย
 ไขปมปริศนา! "ทักษิณ-คุณหญิงอ้อ"ถังแตกหรือไม่?

วันที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 21:39:39 น.มติชนออนไลน์


พรรคเพื่อไทยในร่มเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลัง"ถังแตก"หรือไม่?

เป็นสิ่งที่หลายคนเริ่มตั้งคำถามอยู่ในเวลานี้

แม้ก่อนหน้านี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี สามีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์  ออกมาการันตีทำนองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พี่เขยยังมีเงินสนับสนุน ส.ส. มิได้ถังแตกเหมือนกระแสข่าวที่ร่ำลือกันแต่อย่างใด


ไม่มีข้อพิสูจน์ว่าข่าวลือดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่?


ทว่าจากพิจารณาผู้บริจาคเงินให้พรรคเพื่อไทยจะพบข้อมูลที่น่าสนใจ

 


จากการตรวจสอบของ"มติชนออนไลน์"พบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552- เดือนกันยายน 2553 (21เดือน) พรรคเพื่อไทยแจ้งข้อมูลต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ว่ามีผู้บริจาคทั้งสิ้น 45,182,131 บาท แบ่งเป็น

 

เดือนมกราคม-ธันวาคม 2552 จำนวน  36,401,054 บาท

เดือนมกราคม-กันยายน 2553  จำนวน  8,781,077 บาท

 

 

ผู้บริจาคตั้งแต่ 2 -9 ล้านบาท รวม 9 ราย  

 

มากสุดคือ นายพิชัย นริพทะพันธ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จำนวน  9 ล้านบาท  แบ่งเป็น ปี 2552 เดือนมิถุยายน จำนวน  5 ล้านบาท , เดือนตุลาคม 2 ล้านบาท , ปี 2553 เดือนเมษายน จำนวน 2 ล้านบาท


นางสาวจุฑารัตน์ เมนะเสวต 7 ล้านบาท แบ่งเป็น ปี 2552 เดือนพฤษภาคม  2 ล้านบาท เดือนธันวาคม 5 ล้านบาท

บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด 5 ล้านบาท


นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล 4  ล้านบาท  แบ่งเป็น  ปี 2552 เดือนมกราคม 2 ล้านบาท  ,ปี 2553 เดือนกรกฎาคม จำนวน 2 ล้านบาท


บริษัท เฉลิมโลก จำกัด 3 ล้านบาท  แบ่งเป็น ปี 2553 เดือนกันยายน 1 ล้านบาท, ปี 2552 เดือนกุมภาพันธ์ 2 ล้านบาท


นางสาวสุกัญญา ประจวบเหมาะ 2 ล้านบาท
นางสาวธิติมา เลขะวณิช 2 ล้านบาท
นางสาวพนิดา ปัญจาบุตร 2 ล้านบาท
นางสาวพิศมัย จิตรวิมล 2 ล้านบาท


 
จำแนกรายละเอียดได้ดังนี้


ปี 2553 ยอดเงินบริจาครวม 8,781,077 บาท

 

มกราคม ไม่มีผู้บริจาค

 

กุมภาพันธ์ ยอดบริจาค 5 แสนบาท  แบ่งเป็น
               1.นางสาวเตียง แซ่จวง 250,000 บาท
               2.นายพิชัย จงจุฑารัตน์ 250,000  บาท

 

มีนาคม  ยอดบริจาค 2 ล้านบาท แบ่งเป็น
               1.นางสาวสัมฤทธิ  ทาน้อย 1 ล้านบาท
               2.นายวรชัย เหมะ 1 ล้านบาท

 

เมษายน  มียอดเงินบริจาค 2,211,947  บาท แบ่งเป็น
             1. นายปัญจิน ธนารักษ์โชค 10,000  บาท
             2.นายพิชัย นริพทะพันธุ์ 2 ล้านบาท
             3.นายพงษ์ศักดิ์ เหลืองวิจิตร 195,947  บาท
             4.นายสิทธิชัย สิ้นเคราะห์ 6 ,000 บาท

 

พฤษภาคม  ไม่มีผู้บริจาค

 

กรกฎาคม  ยอดบริจาค 2 ล้านบาทา
             1.นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล  2 ล้าน

 

สิงหาคม  ไม่มีผู้บริจาค

 

กันยายน   ยอดบริจาค 1 ล้านบาท
             1.บริษัท เฉลิมโลก จำกัด 1 ล้านบาท
  
ปี 2552  รวมยอดบริจาคทั้งหมด   36,401,054 บาท
 
มกราคม  ยอดบริจาค 2 ล้านบาท
            1.นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล 2  ล้านบาท

 

กุมภาพันธ์  ยอดบริจาค 2 ล้านบาท
            1. บริษัท เฉลิมโลก จำกัด 2 ล้านบาท

 

มีนาคม  ยอดบริจาค 2 ล้านบาท
            1. นางสาวสุกัญญา ประจวบเหมาะ 2 ล้านบาท

 

เมษายน ยอดบริจาค   115,000 บาท
            1.นายศรีทนต์ ดาวแสง 35,000  บาท
            2.นายมะการีม โตะเฮง 20,000  บาท
            3.นายพงษ์ศักดิ์  เหลืองวิจิตร 60,000  บาท

 

พฤษภาคม  ยอดบริจาค 6,055,000  บาท  แบ่งเป็น
            1.นางสาวพนิดา ปัญจาบุตร 4 ล้านบาท
            2.นางสาวจุฑารัตน์ เมนะเสวต 2 ล้านบาท
            3.นายวิชัย ตรีสุระอนันต์ 35,000  บาท
            4.นายสิทธิชัย สิ้นเคราะห์ 20,000  บาท

 

มิถุนายน ยอดบริจาค 5 ล้านบาท
            1.นายพิชัย นริพทะพันธุ์ 5 ล้านบาท

 

กรกฎาคม  ไม่มีผู้บริจาค

 

สิงหาคม   ยอดบริจาค 5 ล้านบาท
             1.บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด 5 ล้านบาท

 

กันยายน ยอดบริจาค 1 ล้านบาท
            1. นางภวัญญา กฤตชาติ 1 ล้านบาท

 

ตุลาคม ยอดบริจาค 2 ล้านบาท
            1. นายพิชัย นริพทะพันธ์  2 ล้านบาท

 

พฤศจิกายน  ยอดบริจาค 6 ,231,054 บาท
             1. นางสาวธิติมา เลขะวณิช 2 ล้านบาท
             2. นางสาวพนิดา ปัญจาบุตร 2 ล้านบาท
             3.นางสาวพิศมัย จิตรวิมล 2 ล้านบาท
             4. นางสาวสุณีย์ เหลืองวิจิตร 166,054  บาท
             5.นายสิทธิชัย สิ้นเคราะห์   35,000  บาท
             6.นายมะการีม โต๊ะเฮง  30,000 บาท

 

ธันวาคม   ยอดบริจาค 5 ล้านบาท
             1.นางสาวจุฑารัตน์ เมนะเสวต 5 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ บริษัทเฉลิมโลก จำกัด เป็นของนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช


นายพิชัย นริพทะพันธ์  เป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปัจจุบันเป็นมือเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย เจ้าของบริษัท เซาท์ซี ปะการัง รีสอร์ท จำกัดและอสังหาริมทรัพย์


บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด  เป็นของ นายชัยวัล อัศวศิริสุข  สนิทกับกลุ่มนายเสนาะ เทียนทอง


นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เป็นพี่ชาย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย  เจ้าของธุรกิจกลุ่มบ้านปู

 

 

สำหรับนางสาวจุฑารัตน์ เมนะเสวต นางสาวสุกัญญา ประจวบเหมาะ (ทั้งสองคนเคยถูกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน สั่งอายัดเงินฝาก) นางสาวธิติมา เลขะวณิช นางสาวพนิดา ปัญจาบุตร และ นางสาวพิศมัย จิตรวิมล เป็นเครือข่ายผองเพื่อนของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร อดีตเมียของพ.ต.ท.ทักษิณ


ถ้านับกันจริงๆ เท่ากับเวลานี้พรรคเพื่อไทยมีผู้บริจาคจริงเพียง 5 กลุ่มหลัก
          

และถ้าไม่มีนับกลุ่มคุณหญิงอ้อจะเหลือเพียง 4 กลุ่ม


แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากยุครุ่งเรืองสมัย พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ ซึ่งมีกลุ่มทุนน้อยใหญ่สนับสนุนเต็มไปหมด อาทิ

กลุ่มสามารถคอร์ปเรชั่น กลุ่มซี.พี. แม้กระทั่งเสี่ยเจริญ


เมื่อเห็นข้อมูลอย่างนี้ ใครจะตีความว่าตกอยู่ในสภาพพรรคของอดีตนายกฯ "ถังแตก"หรือไม่?

 

คงต้องคิดกันเอาเอง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 มกราคม 2554, 15:26:59
จดหมายประณามการอุ้ม ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
 
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 19 มกราคม 2554 17:11 น.
 
 
 
 
 
       ด่วนที่สุด
       
                                         19 มกราคม 2554
       
       เรื่อง ขอประณามการกระทำอันชั่วช้าของตำรวจ
       
       เรียน ฯพณฯ นรม., ผบ.ตร, พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร
       
       ผมเขียนหนังสือนี้ถึงท่านผู้มีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันในการบังคับบัญชา บริหาร และปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติทันทีที่ผมดูทีวีจบ เรื่องตำรวจอุ้มผู้ต้องหาคือ ฯพณฯ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีต รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อเวลาหนึ่งชั่วโมงโดยประมาณก่อนเที่ยงคืนวันนี้
       
       ทีวีนี้หากนำไปฉายสู่โลกภายนอก เว้นเสียแต่ในประเทศที่มีตำรวจป่าเถื่อน ผู้ดูที่มีวัฒนธรรมจะออกความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าประเทศไทยเป็นประเทศด้อยพัฒนาล้าหลัง ไม่เคารพสิทธิมนุษยชน และตำรวจเป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งของรัฐตำรวจ
       
       สำหรับคำว่า “การกระทำอันชั่วช้า” นั้น ผมยืนยันว่ายังเป็นคำที่อ่อนเกินไป เมื่อคำนึงถึงนัยทางการเมืองและโครงสร้างของการบริหารราชการแผ่นดินที่จำต้องมีเนื้อหาและลักษณะทางพฤติกรรมที่เป็นประชาธิปไตย
       
       การกระทำดังกล่าว เมื่อเปรียบเทียบกับการสังหารนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามในสมัยพล.ต.อ.เผ่า การจับผู้ต้องหาเรียกค่าไถ่ การประกอบอาชญากรรมทางการเมืองและทางอาญาโดยตำรวจ ซึ่งยังมีอยู่ประปรายจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มีความน่าเป็นห่วงในด้านโครงสร้างไม่เท่ากับกรณีการอุ้มนายไชยวัฒน์ในวันที่ 18 มกราคม 2554 เสียอีก
       
       ทั้งนี้ผมสงสารและไม่อยากกล่าวโทษตำรวจชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือรู้แต่หวังความก้าวหน้าและลาภยศในการช่วยผู้บังคับบัญชาและนายเหนือหัวให้สำเร็จ
       
       ผมใคร่ขอความกรุณาให้ท่านเรียกเอาฟิล์มในทีวีนั้นมาฉายซ้ำดู หากท่านเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาถูกต้องแล้ว ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ขอให้ท่านได้แถลงยืนยันปกป้องการกระทำของบรรดาตำรวจที่เข้าร่วมปฏิบัติการดังกล่าว
       
       แต่ถ้าในทางตรงกันข้าม ถ้าสมมติว่าท่านต้องเป็นผู้สั่งการหรือควบคุมการปฏิบัติการนั้นๆ ท่านกลับเห็นว่ามีความบกพร่องไม่สมควรอย่างรุนแรง ผมจะเคารพและสรรเสริญความกล้าหาญของท่านที่จะออกมาขอโทษและชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจ
       
       การกระทำที่ผมเห็นว่าชั่วช้านั้นเป็นอย่างไร ผมขอยกเอาคำพูดของอดีตสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่ง ซึ่งมีความรู้และความคุ้นเคยกับกิจการตำรวจทั้งนอกและในประเทศดี
       
       ท่านอดีตวุฒิสมาชิกโทร.มาถึงผมว่า เห็นการเข้าจับกุมคุณไชยวัฒน์ในทีวีแล้ว เกิดความสลดหดหู่ใจในความล้าหลังของกรมตำรวจ และพฤติกรรมที่ดูราวกับการไล่จับหมูไปเข้าโรงฆ่าสัตว์
       
       ผมเองยินดีที่จะหยุดอธิบายคำว่า “การกระทำอันชั่วช้า” ไว้ก่อน แต่อยากจะขออนุญาตตั้งคำถามต่อท่าน เพราะเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดตั้งคำถามเหล่านี้ เพราะความเกรงใจ ความเคยชิน หรือความที่รู้สึกว่าตนเองไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นสภาผู้แทนราษฎรก็ดี วุฒิสภาก็ดี สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็ดี ผู้ตรวจราชการแผ่นดินก็ดี สื่อและสถาบันวิชาการที่ต้องทำหน้าที่สอนและวิจัยทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ก็ดี
       
       คำถามดังกล่าวเกี่ยวกับทัศนคติและความเข้าใจของท่านต่อจรรยาบรรณและมาตรฐานทางวิชาชีพของตำรวจ โดยใช้ตัวอย่างการเข้าจับกุมนายไชยวัฒน์เป็นกรณีศึกษา ดังนี้
       
       1. เกี่ยวกับตัวผู้ต้องหา เป็นที่ปรากฏชัดว่าตำรวจติดตามประกบตัวผู้ต้องหา ซึ่งมีกิจกรรมทางการเมืองโดยสงบอหิงสาและเปิดเผย ซ้ำเคยเสนอที่จะไปมอบตัวและรอคอยการนัดหมายจากทางการตำรวจเสียด้วย ผมใคร่ทราบว่าผู้บังคับบัญชาที่ออกคำสั่งให้ไปจับกุม ได้ชี้แจงให้ผู้ปฏิบัติการทราบหรือไม่ ผู้ปฏิบัติการทราบหรือไม่ว่าผู้ถูกจับกุมเป็นผู้ใด และมีความจำเป็นอย่างไรจึงจะต้องจับกุมในวัน เวลา และวินาทีนั้นๆ แม้จะขอผ่อนผันรับประทานอาหารก็ไม่ยอม
       
       2. ความรู้เกี่ยวกับหลักรัฐธรรมนูญและสิทธิในระบอบประชาธิปไตย ผู้บังคับบัญชาและผู้ปฏิบัติการมีความสำนึกและความรู้เพียงใดว่าปฏิบัติการดังกล่าวแทนที่จะส่งเสริมให้เกิดความสงบเรียบร้อย และมั่นคงภายในประเทศ กลับจะกลายเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนซึ่งได้รับความคุ้มครองตามหลักรัฐธรรมนูญ ซ้ำยังจะทำให้เกิดเหตุลุกลามบานปลายไป ทำให้ทั้งผู้ฉวยโอกาสและผู้เชื่อโดยสนิทใจ มีความเกลียดชังตำรวจและรัฐบาลเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบกระเทือนถึงความสงบในบ้านเมืองโดยตรง
       
       3. ความรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ผมขอให้ท่านรีบสอบถามไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน หรือผมเองอาจส่งหนังสือนี้ไปยังคณะกรรมการ เพื่อสอบถามว่านายไชยวัฒน์มีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองประการใดบ้าง และการเข้าจับกุมนายไชยวัฒน์มีลักษณะอาการทั้งทางกายกรรม วจีกรรมใดๆ บ้างของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยตรง
       
       4. ความรู้เกี่ยวกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายอาญาและกฎหมายปกครอง ในประเทศที่ศิวิไลซ์แล้ว เขามีกฎหมายคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาถูกจับกุม ผู้ที่เข้าจับกุมจะต้องแสดงหมายและอธิบายให้ผู้ที่ต้องจับกุมทราบเสียก่อนว่าตนมีสิทธิอะไรบ้าง รวมทั้งสิทธิที่จะไม่พูด และการปรึกษาทนาย ถึงแม้ป.วิ.อาญาเราจะยังไม่ครอบคลุมกว้างขวางถึงเพียงนั้น ก็ได้มีกำหนดไว้โดยละเอียดว่าสิ่งใดควร และไม่ควรกระทำในการออกหมาย ส่งหมายและเข้าจับกุมผู้ต้องหา ในกรณีของนายไชยวัฒน์นี้ผู้เข้าจับกุมปฏิเสธมิให้ดูหมายและมิให้ผู้ต้องหากระทำหรือไม่กระทำอะไร ท่านโปรดสอบถามรายละเอียดดูว่ามีการกระทำของเจ้าพนักงานที่ขัดกับป.วิ.อาญาหรือไม่
       
       5. อนึ่ง ในการเข้าจับกุมนายไชยวัฒน์นี้ นอกจากจะลือกันว่าเป็นการเอาใจเพื่อกลบข่าวเขมรและการโจมตีรัฐบาลยังมีข่าวเสริมออกมาทางสื่อ มิทราบว่าเจ้าพนักงานหรือโฆษกตำรวจหรือผู้ใดเป็นผู้แจกจ่ายว่ายังมีผู้ต้องหาหนีการจับกุมอยู่อีกหลายคน รวมทั้งผมด้วย ผมขอปฏิเสธว่าไม่เคยหนีการจับกุม และได้เคยมีหนังสือถึง ผบ.ตร.สำเนาถึงนรม.และท่านประธานกรรมการปฏิรูปตำรวจหลายครั้ง ขอให้มีการออกหมายและนำส่งหมายอย่างถูกต้องป.วิ.อาญามาให้ผม และหรือให้ท่านนัดหมายให้ผมไปพบกับ ผบ.ตร.และพล.ต.ท.สมยศ เมื่อใดก็ได้ การออกข่าวเช่นนั้นเป็นการละเมิดสิทธิของผม ผมเองไม่ต้องการมีอภิสิทธิ์และการเลือกปฏิบัติ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า ถ้าจะให้ความเป็นธรรมกับนายไชยวัฒน์ ตำรวจจะต้องกระทำอย่างเดียวกันกับผมด้วย
       
       อนึ่ง ผมขอยืนยันว่ามิได้จงเกลียดจงชังตำรวจส่วนใหญ่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจชั้นผู้น้อยที่จำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่อุ้มนายไชยวัฒน์ในครั้งนี้ การกระทำความชั่วช้านั้นเป็นความผิดของโครงสร้างมากกว่าตัวบุคคล แต่บุคคลที่เป็นผู้นำจะต้องนำในการแก้ไข มิใช่ปล่อยให้ผู้น้อยกระทำความผิดครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วปล่อยให้เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางไปตามยถากรรม
       
                                            ขอแสดงความนับถือ
       
                                         นายปราโมทย์ นาครทรรพ
       
       pnakornthab@gmail.com
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 เมษายน 2554, 22:44:41
ผบ.เหล่าทัพแจงจุดยืนประชุม"จีบีซี"ในกัมพูชา-ไทยเท่านั้น ลั่นไม่ยอมให้ผู้สังเกตการณ์อินโดฯเข้าประเทศ

วันที่ 05 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 19:25:15 น.มติชน ออนไลน์


   ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ วันที่ 5 เมษายน พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ถึงกรณีฝ่ายไทยจะไม่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือจีบีซีที่ ประเทศอินโดนีเซียว่า กองทัพทัพยึดมั่นต่อพันธกรณีระดับทวิภาคี ซึ่งรัฐบาลไทยและกัมพูชาตกลงกันเมื่อปี 2538 ดังนั้นกองทัพยินดีไปร่วมประชุมจีบีซี ที่ประเทศกัมพูชา ในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม หากหลังการประชุมครั้งนี้จำเป็นต้องมีการประชุมกันอีกก็ต้องหารือกันว่าจะ ต้องประชุมที่ใด เวลาใด ใครเป็นเจ้าภาพ ตามพันธกรณีที่ได้ยึดถือ หากไม่ปฏิบัตินี้ก็ถือว่าเรายกเลิกพันธกรณีปี 2538กองทัพไม่สามารถทำได้ ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจึงจะสามารถทำได้ เพราะฉะนั้นจึงตอบคำถามได้ว่าทำไมต้องประชุมที่ประเทศกัมพูชา และเพราะเหตุใดกองทัพต้องยืนยันในลักษณะนี้


พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ระบุไว้ว่า รัฐจะต้องมีกำลังเพื่อรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนและอื่นๆ กองทัพจึงจำเป็นที่จะต้องยืนยันรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย โดยไม่ให้กำลังทหารจากประเทศใดประเทศหนึ่งเข้ามาสู่ประเทศไทย เพราะจะทำให้มีผลต่อการดำเนินกลยุทธ์การปฏิบัติงานตามแผนป้องกันประเทศและ เรื่องอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังระบุว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่แบ่งแยกจากกันไม่ได้ การที่มีกองทัพอื่นใดเข้ามาในประเทศไทยถือเป็นการละเมิดอธิปไตยเหนือดินแดน แห่งประเทศไทย


สำหรับพันธกรณี  เมื่อปีพ.ศ.2538เป็นการลงนามโดยผู้แทนของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในบันทึกความเข้าใจที่ตกลงกันเพื่อเป็นแนวทางดำเนินการการอย่างสันติสุข และความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ในระดับทวิภาคี โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือจีบีซี และในขณะเดียวกันทั้ง 2 ประเทศมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 2 ประเทศเป็นประธาน โดยมี ผบ.สส. ผบ.เหล่าทัพและผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นคณะกรรมการ โดยทั้ง 2 ประเทศได้ให้เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เป็นเลขานุการ ซึ่งในบันทึกความเข้าใจปี 2538 กล่าวว่า จะมีการประชุมปีละ 1 ครั้ง ที่ประเทศไทยและกัมพูชา สลับกันไป หากมีความจำเป็นให้หารือกันที่จะจัดการประชุมโดยระบุเจ้าภาพและสถานที่ และเราก็มีการประชุมสลับกันไปมา จนกระทั้งในปี 2552 ได้มีการประชุมจีบีซีที่ เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชาและปี 2553 มีที่พัทยา จ.ชลบุรี ประเทศไทย และเดิมประเทศกัมพูชารับเป็นเจ้าภาพในการประชุมครั้งที่ 8 ในเดือน มิถุนายน 2554 ซึ่งปีนี้ต้องมีการประชุมตามข้อตกลง


ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันจะไม่มีการประชุมจีบีซีที่ประเทศอินโดนีเซียและจะไม่ให้ผู้สังเกต การณ์จากอินโดนีเซียเข้ามาในประเทศไทยใช่หรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า ถูกต้อง ไทยทำตามพันธกรณี ถ้าทำนอกเหนือจากนี้ถือว่ายกเลิกพันธกรณีปี 2538


เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ที่มีความคิดไปคนละแนวทางกัน เพราะเป็นผู้ไปคุยกับประเทศกัมพูชาว่าจะให้ประเทศอินโดนีเซียเข้าไปเป็นตัว กลาง พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่ล่วงละเมิด เข้าไปในขอบเขตของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้เรียน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการประชุมสภากลาโหม เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า จุดยืนของกองทัพเป็นเช่นนี้ และพล.อ.ประวิตรได้หารือกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 06 เมษายน 2554, 10:48:04
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 05 เมษายน 2554, 22:44:41
ผบ.เหล่าทัพแจงจุดยืนประชุม"จีบีซี"ในกัมพูชา-ไทยเท่านั้น ลั่นไม่ยอมให้ผู้สังเกตการณ์อินโดฯเข้าประเทศ

วันที่ 05 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 19:25:15 น.มติชน ออนไลน์


   ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ วันที่ 5 เมษายน พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ถึงกรณีฝ่ายไทยจะไม่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือจีบีซีที่ ประเทศอินโดนีเซียว่า กองทัพทัพยึดมั่นต่อพันธกรณีระดับทวิภาคี ซึ่งรัฐบาลไทยและกัมพูชาตกลงกันเมื่อปี 2538 ดังนั้นกองทัพยินดีไปร่วมประชุมจีบีซี ที่ประเทศกัมพูชา ในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม หากหลังการประชุมครั้งนี้จำเป็นต้องมีการประชุมกันอีกก็ต้องหารือกันว่าจะ ต้องประชุมที่ใด เวลาใด ใครเป็นเจ้าภาพ ตามพันธกรณีที่ได้ยึดถือ หากไม่ปฏิบัตินี้ก็ถือว่าเรายกเลิกพันธกรณีปี 2538กองทัพไม่สามารถทำได้ ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจึงจะสามารถทำได้ เพราะฉะนั้นจึงตอบคำถามได้ว่าทำไมต้องประชุมที่ประเทศกัมพูชา และเพราะเหตุใดกองทัพต้องยืนยันในลักษณะนี้


พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ระบุไว้ว่า รัฐจะต้องมีกำลังเพื่อรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนและอื่นๆ กองทัพจึงจำเป็นที่จะต้องยืนยันรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย โดยไม่ให้กำลังทหารจากประเทศใดประเทศหนึ่งเข้ามาสู่ประเทศไทย เพราะจะทำให้มีผลต่อการดำเนินกลยุทธ์การปฏิบัติงานตามแผนป้องกันประเทศและ เรื่องอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังระบุว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่แบ่งแยกจากกันไม่ได้ การที่มีกองทัพอื่นใดเข้ามาในประเทศไทยถือเป็นการละเมิดอธิปไตยเหนือดินแดน แห่งประเทศไทย


สำหรับพันธกรณี  เมื่อปีพ.ศ.2538เป็นการลงนามโดยผู้แทนของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในบันทึกความเข้าใจที่ตกลงกันเพื่อเป็นแนวทางดำเนินการการอย่างสันติสุข และความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ในระดับทวิภาคี โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือจีบีซี และในขณะเดียวกันทั้ง 2 ประเทศมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 2 ประเทศเป็นประธาน โดยมี ผบ.สส. ผบ.เหล่าทัพและผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นคณะกรรมการ โดยทั้ง 2 ประเทศได้ให้เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เป็นเลขานุการ ซึ่งในบันทึกความเข้าใจปี 2538 กล่าวว่า จะมีการประชุมปีละ 1 ครั้ง ที่ประเทศไทยและกัมพูชา สลับกันไป หากมีความจำเป็นให้หารือกันที่จะจัดการประชุมโดยระบุเจ้าภาพและสถานที่ และเราก็มีการประชุมสลับกันไปมา จนกระทั้งในปี 2552 ได้มีการประชุมจีบีซีที่ เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชาและปี 2553 มีที่พัทยา จ.ชลบุรี ประเทศไทย และเดิมประเทศกัมพูชารับเป็นเจ้าภาพในการประชุมครั้งที่ 8 ในเดือน มิถุนายน 2554 ซึ่งปีนี้ต้องมีการประชุมตามข้อตกลง


ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันจะไม่มีการประชุมจีบีซีที่ประเทศอินโดนีเซียและจะไม่ให้ผู้สังเกต การณ์จากอินโดนีเซียเข้ามาในประเทศไทยใช่หรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า ถูกต้อง ไทยทำตามพันธกรณี ถ้าทำนอกเหนือจากนี้ถือว่ายกเลิกพันธกรณีปี 2538


เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ที่มีความคิดไปคนละแนวทางกัน เพราะเป็นผู้ไปคุยกับประเทศกัมพูชาว่าจะให้ประเทศอินโดนีเซียเข้าไปเป็นตัว กลาง พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่ล่วงละเมิด เข้าไปในขอบเขตของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้เรียน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการประชุมสภากลาโหม เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า จุดยืนของกองทัพเป็นเช่นนี้ และพล.อ.ประวิตรได้หารือกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ


              ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา บุคคลในกองทัพฯปิดปากเงียบสนิทดูทิศทางลม ขณะนี้จากสถานะการณ์ความเชื่อ

      มั่นและความมั่นคงของรัฐบาลดูไม่ค่อยจะมีอนาคต การแสดงออกของคนในกองทัพฯในเรื่องปกป้องดินแดนที่

      ไทยกำลังขัดแย้งกับเขมร     จากที่เคยพูดแบ๊ะๆและวางเฉยจึงออกมาในลักษณะเสียงแข็งกร้าวขึ้น

                           ประเทศชาติต้องเสียค่าใช้จ่ายเลี้ยงทหารพันวัน เพื่อใช้งานเพียงวันเดียว(จากตำราพิชัยสงคราม  ซุนวู)


                                                                  มาช้าดีกว่าไม่มาครับ




                                                       

                                                   
                                                     


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 เมษายน 2554, 11:13:34
ดีใจครับพี่แก้ว
พระสยามเทวาธิราช คงคุ้มครอง ประเทศของเราแน่นอน
ทหารจึงค่อยๆมีดวงตาเห็นธรรม

MOU 2538 นี้ข้อมูลใหม่ ที่เจ๋งมากๆเลยครับ

อยากดูว่ารัฐบาลขายชาติ จะไปอีท่าไหน??


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 เมษายน 2554, 12:52:49
เบื้องลึก! มติถอนเจบีซี "มาร์ค"ลั่นโดนด้วยกันทั้ง ครม. "ชุมพล"สวน "นายกฯเสียหน้าแค่คนเดียว"

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 07:36:31 น.มติชน ออนไลน์


   

แหล่งข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 12 เมษายน ว่าก่อนจะเข้าสู่วาระการพิจารณาของ ครม. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้หยิบยกกรณี "รายงานผลการบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา" หรือเจบีซี 3 ฉบับ ที่บรรจุอยู่ในวาระการพิจารณาของรัฐสภา เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังไม่มี ความชัดเจนว่า “เรื่องเจบีซี คาราคาซังอยู่ในรัฐสภานานแล้ว ซึ่งเราต้องทำให้เกิดความชัดเจน ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้กัมพูชา นำเรื่องนี้ไปอ้างเพื่อขึ้นสู่ศาลโลกแล้วประเทศไทยจะเสียหาย จะถอนออกจากวาระประชุมหรือทำอย่างไรต่อไปก็ต้องให้มีความชัดเจน หรือถ้า ครม.ยืนยันก็ขอให้ความร่วมมือทำให้กรอบเจบีซี ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา”


ทันทีที่นายอภิสิทธิ์พูดจบ นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ได้พูดสวนขึ้นมาทันทีว่า “ผมเสนอให้ถอน เรื่องนี้จะได้จบ” จากนั้น นายอภิสิทธิ์ได้พยายามอธิบายหว่านล้อม ครม. ให้ความร่วมมือให้กระบวนการพิจารณาของรัฐสภาในวาระนี้ให้ผ่านไป โดยนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า “ถ้าไม่ดำเนินการตามกระบวนการของรัฐสภาต่อ กรมแผนที่ทหารก็ไม่ทำงานเพราะกลัวติดคุก” จากนั้น นายชุมพลจึงกล่าวอีกว่า “ผมเสนอให้ถอนๆ ออกมาเสีย เพราะเราไม่เห็นด้วย”
 

แหล่งข่าวระบุว่า จากนั้น นายอภิสิทธิ์ได้สอบถามนายอัชพร จารุจินดา เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายอัชพรระบุว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ฟังได้ความว่า ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร จะต้องดำเนินการตามกระบวนการของเจบีซีต่อไปอีก ดังนั้น ในขั้นตอนนี้จึงไม่ถือเป็นสัญญา ซึ่งนายชุมพลก็เห็นด้วย จากนั้น ครม.จึงมีมติรับทราบความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ และรับทราบความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา จากนั้น ครม.จึงมีมติให้ถอนเรื่องเจบีซี 3 ฉบับ ออกจากวาระการประชุมของรัฐสภา และให้กระทรวงการต่างประเทศไปดำเนินการเจรจา โดยนายอภิสิทธิ์ย้ำว่า ให้กระทรวงการต่างประเทศทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ เรื่องการเสียดินแดนหรือไม่อย่างไร
   

“โดนก็โดนด้วยกัน ก็อยู่ใน ครม.เดียวกัน” แหล่งข่าวอ้างคำพูดนายอภิสิทธิ์ จากนั้น นายชุมพลก็ตอบสวนทันทีว่า “รับผิดชอบมันรับผิดชอบร่วมกันทั้ง ครม.อยู่แล้ว แต่ถ้าจะเสียหน้าก็เห็นจะมีท่านนายกรัฐมนตรีคนเดียวเท่านั้น”


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 26 พฤษภาคม 2554, 08:51:40
(http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/Pubitch_resize.jpg)


"ปูแดง" น้ำตาคลออ้อนขอคะแนน ลั่นใช้นโยบาย "พี่แม้ว" คืนความสุขให้ปชช.



"วันนี้ไม่ได้ต้องการเล่นการเมืองแต่ขออาสารับใช้พี่น้องประชาชน สาเหตุที่ตัดสินใจเล่นการเมืองเพราะหลังเหตุการณ์ปฎิวัติรัฐประหาร 19 ก.ย. ครอบครัวของตนเองก็ยังได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชน และทุกคนยังคิดถึงนโยบายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไว้ให้ จึงอยากนำนโยบายเก่าๆเหล่านั้น กลับมาอีกครั้งเพื่อคืนความสุขให้พี่น้องประชาชน เพราะรู้สึกว่าครอบครัวตนเองเป็นหนี้ประชาชน จึงเป็นสาเหตุให้ตัดสินใจมาเล่นการเมือง"

นโยบายของปูแดง "ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ" ที่นำมาสรุป เป็นข้อๆ ดังนี้

1. ประกาศสงครามความยากจนให้หมดไปใน 4 ปี

2. ประกาศสงครามกับยาเสพติดภายใน 12 เดือน

3. นำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาใช้อีกครั้ง

4. เพิ่มกองทุนหมู่บ้านเป็น 2 ล้านบาท

5.จะพักหนี้ให้ครัวเรือนที่มีหนี้ต่ำ 5 แสนบาทเป็นเวลา 3 ปี

6. ลดหย่อนภาษีให้ประชาชนที่มีบ้านหลังแรกและรถคันแรก

7. ลดภาษีนิติบุคคลในปี 2555 เป็น 23% และถัดไป 20%

8.เพื่อให้เอกชนมีเงินขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท

9. นักศึกษาที่จบปริญญาตรีจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ำ 1.5 หมื่นบาท

10. จะมีเงินกองทุนเสริมให้นักศึกษาที่เรียนจบตั้งตัว จะมีบัตรเคดิต

11. ให้เกษตรกรใช้สำหรับซื้ออุปกรณ์การเกษตร จะรับจำนำขาวเหนียวตันละ 1.2 หมื่นบาท

12. เร่งสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง

13. จะเร่งแก้ปัญหาน้ำเร่งโดยดึงน้ำจาก 25 ลุ่มน้ำเข้าสู่พื้นที่เกษตร

ที่มา: http://www.suthichaiyoon.com/detail/10076


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 27 พฤษภาคม 2554, 22:36:46
The Haircut
One day a florist went to a barber for a haircut. After the cut, he asked about his bill, and the barber replied, 'I cannot accept money from you , I'm doing community service this week.' The florist was pleased and left the shop.
When the barber went to open his shop the next morning, there was a 'thank you' card and a dozen roses waiting for him at his door.
Later, a cop comes in for a haircut, and when he tries to pay his bill, the barber again replied, 'I cannot accept money from you I'm doing community service this week.' The cop was happy and left the shop.
The next morning when the barber went to open up, there was a 'thank you' card and a dozen donuts waiting for him at his door.
Then a politician came in for a haircut, and when he went to pay his bill, the barber again replied, 'I can not accept money from you. I'm doing community service this week.' The politician was very happy and left the shop.
The next morning, when the barber went to open up, there were a dozen politicians lined up waiting for a free haircut.

And that, my friends, illustrates the fundamental difference between the citizens of our country and the politicians who run it.


POLITICIANS AND DIAPERS NEED TO BE CHANGED OFTEN AND FOR THE SAME REASON!

เอามาฝากตะวันและพี่น้องคอการเมืองครับ
__________________


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 28 พฤษภาคม 2554, 05:34:32
อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 27 พฤษภาคม 2554, 22:36:46
The Haircut
One day a florist went to a barber for a haircut. After the cut, he asked about his bill, and the barber replied, 'I cannot accept money from you , I'm doing community service this week.' The florist was pleased and left the shop.
When the barber went to open his shop the next morning, there was a 'thank you' card and a dozen roses waiting for him at his door.
Later, a cop comes in for a haircut, and when he tries to pay his bill, the barber again replied, 'I cannot accept money from you I'm doing community service this week.' The cop was happy and left the shop.
The next morning when the barber went to open up, there was a 'thank you' card and a dozen donuts waiting for him at his door.
Then a politician came in for a haircut, and when he went to pay his bill, the barber again replied, 'I can not accept money from you. I'm doing community service this week.' The politician was very happy and left the shop.
The next morning, when the barber went to open up, there were a dozen politicians lined up waiting for a free haircut.

And that, my friends, illustrates the fundamental difference between the citizens of our country and the politicians who run it.


POLITICIANS AND DIAPERS NEED TO BE CHANGED OFTEN AND FOR THE SAME REASON!

เอามาฝากตะวันและพี่น้องคอการเมืองครับ
__________________
เปี๊ยก เพื่อนรัก

ภาษาปะกิต ไม่ค่อยแข็ง แรงไม่มี  พอจะจับใจความได้บ้าง
ถ้าจะสรุป แปลได้ว่า นักการเมือง กับ ผ้าอ้อมเด็ก สกปรกและเหม็นพอๆกัน ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 28 พฤษภาคม 2554, 08:49:51

                  
อ้างถึง
ข้อความของ Intania๑๖ เมื่อ 28 พฤษภาคม 2554, 05:34:32
อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 27 พฤษภาคม 2554, 22:36:46
The Haircut
One day a florist went to a barber for a haircut. After the cut, he asked about his bill, and the barber replied, 'I cannot accept money from you , I'm doing community service this week.' The florist was pleased and left the shop.
When the barber went to open his shop the next morning, there was a 'thank you' card and a dozen roses waiting for him at his door.
Later, a cop comes in for a haircut, and when he tries to pay his bill, the barber again replied, 'I cannot accept money from you I'm doing community service this week.' The cop was happy and left the shop.
The next morning when the barber went to open up, there was a 'thank you' card and a dozen donuts waiting for him at his door.
Then a politician came in for a haircut, and when he went to pay his bill, the barber again replied, 'I can not accept money from you. I'm doing community service this week.' The politician was very happy and left the shop.
The next morning, when the barber went to open up, there were a dozen politicians lined up waiting for a free haircut.

And that, my friends, illustrates the fundamental difference between the citizens of our country and the politicians who run it.


POLITICIANS AND DIAPERS NEED TO BE CHANGED OFTEN AND FOR THE SAME REASON!

เอามาฝากตะวันและพี่น้องคอการเมืองครับ
__________________
เปี๊ยก เพื่อนรัก

ภาษาปะกิต ไม่ค่อยแข็ง แรงไม่มี  พอจะจับใจความได้บ้าง
ถ้าจะสรุป แปลได้ว่า นักการเมือง กับ ผ้าอ้อมเด็ก สกปรกและเหม็นพอๆกัน ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ


 สวัสดีครับวณิชย์,เปี๊ยก

                     ไม่ได้คุยกันเรื่องการเมืองบ้านเรานานแล้ว ที่ผ่านมาผมไม่อยากพูดถึงและมองมันเลยเพราะรู้
 รู้สึกผิดหวังและเซ็งอย่างสุดๆ สรุปแล้วบ้านเราหานักการเมืองในอุดมคติไม่ได้เลย  น่าเสียดายที่เรามีคนที่

ฉลาดมีชาติตระกูลมีการศึกษาอย่างดีเช่นคุณอภิสิทธิ์ที่พอจะเป็นความหวังของคนไทยเราได้บ้าง  ในการพัฒนา

เปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของไทย  แต่พอมามีอำนาจรัฐในมือก็กลายเป็นขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่พอเหลาลงไป

ก็กลายเป็นบ้องกัญชา  ไม่มีความกล้าหาญและความเป็นผู้นำทางการเมืองเลย กลายเป็นเพียงหุ่นเชิดและเป็น

เพียงเบี้ยทางการเมืองให้พวกกาฬเลวกกาฬลากทางการเมืองจับเดินตามที่พวกมันต้องการเท่านั้นเอง น่าเสีย

 มากๆครับ  การเลือกตั้งใหม่ที่มีขึ้นเร็วๆนี้ผลออกมาก็คงจะทราบกันล่วงหน้าได้เลยว่าเงินคงเป็นปัจจัยชี้ขาดได้

 เช่นเคยว่าใครจะได้รับเลือกเข้ามาในสภาฯ  ขออนุญาตพูดอย่างท้อแท้ใจ(และหยาบคาย)ว่า ตัววรนุช..เต็มสภาฯ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 29 พฤษภาคม 2554, 15:46:00

(http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/ThaiPolticsCycle_resize.jpg)

พี่ปรีชาครับ เห็นด้วยกับพี่ปรีชาทุกประการ

นี่คือวงจรอุบาทว์การเมืองไทย ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าประชาชนคนไทยจำนวนมาก เข้าใจถึงระบอบประชาธิปไตยเพียง 4 วินาที คือหย่อนบัตรเลือกตั้งเสร็จ ก็จบ ไม่มีปากไม่มีเสียงอีกต่อไป ใครจะไปปู้ยี้ปู้ยำ โกงกินชั่งมัน เพราะพรรคไหนๆ ก็กินทั้งนั้น แต่พรรคนี้ กินแล้วให้ นี่คือถ้อยคำของชาวบ้าน




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 มิถุนายน 2554, 10:26:49
พิชาย”ซัด “กนก”ติดหล่มความคิดเดิม-แจงโหวตโน “5เพราะ-5เพื่อ”- “ปานเทพ”จวกป้ายสีรับเงิน“แม้ว”ไม่แฟร์

นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวในช่วงการเสวนา “ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน” ที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กรณีที่นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรรายการโทรทัศน์เครือเนชั่น ได้เขียน
       บทความในเฟซบุ๊ก เหน็บแนมการรณรงค์โหวตโนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า แสดงว่านายกนกยังอยู่ในวิธีคิดหรือกระบวนทัศน์เก่า ไม่สามารถก้าวข้ามวิธีคิดแบบเดิมๆ ได้ การที่เราโหวตโนนั้น เรามี “5 เพราะ” และ “5 เพื่อ” นั่นคือเรามีสาเหตุที่ทำให้ต้องโหวตโน 5 สาเหตุ และมีวัตถุประสงค์ในการโหวตโน 5 ข้อ ไม่ใช่โหวตโนแล้วเอาไปทิ้งน้ำ
       
       นายพิชายกล่าวต่อว่า 5 สาเหตุที่เราโหวตโนเพราะ 1.ระบบการเมืองไทยปัจจุบันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เป็นระบบที่ไม่สามารถกีดกันคนเลวไม่ให้เข้าสู่สภาและมีอำนาจได้ และไม่สามารถป้องกันคนเลวในสภาไม่ให้ไปโกงกินและฉ้อฉลได้ 2.นักการเมืองและพรรคการเมืองที่เสนอตัวเข้ามาให้เราเลือกประมาณร้อยละ 80-90 หรือบางคนอาจบอกว่าร้อยละ 99 เป็นนักการเมืองที่ไร้ปัญญาและฉ้อฉลอย่างสิ้นเชิง เป็นนักการเมืองที่ดูถูกประชาชนอย่างร้ายกาจ และไม่มีคนใดพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าจะสร้างชาติหรือทำตัวเป็นรัฐบุรุษนำประเทศไปสู่ความรุ่งเรืองปราศจากคอร์รัปชั่นได้ มีแต่โกหกตอแหลทั้งสิ้น
       
       3. เราจะไม่สร้างความชอบธรรมให้นักการเมืองพวกนี้อีกต่อไป ถ้าเราไปโหวตให้เราก็ไปสร้างความชอบธรรมให้ระบบที่เลวให้อยู่ต่อไป หรือให้นักการเมืองเลวนั่งชูคอต่อไป 4.ประชาชนที่โหวตโนจะสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ทางการเมือง มีวิธีคิดใหม่ที่จะไม่ให้นักการเมืองมาครอบงำเราอีกต่อไป เป็นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อใหม่ ใครที่ตามไม่ทันแปลว่าตกอยู่ในกระบวนทัศน์เดิม งมงายกับนักการเมืองชั่วแบบเดิม และ
       
       5.เราเป็นพลเมืองที่ตื่นแล้ว ไม่ตกอยู่ในมายาภาพของนักการเมืองที่พูดไปวันๆ สร้างภาพไปวันๆ อย่างนักการเมืองไทยขณะนี้ และล่าสุดมีบางคนเสนอตัวเป็นตัวเลือก คนหนึ่งบอกว่าจะต่อต้านคอร์รัปชั่น ทั้งที่ในอดีตเคยทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบาดคาดสินบนทั้งนั้น และไม่มีประวัติต่อต้านคอร์รัปชั่นมาก่อน ใครเลือกคนคนนี้ก็สิ้นคิด
       
       นายพิชายกล่าวต่อว่าที่บางคนวิเคราะห์ว่าการโหวตโนจะสร้างความยิ่งใหญ่ให้พันธมิตรฯ นั้น เป็นการวิเคราะห์ที่เลยเถิด เพราะภาคประชาชนยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ไม่ได้ยิ่งใหญ่ด้วยปริมาณ แต่ยิ่งใหญ่ด้วยปัญญาและเหตุผลที่จะต่อสู้ เพราะฉะนั้นวัตถุประสงค์ 5 ข้อที่เราจะโหวตโนคือ 1.เพื่อแสดงเจตนารมณ์ของเราว่าต้องการให้โหวตโนเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาของของชาติ แก้ปัญหาการเมือง การโหวตโนนั้นเราได้ใส่เจตจำนงทางการเมืองเข้าไปเต็มเปี่ยม ไม่ใช่โหวตโนเฉยๆ
       
       2.เราขยายความคิดเรื่องโหวตโนเพื่อทำให้พลังของภาคประชาชนมีมากขึ้น แล้วเราเอาพลังนั้นมาตรวจสอบถ่วงดุลนักการเมือง ซึ่งปัจจุบันการเมืองมี 3 ขั้วหลัก คือ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย และภาคประชาชน เราต้องเลือกขั้วภาคประชาชนเพื่อให้ประชาชนเข้มแข็ง 3.เราโหวตโนเพื่อเป็นกุญแจเปิดประตูไปสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างทรงพลัง และมีรากฐานจากประชานที่มีเจตจำนงทางการเมืองอย่างเปี่ยมล้น เพราะรัฐสภาไม่สามารถสร้างความหวังให้เราได้ว่าจะมีการปฏิรูปการเมืองหรือขจัดคอร์รัปชั่น ส่วนการรัฐประหารเราก็ไม่เอาอีกต่อไป เราจะใช้พลังของประชาชนเป็นกุญแจที่ทรงคุณค่าทรงพลัง
       
       4.หลังเลือกตั้งเราจะเชิญตัวแทนประชาชนทุกกลุ่มมาสร้างสถาปัตยกรรมทางการเมืองใหม่ จัดสรรอำนาจในสังคมเสียใหม่ สร้างระบบการเมืองที่มีธรรมาภิบาล ให้อำนาจทางการเมืองกระจายไปอยู่กับทุกกลุ่ม แทนที่จะอยู่กับการเมืองและนายทุนพรรคเท่านั้น และ 5.เราจะโหวตโนเพื่อไม่ให้นักการเมืองหยิ่งผยองอีกต่อไป หรือเรียกว่าโหวตโนเพื่อตีคางคก ให้มันสำนึกว่าประชาชนไม่ใช่บันไดไปสู่อำนาจ ไม่ใช่บันไดไปสู่การใช้อำนาจฉ้อฉลอีกต่อไป
       
       นายพิชายกล่าวต่อว่า คนที่ไม่เข้าใจโหวตโนนั้น บางคนแกล้งไม่เข้าใจ เพราะมีผลประโยชน์กับการเมืองปัจจุบัน อยากจะถามว่า ยังทนอยู่กับการเมืองที่สกปรกอยู่ได้อย่างไร เมื่อไหร่จะปลดแอกจากการเมืองเหล่านี้เสียที นักการเมืองที่กำลังเสนอตัวลงเลือกตั้งอยู่ขณะนี้คิดแต่นโยบายที่ไร้ปัญญา ดูถูกประชาชน เมื่อดูนโยบายทุกพรรคที่ใช้หาเสียงอยู่ขณะนี้ สามารถสรุปออกมาได้ 4 อย่าง คือ “แจกขนมหวาน สร้างปราสาททราย ทำลายนิติรัฐ และกำจัดคู่แข่งทางการเมือง”
       
       “แจกขนมวาน”คือการใช้นโยบายประชานิยม เพราะสิ้นคิด ไร้ความสามารถวิเคราะห์ปัญหาอย่างลึกซึ้งแล้วคิดนโยบายออกมาแก้ จึงคิดออกอย่างเดียวคือแจกขนม คิดอะไรซับซ้อนไม่เป็น “สร้างปราสาททราย” ก็คือทำเมกะโปรเจกต์วาดวิมานในอกาศ เป็นช่องทางทำมาหากินกับงบประมาณและสร้างหนี้สินให้ประเทศ “ทำลายนิติรัฐ”คือออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับพรรคพวกตัวเอง ซึ่งไม่มีนักการเมืองในประเทศประชาธิปไตยทำกัน มีแต่คณะรัฐประหารเท่านั้นที่ออกกฎหมายนิรโทษให้ตัวเอง และ “กำจัดคู่แข่งทางการเมือง” คือการปราบปรามยาเสพติดในอดีตที่ฆ่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องไป 2 พันกว่าคน หลายคนเป็นหัวคะแนนพรรคคู่แข่ง เลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าตั้งกองกำลังปราบยาเสพติด ส่วนพรรคเพื่อไทยจะทำสงครามยาเสพติดอีกครั้ง ซึ่งน่ากลัวว่าจะมีคนบริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่ออีก
       
       นายพิชายกล่าวเพิ่มเติมว่า คนที่พูดว่าโหวตโนเป็นแนวร่วมของทักษิณนั้นขอให้เข้าใจว่าคนที่พูดแบบนี้เป็นพวกประชาธิปัตย์ เพราะเขาอยากให้พวกเราโหวตให้ประชาธิปัตย์จึงพูดแบบนั้น อยากจะบอกว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์อยากได้คะแนนให้ไปหาเอาเอง อย่าเอาความกลัวทักษิณมาหากิน ให้เอาฝีมือตัวเองไปหากินดีกว่า และขอให้พวกเราอย่าเอาคะแนนไปทิ้งลงน้ำเน่าให้พวกที่ดีแต่พูด ให้พวกฉวยโอกาสทางการเมือง ไม่โหวตให้ใครทั้งสิ้น เราต้องโหวตโนเท่านั้น
       
       ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวตอบโต้กรณีบทความของกนก รัตน์วงศ์สกุล ในเฟซบุ๊ก ว่า ในฐานะคนทำสื่อด้วยกันขอนำบทความของคุณกนกมาแลกเปลี่ยนทัศนะ ถือว่าแลกเปลี่ยนความคิดไม่ได้เป็นศัตรูกัน ซึ่งคุณกนกเริ่มจากว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเขียนมาบอกว่าจะทำอย่างไรในภาวะที่บ้านเมืองหน้าสิ่วหน้าขวาน พวกเผาไทยกำลังได้ใจ พวกโหวตโนก็สำคัญตัวผิด คุณกนกบอกว่าเธอชอบมาก ซึ่งที่จริงพวกเราไม่ได้สำคัญตัวผิด เราทำจนสุดความสามารถ ผลเป็นอย่างไรก็สุดแท้แต่ประชาชน เราทำให้ถึงที่ดแค่นั้น คุณกนกบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้แปลกประหลาด นอกจากป้ายหาเสียงที่เห็นกันแล้วยังมีป้ายรณรงค์ให้โหวตโนแปะข้อความอย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น เขายอมเสียเงินทำป้าย เพื่อให้คนโหวตโนเพื่ออะไร รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แต่เขาก็ยังทำ คนทำต้องการอะไร (แอบแฝงหรือเปล่า) ที่จริงพอพูดเรื่องเงินก็จะมีพรรคการเมืองบางพรรคพยายามจะใส่ความว่า พวกเรารับเงินทักษิณ มารณรงค์โหวตโน
       
       แต่ที่จริงคุณกนกถ้าได้ติดตามบนเวทีอย่างใกล้ชิด และเนชั่นทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในการรายงานข่าวของภาคประชาชนให้ทัดเทียมกับการรณรงค์ทั่วไปของทุกพรรคการเมืองแล้ว น่าจะเห็นด้วยว่า เงินที่เราได้มาจากการรณรงค์โหวตโนครั้งนี้ไม่ได้มาจากใครคนอื่นเลยมาจากประชาชนทั้งสิ้นที่ร่วมกันบริจาค ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะทักษิณ แต่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่มีเจตนารมณ์เดียวกันว่าเราต้องรณรงค์โหวตโนให้เกิดขึ้นมากๆ ในประเทศนี้ เพราะฉะนั้นมันไม่มีแอบแฝง ถ้าพูดว่าพันธมิตรรับเงินทักษิณ จึงมารณรงค์โหวตโนอย่างนี้ ตนก็จะพูดได้ว่ามีพรรคการเมืองบางพรรครณรงค์ให้ประชาชน อย่าไปโหวตโน เพื่อจะได้สร้างความชอบธรรมในชัยชนะของทักษิณให้มากขึ้น เรื่องนี้ตนพูดได้ แต่ตนไม่เคยพูด มันเป็นเรื่องง่ายกับการกล่าวหาและสงสัยว่าคุณกนกจะรับงานจากพรรคการเมืองบางพรรค เราก็ไม่เคยพูดและกล่าวหาอย่างนั้น เพราะการพูดว่ามีเรื่องแอบแฝงนั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่ยอมรับความแตกต่างทางความคิด มัวมาคิดแต่ว่าคนที่คิดแตกต่างจากตัวเองนั้น ต้องทำชั่วเท่านั้น เรื่องนี้จึงไม่แฟร์ในประเด็นนี้
       
       นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ตนขอบอกว่าหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าโหวตโนครึ่งหนึ่งแล้วจะล้มคะแนนที่เลือกส.ส.ได้ พวกเราไม่ได้เข้าใจผิด เรารู้ว่าหากคะแนนโหวตโนเกินครึ่งก็ไม่ได้จะล้มคะแนนเลือกตั้งส.ส.ได้ แต่จะลดความชอบธรรมได้ เราเข้าใจดี ไม่มีใครถูกหลอก หรือเข้าใจผิด และถ้าเรากลัวว่าคนจะคิดแบบนี้เราคงไม่กล้าที่จะนำบทความของคุณกนกในเฟซบุ๊คมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบในวันนี้คุณกนกบอกว่าโหวตโน หลายคนคิดว่ากาโหวตโนกันเยอะๆแล้วไปกดดันพวก ส.ส.ได้ เราเชื่อว่าได้ครับ ที่เชื่อว่าได้ เพราะว่า 6 ปีที่ผ่านมาในท่ามกลางที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้ในสภาหลายครั้งหลายหน แม้กระทั่งในยามที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลไม่ต้องโหวตโน แค่มีผู้ชุมนุมไม่ต้องถึงจำนวนผู้โหวตโน เรายังยับยั้งทั้งเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมืองมาแล้วไม่รู้กี่หน นี่คือเรื่องจริง แต่ครั้งนี้เรารณรงค์โหวตโน มันเสมือนเป็นการสร้างสัญลักษณ์ของประชาชนที่เขาไม่เห็นด้วยกับระบบ ที่เขาไม่ยอมจำนนกับระบบ และเขาก็เชื่อว่า เขาเป็นกลุ่มที่ไม่ยอมประกาศเป็นผู้ลงคะแนนให้กับนักการเมืองที่ไปโกงบ้านกินเมือง เขาไม่ยอมเป็นผู้พ่ายแพ้ในระบบรัฐสภาที่ต้องยอมจำนนว่าเป็นเสียงข้างน้อยในสภา อย่างไรเสียก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับการโกงชาติกินเมือง แต่เขาคือผู้สงวนในสิทธิ์ของตัวเองที่ไม่เลือกใครเลย จะไปกล่าวหาได้อย่างไรว่าเขาโหวตโนเพื่อทักษิณ ไร้สาระและไม่เป็นความจริง
       
       "การที่คุณกนกบอกว่า รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แต่เขาก็ยังทำตรงนี้มีความหมายครับ ถ้าคุณกนกใช้คำว่ารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แสดงว่าคุณกนกก็คงคิดไม่ต่างกันว่าทุกวันนี้มีสัตว์เข้าไปอยู่ในสภาได้ ซึ่งการคิดและเชื่อแบบนี้สำคัญคือเราจะยอมจำนน มองดูสัตว์อยู่ในสภาหรือจะเป็นผู้เริ่มต้นในการไม่ยอมจำนนต่อการที่สัตว์นั้นเข้าสภา จริงอยู่ ส.ส.สุดท้ายต้องเข้าไป แต่เสียงที่โหวตโนเป็นเสียงที่สำแดงว่า เราพร้อมไล่สัตว์ออกจากสภาได้ และทำมาแล้ว เหมือนเทปผีซีดีเถื่อน ถ้าพูดถึงปัญญาชนเขาจะบอกว่าไม่เป็นไร ใครๆ เข้าก็ซื้อทั้งนั้น ถ้าเราไม่ซื้อคนอื่นเขาก็ซื้อ เพราะฉะนั้นแล้วเราไปทานต่อระบบไม่ได้หรอก ถ้าคิดกันแบบนั้น ศิลปินก็ไม่มีอาชีพ หลักการเดียวกันครับ คุณกนกบอกว่าทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แต่เขาก็ยังทำ เหมือนที่เราเชื่อว่าอะไรเป็นความดี เราก็ทำมัน เชื่อมั่นและมุ่งมั่นทำไปอย่าไปกลัวว่าเราทำความดีอยู่คนเดียวคนอื่นก็ชั่วอยู่ดี ถ้าคิดอย่างนั้นบ้านเมืองก็ล่มสลาย ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้เลย"โฆษกพันธมิตร กล่าวย้ำ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 11 มิถุนายน 2554, 22:30:27
สุดยอดคำตอบ สวย เก่ง ฉลาด   กับคำถามชิงมงกุฏ

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส อเมริกา ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>>มิส อเมริกา : ในบ้านของไอ เราเรียกมันว่า สุภาพบุรุษ
>>พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>>มิส อเมริกา: เพราะว่ามันลุกขึ้นทุกครั้ง ที่เห็นสุภาพสตรี
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส สเปน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิส สเปน : ไอ้นั่นของผู้ชาย ในประเทศของเรา เหมือนกับ วัวกระทิงที่เราใช้ในการแสดงการสู้วัวกระทิง
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส สเปน : เพราะว่า มันพุ่งเข้าหาทุกครั้ง ที่เห็นช่องเปิด
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส ฟิลิปปินส์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิสฟิลิปปินส์ : ฉันพูดได้เลยว่า ไอ้นั่นของผู้ชายในบ้านดิฉัน เหมือนกับข่าวซุบซิบ และ ข่าวลือ
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส ฟิลิปปินส์ : เพราะว่า มันผ่านจากปากนึง สู่อีกปากนึงต่อๆกัน
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ! พร้อมทั้งลุกขึ้นโห่กรี๊ดลั่นต่อด้วยเสียงปรบมือยาว

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส อิหร่าน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิส อิหร่าน : โอ้ ในบ้านชั้น เราว่า ไอ้นั่นของผู้ชายมันเหมือนกับ ขโมย
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส อิหร่าน : เพราะว่า พวกมันชอบเข้า ทางประตูหลัง
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ แปะๆ! พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาวต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส ไชน่า ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิส ไชน่า : ในจีนพวกเราว่าไอ้นั่นของผู้ชายคล้ายกับท่านผู้นำ  Deng Siu Ping.
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส ไชน่า : คือว่า แม้มัน สั้น(เตี้ย) และ ต้องตรากตรำ งานหนัก
>> แต่ว่ามันก็ยัง ทำงานได้จนถึงอายุ  90  ปี 
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาว ต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสไทยแลนด์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิสไทยแลนด์ : ในประเทศของเรา เราเปรียบไอ้นั่นเหมือนกับนักการเมือง
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ  ?
>> มิส มิสไทยแลนด์ : อ๋อ เพราะว่า พวกมันวันๆ งานการไม่ทำ
>> ได้แต่เดินแกว่งไป แกว่งมา!!! ไปวันๆ เท่านั้น

จบข่าว    


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 มิถุนายน 2554, 10:26:59
อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 11 มิถุนายน 2554, 22:30:27
สุดยอดคำตอบ สวย เก่ง ฉลาด   กับคำถามชิงมงกุฏ

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส อเมริกา ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>>มิส อเมริกา : ในบ้านของไอ เราเรียกมันว่า สุภาพบุรุษ
>>พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>>มิส อเมริกา: เพราะว่ามันลุกขึ้นทุกครั้ง ที่เห็นสุภาพสตรี
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส สเปน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิส สเปน : ไอ้นั่นของผู้ชาย ในประเทศของเรา เหมือนกับ วัวกระทิงที่เราใช้ในการแสดงการสู้วัวกระทิง
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส สเปน : เพราะว่า มันพุ่งเข้าหาทุกครั้ง ที่เห็นช่องเปิด
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส ฟิลิปปินส์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิสฟิลิปปินส์ : ฉันพูดได้เลยว่า ไอ้นั่นของผู้ชายในบ้านดิฉัน เหมือนกับข่าวซุบซิบ และ ข่าวลือ
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส ฟิลิปปินส์ : เพราะว่า มันผ่านจากปากนึง สู่อีกปากนึงต่อๆกัน
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ! พร้อมทั้งลุกขึ้นโห่กรี๊ดลั่นต่อด้วยเสียงปรบมือยาว

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส อิหร่าน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิส อิหร่าน : โอ้ ในบ้านชั้น เราว่า ไอ้นั่นของผู้ชายมันเหมือนกับ ขโมย
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส อิหร่าน : เพราะว่า พวกมันชอบเข้า ทางประตูหลัง
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ แปะๆ! พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาวต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส ไชน่า ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิส ไชน่า : ในจีนพวกเราว่าไอ้นั่นของผู้ชายคล้ายกับท่านผู้นำ  Deng Siu Ping.
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
>> มิส ไชน่า : คือว่า แม้มัน สั้น(เตี้ย) และ ต้องตรากตรำ งานหนัก
>> แต่ว่ามันก็ยัง ทำงานได้จนถึงอายุ  90  ปี 
>> ( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาว ต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสไทยแลนด์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
>> มิสไทยแลนด์ : ในประเทศของเรา เราเปรียบไอ้นั่นเหมือนกับนักการเมือง
>> พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ  ?
>> มิส มิสไทยแลนด์ : อ๋อ เพราะว่า พวกมันวันๆ งานการไม่ทำ
>> ได้แต่เดินแกว่งไป แกว่งมา!!! ไปวันๆ เท่านั้น

จบข่าว    

RATE X นะครับคุณโสภณ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 มิถุนายน 2554, 10:32:36

การเมือง : นโยบาย
หนองจาน ถึงคุกเปร็ยซอ คดีอัปยศข้ามชาติ
โดย : ประชุม ประทีป



ซ้ำซัดซับซ้อนสับสน ยุดยื้อยึกยัก ชิงไหวชิงพริบสร้างภาพ
 ใครหลายคนหวังผลคดี”วีระ, ราตรี"ติ่งของปัญหาไทย-เขมร แต่อาจเป็นน้ำผึ้งหยดเดียววันหน้า


29 ธันวาคม 2553 ประมาณ 13 นาฬิกา ชะตาชีวิตสองคนหักเหอย่างแรง จากทีม 10 คนให้รอที่รถ 3 อีก 7 คน* ก้าวพ้นถนนศรีเพ็ญเข้าบริเวณบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ไปดูปัญหาคนไทยร้องเรียนที่ดินใกล้หลักเขตแดนที่ 46 ถูกต่างชาติยึดครอง
เดินเข้าไปประมาณ 600 เมตร คนที่รถเห็นทหารกัมพูชา 5-6 คนถืออาวุธมาคุมตัวทั้งหมดเดินหายไป

สำหรับ วีระ บริเวณนี้เขาเคยมาสำรวจด้วยเรื่องเดียวกันนี้ และถูกจับเมื่อ 20 สิงหาคมปีกลาย ตชด.ไทยช่วยเจรจาปล่อยตัวออกมา

เขาคัดค้านอย่างสุดตัว ไม่ยอมให้กัมพูชายึดดินแดนที่มีหลักฐานคนไทยครอบครอง เขาร่วมชุมนุมค้านนำร่างบันทึกข้อตกคณะกรรมาธิการชายแดนไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี เข้าสู่รัฐสภาเพื่ออนุมัติ คัดค้านยูเนสโก้เข้าข้างเขมรจะรวบรัดรับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว

"วีระ" เป็นคนเดียวไปประท้วงการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่บราซิล มิ.ย.53
เขาร่วมระดมมวลชนนำไปสำแดงพลังทวงคืนเขาพระวิหาร ปะทะกับชาวบ้านภูมิซรอล ถึงสองหน!

วันนั้น เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ เทียนพุทธ พุทธพงษ์อโศก ผอ.สถานีโทรทัศน์ FMTV นำมวลชนชุมนุมหน้าประตู 4 ทำเนียบรัฐบาลไทย เพื่อเรียกร้องรัฐบาลไทยให้ขับไล่ทหารกัมพูชาและชุมชนกัมพูชาออกจากดินแดนไทย และนำคนไทยกลับบ้าน

เล่ห์เขมร กลไทย
ข่าวจับ 7 คนไทยดังไปทั่วราวไฟลาม แต่ระหว่างนั้น การให้ข่าวของคนในรัฐบาล และกองทัพพูด ล้วนวกอ้อมไม่ชัดเจน ซ้ำไปเพิ่มน้ำหนักข้อกล่าวหาคนไทยกระทำผิดได้ทั้งสิ้น ผ่านไประยะหนึ่งจนกระทั่งประเมินได้ว่า การเคลื่อนไหวมวลชนอย่างเดียว กดดันรัฐบาลไทยที่ไม่เอาธุระไม่พอ ที่ประชุมเครือข่ายคนไทยฯ ตั้งหลักจะต่อสู้เพิ่มด้วยแนวทางกฎหมายระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาเจนีวา และตั้งทีมเฉพาะกิจไปช่วยสู้คดี

นายการุณ ใสงาม อดีต ส.ส. ส.ว.บุรีรัมย์ เป็นทนายความ พูดภาษาเขมรถิ่นซึ่งสื่อสารได้กับกัมพูชา มีประสบการณ์ในกัมพูชาพอตัว เป็นหัวหน้าทีม

กำหนด “ธงนำ” ไม่รับคำตัดสินทุกศาลของกัมพูชา 

หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกตั๋วการบินไทยไว้ล่วงหน้า 2-3 วัน ในฐานะส่วนหนึ่งครอบครัวการบินไทย ทีมที่ปรึกษากฎหมายเครือข่ายคนไทยฯ 7 คนบินไปพนมเปญถึงเช้าวันอาทิตย์ 9 ม.ค. สถานทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ประสานงานมีรถตู้มารับและพาส่งโรงแรมเดอะ รีเจนท์ พาร์ค 10 โมงเช้า

พลันรถจอดหน้าหน้าโรงแรม เธอเปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ ข้อความมีสคอลเพียบ และสัญญาณดังขึ้น กดรับ เป็นผู้สื่อข่าวไทยเร่งเร้าถาม “อาจารย์หม่อมอยู่ไหนแล้ว” ...ไม่นานล็อบบี้โรงแรมก็พรึ่บ กองทัพนักข่าว

"หนึ่งทุ่มคืนนี้ สถานทูตให้ไปพบ" การุณ เอ่ยขึ้น

...หัวโต๊ะทำดูราวราชสีห์ คือ ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูตไทยประจำพนมเปญ ธรรมเนียมไทยยกมือไหว้ต่างทิ้งหมด ญาติของวีระ สมความคิด ญาติ นฤมล จิตรวะรัตนา ญาติของราตรี ต่างมากันเองอยู่ร่วมโต๊ะด้วย   

ท่านทูตแหงะหน้าดูคนนั้นที คนนี้ที แล้วถามขึ้น
"คุณเป็นใคร?" การุณ นั่งใกล้หัวโต๊ะ ถัดมา ณฐพร โตประยูร และ ม.ล.วัลย์วิภา สองคนแรกแนะนำตัวอย่างเสียมิได้ แต่เธอไม่ทันจะเอ่ย ท่านทูตโบกมือพลางว่า “ไม่ต้องแล้ว อาจารย์วัลย์วิภา ผมรู้จักดี”

บรรยกาศการหารือไม่ค่อยเป็นกันเองนัก ดูราวกับไม่ญาติเชื้อคนไทยกำลังหารือจะช่วยคนไทยด้วยกัน ตกลงวันจันทร์ 10 ม.ค. ก็ยังไม่ได้อนุญาตให้เข้าเยี่ยม

เหยียบพนมเปญหนนี้ “จันศรี นิวาส” กรรมการเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ ชาวขุนหาญ ศรีสะเกษ โผล่มาแสดงตัว ดักรอที่โรงแรม พร้อมกับชาวเขมรสองคน กุลีกุจอช่วยยกของ ขับรถตามเหมือนอารักขา ไปรอหน้าเรือนจำเปร็ยซอ หากาแฟให้ดื่ม

จันศรี มีเชื้อสายเขมร แม่ของ”จันศรี” ข้ามมาฝั่งไทยหนีสงครามกลางเมือง จนลูกได้สัญชาติไทย แต่น้า น้องสาวแม่ยังอยู่ในกัมพูชา สายสัมพันธ์จึงแน่นแฟ้น ไปมาหาสู่กัน   

"วีระ" ลั่นเจตนารมณ์หนแรก
พนมเปญ 13-14 ม.ค. การุณ ล่วงหน้าไปตั้งสำนักงานย่อย พยายามติดต่อพบทนายความกัมพูชาที่สถานทูตไทยว่าจ้างช่วยคดี นายรุ โอน ทนายของราตรี นายปริก วิจิตรา ทนายของวีระ

สถานทูตไทยให้เบอร์มา ก็ไม่ตรง กลับเป็นชาวเขมรเสียอีกช่วยค้นชื่อเบอร์โทร พาตามหา แต่ก็ติดต่อไม่ได้อยู่ดีเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว คณะให้พาตระเวนร้านหนังสือ ไปซื้อรัฐธรรมนูญกัมพูชา และวิธีพิจารณาความ ไป council of Bar คล้ายสภาทนายความของไทย

ไม่นานก็สืบรู้ว่า "ออกญา ลี ยง พัต" ส.ว.กัมพูชา เจ้าของคาสิโนตามแนวชายแดน ต่างหากเป็นคนออกค่าจ้างทนายชาวเขมรให้ดูคดีคนไทย รวม 1.4 ล้านบาท

ดังนั้น...ชวนให้ทุกคนคิด!

ก่อนหน้านั้น พณิช กับ นฤมล ได้ประกันตัวออกมาอยู่สถานทูตไทยก่อน ด้วยเหตุผลป่วย มีโรคประจำตัว นที่สุด ศาลชั้นต้นกัมพูชา ตัดสินให้ทั้งหมดมีความผิดรุกล้ำดินแดน เข้าหมู่บ้านโจกเจ็ย(โชคชัย) จ.บันเตียเมียนเจ็ย

จนกระทั่ง 19 ม.ค. อีก 4 คนศาลปล่อยตัวชั่วคราว รวมทั้ง ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ด้วยมาพักอยู่สถานทูตไทย ทีมเครือข่ายคนไทยฯ จึงได้เข้าเยี่ยม และวันรุ่งขึ้นจึงได้รับอนุญาตเข้าเยี่ยม วีระ สมความคิด

ทันทีเห็นหน้า เขาตรงเข้ากอดการุณอย่างแน่น ตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้า ดวงตาก่ำ
"ผมรอวันนี้นาน ผมรู้ว่าต้องมีวันนี้" สีหน้า แววตา กระตือรือร้น ขณะที่ยังไม่ได้นั่งเก้าอี้กันเลย
"พี่สู้เลยนะ ตามที่พี่เห็นสมควร ผมสู้ตลอด ผมอยู่ได้" วีระ บอกเจตนารมณ์

คืน 20 ม.ค. เวลา 20.30 น. มีประชุมกับทีมทนายชาวกัมพูชา จากนั้นราวเที่ยงคืน สถานทูตเรียกให้ 6 คนลงนามหนังสือยื่นขอให้ศาลกัมพูชาร่นเวลาตัดสินให้เร็วขึ้นทุกคน ยกเว้น ราตรี ไม่ลงนาม เหตุผลคือเชื่อแนวทางต่อสู้ของวีระ เธอเสียสละจะอยู่สู้คดีด้วย ส่วนคนอื่นๆ ก็คิดหนัก สำหรับ นฤมลนั้นโรคประจำตัวคือไทรอยด์ จึงไม่น่าจะดีนักจะยืดอยู่สู้คดี

วันรุ่งขึ้น ศาลชั้นต้นพนมเปญเริ่มกระบวนครั้งที่สอง ตัดสิน 5 คนไทยที่สารภาพรุกล้ำแดนกัมพูชา จำคุก 9 เดือน โทษจำให้รอลงอาญา ปรับคนละ 1 ล้านเรียล ประมาณ 1 หมื่นบาท  และส่งกลับเมืองไทย 22 ม.ค.

แต่ 2 คนกลับถูกเพิ่มโทษกล่าวหา 3 สถานหนัก เป็นจารชน มุ่งจารกรรมข้อมูลที่ตั้งทางทหาร
ขณะที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งเวทีชุมนุมสะพานมัฆวานรังสรรค์วันแรก 25 ม.ค.ตามกำหนดเดิม

ศาลชั้นต้นเขมร กำหนดพิจารณาตัดสินสองคนไทย 1 ก.พ. จู่ ๆ ล่วงหน้าหนึ่งวัน สหพันธ์นักข่าวอาเซียน มีนักข่าวคนไทยด้วยชื่อ "ประสิทธิ์" ติดต่อ ม.ล.วัลย์วิภา อยากให้มาหารือ นายเขียว กัณฤทธิ์ รัฐมนตรีกระทรวงสื่อสารกัมพูชา สำทับอีกว่า “จะมีผลต่อรูปคดีในศาล”
เช้าวันนั้น การุณ, วัลย์วิภา กับ สก โสวัน ประธานสหพันธ์นักข่าวอาเซียน(ยูเอ็มเอ) นายโปรย สมบัติ รองเลขาธิการสหพันธ์ฯ เป็นคนไทย มาพร้อมกับนายเขียว 

"ให้พี่วีระออกไปก่อน อย่างไงก็ได้...วีรบุรุษต้องรู้จักการเอาตัวรอด" รัฐมนตรีช่วยกระทรวงสื่อสาร เอ่ยขึ้น

"รัฐบาลสองฝ่ายไม่สามารถยุ่งกระบวนการตุลาการได้ แต่จะช่วยเท่าที่ช่วยได้ จะเอาคำขอนี้ไปปรึกษานายกฯฮุนเซน คือเอาคนไทยกลับบ้านก่อน" คำพูดของนายเขียว 
"ที่ดินไม่สูญหายหรอก จะเป็นของใครก็ตาม" นายเขียว ว่าต่อ
"ความยุติธรรมก็ต้องไม่สูญหายเหมือนกัน" อาจารย์หม่อม ตอบสวน
"ช้างชนกัน หญ้าแพรกแหลกลาญ" รัฐมนตรีสื่อสาร เปรยภาษิตคุ้นเคยทั้งสองชาติ เสริมให้มีนัยยะ
"เราก็มีภาษิตอย่างนี้เหมือนกัน" เธอตอบ
"ทางเก่า จะสะดวกกว่าทางใหม่"
การุณ และ ม.ล.วัลย์วิภา รู้หมายถึงทางเก่าไม่ต้องขึ้นศาล แต่การเจรจาในห้อง ล้มเหลว!
ออกจากห้องเจรจา นักข่าวหลายคนมาท้วง "รูปคดีอยู่ในมือคุณ เขียนให้ฉบับได้ไหม เชื่อมั่นในเจบีซี"
เธอฉุนขึ้นมาทันที "ถ้าเจบีซี ไม่ต้องมาพูดเลย"
แต่นักข่าวพวกนี้ยังไม่ลดละ เสนออีกว่า “ก็แค่เขียนว่าเชื่อมั่นคณะกรรมการไทยกัมพูชา ท่านเขียวรออยู่นะ"
"ขอโทษ ฉันไม่สามารถ ไม่ต้องมาอะไรกับฉัน" เธอตัดบท

ค่ำวันเดียวกัน ทีมไทยได้พบทนายกัมพูชาทั้งสองคน จึงชวนไปภัตตาคารจีนแห่งหนึ่ง สั่งอาหารมาเยอะ แต่แทบไม่ได้กิน เน้นทำความเข้าใจกับทนายเขมรไปพร้อมๆ กับพี่ชายของราตรี
"คุณต่อสู้ไม่มีเอกสารอะไรเลย เราสิทำให้ได้ทั้งหมด แฟ้มเบ้อเร่อ" การุณ พูดภาษาเขมร เชิงกำชับ
 แต่ทนายกัมพูชาทำเหมือนแค่รับทราบ จังหวะนั้นญาติของราตรีถามขัดขึ้น "จะเชื่อถือได้เหรอ" การุณ พยายามอธิบายอย่างเนิบ ๆ กลับถูกสำทับให้อีก "ไปพบท่านทูตไม่อ่อนน้อม ทำให้ผลออกมาอย่างนี้"
"แล้วจะให้คลานไปกราบหรือไง" ม.ล.วัลย์วิภา โพล่งขึ้น ทำเอาทั้งวงอึ้ง รวมวงคณะติดตามอีกโต๊ะด้วย

ศาลเขมร ชี้ชะตาโหด 
1 กุมภาพันธ์ ที่ศาลชั้นต้นกัมพูชา กรุงพนมเปญ
เผอิญหรือลางชะตา เสียงกรี๊ดร้องโหยหวนของหมูจากโรงเชือดดังขึ้น มีเสียงทุบหนัก ๆ ดัง ป๊อก เงียบไป นี่ฆ่าหมูข่มขวัญกันหรือไง...เปล่าหรอก เข้าเทศกาลตรุษจีน
กลิ่นสาบความตายคลุ้งแตะนาสิก สัญญาณไม่เป็นมงคลเสียเลย
...อัยการ(ซก เฮียน) ลุกขึ้นถามและสรุปในศาลตอนหนึ่งความว่า ท่านเข้ามาในเขตกัมพูชา เห็นกองฟาง คูนา นั่นคือ ยุทธศาสตร์ที่อ่อนของกัมพูชา แต่ถ้าไม่ได้เห็นอะไร ก็คือ ยุทธศาสตร์ที่แข็งของเรา
นี่มันกำปั้นทุบดินชัด ๆ เห็นหรือไม่เห็นอะไร ก็ผิดอยู่ดี!

ล่ามที่ศาลเลือก แปลคำโต้ตอบของวีระ ไม่ค่อยตรงนัก ที่ตลกร้าย ล่ามคนเดียวกัน ก็วิ่งเป็นนักข่าวด้วย ทั้งสองคนไทยจึงร้องขอเปลี่ยนล่ามคนใหม่ แต่ศาลพนมเปญก็ไม่อนุญาต ไม่สนกระทั่งแฟ้มเอกสารพยานหลักฐาน แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ

ล่ามชั้นดีและที่ปรึกษาชาวกัมพูชา เป็นหญิง ภาษาราชการได้ เธอเคยอยู่สถานทูต ภาษาชาวบ้านก็ดี คุณสมบัติอีกอย่างคือ เธอพูดไทยได้ เพราะอดีตสามีเธอเป็นวิศวกรคนไทย คอยบอกข้อผิดพลาดของฝ่ายโจทก์

คืนก่อน ได้ขอตัวราตรีจากสถานทูต มาซักซ้อมการเบิกความ และจะต้องนำแนวทางนี้บอกกับวีระ ด้วย เพราะอยู่ใกล้กัน 

ในศาลเธอกระซิบบอก วีระ ชั่วเสี้ยวนาที สารัตถะ คือ เหมือนสู้คดีศาลนางรอง คนของเครือข่ายถูกจับ 4 คน ศาลนางรองตัดสินยกฟ้อง ศาลนางรองไม่รับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน เอกสารวางอยู่ตรงนั้น มีอะไรบ้าง วีระเรียนกฎหมายและผ่านการฟ้องร้องมาพอสมควร จึงยกมือให้การค้านอย่างฉะฉาน แต่ศาลไม่สนใจหลักฐานต่าง ๆ เลย

ในแฟ้มนั้นแสดงรายการตามหมวด 30 กว่าเรื่อง เช่น แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ รัฐธรรมนูญกัมพูชา ทั้งเน้นมาตรา 2 กัมพูชาถือแผนที่ประเทศมาตราส่วน 1 ต่อ 1 แสนด้วย และประมวลกฎหมายอาญากัมพูชา มาตรา 38 ตรงกับ หลักการ "น็อน คอมมูนิกาโด้" 

ในที่สุด ศาลชั้นต้นก็ตัดสินให้ทั้งสองมีความผิด เมื่อปิดศาล ราตรีเดินออกมาอย่างหงอย ๆ ส่วนวีระหันมาทางทีมคนไทยและสื่อมวลชนตะโกนว่า
"ผมบริสุทธิ์ ผมจะสู้ ๆ" เป็นครั้งที่สองยืนยันเจตนารมณ์

กุมภา บีบคั้นมหาโหด
ช่วงกุมภาพันธ์ บีบคั้นหัวใจทีมที่ปรึกษากฎหมาย ที่ต้องอุทธรณ์คดีให้ได้ แต่ขอเยี่ยมกี่ครั้งก็ถูกบอกเลื่อนตลอด 11 ก.พ. โทรมาล่วงหน้าวันเดียว กำหนดเยี่ยม 17 ก.พ.ก็อีกโทร 16 ยกเลิก อ้างมียิงปะทะที่ชายแดน หลายครั้ง อ้าง นายฮอ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศ ไปภารกิจต่างประเทศ 3 ทุ่มโทรมาเลื่อน กำหนด 23 ก.พ.ก็โทรมาสี่โมงเย็น

ทีมกฎหมายจึงขึงขังเอาว่า ขอให้บอกมาเป็นลายลักษณ์อักษร อย่างน้อยเป็นอีเมล์ ไม่ใช่แค่โทรบอก
เธอกับทีมกฎหมายแน่ชัดแก่ใจว่า การต่อสู้คดีของงวีระ ราตรี เป็นการยืนยันอธิปไตยเขตแดน ทั้งสองคือพยานอ้างอิงเป็นประโยชน์ต่ออนาคต

แต่ในประเทศไทยมี 3 จำพวก คือ พวกแนวทางเสียชาติ กับแนวทางต่อสู้กู้ชาติ และไม่มีแนวทาง(กูไม่สนใจเรื่องนี้) ก็จะมีค่าเท่ากับแนวทางแรก

เรื่องมันยากไปกันใหญ่ เมื่อ ณฐพร โตประยูร ซึ่งร่วมคณะไปด้วยตั้งแต่แรก ในฐานะที่ปรึกษากฎหมาย จู่ ๆ ไม่มีมติเครือข่ายคนไทยฯ เลย เขานำแม่กับน้องชายวีระ เข้าพบนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตัวเขาไม่พูด แต่นายกฯ ให้สัมภาษณ์ ว่าเป็นคนนำญาตินายวีระมาเล่าสภาพ และขอความช่วยเหลือ ซึ่งแนวทางก็คือขออภัยโทษ

เครือข่ายคนไทยฯ เรียกประชุมและมีมติปลด ณฐพร ออกจากที่ปรึกษากฎหมายเครือข่ายฯ
พิรุธมีมาก แต่เพิ่งถูกทบทวนก็คราวนี้ หลังศาลพนมเปญตัดสิน 2 คนไทย ณฐพร บินกลับมาก่อน ทุกคนก็เดินทางกลับเมืองไทยตอนหัวค่ำ เมื่อเครื่องบินลงจอดสนามบินสุวรรณภูมิ “การุณ” ก็ถูกตำรวจจับคดีร่วมกับพันธมิตรฯ ยึดสนามบิน ก่อการร้าย
ปกติ ณฐพร จะมารอรับที่สนามบิน แต่ค่ำนั้นเขาส่งลูกน้องมาแทน
"ณฐพร คุณอยู่ไหน" ม.ล.วัลย์วิภา โทรศัพท์ถาม
คำตอบอ้างว่า "อยู่แถวนี้แหละ อาจารย์กลับได้เลย" เธอยังถามย้ำอีก "คุณอยู่ไหน" แต่ดูเหมือนไร้ประโยชน์จะเซ้าซี้ เธอกับเลขาต้องขนอุปกรณ์สำนักงานของการุณ กลับด้วย
ก่อนขึ้นเครื่องที่พนมเปญก็จะโทรบอกแล้วว่า อีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงให้มาช่วยขนอุปกรณ์ แต่ ณฐพร ไม่รับโทรศัพท์

ไปพนมเปญครั้งที่ 2 ณฐพร โทรบอกเธอว่า "อาจารย์ไม่ต้องมาหรอก ผู้หญิง เป็นเรื่องผมกับการุณ"
ครั้นรุ่งเช้า การุณ โทรมาหา "อาจารย์หม่อม มาช่วยกันคิดซี"
ณฐพร ให้ข่าวบ่อย ๆ ทั้งๆ ที่การจะแถลงอะไร ต้องผ่านการหารือประเด็นก่อน พูดถึงความรู้กฎหมายระหว่างประเทศ ถ้าฟังจับความให้ดี สิ่งที่ ณฐพร พูดเรื่องอนุสัญญาเจนีวา และอะไรอีกมากมาย ก็เหมือนลอกความมาจาก อาจารย์ธนบูลย์ จิรานุวัฒน์

ระหว่าง 28 ก.พ. ถึง 1 มี.ค. ความพยายามเข้าเยี่ยมวีระ เพื่อให้ลงนามมอบอำนาจยื่นอุทธรณ์ ท่ามกลางข่าวสะพัด การขออภัยโทษ ทีมกฎหมายก็หนักใจ กัมพูชามันจะให้อุทธรณ์ได้หรือไม่ 

สำหรับราตรี ลงนามขออุทธรณ์ไว้แล้วช่วงได้ประกันตัว ช่วงนั้นส่งตัวแทนไปสำนักงานกาชาดระหว่างประเทศ เรียกร้องให้เป็นคนกลางนำหนังสือให้วีระเซ็นมอบอำนาจแทน กาชาดระหว่างประเทศ ไม่ทำ การุณ กับม.ล.วัลย์วิภา กับทีมทำงานก็ไปหาสถานทูตไทย เรียกร้องในเรื่องเดียวกัน ยื่นหนังสือลงนามมอบอำนาจทำการแทน ขอให้ทูตไทยทำหน้าที่ นำไปอธิบายวีระให้เข้าใจ ว่าเครือข่ายกำลังทำตามเจตนารมณ์ของเขา ทูตมอบให้ จักรกฤษณ์ ตอนแรกอ้างว่า เกรงจะไม่ทัน แต่พวกเขายืนยัน ไม่ทันไม่เป็นไร เรื่องเป็นเรื่องตายของวีระ เขาควรจะได้รับรู้
เธอยก เรื่องสถานทูตยังเรียกทนายเขมรมาพบได้เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว เรื่องนี้ถ้าจะทำให้จริง ย่อมทำได้

"คุณมีเอกสารไหม เอามาให้ดูด้วย คุณวีระ คุณราตรี ไม่อุทธรณ์ เรื่องอุทธรณ์นี่ ถ้ายื่นไปแล้ว เขาไม่พอใจก็ถอนได้ เพราะต้องยื่นภายใน 1 เดือน และเราอุทธรณ์ตามหลัก น็อน คอมมูนิกาโด้" เธอบอก

สถานทูตยังยืนยัน แม่ของวีระไม่อุทธรณ์ ทีมงานจึงโทรศัพท์ติดต่อน้องชายวีระ แต่ปิดเครื่องหมด

28 ก.พ.เป็นโอกาสสุดท้าย พรุ่งนี้ต้องยื่นอุทธรณ์ให้ได้ ทีมเครือข่ายฯ ยืนยัน ถ้าสถานทูตดำเนินการอย่างไรก็ให้โทรศัพท์มาเลย กลับไปรอที่ห้องพักโรงแรม การุณ ดูร้อนใจ เธอแนะให้อยู่นิ่ง ๆ รอจนหลังหลังเที่ยงวันไปแล้ว เราก็รอจนนาทีสุดท้าย ก็ไม่มีโทรศัพท์มา

กระทั่ง บ่ายสามโมง ม.ล.วัลย์วิภา การุณ กับล่ามหญิงชาวเขมร จึงไปยื่นอุทธรณ์ต่อเจ้าหน้าที่ศาลชั้นต้น "การุณ"คนเดียวแปะโป้งเป็นพยาน รับรองเอกสารเลขที่ 159 ลงวันที่ 1 มี.ค.2554 เวลา 15.30 น.

ในคำอุทธรณ์ ใช้หนังสือลงนามชื่อราตรี และพ่วงวีระลงไป "ข้าพเจ้าทั้งสองคนไม่ยอมรับคำตัดสินศาลกัมพูชา และขออุทธรณ์สู้คดี"

แทบจะเฮ ปิดโทรศัพท์ กระทั่ง 6 โมงเย็นวันถัดมา จึงแถลงข่าวอุทธรณ์ได้แล้ว แต่ก็ไม่ปฏิเสธญาติขออภัยโทษ ใครต่อสู้แนวไหนได้ก็ทำไป

มีใครในรัฐบาลไทยพูดบ้าง กัมพูชากระทำขัดรัฐธรรมนูญกัมพูชา มาตรา 38 และแน่นอนกฎหมายไทยย่อมมี ตามหลักกฎบัตรระหว่างประเทศ นั่นคือหลัก “น็อน คอมมูนิกาโด” คนถูกคุมขัง ไร้สภาพการสื่อสารกับโลกภายนอก ไม่รู้ข้อมูลความจริงอันใด ถูกรบเร้า โน้มน้าว ข่มขู่ ให้ลงชื่ออะไร ย่อมไร้สภาพบังคับ

ย้อนไปช่วงหลังตัดสินประมาณ 2 สัปดาห์ วีระก็ล้มป่วยหนักกะทันหัน อาหารเป็นพิษ เนื่องจากที่ครอบฟันหลุด แต่สถานทูตไทยไม่เข้าไปช่วย นายพนิชเองเป็นคนเปิดเผยกับสื่อ ซึ่งล่วงเลยเข้าต้นมี.ค.แล้ว

ปรีชา กับแม่วิไลวรรณ ต้องรีบแจ้นไปเยี่ยม พบหน้ากัน ก็โอบกอดกันร้องไห้ วีระตัวสั่นเทิ้ม นัยน์ตารื้นแดงก่ำ
“แม่รู้ไหม ผมเกือบตาย” 
หลังจากบอกอาการให้ฟังแล้ว เขาก็วกมาถามถึงความยากลำบากของแม่ น้องชายต้องเสียการงานมาเป็นภาระ วีระ ไม่มีเมีย ไม่มีลูก ได้แต่ถามถึงหลาน ๆ ด้วยความคิดถึง ยิ่งตัวเล็กสุด ที่เขาเอ็นดู หยอกเอิน
ข่าวล้มป่วยเหมือนจะเป็นจุดหักเห เป็นแรงกดดันให้ญาติต้องขอพบนายกอภิสิทธิ์ เมื่อ 8 มี.ค. เพื่อขอคำยืนยันแนวทางขออภัยโทษ ตามที่ยื่นไป 

รัฐบาลหมอง- มอง"วีระ"อย่างปุถุชน 
วีระ เมื่อเห็นน้ำตาแม่ ขอร้องอยากให้ยื่นขออภัยโทษ เขาก็ยอม เดิมทีรัฐบาลไทยบอกคงไม่ทันในสิ้นกุมภา แต่ล่วงเลยมีนาคม จนมิถุนายน ก็ยังไม่ได้ขออภัยโทษ

เสมือนตัวประกันในคุกเปร็ยซอ โยงเป็นหนึ่งเงื่อนไขในหลายๆ เงื่อนไข ที่กัมพูชากดดันไทย แต่ดูเหมือนศัตรูจะมาก พวกนักการเมืองไม่ชอบขี้หน้า รวมทั้งคนในประเทศไทยก็มีจำนวนไม่น้อยคิดต่างสุดขั้วด้วย จึงไม่ส่งผลอะไรกับรัฐบาลนัก

สถานทูตไทยในพนมเปญหว่านล้อมด้วยข้อมูลเหตุผลข้างเดียวว่า รัฐบาลไทยยังไม่สามารถขออภัยโทษได้ เพราะพวกเครือข่ายคนไทยฯ ไปจุ้นจ้าน จึงต้องให้ถอนอุทธรณ์ออกไป
ข่าวกระท่อนกระแท่นแบบนี้ส่งผลเสียต่อเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ถูกมองเป็นจำเลยสังคมไป

"เราเป็นผู้หญิงในทีม ไม่สบายนักหรอก เรื่องความปลอดภัย ลองใครมันแกล้งเมามาใกล้ ๆ เสียบเราก็ได้ เราถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนชัด ๆ ทำไม่จะปกป้องตัวเองไม่ได้ แล้วทำไมรัฐบาลไทยต้องเพลี้ยงพล้ำกัมพูชาตลอด เขาเดินเกมนี้อยู่แล้ว ประสานสื่อมวลชนด้วย" ม.ล.วัลย์วิภา โอด

เธอรู้ด้วยว่า 4 ก.พ. วีระเขียนคำอุทธรณ์ด้วยลายมือตัวเอง แต่ กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ไปเกลี้ยกล่อม แล้วใบนั้นหายไป ทนายเขมรนำร่างหนังสือขออภัยโทษมาให้ดู ภาษาไทยกับภาษาเขมร...สารภาพรุกล้พดินแดน วีระขอปากกามาเขียนแก้ว่า ถูกจับในดินแดนไทย แล้วส่งกลับให้ไปแก้ จนกระทั้ง 14 มี.ค.นำมาให้ดู แต่เป็นภาษาเขมร วีระก็พาซื่อเซ็นไป
เขาคิดว่า นายกประเทศไทยจะทำให้ได้ คิดว่ามีคนหวังดีจะช่วย แต่ฮุนเซนย้ำแล้วว่า ต้องติดคุกสองในสามก่อนจึงจะขออภัยได้

21 มี.ค.น้องชายเข้าเยี่ยมวีระ และ 25 มี.ค.ทีมที่ปรึกษาเครือข่ายคนไทยฯ และญาติของราตรีไปเยี่ยมด้วย พบหน้ากันคราวนี้ วีระ แววตาสลด พูดเกือบจะเป็นโอดครวญ "ขออภัยโทษ ดูสิป่านนี้ยังไม่ได้ รัฐบาลหลอกกระทั่งแม่ผม"

การุณ เอ่ยขึ้น เอาล่ะจะอธิบายให้ฟังถึงแนวทางการต่อสู้ แล้วเราทำอะไรบ้าง ฯลฯ
"คุณแค่อยู่นิ่ง ๆ ไม่จำเป็นต้องอยู่ประตุ 4 ประตู 5 ทำเนียบ หรือไปศาลโลก คุณอยู่ที่นี่ ทำสมาธิ คุณอุทธรณ์ ไม่ใช่ ขออภัยโทษ การขออภัยโทษคือเสียแผ่นดินอย่างเดียว คุณเข้าใจไหม"
การุณ ยังพูดถึงหลักการใหญ่ การจับกุมตั้งข้อกล่าวหาและตัดสินคดีไม่เป็นธรรมเช่นนี้ ไม่เข้าข่ายความผิด มีอนุสัญญาเจนีวาบัญญัติไว้ 
แววตาวีระกลับมีประกายอีกครั้ง "ผมจะสู้ถึงที่สุด ผมอยู่ได้ ผมจะประทังชีวิตด้วยการกินข้าว กินให้มาก ๆ จะได้มีแรง"
เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ครั้งที่สาม

เล่ห์ไทย บทตีหน้าเฉย เอ่ยแค่เยื่อใย
แล้วเหตุอุปสรรคก็โผล่ 4 เม.ย. เครือข่ายคนไทยฯ นำมวลชนไปหน้ากระทรวงต่างประเทศ พร้อมหนังสือคำร้องให้ดำเนินการ ลงนาม ดร.มาลีรัตน์ เอี้ยวสกุล ลงนามตัวแทนเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ยื่นเรียกร้องต่อบัวแก้ว ไปมอบเอกสารให้ วีระ, ราตรี ลงนามมอบอำนาจให้ดำเนินการแทน แต่บัวแก้วไม่ส่งให้ 18 พ.ค.มวลชนจึงไปทวงถามอีก คืบหน้าอย่างไร ให้ตอบมา

การุณ แถลงบรรยายเมื่อวันที่ 21 พ.ค. ว่า “บัวแก้วใช้เอกสาร 2 แผ่นตบหน้าเรา แผ่น 1 ภาษาเขมร เนื้อความถอนการมอบอำนาจให้ผมและอาจารย์หม่อม ขอถอนทั้งหมด ลง 31 มีนาคม 2554 เราเพิ่งเห็น 18 พฤษภาคม 2554 อีกแผ่นภาษาไทยให้ยกเลิกทั้งหมดเช่นกัน แต่ลงวันที่ 9 พฤษภาคม จึงต้องเดินทางไปเปร็ยซอ 21 พฤษภาคม ตอนนี้ครบ เจ้าหน้าที่เรือนจำ วีระ ทนายความเขมร สถานทูตไทย คุณแม่ น้องชายวีระ ผม เจริญ กับล่าม”

ล้มเหลวเพราะ แม้จะยื่นอุทธรณ์ได้ทัน 1 มี.ค. แต่ 6 มี.ค. ได้พบกับครอบครัววีระ กับราตรี ที่สำนักสันติอโศก สองคนต้องการให้ไปถอนอุทธรณ์ วันนี้คณะได้เห็นเอกสารลงวันที่ 17 ก.พ. 21 ก.พ. 24 ก.พ. และ 3 มี.ค.

17 ก.พ. ญาติทั้งสองไปพบวีระ ราตรี ทำเรื่องถวายฎีกาต่อกษัตริย์กัมพูชา เรือนจำส่งกระทรวงมหาดไทยๆ ส่งกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ๆ แถลงข่าวจะให้อภัยโทษต้องติดคุกแล้ว 2 ใน 3 

21 ก.พ. ราตรี ก็ไม่อุทธรณ์ และขออภัยโทษ 24 ก.พ. ทั้งภาษาไทยและเขมร ไม่อุทธรณ์ และขออภัยโทษ เอกสารไทยและเขมร 3 มี.ค. สองคนลงชื่อขอถอนอุทธรณ์ เพื่อถวายฎีกาขออภัยโทษ

แต่กระทั่ง 25 มี.ค. เข้าเยี่ยม วีระก็ยืนยันจะสู้ถึงที่สุด เรียกหาเอกสารจะเซ็นใบมอบอำนาจ แต่เรือนจำดึงตัวเขาออกไป

จนถึง 18 พ.ค.มวลชนจึงไปทวงถามกระทรวงบัวแก้วอีก คืบหน้าอย่างไร ให้ตอบมา
"บัวแก้วใช้เอกสาร 2 แผ่นตบหน้าเรา แผ่น 1 ภาษาเขมร เนื้อความถอนการมอบอำนาจให้ผมและอาจารย์หม่อม ขอถอนทั้งหมด ลง 31 มีนาคม 2554 เราเพิ่งเห็น 18 พฤษภาคม 2554 อีกแผ่นภาษาไทยให้ยกเลิกทั้งหมดเช่นกัน แต่ลงวันที่ 9 พฤษภาคม จึงต้องเดินทางไปเปร็ยซอ 21 พฤษภาคม ตอนนี้ครบ เจ้าหน้าที่เรือนจำ วีระ ทนายความเขมร สถานทูตไทย คุณแม่ น้องชายวีระ ผม เจริญ กับล่าม”

นายการุณ พูดต่อหน้านำหนังสือมาแสดง 17 ก.พ.คุณเซ็นสู้คดีใช่ไหม 21 ก.พ. 3 มี.ค.ยื่นถอนทั้งไทยทั้งเขมรใช่ไหม ยอมรับเซ็นเองทั้งหมดใช่ไหม มีการถวายฎีกาใช่ไหม “ใช่” 

หลัง 25 มี.ค. 6 วันถัดมา เซ็นยกเลิกอำนาจใช่ไหม “ใช่” 9 พ.ค.เซ็นภาษาไทยใช่ไหม “ใช่” ยืนยันลงนามเอง โดยครอบครัวยินยอม

วีระบอกเขาและครอบครัวต้องการให้ใช้ใบมอบอำนาจนี้หลังการเลือกตั้งเสร็จแล้ว จะเป็นรัฐบาลใครก็ไม่รู้ ถ้าไม่มีพรรคใดช่วยแล้ว จะมอบอำนาจให้เครือข่าย

"คุณวีระจะทำหมายเหตุไว้ แต่เราติง เอกสารนี้จะส่งให้ยูเอ็น กาชาดระหว่างประเทศ คณะมนตรีความมั่นคง ใช้ได้ไหม ขีดฆ่าวันที่ 20 พฤษภาคม ได้ไหม หลังเลือกตั้งให้ดำเนินการแทน ใครจะเชื่อ”

การุณ สรุปจบ “ก็ได้ขอยุติ ไม่ขีดฆ่า 20 พฤษภา ไม่หมายเหตุ แต่จะมอบให้แม่ น้องชาย รักษาไว้”

ถึงกระนั้น “น็อน คอมมูนิกาโด้” ยังเป็นแนวทางต่อสู้ เรียกร้องความบริสุทธ์ให้ทั้งสองได้ และยังคงทำอยู่.


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 12 มิถุนายน 2554, 10:41:38
เป็นห่วง คุณวีระ กับคุณราตรี

เเต่ยังมีความหวังไว้โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง

ทั้งเเดงเเละฟ้า(ปชป) อาจจะ ชิงข้อได้เปรียบในโค้งสุดท้าย เอาคุณวีระ เเละคุณราตรี ออกจากคุกได้

เพื่อผลคะเเนนเสียง

เเต่ใครจะเล่นเกมส์ยังไงก็ตาม

ขอให้คุณวีระ กับคุณราตรี ออกมาได้ก่อนเถอะค่ะ

เป็นห่วงจังเเล้ว ไม่ทราบจะตายซะก่อนก็ไม่รู้

เรียนทั้งสองท่านให้ ให้ออกกำลังกายทุกวัน

ให้ร่างกายเเข็งเเรง มีภูมิต้านทานเชื้อโรคในเขมร นะคะ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มิถุนายน 2554, 21:38:16
7 สุดยอดนโยบายพรรคเพื่อไทย สมกับคำขวัญ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ

นโยบายด้านเศรษฐกิจ
1. แนะนำวิธีการเลี่ยงภาษีและซุกหุ้นจนถูกศาลพิพากษายึดทรัพย์
2. โครงการนำน้ำมันล้านลิตรมาเปลี่ยนกรุงเทพเป็นทะเลเพลิง
3. อบรมและฝึกอาชีพมวลชนให้ตกใจแล้วทุบATM ปล้นร้านค้าและเผาร้าน (คนอื่น) เพื่อกระจายรายได้
4. อพยพครอบครัวเจ้านายไปช้อปปิ้งต่างประเทศระหว่างก่อเหตุจลาจล

นโยบายด้านศาสนา สังคม ศิลปวัฒนธรรม
1. ปลอมโจรให้เป็นพระ
2. ย้อมสีกรุงเทพให้เป็นงานศิลปะด้วยเลือดสดๆ
3. ประดับศาลากลางจังหวัดด้วยเพลิง
4. อบรมการประท้วงและต่อสู้ทางการเมืองให้พระสงฆ์

นโยบายด้านสาธรณสุข
1. บุกเยี่ยมผู้ป่วยในยามวิกาลที่โรงพยาบาลจุฬา

นโยบายด้านการต่างประเทศ
1. ซ้อมหนีเหตุจลาจลให้ผู้นำประเทศอาเซียนที่พัทยา
2. เซ็นอนุญาตยกเขาพระวิหารให้เป็นมรดกโลก (ผลงานโบว์แดงนพเหล่) หลังถูกเพื่อนบ้านเผาสถานฑูตไม่นาน
3. บริการเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับประเทศที่มีปัญหาเขตแดนกับประเทศตัวเอง

นโยบายด้านการทหารและกลาโหม
1. ทดลองระเบิดของจริงที่สมานเมตตาแมนชั่น
2. ฝึกมวลชนให้รู้จักการปล้นและใช้อาวุธปืนของทหาร
3. สนับสนุนให้ผู้ใหญ่ใช้เด็กน้อยเป็นโล่มนุษย์
4. แกนนำปลอดภัยมวลชนตายก่อน
5. ให้มีการยิง M-79 อย่างเสรี

นโยบายด้านการท่องเที่ยวและกีฬา
1. จัดคาราวานมวลชนเสื้อแดงสัญจรรอบๆกรุงเทพ ปิดถนน ปิดทางแยกทางร่วม
2. ยกพวกไปแสดงพลังและออกกำลังกายที่พัทยาจนประตูโรงแรมพัง
3. ทำม่านบังแดงให้กรุงเทพด้วยควันจากการเผายางรถยนต์
4. ทำแสงสีเสียงให้กรุงเทพด้วย M-79 ระเบิดปิงปอง พลุ ตะไล และเพลิงเผาห้าง

นโยบายด้านการเมือง
1. ปิดแยกราชประสงค์รายเดือนเพื่อประชาธิปไตยและละเมิดสิทธิ์คนอื่น
2. ให้มีการฆ่า ให้มีศพมากที่สุด เพื่อใช้ต่อสู้ทางการเมือง
3. ปรองดองด้วยการนับเหมาผู้เสียชีวิตรวมกันหมดระหว่างประชาชนทั่วไป
เจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่และศพผู้ก่อการร้าย
4. สนับสนุนประชาธิปไตยในครอบครัวโดยให้เมียผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีหนี
คดีมาลงปาร์ตี้ลิสต์
5. แปลงผู้ต้องหาก่อการร้ายและทนายความผู้ติดสินบนศาลให้เป็นผู้แทน
ราษฎร
ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 มิถุนายน 2554, 09:41:35
กูรูกม.มหาชน จุฬาฯ วิพากษ์ “การหาเสียงเลือกตั้งที่ไร้สาระ”ประเทศไทยล้มละลายแน่คราวนี้ !

ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บรรณาธิการเว็บกฎหมายมหาชน วิพากษ์การเมืองการเลือกตั้ง  คุณสมบัติผู้สมัคร และนโยบายพรรค 2 พรรคใหญ่ อย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ผ่านบทบรรณาธิการ www.pub-law.net     สาระสำคัญมีดังนี้ 
 

 
...การหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีขึ้นในวัน อาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคมที่จะถึงเป็นไปอย่างเข้มข้น ผ่านไปทางไหนก็เห็นแต่แผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งเต็มไปหมด ดูแล้วรู้สึกสงสารกรุงเทพมหานคร เลือกตั้งทีไร “เมืองเทวดา” ของเรากลายเป็นเมืองอะไรก็ไม่ทราบ

 สงสารกรุงเทพ !!!!
จริง ๆ แล้วผมเคยเสนอเอาไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว เกี่ยวกับเรื่อง การกำหนดให้มีสถานที่ติดแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งเอาไว้เป็นการเฉพาะ ดังเช่นที่ในหลาย ๆ ประเทศทำกัน วิธีการดังกล่าวนอกจากจะไม่ทำให้บ้านเมืองสกปรกและก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ ใช้รถใช้ถนนแล้ว ยังสามารถ “ควบคุม” ค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้งได้อีกทางหนึ่งด้วย เพราะแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งต้องทำเท่ากับจำนวนสถานที่ที่รัฐกำหนดให้ปิด ประกาศ จริงๆ แล้วคณะกรรมการการเลือกตั้งน่าจะลองศึกษาเรื่องดังกล่าวดูสำหรับการเลือก ตั้งครั้งต่อไปนะครับ
         
  จากแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งที่เห็นอยู่บนถนนในกรุงเทพมหานครที่ผ่านตาผมไป นั้น ผมลองแยกออกดูพบว่ามีอยู่ 3 กลุ่มคือ กลุ่มแรกเป็นแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง กลุ่มที่สองเป็นแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร และกลุ่มที่สามเป็นของกลุ่มที่ออกมารณรงค์ไม่ให้เลือกใครเลย
         
ข้อสังเกต  3 ประการ
 
ผม พิจารณาดูป้ายหาเสียงเลือกตั้งทั้งหมดแล้วมีข้อสังเกตอยู่ 3 ประการด้วยกัน แต่ก่อนที่จะไปถึงข้อสังเกตของผม เนื้อหาสาระที่ปรากฏอยู่บนแผ่นป้ายทั้งหลายสร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับผม เป็นอย่างมากเพราะแผ่นป้ายส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นของผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือ ของพรรคการเมืองล้วนแล้วแต่เน้นเรื่องประชานิยมเป็นหลัก มีบ้างประปรายที่เห็นกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาของประเทศ เช่น การแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน แต่ก็เป็นเพียงข้อความสั้น ๆ ที่ไม่สามารถทำให้มองเห็นได้ว่าจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร
   
ส่วนนโยบายระยะยาวที่จะกำหนดทิศทางของประเทศในวันข้างหน้า เช่น รัฐสวัสดิการนั้น แทบจะไม่เห็นเลยบนแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้ง สิ่งที่ผมเห็นจึงมีแต่เรื่องของการ “ซื้อ” ประชาชนด้วยการ “แจก” เป็นหลักครับ ส่วนแผ่นป้ายที่สร้างสีสันให้กับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ ก็คือ แผ่นป้ายของพรรคเพื่อฟ้าดินที่ออกมารณรงค์ให้ “ไม่เลือกใคร” จริงอยู่แม้รูปภาพที่ปรากฏบนแผ่นป้ายจะดู “โหดร้าย” ไปบ้าง แต่เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ลึก ๆ แล้วในบางขณะเราก็มองและคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันไม่มากก็น้อย แผ่นป้ายของพรรคเพื่อฟ้าดินจึงเป็นแผ่นป้ายที่มีความชัดเจนในตัวของตัวเอง โดยไม่ต้องมีการสรรหาถ้อยคำอะไรมา “ซื้อใจ” ประชาชนเพราะ “เห็นรูป” ก็ชัดเจนแล้วถึงพฤติกรรมที่ผ่าน ๆ มาของนักการเมืองบางคนครับ
     
ผู้สมัครหน้าตา"เด็กๆ" 
   
  ข้อสังเกตประการแรกของผมที่มีต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 3 กรกฎาคมที่จะถึงนี้คือเรื่องของผู้สมัครรับเลือกตั้งครับ ที่ผ่านตาในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงที่ผมไปก็จะเห็นแผ่นป้ายหา เสียงเลือกตั้งของนักการเมืองเจ้าของพื้นที่และผู้ท้าชิง ในครั้งนี้ ผมเห็นผู้สมัครรับเลือกตั้งหน้าตา “เด็ก ๆ” เป็นจำนวนมากที่ไม่ทราบว่า “เด็กจริง” หรือรูปถ่ายทำให้ดู “เด็ก” กันแน่ และก็มีการประชาสัมพันธ์ของพรรคการเมืองบางพรรคถึงการส่ง “คนรุ่นใหม่” เข้าสมัครรับเลือกตั้ง
         
ในระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่นั้น มีข้อถกเถียงกันมากว่า ใครดีกว่ากัน แต่เรื่องดังกล่าวก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องมาถกเถียงกันสำหรับผู้ที่จะมา เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพราะไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่าหรือคนรุ่นใหม่ต่างก็ ต้องทำหน้าที่เหมือนกันคือเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีสองภารกิจสำคัญที่ต้องทำคือ พิจารณาร่างกฎหมายและควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร
         
การพิจารณากฎหมายเป็นหน้าที่หลักและเป็นหน้าที่ดั้งเดิมของฝ่าย นิติบัญญัติมาตั้งแต่ครั้งที่มีการแบ่งแยกอำนาจเกิดขึ้นมาในโลกของเราแล้ว การพิจารณาร่างกฎหมายต้องทำโดยผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีความชำนาญทางวิชาการ รวมทั้งยังต้องมีความเข้าใจและมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่จะตามมาภายหลังจากร่างกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว และต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดีกับผู้ที่จะได้รับผลจากการบังคับใช้กฎหมาย ด้วยเหตุนี้เองที่ผู้ที่จะเข้าไปทำงานร่างกฎหมายจึงควรมีประสบการณ์ในการทำ งานระดับสูงในภาครัฐหรือภาคเอกชนมาแล้วเป็นอย่างดี และจะต้องมีความรู้ความสามารถที่ได้จากการศึกษามาแล้วในระดับที่สามารถเข้า ใจกลไกต่าง ๆ ของระบบเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมเป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน
 
 ความรู้ ประสบการณ์  เป็นสิ่งที่พึงมี
       
   ความรู้และประสบการณ์จึง “เป็นสิ่งที่พึงมี” สำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนเพราะหาไม่แล้ว ประชาชนกว่า 60 ล้านคนจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายที่ผู้เขียนกฎหมายขาดความรู้และ ประสบการณ์ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นอย่าง มากได้ นอกจากนี้แล้ว แนวคิดทางการเมืองยังเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องมีติดตัวมาก่อนสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเพราะแต่ละพรรคการเมือง ต่างก็มี “จุดยืน” ของตัวเองที่ชัดเจน การสมัครเข้าพรรคการเมืองใดจึงไม่ใช่การ “หาที่ลง” ให้กับตัวเองเพื่อจะได้มีโอกาสสมัครรับเลือกตั้ง แต่ต้องเป็นไปเพราะตนเองมีอุดมการณ์เดียวกับพรรคการเมืองนั้นด้วย
         
     คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาสมัครรับเลือกตั้งจึงควรมีคุณสมบัติเหล่านี้อย่างครบถ้วนก่อนที่จะเข้ามาสมัครรับเลือกตั้งครับ
       
คนรุ่นใหม่ควรหาประสบการณ์จากท้องถิ่น
 
ใน ระบบที่ถูกต้องและควรจะเป็น คนรุ่นใหม่ที่ “สนใจ” จะเข้ามา “เล่นการเมือง” ควรจะเริ่มต้นจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองระดับท้องถิ่นก่อน การทำงานการเมืองในระดับท้องถิ่นจะช่วยให้การเข้าถึงและเข้าใจประชาชนได้ เป็นไปอย่างดี ได้ประโยชน์กับทุกฝ่าย คนรุ่นใหม่ควรหาประสบการณ์จากท้องถิ่น ไต่เต้าขึ้นมาจากสมาชิกสภาท้องถิ่นขนาดเล็กไปถึงสมาชิกสภาท้องถิ่นขนาดใหญ่ เป็นผู้บริหารท้องถิ่นระดับเล็กไปจนถึงผู้บริหารท้องถิ่นระดับใหญ่ สร้างสมประสบการณ์ไว้ให้มาก พอได้เวลาอันสมควรก็กระโดดเข้ามาเล่นการเมืองระดับชาติ เอาประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้สะสมไว้มาใช้ในการทำงานระดับชาติ ขณะเดียวกันก็สามารถช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้กับท้องถิ่นที่ตนเคยอยู่มาแล้วได้อย่างดีโดยไม่ต้องไปใช้เวลาในการศึกษา เลยครับ
       
     
แต่ที่เห็นตามแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งในวันนี้ ภาพของคนรุ่นใหม่ที่เห็น ส่วนใหญ่ไม่ใช่แบบที่ผมได้กล่าวไปแล้ว แทนที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะเน้นความสามารถเฉพาะตัวที่มีมาจากการทำงานการ เมือง เรากลับเห็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์คุณสมบัติส่วนตัวที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะ เช่น การเป็นลูกนักการเมือง เป็นลูกเศรษฐี เป็นดารา เป็นนักร้อง เป็นนักกีฬา เป็นต้น
 
บางคนก็อายุน้อย(เด็ก)เหลือเกิน 
   
   นอกจากนี้ เท่าที่ทราบ บางคนก็อายุน้อยเหลือเกิน จริงอยู่แม้มาตรา 101 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันจะกำหนดให้บุคคลที่มีอายุไม่ ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้งเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎร แต่ตัวผู้สมัคร พ่อแม่ และผู้สนับสนุน ควรมองประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักด้วย ไม่ใช่มองแต่เพียงว่า “คนของตน” เหมาะสมที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่ได้มองอีกด้านหนึ่งเลยว่า หาก “คนของตน” ชนะการเลือกตั้งได้เข้าไปอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรแล้วจะทำงานได้ดีกว่าคนที่ ต้องแพ้การเลือกตั้งด้วยเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุเกี่ยวกับความสามารถเฉพาะตัว หรือไม่ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเทศชาติและประชาชนกว่า 60 ล้านคนโดยตรงครับ
 

       
 ข้อสังเกตประการแรกของผมจึงจบลงตรงที่ว่า ผิดหวังกับผู้สมัครรับเลือกตั้งบางคนที่เข้าใจผิดในสาระสำคัญอย่างร้ายแรง ที่คิดว่า คนรุ่นใหม่คือคนอายุน้อยแค่เพียงอย่างเดียว ทั้งๆ ที่โดยอาชีพ คนรุ่นใหม่เหล่านี้ควรจะต้องมีประสบการณ์อย่างมากติดตัวมาก่อนที่จะมาสมัคร รับเลือกตั้งครับ ผิดหวังครับ
         
   
ข้อสังเกตประการที่สองของผมเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองโดย ตรง การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ พรรคการเมืองมีบทบาทน้อยมากในการสร้างนโยบายทางการเมืองของพรรคการเมืองและ ในการนำเสนอนโยบายทางการเมืองของพรรคการเมือง ที่เห็นอยู่ในวันนี้ ตามแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองต่าง ๆ ส่วนใหญ่ (ยกเว้นพรรคเพื่อฟ้าดินที่นำเสนอนโยบายที่ชัดเจน นโยบายเดียวคือ “ไม่เลือกใคร”) แข่งกันนำเอานโยบายประชานิยมมานำเ
2 พรรคใหญ่คิดแบบเดิม
         
ลอง มาดูตัวอย่างนโยบายพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคที่ปรากฏอยู่ในเอกสารที่ กกต. แจกให้กับประชาชนกันดีกว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยคือ “สานต่อนโยบายแก้ความยากจน ยาเสพติด ทุจริตคอร์รัปชัน เดินหน้านโยบายใหม่ : ก้าวข้ามวิกฤตสู่สังคมสันติสุข : รับจำนำข้าวและออกบัตรเครดิตเกษตรกร : กองทุนตั้งตัวได้ คืนภาษีบ้านหลังแรก / รถคันแรก : พัฒนาโครงข่ายระบบราง : เพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี / ค่าแรงขั้นต่ำ ปรับปรุงคุณภาพการศึกษาไทย - คอมพิวเตอร์ฟรี - อินเตอร์เน็ตฟรีในที่สาธารณะ - เพิ่มกองทุน ICL - 1 อำเภอ 1 ทุนต่างประเทศ : สร้างเมกะโปรเจคท์กระตุ้นเศรษฐกิจ - ป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ / ภาคกลาง - พัฒนาระบบน้ำทั้งประเทศ - สะพานเชื่อมเศรษฐกิจภาคใต้”
 
   ส่วนนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์คือ “ครอบครัวต้องเดินหน้า เพิ่มรายได้และลดรายจ่ายด้วยการมอบเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุทุกคน มีไฟฟ้าฟรีให้ผู้ที่ใช้น้อย ตรึงราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม เพิ่มเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำเพื่อการศึกษา และจัดการปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด เศรษฐกิจต้องเดินหน้า ยกระดับความเป็นอยู่ด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มเงินกำไรในการประกันรายได้เกษตรกร ปรับโครงสร้างหนี้นอกระบบ ให้เกษตรกรมีที่ทำกิน และมีบำเหน็จบำนาญให้ประชาชนทุกคน ประเทศต้องเดินหน้า พัฒนาศักยภาพประเทศด้วยการเร่งจัดหาพลังงานทดแทน สร้างเขตเศรษฐกิจเพื่อยกระดับสินค้า มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงกรุงเทพฯ และภูมิภาค และจัดหาแหล่งน้ำ”
       
    เป็นอย่างไรบ้างครับกับนโยบายของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ผมยังคงคิด “แบบเดิม” ว่า นโยบายของพรรคการเมืองนั้นน่าจะมีการนำเสนอสิ่งต่าง ๆ ให้กับประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ เช่น นโยบายการกระจายอำนาจอย่างเป็นระบบว่าจะทำอย่างไรที่จะให้งานและเงินกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มากกว่านี้ นโยบายเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการที่จะเปลี่ยนประเทศเป็นรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้า หรือแบบเฉพาะกลุ่ม และจะเอาเงินที่ไหนมาจัดทำสวัสดิการเหล่านั้น หรือแม้กระทั่งนโยบายปรองดองเองก็ตามที่หลาย ๆ พรรคการเมืองกล่าวถึงเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าต้องทำอย่างไร รัฐบาลชุดที่ผ่านมาก็พยายามสร้างความปรองดองในแบบของรัฐบาล หมดเงินหมดทอง เปลืองตัวกันไปตั้งเยอะแต่ก็ไม่สามารถสร้างความปรองดองในสังคมได้ พรรคการเมืองที่นำเสนอนโยบายปรองดองจึงควรนำเสนออย่างเป็นรูปธรรมว่าจะทำ อย่างไรด้วยเช่นกัน
   
   ไม่เห็นนโยบายสำคัญ แก้ปัญหาประเทศระยะยาว 
แต่ในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ เราแทบจะไม่ได้เห็นนโยบายสำคัญ ๆ ที่จะแก้ปัญหาของประเทศในระยะยาวจากพรรคการเมืองเลย พรรคการเมืองในบ้านเราจึงเป็นพรรคการเมืองแต่เพียงรูปแบบ ขาดจุดเชื่อมโยงกับประชาชนและประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ปัญหาของประเทศในระยะยาวและทิศทางที่ประเทศจะเดินต่อไปอย่างยั่งยืน ครับ
         
    ข้อสังเกตประการสุดท้ายของผมคือ เรื่องการหาเสียงเลือกตั้ง มีประเด็นอยู่สองประเด็นด้วยกันคือ ประเด็นที่เกี่ยวกับตัวบุคคลกับประเด็นที่เกี่ยวกับสิ่งที่นำมาใช้ในการหา เสียง เอาประเด็นเรื่องตัวบุคคลก่อน ตอนกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมอยู่บนถนนหรือกลุ่มคนเสื้อเหลืองชุมนุมอยู่หน้า ทำเนียบรัฐบาล นักการเมืองส่วนใหญ่ที่เป็นฝ่ายรัฐบาลต่างก็ตั้งอยู่ในที่มั่นกันอย่าง เหนียวแน่น ไม่ค่อยยอมออกมา “สัมผัส” กับพี่น้องประชาชนของคุณ
 
 
ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านั้นก็เป็นคนไทยเหมือนกับคุณแต่อาจไม่ชอบคุณ ก็แค่นั้นเอง แต่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ทุกอย่างเป็นไปอย่างตรงกันข้าม นักการเมืองสำคัญ ๆ ระดับหัวหน้าพรรคการเมืองต่างก็ลงพื้นที่กันหมด บางคนไปช่วยชาวบ้านทำไร่ไถนา (ประมาณ 2 นาที) บางคนนั่งรถอีแต๋น บางคนไปร่วมพิธีทำบุญและพิธีไสยศาสตร์กับชาวบ้าน บางคนนุ่งผ้าขาวม้านอนกับชาวบ้าน กินข้าวกับชาวบ้าน ฯลฯ เอาเป็นว่าทำได้ทุกอย่างที่ไม่เคยทำในยามปกติครับ
         
คำถามที่ตามมาก็คือ ทำแบบนั้นกันไปทำไม หรือเพื่อให้หนังสือพิมพ์รายวันถ่ายรูปมาลงหน้าแรก !!!
     
ประชาชนกลายเป็นบันไดให้นักการเมืองเหยียบ   
   
   
ผมไม่คิดว่า ชาวบ้านจะโง่พอที่จะไม่เข้าใจว่า นี่คือการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นภาพมายาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่นาทีแล้วก็ผ่านไป ทุกคนสามารถทำทุกอย่างได้ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ถ้าแน่จริงก็ควรไปช่วยชาวบ้านทำนาสัปดาห์ละ 1 วันเต็ม ๆ ตลอดชีวิตไม่ว่าจะได้เข้าไปอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ ไม่ว่าจะเข้าไปอยู่ในฝ่ายบริหารหรือไม่ครับ !!! กล้าทำไหมล่ะครับ !!!
       
     
ลองมาดูกันดีกว่าว่า เมื่อคนเหล่านี้เข้าไปเป็นฝ่ายบริหาร ชาวบ้านที่เคยได้สัมผัสโดยตรงอย่างใกล้ชิดในช่วงเวลาของการหาเสียงเลือกตั้ง จะมีโอกาสหรือได้โอกาสแบบเดิมอีกไหม หรือว่าจะต้องรอไปจนถึงการหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไป
         
         
ประชาชนกลายเป็นบันไดให้นักการเมืองเหยียบขึ้นไปสู่จุดที่ตัวเองต้องการ พออยู่ข้างบนแล้วใครจะพบก็คงยากเป็นธรรมดา
         
         ผมไม่คิดนะครับว่าประชาชนจะโง่และหลงเชื่อภาพมายาที่กำลังพยายามทำกันอยู่ !!
         
         
ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับสิ่งที่นำมาใช้ในการหาเสียงนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ถ้อยคำที่อยู่บนแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งต่าง ๆ สร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับผมเป็นอย่างมาก ลองไปดูกันเล่น ๆ ว่ามีอะไรบ้าง ตัวอย่างนะครับ กองทุนพัฒนาสตรีจังหวัดละ 100 ล้านบาท / เกิดวันนี้ 20 ปีมีเงินล้าน / เงินกู้รายละ 1 ล้าน / ทำงาน 5 ปีแรกไม่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา / เงินเดือนข้าราชการเท่ากับเอกชน / เรียนฟรี 19 ปี / เริ่มทำงานเว้นภาษี 5 ปีแรก / สร้างที่ทำกิน 1 ล้านคน / สร้างถนนปลอดฝุ่นทั่วประเทศ / คืนภาษีรถคันแรก / เพิ่มเงินเดินปริญญาตรี 15,000 บาท / ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน / สร้างงาน 100,000 อัตรา / ถมทะเลตื้นออกไป 10 กิโลเมตร / หยุดไฟฟ้าปรมาณู ชูพลังงานทดแทน ฯลฯ
           
ประเทศไทยล้มละลายแน่คราวนี้
     
ผมเห็นสิ่งที่บรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองนำมาใช้ในการหาเสียงแล้วก็ รู้สึกสมเพชและโกรธ ที่ต้องสมเพชก็เพราะแทบจะทุกเรื่องที่นำมาใช้ในการหาเสียงเป็นเรื่องที่ยัง ไม่ได้มีการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ แค่นึกอะไรได้ก็เอามาเขียนให้คนเห็น ยกตัวอย่าง สองเรื่องสุดท้ายคือ ถมทะเลตื้นออกไป 10 กิโลเมตร กับหยุดไฟฟ้าปรมาณู ชูพลังงานทดแทน ผมอยากถามเจ้าของความคิดพวกนี้ว่า จะมีวิธีการทำอย่างไร และในระหว่างทำหรือเมื่อทำไปแล้วจะกระทบกับอะไรบ้าง แค่นี้ก็ตอบไม่ได้แล้วครับ
   
ส่วนนโยบายอื่น ๆ ที่เป็นประเภทประชานิยมคือ แข่งกันเสนอให้สวัสดิการต่างๆ แล้วก็แข่งกันลดภาษี ถามจริง ๆ เถิดครับว่า จะเอาเงินที่ไหนมาจัดทำสวัสดิการที่นำเสนอมา รัฐบาลก่อนหน้านี้ก็กู้เงินต่างประเทศและออกพันธบัตรไปจำนวนมากเพื่อไปจัดทำ ประชานิยม แค่ที่ผ่านมาเรายังไม่ทราบตัวเลขที่ชัดเจนเลยว่า ประเทศไทยเรามีหนี้อยู่เท่าไรและเมื่อใดจะใช้หนี้หมด ถ้าหากปล่อยให้พวกคุณได้เข้ามาบริหารประเทศแล้วพวกคุณต้องทำตามที่ได้สัญญา ไว้ทั้งหมดกับประชาชน
         
         ประเทศไทยล้มละลายแน่ครับ !!!
         
         
ผมรู้สึกโกรธกับสิ่งที่ทั้งพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งนำมาเสนอ ทั้งหมดเพราะนี่คือ การดูถูกประชาชนอย่างร้ายแรง สิ่งที่นำมาเสนอเป็นเพียงแค่ความคิดที่คิดกันมาเพื่อให้ “ชนะ” การเลือกตั้งได้เพราะ “มั่นใจ” ว่า ประชาชน “โง่” พูดอะไรก็เชื่อหมด ประชาชน “ละโมบ” ต้องนำเอาสารพัดสิ่งมาล่อประชาชนเพื่อให้เลือกตนเองหรือพรรคการเมืองของตน นี่คือการดูถูกประชาชนอย่างร้ายแรงครับ
         
     น่าเสียดายโอกาสของพรรคการเมืองและนักการเมืองเหล่านี้ แทนที่จะใช้เวลาที่มีอยู่หลายปีก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง “คิด” ทุกอย่างอย่างเป็นระบบเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน กลับคิดแต่เพียงจะ “เอาชนะ” พรรคการเมืองอื่น ๆ ด้วยการนำเสนอสิ่งที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบโดย ไม่คำนึงเลยว่า หากต้องทำสิ่งที่ได้นำเสนอไปทั้งหมดจะเกิดผลกระทบอย่างไรตามมา
 
       3 กรกฎาคม... วันพิพากษา
         
    วันที่ 3 กรกฎาคม จึงไม่น่าจะใช่วันเริ่มต้นของการปฏิรูปการเมืองตามที่หลาย ๆ คนกำลังพูด จึงไม่ใช่วันที่เราจะได้นักการเมืองดี ๆ เข้ามาสู่ระบบ จึงไม่ใช่วันสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
         
    แต่ควรเป็น “วันพิพากษา” นักการเมืองที่หลอกลวงประชาชน นักการเมืองที่คิดว่าประชาชนโง่ รวมทั้งผู้ที่อยากเป็นนักการเมืองทั้ง ๆ ที่ขาดความรู้และประสบการณ์ขั้นพื้นฐานของนักการเมือง
         
     คงต้องไปร่วมแรงร่วมใจกัน “ลงโทษ” นักการเมืองเหล่านี้เพราะหากขืนปล่อยให้เข้ามา คงต้องเริ่มนับถอยหลังกันได้เลยเพราะประเทศไทยคงต้องล้มละลายแน่หากต้องทำ ทุกอย่างให้เป็นไปตามที่พรรคการเมืองและนักการเมืองได้โฆษณาหาเสียงเอาไว้
       
      แต่ถ้าพรรคการเมืองและนักการเมืองกลับลำบอกว่าไม่ทำทั้งหมด นี่ก็คือการโกหกประชาชนอีกเช่นกันครับ
       
        ใช้วิจารณญาณกันให้ดี ๆ นะครับ อนาคตของชาติอยู่ในมือของพวกเราทุกคนครับ !!!
         



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 มิถุนายน 2554, 22:01:41
การเมือง : นโยบาย
ศาลโลก-คณะกรรมการมรดกโลก กรณีเขาพระวิหาร
โดย : ประชุม ประทีป


 ศาลโลกจะชี้คำร้องเขมรอย่างไร? คกก.มรดกโลกจะเลื่อนหรือรับแผนบริหารจัดการเขาพระวิหาร
 ยังประมาทมิได้ เพราะรัฐบาลไทย ดีแต่พูด รอแต่โชคช่วย!

กัมพูชาประกาศเป็นเจ้าของพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารอย่างหนักแน่น ด้วยการตั้งชุมชน สำนักสงฆ์ ฐานทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ ตอกย้ำด้วยจรวดชุด ปืนใหญ่ ระดมใส่ทหารและพลเรือนไทย ลามไปปราสาทตาควาย ตาเมือน แล้วยังยื่นร้องต่อศาลโลก อีกด้วย 

ขณะที่ การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 35 ที่กรุงปารีส 19-29 มิ.ย. ก่อนหน้านั้นไทยได้เจรจากัมพูชาเมื่อ 25-26 พ.ค. ขอให้เลื่อนวาระแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร แต่ก็ล้มเหลว

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการณ์นายกรัฐมนตรี พูดว่า ยูเนสโกเห็นคล้อยตามไทย พยายามบอกสื่อผ่านถึงประชาชนในระหว่างหาเสียงว่า จะมีข่าวดี เรื่องเลื่อนวาระกัมพูชาออกไป ซึ่งไม่ใช่!

นายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และประธานมรดกโลกกัมพูชา แถลงไม่ยอมให้เลื่อน นายไพ สีพาน โฆษกสำนักนายกฯกัมพูชา ก็อ้างถึงนางอิรินา โบโกวา ผอ.สำนักงานใหญ่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก้) ก็ไม่เห็นชอบกับข้อเสนอของไทย

30 พ.ค. สุวิทย์ คุณกิตติ (หัวหน้าพรรคกิจสังคม) ประธานมรดกโลกฝ่ายไทย ยอมรับเลื่อนไม่ได้! 

31 พ.ค. ปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาล แถลงผลการประชุม ครม.ชุดเล็ก อ้างคำพูดนายอภิสิทธิ์ในที่ประชุมว่า เป็นในรอบ 2 ปีที่ยูเนสโกเห็นคล้อยตามไทย
แต่ต้องชัดในละเอียด...จะเลื่อนหรือรับขึ้นอยู่กับอีก 19 ชาติภาคีลงมติ ซึ่งนางโสมสุดา ลียะวณิช อธิบดีกรมศิลปากร ผู้แทนไทยในคณะกรรมการมรดกโลก ระบุเรื่องนี้อยู่ลำดับที่ 63 วาระที่ 7B คาดว่าจะเป็นวันที่ 23 หรือ 24 มิ.ย.

ก่อนคณะไทยจะเดินทางไป 17 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์ยังบอกสื่อมวลชนว่า ได้โทรสายตรงถึงประธานคณะกรรมการมรดกโลก แจ้งเจตนารมณ์เสนอเลื่อนแผนของกัมพูชา ส่วนอีกฝ่ายตอบอย่างไร ไม่ได้บอก

เวที คณะกรรมการมรดกโลก
คนทั่วไปไม่ค่อยรู้ "เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ" ใต้ร่มบุญ "มูลนิธิพลังบุญ" ได้ทำหนังสือหลายฉบับพร้อมหลักฐานและข้อกฎหมายระหว่างประเทศส่งไปยังหน่วยงานสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ส่งไปตอกย้ำหลายวาระ และน่าจะมีผลสะเทือนต่อองค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาจัดฉาก มีส่วนร่วมก่อให้เกิดการสู้รบ สั่นคลอนสันติภาพอาเซียนอย่างมีนัยสำคัญ

มีนัยสำคัญ ในแง่การกระทำทั้งปวงที่ผ่านมาของกัมพูชาและไทย ส่อเป็นโมฆะ
นัยสำคัญ การกล่าวโทษ ประเทศและองค์กรที่ละเมิดกฎบัตรยูเอ็น ระเบียบองค์กรของตัวเอง

ข้อมูลเบื้องต้น ช่วงสู้รบต้นกุมภาฯ 2554 เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ รวบรวมแปลเอกสารข้อกฎหมาย ข้อมูล หลักฐาน ส่งไปเสริมกับคำเตือนถึงยูเนสโก กรุงปารีส

ช่วงคนไทยถูกจับก็ส่งถึง คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross : ICRC) สำนักงานใหญ่ และสนง.ในไทย รวมถึงองค์การสิทธิมนุษยชนแห่งยูเอ็น

สู้รบเดือนเมษาฯ ล่าสุด กัมพูชานำเรื่องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ไอซีเจ) หรือศาลโลก หนึ่งในหกองค์กรหลักของยูเอ็น เครือข่ายคนไทยฯ ก็ได้ส่งถึง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอสซี) ซึ่งมีหน้าที่รักษาสันติภาพ
ล่าสุด(15 มิ.ย.) ส่งถึงสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (Economic and Social Council : ECOSOC) ร่มเงาของยูเนสโก้

เพื่อย้ำให้ตระหนักในภารกิจหน้าที่ภายใต้กฎบัตรยูเอ็น ธรรมนูญและระเบียบของแต่ละองค์กร!

แม้กัมพูชายื่นร้องศาลโลกให้สั่งคุ้มครองฉุกเฉิน ไล่ทหารไทยออกจากบริเวณ 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทพระวิหาร และให้ตีความคำพิพากษาคดี พ.ศ.2505

แต่เครือข่ายฯ เชื่อว่า ถ้าสู้ในหลักการ หลักฐาน หลักกฎหมาย ตามได้ยื่นไป จะสามารถเบรกกัมพูชาได้ อย่างสังเขปดังนี้

15 มิ.ย.54 เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ส่งคำร้องทุกข์ต่อ ECOSOC กล่าวโทษ UNESCO ว่ากระทำความผิดต่อกฏบัตรสหประชาชาติ บทบัญญัติที่ 70 -71 เกี่ยวกับการกระทำของยูเนสโก้ทับซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของอีโคซอค โดยพยายามอย่างยิ่งเพื่อขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยปราศจากอำนาจหน้าที่จะทำได้ เพราะขัดแย้งกับหลักการแนวทางสนับสนุนให้เกิดสันติภาพมั่นคง และตระหนักในหลักสิทธิมนุษยชน ต่อต้านการเหยียดผิว การเร่งเร้ายุยงให้เกิดความรุนแรง และสงคราม

ยูเนสโก้ ยอมรับจดทะเบียนมรดกโลกให้เขมรฝ่ายเดียว ขณะที่ยังมีข้อพิพาทสองประเทศ กระทำขัดต่อระเบียบยูเนสโก้เอง บัญญัติว่า จะไม่ส่งเสริมให้เกิดสงคราม

กล่าวหา ฝ่ายกัมพูชา กระทำขัดต่อสนธิสัญญากรุงเจนีวาฉบับที่ 4 ค.ศ.1954 บทบัญญัติที่ 2 ร่วม และบทบัญญัติที่ 3 ร่วม คือห้ามรุกราน ละเมิดอธิปไตย และขัดต่อบทบัญญัติที่ 53/144 ละเมิดสิทธิมนุษยชน (ยิงเป้าหมายพลเรือน) และขัดข้อบัญญัติอื่นๆ อีกหลายฉบับ

ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า เรื่องนี้อยู่ในขั้น คณะมนตรีความมั่นคงฯ ซึ่งมอบให้อาเซียนเป็นตัวกลางเจรจา ถึงขั้นในรายละเอียดจะส่งคณะผู้แทนมาสังเกตการณ์ในพื้นที่ แต่จู่ ๆ กัมพูชากับร้องต่อศาลโลก จึงลัดขั้นตอน

ขณะเดียวกัน ไทยประกาศถอนตัวเป็นภาคีศาลโลกในปี 2506 ดังนั้น รัฐบาลไทยรักษาการณ์ขณะนี้ ไปยอมรับเขตอำนาจศาลโลกโดยพลการ โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับอธิปไตย ดินแดน โดยไม่ผ่านรัฐสภาอนุมัติรับรองเห็นชอบ ย่อมจะเข้าข่ายโมฆะ

หากยังจะรบกันอีก UNSC จะต้องเข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยตกลงด้วยสันติวิธี ถ้าไม่สำเร็จองค์กรนี้แหละจะนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกให้ตัดสินเอง สำหรับกัมพูชาถ้าจะเป็นผู้ฟ้อง ก็ต้องได้การรับรอง (reccmmendation) จากยูเอ็นเอสซี

เวทีศาลโลก

หากศาลโลกตัดสินให้ไทยเสียเปรียบอีกหน ก็มีคนจ้องอยู่แล้ว จะเล่นงาน ครม. ตามมาตรา 1, มาตรา 190 แห่งรัฐธรรมนูญไทย และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119, 120 อีกด้วย 

สำหรับศาลโลก จะพิจารณา 2 ประเด็นตามกัมพูชาร้องหรือไม่ ก็ต้องมาดูธรรมนูญศาลโลก และวิธีพิจารณาของศาลโลก จะเข้าข่ายรับไว้พิจารณาตัดสินได้หรือไม่ ซึ่งนักกฎหมายระหว่างประเทศได้พิจารณาแนวโน้มแล้ว คงจะต้องเบรกเรื่องนี้

ขณะที่ ฝ่ายไทยต้องชัดเจน ต้องโต้แย้งสิทธิ์ มิใช่ยอมรับอำนาจศาลโลกพิจารณาคดีนี้อย่างหนักแน่น

ข้อมูลที่สำคัญ กัมพูชาได้ดัดแปลงเอาปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ เป็นที่ซ่องสุมกำลังทหาร จึงขัดต่อสนธิสัญญาว่าด้วย การปกปักรักษาโบราณสถานในยามที่มีความขัดแย้งทางอาวุธ ค.ศ.1954(สนธิสัญญากรุงเฮก 1954) 

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐธรรมนูญกัมพูชา มาตรา 71 ได้บัญญัติสอดคล้อง ความว่า "ขอบเขตบริเวณโดยรอบของมรดกชาติ ที่จะจัดให้เป็นมรดกโลกได้ จะต้องพิจารณาจากพื้นที่เป็นกลาง จะต้องไม่มีการดำเนินการทางทหาร"

ยังพูดได้ถึง รัฐธรรมนูญกัมพูชา มาตรา 2 ที่ยึดถือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 100,000 แล้วไฉน รัฐบาลกัมพูชาจะมาอ้าง 1 ต่อ 2 แสนใช้กับเขาพระวิหาร

ส่วนไทย ถ้าเพี้ยนไปรับรองแผนบริหารฯ ของกัมพูชา ที่แนบแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ก็จะทับซ้อน อลหม่านกับแผนที่มาตราส่วน 1: 50,000 ตามประกาศพระราชกฤษฎีกาขึ้นทะเบียนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร พ.ศ.2541 (ก่อนอ็มโอยู 43)

ลองดู! คณะกรรมการมรดกโลก ในยูเนสโก้ ใต้ร่มอีโคซอค จะทำอย่างไร ในเมื่อองค์กรตัวเองมีส่วนเป็นต้นเหตุความขัดแย้งเสียเอง ทั้งๆ ที่ร่วม 40 ปีมาแล้ว หลังพ้น 10ปีระยะการยื่นรื้อฟื้นคดี ก็ไม่เคยพิพาทรุนแรงถึงขั้นนี้

ส่วนธรรมนูญอีโคซอค ที่ยูเนสโก้ต้องยึดถือ คือ ต้องขจัดสงคราม ส่งเสริมสันติภาพ ในเมื่อมีการสู้รบ มีที่ตั้งทางทหารในโบราณสถานแห่งนี้ ยูเนสโกยังจะดึงดันรับรองเป็นมรดกโลกต่อไปได้อย่างไร

เพราะเป็นข้อบัญญัติห้ามเด็ดขาด!

นอกจากนี้ ยังขัดต่อหลัก "ปัญจศีล" รับรองโดยสมัชชาใหญ่ยูเอ็น ค.ศ.1970 ระบุไว้ดังนี้ 1.ต้องเคารพในอธิปไตยและบูรภาพแห่งดินแดนของทุกประเทศ 2.ไม่รุกรานซึ่งกันและกัน 3.อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน 4.ไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน 5.ต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขภายใต้หลักการนี้

นี่ไม่ใช่ 50 ปีก่อน ประชาชนไม่เป็นเบื้อใบ้ ปล่อยให้รัฐบาลปลุกระดมให้ทำตามอย่างเดียว

พ.ศ.นี้ 2554 ประชาชนที่ตื่นตัวได้ปลุกระดมกันเอง ปลุกระดมคนในชาติ ข้อมูลก้าวล้ำกว่ารัฐบาล และปฏิบัติการเหนือกว่ารัฐบาล

ไม่ใช่เมื่อ 50 ปีก่อน ปล่อยให้ทีมกฎหมายของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช(รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์) ทำงานโดยลำพัง ไม่ปล่อยให้รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ไปสร้างปมปัญหา แล้วตามมาด้วยรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย กดหัวคนไทยไม่ให้รับรู้อะไร

จนกระทั่งถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ไม่มีอภิสิทธิ์จะกระทำการใด ๆ โดยพลการ นอกจาก ทำแบบขอไปที จนเกิดการสู้รบหลายระลอก ทหารและชาวบ้าน เสียหาย ตายเจ็บไปไม่น้อย

ปัจจุบัน ไทยก็ยังไม่ได้เปรียบ เพราะ 1.กัมพูชายึดครองดินแดนรอบเขาพระวิหารเต็มไปหมด แทรกซึมตั้งบ้านเรือนอีกหลายจุดตามแนวชายแดน 2.คนไทยถูกจับ 29 ธ.ค.53 มีขบวนการต่อรองให้ศาลกัมพูชาตัดสินเป็นผิด ซ้ำสกัด วีระ สมความคิดกับ ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ จนหมดเวลาอุทธรณ์คดี

ดูรูปการณ์แล้ว รัฐบาลไทยสู้พลางถอยพลาง สู้แค่ให้เลื่อนวาระกัมพูชาในคณะกรรมการมรดกโลก ส่วนศาลโลก ก็โยนเผือกร้อนจากมือ หลังจากตัวเองแก้ปมไม่ออก แก้ไขไม่ตก

หากไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก รัฐบาลใหม่ก็เตรียมตูมตามได้...ถ้ารัฐบาลใหม่เป็นพรรคเพื่อทักษิณ ที่สนิทสนมกับนายกฯฮุนเซน ได้เจรจาต่อรองอะไรกันไว้ ก็จะปั่นป่วนในประเทศไทย แต่น้ำลายไหลในกัมพูชา

แต่ถ้าผลลัพธ์เป็นคุณต่อประเทศไทย จงรู้ไว้ ไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลเพียว ๆ แต่คือภาคประชาชนได้เกาะติด ค้นคว้า"หัวใจ" ข้อกฎหมายระหว่างประเทศส่งไปคัดค้าน

และต้องให้ระวังให้ดี...เตือนคนชายแดนให้พร้อม เตรียมทหารให้เสร็จสรรพ และต้องดูแลคนไทยชายแดนให้ดีด้วย

เพราะเรื่องนี้ยังไม่สุดทาง เรื่องยาวเรื่องนี้ คือ ทรัพยากรพลังงานในทะเล ดังที่ "ฮุนเซน" ทำปืนลั่นว่า "กัมพูชาและไทยไม่มีพื้นที่ทับซ้อนดินแดนทางบก กัมพูชาและไทยมีพื้นที่ทับซ้อนกันในทะเล" (ทีวีบายน, นสพ.กัมพูชาใหม่ 6 มิ.ย.54) นั่นแล.

Tags : ศาลโลก • คณะกรรมการมรดกโลก • เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กรกฎาคม 2554, 20:23:35
เปิดอีเมลลับกุนซือ “ปู” ซื้อสื่อที่ละ 2 หมื่น พร้อมเลี้ยงข้าว-เหล้า โอดโดน “สาทิตย์” แทรก
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2554 14:50 น.
 

 
 
 
 
 
เปิดอีเมลลับกุนซือ “ปู” ส่งถึง “พงษ์ศักดิ์” รายงานสถานการณ์ด้านสื่อ เผยต้น มิ.ย.ดูแลสื่อสัปดาห์เดียวที่ละ 2 หมื่น พร้อมเลี้ยงข้าว-เหล้า โอดลูกพรรคไม่ค่อยหาเสียง คอยเกาะกระแส “ปู” อย่างเดียว แนะ “ทักษิณ” ช่วย โทรกระตุ้น พ้อพักหลังมีปัญหากับสื่อ เหตุ “สาทิตย์” สั่งทีวีบางช่องงดตามข่าวปู แถม นสพ.บางฉบับ ไม่ค่อยรับเงินแล้ว เตรียมปรับกลยุทธ์ดึงคะแนนช่วงสุดท้าย ให้ “ทักษิณ” ประกาศยังไม่กลับไทย
       
       วันนี้ (30 มิ.ย.) ได้มีผู้ส่งข้อความในอีเมลส่วนตัว 2 ฉบับ ในหัวข้อ “จดหมายถึงท่านพงษ์ศักดิ์” และ “ข้อเสนอ วิม” ไปยังสื่อมวลชนฉบับต่างๆ โดยผู้ส่งใช้ชื่อว่า “วิม” (wim Rungwattanajinda) อีเมล wim108@live.com ส่วนผู้รับชื่อพงษ์ศักดิ์ ใช้อีเมล rukta_ladawan@yahoo.com และ rukta.pong@yahoo.com
       
       โดยอีเมลหัวข้อ “จดหมายถึงท่านพงษ์ศักดิ์” นั้น ส่งเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2554 มีข้อความว่า “สถานการณ์ทางด้านกระแสสื่อที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สถานการณ์คุณปู ยังอยู่ในภาวะที่ดีมาก ซึ่งจะต้องประคองกระแสนี้ให้อยู่ในระดับที่ไม่ตกไปกว่านี้ โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย เนื่องจากผมทราบจากนักข่าวสายประชาธิปัตย์ว่า นอกจากการเปิดแผลโจมตี จากกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่มีสายสัมพันธ์กับประชาธิปัตย์แล้ว ตั้งแต่สัปดาห์หน้าประชาธิปัตย์จะใช้วิธีการทางด้านจิตวิทยา โดยใช้โพลสำรวจสำนักต่างๆ ออกมาสร้างกระแสว่าคะแนนนิยมระหว่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ จะเริ่มใกล้เคียงกัน เพื่อให้สัปดาห์สุดท้าย กระแสของประชาธิปัตย์แซงหน้าเพื่อไทย เพื่อทำให้จิตวิทยาของคนเมืองหันมาเลือกประชาธิปัตย์
       
       สำหรับหน้าที่ ที่ผม และ น้องสุธิศา รับผิดชอบช่วยคุณปูอยู่ในขณะนี้
       1.แจ้งประเด็นให้คุณปู ทราบทุกวันว่าวันนี้มีประเด็นอะไร ประเด็นไหนที่แรง ให้โยนไปให้ทีมคุณนิวัติธำรงค์ ช่วยแนะนำ
       2.เช็กประเด็นจากสื่อมวลชนว่าจะถามอะไรคุณปู เพื่อให้คุณปูเตรียมตัวให้พร้อมที่จะพูด
       3.สร้างประเด็นหรือภาพกิจกรรมในพื่นที่หาเสียงเพื่อให้ได้ภาพหน้า 1 ทุกวัน
       4.ประสานหัวหน้าข่าวและโต๊ะข่าวการเมืองว่าต้องการภาพแบบไหน เพื่อส่งให้ทุกวัน
       5.ประสานสำนักข่าวต่างประเทศเพื่อให้ตามคุณปู ลงพื้นที่เพื่อให้ข่าวคุณปูออกไปทั่วโลก
       6.ประสานสำนักข่าวในประเทศ เพื่อให้พรรค (คุณนิวัตธำรงค์) จัด บุคคลไปตอบคำถามในทีวี
       
       ส่วนเรื่องดูแลสื่อในขณะนี้ ผมพยายามประคองกระแสให้ข่าวและรูปของคุณปูอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ให้ได้ทุกวัน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์หัวสี ไทยรัฐ (พี่โมทย์) มติชน (พี่เปียก กับ พี่จรัญ) ข่าวสด (พี่ชลิต) เดลินิวส์ (พี่ป๊อป สมหมาย) คม-ชัด-ลึก (คุณโจ้ และ ปรีชา ที่มาสัมภาษณ์ ที่บ้านเมื่อสัปดาห์ก่อน) ซึ่งทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ผมช่วยดูแลไปแล้วที่ละ 2 หมื่น ส่วนผู้สื่อข่าว ทีวี ก็ใช้วิธีเลี้ยงข้าวบ้าง เลี้ยงเหล้าบ้าง ยังไม่ได้มีใครเรียกร้องอะไร ยกเว้นช่อง 7 ที่ขอไวน์และเหล้า ส่วนเวลาไปต่างจังหวัด พี่สุณีย์ ก็ให้บ้าง ส่วนที่พรรคไม่เคยให้เลย เคยบอกพี่สาโรจน์ไปแล้ว แต่ก็ไม่มีคำตอบ
       
       สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองในเพื่อไทยในขณะนี้ ผมมองว่า ผู้สมัครไม่ลงพื้นที่หาเสียงเหมือนไทยรักไทยและพลังประชาชน รอกระแสคุณปูกันเพียงอย่างเดียว ทำให้คุณปูเหนื่อยมากทำให้คะแนนที่ได้กลัวว่าจะไม่ถล่มทลาย หากผู้สมัครช่วยลงพื้นที่หาเสียงมากกว่านี้ผมมองว่ากระแสเพื่อไทยถล่มทายแน่นอน ข้อเสนอแนะของผม หากท่านนายกทักษิณ ช่วยโทรกระตุ้นผู้สมัคร ให้ช่วยกันลงพื้นที่ผมว่าน่าจะเป็นแรงผลักดันที่ดีมาก เพราะวันนี้เสียงสะท้อนจากชาวบ้านกว่า 50% พูดป็นเสียงเดียวกันว่าจะเลือกตั้งอยู่แล้วยังไม่เห็นหน้าผู้สมัครเลย
       
       อีกเรืองหนึ่ง คือ นักข่าวต่างประเทศหลายสำนักขอสัมภาษณ์ท่านนายกฯทักษิณ เช่น อาซาฮี ยูมิอูริ เอพี และ ไทยพีบีเอส (ไทย) พร้อมที่จะสัมภาษณ์ แต่ก็รอคำตอบจากท่านอยู่ ในความคิดเห็นส่วนตัว ผมว่าหากท่านอยากให้คุณปูเป็นนายกฯจริง ท่านน่าจะช่วยคุณปู ชี้แจงให้ชัดไปเลยเรื่องการนิรโทษ
       
       เรียนมาเพื่อทราบ
       วิม”
       
       ส่วนอีเมลหัวข้อ “ข้อเสนอ วิม‏” ส่งเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 ข้อความว่า
       “เรียน ท่านพงษ์ศักดิ์
       เรื่อง เนื้อหา คำกล่าวเกี่ยวกับนโยบายกีฬา
       
       ศูนย์การพัฒนากีฬา
       พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการกีฬา เพื่อให้เยาวชนเข้าถึงกีฬาอย่างแท้จริง หากเราได้เป็นรัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการในการก่อสร้างศูนย์การพัฒนากีฬาดังกล่าว โดยศูนย์ดังกล่าวจะต้องมีความพร้อม ทั้งทางด้านโค้ชที่มีชื่อเสียงในการฝึกสอนนักกีฬา เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการพัฒนาร่างกาย บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางรูปร่างให้สามารถแข่งขันกับนักกีฬาต่างประเทศได้ และจะต้องมีบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางที่คอยให้คำปรึกษาและรักษาพยาบาลในกรณีที่นักกีฬาได้รับบาดเจ็บเป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ ศูนย์การพัฒนากีฬาดังกล่าวจะเป็นศูนย์กลางสำหรับกีฬาทุกประเภท เยาวชนที่สนใจกีฬา หรือ นักกีฬาสมัครเล่น ที่มีความสามารถ รัฐบาลก็จะสนับสนุนให้เยาวชนเหล่านั้นเข้าถึงการเรียนรู้ทางเทคนิค และพัฒนาตนเองไปสู่กีฬาอาชีพได้ และศูนย์ดังกล่าวจะเป็นศูนย์กีฬาแห่งแรกของประเทศไทย ที่เยาวชนได้รับการคัดเลือก หรือผ่านเกณฑ์ที่จะพัฒนาไปสู่นักกีฬาสมัครเล่น หรืออาชีพ จะมีที่พักเพื่อการฝึกซ้อมในศูนย์ดังกล่าวและมีเบี้ยเลี้ยงให้กับนักกีฬา
       
       เนื้อหา เพียงบางส่วนที่เกี่ยวกับศูนย์พัฒนากีฬา ที่ผมจะให้คุณปู พูด ในวันพรุ่งนี้ ครับ
       
       เรื่องสถานการณ์ทางการเมือง
       หลังจากการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ราชประสงค์จบลงแล้ว กระแสวันนี้ ไม่มีเสียงตอบรับจากสื่อมวลชน และประชาชนมากเท่าที่ควร สิ่งที่ ปชป.พูดไปเมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่มีผลอะไรเลย ทำให้กระแสของคุณปู ยิ่งแรงมากขึ้น ขณะนี้เริ่มเกิดปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับสื่อสารมวลชน เนื่องจาก สาทิตย์ วงศ์หนองเตย เข้ามาก้าวก่ายการทำงานของบริษัทเอเยนซี ที่ ปชป.จ้างมา ด้วยการสั่งให้ ช่อง 9, TNN, ช่อง 5 และ ช่อง 11 หยุดส่งทีมตามทำข่าวคุณปู ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนหนังสือพิมพ์ มีบางฉบับ ไม่รับเงินเราแล้ว บอกว่า ปชป.บีบ และตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครให้เงินไปดูแลนักข่าวเลย พี่สาโรจน์ บอกว่า จะให้ก็ไม่ให้ รายงานให้พี่ทราบเฉยๆ พี่ไม่ต้องจ่ายแล้ว เพราะหมดไปเยอะแล้ว
       
       อีกเรื่องหนึ่ง อาจเป็นเพียงข้อเสนอที่ไม่มีน้ำหนัก แต่ผมเห็นว่า ประเด็นนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เพื่อไทยและคุณปู ชนะอย่างยิ่งใหญ่ ก็คือ “ผมอยากให้ท่านนายกฯทักษิณ ประกาศ หรือ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ผมจะยังไม่กลับประเทศไทย เพราะผมไม่ต้องการให้รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ต้องอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจ ผมจะกลับประเทศไทยก็ต่อเมื่อผมเห็นสัญญาณแห่งการปรองดองเกิดขึ้น
       
       และให้ท่านประกาศ หรือสัมภาษณ์ออกช่วงวันที่ 30 มิ.ย.54 เพื่อเป็นข่าวช่วงบ่ายและค่ำ ของวันที่ 30 และวันที่ 1 ก.ค.54 ให้คุณปู ย้ำอีกครั้งบนเวที ปราศรัยใหญ่ รับรอง ทะลุ 300 แน่นอน
       
       ส่วนเรื่องสัญญาณของการปรองดอง เราจะเห็นสัญญาณนั้นเมื่อไหร่ ก็เป็นเรื่องของเรา อยู่แล้ว
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 02 กรกฎาคม 2554, 17:11:30

อ๊าว.... น้องตะวัน  คุณปู เพื่อนน้องตะวันไม่ใช่หรือ

ทำไม พูดไม่เป็นหรือ ทำไมน้องตะวันไม่ฝึกพูดให้ล่ะ (ฮา)

พรุ่งนี้จะเป็นนายก ตามเสียงเชียร์ในใจของน้องตะวัน อยู่เเล้ว555555

ปล. รักดอก จึงหยอก  ปูตะวัน เล่น (ฮัดเช๊ยยยยยยย)

ศูนย์การพัฒนากีฬา
       พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการกีฬา เพื่อให้เยาวชนเข้าถึงกีฬาอย่างแท้จริง หากเราได้เป็นรัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการในการก่อสร้างศูนย์การพัฒนากีฬาดังกล่าว โดยศูนย์ดังกล่าวจะต้องมีความพร้อม ทั้งทางด้านโค้ชที่มีชื่อเสียงในการฝึกสอนนักกีฬา เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการพัฒนาร่างกาย บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางรูปร่างให้สามารถแข่งขันกับนักกีฬาต่างประเทศได้ และจะต้องมีบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางที่คอยให้คำปรึกษาและรักษาพยาบาลในกรณีที่นักกีฬาได้รับบาดเจ็บเป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ ศูนย์การพัฒนากีฬาดังกล่าวจะเป็นศูนย์กลางสำหรับกีฬาทุกประเภท เยาวชนที่สนใจกีฬา หรือ นักกีฬาสมัครเล่น ที่มีความสามารถ รัฐบาลก็จะสนับสนุนให้เยาวชนเหล่านั้นเข้าถึงการเรียนรู้ทางเทคนิค และพัฒนาตนเองไปสู่กีฬาอาชีพได้ และศูนย์ดังกล่าวจะเป็นศูนย์กีฬาแห่งแรกของประเทศไทย ที่เยาวชนได้รับการคัดเลือก หรือผ่านเกณฑ์ที่จะพัฒนาไปสู่นักกีฬาสมัครเล่น หรืออาชีพ จะมีที่พักเพื่อการฝึกซ้อมในศูนย์ดังกล่าวและมีเบี้ยเลี้ยงให้กับนักกีฬา
       
       เนื้อหา เพียงบางส่วนที่เกี่ยวกับศูนย์พัฒนากีฬา ที่ผมจะให้คุณปู พูด ในวันพรุ่งนี้ ครับ
       


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 03 กรกฎาคม 2554, 08:44:08
อ๊าว..

คุณปูตะวัน  ไป ไหนจ๊ะ ไม่กลับบ้านเลยนะ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 กรกฎาคม 2554, 10:41:01
แหม..แม่ยก อภิสิทธ์ แซวน่าดูเลยครับ
ผมเชียร์ปูดองเต็มๆเลยครับ
ยังงัยก็ดีกว่า เด็กน้อย ปัญญาอ่อน หุ่นเชิด เทพเทือกละครับ
ฟังดูซิพี่ว่าเขา สติปัญญาด้อยแค่ไหน

เขาหาว่าผมดีแต่พูด ผมพูดจริงทำจริง
ผมบอกว่าจะให้เงินคนชรา เดือนละ 500บาท ผมก็ให้จริงๆ ยังมาว่าผมอีก...ก๊ากๆๆๆๆๆ

เป็นนายก ทำได้แค่เนี้ย...

ตอนที่แดงเผาเมือง..ผมร้องไห้หลายชั่วโมง เมียผมปลอบเท่าไหร่ผมยังไม่หยุด
พอศิริโชค มาบีบสิวให้ ผมหยุดทันที
ผมและแก๊งไอติม สนุกกันมากเลยครับ ตอนอยู่ในราบ 11...55555

ใครว่าผมทำงานช้า..
ผมและ ครม.(ในวันประชุม ครม. นัดสุดท้าย)
ได้ อนุมัติโครงการ 100กว่าโครงการ งบประมาณ แสนกว่าล้าน ภายในเวลา ไม่ถึง 24 ชม.
งวดหน้า ถ้าได้กลับมาเป็น นายกโพเดี้ยมอีก..รับรองว่า จำอนุมัติ 200โครงการ ใน10ชม.แน่นอน...55555

รักดอกจึงหยอกเล่นนะพี่....
วันนี้ไปดองปู และส่งคุณหนูกลับบ้าน..เรียบร้อยแล้วครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 03 กรกฎาคม 2554, 13:14:09
จริงๆ ก็ไม่รังเกียจ พี่ชาย ของปูตะวัน นะหากเขาจะกลับประเทศไทย

เพราะ นึกถึงใจเขาใจเราอยู่เมืองนอกนานก็จะเบี่ย

(เบี่ยภาษาลาว อิสาน เเปลว่า เบื่อ)

ไม่ได้หมายฟามว่า เขาจะได้ตั้งรัฐบาล เเล้ว มาทางเขานะคะ

ไม่ได้ขอข้าวใครกิน อยู่ยโสก็มีนาอยู่สองไร่ ให้ชาวบ้านปลูกฟรีๆ เขาให้มาพอกิน ได้ทุกวัน

รัฐบาลไหนก็ได้ หากทำให้ ทูละกิด พี่เเอ๊ะดีวันดีคืน ก็จะพอจายยยยยยยย

ให้ประชาชนโง่ ต่อไป พี่แอ๊ะชอบ ชอบๆๆๆๆ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 กรกฎาคม 2554, 15:59:46
เสียใจ ใสเจีย กับแม่ยก อภิสิทธื ที่ต้องตกเก้าอี้ หงายหลังตึง
โฮ โฮ โฮ โฮ....น้ำตาท่วมหลังเป็ด.....
พี่แอ๊ะ ผมมีผ้าเช็ดหน้า 7 ผืน ชื่้นไปด้วยน้ำตา ใจอาวรณ์หนักหนา....



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 03 กรกฎาคม 2554, 18:34:51

ใจยินดี เป็นหนักหนา เหลือมาเพียง หนึ่งผืน ให้น้องปูตะวัน ค่า



ยินดี กับน้องปูตะวันนะคะ

น้องตะวัน คงมีความสุข ที่น้องสาวได้เป็นนายกหญิงคนเเรก จุ๊บๆๆๆๆ

เคารพ เสียงของประชาชน ค่ะ

 ว่าเเต่ว่า น้องตะวันอย่าหาเรื่องอีกนะ ให้น้องปูตะวันบริหารให้สะดวกโยธิน

เป็นที่พึ่งพิงของน้องตะวันนะคะ  หุๆๆๆๆๆ 555555

เเดงทั้งเเผ่นดิน ไม่เสียใจเลบ หากประชาชนเป็นเเดงหมดเเล้ว

เเล้วเหลืองตะวันอย่าวุ่นวายอีกนะ

น้องปูจะเดือด ร้อน อิๆๆ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 09:17:59
พี่ตอนนี้ ต้องใช้ยุทธวิธี ใช้ความสงบ สยบความเคื่อนไหว
เมื่อคืนไปนั่งดื่มไวน์ ปรับทุกข์กับเพื่อนๆหัวอกเดียวกัน
ได้ข้อสรุปว่า
1.เน้นการท่องเที่ยว
2.เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
3.ดูละครน้ำเน่า

จะเเคลื่อนไหว หากมีการนิรโทษกรรม ไอ้เหลี่ยม

ว่าแต่ว่า คุณหนูของพี่ กินน้ำบัวบกไปกี่ขวดแล้ว
ไม่อยากซ้ำเติม แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความอ่อนหัดของ หวานใจของพี่ อีโก้ คิดว่าตัวเองเก่ง
ไม่ฟังใคร ไม่รู้จักแยกมิตร แยกศัตรู และไม่มีฝีมือในการบริหาร
พี่น่าจะช่วยแนะนำหน่อย ในฐานะนักธุรกิจ หลายร้อยล้าน ว่าการบริหารมันเป็นจั๋งได่

แต่ตอนนี้เขาควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค
รวมทั้งไอ้ จรกา หน้าดำ ที่แสนเลว ที่ควรลาออกจาก เลขาฯพรรค เหมือนสมัยที่ บัญญัติลาออก


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 กรกฎาคม 2554, 20:48:58
"สัญญาประชาคม" ที่พรรคเพื่อไทย โดยยิ่งลักษณ์ประกาศไว้ที่เวทีราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อ 1 ก.ค.2554 ดังนี้..
.
 ๑.สร้างเขื่อนกั้นทะเลสมุทรสาคร-สมุทรปราการ... ๒.ปรับปรุง ๒๕ ลุ่มน้ำ-ดึงน้ำจากพม่า-ลาว-กัมพูชา...
 ๓.สร้างรถไฟฟ้า ๑๐ สาย ใน กทม.เก็บ ๒๐ บาท... ๔.ทำรถไฟรางคู่เชื่อมชานเมือง... ๕.ทำแลนด์บริดจ์ภาคใต้...
 ๖.ขจัดยาเสพติดใน ๑๒ เดือน/ขจัดความยากจนใน ๔ ปี... ๗.พักหนี้ครัวเรือนที่ต่ำกว่า ๕ แสนบาท อย่างน้อย ๓ ปี...
 ๘.๓๐ บาทรักษาทุกโรคได้จริง... ๙.งบฯ องค์กรท้องถิ่น ๒๕ เปอร์เซ็นต์... ๑๐.จำนำข้าวเปลือก ๑๕,๐๐๐ บาท...
๑๑.แจกเครดิตการ์ดให้เกษตรกร... ๑๒.ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ ๒๐% ในปี ๒๕๕๖...
 ๑๓.ตั้งกองทุนตั้งตัวให้นักศึกษา ๑,๐๐๐ ล้านบาท... ๑๔.ตั้งกองทุนร่วมทุนทุกจังหวัด...
 ๑๕.คืนภาษี-เพิ่มค่าลดหย่อนให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรก... ๑๖.คืนภาษีให้ผู้ซื้อรถคันแรก...
๑๗.ยกเลิกกองทุนน้ำมัน... ๑๘.แจกแท็บเลต พีซี ให้เด็กนักเรียน... ๑๙.ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ภายใน ๙๐ วัน...
 ๒๐.จบปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น ๑๕,๐๐๐ บาท... ๒๑.ทำสนามบินสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการบิน...
 ๒๒.ฟรีอินเทอร์เน็ตในที่สาธารณะ... ๒๓.จัดตั้งกองทุนทรัพย์สินของชาติ...
 ๒๔.ชายแดนใต้ ๓ จว.เป็นเขตปกครองพิเศษ... ๒๕.จัดศูนย์ฝึกในอาชีวศึกษาทุกแห่ง...

เรามาช่วยกันติดตามทวงถามสัญญานี้กันไปเรื่อยๆนะพี่น้องดาวแดงนะ



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 กรกฎาคม 2554, 19:30:39

หลงตัวเอง
จาก นสพ.ไทยรัฐ

ทันทีที่ทราบผลการเลือกตั้งด้วยความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ก็ประกาศยอมรับผล เปิดทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 จัดตั้งรัฐบาลในฐานะนายกฯ พร้อมทั้งอวยพรให้ประสบความสำเร็จ

รุ่งขึ้นอีกวันก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อแสดงความรับผิดชอบทางสปิริต อันเป็นวัฒนธรรมการเมืองที่ดีงาม

เมื่อหัวหน้าพรรคลาออก ย่อมมีผลทำให้กรรมการบริหารพรรคต้องพ้นจากตำแหน่งต่อไปด้วย ซึ่งจะต้องมีการเลือกหัวหน้าคนใหม่ภายใน 90 วัน
และที่แน่นอนก็คือ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการพรรคด้วย

ทั้งนี้ หลังพ้นจากตำแหน่ง นายสุเทพยืนยันว่าจะไม่ขอเป็นเลขาธิการพรรคอีกแล้ว เพราะเหนื่อยมามากแล้ว

จากนี้ไปจึงอยู่ที่สมาชิกพรรคจะเลือกใครเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่และผู้นำคนใหม่จะเลือกใครเป็นเลขาธิการพรรค

“อภิสิทธิ์” ยังมีสิทธิคืนเก้าอี้หรือไม่ ยังมีความเป็นไปได้

แต่จะเลือกใครเป็นเลขาธิการพรรคไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน แม้ประชาธิปัตย์จะมีบุคลากรที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้หลายคน แต่ใครจะเหมาะสมนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากการเป็นเลขาธิการพรรคนั้นต้องครบเครื่องจริงๆ

ยิ่งเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆนั้นไม่ใช่ใครก็เป็นได้

ประชาธิปัตย์ต้องกลับมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านตามถนัดอีกครั้งหนึ่ง และนายอภิสิทธิ์ก็คงจะได้พักใจและมีเวลาที่จะได้กลับมานั่งคิดนอนคิดจากบทเรียนการทำงานการเมืองที่ผ่านมา และคงไม่ใช่แค่นายอภิสิทธิ์เท่านั้น ทุกคนในพรรคก็เช่นกัน

เพื่อสำรวจตัวเองถึงความผิดพลาด บกพร่องต่างๆที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา ทำไมไม่สามารถเอาชนะพรรคคู่แข่งได้แม้แต่ครั้งเดียว

ถ้าไม่แพ้วันนี้ก็คงจะไม่ได้รู้

สิ่งที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งก็คือประชาธิปัตย์ แม้จะเป็นพรรคเก่าแก่ยาวนานจนเป็นสถาบันการเมืองสำคัญของประเทศไทย แต่ปรากฏว่าจะอยู่ในฐานะฝ่ายค้านมากกว่าเป็นรัฐบาล ตรงนี้แหละคือสิ่งที่ประชาธิปัตย์มีความภาคภูมิใจ

จนกระทั่งละเลยเพราะมั่นใจในตัวเองสูงถึงขั้นหลงตัวเอง ในฐานะพรรคการเมืองเก่าแก่ โดยไม่พยายามที่จะสำรวจตัวเองว่าทำไมถึงต้องเป็นเช่นนี้
นี่คือประเด็นสำคัญยิ่ง

การได้บริหารประเทศมา 2 ปีกว่า โดยนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ถามว่ามีอะไรใหม่หรือไม่ ไม่มีจริงๆ แม้การได้ผู้นำซึ่งเป็นคนหนุ่ม มีการศึกษาดี มีความซื่อสัตย์สุจริต แต่ไม่สามารถบริหารประเทศให้ได้รับการยอมรับจากประชาชนได้แม้โอกาสจะเปิดให้แล้วก็ตาม

มีเวลาที่จะลงรากลึกไปสู่มวลชนระดับล่าง ซึ่งมีจำนวนมากและเป็นฐานเสียงสำคัญ แต่ก็ปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย คิดแต่เพียงว่าคนใต้ให้การสนับสนุนก็อุ่นใจแล้ว

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือแนวคิดและนโยบายเพื่ออนาคตของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นเข็มทิศสำคัญที่จะต้องสร้างขึ้นมา อันจะทำให้คนไทยเกิดความรู้สึกยอมรับว่านี่คือพรรคการเมืองที่จะเข้ามาสร้างชาติแปงเมืองได้

การคิดแต่เรื่อง “ประชานิยม” เพื่อหวังผลแค่การเลือกตั้งให้ผ่านพ้นไปแต่ละครั้ง จึงไม่เพียงพอที่จะสร้างกระแสนิยมได้ ข้อสำคัญก็คือทำให้เห็นว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากลอกแบบเขามาเท่านั้น

หากประชาธิปัตย์ยังไม่ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงการทำงานการเมืองที่พุ่งเป้าไปสู่ประชาชนอย่างเป็นระบบและรูปธรรมที่สามารถแตะต้องสัมผัสได้ ในฐานะพรรคการเมืองที่จะเข้าไปบริหารประเทศอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลก็คงจะได้แค่เนี่ยแหละ

เป็นฝ่ายค้าน บ้าการเมืองและดีแต่พูดเท่านั้น.





หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 กรกฎาคม 2554, 19:32:29

ยังไม่สายเกินแก้
จาก นสพ.ไทยรัฐ

การที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งแบบถล่มทลายต่อพรรคเพื่อไทยนั้นก็เพราะกระแสตกต่ำในห้วง 6 เดือนสุดท้ายนี่แหละครับ...นั่นคือความเป็นจริงที่คนประชาธิปัตย์จะต้องยอมรับและพร้อมที่จะเดินหน้าเพื่อปฏิรูปพรรคอย่างเป็นจริงเป็นจัง

กอปรกับการหาเสียงที่ล้าสมัย ตามไม่ทันโลก ไม่ทันสถานการณ์ต่างกับพรรคเพื่อไทยที่ใช้การตลาดและหลักวิชาการเป็นองค์ประกอบ

อีกทั้งประเด็นใหญ่ๆจริงก็คือ “นโยบาย” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งที่ประชาธิปัตย์ไม่มีอะไรใหม่ ขาดความกล้าคิด หรือจินตนาการ

นั่นเพราะไม่เคยสร้าง “นักคิด”-“นักวิจัย”-“นักวิเคราะห์” ด้วยทีมงานวิชาการเพื่อสร้างนโยบายอย่างต่อเนื่อง

“นโยบาย” ที่ออกมาจึงไม่มีอะไรใหม่ ซ้ำยังไปลอกเขามาอีก

อย่างไรก็ดี แม้จะต้องทำหน้าที่ฝ่ายค้านซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพร้อมที่จะเป็นรัฐบาล ก็ต้องเปลี่ยนแปลง

แนวคิดและแนวทางของพรรคคู่ขนานไปด้วย ไม่ใช่ไปคิดไปทำเอาในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น

เหนืออื่นใด การทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้านรวมกับพรรคการเมืองอีก 5 พรรค เพราะพรรคประชาธิปไตยใหม่ที่มี 1 เสียงไปเสียแล้ว โดยไปเติมเต็มให้รัฐบาลเป็น 300 เสียง

แต่หากดูฝ่ายค้านในยุคนี้ที่มีประชาธิปัตย์ มีภูมิใจไทย นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นตัวชูโรง ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเหมือนกันในจำนวน 200 เสียง

แน่นอนว่าประชาธิปัตย์นั้นทำหน้าที่ฝ่ายค้านมาหลายยุคหลายสมัยและน่าจะพูดได้ว่ามีความถนัดเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีนักพูดฝีปากเก่งเป็นจำนวนมาก  จึงอยู่ที่ว่าจะทำการบ้านเพื่อติดตามการทำงานของรัฐบาลได้ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน

เพียงแต่ว่าไม่ใช่แค่พูดเก่งหรือคิดประเด็นการเมืองเท่านั้น  แต่ในเชิงนโยบาย เชิงวิชาการ รวมถึงข้อเสนอแนะและทางออกที่เป็นรูปธรรมก็ต้องควบคู่ไปด้วยเพื่อแสดงให้เห็นว่ารู้จริงและสามารถทำได้ดีกว่า

ยิ่งการทุจริตคอรัปชันที่ผู้คนสนใจก็ต้องมีข้อมูลแบบเกาะติด

นี่คือสิ่งที่จะทำให้ฝ่ายค้านหรือประชาธิปัตย์ได้รับการยอมรับจากประชาชนในลักษณะที่สร้างสรรค์และทำให้เกิดความเชื่อมั่น

ไม่ใช่ค้านเก่งแต่บริหารไม่ได้เรื่อง

จำได้หรือไม่เมื่อสมัยรัฐบาล “ทักษิณ” ที่แม้ประชาธิปัตย์จะเก่งกาจแค่ไหนแต่ก็ตามไม่ทันสักก้าว ไม่ว่าจะเรื่องนโยบาย การบริหารงานสมัยใหม่ การทุจริตคอรัปชันที่แยบยล การใช้อำนาจและการขยายอาณาจักรอย่างก้าวกระโดด

พูดง่ายๆว่าประชาธิปัตย์ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

แต่เพราะ “ทักษิณ” มาตายเรื่องหุ้น “ชินคอร์ป” หรือจะพูดว่าตายเพราะตัวเอง ทำให้คนไทยตื่นตัวขึ้นมาต่อสู้กันเอง

“ประชาธิปัตย์” จึงเล่นได้แค่ตัวประกอบเท่านั้น

เป็นการทำหน้าที่ฝ่ายค้านแบบยอมจำนนมากกว่า เนื่องจากมีเสียงสนับสนุนน้อยและตามเกมไม่ทัน ดังนั้น แม้จะเลือกตั้งกี่ครั้งก็สู้ไทยรักไทย พลังประชาชน หรือเพื่อไทยไม่ได้

ดีที่เกิดความพลิกผันทางการเมือง จึงมีโอกาสได้เป็นนายกฯ ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็สามารถสร้างความนิยมและความพึงใจเป็นกระแสให้คนส่วนใหญ่หันมาให้การสนับสนุน เหลือก็แค่ของเก่าและของเก่าหันไปสนับสนุนคู่แข่งเสียอีก

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังเป็นคนหนุ่ม เป็นผู้นำที่แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ธรรมดา เพียงแต่ต้องปรับปรุงตัวเองจากบทเรียนที่ผ่านมา เพื่อขยายการยอมรับจากคนระดับชั้นสูง ชั้นกลาง และระดับล่าง ซึ่งเป็นรากใหญ่ของประเทศ

แนวคิด การทำงาน นโยบาย ท่าที และต้องติดดินอีกด้วย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 กรกฎาคม 2554, 20:01:35
จำลอง” ยื่น กกต.ระงับประกาศผลเลือกตั้ง ชี้บางพรรคเข้าข่ายจูงใจ   
 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 กรกฎาคม 2554 17:27 น.
 
 “พล.ต.จำลอง” ยื่นหนังสือ กกต.ขอระงับประกาศผลการเลือกตั้ง ชี้ การเลือกตั้ง 3 ก.ค.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขู่ฟัองศาลปกครองล้มการเลือกตั้ง ชี้ บางพรรคการเมืองประกาศนโยบายผิดกฎหมายเข้าข่ายจูงใจ สัญญาว่าจะให้ จี้เร่งสอบสวนเอาผิด ขณะที่ “แซมดิน” ร้องคัดค้านการประกาศบัญชีรายชื่อเพื่อไทย
       
 วันนี้ (11 ก.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) พร้อมด้วย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่ม พธม.เข้ายื่นคำร้องขอให้ กกต.ระงับการประกาศผลการเลือกตั้ง และประกาศให้บัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้พรรคการเมืองในแบบบัญชีรายชื่อ เป็นบัตรเสีย มิให้นับเป็นคะแนนในการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 3 ก.ค.
       
       โดย พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เป็นไปโดยสุจริต เพราะมีการทุจริตเลือกตั้งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 72 ที่ระบุว่า รัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวกเลือกตั้ง แต่ตนและผู้เสียหายกว่า 2 ล้านคน เสียสิทธิเลือกตั้ง ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 ก.ค.ได้ เนื่องจากเคยลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2550 ดังนั้น หากในวันที่ 12 ก.ค.นี้ กกต.ยืนยันประกาศผลการเลือกตั้งตนจะไปยื่นฟ้อง กกต.ทั้งคณะต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และจะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาให้ดำเนินคดีกับ 5 กกต.ด้วย
       
       ด้าน นายปานเทพ กล่าวว่า ตามมาตรา 110 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 กำหนดให้ กกต.หากเห็นว่า การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม กกต.สามารถประกาศให้การลงคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเป็นบัตรเสียทั้งหมดได้ เพื่อดำเนินการจัดการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังพบความผิดปกติของการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ 4 ประการ ที่อาจนำทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ดังนี้ 1.กรณีผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้เสียสิทธิเลือกตั้ง กว่า 2 ล้านคน เพราะไม่ได้แจ้งยกเลิกการลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัดเมื่อปี 2550 เพราะ พล.ต.จำลอง เคยไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.โดยที่ไม่ต้องแจ้งยกเลิกการลงทะเบียน และการเลือกตั้งครั้งนี้เขตเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปแต่ก็ไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ ถือว่าเป็นสองมาตรฐาน
       
       2.บัตรเลือกตั้งทั้ง 2 แบบมีจำนวนไม่เท่ากันเป็นจำนวนมาก 3.กรณี 5 พรรคการเมืองประกาศนโยบายในลักษณะสัญญาว่าจะให้ซึ่งถือเป็นการจูงใจให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งที่คิดเป็นเม็ดเงินเข้าข่ายกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง และ 4.การให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง มีอิทธิพลและสั่งการในพรรคการเมือง เช่น ทักษิณคิดเพื่อไทยทำหรือพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน และพรรคพลังชลที่ปล่อยให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมาเกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง โดยเหตุผลดังกล่าวกกต.ไม่ควรที่จะประกาศผลการเลือกตั้งส.ส. ซึ่งหากกกต.ยืนยันประกาศผลการเลือกตั้งก็อาจจะทำให้ซ้ำรอยการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 ได้
       
       ขณะที่ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เลขาธิการพรรเพื่อฟ้าดิน มายื่นต่อ กกต.ในนามผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อฟ้าดิน ขอให้ กกต.งดการรับรองผลการเลือกตั้งบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และดำเนินการยุบพรรค ด้วยเหตุผล ว่า พรรคเพื่อไทยปล่อยให้ผู้มีความผิดอาญาโทษร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง การก่อการร้าย และความผิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เป็นผู้สมัครของพรรค มีการร่วมกับกลุ่ม นปช.เสื้อแดงปลุกระดมให้คนมาชุมนุมเพื่อกดดันให้ยุบสภา โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองโฟนอินเข้ามาเกี่ยวข้อง และ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นพี่ชาย นส.ยิ่งลักษณ์ และให้สัมภาษณ์ว่าเป็นโคลนนิ่งของตน ซึ่งสอดคล้องกับการหาเสียงที่ว่า “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” แสดงถึงความเกี่ยวข้องทางการเมืองทั้งที่เป็นบุคคลที่ถูกตัดสิทธิ์
       
       ร.ต.แซมดิน ยังกล่าวอีกว่าในกรณีการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงราว 1,000 แห่ง โดยนายดอน ชัยนาปุน ผู้นำกลุ่มเสื้อแดงอุดรให้สัมภาษณ์ยอมรับกับสื่อต่างประเทศนั้น เกิดขึ้นระหว่างมีกฤษฎีกาการเลือกตั้ง ถือเป็นการใช้อิทธิพลควบคุมการหาเสียงล่วงหน้า นอกวิถีทางในการได้มาซึ่งอำนาจที่บรรญัตติไว้ตามรัฐธรรมนูญและขัด พ.ร.บ.พรรคการเมือง
       
       โดยหนังสือดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้
       
       เรียน คณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้าพเจ้า พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ ๕ กรุงเทพมหานคร มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ ๕๘๐/๒ ซอยสงวนสุข ถนนพระราม ๕ แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๑ ใคร่ขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติในมาตรา ๒๓๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเนื่องมาจากการดำเนินการจัดการเลือกตั้งที่ผิดพลาดและมีการกระทำอันทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปทั้งในระบบเขตเลือกตั้งและระบบบัญชีรายชื่อ เมื่อวันที่ ๓ กรกฏาคม ๒๕๕๔ มิได้เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม และเนื่องด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เสนอข่าวต่อสาธารณะว่าจะดำเนินการประกาศผลการเลือกตั้งภายในวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔ นี้ ข้าพเจ้าขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งระงับการประกาศผลการเลือกตั้งไว้ก่อนและดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดให้เป็นที่ยุติเสียก่อน และดำเนินการประกาศให้บัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้พรรคการเมืองในระบบบัญชีรายชื่อเป็นบัตรเสียมิให้นับเป็นคะแนนในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งคัดค้านการเลือกตั้งที่มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมและขอให้สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
       
       ๑.การบริการจัดการเลือกตั้งที่ผิดพลาดทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
       ๑.๑ การดำเนินการบริหารจัดการเลือกตั้งที่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา ๗๒ วรรคสามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้เป็นจำนวนมาก
       
       หากคณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณาตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๗๒ วรรคสาม ที่กำหนดหลักการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ประกอบกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๑พุทธศักราช ๒๕๕๔ ที่ได้แก้ไขที่ให้มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และที่มา รวมทั้งกำหนดเขตเลือกตั้งใหม่ โดยแต่เดิมในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวน ๔๘๐ คน มีที่มาจากการเลือกตั้งในระบบเขตเลือกตั้ง ๔๐๐ คน และการเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ ๘๐ คน และมีการแบ่งเขตให้ในระบบเขตเลือกตั้ง ได้ไม่เกินเขตละ ๓ คน ส่วนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อให้แบ่งบัญชีรายชื่อเป็น ๘ บัญชี ในแต่ละพรรคและแบ่งเขตเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อออกเป็น ๘ เขตเลือกตั้ง ตามกลุ่มจังหวัดออกเป็น ๘ กลุ่มจังหวัดๆ ละ ๑๐คน ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๑ พุทธศักราช ๒๕๕๔ ได้เปลี่ยนแปลงหลักการดังกล่าวส่งผลต่อจำนวน สมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรและจำนวนเขตเลือกตั้ง โดยเปลี่ยนให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วย เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน ๕๐๐คน มีที่มาจากการเลือกตั้งระบบเขตเลือกตั้งจำนวน ๓๗๕ คน และจากการเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อจำนวน ๑๒๕ คน โดยมีการแบ่งเขตเลือกตั้งให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถลงคะแนนเลือกตั้ง ได้ ๑ คน ต่อเขต และในส่วนสมาชิกในระบบบัญชีรายชื่อได้ใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ส่งผลให้เขตเลือกตั้งในระบบใหม่มีจำนวนเขตเลือกตั้งในระบบเขตมากขึ้นและมีพื้นที่เล็กลง และเขตเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อใหญ่ขึ้นแต่เหลือเพียงเขตเดียว เท่ากับมีการเปลี่ยนเขตเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด ทำให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ใช้สิทธิในเขตเลือกตั้งเดิมอีกต่อไปโดยผลของการแก้ไขบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
       
       เมื่อการเลือกตั้งเป็นสิทธิทางการเมืองขั้นพื้นฐาน การตัดสิทธิเลือกตั้งหรือการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องเป็นไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย แต่การวินิจฉัยของคณะกรรมการเลือกตั้งเกี่ยวกับการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งดังกล่าว ที่วินิจฉัยตามมาตรา 97 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่วินิจฉัยว่าหากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่ได้ไปลงทะเบียนเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งต้องกลับไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ณ ที่ตนได้เคยขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตไว้ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทำให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ ในวันการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ได้ การวินิจฉัยดังกล่าวของคณะกรรมการการเลือกตั้งจึงมีลักษณะการเลือกปฏิบัติที่แตกต่างกันในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปกับการเลือกตั้งซ่อมแทนตำแหน่งที่ว่างและไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเพราะขัดต่อหลักการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตาม มาตรา ๘๒ วรรคสามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพราะหากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปนั้นต้องให้ประชาชนไปดำเนินการลงทะเบียนขอเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิเลือกตั้งก่อน รายชื่อจึงจะกลับเข้าไปอยู่ในเขตเลือกตั้งเดิมที่ตนมีสิทธิ แต่ส่วนการเลือกตั้งซ่อมแทนตำแหน่งที่ว่างที่เกิดขึ้น เช่น ที่กรุงเทพมหานคร และในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ รายชื่อของผู้ขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตได้กลับเข้าไปอยู่ในเขตเลือกตั้งทันทีไม่ต้องมีการลงทะเบียนเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเกิดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปปรากฎว่า รายชื่อของบุคคลดังกล่าวต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตทันที ก่อให้เกิดความไม่เสมอภาค เลือกปฏิบัติ และไม่สม่ำเสมอในการใช้สิทธิเลือกตั้ง ขัดต่อหลักการที่องค์กรของรัฐทุกองค์กรยึดถือปฏิบัติตามมาตรา ๒๖ และมาตรา ๒๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การวินิจฉัยดังกล่าวก่อให้เกิด “ผลประหลาด” ในทางกฎหมายที่บรรพตุลาการและนักนิติศาสตร์ยึดถือว่าต้องห้ามมิให้เกิดผลเช่นนั้น นอกจากนี้หากพิจารณาจำนวนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนเลือกตั้งนอกเขตและนอกราชอาณาจักรตามที่กล่าวมาข้างต้นที่คาดว่าจะไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้ง เพราะลงทะเบียนไปใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตในปี ๒๕๔๐ จำนวน ๒,๐๙๕,๔๑๐ คน และ ๘๐,๑๖๑ คน ตามลำดับ คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องสืบสวน สอบสวน และวินิจฉัยชี้ขาดในกรณีนี้เสียก่อน เพื่อตอบต่อประชาชนอย่างถูกต้องว่า มีจำนวนเท่าใดที่มีการขอลงทะเบียนเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิ เพราะหากไม่สามารถตอบต่อประชาชนได้ หรือหากปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีประชาชน จำนวน ๒,๑๗๕,๕๗๑ คน ไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ จะส่งผลต่อคะแนนการเลือกตั้งที่มีผู้ลงทะเบียนในหลักหมื่นจนถึงหลักแสนคนในจังหวัดต่างๆ จำนวนไม่น้อยกว่า ๒๑ จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร ที่มีจำนวน ๙๐๓,๘๙๙ คน ซึ่งหากบุคคลเหล่านี้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะส่งผลต่อการเลือกตั้งในทุกเขตอย่างแน่นอนเพราะบางเขตเลือกตั้งมีคะแนนแตกต่างกันไม่มาก และหากพิจารณาถึงจังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนเกินหลักหมื่นขึ้นไป จะส่งผลกระทบต่อความสุจริตและเที่ยงธรรมในการดำเนินการจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
       
       1.2. จำนวนบัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งกับบัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้ราษฎรแบบบัญชีรายชื่อไม่เท่ากันในหลายจังหวัดส่งผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
       
       ตามที่นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า เกิดปัญหากรณีบัตรเลือกตั้งมีจำนวนไม่เท่ากันระหว่างบัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตกับแบบบัญชีรายชื่อที่แตกต่างกันไม่น้อยกว่า ๘๓,๒๒๒ ใบ โดยมีบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อมากกว่า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ เพราะจำนวนประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่น่าจะแตกต่างกันมาก และมีผลถึง ๕-๖ จังหวัด สะท้อนถึงการการกระทำที่อาจไม่สุจริตที่ทำให้จำนวนบัตรเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อสูงขึ้นเพื่อหวังผลให้ได้รับการเลือกตั้งก็เป็นได้ ส่งผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและ จึงเป็นเรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดโดยพลัน
       
       ๒.พรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ ๓ กรกาคม ๒๕๕๔ กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐
       
       นับแต่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ปรากฏการกระทำของพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งที่กระทำการอันมีลักษณะ”สัญญาว่าจะให้” ตามมาตรา ๕๓ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งบัญญัติไว้ดังนี้
       
       “มาตรา ๕๓ ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
       
       (๑) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ แก่ผู้ใด
       (๒) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม แก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถาบันการศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด
       (๓) ทำการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่าง ๆ
       (๔) เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
       (๕) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
       ความผิดตาม (๑) หรือ (๒) ให้ถือว่าเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้
       
       เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติมาตรา ๕๓(๑)และ (๒) แล้ว ปรากฎการกระทำความผิดในลักษณะ “สัญญาว่าจะให้” ในรูปแบบการกล่าวอ้างว่าเป็นนโยบายในลักษณะประชานิยม ซึ่งที่จริงแล้วการกระทำดังกล่าวไม่เข้าลักษณะของการกำหนดนโยบายแต่ประการใด แต่เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายเป็นการกระทำที่เข้าลักษณะ “สัญญาว่าจะให้” ด้วยเหตุผลว่า
       
       1.คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติ ครั้งที่ ๔๖/๒๕๕๔ วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔วางหลักการเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของกระทรวงทบวงกรม อย่างต่อเนื่อง เช่น นโยบายปฏิรูปการศึกษา นโยบายเรียนฟรี ๑๕ ปีอย่างมีคุณภาพ หรือนโยบาย ๖ คุณภาพ สามารถกระทำได้ แต่การดำเนินการดังกล่าวจะต้องระมัดระวังมิให้มีการกระทำใดที่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๑ ประกอบระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อการใดซึ่งส่งผลต่อการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๑ และมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐
       
       มติดังกล่าวเป็นมติที่แสดงให้เห็นว่าถึงแม้นโยบายที่มีการกำหนดไว้แล้วและถูกนำมาปฏิบัติในระหว่างการเลือกตั้ง หากดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างไม่ระมัดระวังแล้วอาจส่งผลต่อการกระทำการในลักษณะที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้ อันแสดงให้เห็นว่าหากการดำเนินการตามนโยบายอาจเข้าข่ายของการกระทำผิดในลักษณะ “สัญญาว่าจะให้” ได้
       
       2.การกำหนดนโยบายประชานิยมที่มีลักษณะเป็นการให้สิทธิหรือประโยชน์อันสามารถคำนวณได้ในรูปแบบของตัวเงินหรือทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเฉพาะกลุ่ม โดยที่ไม่มีหลักการในทางวิชาการที่จะสนับสนุนว่าการดำเนินการดังกล่าวจะสามารถกระทำได้หรือสามารถเล็งเห็นได้ว่าการดำเนินการในเรื่องส่งผลกระทบตามความมั่นคงของชาติในด้านต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของรัฐอย่างร้ายแรง การกำหนดดังกล่าวไม่ใช่การกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินตามอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารตามกฎหมาย แต่เป็น “สัญญาว่าจะให้” อันเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐
       
       3.การกำหนดนโยบายประชานิยมที่มีลักษณะของการให้ประโยชน์อันสามารถคำนวณเป็นเงินได้ในรูปตัวเงินหรือทรัพย์สิน ในกิจการที่เอกชนดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีปัญหาในการแข่งขัน การผูกขาดหรือก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน โดยให้ประโยชน์ในลักษณะสร้างความนิยมจากการให้ โดยไม่มีเหตุผลเพียงพอในการเข้าไปดำเนินการในกิจการดังกล่าวและหวังเพียงให้เกิดความนิยมในระหว่างการเลือกตั้ง เป็นการนำงบประมาณของรัฐที่มาจากภาษีของประชาชนไปแจกจ่ายโดยไม่มีสะท้อนต่อประโยชน์ที่ได้รับอย่างคุ้มค่าของผู้เสียภาษีกับผู้รับประโยชน์จากนโยบายที่กำหนดดังกล่าว
       
       4.การกำหนดนโยบายประชานิยมที่เป็นการตั้งมูลค่าของตัวเงินหรือให้ผลประโยชน์อันสามารถคำนวณเป็นเงินหรือทรัพย์สินให้แก่ประชาชน โดยไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดถึงวิธีการดำเนินการว่าจะกระทำให้ได้ผลตามที่กำหนดหรือไม่
       
       เมื่อประมวลนโยบายที่มีการประกาศจะดำเนินการของพรรคการเมืองตามนโยบายที่ประกาศ และการประกาศในการหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ แล้ว พบว่า มีพรรคการเมืองที่มีการประกาศนโยบายในลักษรที่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายในลักษณะ “สัญญาว่าจะให้” อันเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะนนให้แก่พรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมือง ดังนี้
       
       (1)พรรคเพื่อไทย หมายเลข ๑
       - สร้างคอนโด และแฟล็ตให้คนรุ่นใหม่ หรือคนจากต่างจังหวัดที่ไม่มีที่อยู่ สามารถเช่าในราคาถูก เดินทางถูก ค่าเช่าประมาณเดือนละพันกว่าบาท
       - พักหนี้ครัวเรือนที่ต่ำกว่า ๕ แสนบาท อย่างน้อย ๓ ปี
       - คืนภาษีและเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรก โดยลดภาษีให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรก เช่นภาษีค่าโอน และยังเพิ่มค่าลดหย่อนเป็น ๕ แสนบาท
       - คืนภาษีให้กับผู้ซื้อรถคันแรก อย่างเช่น รถราคา ๕ แสนบาท จะได้คืนภาษี ๑ แสนบาท ราคาก็จะเหลือประมาณ ๔ แสนบาท โดยต้องถือครองรถคันนี้ไม่น้อยกว่า ๕ ปี จึงจะขายต่อได้ หากขายต่อภายใน ๕ ปีแรกจะไม่ได้รับคืนภาษี
       - ดำเนินการแจกแทบเล็ต พีซี ให้เด็กไปโรงเรียนทุกคน โดยซึ้อแทบเล็ตจากประเทศจีนหรืออินเดียราคาเพียง ๕-๖,๐๐๐ บาท และแจกเพียง ๘๐๐,๐๐๐ เครื่องสำหรับ ป. ๑ เท่านั้น
       - โครงการรับจำนำข้าวเปลือกตันละ ๑๕,๐๐๐ บาท และข้าวหอมมะลิตันละ ๒๐,๐๐๐ บาท
       
       (๒) พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน หมายเลข ๒
       - ดูกีฬานานาชาติ ถ่ายทอดตลอด ๒๔ ชั่วโมงฟรี
       - พัก ลด ปลดหนี้ให้เกษตรกรไทยกรณีที่เกษตรกรมีหนี้สินเกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้พักหนี้เงินต้นในส่วนที่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ ปี โดยกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรฯ จะรับโอนหนี้สินเกษตรกรที่มีหนี้ไม่เกิน ๓๐๐๐๐๐ บาท ไว้ร้อยละ ๕๐ และส่วนที่เหลือให้เกษตรกรผ่อนชำระ ซึ่งหากชำระได้ตามกำหนดเวลา ส่วนที่กองทุนฟื้นฟูรับโอนหนี้เกษตรกรจะผ่อนชำระคืนให้กองทุนโดยไม่มีดอกเบี้ย - ขยายวงเงินสินเชื่อเพื่อเกษตรกรเป็น ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้เป็นวงเงินกับเกษตรกรรายละ ๕๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นทุนสำหรับให้เกษตรกรนำไปซื้อปุ๋ยและสิ่งจำเป็นอื่นๆ ผ่าน
       ธ.ก.ส. - พืชพันธุ์ดีแจกฟรีเกษตรกรทั่วไทย พัฒนาสายพันธุ์พืชให้มีความแข็งแรง ทนทาน และจัดให้มีกล้าไม้อย่างเพียงพอพร้อมแจกฟรีให้กับเกษตรกรยากจนทั่วไทย
       - เริ่มทำงาน ๕ ปีแรก ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่เริ่มต้นชีวิตการทำงานมีโอกาสออมเงินและตั้งหลักในชีวิต
       - แก้หนี้ทั้งในและนอกระบบให้แก่ผู้ใช้แรงงานไทย รัฐจะรับโอนหนี้สินที่ผู้ใช้แรงงานมีหนี้สินเกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้พักหนี้เงินต้นในส่วนที่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ ปี โดยจะจัดให้มีกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพแรงงาน ซึ่งกองทุนฯ จะรับโอนหนี้สินแรงงานที่มีหนี้ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ไว้ร้อยละ ๕๐ และส่วนที่เหลือให้แรงงานผ่อนชำระ ซึ่งหากชำระได้ตามกำหนดเวลา ส่วนที่กองทุนฟื้นฟูรับโอนหนี้แรงงานจะผ่อนชำระคืนให้กองทุนโดยไม่มีดอกเบี้ย
       - คูปองสุขภาพ ๕,๐๐๐ บาท โดยจัดทำคูปองเล่มละ ๕๐ ใบ ใบละ ๑๐๐ บาท แจกจ่ายให้กับผู้ที่ยังไม่อยู่ในระบบประกันสังคมเพื่อใช้เป็นแรงจูงใจให้แรงงานและเกษตรกรที่ยังไม่อยู่ในระบบใช้เป็นเงินสมทบสำหรับส่งเป็นเงินประกันสังคมรายเดือน โดยให้ผู้ประกันตนใหม่จ่ายสมทบอีก ๕๐ บาทต่อคูปอง ๑ ใบ
       - พัก ลด ปลดหนี้ครู ด้วยกองทุนครูพัฒนาชาติ รัฐจะรับโอนหนี้สินให้ครูที่มีหนี้สินเกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้พักหนี้เงินต้นในส่วนที่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ ปี โดยจะจัดเงินสมทบตั้งเป็นกองทุนครูพัฒนาชาติให้กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ซึ่งกองทุนฯ จะรับโอนหนี้สินครูที่มีหนี้ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ไว้ร้อยละ ๕๐ และส่วนที่เหลือให้ครูผ่อนชำระ ซึ่งหากชำระได้ตามกำหนดเวลา ส่วนที่กองทุนฯ รับโอนหนี้ ครูจะผ่อนชำระคืนให้กองทุนโดยไม่มีดอกเบี้ย - ปรับสถานะพยาบาลอัตราจ้างเป็นข้าราชการทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นคงในอาชีพให้แก่พยาบาล โดยทำการกำหนดอัตราข้าราชการใหม่เพื่อรองรับพนักงานพยาบาลที่สมัครใจจะโอนย้ายมาบรรจุเป็นข้าราชการประจำ จำนวนไม่น้อยกว่า ๒๐๐,๐๐๐ อัตรา
       - เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ๒ เท่า จาก ๕๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ บาท เนื่องจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดิมไม่สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบันที่เพิ่มสูงขึ้น และเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าอาหารได้ไม่น้อยกว่า วันละ ๓๐ บาท จึงเห็นควรให้มีการปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เป็น ๑,๐๐๐ บาท ต่อเดือน - เพิ่มเบี้ยยังชีพคนพิการ ๒ เท่า จาก ๕๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ บาท เนื่องจากเบี้ยยังชีพคนพิการเดิมไม่สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน และเพื่อให้คนพิการสามารถมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าอาหารได้ไม่น้อยกว่าวันละ ๓๐ บาท - ปรับอัตราค่าตอบแทนผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปรับอัตราเงินเดือน ค่าตอบแทน และ สวัสดิการ คณะผู้บริหารองค์กรส่วนท้องถิ่น เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐
       - ให้เบี้ยสวัสดิการให้กลุ่มคนทำงานอาสาเช่น อสม. อปพร. หมอดินอาสา เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท - ให้ค่าตอบแทนปราชญ์ชาวบ้าน ศิลปินพื้นบ้าน๑,๐๐๐ บาท/เดือน เพื่อส่งเสริมและรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเพิ่มเงินสนับสนุนในกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมจังหวัดและ ให้สวัสดิการค่าตอบแทนแก่ปราชญ์ชาวบ้านและศิลปินพื้นบ้านตำบลละ ๑ คนเป็นจำนวน ๑,๐๐๐ บาท/เดือน ตลอดชีพ เพื่อรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น
       
       (๓) พรรคประชาธิปไตยใหม่ หมายเลข ๓
       - เรียนฟรีถึงปริญญาตรีโดยสมัครใจ รักษาฟรีทุกโรคทุกที่ ลดหนี้เกษตรกร ส่งแรงงานฟรีไม่มีค่าหัว
       
       (๔) พรรครักประเทศไทย หมายเลข ๕
       - หากได้เป็น ส.ส.พร้อมประกาศนโยบายขยายเวลาชดใช้หนี้ กยศ.ออกไป ๕ ปี พร้อมลดดอกเบี้ยให้อีกด้วย
       
       (๕) พรรคพลังชล หมายเลข ๖
       - โครงการบัตรสมาร์ทคิด บัตรเครดิตสุขภาพเด็กแรกเกิดถึง ๕ ขวบ ฟรีวัคซีน ฟรีบริการสาธารณสุขมูลฐาน ในอนาคตเติมบริการอื่นๆ ได้
       
       (๖) พรรคดำรงไทย หมายเลข ๘
       - ประกันราคาข้าวเปลือกขั้นต่ำ ตันละ ๑๙,๐๐๐ บาท
       
       (๗) พรรคพลังมวลชน หมายเลข ๙
       - เงินยังชีพผู้สูงอายุ ๓,๐๐๐ บาท/เดือน, เงินชดเชยให้คนว่างงาน ๓,๐๐๐ บาท/เดือน, ค่าแรงขั้นต่ำ ๔๐๐ บาท/วัน - ข้าวเปลือกเกวียนละ ๑๖,๐๐๐ บาท
       - ให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินเป็นของตนเองอย่างน้อย ๑๕ ไร่
       - เพิ่มค่าตอบแทน อสม.
       
       (๘) พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข ๑๐ - ค่าไฟฟ้าฟรีไม่เกิน ๙๐ หน่วยต่อเดือน
       - เรียนฟรี ๑๕ ปี ตั้งแต่อนุบาลถึง ม.๖ ฟรีค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่าชุดนักเรียน และค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพ - รถเมล์ สะอาด รวดเร็ว ปลอดภัย บริการฟรีนักเรียน-คนพิการ-ผู้สูงอายุ
       - จัดโฉนดชุมชนให้เกษตรกรมีที่ทำกินอีก ๒๕๐,๐๐๐ คน บนที่ดินของรัฐ
       
       (๙) พรรคไทยพอเพียง หมายเลข ๑๑ - จัดให้มีการอบรมปรัชญา “ เศรษฐกิจพอเพียง ” เพื่อนำไปบริหารจัดการครอบครัว ทำมาค้าขาย และธุรกิจ ทั่วประเทศใช้เวลา ๕ วัน เมื่อผ่านการอบรมจะได้ค่าตอบแทนคนละ ๑๐,๐๐๐ บาท - ผู้ผ่านการอบรมแล้วจะได้เงินทุนหมุนเวียนประกอบอาชีพโดยไม่มีดอกเบี้ยและผู้ค้ำประกัน กลุ่มละไม่เกิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท เฉลี่ยรายละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท ทำธุรกิจ รายละ ๕ ล้านบาท
       - ปลดหนี้โดยรัฐบาลจะทำการซื้อหนี้ในและนอกระบบของประชาชนทั้งหมดแล้วให้ลูกหนี้มาใช้หนี้ให้กับรัฐบาลเพียงทางเดียว คนมีรายได้น้อยก็ให้พักชำระหนี้หรือประนอมหนี้ตามความเหมาะสม อายุครบ ๖๐ ปียกหนี้ให้ทั้งหมด
       - เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และคนพิการ ได้รับอย่างต่ำเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท
       
       (๑๐) พรรคไทยเป็นสุข หมายเลข ๑๓
       -ให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึง ๖ ปี เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกินครอบครัวละ ๓ คน - ให้ค่าตอบแทนผู้สูงอายุจาก ๕๐๐ บาท เป็น ๓,๐๐๐ บาทต่อเดือน
       
       (๑๑) พรรคกิจสังคม หมายเลข ๑๔
       - เพิ่มรายได้ให้กลุ่ม อสม. จาก ๖๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ บาท
       
       (๑๒) พรรคไทยเป็นไท หมายเลข ๑๕
       -ออกกฎหมายปลดหนี้ให้คนไทย หรือออกกฎหมายให้รัฐบาลเป็นผู้รับใช้หนี้แทนคนไทยทั้งประเทศ โดยการโอนหนี้ของคนไทยทุกคนให้ไปเป็นหนี้ของรัฐบาลคนละไม่เกิน ๕ แสนบาท เช่น หนี้ ธ.ก.ส. หนี้สหกรณ์การเกษตร, หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์, หนี้ธนาคารพาณิชย์, หนี้กองทุนหมู่บ้าน หนี้กองทุนกู้ยืมเรียน,หนี้บัตรเครดิต,หนี้ไฟแนนซ์,หนี้นอกระบบต่างๆ ฯลฯ
       - จัดตั้งกองทุนสนับสนุนอาชีพเกษตรกร จำนวน ๕ แสนล้านบาท เพื่อการจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรไว้บริการในสหกรณ์หมู่บ้าน เช่น รถไถนา รถเกี่ยวข้าว รถบรรทุกผลผลิตการเกษตร และ เป็นเงินทุนในการรวบรวมผลผลิต โกดังเก็บผลผลิต ลานตาก โรงงานปุ๋ยเคมี และปุ๋ยอินทรีย์
       - จัดตั้งกองทุนสนับสนุนธุรกิจในประเทศ ให้บัณฑิตคนไทย และนักธุรกิจคนไทย สนับสนุนให้คนไทยเป็นเจ้าของกิจการ กู้ค้าขาย ปรับปรุงสินค้าและขยายกิจการ จำนวน ๑๐ แสนล้านบาท
       - จัดตั้งกองทุนสนับสนุนการลงทุนต่างประเทศ ให้คนไทยไปลงทุนต่างประเทศเพื่อนำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศ จำนวน ๑๐ แสนล้านบาท
       - คนไทยทุกคน ถ้าเกิดเจ็บป่วยรักษาฟรี คนพิการและคนชรามีเงินเดือนเลี้ยงชีพ เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ถ้าตายมีเงินทำศพรายละ ๒ หมื่นบาท และจัดรถยนต์ของมูลนิธิไว้บริการฟรีถึงหมู่บ้านเมื่อคนไทยเจ็บป่วย ตาย หรือมีภารกิจจำเป็นเร่งด่วน - ให้พ่อค้าและนักธุรกิจกู้ยืมเพื่อจัดซื้อผลผลิตจำนวน ๒ แสนล้านบาท
       - จัดสรรเงินกองทุนหมู่บ้านๆ ละ ๕ ล้านบาททุกปี ฟรีรัฐบาลไม่เรียกคืนและให้ดำเนินการดังนี้ เงินล้านที่ ๑ จัดทำสหกรณ์ร้านค้าชุมชนทุกหมู่บ้านประชาชนในหมู่บ้านให้ถือหุ้นเท่ากันทุกคน เงินล้านที่ ๒ และเงินล้านที่ ๓ จัดตั้งธนาคารหมู่บ้านให้ชาวบ้านกู้ยืมโดยปลอดดอกเบี้ยยกเว้นกู้ไปค้าขาย หรือชำระหนี้นายทุนเอกชน ต่าง ๆ ไปทำงานต่างประเทศ ผ่อนรถ ผ่อนบ้านให้เสียดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ ๓ บาทต่อปี เงินล้านที่ ๔ กำหนดให้ทุกหมู่บ้านสร้างยุ้งฉาง หรือไซโลไว้เก็บผลผลิตทางการเกษตร โรงสีข้าวและลานตาก และใช้เป็นงบพัฒนา ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา โรงเรียน วัด ฯลฯ เงินล้านที่ ๕ จัดเป็นค่าใช้จ่ายเงินเงินเดือนพนักงาน ข้าราชการท้องถิ่น จ้างนักกฎหมาย เป็นทนายความประจำหมู่บ้าน ค่าอาหารของพระสงฆ์และนักบวช จ้างฝ่ายข้อมูล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ถ้าไม่พอให้ขอจากงบกลาง
       - แก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียม โทรศัพท์บ้าน และมือถือ ให้คิดค่าบริการภายในประเทศได้ไม่เกินนาทีละ ๑ บาท - ออกกฎหมายกระจายงาน กระจายเงิน และกระจายอำนาจอย่างเป็นธรรม โดยแต่งตั้งตัวแทนพรรคระดับต่าง ๆ บรรจุเป็นข้าราชการการเมือง โดยมีอำนาจมีเงินเดือนประจำตำแหน่ง ดังนี้ ตัวแทนระดับจังหวัด หรือเขตเลือกตั้ง ได้เงินเดือน ๆ ละ ๑ แสนบาท ตัวแทนระดับอำเภอหรือประธานสาขาพรรคได้เงินเดือนๆ ละ ๕ หมื่นบาท ตัวแทนระดับตำบลหรือกรรมการสาขาได้เงินเดือนๆละ ๓ หมื่นบาท ตัวแทนระดับหมู่บ้านหรือสมาชิกผู้ก่อตั้งสาขาได้เงินเดือนๆละ ๑ หมื่นบาท ตัวแทนระดับคุ้มหรือหัวหน้ากลุ่ม ได้ค่าเงินเดือนๆละ ๕ พันบาท สมาชิกพรรคทั่วไป ได้ปลดหนี้ ไม่เกินคนละ ๕ แสนบาท และได้ค่าตอบแทนและสิทธิพิเศษตามนโยบายพรรคทุกข้อ - กู้เงินซื้อที่อยู่อาศัยได้โดยไม่เสียดอกเบี้ย และกู้เงินลงทุนอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑ บาทต่อปี ให้ใช้บุคคลค้ำประกันเงินกู้
       
       (๑๓) พรรคภูมิใจไทย หมายเลข ๑๖
       - ล้างหนี้กองทุนหมู่บ้านทั้งหมด แล้วมาเริ่มต้นบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองกันใหม่เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด ด้วยการเติมเงินงบประมาณเข้าไปอีก ๘ หมื่นล้านบาท จัดสรรให้กับทุกหมู่บ้าน - ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ๒% - กองทุนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ผ่าน อปท. จังหวัดละ ๑๐๐ ล้านบาทต่อปี
       - กองทุนประกันราคาสินค้าเกษตร ข้าวเปลือกตันละ ๒ หมื่นบาท เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมไปชั่วลูกชั่วหลาน โดยจะเสนอกฎหมายเพื่อให้มีการจัดตั้งเงินกองทุนไว้จำนวนมากพอต่อการประกันราคาสินค้าเกษตรกร ซึ่งจะช่วยให้พี่น้องเกษตรกรไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ว่าจะมีการคิดมาเปลี่ยนแปลงแนวทางนี้ไป
       
       (๑๔) พรรคชาติไทยพัฒนา หมายเลข ๒๑ - สนับสนุนเงินลงทุนปัจจัยการผลิตด้านการเกษตร ฟรีดอกเบี้ย
       ๑ ปี วงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท - จัดตั้งกองทุนสวัสดิการเกษตรกร วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
       - ประกันราคาข้าว ข้าวเปลือก ๑๕,๐๐๐ บาท ข้าวหอมมะลิ ๒๐,๐๐๐ บาท
       - ช่วยเหลือค่าเช่านา สำหรับผู้เช่านา ไร่ละ ๕๐๐ บาท
       - จัดงบประมาณ ปีละ ๔,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการอาหารกลางวันให้นักเรียนครบตามจำนวน - สนับสนุนค่าตอบแทน อาสาสมัครเกษตร อกม. – อสม. – อปพร. ประจำหมู่บ้าน คนละ ๑,๐๐๐ บาท ต่อเดือน - เพิ่มเงินสวัสดิการผู้สูงอายุ ผู้พิการ ๑,๐๐๐ บาท ต่อคนต่อเดือน
       
       การกระทำดังกล่าวถึงแม้จะเป็นการประกาศเป็นนโยบายและมีการดำเนินการโดยผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองทั่วประเทศ เป็นการกระทำขยายนโยบายที่เป็น “สัญญาว่าจะให้”ในทุกเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ และเรื่องดังกล่าวได้ปรากฏชัดต่อสาธารณชนอย่างกว้างและปรากฏต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ดังนั้นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ จึงมีการกระทำโดยผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมืองอันเป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ อย่างกว้างและชัดแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดโดยพลันตามอำนาจหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้
       
       ๓. การกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา ๙๗ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐
       
       ตามที่มีการพิจารณาและพิพากษาให้มีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบรรดาหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองอันเนื่องมาจากการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา แต่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีบุคคลซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งบางคนหรือบางกลุ่ม กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา ๙๗ แห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ ทั้งก่อนและในขณะที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔
       
       “มาตรา ๙๗ ในกรณีที่พรรคการเมืองต้องยุบเพราะเหตุอันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนมาตรา ๔๒ วรรคสอง หรือมาตรา ๘๒ หรือต้องยุบตามมาตรา ๙๔ ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป จะจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้ ทั้งนี้ ภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันที่พรรคการเมืองนั้นต้องยุบไป”
       
       โดยกระทำการครอบงำในการบริหารและเชิดบุคคลให้เป็นตัวแทนอำพรางการกระทำของบุคคลดังกล่าว และแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคการเมือง รวมทั้งเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการบริหารพรรคการเมืองและเข้าจัดตำแหน่งในทางการเมือง อาทิ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ที่แสดงออกในการเข้าครอบงำการบริหารพรรคเพื่อไทยเสมือนเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองดังกล่าว นายบรรหาร ศิลปอาชา แสดงออกในการเข้าครอบงำการบริหารพรรคชาติไทยพัฒนา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แสดงออกในการเข้าครอบงำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน นายเนวิน ชิดชอบ เข้าครอบงำการบริหารพรรคภูมิใจไทย เป็นต้น
       
       ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ และระเบียบคณะ
       กรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน สอบสวน และวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการดังต่อไปนี้
       
       1.ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งระงับการประกาศผลคะแนนการเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ไว้ก่อน จนกว่าจะมีการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดหรือวินิจฉัยการคัดค้านการเลือกตั้งแล้วเสร็จ
       2.ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดโดยพลัน ในการกระทำของผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมืองที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ และดำเนินการยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองดังกล่าว
       
       3.ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดโดยพลัน ในการกระทำเข้ามาบริหารจัดการของผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองและยุบพรรคการเมืองที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐
       
       4.ขอคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๖๘,๒๓๗ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐มาตรา ๕๓(๑),(๒),๑๓๗,๑๕๙,๑๑๐,๑๖๐ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐มาตรา ๔,๙๔(๑),(๒),(๓) และมาตรา ๑๑๖
       จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการโดยด่วน
       
       ขอแสดงความนับถือ
       ( พลตรี จำลอง ศรีเมือง)
       ผู้ร้อง
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 กรกฎาคม 2554, 20:41:13
โผล่อีก 3 คนร้องศาลฎีกาล้มเลือกตั้ง 3ก.ค.

ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง เมื่อเวลา 10.45 น. นายชุมพล สังข์ทอง ทนายความ นายสุรสิทธิ์ ใบลี อายุ 52 ปี ว่าที่ผู้สมัคร อบต.บ้านโนนกลาง ต.ผักปัง อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ น.ส.ศิริภานีย์ ใต้ชัยภูมิ อายุ 24 ปี และ น.ส.ภารินีย์ ใต้ชัยภูมิ อายุ 25 ปี ชาวชัยภูมิ เข้ายื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) คดีพิพาทการเลือกตั้ง โดยขอให้ศาลฎีกา จัดการเลือกตั้งใหม่ และขอให้คืนสิทธิทางการเมืองแก่ผู้ร้องทั้งสาม

โดยคำฟ้องสรุปว่า ผู้ร้องทั้งสามเป็นประชาชนคนไทยมีสิทธิเลือกตั้ง และผู้ถูกร้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่ควบคุมและดำเนินการจัดการให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค.2554 นายสุรสิทธิ์ ผู้ร้องได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้งที่ 13 ศาลากลางบ้านโนนกลาง หมู่ 12 ต.ผักปัง อ.ภูเขียว ส่วน น.ส.ศิริภานีย์ และน.ส.ภารินีย์ ผู้ร้อง ไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้งที่ 3 ศาลาเอนกประสงค์วัดป่าภูเขียว หมู่ 1 ต.ผักปัง อ.ภูเขียว แต่ปรากฎว่ากรรมการประจำการเลือกตั้งแจ้งว่า ผู้ร้องไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ เพราะเป็นบุคคลที่ขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด ที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ตั้งแต่มีการประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2554 ผู้ร้องไม่เคยไปขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตกับผู้ถูกร้องแต่อย่างใด

ขณะที่ ผู้ถูกร้องอ้างบทบัญญัติ มาตรา 97 วรรค 2 พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 กำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งเคยขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขต จะหมดสิทธิลงคะแนนในหน่วยเลือกตั้งเดิม จนกว่าจะได้ดำเนินการลงทะเบียนเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นการสร้างภาระให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แทนที่จะเป็นการอำนวยความสะดวก

นอกจากนี้ ยังปรากฏตามสื่อมวลชนว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งอีกนับล้านคนไม่สามารถลงคะแนนได้ ที่กรุงเทพมหานครแจ้งยอดมีผู้มาขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจำนวน 1,079,923 คน จึงคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ทำให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายและเสียสิทธิตามกฎหมายหลายประการ จึงขอให้ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ยกเลิกเพิกถอนการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 และขอให้ยกเลิกเพิกถอนการตัดสิทธิทางการเมืองของผู้ร้องทั้งสามและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอันสืบเนื่องมาจากการไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 ทั้งหมด

โดยศาลฎีกาฯ รับคำร้องไว้ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ลต.11-13/2554 และนัดฟังคำสั่งว่าจะรับคำฟ้องไว้พิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาหรือไม่ในวันที่ 13 ส.ค.นี้ เวลา 16.00 น.

ภายหลังนายชุมพล ทนายความ กล่าวว่า ผู้ร้องทั้งสามคนเคยขอใช้สิทธิลงคะแนนล่วงหน้านอกเขตเลือกตั้งที่กรุงเทพ ฯ เมื่อการเลือกตั้งเมื่อปี 2550 สมัยที่นายสุรสิทธิ์ ทำงาน และ น.ส.ศิริภานีย์ และน.ส.ภารินีย์ ยังศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้ไปขอ เมื่อไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้กลับไม่สามารถใช้สิทธิได้ จึงเป็นการจำกัดสิทธิของประชาชน ซึ่งควรเป็นหน้าที่ของ กกต.จะต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 กรกฎาคม 2554, 14:51:00
สภาอุตฯแถลงรับไม่ไหวค่าแรง 300 บาท ธุรกิจช็อค! ให้รัฐบาลจ่ายส่วนต่างเอง

วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น.มติชนออนไลน์

ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมฝ่ายเศรษฐกิจ ให้สัมภาษณ์ในรายการสรยุทธ เจาะข่าวเด่น ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เมื่อวันที่ 12 ก.ค. หลังจากที่สภาอุตสาหกรรมออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้าง 300 บาทโดยดร.ธนิต กล่าวว่า เป็นมติแสดงจุดยืน หลังจากการประชุมกรรมการบริหาร และอีกหลายภาคส่วน โดยก่อนหน้านี้มีการทำโพลล์สำรวจผู้ประกอบการ โดยผลปรากฏว่า ผู้ประกอบการบอกว่ากระทบ 90-92 เปอร์เซ็นต์ มีบอกว่าไม่กระทบ 3-6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งคิดว่ารายใหญ่ที่ไม่คิดว่าจะกระทบก็พบว่ากระทบ 90-92 เปอร์เซ็นต์


ส่วนเรื่องภาษีนั้นดร.ธนิต กล่าวว่า ลดภาษีก็ดีเพราะภาษีของประเทศไทยสูงกว่าเพื่อนบ้านเขา แต่ต้องคุยแยกส่วนไม่ใช่มาคุยเรื่องค้าจ้างเหมือนยื่นหมู ยื่นแมว เพราะ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่หากเพิ่มค่าแรง 40 ปอร์เซ็นต์จะช็อค ส่วนเอสเอ็มอี ที่รายได้น้อยอยู่แล้วก็ต้องจ่ายเพิ่ม ก็ไม่มีกำไร แล้วจะจ่ายภาษีได้อย่างไร แต่ทั้งนี้รายใหญ่พวกรายอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานน้อย จะได้ประโยชน์ เพราะ 15 กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในแรงงานเข้มข้น การส่งออกก็ต้องแข่งขันกับเพื่อนบ้านเรา การแข่งขันก็ลำบาก


สำหรับมติ 4 ข้อมีรายละเอียดดังนี้ 1. สภาอุตสาหกรรมแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับค่าจ้าง 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ เพราะจะกระทบกับเศรษฐกิจ และการลงทุนต่างๆ 2. ค่าจ้างควรเป็นไปตามกลไกของตลาด โดยมีคณะกรรมการไตรภาคีเป็นผู้พิจารณาตามกฎหมาย การเมืองต้องไม่ก้าวก่าย หรือกดดัน 3. ถ้าภาคการเมืองประสงค์จ่ายค่าแรง 300 บาท ให้รัฐบาลที่เป็นคนรับปากไว้จ่ายส่วนต่างจากที่ไตรภาคีกำหนดเอง เพราะอุตสาหกรรมจ่ายแล้วเจ๊ง 4. สภาอุตสาหกรรมพร้อมหารือกับรัฐบาลเพื่อหาทางออก รอให้ตั้งรัฐบาลเรียบร้อย


เมื่อพิธีกรถามถึงกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยให้สัมภาษณ์คร่าวๆว่า 300 บาทเฉพาะกรุงเทพ จังหวัดอื่นลดหลั่นกันลงไปเป็นไปได้หรือไม่ ดร.ธนิต กล่าวว่า ถ้าฟังจากที่บอร์ดพิจารณาเรื่องค้าจ้างเมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา เผยว่าจะมีกรุงเทพฯ และภูเก็ตจะทยอยขึ้นค่าจ้างก่อน 33 บาท ส่วนจังหวัดอื่นทยอยขึ้น 40 ปอร์เซ็นต์จากฐานที่เป็นอยู่ จนครบ 300 บาท ซึ่งจะมีผลกระทบคือ ดึงแรงงานจากต่างจังหวัดเข้ามาทำงาน ซึ่งจากเดิมที่เราต้องการกระจายรายได้ ประชาชนอยู่ในท้องที่ไม่ต้องมาทำงานในกรุงเทพฯ แต่คราวนี้จะไม่ใช่กระจายรายได้ จะเป็นรวยกระจุกจนกระจาย


เมื่อพิธีกรถามนำว่า ที่ทางพรรคเพื่อไทยจะมีนโยบายกระตุ้นอย่างอื่นเช่นเรื่อง รถ และบ้าน ซึ่งหากมองว่าจะเป็นการกระตุ้นอีกทางให้คนใช้จ่ายเงินกระตุ้นภาคธุรกิจได้หรือไม่ ดร.ธนิต กล่าวว่า ก็มีความเป็นไปได้หากใช้ระบบนี้ คาดว่าจีดีพีจะโตขึ้น 6-7 เปอร์เซ็นต์ แต่จีดีพีไม่ได้บอกถึงความสามารถในการแข่งขัน บอกเศรษฐกิจโตจากการปั่นหมุน แต่อย่าลืมว่าจ่ายมากขึ้น รายได้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้นตาม ที่สุดแล้วก็เงินเฟ้อ


ดร.ธนิต กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจของเราวันนี้ 70 เปอร์เซ็นต์ของเราส่งออก หากเราใช้ทฤษฎี 2 สูง แต่เพื่อนบ้านเรายังใช้ 2 ต่ำ เราต้องไปแข่งขันกับเขา มันเร็วเกินไป มันต้องค่อยเป็นค่อยไป หากเราไปตัดเลยมันจะช็อต เศรษฐกิจเราเพิ่งกับการส่งออกถึง 70 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ เศรษฐกิจของเราก็ไม่ใช่ส่งออกอย่างเดียว มีทั้งขายภายในประเทศด้วย ของนอกประเทศก็จะเข้ามาตีตลาด กระทบส่งออก และนำเข้าก็จะมาตีตลาดเราด้วย วันนี้มันเร็วไปที่จะเป็น 2 สูง


"หลังจากนั้นก็จะมีรายงานต่างด้าวตามเข้ามาเพราะค่าแรงต่ำ บริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทยก็กระทบ" ดร.ธนิตกล่าว




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 13 กรกฎาคม 2554, 14:59:12

(http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/PartyList1copy.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 กรกฎาคม 2554, 15:44:42
อ้างถึง
ข้อความของ Intania๑๖ เมื่อ 13 กรกฎาคม 2554, 14:59:12

(http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/PartyList1copy.jpg)
เห็นแล้ว ฝันร้าย อุบาทว์ ลูกกะตาจิ๊งจิง....มารร้ายจากอเวจี


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 กรกฎาคม 2554, 15:46:57
คนจนยิ่งมาก..."ทักษิณ"ยิ่งชอบ !
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

 "ถึงเวลาแล้วที่พรรคประชาธิปัตย์ควรจะต้อง "รีแบรนด์" ภาพลักษณ์ของพรรคใหม่
 เพื่อทำให้คนอีสานและคนเหนือ รู้สึกได้ว่าคือพรรคที่เข้าถึงคนจนได้

  ซึ่งอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามทำในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียง แต่ถือว่าช้าเกินไป"

 เห็นด้วยอย่างมากกับประโยคนี้ผ่านมุมมอง "ดร.วิเลิศ ภูริวัชร" อาจารย์คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 "คนจนยิ่งมากเท่าไหร่...โอกาสของพรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ย่อมมากเท่านั้น..
.เพราะเข้าใจในความรู้สึกและความ "ด้อย" ของพวกเขาได้มากกว่า ประชาธิปัตย์"
 ประชาธิปัตย์หากยังไม่ "รีแบรนด์" หรือสร้าง "ซับแบรนด์" ขึ้นมาใหม่ ก็มีโอกาสที่จะแพ้เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย
หรือพรรคที่ผุดขึ้นมาใหม่ได้ทุกการเลือกตั้ง!
 เลือกตั้งกี่ครั้ง..ก็แพ้!

 ประชาธิปัตย์ "คิดเอง" ว่าจะให้นโยบาย "ที่ดี" อะไรบ้างกับประชาชน แต่มักลืมถามตัวเองว่า "ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการอะไร"...ประชาภิวัฒน์ เป็นความพยายามกำหนดนโยบายจากพื้นฐานความต้องการประชาชน แต่การตลาดก็ยังไม่ "โดน" ใจผู้บริโภคมากนัก เหตุเพราะมีองค์ประกอบอื่นเข้าเกี่ยวข้องด้วย

 ประชานิยม เหมือนกันแต่มีความต่างกัน...ที่มาร์เก็ตแชร์และความยอมรับในแบรนด์ รวมถึงขึ้นอยู่กับว่า ใครเข้าสู่ตลาดก่อนกัน...แน่นอน แบรด์ประชานิยม "ทักษิณ ชินวัตร" ลุยตลาดก่อนและครองมาร์เก็ตแชร์ มายาวนาน

 เพราะที่ คนอีสาน-เหนือตั้งนายกรัฐมนตรีเสมอมา...ตรงนี้ถูกต้องเหตุเพราะฐานเสียง ส.ส.เขตของสองภาคนี้ ก็เกิน 50% ของ 375 ที่นั่งไปแล้ว (อีสานมี ส.ส.เขตได้ถึง 126 คน ภาคเหนือมี ส.ส.ได้ถึง 67 คน  2 ภาคมี ส.ส.193 คน)

 พรรคเพื่อไทย จึงมีส่วนแบ่งการตลาดที่มากกว่า พรรคประชาธิปัตย์ หลายเท่า และผู้บริโภคก็มีความจงรักภักดีกับแบรนด์ "ทักษิณ ชินวัตร" เหนียวแน่น!

 ที่ต้องย้ำกันแบบนี้เพราะ "คนจน" ..ความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทยยังดำรงอยู่อีกยาวนาน

 สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยข้อมูลรายได้ประชาชาติต่อหัวในปี 2552 ของคนไทย พบว่า รายได้ระหว่างกรุงเทพฯ และปริมณฑล สูงกว่าคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มากถึง "7 เท่า"

โดยรายได้เฉลี่ยของคนทั้งประเทศอยู่ที่ 135,145 บาทต่อหัว ขณะที่คนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีรายได้เฉลี่ยสูงถึง 392,885 บาทต่อหัว รองลงมาได้แก่ภาคตะวันออกมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 309,985 บาทต่อหัว ขณะที่ภาคกลางมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 228,016 บาทต่อหัว คนภาคใต้มีรายได้เฉลี่ย 106,048 บาทต่อหัว

 ส่วนคนในอีก 3 ภาค คือกลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยรายได้ไม่ถึง 1 แสนบาทต่อหัว ได้แก่ ภาคตะวันตก มีรายได้เฉลี่ย 93,616 ต่อหัว ภาคเหนือรายได้เฉลี่ย 70,105 ต่อหัว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือกลุ่มคนที่ยากจนที่สุด มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 45,766 ต่อหัว

 ยิ่งเมื่อพิจารณาจากดัชนีความเหลื่อมล้ำ (Gini index) ที่ธนาคารโลกรายงานออกมา โดยวัดจากคนที่รวยสุด 20% บน กับคนจนสุด 20% ล่าง พบว่าของไทยอยู่ที่ 53.6 ถือว่ารายได้คนสองกลุ่ม ยังห่างกันมาก...ดัชนี Gini ดีกว่ากัมพูชาเล็กน้อยเท่านั้นเอง

 ความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้น ...และคนจน ยังเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ระบอบประชาธิปไตยที่ให้สิทธิทุกคนมีหนึ่งเสียงเท่ากัน...ย่อมเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองหันมาเอาใจ "คนจน" กันทั่วหน้า ซึ่งเป็นเรื่องดีที่ทุกพรรคแย่งกัน "รักพวกเขา"

 ขึ้นอยู่กับว่านโยบายของใครจะ "โดนใจ" มากกว่ากัน...แบรนด์ประชานิยมของใครแกร่งกว่า

 หากประเมิน ณ นาทีนี้ ยี่ห้อ "นายห้างดูไบ" ยังผูกขาดตลาดสูงมาก ความยากจนยิ่งมากเท่าไหร่
ความต้องการสินค้ายี่ห้อ "ทักษิณ ชินวัตร" ก็ยังเป็นที่ต้องการสูงขึ้นเท่านั้น

  นอกเสียจาก พรรคประชาธิปัตย์ จะรีแบรนด์เสียใหม่ เมื่อนั้นอาจจะเห็นตลาดที่มีการแข่งขันกันมากขึ้น...แต่ไม่รู้เมื่อไหร่!





หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 14 กรกฎาคม 2554, 05:08:41

(http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/PuPolicycopy.jpg)


สัญญาประชาคม" ที่พรรคเพื่อไทย โดยยิ่งลักษณ์
ประกาศไว้ที่เวทีราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อ ๑ ก.ค.๕๔ ดังนี้

 ๑.สร้างเขื่อนกั้นทะเลสมุทรสาคร-สมุทรปราการ
 ๒.ปรับปรุง ๒๕ ลุ่มน้ำ-ดึงน้ำจากพม่า-ลาว-กัมพูชา
 ๓.สร้างรถไฟฟ้า ๑๐ สาย ใน กทม.เก็บ ๒๐ บาท
 ๔.ทำรถไฟรางคู่เชื่อมชานเมือง
 ๕.ทำแลนด์บริดจ์ภาคใต้
 ๖.ขจัดยาเสพติดใน ๑๒ เดือน/ขจัดความยากจนใน ๔ ปี
 ๗.พักหนี้ครัวเรือนที่ต่ำกว่า ๕ แสนบาท อย่างน้อย ๓ ปี
 ๘.๓๐ บาทรักษาทุกโรคได้จริง
 ๙.งบฯ องค์กรท้องถิ่น ๒๕ เปอร์เซ็นต์
 ๑๐.จำนำข้าวเปลือก ๑๕,๐๐๐ บาท
 ๑๑.แจกเครดิตการ์ดให้เกษตรกร
 ๑๒.ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ ๒๐% ในปี ๒๕๕๖
 ๑๓.ตั้งกองทุนตั้งตัวให้นักศึกษา ๑,๐๐๐ ล้านบาท
 ๑๔.ตั้งกองทุนร่วมทุนทุกจังหวัด
 ๑๕.คืนภาษี-เพิ่มค่าลดหย่อนให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรก
 ๑๖.คืนภาษีให้ผู้ซื้อรถคันแรก
 ๑๗.ยกเลิกกองทุนน้ำมัน
 ๑๘.แจกแท็บเลต พีซี ให้เด็กนักเรียน
 ๑๙.ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ภายใน ๙๐ วัน
 ๒๐.จบปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น ๑๕,๐๐๐ บาท
 ๒๑.ทำสนามบินสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการบิน
 ๒๒.ฟรีอินเทอร์เน็ตในที่สาธารณะ
 ๒๓.จัดตั้งกองทุนทรัพย์สินของชาติ
 ๒๔.ชายแดนใต้ ๓ จว.เป็นเขตปกครองพิเศษ
๒๕.จัดศูนย์ฝึกในอาชีวศึกษาทุกแห่ง




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 กรกฎาคม 2554, 10:29:44
“ทักษิณ” คิด “มติชน” ทำ
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 กรกฎาคม 2554 06:34 น.
 
 
  ในยุคที่ระบอบทักษิณกำลังฟื้นคืนชีพ ผู้คนจำนวนไม่ร้อยกำลังอยู่ในอาการปริวิตกว่าจะใช้ชีวิตต่อไปในประเทศไทยอย่างไรให้มีความสุขกับสภาพบ้านเมืองที่กำลังเปราะบางอย่างยิ่ง
       
       เพราะไม่เคยมีประวัติศาสตร์การเมืองไทยช่วงใด จะดูอลเวงเท่ากับบรรยากาศการเมืองพ.ศ. 2554 ที่เสื้อแดงล้มเจ้าครองเมืองมาก่อน
       
       ดูได้จากผู้ชนะกลับสวมคราบชนะแล้วยังอันธพาล ทั้งๆ ที่สำนวนไทยมีแต่ “แพ้แล้วพาล” หรือ “ขี้แพ้ชวนตี” แต่นี่พรรคเพื่อไทยชนะแล้วกลับยังไม่สามารถละทิ้งสันดานดิบ ถ่อย เถื่อน ที่ติดตัวเป็นปานดำออกไปได้
       
       สภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะจึงชัดเจนว่า วิธีคิดของทักษิณที่ให้เพื่อไทยและน้องสาวอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยทำก็คือ “ผู้ชนะคือผู้มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น”, “ผู้ชนะสามารถทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งทำผิดกฎหมาย” ฯลฯ
       
       การกดดัน กกต. ที่แกนนำพรรคเพื่อไทยและโจกแดงเปิดหน้าชกกันอย่างโจ๋งครึ่มโดยไม่มีความเคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง และระบบการถ่วงดุลอำนาจที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้ให้กับองค์กรอิสระต่างๆ ได้ทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อรักษาบ้านเมือง กลับถูกบิดเบือนโดยใช้แรงกดดันจากกฎหมู่ให้อยู่เหนือกฎหมาย
       
       บ้านเมืองไม่พังคราวนี้แล้วจะเจ๊งคราวไหน พรรคเพื่อไทยจึงควรเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคพังไทยน่าจะเหมาะสมกว่า
       
       ที่น่าเศร้ามากไปกว่านั้น คือ สื่อมวลชนโดยรวมกลับยอมปล่อยให้พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงทำตัวเป็นอันธพาลข่มขู่องค์กรอิสระ ย่ำยีคนไทยอย่างย่ามใจ ถือเป็นยุคที่ประชาชนเสื่อมถอยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
       
       นักการเมืองจำนวนหนึ่งขายตัวแลกผลประโยชน์ ข้าราชการพึ่งพาไม่ได้ แถมสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยก็ยังไม่ทำหน้าที่ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในยามที่ชาติกำลังประสบวิกฤติด้านความมั่นคงที่อาจเรียกได้ว่าวิกฤตที่สุดในโลกเสียอีก
       
       ยุคทักษิณครองเมืองเกิดปรากฎกรณ์แทรกซึม แทรกซื้อ และ แทรกแซง สื่อมวลชนอย่างเป็นระบบ มาถึงยุคที่ทักษิณหมดอำนาจแต่มีแก้วสามประการเป็นของตัวเอง คือ พรรคการเมือง มวลชน และกองกำลังติดอาวุธ นั้นแท้จริงแล้วทักษิณ ยังมีไพ่อีกใบในมือที่ใช้มาตลอดต่อเนื่องนับตั้งแต่ตกจากบัลลังก์อำนาจ คือ
       
       สื่อมวลชนหลัก
       
       ซึ่งพูดกันให้ชัดเจนตรงไปตรงมาก็คือ มติชน และ ข่าวสด ที่ผู้บริหารก็เพิ่งออกมายอมรับว่าตัวเองเป็นสื่อแดง เปิดพื้นที่ให้คนเหล่านี้ได้เสนอหน้าต่อสาธารณขนแบบเอียงกะเท่เร่ไม่ตั้งมั่นอยู่บนข้อเท็จจริงในฐานะสื่อมวลชนที่ดีอย่างที่ควรจะเป็น
       
       จึงไม่น่าแปลกใจที่คอลัมน์นิสต์ดีๆ หลายคนที่เขียนบทความวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาจะถูกถอดออกจากการเขียนคอลัมน์ประจำ ทั้งที่เป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าและสร้างชื่อเสียงให้กับหนังสือพิมพ์มติชนมาอย่างยาวนาน เช่น
       
       กรณีของ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ซึ่งเป็นคนข่าวที่ทำงานด้านสื่อสารมวลชนมายาวนานและมีชื่อเสียงในด้านการเจาะข่าวจนทำให้ได้กล่องรับรางวัลกันไปหลายครั้ง
       
       แต่วันนี้ “ประสงค์” ก็หลุดกระเด็นไปอย่างไร้ค่า เพราะความเป็นอิสระทางความคิดไปขัดแย้งกับทิศทางของหนังสือพิมพ์ที่วางตัวเป็นหัวแดงชี้นำบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่าเพื่อประโยชน์ของประชาชน
       
       แม้ว่า วันนี้คนทำงานข่าวในเครือนี้จะอิ่มหนำสำราญเต็มที่ เพราะหลังเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งไม่กี่วัน ทั้งข่าวสดและมติชนก็ประกาศเป็นการภายในให้นักข่าวได้รับทราบข่าวดีเกี่ยวกับการปรับเงินเดือนให้ถ้วนทั่วทุกคนเท่าเทียมกันรายละ 5 พันบาท ทำได้ทันที
       
       “ทักษิณคิด มติชนทำ” ไม่ต้องรอเหมือนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทตามนโยบายพรรคเพื่อไทย
       
       แต่ฟ้าแถวประชาชื่นตกทั่วถึง ทุกคนยิ้มรับเงินเดือนเพิ่ม 5 พันบาทแบบหวานคอแร้ง อย่างนี้จะไม่ให้ผู้คนเขาตั้งคำถามได้อย่างไรว่า แนวทางการนำเสนอข่าวที่เบี่ยงเบนไปเข้าข้างทักษิณ เพื่อไทยและคนเสื้อแดงเกิดจาก “อุดมการณ์” ที่จะยึดถือหลักจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ หรือเกิดจาก “อุดมกิน” กันแน่?
       
       เป็นเรื่องที่ มติชน และข่าวสด ต้องให้คำตอบกับประชาชน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์มติชนที่ได้รับการโอบอุ้มอย่างอบอุ่นจากประชาชนให้พ้นเงื้อมมือทักษิณในยุคที่เสี่ยใหญ่แกรมมี่สยายปีกจะเข้ามาครอบงำ
       
       มาวันนี้ค่ายมติชนกลับสยบยอมต่อการเมือง ละทิ้งประชาชนที่เคยยืนหยัดต่อสู้เพื่อมติชนแล้วหรือ
       
       แน่นอน คนทำงานข่าวในสนามพึงพอใจกับเม็ดเงินที่ได้เพิ่มขึ้น แต่ต้องไม่ลืมหน้าที่ในวิชาชีพของตัวเอง หรือว่าวันนี้สำหรับคนทำงานข่าวที่มติชน และข่าวสด จะถือว่าอาชีพนักข่าวก็เหมือนมนุษย์เงินเดือนคนอื่นๆ ทำงานให้ได้เงิน ไม่ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นฐานันดร 4 หรือ จรรยาบรรณที่พึงมีในวิชาชีพของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
       
       เป็นโจทย์ที่ฝากให้คนทำงานข่าวในเครือนี้ได้ไตร่ตรองและใคร่ครวญดูว่าเงิน 5 พันบาทที่กำลังจะได้เพิ่มขึ้น พรากเอาจิตวิญญาณจากวิชาชีพสื่อมวลชนไปด้วยหรือเปล่า หรือว่าพวกคุณเต็มใจที่จะเสียมันไปแลกกับเงิน 5 พันบาทที่กำลังจะได้รับกลับมา
       
       ลองถามตัวเองดูว่า “นกที่อ้วนเกินไปจนบินไม่ได้ จะไม่มีทางได้ลิ้มรสความสุขจากการกระพือปีกโบยบิน จะยังถือเป็นนกได้อีกหรือไม่?”

 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 กรกฎาคม 2554, 16:10:45
“พิเชษฐ” ฉะ “มาร์ค” ไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ จับมือ “เทพเทือก” พา ปชป.ลงเหว!"
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 กรกฎาคม 2554 13:31 น.
 
 
 
บทสัมภาษณ์ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในหนังสือพิมพ์ข่าวสด 25 ก.ค.2554
 
  กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์-ส.ส.กระบี่รุ่นลายคราม แนะจับตาเลขาธิการพรรคเข้ามาถูกตามข้อบังคับพรรคหรือไม่ หลังผู้ท้าชิงถอนตัว สะพัดล็อกตัวไว้แล้ว อ้างเสนอ “คุณหญิงกัลยา” เป็นเลขาฯ พรรคคนใน-คนนอกบอกเหมาะสม ชี้ถ้ามีโอกาสดีต้องหวัง กก.บห.ใหม่ มาด้วยใจและความสามารถ ตำหนิ “อภิสิทธิ์” ไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ มีแต่กลุ่มเด็กๆ เฝ้ารอเป็นวอลเปเปอร์ไปวันๆ เทพเทือกคล้อยตาม แม้ผู้ใหญ่แนะกระบวนการเป็นฉุนกลับ เชื่อโพลล์ฝรั่ง 200 เสียงพาแพ้ยับเยิน แนะต้องทำอย่าง “นายหัวชวน” ระดมทุกรุ่น-ทุกวัยทำงาน ไม่แคร์ถูกกำจัดบอกถ้าใจนักเลงพอไม่ควรเคืองกัน
       
       หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันจันทร์ที่ 25 ก.ค. 2554 ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ของนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.เขต 3 จ.กระบี่ และกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในหัวข้อ “′พิเชษฐ′เปิด′ขยะใต้พรม′ปชป. ผู้ใหญ่ในพรรคถูกบอนไซ อยู่บ้านเลขที่ 67 ไม่มีบทบาท” ซึ่งกล่าวถึงสถานการณ์ภายในพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีผลทำให้กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ประชาธิปัตย์ต้องพ้นสภาพทั้งหมด
       
       นายพิเชษฐกล่าวว่า ตนเห็นว่านายอภิสิทธิ์คงจะกลับมา แต่สำหรับตำแหน่งเลขาธิการพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยืนยันหลายครั้งชัดเจนว่าไม่รับตำแหน่งใดๆ จึงมีปัญหาเกี่ยวกับการเลือกเลขาธิการพรรคคนใหม่ ปกติเป็นอำนาจของหัวหน้าพรรคเสนอต่อที่ประชุมใหญ่วิสามัญเลือกให้เหลือคนเดียว แต่ที่ผ่านมามีความไม่สบายใจ เพราะผู้ที่ถูกเสนอชื่อ 3 คน จะมี 2 คนที่ถอนตัว เหมือนล็อกไว้แล้ว ที่ถูกต้องหัวหน้าพรรคต้องเสนอเข้ามาอีกให้เป็น 3 คน ให้ที่ประชุมเลือก แต่ที่ผ่านมาบางครั้งเมื่อผู้ที่ถูกเสนอชื่อ 2 คนถอนตัวเหลือคนเดียว ถือว่าไม่มีการแข่งขันก็ไม่ต้องเลือก
       
       “ผมคิดว่ามันน่าจะขัดกับข้อบังคับพรรค และถ้าไปจดทะเบียนเลขาธิการพรรคกับนายทะเบียนพรรคการเมืองน่าจะถือว่าไม่ชอบ เพราะว่าข้อบังคับคือให้ที่ประชุมเลือก แต่กรณีที่ว่าที่ประชุมไม่มีโอกาสได้เลือก คนที่เหมาะสมเป็นเลขาฯ ได้ในพรรคมีเยอะ แล้วแต่ความเห็นของใคร แต่ความเห็นของผมจะเสนอต่อที่ประชุมพรรคเผื่อหัวหน้าพรรคจะพิจารณาคือ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ” นายพิเชษฐกล่าว
       
       นายพิเชษฐกล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องเลขาธิการพรรคคนใหม่ต้องเป็นคนใกล้ชิดกับนายสุเทพ โดยมองว่าเมื่อนายสุเทพไม่รับตำแหน่งแน่นอนแล้ว คนใหม่มีใครบ้าง ตนไม่ได้ว่าคนอื่นไม่เหมาะสม แต่เห็นว่าคุณหญิงกัลยาเป็นคนหนึ่งที่สามารถเป็นได้ ถึงได้ออกชื่อไป แต่ก็กลายเป็นข่าวใหญ่โต ทั้งคนในพรรคและคนนอกฮือฮากันมาก และดีใจที่ได้มีการเอ่ยชื่อคุณหญิงกัลยาโดยเห็นว่าเหมาะสมที่สุด อย่างไรก็ตาม ถ้า กก.บห.พรรคชุดใหม่ยังเลือกวิธีเดิม ก็คงมีคนไม่ยอม ถ้าถอนตัว 2 คน หัวหน้าก็ต้องเสนอชื่อมา 2 คน ให้ที่ประชุมมีโอกาสเลือก ข้อสำคัญ กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองจับตาดูว่าเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่เข้ามาถูกต้องตามข้อบังคับพรรคหรือไม่
       
       • ฉะอภิสิทธิ์ไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ เหน็บมีแต่ “วอลเปเปอร์” เสนอหน้า
       
       กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวถึงความขัดแย้งภายในพรรค แบ่งเป็นกลุ่มก๊ก โดยกล่าวว่าการรวมกลุ่มมีเป็นธรรมดา เพราะมี ส.ส.ต่างวัยกันเยอะ เวลาทำอะไรก็มักจะจับกลุ่มฝ่ายผู้สูงอายุ ฝ่ายคนหนุ่ม ส่วนที่แบ่งเป็นกลุ่มของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กับกลุ่มของนายสุเทพ ตนไม่ทราบว่าคนอื่นคิดอย่างนั้น แต่ที่ผ่านมาบทบาทในพรรคส่วนหนึ่งคือคนที่นำเสนอตัวเอง ออกสื่อเยอะ อีกส่วนหนึ่งคือตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งจาก กก.บห.กระจุกตัวกันอยู่ในคนแค่กลุ่มหนึ่ง เมื่อพ้นจากหน้าที่หนึ่งก็จะเอาไปสู่อีกตำแหน่งหนึ่ง รวมถึงมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเป็นรัฐมนตรี พ้นจากรัฐมนตรีก็มาสู่อีกตำแหน่งหนึ่ง ไปเป็นเลขาธิการนายกฯ พ้นจากเลขาธิการนายกฯ ก็มาอีกตำแหน่งหนึ่ง หมุนเวียนกันอย่างนี้
       
       เมื่อถามว่า กก.บห.ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนรุ่นเก่า นายพิเชษฐมองว่าทุกตำแหน่งหมุน เวียนกันอยู่ในกลุ่มนี้ ในสมัยรัฐบาลชวน 2 ภาพในห้อง ครม.ข้างซ้ายเป็นใคร ข้างขวาเป็นใคร รู้สึกว่าผู้ใหญ่ในพรรคหายไป 20 คน แต่ละคนเคยเป็นหลักทั้งนั้น หลังจากนั้นคนใหม่ที่เข้ามาก็ออกไปหลายคน คนเก่าอย่าง พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร, ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ทำไมต้องลาออกจากพรรค นายรักษ์ ตันติสุนทร ก็ลาออก ทั้งที่คนเหล่านี้ถ้ายังเป็นหลัก และอยู่วันนี้มาช่วยกันเป็นองค์ประกอบของพรรคยุคนี้จะเห็นความยิ่งใหญ่ แต่หากปล่อยไว้ก็น่าเป็นห่วง
       
       “สมัยที่นายชวนเป็นหัวหน้าพรรค ท่านสามารถระดมคนทุกรุ่น ทุกวัย ช่วยงานทุกด้าน ทั้งคนนอก คนใน แต่ขณะนี้รู้สึกคนน้อย คนที่ยังอยู่ในพรรคที่เป็นผู้ใหญ่แล้วถ้าไม่มอบหมายหน้าที่ ไม่เรียกใช้ก็ไม่มีใครอยากไปเสนอหน้า ก็จะมีคนรุ่นหนึ่งวิ่งกันอยู่ทั่วไป พอมีวิกฤต ช่วงตอน เม.ย. พ.ค. มีโทรศัพท์เข้ามาเอะอะว่าทำไมผู้ใหญ่ในพรรคหายหัวไปไหนหมด ปล่อยให้นายกฯ รับหน้าที่ ถ้าท่านนายกฯ เอ่ยปากสักนิดว่าคุณหญิงครับผมจะไปกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ไปเป็นเพื่อนผมนะ หรือผมจะไปกระทรวงการคลัง พี่พิเชษฐช่วยไปเป็นเพื่อนผม หรือจะไปมหาดไทย ท่านบัญญัติ (บรรทัดฐาน) ช่วยไปเป็นเพื่อนสักคน ไปกระทรวงสาธารณสุข ก็ท่านเทอดพงษ์ ไชยนันทน์
       
       ถ้านายกฯ ถูกขนาบด้วยคนเหล่านี้ ความเป็นผู้ใหญ่ของท่านจะเกิดขึ้นทันที แต่ท่านนายกฯ ไม่เคยเรียกหา ไม่เคยใช้ใครเลย มีแต่กลุ่มเด็กๆ ที่วันๆ ก็เฝ้าแต่สืบเสาะว่าวันนี้นายกฯ จะไปไหน มีโปรแกรมตรงไหนก็วิ่งไปล้อมหน้าล้อมหลัง ก็ไปออกสื่อ ทำให้คนที่คาดหวังกับพรรคตำหนิผู้ใหญ่ว่าทำไมทุกคนโดดเดี่ยวท่านนายกฯ ผู้ใหญ่บางคนในพรรคพูดว่า ไม่ได้โดดเดี่ยวท่านนายกฯ ท่านนายกฯ โดดเดี่ยวตัวท่านเอง พวกเราเข้าไม่ถึง” นายพิเชษฐกล่าว
       
       • บ้าโพลฝรั่ง 200 เสียงทำแพ้ยับ สุเทพฉุนผลักมิตรเป็นศัตรู-บัตรเสียเพียบ
       
       เมื่อถามว่าที่กล่าวเช่นนี้เหมือนกับนายอภิสิทธิ์ไม่ให้ความสำคัญกับพรรค นายพิเชษฐกล่าวว่า ตนไม่อยากใช้คำว่า ไม่ให้ความสำคัญ เป็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล เด็กๆ ในพรรคก็อยากไปทำเนียบฯ แต่ผู้ใหญ่ที่เคยอยู่ทำเนียบฯ มาแล้วถ้าไม่มีธุระอะไร เขาก็ไม่อยากเข้าไป นายอภิสิทธิ์แต่งตั้งใครต่อใครเยอะแยะ คณะต่างๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียว เช่น ยุทธศาสตร์ ทำไมเชื่ออย่างนั้น และนายสุเทพก็เชื่อด้วยความมั่นใจ เช่น เราว่าไทยรักไทยแล้วเราก็เหมือนไทยรักไทย เป็นฝ่ายค้านโจมตีคัดค้านนโยบายประชานิยม แต่หลายเรื่องพรรคประชาธิปัตย์ก็มีเหมือนกัน
       
       “การอ่านเกมการเมืองต้องมีประสบการณ์จริงๆ คนใหม่ๆ จะเก่งมาจากที่ไหนเขาขาดประสบการณ์ ผู้ใหญ่จะรู้ว่าเมื่อนั้น ปีนั้น มีเหตุการณ์อย่างนั้นแล้วเป็นอย่างนี้ เราเคยแก้อย่างนั้นแล้วไม่ได้ เพราะอะไร ความรอบรู้ในความเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ต้องมี เช่น เอารูปนายกฯ ดำนา ไปส่งให้ ส.ส.ภาคใต้แจกประชาชน วันแรกที่ไปแจกโดนด่ากลับมาเลย ภาคใต้ที่ไหนเขาทำนากัน เขาอยากเห็นนายกฯ ยืนกับต้นปาล์ม หรือยืนกับต้นยางพารา
       
       คาดการณ์ที่ไม่ถูก เช่น 3 เดือนที่แล้วเห็นชัดเจนว่าถ้าเป็นไปตามยุทธศาสตร์เช่นนี้ พรรคแพ้ยับเยิน ใครต่อใครก็เห็น โพลทุกโพลก็รู้ แต่ไปมั่นใจว่าฝรั่งทำโพลแม่นยำ เราจะได้ส.ส.เกิน 200 เสียง ฝรั่งจะมารู้การเมืองไทย รู้จักคนไทย ดีกว่าคนไทยได้อย่างไร หนังสือพิมพ์ไปถามคนในพรรคคาดหมาย แพ้ไม่น้อยกว่า 50-60 เสียง บัญชีรายชื่อจะมีพรรคที่ได้ 1 คน 2 คน หลายพรรค แต่ประชาธิปัตย์น่าจะได้ไม่ถึง 45 เสียง” นายพิเชษฐกล่าว
       
       กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า มิตรของเราเป็นศัตรูไปเยอะแยะ ศัตรูของเรายิ่งคั่งแค้น แรงพยาบาทถาโถมมาเยอะ คนที่เคยยืนตรงกลางก็มักจะไม่สะใจกับเราเยอะ มันต้องปรับกระบวนการหลายเรื่อง ปรากฏว่านายสุเทพไม่พอใจว่าใครพูดอย่างนั้น 3 เดือนต่อมาตลอดเวลาหาเสียง เราอยู่ในภาคประชาชนแม้กระทั่งภาคใต้พรรคก็แพ้ เพราะมีคนโหวตโนเยอะ ตอนหลังโหวตโนลดน้อยลงไม่ใช่เพราะคนเปลี่ยนใจ แต่ไม่พอใจที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ด่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่อยากไปโหวตเสริมก็ใช้วิธีทำบัตรเสีย ทำให้ภาคใต้บัตรเสียเยอะ บัตรเสียหลายบัตรเขียนระบายอารมณ์ลงในบัตรด้วย
       
       • กังขาคาดการณ์ผิดตลอดใครจะมั่นใจ-แฉแก้รัฐธรรมนูญชวนเหน็บ “คงไม่รับปากคอร์รัปชัน”
       
       เมื่อถามว่าการที่นายอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภาเร็วเกินไปทำให้พ่ายแพ้ยับเยินหรือไม่ นายพิเษฐตอบว่ามีส่วน ซึ่งไม่ทราบว่ามีคนทักท้วงหรือไม่ แต่สงสัยว่าทำไมถึงต้องให้วันนี้เป็นเงื่อนตาย เมื่อนายอภิสิทธิ์กำหนดวันนี้ สิ่งที่จะต้องทำให้จบก่อนวันนี้ ก็ไม่มีเวลาแล้วก็ต้องรีบเร่ง เช่น การผ่านงบประมาณใน ครม. เพราะมันไม่มีเวลา ไม่ใช่มีเจตนาที่จะทำอะไรไม่ถูกต้อง แต่ก็กลายเป็นจุดอ่อนทั้งที่ไม่ควรจะเป็น อะไรที่มันผิดพลาดไปก็บอกว่าคาดไม่ถึงตลอด การที่เราเป็นผู้นำประเทศแล้วคาดการณ์ผิดๆ ตลอด ใครเขาจะมั่นใจ เพราะฉะนั้นเปลี่ยนกางเกงแบบนายชวนดีกว่า เพราะกางเกงท่านไม่มีเข็มขัด มีแค่หู ถ้าใช้เข็มขัดก็หาว่าเข็มขัดสั้นเพราะคาดไม่ถึง
       
       เมื่อถามว่าผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นหรือไม่ที่เอาแต่เฉพาะกลุ่มไปทำงาน นายพิเชษฐกล่าวว่า บางคนอยากแสดงความคิดเห็นแต่รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ เห็นอยู่แล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนั้นพรรคประชาธิปัตย์เคยพูดไว้จะไม่มีการแก้ไข แต่อยู่ๆ กระโดดไปแก้ ก็มีคำตอบว่า พรรคประชาธิปัตย์ไปรับปากกับพรรคร่วมรัฐบาลจนนายชวนต้องพูดว่า หวังว่าคงไม่ไปรับปากถึงกับว่าให้คอร์รัปชั่นกันได้ สุดท้ายพิจารณาเรื่องนี้กันที่จ.กระบี่ มีผู้อภิปรายไม่เห็นด้วย 31 คน เห็นด้วยเพียงคนเดียวก็ยังพยายามจะโหวต คนอีกจำนวนหนึ่งเขาเตรียมทำอะไรไว้ จนนายชวนต้องตัดสินใจโยนมาที่กรุงเทพฯ
       
       เมื่อมาโหวตกันในพรรคเสียงออกมาไม่เห็นด้วย 82 เห็นด้วย 48 ก็มีปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้น มีการล็อบบี้ มีการคาดโทษเกิดขึ้น สุดท้ายพลิกผันได้เพราะคนที่เขียนว่าเห็นด้วย เมื่อผ่านการตรวจแล้วก็เติมคำว่าไม่ลงไปข้างหน้า โดยเจ้าตัวเป็นคนเติมลงไปเอง และอ้างว่าเป็นมติพรรค ซึ่งถ้าเด็กๆ ในพรรคอาจจะสนุก แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่ในพรรคหลักการไม่เป็นอย่างนี้ บรรพบุรุษเราก็ไม่เป็นอย่างนี้ ถือว่ามีข้อบกพร่องในทางปฏิบัติ ทั้งนี้ สิ่งที่ตนพูดเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ คนจำนวนมากในพรรครู้สึกอย่างนี้ บางฝ่ายอาจคิดว่าตนใกล้ชิดท่านชวน จะถ่ายทอดไปยังนายชวน แต่ส่วนตัวนายชวนไม่เคยพูดอะไรถึงใคร เพราะไม่ชอบให้ใครมาเที่ยวตำหนินินทาใคร จึงไม่เคยพูดในเรื่องเหล่านี้
       
       • ชี้ถ้ามีโอกาสดีต้องหวัง กก.บห.ใหม่มาด้วยใจและความสามารถ
       
       เมื่อถามถึงการบอนไซผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ นายพิเชษฐอธิบายว่า มีบทความในหนังสือพิมพ์ว่า 111 คน 109 คน และบอนไซ 40 ในพรรคประชาธิปัตย์ มีคำอธิบายว่าประชาธิปัตย์ได้เปรียบที่สุดแล้วในขณะนั้น เพราะไม่ถูกยุบ เป็นโอกาสที่พรรคต้องเข้มแข็งเพราะมีคนที่มีความรู้ ความสามารถ มีผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรค แต่เหมือนให้ความเป็นธรรมกับพรรคอื่น เมื่อคนของเขาถูกพักเราก็ต้องเอาผู้ใหญ่มาพักบ้าง จึงมีคนรู้สึกว่ามีผู้ใหญ่ในพรรคถูกบอนไซ อยู่ที่บ้านเลขที่ 67 ไม่มีโอกาสออกมาแสดงบทบาท
       
       หลายคนที่ได้อ่านบทความทุกคนก็รู้สึกโดนใจ เช่น ที่ผ่านมานายไพฑูรย์ แก้วทอง อดีต รมว.แรงงาน คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถูกปรับออกจากการเป็นรัฐมนตรี ซึ่งทั้งคู่อายุประมาณ 70 ปี เรามองไม่เห็นเหตุผลว่าทำไม บางคนก็ไปสรุปว่าเพราะเขาแก่ ทั้งที่เขายังสามารถทำงานได้ ยิ่งมีผู้บริหารบางคนมาบอกว่าคนเหล่านี้เป็นยาหมดอายุ หมดสภาพแล้ว เขาพูดทำนองนี้นายชวนก็เงียบไป
       
       เมื่อถามว่าคาดหวังกับกรรมการบริหารชุดใหม่แค่ไหน นายพิเชษฐกล่าวว่า ต้องหวัง ถ้าเราคิดว่าพรรคเราจะมีโอกาสดีก็ต้องหวัง ที่มาต้องดี คนที่มาต้องมาด้วยใจที่อยากจะทำงาน มุ่งมั่นและมีความสามารถ ตนอยากให้มีคนอย่างนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ เยอะๆ ที่ไม่ยอมอะไรที่ไม่ถูกต้อง ขณะที่คนอื่นเงียบกริบกันหมด นอกจากนี้ ตนไม่อยากให้มีบางอย่างเกิดขึ้นกับพรรค เหมือนนายสัมพันธ์ ทองสมัคร ส.ส.13 สมัย อยากลง ส.ส.นครศรีธรรมราช แต่พรรคให้ขึ้นบัญชีรายชื่อลำดับ 48 เขาจะรู้สึกอย่างไร กลืนเลือดหรือไม่
       
       “ทำไมพรรคต้องสูญเสียคนเก่าคนแก่อย่างนายสัมพันธ์ และหลายคนที่ตกไป หลายคนเป็นคนใหม่ๆ ทำไมอยู่ลำดับที่ 10 กว่า 20 กว่า ก็ไม่มีคำตอบ คิดว่าอย่างไรน่าจะให้อยู่ลำดับที่ 30 ก็ยังดี คุณสัมพันธ์จึงรู้สึกว่าเหมือนถูกกำจัดออกไป บางคนเริ่มรู้สึกว่าถ้าเราไม่ตามใจ เราแข็ง เราพูดมาก วันหนึ่งจะถูกกำจัดแบบเดียวกัน แต่ผมไม่แคร์เพราะไม่กี่วันก็อายุ 70 ปีแล้ว มาถึงบั้นปลายทางการเมืองแล้ว” นายพิเชษฐกล่าว
       
       เมื่อถามว่าการออกมาพูดถึงเรื่องภายในพรรคประชาธิปัตย์จะทำให้เกิดความขัดแย้งในพรรคหรือไม่ กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าใจนักเลงเราพูดสิ่งที่เราควรแก้ไข ถ้าใจนักเลงพอไม่ควรจะเคืองกัน แต่ถ้ามาเคืองกันเมื่อมีใครพูดความจริง ถือว่าไม่นักเลงพอ แล้วคนที่ไม่นักเลงพอก็ไม่ต้องเกรงใจอะไรกันหรอก เพราะเขาไม่ใช่นักเลง

 
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 สิงหาคม 2554, 14:32:36
พี่จ๋า…ช่วยปูด้วย
25 กรกฎาคม 2554 Posttoday.com
 เหนื่อยครับ…น้องปูจ๋าของพี่ชายทักษิณ ยิ่งเขยิบใกล้เก้าอี้ไทยคู่ฟ้ามากเท่าไหร่  สายตรงถึงนครดูไบก็ถี่มากขึ้น

โดย...อสนีบาต

ผ่านพ้นไปอีกด่าน สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  สาวใหญ่มหัศจรรย์จากพรรคเพื่อไทย เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) รับรองการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อสมใจบ้านซอยโยธินพัฒนา  และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดไปกว่านี้ อย่างช้าน่าจะประมาณปลายเดือนสิงหาคม จะมีการเปิดประชุมรัฐสภา แต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และเข้าสู่ขั้นตอนเสนอขื่อ ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย สร้างเกียรติประวัติประดับวงศ์ตระกูลชินวัตรให้โลกหล้าได้แซ่ซ้อง “ พี่จ๋า… เราทำได้แล้ว”


ระหว่างนี้ แม้จะยังไม่ได้เลือกนายกฯ ยังไม่ได้ตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการ  แต่เมียงมองผู้นำโคลนนิ่ง  พยายามแสดงลีลาให้เห็นถึงความขมักเขม้น ไม่ว่าจะเป็นการประชุมทีมงานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยเพื่อยกร่างนโยบายรัฐบาล การแสดงถึงภาวะผู้นำสั่งแกนนำเผาเมืองให้หุบปากหยุดกดดันกกต.ได้แล้วเพราะตอนนี้เธอจะแก้ปัญหาปากท้องประชาชน เป็นการส่งเสียงไปถึงคุณป้าเข้าป่า คุณหมอพูดจาไม่รู้เรื่อง เข้าใจกันบ้างมั๊ย ช่วงกำลังสุขสมของเหล่าเสนาอำมาตย์ไม่ใช่เวลาที่ไพร่จะมาขัดจังหวะสร้างราคาจัดม็อบเติมเงินเหมือนแต่ก่อน 

ความขยันขันแข็งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ ถูกส่งผ่านออกมาเป็นภาพทางหน้าสื่อ เป็นที่ชื่นสะดือต่อผู้พบเห็นบดบังการเคลื่อนไหวของพวกเกิดมาเพื่อชุมนุมให้เป็นข่าวระดับรอง  เวลานี้แกนนำบ้าดีเดือดคนไหนคิดจะโชว์พาวต้องถอยไปเพราะเจ๊(ปู) ไม่ชอบ  ประโยคสายฟ้าฟาดของเธอที่บอกให้เสือแดงหยุดกดดันกกต. ทำให้ใครพบใครเห็นก็พูดกันปากต่อปาก นี่แหละหญิงแกร่งของพวกเรา ท่าทางมุ่งมั่นเพื่อชาติเสียเหลือเกิน 

ส่วนแกนนำเผาเมืองและว่าที่ส.ส.ที่ยังโดนแขวนครั้นเมื่อได้ยินสำเนียงเสียงหัวหน้าสาวก็ได้แต่สะอึกไปตามกัน ต้องออกมากัดฟันประกาศ เออ… เจ๊พูดได้ยอดเยี่ยมที่หนึ่งเลย

ทว่าท่าทีที่โชว์ออกมาภายนอกช่างดูดีมั่กมั่ก แต่อย่างว่า มีขาวต้องมีดำ  มีความดีงามต้องมีความทราม

มีเบื้องหน้าต้องมีเบื้องหลังและเป็นเบื้องหลังที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนซะด้วย

เพราะถึงแม้เธอจะออกอาการทุ่มเทในช่วงประชุมทีมงานด้วยการเรียกสื่อมวลชนเข้ามาบันทึกภาพช็อตสวยๆออกไปตีแผ่สาธารณะ  แต่ครั้นปิดประตูดังปั๊ง สภาพภายในห้องประชุมดูจะเป็นไปด้วยความดุเดือดกับการถกเถียงนโยบายนั้นนโยบายนี้ที่เคยประกาศหาเสียงกันไว้  ด้วยการกดไมค์สอบถาม

ถึงวันนี้มาไล่เรียงกันดูหน่อยนะคณะทีมงาน ทำได้หรือไม่ได้ ที่แน่ๆหนึ่งเสียงจากทีมงายยุทธศาสตร์ ปลอดประสพ สุรัสวดี สารภาพผ่านสื่อไปแล้วกับนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วไทย อาจเป็นลักษณะทยอยขึ้น ขึ้นเฉพาะบางจังหวัดเท่านั้น หรือบอกกันตรงๆ นโยบายที่ประกาศไว้เป็นแค่กลยุทธ์หาเสียงนะพี่น้อง ใครจะทำได้

ตอกย้ำอีกดอกเมื่อวันที่ 25 ก.ค.ผ่านข่าวหน้าหนึ่งโพสต์ทูเดย์ ด้วยการยอมรับว่าบรรดานโยบายหาเสียง เมื่อมานับนิ้วกดเครื่องคิดเลขต้องใช้งบประมาณมากโขต่อการปั้นฝันนโยบายให้เป็นจริง ทางออกตอนนี้ต้องไล่รื้องบประมาณที่ครม.มาร์คทำไว้เกือบทั้งหมด ทั้งงบผูกพันต้องรื้อทิ้งใหม่ โครงการประชานิยมยุคมาร์คอาจต้องพับเพื่อดูดเงินส่วนนั้นมาใช้กับนโยบายขายฝันของรัฐบาลชุดนี้

ล้วนเป็น สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันจึงส่งผ่านทางสีหน้าท่านผู้นำคนใหม่หลังออกจากห้องประชุมเหมือนซ่อนความกังวลไว้มากทีเดียว

เอาหล่ะ! ถึงแม้จะแต่งเติมด้วยแป้งโบ๊ะหน้าราคาแพง เซ็ทซอยทรงผมให้เปรี้ยวจี๊ด หรือคัดสรรชุดแต่งกายให้ดูเป็นเวิอคกิ้งวูเม้นส์  ซึ่งสามารถหลอกล่อสื่อสารมวลชนทั้งประเภทสั่งได้และพร้อมอยากให้สั่งสร้างข่าวเชิงสีสันต์สนุกสนาน   แต่สีสันก็ไม่ใช่สาระหลักของประเทศ จึงไม่อาจนำมาเป็นตัวช่วยในการแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังเผชิญสารพัดปัญหาได้

ระยะก่อนได้อำนาจต่างแข่งขันหาเสียงชิงชัยกันอย่างน่าตื่นเต้นแต่มาถึงระยะได้อำนาจและกำลังใช้อำนาจบริหารบ้านเมือง มันเริ่มระทึกใจกว่าเป็นไหนๆ 

การหาทางออกต่อการแก้ไขสถานการณ์ ณ ขณะนี้ ไม่ว่าจะด้วยคำพูด    “ตอนนี้ทำอะไรได้ไม่มากนักเพราะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งนายกฯเป็นทางการ…”   “ห้วงเวลานี้เราต้องอดทนก่อนนะคะ”  “ถึงอย่างไรขอยืนยันจะไม่ทำให้พ่อแม่พี่น้องผิดหวังแน่นอนคะ”   ทุกถ้อยคำพูดที่เผยอริมฝีปากถ่ายทอดออกมาอย่างน่าเห็นใจ โดยเฉพาะแฟนคลับผู้มีจิตใจอ่อนไหวก็อยากจะสงสารว่าที่นายกฯหญิงคนแรกเสียเหลือเกิน

**************************

ภาพที่สื่อสารต่อสาธารณะ ณ ขณะนี้    มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยว่า ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยกำลังทำงานเหมือนเป็นรัฐบาลเข้าไปครึ่งตัวแล้ว  ผ่านการจับจ้องจากสื่อมวลชนให้น้ำหนักตรวจสอบนโยบายที่เคยประกาศหาเสียงเอาไว้  อีกทั้งมุมมองความเห็นจากภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาชน ที่ดาหน้าวิพากษ์วิจารณ์นโยบายชนิดรายวัน  จะทำได้สัมฤทธิผลหรือเป็นแค่ดีแต่สวย 


หรือแม้แต่ทิศทางสร้างความปรองดองของคนในชาติ ภายใต้การนำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนคนไทยที่เทคะแนนสนับสนุนและหยามเหยียด  ใคร่อยากรู้เหลือเกินจะคงลีลาส่งสายตาสุดเซ็กซี่ให้หลงไหลไปกับคำพูดมาแก้ไขไม่แก้แค้น หรือจะหยิกแก้มตัวเองก่อนเรียกสติ บี้ไล่ถามต้องตอบมาให้ชัดมีจุดยืนอย่างไรกันแน่   ล้วนเป็นภาวะว่าที่นายกฯฉุยฉายรวมถึงบรรดาองครักษ์พิทักษ์นาง ต้องเปิดประตูหัวใจ พร้อมยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นว่าการตรวจสอบเริ่มขึ้นเร็วกว่ากำหนด

การที่ต้องเผชิญคำถามสื่อมวลชนระยะหลังมานี้เริ่มดุเดือดเข้มข้นขึ้นทุกขณะ   ครั้นจะกลับไปยึดรูปแบบตอบตามสคริ๊ป อธิบายหนึ่งสองสามสี่ให้สังคมเข้าใจอย่างนั้นอย่างนี้ ดูจะออกรสชาดฝืดๆยังไงชอบกล  ไม่แปลกที่เริ่มเห็นเทคนิคบ่ายเบี่ยงเลี่ยงตอบคำถามสื่อมวลชนในยามถูกต้อนใกล้จนมุมแบบในใจคงบอกตัวเองว่าดิฉันไปไม่ถูกแล้วค่ะ เริ่มให้เห็นกันบ้างแล้ว         

เพราะความไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมือง  ต้องยืนอยู่ท่ามกลางการจับจ้องตรวจสอบจากสังคมนักการเมืองด้วยกันเอง  สื่อมวลชน  ภาคประชาชน และ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ด้วยแล้วมันจึงไม่ง่ายเหมือนเป็นผู้บริหารบริษัทเอกชนที่มุ่งสร้างผลกำไรให้กับองค์กรอย่างแน่นอน

เหนื่อยครับ…น้องปูจ๋าของพี่ชายทักษิณ ยิ่งใกล้เขยิบบั้นท้ายเข้าไปนั่งเก้าอี้ไทยคู่ฟ้ามากเท่าไหร่  สายตรงจากซอยโยธินพัฒนา3ถึงนครดูไบก็ถี่มากขึ้นเท่านั้น

ในเมื่อตัวจริงไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่เซ็นใบมอบอำนาจให้คุณน้องโคลนนิ่งต้องสัมผัสของจริง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารประเทศตามนโยบายที่ให้สัญญาประชาชนกันเอาไว้แล้ว  ยังต้องจัดวางตำแหน่งสมนาคุณ  ท่านเสือ สิงห์ กระทิง แรด ภายในพรรค ให้มีความลงตัวที่สุด แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการจัดสรรตำแหน่งย่อมมีทั้งผู้เริงร่าและเสียใจเก็บมีดซ่อนหลังรอวันทิ่มแทงถ้ามีโอกาส

ขณะเดียวกันยังจะต้องทำตัวให้เป็นประหนึ่งนางงามมิตรภาพ กระชับสัมพันธ์บรรดากองกำลังมวลชนที่อุตส่าห์หนุนนำขึ้นเป็นใหญ่ แต่วันเวลาพลิกเปลี่ยนนับวันเริ่มมองหน้ามองตากันในลักษณะไม่ไว้วางใจ กันซะแล้ว

บอกแล้ว ยังไม่ทันบริหารประเทศเจอขนาดนี้ ถึงวันครองอำนาจเต็มตัวจะหนักหนาขนาดไหน  ถามว่าจะทำยังไงกันดี  มองซ้ายมองขวาดูว้าเหว่เสียจริง  ก็เหลือแต่ต่อสายปรับทุกข์กันไปว่า  “พี่จ๋าช่วยปูด้วย”



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 01 สิงหาคม 2554, 16:35:15

ว๊า.... เรื่องนี้ พี่ตะวัน เคยบอกน้องปูเรื่องนี้ เเล้วนี่นา เมื่อหลายวันก่อน นู้น น้องปูจำได้

 เอาเรื่องใหม่ๆมั่งดิ น้องปูจะได้ปรับปรุงตัว ให้ถูกใจพี่ตะวัน

ช่วงนี้น้องปูนอนไม่ค่อยหลับ ตาก็ช้ำ ใต้ตาปูด หน้าก็ซีด ไม่ได้ให้ stylist ตามติดตัว

กลุ้มใจเหมือนกันเพราะข่าวว่าพี่แอ๊ะคอยดู การเเต่งตัวของน้องปู ชุด working woman ทุกวัน

ข่าวว่าพี่เเอ๊ะ เอาเเบบเสื้อไปcopy หลายเเบบแล้ว เเต่ copy เท่าไรก็ไม่เหมือนหรอกค่ะ

เพราะของปูเเบรนด์ ดังๆ ทั้งนั้น เข็มขัดก็ HERMES  ผ้าพันคอก็ paul smith พี่แอ๊ะใช้เเต่โอทอป ยโส

ที่สำคัญหุ่นพี่เเอ๊ะก็อ้วนเตี้ย เเล้วจะสู้หุ่นปูได้หรือ ปูเดินเก่งนะ

ใส่รองเท้าสวยๆก็นเดินได้ เห็นพี่เเอ๊ะใส่เเต่รองเท้าผ้าใบไปเล่นกีฬา ไม่สวยเยยยยยยยยยยย 55555



อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 01 สิงหาคม 2554, 14:32:36
พี่จ๋า…ช่วยปูด้วย
25 กรกฎาคม 2554 Posttoday.com
 เหนื่อยครับ…น้องปูจ๋าของพี่ชายทักษิณ ยิ่งเขยิบใกล้เก้าอี้ไทยคู่ฟ้ามากเท่าไหร่  สายตรงถึงนครดูไบก็ถี่มากขึ้น

โดย...อสนีบาต

ผ่านพ้นไปอีกด่าน สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  สาวใหญ่มหัศจรรย์จากพรรคเพื่อไทย เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) รับรองการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อสมใจบ้านซอยโยธินพัฒนา  และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดไปกว่านี้ อย่างช้าน่าจะประมาณปลายเดือนสิงหาคม จะมีการเปิดประชุมรัฐสภา แต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และเข้าสู่ขั้นตอนเสนอขื่อ ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย สร้างเกียรติประวัติประดับวงศ์ตระกูลชินวัตรให้โลกหล้าได้แซ่ซ้อง “ พี่จ๋า… เราทำได้แล้ว”


ระหว่างนี้ แม้จะยังไม่ได้เลือกนายกฯ ยังไม่ได้ตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการ  แต่เมียงมองผู้นำโคลนนิ่ง  พยายามแสดงลีลาให้เห็นถึงความขมักเขม้น ไม่ว่าจะเป็นการประชุมทีมงานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยเพื่อยกร่างนโยบายรัฐบาล การแสดงถึงภาวะผู้นำสั่งแกนนำเผาเมืองให้หุบปากหยุดกดดันกกต.ได้แล้วเพราะตอนนี้เธอจะแก้ปัญหาปากท้องประชาชน เป็นการส่งเสียงไปถึงคุณป้าเข้าป่า คุณหมอพูดจาไม่รู้เรื่อง เข้าใจกันบ้างมั๊ย ช่วงกำลังสุขสมของเหล่าเสนาอำมาตย์ไม่ใช่เวลาที่ไพร่จะมาขัดจังหวะสร้างราคาจัดม็อบเติมเงินเหมือนแต่ก่อน 

ความขยันขันแข็งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ ถูกส่งผ่านออกมาเป็นภาพทางหน้าสื่อ เป็นที่ชื่นสะดือต่อผู้พบเห็นบดบังการเคลื่อนไหวของพวกเกิดมาเพื่อชุมนุมให้เป็นข่าวระดับรอง  เวลานี้แกนนำบ้าดีเดือดคนไหนคิดจะโชว์พาวต้องถอยไปเพราะเจ๊(ปู) ไม่ชอบ  ประโยคสายฟ้าฟาดของเธอที่บอกให้เสือแดงหยุดกดดันกกต. ทำให้ใครพบใครเห็นก็พูดกันปากต่อปาก นี่แหละหญิงแกร่งของพวกเรา ท่าทางมุ่งมั่นเพื่อชาติเสียเหลือเกิน 

ส่วนแกนนำเผาเมืองและว่าที่ส.ส.ที่ยังโดนแขวนครั้นเมื่อได้ยินสำเนียงเสียงหัวหน้าสาวก็ได้แต่สะอึกไปตามกัน ต้องออกมากัดฟันประกาศ เออ… เจ๊พูดได้ยอดเยี่ยมที่หนึ่งเลย

ทว่าท่าทีที่โชว์ออกมาภายนอกช่างดูดีมั่กมั่ก แต่อย่างว่า มีขาวต้องมีดำ  มีความดีงามต้องมีความทราม

มีเบื้องหน้าต้องมีเบื้องหลังและเป็นเบื้องหลังที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนซะด้วย

เพราะถึงแม้เธอจะออกอาการทุ่มเทในช่วงประชุมทีมงานด้วยการเรียกสื่อมวลชนเข้ามาบันทึกภาพช็อตสวยๆออกไปตีแผ่สาธารณะ  แต่ครั้นปิดประตูดังปั๊ง สภาพภายในห้องประชุมดูจะเป็นไปด้วยความดุเดือดกับการถกเถียงนโยบายนั้นนโยบายนี้ที่เคยประกาศหาเสียงกันไว้  ด้วยการกดไมค์สอบถาม

ถึงวันนี้มาไล่เรียงกันดูหน่อยนะคณะทีมงาน ทำได้หรือไม่ได้ ที่แน่ๆหนึ่งเสียงจากทีมงายยุทธศาสตร์ ปลอดประสพ สุรัสวดี สารภาพผ่านสื่อไปแล้วกับนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วไทย อาจเป็นลักษณะทยอยขึ้น ขึ้นเฉพาะบางจังหวัดเท่านั้น หรือบอกกันตรงๆ นโยบายที่ประกาศไว้เป็นแค่กลยุทธ์หาเสียงนะพี่น้อง ใครจะทำได้

ตอกย้ำอีกดอกเมื่อวันที่ 25 ก.ค.ผ่านข่าวหน้าหนึ่งโพสต์ทูเดย์ ด้วยการยอมรับว่าบรรดานโยบายหาเสียง เมื่อมานับนิ้วกดเครื่องคิดเลขต้องใช้งบประมาณมากโขต่อการปั้นฝันนโยบายให้เป็นจริง ทางออกตอนนี้ต้องไล่รื้องบประมาณที่ครม.มาร์คทำไว้เกือบทั้งหมด ทั้งงบผูกพันต้องรื้อทิ้งใหม่ โครงการประชานิยมยุคมาร์คอาจต้องพับเพื่อดูดเงินส่วนนั้นมาใช้กับนโยบายขายฝันของรัฐบาลชุดนี้

ล้วนเป็น สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันจึงส่งผ่านทางสีหน้าท่านผู้นำคนใหม่หลังออกจากห้องประชุมเหมือนซ่อนความกังวลไว้มากทีเดียว

เอาหล่ะ! ถึงแม้จะแต่งเติมด้วยแป้งโบ๊ะหน้าราคาแพง เซ็ทซอยทรงผมให้เปรี้ยวจี๊ด หรือคัดสรรชุดแต่งกายให้ดูเป็นเวิอคกิ้งวูเม้นส์  ซึ่งสามารถหลอกล่อสื่อสารมวลชนทั้งประเภทสั่งได้และพร้อมอยากให้สั่งสร้างข่าวเชิงสีสันต์สนุกสนาน   แต่สีสันก็ไม่ใช่สาระหลักของประเทศ จึงไม่อาจนำมาเป็นตัวช่วยในการแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังเผชิญสารพัดปัญหาได้

ระยะก่อนได้อำนาจต่างแข่งขันหาเสียงชิงชัยกันอย่างน่าตื่นเต้นแต่มาถึงระยะได้อำนาจและกำลังใช้อำนาจบริหารบ้านเมือง มันเริ่มระทึกใจกว่าเป็นไหนๆ 

การหาทางออกต่อการแก้ไขสถานการณ์ ณ ขณะนี้ ไม่ว่าจะด้วยคำพูด    “ตอนนี้ทำอะไรได้ไม่มากนักเพราะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งนายกฯเป็นทางการ…”   “ห้วงเวลานี้เราต้องอดทนก่อนนะคะ”  “ถึงอย่างไรขอยืนยันจะไม่ทำให้พ่อแม่พี่น้องผิดหวังแน่นอนคะ”   ทุกถ้อยคำพูดที่เผยอริมฝีปากถ่ายทอดออกมาอย่างน่าเห็นใจ โดยเฉพาะแฟนคลับผู้มีจิตใจอ่อนไหวก็อยากจะสงสารว่าที่นายกฯหญิงคนแรกเสียเหลือเกิน

**************************

ภาพที่สื่อสารต่อสาธารณะ ณ ขณะนี้    มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยว่า ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยกำลังทำงานเหมือนเป็นรัฐบาลเข้าไปครึ่งตัวแล้ว  ผ่านการจับจ้องจากสื่อมวลชนให้น้ำหนักตรวจสอบนโยบายที่เคยประกาศหาเสียงเอาไว้  อีกทั้งมุมมองความเห็นจากภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาชน ที่ดาหน้าวิพากษ์วิจารณ์นโยบายชนิดรายวัน  จะทำได้สัมฤทธิผลหรือเป็นแค่ดีแต่สวย 


หรือแม้แต่ทิศทางสร้างความปรองดองของคนในชาติ ภายใต้การนำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนคนไทยที่เทคะแนนสนับสนุนและหยามเหยียด  ใคร่อยากรู้เหลือเกินจะคงลีลาส่งสายตาสุดเซ็กซี่ให้หลงไหลไปกับคำพูดมาแก้ไขไม่แก้แค้น หรือจะหยิกแก้มตัวเองก่อนเรียกสติ บี้ไล่ถามต้องตอบมาให้ชัดมีจุดยืนอย่างไรกันแน่   ล้วนเป็นภาวะว่าที่นายกฯฉุยฉายรวมถึงบรรดาองครักษ์พิทักษ์นาง ต้องเปิดประตูหัวใจ พร้อมยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นว่าการตรวจสอบเริ่มขึ้นเร็วกว่ากำหนด

การที่ต้องเผชิญคำถามสื่อมวลชนระยะหลังมานี้เริ่มดุเดือดเข้มข้นขึ้นทุกขณะ   ครั้นจะกลับไปยึดรูปแบบตอบตามสคริ๊ป อธิบายหนึ่งสองสามสี่ให้สังคมเข้าใจอย่างนั้นอย่างนี้ ดูจะออกรสชาดฝืดๆยังไงชอบกล  ไม่แปลกที่เริ่มเห็นเทคนิคบ่ายเบี่ยงเลี่ยงตอบคำถามสื่อมวลชนในยามถูกต้อนใกล้จนมุมแบบในใจคงบอกตัวเองว่าดิฉันไปไม่ถูกแล้วค่ะ เริ่มให้เห็นกันบ้างแล้ว         

เพราะความไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมือง  ต้องยืนอยู่ท่ามกลางการจับจ้องตรวจสอบจากสังคมนักการเมืองด้วยกันเอง  สื่อมวลชน  ภาคประชาชน และ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ด้วยแล้วมันจึงไม่ง่ายเหมือนเป็นผู้บริหารบริษัทเอกชนที่มุ่งสร้างผลกำไรให้กับองค์กรอย่างแน่นอน

เหนื่อยครับ…น้องปูจ๋าของพี่ชายทักษิณ ยิ่งใกล้เขยิบบั้นท้ายเข้าไปนั่งเก้าอี้ไทยคู่ฟ้ามากเท่าไหร่  สายตรงจากซอยโยธินพัฒนา3ถึงนครดูไบก็ถี่มากขึ้นเท่านั้น

ในเมื่อตัวจริงไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่เซ็นใบมอบอำนาจให้คุณน้องโคลนนิ่งต้องสัมผัสของจริง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารประเทศตามนโยบายที่ให้สัญญาประชาชนกันเอาไว้แล้ว  ยังต้องจัดวางตำแหน่งสมนาคุณ  ท่านเสือ สิงห์ กระทิง แรด ภายในพรรค ให้มีความลงตัวที่สุด แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการจัดสรรตำแหน่งย่อมมีทั้งผู้เริงร่าและเสียใจเก็บมีดซ่อนหลังรอวันทิ่มแทงถ้ามีโอกาส

ขณะเดียวกันยังจะต้องทำตัวให้เป็นประหนึ่งนางงามมิตรภาพ กระชับสัมพันธ์บรรดากองกำลังมวลชนที่อุตส่าห์หนุนนำขึ้นเป็นใหญ่ แต่วันเวลาพลิกเปลี่ยนนับวันเริ่มมองหน้ามองตากันในลักษณะไม่ไว้วางใจ กันซะแล้ว

บอกแล้ว ยังไม่ทันบริหารประเทศเจอขนาดนี้ ถึงวันครองอำนาจเต็มตัวจะหนักหนาขนาดไหน  ถามว่าจะทำยังไงกันดี  มองซ้ายมองขวาดูว้าเหว่เสียจริง  ก็เหลือแต่ต่อสายปรับทุกข์กันไปว่า  “พี่จ๋าช่วยปูด้วย”




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 02 สิงหาคม 2554, 06:33:02
แหม๋ พี่ตะวันก็  ว่าน้องปูยาวๆ จังเลย วิจารณ์น้องปูที่ละท่อนก็ได้ น้องปูจะอ่านได้ไม่เบื่อ ยาวไปน้องปูอ่านไม่ไหว

เมื่อวานพี่ตะวันได้ดูข่าวน้องปูเปิดประชุมสภาไหมคะ ปูเปลียนทรงผมใหม่เเล้วนะ ไม่เซ็กซี่เหมือนเดิม พี่ตะวันต้องชอบ new

look ของน้องปูนะ อุตส่าห์ทำทุกอย่างให้พี่ตะวันชอบเเล้ว ยังไม่รักปูอีก เเล้วจะให้ปูทำอะไรต่อคะ

พี่เเอ๊ะเขาเริ่มจะรักปูเเล้วนะ เขาจะได้พบกับปูเร็วๆนี้ค่ะ พี่เเอ๊ะคงจะมารายงานให้พี่ตะวันทราบ พี่ตะวันจะได้รักปูขึ้นมาบ้าง

ปูใส่ชุดราชการ สวยไหมคะ เด่วปูก็จะได้สายสะพาย แล้วก็ได้เป็นคุณหญิง พี่ตะวันอย่าอิจฉาปูอีกล่ะ

ผู้ชายเป็นนายก เขาไม่ให้เป็นคุณชาย เเต่พี่ตะวันให้ตำเเหน่งคุณชายกับพี่มาร์คเเล้วนี่

อ๋อ... ปูมีเรื่องสำคัญจะบอกนะ พี่ตะวันคงรูจัก คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ นะเขาเป็นักเขียนจบนิเทศจุฬา ไม่ทราบว่ารุ่นเดียว

กับพี่ตะวันหรือเปล่า มติชน และ ประชาติธุรกิจ เขาจัดการเรียบร้อยโรงเรียน พี่ทั๊กกี้เเล้ว มิไย ที่พี่แอ๊ะจะขอร้อง ว่าเขาเป็นคนดี

มากๆ เเต่ปูว่าไม่ไหวค่ะ ต้องเชือดคอไก่ให้ลิงดูซะบ้าง

ให้ออกซะเลย  อยากเขียนข่าววิจารณ์ ครอบครัวปูดีนัก

พี่ตะวันก็เหอะ ด่าปูเบาะๆก็ได้ เด่วปูปิดเวบหอจุฬาซะหรอก  ปูสงสารพี่แอ๊ะเด่วพี่แอ๊ะต้องมาลอบบี้ปูอีก

เรื่องเล็กๆปูไม่อยากทำ ปูอยากทำเรื่องใหญ่ๆค่ะ นโยบายที่ให้ไว้กับประชาชนมากเหลือเกิน จนปูจำไม่ได้เเล้ว

คอยเตือนปูด้วยนะ พี่ตะวันคนดีที่หนึ่งเลยค่ะ  รักพี่ตะวันจนอกจะเเตกตายอยู่เเล้ว บาย บาย วันนี้ลาก่อนะคะพี่ตะวันขา


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 02 สิงหาคม 2554, 19:11:26
พี่ตะวันขา

ปู เขียน post หาพี่ตะวัน ทำไม่ตอบปูละคะ คิดถึงค่ะ อย่าให้ปูรอเก้อนะคะ

พี่แอ๊ะก็คิดถึงพี่ตะวันค่ะ[/color]


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 02 สิงหาคม 2554, 19:13:11

วันนี้ปูเข้ามาดูทั้งวันเลย ไม่เป็นอันทำงานเพราะอยากทราบความเห็นของพี่ตะวันเกี่ยวกับปูบ้าง เเนะนำปูบ้างนะคะ  เป็นประโยชน์มากค่ะ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 02 สิงหาคม 2554, 20:54:10
 พี่ตะวันหายไปไหน ไม่มาคุยกับปูเยยยยยยยยยยย

พี่แอ๊ะเขาจะเข้านอนเเล้ว เเล้วเขาจะไปกรุงเทพพรุ่งนี้

หากพี่ตะวันงอนปูไม่คุยกับปู ปูก็เหงาดิ

เห็นพี่แอ๊ะส่งข่าวว่า บ้านพี่แอ๊ะที่กรุงเทพ ใช้เนตยาก พี่แอ๊ะคงหายไปหลายวัน

พี่เเอ๊ะเเกเเก่ซื่อบื้อ ใช้เนตไม่ค่อยเป็นหากไม่เข้าเครื่องคอมของพี่แอ๊ะเอง

หากพี่ตะวันไม่ยอมคุยกับปู พี่เเอ๊ะก็ไม่ว่าง ปูเหงาเเย่เลยค่ะ

ว่าปูก็ได้นะ ปูไม่ถือหรอก จะได้ไปปรับปรุงตัวเองให้รับใช้พี่น้องประชาชนได้

ประโยคนี้ปูจำได้ขึ้นใจเลยค่ะ รับใช้พี่น้องประชาชนน่ะค่ะ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 02 สิงหาคม 2554, 20:58:05
เอ.. ปูเห็นพี่อ้อย 14 อยู่ไวๆ คุยกับปูบ้างดิ เราคนเหนือเหมือนกันนะ อาจจะรักปูบ้าง

อู้คำเมืองเหมือนกั๋น

พี่ตะวันเขาเป็นคนใต้เลยไม่ชอบปูก็ได้


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 02 สิงหาคม 2554, 21:35:28
คั่นเวลาระหว่างรอเพื่อนตะวัน อดีตRoommateขอตอบแทนก่อนครับพี่แอ๊ะ

Medical Professionals

A doctor from Israel says:
 "In Israel the medicine is so advanced that we cut off a man's testicles; we put them into another man, and in 6 weeks he is looking for work."

The German doctor comments:
"That's nothing, in Germany we take part of the brain out of a person; we put it into another person's head, and in 4 weeks he is looking for work."

A Russian doctor says:
"That's nothing either.  In Russia we take out half of the heart from a person; we put it into another person's chest, and in 2 weeks he is looking for work."

The Thai doctor answers immediately:
"That's nothing my colleagues, you are way behind us....in Thailand , we grabbed a person with no brains, no heart, and no boob....we made her Prime Minster of Thailand and now.......
the whole bloody country is looking for work  !!!!!!"

 55555555

หมอไทยนี่เก่งจริงๆ
ผมปล่าวแซวพี่หมอหาญที่เคารพนะครับ  emo30:sorry:


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 สิงหาคม 2554, 22:43:36
อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 02 สิงหาคม 2554, 19:11:26
พี่ตะวันขา

ปู เขียน post หาพี่ตะวัน ทำไม่ตอบปูละคะ คิดถึงค่ะ อย่าให้ปูรอเก้อนะคะ

พี่แอ๊ะก็คิดถึงพี่ตะวันค่ะ[/color]
วันนี้ไม่ว่างทั้งวันครับ พา ผบทบ.ไปหาหมอ หลายหมอ นี่เพิ่งกลับมาครับ
แล้วจะมาตอบอย่างยืดยาว พรุ่งนี้ครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 03 สิงหาคม 2554, 10:05:50

555. ช่ายเเล้ว ๆๆๆๆ น้องโสภณ คอยดูกันอีกนิดนะคะ ใจเย็นๆค่ะ เดี๋ยวรายชื่อก็ออกมา กำลังปรึกษากันอยู่ค่ะ

 รอๆๆก็เเล้วกัน ทีมงานกำลังทำงานกันอยู่ เพื่อปากท้องของพี่น้องประชาชน ตอนนี้บอกอะไรไม่ได้ กำลังทำงานกันค่ะ ใจเย็นๆค่ะ


อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 02 สิงหาคม 2554, 21:35:28
คั่นเวลาระหว่างรอเพื่อนตะวัน อดีตRoommateขอตอบแทนก่อนครับพี่แอ๊ะ

Medical Professionals

A doctor from Israel says:
 "In Israel the medicine is so advanced that we cut off a man's testicles; we put them into another man, and in 6 weeks he is looking for work."

The German doctor comments:
"That's nothing, in Germany we take part of the brain out of a person; we put it into another person's head, and in 4 weeks he is looking for work."

A Russian doctor says:
"That's nothing either.  In Russia we take out half of the heart from a person; we put it into another person's chest, and in 2 weeks he is looking for work."

The Thai doctor answers immediately:
"That's nothing my colleagues, you are way behind us....in Thailand , we grabbed a person with no brains, no heart, and no boob....we made her Prime Minster of Thailand and now.......
the whole bloody country is looking for work  !!!!!!"

 55555555

หมอไทยนี่เก่งจริงๆ
ผมปล่าวแซวพี่หมอหาญที่เคารพนะครับ  emo30:sorry:


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 03 สิงหาคม 2554, 10:08:44
 โอ... พี่ตะวันน่ารักจัง ดูแลภรรยาดีมาก

สามีปู ปูก็ไม่ค่อยมีเวลาดูแลเลย

 สามีเขาก็ไม่ค่อยดูเเลปู   ทำไงดีคะพี่ตะวัน

อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 02 สิงหาคม 2554, 22:43:36
อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 02 สิงหาคม 2554, 19:11:26
พี่ตะวันขา

ปู เขียน post หาพี่ตะวัน ทำไม่ตอบปูละคะ คิดถึงค่ะ อย่าให้ปูรอเก้อนะคะ

พี่แอ๊ะก็คิดถึงพี่ตะวันค่ะ[/color]
วันนี้ไม่ว่างทั้งวันครับ พา ผบทบ.ไปหาหมอ หลายหมอ นี่เพิ่งกลับมาครับ
แล้วจะมาตอบอย่างยืดยาว พรุ่งนี้ครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 สิงหาคม 2554, 12:58:45
ตอนนี้ขอเปลี่ยนชื่อ ผู้ร้าย จากปู เป็น ยิ่งยี้ นะครับ เพราะย้งยี้ เป็นนางเอก
ตัวร้ายก็ต้องเป็น ยิ่งยี้...เหมาะสมแล้วคร้าบ....
เฮ้อ..สบายใจ ยิ่งเราชอบกินปูอยู่ พูดถึงปูแดงบ่อยๆ พาบเลิกกินปูไปเลย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 สิงหาคม 2554, 13:32:23
ในฐานะที่พี่แอ๊ะ เป็นสะใภ้ ข้าวเหนียวอีสาน
ขอเสนอบทความนี้ มาแทรกเรื่อง ยิ่งยี้

ข้าวเหนียวอีสาน ในกำมือทักษิณ
03 สิงหาคม 2554 posttofay online
 การตั้ง ครม.ยิ่งลักษณ์ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง

โดย...ทีมข่าวการเมือง

การตั้ง ครม.ยิ่งลักษณ์ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง

มีแต่โครงแค่บางตำแหน่ง แต่ยังสลับได้ในนาทีสุดท้าย

ผ่านมา 30 วัน แกนนำพรรคระดับเต็งจ๋าตั้งแต่ออกสตาร์ต พอทิ้งโค้งสุดท้ายหลายคนเริ่มแผ่วปลาย ไม่ว่า โอฬาร ไชยประวัติ สุชาติธาดาธำรงเวช ที่เริ่มหลุดนอกวงโคจร “ครม.ปูจ๋า 1”

และก็เป็นไปตามที่ ทักษิณ ชินวัตร บอก ครม.ใหม่ จะหน้าตาดี จะมีคนนอก 4-5 ตำแหน่ง

เป็นที่มาของรายชื่ออย่าง วิชิต สุรพงษ์ชัย นั่งรองนายกฯ ควบ รมว.คลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ว่าที่ รมว.พาณิชย์ วิกรม คุ้มไพโรจน์ ว่าที่ รมว.ต่างประเทศ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯ

การได้คนนอกที่เป็น เทคโนแครต ตรงสายงาน ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน เป็นแรงส่งให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เดินหน้านโยบายประชานิยมที่หาเสียง ว่าไม่มีผลกระทบต่อปัญหาเงินเฟ้อ

แต่การดึงคนนอกก็สร้างปัญหาในพรรค เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีที่จะแบ่งให้แกนนำ และลูกพรรค ก็เหลือน้อยลง

แค่ปัจจุบันก็หน้าเขียว แย่งกันฝุ่นตลบ ถ้าถูกกันไปอีก 5 เก้าอี้ ก็ต้องมีผู้เสียสละเพิ่มอีก

 


โควตารัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยอยู่ที่ 28-30 จาก 35 เก้าอี้ โดย 5 เก้าอี้ต้องแบ่งให้พรรคร่วม ซึ่งวันนี้ยังเกลี่ยกระทรวงไม่เสร็จ

ในพรรคเพื่อไทยอยู่ในภาวะอัดอั้นอยากเป็นรัฐมนตรีกันสูง

แกนนำตัวเอ้ที่ต้องได้ คือ ทีมยุทธศาสตร์ที่ประชุมร่างนโยบายรัฐบาลร่วม 20 คน

ยังมี สส.อาวุโส แกนนำระดับจังหวัด ที่ยกทีมเข้าสภา หลังต่อคิวมานานตั้งแต่ยุคไทยรักไทย พลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย

ปัญหาใหญ่ในการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี จาก “คนแน่น-แกนนำคับ” ยังมีประเด็นโควตาภาคต่างๆ ที่ต้องกระจายทั่วถึง
 โดยเฉพาะภาคอีสาน ที่ลูกพรรคกดดันว่า ต้องมีเก้าอี้มากกว่าทุกภาค

เพราะเป็นฐานเสียงใหญ่ของพรรค และมี สส.ทะลักเข้ามาถึง 104 ที่นั่ง

มีการอ้างว่า ถ้าภาคอีสานไม่ทะลุเป้าขนาดนี้ เพื่อไทยก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล

ภาคอีสานจึงควรได้รัฐมนตรี มากกว่าทุกภาค เพราะต้องทำให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยตอบแทนคนอีสานที่ส่วนใหญ่เป็นคนชั้นล่าง
 และเพื่อกระจายความรับผิดชอบในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย

ถ้าเปรียบว่า พรรคประชาธิปัตย์ผูกขาดภาคใต้ พรรคเพื่อไทยก็ต้องยึดภาคอีสานให้ได้
ถ้าชนะในภาคอีสานถล่มทลายอย่างนี้ทุกครั้ง ก็ผูกขาดเป็นรัฐบาล 99.99%

เพราะภาคอีสานมี สส.มากกว่าทุกภาค คือ 126 ที่นั่ง

ดังนั้น พรรคเพื่อไทยต้องดูแล สส.อีสาน ร้องขออะไรอย่าขัดขืน แกนนำบางรายได้ทีกดดันว่า ถ้าอีสานได้รัฐมนตรีน้อย

พรรคกระเพื่อม!

โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ที่ได้ยกทีม เช่น อุดรธานี นครราชสีมา ร้อยเอ็ด “หนองคายบึงกาฬ” สุรินทร์ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ เลย
ต้องจัดเก้าอี้รัฐมนตรีให้ถ้วนทั่ว

บางรายทนไม่ไหว วิ่งไปหาทักษิณที่ “ดูไบ–บรูไน”

ข้ออ้างที่ว่าพรรคต้องทำอีสานให้เข้มแข็ง เหมือนการปั้นข้าวเหนียว

แต่ถ้าเข้มแข็งแบบจัดเต็มถึง 10 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยคงปวดหัวและทำให้การจัด ครม.รอบนี้ไม่หลากหลาย

ยุทธศาสตร์ทักษิณ จึงตอนเก้าอี้ให้เหลือน้อยที่สุด ในโควตาภาคต่างๆ เพื่อเปิดทางให้กับก๊วนคนนอกที่เป็นสายตรงทักษิณ

จากโควตา 10 เก้าอี้ของภาคอีสาน ทักษิณตัดเหลือ 8
และเมื่อ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และ เจริญ จรรย์โกมล ได้รับเลือกเป็นประธานสภาและรองประธานสภา โควตารัฐมนตรีจึงลดเหลือ 6

ทักษิณไม่สนคำขู่ของ “แหล่งข่าว” ภาคอีสานตามหน้าสื่อ ว่าอาจลามไปถึงปัญหาความขัดแย้งในพรรค โดยเฉพาะการนำ กทม.มาเปรียบที่ได้เพียง 10 ที่นั่ง แต่กลับได้ถึง 2 ที่นั่ง คือ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อุดมเดช รัตนเสถียร ที่คาดการณ์จะเป็น รมว.สาธารณสุข และ1 รมช.

ยังไม่นับ 1 ตำแหน่งรัฐมนตรีทางอ้อม คือ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย สายตรงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่คาดว่าจะนั่งรองนายกฯ หรือไม่ก็ รมว.มหาดไทย

ถ้าเทียบกับภาคอีสาน เดิมคิดอัตราส่วน10 : 1 คือ 10 เก้าอี้รัฐมนตรี แต่ถ้าหดเหลือ 8 ที่นั่ง ก็จะเป็น 13 : 1 ขณะที่ กทม.ได้เปรียบกว่าที่ 5 : 1

ขุนพลภาคอีสานไม่สามารถกดดันทักษิณได้ เพราะขนาดแกนนำเพื่อไทย ร.ต.อ.เฉลิมอยู่บำรุง ยังไม่กล้าหือกับทักษิณ

สถานภาพระหว่างลูกพรรคกับทักษิณเป็นเสมือนผู้มีพระคุณ ดังนายจ้างกับลูกจ้าง
 สะท้อนชัดจากคำเรียกทักษิณว่า “นายใหญ่” บ้างก็ถึงขั้น “เจ้านาย”

สำหรับแกนนำภาคอีสาน ที่ชนะยกจังหวัด ก็ไม่ใช่มาจากความสามารถของตัว สส.
 เอาเข้าจริงเป็นเพราะ “กระแสทักษิณ” กับ “กระแสเสื้อแดง” ผนึกเป็นสึนามิถล่มคู่แข่งราบคาบ

ขณะที่ สส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้เป็นเอกภาพ มีความพยายามรวมพลังปั้นข้าวเหนียวหลายรอบ
ตั้งแต่สมัยไทยรักไทย แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ตั้งกันตามมุ้ง ตามกลุ่ม เพื่อต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี
จนที่สุดก็ถูกทักษิณสลายและได้มาเพราะกระแสเสื้อแดง

ดังนั้นอย่าว่าแต่ภาคไหนจะมากดดัน ต่อรองทักษิณ คนที่พูดไม่เข้าหู ก็จะถูกขึ้น บัญชีดำของทักษิณโดยไม่รู้ตัว และไม่ได้ดีในเก้าอี้รัฐมนตรี

เพราะพรรคเพื่อไทย ยังเป็นสถาบันของทักษิณนั่นแล ...

ยายยิ่งยี้จะมีน้ำยาอะไร..สุดท้ายคือ หุ่นเชิด ที่คอยแต่งตัวสวยๆมาจีบปากจีบคอว่า อะฮั้นตั้งเอง ครม.ชุดนี้...จริงๆนะ เชื่อเถอะ



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 สิงหาคม 2554, 14:02:25
มาconfirm เรื่องยิ่งยี้ เป็นหุ่นเชิด

'ทักษิณ'เล็งเศรษฐีอันดับ 10'อิสระ'เสียบรมว.พาณิชย์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"ทักษิณ"รื้อโผครม.รายวันเปิดทางเศรษฐีอันดับ 10'อิสระ ว่องกุศลกิจ'ตัวแทนกลุ่ม'บ้านปู-มิตรผล'นั่งรมว.พาณิชย์ ลด"กิตติรัตน์"เหลือแค่รมช.

 แหล่งข่าวระดับสูงพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงการจัดโผ ครม. "ยิ่งลักษณ์ 1" ว่า ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ปรับรื้อโผ ครม.ที่เคยกำหนดตัวบุคคลเอาไว้แล้วอีกระลอก โดยเฉพาะรายชื่อคนนอกที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชน อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้อีก เวลานี้ ผู้ที่พิจารณารายชื่อตำแหน่งรัฐมนตรีต่างๆ มีเพียง 3 คน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์


 "ขณะนี้รายชื่อทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจคนนอกที่เป็นข่าว อาจมีการขยับทั้งหมดใหม่ เนื่องจากผู้ที่ถูกทาบทามไว้บางคนเปลี่ยนใจเพราะมีหลายเงื่อนไขที่ตกลงกันไม่ได้ นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะให้แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ขึ้นมารับตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อเป็นการตอบแทนด้วย ฉะนั้น เรื่องนี้ อาจมีผลต่อรายชื่อคนนอกที่มีการทาบทามและยังไม่เปิดเผย อาจจะถอนตัวได้" แหล่งข่าว กล่าว และคาดหมายแนวโน้มว่า ครม.ที่เป็นคนนอกอาจจะมีสัดส่วนน้อยลง แล้วหันมาใช้คนในพรรคมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ยังไม่เคยมีตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อน 
 
 แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สถานการณ์ที่คนในพรรคไม่สามารถต่อรองตำแหน่งใดๆ ขณะนี้ ทำให้แคนดิเดทรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจหลายคนในพรรคไม่พอใจ โดยเฉพาะนายโอฬาร ไชยประวัติ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ซึ่งทุกคนต้องการความชัดเจนเรื่องตำแหน่งก่อนที่จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะหากหลังโหวตนายกฯ แล้วจะไม่สามารถต่อรองได้อีก


จับตา "อิสระ" กลุ่มบ้านปูนั่ง "พาณิชย์"
 มีรายงานว่า ในส่วนของเก้าอี้รัฐมนตรีคนนอก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เปิดโอกาสให้กลุ่มนักธุรกิจต่างๆ เข้ามาต่อรอง โดยเฉพาะล่าสุดมีความเคลื่อนไหวของผู้บริหาร "กลุ่มบ้านปู" ที่ประสานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อส่งตัวแทนเข้ามาเป็นนั่งรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ด้วย โดยมีชื่อ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการและผู้บริหารบริษัท น้ำตาลมิตรผล ซึ่งเป็นถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.บ้านปู จ่อนั่งเก้าอี้ รมว.พาณิชย์ โดยขยับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง คนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ลงมาเป็น รมช.พาณิชย์


 ปัจจุบน นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ซึ่งสถานะปัจจุบันประธานกรรมการและผู้บริหารบริษัท น้ำตาลมิตรผล ผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คุณอิสระ ว่องกุศลกิจ ทั้งนี้ฟอร์บเคยจัดให้เขาติดมหาเศรษฐีไทยลำดับที่ 10 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

พรรคร่วมทำใจได้เก้าอี้เหลือเลือก
 ด้านแหล่งข่าวระดับสูงจากพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ยอมรับว่า จนถึงขณะนี้แกนนำพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่ได้นัดหมายหารือเรื่องตำแหน่งใน ครม.และยังไม่รู้ว่า ข้อเสนอที่ยื่นไปว่าประสงค์จะดูแลกระทรวงเดิมจะได้หรือไม่ ซึ่งก็อยากให้มีการพูดคุยกันก่อน แม้จะรู้ว่า คงยากที่จะต่อรองเพราะตอนนี้เสียงของพรรคมีน้อยมาก อาจจะต้องรอกระทรวงที่เหลือเลือกจากพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ
 ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ทั้งนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน และนายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ได้พยายามหาข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เพื่อต้องการรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตัดสินใจให้โควตาตามที่ขอไปหรือไม่

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 สิงหาคม 2554, 23:01:59
ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ “ของดี” ที่ขรรชัย บุนปาน ไม่ต้องการให้ “มีอยู่” 
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

 ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ จัดว่าเป็นนักข่าวประเภท “ของจริง” ทั้งฝีมือ ความสามารถ และความซื่อตรงต่อการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ในยุคที่ “ข่าวแจก”ครอบงำสื่อ และเป็นของแปลก ในยุคที่สังคมหลงใหลไปกับโฆษณาชวนเชื่อว่า สื่อมีอุดมการณ์ นักข่าวมีจรรยาบรรณ ผลงานด้านข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน หรือ“ข่าวเจาะ” ของเขาทำให้สังคมได้มองเห็นพลังในด้านบวก ที่เป็นคุณแก่บ้านเมืองของสื่อ โดยเฉพาะสื่อหนังสือพิมพ์ ซึ่งถึงวันนี้ยังเป็นสื่อที่มีอิทธิพลในการชี้นำความคิด และกำหนด “วาระ” ของสังคมมากกว่าสื่อชนิดอื่นๆ
       
       เดือนกันยายน 2543 หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ที่ประสงค์เป็นบรรณาธิการบริหาร เปิดโปงขุดคุ้ยการซุกหุ้นไว้กับคนใช้ และคนขับรถ ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ( นามสกุลในขณะนั้น) อย่างกัดไม่ปล่อย ซึ่งต่อมา ในวันที่ 28 ธันวาคมปีเดียวกัน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติว่า นช. ทักษิณ แจ้งทรัพย์สิน และหนี้สินเป็นเท็จเมื่อครั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ต้องถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองนาน 5 ปี
       
       ข่าว “คนใช้ซุกหุ้นหมื่นล้าน พิศดารแจ้งเท็จ ป.ป.ช.” โดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจนี้ ได้รับรางวัลอิศรา ประเภทข่าวยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นเสมือนรางวัล “พูลิตเซอร์” ของสหรัฐฯ ประจำปี 2543 และเป็นกรณีศึกษาหนึ่งของการทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนของวงการสื่อไทย ประสงค์ได้รับการยกย่อง ได้รับเชิญไปพูดในที่ต่างๆ นิตสารไทมส์ จัดอันดับให้เขาเป็นหนึ่งใน “ดาวเด่นของเอเชีย” ประจำปี 2001
       
       พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งในวันที่ 6 มกราคม 2544 อย่างถล่มทลาย นช.ทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีชนักติดหลังคือคดีซุกหุ้นที่รอการตัดสินจากศาลรัฐธรรมนูญ แต่กระแสทักษิณฟีเวอร์ ที่เห็น นช.ทักษิณ คืออัศวินผู้มาโปรดในขณะนั้น ทำให้สื่อมวลชนและองค์กรต่างๆ เต็มใจ ปิดปากตัวเอง ไม่กล้าตรวจสอบพฤติกรรมซุกหุ้นของ นช.ทักษิณ กระทั่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรายหนึ่งยังพูดว่าคนไทย 14 ล้านคน เลือก นช.ทักษิณเป็นนายกฯ ถ้าตัดสินให้ผิด ศาลรัฐธรรมนูญโดนเผาแน่ ยังผลให้ในวันที่ 3 สิงหาคม 2544 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นช.ทักษิณไม่ได้กระทำผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 295 และเป็นที่มาของประโยคอันลือลั่นว่า“บกพร่องโดยสุจริต”
       
       นช.ทักษิณจำชื่อประสงค์ได้อย่างแม่นยำ ถึงกับครั้งหนึ่งเคยนำไปพูดผ่านรายการนายกฯ ทักษิณพบประชาชนด้วย
       
       สิบปีผ่านไป พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายอีกครั้งหนึ่ง นช.ทักษิณกลับมามีอำนาจผ่านร่างทรงของน้องสาว กระแสนารีขี่ม้าขาว ทำให้สื่อมวลชนและองค์กรต่างๆ เต็มใจเอามือปิดปากปิดหูตัวเองอีกครั้งหนึ่ง แต่ประสงค์ไม่ยอมทำเช่นนั้น จึงถูก “มติชน” ต้นสังกัดที่เขาฝากฝีฝากไข้มานานถึง 28 ปี ยื่นมือมาอุดปากแทน
       
       ประสงค์ถูกแช่แข็งมาพักใหญ่แล้ว นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน “มติชน” เมื่อกลางปีที่แล้ว แต่ยังมีพื้นที่สำหรับคอลัมน์ ณ ริมคลองประปา ในมติชนรายวันฉบับวันเสาร์อยู่ จนถึงวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่เขาเขียนเรื่อง “คำถามที่ยิ่งลักษณ์(ยัง)ไม่กล้าตอบ” ที่ถามน้องสาว นช.ทักษิณถึงกรณีให้การเท็จในคดีซุกหุ้นภาค 2 ของพี่ชาย ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรองตำแหน่งทางการเมือง ระบุไว้ในคำพิพากษาว่า คำให้การของยิ่งลักษณ์นั้น “ฟังไม่ขึ้น” และกรณีการปกปิดโครงสร้างการถือหุ้นของ เอสซี แอสเสท ซึ่งยิ่งลักษณ์เคยเป็นซีอีโออยู่
       
       บทความนี้เหมือนฟางเส้นสุดท้าย ที่“มติชน”ตัดสินใจปิดปากประสงค์เป็นการถาวร ด้วยการถอดคอลัมน์ ณ ริมคลองประปาออก อีกไม่กี่วันต่อมา “ฝ่ายบริหาร”ของมติชน ก็ “เลิกจ้าง” หรือที่จริงแล้วคือการให้ออกโดยไม่มีความผิดนั่นเอง โดยจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย และการให้ผลตอบแทนที่เป็นที่พอใจของประสงค์
       
       “ฝ่ายบริหาร” ของมติชน ก็คือ ขรรค์ชัย บุนปาน และฐากูร บุนปาน หลานชายซึ่งไม่ชอบหน้าประสงค์นั่นเอง ขรรค์ชัยถือหุ้นมติชนมากที่สุด 34% รองลงมาคือ บริษัทจีเอ็มเอ็ม มีเดีย หรือแกรมมี่ ถือหุ้นประมาณ 22 % ขรรค์ชัยเป็นประธานกรรมการ ฐากูร เป็นกรรมการผู้จัดการ ลูกสาวของขรรค์ชัยดูแลการจัดซื้อจัดจ้าง ลูกชายดูแลเว็บไซต์ ความเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้ทำให้ความเป็นเจ้าของและอำนาจการบริหารของขรรค์ชัยลดน้อยลงไปแต่อย่างใดเลย ประชาชนเป็นเจ้าของมติชนก็เฉพาะฉบับที่ควักเงิน 10 บาท ซื้อเท่านั้น แต่เจ้าของมติชนตัวจริงคือ ตระกูล บุญปาน
       
       ถ้าขรรค์ชัย ไม่เห็นด้วยกับการให้ประสงค์ออก ก็ไม่มีใครหน้าไหนที่จะให้ประสงค์ออกได้ การที่ประสงค์ต้องออกก็หมายความว่าขรรค์ชัยเห็นด้วย การที่มติชน ยอมจ่ายให้ประสงค์มากกว่าสิทธิตามกฎหมายและระเบียบบริษัท ก็แสดงว่าราคาที่ต้องจ่ายให้ประสงค์ออกคุ้มกับประโยชน์ที่มติชนจะได้
       
       เหตุใด ขรรค์ชัย ซึ่งขึ้นธรรมาสน์โดยไม่ล้างเท้าเป็นนิจ เทศนาสอนผู้คนให้ลดละกิเลส สั่งสอนให้เพื่อนร่วมงานทำหน้าที่ของหนังสือพิมพ์อย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจไม่เป็นธรรม ไม่เห็นแก่รางวัลหรืออามิสสินจ้างเป็นประจำ จึงไม่เห็นคุณค่าของประสงค์
       
       คำตอบก็คือ สิบปีที่ผ่านมาประสงค์ไม่เคยเปลี่ยน แต่ขรรค์ชัย และมติชนเปลี่ยนไปแล้วไม่รู้กี่รอบ การที่ประสงค์ไม่เคยเปลี่ยนในขณะที่เจ้านายและองค์กรของเขาเปลี่ยนไป ทำให้เขาซึ่งครั้งหนึ่งคือ “ทรัพย์สิน” ที่มีคุณค่าของมติชนกลายเป็น “ภาระ” หรือ “ความเสี่ยง” ขององค์กรที่ต้องกำจัดทิ้งไปโดยเร็ว
       
       การมีประสงค์อยูในมติชนต่อไป ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด จะกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ของมติชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่ระบบชินวัตร หวนกลับมามีอำนาจ เพราะมติชนนั้นพึ่งพารายได้มากขึ้นๆ จากงบประมาณของกระทรวง รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานราชการ ในรูปของการจัดอีเวนท์ งบโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่แฝงมาในรูปข่าว แลกกับการสรรเสริญเยินยอเจ้ากระทรวง และการปิดปากตัวเอง งดเว้นการตรวจสอบการปฏิบัติงานที่ไม่ชอบมาพากล
       
       ในฐานะแก้วดวงที่ 4 ของระบอบชินวัตร ที่ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มติชนย่อมอยู่ในฐานะที่จะได้รับการปูนบำเหน็จอย่างงดงาม จากรัฐบาลโคลนนิ่ง แต่การมีประสงค์อยู่ในองค์กรเป็นความอิหลักอิเหลื่อของฝ่ายบริหารมติชนอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้ประสงค์จะถูกห้ามเขียนไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เขาไปเปิดเว็บไซต์ส่วนตัวชื่อ prasong.com เพื่อเป็นเวทีการตรวจสอบ และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีเรื่องการซุกหุ้นของ นช.ทักษิณ การให้การเท็จของยิ่งลักษณ์ การวิพากษ์นโยบายอุ้มฆ่าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ นช.ทักษิณอยู่ในเว็บไซต์นี้ด้วย วีธีเดียวที่มติชนจะทำได้คือลบชื่อประสงค์ออกจากมติชนเสีย
       
       กำไรสุทธิปีละ 130 ล้านบาทของมติชน อาจจะมากพอสำหรับการเลี้ยงดูพนักงานในองค์กร แต่คงไม่มากพอสำหรับผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างขรรค์ชัย คำพูดของ มจ.สิทธิพร กฤดากร ที่ขรรค์ชัยชอบอ้างอิงถึงเสมอว่า “เงินทองนั้น เป็นเรื่องมายา ข้าวปลานั้นสิของจริง” จึงไม่เป็นจริงเท่ากับ “อุดมการณ์นั้นเป็นของมายา โฆษณานั้นสิของจริง”
       
       กรณีมติชนให้ประสงค์ออกนั้น หากเกิดขึ้นกับบริษัทในกิจการอื่นๆ ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องความเห็นที่ต่างกันในองค์กรที่นายจ้างต้องเป็นฝ่ายถูก และลูกจ้างต้องเป็นฝ่ายไป แต่ธุรกิจสื่อนั้นชอบสร้างภาพ หลอกให้สังคมเข้าใจผิดว่าสื่อมีอุดมการณ์ มีจรรยาบรรณ รู้จักแยกแยะระหว่างผลประโยชน์กับการทำหน้าที่สื่อ สื่อมักจะโยนความผิดไปให้รัฐเสมอว่าเป็นตัวการคุกคามสิทธิเสรีภาพของสื่อ แท้จริงแล้วอำนาจที่คุกคามเสรีภาพของสื่อคืออำนาจทุน คนที่สามารถควบคุมสื่อให้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้คือเจ้าของสื่อ
       
       มีแต่พวกที่ทำสื่อด้วยกันเองเท่านั้น ที่ไม่เชื่อในเรื่องการอ้างอิงอุดมการณ์จอมปลอมเหล่านี้ เพราะกินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้องแต่ก็ยังหลอกให้คนอื่นเชื่อ
       
       กรณีมติชนเลิกจ้างนักข่าวที่นับว่าเก่งที่สุดคนหนึ่งในประเทศนี้ จึงเป็นสัญญาณที่ปลุกนักวิชาการ เอ็นจีโอด้านสื่อและประชาชนทั่วไปให้ตื่นจากการถูกมอมเมาให้หลงใหลศรัทธาในการทำหน้าที่ของสื่อ และหันกลับมามองความจริงได้แล้วว่า สื่อก็เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ คือ ผลประโยชน์อยู่เหนือหลักการ
       
       คลองบางหลวงทวงถามถึงความหลัง
       ว่าลูกยังดีซื่อหรือไฉน
       หรือชีวิตผิดแดนไกลแสนไกล
       ความชั่วในหัวใจก็ไหวตาม
       ฯลฯ
       
       (ขรรค์ชัย บุนปาน แต่งกลอนนี้ไว้ ในโอกาสทอดกฐิน วัดนวลนรดิศ พ.ศ. 2528 )

 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 สิงหาคม 2554, 22:03:49
“คำถามที่ยิ่งลักษณ์ยังไม่กล้าตอบ”
ข่าวหน้า 1 ไทยโพสต์ 31 ก.ค.54
 
        “คำถามที่ยิ่งลักษณ์ยังไม่กล้าตอบ” เป็นชื่อบทความในคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์มติชนของ “ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์”   ที่พอนำลงพิมพ์แล้ว ตัวคนเขียนก็ถูกผู้บริหารสั่งแขวนปากกาทันที แล้วไม่กี่วันก็ตามมาด้วยซองขาว คือแม้จะไม่มีความผิดอะไร แต่ก็ให้ออกไปให้พ้นหน้าพ้นตา พร้อมเงินฟาดหัวในซองจำนวนหนึ่งนั่นเอง   
        คุณประสงค์ เป็นนักข่าวอาวุโสของมติชนมากว่า 30 ปี เป็นที่ยอมรับในวงการจนเป็นถึงนายกฯ สมาคมนักข่าวมาแล้ว ผลงานดังมีหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขุดคุ้ยคดีซุกหุ้น 1 ของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่เขาเป็นผู้ขุดค้นเปิดโปงขึ้นมาเป็นคนแรก
        คุณประสงค์ไปเขียนคอลัมน์ถามคุณยิ่งลักษณ์เรื่องอะไร แถมย้ำเสียด้วยว่าเธอยังไม่กล้าตอบ และมันสำคัญอะไรนักหนาถึงขนาดพอถามไปแล้วกลับได้คำตอบเป็นซองขาวจากมติชนอย่างนี้  ทั้งหมดนี้ผมก็ขอให้คำตอบในทำนองปุจฉา–วิสัชนา ไปโดยลำดับ กล่าวคือ
 
        ถาม ในบทความดังกล่าว คุณประสงค์ไปถามคุณปูเรื่องอะไร ?
        ตอบ ก็เป็นเรื่องซุกหุ้น 2 เรื่องเดียวกันกับที่ผมและคุณหมอตุลย์ไปกล่าวโทษคุณปูต่อดีเอสไอ ว่าเธอร่วมมือกับพี่ชายให้ข้อมูลโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นเท็จทั้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ต่อ คตส. และต่อศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์คุณทักษิณ 
        พฤติการณ์ซุกหุ้นในคดีนี้ทั้งหมด มีส่วนที่คุณปูได้รู้เห็นและลงมือร่วมด้วย คุณประสงค์ไปหยิบพฤติการณ์ส่วนนี้มาถามว่า ถ้าจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ เธอก็ต้องมีหน้าที่ชี้แจงให้กระจ่างก่อนจึงจะไว้วางใจให้เป็นนายกฯ ได้
 
        ถาม มันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลหรือครับ
        ตอบ คือเมื่อคุณทักษิณตัดสินใจตั้งพรรคไทยรักไทยนั้น เขาถือหุ้นชินคอร์ปอันเป็นธุรกิจสัมปทานกว่า 50% และก็มีกฎหมาย ป.ป.ช.ห้ามไว้ว่ารัฐมนตรีจะถือหุ้นธุรกิจสัมปทานไม่ได้ ก็ปรากฏการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นในปี 2543 มาเป็นชื่อบุตรและพี่น้องจนหมด โดยอ้างว่าเป็นการซื้อขาย 
        จากนั้นในรัฐบาลทักษิณ 1 และ 2 ก็มีการออกมาตรการของรัฐเอื้อประโยชน์ธุรกิจชินคอร์ปโดยมิชอบกว่า 5 มาตรการ ทำให้รัฐเสียหายกว่าแสนล้านบาท ทั้งหมดนี้ คตส.ก็ตรวจสอบจนเชื่อว่าหุ้นทั้งหมดยังเป็นของนายกฯ ทักษิณอยู่ ผลประโยชน์ที่ได้จากรัฐโดยมิชอบจึงเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิสมควร จึงได้นำคดีขึ้นสู่ศาลให้สั่งยึดเงินค่าหุ้นทั้งหมดเป็นของแผ่นดิน ในที่สุดศาลท่านก็พิพากษาให้ยึดเป็นจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท 
        พฤติการณ์ซุกหุ้นตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปี 2551 ที่ศาลท่านตัดสินนี้ ก็มีส่วนที่เป็นการกระทำของคุณปู ที่คุณประสงค์ขุดขึ้นมาถาม จะอยู่เฉพาะในประเด็นการรับและใช้เงินปันผล 97 ล้านบาท

 
        ถาม เงินปันผลอะไรครับ
        ตอบ คือคุณทักษิณและคุณปูอ้างอิงว่าคุณปูได้ซื้อหุ้นชินคอร์ปจากคุณทักษิณไปแล้ว 20 ล้านหุ้น แต่ คตส.ไม่เชื่อว่าเป็นความจริง พยานหลักฐานที่ต้องใช้สู้กันตรงนี้นั้นมีหลายส่วน ส่วนหนึ่งจะอยู่ที่ว่า เงินปันผล 97 ล้านของหุ้น 20 ล้านหุ้นนี้ตกแก่คุณปูจริงหรือไม่ ซึ่งคุณปูก็ยืนยันต่อศาลว่าตนเองได้เอาเงิน 97 ล้านนี้ไปใช้ด้วยตนเอง คือแบ่งเอาไปใช้หนี้ค่าหุ้นให้พี่ชายที่ค้างไว้ 20 ล้านบาท ที่เหลือก็เอาไปใช้ทำสระน้ำ ปรับปรุงบริเวณบ้าน ซื้อเครื่องประดับ เงินตราต่างประเทศกว่า 68 ล้านจนหมด แต่ คตส.ก็ไม่เชื่อ เพราะขุดคุ้ยจนได้หลักฐานว่าคุณปูและผู้มีชื่อซื้อหุ้นอื่นๆ ไม่ได้มีโอกาสใช้เงินปันผลเลย เพราะต้องส่งให้คุณทักษิณหรือคุณหญิงจนหมด
         ถาม มีหลักฐานอะไร
        ตอบ คือมีการแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ก่อนว่า ผู้ถือหุ้นชินชินวัตรทั้งหมด ประสงค์ให้บริษัทชินคอร์ปไปรับเช็คเงินปันผลแทนตน   จากนั้นเมื่อคนของบริษัทเดินทางไปรับมาแล้ว เช็คเหล่านี้จะถูกนำไปมอบให้คนคนหนึ่งที่จะเริ่มจัดการให้เงินตามเช็คแต่ละใบเข้าไปปรากฏในบัญชีเงินฝากของบุตรและพี่น้องที่ถูกใช้ชื่อถือหุ้นแทนก่อน    จากนั้นเงินเหล่านี้ก็จะทยอยออกจากบัญชีไปสู่เงื้อมมือของคุณหญิง
อย่างเงินปันผลในชื่อของบุตรชายกว่า 1,460 ล้านบาทนี้ ก็โอนตรงจากบัญชีบุตรไปเข้าบัญชีคุณหญิงทุกใบจนท่วมค่าหุ้นที่อ้างว่าซื้อขายกันเลย
        แต่ในส่วนของคุณปูนี้ ไม่มีการโอนตรงเข้าบัญชีคุณหญิงให้ตรวจพบได้ แต่กลับมีคนของเลขาฯ คุณหญิง ถือเช็คที่มีลายมือคุณปูเป็นคนสั่งจ่าย ถอนเป็นเงินสดออกจากธนาคารถึง 42 ครั้งจนหมด   มันชัดเจนว่าเงินทั้งหมดมันหาได้วิ่งตรงไปจ่ายให้ผู้รับเหมา หรือผู้ขายเครื่องประดับ หรือผู้ค้าเงินตราต่างประเทศ อย่างเช่นที่คุณปู กล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่ ตัวการถอนเงินสดเองก็มีพฤติการณ์ปกปิดชัดเจนมาก
 
        ถาม ปกปิดอย่างไร ใส่วิกใส่แว่นตาดำไปเบิกเงินแบบในหนังยังงั้นหรือ
        ตอบ คือตามกฎหมายปราบปรามการฟอกเงินนั้น  ถ้ามีการถอนเงินสดเกิน 2 ล้านบาท ธนาคารมีหน้าที่ต้องรายงานเสมอ แต่การเบิกเงินปันผล 5 งวด แต่ละงวดมีจำนวนสิบกว่าล้านนั้น ถ้าคุณปูเอาไปใช้โดยสุจริตจริงก็ควรจะเบิกทีเดียวทั้งก้อน แต่ก็กลับแตกเป็นเช็คใบละไม่เกิน 2 ล้าน เอาไปเบิกวันละ 1 ใบ วันต่อมาก็เอาคนหน้าใหม่ๆ ไปเบิกอีก 1 ใบ ทำเช่นนี้จนหมด คตส.รวมยอดเบิกสดอย่างนี้ได้ถึง 42 ครั้ง ใน 5 งวดด้วยกัน
        ทั้งหมดนี้มันชัดเจนว่าต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของกฎหมาย ทำธุรกรรมการเงินแบบเดียวกับขบวนการค้ายาบ้าเลย   พอคุณประสงค์เอาความไม่ชอบมาพากลนี้ไปเขียนถามคุณปูว่าทำไมไม่กล้าตอบ มันก็เลยเป็นเรื่อง
 
        ถาม คุณประสงค์เขาถามว่าอย่างไร
        ตอบ เขาก็ขอคำอธิบายว่า ถ้าเป็นความจริงว่าคุณเอาเงินปันผลไปซื้อสินค้าหรือบริการรวมราคากว่า 68 ล้านบาท แล้วทำไมต้องจ่ายเป็นเงินสดด้วย บริษัทอะไรไม่รับเช็ค แต่ขอรับเป็นเงินสดนับสิบๆ ล้านบาท นอกจากนี้ถ้าจำต้องเบิกเงินสดจริงๆ ทำไมต้องแตกเป็นเช็คใบละ 2 ล้านบาท ทยอยเบิกไม่ซ้ำวันไม่ซ้ำคนด้วย ทำอย่างนั้นทำไมในเมื่อไม่ได้ค้ายาบ้า
 
        ถาม ถามได้ก็ถามไป คุณปูทำเฉยเสียก็ได้ บอกซ้ำไปเลยก็ได้ว่าให้รอผลคดีของดีเอสไอที่อาจารย์แก้วกับคุณหมอตุลย์ไปกล่าวโทษไว้ก็ได้
        ตอบ จะมีใครมีคำขอมายังมติชนหรือไม่ หรือมติชนเขาเซ็นเซอร์ตัวเอง ก็ไม่มีใครทราบความจริงได้ แต่สิ่งที่คุณประสงค์เขียนถามไปว่ากล้าตอบหรือไม่นั้น มันกระเทือนมากอยู่นะคุณนะ   คุณจะยอมให้คนตลบตะแลงกล้าโกหกกลางศาล กล้าให้ความเท็จต่อคนเล่นหุ้นทั้งตลาดหลักทรัพย์ เบิกเงินถอนเงินลดเลี้ยวเลี่ยงกฎหมายราวกับพวกค้ายาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเชียวหรือ ถ้าไม่ยอม คุณปูก็มีหน้าที่ต้องอธิบายให้กระจ่างให้ได้    การที่คุณประสงค์ทำหน้าที่ “ตรวจสอบ” ด้วยคำถามที่หาคำตอบแทบไม่ได้อย่างนี้ มันจึงแรงมาก 
 
        ถาม วันที่นายกฯ ปูแถลงนโยบายในสภา จะโดนฝ่ายค้านถามแบบคุณประสงค์ถามได้ไหม?
        ตอบ ถ้าถามจริงก็ยุ่งแน่นอนเลย แต่เฉพาะหน้านี้เราน่าจะถามมติชนกันก่อนว่ามีเหตุผลอะไรในการให้ซองขาวกับนักข่าวที่ทำหน้าที่ตรวจสอบผู้มีอำนาจ
 
        ถาม ทำไมเขาต้องตอบเราด้วย
        ตอบ ถ้ายังเห็นตัวเองเป็นสื่อมวลชน เป็น “มติชน” จริง ก็ต้องเคลียร์ตัวเองให้ได้ว่ามิได้ลิดรอนสิทธิรับรู้ของมวลชน แต่ถ้าเห็นตนเองเป็นแค่คนขายของขายกระดาษเปื้อนข่าวก็ไม่ต้องตอบ แล้วได้โปรดเปลี่ยนชื่อใหม่ด้วย ก็จะสมควรยิ่ง
 
                                                                      แก้วสรร  อติโพธิ
 
                ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 
แกะรอยเงินสดๆ 68 ล้าน“ยิ่งลักษณ์”(ล่องหน) อยู่ ณ หนใด?
วันเสาร์ที่ 16 กรกฏาคม 2011 เวลา 22:23 น. เขียนโดย ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ หมวด isranews,
 
 เคยเขียนเรื่อง “คำถามที่”ยิ่งลักษณ์”ยังไม่(กล้าตอบ?) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
หนึ่งในคำถามดังกล่าวคือ เงินสดๆ 68 ล้านบาทที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ว่าที่)นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกอ้างว่า เป็นส่วนหนึ่งของเงินปันผลจากการถือครองหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น จำนวน 20 ล้านหุ้นนั้นถูกนำไปใช้ทำอะไรที่ไหน และอย่างไร
คำถามดังกล่าว มิได้เกิดขึ้นลอยๆแต่สืบเนื่องมาจากคดียึด ทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน46,373ล้านบาท ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วินิจฉัยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็น “นอมินี”หรือผู้ถือหุ้น บมจ. ชินคอร์ป  จำนวน 20 ล้านหุ้น แทน พ.ต.ท.ทักษิณซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณโอนหุ้นดังกล่าวให้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543
ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับเงินปันผลจากหุ้นชินคอร์ป ตั้งแต่ปี 2547-2548 รวม 6 งวด เป็นเงินรวม 97.49 ล้านบาทโดยงวดที่ 1-3 จ่ายคืน พ.ต.ท.ทักษิณอ้างเป็นเงินค่าหุ้น 20 ล้านบาท
และเงินปันผลที่เหลืออีก 2.5 ล้านบาท จ่ายเช็คให้ น.ส.พิณทองทา ชินวัตรอ้างว่าเป็นการคืนเงินที่ฝากซื้อนาฬิกาจากต่างประเทศ(คลิกดู “ยิ่งลักษณ์”กับคดียึดทรัพย์”ทักษิณ”)
แต่งวดที่ 3-6 ปี 2547-2548 เป็นเงิน 70.1 ล้านบาทซึ่ง บมจ.ชินคอร์ปจ่ายเป็นเช็ค 44 ฉบับนั้น น.ส.ยิ่ง ลักษณ์ นำเช็คเพียง 2ฉบับเป็นเงินจำนวน 2.1ล้านบาทเข้าบัญชีตนเอง
ส่วนที่เหลือ 68 ล้านบาท ใช้เช็คเงินสด 42 ฉบับ ถอนเงินออกจากบัญชีตนเองจำนวน 41 ครั้งต่อเนื่องกันเกือบทุกวันในแต่ละงวดเกือบทันทีที่ได้รับเงินปันผล ครั้งละ 1 ล้าน 1.5 ล้าน และ 2 ล้านบาท ฯลฯ จนเกือบหมดทุกครั้ง ตามรายละเอียดดังนี้
เงินปันผลงวดที่ 3 ได้รับจำนวน 16.2 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2547 จากนั้นมีการใช้เช็คเงินสดถอนออกมา 10 ครั้ง รวม 14.2 ล้านบาท ได้แก่
1.ถอนวันที่ 21 พฤษภาคม 2547 จำนวน 2 ล้านบาท
2.ถอนวันที่ 24 พฤษภาคม 2547 จำนวน 1.5ล้านบาท
3.ถอนวันที่ 25 พฤษภาคม 2547 จำนวน 1.5 ล้านบาท
4.ถอนวันที่ 26 พฤษภาคม 2547 จำนวน 2 ล้านบาท
5.ถอนวันที่ 27 พฤษภาคม 2547 จำนวน 1.5ล้านบาท
6.ถอนวันที่ 28 พฤษภาคม 2547 จำนวน 2 ล้านบาท
7.ถอนวันที่ 31 พฤษภาคม 2547 จำนวน 1 ล้านบาท
8.ถอนวันที่ 1 มิถุนายน 2547 จำนวน 1.5 ล้านบาท
9.ถอนวันที่ 3 มิถุนายน 2547 จำนวน 0.3 ล้านบาท
10.ถอนวันที่ 7 มิถุนายน 2547 จำนวน 0.9 ล้านบาท
เงินปันผลงวดที่ 4 ได้รับจำนวน 16.56 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 กันยายน2547 จากนั้นมีการใช้เช็คเงินสดถอนออกมา 9 ครั้ง รวม 15.36 ล้านบาทได้แก่
1.ถอนวันที่ 16 กันยายน 2547 จำนวน 2 ล้านบาท
2.ถอนวันที่ 17 2กันยายน 2547 จำนวน 1.5ล้านบาท
3.ถอนวันที่ 17 กันยายน 2547 จำนวน 2 ล้านบาท
4.ถอนวันที่ 20 กันยายน 2547 จำนวน 1.6 ล้านบาท
5.ถอนวันที่ 21 กันยายน 2547 จำนวน 2 ล้านบาท
6.ถอนวันที่ 22 กันยายน 2547 จำนวน 1.7 ล้านบาท
7.ถอนวันที่ 23 กันยายน 2547 จำนวน 2 ล้านบาท
8.ถอนวันที่ 24 กันยายน2547 จำนวน 2 ล้านบาท
9.ถอนวันที่ 27 กันยายน  2547 จำนวน 0.56 ล้านบาท
เงินปันผลงวดที่ 5 ได้รับจำนวน 19.44 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2548 จากนั้นมีการใช้เช็คเงินสดถอนออกมา 11ครั้ง รวม 17.94 ล้านบาท ได้แก่
1.ถอนวันที่ 18 เมษายน 2548 จำนวน 1.5 ล้านบาท
2.ถอนวันที่ 20 เมษายน 2548 จำนวน 1.5ล้านบาท
3.ถอนวันที่ 21 เมษายน 2548 จำนวน 2 ล้านบาท
4.ถอนวันที่ 22 เมษายน 2548 จำนวน 1.4 ล้านบาท
5.ถอนวันที่ 25 เมษายน 2548 จำนวน 2 ล้านบาท
6.ถอนวันที่ 26 เมษายน 2548 จำนวน 1.6 ล้านบาท
7.ถอนวันที่ 27เมษายน 2548 จำนวน 1.5 ล้านบาท
8.ถอนวันที่ 28 เมษายน 2548 จำนวน 1 ล้านบาท
9.ถอนวันที่ 29 เมษายน 2548 จำนวน 1.44 ล้านบาท
10.ถอนวันที่ 3 พฤษภาคม  2548 จำนวน 2 ล้านบาท
11.ถอนวันที่ 6พฤษภาคม  2548 จำนวน 2 ล้านบาท
เงินปันผลงวดที่ 6 ได้รับจำนวน 22.5 ล้านบาท  เมื่อวันที่ 7 กันยายน2548 จากนั้นมีการใช้เช็คเงินสดถอนออกมา 9 ครั้ง รวม 19  ล้านบาทได้แก่
1.ถอนวันที่ 13กันยายน 2548 จำนวน 2 ล้านบาท
2.ถอนวันที่ 14กันยายน 2548 จำนวน 1.5ล้านบาท
3.ถอนวันที่ 15 กันยายน 2548 จำนวน 2 ล้านบาท
4.ถอนวันที่ 16 กันยายน 2548 จำนวน 1.4 ล้านบาท
5.ถอนวันที่ 19 กันยายน 2548 จำนวน 2 ล้านบาท
6.ถอนวันที่ 20กันยายน 2548 จำนวน 1.6 ล้านบาท
7.ถอนวันที่ 21 กันยายน 2548จำนวน 1.5 ล้านบาท
8.ถอนวันที่ 22 กันยายน2548 จำนวน 2 ล้านบาท
9.ถอนวันที่ 23 กันยายน  2548 จำนวน 2 ล้านบาท
10.ถอนวันที่ 26 กันยายน  2548 จำนวน 1.5 ล้านบาท
11.ถอนวันที่ 27 กันยายน  2548 จำนวน 1.5 ล้านบาท
เพื่อพิสูจน์ว่า ตนเองมิได้เป็น “นอมินี”ของ พ.ต.ท.ทักษิณ น.ส. ยิ่งลักษณ์อ้างต่อศาลฎีกาฯ ว่า  นำเงินไปตกแต่งบ้านทำสวน ทำสนามฟุตบอลและสระว่ายน้ำประมาณ 20 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 6  ล้านบาท ซื้อทองคำแท่ง 13 ล้านบาท ซื้อเครื่องเพชรและเครื่องประดับ 11ล้านบาทซื้อเงินตราต่างประเทศประมาณ 10 ล้านบาทและสำรองไว้ที่บ้าน  8 ล้านบาท มิได้นำส่งคืน พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ
แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีหลักฐานใดที่เกี่ยวกับการใช้เงินสดมากถึง 68 ล้านบาท มาแสดง ศาลฎีกาฯ สรุปว่า ข้ออ้างจึงรับฟังไม่ได้
นอกจากจากพฤติกรรมการถอนเงินสดๆนับล้านติดต่อกันเกือบทุกวันข้างต้นแล้ว ปรากฏว่า ผู้ที่ไปถอนเงินสดดังกล่าวจากธนาคารเป็นทีมงานเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมานทั้งสิ้น
อาจมีผู้โต้แย้งว่า เมื่อเป็นเงินปันผลของน.ส.ยิ่งลักษณ์แล้ว เจ้าของเงินจะถอนไปทำอะไรและอย่างไรก็ย่อมเป็นสิทธิที่จะทำได้ ซึ่งคงไม่มีใครเถียง
แต่คำถามคือ ในฐานะนักธุรกิจที่ทำธุรกิจอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา และเป็นผู้บริหารบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  พฤติกรรมการเบิกถอนเงินสดๆในลักษณะดังกล่าว น่าสงสัยหรือไม่
และการเบิกถอนเงินสดในลักษณะดังกล่าวสอดคล้องกับข้ออ้างของน.ส.ยิ่งลักษณ์ในการใช้เงินซ่อมบ้าน ซื้อเครื่องประดับ ซื้อทองคำแท่ง และซื้อเงินตราต่างประเทศที่ต้องหอบเงินสดๆไปซื้อหรือ?
การกระทำดังกล่าว อาจทำให้ถูกสงสัยว่า กระทำเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินหรือไม่

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 08 สิงหาคม 2554, 13:41:45

(http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/StupidPU.jpg)

ยัยปู ตายน้ำตื้น อาจจะเป็นนายกฯได้แค่ 2-3 วัน
ยังจะไม่ทันได้สั่งงาน เร่งนโยบายประชาควาย 25 ข้อ มีอันเดี้ยงจากตำแหน่งก่อนใคร

เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก
เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ตายน้ำตื้น
เป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุงานสั้นที่สุด
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยได้สั่งงาน
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยไปสัมผัสมือกับผู้นำต่างชาติ
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาว่าถูกอุ้มมา มากที่สุด
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยรับราชการและไม่มีผลงานอะไรในภาคเอกชน
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยได้เครื่องราชฯ แต่มีเครื่องราชฯมาประดับไว้ที่หน้าอก

มาตรา ๑๔๖
ผู้ใดไม่มีสิทธิที่จะสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือ สมาชิกสภาเทศบาล หรือ ไม่มีสิทธิใช้ ยศ ตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือ สิ่งที่หมายถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ กระทำการเช่นนั้น เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าศาลสั่งจำคุกแม้ยังไม่ถึงที่สุดก็จบเห่ หลุดจากตำแหน่งทันที

กรณีนี้น่าจะไม่ใช่ความผิดลหุโทษซึ่งเป็นข้อยกเว้น ไม่ต้องสิ้นสภาพ สส.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ความผิดลหุโทษ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหมวดหนึ่งซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือ มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ในวันงานรัฐพิธีเปิดประชุมสภาฯ ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม สมาชิกรัฐสภาต่างแต่งเครื่องแบบปกติขาวเต็มยศ มาเฝ้าฯรับเสด็จ หนึ่งในนั้นมีท่านนายกรัฐมนตรีหญิงที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เช่นกัน จากการพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลประวัติของท่านนายกหญิงผู้นี้ เท่าที่ทราบยังไม่ได้เคยรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลใดๆเลย ( เท่าที่ทราบนะครับ ถ้าใครมีข้อมูลก็ขอแชร์ด้วยละกัน ) แต่ในวันนั้นท่านนายกหญิงคนนี้ได้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จำนวน 2 ชิ้น 2 ตระกูลบนหน้าอกด้านซ้าย คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์ช้างเผือก ( สีแดง ) และ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย ( สีน้ำเงิน ) ซึ่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้ง 2 ตระกูลนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานให้แด่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และผู้กระทำคุณความดีให้ประเทศชาติ เท่านั้น

สำหรับพ่อค้าคหบดีส่วนมากจะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ สำหรับพระราชทานแก่ผู้กระทำความดีความชอบอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศ ศาสนา และประชาชน

ที่มา: http://www.oknation.net/blog/canthai/2011/08/06/entry-2





หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 สิงหาคม 2554, 17:07:07
หวัดดีพี่แอ๊ะ เห็นผลุบๆโผล่


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 08 สิงหาคม 2554, 17:11:47
พี่ตะวันคะ

 วันนี้ปูพูดได้ดีเป็นพิเศษเเล้วค่ะ เรื่องการจัดโผครม ว่า ลงตัว เเปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว

เเละก็จะไม่ได้ลงรายละเอียด ลึกไปถึงตำแหน่งข้าราชการประจำ หากคนใดทำงานได้ก็ให้ทำงานไป

อะไรทำนองนั้นเเหล่ะค่ะพี่ตะวัน ให้ปูฝึกบ่อยๆ ปูก็น่าจะพูดได้นะ

วันนี้พี่เเอ๊ะไม่ไปไหนเลย  พี่เเอ๊ะ เฝ้าปู ดูปูรับสนองพระบรมราชโองการ ทายซิคะ ว่าปูจะทำผมทรงไหนให้ดูดี

แต่ปู้ก็ไม่ชอบ ที่ประชาชนคนเสื้อเเดง มา จัดมอบ กันหน้าพรรคเพื่อไทยมากเกินไป  
เหมือนกับบังคับ และควบคุมกลไก ของ ประเทศชาติ อะไรอย่างนั้น

เมื่อไร มวลชนนี้จะกลับไปทำไร่ทำนาซะที นะ พี่ตะวัน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 08 สิงหาคม 2554, 17:13:00
กะลังค้นคว้า เรื่องเครื่องราช ให้ ค่า


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 08 สิงหาคม 2554, 17:15:22

คือว่าปู กลัวพี่ตะวัน น่ะ อ่ะ เเต่พี่เเอ๊ะเเกไม่กลัวพี่
เลยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่


พี่เเอ๊ะบอกปูว่าก่อนคุยกะพี่ตะวัน ให้เตรียมคำพูดให้ดี เด่วพี่ตะวันกระทืบปูแบนนนนนนนนน
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 08 สิงหาคม 2554, 17:07:07
หวัดดีพี่แอ๊ะ เห็นผลุบๆโผล่


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 08 สิงหาคม 2554, 17:50:23
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd95382_5356592_9447865_8397630photo.jpg)


อิสริยาภรณ์ นี้ น่าจะชื่อว่า  ตริยาภรณ์ ช้างเผือก  (สีเเดง)

จะ ติดสีน้ำเงิน สูงกว่าสีเเดง  เพราะสีน้ำเงิน ต้องทำงานนานกว่าจึงจะได้รับ คือสูงกว่านั่นเอง


และทวิติยาภรณ์ มงกุฎไทย  สีน้ำ เงิน

 เป็นขั้นที่สูงกว่า ว่าเบญจมาภรณ์   ลองถามน้องๆข้าราชการดู

ข้าราชการจะได้ช้า เเต่นักการเมืองจะได้เร็ว หรือองค์กรอิสระอย่างที่พี่เเอ๊ะเคยทำงานจะได้เร็ว คือได้รับโปรดเกล้าค่ะ


   ตริตาภรณ์ช้างเผือก

•   ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย

พี่เเอ๊ะเคยได้รับ •

สมัยเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจเเละสังคมเเห่งชาติ ค่ะ

ถ้าพี่เเอ๊ะ ได้ทำงานในสมัยต่อมา ก็จะได้ สายสะพาย

เเต่ไม่ได้ รับการสรรหาอีก ค่ะ เป็นงานภาคประชาชน ngo สาย งานดูแลสตรีเเละเยาวชนค่ะ
  
อ้างถึง
ข้อความของ Intania๑๖ เมื่อ 08 สิงหาคม 2554, 13:41:45

(http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/StupidPU.jpg)

ยัยปู ตายน้ำตื้น อาจจะเป็นนายกฯได้แค่ 2-3 วัน
ยังจะไม่ทันได้สั่งงาน เร่งนโยบายประชาควาย 25 ข้อ มีอันเดี้ยงจากตำแหน่งก่อนใคร

เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก
เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ตายน้ำตื้น
เป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุงานสั้นที่สุด
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยได้สั่งงาน
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยไปสัมผัสมือกับผู้นำต่างชาติ
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาว่าถูกอุ้มมา มากที่สุด
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยรับราชการและไม่มีผลงานอะไรในภาคเอกชน
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยได้เครื่องราชฯ แต่มีเครื่องราชฯมาประดับไว้ที่หน้าอก

มาตรา ๑๔๖
ผู้ใดไม่มีสิทธิที่จะสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือ สมาชิกสภาเทศบาล หรือ ไม่มีสิทธิใช้ ยศ ตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือ สิ่งที่หมายถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ กระทำการเช่นนั้น เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าศาลสั่งจำคุกแม้ยังไม่ถึงที่สุดก็จบเห่ หลุดจากตำแหน่งทันที

กรณีนี้น่าจะไม่ใช่ความผิดลหุโทษซึ่งเป็นข้อยกเว้น ไม่ต้องสิ้นสภาพ สส.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ความผิดลหุโทษ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหมวดหนึ่งซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือ มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ในวันงานรัฐพิธีเปิดประชุมสภาฯ ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม สมาชิกรัฐสภาต่างแต่งเครื่องแบบปกติขาวเต็มยศ มาเฝ้าฯรับเสด็จ หนึ่งในนั้นมีท่านนายกรัฐมนตรีหญิงที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เช่นกัน จากการพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลประวัติของท่านนายกหญิงผู้นี้ เท่าที่ทราบยังไม่ได้เคยรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลใดๆเลย ( เท่าที่ทราบนะครับ ถ้าใครมีข้อมูลก็ขอแชร์ด้วยละกัน ) แต่ในวันนั้นท่านนายกหญิงคนนี้ได้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จำนวน 2 ชิ้น 2 ตระกูลบนหน้าอกด้านซ้าย คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์ช้างเผือก ( สีแดง ) และ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย ( สีน้ำเงิน ) ซึ่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้ง 2 ตระกูลนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานให้แด่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และผู้กระทำคุณความดีให้ประเทศชาติ เท่านั้น

สำหรับพ่อค้าคหบดีส่วนมากจะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ สำหรับพระราชทานแก่ผู้กระทำความดีความชอบอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศ ศาสนา และประชาชน

ที่มา: http://www.oknation.net/blog/canthai/2011/08/06/entry-2





หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 สิงหาคม 2554, 22:09:05
อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 08 สิงหาคม 2554, 17:50:23
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd95382_5356592_9447865_8397630photo.jpg)


อิสริยาภรณ์ นี้ น่าจะชื่อว่า  ตริยาภรณ์ ช้างเผือก  (สีเเดง)

จะ ติดสีน้ำเงิน สูงกว่าสีเเดง  เพราะสีน้ำเงิน ต้องทำงานนานกว่าจึงจะได้รับ คือสูงกว่านั่นเอง


และทวิติยาภรณ์ มงกุฎไทย  สีน้ำ เงิน

 เป็นขั้นที่สูงกว่า ว่าเบญจมาภรณ์   ลองถามน้องๆข้าราชการดู

ข้าราชการจะได้ช้า เเต่นักการเมืองจะได้เร็ว หรือองค์กรอิสระอย่างที่พี่เเอ๊ะเคยทำงานจะได้เร็ว คือได้รับโปรดเกล้าค่ะ


   ตริตาภรณ์ช้างเผือก

•   ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย

พี่เเอ๊ะเคยได้รับ •

สมัยเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจเเละสังคมเเห่งชาติ ค่ะ

ถ้าพี่เเอ๊ะ ได้ทำงานในสมัยต่อมา ก็จะได้ สายสะพาย

เเต่ไม่ได้ รับการสรรหาอีก ค่ะ เป็นงานภาคประชาชน ngo สาย งานดูแลสตรีเเละเยาวชนค่ะ
 
อ้างถึง
ข้อความของ Intania๑๖ เมื่อ 08 สิงหาคม 2554, 13:41:45

(http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/StupidPU.jpg)

ยัยปู ตายน้ำตื้น อาจจะเป็นนายกฯได้แค่ 2-3 วัน
ยังจะไม่ทันได้สั่งงาน เร่งนโยบายประชาควาย 25 ข้อ มีอันเดี้ยงจากตำแหน่งก่อนใคร

เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก
เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ตายน้ำตื้น
เป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุงานสั้นที่สุด
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยได้สั่งงาน
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยไปสัมผัสมือกับผู้นำต่างชาติ
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาว่าถูกอุ้มมา มากที่สุด
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยรับราชการและไม่มีผลงานอะไรในภาคเอกชน
เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยได้เครื่องราชฯ แต่มีเครื่องราชฯมาประดับไว้ที่หน้าอก

มาตรา ๑๔๖
ผู้ใดไม่มีสิทธิที่จะสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือ สมาชิกสภาเทศบาล หรือ ไม่มีสิทธิใช้ ยศ ตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือ สิ่งที่หมายถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ กระทำการเช่นนั้น เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าศาลสั่งจำคุกแม้ยังไม่ถึงที่สุดก็จบเห่ หลุดจากตำแหน่งทันที

กรณีนี้น่าจะไม่ใช่ความผิดลหุโทษซึ่งเป็นข้อยกเว้น ไม่ต้องสิ้นสภาพ สส.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ความผิดลหุโทษ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหมวดหนึ่งซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือ มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ในวันงานรัฐพิธีเปิดประชุมสภาฯ ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม สมาชิกรัฐสภาต่างแต่งเครื่องแบบปกติขาวเต็มยศ มาเฝ้าฯรับเสด็จ หนึ่งในนั้นมีท่านนายกรัฐมนตรีหญิงที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เช่นกัน จากการพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลประวัติของท่านนายกหญิงผู้นี้ เท่าที่ทราบยังไม่ได้เคยรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลใดๆเลย ( เท่าที่ทราบนะครับ ถ้าใครมีข้อมูลก็ขอแชร์ด้วยละกัน ) แต่ในวันนั้นท่านนายกหญิงคนนี้ได้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จำนวน 2 ชิ้น 2 ตระกูลบนหน้าอกด้านซ้าย คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์ช้างเผือก ( สีแดง ) และ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย ( สีน้ำเงิน ) ซึ่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้ง 2 ตระกูลนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานให้แด่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และผู้กระทำคุณความดีให้ประเทศชาติ เท่านั้น

สำหรับพ่อค้าคหบดีส่วนมากจะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ สำหรับพระราชทานแก่ผู้กระทำความดีความชอบอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศ ศาสนา และประชาชน

ที่มา: http://www.oknation.net/blog/canthai/2011/08/06/entry-2




แล้วพี่แอ๊ะ มีความเห็นเรื่องนี้อย่างไดครับ...


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 08 สิงหาคม 2554, 22:13:52
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd846378_4278947_4331694_2769991photo.jpg)

 พี่ตะวันขา

ปูได้เป็นายกโดยสมบูรณ์เเล้วนะคะ  วันนี้ปูพูดกล่าวสุนทรพจน์ได้ดีมาก ข่าวว่าพี่แอ๊ะประทับใจ ปูดีใจดีใจ

ปูส่งรูปมาให้พี่ตะวันดูนะคะ

ปูขอบคุณพี่แอ๊ะที่เฝ้าดูหน้าจอทีวี ไม่ยอมไปออกกำลังกายค่ะ

พี่ตะวันไม่ดู ปูเหรอคะ

ความสวย อ่อนโยนก็สำคัญนะ หากเป็นพี่เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ คงไม่ชนะใจประชาชนขนาดนี้

พี่ทักษิณทำการตลาดได้ดี ค่ะสร้างเเบรนด์ ปูได้อย่างดียิ่ง

พี่ตะวันให้กำลังใจปูบ้างนา


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 08 สิงหาคม 2554, 22:17:24
 
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd512081_344739_9982168_4449115photo.jpg)


ปูขอมอบรูปนี้ให้พี่ตะวัน ด้วยความรักยิ่ง

ยามรักรูปนี้จะมีค่า ยามชัง พี่ตะวันจ๋าอย่าทำลายนะคะ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 สิงหาคม 2554, 22:26:07
พี่แอ๊ะ เคยฟังเพลง ที่เขาร้องกันไหมครับ..
ถ้าหากว่ามันไม่สุภาพในความคิดของคุณพี่..ขอโทษด้วยนะครับ
เพลงที่ว่า..

อยากจะอ้วก..อ้วก อ้วกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 08 สิงหาคม 2554, 22:49:55

 ว๊ายยยยยยยยย ตายเเล้วพี่ตะวัน

พี่ตะวันจะอ๊วก ปู หรือจะอ๊วกพี่เเอ๊ะ

เด่วพี่เเอ๊ะตีพี่ตะวันนะ หากจะอ๊วกพี่เเอ๊ะ

เเต่ปูคงไม่กล้ามาตี พี่ตะวัน ปูกลัววววววว ค่ะ

ปูไปนอนก่อนนะ พี่ตะวันฝันดีนะ

หมู่นี้ ปูว่า พี่เเอ๊ะเเกเล่นกะพี่ตะวันเหมือนคนเพี้ยนไปแล้วค่ะ

ต้องถามพี่อ้อย 14 ว่าพี่อ้อย 14 เเกเพี้ยนเหมือนพี่เเอ๊ะไหม
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 08 สิงหาคม 2554, 22:26:07
พี่แอ๊ะ เคยฟังเพลง ที่เขาร้องกันไหมครับ..
ถ้าหากว่ามันไม่สุภาพในความคิดของคุณพี่..ขอโทษด้วยนะครับ
เพลงที่ว่า..

อยากจะอ้วก..อ้วก อ้วกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 สิงหาคม 2554, 09:36:18
อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 08 สิงหาคม 2554, 22:49:55

 ว๊ายยยยยยยยย ตายเเล้วพี่ตะวัน

พี่ตะวันจะอ๊วก ปู หรือจะอ๊วกพี่เเอ๊ะ

เด่วพี่เเอ๊ะตีพี่ตะวันนะ หากจะอ๊วกพี่เเอ๊ะ

เเต่ปูคงไม่กล้ามาตี พี่ตะวัน ปูกลัววววววว ค่ะ

ปูไปนอนก่อนนะ พี่ตะวันฝันดีนะ

หมู่นี้ ปูว่า พี่เเอ๊ะเเกเล่นกะพี่ตะวันเหมือนคนเพี้ยนไปแล้วค่ะ

ต้องถามพี่อ้อย 14 ว่าพี่อ้อย 14 เเกเพี้ยนเหมือนพี่เเอ๊ะไหม
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 08 สิงหาคม 2554, 22:26:07
พี่แอ๊ะ เคยฟังเพลง ที่เขาร้องกันไหมครับ..
ถ้าหากว่ามันไม่สุภาพในความคิดของคุณพี่..ขอโทษด้วยนะครับ
เพลงที่ว่า..

อยากจะอ้วก..อ้วก อ้วกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไม่เคยจะจะคิด อ้วกพี่แอ๊ะหรอกครับ..มีแต่ว่า อยากจะไปล้มทับซักมื้อใหญ่ๆ แบบว่าไปไม่ให้รู้ตัว...คงดีพิลึก
พี่แอ๊ะ แกคงตกใจแน่ๆเลย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 สิงหาคม 2554, 11:30:05
ปูแดงจ๋า..ทำได้ไหมจ๊ะ...

ทำได้ไหม

โดย : รักษ์ มนตรี mo_tri@hotmail.com

ขณะที่ผมนั่งเขียนคอลัมน์อยู่นี้ โผคณะรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ยังไม่ลงตัวหลายตำแหน่ง

  คุณยิ่งลักษณ์ บอกกับนักข่าวที่พรรคเพื่อไทย ณ วันที่ 8 สิงหาคม ว่า จัดโผคณะรัฐมนตรี ไปแล้วร้อยละ 80
 นั่นแสดงว่าในส่วนที่เหลือร้อยละ 20 ยังมีปัจจัยอื่นๆ ก่อน "ผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด" จะประมวลข้อมูลที่ส่งตรงมาจาก ทั้งบ้านจันทร์ส่องหล้า ทั้งบ้านวงศ์สวัสดิ์ ทั้งวอร์รูมชั้น 32-34 ตึกชินวัตร เพราะถือว่าอยู่ใกล้แหล่งข้อมูลกว่า ก่อนจะนำรายชื่อมากางเปรียบเทียบกับ "โผ" ในใจ

 แต่ก่อนที่ทั้งบ้านจันทร์ส่องหล้า ทั้งบ้านวงศ์สวัสดิ์ ทั้งวอร์รูมชั้น 32-34 ตึกชินวัตร จะส่งข้อมูลไปถึง  "ผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด"  คืนวันที่ 8 สิงหาคม จึงคึกคักและวุ่นวายกลายเป็น "คืนหมาหอน" จากการวิ่งเต้นไม่ให้ชื่อตัวเองหลุดจากโผ ครม.

 คุณยิ่งลักษณ์ บอกกับนักข่าวว่า การที่คนนอกปฏิเสธที่จะเข้ามาช่วยในรัฐบาลชุดนี้ ทุกอย่างได้มีการพูดคุยหารือกันมาโดยตลอด เนื่องจากทุกตำแหน่งผู้ที่จะเข้ามาทำงานคงต้องหารือในรายละเอียดกันเสียก่อน ซึ่งบางครั้งการหารือกัน อาจจะมีบางส่วนที่ไม่ตรงกัน ดังนั้น ไม่ได้หมายความว่าการทาบทามทุกคนจะต้องได้รับการตอบตกลงทุกครั้งไป
 บางส่วนที่ไม่ตรงกัน นั้น หมายถึงไม่อาจจะรับเงื่อนไขของผู้มีอำนาจเหนือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้

 ดังนั้น "คนนอก" ที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" จึงไม่ต่างไปจากสลากติดผลิตภัณฑ์ยี่ห้อเพื่อไทย ซึ่งมี "นายห้างดูไบ" รับประกัน

 "นายห้างดูไบ" ที่เมื่อครั้งก่อตั้งพรรคไทยรักไทย พยายามที่จะนำคนนอกเข้ามาร่วมก่อตั้ง ร่วมคิดนโยบายพรรค โดยมีเงื่อนไข

 คุณคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งต่อมาได้กลายมามีชื่อเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย เคยพูดถึง "ทักษิณ" ในหนังสือรู้ทันทักษิณ 4 ว่า

 "สาเหตุที่ผม ตัดสินใจเข้าร่วมทางการเมือง เพราะต้องการเห็นการปฏิรูปทางการเมืองดังที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมถึงความสนใจในงานวิชาการ การเมืองที่ดีต้องมีกลุ่มวิชาการที่ดีและให้ความสําคัญกับเอ็นจีโอ แต่หลังจากการประชุมในวันนั้น ผมก็ได้เป็นรองประธานพรรคแบบไม่รู้ตัว ตอนที่ผมคุยกับคุณทักษิณ คิดว่าพอจะช่วยเหลือสังคมได้บาง แต่ไม่คาดหวังว่าจะเป็นนั่นเป็นนี่....

 ...ช่วงแรกที่เข้าไป ตอนที่ตั้งพรรคใหม่ๆ ก็มีการเชิญคนมาพูดคุยให้ความรู้ซึ่งดีมากเกี่ยวกับการสรรหานักการเมือง เนื่องจากผมอยู่ในระบบราชการมานาน ทําอะไรต้องวางหลัก จะหานักการเมืองตามกรอบที่วางไว้ ไม่ใช่ทำอะไรตามความชอบในระบบอุปถัมภ์ แต่ต่อมามันไม่เป็นจริงอย่างที่ผมคิดไว้ หลักที่เราวางไว้เริ่มมีข้อยกเว้นมากขึ้น ผมรู้สึกไม่สบายใจกับข้อยกเว้นในการสรรหา คนเข้าพรรค แม้ว่าข้อยกเว้นเหล่านี้จะไม่ได้มาจากคุณทักษิณ โดยตรง หรือท่านอาจจะไม่กล้าพูดกับผม เมื่อเป็นแบบนี้ผมก็ไม่ค่อยสบายใจ ผมจึงลาออก จากรองหัวหน้าพรรค 2 วัน ก่อนจะมีการประชุมพรรคเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรค ก่อนจะออก ผมได้เรียนกับอาจารย์ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ว่า ปัญหาหลักที่ผมประสบคือการสรรหานักการเมือง ตอนนั้นท่านปุระชัย ไม่ได้รั้งผม..."

 คุณคณิต บอกว่า "สาเหตุที่คุณทักษิณ ต้องเสื่อมหรือมีปัญหาเพราะความเชื่อมั่นตัวเองมากเกินไป และการฟังคนรอบข้างที่อยู่ในสถานะลูกน้อง กับเจ้านาย ไม่ฟังคนนอกที่อยู่ในระบอบรัฐสภา แม้กระทั่งสื่อมวลชน ประชาชน นักวิชาการ ซึ่งจําเป็นมากที่ต้องฟัง"

 คุณยิ่งลักษณ์ ซึ่งขณะนี้ผมจะเรียกว่าเป็นนายกรัฐมนตรี เต็มปากเต็มคำ ต้องไม่ลืมความผิดพลาดที่พี่ชายเคยทำไว้
 คุณยิ่งลักษณ์ ต้องกล้าบอกพี่ชายว่าอย่าล้ำเส้น และจะไม่ยอมทำในสิ่งผิดๆ ที่พี่ชายสั่งการมาจากข้างนอก
 คุณยิ่งลักษณ์ ทำได้ (ใช่) ไหมครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 สิงหาคม 2554, 19:32:50
ใครเป็นใคร"ปูจ๋า1"
10 สิงหาคม 2554
 เปิดประวัติ ที่มา-ที่ไป ครม."ยิ่งลักษณ์1" ที่มีทั้งมือเก่า-หน้าใหม่-ทายาท-กลุ่มทุน และเซอร์ไพรส์!!


หมายเหตุ : เมื่อค่ำวันที่ 9 ส.ค. มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.ชุดใหม่แล้ว โดยมีกำหนดเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณตนในวันที่ 10 ส.ค. ซึ่งแต่ละคนมีประวัติคร่าวๆดังนี้

รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย - ยงยุทธ วิชัยดิษฐ
2 เก้าอี้ที่ได้ ถือเป็นรางวัลสูงสุด ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่จะเป็นรองนายกฯ เบอร์ 1 รักษาการแทนหาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปต่างประเทศ ยงยุทธ เป็นสายตรงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

รองนายกฯ - พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ
เหตุที่ต้องตั้ง “บิ๊กโก” ทั้งที่เป็นคนนอกพรรค เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการใช้ภาพ พล.ต.อ.โกวิท เชื่อมกับชนชั้นนำ เนื่องจาก พล.ต.อ.โกวิท เคยรับใช้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และยังเป็น มท.1 รองนายกฯ สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช เป็นเจ้าของฉายา “ม็อบมีเส้น”

รองนายกฯ - ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
ถึงแม้ “บิ๊กเหลิม” จะไม่สามารถพาบุตรชายเข้าสภาได้เพราะแพ้พรรคประชาธิปัตย์ แต่การเป็นมืออภิปราย เจ้าของผลงานคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และช่วยพรรคปราศรัยในหลายพื้นที่ เคยประกาศว่าจะขอเก้าอี้นายกรัฐมนตรี 6 เดือนเพื่อพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถทิ้งขุนพลคนสำคัญคนนี้ได้ โดย “บิ๊กเหลิม” จะเป็นรองนายกฯ คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ - กิตติรัตน์ ณ ระนอง
อดีตกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในยุครัฐบาลไทยรักไทย ปี 2544-2549 ปัจจุบันเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยชินวัตร กิตติรัตน์ ตกเป็นข่าวครึกโครมช่วงซื้อขายหุ้นชินคอร์ปกับกลุ่มเทมาเซก เมื่อมีการตรวจสอบพบว่าการซื้อขายหุ้นเป็นนิติกรรมอำพราง โดยเฉพาะการซื้อขายหุ้นในส่วนของแอมเพิลริชของ พานทองแท้ และ พินทองทา ชินวัตร ที่ไม่เสียภาษี ช่วงแรก กิตติรัตน์ ออกมาการันตีว่า การซื้อขายถูกต้อง แต่เมื่อตรวจสอบไม่พบรายการซื้อขาย ก็แจ้งแก้ไขว่าเป็นการซื้อขายนอกตลาด กิตติรัตน์ สรุปผลสอบว่า “เกิดจากการกรอกข้อมูลผิดพลาด (ติ๊กผิด)”

รองนายกฯ ควบ รมว.ท่องเที่ยวฯ - ชุมพล ศิลปอาชา
หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา น้องชาย บรรหาร ศิลปอาชา กลับมาเป็น รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา อีกครั้ง ตามสัญญาใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ รับปาก

รมต.ประจำสำนักนายกฯ - นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์
สส.ชัยภูมิ หลายสมัย และเป็นมือขวา พายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสาน จึงได้ลิ้มรสเสนาบดีเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เคยประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน และรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

รมต.ประจำสำนักนายกฯ - กฤษณา สีหลักษณ์
เป็นรัฐมนตรีโค้งสุดท้ายแบบส้มหล่น จากการถอนตัวของ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ที่ไม่ขอเป็น รองนายกฯ กฤษณา เป็น สส.อุตรดิตถ์ ปัจจุบันรับผิดชอบ สส.อุตรดิตถ์ ทั้งหมด ได้เป็นครั้งนี้เพราะแรงผลักดันของ “เจ๊แดง”

รมว.กลาโหม - พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา
มาแรงในช่วงคนนอก ปฏิเสธเก้าอี้ รมว.กลาโหม หมด “บิ๊กอ๊อด” ทั้งบู๊และบุ๋น ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ มาก เคยเป็น รมช.กลาโหม ในรัฐบาลไทยรักไทย เครือข่ายที่กว้างขวางของบิ๊กอ๊อดเชื่อว่าจะเดินหน้านโยบายปรองดองในยุคกองทัพเป็นปฏิปักษ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ข้อสำคัญ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ระบุว่าเขาเข้าออกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้ 24 ชั่วโมง เพราะเป็นลูกรักคนหนึ่ง

รมว.คลัง - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในช่วงที่มีการตรวจสอบการขายหุ้นชินคอร์ป ธีระชัย ไม่ได้ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เท่าที่ควร สุดท้ายคดีนี้นำไปสู่การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 4.6 หมื่นล้านบาท ว่ากันว่า ธีระชัย เป็น รมว.คลัง ได้เพราะเป็นสายตรงคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร

รมช.คลัง - บุญทรง เตริยาภิรมย์
คนถือกระเป๋ารับใช้ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็น สส.เชียงใหม่ มาตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย ก่อนหน้าเล่นการเมืองเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่

รมช.คลัง - วิรุฬ เตชะไพบูลย์
กลุ่มทุนคนสำคัญของพรรค เก้าอี้เลยเหนียวหนึบ เคยเป็น รมช.พาณิชย์ ในรัฐบาลสมัคร เคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกวุฒิสภา เคยร่วมงานพรรคความหวังใหม่

รมว.ต่างประเทศ - สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
เซอร์ไพรส์ที่สุดคือ “ดร.ปึ้ง” สส.ปาร์ตี้ลิสต์ผู้นี้ การถูกจับมาเป็น รมว.ต่างประเทศ ทั้งที่มีชื่อเป็น รมว.ไอซีที เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ หาคนนอกมาเป็นไม่ได้ และ ดร.ปึ้ง เป็นสายตรง ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้ใจมาก เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องใช้กระทรวงการต่างประเทศช่วยเหลือจากที่ยังติดคดีอาญาทุจริตเดินทางเข้าประเทศไทยไม่ได้ และหลายประเทศก็ขึ้นแบล็กลิสต์ พ.ต.ท.ทักษิณ

รมว.ยุติธรรม - พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก
คนนี้ไม่ให้เก้าอี้ไม่ได้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยใช้บริการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแข่งกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสภา หลังจากพรรคพลังประชาชนถูกยุบและมาเป็นพรรคเพื่อไทย พล.ต.อ.ประชา เคยเป็นอดีต ผบ.ตร. เป็น รมว.อุตสาหกรรม และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน

รมว.พัฒนาสังคมฯ - สันติ พร้อมพัฒน์
หนึ่งในนายทุนพรรค เคยเป็น รมว.คมนาคม สมัยรัฐบาลสมัคร และครั้งนี้จองเก้าอี้คมนาคม แต่อกหักหลังขัดแย้งกับกลุ่ม “เฮียเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ที่ส่งคนเข้ามาอยู่กระทรวงนี้ สุดท้ายทั้งคู่ผิดหวัง สันติ จึงได้เก้าอี้ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลอบใจ

รมว.เกษตรฯ - ธีระ วงศ์สมุทร
รับตำแหน่งเดิม กระทรวงเดิม ต่อเนื่องจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เพราะเป็นมือขวา “บิ๊กเติ้ง” บรรหาร ศิลปอาชา แห่งชาติไทยพัฒนา

รมช.เกษตรฯ - พรศักดิ์ เจริญประเสริฐ
สส.ศรีสะเกษ ฉายา “เสี่ยลาว” ได้เพราะโควตาภาคอีสานจากความไว้ใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยเป็นรองประธานกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ และผู้ช่วยเลขาธิการ รมว.มหาดไทย

รมว.คมนาคม - พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต
อดีตผู้ช่วย ผบ.ทอ. และ ตท.10 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ทั้งยังใกล้ชิดกับคุณหญิงพจมาน สาเหตุที่ พล.อ.อ.สุกำพล รู้เรื่องคมนาคมดีมาก สมัยรัฐบาลสมัครเขาถูกตั้งให้เป็นบอร์ดการบินไทย

รมช.คมนาคม - กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์
สส.รุ่นดึก 12 สมัย อดีต รมช.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ฯ ได้ครั้งนี้เพราะ พายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสานสั่งมา

รมช.คมนาคม - พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก
สส.ระบบบัญชีรายชื่อเพื่อไทยช่วยงาน พ.ต.ท.ทักษิณมาตลอด ร่วมงานตั้งแต่พรรคพลังประชาชน ตำแหน่งสูงสุดผู้บัญชาการสอบสวนกลาง

รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ - ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข
สส.เลย หลายสมัย เคยเป็น รมช.มหาดไทย ช่วงสั้นๆ 3 เดือนในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่ากันว่าเหตุที่ได้เก้าอี้รัฐมนตรีอีกครั้งเป็นรางวัลตอบแทนที่สามารถยันพรรคภูมิใจไทยใน จ.เลย สำเร็จ

รมว.แรงงาน - เผดิมชัย สะสมทรัพย์
ตระกูลสะสมทรัพย์ยึดครอง จ.นครปฐม มายาวนาน มีตำแหน่งเป็นประธานภาคกลางคอยช่วยเหลือพรรคทุกโอกาส ไม่แปลกที่ เผดิมชัย จะได้เก้าอี้รัฐมนตรีเบียดแซง จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ตัวเต็ง รมว.แรงงาน

รมช.พาณิชย์ - ภูมิ สาระผล
สส.ขอนแก่น หลายสมัย เป็นทนายความมาก่อน ได้เป็นรัฐมนตรีจากโควตาภาคอีสาน เคยได้รับแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและรองโฆษกรัฐบาล

รมช.พาณิชย์ - ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์
ทายาท พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ที่วางมือปล่อยให้ลูกมาเรียนรู้ในเก้าอี้รัฐมนตรี เป็น สส.พิจิตร 4 สมัย ชื่อเล่น “ยอด” อายุ 38 ปี

รมว.ศึกษาธิการ - วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล
สส.แพร่ หลายสมัย คุมกระทรวงเกรดเอที่มีงบประมาณให้บริหารมาก และคุมข้าราชการครูทั่วประเทศ เพราะ “เจ๊แดง” ดันสุดตัวในฐานะคนสนิท เคยเป็น รมว.วัฒนธรรม ในรัฐบาลสมชาย ตกเป็นข่าวฮือฮา เพราะมีแนวคิดที่จะนำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เช่น พญานาค ควายธนู น้ำมนต์ ปลัดขิก มาทำเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมเพื่อขายเป็นที่ระลึก

รมช.ศึกษาธิการ - บุญรื่น ศรีธเรศ
ฉายา “ป้ารื่น” อายุ 68 ปี เป็น สส.กาฬสินธุ์ ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย มีชื่อเป็นรัฐมนตรีในโควตาภาคอีสาน ก่อนเล่นการเมือง เป็นนายกสมาคมสตรีนักธุรกิจกาฬสินธุ์ และช่วยงานการเมืองร่วมกับสามี สส.สังข์ทอง ศรีธเรศ อยู่ 7 สมัย

รมช.ศึกษาธิการ - สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล
สส.ปทุมธานี โควตาภาคกลาง ถิ่นเสื้อแดงที่เข้มแข็งอีกพื้นที่หนึ่ง

รมว.วัฒนธรรม - สุกุมล คุณปลื้ม
มาโควตาพรรคพลังชล เป็นภรรยาของ สนธยา คุณปลื้ม แกนนำพรรคพลังชล โดยเธอเป็น สส.ชลบุรี ในการเลือกตั้งครั้งนี้

รมว.สาธารณสุข - วิทยา บุรณศิริ
เป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในชีวิต ได้เพราะโควตาภาคกลาง เคยเป็นประธานวิปฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ประสานสิบทิศ

รมช.สาธารณสุข - ต่อพงษ์ ไชยสาส์น
ผิดความคาดหวังของเจ้าตัวที่ต้องการเป็น รมช.ต่างประเทศ หลังเป็นประธานกรรมาธิการการต่างประเทศในสภาชุดที่แล้ว ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็รับปากว่าจะให้เป็นแน่ เหตุที่ได้เพราะสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่าง ประจวบ ไชยสาส์น บิดา กับ พ.ต.ท.ทักษิณ

รมว.อุตสาหกรรม - นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล
ได้สิทธิในฐานะหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เคยเป็นรมว.พลังงาน ในสมัยรัฐบาลสมชาย อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์

รมว.พลังงาน - พิชัย นริพทะพันธุ์
รายนี้ไม่มีทางพลาด เพราะเป็นนายทุนพรรค บริจาคเงินเข้าพรรคปีละหลายล้านบาท เป็นอีกคนที่ใกล้ชิดครอบครัวชินวัตร และถือเป็นทีมยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของพรรคไม่กี่คนที่หลุดมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญครั้งนี้

รมว.วิทยาศาสตร์ฯ - ปลอดประสพ สุรัสวดี
ถึงแม้จะได้เป็นรัฐมนตรีครั้งแรกแต่หลุดโผไปไกล เพราะก่อนหน้านี้เป็นตัวเต็งในเก้าอี้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คงเป็นเพราะช่วยพรรคมานาน และเป็นผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย จึงยังอยู่ในโคจร ครม.ปู 1

รมว.ไอซีที – น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ
คนโปรด “หญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานภาค กทม. ถือเป็นนักการเมืองดาวรุ่ง แจ้งเกิดในเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ “หนุ่มป๊อป” เป็นอดีตนักบินขับไล่เอฟ 16 และเป็นทายาท น.ต.ฐิติ นาครทรรพ อดีตเลขาธิการพรรคสามัคคีธรรมในยุค รสช.

รมช.มหาดไทย - ฐานิสร์ เทียนทอง
มาในโควตา “เทียนทอง” ที่ ป๋าเหนาะ พาเข้าสภายกตระกูลได้ถึง 6 คน ฐานิสร์ เป็นหลานป๋า อายุเพียง 42 ปี เคยเป็นเลขาธิการพรรคประชาราช และเป็นที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย (เสนาะ เทียนทอง)

รมช.มหาดไทย - ชูชาติ หาญสวัสดิ์
เป็น สส.ปทุมธานี ยาวนานถึง 7 สมัย ได้เป็นเพราะโควตาภาคกลาง ก่อนหน้านี้เคยอยู่กลุ่มวังน้ำเย็นของ เสนาะ เทียนทอง ได้เป็น รมช.มหาดไทย ครั้งนี้ถือว่าเข้าขากับ “หลานป๋าเหนาะ”



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 สิงหาคม 2554, 11:40:39
ครม.'ยิ่งลักษณ์ 1'..ต่างตอบแทน-แดงกลืนเลือด

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    คณะรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ 1"สรุปโครงสร้างออกมาได้ชัดเจนไม่มีตัวแทนเสื้อแดง -ต่างตอบแทนและล้วนใกล้ชิดชิด"ชินวัตร"

 เผยโฉมให้เห็นจะจะกันไปแล้วสำหรับคณะรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ 1" บรรดากองเชียร์ของผู้ที่สมหวังก็ดูคึกคักเถิดเทิง ส่วนกลุ่มอกหักซึ่งมีมากกว่า เพราะตำแหน่งมีน้อยกว่าตัวบุคคล ก็คงต้องทำใจและรอลุ้นการปรับ ครม.รอบหน้าซึ่งว่ากันว่าจะมีขึ้นหลังจากรัฐบาลบริหารไปได้ครบ 6 เดือน


 เสียงวิจารณ์โฉมหน้า ครม.ใหม่มีทั้งลบและบวก แต่มีข้อสังเกตที่น่านำมาวิเคราะห์ต่อ 3 ประการ คือ
 1.ครม.ชุดนี้ไม่มีตัวแทนคนเสื้อแดง หรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เลยแม้แต่คนเดียว แม้แต่ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ก็ไม่ได้เก้าอี้
 2.ครม.ชุดนี้มีภาพของการ "ต่างตอบแทน" ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะคนที่เคยทำประโยชน์หรือช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในอดีต
 3.ครม.ชุดนี้มีตัวแทนคนใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเครือญาติ เข้ายึดกุมตำแหน่งสำคัญเป็นจำนวนมาก


 เบื้องแรกขอวิเคราะห์ประเด็นที่ 2 กับ 3 ก่อน จะเห็นได้ชัดว่าบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 ส่วนใหญ่มีสายสัมพันธ์ทั้งในฐานะส่วนตัวหรือธุรกิจกับคนในตระกูล "ชินวัตร" ทั้งสิ้น
 เริ่มจาก พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม เป็นเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) ของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเรืองอำนาจ นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น เคยมีแนวคิดผลักดันให้ พล.อ.อ.สุกำพล ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) มาแล้ว เพื่อสร้างปรากฏการณ์ ตท.10 ผงาดเป็น ผบ.เหล่าทัพทุกเหล่าทัพ (กองทัพบกจะดัน พล.อ.พรชัย กรานเลิศ แต่ภายหลัง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้เป็น ผบ.ทบ.ก็เป็น ตท.10 เหมือนกัน ขณะที่กองทัพเรือ พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ก็เป็นนายทหาร ตท.10 เหลือแต่ทัพฟ้าเท่านั้นที่ไม่ได้)
 ปรากฏว่าเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 พล.อ.อ.สุกำพล ก็ถูกเด้งเข้ากรุ และเงียบหายไปนาน กระทั่งยื่นใบลาออกก่อนเกษียณอายุราชการเพียงไม่กี่เดือนเพื่อรับตำแหน่ง รมว.คมนาคม ในรัฐบาลชุดนี้


 อีกรายที่มองเห็นภาพค่อนข้างชัด คือ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง ซึ่งคุ้นเคยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอย่างดีตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (เลขาธิการ ก.ล.ต.)ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัย เกี่ยวกับการขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ปให้กับกลุ่มเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของสิงคโปร์ บทบาทการตรวจสอบหุ้น ของตระกูลชินวัตร รวมถึงกรณีหุ้นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่กระแสสังคมในช่วงนั้นโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม อดีตก.ล.ต.ออกมาชี้แจงว่ามีขัดตอนทำงาน ผ่านบอร์ด ก.ล.ต.ชัดเจน

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ซึ่งคนวงในรู้กันดีว่าสนิทสนมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังทำธุรกิจ ขณะที่นายกิตติรัตน์เป็นกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (และยังนั่งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยชินวัตรด้วย) ซึ่งท่าทีของเขาก็ไม่เคยเป็นลบต่อการขายหุ้นชินคอร์ปอย่างสลับซับซ้อนเลยเช่นกัน  ซ้ำบางเรื่องที่พบเป็นความผิดชัดเจน ก็ยังระบุว่าเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการกรอกข้อมูลผิด หรือที่เรียกกันว่า "ติ๊กผิด" จนเป็นที่ฮือฮามาแล้ว

 ส่วนรัฐมนตรีในโซนความมั่นคง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แม้จะเคยกินแหนงแคลงใจกับ พ.ต.ท.ทักษิณ สมัย พล.ต.อ.โกวิท เป็นรอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 เตรียมจะก้าวขึ้นเป็น ผบ.ตร. แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะนั่งเก้าอี้นายกฯ ต้องการดัน พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ ซึ่งอาวุโสน้อยกว่าขึ้นแทน แต่ พล.ต.อ.โกวิท แข็งกว่า จึงคว้าเก้าอี้ ผบ.ตร.ไป

 ทว่า พล.ต.อ.โกวิท ก็ได้ใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปเต็มๆ เมื่อเขาซึ่งเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 6 (ตท.6) รุ่นเดียวกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ.และอดีตประธาน คมช. แต่กลับไม่ยอมร่วมขบวนรัฐประหารกับนายทหาร ตท.6 ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ ด้วยเหตุผลที่เคยเปรยกับคนใกล้ชิดว่า "อย่างไรเสียทักษิณก็เป็นน้อง เป็นตำรวจด้วยกัน"

 หลังจากนั้น พล.ต.อ.โกวิท ก็ขยับมาเป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้วางใจ และเคยรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.มหาดไทย ในรัฐบาลพรรคพลังประชาชนมาแล้ว

 ตำแหน่งที่เรียกเสียงฮือฮามากที่สุด หนีไม่พ้น รมว.ต่างประเทศ ที่ตกเป็นของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล กรณีของนายสุรพงษ์ อย่าว่าแต่สังคมจะแปลกใจ เพราะคนในพรรคเพื่อไทยเองก็ยังมึนไปเหมือนกัน เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏมาก่อนว่านายสุรพงษ์เคยทำงานที่เกี่ยวข้องกับงานด้านการต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นงานฝ่ายบริหารหรืองานสภา

 สาเหตุที่ นายสุรพงษ์ เข้าป้ายครองเก้าอี้รัฐมนตรีบัวแก้ว สาเหตุประการหนึ่งเป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ หาคนที่เหมาะสมไม่ได้ คนนอกที่ทาบทามไว้ไม่กล้ารับตำแหน่ง เพราะมีประเด็นร้อนด้านการต่างประเทศรออยู่มากมาย ทั้งปัญหากัมพูชาหรือแม้แต่คดีฟ้องร้องกับบริษัทวอลเตอร์ บาว

 เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เลือกใช้บริการนายสุรพงษ์ ก็เพราะมีศักดิ์เป็นญาติ และไว้ใจได้ เนื่องจากทำงานตามออเดอร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาตลอด โดยเฉพาะกับบทบาทประธานคณะกรรมาธิการการคลังการธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ที่คอยหาข้อมูลลับเกี่ยวกับงบประมาณและสถานะทางการคลังออกมาทิ่มแทงดิสเครดิตรัฐบาลประชาธิปัตย์อยู่เนืองๆ

 อีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มตอบแทนทางการเมือง คือ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน ซึ่งได้เก้าอี้จากโควตา ส.ส.ภาคกลางของ
พรรคเพื่อไทย เนื่องจากกลุ่ม "สะสมทรัพย์" ร่วมหัวจมท้ายกับพรรคมาตลอดตั้งแต่สมัยไทยรักไทย พลังประชาชน มาจนถึงปัจจุบัน

 เช่นเดียวกับ นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเก้าอี้ในโควตาภาคกลาง เนื่องจากตระกูลหาญสวัสดิ์ช่วยกวาด ส.ส.ปทุมธานียกจังหวัด

ขณะที่ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาเป็นที่รู้กันว่าทำงานลับให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หลายๆ เรื่อง ด้วยบุคลิกนิ่งเงียบ และยังกวาด ส.ส.เลย กับจังหวัดใกล้เคียงมาได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่หลายคนก็มองอย่างงงๆ เหมือนกันว่านายปรีชาก้าวกระโดดขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกรดเอเลยหรือ?

 ส่วนข้อสังเกตอีกด้านที่ตั้งประเด็นไว้ตั้งแต่ตอนต้น คือ การไม่มีตัวแทนกลุ่ม นปช.อยู่ใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 เลยแม้แต่คนเดียว ประเด็นนี้ถือว่าน่าสนใจ เพราะแม้จะมีข่าว "สัญญาใจ" ว่าจะปรับ ครม.เพื่อเปิดทางให้หลังจากบริหารงานครบ 6 เดือน แต่ผลที่ออกมาเช่นนี้คงกระทบใจแกนนำเสื้อแดงมากพอดู เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวว่า "แกนนำแดง" จะคั่ว 1-2 เก้าอี้ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้เลย แม้แต่ตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติ

 หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 กลุ่มแกนนำเสื้อแดงนับว่าทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หนักที่สุด ถูกมองเป็น "ผู้ร้าย" ในสายของคนในสังคม ต้องเสี่ยงชีวิตเมื่อครั้งเป็นผู้นำการชุมนุมเมื่อปี 2552 และ 2553 จนเกิดเหตุรุนแรงมีผู้คนบาดเจ็บล้มตาย แถมแกนนำบางส่วนยังต้องเข้าคุกเข้าตาราง มีข้อหาฉกรรจ์ติดตัวอีกด้วย
 แต่วันนี้เก้าอี้รัฐมนตรีกลับถูก "หยิบชิ้นปลามัน" ไปจากบางคนที่ไม่เคยร่วมต่อสู้ ซ้ำยังแสดงทีท่ารังเกียจคนเสื้อแดงอีกต่างหาก ทำนองว่าหากตั้งเป็นรัฐมนตรีจะทำให้เสียภาพลักษณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1
 ที่หนักที่สุดคือการพลาดเก้าอี้ของ พ.อ.อภิวันท์ รวมถึง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และจตุพร พรหมพันธุ์

 อารมณ์ความรู้สึกของแกนนำเสื้อแดงคงสะท้อนได้จาก วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ที่ว่า "อำนาจพิเศษยังอยู่เหนือพรรคเพื่อไทย และเหนืออำนาจประชาชน 15 ล้านเสียงที่เลือกพรรคเพื่อไทยมา โดยอำนาจพิเศษนี้เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้พรรคเพื่อไทยไม่มีอิสระในการเลือกและไม่เลือกใครเป็นรัฐมนตรี อย่างกรณี พ.อ.อภิวันท์ ก็ทราบมาว่าผู้มีอำนาจมีอิทธิพลทางการเมืองไทยไม่สบายใจที่จะให้ไปรับตำแหน่งในฝ่ายบริหาร"
 

น่าคิดว่าภาวะ "กลืนเลือด" อึกใหญ่ของแกนนำเสื้อแดง กับท่าทีของบางคนในรัฐบาลที่โอนอ่อนเข้าหากลุ่มอำนาจขั้วตรงข้าม และการที่รัฐมนตรีคนสำคัญๆ ส่วนใหญ่ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งในลักษณะ "ต่างตอบแทน" จะทำให้การบริหารงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 ราบรื่นไปได้นานแค่ไหน...
 แต่ที่แน่ๆ ไม่มีช่วงเวลาฮันนีมูนแม้แต่นาทีเดียว!

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 สิงหาคม 2554, 10:28:47
ปูดเอกสารลับ"เทียนทอง"ควงกกต.เที่ยวญี่ปุ่น
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

  “มือดี” ส่งเอกสารลับให้ ปชป. เผยรายชื่อ คนในตระกูล "เทียนทอง-ขรก.ผู้ใหญ่-กกต.จว.สระแก้ว" บินเที่ยวญี่ปุ่น

แหล่้งข่าวในพรรคประชาธิปัตย์ แจ้งว่า วันอาทิตย์ ได้มีผู้นำเอกสาร จำนวน 3 แผ่น มาวางไว้ ที่บริเวณห้องผู้สื่อข่าวพรรค โดยเอกสารดังกล่าวระบุถึงรายละเอียด รายชื่อของผู้โดยสารที่โดยสารเครื่องบิน สายการบิน เจแปน แอลไลน์ เที่ยวบินที่ เจแอล 728 ระบุวันเดินทางออกจากกรุงเทพ ปลายทางสนามบินเคนไซ ประเทศญี่ปุ่น  ลงวันที่ 30 ก.ค. 2554

โดยรายชื่อผู้โดยสารในเที่ยวบินดังกล่าว มีทั้งหมด 21 คน ซึ่งมีชื่อของบุคคลในตระกูลเทียนทอง ที่ได้รับชัยชนะการเลือกตั้ง มาอย่างท่วมท้น รวมถึงรายชื่อของข้าราชการระดับสูงในจังหวัดสระแก้ว ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาด้วย อีกทั้งวันเวลาที่เดินทางยังเป็นช่วงเวลาที่เสร็จสิ้นการเลือกตั้งไม่ถึง 1 เดือน

เอกสารดังกล่าว ระบุชื่อ  คือ   1.นางอุไรวรรณ เทียนทอง ภรรยานายเสนาะ เทียนทอง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี / มารดา ส.ส.สรวงษ์ เทียนทอง  2. นางขวัญเรือน เทียนทอง มารดา ส.ส.ฐานิสย์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย - ส.ส.ตรีนุช เทียนทอง  3. น.ส.สิริวรรณ เทียนทอง ธิดา นายเสนาะ- นางอุไรวรรณ เทียนทอง 4.นายสุพล พงษ์ทัดศิริกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย / อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว 5.นางปริศนา พงษ์พิทัดศิริกุล ภรรยานายสุพล

6.นายสานิตย์ นาคสุขศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว 7.นางเชาวลี นาคสุขศรี ภรรยานายสานิตย์  8.นายยุทธนา นุชนาถ นายอำเภอตาพระยา และประธานกกต.จังหวัดสระแก้ว 9.นายวุฒิดนัย สวัสดินฤนาถ นายอำเภอโคกสูงและผู้อำนวยการเลือกตั้งสระแก้วเขต3 10.นายเชษฐา โชไชย นายอำเภอเมืองและผู้อำนวยการเลือกตั้งสระแก้ว เขต1

11.นายชัช กิตินพดล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว 12.นายเริงชัย ชัยวัฒน์ นายอำเภออรัญประเทศ 13.นายธรรมศักดิ์ รัตนธัญญา นายอำเภอเขาฉกรรจ์ 14.นายพิษณุวัฒน์ วรรธนะกุล นายอำเภอวังน้ำเย็น 15.นายวัลลภ ประวัติวงศ์ จ่าจังหวัด 16.นายอารขันต์ ท่าใหม่ ป้องกันจังหวัด 17.นายอนุกูล เรือนแก้ว ปลัดอาวุโส อ.เมือง 18.นายวินัย จงวัฒนาบัณฑิต นายอำเภอวังสมบูรณ์ 19.นายธีรพงษ์ ศิรินานุวัต นายอำเภอคลองหาด 20.นางกัลยา ศิรินานุวัต ภรรยานายธีรพงษ์ 21.นายวรพันธ์ สุวรรณนุช นายอำเภอวัฒนนานคร”

นอกจากนี้ มีเอกสารแนบท้ายระบุรายละเอียดด้วยว่า  “ค่าใช้จ่ายต่อหัวเฉลี่ยตกเกือบคนละ 5 แสนบาท”  จึงตั้งข้อสังเกตว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่า เป็นทัวร์ต่างตอบแทนที่ปูนบำเหน็จหลังการเลือกตั้งที่ทำงานเข้าเป้า  เพราะรายชื่อมีแต่คนระดับผู้ใหญ่ในจังหวัด ทั้งระดับประธาน กกต.จังหวัด  ผอ.การเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งอยู่ด้วย แม้ข่าวใน กกต.จะระบุว่ามีรายงานว่า ประธานและ กกต.จังหวัดต่างๆ จะหมดวาระ จะต้องมีการสรรหาประธานกกต.และกกต.จังหวัดคนใหม่ แต่สุดท้ายก็ต้องคัดเลือกจากคนเหล่านี้มาเป็นอยู่ดี
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสารดังกล่าวยังระบุว่า อย่าอ้างว่าเป็นการใช้งบประมาณในส่วนของจังหวัดไปดูงานตามแผนงานเดิม เพราะคณะที่ไปนั้นมีแต่ระดับบริหารอันดับต้นๆของจังหวัด โดยเฉพาะคนในตำแหน่ง กกต. และมีรายงานว่ามีการประสานงานถึงทูตพาณิชย์ประจำนคร โอซาก้า ให้อำนวยความสะดวกเรื่องที่พักและรถรับส่งตลอดทริป จึงขอให้สื่อสะท้อนความเป็นจริงต่อสังคมว่า สังคนไทยเป็นกันอย่างนี้หรือ จะตรวจสอบกันอย่างไร หรือจะเป็นโมเดลใหม่ของ กกต.จังหวัดที่เตะหมู เข้าปากหมา เพราะกกต.กลาง ไม่ทำงาน มอบหน้าที่ให้ กกต.จังหวัดทำหน้าที่แทน แล้วจะให้สังคมมององค์กรกลางนี้ว่าอย่างไร หรือจะออกมารูปแบบเดียวกับโมเดลเงินหล่นในสนามกอล์ฟของก๊วนกอล์ฟ กกต.จังหวัดหนึ่งในภาคกลางที่เคยเป็นข่าวฮือฮามาแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วจะหวังอะไรกับกระบวนการที่คัดคนเข้าสู่ระบบเพื่อทำหน้าที่นิติบัญญัติและบริหารชาติบ้านเมือง”เอกสารดังกล่าวระบุ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 สิงหาคม 2554, 17:48:16
ครับ  เป็นความจริง  งบอาหารของนายกยิ่งลักษณื ต่อวัน 211,850 บาทจริงๆ

และทั้งหมดท่านไม่ได้ จ่ายเอง  มาจากภาษีประชาชนล้วนๆ


ทำไมแพงนัก? ก่อนอื่นผมอยากให้ดูรายการอาหารของท่านนายกก่อนครับ

อาหารเช้า  มีต้มยำกุ้งมังกรด้วย
http://img.ihere.org/uploads/fbd081c832.jpg

นอกจากนี้อาหารกลางวัน  จะเป็นอาหารกึ่งยุโรป  เพราะท่านนายกอาจต้องรับแขกบ้านแขกเมือง ต่างประเทศ
นี้คือตัวอย่างรายการอาหารครับ
http://img.ihere.org/uploads/358d649c66.jpg
ถามว่ารายการอาหารนี้มีมานานหรือยัง

คำตอบคือมีมานานแล้วครับ  เอกสารพวกนี้เปิดเผยได้จะว่าไปจะขอก็ไม่ได้ยากอะไร

และเมนูนี้จะสับเปลี่ยนทุกอาทิตย์

อาหารพวกนี้สมัย นายกอภิสิทธิ์ เมนูอาหารจะจัดไว้เฉพาะผู้นำหรือแขกสำคัญๆของผู้นำเท่านั้น ไม่ได้แจกจ่ายให้

" ที่ปรึกษาหรือคณะทำงาน " เพราะราคาต่อหัวเฉียดครึ่งหมื่น หรือ 4,237 บาท/หัว ครับ

นายกอภิสิทธิ์เองก็กินเมนูพวกนี้ละครับ แต่ที่ต่างออกไปคือ
คณะที่ปรึกษาและคณะทำงาน ไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกเมนูพวกนี้มากินโดยเด็ดขาด

แต่ส่วนใหญ่ นายกอภิสิทธิ์จะลงมากินข้าวข้างล่างที่โรงอาหารด้านหลังครับ ข้าวไข่เจียวป้าน้อย ขาประจำ

แต่นายกยิ่งลักษณ์  นั้นเธอได้อนุญาติให้ คณะที่ปรึกษาและคณะทำงาน เรียกเมนูพวกนี้มากินได้

แล้วคณะของคุณ ยิ่งลักษณ์ มีราวๆ 50 คน จำราคาต่อหัวได้ไหมครับ 4,237 บาท/หัว

แล้วทีมนายกมี 50 คน........... 4,237x50= 211,850/วัน
ย้ำว่านี้คืองบที่มาจากภาษีประชาชน ไม่ใช่งบส่วนตัวนายก

โดยกองพิธีการตั้งงบเบิกจ่ายในงบประมาณ ของ สลน.แล้ว เป็นงบรับรอง 211,850/วัน

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 สิงหาคม 2554, 20:29:52
หวัดดีนก เห็นไวๆ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 22 สิงหาคม 2554, 14:49:08
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 21 สิงหาคม 2554, 20:29:52
หวัดดีนก เห็นไวๆ
                emo19:((:  สวัสดีตะวัน
                                        เราโพสต์รูปการ์ตูนว่า เค้าไม่ยอม จะไปกินต้มยำกุ้งบ้าง  แต่เราคงกินได้แต่กุ้งแม่น้ำตัวเล็กๆเท่านั้น ไม่ใช่กุ้งมังกร   ไม่ใช่ยิ่งลักษณ์ที่ประชาชนเสื้อแดงรักยิ่ง
                                        หาข้อมูลเก่งมาก...ล้วงลึกจริงๆ
                                                               คอยติดตามข้อมูลอยู่เสมอ
                                                                                  Nok-ja    emo31:bye:


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 สิงหาคม 2554, 23:03:39
อ้างถึง
ข้อความของ nok15 เมื่อ 22 สิงหาคม 2554, 14:49:08
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 21 สิงหาคม 2554, 20:29:52
หวัดดีนก เห็นไวๆ
                emo19:((:  สวัสดีตะวัน
                                        เราโพสต์รูปการ์ตูนว่า เค้าไม่ยอม จะไปกินต้มยำกุ้งบ้าง  แต่เราคงกินได้แต่กุ้งแม่น้ำตัวเล็กๆเท่านั้น ไม่ใช่กุ้งมังกร   ไม่ใช่ยิ่งลักษณ์ที่ประชาชนเสื้อแดงรักยิ่ง
                                        หาข้อมูลเก่งมาก...ล้วงลึกจริงๆ
                                                               คอยติดตามข้อมูลอยู่เสมอ
                                                                                  Nok-ja    emo31:bye:
หวัดดีนก
ดีใจนะที่เข้ามาคุยกัน ไม่ค่อยมีคนเข้ามาคุย มีแต่เข้ามาอ่านก็ไม่เป็นไร


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 สิงหาคม 2554, 23:05:02
หุ่นยนต์นายกหญิงตัวแรกของโลก



ได้สำรวจโปรแกรมการตอบคำถาม หุ่นยนต์นายกหญิงตัวแรกของโลก พบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ได้ตอบคำถามตามโพยสำรวจดังนี้

1. ถามเรื่องการบริหาร ตอบว่า ทุกอย่างต้องคำนึงถึงพี่น้องประชาชนส่วนรวม
2. ถามเรื่องกฎหมาย ตอบว่า ทุกอย่างต้องอยู่บนความถูกต้องของกฎหมาย
3. ถามเรื่องนโยบาย ตอบว่า ทุกอย่างต้องดูในรายละเอียด
4. ถามเรื่องรายละเอียด ตอบว่า ทุกอย่างต้องเป็นหน้าที่สภา
5. ถามเรื่องสภา ตอบว่า ทุกอย่างไม่เกี่ยวกับนายกทักษิณ
6. ถามเรื่องทักษิณ ตอบว่า ทุกอย่าง ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล
7. ถามเรื่องรัฐบาล ตอบว่า ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน
8. ถามเรื่องประชาชน ตอบว่า กำลังดำเนินการแก้ไข
9. ถามเรื่องวิธีแก้ไข ตอบว่า ตอนนี้ยังบอกไม่ได้
10. ถามว่าทำไมบอกไม่ได้ ตอบว่า ทุกอย่างเป็นหน้าที่สภา
11. ถามย้ำไปย้ำมา ตอบว่า ขอตัวก่อนนะคะ (จะแฮงค์แล้วค่า)

หมายเหตุ กรณีที่คำถามยากเกินไปมันจะ auto program นำคำตอบ 1-11 มารวมกันโดยไม่สนใจว่าคำถามจะเป็นยังไง เช่น...

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องดูในรายละเอียด และปรึกษาหารือในรัฐบาล ไม่ค่ะ เป็นการตัดสินใจของรัฐบาล ท่านนายกทักษิณไม่เกี่ยวค่ะ ทุกอย่างต้องคำนึงถึงความถูกต้องตามกฎหมายและพี่น้องประชนชนที่ไว้วางใจเราค่ะ ..ค่ะ ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ค่ะ..ยังคงบอกอะไรในรายละเอียดไม่ได้ ต้องรอหารือในสภา ..ค่ะ ๆ ขอตัวก่อนนะคะ”"


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 สิงหาคม 2554, 23:06:45
Subject:    กลอนภาษาอังกฤษแด่ท่านนายก
 

 
 
I am now a Prai Minister.                             My elder brother's so happy.
He writes down every policy                         pass through me just to read and smile
First of all, I will raise salary.                        Secondly, build new land, raise sand price.
Thirdly, all people and all Kwai                     choose to do or to die I don't see
I will serve my country all my best                But after I get all money
“Will revenge not resolve” policy                   Guarantee, you will see HELL in Thailand



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 สิงหาคม 2554, 20:53:01
เพื่อความอยู่รอดของมติชน
 
------------------------------------------------------------

 

แถมบทกวีโดย วิทยากร กุนเชียง

>
> ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
> ฉันจึง ตามหา คนหาย
> ฉันหวัง ไว้ว่า ถ้ามีตาย
> สุดท้าย ประชาชน ลุกฮือ
>
> ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันเซ่อ
> ฉัน เจอ คนขาย มือถือ
> ดาวเทียม ทำให้รวย ล้นมือ
> ดูเขาซื่อ บอกรวย แล้วไม่โกง
>
> ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันเชื่อ
> เขาบอก หกเดือน ถนนโล่ง
> แก้ ปัญหา จราจร ต้องเชื่อมโยง
> คุยขโมง ถนนโล่ง ในพริบตา
>
> ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันหวัง
> ประชาธิปไตย เบ่งบาน แสวงหา
> ฉันหวัง พระบารมี ที่เมตตา
> นำพา บางคนกลับ จากดูใบ
>
> ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันโดนหลอก
> ดูด เลือด สูบเนื้อ เอาไปไล่
> อภิสิทธิ์ ชนชั้น ต้องหมดไป
> ต้อนรับ อำมาตย์ใหม่ ราชวงศ์ชิน
>
> ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันรัก
> โดนหัก หัวคิว เอาไปกิน
> เขาหลอก ให้ต้าน กฎหมายหมิ่นฯ
> ทั้งสิ้น เพื่อสร้าง รัฐไทยใหม่
>
> ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันแปลก
> เสียงปืนแตก แล้วมัน ไปอยู่ใหน
> เมื่อแสงทอง ฟ้าส่อง ผ่องอำไพ
> คนจัญไร อยากเป็นใหญ่ ในแผ่นดิน
>
> ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันคิดได้
> คนจังงงงไร รัฐไทยใหม่ อำมาตย์ชิน
> เคยบอก ชนชั้น นั้นต้องสิ้น
> ไอ้ห่ กิน หลอกกรู สู้เพื่อมรึง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 สิงหาคม 2554, 09:34:25
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd690407_7326834_3353856_2758009photo.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 สิงหาคม 2554, 13:06:45
"ไทม์"ชี้"แม้ว"ขโมยซีนน้องสาว อ้างตั้ง"ปึ้ง"หวังผล"ทักษิณ"เปล่งรัศมี แนะหยุดวุ่นวาย ปล่อย รบ.ทำงาน

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554 มติชนออนไลน์
   

นิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 25 สิงหาคม ลงพิมพ์บทความของนายแอนดรู มาร์แชล เกี่ยวกับการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นการขโมยซีนอีกครั้งหนึ่ง โดยตั้งคำถามถึงสถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นอาชญากรหนีคดีหรือเป็นบุคคลระดับวีไอพีกันแน่ ซึ่งเป็นคำถามที่สร้างความยุ่งยากซับซ้อนให้กับทางการญี่ปุ่นเมื่อได้รับคำร้องขอจาก พ.ต.ท.ทักษิณในการเดินทางเยือนญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้ ทั้งที่เป็นบุคคลที่ถูกศาลตัดสินโทษจำคุก 2 ปีในข้อหาคอร์รัปชั่น เนื่องจากขณะนี้ไทยมีรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาว

 แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะยืนยันเมื่อไปถึงญี่ปุ่นว่าน้องสาวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการเดินทางไปญี่ปุ่นของเขา แต่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้วีซ่าจากความช่วยเหลือของญาติห่างๆ คือนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ก็ทำให้คนไทยจำนวนมากอดประหลาดใจไม่ได้เกี่ยวกับการให้ความสำคัญและการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะไทยกำลังเผชิญปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ มากมาย ไม่ว่าน้ำท่วมหรือเงินเฟ้อสูง แต่เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับวีซ่าเข้าญี่ปุ่นของ พ.ต.ท.ทักษิณถูกมองว่าเลือกสร้างผลงานชิ้นแรกด้วยการกอบกู้ชื่อเสียงให้กับพี่ชาย
 

การเลือกช่วงเวลาเดินทางเยือนญี่ปุ่นของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น เป็นการเยือนระหว่างที่รัฐบาลกำลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับขโมยความสนใจไปยังญี่ปุ่น และยังทำให้คนมองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปรองดองมากไปกว่าการให้ความช่วยเหลือพี่ชายของตนเอง ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณควรจะหยุดเข้ามายุ่งวุ่นวาย หลีกเลี่ยงการเมือง และปล่อยให้น้องสาวได้ทำงาน

 ขณะที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เลือกนายสุรพงษ์ซึ่งไร้ประสบการณ์มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศก็เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณสามารถเปล่งรัศมีในฐานะรัฐบุรุษผู้โดดเด่นและมีชื่อเสียง แต่ปัญหาก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังเป็นภัยคุกคามรัศมีของน้องสาวของเขาด้วยเช่นกัน เพราะพยายามจะพิสูจน์ให้สังคมไทยเห็นว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับความยอมรับในประชาคมระหว่างประเทศ และตราบที่เขายังต้องลี้ภัยการเมืองอยู่นอกประเทศภายใต้สถานะบุคคลระดับวีไอพีเช่นนี้ เชื่อได้เลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องอาศัยประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 สิงหาคม 2554, 13:36:45
คุณชายนอกทำเนียบ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




 ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะสิ้นอำนาจไปตั้งแต่ปลายปี 2549 หรือการเป็น "รัฐบาลเฉพาะกิจ"

  ของพรรคพลังประชาชน ใต้การนำของสมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์

 จวบจนมาถึงยุครัฐบาลนายกรัฐมนตรีหญิง... "จันทร์ส่องหล้า" ยังเป็นศูนย์อำนาจของตระกูล "ชินวัตร" และเปรียบเสมือน "รัฐบาลส่วนหลัง" ที่คอยบัญชาการอย่างใกล้ชิด

 ในวังจันทร์ส่องหล้า นอกจาก "คุณหญิงอ้อ" ของเหล่าผู้รับใช้ ก็ยังมี "คุณส่วน" ชื่อที่คนวงในศูนย์อำนาจเรียกขาน!
 "คุณส่วน" เติบโตใต้ร่มไม้ชายคา พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ ครอบครัวนายตำรวจใหญ่ย่านบางพลัด ในสถานะ "บุตรบุญธรรม"

 "ด.ช.ส่วน" ลูกชายชาวจีนที่ พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ ขอมาเลี้ยงไว้ เพราะเห็นเป็นเด็กฉลาด มีแววเรียนเก่ง และเปลี่ยนชื่อเป็น "บรรณพจน์" จึงเป็นพี่ชายบุญธรรมที่แสนดีของคุณหญิงพจมาน

 พี่น้องพ่อแม่เดียวกันของ "คุณหญิงอ้อ" มีเพียง 3 คน คือ เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์, พงษ์เพ็ชร ดามาพงศ์ และ นพ.พีระพงศ์ ดามาพงศ์

 สมัยวัยเยาว์ พล.ต.ท.เสมอ มอบเงินให้ "พจมาน" น้องสาวคนสุดท้องเป็นผู้บริหารจัดการแจกจ่ายให้พี่ๆ ทุกคน รวมถึง "พี่ส่วน" เป็นรายเดือน เนื่องจากพ่อเสมอไว้วางใจลูกสาวคนนี้มากที่สุด

 เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับคุณหญิงอ้อ ประสบความสำเร็จทางธุรกิจในการสร้างอาณาจักร "ชินคอร์ป" สามี-ภรรยาคู่นี้ได้ไว้ใจพี่บุญธรรมให้ถือหุ้นมากมาย รวมถึง บุษบา ดามาพงศ์ ภรรยาบรรณพจน์ ยังได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากคุณหญิงอ้อ

 ปัจจุบัน "บุษบา" ประธานกรรมการบริหาร และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แทนซีอีโอคนเก่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ลาออกไปนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย
 ทางด้านการเมือง "คุณส่วน" เป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากคุณหญิงอ้อ ในการดูแลพรรคการเมืองแบบว่าเป็น "ผู้บริหารนอกพรรค" ตั้งแต่ไทยรักไทย, พลังประชาชน และเพื่อไทย

 เหนืออื่นใด "คุณส่วน" ได้ใช้ "ปรอ.9 คอนเนคชั่น" (หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน รุ่นที่ 9 จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร) เป็นสะพานเชื่อมไปยังกลุ่มชนชั้นนำทางสังคม ซึ่งนักศึกษารุ่นนี้ มีทั้งข้าราชการพลเรือน-ทหารระดับสูง และนักธุรกิจชั้นนำ

 ในเรื่องเล่าจากเนติบริกร "โลกนี้คือละคร" เขียนโดย วิษณุ เครืองาม ได้มีหลายฉากหลายตอนที่ฉายภาพ "คุณส่วน" กับบทบาทความเป็น "นักการทูตหลังม่าน" แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า

 โดยพี่ชายบุญธรรมคนนี้ จะทำงานสอดประสานกับน้องสาวอย่างมีจังหวะก้าว และเดินงานการเมืองคู่ขนานกับนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

 แม้ยามที่สิ้นอำนาจวาสนา "คุณส่วน" ยังเป็นเสาหลักดูแลหลานๆ และขุมทรัพย์ของชินวัตร ซึ่งตลอดเวลา 4-5 ปี ที่รอคอยอย่างอดทน พี่ชายบุญธรรมได้ดำเนินกลยุทธ์ลับ ลวง พราง ประสานกับ "อดีตขุนพลชินคอร์ป" อย่างใกล้ชิด

 ถ้ายังจำกันได้ 26 ตุลาคม 2549 คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร กับ บรรณพจน์ ดามาพงศ์ สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้คนในสังคม โดยเข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ทั้งที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา มาหมาดๆ

 ปีนี้ คุณหญิงอ้อกับคุณส่วน คงไม่ได้เข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เพราะ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้นำคณะผู้บัญชาการเหล่าทัพ เข้าอวยพร "ป๋าเปรม" เนื่องในโอกาสจะครบรอบวันคล้ายวันเกิด 91 ปี (26 สิงหาคม 2554) เรียบร้อยแล้ว

 ใครก็ทราบว่า "บิ๊กอ๊อด" ได้เป็น รมว.กลาโหม เพราะเหตุใด? แต่คนที่จำแม่นคือ จำได้ว่า ผู้ประสานงานให้ "สองพี่น้องดามาพงศ์" เข้าพบป๋าเมื่อ 5 ปีก่อน นอกจาก พล.อ.อู๊ด เบื้องบน แล้วก็ยังมีชื่อของบิ๊กอ๊อดด้วย

 ชาวไพร่คงต้องร้องเพลง "โลกนี้คือละคร บทบาทบางตอน ชีวิตยอกย้อนยับเยิน.." ปลอบใจตัวเอง!

Tags : คุณชายนอกทำเนียบ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 สิงหาคม 2554, 22:46:41
เปิดปูมขรก.การเมืองตอบแทนคนเสื้อแดง ตท.10

โดย : ประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี bangkokbiznews online

เปิดปูม ขรก. การเมือง ตอบแทน คนเสื้อแดง ตท.10 คนอกหัก นายทุนพรรค

การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง เมื่อการประชุม ครม. ครั้งวันพฤหัสบดี ที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา และถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องการตั้งแกนนำเสื้อแดงและคนที่มีสายสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย และ นายทุนพรรค  โดยผู้ที่ได้รับตำแหน่งข้าราชการการเมืองนั้น ประกอบด้วย ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 4 ตำแหน่งคือ

1.พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญวิธีการรบใต้ดิน และช่วยเหลือพรรคเพื่อไทยอยู่เบื้องหลังในเกมใต้ดินระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

2.นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการคิดนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ ให้กับพรรคเพื่อนำไปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา จนถูกคาดการณ์กันว่าน่าจะได้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านเศรษฐกิจ แต่ภายหลังชื่อหลุดออกจากโผครม. “ยิ่งลักษณ์ 1” ไป เนื่องจากแนวทางการทำนโยบายของนายโอฬารนั้นขัดกับแนวทางของรัฐบาล แต่ก็ได้ตำแหน่งนี้มาปลอบใจ

3.นายสุชน ชาลีเครือ อดีตประธานวุฒิสภา ซึ่งถูกครหามาตลอดตั้งแต่ได้รับตำแหน่งว่ามีความสัมพันธ์แนบแน่นกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และมักจะมาร่วมกิจกรรมของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยอยู่เสมอ นอกจากนี้ น.ส.ปาริชาติ ชาลีเครือ น้องสาวนายสุชน ยังเป็นส.ส.ชัยภูมิ ในนามพรรคเพื่อไทยอีกด้วย

4.พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็นเครือญาติในตระกูลชินวัตร ทั้งนี้ ในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งนั้น มีกระแสข่าวลือโดยตลอดว่าพล.อ.ชัยสิทธิ์จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแทนนายยงยุทธ วิชัยดิษฐด้วย แต่สุดท้ายแกนนำพรรคเพื่อไทยก็ยังไว้ใจให้นายยงยุทธดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคต่อไป

ขณะที่ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองประกอบด้วย

1.นพ.ประสิทธิ ชัยวิรัตนะ อดีตส.ส. ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย 2 นายนิรุติติ์ คุณวัฒน์ อดีตทีมงานของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย  3.พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และเป็นหนึ่งในกลุ่มเตรียมทหารรุ่น 10 4.นายสุชาติ ลายน้ำเงิน อดีตส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย มีความใกล้ชิดกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง  5.นายสุรเชษฐ์ ไชยโกศล  อดีตส.ส.พระนครศรีอยุธยาพรรคเพื่อไทย

ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีประกอบด้วย1.นายสุชน ชามพูนท อดีตส.ส.พิษณุโลก (ประจำนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์) 2.พล.ต.ต.บุญเลิศ นันทวิสิทธิ์ อดีตรองผบช.ภาค 1 และอดีตผบก.ภ.จ.นนทบุรี (ประจำร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง) 3. ร.ต.ท.เชาวริน ลันทธศักดิ์ศิริผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (ประจำพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ)  และ4.พล.ต.ต.ไพฑูรย์ เชิดมณี อดีตส.ว.ขอนแก่น และเป็นหนึ่งในกลุ่มเตรียมทหารรุ่น10 (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง)

ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 1.สุวัฒน์ ม่วงศิริ (ประจำน.ส.กฤษณา สีหลักษณ์) เป็นอดีตส.ส.กทม.

ขณะที่ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 1.นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด เป็นดีเจวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง รวมทั้งยังเป็นพิธีกรรายการที่เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอ็มทีวีและเอเชียอัพเดท นอกจากนี้ ยังร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอีกด้วย 2.น.ส.อนุตตมา อมรวิวัฒน์ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย และบุตรสาวพล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ และ3.นายชรินทร์รัตน์ จันทรุเบกษา

สำหรับตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 1.นายจารุวงศ์ เรืองสุวรรณ (ประจำนพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์) อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย บุตรชายนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย 2.นายวิม รุ่งวัฒนจินดา (ประจำน.ส.กฤษณา สีหลักษณ์) เป็นลูกน้องของนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และยังมีกรณีเรื่องอีเมล์ซื้อสื่อจนเป็นที่จับตาของสังคม

ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 1.น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ บุตรสาวนางเยาวเรศ ชินวัตร น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเข้ามาช่วยงานน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายหลังจากที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ตัดสินใจเป็นผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับ 1ของพรรคเพื่อไทย และยังติดตามไปช่วยงานของน.ส.ยิ่งลักษณ์ระหว่างการเดินสายปราศรัยหาเสียงในช่วงแรกๆ อีกด้วย

2.นายเบญจพล สวัสดิ์พาณิชย์ บุตรชายนายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง เคยทำหน้าที่เป็นคณะอนุกรรมาธิการการปกครอง วุฒิสภา และยังเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎรอีกด้วย ว่ากันว่าสาเหตุหลักที่นายเบญจพลตัดสินใจลงมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวนั้น เพราะมองว่านายวงศ์สวัสดิ์ผู้เป็นพ่อไม่ได้รับความยุติธรรมจากระบบราชการ และจะลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ในการเลือกตั้งสมัยหน้าอีกด้วย

3.อิทธิ์ณณ์ฏฐ์ หงษ์ชูเวช บุตรชายนายสาโรจน์ หงส์ชูเวท คนใกล้ชิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งคนในพรรคต่างยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องของกระสุนดินดำ ทำให้ส.ส.ในพรรคต่างให้ความเกรงใจเป็นอย่างมาก

4นายวีระ ชูสถานหนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมในการนำมวลชนคนเสื้อแดงออกไปเคลื่อนไหวด้วยวิธีดาวกระจายในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา  5.นายจักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย 6.นายชวรัชต์ อุรัสยะนันทน์  7.นางไพจิตร อักษรณรงค์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงที่มักจะขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งที่สะพานผ่านฟ้าฯ และแยกราชประสงค์อยู่เสมอ ทั้งนี้ ภายหลังการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ นางไพจิตรก็ได้หลบหนีและเงียบหายไป

8.นายธนกฤต ชะเอมน้อย หรือนายวันชนะ เกิดดีหนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงที่มีบทบาทในการชุมนุมอย่างต่อเนื่องจนถูกออกหมายจับตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จนต้องหลบหนีระหว่างที่มีการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์

9.นายรังสี เสรีชัยมุ่ง หรือนายรังสี เสรีชัย เป็นอดีตผู้สมัครส.ส.สระบุรีของพรรคมหาชน แต่เมื่อไม่ประสบความสำเร็จในสนามเลือกตั้งก็ได้เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มนปช. แต่เมื่อมีการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ นายรังสีก็ถูกออกหมายจับตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทำให้ต้องหลบหนีและเงียบหายไป

10.พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ เป็นแกนนำคนเสื้อแดงภาคใต้ และเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกออกหมายจับตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีผลงานโดดเด่นคือ เป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมกันบุกเข้าไปภายในอาคารรัฐสภาอีกด้วย

11.นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ หรือชื่อเดิม สมชาย ไพบูลย์ หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงที่เข้าร่วมชุมนุมอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นอดีตผู้สมัครส.ส.กทม.ของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่ผ่านมาอีกด้วย

12.นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ รักษาการโฆษกกลุ่มนปช. ทำหน้าที่แถลงข่าวเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวต่างๆ ของกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งนี้ นายวรวุฒิยังเคยเป็นผู้สมัครส.ส.สุราษฎร์ธานีของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาแต่พ่ายแพ้ให้กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ของพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย

และ13.นายอรรถชัย อนันตเมฆ อดีตนักแสดงชื่อดัง แต่ในระยะหลังมักจะเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง ทั้งเวทีที่สะพานผ่านฟ้าฯ และแยกราชประสงค์ แต่ภายหลังจากที่มีการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์นายอรรถชัยก็เงียบหายไป


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 สิงหาคม 2554, 10:36:43
นักข่าวสาวช่อง 7 ลั่นดำเนินคดีแดงเมืองเพชรถึงที่สุด เป็นตัวอย่างให้ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กม.

วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554 มติชนออนไลน์


   

 เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 29 สิงหาคม น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เดินทางไปติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดี หลังแจ้งความไว้ที่ สน.ดุสิต จากที่น.ส.พรทิพย์ ปักษานนท์ ประธานกลุ่มเสื้อแดงเพชรบุรี ออกมายอมรับว่าเป็นผู้ส่งข้อความอิเล็กทรอนิกส์ข่มขู่ดังกล่าวจริง น.ส.สมจิตต์ ให้ปากคำกับ พ.ต.ท.อภิชาติ นาคสุข พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต เพื่อขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัว น.ส.พรทิพย์มาสอบสวนและดำเนินคดีในข้อหาข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว

 

น.ส.สมจิตต์เปิดเผยว่า หลังจากมีการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว มีคนโทรศัพท์ไปที่บ้านและเบอร์มือถือส่วนตัวของตน โดยใช้ข้อความหยาบคายด่าทอ อาจเป็นเหตุมาจากเนื้อหาที่มีการปลุกระดมผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ด้วย และจะติดตามคดีนี้อย่างต่อเนื่อง หากน.ส.พรทิพย์ไม่ขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวน ในวันที่ 8 กันยายนก็จะเดินทางไปที่ สน.ดุสิตด้วยเพื่อติดตามความคืบหน้าการสอบสวน
 
“เสียใจ ไม่คิดว่าการพบกับน.ส.พรทิพย์จะทำให้เกิดปัญหาที่ลุกลามบานปลายมากขึ้น ที่ผ่านมาก็มีการนำเรื่องที่ดิฉันดำเนินคดีกับ น.ส.พรทิพย์ไปขยายผลในอินเตอร์เน็ตว่า ดิฉันไม่ยอมจบเรื่อง ทั้งที่อีกฝ่ายขอโทษแล้วก็ควรให้อภัย จึงอยากจะบอก น.ส.พรทิพย์ ว่า การให้อภัยกับการดำเนินคดีเพื่อให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นคนละเรื่องกัน และการดำเนินคดีครั้งนี้ต้องการส่งสัญญาณว่า ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย หากไม่ดำเนินการอะไรเลยก็จะกลายเป็นตัวอย่าง ทำให้ไม่มีใครเกรงกลัวการทำผิดกฎหมายและการละเมิดสิทธิบุคคลอื่น ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสังคมไทยอย่างมาก ” น.ส.สมจิตต์กล่าว


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 สิงหาคม 2554, 22:52:39
ยงยุทธ"ยันตั้ง หน.การ์ด นปช.-ตลกนั่งเลขาฯรัฐมนตรี มท.เหมาะสมแล้ว

วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554
(คางคกขึ้นวอครับพี่น้อง)

   

ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลัง ครม.มีมติแต่งตั้งตำแหน่งข้าราชการการเมือง โดยเฉพาะในกระทรวงมหาดไทยที่มีการแต่งตั้งนายอารีย์ ไกรนรา หัวหน้าการ์ด นปช.มาดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถและความเหมาะสม ที่ผ่านมาที่เคยเป็นหัวหน้าการ์ด นปช.ก็ทำหน้าที่เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ความยุติธรรมและอิสรภาพให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้เป็นคนประนีประนอม เพราะในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา บริเวณแยกราชประสงค์ นายอารีย์ก็ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานได้ดี โดยเฉพาะในช่วงที่รถแก๊สมาจอดข้างห้างเซ็นทรัลเวิลด์ นายอารีย์ก็เป็นผู้ประสานงานเอารถแก๊สออกไปเพื่อความปลอดภัยของผู้ชุมนุม ดังนั้น ไม่อยากให้มองว่าเป็นคนเสื้อสีอะไร


นายยงยุทธกล่าวต่อว่า ส่วนการตั้งนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดง มาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น ตนถือว่าก็เป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม ไม่ใช่บุคคลโลว์ โปรไฟล์ เพราะเคยเป็นถึงอดีตผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช ในยุคของพรรคไทยรักไทย ซึ่งก็ทำงานกับพรรคมายาวนาน ดังนั้น ขอยืนยันว่าการให้ตำแหน่งดังกล่าวไม่ใช่เรื่องต่างตอบแทนกลุ่มเสื้อแดง


เมื่อถามว่า นายยศวริศซึ่งเป็นศิลปินตลก และมีภาพฮาร์ดคอร์ในช่วงการชุมนุม รวมทั้งขณะนี้ยังมีคดีติดตัวอยู่ จะกลายเป็นสายล่อฟ้าให้กับฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ นายยงยุทธกล่าวว่า คนที่มีหมายจับ หรือเคยถูกจำคุก แต่ถ้ามีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไม่มีข้อห้ามในเรื่องของการดำรงตำแหน่งทางการเมือง


"พระเอกหนังในต่างประเทศก็ยังเป็นผู้นำได้ อย่างเช่น นายอาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ก็ได้ผู้ว่าการรัฐ ดังนั้น เราไม่ควรไปเหยียดหยามหรือตั้งข้อรังเกียจ ดังนั้น ไม่ควรเอาเรื่องของอาชีพมาเป็นข้อจำกัด สักวันคนกวาดถนนก็อาจเป็นรัฐมนตรีได้ เป็นตลกน่ารังเกียจตรงไหน เขาเป็นคนหนึ่งที่ทำให้ประชาชนจำนวนมาก เลือกพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล" นายยงยุทธกล่าว


เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่จะโยกย้ายนายวิเชียร ไปดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงอื่นหรือประจำสำนักนายกฯ นายยงยุทธกล่าวว่า ข่าวก็คือข่าว ข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง บางครั้งข่าวลือก็เป็นเรื่องจริง บางครั้งที่คิดว่าเป็นเรื่องจริงก็เป็นแค่ข่าวลือ อย่างไรก็ตาม การโยกย้ายทุกครั้งจะมีเหตุผลและสามารถตอบคำถามสังคมได้ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า จะไม่มีการโยกย้ายข้าราชการเพื่อล้างบางหรือแก้แค้น ตนทำไม่ได้เพราะดูไม่ดีและทารุณเกินไป ที่สำคัญตนไม่เคยคิดที่จะโยกย้าย โดยเพ่งเล็งบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งในยุคของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในช่วงที่ผ่านมา หรือเป็นเพราะแรงเสียดทานจากคนในพรรคเพื่อไทย แต่จะยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง


เมื่อถามถึงความเหมาะสมในการตั้งนายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย ขึ้นมาดำรงตำแหน่งโฆษกกระทรวงหมาดไทย นายยงยุทธกล่าวว่า ตนไม่คนช่างพูด หรือจะให้พูดทุกวันและทุกเรื่องก็คงทำไม่ได้ ขณะที่นายวิเชียรเป็นบุคคลที่รู้ทุกเรื่องในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะตอบคำถามในเรื่องของงานภายในกระทรวงได้ดีกว่า ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะมอบหมายให้นายวิเชียรเป็นโฆษกกระทรวงมหาดไทยด้วย


"ผมมีความประทับใจในช่วงที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเป็นนายกฯ ท่านเป็นคนพูดน้อย พูดเพียงกลับบ้านเถอะลูก จนสื่อมวลชนตั้งฉายาเตมีย์ใบ้ให้กับท่าน สุดท้ายท่านก็อยู่ในตำแหน่งนานถึง 8 ปี ดังนั้น ผมจึงอยากเอาอย่างท่าน จะได้อยู่ในตำแหน่งได้นานๆ" นายยงยุทธกล่าว


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 สิงหาคม 2554, 23:06:53
แฉประวัติโจกแดง! ตอกย้ำ ครม.ยี้ ปูนบำเหน็จซ้ำเติมบ้านเมือง  
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
 
 
 
 
แฉประวัติหัวโจกแดง ที่ ครม.ปู ปูนบำเหน็จตำแหน่งทางการเมืองกันสนุกมือ สนองบุญคุณโดยที่ไม่ไตร่ตรองคุณสมบัติ และไม่เกรงใจกระแสสังคม ทั้งที่ตกเป็นจำเลยในคดีเผาบ้านเผาเมือง และหมิ่นสถาบันเบื้องสูง
       

       วันนี้ (30 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวจากทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า สำหรับประวัติของคนเสื้อแดงที่เข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองอย่าง นายอารี ไกรนรา ซึ่งเป็นเลขานุการ รมว.มหาดไทย นั้น ทราบกันดีว่า นายอารี เป็นหัวหน้าการ์ดคนเสื้อแดง เมื่อครั้งชุมนุมยึดราชประสงค์ ส่วนก่อนหน้านี้เคยมีบทบาททางการเมืองด้วยโดยมาร่วมงานกับพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ยุคก่อตั้ง เคยเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี และเคยสมัคร ส.ส.4 ครั้ง ได้รับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.แต่การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะเสียก่อน ซึ่งการได้เข้ามาทำงานครั้งนี้ เพราะสนิทกับ นายสมพล วิชัยดิษฐ น้องชาย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นคนใต้ด้วยกัน จึงรู้ใจกัน ทำให้ นายยงยุทธ ไฟเขียวให้มาทำงาน
       
       ส่วน นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก นั้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมช.มหาดไทย (นายฐานิสร์ เทียนทอง) มีผลงานทางการเมืองโดยเคยร่วมงานกับคณะทำงานรัฐมนตรีหลายรัฐบาล ตั้งแต่รัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นเจ้าหน้าที่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จนได้รับการดึงตัวมาช่วยงานงานการเมือง
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับ นายเพชรวรรต วัฒนพงษ์ศิริกุล ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา รมว.พัฒนาสังคมฯ นั้น นายเพชรวรรต เป็นแกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ถือเป็นเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ จนถูกทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในสมัยนายอภิสิทธิ์ จัดรายชื่อไว้ในกลุ่มที่ต้องส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปเจรจา ไม่ให้สร้างความรุนแรงในช่วงของการชุมนุมที่กรุงเทพฯ นอกจากนี้ นายเพชรวรรต ยังเคยเป็นผู้พิพากษาสมทบ เป็นทนายกลุ่มเอ็นจีโอ ที่ร่วมต่อสู้กับกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือมาก่อน และเคยลงสมัคร ส.ส.ลำพูน สังกัดพรรคพลังประชาชน แต่สอบตก
       
       ส่วน นายนาวิน บุญเสรฐ ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการ รมว.ต่างประเทศ ซึ่ง นายนาวิน ถือเป็นแกนนำ นปช.ภาคเหนือ เดิมทีถูกจัดวางให้เป็นเลขา รมต.กระทรวงคลัง (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ) หรือไม่ก็ไปเป็นเลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) แต่แรงเบียดสู้ไม่ได้ จึงต้องหล่นมาที่กระทรวงการต่างประเทศ ถึงกระนั้นยังอยู่ภายใต้โควตาภาคเหนือ เพราะ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ก็มาจากภาคเหนือ
       
       สำหรับ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา รมว.คมนาคม เป็นแกนนำเสื้อแดงที่สามารถระดมชาวแท็กซี่มาชุมนุมได้ภายใน 24 ชั่วโมง เพราะความเป็นนายกสมาคมพิทักษ์สิทธิประโยชน์ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแอลเอ จำกัด ส่วนนายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร เป็นน้องชาย นายนิสิต สินธุไพร ทำงานเป็นผู้ช่วย ส.ส.และแกนนำเสื้อแดงร้อยเอ็ด มานาน เดิมถูกคาดหมายมาช่วยงานสภา แต่พี่ชายเห็นว่า มาทำงานตรงนี้มีประโยชน์กว่า ส่วน นายวิสา คัญทัพ เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบปาร์ติ้ลิสต์ ซึ่งพลาดจากการเป็น ส.ส.พลาดจากการเป็น รมต.แต่ละรายจัดอยู่ในบัญชี 2 และบัญชี 3 ของพรรค และก่อนหน้านี้ นางไพจิตร อักษรณรงค์ ภรรยา ได้รับแต่งตั้งเป็นประจำสำนักเลขาธิการนายกฯไปแล้ว เมื่อคราวมติ ครม.25 ส.ค.
       
       และกรณีของ นายวัน อยู่บำรุง ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการ รมช.คมนาคม (นายกิติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์) ที่แม้จะเป็นลูก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ดำรงตำแหน่งรองนายกฯอยู่ แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยากให้มาช่วยใน ก.คมนาคม เพื่อผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า ฝั่งธนฯ และหวังสร้างคะแนนเสียง
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นอกจากนี้ ยังมี นายสมหวัง อัสราษี ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ซึ่งถือเป็นนักธุรกิจ โด่งดังจากธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้ามิตซูชิตา จนคนเรียกว่า “เฮียหวัง” แถมมีธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลัง หมีคอมมานโด และสร้างแบรนด์เครื่องดื่ม ยี่ห้อ ทักษิณสู้ ผลิตแบรนด์เครื่องดื่มบุกตลาดกัมพูชา การเข้ามาเป็นที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ เพราะมีความเชี่ยวชาญธุรกิจเอสเอ็มอี และสนับสนุนคนเสื้อแดงจนเคยประกาศขอปวารณาตนเป็นนักธุรกิจเสื้อแดง ช่วงชุมนุมคนเสื้อแดง และ ศอฉ.เคยขึ้นทะเบียนอายัดทรัพย์

 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: อ้อย 14 ที่ 31 สิงหาคม 2554, 19:11:28


โฮ้ย....สงสารประเทศไทย  เต็มทีแล้ว.... emo19:((:


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 สิงหาคม 2554, 22:45:13
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย 14 เมื่อ 31 สิงหาคม 2554, 19:11:28


โฮ้ย....สงสารประเทศไทย  เต็มทีแล้ว.... emo19:((:
ต้องลาออกจากเป็นพลเมืองไทยแล้วละครับพี่อ้อย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 สิงหาคม 2554, 22:47:49
ประสงค์" อัดสรรพากร บี้ภาษีชาวบ้าน 235 บ. แต่เว้นภาษีหุ้นชินคอร์ปหมื่นล.
 

 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

  "ประสงค์" อัดสรรพากรสองมาตรฐาน ไล่ล่าภาษีชาวบ้าน 235 บาท จนถึงฎีกาโดยไม่สนว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร ขณะที่ภาษีโอนหุ้นชินคอร์ป 1.2 หมื่นล้านบาท ของตระกูลชินวัตร กลับไม่ยอมอุทธรณ์
       
       นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ อดีตบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ , หนังสือพิมพ์มติชน และอดีตนายกสมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ที่เพิ่งลาออกจากสังกัด “มติชน” ที่เขาทำงานมาอย่างยาวนาน 26 ปี ได้เผยแพร่บทความผ่านเว็ปไซต์ www.prasong.com เรื่อง "เปิด(ไร้?)มาตรฐานสรรพากร ภาษีแค่ 235 บ. ยื่นอุทธรณ์ แต่ภาษีชินวัตรหมื่นล.อุ้มเฉย?" วิพากษ์วิจารณ์มาตรฐานของกรมสรรพากร ในการจัดเก็บภาษีที่ไม่เท่าเทียมกัน โดยมีการยื่นอุทธรณ์กรณีที่ประชาชนคนหนึ่งไม่เสียภาษีจำนวน 235 บาท เปรียบเทียบกับกรณีภาษีโอนหุ้นชินคอร์ป มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ของตระกูลชินวัตร กลับไม่ยื่นอุทธรณ์ใดๆ ทำให้ถูกมองว่ากรมสรรพากรเอื้อประโยชน์ต่อครอบครัวชินวัตรหรือไม่ โดย มีรายละเอียดดังนี้....
       
       "เปิด(ไร้?)มาตรฐานสรรพากร ภาษีแค่ 235 บ. ยื่นอุทธรณ์ แต่ภาษีชินวัตรหมื่นล.อุ้มเฉย?"
       
       โดย ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์
       
       สำหรับนักวิชาการด้านกฎหมายภาษีแล้ว การที่กรมสรรพากรไม่ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกากรณีที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 ให้นายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชนะคดีที่ยื่นฟ้องกรมสรรพากรซึ่งเรียกเก็บภาษีโอนหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น จำกัดหรือชินคอร์ป มูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง
       
       เพราะที่ผ่านมา กรมสรรพากรมักตามไล่ล่าภาษีจากชาวบ้านแบบไม่ลดละไม่ว่าจำนวนเงินจะมากน้อยขนาดไหนก็ต้องสู้กันถึงศาลฎีกา
       
       คดีที่ถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่าง เป็นชาวบ้านที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่กรมสรรพากรเห็นว่า ขาดไปเพียง 235 บาท จึงเรียกเก็บ ชาวบ้านไม่ยอมยื่นฟ้องกรมสรรพากรต่อศาลภาษีอาการกลาง
       
       ปรากฏว่า กรมสรรพากรแพ้ แต่ไม่ยอมยุติคดี ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยไม่สนใจว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ค่าใช้จ่ายในศาลและของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายมหาศาลเพียงใด
       
       แม้ชนะคดีก็ได้เงินเข้าคลังมาเพียงไม่กี่ร้อยบาท ขณะที่คดีภาษีโอนหุ้นชินคอร์ปที่มีการประเมินภาษีสูงเกือบ 12,000 ล้านบาท แต่กรมสรรพากรกลับไม่ยอมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาให้วินิจฉัยข้อกฎหมายเป็นบรรทัดฐานทั้งๆที่ไม่เคยมีกรณีเช่นนี้มาก่อน
       
       พฤติกรรมของผู้บริหารกรมสรรพากรทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ต้องการเอื้อประโยชน์ครอบครัวชินวัตรเหมือนที่เคยทำมาแล้วในช่วง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี
       
       คดีการหลีกเลี่ยงภาษีโอนหุ้นสืบเนื่องจาก นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ป จำนวน 329.2 ล้านหุ้นจาก บริษัท แอมเพิลริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก่อนที่จะขายต่อให้แก่บริษัท เทมาเส็กโฮลดิ้ง ของสิงคโปร์ผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ในราคา 49.25 บาท ทำให้ได้ผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้นละ 48.25 บาท
       
       ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)ไต่สวนพบว่า เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี จึงส่งให้กรมสรรพากรประเมินภาษีบุคคลทั้งสอง คนละ 5,675 ล้านบาท บุคคลทั้งสองจึงยื่นฟ้องกรมสรรพากร
       
       อย่างไรก็ตามศาลภาษีฯวินิจฉัยว่า บุคคลทั้งสองไม่ใช่เจ้าของหุ้นที่แท้จริงเพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาในคดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร์(ชินวัตร) เป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง การที่กรมสรรพากรจะเก็บภาษีหุ้นจากบุคคลทั้งสองจึงเป็นการไม่ชอบ
       
       ด้านนางจิตรมณี สุวรรณพลู รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า กรมสรรพากรไม่ยื่นอุทธรณ์ เนื่องจากยึดตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง จึงต้องคืนเงินสด 200 ล้านบาท และหลักทรัพย์ที่ดินอีก 1,000 ล้านบาท ที่อายัดไว้ คืนให้กับนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา มิเช่นนั้นกรมสรรพากรอาจจะถูกฟ้องได้ ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้ขอความเห็นจากกระทรวงการคลังแล้ว พร้อมยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลใหม่
       
       ขณะที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการ คตส.กล่าวว่า การไม่ยื่นอุทธรณ์ของกรมสรรพากร ไม่น่าจะถูกต้อง แต่หากไม่ยื่นควรเรียกเก็บภาษีจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ทันที หรือหากคิดว่า เรียกเก็บภาษีจากอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ก็ต้องอุทธรณ์เก็บภาษีจากบุตร และธิดาทั้ง 2 คนให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้รัฐเกิดความเสียหาย หากเก็บไม่ได้ผู้บริหารกระทรวงการคลัง และกรมสรรพากร จะมีความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157(อ้างอิงจากเว็บสถานีโทรทัศน์ TPBS วันที่ 8 สิงหาคม 2554)
       
       (อ่าน “ชำแหละการยุติคดีภาษีชินคอร์ป มูลค่าหมื่นหนึ่งพันล้านบาทของชินวัตร” ประกอบ(ดาวน์โหลดได้จากเว็ปไซต์ www.isranews.org))
       
       สำหรับคดีตัวอย่างที่กรมสรรพากรไล่เก็บภาษีชาวบ้านอย่างเอาเป็นเอาตาย(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6220/2549) นางศิรินันท์ ศันสนาคม เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากรว่าจำเลยแจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2542 เพิ่มอีก 235.88 บาท เงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ที่คำนวณถึงวันที่ 30 เมษายน 2545 อีก 88.50 บาท
       
       โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ที่ขอให้เพิกถอน การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว จำเลยจึงยื่นฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง
       
       ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยให้เพิกถอน การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
       
       ให้จำเลย(กรมสรรพากร)ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 300 บาท
       
       จำเลย(กรมสรรพากร)อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
       
       ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า กรณีที่โจทก์แยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 57 เบญจ เฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทเงินเดือน ค่าจ้าง ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (1) โดยมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วย โจทก์มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้พึงประเมินตามความในมาตรา 40 (1) ประเภทเดียวเต็มจำนวน 60,000 บาท ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 42 ทวิ หรือไม่
       
       เห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 42 ทวิ เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่จะได้รับประโยชน์ในการ หักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ของตน ทั้งที่เป็นเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง ตามมาตรา 40 (1) และเงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำหรือจากการรับทำงานให้ไม่ว่า จะเป็นค่านายหน้า เบี้ยประชุม ตามมาตรา 40 (2) โดยยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 แต่จะหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ทั้งสองประเภทดังกล่าวรวมกันได้ไม่เกิน 60,000 บาท โดยมิได้กำหนดหลักเกณฑ์และรายละเอียดเป็นการบังคับว่าต้องหักจากเงินได้พึง ประเมินประเภทใด ในสัดส่วนเท่าใด หรือต้องถัวเฉลี่ยกันอย่างไร ดังนี้ จึงหาใช่ว่า กรณีมีเงินได้พึงประเมินทั้งสองประเภทจะต้องถัวเฉลี่ยกันดังที่จำเลยเข้าใจและยึดเป็นแนวปฏิบัติไม่
       
       เมื่อกฎหมายเปิดช่องไว้เช่นนี้ จึงเท่ากับมอบอำนาจในการตัดสินใจให้แก่ผู้มีเงินได้พึงประเมินว่า ควรเลือกหักค่าใช้จ่ายในเงินได้ประเภทใด อย่างไร ในกรณีที่ผู้นั้นมีเงินได้พึงประเมินที่อาจหักค่าใช้จ่ายได้ทั้งสองประเภท ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการบรรเทาภาระภาษีตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในส่วนนี้ ดังเช่น กรณีที่โจทก์เลือกหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ตามมาตรา 40 (1) เต็มจำนวน 60,000 บาท ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 42 ทวิ วรรคหนึ่ง เพียงประเภทเดียว ไม่ประสงค์จะหักค่าใช้จ่ายตามสิทธิจากเงินได้ในมาตรา 40 (2) ซึ่งสามีโจทก์มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีในส่วน เงินได้พึงประเมินของโจทก์ผู้เป็นภริยาตามความในมาตรา 57 ตรี
       
       ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบ แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
       
       พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 200 บาท แทนโจทก์
       
       ( ธนพจน์ อารยลักษณ์ – ทองหล่อ โฉมงาม – โนรี จันทร์ทร องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา)
       
       จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นชัดว่า การประเมินเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา มีปัญหาในข้อกฎหมายเช่นเดียวกันจึงควรให้ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดเพื่อเป็นบรรทัดฐาน แม้ว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะวินิจฉัยว่า บุคคลทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณและพจมานก็ตาม แต่ประมวลรัษฎากรมาตรา 61 ก็ให้อำนาจกรมสรรพากรในการจัดเก็บภาษีจากบุคคลที่มีชื่ออยู่ในหนังสือสำคัญซึ่งแสดงว่า เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่มีเงินได้
       
       การที่ผู้บริหารกรมสรรพากรด่วนสรุปไม่ยอมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาทั้งๆที่เป็นเงินกว่า 11,000 บาท แต่เงินแค่ 235 บาทกลับยื่นอุทธรณ์แบบเอาเป็นเอาตาย ทำให้สงสัยว่า มุ่งเอื้อประโยชน์ให้แก่ครอบครัวชินวัตรหรือไม่

 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กันยายน 2554, 16:48:05
คงต้องรีบโพสต์ แล้วละครับ
พอเขาตั้งเป็นสมาคมได้ผมก็หมดสิทธ์โพสต์
เพราะไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกสมาคม
ต้องถูกอัปเปหิไปจาก เวบ สมาคมแน่ๆ

ระบบอุปถัมภ์ของสังคมไทยกับระบอบทักษิณ

แก้วสรร อติโพธิ

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd514739_1633682_5600727_2251426photo.jpg)

รูปนายกฯปู พบประชาชนรูปนี้ แรกเห็นในเว๊บไซต์ผมก็ตกใจนึกว่าชาวบ้านกำลังเข้าเฝ้ายกมือไหว้เจ้านาย แต่ดูดีๆก็เป็นแค่นั่งพับเพียบแล้วปรบมือต้อนรับนายกฯปู เท่านั้น เพราะเห็นพวกข้าราชการยืนปรบมือผสมโรงอยู่ข้างๆด้วย สังเกตได้ดังนี้แล้วก็เบาใจไปเปลาะหนึ่ง เหลือแต่ความอางขนางเท่านั้นว่าทำไมหัวหน้าพรรคแดงที่อ้างว่าจะกอบกู้ประชาธิปไตย ถึงยอมพบประชาชนในลักษณะยืนค้ำหัวอย่างนี้ได้

เริ่มตั้งคำถามอย่างนี้แล้ว ผมก็เลยต้องถามต่อไปอีกว่าแล้วทำไม

ชาวบ้านเหล่านี้เขาถึงยอมนั่งฟังกันอย่างนี้ได้ ถ้าเป็นชาวเมืองคงไม่ยอมนั่งอย่างนี้เป็นแน่ ลึกลงไปในรูปนี้มันมีความจริงทางวัฒนธรรมความนึกคิดอะไรที่แฝงฝังอยู่ ก็เป็นข้อที่ผมขอสืบค้นมาเสนอ ดังต่อไปนี้

ระบบอุปถัมภ์

สังคมไทยถูกสิงสู่ด้วยระบบอุปถัมภ์มาเนิ่นนาน ผู้คนมีความเป็น

ปัจเจกต่ำติดพวกติดเหล่าติดสี รวมอยู่ด้วยกันด้วยการพึ่งพาอาศัยและบุญคุณจนนักวิชาการฝรั่งเห็นว่าเป็นสังคมที่มีโครงสร้างหลวมมากๆ เหมือนก้อนกรวดที่มากองอยู่ด้วยกันเฉยๆเท่านั้นเอง

ระบบอุปถัมภ์อย่างนี้เป็นดินอุดมของวัฒนธรรมอำนาจนิยม เพราะ

ผู้คนมีตัวตนอ่อนแอยืนหยัดเป็นเสรีชนที่เข้มแข็งไม่ได้ ความคิดเรื่องสัญญาประชาคม ว่าราษฎรทุกคนเป็นเสรีชนที่นำประโยชน์สาธารณะมามอบให้รัฐดูแล จนรัฐต้องเป็นเพียงผู้จัดการ เป็นเพียงดาวพระเคราะห์ที่รับแสงไปจากประชาชนผู้เป็นดาวฤกษ์ไปทำงานในกรอบรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเรื่องที่เข้าไปในจิตใจและวิญญาณของคนไทยได้ยากยิ่ง แม้จนปัจจุบัน

ระบอบทักษิณ๑( ๒๕๔๔ – ๒๕๔๙) : แปลงผู้นำระบบอุปถัมภ์เป็นร้าน 7/11

คุณทักษิณเคยหลงเชื่อพยายามจะตั้งพรรคการเมืองตามความคิดใหม่อยู่ระยะหนึ่ง แต่ก็มาได้คิดแล้วหันมาตั้งพรรคไทยรักไทยแบบร้าน 7/11 คือกว้านนักการเมืองผู้กว้างขวางโดยโครงสร้างระบบอุปถัมภ์ท้องถิ่นที่มีอยู่แล้ว เข้ามาเปิดเป็นเครือข่ายพรรคในพื้นที่ โดยพรรคจะอุดหนุนสินค้านโยบาย กระสุนและการตลาดอย่างเต็มพิกัด จนบรรดาผู้กว้างขวางผู้มีทำเลทางการเมืองอยู่ในพื้นที่ พากันยอมตนมาเปิดสาขาอย่างมากมาย ทำลายระบบค้าขายลงทุนทางการเมือง ประเภทยี่ปั๊วะ ซาปั๊ว บวกร้านโชว์ห่วย ในท้องถิ่นต่างๆของภาคเหนือและอีสาณอย่างราบคาบไปโดยลำดับ จนได้รัฐบาลทักษิณ ๒ ที่ยึดเสียงข้างมากเด็ดขาดในปี ๒๕๔๘-๔๙ ในที่สุด

นอกจากยุทธศาสตร์การตลาดที่เข้ายึดโครงข่ายระบบอุปถัมภ์มาเป็นสาขาได้อย่างชาญฉลาดแล้ว ในแง่ฝ่ายผลิตหรือการออกนโยบายต่างๆนั้น ก็เปิดศักราชของขวัญประชานิยม ตรงเข้าสู๋รากหญ้าอย่างแทงใจดำทั้ง โครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โอท๊อป บ้านเอื้ออาทร ทั้งหมดนี้ ล้วนประเคนเข้าสู่ตลาดการเมือง ท่ามกลางกระแสตอบรับที่ล้นหลามยิ่ง

ระบอบทักษิณ ๒ (๒๕๕๐-๒๕๕๔/๑) :
แปลงระบบอุปถัมภ์เป็นมวลชน หลังรัฐประหาร คมช. โครงข่าย 7/11 ของระบอบทักษิณยังคงดำรงอยู่ และโชว์ยอดขายอย่างล้นหลามในการเลือกตั้งปี ๒๕๕๐ จนได้อำนาจรัฐด้วยรัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย ที่ต้องเผชิญกับการขับไล่ของเสื้อเหลืองและคดีความจนพ้นจากอำนาจรัฐบาลปี ๒๕๕๒ การต่อสู้ของระบอบทักษิณจึงได้เพิ่มนวตกรรมทางมวลชนปฏิวัติ สร้างขบวนการต่อสู้สีแดง เปิดการต่อสู้ทางจิตวิทยาการเมือง หลอมผู้คนมาเป็นกำลังเคลื่อนไหวทั้งในเมืองและในชนบทขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขบวนการมวลชนแดงที่ว่านี้ ไม่ต้องอาศัยธงชาตินิยมหรือกรรมาชีพอะไรมาชี้นำ อาศัยแต่โครงสร้างระบบอุปถัมภ์ที่มีอยู่แล้วในสังคมรากหญ้าทั้งในเมืองและในชนบทมาเป็นฐาน โดยสอดใส่ความเกลียดชังหมู่ด้วยวาทะกรรมไพร่ –อำมาตย์, กระจายตัวปรากฏตัวทั้งโดยการจัดตั้งในชุมชน โดยเคเบิ้ลทีวี ทีวีดาวเทียมและวิทยุชุมชน แล้วป้อนซ้ำด้วยความเคลื่อนไหวต่อสู้ที่ต่อเนื่อง มีคุณ

ทักษิณปรากฏตัวให้เห็นผ่านจอเป็นผู้นำ พร้อมผู้ตามที่สวามิภักดิ์ให้มวลชนดูอยู่ตลอดเวลา ผ่านไปไม่กี่ปีก็เกิดเป็นตัวเป็นตนให้เห็น ประกอบเป็นกำลังทำลายการประชุมอาเซียน และยึดราชประสงค์ได้ถึงสองครั้งสองครา

ถึงตรงนี้ก็น่าจะเห็นกันแล้วว่า คุณทักษิณมีความสามารถในการหยิบ

ยืมทั้งความคิดและขบวนการผู้คนที่มีอยู่หลากหลายในสังคมไทย มาใช้ได้อย่างชำนิชำนาญยิ่ง ทั้งการตลาดของธุรกิจทุนนิยมใหม่, ทั้งการพัฒนาชนบทดูแลรากหญ้าของกระแสเอ็นจีโอ, จนมาล่าสุดก็คือเทคนิคการจัดตั้งมวลชนของ พคท.ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้พรรคการเมืองดั้งเดิมกลายเป็นยาหมดอายุไปโดยลำดับ

ระบอบทักษิณ ๓ ( ๒๕๕๔/๒ - ) : อุปถัมภ์สุดขั้ว

สินค้าประชานิยมของระบอบทักษิณในยุคนายกฯปู นี้ มีลักษณะใหม่ที่ต่างจากยุคแรกเป็นบางประการ กล่าวคือ

๑. ขับเน้นคำสัญญาที่แทงใจดำเพื่อดึงคะแนนนิยมให้กว้างและแรงที่สุด ทั้งในเมืองและชนบท ทั้งเยาวชนและผู้ใหญ่ โดยไม่ต้องสนใจการบริหารจัดการและผลกระทบใดๆ ทั้งเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ๓๐๐ บาท,เงินเดือนปริญญาตรี ๑๕,๐๐๐ บาท,จำนำข้าว ๑๕,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ บาท, น้ำมันราคาถูกเฉียบพลันโดยเลิกกองทุนน้ำมัน,ยกเว้นภาษีบ้านหลังแรก- รถยนต์คันแรก, พักหนี้เกษตรกรทั่วประเทศ

๒. ป้อนความรู้สึกทันสมัยและเสมอภาคให้ชาวนาหรือผู้ปกครอง โดยบัตรเครดิตชาวนา บัตรเครดิตวินมอร์เตอร์ไซค์และคอมพิวเตอร์นักเรียน

๓. เลิกนำเสนอเรื่องการปฏิรูปคุณภาพในระยะยาว ทั้งความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตไทย หรือคุณภาพการศึกษา

๔. วินัยการคลังเลิกคิด เลิกเป้าหมายงบประมาณสมดุล หรือเพดานเงินเฟ้อ เพิ่มความสามารถในการกู้ยืมหรือลงทุน โดยอาศัยหลักประกันจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่กองอยู่เต็มธนาคารชาติ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นประชานิยมที่คุณทักษิณจัดให้ใน พศ.นี้อย่าง

สุดแรงเกิด ซึ่งก็ต่างจากสมัยระบอบทักษิณ ๑ เป็นอย่างมาก เพราะทุ่มเทตั้งหน้าตั้งตาหาคะแนนเสียงให้มากที่สุดจนมีลักษณะกระหืดกระหอบ คิดไปทำไป ปรึกษาไป แก้ไขไป พลิกไปเรื่อยๆ ในปัจจุบันกาลเท่านั้น อนาคตประเทศโดยรวมเป็นอย่างไรไม่ต้องพูด อย่างที่เห็นได้ชัดขึ้นทุกทีๆแล้ว

น่าติดตามในเชิงวิชาการเป็นอย่างยิ่งว่าในเป้าหมายประชานิยม

ที่กำหนดไว้สูงส่งเร่งรัดครอบคลุมทุกภาคส่วนด้วยการนำจากนอกประเทศที่นำได้จำกัดอย่างนี้ ระบอบทักษิณจะสามารถอาศัยสรรพนวัตกรรมของทุนนิยมใหม่,มวลชนปฏิวัติ และเอ็นจีโอ มาพัฒนาระบบอุปถัมภ์ของสังคมไทยจนเป็นระบบอำนาจที่เข้มแข็งยั่งยืนได้หรือไม่

สำหรับเราคนไทยเองนั้น ก็น่าจะหวังง่ายๆตามประสาว่า “ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ประเทศไทยไม่พัง” เท่านั้น ก็น่าจะพอแก่สายพันธุ์ของตนแล้ว

.....................................




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 กันยายน 2554, 11:27:36
โทรในพิ้นที่เดียวกัน


 จอร์จ บุช กัดดาฟี และทักษิณ ตายไปและไปสู่นรก ขณะที่ยมทูตนำพวกเขาผ่านนรก จอร์จ บุช มองเห็นโทรศัพท์สีแดงเครื่องหนึ่งวางอยู่
        เลยถามยมทูตว่า "มันคืออะไร"
        ยมทูตตอบว่า "เป็นโทรศัพท์โทรไปยังโลก"
         
        จอร์จ บุชเลยขอโทรไปยังอเมริกา ใช้เวลา 30 นาที
        ยมทูตแจ้งค่าใช้จ่ายว่า"ทั้งหมด 1 ล้านเหรียญ" บุช เลยเขียนเช็คและส่งให้ยมทูต
         
        จากนั้นกัดดาฟีขอโทรไปลิเบียบ้างโดยใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง
        ยมทูตแจ้งค่าโทรทั้งหมด 2 ล้านเหรียญ กัดดาฟีเขียนเช็คแล้วจ่ายยมทูตไป
         
        สุดท้ายเป็นทักษิณ ขอโทรไปที่เมืองไทยบ้าง ใช้เวลาโทรทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง แล้วถามยมทูตว่า "ทั้งหมดเท่าไหร่"
        ยมทูตตอบว่า" 5 เหรียญ"
         
        จอร์จ บุชได้ยินจึงโมโหมากตะโกนถามยมทูตว่า "อั๊วโทรแค่ 30 นาทีลื้อคิดอั๊วตั้ง 1 ล้านเหรียญ แล้งไอ้ทักษิณมันโทรตั้ง 4 ชั่วโมงทำไมคิดแค่ 5 เหรียญ".
        ยมทูตรีบอธิบายว่า "คืออย่างนี้ท่านบุช ตอนนี้น้องสาวทักษิณขึ้นเป็นนายกแล้ว ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นนรก เลยคิดค่าโทรในอัตราภายในพื้ นที่เดียวกันนะ".

     
     
     


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 04 กันยายน 2554, 07:08:11
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 02 กันยายน 2554, 11:27:36
โทรในพิ้นที่เดียวกัน


 จอร์จ บุช กัดดาฟี และทักษิณ ตายไปและไปสู่นรก ขณะที่ยมทูตนำพวกเขาผ่านนรก จอร์จ บุช มองเห็นโทรศัพท์สีแดงเครื่องหนึ่งวางอยู่
        เลยถามยมทูตว่า "มันคืออะไร"
        ยมทูตตอบว่า "เป็นโทรศัพท์โทรไปยังโลก"
         
        จอร์จ บุชเลยขอโทรไปยังอเมริกา ใช้เวลา 30 นาที
        ยมทูตแจ้งค่าใช้จ่ายว่า"ทั้งหมด 1 ล้านเหรียญ" บุช เลยเขียนเช็คและส่งให้ยมทูต
         
        จากนั้นกัดดาฟีขอโทรไปลิเบียบ้างโดยใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง
        ยมทูตแจ้งค่าโทรทั้งหมด 2 ล้านเหรียญ กัดดาฟีเขียนเช็คแล้วจ่ายยมทูตไป
         
        สุดท้ายเป็นทักษิณ ขอโทรไปที่เมืองไทยบ้าง ใช้เวลาโทรทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง แล้วถามยมทูตว่า "ทั้งหมดเท่าไหร่"
        ยมทูตตอบว่า" 5 เหรียญ"
         
        จอร์จ บุชได้ยินจึงโมโหมากตะโกนถามยมทูตว่า "อั๊วโทรแค่ 30 นาทีลื้อคิดอั๊วตั้ง 1 ล้านเหรียญ แล้งไอ้ทักษิณมันโทรตั้ง 4 ชั่วโมงทำไมคิดแค่ 5 เหรียญ".
        ยมทูตรีบอธิบายว่า "คืออย่างนี้ท่านบุช ตอนนี้น้องสาวทักษิณขึ้นเป็นนายกแล้ว ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นนรก เลยคิดค่าโทรในอัตราภายในพื้ นที่เดียวกันนะ".

     
     
     
               emo19:((:
                             สวัสดีค่ะตะวัน
                             
                                     ตะแล้ม...ตะแล้ม..ตะแล้ม... เราคิดว่าค่าโทรน่าจะถูกกว่า๕เหรียญนะ
                                                    Nok-ja emo31:bye:
                                                       


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 ตุลาคม 2554, 11:23:38
สารพัดจ่อคิวเช็คบิล ‘ยิ่งลักษณ์’หลังน้ำลด! ‘นายทุน - คนรักแดง’จัดเต็มสะเทือนถึง ‘พี่แม้ว’
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์    20 ตุลาคม 2554 09:25 น.    

   
       ยิ่งลักษณ์หืดจับ โชวกึ๋นฝ่า 'วิกฤตน้ำท่วม' อดีตมือยุทธศาสตร์ ชี้ ยิ่งลักษณ์ มือไม่ถึงบริหารล้มเหลว ครม.ไร้น้ำยาแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เจ้าสำนักโพล ระบุ ศปภ.ฉุดคะแนนนิยม”ปูแดง” ฟาก นักรัฐศาสตร์ชี้ ลิ่วล้อ-เสื้อแดง ขยันทำงานช่วยแม้ว-การเมือง บั่นทอนภาวะรัฐบาล จับตา หลังน้ำลดสารพัดมรสุมรอถล่มรัฐบาล
       
       ภาวะผู้นำของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับการจัดการปัญหาน้ำท่วมที่ครั้งแล้วครั้งเล่าดูเหมือนจะบั่นทอนความเชื่อมั่นและศรัทธาของมวลชนอย่างมาก เมื่อปราการด่านต่างๆในการต้านทานมวลน้ำในแต่ละจังหวัดพังทลายในทุกที่ไม่ว่าจะเป็นสุโขทัย นครสวรรค์ สิงห์บุรี ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ ปทุมธานี ใกล้เคียงกรุงเทพมหานครมาทุกขณะ
       
       แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่ภาวะผู้นำของยิ่งลักษณ์ดูจะมีมากขึ้น ความร่วมมือกับกองทัพบกที่ดูเสมือนว่าจะเป็นกลไกหลักของรัฐบาลที่สามารถทำหน้าที่ได้ดีที่สุด ภาพความขัดแย้งกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ โอชา ผบ.ทบ.กับรัฐบาลจึงลดลงและแสดงถึงภาวะผู้นำที่พยายมแก้ไขวิกฤตสร้างสุดกำลัง
       
       แต่ต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้ ยิ่งลักษณ์ได้จัดตั้งทีมคณะรัฐมนตรีดูแลรายภาคในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม แต่เมื่อถึงเวลาจริงบทบาทของรัฐมนตรีหลายคนกลับไม่ดีนัก แต่กลับมีการจดจำในสายตาประชาชนส่วนใหญ่จากจินตภาพของความล้มเหลวและไม่ประทับใจประชาชนอย่างสูง ดังกรณีของปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานฝ่ายปฏิบัติการของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) ที่สร้างความแตกตื่นและสับสนต่อประชาชนที่รับข้อมูลในแทบทุกครั้ง
       
       จนส่งผลให้การทำวิจัยเชิงสำรวจ ของ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบคโพล์ ) เรื่อง เสียงสะท้อนของชาวบ้านต่อข้อมูลข่าวน้ำท่วมจากการแถลงของรัฐบาล กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนที่ติดตามชมการแถลงข่าวของ ศปภ. ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 415 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 17 - 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.3 สับสนกับข้อมูลข่าวน้ำท่วมที่ได้รับจาก ศปภ. และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.2 ไม่วางใจ ไม่เชื่อถือต่อการให้ข้อมูลข่าวน้ำท่วมจาก ศปภ. โดยร้อยละ 73.4 อยากฟังข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมจากกลุ่มคน หรือ หน่วยงานที่ทำงานในพื้นที่มากกว่า ทีมงานโฆษกของ ศปภ.
       
       และเมื่อให้คะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยต่อการให้ข้อมูลข่าวน้ำท่วมของ ศปภ. ด้านต่างๆ โดยภาพรวมได้เพียง 3.36 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน และที่น่าเป็นห่วงคือ คะแนนพอใจเฉลี่ยต่อระบบการแจ้งเตือนประชาชนโดยรัฐบาลได้เพียง 3.08 คะแนนเท่านั้น จึงนับได้ว่าการทำงานของศปภ.สอบตกอย่างสิ้นเชิงจากการแก้วิกฤตในครั้งนี้
       
       ‘ยิ่งลักษณ์’คะแนนนิยม
       ล่วงกราวรูด
       
       ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) มองว่ าภาพความไม่เชื่อมั่นของประชาชนในตัวของผู้นำอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ย่อมยึดโยงกับฝีมือของศปภ.อย่างแยกกันไม่ได้ ซึ่งปัญหาเฉพาะหน้าที่ศปภ.ยังคงทำหน้าที่ไม่ได้นัก โดยเฉพาะการแจ้งประกาศเตือนภัยที่ประชาชนไม่มีความพอใจ และถือว่าจะบั่นทอนคะแนนนิยมของรัฐบาลงอย่างแน่นอน
       
       แต่หากพิจารณาในภาพรวม หากมีการทำผลสำรวจแม้ว่าในภาพกว้างอาจจะมองได้ว่า ยังคงให้โอกาสยิ่งลักษณ์ ในการแก้ไข ปัญหาแต่ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นนครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ลพบุรี ปทุมธานี และพื้นที่สุ่มเสี่ยงในนนทบุรี ฉะเชิงเทรา และกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยย่อมมีความเชื่อมั่นที่ลดน้อยลง
       
       "ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยพยุงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ให้กู้คืนความเชื่อมั่น ยังคงอยู่ที่ศปภ.ว่าจะยังสามารถทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่ แก้ไขปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน หรืออย่างน้อยคือการให้ข้อมูลและสื่อสารที่ชัดเจนจะยังพอช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้บ้างแต่หากทำไม่ได้คะแนนนิยมและความเชื่อมั่นจะยิ่งลดน้อยลง" ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพล ระบุ
       
       บททดสอบ
       นายกฯมือใหม่หัดขับ
       
       ด้วยเหตุนี้ จึงต้องจับตามองไปว่า อนาคตทางการเมืองของยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลจะยังคงมีเหลือหรือไม่ เมื่อต้องพบกับบททดสอบครั้งสำคัญทั้งในทางการเมืองและความอยู่รอดของประเทศชาติ ซึ่งเมื่อมองถึงการเข้าสู่สนามการเมืองด้วยระยะเวลากว่า 49 วันในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแม้ว่าจะมีความเชี่ยวชาญในฐานะนักธุรกิจในภาคเอกชน แต่ความเป็นมือใหม่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ยังไม่เข้าใจ และมีประสบการณ์มากพอในการจัดการทำงานของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนข้าราชการในกระทรวงต่างๆ ปัญหาในทางการเมืองและการแก้ไขปัญหาวิกฤตอุทกภัยจึงเป็นเรื่องใหม่ และด้วยระบบข้าราชการที่ถือว่ายิ่งลักษณ์ยังด้อยประสบการณ์ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับนายกรัฐมนตรีมือใหม่ผู้นี้
       
       "การมีพื้นฐานทางการเมืองที่ดี ธุรกิจที่ดีแต่ประสบการณ์ทางการเมือง ทำให้ความเข้าใจฝีมือของรัฐมนตรี การจัดวางบุคลากรที่เชี่ยวชาญในแต่ละสายงาน จึงยังไม่อาจมองได้เฉียบขาดมากพอ ทุกสิ่งคือประสบการณ์และการเรียนรู้แทบทั้งสิ้น " วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าว
       
       ดังนั้น จากนี้ไป สังคมไทยที่ให้โอกาสนายกคนใหม่ ซึ่งขณะนี้วิกฤตที่ใหญ่ทีสุดคืออุทกภัยซึ่งถือว่าควรจะเป็นวาระเร่งด่วนของชาติ ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์การบริหารในฐานะนายกรัฐมนตรี และความผิดพลาดที่เกิดขึ้น จะนำไปสู่การเรียนรู้และปรับตัวเพื่อรับมือพิบัติภัยที่จะเกิดขึ้นอีก ซึ่งหากมีการเกิดขึ้นซ้ำในพื้นที่อื่นๆ มากขึ้นย่อมบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างแน่นอน
       
       ปู ไร้ฝีมือ บริหาร
       “ผิดฝา-ผิดตัว”
       
       ขณะที่แหล่งข่าวอดีตทีมที่ปรึกษารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระบุว่า อุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นจากภาวะผู้นำที่ยังมีความอ่อนด้อยประสบการณ์ทางการเมืองในหลายๆด้าน โดยเฉพาะปัญหาการบริหารจัดการที่เกิด แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงให้โอกาส เนื่องจากเป็นพิบัติภัยที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติมิได้มีการตั้งรับมาก่อน และเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปจะต้องสืบหาสาเหตุของปัญหาก็จะพบว่าความไม่เชี่ยวชาญของคนในรัฐบาลมีผลต่อการบริหารจัดการน้ำ
       
       "กรณีของคุณปลอดประสพมากล่าวยอมรับผิดในการประเมินสถานการณ์น้ำท่วม หรือคุณกิตติรัตน์ รองนายกที่ควรจะดูงานบูรณาการในภาพรวม ก็ลงไปดูบางนิคมอุตสาหกรรมจนถูกตั้งคำถาม เหตุเหล่านี้ได้สร้างความไม่มั่นใจของประชาชนต่อรัฐบาลและคุณยิ่งลักษณ์ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"
       
       แต่เมื่อพิจารณาตามลำดับเหตุการณ์ จะพบว่า รัฐบาลขาดทีมในการประเมินสถานการณ์ที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาซึ่งเมื่อพื้นที่ภาคเหนือประสบปัญหาอุทกภัย ยังคงไม่ถูกจัดไว้เป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งเมื่อมีการจัดตั้งหน่วยงานศปภ.ขึ้นมาภายหลัง ก็ยังมีปัญหาในเรื่องของคณะทำงาน และการจัดสรรงานที่ไม่เป็นระบบและไม่สามารถทำงานในภาวะฉุกเฉินได้
       
       หลายหน่วยงานที่ควรจะอยู่ในฐานะเจ้าภาพจึงอยู่นอกสายการบริหารจัดการปัญหาดังกล่าว ทั้งหน่วยงานหลักอย่างกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีกรมบรรเทาสาธารณภัย และสามารถสั่งตรงไปยังพื้นที่ต่างๆผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอตลอดจนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) และองค์การบริการส่วนตำบล ไปจนถึงกระทรวงอื่นๆที่สามารถทำงานได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ทั้งก.เกษตรฯ ก.คมนาคมที่ควรเข้ามามีบทบาทในระบบขนส่งในพื้นที่ต่างๆ หรือก.อุตสาหกรรม ไปจนถึงก.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
       
       แหล่งข่าวคนเดิม บอกอีกว่า ปัญหาส่วนหนึ่งใน การมีผู้นำประเทศที่ยังขาดประสบการณ์ โดยเฉพาะเมื่อเจอกับภัยพิบัติครั้งสำคัญ จึงยากที่จะประเมินสถานการณ์ และเตรียมการป้องกัน บรรเทาและฟื้นฟูปัญหาได้อย่างตรงจุด รวมไปถึงคณะรัฐมนตรีที่ยังคงเป็นปัญหาในฐานะเครื่องมือการทำงานของรัฐบาลที่ รัฐมนตรีในหลายส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับมีบทบาทที่น้อยมากทั้งในฐานะคณะรัฐมนตรี หรือศปภ. อาทิ รมว.พลังงาน ซึ่งควบคุมการดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ควบคุมเขื่อนโดยตรง รมว.ไอซีที ที่สามารถใช้การสื่อสารช่วยในพื้นที่ประสบภัยได้ รมว.สาธารณสุขไปจนถึงรมว.พาณิชย์ ที่ในแง่ของการช่วยเหลือด้านสุขพภาพก็ยังไม่ดีนัก
       
       "การมือนายกมือใหม่ที่ขาดประสบการณ์ การจัดสรรทีมงานในภาวะวิกฤตจึงเป็นเรื่องสำคัญ และยังมีปัญหาในหลายส่วน จากนี้ไปจึงต้องมองไปยังการจัดเก็บข้อมูลในการจัดทำแผนเยียยวยาที่ถูกต้องต่อไป "
       
       ด้วยเหตุนี้ ในสายตาของอดีตมือยุทธศาสตร์ของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย จึงมองว่า ผลงานของศปภ.และคณะรัฐมนตรีที่ยังมีจุดบกพร่องอย่างมาก สุดท้ายหากยังไม่สามารถจัดการปัญหาได้หรือมีนโยบายที่ดีพอในอนาคตจนเกิดเหตุซ้ำหรือการจัดทำงบประมาณที่ไม่ตรงจุดก็จะยิ่งสร้างผลกระทบต่อรัฐบาลมากขึ้น
       
       วัดใจ ยิ่งลักษณ์
       “ช่วยแม้ว - ชาวบ้าน”
       
       นอกจากนี้ ยังมีกรณีของการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของศปภ.ที่นำโดยยิ่งลักษณ์ แม้ว่าจะมีความพยายามระดมมันสมองและสรรพกำลังอย่างสูง แต่ก็ยังไม่อาจลืมไปได้ว่า บรรดาบุคคลใกล้ชิดที่ยังเน้นการเดินเกมในทางการเมืองก็ยังถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก
       
       ทั้งในฝ่ายของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อและแกนนำคนเสื้อแดงเดินทางไปเปิดหมู่บานเสื้อแดงเพิ่มขึ้นในโมงยามของการสลายสีสลายขั้ว ตลอดจนการเดินหน้าหวังแก้ไขพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551ของ ธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานนปช.ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เองก็สนับสนุนแนวทางดังกล่าวอย่างชัดเจน
       
       รวมไปถึงการเดินทางเข้าประเทศไทยของ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณที่หวังเข้ามาขอข้อมูลในการตรวจสอบความสูญเสียของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 91 ศพ รวมถึงสนับสนุนแนวทางการแก้ไขกฎหมายและนิรโทษกรรมของกลุ่มนิติราษฎร์ด้วย ไปจนถึงการแต่งตั้งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ที่ขณะนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์ รักษาการผบ.ตร.อยู่เพื่อให้ขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการเสียที
       
       การมุ่งเน้นเดินเกมในทางการเมืองของบรรดาคนใกล้ชิดของรัฐบาลซึ่งมีความเกี่ยวพันทั้งกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลและย่อมเกี่ยวพันกับพ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกจับตาว่า การมุ่งเน้นผลทางการเมืองในขณะนี้จะถูกมองไปที่ยิ่งลักษณ์โดยตรงถึงการตัดสินใจของผู้นำที่จะเลือกเดินเกมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือผลประโยชน์ชาติโดยโฟกัสที่การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างจริงจัง โดยประชาชนจะเริ่มมองเห็นถึงการวัดใจว่ายิ่งลักษณ์ให้ความสำคัญเช่นไรต่อปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศ
       
       "พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านกำลังสอนให้รัฐบาลเห็นว่า ต้องทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชนก่อนที่จะเน้นในเกมการเมืองซึ่งศปภ.ยังคงทำงานได้ดีในระดับหนึ่ง แต่บุคคลใกล้ชิดที่ล้วนแล้วแต่เดินหน้าเพื่อมุ่งหวังความได้เปรียบทางการเมืองก็จะนำพาความสั่นคลอนมายังรัฐบาล "
       
       ปราม ‘เสื้อแดง’
       ไม่ได้สูญภาวะผู้นำ
       
       ดังนั้น เมื่อบรรดาคนใกล้ชิดยังคงเดินหน้าและหวังแก้ไขปัญหาในทางการเมือง หากยิ่งลักษณ์ไม่สามารถที่จะปรับจุดโฟกัสให้กับคนในรัฐบาลหรือ คนในพรรคและบรรดาคนเสื้อแดงที่อยู่ภายใต้อาณัติได้ ก็เท่ากับว่า ในจุดแรก รัฐบาลชุดนี้ยังคงให้ความสำคัญกับการทำงานเพื่อคนบางกลุ่มหรือหวังผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น หรือมองลงไปในสายการบริหารก็จะสะท้อนให้เห็นว่า ยิ่งลักษณ์มิได้มีอำนาจเพียงพอที่จะสั่งชะลอ ห้ามปราม หรือ อำนาจที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่ยิ่งลักษณ์นั่นเอง
       
       “หากรัฐบาลตัดสินใจที่จะเดิน 2 ขา คือแก้ปัญหาน้ำท่วม และมุ่งชิงความได้เปรียบในทางการเมืองหรือช่วยคุณทักษิณ ก็จะยิ่งถูกมองว่า ภาวะความเป็นผู้นำและสิทธิขาดในการสั่งการ หรือประนีประนอมกลุ่มต่างๆที่สนับสนุนรัฐบาลไม่สามารถที่จะทำได้ ถือเป็น ผลกระทบที่สะท้อนกลับมายังภาวะผู้นำของยิ่งลักษณ์โดยตรง”
       
       ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่รัฐบาลควรตะหนักก็คือ ภาพของความเป็นเอกภาพที่รัฐบาลยังไม่สามารถจัดการได้ ทั้งกรณีเกาเหลาระหว่าง ศปภ.และ ผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงการจัดการกับบทบาทและหน้าที่ที่ทับซ้อนของแต่ละหน่วยงานที่หลายหน่วยงานกลับมีบทบาทน้อยกว่าที่ควรจะเป็นทั้ง กรมชลประทาน กระทรวงมหาดไทย กรมบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่งยังมีบทบาทน้อยเกินไปในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้แม้ว่าจะมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจพื้นที่สูงมากก็ตาม ซึ่งการจัดวางคณะบุคคลในศปภ.ก็ยังพบว่ามีหลายฝ่ายที่ถือว่าขาดความเชี่ยวชาญ ซ้ำร้ายยังคงสร้างปัญหาให้กับประชาชนด้วยซ้ำ
       
       ป้อง น้ำท่วมใต้ - อีสาน ได้หรือไม่
       
       นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่ต้องรอการแก้ไขอย่างเร่งด่วนไม่แพ้กัน ก็คือ ปัญหาอุทกภัยที่ใกล้เคียงกันนี้ กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้ หากรัฐบาลยังไม่สามารถป้องกันได้ หรือมีมาตรการรับมือที่ดีเพียงพอก็จะสะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยได้
       
       รวมไปถึงการกำหนดนโยบาย และยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาอุทกภัย หรือ พิบัติภัยที่เกิดขึ้น เนื่องจากถือเป็นการวัดฝีมือวัดกึ๋นของรัฐบาลชุดนี้ได้อย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งที่จะเห็นเป็นรูปธรรมก็คือ แผนเยียวยาผู้ประสบภัย แผนยุทธศาสตร์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในอนาคต รวมถึงการจัดวางผังเมืองและโครงการในการแก้ปัญหาด้านน้ำในอนาคต ซึ่งครั้งนี้จะเป็นผลงานที่จะชี้ให้เห็นเอกลักษณ์หรือภาพที่ประชาชนจะจำได้ต่อนายกรัฐมนตรีผู้นี้
       
       "ในบางพื้นที่ ถือว่ามีฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยอยู่ ก็จะช่วยเอื้อให้การแก้ไขปัญหาทำได้ดี แต่ในภาคอีสาน และภาคใต้ที่กำลังจะเกิดขึ้นถ้าไม่มีมาตรการที่ดี หรือมีความรุนแรงยิ่งกว่าในภาคกลางรัฐบาลย่อมกระทบอย่างแน่นอน "
       
       น้ำลดโกงอื้อ - เยียวยาเฉพาะกลุ่ม
       
       ขณะเดียวกันหลังน้ำลดก็จะเกิดประเด็นปัญหาสำหรับรัฐบาลตามมา โดยเฉพาะมาตรการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ที่ผู้ประกอบการ ประชาชนทั่วไปและเกษตรกรที่เสียหายมหาศาล หากได้รับเงินช่วยเหลือ เงินชดเชย ไม่เป็นพอใจก็จะกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลไม่น้อย โดยเฉพาะประเด็น ความเหลื่อมล้ำระหว่างนายทุน-เกษตรกร ที่ถือว่าเป็นจุดขายของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยในการหาเสียงและจัดทำนโยบาย หากทำไม่ดีย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อรัฐบาลเช่นกัน
       
       “เงินที่จะเยียวยา มีโอกาสจะเกิดการคอร์รัปชัน รัฐบาลจะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ”
       
       รวมไปถึงการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างฝ่ายค้านและรัฐบาล เนื่องเพราะความผิดพลาดในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ จะถูกนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่เช่นกันที่ ยิ่งลักษณ์จะต้องเผชิญ
       
       ปชป.เดินเกมการเมืองเป็น
       
       อย่างไรก็ดี การเน้นเล่นเกมการเมืองจนมากเกินไป ดังที่พลพรรคคนเสื้อแดงกำลังเดินอยู่หากมองไปยังคู่แข่งทางการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งลงพื้นที่และเข้าประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีที่ศปภ.ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ล้วนแต่เป็นภาพที่ประชาชนจับตามองทั้งสิ้น
       
       “คุณทักษิณต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี ซึ่งจะสะท้อนถึงความเป็นห่วงต่อประเทศชาติ ที่ควรกระทำเช่นเลือกที่จะว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ มาช่วยรับมือภัยพิบัติครั้งนี้ ดีกว่าให้ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายอย่างอัมเตอร์ดัมส์เข้ามาแก้ปัญหาในทางการเมือง ซึ่งยิ่งสะท้อนถึงผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ชาติ ซึ่งต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่เน้นโจมตีและมุ่งช่วยเหลือประชาชนจึงได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น” วรรณธรรม ระบุ
       
       ฝ่ายที่สร้างคะแนนนิยมและสร้างความเชื่อมั่นได้ดี คือ พรรคประชาธิปัตย์ขณะที่แนวร่วมของรัฐบาลดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ที่สร้างปัญหาให้กับรัฐบาลมากกว่า
       
       ด้วยเหตุนี้ สถานะรัฐบาลจึงอยู่ในอาการคางเหลือง ท่ามกลางพายุฝนที่ถล่มเข้ามาอย่างหนัก และหากนำไปสู่วิกฤตศรัทธาต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เมื่อใดเก้าอี้นายกฯหญิง “ยิ่งลักษณ์” และ ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งพลพรรคคนเสื้อแดง พร้อมพรรคเพื่อไทยอาจสั่นคลอนและอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างคาดไม่ถึงย่อมเป็นไปได้!!

   
      



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 ตุลาคม 2554, 20:01:25

อ.จุฬาฯ โวยลูกศิษย์ถูกบังคับใส่เสื้อแดงช่วยน้ำท่วม

 วานนี้ (20 ต.ค.) รศ.ดร.ทวีวงศ์ ศรีบุรี กรรมการผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในรายการคมชัดลึก ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเนชั่นแชนแนล โดยในตอนหนึ่งกล่าวถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพมหานครว่า ต้องคุยกันให้ชัดว่าจะทำอย่างไร วิธีปฏิบัติจะเป็นอย่างไร เพราะเหนือรังสิตขึ้นไปไม่ได้อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสามารถคุยกันได้หรือไม่ และรัฐบาลควรที่จะเป็นคนเข้าไปประสาน คุยกันว่าอย่างไรเสียน้ำก็จะเข้ามาทางนี้ ก็ต้องยอมรับ แต่ว่าการตัดสินใจแต่ละครั้งเรารู้อยู่แล้วว่าจะเกิดความเสียหาย ก็อาจจะต้องมีการสัญญาว่าจะชดเชยอย่างไร แต่ในขณะนี้ประชาชนไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องข้อมูลน้ำที่จะเข้าท่วม ตรงนี้ทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นได้จริง อย่างไรก็ตาม คนกรุงเทพฯ เองตอนนี้จะสังเกตได้ว่าในเมื่อคนอื่นเดือดร้อน แล้วคนกรุงเทพฯ ก็จะเข้าไปช่วยกัน แต่คนที่ไปช่วยก็เจอปัญหาแล้ว
       
       “พอเราจะส่งเด็กเราเข้าไปทำงาน เขาบอกว่า ให้ใส่เสื้อสีแดงเข้ามา แค่นี้ก็ต้องเรียกเด็กกลับแล้ว อันนี้คือเหตุการณ์ที่เราเจอวันนี้นะครับ นี่คือคำถามที่ถามว่า เราต้องการจะไปช่วยเขา เวลาเขาเดือดร้อน แต่พอเจอเวลาถ้าจะเข้ามาก็ต้องใส่เสื้อสีแดงมาด้วย มันหมายความว่าไง มันเป็นวิกฤตซึ่งเรากำลังจะเข้าไปช่วย แต่เขาพูดแค่คำนี้ออกมาเราก็บอกไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว มันเหมือนถูกแบ่งชั้นวรรณะ แล้วพวกเราจะทำยังไงกันล่ะ ในเมื่อคนเรายังไม่ยอมรับซึ่งกันและกันเลย เป็นอุปสรรคซึ่งรัฐบาลจะต้องมองตรงนี้ แล้วเข้าไปเคลียร์ตรงนี้ให้ได้ มีนโยบายจะเอาอย่างไร ความช่วยเหลือจะเข้ามาอย่างไร จะเอาใครมาช่วย แล้วจะช่วยได้แค่ไหน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก บอกได้เลยว่าคนที่ตั้งใจจะช่วยเขาถอยมาหมดแล้วตรงนี้ ซึ่งมันไม่น่าจะเกิดอันนี้” รศ.ดร.ทวีวงศ์ กล่าว
       


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 ตุลาคม 2554, 18:59:44
เอาอยู่ค้าาา ทำงานไม่เป็นค้าาา ไม่ได้โง่นะค้า
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    22 ตุลาคม 2554 06:08 น.    


      
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ไม่ว่าจะมีการแก้ข่าว ทั้งผ่านผลโพลจากค่ายเอแบคหรือผ่านสื่อที่เชียร์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ความและข้อเท็จจริงก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะ ณ วันนี้ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ก็ยังคงเป็น “ศูนย์ประจานภูมิปัญญาปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยขวัญใจคนเสื้อแดงวันยังค่ำ
       
       เพราะการทำงานของ ศปภ.และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ในการบริหารจัดการมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษของประเทศไทยที่มีคนไทยได้รับความเดือดร้อนหลายล้านคนและทำให้เศรษฐกิจของประเทศพินาศหลายแสนล้านบาท ยังคงสะเปะสะปะและคงไว้ซึ่ง “ความห่วยแตก” อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
       
       กระทั่งเอแบคโพลเจ้าเดิมที่เคยเชลียร์โดยไม่ลืมหูลืมตาด้วยการให้คะแนนปู-ยิ่งลักษณ์ 9 เต็ม 10 ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมต้องรีบแจ้นออกมาเปิดเผยผลโพลฉบับใหม่ภายในระยะเวลา 2 วัน ด้วยการให้คะแนน ศปภ. 3.36 เต็ม 10 คะแนน ยิ่งเมื่อเห็นอากัปกิริยาระรื่นและระรี้ระริกเกินงามในขณะที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปรับมอบไฟฉายและเสื้อชูชีพจากหลานสาว-น.ส.พินทองทา ชินวัตรและว่าที่หลายเขย-นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ด้วยแล้ว ยิ่งบาดลึกเข้าไปในหัวใจของผู้ประสบภัยยิ่งนัก
       
       นี่ไม่นับรวมถึงภาพที่โพสต์กันว่อนสังคมออนไลน์ที่นายกรัฐมนตรีคนสวยสวมใส่รองเท้าบูตลายสก็อตสุดไฮโซยี่ห้อ "เบอร์เบอร์รี่(Burberry)" จากอังกฤษคู่ละแค่หมื่นเศษๆ กรีดกรายราวกับเดินอยู่บนแคตวอล์กขณะลงตรวจพื้นที่น้ำท่วมที่จังหวัดนนทบุรีเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ไม่ว่าใครเห็นก็ยิ่งอเนจอนาถที่ประเทศไทยต้องทนอยู่กับผู้นำประเทศเยี่ยงนี้ไปอย่างไม่มีความหวัง
       
       ประเทศชาติกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ประชาชนต้องทนทุกข์กันค่อนประเทศ แต่นายกรัฐมนตรีของไทยไม่เพียงคำนึงเสื้อผ้าหน้าผมเท่านั้น หากยังมีแก่ใจงัดรองเท้าคู่สวยมาใส่ให้ช้ำใจประชาชีอีกต่างหาก
       
       คำนิยามที่ชัดเจนที่สุดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็คือ ข้อความที่“หนูดี-วนิษา เรซ” ที่โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @nudi_vanessa ว่า “ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”
       
       ** ทำงานไม่เป็นค่ะ ไขปริศนาต้นเหตุวิกฤตน้ำท่วม
       
       ความไม่เอาอ่าวของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินและการบริหารจัดการน้ำท่วมได้สะท้อนออกมาให้ประชาชนเห็นเป็นระยะๆ โดยนายกรัฐมนตรีทำตัวลอยไปลอยมาเหมือนเดินอยู่บนแคตวอล์ก โดยไม่ได้อนาทรร้อนใจกับปัญหา วันๆ ดีแต่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจการณ์น้ำท่วม โดยที่ไม่รู้ขึ้นไปทำพระแสงของ้าวอะไร หรือเกิดประโยชน์อะไรกับชาติบ้านเมืองบ้าง
       
       สิ่งที่คนไทยได้ยินจากปากนายกฯ ปูจนคุ้นหูทุกเมื่อเชื่อวันก็อย่างเช่น “เอาอยู่ค่ะ” จากนั้นก็ตามต่อด้วย “เสียใจค่ะ” และเมื่อถูกจี้ถามหนักเข้าถึงความไม่น่าเชื่อถือของ ศปภ. นายกฯ ปูก็ทำได้เพียงแค่ “ขอความเห็นใจค่ะ” และ “ขอความกรุณา” กระทั่งทำให้ประชาชนหมดความเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีไปเรียบร้อยแล้ว
       
       ทั้งนี้ กาลเวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์สอบตกชนิดที่ไม่มีโอกาสแก้ตัวได้เลย เพราะสถานการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า นายกฯยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรีไม่รู้จักน้ำ ไม่มีข้อมูลเรื่องน้ำ และประเมินข้อมูลน้ำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว น้ำท่วมประเทศไทยมานานร่วม 3 เดือน
       
       “ขอความกรุณาดิฉัน อาจไม่สามารถให้ข้อมูลสื่อมวลชนได้ครบ เพราะเกรงว่า การสื่อสารในมุมที่มองจากความรู้สึกส่วนตัว หรือจากการสัมผัสจะทำให้ประชาชน ขาดความมั่นใจและไขว้เขว อันนี้ขอความกรุณา ดิฉันคงไม่สามารถให้ข้อมูลตรงนี้ได้ จะขอให้ข้อมูลที่เป็นทางการเท่านั้น”
       
       นั่นคือคำตอบจากปากของนายกรัฐมนตรี
       
       แถมเมื่อตรวจสอบความทุ่มเทในการทำงานก็ยิ่งปวดจี๊ดเข้ามาในหัวสมองทันทีเพราะนับตั้งแต่จัดตั้ง ศปภ.นายกรัฐมนตรีจะเข้ามาทำงานที่ ศปภ.ในเวลาประมาณ 09.00 น. หากไม่มีกำหนดการข้างนอกก็จะอยู่ที่ ศปภ.ทั้งวัน ส่วนขากลับนายกรัฐมนตรีจะออกจาก ศปภ.ในเวลา 19.00 น. โดยเวลาดึกที่สุดที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับคือ 21.30 น. ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
       
       ส่วนรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลแต่ละองค์ก็ดูเหมือนจะเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เพราะนอกจากหน้าใหม่ ทำงานไม่เป็น แล้วยังขาดภาวะผู้นำอีกต่างหาก รายที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ควบทั้งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ชื่อ “นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง” เพราะนอกจากจะแสดงความอ่อนแอและความอ่อนปวกเปียกด้วยการร้องไห้พร้อมโอบกอดนักลงทุนญี่ปุ่นเมื่อคราวทราบข่าวนิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้าหรือไฮเทคจมน้ำแล้ว ล่าสุดนายกิตติรัตน์ยังออกอาการ “แต๋วแตกแหกชิมิ” เมื่อทราบข่าวนิคมอุตสาหกรรมนวนครแตกอีกต่างหาก
       
       กล่าวคือ ขณะที่เดอะโต้งกำลังประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เพื่อหามาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมและประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่นั้น เมื่อมีรายงานด่วนเข้ามาในที่ประชุมว่า น้ำได้ทะลักเข้านวนครแล้ว นายกิตติรัตน์ถึงกับออกอาการหน้าเสีย ตกใจ พร้อมสั่งยุติการประชุมทันที และตบท้ายระหว่างประชุมคณะรัฐมนตรี เดอะโต้งก็คว้ารางวัลออสการ์มาครองด้วยน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาเมื่อรับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
       
       และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ นายปลอดประสพเจ้าเก่าที่เกิดไอเดียพิสดารด้วยการสั่งให้ “ป๋าเอี้ยง” นายดำรง พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช มือขวาของ “ยุทธ ตู้เย็น” ตัดไม้ไผ่จากป่ามาต่อเป็นแพจำนวน 10,000 แพเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมได้ใช้สัญจรแทนเรือไฟเบอร์ที่ขาดตลาด หลังจากประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่าน้ำในหลายพื้นที่อาจท่วมขังโดยเฉพาะบริเวณทุ่งนา นานนับเดือนหลังจากนี้
       
       คนที่เป็นเสนาบดีของประเทศไทยคิดได้แค่นี้เองหรือ
       
       ขณะที่เสนาบดีกระทรวงที่ควบคุมน้ำอย่าง “นายธีระ วงศ์สมุทร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ก็ตกอยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก เนื่องเพราะถูกผู้มีบารมีตัวจริงอย่าง “นายบรรหาร ศิลปอาชา” ควบคุมอำนาจในการบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จเพื่อปกป้องฐานเสียงของตัวเองให้รอดพ้นจากภาวะน้ำท่วม
       
       ถามว่า การผันน้ำลงสู่แม่น้ำท่าจีนในขณะนี้เป็นไปได้กี่มากน้อย ก็ไม่มีใครตอบได้ เพราะน้ำต้องผ่านจังหวัดสุพรรณบุรี
       
       ซ้ำร้ายยังมีรายงานยืนยันด้วยว่า ความไม่ไว้วางใจมังกรสุพรรณกำลังทวีความรุนแรงขึ้น เพราะได้มีการสั่งการในทางลับให้ติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อตรวจสอบการระบายน้ำลงแม่น้ำท่าจีน หลังจากที่ตรวจพบว่า การระบายน้ำลงท่าจีนไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้
       
       ถามว่า ทำไมกรมชลประทานถึงไม่ผันน้ำลงสู่ “แม่น้ำแม่กลอง” เพื่อให้ออกอ่าวไทย
       
       คำตอบก็ยังคงเป็นคำตอบเดิมคือ เพราะน้ำต้องผ่านจังหวัดสุพรรณบุรี
       
       ขณะที่การบริหารจัดการน้ำฝั่งตะวันออก รัฐบาลก็บอดใบ้เช่นกัน เนื่องเพราะกริ่งเกรงอิทธิพลของ ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นหัวคะแนนของตนเองและอาวุธปืนในมือของเหล่านักการเมืองท้องถิ่นที่บีบบังคับไม่ให้เจ้าหน้าที่ทำงาน จนไม่สามารถระบายน้ำได้ ดังเช่นที่ “วีระ วงศ์แสงนาค” ที่ปรึกษากรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกมายืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว นายกฯ ยิ่งลักษณ์ถึงกล้าตัดสินใจสั่ง “นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไปเคลียร์ การให้เปิดประตูระบายน้ำจึงเกิดขึ้นได้
       
       “ความสามารถจริงของคลองแถบตะวันออกนั้น สามารถระบายน้ำได้มากถึงวัน 100 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เอาเข้าจริงแล้วด้วยการปิดประตูระบายน้ำแบบเห็นแก่ตัว ทำให้ทุกวันนี้ระบายน้ำได้อย่างมากที่สุดก็ 80 ลูกบาศก์เมตรต่อวันเท่านั้น”อุเทน ชาติภิญโญ ในฐานะประธานคณะกรรมการผันน้ำออกสู่ทะเลด้านตะวันออกให้ข้อมูล
       
       และนั่นคือต้นเหตุของการบริหารจัดการน้ำอันผิดพลาดที่ทำให้มวลน้ำก้อนใหญ่ยังคงวนเวียนโดยที่ไม่ได้ผันออกสู่ทะเลเสียที
       
       **โปรดฟังอีกครั้ง ศปภ.=ศูนย์ประจานภูมิปัญญาปู
       
       ยิ่งในศูนย์ประจานภูมิปัญญาปูคือ ศปภ.ที่ด้วยแล้วยิ่งเต็มไปด้วยความอ่อนด้อยประสิทธิภาพในการทำงาน
       
       ต่างคนต่างก็แย่งชิงการนำ ต่างคนต่างก็ออกมาให้ข้อมูลประชาชนอย่างสะเปะสะปะและสร้างความโกลาหลให้กับประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
       
       ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่าภายหลังจะมีคนคิดชื่อใหม่ให้กับ ศปภ. นอกจากศูนย์ประจานภูมิปัญญาปูแล้วก็มีอย่างเช่น ศูนย์ปั่นป่วนประชาชนทั่วทุกภูมิภาค เป็นต้น
       
       ไม่ใช่แค่เพียง “นายปลอดประสพ สุรัสวดี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ผู้คนก่นด่าทั้งบ้านทั้งเมือง ความเฟอะฟะยังลามไปถึงผู้อำนวยการศูนย์และโฆษกศูนย์ ศปภ.ที่ไปคนละทิศละทาง แถมยังกลับไปกลับมาจนประชาชนเกิดความสับสน
       
       หากยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ศปภ.แถลงข่าวอย่างมั่นใจว่า นิคมอุตสาหกรรมนวนคร รอดจากภัยพิบัติอย่างแน่นอนเนื่องจากได้ผันน้ำลงเจ้าพระยาเรียบร้อยแล้ว และในช่วงสายของวันเดียวกัน นายกรัฐมนตรีก็ออกมาตอกย้ำสร้างความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า แผนการรับมือน้ำท่วมสามารถปกป้องนิคมนวนครได้
       
       แต่อย่างไรก็ดี เพียงชั่วข้ามคืนข้อมูลที่นายกฯ และ ศปภ.กล่าวมาก่อนหน้านี้ ได้ถูกหักล้างอย่างสิ้นเชิง เมื่อ นายวิม รุ่งวัฒนจินดา โฆษกฯ ศปภ. อ้างว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการ ศปภ.ได้ออกประกาศขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี และพื้นที่โดยรอบอพยพออกจากพื้นที่เป็นการด่วน เนื่องจากขณะนี้น้ำได้เริ่มไหลเข้าท่วมและเพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
       แต่หลังจากคำประกาศอพยพของทีมโฆษก ศปภ.ไม่นานนัก เมื่อพล.ต.อ.ประชา เดินทางกลับจากตรวจนิคมฯนวนคร ก็ให้สัมภาษณ์ไปคนละเรื่อง แถมยังยืนยันด้วยว่า สามารถรับสถานการณ์ได้แต่ให้ประชาชนเตรียมการขนของขึ้นที่สูง
       
       จากนั้น เมื่อเกิดความสับสนในข้อมูลแพร่ออกไป และพล.ต.อ.ประชาตัดสินใจที่จะแถลงข่าว  แต่ปรากฏว่านายวิมได้ดึงตัว พล.ต.อ.ประชาไปคุยเพื่อทำความเข้าใจกับข้อมูลที่แถลงออกไป สุดท้าย พล.ต.อ.ประชาปฏิเสธที่จะแถลงข่าว โดยบอกเพียงว่ามอบให้เป็นหน้าที่ของโฆษก ศปภ. จากนั้นได้เดินเข้าสู่ห้องประชุมด้านในทันที
       
       ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ทำได้แค่แสดงความเสียใจต่อความพินาศของนวนครเท่านั้น
       
                     อีกทั้งในวันที่ 16 ต.ค. “นายธีระ วงศ์สมุทร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกมาแถลงการณ์อย่างเป็นทางการและเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก โดยประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “มวลน้ำปริมาณใหญ่ที่สุดนั้นได้ผ่าน กทม.ออกทะเลไปแล้ว ประชาชนจึงสบายใจได้ เพราะระดับน้ำสูงสุดที่สะพานพุทธเมื่อเช้าวันที่ 15 ต.ค.อยู่ที่ 2.29 เมตร ซึ่งต่ำกว่าที่กรมชลประทานคาดไว้หนึ่งเซนติเมตร” แต่อยู่ดีๆ กลับมาขอเรืออีก 75,000 ลำ ให้ช่วยกันผลักดันน้ำลงสู่ทะเล นอกจากนี้ยังปรับแผนจากการเข้าแก้ไขและช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นวางระบบให้ประชาชนอยู่กับน้ำได้
       
       ตดยังไม่ทันหายเหม็น นวนครก็พินาศไปกับสายน้ำ
       แหล่งข่าวจากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กล่าวว่า หลังจากเปิดศูนย์ฯ ขึ้นมา เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พบว่า มีการส่งข้อมูลเพื่อแจ้งสถานการณ์ เข้ามาจำนวนมาก แต่เมื่อมาถึงที่ศูนย์ฯ กลับไม่ได้การจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้บางครั้งเกิดความสับสน ในการนำเสนอข้อมูล
       
       ทั้งนี้ ยังมีบางข้อมูลที่เป็นการแจ้งเตือนจากคนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยเข้ามา แต่กลับไม่ได้รับการตรวจสอบ เนื่องจากข้อมูลมีจำนวนมาก และ ศปภ.ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโดยตรง อีกทั้งบางคนยังมองว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง จึงไม่ใส่ใจ ซึ่งตรงนี้ มองว่ายังเป็นปัญหาที่ ศปภ. ต้องจัดการแก้ไขโดยเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นปัญหาลุกลามได้       
       
       “ที่ผ่านมา ข้อมูลไม่มี ไม่ใช่ปัญหาของ ศปภ.เพราะมีข้อมูลจากแต่ละแหล่งเข้ามาเยอะมาก นับหมื่นๆ ข้อมูล แต่ภายในไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ บางเรื่องมีคนแจ้งเข้ามา มีข้อมูลอยู่ตรงหน้า แต่ก็ถูกวางไว้เฉยๆ ไม่เอามาใช้ เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง” แหล่งข่าวกล่าว
       
       ข้อมูลสำคัญที่ประชาชนคนไทยผู้เสียภาษีต้องทราบก็คือ ณ บัดนี้ ศปภ.ใช้งบประมาณไปแล้ว 1,700 ล้านบาทในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม จากงบประมาณที่ครม.อนุมัติให้ 2,000 ล้านบาท โดยที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดกับประเทศชาติและประชาชนไทยเลยแม้แต่น้อย
       
       ซ้ำร้ายเมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ครม.ยิ่งลักษณ์ก็อนุมัติงบเพิ่มเติมให้ ศปภ.อีก 1,500 ล้านบาท
       
       ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ ภายในศูนย์ประจานภูมิปัญญาปูก็เต็มไปด้วย “แกนนำคนเสื้อแดง” ที่เข้าไปชี้นิ้วสั่งการกันอย่างเอิกเกริกจนกลายเป็น “ศูนย์รวมสารพัดแดง” โดยที่มิได้มีความรู้ความสามารถในเรื่องการบริหารจัดการน้ำแต่อย่างใด(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน .ศปภ. "ศูนย์รวมเสื้อแดง” “เอาปัญญาชนไปขนกระสอบทราย เอา......ไปวางแผน”)
       
       “ข้ออ่อนด้อยสำคัญในขณะนี้ก็คือ ในประเทศไทยมีหน่วยงานที่จัดการเรื่องน้ำถึง 8 หน่วยงาน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นประเด็นเฉพาะสำหรับประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นประเด็นในแทบทุกประเทศในภูมิภาคนี้ที่ได้เผชิญกับน้ำท่วม นั่นคือขาดกรอบการทำงานที่กว้างขวางที่จะจัดการน้ำ”โนลีน เฮเยอร์ เลขาธิการคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมประจำภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิกของสหประชาชาติ กล่าวแสดงความคิดเห็น
       
       เฉกเช่นเดียวกับ “นายเจน นำชัยศิริ” รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ที่ออกมาเปิดเผยหลังการหารือร่วมกับนางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการบีโอไอ นายเซ็ทซึโอะ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น และนายเคียวอิจิ ทานาดะ ประธานหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย(เจซีซีว่า) ภาคเอกชนเห็นว่า สถานการณ์ขณะนี้มีความจำเป็นที่รัฐบาลควรจะมีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้แล้ว เพราะขณะนี้การประสานงาน รวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารของ ศปภ.นั้น ไม่เป็นระบบที่ชัดเจน
       
       ทหารอากาศก็สั่งให้ขนย้ายเครื่องบินหนีแล้ว
       
       ทหารบกก็เตรียมการย้ายกองบัญชาการไปที่สโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดีรังสิตแล้ว
       
       ประชาชนตาดำ ๆ คงจะคาดเดาสถานการณ์ออกว่า หนักหนาสาหัสเพียงใดจากมวลน้ำก้อนมหาศาลอีกกว่า 1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรที่กำลังจะแปรสภาพเป็น “สึนามิน้ำจืด” ถล่มเมืองหลวงของประเทศไทย
       
       หมดเวลาสำหรับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในการดำรงนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว เพราะขืนให้อยู่แก้ปัญหาประเทศไทยหลังน้ำลด ซึ่งถือว่าหนักหนาสาหัสไม่น้อยกว่า ก็คงจะทำให้ประเทศชาติถอยหลังลงคลองหนักเข้าไปอีก



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 ตุลาคม 2554, 22:07:56
ศปภ. "ศูนย์รวมเสื้อแดง” “เอาปัญญาชนไปขนกระสอบทราย เอา......ไปวางแผน”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    22 ตุลาคม 2554 06:08 น

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แม้รัฐบาลจะตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือศปภ. มาได้ร่วมสามสัปดาห์แล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า ศปภ.จะกลายเป็น “ศูนย์ป่วนประชาชน” จากการปล่อยข่าวภัยพิบัติ จนสร้างความแตกตื่นสับสน ทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายไปทั่ว จน ศปภ. กลายเป็นศูนย์ “ไร้สติ” และเชื่อถือไม่ได้ในที่สุด
       
       กระทั่งได้ยินคำพูดที่สะท้อนออกมาจากความอึดอัดขัดข้องใจของผู้คนทั่วไปว่า “เอาปัญญาชนไปขนกระสอบทราย แต่เอา(....)ไปคุมศปภ.” !
       
       อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ย้ายฐานที่มั่นจากทำเนียบรัฐบาล มาตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง นัยว่าเพื่อให้ง่ายต่อการบัญชาการ และง่ายต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ จึงทำให้ภายในตัวอาคารท่าอากาศยานดอนเมืองเต็มไปด้วยส่วนงานราชการต่างๆ มากมาย และเมื่อรวมกับปริมาณเจ้าหน้าที่หลายพันชีวิต ก็ทำให้พื้นที่อันกว้างขวางของท่าอากาศยานดอนเมืองดูคับแคบไปถนัดตา
       
       แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า นอกจากเจ้าหน้าที่ที่ปักหลักทำงานกันตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ศปภ. ยังเป็นที่สิงสู่ของ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ที่วนเวียนตามมาเชียร์ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ทุกวัน โดยกลุ่มคนเสื้อแดงที่แห่แหนกันเข้ามาใน ศปภ. ดอนเมืองแห่งนี้มีหลายกลุ่มหลายก้อน นับตั้งแต่ "แดงเจ้าถิ่น” ที่อาศัยอยู่บริเวณย่านดอนเมือง โดยแดงกลุ่มนี้มีหัวโจกใหญ่ชื่อ "การุณ โหสกุล" ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย คอยเดินกร่างคุมเกมตลอดทั้งวัน
       เรียกได้ว่าใครที่เป็น “คนเสื้อแดงบ้านเดียวกัน” เดือดร้อนอะไรเรียก “พี่เก่ง” ได้ทุกเมื่อ !
       นอกจากนี้ยังมี "กลุ่มคนเสื้อแดง" ที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากเดินเตร่ไปเตร่มาราวกับเดินเที่ยวตลาดนัดสวนจตุจักร บ้างก็เข้าไปวุ่นวายกับการทำงานของสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ บ้างก็เดินหยิบของบริจาคกินฟรีจนปากมันแผล็บ!
       
       และที่สำคัญได้ยินหลายคนบ่นกันมากว่า การที่จะเข้าไปใน ศปภ. นั้น ถ้าใส่เสื้อสีอื่นเข้าไปต้องมีการเข้มงวดกวดขันในการตรวจบัตร แต่หากใส่ “เสื้อแดง” ก็สามารถเดินตัวปลิวผ่านเข้าไปได้เลย เพราะมีสัญลักษณ์ “เสื้อแดง” เป็นใบเบิกทาง
       
       อย่างไรก็ตาม นอกจากกลุ่มคนเสื้อแดงที่เข้าไปเดินเพ่นพ่านเกะกะการทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่เต็ม ศปภ. แล้ว ยังมีบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดง ที่สลับหน้ากันมาบ้าง โดยเฉพาะ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่มาคอยทำหน้าที่สอดส่องความเรียบร้อยในส่วนของการแจกจ่ายข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล รวมถึงสื่อของรัฐ
       
       ขณะที่ทีมกุนซือใหญ่ "บ้านเลขที่ 111" อาทิ จาตุรนต์ ฉายแสง, ภูมิธรรม เวชยชัย, วราเทพ รัตนากร, สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ก็เดินป้วนเปี้ยนไม่ปกปิดว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำงานของ ศปภ. จนเรียกได้ว่า ศปภ. เป็น "ศูนย์รวมคนเสื้อแดง” ก็ไม่ผิดนัก!
       
       แต่ที่หนักและน่าเกลียดเป็นที่สุด ก็คือ มีการร้องเรียนมายังสื่อมวลชนเป็นจำนวนมากว่ามีการ “กั๊ก” ของบริจาค โดยมีตัวแทน “ผู้มีอิทธิพล” ในพื้นที่เข้ามาคัดสรรให้พวกพ้อง “คนเสื้อแดง” ของตัวเองก่อน อีกทั้งการแจกจ่ายยังมีความซับซ้อน ไม่เป็นระบบ และไม่ทั่วถึง
       
       และว่ากันว่า เมื่อมีคนไปขอรับของบริจาค ก็จะมีผู้มีอิทธิพล (เก่งการถีบ) ใน ศปภ. มาถามว่า “คุณเป็นใคร มาจากไหน จะเอาของไปทำอะไร เป็นเสื้อเหลืองหรือเปล่า” ชาวบ้านที่มารอคอยความช่วยเหลือจริงๆ จึงได้แต่นั่งลุ้นตาปริบๆ โดยรัฐบาลไม่สนใจที่จะควบคุมพลพรรค “เสื้อแดง” ของตัวเองไม่ให้เหยียบย่ำซ้ำเติมความทุกข์ของชาวบ้านแต่อย่างใด
       
       หนำซ้ำยังตั้งทีมงาน “คนเสื้อแดง” มาทำหน้าที่มอนิเตอร์ข่าว และรวบรวมข้อมูลผ่านสื่อต่างๆ ตลอดทั้งหมด โดยมี “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” หัวโจกคนเสื้อแดง เป็นโปรดิวเซอร์หลักในการสั่งการหน้าจอ หลังจากที่ ศปภ. ออกมาให้ข่าว “มั่วๆ” จนทำให้เกิดความสับสน
       
       อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการทำงานของรัฐบาลไม่ได้เป็นไปเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เพราะมีการมุ่งใช้ทีวีของรัฐ เช่น ช่อง 11 ทำโฆษณาชวนเชื่อให้แก่ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยที่สอบตก และหาเสียงให้นายกรัฐมนตรี โดยมีการจัดฉากให้เหมือนสถานการณ์ปกติและรัฐบาลสามารถแก้ปัญหาได้ เพื่อให้ประชาชนได้ชื่นชมนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมีการจัดทำมิวสิกวิดีโอเพลงประกอบ “บ้านทรายทอง” ซึ่งเป็นการใช้เวลาของรัฐ ทีวีของรัฐ โฆษณาให้กับตัวเองเพื่อกลบเกลื่อนปัญหาและความไร้ประสิทธิภาพของตัวเอง ทั้งนี้ พบว่าหลายช่วงเวลา มี ส.ส. สอบตกของพรรคเพื่อไทยมาออกทีวีหน้าสลอน อาทิ แซม ยุรนันท์ และหมวดเจี๊ยบ สุนิสา เป็นต้น
       
       จนหลายคนทนไม่ไหวต้องออกมาสะท้อนความอึดอัดใจว่า “อยากให้รัฐบาลเลิกเล่นปาหี่ และพูดความจริงกับประชาชนเสียที”
       แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ ความเคลื่อนไหวของ “หัวโจกคนเสื้อแดง” อย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาจินตนาการว่า อุทกภัยครั้งนี้มีกลเกมทางการเมืองแทรกซ้อนอยู่ โดยกล่าวถึงการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมาว่า กองทัพไทยเป็นผู้ร้องขอดูแล 5 จังหวัด ประกอบด้วย นครสวรรค์ อยุธยา ลพบุรี นนทบุรี และปทุมธานี ซึ่ง น.ส.ยิ่ง ลักษณ์ ได้ประกาศสำนักนายกฯ แต่งตั้งขึ้นมา แต่ตนเห็นว่า กองทัพไม่ได้ทุ่มเทเครื่องจักร และสรรพกำลังออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้ 5 จังหวัดดังกล่าวประสบภัยพิบัติอย่างรุนแรง
       
       "พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน มาใช้แก้ปัญหาน้ำท่วม เสมือนหนึ่งว่าเพื่อให้อำนาจกองทัพ เตรียมขนอาวุธยุทโธปกรณ์มารอตามจุดต่างๆ หวังยึดอำนาจ โค่นล้มรัฐบาล โดยเอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเครื่องมือ ดังนั้น กองทัพต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสถานการณ์น้ำท่วมทั้ง 5 จังหวัดด้วย...
       
       “การขอประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินคิดอะไรอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องการเอากำลังทหารออกมาแล้วก็ไม่ยอมกลับไปตอนน้ำลด หลังจากนั้นถามว่าจะทำอะไรกับรัฐบาลแค่อ้าปากก็เห็นแล้วว่าคุณคิดชั่วกันอย่างไร”
       
       อยากถาม “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ว่าพฤติกรรมอย่างนี้เป็นความพยายามให้ความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหา “น้ำท่วม” อย่างที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ “เสียงสั่น-น้ำตาคลอ” เรียกร้องให้ทุกฝ่ายคิดถึงผู้ประสบภัยหรือไม่... เลิกเล่นละครจะดีกว่าไหม ?
       
       เพราะไม่ว่าจะมองไปมุมไหนของพื้นที่น้ำท่วมก็เห็นแต่ “ทหาร” ทุกเหล่าทัพที่ช่วยประชาชนอย่างเต็มที่ ทำแบบไม่มีบ่น ไม่เห็นก็แต่ “แกนนำคนเสื้อแดง” นักต่อสู้เพื่อประชาชนผู้สูงส่งนั่นแหละ พอชาวบ้านเขาเดือดร้อนไม่รู้หายหัวไปมุดรูหางจุกตูดอยู่ที่โคกไหน
       
       ทั้งนี้ หลังจากคางคกพ่นน้ำลายเสร็จ มีข่าวว่าทีมงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายกฯ ระบุว่า... “ผบ.ทบ.รายงานนายกฯว่ากองทัพได้ส่งทหาร 30,000 นายลงช่วยน้ำท่วม ช่วยเต็มที่ ยืนยันไม่มีการปฏิวัติ” มันก็แหงล่ะ งานล้นมือขนาดนี้ ทหารเขาจะเอาปัญญาที่ไหนไปปฏิวัติ
       
       แต่การปรากฏตัวของ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ในฐานะที่ปรึกษา ผอ.ศปภ. มันก็น่าคิด และทำให้หลายฝ่ายมองว่ามีนัยทางการเมืองอะไรบางอย่างหรือไม่ เนื่องจากมีรายงานว่า “ทักษิณ ชินวัตร” เริ่มไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ไม่สามารถบริหารจัดการปัญหาอุทกภัยได้และไม่มีความชัดเจนในการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง โดยทักษิณค่อนข้างผิดหวังกับการทำงานของรัฐบาลน้องสาวซึ่งไม่เหมือนกับการทำงานของรัฐมนตรีชุด “บ้านเลขที่ 111” จึงได้สั่งให้สมาชิกบ้าน 111 เข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาครั้งนี้ด่วน
       
       ซึ่งนั่นอาจเป็นที่มาของ “คุณหญิงสุดารัตน์” ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยใน กทม. ที่ถูกส่งตัวให้มาช่วยกอบกู้สถานการณ์(รัฐบาลยิ่งลักษณ์)ในครั้งนี้
       
       และด้วยความล้มเหลวที่เกิดขึ้นมันส่งผลถึงความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ลดลงอย่าง “ฮวบฮาบ” ในขณะเดียวกันภาพการเสียสละของ “ทหาร” ก็สร้างความประทับใจให้กับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นทุกๆ วัน และเมื่อสถานการณ์เริ่มถดถอยแบบนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ต้องปรับกลยุทธ์อย่างฉุกละหุก นั่นคือ เร่งเดินเกมรุกทันที
       
       โดยล่าสุด กับการออกมาให้สัมภาษณ์สื่อออสเตรเลียเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพุ่งเป้าโจมตีไปที่กองทัพ ส่งสัญญาณให้เร่งแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อเปิดทางให้นักการเมืองเข้าไปล้วงลูกการโยกย้ายนายทหารได้สะดวก ขณะเดียวกันก็กล่าวหาว่ากองทัพเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย และผู้นำเสพติดอำนาจ
       
       แต่หากพิจารณาจากอารมณ์ของคนไทยในยามนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า “เห็นใจทหาร” มากกว่า “รัฐบาล” ดังนั้นคำพูดของทักษิณในยามนี้จึงไม่น่าเป็นผลดีเท่าไหร่นัก แต่คนอย่างทักษิณ ย่อมรู้ดีว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติคราวนี้เหนือความคาดหมาย ไม่อาจสร้างภาพทางการตลาดตบตาได้อีกต่อไป และในอนาคตก็ยิ่งเลวร้ายสารพัดปัญหาจะถาโถมเข้ามาหลังน้ำลด
       
       ดังนั้น การส่งสัญญาณรุกเข้ามาในกองทัพโดยการแก้ พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อรีบทำลายปราการด่านสุดท้ายที่ยังเหลือ โดยอาศัยเสียงข้างมากในสภาลากไป ประสานกับการส่งเสียงโวยวายในต่างประเทศเพื่อสร้างกระแส “รัฐประหาร” ในทางลบ แม้ว่าการทำแบบนี้จะเป็นความเสี่ยงสวนทางต่อความรู้สึกของคนไทยที่กำลังเดือดร้อนอยู่กับเรื่องน้ำท่วม แต่เพื่อความมั่นคงส่วนตัวและการรักษาอำนาจของครอบครัวเอาไว้ เสี่ยงยังไง “แม้ว” ก็ต้องทำ !

   
   

   



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 ตุลาคม 2554, 10:40:19
Crisis Management แบบ Dante’s Peak หรือ ID 4

โดย : บุญชัย ปัณฑุรอัมพร

เหตุการณ์น้ำท่วมวิปโยคครั้งใหญ่ในบ้านเมืองเรา ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด 2 เรื่อง ที่เคยชมแล้วเมื่อกว่าสิบปีก่อน

ก่อนอื่น ผมต้องบอกก่อนว่า บทความนี้ได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554 วันที่เหตุการณ์น้ำท่วมวิปโยคครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ซึ่งช่างละม้ายคล้ายคลึงกับบทภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด 2 เรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่า สิ่งที่เคยพบเห็นในภาพยนตร์เมื่อสิบกว่าปีก่อน วันนี้ได้กลายมาเป็นเรื่องจริง ที่พวกเราทั้งภาครัฐและผู้คนทั่วไป ต้องออกมาร่วมมือกันต่อสู้ เพื่อความอยู่รอดทั้งทางด้านชีวิต ทรัพย์สิน ตลอดจนการดำรงอยู่ต่อไปอย่างเป็นปกติสุขในอนาคต

Dante’s Peak แสดงนำโดย เพียร์ซ บรอสแนน และลินดา แฮมิลตัน เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แสดงถึงความโกลาหลของผู้คนในเมืองที่มีความสงบสุขมาช้านาน ด้วยความเป็นห่วงว่าภูเขาไฟจะระเบิดหรือไม่ จะช้าหรือเร็ว แต่ละระดับของผู้ปกครองท้องถิ่นในเมืองต่างก็ยังเป็นห่วงเรื่องของเศรษฐกิจ ธุรกิจต่างๆ การลงทุนใหม่ๆที่อยากให้มีความต่อเนื่อง ในขณะที่บางหน่วยงานกลับเป็นห่วงชีวิตและความปลอดภัยของผู้คนมากกว่า อยากจะบอกความจริง แต่ก็ยังคงไม่มั่นใจในข้อมูลต่างๆ ทำให้เกิดการถกเถียงกันด้วยข้อมูลที่มาจากต่างทิศทาง หลายหน่วยงานที่ทำงานผิดพลาด หละหลวม ไม่ยอมรับความจริง กลัวเสียหน้า ต่างก็โยนความผิดให้กัน กีดกันผู้ที่รู้จริงชำนาญจริงที่มีความสามารถ ไม่ให้เข้ามาช่วยเหลือด้วยกังวลเรื่องของการสูญเสียธุรกิจ อำนาจ รวมทั้งศักดิ์ศรี มีการแบ่งฝักแบ่ง ฝ่าย ไม่สามัคคีกัน ชาวบ้านได้รับข่าวสารสารพัด มีทั้งจริงและไม่จริง ถูกบ้างผิดบ้าง ข่าวลือก็มีทั้งสองด้าน การเตรียมตัวของผู้คนจึงมีทั้งสองด้าน ทั้งทางด้านตื่นตัวและด้านไม่ตื่นตัว สุดแล้วแต่ว่าใครจะเชื่อทางด้านไหน ในที่สุดภูเขาไฟเกิดปะทุและระเบิดขึ้นจริง ผู้คนที่เตรียมตัวดีก็ปลอดภัย ผู้ที่ประมาทก็สูญเสียชีวิต ผู้คนส่วนใหญ่หนีตายเอาตัวรอด ในขณะที่ผู้คนบางส่วนพยายามย้อนกลับเข้าไปช่วยผู้ที่อยู่ในเขตอันตรายที่เต็มไปด้วยลาวาที่พุ่งพวยออกมา 

คล้ายๆ กับเหตุการณ์ในบ้านเรา ด้วยความไม่เป็นเอกภาพในช่วงแรกของการแก้ปัญหาของทั้งภาครัฐ องค์กรต่างๆ จากหน่วยราชการ ข่าวสารต่างๆ ที่ยังไม่ตกตะกอน การให้ข้อมูลข่าวสารไปคนละทิศทางกระจายกันทั่วไปทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ รวมทั้งสื่อใน Social media ในรูปแบบต่างๆที่สื่อสารได้รวดเร็วยิ่งกว่าเหตุการณ์ในภาพยนตร์ ทำให้ผู้คนขาดทิศทางที่ชัดเจนเพื่อเตรียมตัวป้องกัน

ก่อนที่น้ำจะหลากไปในแต่ละพื้นที่ เป็นที่ถกเถียงกันว่าใครเป็นพวกตื่นตระหนกตกใจ ใครเป็นพวกใจเย็น ประมาท ชะล่าใจ อย่างกระต่ายตื่นตูมหรือกระต่ายแข่งกับเต่า วันนี้ หลายๆพื้นที่คงมีคำตอบกันแล้ว ไล่กันตั้งแต่ความสูญเสียรายบุคคล บ้านเรือน ไร่นา ห้างร้าน ตลอดจนโรงงานต่างๆในเขตนิคมอุตสาหกรรมใหญ่หลายแห่งที่จะมีผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจโดยรวม

Independence Day (ID 4) แสดงนำโดย วิลล์ สมิธ เจฟฟ์ โกลด์บลุม และบิลล์ พูลแมน เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงถึงความมีระบบการบริหารจัดการที่ดีในการต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวที่มาทำลายโลก ความสำเร็จของการต่อสู้ปกป้องโลกไม่ได้เกิดจากความสามารถของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ความสำเร็จในการแก้ปัญหาวิกฤตเฉพาะหน้าเกิดจากแต่ละคน แต่ละหน่วยงาน ที่มีความชำนาญเฉพาะเรื่องมาร่วมมือกัน มีการประสานงานที่ดีอย่างเป็นระบบ บทในภาพยนตร์แสดงให้เห็นว่าโลกจะไม่มีวันชนะมนุษย์ต่างดาวได้เลย ถ้าขาดนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถถอดรหัสที่คิดได้จากกระป๋องน้ำอัดลม ไม่มีวันชนะถ้าขาดนักบินผู้กล้าหาญและกองทัพฝูงบินที่ต้องช่วยกันเปิดทางให้เครื่องบินพิเศษบินเข้าใกล้จุดตายของศัตรู ไม่มีวันชนะถ้าขาดประธานาธิบดีที่เป็นนักพูด สร้างแรงจูงใจ สร้างศรัทธาและสร้างพลังให้ผู้คนออกมาร่วมต่อสู้ ตอนท้ายท่านผู้นำยังได้ขึ้นเครื่องบินออกรบเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้คนทั้งโลกด้วย และไม่มีวันชนะถ้าขาดคุณพ่อขี้เมาที่ดูเหมือนเป็นคนไร้ประโยชน์ ติดเหล้างอมแงม ยอมสละชีวิตขับเครื่องบินเข้าชนจุดยุทธศาสตร์ของ ยานแม่ของมนุษย์ต่างดาว

ความสามารถเล็กๆ น้อยๆ ของแต่ละคนที่ประกอบเข้าด้วยกัน ตลอดจนความเสียสละเพื่อส่วนรวม ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของการเปิดใจยอมรับซึ่งกันและกัน ฟังความเห็นและเสียงของทุกฝ่าย มีผู้นำในการตัดสินใจเลือกทางออกที่ดีที่สุด เป็นกระบอกเสียงเดียวที่พูดให้ผู้คนเชื่อมั่น ไม่สับสน  ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ฝ่ายที่เคยอยู่ตรงข้ามกันก็เข้ามาช่วยกัน ไม่หวังชื่อเสียง หน้าตา ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี ทุ่มเทแรงกายและใจในการปฏิบัติหน้าที่

ก็พอจะคล้ายๆ กับเหตุการณ์ในบ้านเมืองเราในขณะนี้เช่นกัน แค่ภาพของท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์และท่านอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ที่ร่วมมือกัน วิเคราะห์หาทางออกให้กับบ้านเมืองในวันนั้น ก็เป็นขวัญกำลังใจอันมหาศาลให้กับประชาชนทุกคน ภาพของท่านรองนายกฯ ร่ำไห้ กอดคอกับนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทแรงกายแรงใจของท่าน ใจหนึ่งก็ห่วงความปลอดภัยของลูกน้องที่ไปเสี่ยงภัย กับอีกใจหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องของเศรษฐกิจ ภาพของท่านผู้ว่า กทม.ที่ได้ขึ้นรถพร้อมกับทีมงานรัฐบาล แม้จะอยู่ต่างพรรคกัน ภาพของการประชุมที่หน่วยงานต่างๆได้เข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างขมักเขม้น ภาพของหน่วยงานทางทหารที่เข้ามา ช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งภาคเอกชนที่มีจิตอาสาเข้าช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อนกันเอง แม้ว่าจะทุลักทุเล ขาดๆเกินๆไปบ้าง แต่ก็แสดงถึงความมีน้ำใจของคนไทย ไม่ปล่อยให้รัฐบาลทำงานตามลำพัง
 แต่พวกเสื้อแดงออกมากีดกัน
หากใครจะเข้ามาช่วยต้องใส่เสื้อแดง ตามที่อจ.จุฬาออกมาเปิดเผย(เพิ่มเติมโดยผู้โพสต์)

กระแสแห่งความสามัคคี ปรองดอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เหล่านี้ได้เริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้นทุกๆ วัน สร้างความหวังเล็กๆ ระหว่างกันและหวังว่าทางการน่าจะเริ่มเดินมาถูกทางมากยิ่งขึ้น สามารถรวมศูนย์และให้ข่าวได้ดีขึ้น อย่าให้ผู้คนมาสบประมาทว่าน้ำท่วมใหญ่ปีนี้เกิดจากการบริหารจัดการที่ล้มเหลวมากกว่าความรุนแรงจากภัยธรรมชาติ

เหตุการณ์ในวันนี้ จะยังคงเป็นอย่างเรื่องราวในภาพยนตร์ Dante’s Peak หรือจะสามารถจัดการให้เรียบร้อยได้อย่างเรื่องราวใน ภาพยนตร์ ID 4 ต้องรอดูน้ำที่จะมาอีกระลอกใหญ่ในช่วงปลายเดือน และขอภาวนาให้ทั้งภาครัฐและประชาชนไม่เป็นกระต่ายทั้งสองแบบ แต่เป็นกระต่ายที่มีสติอย่างไม่ประมาทเป็นดีที่สุด

ชมภาพยนตร์กระทบเหตุการณ์บ้านเมืองแล้ว คงพอจะนึกกันออกนะครับว่า เวลาเกิด Crisis ที่ไม่คาดคิดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนแล้ว จะต้อง manage กันอย่างไร


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 ตุลาคม 2554, 11:26:31
สมาคมต้านโลกร้อนแนะปชช.ฟ้องรัฐสั่งการพลาดทำจมบาดาล
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 ตุลาคม 2554 12:20 น.    

      
สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนแนะประชาชนฟ้องศาลปกครองเรียกค่าเสียหายรัฐบาลและผู้สั่งการผิดพลาดในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมทำชาวบ้านจมบาดาล
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ต.ค.) สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน โดย นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมฯ ออกแถลงการณ์เรื่อง เรื่อง หากประชาชนที่ถูกน้ำท่วมเห็นว่าได้รับความเดือดร้อนและเสียหายอันเนื่องมาจากคำสั่งและความผิดพลาดในการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อผู้สั่งการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้
       
       แถลงการณ์ระบุว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าวิกฤตการณ์ปัญหา “น้ำท่วม” ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศ เกิดจากปัญหาที่หลายคนเชื่อว่าเป็นภัยตามธรรมชาติ ที่ไม่อาจป้องกันได้มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 54 ที่ผ่านมา แต่ระยะเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมาน่าจะเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับน้ำหนักของการใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็น “อุบัติภัย” ที่ไม่อาจป้องกันแก้ไขได้ตามกฎหมาย
       
       บัดนี้ระยะเวลาก้าวผ่านเข้าเดือนที่ 4 แล้วรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐมีระยะเวลามากพอที่จะเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่ทว่าก็ยังไร้ความสามารถในการจัดการปัญหาให้กับประชาชนได้ ทำให้ประชาชนนับล้านคนได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย ซึ่งรัฐบาลก็แสดงให้เห็นถึงการขาดเอกภาพในการบริหารสั่งการ มีการให้ข่าวผ่านสื่อสารมวลชนอย่างสับสน โดยขาดข้อมูล ข้อเท็จจริง สร้างความโกลาหล และหวาดผวาไปทั่วทุกพื้นที่เสี่ยงภัย แทบทุกวัน ในขณะที่บางพื้นที่ยังไร้การเหลียวแลจากภาครัฐ
       
       ทั้งนี้การบริหารข้อมูลของรัฐบาลสับสน การสื่อสารกับประชาชนไม่มีประสิทธิภาพ วันนี้บอกอย่าง วันพรุ่งนี้บอกอีกอย่าง วันนี้บอกประชาชนว่าป้องกันแก้ไขปัญหาได้แล้ว อีกวันกลับออกมาบอกว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ พร้อมขอโทษขอโพยประชาชน โดยไม่หันมาพิจารณาตัวเองว่าไร้ประสิทธิภาพในการบริหารหรือไม่
       
       ปัจจุบันแม้รัฐบาลจะอ้างการใช้อำนาจสั่งการตามมาตรา 31 แห่ง พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ในฐานะเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา แต่หากในการปฏิบัติการตามหน้าที่ดังกล่าวได้สั่งการไป โดยขาดข้อมูลที่แท้จริง ก่อให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่ควรจะถูกน้ำท่วมจนสร้างความเดือดร้อนและเสียหายต่อชาวบ้านไปจนเกินสมควรแก่เหตุ ถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผู้สั่งการย่อมมีความผิดและต้องรับผิดชอบต่อคำสั่งนั้น ๆ ทั้งทางแพ่งและทางอาญาด้วย
       
       ชาวบ้านหรือประชาชนท่านใด ครอบครัวใดที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายอันเนื่องมาจากคำสั่งของรัฐในการบริหารจัดการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐ หรือผู้ที่คิดว่าตนเองเสียหาย สามารถที่จะรวมตัวกันหรือแยกกันฟ้องรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อศาลปกครองได้ เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนต่อความเสียหายทางทรัพย์สินต่างๆ ได้สูงสุด ตามที่กฎหมายแพ่ง และกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยบัญญัติได้ เพราะการสั่งการใดๆ จำต้องมีความรับผิดชอบตามมาด้วย มิใช่เป็นการเอาชนะกันทางการเมืองเท่านั้น
       
       ผู้เดือดร้อนและเสียหายคนใดประสงค์จะร่วมฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากภาครัฐ
โปรดปริ๊นแบบฟอร์มหนังสือมอบอำนาจได้ที่ www.thaisgwa.com
เพื่อที่สมาคมฯจะได้เป็นผู้แทนดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนให้กับทุกท่าน ฟรี
โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ

   
      


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 ตุลาคม 2554, 15:55:22
                                ที่พึ่งของประชาชนยามนี้‏

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd533592_5518654_8362667_8624322photo.jpg)

                                   ที่พึ่งของประชาชนยามนี้‏


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 ตุลาคม 2554, 13:59:07
เก็บตกฉายา ศปภ. จากอินเตอร์เน็ทได้ดังนี้

ศปภ.=ศูนย์ปูสร้างภาพ
ศปภ.=ศูนย์ปกป้องภาพลักษณ์รัฐบาล
ศปภ.=ศูนย์ปัดสวะของภาครัฐ
ศปภ.=ศูนย์ทำเรื่องปั่นป่วนทุกภาคส่วน
ศปภ.=ศูนย์ประกาศภาษาต่างถิ่น (คนไทยฟังเลยไม่ค่อยเข้าใจ)
ศปภ.=ศูนย์ประชุมภัยลับ (จนไม่อาจเปิดเผยได้)
ศปภ.=ศูนย์ประจานภูมิปัญญาปู
ศปภ.= ศูนย์ปลอดประสบการณ์แก้ไขภัยพิบัติแห่งชาติ
ศปภ.= ศูนย์ไม่ประกันความปลอดภัยแห่งชาติ
ศปภ.= ศูนย์มั่วเป็นประจำและสร้างภาพแห่งชาติ
ศปภ.=ศูนย์ปปปสร้างภัย à ปปป = โป้(ประชา)ปด(ปลอดประสพ)มดเท็จ แต่บอกว่าเปล่า(ปู)
ศปภ.=ศูนย์ปูทะเลจัดการอุทกภัย
ศปภ.=ศูนย์ แปตอหลู(ผวน) แจ้งภัย
ศปภ.=ศูนย์สร้างปัญหาให้ภาคประชาชนและเอกชน
ศปภ.=ศูนย์สะเปะสะปะภัย
ศปภ.=ศูนย์ปกปิดข้อมูลภัยพิบัติ
ศปภ.=ศูนย์เปลี่ยนแปลงข้อมูลจน(กู)รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย
ศปภ.=ศูนย์เด็กเลี้ยงแกะประกาศภัยแห่งชาติ
ศปภ.=ศูนย์ปล่อยข่าวภัยพิบัติ
ศปภ.=ศูนย์สร้างความปั่นป่วนไปทุกภูมิภาค
ศปภ.=ศูนย์สร้างภาพลักษณ์และปกป้องบทบาทภาวะผู้นำ
ศปภ.=ศูนย์ปราศจากภัย
ศปภ.= ศูนย์ประเดิมภัณฑ์
ศปภ.=ศูนย์ปฏิบัติการก่อภัยแห่งชาติ
ศปภ.=ศูนย์ประกาศภัยมั่ว
ศปภ.=ศูนย์ชิงดีชิงเด่นเพื่อปฏิบัติการสร้างภาพ
ศปภ.=ศูนย์ประเมินสถานการณ์ตามภาพที่ฝันไว้
ศปภ.=ศูนย์ปั่นป่วนทั่วพิภพ

เก็บตกจบแล้วครับ



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: มีนา ที่ 24 ตุลาคม 2554, 14:04:57

อย่าเพิ่งจบเซ่...สืบต่ออีกนิดว่า ศปภ.จะย้ายไปชลบุรีรึป่าว
อุตส่าห์จองเป็น ศสต.นท.ก่อนแล้ว  emo19:((:  emo29:P:


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 ตุลาคม 2554, 19:32:36
อ้างถึง
ข้อความของ มีนา เมื่อ 24 ตุลาคม 2554, 14:04:57

อย่าเพิ่งจบเซ่...สืบต่ออีกนิดว่า ศปภ.จะย้ายไปชลบุรีรึป่าว
อุตส่าห์จองเป็น ศสต.นท.ก่อนแล้ว  emo19:((:  emo29:P:

คงไม่ย้ายหรอกครับ ชลบุรี
ถ้าถึงเวลา พวกนี้ต้องย้ายไป นอรอกอ  สถานเดียว ที่เหมาะสม กับพวกเขา


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 ตุลาคม 2554, 20:17:37
Thaiflood โวย “แก๊งแดง” ป้ายสีเรี่ยไรเงินบริจาค - “ณัฐวุฒิ” ด่าชาวเน็ตดีแต่เอาเท้าราน้ำ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 ตุลาคม 2554    

   


      
ASTVผู้จัดการ - ผู้ก่อตั้งกลุ่มไทยฟลัด โวยสื่อเสื้อแดงป้ายสี ตั้งกล่องบริจาคที่ดอนเมือง โชว์รูปยืนยัน ศปภ.ตั้งโต๊ะหน้ากลุ่มไทยฟลัด ไม่เคยได้เงินตรงนั้น ด้าน “ณัฐวุฒิ” ทำตัวเป็นองครักษ์ ศปภ.อ้างอาสาสมัครไม่มีใครบังคับ อยากมาก็มา ด่าชาวเน็ตมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ
       
       วันนี้ (24 ต.ค.) นายปรเมศวร์ มินศิริ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ไทยฟลัดดอตคอม (Thaiflood.com) ที่ก่อนหน้านี้ ประกาศถอนตัวจากการร่วมงานกับศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) ได้โพสต์ข้อความในเว็บไซต์ทวิตเตอร์ @iwhale ระบุว่า “เว็บเสื้อแดงลงข่าวโกหก ป้ายสีว่าไทยฟลัดตั้งกล่องรับบริจาคที่ดอนเมือง”
       
       ทั้งนี้ ได้โพสต์ภาพที่จับข้อความจากเว็บไซต์ไทยอีนิวส์ ซึ่งเป็นเว็บไซต์เครือข่ายคนเสื้อแดง สัมภาษณ์ผู้ใช้นามแฝง เจ.เจ.สาทร เจ้าของเว็บไซต์เครือข่ายคนเสื้อแดง ระบุว่า “ส่วนเรื่องที่คุณปรเมศวร์ เว็บไซต์ไทยฟลัด ถอนตัวจาก ศปภ.ไปแล้ว ก็โจมตีว่า ศปภ.เน้นเล่นพวกเสื้อแดงนั้น คุณเจ.เจ.สาทร บอกว่า ไทยฟลัด นอกจากทำเว็บ ก็มีแต่ ‘ตั้งกล่องบริจาค’ โดยเอาเงินเข้าเว็บไซต์อย่างเดียว ทำอย่างนี้ไม่สวย เสื้อแดงเขาอาสาเอารถมาขนของไปช่วยกระจายถุงยังชีพ เพราะรถทหาร ตำรวจ รถคุก รถไปรษณีย์ รถดั๊บเบิ้ลเอ รถอาสาสารพัด ก็ยังไม่ทัน”
       
       นายปรเมศวร์ โพสต์ข้อความชี้แจงว่า “หน่วยงานที่ตั้งโต๊ะหน้า Thaiflood ขอรับบริจาคเพื่อสนับสนุนอาสาสมัคร คือ ศปภ.เราไม่เคยได้เงินตรงนี้เลย” พร้อมกับภาพที่พบว่ามีกล่องรับบริจาค ระบุ กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี และตราสำนักนายกรัฐมนตรี ด้านล่างมีป้ายที่ทำจากฟิวเจอร์บอร์ด ระบุข้อความ “ขอเชิญชวน ... บริจาคเงิน/สิ่งของ ลงทะเบียนผู้มีจิตอาสา” ซึ่งพบว่าเป็นป้ายของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
       
       อีกด้านหนึ่ง ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปตรวจสอบไปที่หัวข้อข่าวในเว็บไซต์ไทยอีนิวส์ พบว่า อยู่ในหัวข้อ “ตู่+เต้น จัดเต็มโต้สลิ่ม:น้ำใจไม่แพ้ภัยน้ำลายท่วม” ซึ่งเป็นการกล่าวโจมตีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่ระบุว่า รัฐบาล กับ ศปภ.นำสิ่งของที่ประชาชนบริจาคมาแปะชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาคดีอาญาแผ่นดิน หรือนักการเมืองพรรคเพื่อไทย แล้วขนขึ้นรถคนเสื้อแดงไปแจกเฉพาะหมู่บ้านเสื้อแดงที่ถูกน้ำท่วม
       
       โดยเว็บไซต์ไทยอีนิวส์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ที่กล่าวโจมตีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากอินเทอร์เน็ต และแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ เอาสีข้างเข้าถูว่า

 อาสาสมัครที่ไปช่วยน้ำท่วมใส่เสื้อทุกสี แต่มีแนวคิดสนับสนุนคนเสื้อแดง ใครจะมาก็ได้ไม่มีใครบังคับ ส่วนกรณีรถบรรทุกติดธงสัญลักษณ์สีแดง เพราะแสดงสัญลักษณ์ ไม่ได้เลือกว่าจะให้สิ่งของเฉพาะคนเสื้อแดงเท่านั้น ส่วน นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เขียนข้อความห้ามเคลื่อนย้ายของบริจาค เพราะกำลังรอขนขึ้นรถ ส่วนรถบรรทุกติดรูป ส.ส.เข้ามาขนของ เป็นรถของ ส.ส.เองที่ต้องการนำสิ่งของไปบริจาคซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก
       
       
   
   
   


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 ตุลาคม 2554, 09:41:19
ยังไม่ทันไร รัฐบาลใหม่ ก็จะล่ามโซ่และคุกคามสื่อแล้ว

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

รัฐบาลนี้เข้ามาทำงานได้เดือนเศษๆ ก็ริเริ่มกระบวนการเข้าควบคุมสื่อมวลชน อย่างชัดแจ้ง

  ในรูปแบบการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550

 กระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้เสนอการแก้ไขเพิ่มเติม และโดยที่ไม่เป็นข่าวเป็นคราวอะไร คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา

 เนื้อหาสาระของการแก้ไขที่ยังไม่รู้ที่มาที่ไปนั้นสำหรับคนทำสื่อมายาวนาน อ่านปุ๊บก็รู้ปั๊บว่านี่คือการจงใจของผู้มีอำนาจทางการเมืองที่จะลิดรอนเสรีภาพของสื่อ

 ความเลวร้ายของสาระที่แก้ไขนั้นเลวร้ายไม่แตกต่างไปจากกฎหมายที่เกี่ยวกับสื่อของยุคเผด็จการในรูปแบบของ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 ที่ยกเลิกไปด้วยผลการตราใช้บังคับ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550

 ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้แปรรูปอำนาจเจ้าพนักงานการงานพิมพ์ จากกรมศิลปากร มาเป็นอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และให้อำนาจ ผบ.ตร. ในลักษณะ “ครอบจักรวาล” ที่ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากว่าจะเป็นการเปิดทางให้อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อทั้งสิ้น

 ในสังคมประชาธิปไตยนั้น เสรีภาพการแสดงออกของสื่อก็คือเสรีภาพของประชาชน ดังนั้น ความพยายามใดๆ ของนักการเมืองที่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ “คุ้มครอง” มาเป็นการ “ควบคุม” เสรีภาพของการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีของประชาชน ก็คือการเข้ายึดกุมอำนาจที่จะกำหนดว่าประชาชน ที่แสดงความเห็นอันไม่สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลนั้น จะถูกควบคุม ลิดรอน และกำจัดอย่างปฏิเสธไม่ได้

 บทแก้ไขเพิ่มเติมที่ตอกย้ำความเสื่อมทรุดของมาตรฐานเสรีภาพของสื่ออีกประเด็นหนึ่งคือการย้อนยุคกลับไปในระบอบเผด็จการที่จะต้องมีใบอนุญาตการพิมพ์

 และที่เลวร้ายไปกว่า พ.ร.บ. การพิมพ์ พ.ศ.2484 ก็คือการที่ต้องมีการต่อใบอนุญาตหรือหนังสือสำคัญแสดงการจดแจ้งการพิมพ์ทุก 5 ปี

 ที่น่าห่วงกังวลอย่างยิ่งสำหรับสังคมที่กำลังต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงก็คือ การที่สาระสำคัญของร่างแก้ไขนี้ยังให้อำนาจ ผบ.ตร. (และน่าจะเป็นประเด็นขัดแย้งสำคัญ) ที่จะออกคำสั่งห้ามพิมพ์ เผยแพร่ ส่งเข้าหรือนำเข้าเพื่อเผยแพร่ในราชอาณาจักร ซึ่งสิ่งพิมพ์หรือหนังสือพิมพ์ที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี (ถ้อยคำครอบจักรวาลของเผด็จการมาตลอด)

 นั่นย่อมแปลว่า ผบ.ตร. จะต้องเซ็นเซอร์หนังสือพิมพ์ก่อนตีพิมพ์
จึงจะวินิจฉัยได้ว่าสมควรใช้อำนาจออกคำสั่งห้ามเผยแพร่ หรือปิดหนังสือพิมพ์หรือไม่

 ประเด็นเรื่องสถาบันกษัตริย์นั้น ย่อมเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วว่า เป็นเพียงเรื่องบังหน้าของผู้ที่ต้องการจะกลั่นแกล้งและคุกคามเสรีภาพของผู้อื่นที่ไม่เห็นพ้องกับตนเท่านั้น

 เพราะความผิดฐานหมิ่นสถาบันนั้นมีกำหนดเอาไว้ในประมวลกฎหมายอาญาอยู่แล้วอย่างครบถ้วน

 การอ้างถึงประเด็น “ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี” นั้น สามารถตีความได้กว้างขวาง และรัฐบาลเผด็จการในอดีตได้ใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่คุกคามหรือถึงขั้นปิดหนังสือพิมพ์ที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามหรือที่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา

 เผด็จการย่อมอ้าง “ความมั่นคงแห่งรัฐ” ทั้งๆ ที่หมายถึง “ความมั่นคงของรัฐบาล” เพื่อรักษาอำนาจและจัดการกับผู้ที่มีความเห็นต่างเสมอมา

 หากร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมนี้ผ่านสภาออกมาใช้ได้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็จะเป็นผู้มีอิทธิพลต่อผู้ประกอบวิชาชีพสิ่งพิมพ์อย่างยิ่ง...และยิ่งกว่า “เจ้าพนักงานการพิมพ์” ตามกฎหมายเดิมที่รัฐมนตรีมหาดไทยแต่งตั้งให้อธิบดีกรมตำรวจ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาลเป็นเจ้าพนักงานการพิมพ์ในกรุงเทพฯ และผู้ว่าราชการจังหวัดในต่างจังหวัด

 ความผิดที่ระบุไว้ในร่างใหม่นั้น โทษทางอาญาสำหรับผู้ฝ่าฝืนคำสั่งของ ผบ.ตร. กรณีสั่งห้ามพิมพ์ เผยแพร่สิ่งพิมพ์ที่กระทบต่อสถาบัน ความมั่นคงของชาตินั้น คือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

 ธาตุแท้ของนักการเมืองนั้นแม้จะป่าวประกาศหาเสียงว่าต่อสู้เพื่อ “ประชาธิปไตย” ของประชาชน แต่เมื่อได้อำนาจมาแล้วก็เริ่มปฏิบัติการที่จะกุมอำนาจทุกอย่าง รวมถึงการกำหนดว่าประชาชนจะแสดงความเห็นได้เฉพาะที่สอดคล้องกับที่ผู้มีอำนาจต้องการเท่านั้น

 จากหลักการของสังคมศิวิไลซ์ที่จะ “คุ้มครอง” มาเป็น “ควบคุม” เพราะต้องการ “คุกคาม” อย่างปฏิเสธไม่ได้

 คนทำสื่อที่ปกป้องเสรีภาพของประชาชนอย่างมุ่งมั่นมาตลอด และได้ต่อสู้กับเผด็จการที่ลิดรอนเสรีภาพของการแสดงความเห็นของคนไทย อย่างเป็นเอกภาพตลอดประวัติศาสตร์ของประเทศมา...

 เชื่อเถอะว่าสังคมไทยจะลุกขึ้นต่อสู้กับกลุ่มผู้บ้าอำนาจอย่างเต็มภาคภูมิอีกวาระหนึ่ง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 ตุลาคม 2554, 22:21:37
อ้างถึง
ข้อความของ มีนา เมื่อ 24 ตุลาคม 2554, 14:04:57

อย่าเพิ่งจบเซ่...สืบต่ออีกนิดว่า ศปภ.จะย้ายไปชลบุรีรึป่าว
อุตส่าห์จองเป็น ศสต.นท.ก่อนแล้ว  emo19:((:  emo29:P:


มาอีกครับตามคำเรียกร้องของหมอนี้

คำศัพท์แบบปู ๆ
1. “นโยบายเร่งด่วน” แปลว่า “นโยบายที่ออกอย่างเร่งด่วนค่า”
2. “เริ่มทำได้ทันที” แปลว่า “เพิ่งเริ่มคิดจะทำเดี๋ยวนี้เองค่า”
3. “ต้องหารือกันในทุกภาคส่วน” แปลว่า “มีอะไรก็ไปหารือกันเอาเองค่า”
4. “ต้องดูในรายละเอียด” แปลว่า “ดิชั้นไม่ทราบอะไรเลยค่า”
5. “ต้องดูวิธีปฎิบัติก่อน” แปลว่า “ทำไปแล้วเดี๋ยวก็รู้เองค่า”
6. “ต้องปรับจูนทำความเข้าใจ” แปลว่า “ไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจนะค้า”
7. “ได้มอบหมายให้ไปศึกษารายละเอียด” แปลว่า “ก่อนทำไม่ได้คิดมาก่อนเลยค่า”
8. “ต้องปรึกษาหารือในพรรค แปลว่า” “รอโพยจากพรรคค่า”
9. “ทางรัฐบาลไม่ได้คุยกันในเรื่องนี้” แปลว่า “เหลิมจัดการไปแล้วค่า”
10. “มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง แปลว่า “ใช้ศัพท์แสงดูแล้วฉลาดดีมั้ยค้า”
11. “ต้องแก้ไขในระยะยาว” แปลว่า “รอรัฐบาลหน้านะค้า”
12. “ขอเวลาดิชั้นทำงานก่อนค่า” แปลว่า “คำถามนี้เดี๋ยวพรุ่งนี้มาตอบให้ค่า”
13. นิ่ง ไม่ตอบ แปลว่า “เมมหน้ากับช่องไว้แล้วนะค้า เดี๋ยวจัดให้ค่า”


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 ตุลาคม 2554, 22:26:21
ข้อสอบชั้นประถม ความรู้ประเทศในแถบเอเชีย
ของรร.แห่งหนึ่งในประเทศเวียดนาม
ครูถาม

1.ประเทศใดร่ำรวยที่สุดในเอชีย....นักเรียนตอบ จีน
2.ประเทศใดประชาชนยากจนที่สุด ,,,,,,,,,,,,,,,, กัมพูชา
3.ประเทศใดประชากรโง่ที่สุด ,,,,,,,,,,,,,,,, ไทย
ครูแปลกใจในคำตอบ ถามว่าเพราะอะไร

เด็กทุกคนแย่งกันตอบ "เพราะพวกเขาเลือกคนโง่มาบริหารประเทศจนล่มจม
ทั้งคน และหมู หมา กา ไก่ ไม่มีที่จะซุกหัวนอน พวกหนูดูจากNet ทุกวันเห็นทุกวันเลยคะ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 ตุลาคม 2554, 22:47:24
สื่อเวียดขำ “ปูแสนซื่อ” เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ถ่อบูตเบอร์เบอร์รีเยี่ยมน้ำท่วม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 ตุลาคม 2554 16:59 น.    
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd570424_6126898_5651513_4717368photo.jpg)

ภาพคลาสสิค -- นายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่ง "ดูจะไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร" สวมรองเท้าบู๊ตราคาแพงลุยน้ำเยี่ยมเยือนราษฎรผู้ประสบภัย แถมยังเผยแพร่ภาพบาดตาบาดใจเหล่านี้ผ่านทางเฟซบุ๊ค ซึ่งสร้างความขุ่นเคืองใจให้ประชาสังคมออนไลน์ และนำมาซึ่งการวิพากษณ์วิจารณ์อย่างหนัก ขณะที่ความนิยมของรัฐบาลกำลังถูกพัดหายไปกับสายน้ำ.-- Đất Việt.
       
ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- สื่อเวียดนามทึ่งนายกฯ ไทยยิ่งลักษณ์ ชินวัตรสวมบูตลายสก๊อตคู่ละเฉียดหมื่น ไปเยี่ยมเยือนราษฎรที่บ้านเรือนจมมิดน้ำทั้งชี้ว่าความนิยมของรัฐบาลกำลังถูกพัดพาไปกับสายน้ำ เนื่องจากล้มเหลวในการป้องกันเมืองหลวง ขณะเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหึ่งไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกระบวนการตัดสินใจที่ล่าช้า แก้ปัญหาตอนสายเกินแก้
       
       หนังสือพิมพ์ออนไลน์ “เดิ๊ตเหวียด” (Đất Việt) รายงานเรื่องนี้ในวันอังคาร 25 ต.ค. พร้อมตีพิมพ์รูปภาพนายกรัฐมนตรีไทยกับรองเท้าบู๊ตคู่งาม ที่เผยแพร่ผ่านสังคมออนไลน์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้
       
       “แม้ว่ายิ่งลักษณ์จะไปเยี่ยมเหยื่ออุทกภัย ความพยายามดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอที่จะกอบกู้ภาพลักษณ์ ซ้ำยังทำให้ตัวเองสับสนมากยิ่งขึ้น” เดิ๊ตเหวียด กล่าว
       
       “เมื่อออกเยี่ยมเยือน นายกฯ หญิงที่ -- ดูเหมือนว่าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก -- สวมรองเท้าบูตเบอร์เบอร์รีที่มีสีสันราคาประมาณ 225 ดอลลาร์ และยังโพสต์รูปภาพการออกภาคสนามครั้งนี้ผ่านทางเฟซบุ๊กอีกด้วย ซึ่งได้สร้างความแค้นเคืองให้กับผู้ที่เข้าชมพบเห็น และยังทำให้ผู้คนใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาตัดสินทัศนคติของเธอออกมาเป็นระลอกๆ” สื่อออนไลน์ภาษาเวียดนาม กล่าว
       
       น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงความลังเลใจอย่างยิ่งและใช้เวลามากจนเกินไปในการดำเนินการ และก่อนจะตัดสินใจสื่อสารกับพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้าน ร่วมกันออกสำรวจน้ำท่วมในเขตเมืองหลวง แต่ระดับก็ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
       
       นายกฯ หญิงของไทย ประกาศให้ประชาชนชาวกรุงเทพฯ มีความมั่นใจ โดยรัฐบาลจะสร้างทางระบายน้ำออก แต่เมื่อแผนการป้องกันชั้นต้นล้มเหลวในวันที่ 20 ต.ค.ยิ่งทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ตัดสินใจลำบากมากขึ้นไปอีก ก่อนจะแสวงหาความร่วมมือจากทางการกรุงเทพมหานคร ในการผันน้ำผ่านบริเวณเมืองหลวงไปลงทะเล
       
       อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการระบายน้ำผ่านย่านรอบนอกของกรุงเทพฯ ย่อมหมายถึงน้ำจะไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือนของราษฎรจำนวนมาก คนเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ลงคะแนนเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย
       
       และในที่สุด นายกฯ หญิง ก็ออกประกาศยอมรับว่า น้ำไหลบ่าเข้ามาทุกทิศทุกทางจนไม่อาจจะควบคุมได้ รัฐบาลจะออกเตือนล่วงหน้าเพื่อให้ประชาชนได้อพยพโยกย้ายเพื่อรักษาชีวิต สื่อออนไลน์เวียดนามกล่าว
       
       เดิ๊ตเหวียด ยังอ้างรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศที่สอบถามความเห็นของนักวิชาการต่อความนิยมของรัฐบาล รวมทั้ง นายธิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ลงความเห็นว่า “ยิ่งลักษณ์จะต้องเรียนรู้อีกมาก”



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 ตุลาคม 2554, 22:55:10
เธอ..เจ้าของมันสมองแพง ( เพราะมีน้อย)

เมื่อเธอบอกว่า...รถคันแรก... อุตสาหกรรมยานยนต์จมน้ำทันที...
.เมื่อเธอบอกว่า ...จะขึ้นค่าแรง แรงงานก็ตกงานทันที....
..เมื่อเธอบอกว่า...จะเปิดจำนำข้าว นา แทบทุกนา...จมอยู่บาดาล..
...เมื่อเธอบอกว่า...บ้านหลังแรก คนหลายหมื่นไม่มีบ้านจะ อยู่.....
..เมื่อเธอบอกว่า...จะแจกแทปเลตเด็กป.1 ท่านศาสดาจ๊อปจากไปอย่างไม่ หวนกลับ.
....เมื่อเธอประกาศจะสร้างความปรองดอง ลิ่วล้อก็โหมไฟสร้างความแตก แยก...
...เมื่อเธอบอกว่าจะถมทะเล แต่ทะเลไม่ยอม..น้ำจึงท่วมทั้งประเทศ...
... เมื่อเธอประกาศจะลดค่าครองชีพ บัดนี้ค่าครองชีพพุ่งขึ้นไป 2 เท่าตัว...
...เมื่อเธอ ประกาศว่า "เอาอยู่ นิคม 7 แห่งก็แตกพ่าย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 ตุลาคม 2554, 22:11:06
นิทานก่อนนอน เพื่อให้หลับสนิท

ตักขี้คิด..ปูเน่าทำ

ตักขี้ " คนไทยด่าพี่ว่า จะไม่มีแผ่นดินอยู่"

ปู เน่า"แล้วพี่คิดอะไรไว้"

ตักขี้ " ก็ต้องทำให้พวกมันไม่มีแผ่นดินอยู่กันบ้างสิ"

ปูเน่า " แล้วต้องทำอย่างไร"

ตักขี้" ให้ไอปลอดประสบการณ์กักน้ำในเขื่อน
       ไอ้เตี้ยปิดประตูน้ำ
     ส่วนแก เอ๋อ เอ๋อ ไม่ต้องทำอะไร
    ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนของพี่"

ปู เน่า" อย่างนี้พวกมันก็จะไม่มีแผ่นดินอยู่ ไม่มีที่ซุกหัวนอน
          ทั้งคน ทั้งหมู หมา กาไก่ ใช่ไหมคะ"

ตักขี้  " เฮ่ย แกนี่ฉลาดกว่าที่ชาวบ้านคิดนะนี่ 555"
ปู เน่า     " 5555

ปูเน่า "แต่ว่า มันมี เสื้อแดง รวมอยู่นั้นด้วยนี่นาพี่จ๋า พี่ไม่เป็งห่วงเค้ากันเหรอ เค้ารัก เค้าหลง เค้าทุ่มเท เค้าศรัทธา พี่ยิ่งกว่าพระเจ้าอีกนา"

ตักขี้ "แล้วมันเป็งพ่อเมิงเหรอ?"

ปูเน่า "อ้าว..... ไม่ใช่"

ตักขี้ "ถูกต้อง พวกมันก็เป็นแค่ไพร่ ควายที่เราเอาไว้ไถนา พอมันแก่ เราก็เชือดมันเอาเนื้อไปขาย แกคิดจะกราบ บูชา ไพร่ เหรอ เหอ ปูเน่า"


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 ตุลาคม 2554, 23:11:03
ปูหัวทิ่มน้ำ...อาจไปเร็วกว่าที่คิด

  posttoday.com  26 ตุลาคม 2554 เวลา 07:26 น. |
   

ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครแม้แต่รัฐบาลปฏิเสธแล้วว่า กทม.น้ำจะไม่ท่วม
หลังจากมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าน้ำจำนวนมหาศาลได้ไหลถล่มพื้นที่บางจุดแล้ว

โดย...ทีมข่าวการเมือง

ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครแม้แต่รัฐบาลปฏิเสธแล้วว่า กทม.น้ำจะไม่ท่วม หลังจากมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าน้ำจำนวนมหาศาลได้ไหลถล่มพื้นที่บางจุดแล้ว ไม่ว่าเขตบางพลัด วิภาวดีรังสิต ไม่เว้นแต่ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เอง ที่สั่งย้ายของชั้นหนึ่งกันจ้าละหวั่น

ขณะเดียวกัน เดือน ต.ค. ที่กำลังหมดไปถือว่าเป็นช่วงมหาวิกฤตที่สุดของรัฐบาล เนื่องจาก “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ไม่ได้คาดคิดมาก่อนพลันที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งประมาณ 34 เดือน ว่าจะมาเจอกับโจทย์น้ำท่วมประเทศไทยอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้

เวลาฮันนีมูนหมดอย่างรวดเร็วพร้อมกับสายน้ำที่หลากมา ประหนึ่งเป็นการพิสูจน์ว่ารัฐนาวาที่นำโดยผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองราว 40 วัน ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งจะไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่

สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้ คือ “ของจริง” ที่ยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญ

วาทกรรม “น้ำไม่ท่วม กทม.” ได้ถูกผลิตซ้ำโดยรัฐบาลหลายต่อหลายครั้ง ด้านหนึ่งรัฐบาลอาจเจตนาดีไม่ต้องการให้ประชาชนตระหนก แต่ในทางกลับกันได้เป็นการปกปิดความจริงบางประการจนเกิดความเสียหายอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ผลที่ตามมา กทม. เส้นเลือดใหญ่ของประเทศ กำลังเข้าสู่ภาวะคับขันถึงขีดสุด

กทม. ณ เวลานี้เป็นศูนย์กลางในการกระจายความช่วยเหลือให้กับผู้ประสบภัยในภูมิภาค ไม่ต่างอะไรกับการเป็นหัวใจสำคัญของการนำประเทศไทยผ่านวิกฤตครั้งนี้

โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จะผลักดันน้ำใน กทม.ลงทะเลอย่างไร แต่ยังมีวิกฤตแวดล้อมที่เกิดตามมาเป็นลูกโซ่จำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดมาจากความผิดพลาดของยิ่งลักษณ์เอง

ตัวอย่างในกรณีนี้สะท้อนได้จากภาวะขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคและน้ำดื่ม เกิดปรากฏการณ์ประชาชนกักตุนสินค้าและน้ำดื่มจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งกว่าการกักตุนสินค้าในช่วงเหตุการณ์จลาจล กทม. เมื่อปี 2553

ทำไมรัฐบาลถึงได้ปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นทั้งที่ในช่วงปลายรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ได้มีสัญญาณบ่งชี้แล้วจากการเกิดอุทกภัยหลายจุด โดยเฉพาะภาคเหนือ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องมาถึงในฤดูมรสุมช่วงปลายปี

ยิ่งไปกว่านั้นพรรคเพื่อไทยสมัยเป็นฝ่ายค้านได้เคยโจมตีการแก้ไขน้ำท่วมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่า “ไม่มีประสิทธิภาพ” จึงน่าจะเป็นบทเรียนสำคัญที่ไม่ควรให้ซ้ำรอย

แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลจริงกลับไม่มีการวางมาตรการรับมือเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดความโกลาหล

สุดท้ายผลที่ตามมาก็เป็นอย่างที่เห็น กว่าที่ยิ่งลักษณ์จะสั่งให้กระทรวงพาณิชย์หามาตรการป้องกันสินค้าขาดแคลนอย่างเป็นรูปธรรม จนมาสู่การสั่งนำเข้าสินค้าบางรายการจากต่างประเทศ หรือการตั้งสถานที่พิเศษเพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าก็สายไปเสียแล้ว เหมือนลักษณะ “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้”

ไม่มีหลักประกันใดๆ ทั้งสิ้นที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถผ่านวิกฤตนี้ได้ไปพร้อมกับรัฐบาลอย่างที่ได้ประกาศไว้ ทั้งหมดได้ถูกสะท้อนออกไปสู่สายตาชาวโลกผ่านมุมมองของสื่อต่างประเทศหลายสำนัก อันเป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลไทยภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารจัดการน้ำ ส่งผลให้การฟื้นฟูความเชื่อมั่นยากขึ้นเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน สิ่งที่ยิ่งลักษณ์เลือกทำมากที่สุดในระยะนี้กลับเป็น “การบริหารภาพลักษณ์” เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีภาวะผู้นำ

นายกฯ ยิ่งลักษณ์ใช้แนวทางมอบหมายให้บรรดารองนายกฯ และรัฐมนตรีเข้ามาบริหารสถานการณ์ หรือการตั้งคณะกรรมการเกี่ยวกับน้ำหลายคณะ โดยหวังว่าจะช่วยลดแรงเสียดทานให้กับตัวเอง ในฐานะที่ได้มอบหมายให้คณะบุคคลเหล่านั้นทำงานแล้ว

พร้อมกับทำงานผ่านสื่อมวลชนในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ตัวเอง เช่น การลงพื้นที่น้ำท่วมทั้งบนฟ้าและบนดิน

ทว่าการลงพื้นที่ดังกล่าว การมอบหมายให้รองนายกฯ หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่ข้อเสนอของคณะกรรมการผันน้ำเกี่ยวกับการเปิดเส้นทางระบายน้ำใหม่เพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงและความสูญเสียให้กับ กทม. กลับไม่ได้ช่วยเสริมสร้างให้ยิ่งลักษณ์กล้าพอที่จะตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์ใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ภาวะแบบนี้นำมาสู่การลอยตัวจากปัญหาทั้งหมด และแจงปัญหาต่อสาธารณชนซ้ำไปซ้ำมา “น้ำเหนือประมาณหมื่นล้านลูกบาศก์เมตรเข้ามายากต่อการแก้ไข” มีจุดประสงค์ต้องการให้ประชาชนเข้าใจว่าน้ำท่วมที่เกิดขึ้นมีปัจจัยจากธรรมชาติ ไม่ใช่การบริหารจัดการของมนุษย์

ครั้นพอมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงมากขึ้น นายกฯ ก็ประกาศถืออาญาสิทธิมาตรา 31 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวบอำนาจทั้งหมดมาไว้ที่นายกฯ แต่เพียงผู้เดียว แต่ถึงเวลานี้ยังไม่มีอะไรดีขึ้นมาเพราะการเลือกเด็ดขาดในช่วงที่สถานการณ์บานปลายได้สายไปเสียแล้ว

นอกจากนี้ ระยะเวลาน้ำท่วมจะกินเวลานาน 4-6 สัปดาห์ ตามที่ยิ่งลักษณ์ระบุ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทุกอย่างก็จะโหมพุ่งใส่ “ยิ่งลักษณ์” อย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องของการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้คนที่ประสบอุทกภัย อาทิ อาหารการกิน ที่เวลานี้มีการกักตุนจนสินค้าขาดตลาด รวมทั้งที่อยู่อาศัย การว่างงาน อีกสารพัดที่จะตามมา

ระยะเวลาจากนี้ไป ยิ่งลักษณ์จึงตกอยู่ในลักษณะหัวทิ่ม เจียนจมน้ำอยู่รอมร่อ หากไม่สามารถโชว์วิชัน แก้ไขปัญหาให้รวดเร็วและสัมฤทธิผลกว่านี้ นายกฯ หญิงคนแรกของประเทศอาจต้องไปเร็วกว่าที่คิด

 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 ตุลาคม 2554, 23:07:15
สื่อเมืองผู้ดีตีข่าวนายกฯหญิงไทยสวมรองเท้าบูทสุดหรูเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd597699_7707869_2057216_3820909photo.jpg)
สื่อผู้ดีจวกปูสวมบูทหรูเยี่ยมชาวบ้าน

"เทเลกราฟ"หนังสือพิมพ์ในอังกฤษ ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของไทย
กำลังเผชิญกับแรงกดดันครั้งใหญ่จากสังคมไทย ในการทำหน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)
 ที่ขาดความน่าเชื่อถือ จากการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่มีการแจ้งข้อมูล
และการเตือนภัยเหตุน้ำท่วมที่ค่อนข้างสับสนขัดแย้งกับข้อเท็จจริงหลายครั้ง
จนส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทย กรุงเทพฯกำลังเผชิญน้ำท่วมครั้งใหญ่
ถือเป็นอุทกภัยที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 50 ปี
สื่อสิ่งพิมพ์ชื่อดังรายนี้ยังระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสม
 และความไม่คำนึงถึงกาลเทศะ จากการเลือกสวมใส่รองเท้าบูทราคาเรือนหมื่นของแบรนด์สุดหรูอย่างเบอเบอร์รี่
 ออกไปเยี่ยมบรรดาผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่กำลังใช้ชีวิตด้วยความลำบาก
สื่อประเทศ หลายสำนักรายงานตรงกันว่า เหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ในไทยส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 370 ราย ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่กรุงเทพฯเมืองหลวงของไทย ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่กว่า 10 ล้านคน กำลังสุ่มเสี่ยงที่จะถูกน้ำท่วมสูงถึง 1.5 เมตรในหลายพื้นที่.
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 ตุลาคม 2554, 18:24:26
มาชมวิถีชีวิตไทย...ยามน้ำนอง

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd142304_2791784_4099495_7376024photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd181073_9214068_3650646_3993573photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd209136_9569801_3963569_9260916photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd807193_4791828_1235916_8575549photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd458147_8478976_2126807_9390111photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd545246_2375405_5277315_3114106photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd100030_4276124_7431776_8264624photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd14058_8763132_9401062_3973604photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd398217_8245864_5946319_2924278photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd657540_1582979_6036056_5960688photo.jpg)







หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 ตุลาคม 2554, 18:50:06
"ชูชาติ"กร่างโวยกรมชลฯ-กทม.

   posttoday.com  27 ตุลาคม 2554
มท.2 โชว์กร่าง โวยกรมชลฯ-กทม.ระบายน้ำ ลั่นไม่กลัวใคร ด้านกรมชลฯติด3เครื่องสูบน้ำยักษ์ผันน้ำด้านตะวันออก

เมื่อวันที่  27 ต.ค. นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน และ นายอุเทน ชาติภิญโญ ประธานคณะกรรมการผันน้ำลงสู่ทะเล ของศูนย์ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) พร้อมคณะ ได้เดินทางมาตรวจระดับน้ำที่สถานีสูบน้ำ คลองแสนแสบ-หนองจอก เพื่อหารือแนวทางในการผันน้ำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสุเทพและนายอุเทนกำลังปรึกษาแนวทางดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำและผันน้ำ นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย ได้เดินทางเข้ามาด้วยอาการมึนเมาและมีกลิ่นแอลกอฮอล์ พร้อมโวยวายด้วยถ้อยคำที่หยาบคายถึงวิธีการระบายของกรมชลประทาน พร้อมทั้งกล่าวว่ากทม.เห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมระบายน้ำไป ทำให้พื้นที่จ.ปทุมธานีต้องจมน้ำ

ด้าน นายสุเทพพยายามจะอธิบายถึงวิธีการ แต่นายชูชาติไม่ยอมฟัง พร้อมตอบกลับว่า อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องน้ำ และย้ำด้วยว่า เอาควายๆมาบริหาร อีกทั้ง สูบน้ำจากฝั่งคลองที่มาจากอ.ธัญบุรี ก็ไหลเป็นเยี่ยว

อย่างไรก็ดี นายอุเทน ก็พยายามชี้แจง แต่นายชูชาติก็ยังไม่ฟังอีก พร้อมสั่งให้ปฏิบัติตามที่นายชูชาติต้องการ และกล่าวอย่างเสียงดังกล่าวด้วยว่า กูไม่กลัวใคร จากนั้น ก็ได้เดินไปที่แท่นเครื่องสูบน้ำที่ติดตั้งเสร็จ และยืนสูบบุหรี่พร้อมเรียกให้นายสุเทพเข้าไปพบ แต่จากนั้นนายชูชาติก็หายตัวไป   

นายสุเทพ กล่าวว่าขณะนี้กรมชลประทานกำลังพยายามหาทางบายพาส พื้นที่บริเวณคลอง 6วาสายล่างเป็นทางด่วนในการระบายน้ำ โดยจะใช้คลองบึงฝรั่ง ซึ่งเป็นคลองธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่ในแขวงหนองจอก เขตกระทุ่มลาย กรุงเทพมหานคร เป็นทางระบายน้ำให้ลงสู่คลองแสนแสบ โดยมีระยะทาง 1.76 กม. พร้อมทั้งมีการขยายคันเดินออกไปเพื่อเพิ่มทางให้น้ำที่จะระบายออกมา

ด้านนายอุเทน กล่าวว่า เบื้องต้นจะใช้คลอง 6 วาล่าง เป็นพื้นที่รับน้ำ ก่อนจะสูบออกไปยังคลอง 13 เข้าหนองจอกระบายลงสู่คลองแสนแสบ และใช้คลองบึงฝรั่งเพื่อระบายไปยังคลองแสนแสบเช่นกัน

ทั้งนี้ ได้มีการประสานนำเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่มา 3 เครื่อง โดยจะทำการติดตั้งได้ในวันพรุ่งนี้ (28ต.ค.) อย่างไรก็ดีขอวิงวอนให้หน่วยงานที่กั้นน้ำอยู่ด้านบนคลองระพีพัฒน์ ให้หยุดดำเนินการก่อน เนื่องจากต้องการสูบน้ำที่รับมาก่อนหน้าบริเวณคลอง 6 วา ให้ลดลงก่อน

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าพื้นที่ที่อยู่เหนือคลองระพีพัฒน์ น้ำจะลดลงอย่างแน่นอน รวมถึงพื้นที่รังสิตและสายไหม


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 ตุลาคม 2554, 10:48:01
สองพี่น้อง สองแบบภาวะผู้นำ หนึ่งผลลัพธ์
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    28 ตุลาคม 2554 21:52 น.    

   
   โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
       
       ภาวะผู้นำในการบริหารประเทศหรือบริหารองค์การอาจมีหลากหลายแบบ แต่ละแบบส่งผลต่อความสำเร็จของการปฏิบัติงานแตกต่างกัน รูปแบบภาวะผู้นำบางอย่างอาจใช้ได้ดีโดยมีข้อจำกัดด้านบริบทน้อย เช่น ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ขณะที่บางรูปแบบอาจใช้ได้ดีในบางบริบท แต่อาจไร้ประสิทธิผลอย่างสิ้นเชิงเมื่อบริบทเปลี่ยนไป เช่น ภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมใช้ดีเมื่อผู้ตามมีปัญญาและความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงาน แต่จะไร้ประสิทธิผลหากผู้ตามมีความจำกัดด้านปัญญาและไม่รับผิดชอบ
       
       แต่จากการเฝ้าสังเกตผู้นำในสังคมไทย ผมพบปรากฎการณ์อย่างหนึ่งเกี่ยวกับภาวะผู้นำของประเทศ นั่นคือมีภาวะผู้นำสองแบบซึ่งมีคุณลักษณะความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในการบริหารปกครองประเทศ แต่ทว่ากลับสร้างผลลัพธ์จากการบริหารเหมือนกันนั่นคือความเสียหาย ล่มสลาย หายนะของประเทศ หากประเทศใดก็ตามได้ผู้นำทั้งสองแบบนี้บริหารประเทศ ในท้ายที่สุดประเทศนั้นก็อาจจะพบกับชะตากรรมอันเลวร้ายเหมือนกัน
       
       ภาวะผู้นำดังกล่าวมีเกณฑ์การพิจารณาสองประการคือ คุณลักษณะด้านความฉลาด และคุณลักษณะการใช้อำนาจ คุณลักษณะด้านความฉลาดเป็นความสามารถในการมองภาพรวมของประเทศ สามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาของประเทศได้ เป็นผู้ที่สามารถเข้าใจและจับใจความสำคัญของประเด็นปัญหาต่างๆได้รวดเร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ค้นคว้าหาแนวทางใหม่ๆในการบริหารประเทศ ส่วนคุณลักษณะการใช้อำนาจเป็นความกล้าในการใช้อำนาจเพื่อจัดการกับความขัดแย้งภายในองค์การหรือการปฏิบัติงาน และความกล้าเสี่ยงในการทำสิ่งที่ผู้อื่นคาดไม่ถึงเพื่อจัดการกับการคุกคามหรือเพื่อการพัฒนา
       
       ผู้นำประเทศคนแรกซึ่งเป็นพี่ชาย เป็นคนที่มีความฉลาดเฉลียว เข้าใจกลไกและเครือข่ายความสัมพันธ์ในสังคมไทยเป็นอย่างดี เนื่องจากเข้าไปสัมผัสเส้นสนกลในการเมืองตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเป็นนายตำรวจติดตามนักการเมือง ประสบการณ์ที่เขาสัมผัสการเมืองอย่างยาวนานทำให้เขาสะสมเล่ห์เหลี่ยมได้หลายเล่มเกวียน อีกทั้งยังเข้าใจความต้องการหรือกิเลสของคนไทยจำนวนหนึ่งซึ่งมากเพียงพอที่ทำให้ตนเองก้าวขึ้นไปดำรงตำแหน่งผู้นำของประเทศได้ ผู้นำคนนี้เมื่อฟังใครนำเสนอรายงานเขาก็เข้าใจและจับประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว และสามารถนำไปพูดต่อได้โดยไม่ต้องอ่านสคริปใดๆ
       
       ส่วนผู้นำประเทศที่เป็นน้องสาวของเขา ยังไม่ปรากฏสัญญาณใดๆที่บ่งบอกถึงความเฉลียวฉลาดของเธอ บางทีอาจจะมีอยู่ แต่คงดำรงอยู่ในระดับลึกซ่อนเร้นอยู่ภายในจนผู้คนทั่วไปไม่อาจสังเกตได้ คนจำนวนมากจึงสรุปว่าคุณลักษณะด้านความฉลาดของเธออยู่ในมิติที่ตรงข้ามกับพี่ชาย แต่เราก็ต้องทำความเข้าใจบริบทที่เธอเติบโตมา ด้วยความเป็นน้องคนเล็ก เธอจึงได้รับการฟูมฟักเป็นอย่างดี หนทางในการดำเนินชีวิตของเธอ ได้รับถากถางและปูทางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เธอได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากพี่ชายให้เป็นผู้บริหารบริษัทเอกชนตั้งแต่อายุยังไม่มาก เธอไม่ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกับที่พี่ชายเธอเคยพบมา จึงทำให้ความเข้าใจสังคม การเมืองและการพัฒนาประเทศมีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำความเข้าใจเรื่องราวความซับซ้อนของปัญหาได้ไม่ดีนัก เธอจึงต้องพึ่งพาคนอื่นเขียนบทให้พูด อันที่จริงเรียกให้ถูกคือการอ่าน แต่ดูเหมือนไม่ราบรื่นเท่าไรนักเพราะเธอไม่เข้าใจประเด็นที่อ่านอย่างกระจ่างแจ้งนั่นเอง
       
       ภาพที่ตัดกันของคุณสมบัติด้านนี้คือ ผู้นำผู้พี่ดูมีความฉลาดและเต็มเปี่ยมไปด้วยเล่เหลี่ยมห์ ขณะที่ผู้น้องอยู่ในด้านตรงข้ามคือมีความจำกัดของความฉลาดและดูไร้เดียงสาทางการเมืองและการบริหารประเทศ
       
       สำหรับการใช้อำนาจ ผู้นำผู้พี่กล้าใช้อำนาจเด็ดขาด จนบางครั้งกลายเป็นอำมหิต โดยไม่หวั่นเกรงกับผลกระทบใดๆที่ตามมา กล้าจัดการกับความขัดแย้งภายในองค์การหรือพรรคของตนเอง กล้าเสี่ยงในการนำวิธีการใหม่ๆมาใช้ในการบริหารประเทศ กล้าละเมิดประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของสังคมไทยโดยไม่ใส่ใจกับความรู้สึกของผู้คน กล้าแม้กระทั่งละเมิดกฎหมายโดยให้สินบนแก่ผู้มีอำนาจหน้าที่เพื่อให้ตนเองได้พ้นความผิด กล้าใช้วิธีการซึ่งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองได้กลับเข้ามามีอำนาจ กล้าทำลายล้างสังคมหากสังคมไม่ตอบสนองความต้องการของตนเอง และกล้าขจัดคนที่ขวางทางและไม่ตอบสนองผลประโยชน์ของตนเองออกไป
       
       ด้านน้องสาว ดูเหมือนจะอ่อนนิ่ม เกรงอกเกรงใจผู้คน ไม่กล้าใช้อำนาจในการจัดการความขัดแย้งใดๆ หรือจัดการกับปัญหาวิกฤติการณ์อย่างเหมาะสม ปล่อยปละละเลยปัญหาต่างๆจากปัญหาเล็กๆพัฒนากลายไปสู่ปัญหาใหญ่ การตัดสินใจของเธอเป็นไปด้วยความล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ ไม่ทันเหตุการณ์ การสั่งการณ์หน่วยงานราชการก็ยังไม่มีความชำนาญ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการรอคำปรึกษาแนะนำจากพี่ชายผู้อยู่แดนไกลว่าควรตัดสินใจอย่างไร ควรทำเรื่องใดก่อน เรื่องใดหลัง
       
       ในมิติของการใช้อำนาจเราจึงเห็นลักษณะสุดขั้วของผู้นำสองพี่น้องคู่นี้ ผู้พี่เป็นคนที่ใช้อำนาจอย่างบ้าบิ่น มัวเมา และล้นเกิน ขณะที่ผู้น้องใช้อำนาจอย่างอ่อนนิ่ม กระพร่องกระพร่อง และขาดๆ หายๆ
       
       รูปแบบภาวะผู้นำสองแบบที่แตกต่างตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงอันได้แก่ ภาวะผู้นำแบบเล่ห์เหลี่ยมคลั่งอำนาจ กับ ภาวะผู้นำแบบตื้นเขินและอ่อนนิ่ม กลับส่งผลลัพธ์ต่อสังคมไทยไม่แตกต่างกัน นั่นคือต่างก็นำสังคมไทยก้าวไปสู่ความหายนะเหมือนกัน
       
       ผู้นำผู้พี่มีส่วนสำคัญในการทำลายวิธีคิดและวิถีชีวิตในการพึ่งตนเองของประชาชนรากหญ้า ให้กลายมาเป็นกลุ่มที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ส่งเสริมให้คนไทยติดการพนันเพิ่มขึ้นด้วยการออกหวยที่เยาวชนเข้าถึงได้ง่าย ทำลายความเป็นเอกภาพเชิงอัตลักษณ์ของผู้คนในสังคมไทยให้กลายเป็นความแตกแยก ขัดแย้งแบ่งเป็นขั้ว เป็นผู้จุดชนวนความขัดแย้งในการแบ่งแยกดินแดนให้รุนแรงยิ่งขึ้น เป็นผู้ที่ทำให้ประชาธิปไตยตายซากเหลือแต่เปลือกที่แห้งกรัง เป็นตัวการสำคัญอันนำไปสู่เหตุการณ์จลาจล ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองจนย่อยยับอัปรา เพียงเพื่อให้ตนเองและกลุ่มที่ตนเองหนุนหลังกลับเข้ามายึดครองอำนาจรัฐ
       
       ขณะที่ผู้นำผู้น้อง ด้วยความตื้นเขินและอ่อนนิ่ม จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถจัดการมวลน้ำอันมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิผล ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมทำลายล้างสร้างความเสียหายแก่บ้านเมืองและผู้คนในวงกว้างทุกระดับชนชั้นไม่ว่ารวยหรือจน ไม่ว่าอยู่ในภาคเกษตรหรือภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะอยู่ชนบทหรือเมือง ไม่ว่าจะอยู่กรุงเทพหรือต่างจังหวัด พื้นที่ใดหากไร้นักการเมืองใหญ่ที่ผู้นำคนนี้เกรงใจปกป้อง ก็จะได้รับความเสียหายอย่างเสมอภาคเสมอหน้ากัน
       
       ความหายนะเกิดขึ้นในสังคมไทยแทบทุกด้าน อาทิ ด้านเศรษฐกิจ ความเสียหายมีมูลค่ามหาศาลนับล้านๆบาท บ้านเรือน ทรัพย์สิน โรงงานอุตสาหกรรม ไร่นาถูกทำลายจนพินาศ มีคนตกงานหลายแสนคน ด้านสังคมเกิดความแตกแยกระหว่างประชาชน ความเกลียดชังของคนที่อยู่จังหวัดใกล้เคียงกันในภาคกลางเพิ่มมากขึ้น อาชญากรรมระบาดทั่วทุกหัวระแหง ผู้คนจำนวนมากมีความเครียดเพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่การทำลายชีวิตตนเองในอนาคต
       
       ซ้ำเติมด้วยความไม่เอาไหนในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย ซึ่งดำเนินการอย่างไม่เป็นธรรมและสองมาตรฐานในการกระจายสิ่งของบริจาค ใครเป็นเสื้อแดงได้ก่อนและได้มาก ส่วนใครไม่ใช่เสื้อแดงได้ทีหลังและได้น้อย แม้แต่ ส.ส.ที่อยู่ในพรรคเดียวกันแต่ไม่ใช่เสื้อแดงก็ยังออกมาฟ้องสื่อมวลชนถึงความไม่เป็นธรรมนี้
       
       แม้ว่าสองพี่น้องคู่นี้มีภาวะผู้นำคนละแบบไม่เหมือนกันเลย แต่แบบของภาวะผู้นำที่พวกเขาใช้ในการบริหารประเทศกลับทำให้เกิดผลลัพธ์เหมือนกัน นั่นคือการสร้างความหายนะแก่สังคมไทยอย่างเหลือคณานับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 ตุลาคม 2554, 09:46:36
"ไฟแนนเชียลไทมส์"ชี้คนไทยไม่พอใจการแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล

วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ของอังกฤษรายงานว่า ชาวไทยที่ประสบภัยน้ำท่วมไม่พอใจการแก้ปัญหาของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะขาดการประสานงานและไม่ขอความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ

 นายเบน แบลน ผู้สื่อข่าวของไฟแนนเชียลไทมส์รายงานจากจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ถูกน้ำท่วมหนักว่า บางพื้นที่มีน้ำสูงกว่า 2 เมตรว่า ผู้คนต้องอาศัยตามศูนย์พักพิง ร้านค้าโรงงานถูกน้ำท่วมหมด ถนนหนทางกลายเป็นคลอง ผู้ประสบภัยในหมู่บ้านพฤกษา 33 คนหนึ่งกล่าวขณะพายเรือมารับสิ่งของบรรเทาทุกข์จากสภากาชาดไทยว่า พวกเขาขาดอาหาร น้ำดื่มและยา หลายคนเริ่มเป็นโรคผิวหนังแล้ว รัฐบาลไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเท่าที่ควรและผู้ประสบภัยส่วนใหญ่ไม่สามารถออกมาได้

 

รายงานระบุว่า ช่วงสุดสัปดาห์นี้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะหนุนสูงสุดจะทดสอบความสามารถของกรุงเทพมหานครว่าสามารถรับมือกับมวลน้ำก้อนใหญ่จากทางเหนือได้หรือไม่ สถานการณ์ขณะนี้ในจังหวัดนนทบุรีซึ่งอยู่ทางเหนือของกรุงเทพฯ เป็นลางบอกเหตุได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจุดที่มวลน้ำก้อนใหญ่ต้องไหลผ่านเพื่อออกไปสู่อ่าวไทย ชาวนนทบุรีจำนวนมากยังคงไม่ยอมย้ายออกจากบ้านแม้ไม่มีน้ำและไฟฟ้า พวกเขามีชีวิตอยู่ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านท่ามกลางความหวาดกลัวจระเข้ที่หลุดออกจากฟาร์ม

 

นายแมทธิว โคเครน เจ้าหน้าที่สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่า ผู้ประสบภัยถูกโดดเดี่ยวและเสี่ยงมีปัญหาด้านสุขภาพมากขึ้น เช่น โรคบิด โรคผิวหนัง โรคมาลาเรีย โรคไข้เลือดออกเพราะน้ำท่วมขังนิ่ง ด้านผู้ประกอบการร้านค้าริมแม่น้ำเจ้าพระยาตำหนิรัฐบาลว่าไม่เตรียมมาตรการป้องกันที่ดีพอ ซ้ำยังให้ข้อมูลสับสน ขณะที่เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์บ่นเช่นกันว่า รัฐบาลไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศทั้งที่องค์กรเหล่านั้นเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว ทำให้ไม่รู้ว่าเป็นความทะนงหรือเหตุผลทางการเมือง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 ตุลาคม 2554, 19:39:37

เอาเด็กพริตตี้มานั่งนายก........เอาตัวตลกมานั่งเป็นที่ปรึกษา.
......เอาควายแดงแต่งตัวเข้าสภา....
...ต้องก้มหน้ารับกรรมประเทศไทย.

....(คัดลอกมา1บทเพราะดลใจมากๆ.ค่ะ..คงมีอีก3บทครับ )


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 ตุลาคม 2554, 10:22:27
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd793814_7244838_2479631_7863065photo.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 ตุลาคม 2554, 11:07:15

แอบถ่าย โกดังที่ดอนเมือง ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยหลังจากย้าย
ไม่น่าเชื่อ ของบริจาคตรึม!!! ไม่เอาไปแจกจ่ายเพราะ.....
เลวได้อีกนะเนี่ย คนพวกเนี๊ยะ




    http://www.youtube.com/watch?v=ZO8DfT5YOYk&feature=youtube_gdata_player


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 ตุลาคม 2554, 11:26:47
ปูรำพึง" (กลอนเด็ด)"

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd187272_4477724_981467_7289867photo.jpg)
ภาพนี้ ปูถ่ายตอนนั่ง ฮ.ไปตรวจน้ำท่วมค่ะ..สวยไหมๆๆ..อิอิ


หนูก็แค่ ทำตามที่ พี่เค้าสั่ง
ไม่อยากดัง แต่ขัดพี่ นี้ไม่ได้
พี่เค้าบอก ขอให้หนู ทำเพื่อไทย
หนูเลยกลาย เป็นนายก ตลกดี

หนูไม่รู้ อะไร ตั้งหลายอย่าง
คนรอบข้าง ให้ทำนั่น ให้ทำนี่
หนูก็งง และก็มั่ว ในบางที
ก็อย่างที่ หญ้าแฝก หญ้าแพรกไง

หนูไม่กล้า พูดสด กดดันมาก
สคริปยาก อ่านไม่ทัน ดั้นไม่ไหว
ใครก็รู้ หนูไม่เก่ง ภาษาไทย
และก็ไม่ เก่งอังกฤษ สักนิดเลย

งานเยอะแยะ ทำไม่ทัน น้ำดันท่วม
หนูก็อ่วม ไม่รู้แก้ แต่ไม่เฉย
กั้นตรงโน้น พังตรงนี้ ทุกที่เลย
ก็หนูมัน ไม่เคย เลยนี่นา

คนรอบข้าง เก่งแค่ไหน หนูไม่รู้
เท่าที่ดู เก่งด้วยปาก มากหลายหนา
ทั้งพี่ปลอด พี่ตู่ เจ๊สุดา
เก่งแต่หา เรื่องให้หนู อยู่ทุกวัน

หนูโดนด่า ในเนท ในเฟซหนู
ตั้งกระทู้ ด่ากระจาย หลายเวอร์ชั่น
สุดจะทน โดนด่า ว่าทุกวัน
หนูอัดอั้น แต่พี่ชาย ให้อดทน

ไม่อยากเป็น นายกแล้ว พี่แม้วขา
ช่วยกลับมา จากดูไบ หนูไม่สน
ใครอยากเป็น ก็เป็นไป หนูไม่ทน
พี่เป็นคน สร้างปัญหา ต้องมาเคลียร์

หนูขอกลับ ไปเป็นปู อยู่อย่างเก่า
คิดแล้วเศร้า อยู่ไป ไม่คุ้มเสีย
ทุกวันนี้ หนูเหนื่อยล้า หนูอ่อนเพลีย
พี่เป็นเหี้.......ยยย อะไร ไม่กลับมา


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 พฤศจิกายน 2554, 09:55:02
"เสี่ยชู" จัดเต็มซัด "ปูจ๋า" บริหารปท.รายวัน ล้มเหลวแก้น้ำท่วม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 พฤศจิกายน 2554 05:13 น.    
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd909915_5177166_282928_5605634photo.jpg)
ภาพประกอบข่าว ยิ่งลักษณ์ ขึ้น ฮ.ตรวจน้ำท่วม


      
"ชูวิทย์" ซัด "ยิ่งลักษณ์" มัวแต่บินดูน้ำเท้าไม่เปียก เข้าไม่ถึงทุกข์ของปชช. จวกบริหารงานชุ่ยเรื่องง่ายๆ อย่างของบริจาคยังทำไม่ได้ ถามวันนี้คนแห่เข้ากรุงแต่น้ำยังท่วมหลายแห่ง มีมาตรการด้านขนส่ง-อาหารการกินไว้รับมือหรือยัง แนะอย่าคิดแต่ประดิษฐ์คำพูดที่ฟังแล้วดูดี แต่ขอให้ทำงานแล้วดูดี ออกมาฟังความคิดเห็นของชาวบ้านบ้างว่า วันนี้ เขาด่ารัฐบาลกันอย่างไร ก่อนสะกิด ศปภ.ตื่น ปชช.หมดความเชื่อถือแล้ว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้กล่าวถึงการบริหารจัดการปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล ว่า บริหารงานล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งเรื่องง่าย ๆ เกี่ยวกับของบริจาค ก็ยังพบเป็นข่าว เป็นคลิป ปล่อยให้ของบริจาคลอยน้ำ ทิ้งขว้างให้เสียหาย นอกจากนี้ยังมีข่าวออกมาโจมตีว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย อมของบริจาค ใช้ของบริจาคของชาวบ้านมาติดป้ายใส่ชื่อตัวเอง ทั้งที่เรื่องอย่างนี้บริหารจัดการง่ายที่สุด ของพวกนี้เมื่อรับมาแล้ว หากชาวบ้านที่เดือนร้อนมาขอ ก็ควรจัดส่งไปให้ อย่ามากักไว้ในมือ
       
       เรื่องนี้ เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวข้องกับความเชื่อถือ ความเชื่อมั่นในรัฐบาล เพราะเป็นน้ำใจของมิตรประเทศและคนไทยเพื่อนร่วมชาติ ที่ต้องการช่วยคนชาติเดียวกัน แต่กลับถูกกั๊กไว้ให้สำหรับพรรคพวก เลือกปฏิบัติเฉพาะสีเสื้อ หากเป็นพวกก็ให้ ไม่ใช่พวกก็ไม่ให้หรือให้น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่มีข่าวกรณีนายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.พรรคเพื่อไทยออกมาโวยวาย แสดงถึงความห่วยแตก ไม่มีระบบของ ศปภ เวลานี้ต้องไม่มีเรื่องสีเสื้อแล้ว ต้องมีแต่คนไทย ถามว่า ทำไมต้องให้คนมีสีเสื้อมาคอยคุมของบริจาค ทำไมไม่ใช้หน่วยงานราชการที่มีประสบการณ์
       
       "เห็นชัดว่า รัฐบาลล้มเหลวอย่างไม่น่าให้อภัย ที่มาเล่นกับความศรัทธาและความเดือนร้อนของคนในชาติ มันตายน้ำตื้นและแสดงถึงความชุ่ยในการบริหารจัดการของคนที่มือไม่ถึง” นายชูวิทย์ กล่าว
       
       นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า รู้สึกเป็นห่วงการบริหารจัดการของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเฉพาะที่ประกาศวันหยุดยาว ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ไม่รู้ว่ารัฐบาลมีมาตรการเตรียมการรองรับสถานการณ์ที่คนจะแห่กลับเข้า กทม. มาทำงานหรือยัง เพราะคนจำนวนมากเป็นเรือนหมื่น เรือนแสนจะมีปัญหา เนื่องจากน้ำยังท่วมพื้นที่ใน กทม. หลายเขต มีการปิดถนนหนทางสายหลักเป็นสิบ ๆ เส้นทาง และรถที่ทางการจัดมาให้ก็วิ่งรับส่งแต่ในถนนสายหลัก พอถึงป้ายก็เอาลงชาวบ้านต้องเดินลุยน้ำเน่าเข้าซอยไปอีกเป็นร้อยเมตร น้ำก็ไม่มีกินไม่มีอาบ แล้วจะไปทำงานกันอย่างไร คนสั่งก็ได้แต่สั่ง แต่ไม่เคยลงมาสัมผัสในพื้นที่ มัวแต่บินดูน้ำเท้าไม่เปียก ไม่รู้จะพูดอย่างไร นี่ยังไม่รวมถึงสิ่งของเครื่องใช้ที่จะเอาเข้ามาใช้ในยามที่ กทม.ขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ ของกินของใช้ก็ขาด น้ำประปาก็ไหลบ้าง ไม่ไหลบ้าง ถามว่า รัฐบาลมีมาตรการอะไรมารองรับหรือยัง บริหารประเทศแบบรายวันจริง ๆ
       
       ทั้งนี้ แทนที่เมื่อมีการสั่งปิดถนนสายหลัก ๆ แล้ว ควรต้องตั้งศูนย์อำนวยการย่อยประจำถนนในแต่ละสายที่สั่งปิด มีเรือเร็ว มีรถใหญ่ประจำจุดนอกเหนือจากรถใหญ่ที่วิ่งรับส่งคนตามถนน เช่น ที่เขตบางพลัดตั้งที่เชิงสะพานกรุงธนฯ เขตดอนเมืองตั้งที่หลักสี่พลาซ่า เป็นต้น แต่นี่ไม่มีอะไรเลย ปล่อยเกาะชาวบ้านให้ผจญชะตากรรม คนมีก็ใช้เงินจ้าง คนจนก็ลุยน้ำเอาเอง นี่หรือการดูแลชาวบ้านเป็นอย่างดีของนายกฯที่เขียนในเฟสบุ๊ค ลงมาดูของจริงอย่างเขา แล้วจะเห็นชีวิตจริง
       
       นายชูวิทย์ กล่าวว่า จากการที่ลงพื้นที่น้ำท่วมมาตลอด ทั้งในต่างจังหวัดและในกทม. พบว่า มีปัญหาความขัดแย้งของชาวบ้าน เกี่ยวกับการตั้งแนวคันกั้นเขื่อนเพื่อชะลอน้ำ จนชาวบ้านทะเลาะกันแทบจะฆ่ากันตาย แต่กลับไม่เห็นหัว ส.ส.เขต ส.ส.ในพื้นที่ ที่มีความขัดแย้งสูงเลย ทั้งที่ปทุมธานี นนทบุรี หรือแม้ในกทม. ทั้งที่เวลานี้ ส.ส.เขตต้องทำงานหนักกว่าส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เพราะมีพื้นที่ดูแลรับผิดชอบชัดเจน หากจะหวังรอการบริหารงานของ ศปภ.ก็อย่าหวัง ไม่เช่นนั้นก็ตายไปนานแล้ว วันนี้ ศปภ.ยังไม่รู้ตัวว่า ชาวบ้านต่างหมดความเชื่อถือ เชื่อมั่นหมดแล้ว ประกาศไม่ท่วมคนก็เก็บของ ประกาศเอาอยู่คนก็หนีหมดแล้ว มีแต่ส่วนของภาคประชาชน และหน่วยงานเอกชนที่ออกมาช่วยเหลือกันเองทั้งนั้น
       
       "ผมไม่รู้ว่า ครม.ของรัฐบาลคุณปูจ๋า ปูนิ่มคิดยังไง ที่ยังอุตส่าห์เอาสมองส่วนไหนไปคิดหมกเม็ด ออกมติครม.มาได้ เมื่อสัปดาห์ก่อนที่ให้อำนาจผบ.ตร.สามารถพิจารณาเปิดบ่อนการพนันได้ มันก็กาสิโนที่เขาเคยประกาศว่าจะปิดให้หมด แต่มันแปลกที่ครม.ชุดนี้ให้อำนาจ ผบ.ตร.อนุมัติให้เปิดเองได้ เท่านั้นยังไม่พอยังให้อำนาจผบ.ตร. สามารถสั่งปิดสื่อสิ่งพิมพ์ได้อีก ผมดูแล้วยามนี้ปัญหาความทุกข์ เดือดร้อนจากน้ำท่วมทั้งแผ่นดิน ครม.คุณปูนิ่ม ปูจ๋ายังมีใจคิดเรื่องพรรณนี้อีก ทั้งที่บริหารงานแก้ไขปัญหาได้ห่วยแตก แต่พอเขียนในเฟสบุ๊ค นายกฯปูพูดได้น่ารัก น่าฟังอ่านแล้วดูดี จะดูแลประชาชนทุกคน แต่การทำงานกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูดสิ่งที่เขียน มันตรงข้ามกับหน้าตาของนายกฯ เพราะมันยิ่งเละ"
       
       นายชูวิทย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอแนะนำนายกฯว่า อย่าคิดประดิษฐ์คำพูดที่ฟังแล้วดูดี แต่ขอให้ทำงานแล้วดูดี แก้ไขปัญหาของชาวบ้านได้จะดีกว่า ออกมาฟังความคิดเห็นของชาวบ้านบ้างว่า วันนี้ เขาด่ารัฐบาลกันอย่างไร



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 พฤศจิกายน 2554, 11:01:27
ม็อบยึดอำนาจ  รัฐล้มเหลว

    posttoday.com

ปัญหาแทรกซ้อนที่รัฐบาลไม่คาดคิดมาก่อน คือการที่ม็อบชุมชนต่างๆ ออกมาเรียกร้องให้เปิดประตูระบายน้ำในพื้นที่

โดย...ทีมข่าวการเมือง

ปัญหาแทรกซ้อนที่รัฐบาลไม่คาดคิดมาก่อน คือการที่ม็อบชุมชนต่างๆ ออกมาเรียกร้องให้เปิดประตูระบายน้ำในพื้นที่ เพราะเกรงน้ำจะท่วมชุมชนตัวเอง ดูท่ากำลังลุกลามส่งผลให้การแก้ปัญหาน้ำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผิดแผนไปหมด

จากจุดเล็กๆ เกิดกรณีเอาอย่างลามไปอีกจุดสองจุด เหตุสำคัญเพราะรัฐบาลไม่ทำความเข้าใจ โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวประตูระบายน้ำจุดสำคัญๆ ที่ต้องขอแรง ยอมเสียสละเพื่อส่วนรวมเปิดพื้นที่ให้รับน้ำ หรือเป็นทางผ่านของน้ำ จะได้รับการช่วยเหลือชดเชยเต็มที่

“ม็อบน้ำ” เลยแพร่ระบาดกว้างขวางในหลายจุดชุมชน โดยไม่สนใจคำสั่งคำอ้อนวอนของทางการ บางแห่งต่อต้านหนักถึงขั้นใช้อาวุธปืนยิงข่มขู่จนเจ้าหน้าที่ต้องถอยล่า

ล่าสุดกรณีม็อบชาวบ้านคลองสามวาหลายร้อยคนลุกฮือปิดถนนกดดันให้รัฐเปิดประตูระบายน้ำคลองสามวา แม้ทางรัฐบาลและกรุงเทพมหานคร (กทม.) จะเจรจาถึงขั้นส่งบิ๊กตำรวจนำกำลังปราบจลาจลมาป้องกัน แต่ก็ต้านอารมณ์ชาวบ้านไม่ได้ จนเข้าไปใช้ค้อน เสียม ทุบพังประตูระบายน้ำ รื้อแนวกระสอบทรายสำเร็จ

ไม่เพียงเท่านั้น กับการปรากฏตัวของ วิชาญ มีนชัยนันท์ สส.เพื่อไทย เข้าเจรจาท่ามกลางกระแสข่าวเป็นความพยายามของนักการเมืองที่สนับสนุนประชาชนกดดันให้เปิดประตูระบายน้ำ

ที่สุด นายกฯ ยิ่งลักษณ์หมดท่า ต้องยอมเปิดประตูระบายน้ำเพิ่มอีก 1 เมตร จากที่ชาวบ้านเรียกร้อง 70-150 ซม. กระทบแผนการแก้ปัญหาน้ำรวนไปหมด เพราะทำให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมชุมชนริมคลองอีกหลายพื้นที่และพื้นที่ด้านล่าง ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจ เช่น นิคมอุตสาหกรรมบางชัน

นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตอบคำถามว่า “เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาลักษณะนี้อีก เราจึงให้คณะทำงานลงพื้นที่เจรจากับประชาชน รวมถึงต้องเฝ้าระวังคันกั้นน้ำในพื้นที่อื่นด้วย”

แม้รัฐบาลยอมเปิดประตูระบายน้ำ แต่ม็อบชาวบ้านก็ไม่ยอม ส่งตัวแทนปักหลัก เฝ้าประตูระบายน้ำ 24 ชั่วโมง ไม่ไว้ใจกลัวทางการจะปิดประตูระบายน้ำอีก

สภาพรัฐไร้อำนาจ ปล่อยให้ชาวบ้านถือกุญแจประตูน้ำ คุมการเปิดปิดตามใจชอบ เป็นความล้มเหลวในการแก้ปัญหา ที่ลึกกว่านั้นบางกรณีมีนักการเมืองท้องถิ่นและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ให้ท้าย

ก่อนหน้านี้มีเสียงเตือนรัฐบาลให้ระวังการต่อต้านจากชาวบ้านชุมชนต่างๆ ที่จะไม่ยินยอม ซึ่งอาจเป็นปัญหาบานปลายลามเป็นลูกโซ่ แต่รัฐบาลประเมินสถานการณ์ต่ำไป ใช้วิธีแก้ปัญหาไปทีละจุด ส่งคนไปเจรจาเป็นคราวๆ กระทั่งมีข้อเสนอให้รัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มอบอำนาจเจ้าหน้าที่แก้ปัญหาเบ็ดเสร็จในบางพื้นที่ แต่รัฐบาลปฏิเสธเพราะกลัวทหารจะมายึดอำนาจ

นี่ไม่ใช่กรณีแรก แต่เป็นสิบๆ กรณี ที่เกิดภาพชุมนุมคัดค้านขึ้นข่าวสื่อโทรทัศน์และหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นความขัดแย้งหลายระดับ ระหว่างคนในชุมชนข้างเคียงกันและชุมชนขัดแย้งกับรัฐ

เช่นที่ จ.ปทุมธานี ชาวบ้านหมู่บ้านปาริชาติ ต.บางคูวัด รวมตัวชุมนุมหน้าหมู่บ้าน ทะเลาะกับเทศบาลเมืองบางคูวัดที่มาดูแลแนวคันดินกั้นน้ำใต้สะพานเกาะเกรียง เพราะกลัวชาวบ้านจะรื้อคันดินออก เกรงจะทำให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมเขตโรงงานและพระตำหนักจักรีบงกช ชาวบ้านไม่พอใจจึงใช้รถหกล้อปิดถนน

ที่ อ.ธัญบุรี หลังหมู่บ้านรัตนโกสินทร์ 200 ปี ต.ประชาธิปัตย์ ชาวบ้านรวมตัว 200 คน หลังชาวบ้านอีกกลุ่มนอกหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วมจากน้ำในคลองเปรมประชากรได้แอบมาดึงกระสอบทรายที่กั้นไม่ให้น้ำไหลเข้าหมู่บ้านจนเกือบมีการปะทะ แต่ตำรวจเข้ามาคุมสถานการณ์ได้ก่อน

ถัดมา ชาวบ้านจาก ต.บางพูน กว่า 300 คน รวมตัวกันปิดถนนรังสิตปทุมธานี เรียกร้องให้ ผวจ.ปทุมธานี ออกคำสั่งให้ปิดประตูน้ำพระอินทร์ราชา เพราะการเปิดประตูทำให้น้ำจากคลองระพีพัฒน์ จาก อ.วังน้อย ไหลเข้ามาในคลองเปรมประชากร สร้างความเดือดร้อนให้กับคนริมคลอง จน สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รมช.ศึกษาธิการ สส.ปทุมธานี บอกให้ ธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ ลดบานประตูระบายน้ำลงครึ่งหนึ่ง ทำให้ชาวบ้านพอใจยอมเปิดถนน

ไล่เลี่ยกันเกิดเหตุการณ์หน้าอนุสรณ์สถาน ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อกลุ่มชาวบ้านกว่า 500 คน รวมตัวประท้วงหลังพบว่ามีเจ้าหน้าที่แขวงการทางนำรถที่ราดยางถนนมาจอดเตรียมที่จะทำคันกั้นน้ำบนถนนวิภาวดีรังสิต ระหว่างการชุมนุมมีเสียงปืนดังขึ้น

ที่วิกฤตอีกที่คือ จ.นครปฐม ชาวบ้าน ต.กระทุ่มล้ม นำเสาคอนกรีตไปขวางทางน้ำในคลองปทุม เพื่อกั้นน้ำไม่ให้ไหลเข้าพื้นที่จนเกิดการปะทะคารมกับชาวบ้านอีกหลายหมู่บ้านจนรวมตัวปิดถนนพุทธมณฑลสาย 4 มีชาวบ้าน ต.ศาลาแดง อ.สามพราน ยกพวกมาสนับสนุนกลุ่มชาวบ้านที่ปิดถนนจนเกิดเหตุโกลาหลตะลุมบอนกัน สุดท้ายตำรวจต้องยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อระงับเหตุ

รายงานข่าวระบุว่า สถานการณ์บานปลาย การจราจรติดขัดอย่างหนัก ส่งผลให้ผู้ขับขี่ยวดยานไม่พอใจ บางรายถึงกับขับรถจะพุ่งชนเต็นท์ของผู้ชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมกรูเข้าไปทุบทำลายรถและทำร้ายผู้ขับขี่ด้วย ตำรวจต้องขอกำลังเสริมจากทุกโรงพักเข้าระงับเหตุ

อีกกรณีที่ครึกโครม เมื่อเกิดความขัดแย้งกันระหว่างชาวบ้านแถวดอนเมืองกับย่านปากเกร็ด กระทั่งนายอำเภอปากเกร็ดออกมาแฉว่า การุณ โหสกุล สส.เขตดอนเมือง พรรคเพื่อไทย นำรถแบ็กโฮเข้ารื้อทำลายแนวคันดินที่ทางเทศบาลนครปากเกร็ดและ อ.ปากเกร็ด ได้ไปสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมริมคลองประปาในฝั่ง อ.ปากเกร็ด จนได้รับความเสียหายเป็นระยะทางยาวกว่า 1 กม. กรณีนี้แม้แต่ สส.พรรคเพื่อไทยด้วยกันใน จ.นนทบุรี กับเขตดอนเมืองยังตกลงกันไม่ได้จนชาวบ้านต้องทะเลาะกันเอง

บางกรณี นายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องเดินทางไปเคลียร์ด้วยตัวเอง เช่นที่ชุมชนคลอง 9 พัฒนา อ.ธัญบุรี ที่มวลชนขัดขวางไม่ให้รัฐขุดถนนเลียบคลองรังสิตนครนายก ระบายน้ำจากคลองรังสิตให้ไหลผ่านไปสู่คลองหก ออกคลองแสนแสบ จนต้องรับปากกับชาวบ้านว่ารัฐบาลจะเร่งเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเส้นทางไหลผ่านของน้ำ โดยจะให้ท้องถิ่นสำรวจรายชื่อบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบ

“ขอบคุณชาวบ้านที่เสียสละ ไม่เช่นนั้นหากเกิดปัญหาคันกั้นน้ำหรือประตูระบายน้ำพัง น้ำทะลักเข้า กทม. ต่างชาติก็ไม่มั่นใจว่าทำไมเราถึงรักษาเมืองหลวงไว้ไม่ได้ หากชาวบ้านคนใดที่ได้รับความทุกข์ยาก ยืนยันว่าจะเร่งเยียวยาให้อย่างเต็มที่”

จากคำขอบคุณของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ สะท้อนว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบต่างกังวลว่าจะหาเงินที่ไหนมาซ่อมแซมบ้าน ทรัพย์สิน แต่รัฐบาลก็ไม่ได้สร้างความเข้าใจเรื่องเยียวยาให้ชัดเจน

น่าเป็นห่วงว่าสภาพโกลาหลที่แต่ละชุมชนก่อม็อบออกมาต่อต้านมากขึ้น จะยิ่งทำให้แผนการแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลที่ไม่ต้องการให้กระทบกรุงเทพฯ ชั้นในล้มเหลว และคำมั่นที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ให้ไว้ต้นเดือน พ.ย. หรือ 1 วันจากนี้ สถานการณ์จะคลี่คลาย คงไม่ได้เป็นดังนั้น

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 พฤศจิกายน 2554, 19:35:48
New Thailand' : สำหรับพวกเขา มันแปลว่าอะไร?

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




    .

"นิวไทยแลนด์" ที่ต้องใช้เงิน 9 แสนล้านใน 5 ปีเป็นคำขวัญใหม่ของรัฐบาลขณะที่มหาอุทกภัย ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยถอยความรุนแรงลง

  ผมไม่ทราบว่าตัวเลขมโหฬารนี้มาจากไหน และไม่คิดว่าควรจะเริ่มการฟื้นฟูประเทศด้วยการพูดถึงยอดเงิน แต่ควรจะเสนอ “แผนแม่บท” ที่ร่างขึ้นด้วยการระดมความเห็นจากทุกฝ่ายในประเทศก่อนที่จะบอกว่าจะต้องใช้เงินใช้ทองมากมายขนาดนั้น

 เพราะหากเราได้เรียนรู้อะไรจากวิกฤติครั้งนี้บ้าง ข้อแรกก็คือการป้องกันปัญหาและการบริหารวิกฤตินั้นข้อที่หนึ่งไม่ได้อยู่ที่ “ต้องใช้เงินเท่าไหร่” หากแต่อยู่ที่ว่า “ใช้คนมีความสามารถหรือไม่และใช้อย่างไร”

 บทเรียนอีกข้อหนึ่งคือหากเราไม่มีคนที่มีภาวะผู้นำเพียงพอแล้ว ประชาชนก็ไม่อาจจะมีศรัทธาต่อแผนงานใดๆ ที่ทางการประกาศว่าจะใช้เป็นหนทางแห่งการแก้ปัญหา

 คำว่า “ความน่าเชื่อถือ” มีค่ามากกว่าเงินล้านล้านบาทที่ถูกยกขึ้นมาเพื่อแถลงข่าวให้เห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ

 สำนักข่าว Bloomberg ออกข่าวเมื่อวาน อ้างคำพูดของผู้บริหารสูงสุดของ Hana Microelectronics Pcl ในเมืองไทยที่โรงงานตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมอย่างรุนแรงว่า
 “Thailand’s credibility is on the line here…”

 แปลว่าประเด็นใหญ่สำหรับประเทศไทยคือ “ความน่าเชื่อถือ” ซึ่งก็คือการบอกกล่าวกับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศว่านิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งจะมีการปกป้องอย่างแข็งแกร่งเพื่อให้ความมั่นใจว่าเรื่องเลวร้ายเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก

 “ความน่าเชื่อถือ” เป็นหัวใจของการแก้ปัญหาในทุกระดับ ตั้งแต่ชาวบ้านที่ต้องการเห็นการแก้ปัญหาอย่างฉับพลันทันกาล และมีแผนที่ยั่งยืนไปจนถึงนักลงทุนต่างชาติที่ต้องหนีกันจ้าละหวั่นเกือบเอาตัวไม่รอด

 เพราะทั้งชาวบ้านและนักธุรกิจรวมไปถึงคนไทยทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ได้รับคำบอกเล่าว่าจากรัฐบาลว่า “เอาอยู่”
 หากการบริหารวิกฤติของรัฐบาลและศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เป็นไปตามมาตรฐานที่เกิดขึ้นจริงตั้งแต่น้ำท่วมเป็นต้นมา คะแนนของ “ความน่าเชื่อถือ” ก็คงอยู่ในระดับต่ำจนน่าใจหาย

 แผน “New Thailand” ที่ออกข่าวมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ระดมความคิดของเอกชน ชุมชน นักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้านระดับท้องถิ่นจึงมิอาจจะสร้างความมั่นใจได้มากนัก

 ที่แถลงข่าวว่าแผนการ “นิวไทยแลนด์” จะเน้นการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ แก้กฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่ได้มีประเด็นอะไรใหม่ที่พอจะทำให้เกิดความเบาใจว่า หากเป็นไปตามนั้นแล้วจะสามารถป้องกันวิกฤติครั้งหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ผ่านมา

 วิกฤติครั้งนี้สะท้อนว่า “การเมือง” มีส่วนบิดเบือน “ข้อเท็จจริง” และ “ความถูกต้องชอบธรรม” ในการแก้ปัญหาอย่างน่าสมเพชยิ่ง เพราะคนเป็นผู้นำไม่อาจจะบริหารเหล่าบรรดารัฐมนตรีและ ส.ส.ในสังกัดให้ยึดมั่นในวิธีคิดและวิถีปฏิบัติที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

 ตรงกันข้าม นักการเมืองหิวโหย และไร้ความรับผิดชอบเหล่านี้คือปัจจัยหลักในการทำให้ปัญหาร้ายแรงมากยิ่งขึ้น เพราะต้องการจะปกปักรักษาผลประโยชน์ของตนมากกว่าที่จะเสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ

 แม้ในยามวิกฤติ พวกเขายังมีพฤติกรรมอันน่ารังเกียจเช่นนี้ ..เช่นแอบอ้างของบริจาคเป็นของตนและหลบเลี่ยงความรับผิดชอบในการเข้าไปแก้ปัญหาให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อนอย่างแสนสาหัส

 จะมีอะไรที่ทำให้เชื่อใจได้ว่าในการวางแผนใช้เงินเกือบล้านล้านบาทที่เป็นข่าว จะไม่ถูกนักการเมืองเหล่านี้เอาไปปู้ยี่ปู้ยำเพื่อประโยชน์แห่งตนอีกเล่า?

 “นิวไทยแลนด์” ต้องมาจากรากหญ้าและผู้ปฏิบัติ มิใช่คำขวัญหาทางถลุงเงินด้วย “อภิมหาโปรเจค” ของบรรดานักการเมืองตะกละตะกลามทั้งหลาย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 พฤศจิกายน 2554, 09:44:49
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 01:00

 วีระศักดิ์ พงศ์อักษร
    แกะรอยการเมือง - weerasak@nationgroup.com
   
"ยิ่งลักษณ์"..เปลี่ยนไป !

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"เมื่อวันเสาร์ที่ 29 ต.ค.ที่ผ่าน หากสังเกตให้ดีจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

     เพราะข่าวสารที่ส่งผ่านรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน" ได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัย"

  เพราะหากย้อนไปดูก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน 25 ต.ค.2554 นายกรัฐมนตรีใช้ทีวีรวมการเฉพาะกิจ ออกมา "พูดความจริง" กับประชาชนด้วยความระทึกยิ่งว่ามวลน้ำก้อนใหญ่กำลังเข้ามาถล่มเมืองหลวง และพลังน้ำรุนแรงเกินศักยภาพของระบบจะต้านทานได้ พร้อมไล่ยาวว่า เขตไหนบ้างจะท่วมเท่าไหร่ ด้วยปัจจัย เหตุผลใดบ้าง และกรณีที่เลวร้ายที่สุดบางพื้นที่ อาจจะท่วม 1.5 เมตร

 หลังจากนั้นไม่นาน ก็ตามมาด้วยการประกาศหยุดราชการใน 21 จังหวัด วันที่ 27-31 ต.ค.2554 ซึ่งเป็นการบ่งชี้ความวิตกของมหันตภัย และหนุนให้คนเมืองหลวงอพยพ ไปต่างจังหวัด ซึ่งตามมาด้วยศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) และ กทม.ที่ย้ำถึงเรื่องอพยพอย่างต่อเนื่อง ว่ากันว่า "ยิ่งออกจากกรุงเทพฯ มากเท่าไหร่ยิ่งดี"

 ประชาชน..ก็ปฏิบัติตาม อย่างไม่ต้องสงสัย แห่กันจองรถ บขส.... เครื่องบินเต็มทุกเที่ยว ทุกขบวน ออกต่างจังหวัด ....คนทั้งโลกได้เห็นภาพถนนบนทางด่วน กลายเป็นที่จอดรถที่ยาวที่สุด 

 การปะทะของชาวบ้านสองระดับ ท่วมกับน้ำแห้งมีให้เห็นในหลายพื้นที่..ซึ่งสะท้อนถึงความรุนแรงของระดับน้ำ ข้อมูลจากกรมชลประทาน ข้อมูลจาก ศปภ. ข้อมูลจากนักวิชาการอิสระ ก็ชี้ไปทางนั้น

 การออกมาเตือนด้วยการ "บอกความจริง" คือสิ่งที่สังคมจะได้เตรียมพร้อม!
 แต่หลังจากนั้น 4 วัน "ยิ่งลักษณ์ เปลี่ยนไป"!

 ในรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 วันที่ 29 ต.ค.2554 นายกรัฐมนตรี ออกมาให้ความหวัง และพยายามให้ข้อมูล เพื่อ "ลดความกลัว" ของประชาชนลง

  "มีข่าวดี...ภาพรวมสถานการณ์ภาคกลางเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ระดับน้ำนครสวรรค์ และชัยนาทเริ่มลดลง น้ำที่ท่วมทุ่งและพื้นที่เกษตรได้ไหลเข้าสู่ลำน้ำสาขาต่างๆ ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาก็ลดลง คาดการณ์ว่าจะลดต่ำลงเป็น 3 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน"

 "หากเร่งระบายน้ำและทุกส่วนเร่งดำเนินการก็สามารถลดปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ กทม. รักษาคันกั้นน้ำแนวพระราชดำริ และควบคุมปริมาณน้ำใน กทม.ได้ หากเป็นเช่นนี้คาดการณ์ว่าน้ำที่ท่วมใน กทม.จะเริ่มลดลงในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน"

 ตามมาด้วยการไม่ยืดวันหยุดราชการ..ซึ่งสะท้อนว่าในมุมมองของรัฐบาล สถานการณ์น่าจะดีขึ้นอย่างมากแล้ว ..ตามมาด้วยการยืนยันหลายรอบ หลายเวลาว่า "มวลน้ำก้อนใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว"

 หากใครเชื่อตามนี้ (นอกเสียจากไม่เชื่อ)...ก็ต้องหันมารื้อกระสอบทราย ทำลายกำแพงหน้าบ้าน เอารถออกจากทางด่วน กลับมาทำตัวตามปกติ โดยเฉพาะ กลุ่ม กทม.ชั้นใน

 ไม่แปลกหากผู้นำจะบอกข้อมูล "ชุดใหม่" ที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย ภายใน 4 วัน

 แต่มีอยู่สองเหตุการณ์ ที่น่าจะ "เชื่อ" และ "เข้าใจ" ได้ว่า อารมณ์ที่เปลี่ยนไปของนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่น่าจะมาจากฐาน "ข้อมูล"..แต่น่าจะมีจากการปรับกลยุทธ์

 กลยุทธ์ "คิดเกมใหม่" เพื่อฟื้นคะแนนนิยมของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังตกต่ำอย่างหนัก แถมเจอข่าวของบริจาคลอยเต็มดอนเมืองเข้าไปอีก ยิ่งหนักกว่าเดิม ผู้เก๋าเกมการเมืองย่อมรู้ว่า "เริ่มเอาไม่อยู่"

 เพราะโดยหลักการตลาดที่ "พี่ชาย" ยึดมาประยุกต์เกมการเมืองนั้นเชื่อว่า "ผู้คิดเกมใหม่" ย่อมได้เปรียบ เพราะเป็นผู้ว่ากติกาด้วยตัวเอง

 ดังนั้นเกมเช่นนี้...มีเพียง "ทักษิณ ชินวัตร" เท่านั้น ถึงจะเป็นกุนซือทำให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปลี่ยนไปได้แค่ช่วง 4 วัน

 ยิ่งได้ยินครั้งแรกว่ามีโปรเจคยักษ์ "New Thailand"..9 แสนล้านบาทนั้น คำเหล่านี้ย่อมทายไม่ผิดว่าใครเป็นคนคิด! เพราะหากย้อนไปในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บริหารประเทศแล้ว มักได้สรรหาคำในตระกูลเหล่านี้มากมาย

 อีกหนึ่งปัจจัยแวดล้อมที่ยืนยัน "ความเชื่อ" นี้ คือคำสัมภาษณ์และทวิตเตอร์ของอดีตนายกรัฐมนตรีล่าสุด

 วันที่ 29 ต.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานจากประเทศเดนมาร์ก ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางมาร่วมงานกฐินพระราชทาน ที่วัดไทยเดนมาร์กพรหมวิหาร กรุงโคเปนเฮเกน   

 มีคำให้สัมภาษณ์ที่แรก ที่สอดคล้องกันว่าสถานการณ์ "จะดีขึ้น"
 "ทราบว่าน้ำจากทางเหนือ นครสวรรค์ ลพบุรี อยุธยา ปริมาณน้ำลดลงแล้ว แต่ กทม.เจอน้ำทะเลหนุนอีก เชื่อว่าหลังวันที่ 2 พ.ย. ทุกอย่างจะคลี่คลาย"

 เมื่อถูกถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์โทรมาปรึกษาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบ้างหรือไม่ ? คำตอบจากอดีตนายกฯ คือ "คุยกัน มีอะไรก็ปรึกษากันตลอด ช่วงนี้ท่านนายกฯ ทำงานหนัก นานๆ จึงโทรมาปรึกษาแนวทางในการจัดสรรงบประมาณที่จะเข้าไปช่วยเหลือและฟื้นฟูให้กับประชาชน"

 ทวิตเตอร์ล่าสุด 1 พ.ย.2554 ก็เขียนในทำนี้ พร้อมย้ำว่า "ความจริงผมแอบทำงานอยู่ห่างๆ"

 จึงไม่แปลกหากวันนี้ "ยิ่งลักษณ์...เปลี่ยนไป" แต่หากย้อนชีวิตของเธอดู ก็อาจจะไม่เปลี่ยนเลยก็เป็นได้ เพราะนี่คือตัวตนที่แท้จริง..หญิงสาวผู้ไม่เคยปฏิเสธคำสั่งของ "พี่ชาย"!


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 พฤศจิกายน 2554, 11:32:03
ถอดบทเรียน "วิกฤติน้ำ" อเมริกา จัดการปัญหา "คลองสามวาโมเดล"

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

   
   จาก "เล่าจื๊อ" ถึงอเมริกา ถอดบทเรียนปลดชนวนปัญหาขัดแย้งจากน้ำ สกัด "คลองสามวาโมเดล" ลุกลาม

Only one who can govern water. He can govern a country.
One who wants to govern his country should govern water first.
หรือ "ใครก็ตามที่สามารถบริหารจัดการน้ำได้ เขาคนนั้นก็สามารถบริหารประเทศได้
ใครก็ตามที่ต้องการบริหารประเทศของเขา ควรบริหารจัดการน้ำให้ได้ก่อนอื่น"

เป็นคำกล่าวของ "เล่าจื๊อ" ปราชญ์ชาวจีนผู้โด่งดัง ปรมาจารย์แห่งลัทธิเต๋า
 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการบริหารจัดการน้ำเป็นเรื่องใหญ่ (ระดับชาติ) ขนาดไหน

นั่นเพราะน้ำสัมพันธ์กับชีวิตคน การบริหารจัดการน้ำให้สำเร็จจึงต้องบริหารจัดการคนให้ได้ด้วย ปัญหาน้ำจึงเป็นปัญหาสังคมอย่างไม่ต้องสงสัย ดังเช่นที่กลายเป็นปัญหาใหญ่และลุกลามเป็นความขัดแย้งที่ประตูระบายน้ำคลองสามวา ซึ่งหลายคนเรียกว่า "คลองสามวาโมเดล" อันเป็นบริบทหนึ่งของปัญหาพิบัติภัยน้ำท่วมที่ประเทศไทย ณ พ.ศ.2554

แม้ปรากฏการณ์ทะเลาะกันของประชาชนสองฝั่งพนังกั้นน้ำจะถูกตีค่าจากบางคนในรัฐบาลว่าเป็น "ปัญหาโลกแตก" เพราะความต้องการของแต่ละฝ่ายสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ทว่าในทัศนะของ นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการหลักสูตรการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการเจรจาไกล่เกลี่ย สถาบันพระปกเกล้า เห็นว่าปัญหานี้ยังเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ หากได้วางแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างถูกวิธี

นพ.วันชัย บอกว่า มีบทเรียนที่น่าสนใจจาก จิม เครย์ตัน (Jim Creighton) ที่ปรึกษาเครือข่ายนานาชาติว่าด้วยการมีส่วนร่วม ซึ่งเคยเป็นวิทยากรรับเชิญในการประชุมอาเซียนว่าด้วยผลกระทบเรื่องน้ำท่วมจากปัญหาโลกร้อนที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา และยังเคยศึกษาวิจัยปัญหาน้ำท่วมจากพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาในสหรัฐอเมริกา (เมื่อปี 2548) ร่วมกับกลุ่มวิศวกรจากกองทัพสหรัฐด้วย

ผลการศึกษาพบประเด็นน่าสนใจว่า การสร้างพนังกั้นน้ำเป็นเรื่องล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัย สร้างความเสียหายให้กับคนจำนวนมาก ฉะนั้น จิม เครย์ตัน และคณะจึงร่วมทำโครงการนำร่อง ใช้ชื่อว่า Action for change เพื่อเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการบริหารจัดการน้ำใหม่ทั้งหมด

ทั้งนี้ ประเด็นที่นำมาเป็นกรอบคิดในการบริหารจัดการน้ำ คือ
 1.จะจัดระบบอย่างเป็นบูรณาการได้อย่างไร
 2.จะสื่อสารเรื่องความเสี่ยงต่อสาธารณชนแบบไหน
 และ 3.จะตัดสินใจอย่างไรเมื่อได้แจ้งกับประชาชนไปแล้วว่ามีความเสี่ยงเกิดขึ้น

ทว่าก่อนจะไปถึงตรงนั้น สิ่งที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องตระหนักร่วมกันก็คือ
 เราไม่สามารถควบคุมการไหลท่วมของน้ำได้ (flood control)
ไม่สามารถป้องกันน้ำท่วมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ (flood protection)
และการคิดควบคุมการไหลหรือป้องกันน้ำนี่เองที่ทำให้เรามองข้ามธรรมชาติของน้ำไป
ซึ่งธรรมชาติของน้ำคือการไหล หากกั้นน้ำไม่ให้ไหล น้ำก็จะยิ่งมีพลังมหาศาล

อย่างไรก็ตาม เมื่อปล่อยให้น้ำไหลก็ย่อมต้องเกิดผลกระทบกับผู้คนและชุมชนตามมา
ฉะนั้นแนวคิดที่ต้องนำมาใช้คือลดความขัดแย้งและความรุนแรงจากประชาชน
ด้วยการให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมในทุกขั้นตอน
โดยจะต้องมีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้นและต่อเนื่องทั้งกระบวนการ ไ
ม่ใช่แค่ให้มีส่วนร่วมในการรับรู้ข้อมูล แต่การตัดสินใจกลับเป็นของผู้มีอำนาจหรือนักวิชาการเท่านั้น

"เพราะเรื่องการบริหารจัดการน้ำไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นปัญหาทางสังคมด้วย การใช้เทคโนแครตอย่างเดียวจึงยิ่งรังแต่จะสร้างปัญหา เพราะอาจไม่เข้าใจสภาพที่แท้จริงทางสังคม ไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของประชาชน และไม่เข้าใจความเดือดร้อนในพื้นที่จริง ฉะนั้นผู้ที่มีหน้าที่จัดการความเสี่ยงเรื่องน้ำจะต้องเรียนรู้เรื่องทางสังคมด้วย ไม่ใช่เข้าใจเพียงกายภาพ แต่ต้องเข้าใจความเชื่อ มุมมองของแต่ละพื้นที่ และเข้าใจการพัฒนาการจัดการให้เกิดประโยชน์ในภาพรวม" นพ.วันชัย ระบุ

ผู้อำนวยการหลักสูตรการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการเจรจาไกล่เกลี่ย สถาบันพระปกเกล้า ย้ำด้วยว่า ผลการศึกษาของ จิม เครย์ตัน และคณะ ชัดเจนว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนไม่ใช่แค่ในขั้นตอนการวางแผนป้องกัน หรือแค่การสร้างพนังกั้นน้ำร่วมกันเท่านั้น แต่ต้องมีส่วนร่วมทั้งระบบ ทั้งวงจร และพิจารณาเรื่องการระบายน้ำว่าจะลดความรุนแรงของน้ำได้อย่างไรเพื่อให้ประชาชนยอมรับได้ อดทนได้ มิฉะนั้นความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นไม่รู้จบ

"ประเด็นหลักคือการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หากพิจารณาสถานการณ์ในบ้านเราขณะนี้จะเห็นว่าการมีส่วนร่วมด้านอื่นมีค่อนข้างเยอะ แต่การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมีน้อยมาก ฉะนั้นเรื่องการร่วมตัดสินใจจึงสำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่เปิดให้ร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น"

นพ.วันชัย กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักร่วมกันก็คือ การบริหารจัดการน้ำไม่ใช่เรื่องทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ชุมชน และสังคม การละเลยการมีส่วนร่วมย่อมเกิดความขัดแย้งตามมาอย่างแน่นอน ในขณะที่คนเราไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ทางออกที่ดีที่สุดจึงควรสร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชนในการ "ตัดสินใจ" การบริหารจัดการความเสี่ยงเรื่องน้่ำ เพื่อลดปัญหาการกระทบกระทั่งที่อาจบานปลายเป็นการปะทะได้ทุกเวลา

นี่คืออีกหนึ่งบทเรียนจากมหาอุทกภัยที่สังคมไทยต้องช่วยกันสร้างระบบในอนาคตร่วมกัน
และเป็นอีกหนึ่งโจทย์สำคัญที่ต้องพิจารณาหลังน้ำลด!
 




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 พฤศจิกายน 2554, 19:14:23
    น้ำท่วมคราวนี้สร้างกวีได้อีกหลายคน
 แต่ละคนเด็ดๆทั้งนั้นโดยเฉพาะพี่คนดี  ใช้คำคมมากๆ ชอบจังเล้ย


      : "แม้วรำพัน"

               
                           
            พี่ก็แค่ อยากให้น้อง เป็นนายก     ถึงตลก แต่ก็เท่ นะใช่ไหม
            ถูกแล้วน้อง ท่องไว้ ทำ"เพื่อไทย"    ใช่ของใคร น้องรัก พรรคของเรา
                           
            หนูไม่รู้ ไม่เป็นไร หรอกปูจ๋า    ทำหน้าหนา เอาไว้ อย่าให้เฉา
            พี่ก็เคย งงแล้วมั่ว แล้วก็เดา    น้องจงเอา ไปใช้ ให้หลายครา
                           
            พูดสด ๆ กดดัน อั้นไม่ไหว     ช่างหัวแม่ มันปะไร เถิดน้องหนา
            ถึงจะรู้ ว่าปูโง่ ทั้งนครา       อย่านำพา พวกไพร่  ไอ้หางแดง
                           
            มันก็แค่ น้ำท่วม นั่นแหละน้อง             อย่าไปตรอง ข้องจิต คิดแสลง
            ไม่ต้องแก้ หรอกแค่พูด แค่แสดง    ตามสคริป ที่พี้แจ้ง แค่นั้นพอ
                           
            คนรอบข้าง ที่เก่งดี ไม่มีหรอก      มันแค่หลอก น้องให้ น้ำลายสอ
            ไม่ว่าปลอด หรือตู่ จอมสอพลอ     พี่แค่ขอ เจ๊สุดา อย่าว่ากัน
               
                           
            หนูโดนด่า เรื่องของหนู ใช่ของพี่    แต่เรื่องดี พี่มีให้ หลายเวอร์ชั่น
            เป็นนายก นี่ก็หนึ่ง นัมเบอร์วัน      เรื่องมันมัน มีอีกเยอะ เชื่อเถอะปู
                           
            แล้วพี่จะ หาใคร เป็นนายก?    ทำตลก โง่บ้า น่าอดสู    
            พี่ยังกลับ ไม่ได้ ใช่ไหมปู       น้องก็รู้ อย่าแกล้งโง่ นะน้องยา
                           
            พี่เป็นใคร น้องปู รู้อยู่แล้ว       คนอย่างแม้ว ไม่ใส่ใจ ใครหรอกหนา
            ถึงเป็นน้อง ก็แค่น้อง ร่วมอุรา             ไม่นำพา ให้หนักหมอง กระดองใจ
             




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 พฤศจิกายน 2554, 19:30:38
"เอกยุทธ อัญชันบุตร" โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว
คัดลอกบางส่วนจาก มติชน.คอม

วันที่ 03 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 10:00:00 น.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจเจ้าของกิจการหลายแห่งในต่างประเทศ และเป็นเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ด็อทคอม ซึ่งเคยออกมาแสดงความเห็นโจมตีรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า


"ไม่อยากจะกล่าวคำแบบนี้ เพราะจะดูเสมือนดูถูกสตรี..แต่ในความเป็นจริงนั้น..สาวเหนือที่ไร้การศึกษาหรือขี้เกียจ และด้อยปัญญา จะมาทำงานสบายที่หญิงปกติไม่ทำกัน..หลักๆ ก็คือขายบริการ..ฉะนั้นสาวเหนือที่ไร้สติปัญญาและโง่เขลาขนาดหนักแต่หน้าด้านมารับตำแหน่ง ก็ควรจะรู้นะว่าอาชีพอะไรที่เหมาะแก่คุณ ?"


จากนั้น นายเอกยุทธยังได้โพสต์ข้อความที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เช่น


"ตำแหน่งนายกฯ นั้น ไม่ใช่ของครอบครัว..และไม่ใช่ที่ฝึกหัดงาน..หากไร้ปัญญาก็อย่าหน้าด้านมารับตำแหน่ง.."


และ


"สื่อถามรัฐบาลและผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายว่าต้องการความช่วยเหลือจากต่างประเทศเรื่องน้ำท่วมมั้ย ?
 คำตอบที่ได้คือ ′เราช่วยตัวเอง′ ได้...มิน่าถึงได้ยินบ่อยๆว่า ′เอาอยู่ค่ะ′”


′ต้องขออภัยนะครับ หากทำให้บางท่านไม่ชอบใจ..แต่กรุณาอ่านข้อความให้ชัดเจนครับ..ไม่ได้กล่าวหาหรือดูถูกใคร แต่กล่าวในความเป็นจริง และน่าจะเข้าใจกันดีว่าหมายถึงใครครับ..ผมเคารพในสิทธิ์และทุกอาชีพ แต่ไม่ยอมรับพวกหน้าด้านที่ทำให้สังคมและประเทศเสียหายครับ..และหญิงบริการก็ไม่ได้สร้างความเดือนร้อนให้ใครแต่คนบางคนที่ไม่มีสติปัญญาก็ไม่ควรอาสาเข้ามานี่ครับ..′


และ  ′คุณคุณหมายความว่า หากมีอาชีพขายบริการแล้วต้องยกย่องก็คงได้มั้งครับ..ผมคิดว่าหากเข้าใจความหมายต่างกัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่หากจะเอาความคิดตัวเองว่าวิเศษ เลอเลิศแล้วก็คงไม่ต้องมาแสดงความคิดเห็นกันครับ..ผมจะพูดอย่างไร ก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ได้พล่ามและไร้สติ..ความหมายก็แล้วแต่ผู้อ่านจะคิดและตัดสินกันเอง..อย่าเอาความคิดตัวเองไปตัดสินคนอื่นครับ..และหากจะกล่าวว่าผมดูถูกก็ตามสบายแต่บอกแล้วว่าผมรังเกียจพวกเกียจคร้านแต่อยากสบายโดยวิธีง่ายๆก็เท่านั้น..ส่วนคุณจะชอบหรืออย่างไรก็ตามสบายคุณครับ..′

ต่อมา ข้อความดังกล่าวได้ถูกแชร์ (แบ่งปัน) ในเฟซบุ๊ก เป็นจำนวนมาก โดยมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและโต้แย้ง สำหรับตัวอย่างความเห็นโต้แย้งที่มีต่อข้อความของนายเอกยุทธ มีอาทิ


ข้อความในเฟซบุ๊กของ "เพียงคำ ประดับความ" กวีการเมือง ที่ระบุว่า "เอกยุทธ อัญชันบุตร -- ไร้สติปัญญาและโง่เขลา ยังสามารถเอาชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงเด็ดขาด พอชนะแล้วขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เอกยุทธบอก ′หน้าด้าน′ แล้วคนที่ไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้ง แต่ยังดันขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในอดีตนั้นน่ะ ต้องเรียกว่าอะไร -- ในสังคมประชาธิปไตย จะวิจารณ์อะไรก็วิจารณ์กันได้ จะวิจารณ์แบบนี้ก็วิจารณ์ได้ แต่ต้องอาศัยความหน้าด้านหน่อยเท่านั้นเอง"


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 พฤศจิกายน 2554, 19:35:42
"ผู้นำ"กับ"อำนาจ" พี่แม้ว-น้องปู ไม่ใช่ต่างแค่"เพศ"

วันที่ 03 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 13:39:08 น.


เวลานี้หลายคน เอาภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี มาเปรียบเทียบกับ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี

น้องสาวแท้ๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ปลุกปั้นมากับมือ

แน่นอน พ.ต.ท.ทักษิณเคยกล่าวเอาไว้ว่า น้องสาวคนนี้เหมือนเขาทุกอย่าง ต่างกันอย่างเดียวคือความเป็นหญิงกับชาย

จริงอยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประสบความสำเร็จอย่างสูงตามกรอบคิดและทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม

พิสูจน์ได้จากผลประกอบการและโครงสร้างของกำไรกิจการที่ริเริ่ม ก่อตั้ง และบริหาร ก่อนการเข้ารับตำแหน่งหรือแสดงบทบาททางการเมือง

กระทั่งสามารถใช้ความสำเร็จเหล่านั้น เป็นฐานเข้ายึดกุมอำนาจรัฐด้วยกลไกการเลือกตั้งสำเร็จในที่สุด

ในมุมหนึ่งทางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกมองว่า เป็นกลุ่มนายทุนที่หวังเข้ามาแสวงหาผลกำไร

แน่นอน เมื่อลงทุนก็ต้องหวังกำไร

หากแต่ในทางการเมือง การหวังทำกำไร เปรียบได้กับ "หายนะ" ของตัวเอง

แต่สิ่งหนึ่งที่สังคมได้จาก พ.ต.ท.ทักษิณ คือ การคิดนอกกรอบ

เพราะหลายครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มักพูดด้วยความภาคภูมิใจอยู่เสมอว่า

"..ผมเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นคน "คิดนอกกรอบ" พร้อมที่จะหา "ลู่ทางใหม่ๆ" มาแก้ปัญหา

หลายครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวกับสื่อมวลชน หรือกับผู้ฟังกลุ่มอื่นๆ ทำนองว่า "กฎหมายนั้นเป็นเพียงเครื่องมือ มีได้ก็แก้ได้ เพื่อเป้าหมายที่วางไว้"

หากนำคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อ 6-7 ปีก่อนมาปรับใช้ในสถานการณ์ปัจจุบัน

สถานการณ์ที่น้ำนองทั่วประเทศ เชื่อว่าสิ่งที่หลายคนมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ลุแก่อำนาจ อาจจะเป็นประโยน์ในสถานการณ์ที่นายกฯยิ่งลักษณ์เผชิญอยู่

สิ่งหนึ่งที่ไม่เห็นในตัวของนายกฯยิ่งลักษณ์เลยก็คือ "ความเด็ดขาด" ในฐานะผู้มีอำนาจในฝ่ายบริหาร

"คำสั่ง" ของผู้นำไร้ความศักดิ์สิทธิ์

ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนในแต่ละวันถึง "ความหวัง" ที่ประชาชนคนไทยจะได้รับ

เพราะในแต่ละวันสิ่งที่คนตื่นตาแล้วประสบก็คือ การรุกคืบของน้ำจำนวนมหาศาลที่ไหลไปอย่างไร้ขอบเขต และการประกาศเขตพื้นที่อพยพ

"โอกาส" ที่ประชาชนมอบให้ "อำนาจ" บริหารที่อยู่ในมือ คือความได้เปรียบ

แต่ทั้งหมดคงอยู่ที่ "จะกล้าใช้" หรือ "ใช้เป็น" หรือไม่

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดว่า นายกฯยิ่งลักษณ์เหมือนตัวเองทุกอย่าง คงไม่จริง

ความแตกต่างระหว่าง "เพศ" ไม่น่าจะเป็นอุปสรรค ปัญหา เพราะเวลานี้ผู้หญิงแถวหน้าเยอะแยะ

หากแต่ก่อนพูดหรือก่อน "ชง" น้องสาวขึ้นนั่งแท่นบริหารประเทศบนความเสี่ยง ต้องรู้นิสัย ใจคอ ความกล้า ความเด็ดขาด มีอยู่ในตัวน้องสาวคนนี้หรือไม่

อดีตคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ หลายคน มองการบริหารน้ำของรัฐบาลมีปัญหาเพราะ "ผู้นำ" ไม่เป็น "ผู้นำ"

"ผู้นำ" กลายเป็น "ผู้ตาม"

"ผู้ตาม" ที่ทำอะไรก็ต้องว่าตามความเห็นของ ศปภ. ตามความเห็นของข้าราชการประจำ

แตกต่างจากสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่นั่งหัวโต๊ะสั่งการทุกอย่างที่จะสามารถทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

ไม่ใช่เลวร้ายหนักเหมือนปัจจุบัน

มีการยกตัวอย่าง เมื่อรู้ว่าน้ำมาถึงนครสวรรค์ ทำไมไม่มองข้ามช็อตถึงแนวทางการป้องกันที่มากกว่าการกั้นกระสอบทราย

การขุดลอกคูคลองส่งน้ำให้กว้างขึ้นเพื่อให้เป็นคลองระบายน้ำ ให้ใหญ่และกว้างขึ้น การจัดเตรียมเครื่องสูบขนาดใหญ่ที่สั่งตรงมาจากต่างประเทศ

นั่นคือ "แผนแรก"

การเตรียมตัด เจาะ รื้อ ประตูระบายน้ำ หรือถนน ที่ขวางทางน้ำ เพื่อให้น้ำระบายลงสู่ทะเลโดยเร็ว

น่าจะเป็น "แผนสอง" ที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการ ก่อนน้ำจะไหล่บ่าเข้าท่วมอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร

หากไม่สามารถหยุดยั้งมวลน้ำก้อนใหญ่ได้ "แผนสาม" ก็น่าจะเป็นการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ ด้วยการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า เพื่อให้รับรู้ข่าวสารที่เป็นจริง

พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อาสามัคร เข้าไปเป็น "ผู้พิทักษ์ทรัพย์สิน" ของประชาชน

นี่คือการบริการจัดการอย่างเป็นระบบ

ที่หลายคนเห็นเมื่อครั้งรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหา "สึนามิ" ที่มีระบบการจัดการที่มีรูปธรรม และเสร็จสิ้นโดยไว

ด้วยเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ "อำนาจ" ในมืออย่างเต็มที่

"อำนาจ" มีไว้เพื่อให้ลงมือทำอย่างมีสติ เด็ดขาด และมีวิชั่น ในภาวะที่คนทั้งประเทศประสบเคราะห์กรรม

"อำนาจ" ไม่ได้มีไว้เพื่อประดับเกียรติและวงศ์ตระกูล หรือเชิดหน้าชูตาในสังคม

โดยเฉพาะ "อำนาจทางการเมือง"

เพราะที่สุดแล้วเมื่อใช้ "อำนาจ" ไม่เป็น "อำนาจ" ที่อยู่ในมือ ก็จะกลายเป็น "บูมเมอแรง" ที่ย้อนมาทำร้ายตัวเอง

 หน้า 3,มติชนรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2554


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 พฤศจิกายน 2554, 20:11:16
คำคมจากสื่อต่างๆ

น้ำท่วม ทำให้คนไทยเครียดกันไปหมด มาเล่นเกมส์ทายปัญหาดีกว่า

อะไรเอ่ย?โง่เกินสิ่งมีชีวิตที่เคยมีมา ตั้งแต่โลกใบนี้ได้ก่อกำเนิดขึ้นในระบบสุริยะจักรวาล

รอคนมาเฉลย

สงสัยชาตินี้ "ถ้าSheยังไม่ตาย.... She คงไม่หายโง่" เนอะ
คิดไง ?? ถึงเกิดมาโง่

งูอะไรเอ่ย น่ากลัวที่สุด?

 คำตอบ....งูโป้...


  คณะของนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการลงพื้นที่และมอบถุงยังชีพ อาหาร พร้อมน้ำดื่ม ระหว่างทางได้โยนลูกบอลจุลินทรีย์ หรือ อีเอ็มบอลเพื่อบำบัดน้ำด้วย ก่อนจะสวนกับเรือของพระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงได้นิมนต์พระสงฆ์รูปเพื่อนำถุงยังชีพใส่บาตร และยังได้หยิบถุงบรรจุอีเอ็มบอล จำนวน 2 ถุงขึ้นมา พร้อมอธิบายสรรพคุณของอีเอ็มบอลให้พระสงฆ์ฟัง เมื่ออธิบายจบก็เตรียมจะนำถุงอีเอ็มบอลใส่ลงในบาตร แต่ขณะนั้นพระสงฆ์รูปดังกล่าวได้รีบปิดฝาบาตร แล้วนำกระดาษมารองบนบาตรเพื่อใช้แทนผ้ารับประเคนถุงอีเอ็มบอลจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ทัน

อุ๊ยตาย! ปูนึกว่าไข่เค็มดินสอพองลพบุรีเสียอีก เหมี๊ยน
เหมียนกันเปี๊ยบเลย นะเคอะ


สมชื่อ พี่ชายดูไบ น้องสาวดูโง่

ขอให้ความโง่ ลอยไปกับสายน้ำ...สาธุ

ทนเอาหน่อย นะเค่อะ...เพราะ พี่เขา ให้หนู อยู่ถึง 8 ปี......ยังมีเรื่อง เบล๋อๆ....(โง่ๆ) อีกเยอะ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 พฤศจิกายน 2554, 09:58:30
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 01:00

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


    ทั้งรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ กทม. ของคุณชายสุขุมพันธุ์ บริพัตร ต้องพิสูจน์ให้คนไทยเห็น

 ว่าหลังจากเราเสียนิคมอุตสาหกรรมไปแล้ว 7 แห่งทางเหนือของกรุงเทพฯ จะสามารถปกป้องนิคมอุตสาหกรรมที่เหลือทางใต้ของเมืองหลวง
ได้หรือไม่?

 พร้อมๆ กับที่ต้องบริหารความหงุดหงิดและปัญหาของชาวบ้านที่พังคันกั้นน้ำเพราะทนสภาพน้ำท่วมเป็นเดือนในบริเวณทางเหนือของ กทม.ไม่ได้

 เป้าหมายต่อไปของมวลน้ำมหาศาลคือนิคมอุตสาหกรรมบางชัน และลาดกระบัง ตามมาด้วยนิคมบางปูและบางพลี

 รัฐบาลกับ กทม. ไม่สามารถสานประโยชน์กันอย่างมีเหตุมีผล ไม่สามารถอธิบายให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนเข้าใจได้ว่า จะได้การชดเชยอันสมควรเพราะต้องทนทุกข์ทรมานกับการปกป้องหัวใจด้านเศรษฐกิจของเมืองหลวง, จึงทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างชาวบ้าน, ตำรวจ, เจ้าหน้าที่ กทม. จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ทำให้ไม่มีใครบรรลุเป้าหมายอันควรของตน

 รัฐบาลไม่สามารถปกป้องจังหวัดทางเหนือ กทม., รัฐบาล กทม. ไม่สามารถรักษาคำพูดว่าจะทำให้เมืองหลวงไม่ท่วม และชาวบ้านจำนวนมากก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจะต้องรับภาระแห่งความไร้ประสิทธิภาพของผู้บริหารบ้านเมืองทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นได้

 ต่างประเทศเฝ้าดูสถานการณ์น้ำท่วมของเมืองไทยด้วยความเป็นห่วงและกังวล แต่ขณะเดียวกันนักลงทุนและนักท่องเที่ยวก็ประเมินฝีมือการทำงานของรัฐบาลมาทุกจังหวะ

 นักลงทุนใหญ่จากญี่ปุ่น, ยุโรป และเอเชียอื่นๆ ตั้งคำถามแน่นอนว่าหากรัฐบาลมีเวลาหลายสัปดาห์หลังจากเสียนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดอยุธยาและปทุมธานีไปแล้ว, จะพิทักษ์รักษานิคมอุตสาหกรรมทางใต้ได้เพียงใด

 จะเป็นเรื่องที่ตอกย้ำความล้มเหลวของการบริหารของรัฐบาลทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นของกรุงเทพฯ อย่างยิ่ง หากว่ามีเวลาตระเตรียมยาวนานเพียงนี้, แล้วนิคมอุตสาหกรรมที่เหลือจะยังโดนท่วม โรงงานต้องหยุดการผลิตและผู้คนต้องหนีกันจ้าละหวั่นอีกรอบหนึ่ง

 เหมือนไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนสดๆ ร้อนๆ ก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อยกระนั้นหรือ?

 ถึงวันนี้เราก็ยังไม่ได้เห็นภาพรวมของ “ยุทธศาสตร์” ของส่วนกลางในการจัดลำดับความสำคัญเพื่อกำหนดให้คนทั้งประเทศได้รับรู้ว่าจะปกป้องส่วนไหน และจะยอมสละส่วนไหนเพื่อให้ผ่านวิบัติภัยครั้งนี้ด้วยความเสียหายน้อยที่สุด

 และทำอย่างไรประชาชนในแต่ละเขตจึงยอมรับการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาล...อีกทั้งใครที่เสียหายมากจะต้องได้รับการชดเชยและดูแลเป็นพิเศษจากทางรัฐบาลกลางอย่างไร?

 คำถามเหล่านี้ยังไม่ได้รับคำตอบไม่ว่าจะมาจากนายกรัฐมนตรีเอง หรือคณะรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หรือศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) แต่อย่างไร

 อีกทั้งยังไม่มีความแน่ชัดว่าขอบเขตหน้าที่ของ ศปภ.นั้นอยู่ตรงไหน จะเป็นแค่ “ช่วยเหลือผู้ประสบภัย” เท่านั้น หรือมีภารกิจเกี่ยวกับการบริหารมวลน้ำ หรือการบริหารความเคลื่อนไหวของชาวบ้านที่ไม่ประสบความเดือดร้อนถึงขั้นที่เข้าไปพังคันกั้นน้ำ

 ไม่แน่ชัดว่า ศปภ. สามารถคุยกับนักการเมืองทั้งระดับพรรคและระดับชาติและระดับท้องถิ่นที่ไปเกี่ยวข้องกับการพังคันกั้นน้ำได้มากน้อยเพียงใด

 ไม่ชัดเจนว่า ครม. กับ ศปภ. แบ่งหน้าที่กันอย่างไร และข่าวล่าสุดเมื่อวานนี้ที่ว่าจะมีการปรับโครงสร้างการทำงานของ ศปภ. เพื่อให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ “คุมเองหมด” นั้นหมายถึงอะไร

 คำประกาศของ ศปภ. หรือ กทม. ว่าที่ไหนจะท่วมหรือไม่ท่วม, จะท่วมนานเท่าไหร่ และสถานการณ์วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น ถึงวันนี้ไม่ได้มีเปอร์เซ็นต์ของ “ความน่าเชื่อถือ” เท่าไหร่แล้ว

 ทุกอย่างพิสูจน์กันวันต่อวัน, วัดกันว่าชั่วโมงที่แล้ว ทางการพูดไว้ว่าอย่างไร และชั่วโมงนี้ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเท่านั้น

 วิกฤติอุทกภัยยังรุนแรงน้อยกว่าวิกฤติศรัทธาเป็นไหนๆ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 พฤศจิกายน 2554, 21:54:39
ประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างไร?

ดร.วิรไท สันติประภพ veerathai@post.harvard.edu
2 พฤศจิกายน 2554

วิฤตการณ์บ้านเมืองจมน้ำครั้งนี้ สร้างความเสียหาย เสียโอกาส และเสียอนาคตแก่คนไทยหลายล้านคน
คนไทยทั้งตกใจและสลดใจกับภาพมวลน้ำมหาศาลหลากจากทุ่งเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรมมูลค่าหลายแสนล้านบาท สนามบินที่เป็นศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล โดนน้ำท่วมอย่างรวดเร็วจนเก็บของไม่ทัน บ้านเรือนของประชาชนจำนวนมากที่สร้างจากเงินออมทั้งชีวิต ต้องจมน้ำนานเป็นเดือน แรงงานหลายแสนคนตกงาน ธุรกิจจำนวนมากต้องเลิกกิจการ เพราะขาดเงินทุนมาบูรณะหลังน้ำท่วม และลูกค้าต่างประเทศไม่สามารถวางใจสั่งสินค้าหรือใช้บริการได้ต่อไป

เพื่อนผมที่เป็นทหารกลับบ้านมาจากชายแดน ตกใจว่ากระสอบทรายที่คนกรุงเทพฯ สร้างป้องกันน้ำท่วมสูงกว่าบังเกอร์จริงในสนามรบ เห็นกระสอบทรายตามตึกต่างๆ แล้ว ไม่แน่ใจว่าเดินอยู่ในกรุงเทพฯ หรือในประเทศที่มีสงครามกลางเมือง ถนนในกรุงเทพฯ ว่าง เพราะคนเอารถไปจอดทิ้งตามสะพานลอยและทางด่วน คนกรุงเทพฯ ต้องกังวลกับการใช้น้ำประปาที่ถูกปนเปื้อนด้วยน้ำเน่า หลายคนไม่เชื่อตัวเองว่า จะหาซื้อน้ำดื่มและอาหารไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไทยเป็นผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก   

วิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความตกต่ำของผู้บริหารประเทศและนักการเมือง ไม่น่าเชื่อว่าไทยจะมีรัฐบาลที่ไม่สามารถบริหารประเทศในภาวะวิกฤติได้ นายกรัฐมนตรีออกมายอมรับว่า ไม่สามารถสั่งใครได้ ประชาชนไม่เห็นแนวทางจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ รัฐบาลดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับการสร้างภาพในแต่ละวัน มากกว่าการมุ่งให้เกิดผลสำเร็จ แถลงข่าวของนายกรัฐมนตรีและของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแต่ละครั้ง ทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจสงสัยเพิ่มขึ้น มากกว่าสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน และที่เลวร้ายที่สุดคือพฤติกรรมของนักการเมืองที่ทำตัวเป็นมาเฟียท้องถิ่น นำประชาชนทำลายคันกั้นน้ำ และทำตัวเป็นโจรขโมยของบริจาคของประชาชนไปใส่ชื่อของตัวเอง จัดสรรให้เฉพาะพรรคพวกของตน โดยหวังแต่ผลทางการเมืองแบบไม่มียางอาย และไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย น่าเสียดายที่ของบริจาคจำนวนมากถูกทิ้งให้ลอยน้ำอยู่ที่ดอนเมือง ขณะที่ผู้ประสบภัยต้องทนทุกข์อยู่ตามที่ต่างๆ

นอกจากความตกต่ำของผู้บริหารประเทศและนักการเมืองแล้ว น้ำท่วมครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานราชการ ที่แต่ละหน่วยคิดและทำงานแบบหน่วยใครหน่วยมัน ขาดการประสานงานและการทำงานที่มุ่งผลสำเร็จร่วมกัน นอกจากนี้ ยังขาดการคิดและทำงานเชิงรุก และขาดการบริหารจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบทันต่อสถานการณ์ ได้ฟังข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน อธิบายถึงแนวทางการจัดการน้ำแล้ว ไม่ประหลาดใจว่า ทำไมน้ำท่วม เพราะคำอธิบายมีแต่น้ำขาดเนื้อหาสาระ และพูดเอาใจนักการเมืองมากกว่าที่จะให้ข้อเท็จจริงแก่ประชาชน

วิกฤตการณ์บ้านเมืองจมน้ำ จนเกิดความเสียหายมหาศาลครั้งนี้ ได้ตั้งข้อสงสัยให้คนไทยทั้งประเทศว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีคณะกรรมการอิสระขึ้นมาศึกษาถึงสาเหตุ และปัญหาเกี่ยวกับการแก้ไขวิกฤติครั้งนี้จริงจัง ภัยธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับได้ แต่น้ำท่วมครั้งนี้ สะท้อนถึงความอ่อนแอของภาครัฐไทย สะท้อนให้เห็นถึงการขาดความรู้ ความสามารถ และภาวะผู้นำของรัฐบาล สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ และสะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมของนักการเมืองและผู้มีอำนาจบางกลุ่ม ปัญหาของเมืองไทยจึงไม่ใช่เพียงแค่จะจัดการน้ำให้ลดลงได้อย่างไร หรือจะกู้บ้านเมืองที่จมน้ำไปแล้วให้กลับคืนมาได้อย่างไร แต่เป็นปัญหาว่าเมืองไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างไร ภายใต้ความอ่อนแอ และความเสื่อมของภาครัฐและนักการเมือง

นอกจากภัยธรรมชาติจะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปีแล้ว ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับภัยคุกคามด้านอื่นๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่จะยังอยู่กับเราไปอีกหลายปี ภัยจากโรคติดต่อที่รุนแรงและกลายพันธุ์ได้เร็ว คุณภาพระบบการศึกษาไทยที่ตามไม่ทันประเทศเพื่อนบ้าน ความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่เสื่อมลงเรื่อยๆ ภัยจากนโยบายประชานิยมที่ส่งผลให้ประชาชนหวังแต่พึ่งรัฐ และทำลายฐานะการคลังของประเทศ ภัยจากยาเสพติด และภัยจากความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนที่พร้อมจะลุกขึ้นเป็นเหตุการณ์จลาจล ภัยคุกคามเหล่านี้อาจปะทุขึ้นก่อนฤดูฝนหน้า และอาจสร้างความเสียหายระยะยาวมากกว่ามวลน้ำที่ไหลเข้าท่วมบ้านท่วมเมืองก็ได้

นักลงทุนต่างประเทศในนิคมอุตสาหกรรมที่จมน้ำไปแล้ว ได้แจ้งรัฐบาลว่า จะยังไม่ถอนการลงทุนจากไทย ถ้ารัฐบาลแสดงให้เห็นว่าจริงใจและจริงจังที่จะช่วยกอบกู้โรงงานของเขากลับคืนมา และแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า มีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเช่นนี้อีกในอนาคต รัฐบาลมีเวลาจำกัดที่ต้องสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นในหมู่นักลงทุนต่างประเทศ ถ้าหลังน้ำลดแล้วรัฐบาลยังไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการอีก ยากที่จะดึงนักลงทุนต่างประเทศให้คงอยู่ในไทยได้ และคนไทยจำนวนมากคงต้องตกงาน

ประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างไร จะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงประเทศภายหลังจากน้ำลด คนไทยโชคร้ายที่ไม่สามารถถอนการลงทุนและย้ายไปประเทศอื่นได้เหมือนนักลงทุนต่างประเทศ แม้ศรัทธาที่เคยมีต่อรัฐบาลและภาครัฐจะจมน้ำหายไปเช่นกัน

ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงได้ต้องใช้พลังจำนวนมหาศาล และพลังจะเกิดได้ต่อเมื่อคนไทยมีศรัทธา การเปลี่ยนแปลงประเทศจึงต้องเริ่มจากการสร้างศรัทธาให้กลับคืนมา โดยเฉพาะศรัทธาในตัวผู้นำ ผู้นำไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง แต่ต้องทำงานร่วมกับคนที่มีความรู้ได้ รู้ที่จะยอมรับว่าตัวเองไม่รู้บางเรื่อง รู้ที่จะฟัง และรู้ที่จะสื่อสาร กล้าตัดสินใจเพื่อมุ่งหวังผลสำเร็จโดยไม่ได้หวังเพียงการสร้างภาพทางการเมือง ที่สำคัญที่สุด ผู้นำทุกระดับต้องยอมรับสภาพและขีดจำกัดความสามารถของตัวเอง ถ้าผู้นำได้แต่ดันทุรัง และหวังให้ผ่านพ้นไปวันๆ จะไม่สามารถสร้างศรัทธาเกิดขึ้นได้ และรังแต่จะสร้างความเสียหายให้ประเทศมากขึ้น

นอกจากการวางแผนปฏิรูประบบการบริหารจัดการน้ำของประเทศแล้ว ไทยต้องปฏิรูประบบราชการจริงจัง ต้องสร้างความแข็งแกร่งให้ภาครัฐ ต้องสร้างให้ภาครัฐเป็นผู้รู้จริงในด้านต่างๆ  ต้องสร้างระบบแรงจูงใจให้หน่วยงานราชการทำงานร่วมกันได้โดยมุ่งผลสำเร็จและประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง และต้องวางระบบไม่ให้นักการเมืองคุณภาพต่ำเข้าไปแทรกแซงหน่วยงานราชการได้โดยง่าย

ท้ายที่สุด ประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงเมื่อภาคประชาชน ข้าราชการ ธุรกิจ และสื่อมวลชน ร่วมกันจัดการนักการเมืองที่เลวแบบไร้คุณธรรม โดยอาจเริ่มจากการจัดการนักการเมืองมาเฟียที่ขโมยของบริจาคไปใส่ชื่อตนเอง อย่างไร้ยางอาย และไม่เกรงกลัวกฎหมาย ถ้าเราร่วมกันดำเนินคดีอาญานักการเมืองเหล่านี้จนถึงที่สุดได้ น้ำท่วมคราวนี้อาจไม่เสียเปล่า เป็นโอกาสอาศัยน้ำทุ่งไล่น้ำเน่าในสภา

แม้ว่าน้ำท่วมบางพื้นที่จะลดลง และบ้านเมืองที่จมน้ำไปจะถูกกู้ขึ้นมาได้ แต่ถ้าคราวนี้คนไทยไม่ร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างจริงจังแล้ว ผมสงสัยว่าประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างไร?
   


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 05 พฤศจิกายน 2554, 22:24:47
มา ครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 พฤศจิกายน 2554, 23:04:14
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 05 พฤศจิกายน 2554, 22:24:47
มา ครับ
มาตามท่อ หรือเปล่า


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 พฤศจิกายน 2554, 23:08:26
นายกหญิงคนแรก ของประเทศอะไรไม่รู้...

เมื่อน้ำเริ่มท่วมใหม่ๆ เธอออกจากบ้านใส่รองเท้ายางยี่ห้อดังของอังกฤษ คู่ละเกือบหมื่น
ไปลุยน้ำ๋ท่วม เพื่อโชว์แอ็คชั่นและรองเท้าสวย

น้ำท่วมผ่านไปหลายๆสัปดาห์ มีเรื่องราวเกี่ยวกับเธอมากมาย ผ่านหูผ่านตาเข้ามา ให้แทบอ๊วกแตกอ๊วกแตน
ด้วยความทุเรศและอดสูใจ แบบไม่น่าเชื่อไปตามๆกัน

เมื่อวานสดๆร้อนๆ เธอออกไปเยี่ยมชุมชนสรงประภา พร้อมใส่ถุงมือยาง ป้องกันเชื้อโรค ร่างเธอนั่งอยู่บนเรือ
 ใส่เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อย ผมจัดทรง หน้าผัดแป้ง เมคอัพอย่างแจ่ม...เช่นเดิม..เฮ้ออออ...

ในขณะที่ชาวบ้านสรงประภา ที่มาคอยรับของบริจาค ยืนเรียงรายเป็นพันๆคน ร่างครึ่งตัวอยู่ในน้ำเหม็น ดำ เน่า พร้อมข้างกายมีกาละมังคนละ 1 ใบ หน้าตาเคร่งเครียด วิตกกังวล ความหวังทุกคน เพียงแค่รอรับของบริจาคจากมือท่านนายกหญิงคนงาม ซึ่งมือเัธอ ก็สวมถุงมือยางป้องกันเชื้อโรค ที่อาจจะสัมผัสระหว่างยื่นส่งให้ชาวบ้าน (ที่ยืนแช่อยู่ในน้ำเน่า)

ขณะเดียวกัน เธอก็ทำแอ็คท่า โยนโปรยปรายลูกบอลอีเอ็มไปทั่วๆ ทั้งๆที่น้ำก็เคลื่อนไหวไหลไปมา ไม่รู้จะโยนลงไป ทำ(ห)ฮ่าอาราย...

ความปัญญาอ่อนเด๋อด๋าขั้นเทพโดยกำเนิด มีออกมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
ทำให้เธอตัดสินใจ ใส่บาตรพระด้วยอาหาร พร้อมแถมขนมเป็นลูกอีเอ็มบอลลงไปในบาตรด้วย
 ก็เลยโดนพระดุไปนิ่มๆ ใ้ห้แยกออกไปเสีย เพราะบาตรพระรับแต่อาหารเท่านั้น แต่ไม่ใช่ลูกอีเอ็มฆ่าน้ำเน่า

นอกจากนี้ เขาให้มาก็มา เขาให้แจกก็แจก แต่ไม่เคยถามไถ่อะไร ว่าแถบนี้มีชาวบ้านอยู่อาศัยกี่คน
และของจะเพียงพอต่อจำนวนปชชหรือไม่ เรียกว่าไม่เคยห่วงใย ใส่ใจชาวบ้านอย่างแท้จริง
 สุดท้ายยังมีชาวบ้านรออีกเพรียบ แต่ของแจกหมดเกลี้ยง ไม่เพียงพอแจก ก็เลยเจอด่าขรมไปตามระเบียบ

แต่นายกหญิงเธอไม่ซีเรียสนะ จะด่าก็ด่าไป กลับแล้วเดี๋ยวจะไปเม้าท์สไกป์ ฟ้องพี่เหลี่ยม
 แล้วบอกว่า วันนี้เจอหนักแต่ก็รอดตัว ได้เป็นนายกหญิงต่อ ได้อีกวันหนึ่งแล่ววววค่าาาาาา............

ไม่อยากเขียนต่อ เขียนแล้วของขึ้น...
ขอให้ท่านๆมองหาความทุเรศของท่านนายกหญิงคนแรกของประเทศอะไรไม่รู้  ต่อกันเอง...............
นายกหญิงคนแรกแห่งประเทศอะไรไม่รู้

ทู่เรศตัวเองจริง ที่มาอยู่ในประเศนี้ ฮ่วย.....


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 พฤศจิกายน 2554, 23:23:38
คุณชาย” เข้ม! ขีดเส้นศปภ. 48 ชม. สั่งกรมชลฯ เปิดประตูระบายน้ำหนองจอก    

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 พฤศจิกายน 2554 15:57 น.    

      
ผู้ว่าฯ กทม. กร้าว!! ส่งหนังสือถึงฉบับที่ 5 พร้อมขอแรงหนุนช่วยชาวบ้าน ให้เวลาศปภ. 48 ชั่วโมง สั่งกรมชลประทานเปิดประตูระบายน้ำหนองจอก หลังเดินเครื่องระบายน้ำไม่เต็มกำลัง สุดอั้นบอกทนไม่ได้ปล่อยชาวบ้านเดือดร้อน ห่วงสถานการณ์เมืองหลวงวิฤกตรอบด้าน พร้อมขอบคุณ 18 จังหวัดจับคู่ส่งเสบียงช่วยน้ำท่วม
       
       วันนี้(5 พ.ย.) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของ กทม.ว่า ยังคงน่าเป็นห่วงโดยระดับน้ำได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงวานนี้ (4 พ.ย.) กทม.ได้ทำหนังสือถึง ศปภ.แล้ว 4 ฉบับในการขอความช่วยเหลือ สนับสนุนเรือ เครื่องสูบน้ำ อาหาร น้ำดื่ม และกำลังพล เพื่อเร่งระบายน้ำให้เร็วที่สุด รวมถึงสถานการณ์น้ำฝั่งตะวันออกที่ยังมีน้ำเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องวันละ 5-20 ซม. ในวันนี้(5 พ.ย.) กทม.จะทำหนังสือถึง ศปภ.อีกฉบับที่ 5 ให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำออก
       
       ผู้ว่ากทม. กล่าวอีกว่า เนื่องจากที่ทราบข้อมูลยังมีประตูระบายน้ำของกรมชลประทานที่หนองจอกทำงานไม่เต็มที่ บางประตูยังปิด จากการเฝ้าติดตามพบที่หนองจอกมีเครื่องสูบน้ำ 20 เครื่อง เสีย 3 เครื่องใช้ได้ 17 เครื่อง แต่เปิดเดินเครื่องเพียง 9 เครื่อง โดยกทม.หวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากศปภ. และประกาศให้เวลาตัวเอง 48 ชม.(หลังจาก 11.00น. วันนี้) หากยังไม่มีการสนับสนุนหรือได้รับความร่วมมือตามที่ส่งหนังสือไปจะต้องทบทวนอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะการที่เข้ามารับตำแหน่งนั้นไม่ได้เข้ามาเพื่อให้ประชาชนต้องได้รับความเดือดร้อน จะต้องทำทุกทางเพื่อแก้ปัญหาให้ได้
       
       นอกจากนี้ ในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในเขตที่ปกครองของกทม. 18 เขต จะจับคู่กับจังหวัด 18 จังหวัด ในการประกอบอาหารส่งไปแจกจ่ายในพื้นที่ ได้แก่ เขตบางพลัดกับ จ.ตรัง เขตตลิ่งชันกับ จ.ราชบุรี เขตทวีวัฒนากับจ.เพชรบุรี เขตบางแคกับจ.อุดรธานี ดอนเมืองกับจ.นครราชสีมา เขตสายไหมกับจ.เชียงราย เขตหลักสี่กับจ.เชียงใหม่ เขตบางเขนกับจ.อุตรดิตถ์ เขตหนองจอกกับจ.บุรีรัมย์ เขตคลองสามวากับจ.ภูเก็ต เขตลาดพร้าวกับจ.อุบลราชธานี เขตวังทองหลางกับจ.สุรินทร์ เขตจตุจักรกับจ.กาญจนบุรี เขตบางซื่อกับจ.พิษณุโลก เขตมีนบุรีกับจ.สงขลา เขตลาดกระบังกับจ.ปราจีนบุรี เขตคันนายาวกับจ.สระแก้ว และเขตบางกอกน้อยกับจ.นครพนม โดยผู้ว่าฯกทม.ได้ขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 18 จังหวัดที่เข้ามาช่วยเหลือ กทม.ด้วย
       


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤศจิกายน 2554, 09:24:24
หวัดดีนก สบายดีไหมครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤศจิกายน 2554, 09:30:59
หมดเวลานายกฯ สมองกลวง
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    5 พฤศจิกายน 2554 06:08 น.    

พี่ดูไบ น้องดูโง่-ภาพประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงภูมิรู้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ขณะนำถุงอีเอ็มบอลเตรียมใส่บาตรพระด้วยความไร้เดียงสา
จนพระต้องรีบปิดฝาบาตรแล้วนำกระดาษมารองบนบาตรเพื่อใช้แทนผ้ารับประเคนแทน
ขณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในพื้นที่
 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง วัดไผ่เขียว ตลาดโกสุมรวมใจ หมู่บ้านบูรพา 7 เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา


      
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คงจะไม่เกินเลยไปนัก ถ้าจะกล่าวว่า ในยุคที่ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี
คือยุคที่ประชาชนชาวไทยได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากมหาอุทกภัยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ขณะที่ประเทศชาติก็พินาศย่อยยับและฉิบหายชนิดไม่สามารถประเมินค่าได้
       
       และถ้าหากถามว่า นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยคนนี้มี “ความโดดเด่น” ที่ตรงไหนบ้าง
เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คงต้องใช้เวลานานพอสมควร ขณะที่หลายคนอาจจะทำหน้างงๆ เพราะคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่า
 เธอมีคุณสมบัติอะไรที่เหมาะสมสำหรับการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศที่มีประชากรกว่า 60 ล้านคน
       
       ยิ่งเมื่อประเทศชาติต้องเผชิญหน้ากับมหาอุทกภัย เราก็ยิ่งได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์มากขึ้นเป็นลำดับ
       
       ไร้เดียงสา...
       ขาดภาวะผู้นำ...
       ฯลฯ
       
       แน่นอน คงไม่มีใครปฏิเสธว่า สาเหตุที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีของไทยนั้น มีเหตุผลเพียงประการเดียวคือ เธอเป็นน้องสาวของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง และ นช.ทักษิณก็ไม่ไว้ใจใครให้มานั่งเก้าอี้ตัวนี้นอกเสียจากน้องในไส้สุดที่รักของตัวเอง
       
       ด้วยเหตุดังกล่าว เส้นทางในการก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของเธอจึงโรยด้วยกลีบกุหลาบ มิได้ใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองในการต่อสู้ดิ้นรน เพราะมีคนเตรียมการใส่พานเอาไว้ให้พร้อมสรรพเรียบร้อย
       
       กล่าวคือ หลังจากที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมีมติเลือก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 1 ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เส้นทางในการเถลิงอำนาจของเธอก็เป็นไปอย่างราบรื่นและในท้ายที่สุดก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมใจผู้เป็นพี่ชาย
       
       เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีผู้มาประเคนตำแหน่งให้แทบเท้าโดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร
       
       เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยมีประวัติการทำงานการเมือง ทำงานเพื่อสังคมหรือทำงานเพื่อประเทศชาติ ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเลยแม้แต่น้อย
       
       ด้วยเหตุดังกล่าว จงอย่าแปลกใจว่า ทำไมเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงทำอะไรไม่เป็น แถมคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลของเธอแต่ละคนยังเป็นรัฐมนตรีแถวสามแถวสี่ของระบอบทักษิณที่มิได้มีฝีไม้ลายมือเลยแม้แต่น้อย
       
       ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่เมื่อเกิดวิกฤตน้ำท่วม คณะรัฐบาลชุดนี้จึงตกอยู่ในสภาพ “เป็ดง่อย” ที่ทำอะไรไม่เป็น
       
       ที่สำคัญ สิ่งที่สังคมต้องไม่ลืมก็คือ นอกจากโคลนนิงผู้พี่จะมีประกาศิตให้เธอเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยแล้ว แรงผลักประการสำคัญที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีก็คือ การก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองของ “คนเสื้อแดง” เพื่อโค่นล้มรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ผู้ “ดีแต่พูด”
       
       ดังนั้น เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์เถลิงอำนาจมาด้วย “ไฟ” นายห้างตราดูไบจึงจำเป็นที่จะตอบแทนบรรดาหัวหมู่ทะลวงฟันและแกนนำคนเสื้อแดงผู้จุดไฟเผาบ้านเผาเมืองด้วยตำแหน่งสำคัญๆ มากมาย ทั้งในรัฐบาล ทั้งในกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ รวมกระทั่งถึงในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่เอาอ่าว
       
       ทั้งนี้ เมื่อผู้นำรัฐบาลคือตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์เองก็มิได้มีความสามารถ และเป็นเพียงหุ่นเชิดให้พี่ชายชี้นิ้วสั่งการ ดังนั้น ทุกครั้งที่เธอออกมาสื่อสารกับประชาชน จึงเป็นไปอย่างงกๆ เงิ่นๆ ข้อมูลไม่ชัดเจน ประชาชนเกิดความสับสนกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น เพราะคำพูดของเธอไม่อยู่กับร่องกับรอย
       
       ที่สำคัญคือ สถานการณ์น้ำท่วมได้เริ่มก่อตัวทั่วประเทศตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม และก้าวเข้าสู่ภาวะระดับวิกฤตในเดือนกันยายน แต่ก็มิได้มีความเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมในการบริหารจัดการแต่อย่างได้ กระทั่งเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงเดือนตุลาคม นายกฯ ยิ่งลักษณ์จึงเพิ่งตื่นจากภวังค์และจัดตั้ง ศปภ.ขึ้นที่ดอนเมือง
       
       จากนั้น เธอก็อ่านสคริปต์ที่มีคนเขียนให้และประกาศออกมาอย่างหน้าตาเฉยด้วยวลีที่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คนไทยทั้งประเทศจดจำได้ดี “เอาอยู่ค่ะ” กับกรณีที่น้ำกรีธาทัพบุกนิคมอุตสาหกรรมนวนคร แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามนั้น เพราะเพียงชั่วข้ามคืน กองทัพน้ำก็บุกถล่มนวนครราบเป็นหน้ากลอง
       
       ขณะที่การแถลงข่าวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งโฆษกน้ำยาขัดส้วมชื่อ “วิม” ก็ยิ่งทำให้สังคมเกิดความสับสนและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนขาดความน่าเชื่อถือ ส่งผลทำให้ประชาชนหันไปพึ่งพิงข้อมูลผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์แทน
       
       วอลล์สตรีทเจอร์นัลได้นำเสนอบทความชื่อ “Thai Turn to Social Media for Flood Updates” ว่า ประชาชนชาวไทยต่างเบื่อหน่ายกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลซึ่งให้ข้อมูลแสนสับสนหรือเสนอรายงานที่ขัดแย้งกันเองภายในหน่วยงาน บางครั้งแถลงว่า ระดับน้ำกำลังลดลง แต่มวลน้ำกลับไหลทะลักกินบริเวณกว้างขึ้นในเวลาต่อมา ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายสังคมออนไลน์จึงกลายเป็นสื่อที่รายงานข้อมูลได้รวดเร็วที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในบางกรณี
       
       ยิ่งนานวัน คนไทยก็ยิ่งเห็นศักยภาพที่มีอยู่ในตัวนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยผู้นี้มากขึ้น ทั้งการใช้คนที่ไม่เหมาะสมกับงาน ดังกรณีการตั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นประธานศูนย์ ศปภ. ทั้งๆ ที่ความจริงหน้าที่นี้ควรจะเป็นของ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่คุมผู้ว่าราชการจังหวัด และควบคุมองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั้งประเทศ
       
       ขณะที่ตัวนายกรัฐมนตรีเองก็พิกลพิการเพราะนอกจากจะไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย พูดจาวกวนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แถมยังพูดจาโชว์รอยหยักในสมองอย่าง เรือดำน้ำ-เรือดันน้ำ หญ้าแพรก-หญ้าแฝก ให้เป็นที่ตลกขบขันกันทั้งบ้านทั้งเมือง
       
       นอกจากนี้ เมื่อตอบคำถามไม่ได้ก็ใช้วิธีปิดปากเดินหนีนักข่าว จากนั้นก็ได้ส่งคนใกล้ชิดมาชี้แจงว่า เหตุที่นายกฯ ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ไม่ใช่เป็นเพราะงอนที่ถูกสื่อจี้ถามหลายๆ คำถาม แต่งอนผู้สื่อข่าวบางคนที่ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนเกินไปโดยไม่ยิ้มแย้มแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไร้อำนาจสั่งการที่แท้จริงอีกต่างหาก
       
       กรณีประตูระบายน้ำคลองสามวาคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เพราะแม้กระทั่ง “นายวิชาญ มีนชัยนันท์” ผู้เป็นแค่เพียง ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็สามารถเอาใจม็อบด้วยการใช้อำนาจสั่งเปิดประตูระบายน้ำคลองสามวาสูงขึ้นอีก 1 เมตร ทั้งๆ ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เพิ่งยืนยันกับสื่อมวลชนไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าว่า ปัญหาม็อบคลองสามวาจบแล้ว โดยรัฐบาลจะเปิดให้ 80 ซม.
       
       แถมสุดท้ายก็มิได้มีความเด็ดขาดในการควบคุมฝูงชนที่ไปพังคันดินข้างประตูระบายน้ำคลองสามวา จนทำให้ประตูระบายน้ำแห่งนี้หมดสภาพที่จะควบคุมน้ำได้ในฉับพลันทันที จน กทม.ต้องเร่งรีบประสานงานในการซ่อมแซมในทันที และนั่นส่งผลทำให้ทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ ต้องตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 นิคมอุตสาหกรรมที่อกสั่นขวัญแขวนอยู่ในขณะนี้ นั่นคือนิคมอุตสาหกรรมบางชัน ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของไทย และนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง
       
       แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ทำให้สนามบินสุวรรณภูมิสุ่มเสี่ยงที่จะตกอยู่ในสภาพเดียวกับสนามบินดอนเมืองอีกต่างหาก
       
       รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวเพราะเป็นเพียงหุ่นเชิดซึ่งมีผู้มีอำนาจที่เหนือกว่าสั่งการแทนได้
       
       แน่นอน ชาวบ้านที่ทนทุกข์อยู่กับน้ำท่วมขังและทนไม่ไหวจนเกิดม็อบกดดันย่อมไม่ใช่ผู้ผิด เพราะพวกเขาได้รับความเดือดร้อนจริง แต่คนที่ผิดก็คือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มิมีปัญญาในการเจรจา มิมีปัญญาในการบริหารจัดการและช่วยเหลือชาวบ้านเหล่านั้นให้เห็นถึงสภาพที่แท้จริงของปัญหา
       
       อีกตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา นายกฯ ยิ่งลักษณ์ประกาศยืนยันอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า มวลน้ำใหญ่ไม่มีแล้ว แต่กระทั่งถึงวันที่ 3 พ.ย. ภาพที่สังคมได้เห็นก็คือการรุกคืบของมวลน้ำที่ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งธนบุรีที่น้ำท่วมรุกเข้าไปถึงย่านบางแค ด้านถนนพหลโยธินที่น้ำท่วมบุกมาถึงเมเจอร์รัชโยธิน เช่นเดียวกับถนนวิภาวดีรังสิต ที่มวลน้ำทะลุทะลวงมาถึงวัดเสมียนนารี และกำลังรวมตัวกันถล่มห้าแยกลาดพร้าว
       
       น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงกลายเป็น “ตัวตลก” ของประชาชนที่ไม่มีใครให้ความเชื่อถืออีกต่อไป
       
       ทั้งนี้ แหล่งข่าวระดับสูงยืนยันว่า ใจความสำคัญที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายผ่านทางสไกป์ (Skypeโปรแกรมสำหรับคุยโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต) โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมปรึกษาด้วยนั้น มิได้อยู่ที่แผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม หากแต่อยู่ที่ประโยคเด็ดที่ว่า “ไม่อยากเป็นนายกฯ แล้ว พี่แม้วขา”
       
       หรือหมายความว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถอดใจในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเอาเสียดื้อๆ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเมื่อผู้เป็นพี่ชายชักแม่น้ำทั้ง 5 อ้อนวอนขอให้ประคับประคองรัฐบาลนี้ต่อไป
       
       ประกอบกับขุนพลที่อยู่รอบกายก็มิได้มีความสามารถสมกับเก้าอี้ที่ได้รับ เพราะการเลือกคนที่มาเป็นรัฐมนตรีมิได้มองที่ความสามารถ หากแต่มุ่งใช้คนที่สามารถตอบสนองคำสั่งและช่วยเหลือนายใหญ่ดูไบให้เหยียบแผ่นดินไทยได้อีกครั้ง จึงทำให้รัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาให้สำเร็จลุล่วง หรือแม้กระทั่งบรรเทาปัญหามิให้หนักหนาสาหัสไปกว่าที่เป็นอยู่ก็ยังทำไม่ได้
       
       ดังนั้น กลไกต่างๆ ของรัฐบาลจึงง่อยเปลี้ยเสียขา มิหนำซ้ำแต่ละคนยังเชียร์กันเองครื้นเครงอยู่ในกะลาดังข้อมูลที่ประชาชนรับทราบในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา เมื่อนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ ครม.ที่ปิดการประชุม ครม.ด้วยการทิ้งท้ายว่า “ท่านนายกฯ สู้” ตามต่อด้วยการที่บรรดารัฐมนตรีพร้อมใจกันปรบมือกึกก้องพร้อมกับลุกขึ้นมารายล้อมนายกฯ เพื่อพูดให้กำลังใจ
       
       ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ในขณะนี้บรรดาแกนนำคนเสื้อแดงกำลังหาทางช่วยรัฐบาลยิ่งลักษณ์กันอย่างจ้าละหวั่น ด้วยการหา “แพะ” เพื่อโยนความผิดทั้งหลายทั้งปวงไปให้อย่างไร้ยางอาย โดยที่ไม่ได้เคยคิดหันกลับไปทบทวนความผิดพลาดของตัวเองแล้วแก้ไขเลยแม้แต่น้อย
       
       เพราะในความเป็นจริง ตอนที่เกิดปัญหาอุทกภัย รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ามาทำหน้าที่ได้เกือบ 2 เดือนแล้ว
       
       นี่จึงเป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบที่น่าอัปยศอดสู
       
       สถานภาพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในเวลานี้จึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับคำว่า “รัฐล้มเหลว” หรือ “Failed State” เนื่องเพราะเป็นรัฐที่ไม่สามารถรักษาความมั่นคงภายในหน่วยงานของรัฐ และไม่สามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของปวงชนชาวไทยได้
       
       ยิ่งกับกรณีล่าสุดในการเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในพื้นที่ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง วัดไผ่เขียว ตลาดโกสุมรวมใจ หมู่บ้านบูรพา 7 ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของ “นายการุณ โหสกุล” เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังโชว์รอยหยักที่มีอยู่น้อยนิดในสมองจนเป็นที่น่าขบขันถึงความไร้เดียงสา
       
       กล่าวคือขณะที่คณะนายกรัฐมนตรีได้สวนกับเรือของพระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาต น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นิมนต์พระสงฆ์รูปหนึ่งเพื่อนำถุงยังชีพใส่บาตร และยังได้หยิบถุงบรรจุอีเอ็มบอล จำนวน 2 ถุงขึ้นมา พร้อมอธิบายสรรพคุณของอีเอ็มบอลให้พระสงฆ์ฟัง เมื่ออธิบายจบก็เตรียมจะนำถุงอีเอ็มบอลใส่ลงในบาตร แต่ขณะนั้นพระสงฆ์รูปดังกล่าวได้รีบปิดฝาบาตร แล้วนำกระดาษมารองบนบาตรเพื่อใช้แทนผ้ารับประเคนถุงอีเอ็มบอลจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ทัน และพระรูปดังกล่าวได้ขอให้นายกฯ แยกออกต่างหาก
       
       พระเจ้าช่วยกล้วยทอด นี่หรือนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
       
       สุดท้ายคงต้องฝากบทกวี “ปูดำรำพัน” ที่กำลังกระหึ่มโซเชียลเน็ตเวิร์กในขณะนี้ ซึ่งได้สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้อย่างชัดเจนชนิดที่ไม่ต้องหาคำใดๆ มาอธิบายเพิ่มเติม
       
       หนูก็แค่ ทำตาม พี่เค้าสั่ง
       ไม่อยากดัง แต่ขัดพี่ นี้ไม่ได้
       พี่เค้าบอก ให้หนู ทำเพื่อไทย
       หนูเลยกลาย เป็นนายก ตลกดี
       
       หนูไม่รู้ อะไร ตั้งหลายอย่าง
       คนรอบข้าง บอกให้ทำ อย่างนั้น-นี้
       หนูก็งง และก็มั่ว ในบางที
       ก็อย่างที่ หญ้าแฝก หญ้าแพรกไง
       
       หนูไม่กล้า พูดสด กดดันมาก
       สคริปต์ยาก อ่านไม่ทัน มันไม่ไหว
       ก็เลยต้อง โยนคนโน้น คนนี้ไป
       ให้ถามไป กระทรวงใคร กระทรวงมัน
       
       งานเยอะแยะ ทำไม่ทัน ดันน้ำท่วม
       หนูก็อ่วม จะทำไง ซ้ายขวาหัน
       กั้นตรงโน้น แก้ตรงนี้ พังทุกวัน
       ก็หนูมัน ไม่เคย เลยนี่นา
       
       คนรอบข้าง เก่งหรือไม่ หนูไม่รู้
       เท่าที่ดู เก่งทางปาก หลายคนหนา
       ทั้งพี่ปอด พี่ตู่ เจ๊สุดา
       เก่งแต่หา เรื่องให้หนู อยู่ทุกวัน
       
       หนูโดนด่า ในเน็ต ในเฟซหนู
       ตั้งกระทู้ ด่ากระจาย หลายเวอร์ชั่น
       สุดจะทน โดนด่า ว่าทุกวัน
       หนูอัดอั้น แต่พี่เค้า ให้อดทน
       
       ไม่อยากเปน นายกแล้ว พี่แม้วขา
       ช่วยกลับมา จากดูไบ หนูไม่สน
       ใครอยากเปน ก็เปนไป หนูไม่ทน
       พี่เปนคน สร้างปัญหา ต้องมาเคลียร์
       
       หนูขอกลับ ไปเปนปู อยู่อย่างเก่า
       คิดแล้วเรา อยู่ไป ไม่คุ้มเสีย
       ทุกวันนี้ หนูเหนื่อย หนูอ่อนเพลีย
       พี่เปนเชี่ย อะไร ไม่กลับมา...



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤศจิกายน 2554, 09:35:41
พี่ดูไบ ตอบ น้องดูโง่
.
.
.
จงเชื่อฟังพี่เถิดโอ้น้องลักษณ์
เชื่อพี่ทักษณ์..ลักษณน้องอย่าหมองศรี
เจ้าจงเป็นนายกรัฐมนตรี
ตามที่พี่เร่งรีบถีบเจ้าเป็น

ไม่ต้องรู้มันไปเสียทุกเรื่อง
จะมีข้าเชื่องเชื่องไว้คอยเข็น
หญ้าแฝกหญ้าแพรก..ที่หน้าแหกเช้า-เย็น
ผิดเจ้าตู่เจ้าเต้นมันบอกไม่ทัน

พี่รู้..น้องไม่กล้าเวลาพูดสด
น้องขี้หดตดหายเสียงสายสั่น
จะจ้างสื่อช่วยลดความกดดัน
ถาม-ตอบที่เตี้ยมกันเท่านั้นพอ

งานใดพี่ไม่เกี่ยวข้อง..ไม่ต้องทํา
และเรื่องนํ้าที่ท่วมจนอ่วมหอ
อ่วมเมืองอ่วมนาน..ชาวบ้านลอยคอ
หยุดซิหนอ..หยุดเอาอยู่ให้รู้เวลา

คนรอบข้างไม่เก่งการแต่เก่งโกง
เคยคลุกคลีตีโมงคนคุ้นหน้า
ทั้งเจ้าปอด..เจ้าตู่..เจ๊สุดา
พี่เอาเงินฟาดหัวมาก็ทั้งนั้น

พี่เห็นน้องถูกด่าเช็ดในเฟสน้อง
ด่าจนควายตั้งท้องกลายเป็นหมัน
อีง่าว..อีโพย..โอ๊ยยสารพัน
ฟังพี่นะจอมขวัญจงอดทน

อย่าเพิ่งเบื่อเป็นนายก..นะน้องลักษณ์
พี่ยังมีชนัก..เจ้าต้องสน
ไว้ใจใครได้เท่าเจ้า..เล่าหน้ามล
แต่ละคนเก่งสอพลอรอชเลียร์

หากน้องกลับไปเป็นปูอยู่อย่างเก่า
พี่คงเน่าคงแย่มีแต่เสีย
คุกก็รอ..เงินก็หมด..รันทดเพลีย
เข้าใจไหม eเหรี้ย..กลับได้ไง..

Copy มาให้อ่าน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤศจิกายน 2554, 10:29:59
เอาอยู่ แตกแล้ว เสียใจ และช่วยตัวเอง

โดย : บุญชัย ปัณฑุรอัมพร

การช่วยเหลือผู้อื่น ก็เหมือนการช่วยเหลือตัวเอง การช่วยเหลือตัวเองก็เหมือนการช่วยเหลือผู้อื่น เข้าตำรา One for All, All for all

วันนี้ ผมขอยืมวลียอดฮิตอย่างคำว่า เอาอยู่ [color=#0062FF]แตกแล้ว เสียใจ และช่วยตัวเอง ที่ชาว FaceBook พูดคุยกันในหลากหลายแง่มุมของช่วงภาวะฝ่าวิกฤตน้ำท่วมปี พ.ศ. 2554 นี้ มาประกอบบทความครับ[/color]


เอาอยู่  เหตุการณ์ในวันนี้คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องน้ำท่วมกันอีกแล้วว่า “เอาอยู่” หรือไม่  แต่ที่สำคัญคือ กำลังใจว่ายังเอาอยู่หรือไม่


ลองดูกรณีเหล่านี้นะครับ สองสามีภรรยาที่เคยทำงานในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ มีรายได้รวมกันประมาณ 4 หมื่นกว่าบาทต่อเดือน สามีเป็นหัวหน้าช่าง ภรรยาเป็นหัวหน้าคิวซี วันนี้ทั้งคู่ต้องตกงานและหนีน้ำไปอยู่ขอนแก่น ไปรับจ้างล้างรถรายวัน ได้ค่าแรงวันละ 160 บาทต่อคน รวม 2 คนก็ตกราวๆ 5 พันบาทต่อเดือน เงินที่เคยส่งลูกเรียนและส่งพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายที่ต่างจังหวัดจะเอาอยู่ได้อย่างไร


อีกกรณีหนึ่ง เป็นช่างทำผมที่อยุธยา ได้เงินเดือนรวมทิปเดือนละหมื่นเศษๆ หนีน้ำมาที่ร้านทำผมข้างๆ เซ็นทรัลปิ่นเกล้าเมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้น้ำตามมาที่ร้านเสริมสวยแห่งใหม่ ระดับน้ำสูงสุดที่ 1.20 เมตร ตอนนี้ร้านปิด เข้าใจว่าช่างทำผมคนเดียวกันนี้ก็ยังเอาอยู่ด้วยการหนีน้ำไปหางานทำผมที่ร้านอื่นต่อไป


ขณะที่ แม่ ลูก และหมาชิสุหนึ่งตัวพร้อมรถคู่ใจ ที่หนีน้ำออกมาได้ทันท่วงที หยิบทันแค่โทรศัพท์มือถือติดตัวมาได้เท่านั้น วันนี้เดินทางมาที่ปราจีนบุรีมาอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อ จำต้องทิ้งบ้านหลังใหญ่ สมบัติ เอกสารสำคัญ ข้อมูลเกี่ยวกับงานทั้งหมดให้จมน้ำที่บางบัวทอง วันนี้จะเอาอยู่หรือไม่ หรือแม้แต่ภาพที่เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ ภาพของคนลอยคอ ลอยรถเข็น ลุยน้ำท่วมปิ้งลูกชิ้นขายเพราะลูกต้องใช้เงินทุกวัน


ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในวันนี้คงต้องอาศัยเวลาในการเยียวยาให้ลุกขึ้นสู้ต่อไป อย่างคำคมที่เพื่อนของผม คุณบุญยงค์ ตันสกุล CEO บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด มักจะพูดเสมอว่า “เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าเสียกำลังใจ”


แตกแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้หลายคนบอกว่า เปรียบเหมือนเสียกรุงฯ ครั้งที่สาม มองไปในด้านลบ จะเห็นว่า โรงงานต้องปิดไปมากกว่าพันแห่งใน 7 นิคมอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อยอดผลิตสินค้าต่างๆ  วัตถุดิบและสินค้าที่ผลิตเสร็จเตรียมส่งออกก็เสียหาย คลังสินค้าถูกน้ำท่วมทำลาย ที่ยังไม่เสียหายก็จัดส่งไปขายไม่ได้ เพราะบริษัทขนส่งต่างๆ ก็ปิดตัวเอง การจัดส่งสินค้าด้วยทีมรถของตัวเองก็ขัดข้อง รถจมน้ำทำให้ กระจายสินค้าไปยังภาคอื่นๆ ของประเทศไม่ได้ ยอดขายตกต่ำ ผู้คนตกงานขาดรายได้ กำลังซื้อหด โครงการหมู่บ้าน ทั้งที่ยังขายไม่หมดหรือที่ขายดาวน์ไปแล้วคงต้องหยุดชะงัก ผู้ที่กำลังผ่อนก็อาจจะหยุดผ่อน พวกผ่อนดาวน์จบแล้วก็ลังเลไม่ยอมโอน ธนาคารจะมีหนิ้เสียทั้งจากรายบุคคลและเจ้าของโครงการเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยก็ต้องเป็นขาลงแน่นอน เพื่อแบ่งเบาภาระทุกภาคส่วน รายได้ธนาคารจะตกต่ำ หุ้นธนาคารก็อาจจะร่วง หุ้นร่วงผู้คนก็จะจับจ่ายใช้สอยน้อยลง รายได้ที่จะกระจายต่อไปก็จะน้อยลง กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม ก็คงถูกยกเลิกกันไป การใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวก็คงหายตามไป การลงทุนจากต่างชาติก็จะหดตัวด้วยความไม่พร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติของบ้านเรา


ภาคเกษตรที่เป็นเรื่องหลักในการส่งออกจมน้ำ ตลอดจนการส่งออกชิ้นส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไอที ก็สะดุดไม่สามารถส่งออกไปประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปได้ กระทบต่อยอดจำหน่ายในตลาดโลก ส่งออกน้อยลง จากนี้ไปหลายองค์กรจำเป็นต้องกู้เพิ่ม รัฐเองก็ต้องกู้เพิ่ม จำเป็นต้องนำเข้าน้ำดื่ม อาหาร ยา และอื่นๆเพิ่มมากขึ้น ตัวเลขขาดดุลการค้าจะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สุดเงินบาทก็จะอ่อนค่าลง  เศรษฐกิจย่ำแย่  นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐอย่างบ้านหลังแรก รถคันแรก จำนำข้าว ฯลฯ ต่างก็ล้มละเนระนาดไปด้วยเช่นกัน


ในทางกลับกัน มองไปในด้านบวกด้วยการเปรียบเปรยกับหลังภูเขาไฟระเบิด ลาวาที่ปะทุพวยพุ่งทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดิน ทำลายพืชไร่นาสวน บ้านเรือน ชีวิตผู้คนและสัตว์ต่างๆนาๆ  กลับกลายเป็นการสร้างชีวิตใหม่ให้งอกงามมากยิ่งขึ้น แร่ธาตุต่างๆ เกิดขึ้นจากลาวาที่สงบลงเป็นปุ๋ยธรรมชาติชั้นดีให้พืชพันธ์เจริญงอกงามยิ่งกว่า ชีวิตเกิดใหม่มากมาย ท้องฟ้าสดใส และเป็นวัฏจักรที่มาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง


ฟ้าใหม่กำลังมา วันนี้น้ำที่นครสวรรค์ ลพบุรี อ่างทอง อยุธยา เริ่มลดและแห้งแล้วในบางพื้นที่ ผู้คนจึงเริ่มทำ Big Cleaning กัน สัปดาห์ก่อนที่น้ำถล่มกรุงเทพฯ ใครได้สังเกตราคาหุ้นที่ขึ้นติดต่อกันหรือไม่ นักลงทุนต่างชาติมองเรื่องน้ำท่วมเป็นเรื่องที่มาแล้วก็ต้องไป ดังนั้น การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจในด้านลบที่ร่ายยาวมาแต่ต้นก็จะย้อนกลับไปในทางบวกทั้งหมดโดยเร็ว ด้วยพลังแห่งความสามัคคีที่ต้องไม่ให้แตกครับ


เสียใจ ภาวะฝ่าวิกฤตน้ำท่วมนี้ ทำให้ผมมองเรื่องการศึกษาบ้านเราที่ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้นเรายังจะต้องเสียใจกันแบบนี้ต่อไปทุกๆปี ความรู้พื้นฐานในเชิงภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวกับภัยพิบัติโดยเฉพาะน้ำท่วม พวกเราไม่มีในหัวเลย วิกฤตครั้งนี้ พวกเราเพิ่งจะได้เรียนรู้เรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ได้ยากเย็นอะไร เป็นเรื่องพื้นๆใกล้ตัวเราทั้งสิ้น คลองมากมายในพื้นที่ที่เราอยู่ เราไม่เคยรู้จักมาก่อน วันนี้ก็ได้รู้ มีกี่คนที่เคยได้ยินชื่อคลองสามวา ความสำคัญของแต่ละคลองเป็นอย่างไร มันทำหน้าที่อะไร น้ำไหลจากไหนไปไหน เมื่อไรจะขึ้นจะลง พื้นที่ไหนต่ำสูง ระดับน้ำทะเลเกี่ยวข้องอย่างไร เขื่อนทำงานยังไง ตลอดจนแนวทางป้องกัน นวัตกรรมต่างๆ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ


แม้ว่าในประวัติศาสตร์ เราจะอยู่กับน้ำมาตลอด แต่เราไม่เคยเรียนรู้เลย ได้เรียนแต่ “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว” กันตั้งแต่เล็ก มุ่งเน้นแต่เรื่องของการทำมาหากินแบบทุนนิยมกันจนเคยชิน ทุกอย่างใช้เงินจ้างหมด รู้จักแต่ว่าจะเรียกช่างน้ำ ช่างประปา ช่างไฟ ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า ท่อต่างๆในบ้านมันต่อมันเดินกันอย่างไร ไฟฟ้าดูด ไฟรั่วได้ยังไง ไม่มีหนังสือ ประเภท how to อย่างในต่างประเทศ


ปัญหาน้ำท่วมวันนี้ทุกคนเสียใจและยอมรับว่าเป็นปัญหาของตนเอง ชีวิตที่ต้องพลิกผันกันไป ต่างๆนาๆ หากยังไม่คิดแก้ไขมาเรียนรู้เรื่องท้องถิ่น เรื่องใกล้ตัว ศึกษากันแบบภัยพิบัตินิยมหรือน้ำท่วมนิยม (ไม่) ให้มากกว่าเรื่องของทุนนิยม พวกเราคนไทยก็คงจะต้องเสียใจและเสียหน้าไม่กล้าไปมาเลเซียอีกต่อไป


ช่วยตัวเอง การช่วยเหลือตัวเองในภาวะวิกฤตเช่นนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุด ทำตัวไม่ให้เป็นภาระของผู้อื่น เพื่อให้ผู้ที่มีศักยภาพ ผู้ที่มีจิตอาสา ภาคเอกชนที่ก่อตั้งเป็นกลุ่มก้อน ทำงานได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้นเพื่อลดจำนวนผู้เดือดร้อน หันไปช่วยเหลือผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น คนป่วย คนชรา ผู้พิการ และเด็กเล็ก ยังช่วยให้สิ่งของทั้งอุปโภคและบริโภคเพียงพอต่อผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จริงๆ ในห้วงแห่งความโกลาหลนี้ เราได้เห็นผู้ที่จริงใจและไม่จริงใจกันแล้ว ใครทำทีช่วยเหลือ ใช้ตำแหน่งและอำนาจเข้ามาจัดการมากกว่าจิตที่บริสุทธิ์ ใครเอาหน้า กักตุนสินค้า สวมรอย เข้ามาทำการค้า โกงกิน ใครถือวิกฤตเป็นโอกาสที่แฝงไปด้วยแผนงานและโครงการคอรัปชั่นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเบาะๆ ที่เห็นๆ ก็อย่างเช่น เรือที่ได้รับบริจาคจากบริษัทแอร์โรคลาสหรือในส่วนที่ขายในราคาทุนเพียงไม่กี่พันบาท วันนี้ถูกนำมาจำหน่ายโก่งราคาถึงเกือบแปดพันบาท ถุงทรายที่ถุงละไม่ถึงสิบบาทวันนี้ราคาขึ้นไปถึงเจ็ดแปดสิบบาท น้ำดื่มที่กักตุนกันไว้หรือได้รับบริจาคมาก็มีการนำมาขายในราคาเอากำไรเกินควร ทับถมความลำบากให้กับผู้คนมากยิ่งขึ้น

 ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตน้ำดื่มสะอาดรายย่อยเกือบ 7 พันบริษัทจากทั่วประเทศร่วมมือกันขายในราคาเดิม ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าน้ำดื่มจากต่างประเทศ เจ้าของกิจการที่มีจิตใจดี อย่างโรงแรมที่เกิดวิกฤต ชาวต่างชาติยกเลิกห้องพัก วันนี้หลายๆแห่งก็ยินดีลดราคาพิเศษให้กับคนไทยด้วยกันเอง บริษัทเอกชนหลายแห่งไม่เพียงแต่จัดตั้งทีมอาสาช่วยเหลือผู้คน บริจาคทั้งสิ่งของและปัจจัย สินค้าที่ขายกันอยู่ทั่วไป  ต่างก็ลดราคาแบบยิ่งกว่า Clearance Sale กันมากมาย ด้วยหวังเพียงแค่บรรเทาทุกข์ บรรเทาราคาให้กับผู้คนครับ

 
การช่วยเหลือผู้อื่น ก็เหมือนการช่วยเหลือตัวเองเช่นเดียวกับการช่วยเหลือตัวเองก็เหมือนการช่วยเหลือผู้อื่น ที่สุดก็เข้าตำรา One for All, All for One


หลายคนคงเบื่อข่าวน้ำท่วม เบื่อคำว่า เอาอยู่ แตกแล้ว เสียใจ และช่วยตัวเอง ที่ได้ยินกันทุกชั่วโมง
 ลองมาดู         คลิปเด็ก ๆน่ารัก ๆจากไทย พีบีเอส นี้สิครับ http://www.youtube.com/watch?v=tQDVcgYSvFE  อย่างไหนดีกว่า


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤศจิกายน 2554, 23:38:50
รัฐบาลจ้างออร์แกไนซ์ให้'ยิ่งลักษณ์'ลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วม

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


     
   
       

รัฐบาลจ้างออร์แกไนซ์ให้"ยิ่งลักษณ์"ลงพื้นที่ ลุยกิจกรรมช่วยน้ำท่วม ปชป.หวั่นตั้งงบกลางช่วยน้ำท่วมอาจมีหมกเม็ด อ้างเหตุไม่มีใครตรวจสอบได้

เมื่อเวลา 09.30 น.ของวันนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะอาทิ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เดินทางด้วยรถบรรทุก6ล้อ ตระเวนแจกถุงยังชีพและยารักษาโรคให้ประชาชนตั้งแต่ทางลงสะพานกรุงธนไปจนถึงศูนย์พักพิงโรงเรียนบวรมงคลซอยจรัญสนิทวงศ์ 46 ซึ่งซอยดังกล่าวอยู่เยื้องๆคนละฟากถนนกับบ้านพักของนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ทั้งนี้ในการแจกถุงยังชีพโดยมีประชาชนออกมารับแจกตลอดทาง

  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเดินทางมาแจกถุงยังชีพที่ศูนย์พักพิงโรงเรียนบวรมงคล พบว่าได้มีการว่าจ้างบริษัทออแกร์ไนซ์ของเอกชนแห่งหนึ่งมาดำเนินการให้นายกรัฐมนตรี พบปะประชาชนผู้ประสบภัยด้วย  และจากนี้ยังพบว่าในพิธีเปิดงาน " จิตอาสา เยียวยาประชาชน " ที่มีกระทรวงศึกษาธิการเป็นแม่งาน ณ พระลานพระราชวังดุสิต ในช่วงเช้าวันเดียวกัน ก็มีการจ้างออแกร์ไนซ์มาจัดงานให้ด้วยเช่นกัน โดยจุดที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก คือ การปล่อยควันดรายไอซ์ในช่วงที่ปล่อยคาราวานรถช่วยผู้ประสบภัย

หลังจากการพบปะประชาชนที่ศูนย์พักพิงฯ นายกรัฐมนตรีได้นั่งเรือของตำรวจน้ำข้ามฟากจากท่าวัดบวรมงคลฯมายังท่าเทเวศร์ เพื่อต่อรถตู้ไปตรวจน้ำท่วมที่บีบีมาร์เก็ต อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี โดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ นายวิทยา บูรณะศิริ รมว.สาธารณะสุข พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางมาด้วย ซึ่งนายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี รายงานสถานการณ์อุทกภัยที่จังหวัดนนทบุรีตอนหนึ่งว่า ภารกิจของจังหวัดดำเนินการมีสามภารกิจคือดูแลแนวคันกั้นน้ำให้มั่นคงแข็งแรง อพยพประชาชนมาที่ศูนย์พักพิง และนำอาหารไปให้ทั่วถึง แต่ทางจังหวัดมีขีดจำกัดเรื่องเรือติดเครื่อง เพราะหลายพื้นที่เข้าไปไม่ถึง จากนั้นนายอำเภอบางบัวทอง บางกรวย และบางใหญ่ ได้รายงานให้นายกฯทราบว่าทั้ง 3 อำเภอน้ำท่วม 100% เต็ม

 จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ปล่อยขบวนเรือบรรทุกถุงยังชีพและอาหารจำนวน 100 ลำ ให้กับประชาชนในอำเภอบางใหญ่เพื่อกระจายความช่วยเหลือ และต้องการให้เรือเข้าถึงประชาชนในทุกชุมชน ทุกจังหวัด และขอความร่วมมือผู้ใหญ่บ้านในการตั้งครัวของรัฐบาล ในการดูแลในระดับชุมชน และจะขอความร่วมมือจากนายอำเภอในการส่งความช่วยเหลือในทุกพื้นที่ ขณะนี้น้ำทะเลเริ่มลดแล้วขอให้ประชาชนอดทน รอให้น้ำระบายลงสู่ทะเล พร้อมกันนี้ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งประชาชน จะร่วมฟันฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน

จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะนั่งเรือเข้าไปในหมู่บ้านบางใหญ่ซิตี้ เพื่อมอบถุงยังชีพและพบปะประชาชน ซึ่งพบว่าในบางใหญ่ซิตี้น้ำท่วมมากกว่า 1 เมตร บางจุดท่วมสูงถึงเอวบางจุดท่วมถึงคอ แต่ก็ยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยยังอาศัยอยู่ในชั้นสองของบ้าน  ทั้งนี้น้ำในบางใหญ่มีสีดำและส่งกลิ่นเหม็นเนื่องจากน้ำขังเป็นเวลานานและมีขยะลอยเกลื่อน แต่อย่างไรก็ตามพบว่าระดับน้ำที่นี่ได้ลดลงประมาณ 20 ซม. โดยสังเกตุได้จากคราบตะไคร่ที่เกาะกับรั้วบ้าน

ต่อจากนั้นนายกรัฐมนตรีเข้าไปเยี่ยมเยียนประชาชนศูนย์พักพิงโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ์ 60 พรรษา ในบางใหญ่ซิตี้ พร้อมกับตั้งโรงครัวรัฐบาล โดยนายกฯได้มอบอาหารและรับประทานอาหารกลางวันกับชาวบ้านด้วย

ปชป.หวั่นรบ.ตั้งงบกลางช่วยน้ำท่วมอาจมีหมกเม็ด
 ที่พรรคประชาธิปัตย์  นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ว่า  ส่วนตัวหนักใจเรื่องงบที่จะใช้ในการฟื้นฟูน้ำท่วม เพราะปัญหาการตั้งงบกลาง คือ ไม่มีรายละเอียดบอกว่า รัฐบาลจะเอางบประมาณไปใช้ทำอะไรบ้าง มีแต่เขียนวัตถุประสงค์ไว้กว้างๆว่า ชดเชย  เยียวยา  ฟื้นฟู และซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภค  แต่ปัญหาคือการใช้งบกลางถือเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว  ระบบการตรวจสอบของฝ่ายค้านจะทำได้ยากมาก เพราะในชั้นของกรรมาธิการวิสามัญจะไม่รู้เลยว่า งบประมาณก้อนนี้  รัฐบาลเอาไปทำอะไร  ดังนั้นสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ มีการกระจายด้วยความเป็นธรรมและโปร่งใสมากน้อยเพียงใด

นายสาทิตย์  กล่าวต่อว่า  เฉพาะในเอกสารร่างงบประมาณที่ส่งมาแม้พยายามจะชี้แจงว่า เนื่องจากตอนจัดทำร่างงบประมาณ น้ำยังไม่ลด  จึงทำให้ไม่สามารถประเมินความเสียหายได้   จึงต้องเอาไปใส่ไว้ในงบกลาง แต่ในความเป็นจริงช่วงที่มีการทำงบประมาณนั้น  เรามีถนนและพื้นที่ ซึ่งพ้นจากภาวะอุทกภัยแล้วในหลายพื้นที่ และดูจากเอกสารการประชุม ครม.ที่ทางกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวงชนบท และหน่วยงานอื่นๆได้รายงานความเสียหายไว้ชัดเจน ก็ควรแยกความเสียหายออกไปจัดอยู่ในกระทรวงต่างๆ และลงรายละเอียดเพื่อให้สภาสามารถตรวจสอบได้ เหมือนสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดทำงบกลางปีโดยแจกแจงในรายละเอียดชัดเจน ดังนั้นอยากเรียกร้องให้รัฐบาลชุดนี้ลงรายละเอียดของงบประมาณต่างๆให้ชัดเจนเช่นกัน

"งบน้ำท่วมจึงเป็นงบที่จะเปิดช่องให้มีการทุจริตกันมากและง่ายที่สุด  ดังนั้นฝ่ายค้านจะอภิปรายในส่วนนี้หลายคน รวมถึงงบยุทธศาสตร์ป้องกันอุทกภัยที่ตั้งไว้ 4.5 หมื่นกว่าล้านบาท จะต้องไปดูในรายละเอียดว่าที่รัฐบาลพูดเรื่องแผนบูรณาการน้ำ 25 ลุ่มแม่น้ำ เรื่องการทำระบบป้องกันระยะยาวมีอะไรบ้าง คิดว่า 2 เรื่องนี้จะมีการอภิปรายกันมาก เพราะรวมงบประมาณแล้วเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาท เข้าใจว่าส่วนหนึ่งที่ต้องใส่ไว้ในของงบกลาง เพราะต้องการอาศัยความคล่องตัวกรณีฉุกเฉิน แต่ก็มีการตั้งงบฉุกเฉินไว้ต่างหากอีก 6.6 หมื่นล้านบาท รวมกับงบกลางอีก 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งรวมแล้วเกือบ 2 แสนล้านบาท" นายสาทิตย์ กล่าว

 นายสาทิตย์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เราเป็นห่วงมากสุด คือ ปัญหาการโกงกินงบประมาณ แต่จะมีการจับตาดูอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะที่ครม.มีมติให้ทุกกระทรวงส่งมาตรการเยียวยาไปที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อทำการรวบรวมให้นายกฯ แต่ที่เราอยากเห็นมากกว่านั้น  คือ แผนการฟื้นฟูทั้งระบบว่าจะมีการทำอะไรบ้างและใช้แหล่งเงินจากไหน จะมีการกู้จำนวนเท่าไหร่ เพราะขณะนี้มีความสับสนว่า จะใช้จากงบประจำปี 55 จำนวนเท่าไหร่ และจากงบปี 54 ที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายการเท่าไหร่

ดังนั้นในขั้นตอนในสภาจะต้องมีการเสนอว่าจะมีการตรวจสอบความโปร่งใสในงบแต่ละตัวอย่างไร เพราะสิ่งที่ประชาชนกังวลคือการกระจายไม่เป็นธรรม ไปตามกำลังของอำนาจอิทธิพลทางการเมือง และยิ่งมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างกทม. กับรัฐบาล ขณะที่กทม. เป็นการบริหารของผู้ว่ากทม. ที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ ลำพังงบจากกทม.เพียงอย่างเดียวมาเยียวยาปัญหาคงไม่ไหว ดังนั้นความเป็นธรรมและความโปร่งใสจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ยังไม่ได้ยินมาตรการ หรือแนวทางที่ชัดเจนจากรัฐบาลคงต้องรอดูการตอบคำถามในสภาก่อน

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 พฤศจิกายน 2554, 10:43:03
ส.ส.เพื่อไทยบินฟ้อง"ทักษิณ"อัด"สุกำพล"ยับ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ส.ส.เพื่อไทยบินอินเดียฟ้อง"ทักษิณ"อัด"สุกำพล"ยับ ติงรัฐอ่อนประชาสัมพันธ์รมต.ปวกเปียก

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะส.ส.และสมาชิกของพรรคเพื่อไทย(พท.) รวมทั้งคนเสื้อแดง ได้ไปร่วมทอดกฐินพระราชทานที่วัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย โดยมีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นประธาน

ทั้งนี้ภายหลังทอดกฐินเสร็จ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้หารือกับคณะที่เดินทางไปถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในภาพรวม และมีการสรุปเพื่อเตรียมฟื้นฟูหลังน้ำลด ว่าจะต้องเร่งฟื้นฟูอย่างเต็มที่ภายใน 3 เดือน อย่างไรก็ตาม ระหว่างการหารือนายชาญยุทธ เฮงตระกูล เลขานุการรมว.คมนาคม ได้กล่าวตำหนิการบริหารงานของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม ว่ารวบอำนาจไว้คนเดียว ทั้งที่มีรัฐมนตรีช่วยถึง 2 คน นอกจากนั้นยังรวบอำนาจการบริหารจัดการงบประมาณภายในกระทรวงไว้ด้วย ขนาดตนเองเป็นเลขาฯ จะเข้าพบยังต้องขออนุญาตหน้าห้องก่อน ทำแบบนี้ได้อย่างไร ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้แต่พยักหน้ารับทราบ แต่ไม่ว่าอะไร

    นายชาญยุทธ กล่าวยอมรับว่า ได้เดินทางไปทำบุญทอดกฐิน ที่ประเทศอินเดีย โดยมีนายพายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสานพรรคเพื่อไทย เป็นคนนำคณะไป ซึ่งจะทำเป็นปกติอย่างนี้ทุกปี ทั้งนี้ได้พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพูดคุยถึงสถานการณ์อุทกภัยในประเทศไทย รวมทั้งเรื่องการเมืองทั่วไป ซึ่งส.ส.และสมาชิกพรรคได้สะท้อนปัญหาภายใน เรื่องการทำงานของรัฐมนตรีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รับฟัง แต่ตนไม่ขอพูดให้เกิดความเสียหาย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ส.ส.สมาชิกพรรคแทบทุกคนเห็นตรงกันคือ รัฐบาลมีจุดอ่อนที่การประชาสัมพันธ์ ส.ส.ทุกคนขยันขันแข็งลงพื้นที่ แต่ข่าวกลับออกไปเป็นไม่ทำงาน ซึ่งรัฐมนตรีที่ดูแลตรงนี้ปวกเปียกเกินไป ทำเรื่องสื่อไม่เก่งเท่าไหร่ ถือว่ายังใหม่ เชื่อว่าคงต้องมีการปรับเปลี่ยนกันหลายจุด และเมื่อสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลับมาคงต้องปรับกันขนานใหญ่

 "มันก็เปรียบเหมือนสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ถ้าแข่งรายการใหญ่ๆ อย่างแชมเปี้ยนลีกส์ ก็ต้องจัดตัวจริงลง ถ้ารายการเล็กๆ อย่างคาร์ลิ่งคัพ ก็ส่งพวกตัวสำรองลงไป ตอนนี้มีแมตช์ใหญ่ก็ต้องเอาตัวจริงกลับมาลง " นายชาญยุทธ กล่าว
 
ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับครม. ที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณแสดงความไม่พอใจรัฐมนตรี พร้อมระบุคนที่จะปรับย้ายว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยพูดถึงการปรับครม. ดังนั้นจึงไม่มีการพูดเรื่องการปรับย้ายตัวบุคคล

"การปรับครม.ถือเป็นอำนาจของนายกฯ สุดแล้วแต่ท่านจะพิจารณาว่าจะปรับหรือไม่ แล้วปรับใครบ้าง พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นอยากฝากบอกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สบายใจได้ อดีตนายกฯไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไร อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่าการปรับครม.เป็นเรื่องปกติทางการเมือง ต้องดูประสิทธิภาพการทำงาน และต้องมีการปรับคนให้เหมาะสมกับงาน"

comment ที่น่าสนใจ
 Bhazzakorn Yaitube Zivazobha · All position at เร็นเดอร์ริ่ง มีเดีย คอมมิวนิเคชั่น
เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ทำให้รู้ว่า คนไทยอยู่กันได้ โดยไม่ต้องมีผู้นำประเทศ
บุญญฤทธิ์ ตุลาพันธ์พงศ์ · มสธ
ให้กำลังใจพี่น้องประชาชนสู้ๆๆๆวิกฤต แต่ไม่ขอให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี เพราะมีคนชะเลียร์อยู่แล้ว
แม้แต่สื่อเองบางสำนักก็ยังหลับหูหลับตาเขียน จริงไหมครับ

Naphaporn Kiowwy รักในหลวง · Top Commenter
ทำไม สส. ต้องไปรายงาน นช.ทักษิณ.. นายกปูไปใหน? หรือมัวแต่ เอา..อยู่?

Jo Montanee · Top Commenter
สมเพช SMS ในทีวีเหลือเกิน ส่งกันนัก"นายกหญิงแกร่ง อดทนกว่าชายอกสามศอก"
"ให้กำลังใจนายกหญิง แก้ปัญหาเก่งมากๆ"... เจอข่าวสส.บินไปฟ้องแม้ว... อยากหัวร่อเป็นภาษาสวาฮิลี
Hypnotise Hoa · Top Commenter
อีกหนึ่งใน ส ส คุณภาพติดลบ.




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 พฤศจิกายน 2554, 10:37:56
โวยชายฉกรรจ์พังประตูน้ำป้องบ้านนายกฯ

  posttoday.com  07 พฤศจิกายน 2554 เวลา 18:20 น. |
 

ชาวบ้านบางกะปิโวยชายฉกรรจ์พังประตูคลองตาหนังเชื่อมบึงกุ่ม-บางกะปิ ป้องบ้านนายกฯ เตรียมเจรจาผอ.สำนักระบายน้ำ 8 พ.ย.นี้

เขตบางกะปิเชิญตัวแทนชาวบ้านเข้าร่วมหารือ

หลังจากเมื่อค่ำวันที่ 6 พ.ย. เกิดเหตุชายฉกรรจ์ 12 คนบุกเข้าไปพังประตูคลองระบายน้ำคลองตาหนัง ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างเขตบึงกุ่มและบางกะปิ ส่งผลให้น้ำไหลเข้าพื้นที่เขตบางกะปิอย่างฉับพลัน สร้างความไม่พอใจให้ชุมชนทั้งสองเขต ทำให้เมื่อเวลา 14.00น. วันนี้  นายสิน นิติธาดากุล ผอ.สำนักงานเขตบางกะปิ เชิญ  นายสุรเทพ ยุคุณธร  ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตบึงกุ่ม  ตัวแทนชาวบ้านสองเขตเข้าเจรจา

นอกจากนี้ยังได้เชิญ นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน  ส.ส.เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ นายแมน เจริญวัลย์ สก.เขตบึงกุ่ม พรรคประชาธิปัตย์ และ นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศส.ส.เขตบึงกุ่ม พรรคเพื่อไทย เข้าร่วมหาทางออก แต่นายพลภูมิไม่ได้เดินทางมาร่วมประชุม 

ผอ.เขตบางกะปิ ชี้แจงถึงเหตุการณ์พังประตูระบายน้ำคลองตาหนัง ว่าทำให้น้ำไหลเข้าพื้นที่เขตบางกะปิอย่างรวดเร็วและถ้าไม่ซ่อมทันการณ์ก็จะมาถึงห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางกะปิ จึงต้องรีบซ่อมประตูระบายน้ำเพื่อชลอดน้ำที่จะเข้ามาถึงจุดสำคัญ

ขณะที่ ผช.ผอ.เขต บึงกุ่ม ยอมรับว่าได้รับการร้องเรียนจากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมขัง จึงได้ส่งหนังสือไปถึงสำนักระบายน้ำ กทม.เพื่อพิจารณา  แต่ยืนยันว่า เขตบึงกุ่มไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปพังประตูระบายน้ำ แต่เป็นความรับผิดชอบของสำนักระบายน้ำ

ด้าน นายธำรงศักดิ์ สมวงศ์  อดีตสารวัตรกำนัน เขตบางกะปิตัวแทนชาวบ้านเขตบางกะปิอ้างว่า กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เข้ามารื้อเป็นคนของนักการเมือง อยากให้ส.ส.เพื่อไทย ได้ชี้แจงรู้จักหรือไม่ 

“ชาวบางกะปิยินดีให้น้ำจากส่วนบนระบายเข้าคลองตาหนังอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่มาพังทำลายและทำให้น้ำไหลอย่างเฉียบพลัน ชาวบ้านไม่ทันตั้งตัวขนของ อพยพ   ผมคิดว่าพวกท่านเป็นห่วงตัวนายกฯกันมากกว่า เชื่อว่านายกฯเสียสละอยู่แล้ว”นายธำรงศักดิ์กล่าว

ทั้งนี้ตามเส้นทางน้ำที่กำลังท่วมจากย่านนวมินทร์ ผ่านบึงกุ่ม จะต้องผ่านพื้นที่บ้านน.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซอยโยธินพัฒนา แขวงบึงกุ่ม เขตบึงกุ่ม  จนชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มคนที่มารื้อประตูระบายน้ำเพื่อไม่ให้ท่วมบ้านนายกฯ

ขณะที่ตัวแทนชาวบ้านเขตบึงกุ่ม กล่าวว่า ขณะนี้ชุมชนหลังวัดนวลจันทร์น้ำท่วมสูงกว่า 80 ซม. ได้ตระเวนไปดูการระบายน้ำคลองต่างๆ ก็ข้องใจตรงคลองตาหนังถึงกระจุกตัวไม่ถูกระบาย  ถ้าน้ำท่วม  บ้านนายกฯก็ต้องโดนท่วมแน่

นายแมน กล่าวว่า  การที่น้ำจะท่วมบ้านของใครไม่ใช่ประเด็น ที่ตนเองสนใจคือทุกคนกำลังเดือดร้อนทั่วกันหมดแล้ว

ด้าน นายณัฏฐ์ กล่าวว่า อยากให้การพูดคุยวันนี้เป็นไปด้วยดี ไม่ต้องการให้เกิดบานปลายเป็นกรณีพิพาท เหมือนกับประตูคลองสามวา แต่จะทำอย่างไรให้ชาวบางกะปิเตรียมตัวทันและจะช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องบึงกุ่มอย่างไร

ทั้งนี้ นายสิน  ผอ.เขตบางกะปิ  กล่าวว่า ชาวบางกะปิยินดีให้ระบายน้ำผ่านเส้นทางนี้อยู่แล้ว แต่ประเด็นว่า จะระบายในระดับใด และผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้คือสำนักระบายน้ำ กทม. ดังนั้นในวันพรุ่งนี้(8 พ.ย.)  เวลา 11.00 น. ขอให้จัดตัวแทนชาวบ้านฝ่ายละ 4 คน มาร่วมหาทางออกอีกครั้งโดยจะเชิญผอ.สำนักระบายน้ำเข้าร่วมเจรจาด้วย

ต่อมานายแมน เจริญวัลย์ สก.เขตบึงกุ่ม พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในพื้นที่เขตบึงกุ่มมีความน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะบริเวณชุมชนคลองลำเจียกซึ่งอยู่ใกล้บ้านพักของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และเป็นจุดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยไปใช้สิทธิหย่อนบัตรเลือกตั้ง ขณะนี้ถูกน้ำท่วมระดับ 30-40 ซม.แล้ว

นอกจากนี้บริเวณคลองใกล้บ้านพักของนายกรัฐมนตรีเริ่มมีปัญหาแล้ว โดยเฉพาะคลองตาหนังและประตูระบายน้ำบางกะปิที่เชื่อมต่อกับเขตบึงกุ่ม กำลังประสบปัญหาเรื่องการเปิดปิดประตูระบายน้ำที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ เนื่องจากชาวบ้านบางกะปิไม่ต้องการให้เปิด แต่ชาวบึงกุ่มต้องการให้เปิดเพื่อระบายน้ำออก ดังนั้นจึงต้องให้สำนักการระบายน้ำเป็นคนกลางในการตัดสิน

“หากไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องการเปิดปิดประตูระบายน้ำบางกะปิได้ รวมทั้งไม่สามารถระบายน้ำลงสู่คลองแสนแสบได้ทัน ก็มีโอกาสที่จะท่วมถึงบ้านนายกฯ ได้ โดยระดับน้ำอาจสูงถึง 50 ซม.” นายแมน กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้น้ำจะท่วมถึงถนนหน้าบ้านนายกฯ แต่เนื่องจากบ้านพักของนายกฯ มีความสูงกว่าพื้นผิวถนน ทำให้คาดว่าอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ยกเว้นชุมชนโดยรอบที่อาจถูกน้ำท่วมทั้งหมด

สำหรับสถานการณ์โดยรวมขณะนี้ที่บริเวณถนนนวลจันทร์ ซึ่งรับน้ำมาจากซอยวัชรพลและคู้บอน ระดับน้ำเริ่มเอ่อขึ้นมาตามท่อระบายน้ำแล้ว ทำให้ต้องปิดศูนย์อพยพนวลจันทร์และย้ายไปยังศูนย์อพยพนวมินทร์ 




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 พฤศจิกายน 2554, 14:54:40
ชำแหละ!บัญชีเงินบริจาคศปภ.ซื้อ'ส้วม-เต็นท์'แพงเท่าตัว

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

  ชำแหละบัญชีเงินบริจาคศปภ. 878 ล้านพบ ปภ.ซื้อสุขากระดาษชุดละ 245 บาท แพงกว่าของเอกชนเท่าตัว ขณะที่ราคาซื้อเต็นต่างกันถึง 825บาทต่อหลัง

การตั้งคำถามของประชาชนผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ถึงกรณีถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) จัดซื้อในราคา 800 บาท ว่ามีราคาแพงเกินจริง เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งของที่บรรจุในถุง พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีฉกฉวยหาประโยชน์จากหัวคิวในการจัดซื้อหรือไม่ ล่าสุดนายกรัฐมนตรีและประธาน ศปภ.ได้สั่งตรวจสอบเร่งด่วนแล้ว

  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตอบข้อถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีการจัดซื้อถุงยังชีพที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการทุจริต ว่า ตนมองว่า ในสถานการณ์นี้ทุกคนไม่ควรจะเอาเรื่องนี้มาเบียดบังซ้ำเติมประชาชน หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ตนพร้อมที่จะดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบ ทั้งนี้ถุงยังชีพ มีหลายประเภท ทั้งจัดซื้อ และธารน้ำใจจากประชาชน ซึ่งต้องดูในรายละเอียด

       ด้าน พล.อ.ประชา พรหมนอก รมว.กระทรวงยุติธรรม ผอ.ศปภ.ตอบข้อถามเรื่องการจัดซื้อถุงยังชีพเช่นเดียวกันว่า ทราบว่าถุงยังชีพเป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความห่วงใย จึงได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ คาดว่า จะทราบผลภายใน 3 วัน หากมีอะไรไม่ถูกต้อง จะใช้อำนาจในตำแหน่งของตน ดำเนินการกับผู้ที่กระทำสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล รวมถึงการซื้อเครื่องสูบน้ำจากต่างประเทศและในประเทศ โดยยืนยันว่า เป็นราคามาตรฐานที่กรมชลประทาน และ กทม.ได้เคยซื้อไว้

 กังขา ปภ.จัดซื้อส้วมกระดาษแพงเท่าตัว
 แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปรายละเอียดการใช้เงินรับบริจาคผ่านบัญชีเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในปี 2554 ณ วันที่ 3 พ.ย.2554 มียอดรับบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. ถึง 2 พ.ย.2554 รวมทั้งสิ้น 816,323,457.57 ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดเงินบริจาคและดอกเบี้ยที่เหลืออยู่ก่อนหน้านี้อีก 60 กว่าล้านบาทแล้ว กองทุนฯ มีเงินรวม 878,487,897.44 ล้านบาท

 ขณะที่รายจ่ายของกองทุนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-3 พ.ย.2554 มีจำนวน 507,114,560 ล้านบาท จึงมียอดคงเหลือ 371,373,337.44 ล้านบาท โดยรายจ่ายสำคัญของกองทุนฯ คือการจัดหาถุงยังชีพ 3 รายการ วงเงินรวมกว่า 294.634 ล้านบาท ประกอบด้วยการจัดหาเครื่องอุปโภค และเครื่องใช้อื่นๆ ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จำนวน 173,124,560 ล้านบาท การจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคในการบรรจุร่วมกับสิ่งของบริจาคสำหรับสนับสนุนภารกิจของ ศปภ.จำนวน 71,510,354.79 ล้านบาท และค่าจัดหาถุงยังชีพของคณะอนุกรรมการบริหารจัดการถุงยังชีพ จำนวน 1 แสนถุงๆ ละ 500 บาท อีก 50 ล้านบาท

 สำหรับรายละเอียดการใช้เงินสำหรับจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคและเครื่องใช้อื่นๆ ของ ปภ.จำนวน 173,124,560 บาท ประกอบด้วย 14 รายการ คือ 1.เรือท้องแบนไฟเบอร์กลาส  30 ลำๆ ละ 250,000 บาท รวมเป็นเงิน 7.5 ล้านบาท  2.เรือพาย 209 ลำๆ ละ 5,500 บาท รวมเป็นเงิน 1,149,500 บาท  3.ห้องสุขาเคลื่อนที่ ทำด้วยไฟเบอร์ 18 ห้องๆ ละ 32,000 บาท รวมเป็นเงิน 576,000 บาท

 4.ถุงยังชีพ 10,000 ถุงๆ ละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 5 ล้านบาท  5.สุขากระดาษ 30,088 ชุดๆ ละ 245 บาท รวมเป็นเงิน 7,371,560 บาท 6.ถุงยังชีพถุงละ 800 บาท 100,000 ถุง รวมเป็นเงิน 80 ล้านบาท 7.เต็นท์นอน 2 คนแบบไม่มีชั้นความร้อน 2,700 หลังๆ ละ 925 บาท รวมเป็นเงิน 2,497,500 บาท 8.เต็นท์นอน 2 คน แบบไม่มีชั้นความร้อน 1,200 หลังๆ ละ 1,750 บาท รวมเป็นเงิน 2,100,000 บาท

 9.เต็นท์นอน 2 คนแบบมีชั้นความร้อน 3,100 หลังๆ ละ 1,950 บาท รวมเป็นเงิน 6,045,000 บาท 10.เต็นท์นอน 3 คน ทรงสูงแบบมีชั้นความร้อน 3,100 หลังๆ ละ 3,450 บาท รวมเป็นเงิน 4,485,000 บาท 11.เต็นท์นอน 4 คน ทรงสูงแบบมีชั้นความร้อน 1,950 หลังๆ ละ 4,000 บาท รวมเป็นเงิน 7,800,000 บาท 12.เต็นท์ยกพื้นขนาดนอน 5-6 คน 200 หลังๆ ละ 55,000 บาท รวมเป็นเงิน 11 ล้านบาท

 13.สุขาเคลื่อนที่ 800 หลังๆ ละ 32,000 บาท รวมเป็นเงิน 25,600,000 บาท 14.สุขามือถือพลาสติก 30,000 ชุดๆ ละ 400 บาท รวมเป็นเงิน 12 ล้านบาท

 ทั้งนี้มีข้อน่าสังเกตว่า การใช้เงินบริจาคในการจัดซื้อเต็นท์นอน 2 คน แบบไม่มีชั้นความร้อนในรายการที่ 7 และ 8 ซึ่งเป็นรายการเดียวกัน กลับมีราคาแตกต่างกันถึง 825 บาทต่อหลัง

 ขณะที่การจัดซื้อสุขากระดาษ ที่ระบุว่ามีราคาชุดละ 245 บาท จากการตรวจสอบพบว่า เป็นการจัดซื้อที่แพงกว่าสุขากระดาษที่มูลนิธิซิเมนต์ไทย จัดทำสำหรับบริจาคให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัย มีราคาอยู่ที่ 111 บาทเท่านั้น ดังนั้นการจัดซื้อสุขากระดาษของ ปภ.ครั้งนี้ จึงมีราคาแพงกว่าของมูลนิธิซีเมนต์ไทยถึง 134 บาทต่อ 1 ชุด เมื่อคำนวณจากจำนวนที่ ปภ.จัดจัดซื้อทั้งหมด 30,088 ชุด จะมีราคาแพงกว่า 4,031,792 บาท

จับตา ศปภ.อนุมัติซื้อหัวเชื้ออีเอ็ม
 แหล่งข่าวจาก ศปภ.เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงกลาโหมแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียภายใน 15 วัน โดยกระทรวงกลาโหมได้มอบหมายให้ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมเป็นประธานในการดำเนินการ
 

ในชั้นของการหารือผู้แทนกระทรวงทรัพยากรฯ จะขอใช้อีเอ็มที่ได้รับบริจาคมา แต่ทางกระทรวงกลาโหมไม่แน่ใจที่มาของเชื้อจุลินทรีย์ ว่าจะสามารถบำบัดน้ำเสียได้จริงหรือไม่ เนื่องจากจุลินทรีย์มีหลายประเภท และมีวิธีการทำแตกต่างกัน จึงเสนอให้แยกพื้นที่ในการบำบัด เพื่อวัดผลว่าการบำบัดได้ผลในพื้นที่ใดและไม่ได้ผลในพื้นที่ใดบ้าง แต่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะ ผอ.ศปภ.และกระทรวงทรัพยากรฯ ไม่เห็นด้วยกับการแยกดำเนินการ
 จุลินทรีย์ที่กระทรวงทรัพยากรฯ อ้างว่าได้มาจากการบริจาคนั้น หากต้องการปริมาณมากต้องสั่งซื้อเพื่อนำมาทำหัวเชื้อในราคาลิตรละ 3 บาท แต่หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่กระทรวงกลาโหมนำมาใช้นั้นมีราคาเพียงลิตรละ 80 สตางค์ และประชาชนสามารถนำเชื้อจุลินทรีย์ไปขยายหัวเชื้อต่อได้ โดยไม่ต้องเสียสตางค์ เนื่องหากหัวเชื้อ 1 ลิตร นำไปขยายหัวเชื้อได้จำนวนมาก


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 พฤศจิกายน 2554, 14:59:58
แฉพิรุธรบ.อมของบริจาค ย้อมแมวเขมรใส่ถุงยังชีพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 พฤศจิกายน 2554 14:51 น.    

   
นายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายสกลธี ภัทธิยะกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ รวมกันแถลงข่าวพร้อมกับท้ารัฐบาลให้เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการบริหารจัดการเรื่องน้ำในเขื่อนต่างๆ ระหว่างรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร


นายสกลธี ภัทธิยะกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวตอบโต้เรื่องการจัดการถุงยังชีพให้กับประชาชนจำนวน 210,000 ถุง ที่มีราคาไม่เท่ากัน โดยขอให้รัฐบาลชี้แจงเกี่ยวกับมาตรฐานในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะของยังชีพในถุงช่วยเหลือซึ่งราคาไม่ถึงที่กำหนดราคามาตรฐาน ขอให้รัฐบาลชี้แจงเพราะคาดว่าจะมีการคอร์รัปชันในการจัดซื้อถุงยังชีพ



      
ปชป.แฉพิรุธรบ. ซื้อเต๊นท์สองครั้งราคาต่างกันเท่าตัว แถมอมของบริจาคใส่ชื่อตัวเองหากิน เตือน นายก ตรวจสอบระวังเจอคนกันเอง จับตา ส.ส.พท.ซื้อของถูกจากเขมรย้อมแมวใส่ถุงยังชีพเก็งกำไร ขู่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังน้ำลด
       
       วันนี้ (8 พ.ย.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ ศปภ.ชี้แจงให้เกิดความโปร่งใสกรณีมีข้อครหาในเรื่องราคาสินค้าในถุงยังชีพและขอให้แยกแยะให้ชัดว่าส่วนไหนมาจากการบริจาคของประชาขน เพราะมีการตีตราหน่วยงานราชการ มีการใส่ชื่อนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ในถุงยังชีพ เหมือนเป็นเจ้าของถุงยังชีพที่นำไปแจกกับประชาชน จึึงต้องแจกแจงให้ชัดว่า ส่วนใดเป็นเงินงบประมาณและส่วนใดเป็นของที่บริจาคโดยประชาชน
       
       นายสกลธี ภัทธิยะกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าหลังจากที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพและความไม่โปร่งใสของถุงยังชีพที่ ศปภ.ไปแจกให้ประชาชนและรัฐบาลมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีหนังสือมาถึงตนเพื่อให้ข้อเท็จจริงในวันนี้ที่ศปภ. ซึ่งตนยืนยัีนจะไม่เดินทางไป เพราะได้ตรวจสอบเปิดเผยข้อเท็จจริงผ่านสื่อมวลชนไปแล้ว ทั้งนี้รู้สึกเสียใจและแปลกใจ เนื่องจากคณะกรรมการที่มีนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้เรียกนักข่าวไปสอบสวนเพื่อให้ยอมรับว่า เสนอข่าวจากที่ตนออกมาเปิดเผย ถือเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะเมื่อฝ่ายค้านเสนอให้ตรวจสอบรัฐบาล ก็ควรไปสอบสวนว่ามีการกระทำความผิดหรือไม่ แต่คณะกรรมการชุดนี้ กลับมาตรวจสอบฝ่ายค้านที่เป็นคนเปิดเผย
       
       ทำให้นอกจากจะไม่สามารถเชื่อใจ การทำหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ได้แล้ว ยังสงสัยความน่าเชื่อถือของคณะกรรมการชุดนี้ด้วยว่า ตั้งขึ้นมาเพื่อค้นหาความจริงหรือเล่นงานคนให้้ข้อมูลกันแน่ เหมือนกับมีคนชี้เป้าให้จับโจรแทนที่จะจับโจรกับมาจ้องจับคนที่ชี้เป้าให้ข้อมูล ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตลกและสะท้อนชัดว่า รัฐบาลไม่ได้มีความจริงใจที่จะทำให้เรื่องนี้กระจ่าง แต่ใช้เป็นประเด็นทางการเมืองมาเล่นงานคุกคามฝ่ายค้าน
       
       "ผมขอเตือนข้าราชการอย่าตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง เพราะประชาชนมีข้อสงสัยก็ต้องตรวจสอบประชาธิปัตย์ จะตรวจสอบถึงที่สุดและปัญหานี้เราได้คุยกันว่า จะเป็นส่วนหนึ่งในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจหลังน้ำลดด้วย โดยมีคนให้ข้อมูลว่ารัฐบาลแบ่งงานให้ส.ส.ในพื้นที่น้ำไม่ท่วมจัดหาสินค้าราคาถูกมาใส่ในถุงยังชีพ บางคนถึงขนาดไปหาซื้อจากเขมร เรื่องเหล่านี้ผมจะตรวจสอบต่อ และไม่กลัวการข่มขู่ของรัฐบาล หากจะฟ้องที่ผมออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ผมท้าให้ฟ้องได้เลย เพราะผมทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อรักษาประโยชน์ให้กับพี่้น้องประชาชน ท่านต้องขอบคุณผมที่ทำให้ท่านมีโอกาสในการตั้งคณะกรรมการฟอกตัวเอง ถ้าชี้แจงได้ความน่าเชื่อถือาจกลับมาหลังจากที่ล้มละลายไปหมดแล้ว" นายสกลธีกล่าว
       
       รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังนำรายการซื้อถุงยังชีพของกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยและสำนักนายกรัฐมนตรีมาแสดงต่อสื่อมวลชนพบว่า ไม่ปรากฏรายการซื้อของเพื่อบรรจุในถุงยังชีพราคา 300 บาท มีแต่ราคา 500 และ 800 บาท ทำให้คิดว่าราคา 300 บาทอาจเพิ่งคิดขึ้นได้เพื่อนำมาอธิบายแก้เกี้ยวหลังถูกเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลไปก่อนหน้านี้ และยังยกตัวอย่างราคาเต๊นท์นอนไม่มีชั้นความร้อนของ ปภ.จัดซื้อครั้งแรกราคา 925 บาท แต่ครั้งที่สองราคาสูงเป็นเท่าตัว คือ 1750 บาท รวมถึงส้วมกระดาษที่จัดซื้อแพงกว่าของจริงถึง 134 บาท หรือว่าตอนนี้รัฐบาลหันมาหากินกับส้วมแล้ว
       
       นายสกลธี ยังไม่เห็นด้วยที่มีการแบ่งแยกราคาถุงยังชีพเป็น 300 500 และ 800 บาท โดยตั้งคำถามว่าต้องการแบ่งชั้นประชาชนหรือ ไม่ จึงทำมาสามราคาการอ้างว่าจะแจกตามความเดือดร้อนนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะไม่เชื่อว่าจะสามารถแบ่งและแจกได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่มีการแบ่งแยกราคาได้จริง แต่อาจเป็นช่องงทางให้โกงง่ายขึ้น เช่น เอาของราคา300 ไปแจกแล้วอ้างเป็นของราคา 800 หรือว่าถุงละ 800 เตรียมเอาไว้สร้างภาพให้นายกเป็นคนแจก เหมือนที่เมื่อวานนี้นายกรัฐมนตรีไปแจกถุงยังชีพที่หลักสี่ซึ่งไม่ต้องตรวจสอบเพราะคงจัดหนักเต็มเพราะเกิดขึ้นหลังจากมีการขุดคุ้ยเรื่องนี้
       
       นายสกลธี ยังแจกแจงข้อมูลการจัดซื้อถุงยังชีพขแงสแงหน่วยงาน คือ สำนักนายกรัฐมนตรีมีการจัดซื้อถุงยังชีพราคา 500 บาท 1 แสนถุง ส่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยใช้งบประมาณ 173 ล้านบาทจัดซื้อถุงยังชีพราคา 500 บาท 1 หมื่นถุง และ 800 บาท 2 แสนถุง จึงอยากให้ทั้งสองหน่วยงานเปิดเผยบัญชีให้ชัดเจนว่าแจกถุงยังชีพจำนวนเท่าใดในพื้นที่ใดบ้าง ซึ่งหากนายกรัฐมนตรีจริงจังกับเรื่องนี้เมื่อตรวจสอบไปอาจพบคนกันเองทำผิด


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 พฤศจิกายน 2554, 22:07:50
เสียงจากผู้อพยพ

โดย : รักษ์ มนตรี mo_tri@hotmail.com


เสียงโทรศัพท์ปลายสาย "ลูกสาว" ผมโทรมาจากพัทยา ถามว่า "เมื่อไหร่พ่อจะมา"

 ลูกสาวกลายเป็น "ผู้อพยพ" อยู่แปลกที่แปลกถิ่น ย่อมปริวิตกเพราะชีวิตมนุษย์ต้องการความ "ปลอดภัยในชีวิต"
 และต้องการหัวหน้าครอบครัวไปอยู่ใกล้ๆ

 ผมรับโทรศัพท์ลูกสาวขณะที่ตัวเองยืนทำข่าวที่บ้านเลขที่ 38/9 ซอยโยธินพัฒนา (นวมินทร์ 111) ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผมกลั้นน้ำตาตัวเอง ยิ่งเมื่อสิ่งที่เห็นสภาพความแตกต่างของชีวิตมนุษย์เพียงเพราะผมเป็นประชาชนธรรมดา ถูกน้ำท่วมบ้าน กับบ้านผู้ที่มีตำแหน่งทางการเมือง

 ผมกลับเข้าบ้านที่บางพลัด ซอยจรัญสนิทวงศ์ 42 เดินลุยน้ำครำและคราบน้ำมันเข้าบ้านตัวเองต้อง ผ่านบ้าน "อุบล วิชัยดิษฐ" ครับเป็นบ้านของ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กระสอบทรายตั้งเป็นกำแพงทะมึน และเครื่องสูบน้ำทั้งแบบธรรมดา และท่อพญานาคขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่าน มีเจ้าหน้าที่ใส่เสื้อหน่วยรายการเฝ้า 24 ชั่วโมง

 ครับบ้านคุณยงยุทธ น้ำไม่ท่วม แต่คุณยงยุทธรู้ไหมว่าน้ำที่สูบออกจากบ้านคุณ ก็ไปท่วมบ้านชาวบ้านแถวๆ นั้น

 00000000000

 ภรรยาผมโทรมาบอกว่า เช็คเว็บไซต์โรงเรียนลูก จะเปิด 15 พ.ย.นี้
 เด็กๆ ต้องไปโรงเรียน ผมต้องกลับเข้าไปกู้บ้าน
 "กู้บ้าน" ขณะที่ บ้านของ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ยังสูบน้ำออกมาท่วมบ้านของผมและเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง

 000000000000

 ขณะที่รัฐสภา ส.ว.63 คน ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายโดยไม่ลงมติ ซึ่งผมเห็นแล้วสะท้อนภาพรวมของประเทศในยามนี้ได้ดีครับ

 "ตามที่ขณะนี้มีสถานการณ์วิกฤติมหาอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ของประเทศไทย โดยในหลายพื้นที่ของประเทศไทยประสบอุทกภัยน้ำท่วมได้รับความเสียหาย เริ่มมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 ซึ่งรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินและมีการควบคุมดูแลบริหารจัดการน้ำมาตลอด พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) ขึ้นมาเพื่อดูแลอีกด้วย นั้น

  ปรากฏต่อมาว่าสถานการณ์น้ำท่วมได้ขยายวงกว้างและรุนแรงมากขึ้น ภายใต้การดูแลบริหารจัดการน้ำโดย ศปภ. และหน่วยงานที่มีบุคคลของรัฐบาลกำกับดูแลมาตลอด ยังไม่มีท่าทีจะบรรเทาลง กลับเข้าสู่ภาวะที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น ส่งผลให้ประชาชนได้รับเดือดร้อนเป็นวงกว้าง นิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งต้องถูกน้ำท่วม ภาคเกษตรกรรม ภาคธุรกิจต่างๆ เสียหายเป็นอย่างมาก และยังไม่สามารถหยุดยั้งมวลน้ำมิให้เข้าท่วมกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหัวใจและศูนย์รวมทางเศรษฐกิจของประเทศได้ จนน้ำได้เข้าท่วมอย่างมากมายมหาศาล และยังคงขยายวงกว้างมากขึ้น

 มีผู้ได้รับผลเดือดร้อนกว่า 3 ล้านคน ไร่นาการเกษตรเสียหายหลายล้านไร่ ผู้เสียชีวิตกว่า 500 ราย จนถึงยังมีพื้นที่ประสบอุทกภัยกว่า 25 จังหวัด 148 อำเภอ  ขณะนี้รัฐบาลไม่สามารถจัดการดูแลช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยถูกน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม ปัจจัยต่างๆ สำหรับดำรงชีวิตขาดแคลน แสดงถึงการขาดประสิทธิภาพ และ ผิดพลาด ในการบริหารจัดการน้ำ การบริหารจัดการเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบภัย

 ซึ่งเหตุการณ์วิกฤติอุทกภัยครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลให้ประเทศไทยเสียหายทางเศรษฐกิจหลายแสนล้านบาท รวมทั้งในสังคมระหว่างประเทศนั้น นักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นในแก้ไขสถานการณ์ปัญหาวิกฤติน้ำท่วมของประเทศ ส่งผลลบต่อการลงทุนในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง

 ส.ว.เป็นกังวลต่อสถานการณ์อุทกภัยใหญ่ของประเทศไทย ที่อาจขยายไปสู่วิกฤติมากขึ้น และเป็นการเพิ่มความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและเพิ่มเติมปัญหาเศรษฐกิจให้ยากต่อการแก้ไขยิ่งขึ้นหากรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมได้ ดังนั้น จึงอาศัยอำนาจตามความใน มาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.2551 ข้อ 174 ให้ประธานวุฒิสภา ขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ เกี่ยวกับการเร่งรัดแก้ไขสถานการณ์วิกฤติอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศ"

00000000000000

 ผมและคนไทยอีกหลายล้านคนอยากฟังว่ารัฐบาลจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 พฤศจิกายน 2554, 09:30:37
ยันนักการเมืองตัวการ ขวางทางน้ำฝั่งตะวันออก ชี้ รบ.ป้อง'สุวรรณภูมิ'มรดกบาป'ทักษิณ'
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 พฤศจิกายน 2554 07:50 น.    

   
ASTVผู้จัดการรายวัน - นักวิชาการ-อสังหาฯ ชี้ชัด โซนตะวันออกเป็นพื้นที่รับน้ำ แต่มีกลุ่มนักการเมืองของกลุ่มทุนทักษิณ นักธุรกิจ หาผลประโยชน์ ล็อบบี้แก้สีผังฟลัดเวย์ หวังนำที่ดินในพอร์ตออกมาพัฒนาโครงการ ยอมรับ โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ "มรดกทักษิณ"ตัวการปิดทางระบายน้ำ "มานพ พงศทัต"เสนอ 3 ทางเลือกทำฟลัดเวย์ เอกชนเตือนอย่าลงกล แห่ไปซื้อที่ดินโซนตะวันออก หวั่นเป็นเกมปั่นราคารอบ 2 หลังสนามบินฯ พ่นพิษเรื่องแนวเสียงมาแล้ว
       
       ตลอดระยะเวลาเส้นทางของน้ำที่บุกเข้าโจมตีพื้นที่ตอนบนของกรุงเทพมหานคร(กทม.) ตั้งแต่ จ.ปทุมธานี เรื่อยมาจนถึงรังสิตและรุกคืบมายังดอนเมือง กระทั้งปัจจุบันหัวน้ำอยู่ที่สุทธิสาร รอสะสมกำลังพลเพื่อเคลื่อนทับจู่โจมอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกอ่วมอรทัยท่วมทั่วถึง สูง-ต่ำ ขึ้นอยู่กับกายภาพของพื้นที่ ทั้งๆ มีคำถามตามมามากมายทุกภาคส่วน แม้กระทั่งนักวิชาการเองถึงกับงุนงง ว่า เหตุใดพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก นนทบุรี นครปฐม ไม่ใช่พื้นที่รับน้ำจึงถูกน้ำท่วมมากมายขนาดนี้ และการที่พื้นที่โซนนี้ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำตามกายภาพของที่ดิน จึงไม่มีระบบระบายที่ดีพอ เมื่อน้ำไหลบ่าเข้าท่วม หนทางในการระบายออกสู่ทะเลจึงเป็นไปได้ยากและล่าช้า
       
       เพราะเหตุใดพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกไล่เรียงมาตั้งแต่คลองรังสิต มีนบุรี ลาดกระบัง และ จ.สมุทรปราการ ซึ่งมีพื้นที่ต่ำ ตั้งแต่ยุคสมัยโบร่ำโบราณมา จึงกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำ แก้มลิง มีการก่อสร้างคลองระบายน้ำเพื่อให้ไหลออกสู่ทะเลได้หลายเส้นทาง น้ำกลับแห้งขอด แม้ว่าขณะนี้มวลน้ำได้ไหลมาท่วมด้านนี้บ้างแล้ว ซึ่งใช้เวลานานมากกว่าจะผันมาได้จนกระทั่งน้ำได้ท่วมคนฝั่งธนบุรีไปจนหมดแล้ว
       
       อนึ่ง ผังเมืองกรุงเทพมหานครปี 2549 ที่ใช้กันอยู่ถึงปัจจุบัน กำหนดพื้นที่ชนบทอนุรักษ์และเกษตรกรรมหรือพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม (ขาวลายเขียวและสีเขียว) ซึ่งเป็นจุดที่ปล่อยให้น้ำไหล อันได้แก่เขตคลองสามวา มีนบุรี หนองจอกและลาดกระบัง ส่วนถนน ได้แก่ 1.ถนนนิมิตรใหม่ช่วงกลาง-ปลาย 2.ถนนคลองสิบ 3.ถนนประชาร่วมใจ 4.ถนนราษฎร์อุทิศ 5.ถนนสุวินทวงศ์ 6.ถนนเจ้าคุณทหาร 7.ถนนลาดกระบัง และ 8.มอเตอร์เวย์ การระบายน้ำในโซนนี้จะผ่านคลองต่างๆ ได้แก่ คลองสามวา คลองหลวงแพ่ง คลองหนองงูเห่า และคลองลาดกระบังที่คั้นกลางด้วยสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งรับน้ำจากเขตลาดกระบัง ส่งไปยังคลองด่าน และคลองสำโรง
       
       ผังเมืองของกรุงเทพฯ เปรียบเหมือนกระดาษที่มีความลาดเอียงได้น้อย โดยฝั่งรังสิตสูงกว่าสมุทรปราการซึ่งเป็นพื้นที่น้ำออกสู่ทะเลเพียง 3 เมตร ดังนั้นการผันน้ำจะต้องใช้เครื่องมือช่วย อาทิ เครื่องสูบน้ำ จึงจะทำให้การระบายน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้แม้ว่าระบบการระบายน้ำของ กทม.จะถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีแต่ทำมาเพื่อระบายน้ำฝน หรือน้ำทะเลหนุนเท่านั้น จึงไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะรับมือกับมวลน้ำมหาศาลได้
       
       อุปสรรคอะไรที่ทำให้การผันน้ำออกมายังกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกทำได้ยาก ล่าช้า ไม่ทันการณ์ จนคนกรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรี จ.นนทบุรี จ.นครปฐม ต้องถูกเลือกในการรับภาระมวลน้ำมากมายมหาศาลนานนับเดือน ทั้งๆ ที่ หากระบายน้ำมายังฝั่งนี้ได้ก็จะสามารถช่วยบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้
       
       นักการเมืองตัวการขวางทางน้ำ
       
       นักวิชาการด้านผังเมือง ระบุว่า การที่น้ำจากคลองรังสิตไม่ไหลมายังพื้นที่โซนตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต่ำกว่าและถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่รับน้ำ เกิดจากการบล็อกหรือปิดกั้นเส้นทางน้ำไว้ และใช้วิธีสูบน้ำเพื่อส่งน้ำให้ไหลไปยัง กทม.ด้านอื่นแทน บางส่วนไหลเข้าสู่งพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน (กายภาพของ กทม.มีความลาดเอียงน้อย การระบายน้ำจึงใช้เครื่องสูบน้ำเพื่อส่งน้ำลงสู่ระบบคลองต่างๆ )
       
       “เมื่อพื้นที่ของ กทม.ต่ำมีความลาดเอียงน้อย กทม.จึงระบายน้ำด้วยการสูบน้ำ หรือส่งน้ำไปยังคลองส่งน้ำเท่านั้น เมื่อสูบให้น้ำไหลไปด้านตะวันตกซึ่งเป็นพื้นที่ที่สูง น้ำก็ไหลย้อนเข้าสู่ใจกลางเมืองประชาชนได้รับผลกระทบจำนวนมาก ถึงได้สูบน้ำกลับมาใหม่ เมื่อน้ำไม่ได้ไหลตามธรรมชาติ จึงสรุปได้ว่ามีคนขวางการระบายน้ำไปยังกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่มีการขวางทางระบายของน้ำ หรืออ้างว่าพื้นที่ด้านตะวันออกสูงกว่าน้ำจึงไหลไปได้ยาก” แหล่งข่าวกล่าว
       
       ส่วนไอ้โม่งที่มีอิทธิพลมากพอที่รัฐบาลยอมให้ขวางทางน้ำจนสร้างความเดือดร้อนไปทุกย่อมหญ้าเป็นใครนั้น แหล่งข่าว ระบุว่า ไล่เรียงกันตั้งแต่ กลุ่มนักการเมืองที่ไม่ต้องการให้พื้นที่ของตัวเองได้รับผลกระทบ เพราะจะส่งผลต่อฐานเสียงทันที ดูจะมีน้ำหนักมากที่สุด ส่วนเป็นใครนั้นก็ต้องไปดูว่า นักการเมืองในโซนนี้มีใครบ้าง เป็นคนของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ คงไม่ต้องเอ่ยชื่อ
       
       ส่วนนิคมอุตสาหกรรมบางชันนั้น เชื่อว่าเกิดมาก่อนที่ผังเมืองจะออกมาจึงหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา ยกเว้นการป้องกันเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบเพราะจะเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล
       
       ขณะที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นอีกตัวการสำคัญ แม้ว่าจะต้องปกป้องเพราะถือเป็นหัวใจสำคัญ แต่หากไล่บี้กันจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่รับน้ำ ก็ยังดันทุรังก่อสร้างขึ้นมา เมื่อไปดูในผังเมืองแล้วสนามบินสุวรรณภูมิตั้งขวางทางฟลัดเวย์พอดิบพอดี ขนาบข้างด้วยคลองลาดกระบังและคลองหนองงูเห่า
       
       โซนตะวันออกสุดท้ายก็ต้องท่วม!
       
       ด้านนายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่าสำหรับนักลงทุนหรือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น การพัฒนาในพื้นที่ขาวลายเขียว สิ่งปลูกสร้างหรือที่อยู่อาศัยจะต้องมีเนื้อที่ 1,000 ตารางวาขึ้นไป ส่วนสีเขียว พื้นที่ตั้งแต่ 100 ตารางวา การพัฒนาโครงการจัดสรรในย่านนี้ได้ต้องเกิดก่อนปี 2535 หรือมีใบอนุญาตก่อนปี 2535 ส่วนที่พัฒนาหลังจากนี้ถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งนักพัฒนาส่วนใหญ่จะรู้ข้อกฎหมายนี้ดี ดังนั้น ประชาชนที่ซื้อบ้านในย่านนี้จะต้องพิจารณาในเรื่องผังเมืองให้ดี รวมถึงผู้ประกอบการด้วย
       
       ส่วนการพัฒนาโครงการจัดสรรจำนวนมากในย่านดังกล่าวนั้น จะต้องไปตรวจสอบว่าอยู่ในเขตของผังเมืองสีขาวลายเขียวหรือไม่ เพราะไม่ใช่ผังเมืองจะเป็นสีขาวลายเขียวทั้งหมด เพราะพื้นที่ในย่านใกล้เคียงก็สามารถปลูกสร้างได้ แต่อย่างไรก็ตาม พื้นที่ในโซนนี้เป็นพื้นที่รับน้ำอยู่แล้ว ผู้อยู่อาศัยจะต้องยอมรับได้ว่าหากไม่ท่วมวันนี้ วันข้างหน้าก็ต้องท่วม ตามธรรมชาติของน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำอยู่แล้ว
       
       ชง 3 แนวทางทำ"ฟลัดเวย์"
       
       รศ.มานพ พงศทัต อาจารย์พิเศษภาควิชาเคหะการ คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การแก้ไขระบบระบายน้ำอย่างถาวรของ กทม.ด้วยการทำทางด่วนของน้ำ หรือ ฟลัดเวย์ จากอยุธยาไปยังทะเลฝั่งสมุทรปราการ ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร หรือ จากคลองรังสิตไปยังทะเลสมุทรปราการระยะทาง 50 กิโลเมตรนั้นมี 3 วิธี คือ

1. การขุดอุโมงค์ยักษ์เพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเลด้านสมุทรปราการ ซึ่งการก่อสร้างด้วยวิธีนี้จะแพงกว่าการก่อสร้างทั่วไปถึง 5 เท่า แต่ผลกระทบจากการเวนคืนไม่มี ซึ่งประเทศมาเลเชียได้ทำมาแล้วระยะทาง 81 กิโลเมตร ขุดเป็น 3 อุโมงค์ หากไม่มีน้ำก็ให้รถวิ่งได้
       
       2.การทำคลองส่งน้ำความกว้างประมาณ 150-200 เมตร ซึ่งวิธีนี้จะใช้วิธีเวนคืนที่ดินบางส่วนเพื่อสร้างคลอง และสร้างทัศนียภาพริมคลองให้สวยงามเช่นที่ประเทศเกาหลี และ

3.ทำอุโมงค์ลอยฟ้า เพื่อส่งน้ำด้านบน และสามารถใช้เป็นเส้นทางคมนาคมหากไม่มีน้ำ โดยประเทศอียิปต์ทำมาเป็นเวลานานแล้ว การก่อสร้างดังกล่าวจะใช้งบประมาณ 2,000 ล้านบาท/กิโลเมตร
       
       “การทำฟลัดเวย์มีให้เลือก 3 ทาง ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะเลือกวิธีใด ความรุนแรงและความเสียหายของอุทกภัยในครั้งนี้ทำให้ รัฐบาลไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านก็ต้องเดินหน้า โดยการใช้กฎหมายเข้ามาควบคุม เพราะการทำทางเดินของน้ำถือเป็นเรื่องสำคัญและควรเป็นวาระของชาติ เพื่อรับมือกับอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต” รศ.มานพกล่าว
       
       อสังหาฯ บางบัวทองกระอัก คนแห่ทิ้งดาวน์
       
       แหล่งข่าวจากบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวยอมรับว่า โครงการที่อยู่อาศัยในโซนตะวันตกได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวจะน้อยลง เนื่องจากโครงการใหม่ที่เปิดขายและถูกน้ำท่วม ทางผู้ประกอบการต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการซ่อมแซมโครงการให้กลับมามีสภาพตามเดิม หรือปรับปรุงให้แก่ลูกค้าใหม่ ก่อนดำเนินการโอน อย่างไรก็ตาม ในมุมมองแล้ว ราคาที่อยู่อาศัยและราคาที่ดินในโซนตะวันตก คงจะลดลงได้แต่ไม่มาก ตามสภาพของต้นทุน ขณะที่ผู้ที่ตัดสินใจจองและผ่อนดาวน์กับโครงการ หากจำนวนเงินไม่มาก ก็อาจจะตัดสินใจทิ้งดาวน์ คาดว่าจะมีประมาณ 20% สุดท้ายแล้ว ผู้ประกอบการต้องนำโครงการกลับมาขายใหม่(รีเซล)อีกรอบ
       
       “ก็ไม่คิดว่า บ้านจัดสรรตั้งแต่ราคาถูกไปจนถึงราคาแพงในโซนตะวันตก ทำเลราชพฤกษ์ รัตนาธิเบศร์ บางบัวทอง ต้องจมไปกับน้ำ มีทั้งโครงการของบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮาส์ฯ บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทฯ บริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และบริษัทแสนสิริฯ เป็นต้น และคงจะเห็นได้กลุ่มลูกค้าในโครงการบ้านหรูที่ถูกน้ำท่วม จะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมไว้รองรับกรณีไม่สามารถแก้น้ำท่วมได้อีก ขณะที่การจะพัฒนาคอนโดฯ ในกลางเมืองซีบีดีด้วยแล้ว คงจะยาก เนื่องจากที่ดินมีราคาแพง มีจำกัด ซึ่งขณะนี้ สุขุมวิท บางนา พระราม 3 ไม่ถูกกระทบ”แหล่งข่าวกล่าว
      
       ชี้สนามบิน'สุวรรณภูมิ'ขวางทางน้ำ
       
       แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวว่า เดิมพื้นที่ฝั่งตะวันออก เป็นบริเวณตามแนวพระราชดำริ กำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำมาตั้งแต่ปี 2535 หรือ แนวฟลัดเวย์ เพื่อเป็นพื้นที่รับน้ำมาจากทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ เพื่อระบายลงสู่อ่าวไทย แก้ปัญหาน้ำท่วม แต่มีความพยายามจากนักการเมืองในกลุ่มทุนของระบอบทักษิณ รวมถึงนักการเมืองบางคนที่มีที่ดินในบริเวณดังกล่าว พยายามให้มีการปรับสีผังบริเวณแนว"ฟลัดเวย์" (ผังสีขาวลายเขียวและสีเขียว) โดยให้ปรับเป็นผังสีเหลือง อ้างเหตุผลไม่เคยปรากฎว่ามีน้ำท่วมเกิดขึ้น
       
       “ปัญหาของบ้านเมืองในตอนนี้ เกิดขึ้นเพราะน้ำมือของนักการเมือง หากเราปล่อยให้ผังเมืองโซนตะวันออก เป็นไปตามธรรมชาติแล้ว น้ำคงไม่ท่วม โดยเฉพาะมรดกที่อดีตนายกรัฐมนตรีวางไว้ ก็ทำให้เห็นว่าที่ตั้งของสนามบินสุวรรณภูมิ ขวางทางน้ำ ชื่อก็บอกอยู่แล้ว หนองงูเห่า แต่ก็ยังไปทำ ทั้งนี้พื้นที่ฟลัดเวย์ที่ยังไม่ถูกเข้าไปครอบครองคงเหลือประมาณ 1 ใน 3” แหล่งข่าวกล่าว และชี้ว่า
       
       ปัจจุบันมีนักการเมือง นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ครอบครองที่ดินไว้มือจำนวนมาก อาทิ กลุ่มของนายวิชาญ มีนชัยนันท์ (อดีต ส.ส.กรุงเทพฯเขตมีนุบรี พรรคไทยรักไทย และยังมีตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลชุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และกลุ่มพี่น้อง มีที่ดินใกล้แยกมีนบุรีและกระจายในพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ กลุ่มนายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท เวชธานี กรุ๊ป ประมาณ 500 ไร่ นายประสงค์ เอาฬาร กรรมการบริษัท ฟลอร่าวิลล์ จำกัด มีที่ดินบริเวณสุวินทวงศ์ 300 ไร่ ที่บางส่วนมีการพัฒนาไปบางแล้ว กลุ่มบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ประมาณ 50 ไร่ บริเวณถนนเจ้าคุณทหาร นายวันชัย ชูประภาวรรณ เจ้าของบริษัท ประภาวรรณ กรุ๊ป มีดินที่ย่านสุวินทวงศ์ประมาณ 100-200 ไร่ ซึ่งเหลืออยู่ไม่มาก
       
       แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกตว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ ทำให้โซนตะวันออกถูกมองว่า เป็นพื้นที่ที่ความเสี่ยงต่ำ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ เนื่องจากในช่วงก่อนที่จะก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ กลุ่มทุนของทักษิณ ชินวัตร และนักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์ ได้เข้ามากว้านซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการ ส่งผลให้ราคาที่ดินขยับ แต่หลังจากเปิดใช้สนามบินได้ไม่นาน ก็ประสบปัญหาเรื่องแนวเสียง ที่ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยใต้แนวเสียง ได้รับผลกระทบ ทำให้ความเฟื่องฟูของตลาดอสังหาฯ รอบๆ สนามบินสุวรรณภูมิลดลง

   


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 พฤศจิกายน 2554, 22:12:11
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2554 01:00

วีระศักดิ์ พงศ์อักษร
 
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ลมหายใจสุดท้าย!

    "จะเรียกว่าวันนี้ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามดิ้นรน ของลมหายใจสุดท้าย คงไม่ผิดมากนัก

  เพราะการขายฝันในอนาคต ย่อมที่จะทำให้การมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันของคนเรามีคุณค่ามากขึ้น"

 ไม่แปลกหากใครสักคนจะยอมทนทุกข์ในปัจจุบัน เพื่ออนาคต...แต่ก็นั่นแหละก็มีอีกหลายคนที่เลือกอยู่กับปัจจุบันทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะหากคิดถึงอนาคตเมื่อไหร่ ก็ย่อมผิดหวังเมื่อนั้น !

 คำถามจึงอยู่ที่จะทำปัจจุบันให้ดี...หรืออยู่กับความฝันในอนาคต ...
 รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เลือกที่จะทำตามความเชื่ออย่างหลัง

 คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ หรือ “กยอ.” และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ หรือ “กยน.”.....สองคณะกรรมการที่ประกาศตั้งขึ้นมาเมื่อ 8 พ.ย.2554 คือความพยายามที่จะ "ยื้อต่อลมหายใจนั้น"

 เพราะรัฐบาลเองย่อมรู้แล้วว่า การบริหารประเทศสถานะ "ปัจจุบัน" หากเป็นร่างกายคนเราก็อยู่ในขั้นโคม่า ความเชื่อถือ ความมั่นใจถดถอยลงเรื่อยๆ หากไม่ทำอะไร ให้ยาแรง หรือตัดสินใจอะไรสักอย่าง ก็รอเพียงวันดับสูญ พังกันไปทั้งรัฐบาล

 จะว่าไปแล้ววิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้...แม้ไม่ใช่ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ก็จะโดนคำถาม เสี่ยงต่อความล้มเหลวไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะสถานการณ์ร้ายแรงเกินที่จะให้คนใดคนหนึ่ง "แบกรับ" แต่ด้วยความเป็น "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ที่บารมีน้อยนิด ความเป็นผู้นำไม่เด่นชัด ย่อมที่จะ "ตกต่ำ" ได้รวดเร็ว แม้จะพึ่งเข้ามาเพียง 3 เดือนก็ตาม

 เพราะต้องยอมรับข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่า โอกาสที่ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ได้รับนั้น เพราะความเป็นพรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเรียกว่า "เงา-โคลนนิง-หุ่นเชิด" ก็ย่อมไม่ห่างจากอดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนั้น

 แต่เพราะข้อเท็จจริงนี้ ทำให้การดิ้นรนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีข้อจำกัด
 ก็รู้กันอยู่ว่าวินาทีนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีไม่วางใจใคร ความผิดพลาดที่หนุน "สมัคร สุนทรเวช" ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือบทสรุป

...การตัดสินใจให้น้องสาวตัวเอง ซึ่งปฏิเสธการเมืองมาตลอดต้องมารับบทแทนนั้น ก็สะท้อนได้เป็นอย่างดี เพราะแม้แต่คนในตระกูลเดียวกันยังเลือกที่จะวางใจด้วยซ้ำ

 ตัวเลือกที่มีข้อจำกัด...เพราะความไม่วางใจใคร การดิ้นรนของรัฐบาลในยามวิกฤติก็ย่อมมีข้อจำกัดไปด้วย!
 การประคับประคอง...ขายฝัน...รอจังหวะ ดูจะเป็นทางเลือกเดียวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พอจะคิดได้ ซึ่งยุทธศาสตร์นี้ก็ไม่ใช่แนวทางใหม่ เพราะในยุคของเขา ก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง

 ยิ่งเมื่อเจาะเข้าไปในตัวบุคคลที่เดินเกมครั้งนี้...ก็ล้วนเป็นคนรอบข้างที่ทำงานร่วมกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งสิ้น
 ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนิพัทธ พุกกะณะสุต เป็นที่ปรึกษาที่ส่งตรงมาจากดูไบ ช่วยเหลือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว

 ที่สำคัญไปกว่านั้นเมื่อถามกรรมการ กยน./กยอ. ที่ได้รับแต่งตั้งหลายคน...พูดเสียงเดียวกันว่าได้รับการทาบทามจาก "พันศักดิ์ วิญญรัตน์" นักคิดคนสำคัญตั้งแต่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย นำมาสู่ชัยชนะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2544

 พี่ชายเขามาประคับประคองรัฐบาลน้องสาว...คงไม่ผิดมากนัก!
 แต่การประคับประคอง ก็ยังดีที่สอดคล้องกับสิ่งที่ควรเป็น เพราะเกือบทุกฝ่ายต่างเห็นตรงกันว่า การฟื้นฟูประเทศในระยะยาวนั้น เป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากปล่อยไปเช่นนี้ ขีดความสามารถในการแข่งขัน ความเชื่อมั่นของประเทศ มีแต่ถดถอย และ กยอ.ก็น่าจะตอบโจทย์นั้น

 ขณะที่ปัญหาบริหารจัดการน้ำ...วิกฤติครั้งนี้ก็สะท้อนผลออกมาแล้วว่า สร้างปัญหาใหญ่เกินกว่าที่จะนั่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรในเชิงโครงสร้าง เสียงเรียกร้องเรื่องบูรณาการ ดังมากขึ้น และ กยน.ก็น่าจะตอบโจทย์นั้น

 กยอ.และ กยน.คือ "ยาแรง" ที่ "หวัง" ว่าจะกระตุ้นให้ลมหายใจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทอดยาวไปอีกระยะ!
 กลุ่มบุคคลที่สังคมยอมรับและน่าเชื่อถือ "หลายคน" ที่ตั้งขึ้นมาก็หวังจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แข็งแกร่งมากขึ้น แนวนโยบายที่เป็นรูปธรรม อาจจะเป็นวิตามินเสริมความสดชื่นให้ร่างกาย พร้อมที่จะเดินและวิ่งต่อไปได้
 แน่นอน..หลายคนอยู่ด้วย "ความฝัน" แม้จะเป็นลมหายใจสุดท้าย ซื้อยาแพงเท่าไหร่ก็ยอม ความเสียหายก็ยังอยู่แค่ "บุคคล"

 แต่ในแง่ประเทศการใช้ "ยาแรง" จ่ายงบประมาณ 9 แสนล้านบาทเพื่อฟื้นฟูประเทศนั้นต้องมั่นใจได้ว่า "เกิดประสิทธิภาพ" ไม่รั่วไหล ไม่มีประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

 ที่สำคัญต้องมั่นใจว่าคนที่ประชาชนทั้งชาติร่วมจ่ายเพื่อ "ช่วยดึงขึ้นมานั้น" จะกลับมาตอบแทนพวกเขาจริงๆ

 หรือไม่หากรู้แล้วว่าวิกฤติที่ยืดเยื้อ มองไม่เห็นอนาคตในวันนี้นั้น ปัญหาอยู่แค่ "คนเดียว"... เราก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง เพื่อต่อลมหายใจกันขนาดนี้!


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 พฤศจิกายน 2554, 22:16:50
หาตัวช่วยก่อนจมน้ำ

    09 พฤศจิกายน 2554 เวลา 08:25 น. |
    เปิดอ่าน 3,367 |
    comment ความคิดเห็น 29

หลังเจอวิกฤตอุทกภัยซัดจน “รัฐนาวายิ่งลักษณ์” แทบจมน้ำไปด้วย ก็ได้ฤกษ์ตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด

โดย...ทีมข่าวการเมือง


หลังเจอวิกฤตอุทกภัยซัดจน “รัฐนาวายิ่งลักษณ์” แทบจมน้ำไปด้วย ก็ได้ฤกษ์ตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด กระชับอำนาจการบริหารในภาวะวิกฤตขึ้นมา

ชุดแรก เป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) มี “วีรพงษ์ รามางกูร” เป็นประธานกรรมการ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรองประธานกรรมการ

ส่วนกรรมการที่น่าสนใจ ประกอบด้วย พันศักดิ์ วิญญรัตน์ กิจจา ผลภาษี ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ วิษณุ เครืองาม ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ชุดสอง คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารการจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ประธานกรรมการไม่ปรากฏชื่อ แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ หรือรองนายกฯ จะมอบหมาย ส่วนคณะกรรมการประกอบด้วย คนในรัฐบาล นักวิชาการ อดีตข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับระบบน้ำ และผู้เชี่ยวชาญดินฟ้าอากาศ ทั้งที่ทำงานใน ศปภ. และนอก ศปภ. เช่น กิจจา ผลภาษี ปราโมทย์ ไม้กลัด ปลอดประสพ สุรัสวดี ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รอยล จิตรดอน รัชทิน ศยามานนท์ สมิทธ ธรรมสโรช เป็นต้น โดยมี สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นที่ปรึกษา

การตั้งคณะกรรมการระดับชาติเป็นรูปแบบการบริหารของทุกรัฐบาลในยามเผชิญวิกฤตศรัทธาที่จะดึง “คนนอก” มาร่วมทำงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภารกิจที่รัฐบาลมอบหมาย

อย่างไรก็ตาม “คนนอก” ที่มาร่วมงาน ลึกๆ ไม่ได้ต้องการช่วยรัฐบาลฝ่ายเดียว หลายคนที่ร่วมเป็นกรรมการก็ไม่ได้จุดยืนชัดว่า สนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ ไม่ว่า วิษณุ เครืองาม ปราโมทย์ ไม้กลัด หรือ สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา

แต่การให้เกียรติเข้าร่วมงานของรัฐบาล ด้านหนึ่งเพื่อต้องการใช้โอกาสที่ได้รับมอบหมายวางระบบเพื่อฟื้นฟูแก้ปัญหาประเทศ และปฏิรูประบบน้ำในระยะยาวเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมอย่างที่เห็น

สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ หลังเจอวิกฤตเสื้อแดงก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 45 ชุด ดึงนักวิชาการจำนวนมากมาร่วมขับเคลื่อนภารกิจผ่าทางตันวิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง เช่น คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป คณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ดึง นพ.ประเวศ วะสี อานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน ยังมี นิธิ เอียวศรีวงศ์ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักวิชาการชื่อดังเข้าร่วม และคณะกรรมการพิจารณาแก้ไข รธน. มี สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน

การตั้งคณะกรรมการของรัฐบาลอภิสิทธิ์ขณะนั้น ด้านหนึ่งก็ช่วยต่ออายุรัฐบาลที่กำลังซวนเซกับเหตุการณ์ม็อบเผาเมืองและทหารสลายเสื้อแดง 91 คน ทั้งที่รัฐบาลเองก็ไม่ได้ผลักดันข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง

สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นับตั้งแต่เกิดวิกฤตน้ำท่วมรัฐบาลนี้ได้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ มาเกือบ 20 คณะ มีทั้งตั้งแล้วยุบและตั้งใหม่โดยอ้างว่า เป็นการตั้งคณะกรรมการตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป สะท้อนว่าการทำงานของรัฐบาลมีปัญหามากและไม่เป็นเอกภาพ

สถานการณ์ของรัฐบาลเวลานี้กำลังเมาหมัดกับปัญหาน้ำท่วม หลายคนยังไม่เชื่อกับตัวเอง เหตุใดต้องมาเจอกับวิกฤตตั้งแต่เริ่มเป็นรัฐบาล และเกิดความเสียหายรุนแรงกับประชาชนคนต่างจังหวัด กทม. เกือบ 10 ล้านคน ภาคธุรกิจที่นิคมอุตสาหกรรมยับเยินไปแล้ว 7 แห่ง กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและธุรกิจท่องเที่ยว

และไปๆ มาๆ เกิดกระแสไม่เอายิ่งลักษณ์ และเริ่มเรียกร้องให้ “เปลี่ยนตัวนายกฯ” สอดรับกับ กทม.

โพลล่าสุดที่ให้คะแนนยิ่งลักษณ์สอบตกเกือบทุกด้าน ไม่ว่าการตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด ผลงานช่วง 3 เดือน ผลงานด้านเศรษฐกิจ

“ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร ที่รัฐบาลดึงตัวมาช่วยครั้งนี้ไม่ใช่คนอื่นไกล ก่อนหน้านี้เป็นเต็งหนึ่งที่ทักษิณเคยทาบทามให้มาเป็นผู้นำทัพเพื่อไทยในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและเคยร่วมงานในสมัยรัฐบาลทักษิณ แต่ ดร.โกร่ง ปฏิเสธ เพราะไม่อยากเป็นนายกฯ ในสถานการณ์ความขัดแย้งเกรงจะเสียชื่อ ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าตัวเสนอความเห็นสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อไทยมาตลอด ไม่ว่าการตั้งกองทุนมั่งคั่ง การเสนอให้ผ่าตัดโครงสร้าง ธปท.กลับไปขึ้นตรงกับ รมว.คลัง

การเข้ามานั่งเก้าอี้ “ประธานกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ” เป็นการเปิดหน้าครั้งแรกของ ดร.โกร่ง กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพื่อกู้ศรัทธากลับคืนให้กับรัฐบาล เพราะความเชื่อมั่นที่มีต่อทีมเศรษฐกิจก็จมหายไปกับอภิมหาวารี โดยเฉพาะ “ขุนคลัง” ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง หากทำงานเข้าตาและเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาให้กับน้องสาวทักษิณได้ ก็อาจทอดสะพานให้กับ ดร.โกร่ง ในตำแหน่งนายกฯ ในอนาคตหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

ดร.โกร่ง แถลงทันทีว่า ภารกิจ 1 ปีหลังจากนี้ จะทำเพื่อให้ความมั่นใจว่า ปีหน้าหากฝนตกอย่างนี้อีกก็จะต้องไม่เกิดปัญหาเหมือนปีนี้ และสร้างความมั่นใจให้ประชาชนและนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ และ 56 ปี จะต้องมีโครงการที่สำเร็จเรียบร้อย จะลงทุนเท่าไหร่ก็ต้องยอม เพราะความเสียหายเที่ยวนี้หนักหนาสาหัสมาก

ตัวช่วยอย่าง “ดร.โกร่ง” คือ ตัวช่วยของทักษิณไม่ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์จมน้ำจากการบริหารงานผิดพลาดของรัฐบาล

ขณะที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลดึงตัวช่วยอย่าง “ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน” มาเป็นประธานกรรมการชุดคณะกรรมการอิสระเพื่อหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) นำร่องทำโมเดลรื้อ รธน. และปูทางสู่นิรโทษกรรม

สองภารกิจที่สำคัญฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลดกับแก้ไข รธน.หลังน้ำลด ลำพังแต่ “รัฐบาลปู” ฝ่ายเดียวไม่สามารถผลักดันเดินหน้าประเทศได้อีกต่อไป จำเป็นต้องดึงเหล่าพันธมิตรทั้งหลายให้ช่วยออกแรงผลักดันแทน

 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 พฤศจิกายน 2554, 15:57:30
สื่อนอกวิเคราะห์"ทักษิณ"เก็บตัวเงียบ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

   สื่อนอกวิเคราะห์"ทักษิณ"เก็บตัวเงียบสะท้อนต้องการกันตัวออกห่างน้องสาวและไม่รู้จะช่วยแก้น้ำท่วมอย่างไร

       สำนักข่าวเอเอฟพี วิเคราะห์ถึงเหตุผลของการห่างหายไปของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในขณะที่รัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาวกำลังเผชิญกับวิกฤติการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่อย่างหนัก
       หลังจากที่เกิดวิกฤต โดยหลักแล้วพตท.ทักษิณ แทบจะไม่ได้ออกมาพูดถึงปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในเมืองไทยแต่อย่างใด จะมีก็แต่โพสต์ข้อความ 2-3 ข้อความในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ค แสดงความเสียใจกับผู้ประสบภัยเท่านั้น
        นอกจากนั้น ยังไม่ได้ออกมาระดมเสียงสนับสนุนช่วยน้องสาวที่กำลังเจอกับแรงกดดันอย่างหนักด้วย ซี่งนายพอล เชมเบอร์ นักรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยพายัพ ให้ความเห็นว่า พตท.ทักษิณเงียบกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า กำลังเอาตัวเองออกห่างจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่ตอนนี้มีความเสี่ยงที่อาจจะหล่นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการแก้ปัญหาวิกฤติน้ำท่วม จึงเป็นการดีกว่า ที่พตท.ทักษิณและนักการเมืองพรรคเพื่อไทยคนอื่นๆจะปล่อยให้นายกรัฐมนตรีเผชิญกับปัญหา และรับความไม่ชอบใจของประชาชนในส่วนที่เกี่ยวกับการรับมือกับวิกฤติการณ์ของเธอด้วยตัวเอง
        อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองไทย แห่งสถาบันเพื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาที่สิงคโปร์  ให้ความเห็นว่า ที่พตท.ทักษิณเงียบไป ก็เพื่อให้โอกาสยิ่งลักษณ์ ที่เคยบอกว่าเป็น " โคลน " ของเขา ได้มีโอกาสได้ก้าวออกมาจากเงาของเขา ด้วยตัวของเธอเอง แม้ว่าเธอจะล้มเหลวก็ตาม เพราะยิ่งพตท.ทักษิณเข้าไปแทรกแซง จะยิ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนมากขึ้น และจะเป็นการเปิดประตูให้ฝ่ายค้านโจมตีรัฐบาลได้
         นอกจากนั้น พตท.ทักษิณ อาจจะไม่อยู่ในสถานะที่จะช่วยอะไรได้ เพราะไม่ได้จบปริญญาเอกด้านบริหารจัดการน้ำ
         ส่วนอาจารย์ธิตินันท์ พงษ์สิทธิรักษ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่าสองพี่น้องคู่นี้อาจจะมีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิด แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพราะธรรมชาติของวิกฤติการณ์แบบนี้ ต้องอาศัยการลงมามีส่วนร่วมอย่างมาก แบบชั่วโมงต่อชั่วโมง
        สำหรับเรื่องการช่วยให้พตท.ทักษิณกลับประเทศนั้น นักวิเคราะห์มองว่า ตอนนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ กำลังเจอปัญหาน้ำท่วมโถมเข้าใส่อย่างหนัก หากพตท.ยังเอาปัญหาใหญ่มาให้น้องสาวอีก ก็ไม่แน่ใจว่านายกรัฐมนตรีจะยังสามารถอยู่ในตำแหน่งได้หรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้น ก็จะเป็นเสมือนการฆ่าตัวตายทางการเมืองของทั้งสองคน
 จึงมีโอกาสเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ ที่พตท.ทักษิณจะได้กลับบ้านในเดือนธันวาคม ตามที่ประกาศไว้ว่าอยากจะมาร่วมงาน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 พฤศจิกายน 2554, 22:13:16
แฉกลางสภา “อีกระแตตาเข” งาบข้าวสารถุงยังชีพ    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    10 พฤศจิกายน 2554 1
   

      น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ นำมาม่า ปลากระป๋อง และข้าวสารที่บรรจุภายในถุงยังชีพ
ที่ระบุชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าไม่เหมาะสม และแพงเกินไป
ในระหว่างการประชุมสภาฯเพื่อพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 เป็นวันที่ 2  (10พ.ย.54)


 บรรยากาศการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 ในช่วงบ่ายวันที่ 10 พ.ย.ซึ่งเป็นวันที่สองของการอภิปรายเริ่มคึกคักขึ้น เมื่อ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นอภิปรายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์ปฎิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่ล้มเหลว โดยเฉพาะการใช้งบประมาณในการฟื้นฟูน้ำท่วม ด้วยการเปิดคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในท่าอากาศยานดอนเมือง ที่ทำการ ศปภ.เก่า ในช่วงที่มีการขนถ่ายถุงยังชีพขึ้นรถที่มีป้ายผ้าข้อความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่ง น.ส.รังสิมา ระบุว่า เป็นการกระทำที่หน้าด้าน เอาชื่อไปติดบนสิ่งของบริจาคของประชาชน นอกจากนั้น ยังนำคลิปในช่วงที่ดอนเมืองถูกน้ำท่วมจนต้องย้ายที่ตั้ง ศปภ.แต่ยังปรากฏสุขาลอยน้ำตกค้างอยู่ ยังไม่ได้ขนออกไปจำนวนมาก
       
       นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงคลิปที่นำมาเปิดดูไม่รู้ว่าเป็นกล่องกระดาษ หรือเป็นส้วม วันนี้ เป็นการพิจารณางบประมาณ ไม่ควรมาพูดเรื่องน้ำท่วม ควรเก็บไปพูดพรุ่งนี้ที่จะมีการเปิดอภิปรายทั่วไปเรื่องการปัญหาน้ำท่วมจะดีกว่า แต่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานการประชุมวินิจฉัยว่า น.ส.รังสิมา ยังอภิปรายอยู่ในเรื่องงบประมาณ สามารถให้อภิปรายต่อไปได้
       
       จากนั้น น.ส.รังสิมา ได้อภิปรายต่อว่า ตนได้ย้ำถึงการใช้งบประมาณของรัฐบาล
 แต่นายสุนัย ไม่สนใจฟังจึงไม่รู้ว่าอันไหนเป็นกล่อง อันไหนเป็นส้วม
       
       จากนั้น ส.ส.สมุทรสงคราม ยังได้นำถุงยังชีพที่มีตราของสำนักนายกรัฐมนตรี และอีกด้านมีตราของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) มาตรวจสอบกลางสภา โดยตั้งข้อสังเกตว่าไม่ทราบว่าถุงดังกล่าวเป็นของหน่วยงานใด เพราะมีจิตอาสาที่ไปแพ็กของเล่าให้ฟังว่า มีเลขาฯ ของ ส.ส.คนหนึ่งชื่อ “อีกระแตตาเข” เป็นคนส่งข้าวสารมาลงที่โรงเรียนสวนกุหลาบนนทบุรี ในวันที่ 20 ต.ค.จำนวน 23,500 ถุง ราคา 70 บาท แต่ปรากฏว่า มีการออกบิลต่อเนื่องเรื่อยไป เพิ่มราคาเป็น 95-195 บาท กินส่วนต่างกันถึง 120 กว่าบาท ไม่รู้ทำกันได้อย่างไร ทำนาบนหลังคน รีดเลือดกับปู กินได้แม้กระทั่งส้วม และผลการสอบทุจริตถุงยังชีพสุดท้ายก็ไม่มีความผิด ซึ่งคิดอยู่แล้วต้องเป็นแบบนี้
       
       จากนั้น น.ส.รังสิมา ได้อ่านคำสาปแช่งของประชาชนที่ใส่ไว้ในถุงบริจาค โดยมีใจความว่า “มันผู้ใดสลับสับเปลี่ยน นำออกแอบอ้างการเป็นเจ้าของสิ่งของบริจาค อันเป็นเจตนาบริสุทธิ์ในถุงใบนี้ หรือแม้แต่ฉีก ทำลายถุงใบนี้ด้วยเจตนาที่ไม่เป็นไปตามประสงค์ของผู้บริจาค ขอให้มันผู้นั้น รวมทั้งเครือญาติที่เกี่ยวข้องนับขึ้นจากมันไป 3 โคตร และนับลงจากมันไป 3 โคตร ประสบแต่ความฉิบหายวิบัติ หาความสุข หาความง่าย หาความสบาย หาความอิ่ม หาพลานามัยที่ดีมิได้อีกเลย ในทุกอิริยาบถ ในทุกเวลา นับเนื่องจากนี้ต่อไปยังชาติภพถัดไปอย่างไม่สิ้นสุด
       
       น.ส.รังสิมา ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนขอสาปแช่งให้คนที่คิดชั่วทำนาบนหลังคนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
 อดใช้เงินต้องไปนอนหยอดข้าวต้มตลอดชีวิต
       
        เฉลิม อ้างงบเยียวยาไม่มีรายละเอียด เหตุไม่ประเมินความเสียหาย
       
       ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงว่า ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้มาชี้แจงข้อข้องใจในบางประเด็น โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณฉุกเฉินที่จะใช้ในอนาคต ในส่วนของการเยียวยานั้น ต้องเรียนว่าใส่รายละเอียดไม่ได้ เพราะยังไม่รู้ว่าความเสียหายเป็นอย่างไร บางคนไม่เคยคาดคิดว่าจะประสบอุทกภัย เช่น ตนวันนี้ก็อยู่ในข่ายที่ได้รับเงิน 5,000 บาทเหมือนกัน สำหรับงบประมาณตัวเลขกลมๆ 1.2 แสนล้านบาทนั้น ทุกอย่างตรวจสอบได้ ถ้าคิดว่ามีการทุจริตฝ่ายค้านก็สามารถยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้
       
       


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 พฤศจิกายน 2554, 20:11:17
เจ๋งจริง   เปิดชม
แล้วกด like ให้คนทำด้วยหละ


   
http://www.youtube.com/watch?v=js1k9ET4C4M&feature=player_embedded




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 พฤศจิกายน 2554, 23:05:08
สัมภาษณ์ สมเกียรติ อ่อนวิมล น่าสนใจมาก
ปู'ไม่พร้อมมาเป็นผู้นำ 'แก้น้ำท่วมการเมืองล้วนๆ' ตอบโดย อ.สมเกียรติ อ่อนวิมล
by Phongnete Thapason
 on Friday, 04 November 2011 at 21:25

การเข้ามาบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย กับความคาดหวังตามคำทำนาย “นารีขี่ม้าขาว” ที่ผูกมัดตัว “ผู้นำโคลนนิ่ง” ว่าต้องพิสูจน์ฝีมือภายใต้การชักใยของ “ทักษิณ ชินวัตร” พี่ชายบังเกิดเกล้าที่คอยสั่งการ ถ่ายทอดตั้งแต่สายเลือด จนถึงบทบาทหน้าที่การทำงาน
สุดท้าย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็ไม่สามารถลบล้างคำครหาที่ว่า “ดีแต่เปลือก” ได้ การแก้ไขปัญหาอุทกภัยครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 50 ปีในประวัติศาสตร์ชาติไทย ภายใต้การสั่งการของ “ศปภ.” ที่พิสูจน์แล้วว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาทำงานได้ “ห่วย”
กระทั่งเกิดเหตุนายกฯหญิงเกิดอาการวีนใส่นักข่าวที่ถามคำถามเสียดแทงจิตใจ “เหวี่ยง” แถมงอนไม่ตอบคำถาม อ้างสื่อฯบางคนถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้รู้สึกถูกคาดคั้น โดยขอสื่อช่วยปรับใบหน้าให้ยิ้มแย้มเวลาถาม

“อ.สมเกียรติ อ่อนวิมล” นักสื่อสารมวลชนชื่อดัง ได้เขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ตอกกลับนายกฯหญิงแบบยิ่งเสียดแทงใจว่า..."จากประสบการณ์งานในอาชีพสื่อสารมวลชนของผมตั้งแต่ปี 2526 ผมสรุปเป็นหลักคิดส่วนตัวว่า...เมื่อใดที่รัฐบาลใดมีปัญหา เริ่มโทษสื่อมวลชนเรื่องความถูกต้องในการรายงานข้อมูลข่าวสาร เมื่อนั้นคือเวลาที่รัฐบาลมีปัญหาการควบคุมหรือจัดการกับข้อมูลข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นการจัดการ "ความจริง" หรือ "ความไม่จริง" และเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการที่รัฐบาลกำลังมีปัญหาในการจัดการกับตัวรัฐบาลเองและวิกฤติที่รัฐบาลเผชิญอยู่"

“สัมภาษณ์พิเศษไทยอินไซเดอร์” สัปดาห์นี้จึงขอจับเข่าคุยกับ "อ.สมเกียรติ" อย่างเป็นทางการ ซึ่งนักสื่อสารมวลชนผู้นี้ได้วิพากษ์บทบาทของศปภ.ที่ถือเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล ที่ปกปิดข้อมูลข่าวสาร จนนำไปสู่การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ล้มเหลว พร้อมวิพากษ์ถึงพี่ชายสุดจุ้นจ้านที่นิสัยไม่ดี แย่งซีนน้องสาวตัวเอง แถมกำลังจะ "ทำลายน้องตัวเองบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี" คำสัมภาษณ์เหล่านี้อาจแทงใจใครหลายคน.
..
Q : “เมื่อใดที่รัฐบาลใดเริ่มโทษสื่อมวลชนเรื่องความถูกต้องในการรายงานข้อมูลข่าวสาร เมื่อนั้นคือเวลาที่รัฐบาลมีปัญหา เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการที่รัฐบาลกำลังมีปัญหาในการจัดการกับตัวรัฐบาลเองและวิกฤติที่รัฐบาลเผชิญอยู่” สิ่งนี้คือสิ่งที่อาจารย์เขียนในเฟชบุ๊ค ช่วยอธิบายถึงเหตุผลว่าเหตุใดจึงวิเคราะห์แบบนี้?

A : อันนี้เป็นทฤษฎีทั่วๆไป ที่จริงพวกเราที่ทำสื่อมานาน เป็นทฤษฎีที่พวกเราวิเคราะห์กันเอาเอง อาจจะไม่มีสอน "Political Communication" แต่ว่าตลอดอาชีพการทำสื่ออันนี้ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทุกรัฐบาลในโลกนี้เวลาจัดการข้อมูลข่าวสารได้ในยามวิกฤตก็แฮปปี้แล้วก็ขอความร่วมมือกับสื่อมวลชน ในช่วงต้นพฤติกรรมของรัฐบาลต่างๆในโลกก็จะเป็นแบบนี้ พอไปๆแล้วมันคอนโทรลข้อมูลข่าวสารไม่ได้ ก็เริ่มหวั่นไหวไม่แน่ใจ เพราะฉะนั้นสื่อมวลชนก็จะเริ่มซักถาม รุกเร้า รุนแรง ขึงขัง ไม่ยิ้มมากขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็จะไปหาข่าวเองมากขึ้นเมื่อรัฐบาลไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูล แล้วพอเรามาถึงในยุค New Medias หรือ "ยุคสื่อใหม่" ปรากฏว่าสื่อกระแสหลักก็ต้องแข่งกับสื่อใหม่ หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า Social Network เมื่อ New Medias เขาพึ่งตัวเอง หาข่าวกันเอง อย่างผมเองก็หาข่าวในพื้นที่เมืองทอง ปากเกร็ด เพราะว่าจะได้รู้ว่าหมู่บ้านเราเป็นยังไง ซึ่งสื่อกระแสหลักก็ไม่ได้ เขาเลือกตามกระแสกันไป เพราะฉะนั้นสื่อทางอินเตอร์เน็ท เว็บไซต์ เว็บบล็อก เฟซบุ๊ค เขาก็มีข่าวกันเอง เพราะฉะนั้นสื่อกระแสหลักก็ต้องแข่ง เว็บบล็อกต่างๆก็แข่งกับรัฐบาล ไม่พอใจรัฐบาล ทำให้มาดึงความสนใจไปจากการแถลงข่าวของรัฐบาล ซึ่งสับสนตั้งแต่ต้น ซึ่งทุกคนจะเห็นความสับสน คือนั่งกัน 2-3 คน ผลัดกันแถลง ไม่มีหลักว่าจะเอาใครเป็นหลัก เสร็จแล้วข้อมูลก็ไม่ได้จากนักวิทยาศาสตร์ พอรัฐบาลใช้นักวิทยาศาสตร์ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์ในช่องอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ.เสรี ศุภราทิตย์ (ผอ.ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร) ซึ่งผมกำลังนั่งคอยแกทุกวัน มีเหตุผล มีวิธีการนำเสนอ มี Presentation ที่น่าเชื่อถือมากกว่า ลงพื้นที่ มีกราฟฟิค มีภาพทำได้ดีกว่ารัฐบาล
“ทั้งหมดนี้รัฐบาลก็เลยต้องแข่งกับสื่ออื่น สื่อกระแสหลักก็ต้องแข่งกับ New Medias เพราะฉะนั้นโลกแห่งข้อมูลข่าวสารจึงกระจัดกระจาย รัฐบาลก็เริ่มหงุดหงิด เพราะฉะนั้นก็เริ่มโทษสื่อ ทุกรัฐบาล รวมทั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ รัฐบาลเก่าๆ พอมีเรื่องแล้วคุมไม่ได้ก็เริ่มโทษสื่อ ผมเคยเขียนเป็นโน้ตสั้นๆว่า โดยประสบการณ์แรกๆมันก็ดีทั้งนั้น พอไปถึงจุดที่คอนโทรลไม่ได้ก็โทษสื่อ George W Bush (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ) ก็ทำอย่างนี้ ประธานาธิบดีโอบามา(ประธานาธิบดีสหรัฐฯปัจจุบัน)ก็เกิดวิกฤตอย่างนี้เช่นเดียวกัน ในตอนที่ตัวเองแก้วิกฤตเศรษฐกิจไม่ได้”

Q : ความล้มเหลวของ “ศปภ.” คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถจัดการกับวิกฤตข่าวสารได้ใช่หรือไม่ จนนำมาสู่เรื่องการให้ข้อมูลข่าวสารจนถึงทุกวันนี้?

A : ผมก็คงเหมือนพวกเราทุกคน คือดูเท่าที่เห็น เพราะว่าไม่ได้เข้าไปข้างใน แต่ว่า Thaiflood เขาอธิบายเลยว่าขอเข้าไปข้างใน เขาก็ไม่ให้เข้า แล้วผมก็พึ่ง Thaiflood อยู่ เราก็ไปดูเองบ้าง เพราะฉะนั้นศปภ. รูปแบบการทำงานตั้งแต่ต้น ผมดูตามประสบการณ์ชีวิตการทำงานว่าวันแรกที่เห็นนั่งเป็นแผงเหมือนคณะปฏิวัติ แล้วแต่ละคนเราก็รู้จักหน้าว่ามันไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ มันอธิบายอะไรไม่ได้ พงศพัศ(พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ปรึกษาสัญญาบัตร 10 (สบ 10) ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ )เป็นตำรวจ วิม(รุ่งวัฒนจินดา)เป็นนักการเมืองซึ่งดูแลสื่อในส่วนของชินคอร์ป นายกฯ (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)นี่ก็สื่อไม่เป็นอยู่แล้ว เพราะว่าภาษาไทยก็ไม่คล่อง ภาษาอังกฤษก็ไม่ดี แล้วก็ยังไม่พร้อม ยิ่งพล.ต.อ.ประชา(พรหมนอก ผอ.ศปภ.)นี่ก็ตำรวจ คือคนที่นั่งอยู่บนแผงไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มีความรู้ เรากำลังทำสงครามกับธรรมชาติ ซึ่งอาศัยวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่น่าเชื่อถือ ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มาถึงอ.ธงทอง(จันทรางศุ)ก็ไม่ใช่อยู่ดี อ.ธงทองก็เป็นครู บรรยายอยู่นั่นแหละกว่าจะเข้าที่ เพราะฉะนั้นหน้าต่างของศปภ.มันไม่ใช่มืออาชีพ แล้วมีกันหลายคน ข้อมูลก็ไม่ดี มันไม่ดีตั้งแต่ต้น คนเขาก็หันไปหาดูทีวี

Q : การที่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้มันเลวร้ายมากขึ้น ผนวกกับการทำงานของศปภ.ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ยิ่งส่งผลให้เกิดวิกฤตทางข้อมูลข่าวสารตามไปด้วยใช่หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดการกระพือของข่าวที่รุนแรงตามมา?

A : ที่จริงในการเสนอข่าวสารไม่ว่าภาครัฐ เอกชน สื่อเล็กหรือสื่อใหญ่ "ความจริง" เป็นหลัก เพราะทุกคนต้องการความจริง...เท่านั้นเอง ไม่ต้องมาปกป้อง ปิดบังอะไรกัน ความขัดแย้งปกปิดกันไม่ได้ เพราะว่าในที่สุดมันก็เห็น ไม่ว่าจะในวิกฤตหนักมากน้อยแค่ไหนก็ขอให้เสนอความจริง แต่คราวนี้ผมคิดว่าทั้งผมและทุกคนรวมทั้งศปภ. และรัฐบาลด้วย ในช่วงก่อนเดือนตุลาคมเราก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นวิกฤตระดับสงคราม ผมอยากจะเขียนว่าเป็น “สงครามโลกครั้งที่ 3” แต่ก็ไม่อยากโพสต์อะไรที่คนอื่นไม่เข้าใจ Concept เดี๋ยวคนที่เข้าใจสำนวนฝรั่งจะเป็นเรื่องใหญ่ คือตอนนี้มันเหมือนสงครามครั้งใหญ่ เพราะฉะนั้นการทำสงครามกับธรรมชาติ บอกให้ประชาชนเข้าใจไปถึงพลวัตร ไดนามิกของน้ำ แล้วก็ไม่ต้องอ้อมค้อมกันมาก แล้วให้ระมัดระวัง...ก็จบ
แล้วผมคิดว่าสิ่งที่ซ่อนเร้น ซึ่งเราก็อ่านออก ผมว่าคุณก็อ่านออก ก็คือความขัดแย้งระหว่าง "กทม." กับ "ศปภ." ซึ่งจะปกป้องกรุงเทพฯสุดชีวิตทุกตารางนิ้วให้แห้ง แล้วปัดน้ำออกตะวันตก ตะวันออก ซ้ายขวา ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหาของรัฐบาลที่พยายามปกปิดความขัดแย้ง แล้วอ.สุขุมพันธุ์(บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.) ผมก็รู้จักแกดี เพราะเคยทำงานร่วมกัน สุภาพจะตาย ถ้าหน้าไม่เขม๋งเกรียวไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะฉะนั้นความขัดแย้งมันยิ่งชัดเจน ยิ่งทำลายลักษณ์อักษร ทำหนังสือ พอความขัดแย้งเป็นการเมือง มันก็ไม่มีเรื่องที่จะใช้วิทยาศาสตร์มาใช้แก้ปัญหา ผมคิดว่าเป็นปัญหามาก เพราะรัฐบาลใช้การเมืองแก้ปัญหา แล้วรัฐบาลต้องการเอาน้ำเข้าเมือง เข้าเมืองชัดๆ กรุงเทพฯต้องท่วมบ้าง ซึ่งตอนนี้คือสิ่งที่รัฐบาลทำ อ.สุขุมพันธุ์เขาไม่ต้องการ เขาเป็นเจ้าเมืองกรุงเทพฯเท่านั้น เขาไม่เกี่ยวกับเมืองอื่น เขาจะทำกรุงเทพฯให้แห้ง ซึ่งน้ำท่วม 2526 ปี2538 จะเห็นว่าถ้าท่วมจริงๆ เข้าในกรุงเทพฯมันก็จะอยู่แถวๆรามคำแหง แล้วก็แถวพัฒนาการ ผมเคยทำข่าวในช่วงนั้น มันไม่เข้าแบบนี้ มันเข้าแบบตะวันออก ตะวันตก ส่วนใหญ่ออกทางตะวันออก แล้วมันกระฉอกเข้ามาเท่านั้นเอง แถวประเวศ กรุงเทพฯถ้าเหนือบ่ากว่าแรงจริงก็ไปแถวรามคำแหง ตอนนี้มันไม่ไป รัฐบาลเอาน้ำ เอาคลองประปา เอาวิภาวดีฯ กับพหลโยธินทำหน้าที่เป็นคลองระบายน้ำ อ.สุขุมพันธุ์ก็พูดอย่างนั้น ตรงนี้คือสิ่งที่รัฐบาลไม่แถลง แต่ว่าวิญญูชน สื่อมวลชนทุกคนมองออก เพราะว่ามันมีข้อมูลวงใน ศปภ.เสียความน่าเชื่อถือ

Q : ความน่าเชื่อถือของศปภ.ที่หมดไป คนส่วนใหญ่พูดตรงกันว่าเพราะไม่ได้บอกข้อมูลความจริงแต่แรก

A : ใช่ๆๆ ไม่ได้บอกความจริงแต่แรกจริงๆ เพราะว่าพอพูดเรื่องน้ำที่ไหลมาปุ๊บ เราก็ไม่เข้าใจว่าอะไรกัน บอกน้ำระบายจากเขื่อน แต่ปรากฎว่าในวันเดียวกันพวกเด็กๆน้องๆผมซึ่งปัจจุบันมันก็โตเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยกันแล้ว มันก็โพสต์เอาตัวเลขน้ำจากเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ มาให้ มีกราฟ มีสถิติ มีการขึ้นลงแบบวันต่อวันของกฟผ. ซึ่งไม่ใช่ความลับ พวกอาจารย์หนุ่มๆที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ เทคโนฯลาดกระบัง ที่ผมรู้จักมันก็โพสต์มาให้ดู คือมันไม่ต้องคอยรัฐบาล ไม่ต้องกลัวรัฐบาลปกปิด เพราะประชาชน นักวิทยาศาสตร์หนุ่มๆสาวๆ มันฟิตกันเต็มที่ เราจึงรู้ข้อมูลเรื่องเขื่อน อย่างตอนนี้รัฐบาลกับประชาธิปัตย์ก็เถียงกันอีกแล้วว่าวันไหนน้ำในเขื่อนเป็นยังไงตอนเข้ามาตั้งรัฐบาล มาเถียงทำไม ผมรู้ตั้งแต่ตอนต้นแล้ว การปล่อยน้ำในเขื่อนมันมีตัวเลข มันหลบไม่ได้ กฟผ.มีตัวเลข คือไม่ให้ความจริงในโลกที่ความจริงได้แค่กดปุ่ม แล้วคนที่รู้จักว่าจะคลิ๊กไปที่เว็บบล็อกไหนแค่นั้นเอง

Q : การอ้างว่าไม่อยากให้ข้อมูลมากเกินไปเพราะกลัวว่าประชาชนจะแตกตื่น ใช้เหตุผลนี้มาอธิบายได้หรือไม่?

A : ข้อมูลมากเกินไปมันควบคุมไม่ได้อยู่แล้ว มันเป็นปรากฎการณ์ปกติของโลกไซเบอร์ หรือโลกโลกาภิวัฒน์ยุคข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลมากเกินไปเรารู้กันมาตั้ง 20 ปีแล้วนะ อันนี้มันข้อมูลปกติ ข้อมูลท่วมท้น เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องจัดการและแจกข้อมูลไปยังสื่ออื่นๆที่ต่างคนต่างหิวข้อมูล ต่างไม่หากันเอง เพราะฉะนั้นศปภ.ไม่ได้ให้ข้อมูลทั้งยากและง่ายกับคนที่ต้องการ

Q : ศปภ.ตอนนี้ไม่ได้เป็นผู้ให้ข่าวสาร แต่กลายเป็นศูนย์ที่ใช้ตอบโต้ข้อมูลจากแหล่งอื่น

A : ผมรับข้อมูลข่าวสารทั้งวัน เพราะคนแก่อยู่กับบ้าน อย่างผมดูอ.เสรีช่วงแรกผมก็คิดว่าอาจารย์คนนี้มายังไง ผมดูแล้วเขาเป็นนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ชั้นดี เพราะว่าผมเคยทำงานด้านนี้มาก่อน เขาเรียกว่า Science Communicator แล้วเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์จริง อาจารย์เขา Present ดี แล้วเขารู้เรื่อง เพราะฉะนั้นผมก็ดูแกทุกวัน พอสักพักปรากฏว่าช่องอื่นก็มีนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลไปลุยอ.เสรี แล้วลุยแบบอ้อมๆ ไม่เอ่ยชื่อ ผมก็เลยรู้ว่าเขาเริ่มลุยกันแล้ว ทำไมเราจะไม่รู้ ชาวบ้านอาจจะนึกไม่ออกว่าหมายถึงใคร เพราะฉะนั้นก็กลายเป็นว่ารัฐบาลก็คอยดูสื่อกระแสหลักว่านำไปทางไหน แล้วตัวเองก็ไล่ตาม บังเอิญสื่อของศปภ.คุณดูทุกวันจะพบว่าเป็นที่ถ่ายภาพบุคคลมาบริจาค เป็นงานหลักเลย แล้วหลังจากนั้นก็สัมภาษณ์รัฐมนตรี สัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง คุณสุภาพ คลี่ขจายบ้าง คุณจักรพันธุ์ ยมจินดาบ้าง คือพวกไทยรักไทยทั้งหลายก็ย้อนกลับมา พวกนักสื่อสารซึ่งเป็นอดีต แต่ไม่ใช่มืออาชีพทางด้าน Science Communicator ก็กลับมา ก็ได้แต่สัมภาษณ์นักการเมืองด้วยกัน เปิดดูช่อง 11 พบแต่การนั่งสัมภาษณ์บุคคล มันไม่มีข่าวเกี่ยวกับชาวบ้านจะเป็นจะตาย จะหลบไปทางไหนเท่าไหร่นัก

Q : การจัดการข้อมูลข่าวสารในภาวะวิกฤตจึงต้องแตกต่างกับสถานการณ์ปกติ

A : ตอนนี้มันเป็น "การจัดการข้อมูลข่าวสารในยามวิกฤต" เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องเป็นเจ้าของข้อมูล และข้อมูลต้องเป็นจริงเพราะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ น้ำไหล น้ำมาก รัฐบาลต้องเป็นแหล่งที่คนอื่นมาล้วงข้อมูลไป เช่นแถลง แล้วอัพเดตบนเว็บ แจกเอกสาร ออกอากาศทางวิทยุ แล้วก็แถลงตอนแรกก็ทำผิด คือมานั่งเป็นแผงแล้วแบบตัวเองไม่รู้เรื่อง แล้วตอนหลังบอกจะพูดคนเดียวก็ยังไม่พูดคนเดียว แล้วบอกจะเป็นลายลักษณ์อักษร จะอ่านประกาศเท่านั้น ก็ไม่ทำอยู่ดี คุณลองไปตามประวัติสิ ผมก็บันทึกไว้ มันไม่ทำอย่างที่พูดเลยสักทีนึง ถ้าแถลงแบบคณะปฎิวัติ คือแถลงการณ์ฉบับที่ 1,2,3 แล้วเขียนมาโดยนักวิทยาศาสตร์ตรวจสคริปต์ พอแล้วมันก็กระชับ ส่วนรายละเอียดพวกเราที่เป็นสื่อกระแสหลักก็ไปกดเอา อย่างนั้นจะทำให้ Control Data พื้นฐานของรัฐได้ ส่วนสื่อกระแสอื่นจะไปหาอะไรเพิ่มเติมก็ไม่ว่ากัน แล้วถ้าเขาอยากได้ข้อมูลของรัฐ อย่าง Thaiflood ที่เขาอยากจะมานั่งประชุมด้วย ก็ให้มา สมัยผมเป็นส.ว.สื่อมวลชนต้องการเข้ามานั่งในห้องประชุมกรรมาธิการ เพื่อจับข่าวเวลาเราร่างกฎหมายเกี่ยวกับสื่อ ก็ให้มานั่ง ตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 40 เราก็ให้มานั่งหมด สื่อมวลชนเนี่ย เพียงแต่ไม่ให้เขายกมือถามเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ไม่ให้สื่อเข้าไปดูการทำงาน มันก็ไม่มัน เขาก็ต้องหาข่าวเอง ผิดบ้างถูกบ้าง คือไม่ Control ข้อมูลจริงที่ตัวเองมีอยู่

Q : ในยามวิกฤตควรให้สื่อเข้าไปร่วมรับฟังการทำงานด้วย แต่ฝ่ายรัฐยังไม่อนุญาตเพราะเกรงว่าจะเป็นการไปล้วงข้อมูลหรือไม่

A : คือโลกของการแถลงข่าวต้อง "แถลงความจริง" แล้วในยามวิกฤตก็ต้องแถลงความจริง จะบอกไม่ให้ตื่นตระหนก...ก็ไม่ต้องบอก คือบอกให้รู้ความจริงแล้วอธิบายให้เข้าใจ ไม่ให้ตื่นตระหนก แต่ศปภ.ไม่ได้ให้ความจริง แล้วทุกคนก็รู้อะไรเป็นอะไร หรือเขาอาจจะไม่รู้ความจริงก็ได้ เช่นเขาไม่รู้หรอกว่าน้ำจะมาเมื่อไหร่ยังไง ตัวเขาเองยังต้องย้ายไม่ทัน แล้วตอนนี้ก็มาอยู่ตึกพลังงาน กะเดี๋ยวว่าต้องย้ายอีก แล้วก็บอกไม่ย้าย เพราะฉะนั้นเวลาเขาย้ายครั้งที่ 1 มันพิสูจน์ว่าเขาไม่รู้ว่าน้ำจะมาชนตัวเขายังไง แต่การขัดแย้งแล้วใช้พ.ร.บ.ป้องกันฯกับผู้ว่าฯกทม.มันชัดเจนว่าเขาต้องการใช้อำนาจในการระบายน้ำเข้ากรุงให้เร่งไหล ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดถูก เราก็เห็นแล้วตามที่เขาต้องการ ซึ่งผู้ว่าฯก็พูดไม่ออก เปิดประตูก็เปิด ปิดก็ปิด ผมตอนหลังเราคงได้ความจริงถ้าหากอาจารย์สุขุมพันธ์เขียนบันทึก เขียนหนังสือเล่าเรื่องนี้ หรือเวลาเปิดประชุมสภาฯเดี๋ยวคงเห็นว่าจะลุยกันยังไง เขาบอกว่ามันอึกอัดอยู่

Q : ที่มีคนเชียร์ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ เพราะข้อมูลมีความชัดเจนมากกว่าหรือไม่?

A : คือ...บังเอิญผมอาจจะลำเอียงเพราะรู้จักอ.สุขุมพันธุ์ คืออ.สุขุมพันธุ์ในฐานะผู้ว่าฯกทม. เขาพูดตั้งแต่วันแรกแล้วว่าให้ฟังเขาคนเดียว แล้วเขาจะแถลง แล้วเขาจะไม่ให้กรุงเทพฯน้ำท่วม ถ้าเกิดปัญหาเขาจะบอก เขาเป็นเจ้าเมืองกรุงเทพฯ เขาไม่ใช่เจ้าเมืองจังหวัดอื่น เพราะฉะนั้นเขามีหน้าที่ปกป้องกรุงเทพฯอย่างเดียว แล้วปกป้องอย่างเต็มที่ มันก็เหมือนกับการปกป้องกรุงเทพฯให้พ้นจากน้ำท่วมเมื่อปี 2538 หรือปี 2526 มันเหมือนกัน ทีนี้เวลาเขาทำ เขาก็ต้องคิดว่าระบายน้ำออกซ้าย-ขวาเท่านั้นเอง มันก็เป็นความน่าเชื่อถือ เพราะว่าเราอยู่ในกรุงเทพฯ เราก็ฟังเขา แต่พอมีกรมชลประทานมาเกี่ยวข้อง รัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาก็ถูกสั่งในทางที่มันขัดใจเขา เมื่อให้กฎหมายเขาก็ต้องยอม ผมคิดว่าขณะนี้คนก็ยังเชื่อกทม.อยู่ แต่จะเห็นใจกทม.หรือไม่ไม่รู้เพราะว่าน้ำมันท่วมหมดแล้ว เหลือไม่กี่เขต

Q : มีคนโจมตีสื่อมวลชนว่านำเสนอข่าวแต่ในมุมวิกฤต จนทำให้คนเข้าใจว่าสถานการณ์มันเลวร้าย จนมองว่าน้ำท่วมครั้งนี้รุนแรงเกินไป

A : ที่จริงมันแรงนะ มันโกหกกันไม่ได้ มันมีประวัติศาสตร์ เราเคยทำข่าวน้ำท่วมปี 2526 ปี 2538 เราก็เห็นอยู่แล้วว่าน้ำท่วมกรุงเทพฯมันโอบล้อมมาข้างนอก มันถึงเข่าแถวๆหัวหมาก คลองประเวศ พัฒนาการ มันไม่ได้มากเท่าครั้งนี้ แล้วครั้งถ้าดูปริมาณน้ำตามที่พวกนักวิทยาศาสตร์เขาบอกกันกี่ล้านกี่ล้านลูกบาศก์เมตร มันก็ย่อมมากกว่าครั้งที่แล้วอยู่แล้ว อันนี้เป็นข้อเท็จจริงทางการตรวจวัด มันไม่ใช่ว่าความรู้สึกที่สื่อมวลชนพูดกันเอาเอง แล้วข้อเท็จจริงเหล่านี้มันก็ยังยืนยันอยู่ มันไม่มีฝนตกมาหลายวันแล้ว แล้วน้ำมันก็ค่อยๆไหลมาไม่ได้หายไปไหน นายกฯเองก็มาบอกเมื่อ 3 วันที่แล้วว่าอีก 2 วันคงจบ เพราะว่าไม่มีน้ำทะเลหนุนแล้ว นี่เข้าวันที่ 3 แล้ว อ.เสรีบอกว่า 45 วันถึง 2 เดือน คุณก็ดูสิ นายกฯก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว

Q : ปรากฎการณ์ “แพะรับบาป” จะเกิดขึ้นกับ “กรมชลประทาน”หรือไม่?

A : ผมว่ากรมชลประทานกับกทม.เขามืออาชีพทั้งคู่นะ เขารับผิดชอบคนละพื้นที่เท่านั้นเอง กทม.ก็รับผิดชอบในเขตของตัวเอง กรมชลฯก็รอบนอก เพราะฉะนั้นถ้าเขาประสานงานกันตามปกติเหมือนสมัยก่อน โดยรัฐบาลไม่เข้าแทรกแซง มันก็ถกเถียงกันว่าจะเปิดจะปิดแค่ไหนเท่าไหร่แค่นั้นเอง ไม่ควรจะเป็นแพะทั้งคู่ เมื่อกรมชลฯอยู่ภายใต้การเมืองปุ๊บ แล้วรัฐบาลสั่งกทม.ไม่ได้ในช่วงต้นก็สั่งกรมชลฯ กรมชลฯเป็นข้าราชการก็...ครับผม ให้ทำอะไรก็ทำ รัฐมนตรีเกษตรฯก็อธิบดีกรมชลฯเก่า อธิบดีกรมชลฯรุ่นคลาสสิคก็คุณปราโมทย์ ไม้กลัด ก็ถูกเชิญเข้ามาอีก อธิบดีกรมชลฯจะไปพูดอะไร เพราะฉะนั้นกรมชลฯก็เป็นเครื่องมือทางการเมือง ไม่ต้องพูดกันเรื่องการประสานงานกทม. แล้วกทม.ดันเป็นของประชาธิปัตย์เข้าไปอีก ฉะนั้นมันก็เลยมีการเมืองแทรกเข้ามาอีก ผมว่าไม่ควรโทษทั้งกรมชลฯและกทม. ต้องโทษรัฐบาลที่ตัดสินใจแบบใด ปกติเราพร้อมให้อภัยเสมอ ผมว่าก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ผมไม่มีบทบาทที่จะไปว่าใคร คุณยิ่งลักษณ์เราก็พยายามพูดสนับสนุน โพสต์ข้อความให้กำลังใจ ยกเว้นจะหงุดหงิดเวลาคุณทักษิณเข้ามาแทรก เพราะว่าเขามีหน้าที่ตัดสินใจจากข้อมูลที่ถูกต้อง ตอนนี้เมื่อข้อมูลเขาไม่ถูกต้อง เป็นคำแนะนำจากนักการเมืองด้วยกัน มันก็พลาด แล้วเวลาเขาแถลงก็แถลง...คืออายุการเมืองมันสั้นมาก ประสบการณ์น้อย แถลงบอกอีก 2 วันเสร็จ มันก็เหมือนฟันธง พอล้มเหลวก็ขอโทษตั้งแต่นิคมอุตสาหกรรมโน่นเลย ไฮเทค...อยุธยา คุณยิ่งลักษณ์ออกมาขอโทษหลายครั้ง เพราะว่าตัดสินใจแล้วประกาศการตัดสินใจทันที น่าจะฝึกการพูดแบบกำกวมบ้าง ซึ่งยังไม่เป็น ต้องใช้เวลามากในการแถลงแบบกำกวม

Q : ศปภ.กับกทม.เป็นเรื่องทางการเมืองที่ชัดเจนแล้ว

A : เป็น"การเมือง" แน่นอนอยู่แล้ว 2 ค่าย(เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์)พูดกันไม่รู้เรื่อง ผมเห็นตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ยังไม่ใช้พ.ร.บ.ป้องกันฯว่าทำไมต้องออกหนังสือ ก็ดูจากเว็บของกทม.ว่าส่งหนังสือถึงศปภ.แล้ว ไอ้การทำลายลักษณ์มันทำก่อนหน้าจะถูกยึดอำนาจด้วยกฎหมายพ.ร.บ.ป้องกันฯ แล้ว ยิ่งตอนหลังอ.สุขุมพันธุ์มาแถลงว่าต้องทำหนังสือสั่งมาเป็นลายลักษณ์อักษรกรณีคลองสามวา คือในยามวิกฤตเขายกโทรศัพท์คุยกันนะ ถ้ามันพวกเดียวกัน “เฮ้ย...ไม่ต้องห่วงกฎหมาย เดี๋ยวกูดูแลให้” แต่ทีนี้มันคนละพรรค ว่าถ้าไม่ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรผมไม่ทำให้ เพราะว่าคุณเล่นกฎหมายพ.ร.บ.ป้องกันฯ มันก็การเมืองชัดๆ แล้วเราก็จะเห็นในสภาฯ ซึ่งผมไม่อยากให้เปิดสภาฯเร็ว อยากให้ทุกอย่างมันเคลียร์แล้วค่อยทะเลาะกัน เปิดสภาฯปชป.เขาลุยเต็มสูบ

Q : ปรากฎการณ์น้ำท่วมสามารถสร้างแรงสะเทือนถึงขนาดล้มรัฐบาลได้หรือไม่?

A : มันไม่เคยมีหรอก คือถ้าเป็นสมัยก่อนน้ำท่วมมันเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติปกติ ไม่มีใครไปกำกับควบคุมมันมากนัก มันก็ไหลลงคลอง แช่น้ำกันพักนึงมันก็หาย ตอนนี้น้ำท่วมมันถูกกำหนดให้ท่วมโดยการตัดสินใจของผู้บริหารเมืองหรือรัฐบาล มันเป็นน้ำท่วมที่มีการจัดการ ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าเป็นไปตามธรรมชาติจะไม่มีการทะเลาะกัน ชาวบ้านก็จะยอมรับไม่ไปพังคันกั้นน้ำ แต่เมื่อมันมีการจัดการ กทม.ก็ต้องจัดการไม่ให้บ้านตัวเองท่วม เพราะชาวบ้านซ้ายขวา นครปฐม ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการเขาก็ต้องท่วม พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บมันไม่ใช่น้ำธรรมชาติ อันนี้คือการเมืองแล้ว ทำให้ที่หนึ่งแห้ง ที่หนึ่งท่วม แล้วพอรัฐบาลมาคิดว่าไม่ควรเป็นการตัดสินใจแบบกทม. ต้องตัดสินใจแบบรัฐบาล คือเกลี่ยน้ำไหลมาให้ทั่ว เพื่อหวังให้น้ำที่อื่นจะเบาบางลงเพื่อให้ประชาชนเฉลี่ยกันไป สบายใจกันบ้าง ทุกข์กันบ้างเท่าๆกัน ตอนนี้รัฐบาลกำลังถูกพิสูจน์แล้วว่าการตัดสินจะทำให้ลาดกระบังกับบางชัน นิคมฯอีก 2 แห่งที่เหลืออยู่จะท่วมหรือไม่ท่วม ถ้าท่วมความผิดอยู่ที่รัฐบาลเนื้อๆเลย ผมภาวนาไม่ให้ท่วม เพราะว่ามันจะกลายเป็นเครื่องมือที่ให้เกิดการทะเลาะกันในการอภิปรายในสภา
รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ผมคิดว่า โอกาสนี้เป็นวิกฤตก็จริงอยู่ แล้วพังอย่างไรก็ยอมรับกันไป แล้วถึงตอนที่ฟื้นฟูประเทศก็จะทำให้ได้คะแนนหรือชื่อเสียงกลับคืนมา อันนี้ก็ยกประโยชน์ให้ธรรมชาติไป แต่ก็ลำบากเพราะการจัดการมันล้มเหลวตั้งแต่ต้น ฉะนั้นรัฐบาลไม่ต้องรีบพูดเรื่อง “นิวไทยแลนด์” ไม่มีใครเข้าใจหรอก ควรจะลุยให้เต็มที่โดยการแจก เยียวยา การประกาศเข้าถึง เหมือนที่คุณยิ่งลักษณ์ไปอย่างวันนี้(หมายถึงที่ดอนเมือง) ไปทุกวัน ไปให้มันโชกเหงื่อไปเลย ไม่ต้องแต่งหน้า ผมเห็นแกแต่งหน้าทุกวันแล้วรู้สึก...แต่งทำไม เป็นผมผมจะแกล้งทำให้หน้ายู่ยี่ทุกวัน อันนี้มันก็เป็น Political Communication อย่างหนึ่ง แสดงว่าแกมีเวลา ตกแต่งขอบตาสวยทุกวัน มันไม่มันเลย คือคนใกล้ชิดไม่รู้จักการ Presentation มันต้องลุย ต้องให้เปียก พูดง่ายๆคือถ้าลงลุยน้ำก็ไม่ต้องใช้กางเกงยาง เอาให้มันเปียกถึงกางเกงในเลย คืออย่างนี้สื่อเขาพร้อมที่จะช่วยถ่ายอยู่แล้ว คือมันสื่อไม่เป็น คือผู้นำมันไม่จำเป็นต้องไปเป็นไปตายกับประชาชน ไปตกค้างอยู่ที่ไหน แต่ว่ามันต้องแสดงออกถึงน้ำใจ

Q : บทบาทการทำงานคุณยิ่งลักษณ์ที่ผ่านมามองแล้วเป็นอย่างไร?

A : โดยส่วนตัว "แบ็คกราวน์" พื้นฐานคุณยิ่งลักษณ์มันไม่มี ไม่พร้อม และไม่พอที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ อันนี้เป็นหลักปกตินะที่คุณต้องผ่านการเป็นส.ส. ผ่านการเป็นเลขาฯรัฐมนตรี ผ่านประสบการณ์มาเยอะ หลายคนผ่านมาตั้งแต่อบจ. เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีการเตรียมตัวมันต้องใช้เวลาหน่อย ไม่ได้หมายความว่าเป็นนายกฯที่ดีไม่ได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลา การพูดการจาก็ยังใช้ไม่ได้ ยิ่งภาษาไทยไม่ควบไม่กล้ำอันนี้เรียนเท่าไหร่ก็ไม่ไหว(หัวเราะ) คือต้องค่อยๆไป เป็นนายกฯที่ดีได้ ผมเคยเขียนในเฟชบุ๊คว่าปชป.อย่าไปดูถูกเขานะ ถ้าให้เวลาเขาหาประสบการณ์ เขาอาจเป็นนายกฯที่ตัดสินใจอะไรดีๆหลายอย่างได้ ยังมีโอกาส คือช่วงนี้ตัดสินใจเยียวยาฟื้นฟู เข้าถึงประชาชนสั่งการให้เต็มที่ ไม่ใช่สั่งการในสัปดาห์แรกที่ตั้งศปภ.บอกให้ตำรวจไป 6-7 จังหวัด แล้วให้ทหารไปอีก 5- 6 จังหวัด ผมดูแล้วมันสั่งการกันแบบไหน แยกตำรวจกับทหาร เห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่าทะแม่งๆ เพราะฉะนั้นผมว่าถ้าเขาควงอภิสิทธิ์(เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ) ผบ.ทบ.ไปที่ไหนไปด้วยกัน ประชาธิปัตย์ไม่อยากเดินด้วยเลย

Q : คุณยิ่งลักษณ์ถือว่าโชคร้ายหรือไม่ที่ต้องมาเจอกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น?

A : ผมคิดว่าโชคดีนะ อย่าไปคิดว่าโชคร้ายสิ โชคดีเพราะมีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ตัดสินใจอะไรให้เด็ดขาด เด็ดเดี่ยว พูดไม่เก่งไม่ได้มีปัญหา เพราะฉะนั้นต้องเป็นตัวของตัวเองให้มาก และฟังคนเก่งๆให้เต็มที่ เหมือนบริหารเอสซี แอสเซท แต่ว่าอันนี้มันใหญ่กว่า มันต้องมีคณะทำงาน นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการที่เกี่ยวข้อง ตัดสินด้วยข้อมูล และฉะฉาน ที่ผมติมากๆ 2-3 วันที่ผ่านมาว่าอย่าให้พี่ชายมาแย่งซีน คุณทักษิณนิสัยไม่ดี ชอบแทรกแซง แย่งซีน ควรจะโทรให้คำปรึกษาน้องเงียบๆ แล้วไม่ต้องโผล่มาบอกผมพูดเอง ให้คำปรึกษาหลายครั้ง นิสัยแบบนี้มันทำให้น้องไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสักทีนึง พอน้องตัดสินใจอะไรก็บอกว่าผมบอกน้องมาหลายครั้งแล้ว แถมยังทวิตมาอีก ผมเลยทวิตกลับไปว่าคุณทักษิณคุณอย่ายุ่งได้มั๊ย ผมก็เลยโดนเสื้อแดงด่าอีก
“ผมต้องการให้คุณทักษิณอยู่แบบเบื้องหลัง จะไปห้ามไม่ให้เขาคิด พูดอะไรกับน้องคงไม่ได้ แต่ต้องให้โอกาสน้อง อย่าให้น้องต้องเสียหน้าทุกวันว่าที่แท้พี่เขากระตุกอยู่ข้างหลัง เมื่อไม่ช่วยน้องอันนี้ก็ทำลายน้องแล้ว ไม่รู้จะแก้ยังไงนะผมไม่ใช่ญาติโยมเขา”


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 พฤศจิกายน 2554, 09:59:30
“พรทิพย์”ขู่นักข่าวจนได้ดี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1
   
       เพียงแค่มีชื่อ “พรทิพย์ ปักษานนท์” แกนนำกลุ่ม นปช.จ.เพชรบุรี จะมานั่งเป็นคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาทันที เป็นรายการต่างตอบแทนผลงานอะไรกันหรือไม่?
       
       เพราะถ้ายังจำกันได้ เมื่อตอนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆ ชื่อของ “พรทิพย์” จะปรากฏขึ้นมาอย่างเด่นชัดทันที ในฐานะ “ผู้คุกคามสื่อ” โดยย้อนไปเมื่อ “ยิ่งลักษณ์” ยังอ่อนด้อยต่อการตอบคำถามสื่อ ได้ปะฝีปากกับ “ผู้สื่อข่าวช่อง 7” ผู้เจนสังเวียน ที่โยนถามในประเด็นสำคัญๆหลายข้อ ปรากฏว่า นายกรัฐมนตรีจนมุมถึงกับต้องเดินหนีไม่ตอบคำถามดังกล่าว
       
       จึงเป็นที่มาของ “พรทิพย์” ที่ไม่ทราบการทำหน้าที่ของสื่อ ในการซักถามให้นายกรัฐมนตรีตอบให้ชัดเจน เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประชาชน จึงได้สร้างผลงานด้วย “ฟอร์เวิร์ดเมล์” ให้เครือข่ายคนเสื้อแดง เพื่อไล่ล่าผู้สื่อข่าวคนดังกล่าว จนเป็นข่าวครึกโครมในขณะนั้น
       
       นี่เป็นบทบาทหนึ่งที่ “พรทิพย์” ได้แสดงออกมาต่อสังคม ซึ่งไม่เหมาะสม และไม่สมควรอย่างยิ่ง จึงเป็นคำถามถึงความเหมาะสมในตำแหน่งที่เธอจะได้รับนี้ ซึ่งไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนเสื้อแดง แต่เพราะพฤติกรรมที่เธอแสดงออกมาต่อสาธารณะ
       
       แม้ประธานบอร์ด ““พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี” จะการันตีว่าผ่านการสรรหามาอย่างดี พร้อมบอกปัดว่าไม่รู้เป็นคนเสื้อแดง นั่นก็ไม่ได้ส่งผลต่อความรู้สึกของสังคมมากนัก เพราะคนเสื้อแดงบางกลุ่มบางคน ก็ต้องยอมรับว่ามีความรู้ความสามารถ
       
       แต่จากประวัติบางส่วนของ “พรทิพย์” ที่ยังคลุมเครือในเรื่องความรู้ความสามารถ ที่จะทำให้ไม่มั่นใจได้ว่าการมารับตำแหน่งดังกล่าวนี้จะส่งผลดีต่อหน่วยงาน ต่อประเทศชาติอย่างไร เพราะสิ่งที่ชัดเจนที่สุดของ “พรทิพย์” คือมีเลือดเสื้อแดงเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ อย่างไม่ต้องสงสัยเท่านั้นเอง
       
       ที่ผ่านมาทราบกันดีว่า “พรทิพย์” นั้นเป็น “เจ้าแม่” ในย่านปึกเตียน เพราะเธอเป็นเจ้าของหาดปึกเตียน เป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ นอกจากหาดปึกเตียน ก็ยังมีรีสอร์ท คอนโดมีเนียม อพาร์ทเม้นในแถบนั้น ก็เป็นของเธอหลายแห่งเลยที่เดียว
       
       หากจะมีการจัดงานในแถบนั้น “พรทิพย์” รับเป็นเจ้าภาพให้ทั้งหมด และการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา “พรทิพย์” เตรียมตัวลงสมัครเลือกตั้งใน เขต 2 ท่ายาง - ชะอำ แต่ผลโพลล์ ออกมาไม่ค่อยดีนัก จึงต้องถอนตัวการเลือกตั้ง แต่กระนั้นก็ยังร่วมกิจกรรมกับพรรคเรื่อยมา
       
       ชื่อของเธอค่อยๆ ซาลงไป จนกระทั่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้มีการแถลงข่าวจากประธานบอร์ด มีการคัดสรรบุคคล 3 คน เพื่อมารับตำแหน่งบอร์ด ทอท.ที่มีลาออกไป ซึ่งมีชื่อ “พรทิพย์” ปรากฏอีกครั้ง ท่ามกลางความสงสัย ต่อการตัดสินใจเพื่อคัดสรรเธอมาดำรงตำแหน่งนี้ นอกจากนั้นยังมีชื่อของ นางจันทิมา สิริแสงทักษิณ และนายธานินทร์ อังสุวรังษี
       
       อย่างไรก็ตาม บอร์ดดังกล่าวคงได้รับการยอมรับมากกว่านี้ หากว่า เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และเชี่ยวชาญในด้านดังกล่าว ไม่ใช่คัดสรรมาจากผลงานที่เข้าตากรรมการในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม เพราะสำหรับ “พรทิพย์” ความโดดเด่นที่ผ่านสู่สายตาสังคมเห็นจะมีเพียงกรณีไล่ล่านักข่าวเท่านั้น
       
       คุณสมบัติแบบนี้ คงเป็นได้เพียงแกนนำเสื้อแดงบนเวทีเท่านั้น ซึ่งหากรัฐบาลใคร่ครวญและนึกถึงประโยชน์ของชาติจริงๆ เราคงจะไม่เห็นการต่างตอบแทนกันด้วยรางวัลอย่างงามแบบนี้



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 พฤศจิกายน 2554, 10:13:40

นำ้ท่วมแค่เข่าจริงๆ ไม่ได้โม้

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd70316_7111896_8567639_4188770photo.jpg)

ถูกนายใช้ให้มาเฝ้าดูนำ้ค่ะ

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd940377_142695_628909_3532211photo.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 พฤศจิกายน 2554, 10:54:46
ค่าซ่อมบ้าน หลังน้ำลด

   

เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์สวิเคราะห์ความเสียหายและอัตราค่าซ่อมบ้านหลังน้ำลด

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ราคาค่าก่อสร้างอาคารธรรมดา เช่น บ้านเดี่ยวตึก 2 ชั้น ราคาตารางเมตรละ 11,400 บาท ทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นหน้ากว้าง 4 เมตร เป็นเงินตารางเมตรละ 8,600 บาท ขณะที่อาคารพาณิชย์ 4 ชั้นราคา 7,200 บาทต่อตารางเมตร ส่วนห้องชุดราคาถูกหรืออพาร์ตเมนท์สูงไม่เกิน 5 ชั้น ราคาค่าก่อสร้างตารางเมตรละ 12,500 บาท  ส่วนราคาค่าก่อสร้างที่แพงที่สุดคงเป็นอาคารที่จอดรถส่วนใต้ดิน 3-4 ชั้น จะตกเป็นเงินถึง 26,900 บาทต่อตารางเมตร  ส่วนอาคารสำนักงานธุรกิจ 21-35 ชั้น ราคาตารางเมตรละ 24,300 บาท ทั้งนี้ราคาข้างต้นเป็นราคาปานกลาง ในกรณีอาคารที่มีรายละเอียดพิเศษ ย่อมมีราคาที่สูงหรือต่ำกว่านี้

ในช่วงปี 2553-2554 ราคาค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ประมาณ 3-5% เท่านั้น  ที่เพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษ คงเป็นอาคารที่จอดรถเป็นสำคัญ เพราะมีราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 7.0-7.4% รวมทั้งสนามเทนนิสที่ราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 7%

หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงราคาในช่วง 5 ปี (พ.ศ.2549-2554) พบว่า ค่าก่อสร้างเพิ่มสูงสุดในกรณีของอาคารไม้ ซึ่งปัจจุบันคงมีการก่อสร้างน้อยมาก โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 35% หรือตกเป็นประมาณ 6% ต่อปี ทั้งนี้เนื่องจากไม้เป็นทรัพยากรที่หายากขึ้นในระยะหลังนี้  ส่วนที่เพิ่มขึ้นต่ำมากเป็นพิเศษได้แก่ ทาวน์เฮาส์ 2-3 ชั้นหน้ากว้าง 4 เมตร หรือ 5-6 เมตรมีเสากลาง รวมทั้งอาคารพักอาศัยไม่เกิน 5 ชั้น และอาคารชุดพักอาศัย 16-25 ชั้น ที่เพิ่มขึ้นเพียงปีละ 2.2% เท่านั้น

หากเทียบในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า อาคารที่เพิ่มค่าก่อสร้างน้อยที่สุดก็คือ ทาวน์เฮาส์ 2-3 ชั้น หน้ากว้าง 4 เมตร และ อาคารพาณิชย์ชั้นเดียว โดยเพิ่มขึ้นเพียง 48% ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา  ส่วนที่เพิ่ม่ขึ้นมากที่สุดได้แก่อาคารที่มีไม้มากเป็นพิเศษ เช่น บ้านเดี่ยวหรือบ้านแถวไม้ รวมทั้งบ้านไม้ใต้ถุนสูง  แต่เป็นสินค้าที่มีการก่อสร้างน้อยมากในปัจจุบัน และหากเทียบระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2539-2554) ก็จะพบว่า แทบทุกกลุ่มมีราคาค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดก็คงเป็น  อาคารไม้ 133% ส่วนอาคารทาวน์เฮาส์ชั้นเดียวเพิ่มขึ้นต่ำสุดคือ 83%

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ราคาที่อยู่อาศัยที่ขายในตลาดมีราคาเพิ่มขึ้นเกินกว่า 1 เท่าตัว ดังนั้นแสดงให้เห็นว่ามูลค่ายังเพิ่มมากกว่าต้นทุนค่าก่อสร้าง  โดยนัยนี้แสดงว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพที่ดี ยังมีความต้องการอสังหาริมทรัพย์อยู่ในท้องตลาด

ปกติในกรณีบ้านเดี่ยวตึก ราคาค่าก่อสร้างจะเป็นประมาณ หนึ่งในสามของมูลค่าบ้าน อีกสองในสามเป็นค่าที่ดิน ค่าดำเนินการ ภาษี ดอกเบี้ย กำไร เป็นต้น  เช่น บ้านเดี่ยวหลังละ 3 ล้านบาท ค่าก่อสร้างอาคารจะเป็นเงินประมาณ 1 ล้านบาท เป็นต้น  ในกรณีที่บ้านถูกน้ำท่วม อาคารที่ประกอบด้วยงานโครงสร้างคงไม่ได้รับผลกระทบ แต่ที่ได้รับผลกระทบคงเป็นงานสถาปัตยกรรม-ตกแต่ง และงานระบบประกอบอาคาร โดยเฉพาะระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในชั้นล่างของอาคาร

อนึ่ง ราคาค่าก่อสร้างนี้เป็นราคาที่คำนวณใช้ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ ห้วงกลางปีของทุกปีเป็นสำคัญ ในกรณีพื้นที่อื่นที่มีค่าแรง ค่าวัสดุ ค่าขนส่ง ฯลฯ แตกต่างไปจากนี้ ก็สามารถปรับราคาให้เหมาะสมกับความเป็นจริงได้



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 พฤศจิกายน 2554, 12:21:46

อย่าลืมข้ อความแบบนี้เวลา ไปบริจาคช่วยน้ำ ท่วม

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd559684_2929901_9397402_8713762photo.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 พฤศจิกายน 2554, 23:43:25
คำต่อคำครม.จัดให้"หนูไม่รู้ อภัยโทษแม้ว"

   

เปิดอินไซด์ครม."ปู"ประชุมลับผ่านร่าง พรฎ.อภัยโทษ กำหนดหลักเกณฑ์ทำให้ "ทักษิณ"เข้าข่ายได้รับอภัยโทษ

โดย ทีมข่าวการเมือง  posttoday.com           

ไม่ว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี จะออกมาตามล่าหาไอ้โม่งรมต.คนใดที่บังอาจปูดข่าวครม.มีมติออกพรฎ. อภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษหนีคดี  หรือจะเบี่ยงเบนตอบคำถามสื่อ ไม่ขอชี้แจงรายละเอียดร่างพรฎ.ปลดปล่อยนักโทษการเมือง เพราะเป็นความลับ เป็นเรื่องพระราชอำนาจ

“แต่กำแพงมีหูประตูมีช่อง”  “ความลับไม่มีในโลก”  และโดยเฉพาะเรื่องสำคัญที่กำลังเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองในไม่ช้า  ย่อมเป็นเรื่องที่สาธารณชนต้องการหาความจริง สร้างความกระจ่าง เพื่อจะได้มาร่วมกันพิจารณาถึงความถูกต้องเหมาะสม

กับสิ่งที่กำลังกระทำเพื่อใครบางคนหรือไม่

กับสิ่งที่กำลังกระทำท่ามกลางคำถามท้าทายหลักกฎหมายกบิลเมือง

กับสิ่งที่กำลังกระทำในบรรยากาศที่บ้านเมือง พี่น้องประชาชนกำลังประสบอุทกภัย

กับสิ่งที่ทุกฝ่ายกำลังใช้บทเรียนความผิดพลาดบริหารจัดการน้ำ ร่วมมือกันช่วยหาทางฟื้นฟูประเทศไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น

กับสิ่งที่กำลังกระทำด้วยการอ้างมาตลอดว่าจะเข้ามาทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิใช่ทำเพื่อคนใดคนหนึ่ง

ที่สำคัญกับสิ่งที่ คณะรัฐมนตรี ซึ่งมีต้นรากมาจากนักการเมือง สังกัดพรรคเพื่อไทย กำลังกระทำขณะนี้ ด้วยการใช้โอกาสวันมหามงคล 5 ธ.ค.ที่กำลังจะมาถึง  มันถูกต้องเหมาะสม ถูกกาลเทศะหรือไม่ เพื่อให้เห็นข้อเท็จจริงเบื้องต้น กับสิ่งที่รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร กระทำ 

จึงขอย้อนเบื้องหน้าเบื้องหลังกับคำพูด วลีเด็ดของรัฐมนตรีที่ขันอาสาผลักดันร่างพรฎ.นิรโทษกรรม  ในที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ให้ประชาชนร่วมกันตรวจสอบ

เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 15 พ.ย. เวลา  11.45 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน แทน น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี ก่อนเลิกการประชุม ครม.ได้มีการประชุมลับกันต่อโดยใช้เวลานานกว่า 30 นาที    โดยได้เชิญทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และข้าราชการระดับสูงที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุม                 

ที่ประชุมมีการหารือเรื่องสำคัญ  2 เรื่อง  หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเตรียมหาแนวทางการขอพระราชทานอภัยโทษ ให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  ซึ่งจะต้องดำเนินการไปตามขั้นตอนและผ่านการพิจารณาของสภาองคมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

อย่างไรก็ตามครม.บางส่วนได้แสดงความคิดเห็นว่า  "หากไปดำเนินการขออภัยโทษเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช ให้พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียวจะเด่นชัดเกินไปจะถูกสังคมต่อต้านได้ต้องมีคนอื่นพ่วงไปด้วย   ดังนั้นหากจะมีการดำเนินการก็น่าจะเป็นลักษณะของการนิรโทษกรรมอดีตนักการ เมือง ที่ติดล็อคโทษเว้นวรรคทางการเมืองซึ่งมีพ.ต.ท.ทักษิณ รวมอยู่ด้วย"               

การพูดคุยมีการอภิปรายว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องลับมาก และละเอียดอ่อน  จึงขอกำชับห้ามไม่ให้ครม.แพร่งพราย หรือนำไปพูดต่อขยายความกับส.ส.หรือสื่อมวลชน แม้คนที่มาถามจะพอรู้เรื่องอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ไม่ให้ไปตอบขยายความอะไรอีก             

จับใจความตอนหนึ่งจากปาก ร.ต.อ.เฉลิม  กล่าวกับครม.ว่า  "สถานการณ์ตอนนี้แม้รัฐบาลจะเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วม แต่การทำงานของรัฐบาลเราก็ไม่ได้ถือว่าเพลี่ยงพล้ำแล้ว  ขนาดว่าต้องเจอกับวิกฤตน้ำท่วมแต่ก็ถือว่ารอดมาได้   ทีมพวกเราที่ทำงานกันมาก็ทำงานกันอย่างเต็มที่แล้ว  ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ก็เหนื่อยมาก  และทำงานได้ดีมาก  แต่แม้ว่าพวกเราจะมีความตั้งใจที่ดี แต่ก็อาจจะยังขาดทักษะ การที่เราจะทำงานได้ดีขึ้น ก็จำเป็นต้องมีคนที่มีประสบการณ์  มีความรู้ความสามารถ มาช่วยกันทำงาน  ซึ่งพวกเราก็ต้องประเมินผลงานตัวเองด้วย จะเห็นได้จากกรณีเหตุการณ์สึนามิที่มีการบริหารจัดการแก้ปัญหาที่ดี ฎ    

ร.ต.อ.เฉลิม ผู้ได้มีโอกาสนั่งหัวโต๊ะครม. คงพูดต่อไปว่า "รัฐบาลเราก็อยากจะมีคนเข้ามาช่วยทำงานเพิ่มขึ้น   แล้วต่อไปถ้ามีคนที่ติดล็อคอยู่ออกมาช่วยเรา สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น   คนเก่ง ๆ ดี ๆ ที่ติดล็อคอยู่น่าจะทำให้สถานการณ์ที่เรารอดอยู่แล้วยิ่งดีขึ้นต่อไป  ดังนั้นขอให้รัฐมนตรีที่คิดว่าตัวเองอยู่ในข่ายที่จะเป็นเจ้าภาพดำเนินการ เรื่องนี้ประสานงานมาที่ผม เพื่อที่จะได้ดำเนินการต่อไป"           

สำหรับเนื้อหาที่คณะรัฐมนตรีไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณะนั้น มีการกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยระบุหลักเกณฑ์ของนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว คือ เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี

รวมทั้งมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2553 ฉบับที่เขียนสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาระบุว่า ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นออก ทั้งยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับการเข้ารับโทษ

ซึ่งเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าข่ายได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการคุมขังแม้แต่วันเดียว ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งตรงกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม เคยทำเอกสารแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนก่อนหน้านี้       

เหตุใดถึงมีการนำเข้าที่ประชุมครม.ในวันที่ นายกฯยิ่งลักษณ์ไม่อยู่  ก็ดูจะเป็นเหมือนแผนที่เตรียมการมาไว้นานแล้ว   เพราะวันที่ร.ต.อ.เฉลิม ผู้เคยประกาศบนเวทีหาเสียงผมจะเป็นคนเอาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน ได้มานั่งเป็นประธานครม.

ในช่วงเวลาดังกล่าว  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่ จ.สิงห์บุรี พร้อมมอบแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบหลังน้ำลด และไม่สามารถเดินทางกลับ กทม.ได้ตามกำหนดการ ทำให้ต้องพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี เมื่อวันที่ 14 พ.ย. โดยอ้างว่า เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ เอ็มไอ 17 ของประเทศรัสเซีย ที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง ไม่สามารถบินตอนกลางคืนได้ เพราะไม่มีเรดาห์นำทางนั้น

กรณีดังกล่าว แหล่งข่าวในกองทัพ ยืนยันว่า เฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวมีสมรรถภาพเพียงพอ และมีเรดาห์สามารถบินช่วงกลางคืนได้ แต่หากเรดาห์ไม่สามารถใช้การได้จริง นายกฯสามารถประสานขอเครื่องลำอื่นไปทดแทนได้ ซึ่งกองทัพพร้อมที่จะจัดให้อยู่แล้ว แต่กลับไม่มีการร้องขอมา จึงคิดว่า นายกฯน่าจะมีเจตนาที่จะไม่กลับ กทม. เพราะดูจากกำหนดการที่คณะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นเครื่องเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ช้ากว่ากำหนดเดิมถึงเกือบ 1 ชั่วโมง เหมือนเป็นการถ่วงเวลาให้เข้าสู่ช่วงกลางคืน แล้วอ้างเรดาห์ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้     

แม้นายกฯยิ่งลักษณ์ ไม่อยู่ร่วมประชุม ครม.   แม้นายกฯยิ่งลักษณ์คงจะออกมาตอบข้อข้องใจสื่อมวลชนเหมือนทุกครั้งตามสูตรสำเร็จที่เจอวาระร้อนๆทางการเมือง ว่า "หนูไม่รู้"  "หนูไม่อยู่" ก็ตาม

แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ นายกฯยิ่งลักษณ์คือ หัวหน้ารัฐบาล  คือผู้ต้องลงนามบันทึกเรื่องสำคัญก่อนบรรจุเข้าวาระ ครม.

อีกประการสำคัญ พรฎ.อภัยโทษทักษิณ จัดเป็นวาระจร ด้วยแล้ว  ถือว่าเป็นวาระครม.ที่มีกรอบกติกากำหนดหลายรัฐบาลให้ระมัดระวัง ไม่ควรยัดเรื่องสำคัญเป็นวาระจรเข้าที่ประชุม เพราะจะทำให้รมต.ไม่มีโอกาสกลั่นกรองได้อย่างรอบคอบ

เรื่องพรรค์นี้  "ยิ่งลักษณ์" ไม่รู้อีกใช่ไหม

 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 09:37:56
นิทานเรื่อง “รัฐบาลจงใจปล่อยน้ำให้ท่วมเมืองหลวง”
: วิเคราะห์จากมุมมองของทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory.)


โดย..อาจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม
คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลั

วันนี้ผมจะขอมาเล่านิทานตามแบบฉบับของทฤษฎีสมคบคิดให้ฟังครับ เป็นเรื่องของประเทศๆ หนึ่งซึ่งไม่ใช่ประเทศไทย แต่เป็นประเทศประหลาดในจักรวาลคู่ขนานที่รัฐบาลที่ชั่วร้ายพยายามปล่อยน้ำให้ท่วมเมืองหลวงของตัวเอง

สำหรับท่านที่ไม่คุ้นเคย ทฤษฎีสมคบคิด หรือ Conspiracy Theory คือความพยายามวิเคราะห์สาเหตุเบื้องหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมากมักเป็นเหตุการณ์ที่มีลับลมคมนัย ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการ นักคิดที่สร้างทฤษฎีจะพยายามเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หลายๆ เหตุการณ์เข้ามาเรียงร้อยหาความสัมพันธ์ และอธิบายเหตุผลที่มาที่ไป บางครั้งทฤษฎึเหล่านี้ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าให้ผู้ฟังได้เก็บไปคิด บางครั้งก็มีความน่าเชื่อถือจนคนนัมแสนนับล้านคนเริ่มคล้อยตามและเชื่อคำอธิบายเหล่านั้นมากกว่าคำอธิบายของทางการเสียอีก ตัวอย่างของทฤษฎีสมคบคิดที่มีคนเชื่อมากๆ เช่น การลงจอดบนดวงจันทร์ของยานอพอลโล 11 แท้จริงแล้วมนุษย์ไม่เคยไปดวงจันทร์ เป็นการจัดฉากเพื่อทำให้สหรัฐอเมริกาชนะการแข่งขันความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์กับสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น หรือเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐเองที่เป็นผู้วางแผนเหตุการณ์ 9-11 ขับเครื่องบินชนตึกแฝด World Trade Centre และ Pentagon เพื่อสร้างความชอบธรรมในการรุกรานตะวันออกกลางโดยมีเป้าหมายเพื่อยึดครองแหล่งน้ำมันดิบมูลค่ามหาศาล หรือการปล่อยข่าวเรื่องจานบินตกที่ฐานทัพอากาศ Roswell เพื่อใช้เรื่องมนุษย์ต่างดาวกลบข่าวการทดลองทางวิทยาศาสตร์ของกองทัพสหรัฐ ทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้บางเรื่องก็น่าเชื่อถือ บางเรื่องก็แค่ฟังเล่นสนุกๆ ในลักษณะนิทาน

ดังนั้นผมจะขอเล่านิทานให้คุณผู้อ่านฟังซักเรื่องหนึ่งครับ ผมขอตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า “รัฐบาลจงใจปล่อยน้ำให้ท่วมเมืองหลวง” ครับ เริ่มเรื่องเลยนะครับ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว A long time ago in a galaxy far, far away... นอกจากโลกใบนี้ที่เราอาศัยอยู่แล้วยังมีจักรวาลคู่ขนาน (Parallel Universe) ซึ่งมีลักษณะเกือบจะเหมือนกับโลกของเราทีเดียว ในดาวดวงนี้มีประเทศๆ หนึ่งมีกษัตริย์ที่คนในประเทศนั้นรวมใจกันเรียกว่า “พ่อ” เป็นประมุขของประเทศ แต่ประเทศนี้กลับถูกบริหารโดยรัฐบาลที่ชั่วร้าย รัฐบาลที่ชั่วร้ายนี้พยายามทำทุกวิถีทางที่จะสร้างประเทศนี้ขึ้นมาในระบอบใหม่ ที่จะทำให้หัวหน้าผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังของรัฐบาลชุดนี้มีอำนาจล้นฟ้า และความพยายามล่าสุดของรัฐบาลผู้ชั่วร้ายนี้ก็คือการปล่อยน้ำให้ท่วมเมืองหลวงของประเทศตัวเอง...

ผมมีเหตุผลสนับสนุนว่ารัฐบาลผู้ชั่วร้ายนี้มีแผนปล่อยให้น้ำท่วมเมืองหลวงของตัวเองดังนี้ครับ

1.       ในอดีต ประเทศสมมตินี้เป็นประเทศในเขตร้อนชื้น มีฝนตกต้องตามฤดูกาล ปริมาณน้ำฝนในปีที่ผ่านๆ มาก็ไม่ได้แตกต่างจากในปีที่เกิดเรื่อง จำนวนพายุที่พัดเข้าสู่ประเทศนี้ในปีที่เกิดเรื่องก็ไม่ได้แตกต่างจากในปีที่เกิดเรื่อง แต่การที่น้ำท่วมในลักษณะของมหาอุทกภัย “Tsunamiน้ำจืด” ที่เกิดกับประเทศสมมตินี้ก็เพราะมีคนในคณะของรัฐบาลผู้ชั่วร้ายพยายามกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนใหญ่ของประเทศนี้ โดยไม่ปล่อยน้ำออกมาในเวลาที่ควรปล่อย ที่ทำแบบนี้ในตอนแรกก็เพียงเพราะต้องการให้ที่นาของหัวหน้าใหญ่ของตนซึ่งรวมลงทุนโดยนักลงทุนจากประเทศอื่นๆ รวมทั้งที่นาของเหล่าหัวคะแนนฐานเสียงของตนสามารถเก็บเกี่ยวข้าวในพื้นที่ของตนเอง และนำเอาข้าวเหล่านั้นมาขายให้กับรัฐบาลตามนโยบายที่ตนเองเคยใช้หาเสียงไว้ โดยรัฐบาลชั่วร้ายนี้ตั้งราคารับซื้อข้าวไว้ในราคาที่สูงเกินกว่าความเป็นจริงอย่างมหาศาล

2.       เมื่อฝนตก เมื่อเกิดพายุ เมื่อน้ำมา ประเทศสมมตินี้จึงไม่มีเขื่อนที่จะเก็บน้ำอีกต่อไป ทำให้ต้องปล่อยน้ำออกมาจำนวนมหาศาล ทั้งที่ถ้าก่อนหน้านี้ทยอยปล่อยน้ำเสียแต่เนิ่นๆ ประเทศสมมตินี้ก็จะมีเขื่อนที่มีความสามารถกักเก็บน้ำในช่วงที่พายุพัดเข้ามา แต่รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ทำแบบนั้น ดังที่ได้เล่าไปแล้วในข้อที่ 1 ความจริงการกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนโดยตั้งใจเพื่อที่จะทำให้น้ำท่วมและใช้พลังจักรวาลนั่นคือพลังน้ำทำลายศัตรูทางการเมืองเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ตำราพิชัยสงครามสามก๊กก็มีตัวอย่างในกรณีที่ ขงเบ้งกลวางอุบายขนหินปิดแม่น้ำแป๊ะเฉีย เพื่อปล่อยน้ำทำลายทัพข้าศึกที่เข้ายึดครองเมืองอยู่

3.       เมื่อปล่อยน้ำจำนวนมหาศาลออกมา น้ำก็ท่วมพื้นที่ภาคกลางของประเทศนี้ บางจังหวัดน้ำท่วมสูงถึง 2 – 3 เมตร ภาวะน้ำท่วมมิดหลังคาจึงเกิดขึ้น รัฐบาลผู้ชั่วร้ายที่จ้องทำลายประมุขของประเทศก็กลับใช้เหล่าลิ่วล้อที่เป็นพวกไพร่ของตนไปปล่อยข่าวว่าที่ปีนี้น้ำมากผิดปกติเพราะ ฟ้าสร้างฝนเทียมขึ้นมาหวังจะให้น้ำท่วมบ้านเรือนไร่นาของพวกไพร่ที่เลื่อมใสในระบบของรัฐบาลผู้ชั่วร้าย เห็นมั้ย ชื่อของเขื่อนที่ปล่อยน้ำออกมาก็เป็นตัวบอกแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง

4.       ทำไมหัวหน้าใหญ่ผู้ชั่วร้ายถึงต้องการทำลายสถาบัน บางกระแสกล่าวว่า เพราะคนรวยมักจะต้องแข่งกัน เช่นต้องมีรถยนต์รุ่นที่แพงที่สุด ต้องมีกระเป๋ารุ่นที่แพงที่สุด ต้องมีสนามกอล์ฟที่สวยที่สุด เพื่อเอามาอวดกัน เพื่อเอามาประดับบารมี แต่สิ่งหนึ่งซึ่งนายใหญ่ทนไม่ได้ก็คือ คนรวยระดับพันล้าน มันก็มีของพวกนี้เหมือนกันกับเราทั้งๆ ที่เรามีเงินเป็นแสนล้าน เราต้องมีอะไรก็ตามที่คนรวยคนอื่นๆ ในประเทศนี้มีไม่ได้ สิ่งนั้นก็คือ Absolute Power ในประเทศสมมติแห่งนี้

5.       เมื่อน้ำที่ท่วมเริ่มอยู่ตัว เมื่อฝนเริ่มหยุดตกเพราะประเทศสมมติของเราเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว แทนที่รัฐบาลผู้ชั่วร้ายจะสั่งให้เขื่อนหยุดระบายน้ำ รัฐบาลผู้ชั่วร้ายกลับคิดว่าถ้าให้น้ำที่ท่วมอยู่ลดระดับลงในตอนนี้ ประชาชนในประเทศก็จะคิดได้ว่า ที่น้ำท่วมเป็นเพราะรัฐบาลบริหารจัดการน้ำไม่เป็นน่ะสิ ดังนั้นเราต้องให้เขื่อนหลักทั้งสองของประเทศปล่อยน้ำต่อไป เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าน้ำท่วมมันเป็นเพราะปีนี้น้ำมากจริงๆ น้ำมากจนไม่สามารถควบคุมได้ ประชาชนของประเทศสมมตินี้มีพื้นฐานเป็นคนขี้สงสาร จะได้เชื่อตามและคิดว่าน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเป็นภัยธรรมชาติ รัฐบาลทำดีที่สุดแล้ว แต่ไม่อาจต่อสู้กับธรรมชาติได้ แน่นอนประชาชนบางส่วนซึ่งเป็นพวกไพร่ก็ยังเชื่อฝังหัวอยู่ตามที่รัฐบาลผู้ชั่วร้ายวางแผนไว้ในข้อ 3 ดังนั้นต้องให้น้ำท่วมหนัก ต้องให้น้ำท่วมนาน เราจะเห็นได้ว่าแทนที่เขื่อนจะปล่อยน้ำที่ล้นออกทาง Spill Way (เหมือนช่องระบายน้ำที่อยู่ที่ขอบอ่างล้างหน้าด้านบนเพื่อกันน้ำล้นอ่าง) รัฐบาลกลับสั่งให้เขื่อนปล่อยน้ำออกทาง Emergency Gate ซึ่งอยู่ด้านล่างที่เป็นเหมือนสะดืออ่างของอ่างล้านหน้า ทั้งๆ ที่เขื่อนก็ไม่ได้มีแนวโน้มว่าแตกหรือมีรอยร้าว แสดงให้เห็นเจตนาว่าไม่ได้ต้องการระบายน้ำเพราะเขื่อนจะแตก แต่ต้องการระบายน้ำเพราะต้องการให้น้ำท่วมมากยิ่งขึ้น

6.       ทำไมต้องทำให้น้ำท่วมมากขึ้น? เพราะเมื่อน้ำเริ่มเคลื่อนตัวลงมาจะท่วมเมืองหลวงของประเทศ รัฐบาลผู้ชั่วร้ายก็เลือกที่จะผันน้ำให้ไหลออกไปท่วมในทุกพื้นที่ของเมืองหลวง ยกเว้นพื้นที่ทางด้านตะวันออกของเมืองหลวงอันเป็นที่ตั้งของสนามบินแห่งชาติของประเทศสมมติแห่งนี้ในจักรวาลคู่ขนาน ทั้งๆ ที่เดิม พื้นที่ทางตะวันออกของเมืองหลวงเคยเป็นแก้มลิงตามธรรมชาติเป็นทางระบายน้ำตามธรรมชาติที่เรียกกันว่า หนองหมาเห่า หนองขนาดใหญ่แห่งนี้เดิมเป็นแหล่งกักเก็บน้ำที่ไหลมาจากตอนเหนือของประเทศไว้ในช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงทำให้ไม่สามารถระบายน้ำจากแผ่นดินลงทะเลได้ ประเทศแห่งนี้ก็เคยมีการวางผังเมืองไว้แล้วพื้นที่ในบริเวณนี้ต้องเก็บไว้เป็นทางระบายน้ำที่เรียกว่า Flood Way ตามธรรมชาติ แต่สมัยของหัวหน้าใหญ่ทำหน้าที่หัวหน้ารัฐบาลก่อนที่จะหลบหนีคดีออกไปนอกประเทศเพราะถูกจับได้ว่าโกงชาติ โกภาษี ปิดบังทรัพย์สิน และวางแผนคอรับชั่นเชิงนโยบายเพื่อประโยชน์ของตนเองและบริวาร แน่นอนหัวหน้าใหญ่และพวกพ้องเข้ามากว้านซื้อที่ดินในบริเวณนี้ และพยายามอย่างยิ่งที่จะเข็นให้สนามบินแห่งนี้สามารถสร้างแล้วเสร็จ ทั้งๆ ที่ประมุขของประเทศเคยทักท้วงแล้วว่าไม่สมควรทำลายแก้มลิงและทางระบายน้ำตามธรรมชาติแห่งนี้ เมื่อสนามบินแล้วเสร็จ บริวารของหัวหน้าใหญ่ก็พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงผังเมืองให้พื้นที่รอบๆ สนามบินแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่อุตสาหกรรม หัวหน้าใหญ่เองก็พยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างโครงการให้เมืองรอบๆ สนามบินแห่งนี้กลายเป็นเมืองหลวงใหม่ มีกฎหมายพิเศษ มีสิทธิพิเศษต่างๆ และทำให้ราคาที่ดินรอบๆ สนามบินแห่งนี้มีราคาสูงขึ้น แน่นอนเมื่อหัวหน้าใหญ่หนีคดีออกไปนอกประเทศ อภิมหาโครงการนครสนามบินก็ล้มพับไปชั่วคราว

7.       แน่นอน เมื่อทุกพื้นที่ของเมืองหลวงน้ำท่วมทั้งหมด ยกเว้นพื้นที่รอบๆ สนามบินทางด้านตะวันออกของเมืองหลวง  ราคาที่ดินในบริเวณก็จะเพิ่มสูงขึ้นมหาศาล เจ้าของที่ดินซึ่งก็คือครอบครัวและบริวารของหัวหน้าใหญ่ก็จะร่ำรวยเพิ่มขึ้น รวมทั้งการผลักดันโครงการเมืองหลวงใหม่นครสนามบินที่หัวหน้าใหญ่ผู้หนีคดีวาดฝันไว้ก็จะกลายเป็นจริง

8.       ประโยชน์ทางอ้อมอื่นๆ ที่รัฐบาลผู้ชั่วร้ายจะได้รับจากการทำให้น้ำท่วมเมืองหลวง นอกเหนือจากได้สร้างกระแสล้มสถาบันอันเป็นที่รักของประชาชนในประเทศสมมติ ทรัพย์สินของตนเองเพิ่มมากขึ้นจากราคาที่ดินที่ตนเองซื้อเก็บไว้ที่ป้องกันไม่ให้น้ำท่วม ได้แก่ เนื่องจากคนในประเทศนี้บางพวกมีความทรงจำค่อนข้างสั้น ชอบเงินสด และมักจะโทษสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะกรรมเก่า โดยไม่ได้ไตร่ตรอง วิเคราะห์ถึงเหตุและผลของสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นคนพวกนี้ไม่ได้สนใจหรอกว่าน้ำท่วมเป็นเพราะรัฐบาลผู้ชั่วร้ายเป็นคนทำให้เกิดขึ้น หากแต่เป็นเพราะฟ้า-ฝน ดังนั้นเมื่อน้ำลดแล้วรัฐบาลเอาเงินมาให้ ทั้งๆ ที่เป็นเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศ แต่รัฐบาลผู้ชั่วร้ายก็มีวิธีการที่จะไปบอกกับคนเหล่านี้ว่านี้คือเงินของผู้นำรัฐบาลเอามาแจกให้เพื่อช่วยเหลือในยามที่คนเหล่านี้ทุกข์ยาก คนพวกนี้ก็จะรู้สึกว่ารัฐบาลผู้ชั่วร้ายนี้มีบุญคุณกับพวกเขา รัฐบาลเอาเงินมาให้ เลือกตั้งครั้งต่อไปเราก็ต้องเลือกพรรคนี้อีก เขาจะได้เอาเงินมาให้เราอีก

9.       ในช่วงน้ำท่วม ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศสมมตินี้เป็นผู้ใจบุญ ดังนั้นเงินและสิ่งของบริจาคจำนวนมหาศาลก็จะถูกบริจาคเข้ามา รัฐบาลผู้ชั่วร้ายก็จะอ้างเอาเองโดยการเอาป้ายไปแปะ เอาชื่อของตนเอง ผู้สมัคร สส. หัวคะแนน ตลอดจนหัวหน้าใหญ่ไปแปะที่ของบริจาคทำทีเป็นว่าของบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหล่านี้มาจากเงินของตนเอง สร้างบุญคุณกับประชาชนผู้เดือดร้อน ทำตนไม่แตกต่างไปจากสัตว์นรกเปรตที่มีเบียดบังส่วนบุญมาแอบอ้างกุศลของผู้อื่น

10.   แน่นอนในพื้นที่เมืองหลวง ประชาชนมีการศึกษา มีเทคโนโลยีในการรับข่าวสาร และมีความรู้เท่าทันนักการเมืองเลว มากกว่าประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัด คนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะไม่เลือกตน แต่จะเลือกพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม ดังนั้นรัฐบาลผู้ชั่วร้ายต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะทำลายตัวแทนของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลท้องถิ่น วิธีการเช่น พยายามดิสเครดิตโดยการทำให้ประชาชนในเมืองหลวงเห็นว่าผู้ว่าเมืองหลวงทำงานไม่มีประสิทธิภาพ มีการใช้นักการเมืองในฝ่ายของตนซึ่งเป็นทีมกองโจรมีนายห่วยกรุณาเป็นหัวหน้ากองโจรออกไปสร้างกลุ่มมวลชนมาทำลายคันกั้นน้ำของเมืองหลวง เพื่อทำให้เห็นว่าผู้ว่าทำงานไม่ได้ ประชาชนเดือนร้อน ทำให้ประชาชนสองกลุ่มต้องเผชิญหน้ากัน รัฐบาลผู้ชั่วร้ายเช่นนี้มักจะเก็บนักเลงหัวไม่ไว้เป็นพวก เชิดชูคนเหล่านี้เอาไว้เพื่อทำงานสกปรกให้ตนเอง เราจะเห็นคนอย่างนายห่วยกรุณานี้กร่างอยู่เป็นประจำ เพราะเป็นทั้งคนเลวและมีอำนาจ แน่นอนรัฐบาลชั่วร้ายเองก็เตรียมวางตัวบริวารของตนเองเช่นผู้หญิงใส่แว่นไว้เป็นผู้ว่าเมืองหลวงเพื่อใช้เป็นฐานเสียงของตนในเมืองหลวงเอาไว้แล้ว

11.   น้ำท่วมสร้างประโยชน์ให้รัฐบาลผู้ชั่วร้ายในแง่ของการวางแผนกู้เงินมูลค่ามหาศาลมาทำโครงการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในอนาคต ที่เรียกว่า รัฐใหม่ เงินกู้จำนวนมหาศาลที่จะเอามาใช้สร้างรัฐใหม่ จำนวนใกล้ๆ 1 ล้านล้าน จากประสบการณ์ในอดีตหัวหน้าใหญ่และรัฐบาลบริวารชั่วร้ายในอดีตเคยเรียกเก็บค่าหัวคิวที่ระดับ 30 – 35% ดังนั้นโครงการรัฐใหม่วงเงินใกล้ๆ 1 ล้านล้านก็เท่ากับจะมีเงินเข้าไปอยู่ในพุงหมาราวๆ 3 – 3.5 แสนล้าน ครอบครัวและบริวารของหัวหน้าใหญ่ก็รวยกันอีกเพียบ ดังนั้นในอนาคตเราจะเห็นได้แน่นอนว่า โครงการอย่างนครสนามบิน โครงการถมทะเล โครงการเมืองหลวงใหม่ จะกลับมา

12.   รัฐบาลชั่วร้ายในอดีตเก่งมากเรื่องการใช้ข่าวกลบข่าว เช่น ต้องการดึงความสนใจของประชาชนจากเรื่องการอภิปรายแฉความชั่วร้ายของตนในสภา รัฐบาลชั่วร้ายก็ส่งคนไปซื้อทีมฟุตบอลชื่อดังในต่างประเทศไว้แล้ว รัฐบาลชั่วร้ายในปัจจุบันก็มีการสร้าง plot เพื่อที่จะทำเรื่องชั่วๆ ด้วยเช่นกัน เช่นล่าสุด สั่งให้หัวหน้าน้องสาวไปดูคนน้ำท่วมในต่างจังหวัดใกล้ๆ ดูคนน้ำท่วมจนค่ำ แล้วก็ทำฟอร์มว่ากลับเมืองหลวงไม่ได้ เพราะเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ในการเดินทางบินในเวลากลางคืนไม่ได้เพราะขาดอุปกรณ์นำทาง จำเป็นต้องค้างคืนในจังหวัดนั้น ทั้งๆ ที่ถ้าจะกลับจริงๆ ใช้รถยนต์ก็ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่เมื่อหัวหน้าน้องสาวกลับไม่ได้ ก็ต้องให้ลิ่วล้อสารวัตรทำหน้าที่แทนในวันรุ่งขึ้น ซึ่งต้องมีการประชุมผู้บริหารประเทศสมมติ แน่นอนว่าในที่ประชุมวันรุ่งขึ้นเรื่องที่ต้องมีการอนุมัติคือการออกกฎหมายอภัยโทษ ซึ่งทำให้หัวหน้าใหญ่พี่ชายซึ่งหนีคดีอยู่ได้ประโยชน์ แต่การทำแบบนี้ก็จะหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาว่าน้องสาวช่วยพี่ชาย หรือหลีกเลียงปัญหา Conflict of Interest ผลประโยชน์ขัดแย้งไปได้เพราะน้องสาวไม่อยู่ในที่ประชุม ไม่รู้ไม่เห็น แล้วที่ต้องกระเหี้ยนกระหือรือรีบทำเรื่องนี้ทั้งหมดก็เพื่อจะให้หัวหน้าใหญ่ผู้ชั่วร้ายสามารถกลับมางานแต่งงานของลูกสาวผู้ฉาวโฉ่ของตนเองได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยกฎหมายนี้จะกำหนดคุณสมบัติใหม่ให้กับผู้ที่จะมีโอกาสขอรับพระราชทานอภัยโทษจากประมุขของประเทศได้ในวันเฉลิม แน่นอนพวกมันก็จะแก้กฎหมาย พอถึงวันเฉลิมมันก็จะขออภัยโทษ แนบไปกับรายชื่อของพวกไพร่ที่มันเคยล่ารายชื่อไว้ เป็นการกดดันว่าสถาบันจะดูแคลนรายชื่อคนจำนวนขนาดนี้ได้เลยหรือ ในเมื่อตอนนี้หัวหน้าใหญ่ผู้หนีคดีก็มีสิทธิตามกฎหมายที่จะมาขออภัยโทษได้แล้ว ดูพวกสัตว์นรกนี่มันทำ มันหาประโยชน์จากสถาบันที่มันต้องการทำลาย

13.   ระหว่างที่น้ำท่วม รัฐบาลชั่วร้ายชุดนี้ได้แอบแต่งตั้งข้าราชการ ทั้งฝ่ายพลเรือน ตำรวจ และทหารไปตามที่ตนเองต้องการเพื่อเป็นมือเป็นเท้าของตนเองไปแล้วเรียบร้อย โดยที่ไม่มีใครออกมาวิพากษ์วิจารณ์เพราะทุกคนต่างก็กำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องน้ำท่วม ระบบคุณธรรมในแวดวงข้าราชการได้ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์แล้ว ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ผลของงานอีกต่อไป หากแต่ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร

14.   ระหว่างน้ำท่วมการแบ่งแยกความช่วยเหลือที่ให้กับประชาชนเป็นพื้นที่ที่เลือกตนเองเข้ามา กับพื้นที่ที่เลือกพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม หรือระหว่างประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในขบวนการไพร่ของตนกับกลุ่มไพร่ในปกครอง ก็ทำให้คนบางคนยอมเปลี่ยนข้างยอมตัวไปเข้าข้างขบวนการไพร่เพื่อให้ได้ความช่วยเหลือ รัฐบาลชั่วร้ายก็มีฐานเสียงใหญ่ขึ้น

15.   น้ำท่วมจะช่วยเสริมภาพของ นารีขี่ม้าขาวมากยิ่งขึ้น เพราะในอดีต ในประเทศสมมตินี้เคยมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่พยากรณ์ไว้ว่า “ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ ศิวิไลซ์จะบังเกิดใน... หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้ จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ” ถ้าผู้อ่านได้เคยอ่านฉบับเต็มของคำพยากรณ์นี้ ก็จะเข้าใจว่าพระเถระรูปนั้นต้องการสื่อว่า นารีขี่ม้าขาวหมายถึง เจ้าหญิง ไม่ใช่น้องสาวผู้โง่เง่า แต่พรรคพวกของรัฐบาลผู้ชั่วร้ายพยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างภาพว่าน้องสาวผู้โง่เง่าคือนารีขี่ม้าขาว น้ำท่วมเรื่องที่ประชาชนต้องระวัง แต่เมื่อน้ำลงน้องสาวผู้โง่เง่าจะเป็นผู้นำที่ทำให้ประเทศให้เกิดความเจริญรุ่งเรื่อง ในขณะที่คนชั่วคือคนที่รัฐบาลชั่วร้ายชุดนี้พยายามล้มล้างจะถูกปราบ

อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้น เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่า เป็นนิทานนะครับ ไม่ใช่เรื่องจริง แม้แต่ตัวทฤษฎีสมคบคิดเองก็อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องจริงก็ได้ แต่อย่างที่พวกเราทราบๆ กันก็คือ ถ้าไม่มีไฟย่อมไม่มีควัน และถ้าอยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่ไม่ใช่เหตุการณ์ตามธรรมชาติก็ให้ดูเอาครับว่าหลังเหตุการณ์แล้วใครเป็นคนที่ได้ประโยชน์ คนนั้นนั่นล่ะครับ คือคนที่วาง plot ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆ

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 13:53:02
 emo4:))

เข้ามาตามอ่านครับพี่
ขอบคุณ ที่เอาความชั่วร้าย...มาตีแผ่


 emo5:( emo25:(((


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 20:53:27
สมเกียรติ"ชี้ภาษาอังกฤษของนายกฯใช้สื่อสารไม่ได้พอกับภาษาไทย

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

   ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ชี้ภาษาอังกฤษของนายกฯใช้สื่อสารไม่ได้พอกับภาษาไทย ห่วงอาจทำประเทศเสียหาย

 ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นักสื่อสารมวลชน ได้โพสต์ข้อความผ่าน ทวิตเตอร์ ชื่อผู้ใช้ @somkiatonwimon เมื่อวานนี้ ( 16 พ.ย. ) เวลา 22.50 น. ว่า ฟังคำแถลงของท่านนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ตอบรัฐมนตรี Hillary Clinton รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ พบว่าภาษาอังกฤษของนายกฯยิ่งลักษณ์ ใช้สื่อสารเป็นทางการไม่ได้เลยพอๆกับภาษาไทย

 "ในการสื่อสารกับต่างประเทศเป็นทางการ นายกฯยิ่งลักษณ์ควรพูดภาษาไทย เพราะภาษาอังกฤษใช้การไม่ได้ ฟังไม่รู้เรื่องและอาจผิดพลาดจนประเทศไทยเสียหาย"ดร.สมเกียรติ กล่าว

ส่วนการสื่อสารกับคนไทยเป็นภาษาไทย ดร.สมเกียรติ ระบุว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ ก็จำเป็นต้องฝึกซ้อมทำความเข้าใจกับเรื่องที่พูดหรืออ่านบท แล้วฝึกการอ่านออกเสียงให้พร้อมก่อน นายกฯยิ่งลักษณ์จะไปประชุมสุดยอดอาเซียนที่บาหลี

 

"น่าห่วง จะพูดอะไรกับผู้นำอาเซียนอีก 9 ชาติ และผู้นำชาติ+8 ขอให้ใช้ล่ามกระทรวงต่างประเทศดีกว่า ก่อนไปบาหลีขอให้กระทรวงต่างประเทศให้ความรู้เรื่องอาเซียนแก่นายกฯยิ่งลักษณ์ให้ครบถ้วนและตามช่วยให้ข้อมูลและคำแนะนำแก่ท่านทุกย่างก้าว กลัวพลาด เรื่องการต่างประเทศไม่มั่นใจในพื้นความรู้ของนายกฯยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรีต่างประเทศสุรพงษ์จริงๆ ทั้งห่วงทั้งกลัวว่าจะพลาดพลั้งแล้วแก้ไขไม่ได้"ดร.สมเกียรติ ย้ำ

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 พฤศจิกายน 2554, 12:56:52
นักวิชาการญี่ปุ่น พูดถึงทักษิณ

บทความนี้สำคัญมาก เขียนโดยนักวิชาการชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

*ลัทธิสีแดง : ลัทธิแห่งการล่อลวง***
*กล่อง ดวงใจของทักษิณและ นปช.***


ความสำเร็จทางการเมืองของทักษิณมาจากไหน
เมื่อ ทักษิณเตรียมจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เพื่อเตรียมเป็นนายกทักษิณได้
จ้าง คนเขียนหนังสือเรื่อง "ตาดูดาว เท้าติดดิน" แล้วลงพิมพ์ในมติชนยาวต่อเนื่อง หนังสือ เล่มนั้นทำให้คนเกิดความเชื่อว่าทักษิณรวยแล้ว อยากช่วยชาติ จะไม่โกงกิน จาก นั้นทักษิณไปใช้พวกอดีตคอมมิวนิสต์ซึ่งเก่งในการหาความนิยมจากคนยากจน และ คนชนบทมาช่วยคิดหาวิธีจะเอาคะแนนเสียงจากคนเหล่านี้ ซึ่งก็ได้นโยบายแนว สังคมนิยมมา เรารู้จักกันต่อมาว่าเป็นนโยบายประชานิยม

ในระหว่างหา เสียงเลือกตั้ง และก่อนจะตั้งรัฐบาล ทักษิณบอกว่าจะเป็นรัฐบาลที่พูดความจริงกับประชาชน จะไม่โกหก นโยบายและการบริหารหลายอย่างของทักษิณได้ผล คนจนได้จับเม็ดเงินจริงๆ ยิ่งเชื่อใหญ่ ทั้งในเรื่องความรู้ ความสามารถและความดี ดีไปหมด เก่งไปหมด
เมื่อ เหตุการณ์ผ่านไป เราจึงได้เห็นธาตุแท้ของทักษิณกัน  แต่คนที่หลงเชื่อและนิยมชมชอบทักษิณ มองไม่เห็น ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นเพราะรักเขาแล้ว เชื่อเขาแล้ว เชื่อเขาหมด ความสามารถของทักษิณ อยู่ตรงที่ทำให้คนเชื่อได้จำนวนมาก

เมื่อทักษิณถูก ปฏิวัติ ทักษิณเริ่มต่อสู้เพื่อกลับมาครองอำนาจและพาตัวเองให้พ้นผิด ทักษิณ ทำอย่างไรบ้าง
ทักษิณเป็นคนที่เห็นศักยภาพของธุรกิจสื่อสาร และสื่อมวลชน
ทักษิณ อ่านและเข้าใจเรื่องของสังคมข่าวสาร (information society)
ทักษิณเคยพูด หรืออ้างอิงนักวิชาการไว้ในเรื่องที่ว่า
"ใน โลกยุคข่าวสาร ใครที่ครอบครองข้อมูลข่าวสาร คนนั้นเป็นผู้ชนะ"
คนทั่วไป อาจตีความว่า เป็นการเข้าถึงความรู้หรือข่าวสาร จะทำให้รู้มากแล้วชนะ
แต่ ทักษิณตีความ ว่า เข้าครอบครอง ควบคุม และบังคับข้อมูลข่าวสารให้เป็นไปตาม ที่ตัวต้อง การต่างหาก
ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า control and manipulate information
ทักษิณชนะเลือกตั้งมาถล่มทลาย ก็เพราะความสามารถตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเงิน
เราก็รู้ว่าถ้าเลือกตั้งวันนี้ เพื่อไทยก็จะชนะอีก เพราะคนยังหลงเชื่ออยู่
เขาไม่ต้องใช้เงินก็ชนะ ดังนั้น อาวุธของเขาจึงไม่ใช่เงิน
แต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่เขาควบคุม บังคับอยู่ ต่างหาก
เงินนั้นใช้ในการควบคุมบังคับข้อมูลข่าวสารเป็นสำคัญ
สิ่งที่ ทักษิณทำ พวกเราเห็นอยู่แล้ว ได้แก่การตั้งกลุ่มเสื้อแดงขึ้นมา
ทีแรก เป็นแค่ไว้ต้านพันธมิตร
เสื้อ แดง ก็แปรรูป ซึ่งเป็นการแปรรูปที่แยบยลมาก คือการจัดตั้งเวทีใช้ชื่อว่า "ความ จริงวันนี้" เอาคู่กับสัญลักษณ์สีแดง
การตั้งรายการ "ความจริงวันนี้" คือการเริ่มต้นทำ "สงครามข้อมูลข่าวสาร"
(information warfare) เริ่มจากการอภิปรายของแกนนำ สามเกลอ วีระ จตุพร ณัฐวุฒิ ฯลฯ
รายการ "ความจริงวันนี้" เริ่มให้ความเท็จตั้งแต่วันแรก และต่อเนื่องตลอดมา

เรา มักนึกถึงเงินของทักษิณ คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทักษิณมีฤทธิ์
แต่ ฤทธิ์ของทักษิณจริงๆ มีที่มาจากความสามารถในการโกหก
ซึ่งเป็นสิ่งที่ ทักษิณเก่งมาก มีทักษะสูงมาก เพราะฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ
เป็นคนโกงที่โกหก เก่งที่สุด ใครที่เคยคุยกับทักษิณ หรือฟังทักษิณพูด
จะรู้ดีว่าได้เคลิบ เคลิ้มไปแค่ไหน ไม่ว่าจะมีการศึกษาระดับไหนก็ต้องเคยเคลิ้มกันมาแล้วทั้งนั้น
นับประสา อะไรกับมวลชนของคนเสื้อแดง กว่าจะรู้ตัวก็สายกันแล้ว จะอย่างไรก็ตาม
ตอนนี้พวกเรารู้ตัวแล้ว แต่ยังมีคนที่ไม่รู้ตัวอีกมากมาย
ต้องช่วยให้เขา เห็นความจริงและรู้ตัวว่าถูกหลอกลวงอย่างไร ทักษิณจึงจะหมดฤทธิ์จริงๆ

เมษายน 2552 ทักษิณสามารถระดมคนได้เกือบแสนคน มากกว่าที่พันธมิตรเคยระดมได้
ทักษิณ กะจะล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยยั่วยุให้ใช้กำลังปราบปราม
จะได้กลายเป็น ทรราชย์ขาดความชอบธรรม แต่โชคดีที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปราบอย่างรอบคอบ ไม่มี คนล้มตาย และมีสื่อต่างชาติคือ CNN เป็นพยานให้ โดยยืนยันซึ่งหน้า ตอนที่ทักษิณให้สัมภาษณ์ CNN ว่า ที่ทักษิณว่าคนตายเป็นร้อยนั้น ไม่เป็นความจริง เมษาเลือดของทักษิณ
จึง ทำให้ทักษิณแพ้ไป นั่นคือ CNN จับโกหกทักษิณได้ต่อหน้าคนทั้งโลกที่ดู CNN อยู่*เห็นหรือยังว่า แพ้ชนะ ยุคนี้ อยู่ที่สงครามข่าวสาร***

หลัง จากทักษิณแพ้เมื่อเมษา 52 ถ้าเราสังเกตจะเห็นชัดเจนว่า ทักษิณวางแผนจะกลับมาอีก
ต้องดูว่าทักษิณลงทุนไปกับอะไรมากที่สุด แล้วใช้สิ่งที่ลงทุนไปทำงานอะไรให้ทักษิณมากที่สุด
ทักษิณให้เงินแกนนำ นปช. แน่นอน ให้เงิน ส.ส.เพื่อไทย แน่นอน ให้เงินหัวคะแนนแน่นอนต้อง จ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการจัดชุมนุม อภิปราย ทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเวที ฯลฯ แน่นอน
แต่ที่จ่ายมากที่สุด คือการสร้างเครื่องมือในการทำสงครามข่าวสาร

ทักษิณลงทุนอะไรอีกบ้าง หลังสงกรานต์เลือด?
ตั้ง PTV ออกอากาศผ่านดาวเทียม และออกผ่านเว็บไซท์
เว็บ ไซท์ เสื้อแดง มีเยอะมาก ทักษิณสร้า งทีมเรียกว่า นักรบไซเบอร์ ช่วยกันเผยแพร่ความเท็จ
ลองสำรวจดูว่ามีทั้งหมดกี่ เว็บไซท์ ทั้งที่ใช้ เซิร์ฟเวอร์ ในประเทศและ ต่างประเทศ
วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์และวารสารแดง สร้างคนหลงลมลวงได้มหาศาล
หนังสือเล่ม แบบ Where are you? ของหมวดเจี๊ยบ แกก็ไปหาทักษิณรับเงินมาเหมือนกัน
นอกจาก นี้ยังมี Hi 5, Facebook, Twitter

สื่อในต่างประเทศ บริษัท Lobbyist ในอเมริกาไปตรวจสอบดูก็จะรู้ว่าบริษัทอะไร ช่วยนัดสื่อระดับโลกไป
สัมภาษณ์ทักษิณ สร้างทั้งความน่าเชื่อถือ และการเอาความเท็จให้กับต่างชาติ
ทำ ให้คนในเมืองไทยเชื่อสนิทหนักเข้าไปอีก
เห็นไหมว่าฝรั่งยังเชื่อถือ รัฐบาลต่างชาติก็หลงลมไปหลายชาติ นึกว่าเก่งเศรษฐกิจ เชิญให้เป็นที่ปรึกษา
ฮุน เซนก็หลงลม แล้วก็ยังมีบริษัทหรือมูลนิธิอะไรที่ฮ่องกงชื่อ Sam Hui ก็เป็น lobbyist ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ความเก่งกาจให้ทักษิณด้วย
นักการ เมือง/นักวิชาการ พวกบ้านเลขที่ 111 และนักวิชาการพวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน พวก นี้ก็เสื้อแดงทั้งนั้น
การพูดของคนพวกนี้ก็สร้างความน่าเชื่อถือให้ทักษิณมากขึ้น

ส.ส.เพื่อ ไทย รวมทั้งว่าที่ผู้จะสมัคร ส.ส.เพื่อไทย ตลอดจนหัวคะแนน
พวกนี้ก็จะ ช่วยพูดปากต่อปากช่วยกันหลอกลวงราษฎรให้เชื่อว่าทักษิณดี ทักษิณเก่ง ทักษิณ ถูกรังแก บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน อภิสิทธิ์ สร้างฉากที่มหาดไทยเพราะไม่ได้อยู่ในรถที่ถูกทุบ ฯลฯ ความเท็จทั้งนั้น แต่คนก็เชื่อ
แกนนำในต่างจังหวัด อย่างขวัญชัย ที่อุดร หรือเพชรวรรต ที่เชียงใหม่และอีกหลายๆ จังหวัด
โรงเรียนการเมืองของ นปช. นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ฝึกแกนนำเพิ่มเติมเอาความเท็จบรรจุลง
ในหลัก สูตร แล้ววางระบบการควบคุมสั่งการ ติดต่อสื่อสาร จ่ายเงิน และหาเหยื่อเพิ่มเสร็จสรรพ
ศึกษาต่อไปอาจจะเจอเครื่องมืออื่นๆ อีก แต่เท่าที่จำแนกให้ดูนี้ก็น่าจะพอแก่การประเมินได้แล้วว่า
เครื่องมือของ การโฆษณาชวนเชื่อของทักษิณนั้น มหาศาลขนาดไหน และประสิทธิภาพสูงขนาดไหน
และ พอจะประมาณได้หรือยังว่า ทักษิณ ทุ่มทุนลงไปขนาดไหน
จริงอยู่ทำทั้งหมด นี้ต้องใช้เงิน แต่ขอให้เห็นประเด็นให้ชัดว่า
เงินไม่ใช่ตัวความสามารถ หลัก เงินถูกนำไปสร้างความสามารถในการหลอกลวงต่างหาก

แล้วเมื่อหลอกคน สำเร็จ จะใช้ให้คนทำอะไรให้ก็ได้ พูดขาวให้เป็นดำก็ได้ จะบอกว่าใครเลวก็ได้
สังเกต ต่อไปจะเห็นว่าปีที่ผ่านมา
 ทักษิณทดลองเครื่องมือของสงคราม (war mechanism) โดย ลองทำ clip เสียงอภิสิทธิ์ ตัดต่อดื้อๆ
ให้เหมือนกับสั่งให้ฆ่าผู้ชุมนุม แล้วปล่อยให้หลุดออกไป
สังเกตดูจะเห็น การทำงานของกลไกสงครามของทักษิณ ชัดเจน แกนนำเอาไปพูดในที่ชุมนุม
ส.ส.เพื่อ ไทยเอาไปพูดในสภา สื่อของทักษิณทุกสื่อเอาออกเผยแพร่ ความเท็จ 100%
ก็ ยังสามารถทำให้คน จำนวนมากหลงเชื่อได้

ปีที่แล้วทั้งปี ทักษิณ phone in ไปทุกจังหวัดที่จัดการชุมนุม
เพื่อสร้างภาพและความเข้าใจ และความเชื่อของคนทุกจังหวัดให้ตรงกัน
ในประเด็นที่คิดมาอย่างดีแล้ว เช่น อำมาตยาธิปไตย รัฐบาลทหารตั้งสองมาตรฐาน
สู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้ จริง ทักษิณถูกรังแก ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย
ช่วยกันทำ ประชาธิปไตยที่แท้จริงไว้ให้ลูกหลาน
หลอกลวงคนทั้งประเทศให้เชื่อว่า การออกมาเคลื่อนไหวนั้นเป็นการกระทำไปเพื่อชาติ
เป็นการกระทำที่รักชาติ เสียสละเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของทักษิณ

ปีนี้จึงไม่แปลกว่า เมื่อเครื่องมือพร้อมแล้ว ทักษิณก ็ลงมืออีก อย่างที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้
ถ้า เอาเทป video หรือ phone link ของทักษิณมาดู ฟังไปจะพบว่า
 ทุกครั้งที่พูด ทักษิณ จะเน้นว่า ตัวเองและเสื้อแดงพูดความจริง และรัฐบาลพูดเท็จ
และจะใช้เวลา ตรงนี้ประมาณ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด เพื่อย้ำการหลอกลวงไม่ให้พลาด
จาก นั้นแกนนำก็จะย้ำตามต่อไป คนฟังก็จะเคลิ้ม นึกว่ากำลังฟังความจริงที่ถูกปกปิดอยู่

*ถ้าเช่นนั้น ขบวนการทั้งหมดของทักษิณ มีลักษณะเป็นอะไร***

คำตอบคือ เป็นลัทธินิกายชนิดหนึ่ง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cult
เหมือนกับโอมชินริ เคียว ที่วางยาพิษคนที่สถานีรถใต้ตินที่ญี่ปุ่น หรือ James Jones ที่
หลอกให้สาวกฆ่าตัวตายจำนวนมาก โดยมีทักษิณ เป็นศาสดา
 มีแกนนำอย่างจตุพร สาม เกลอ และพวก ส.ส.ทั้งหลาย เป็นสมุนรับใช้ และราษฎร คนเสื้อแดงเป็นเหยื่อ
เพียง แต่ทักษิณ เป็น Cult ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกเท่านั้น
ความสามารถของ Cult ทั้งหลาย คือความสามารถในการที่ทำให้สาวกเชื่อสนิทถึงขั้นสั่งให้ ทำอะไรก็ได้
บางแห่งถึงกับให้ฆ่าตัวตายก็ยังทำตาม

ทักษิณอาจยังไม่ถึง ขั้นทำให้คนฆ่าตัวตายได้ แต่ทักษิณหาสาวกได้มากกว่า cult อื่นๆ แน่
ดู ลุงคนที่ขโมยเงินเมียมา 20,000บาท แล้วเดินทางมากรุงเทพฯ คนเดียว
เตรียม ขี้วัวมาเสร็จ แล้วไปที่บ้านอภิสิทธิ์ แล้วขว้างขี้ใส่ โดยไม่ต้องมีใครสั่งเลย
 ก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพของการหลอกลวงของทักษิณ ได้ชัดเจน ถ้าจะมีคนยอมตายเพื่อทักษิณ
ก็ไม่น่าจะเกินวิสัย และเรื่องนี้จะน่ากลัวเพราะอาจให้คนเผาตัวประท้วง หรือบุกเข้าทำร้ายเจ้า หน้าที่ จนต้องปะทะกัน เป็นต้น

*เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว มองเห็นกล่องดวงใจของทักษิณแล้วหรือยัง***
จะฆ่าทศกัณฐ์ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกล่องยิงธนูใส่เอาดาบฟัน ก็ไม่ตาย
ต้องไป หากล่องดวงใจให้เจอ พอเจอแล้วแทง ทศกัณฐ์จึงจะตาย ทักษิณก็เหมือนกัน
ความ สามารถในการหลอกลวงของทักษิณ คือกล่องดวงใจของทักษิณ

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 พฤศจิกายน 2554, 22:53:26
เกจินู้ดเปรียบ “ยิ่งลักษณ์” อนุสาวรีย์ขายความอาย-ผู้หญิงยังเอือม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

ASTVผู้จัดการ – “นิวัติ กองเพียร” เหลืออด ฉะ “ยิ่งลักษณ์” ไร้ประสบการณ์บริหารประเทศ วิเคราะห์ท่าทาง “ไม่อ่านหนังสือ-ไม่ดูหนังฟังเพลง” เปรียบพฤติกรรมเหมือน “อนุสาวรีย์ขายความอายต่อชาติตระกูล” อัดประเทศไม่ใช่ที่ฝึกงานหรือจะทำแทนกันได้ เผยแม้แต่ผู้หญิงด้วยกันยังอาย
       
       เมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา ในเว็บไซต์ niwatkongpien.com ของนายนิวัติ กองเพียร อดีตคอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้เขียนบทความชื่อ “จดหมายจากหัวหิน” ซึ่งเป็นจดหมายที่เขียนถึงประสบการณ์ชีวิตในช่วงหาที่พักพิง หลังจากที่น้ำท่วมบ้านในกรุงเทพฯ กระทั่งมาอาศัยอยู่ในอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในจดหมายฉบับที่ 2 นายนิวัติกล่าววิพากษ์วิจารณ์ภาพลักษณ์ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ความว่า
       
       “ผมนอนหลับสนิทมากเมื่อคืน เพราะก่อนนอนได้พูดในรายการวิทยุของผมเองที่ทำมายาวนานเกือบห้าปีแล้ว เป็นรายการวิทยุของคลื่นความคิด เอฟเอ็ม ๙๖.๕ ทุกวันเสาร์ เวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม กับเพื่อนรักคนหนึ่ง ชื่อเล่นว่าหมอ แต่ไม่ได้เป็นหมอ เป็นการ์ตูนิสท์ที่เขียนอยู่ในบางกอกโพสท์กับกรุงเทพธุรกิจ หมอมีชื่อจริงว่า ทิววัฒน์ ภัทรกุลวณิชย์ ใครไม่เคยฟังลองเปิดฟังนะครับ
       
       “เมื่อคืนผมพูดถึงผู้บริหารประเทศที่มาจากกรรมการผู้จัดการบริษัททางธุรกิจ ที่ไม่มีประสบการณ์ในชีวิตนอกเหนือจากงานที่ทำอยู่เลย การพูดต่อหน้าสาธารณะบอกให้ผมรู้ว่าเธอไม่อ่านหนังสือ ท่าทางการแสดงออกบอกให้รู้ว่าเธอไม่ดูหนัง เสียงของเธอไม่น่าฟังแสดงว่าเธอไม่ฟังเพลง คนคนหนึ่งคนใดจะเข้ามาบริหารประเทศด้วยตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่น่าจะเป็นคนไหนก็ได้ เริ่มต้นตั้งแต่การต้องรู้จักตัวเองว่า จะทำงานนี้ได้ไหม และงานต้องทำอะไร การบริหารประเทศไม่ใช่การฝึกงานหรือมาทำแทนใครได้
       
       “มันเป็นความผิดมหันต์นะครับที่มารับหน้าที่ที่ตัวเองไม่สามารถทำได้ มันจะเป็นอนุสาวรีย์ขายความอายต่อชาติตระกูลที่แทบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว มันทำร้ายประชาชนทั้งประเทศให้เจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส เธอไม่มีสิทธิที่จะพูดว่าประชาชนเลือกเธอมา และไม่น่าจะมีสิทธิเป็นนายกรัฐมนตรีได้ถ้าเธอรู้จักตัวเอง
       
       “ผมพูดอะไรออกไปอีกมากมายเหมือนคนเก็บกด เพราะมันเก็บกดจริงจริงครับ ผมไม่อยากเห็นเธอในจอทีวี ไม่อยากได้ยินเสียงเธอ ที่จริงผมเป็นคนที่ชอบผู้หญิงมากมาก โดยเฉพาะผู้หญิงเก่ง ฉลาด และจะยกย่องเชิดชูผู้หญิงเสมอเมื่อมีโอกาส เพื่อนคู่ชีวิตผมบอกผมว่า เธอรู้สึกเสียใจและอับอายที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาทำให้ความเป็นผู้หญิงเสียหายได้ถึงเพียงนี้” นายนิวัติระบุ
       
       สำหรับนายนิวัติ กองเพียร เคยเป็นคอลัมนิสต์ชื่อดังประจำนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ โดยได้รับฉายาว่า "เกจินู้ด" ด้วยเขียนคอลัมน์ที่เป็นเนื้อหาวิจารณ์ภาพเซ็กซี่ กึ่งเปลือย นอกจากนั้น นิวัติ ยังเคยเป็น บรรณาธิการบริหารนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ในเครือมติชน อย่างไรก็ตามในช่วงต้นปี 2552 เครือมติชนกับนายนิวัติก็ได้แยกทางกันเดิน โดยคนในแวดวงสื่อมวลชนสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากสาเหตุที่นายนิวัติเขียนบทความที่มีเนื้อหาขัดใจ นายขรรค์ชัย บุนปาน นายใหญ่ของเครือมติชน โดยหลังจากนั้นเกจินู้ดก็หันมาเปิดเว็บไซต์www.niwatkongpien.com ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบริหารของหนังสือเพลงดนตรีอีกด้วย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 พฤศจิกายน 2554, 23:03:23

รู้จัก “ดีเจจั๊ดจ์” ผู้ด่า “ศปภ. โง่เง่า” จนโดนไล่ออกเผยสุดสงสาร “ปู”
เคยสุขสบายช็อบปิ้งกินข้าวกับลูกผัว ต้องทุกข์เพราะเป็นนายก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


รู้จัก “ดีเจจั๊ดจ์” ผู้กล้าวิจารณ์ “ศปภ.โง่เง่า” ,สับ “ประชา พรหมนอก” แก่ , จวกรัฐบาลเลือกคนผิดฝาผิดตัวแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ,สมน้ำหน้าที่โดนประชาชนด่า , เปิดใจไม่หวั่นวิจารณ์ศปภ.จนโดนไล่ออกจากงาน บอกเป็นความในใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์เพราะทำงานไม่ได้ดั่งใจ สุดสงสาร “ปู” ที่เคยช็อบปิ้งกินข้าวกับลูกและสามีใช้เงินไม่มีหมดในชาตินี้ กลับต้องมาทุกข์ใจนอนไม่หลับเพราะเป็นนายกฯ แต่เป็นสิ่งที่ต้องแลกเพราะอยากถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นนายกหญิงคนแรก
       
       โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คกลายเป็นเวทีระบายความในใจของใครต่อใครหลายคนถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมรัฐบาล ไล่มาตั้งแต่ตั้งตอนที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ.ใหม่ๆ ที่สื่อสารไม่ตรงไปตรงมาและไม่ชัดเจนจนโดนวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว มีดาราหลายคนใช้โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คพูดคุยถึงปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น "หนิง ปณิตา พัฒนาหิรัญ" ที่ทวิตเตอร์ว่า “สส.ที่เลือกมาหายไปไหนหมดอ๊ะ ไม่เห็นทำไรได้ซักคน เห็นแต่เอาหน้าโดยการเอาของที่ ปปช.บริจาคไปเป็นของตัวเองว่ามาจากตน กินกันยังไม่พออีกเหรอ” และอีกหลายต่อหลายคนแต่ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็น “หนูดี วนิษา เรซ” ผู้อำนวยการโรงเรียนวนิษา ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามผู้แต่งหนังสือ “อัจฉริยะสร้างได้” ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตว่า “ขอพูดอะไรแรงๆ สักก็ ที่วนิษา ครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”
       
       “บิลลี่ โอแกน” เองก็มีข่าวว่า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กดุเดือดว่ารัฐบาลไร้ปัญญาแก้ไขน้ำท่วม ไล่ไปร้องไห้ให้ควายดู จนกลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ แม้ว่าเจ้าตัวจะยังไม่ออกมายอมรับว่าเป็นเฟซบุ๊กของตนเองจริงหรือไม่
       
       ล่าสุด “ดีเจจั๊ดจ์ ธีมะ กาญจนะไพริน” แห่งคลื่น สบาย 90 เอฟเอ็ม ของบริษัทพีดี ครีเอชั่น จำกัด ก็ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ศปภ.ผ่านสถานี และจัดรายการ “จั๊ดจ์จัด” ลงยูทูปด้วยถ้อยคำที่ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แต่งตั้งให้ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” อดีตอธิบดีกรมตำรวจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมาเป็นผู้อำนวยการศูนย์ทั้งที่ไม่มีความรู้เรื่องน้ำ เพราะเติบโตมาจากการเป็นตำรวจมาทั้งชีวิต พอออกมาแถลงข่าวทีก็อ่านสคริปท์ และสื่อสารไม่รู้เรื่อง แผนที่ที่เอามาประกอบการแถลงข่าวก็ห่วย ไม่มีเงินจ้างทำกราฟฟิกให้ประชาชนเข้าใจหรือไง งานนี้ดีเจจั๊ดเลยจัดหนักว่า “ทั้งแก่ทั้งโง่” น่าจะไปดูการแถลงข่าวและการทำงานของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.ซะบ้าง สรุปสั้นๆ ว่า “โง่เง่า”
       
       ซึ่งภายหลังที่คลิปวิพากษ์วิจารณ์ศปภ.ดังกล่าวถูกเผยแพร่ลงในยูทูปดีเจจั๊ดก็โดนบริษัทพีดีพักงานและถูกไล่ออกในที่สุด เป็นดีเจทำงานบริษัทใหญ่ๆ อยู่ดีๆ ทำไมถึงไปวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมือง อะไรที่ทำให้ดีเจจั๊ดทะลักจุดแตก วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับดีเจจั๊ดให้มากขึ้น ไหนๆ ก็ออกจากงานแล้ววันนี้ขอบอกว่าดีเจจั๊ดจ์จัดหนักแน่...
       
       “เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อวันที่11 ตุลาคม วันนั้นผมจัดรายการคนเดียวพี่ธงธง มกจ๊ก(คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ)ดีเจที่จัดคู่กันไม่อยู่ แล้วศปภ.ก็ขอความร่วมมือมายังคลื่นคือต้องตัดรายการเข้าศปภ.วันละ 3 รอบ 10.00 น., 16.00 น. และ 22.00 น. ซึ่งช่วงที่ผมจัดอยู่เป็นช่วง 15.00 -18.00 น. ก็อยู่ในช่วงแถลงข่าวพอดี แต่วันนั้นศปภ.ไม่แถลงข่าวแต่ก็ไม่แจ้งมาว่าจะไม่แถลงข่าว พอผมเปิดไมค์มาก็เลยพูดเหน็บแนมไปนิดๆ หน่อยๆ ประมาณว่าจะแถลงแล้วทำไมไม่แถลง รายละเอียดจำไม่ได้แล้วแต่โดยเนื้อหาก็ประมาณนี้”
       
       “จากนั้นก็มีการพักงานผม โดยที่ไม่มีการเรียกไปเตือนแต่เป็นการโทรศัพท์มาหาผม โดยให้เหตุผลว่าศปภ.กับกองทัพก็ดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เราไปว่าเขามันก็ไม่ถูกต้อง ผมก็ช็อกพอสมควรแต่ก็ยอมรับในการตัดสินใจของเขา ผมเองก็เคยจัดรายการวิทยุมาก่อนและก็เคยถูกพักงานเพราะไปพูดถึงเรื่องการเมือง ตอนนั้นจัดอยู่คลื่นแม็ก 103.0 ของอาร์เอส ผมจัดรายการชื่อจั๊ดจัดซึ่งเป็นชื่อเดียวกับที่ลงในยูทูป ตอนนั้นคุณสมัคร สุนทรเวช เสียชีวิตผมก็เปิดเพลงซึ่งมันในยูทูปที่คุณสมัครเคยร้องไว้ เนื้อหาเพลงประมาณว่าคนเราตายไปเอาอะไรไปไม่ได้ชื่อเสียงเงินทองเกียรติยศทำความดีกันไว้เถอะ ก็มีผู้ใหญ่เรียกไปเตือนและก็โดนพักงานไปหนึ่งสัปดาห์และกลับมาจัดรายการต่อ”
       
       “ส่วนครั้งนี้ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ไม่ได้มากเท่าครั้งนั้นด้วยซ้ำแต่ผมก็โดนพักงาน 3 สัปดาห์กว่า พอสัปดาห์ที่ 4 ก็โทรมาบอกผมว่าจะมีการปรับผังและจะไม่ให้ผมจัดแล้ว ผมก็เสียใจครับแต่ว่าก็คาดเดาเอาไว้แล้วว่าอาจจะเป็นแบบนี้(จริงๆ แล้วบริษัทเขามีกฎห้ามพูดเรื่องการเมืองในขณะจัดรายการหรือเปล่า) เขาห้ามพูดครับแต่ผมเองเคยโทรศัพท์ไปคุยกับเอ็มดีของคลื่นนี้ว่า ถ้าเป็นช่วงของผมขอพูดเรื่องการเมืองบ้างได้ไหม ก็ได้รับคำตอบว่าพูดได้เพราะเขาเชื่อมั่นฝีมือของผมกับพี่ธงธงว่าจะสามารถพูดให้ไม่แรงเกินไปได้ แต่ตรงนี้ผมไม่มีหลักฐานเพราะเป็นการพูดคุยกันส่วนตัว”
       
       “โปรดิวเซอร์เขาก็บอกว่า จั๊ดจ์ต้องเข้าใจนะว่าบริษัทจะต้องดีลงานทั้งภาครัฐและเอกชน บริษัทพีดีนอกจากจะทำรายการวิทยุและโทรทัศน์แล้วก็ยังมีธุรกิจอีเว้นท์ที่จะต้องดิวกับราชการ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นอะไรยังไงก็ควรจะวางตัวเป็นกลางก่อน และเราเป็นสื่อด้านบันเทิงก็ควรจะยืนอยู่ตรงกลางและไม่ควรมีภาพลักษณ์ที่รุนแรงเอียงไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
       
       “สำหรับการทำหน้าที่สื่อผมคิดว่าคิดแบบนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่ผมก็เข้าใจในมุมมองของบริษัทนะครับที่จะต้องมองในเรื่องของเม็ดเงินการติดต่องาน แต่สำหรับผมเองผมคิดว่าสื่อสารมวลชนจะต้องนำเสนอข้อมูลให้รอบด้าน และข้อมูลรอบด้านมันก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องยืนอยู่ตรงกลางเสมอไป ถ้ามันได้ผ่านการศึกษาข้อมูลมาอย่างละเอียดแล้วว่ามันเป็นแบบนั้น เราก็ควรจะถ่ายทอดข้อมูลออกไป แต่ในการถ่ายทอดมันมีวิธีจบของข้อความที่เราอยากจะสื่อสารออกไปให้ผู้ฟังเอาข้อมูลของเราไปตัดสินโดยใช้วิจารณญาณของเขาเอง”
       
       “ผมว่าการเป็นสื่อมันไม่ควรจะกลัวในเรื่องของการเมืองและผลักเรื่องการเมืองไปอยู่ไกลตัว ผมว่าการเมืองเป็นธรรมดาของชีวิตคนครับ แต่การเมืองเป็นสิ่งต้องห้ามไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นโดยเฉพาะคนบันเทิงส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นว่าตนเองสนับสนุนฝ่ายไหนหรืออะไรยังไง ผมว่าการที่เราสนับสนุนฝ่ายไหนไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามัคคี เพราะเลือกตั้งเราก็ต้องเลือกข้างอยู่แล้ว เราก็ต้องมีข้างที่เราปลื้ม มันเป็นการแสดงความคิดเห็นมากกว่าทำไมเราถึงชอบนโยบายของฝั่งนี้”
       
       แล้ว “จั๊ดจ์” เลือกข้างไหน ?
       “ผมขอยืนอยู่ข้างสถาบันพระมหากษัตริย์ครับ อันนี้คือจุดยืนของผม ผมเป็นคนที่รักและเทิดทูนในหลวง ท่านมีคุณูปการต่อประเทศชาติมากมายก่ายกอง ฉะนั้นการเมืองอยากจะเล่นอะไรก็เล่นไปแต่อย่าเล่นถึงพระองค์ท่าน ผมเข้าใจว่ามีคนสนับสนุนเสื้อแดงเสื้อเหลือง ชอบประชาธิปัตย์หรือว่าอยู่พรรคเพื่อไทย หรือว่าจะอะไรก็ตามที แต่ไม่ควรจะล้มล้างระบอบการปกครองที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือผมไม่สนับสนุนพวกที่ล้มเจ้าครับ”
       
       “ในยูทูปผมก็มีการพูดถึงมาตรา 112 ที่อยากจะแก้ไขกันเหลือเกิน ผมคิดว่าระบอบการเมืองในปัจจุบันมันดีพอแล้วถ้านักการเมืองมีคุณภาพเล่นการเมืองกันอย่างสะอาดไม่โกง ถ้ามองไปรอบตัวทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมกันเป็นประเทศไทยมันถูกแฝงไปด้วยสัญลักษณ์ ถูกแฝงไปด้วยพระเดชพระคุณ ถูกปลูกฝังไปด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่มันเป็นสิ่งดีงามที่ถ่ายทอดมาโดยสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะไปล้มล้างไปทำให้พระราชอำนาจของท่านหายไป ถ้าคุณบอกว่าประชาธิปไตยมันจะไม่เต็มใบ แต่ผมว่ามันเต็มใบครับถ้าคุณทำอะไรตามลู่ตามทางที่มันดี ขอแค่คุณอย่าโกงมันเพียงพอแล้ว”
       
       เมื่อปี 2538 ที่เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ไม่ต่างจากปัจจุบัน ครั้งนั้นในหลวงทรงมีพระราชวินิจฉัยและพระราชทานแนวพระราชดำริการแก้ปัญหาน้ำท่วมจนประเทศชาติรอดพ้นจากวิกฤติด้วยพระปรีชาสามารถ แต่ในขณะที่รัฐบาลของยิ่งลักษณ์ กลับไปดึงเอานักวิชาการต่างประเทศเข้ามาวุ่นวายในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไปหมด ทั้งที่เรามีกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถเก่งในเรื่องน้ำอยู่แล้ว ที่เรามีเขื่อนไว้กักเก็บน้ำ มีโน่นนี่ระบบที่เกี่ยวกับน้ำ ก็เกิดจากโครงการพระราชดำริและพระปรีชาสามารถของในหลวงทั้งสิ้น แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับให้ความสำคัญกับต่างประเทศ แม้แต่สื่อมวลชนเองก็ไม่นำเสนอข่าวเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี 2538 ของพระองค์ให้แพร่หลาย มีแต่ไปตามติดก้นฝรั่งให้ฝรั่งมาวิพากษ์วิจารณ์การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของประเทศไทย เรื่องนี้ “ดีเจจั๊ดจ์” ให้ความเห็นว่า....
       “ผมรู้สึกว่าหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่ในหลวงทรงทำไว้ให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องน้ำมันชัดเจนอยู่แล้ว เราควรจะน้อมรับเอาพระราชดำริที่เกี่ยวกับเรื่องน้ำมาบริหารจัดการ พระองค์ท่านอยู่กับปัญหาน้ำมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปีแต่นักการเมืองอยู่มา 2 ปีหรืออย่างมากก็ไม่เกิน 8 ปี แต่จริงๆ แล้วอยู่ไม่ถึงสมัยซะด้วยซ้ำ กลับมาลองผิดลองถูกกับประเทศ ทำไมไม่นำเอาแนวทางของในหลวงมาปฏิบัติ ส่วนเรื่องที่เอานักวิชาการต่างชาติมาประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำโดยเฉพาะนักวิชาการเนเธอร์แลนด์ที่เก่งเรื่องน้ำเอาแนวคิดเขามารวมกับเราได้ก็ดี”
       
       “แม้แต่ข้าราชการของไทยเองก็ดูแลด้านน้ำมานานเขาอยู่กับตรงนี้มานาน กว่าจะขึ้นมาเป็นระดับอธิบดีระดับปลัดกระทรวงเขาต้องทำงานด้านนี้มาแล้วกี่สิบปี เขามีความรู้ความสามารถตรงนี้ดี แต่พอถึงเวลาจะต้องให้เขามาฟังอำนาจการสั่งการจากนักการเมืองที่พึ่งจะมาบริหารประเทศ ผมอยากจะให้นักการเมืองฟังข้าราชการบ้าง และเอาอำนาจที่นักการเมืองมีไปสั่งการให้อำนวยความสะดวกในการทำงานของข้าราชการ”
       
       “อย่างคุณประชาเป็นตำรวจมาตลอดชีวิตอยู่ดีๆ ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมก็พอเข้าใจได้ แต่อยู่ดีๆ เอามาเป็นผู้อำนวยการศปภ.ถามว่ากางแผนที่ออกมาท่านรู้หรือเปล่าอะไรตรงไหน เขื่อนไหนมีกำลังกักเก็บเท่าไหร่ควรจะบริหารเท่าไหร่ ท่านก็อาศัยการอ่านเพิ่มเติมเมื่อตอนที่เข้ามารับตำแหน่ง ท่านอยู่กับตำแหน่งกี่วันล่ะครับ เดือนหรือสองเดือน ? เทียบกับข้าราชการที่ทำงานด้านนี้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เรียนจบมา ใครมันจะมีความรู้ความสามารถกว่ากันล่ะครับ"

   
   


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 พฤศจิกายน 2554, 14:13:48
มีผู้นำที่สิ้นคิด ประเทศก็มีสิทธิสิ้นหวัง
โดย ประยูร อัครบวร    
       สังคมไทยวันนี้เป็นสังคมที่มีปมแห่งความขัดแย้ง ไปที่ไหนๆ ก็จะมีคำถามที่เกิดจากความห่วงใยว่าเมื่อไหร่ เมืองไทยจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ และใครจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปในทางที่ดีกว่า ฯลฯ ซึ่งการจะตอบคำถามในแต่ละคำถามนั้นต่างต้องใช้เวลา ด้วยรากเหง้าของความขัดแย้งในสังคมไทยต่างเกิดจากผลประโยชน์ทางการเมืองของนักการเมืองที่มีอำนาจ ที่รู้จักการใช้กลไกการตลาด รู้จักจิตวิทยาฝูงชนทำให้ผู้คนหลงใหลได้ปลื้มกับการได้เละเล็มอำนาจและผลประโยชน์เฉพาะตน รวมทั้งเข้าใจระบบอุปถัมภ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงคนได้ตามใจปรารถนาของนายเงิน
       
       สภาพที่สังคมไทย ที่ผู้คนถูกลากให้เข้าอยู่ในเขาวงกตสีเทา ที่เป็นมายาภาพแห่งการฉลาดแกมโกงของคนส่วนหนึ่ง ความโง่เขลาเบาปัญญาหรือยังสลึมสลือส่วนหนึ่งและยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่เห็นมายาภาพแล้วทนไม่ได้ จนก่อเกิดคำถามท้าทาย ที่จะออกจากเขาวงกตนี้ ซึ่งสภาพคนที่วิ่งหนีจากเขาวงกตนี้ก็ไม่ต่างกระบวนผู้คนที่ออกมาต่อต้านระบบทักษิณ
       
       เมื่อผู้คนที่ออกมาสู้กับระบบที่ชั่วร้าย ระบบที่เปิดให้โกงกินกันทั่วทุกถิ่นที่ พอเกิดเป็นคดีก็อ้างหน้าตาเฉยว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีใบเสร็จและที่สำคัญวาทกรรมประวัติศาสตร์ที่ว่า
       
       “บกพร่องโดยสุจริต”
       
       คำพูดข้างต้นนี้ ไม่ได้สะท้อนความเป็นผู้นำที่สำนึกในความผิด แต่เป็นการเย้ยหยันสังคมไทยว่าหน้าโง่กฎหมายก็คือกระดาษที่เขียนไว้ประดับในห้องทำงานเท่านั้น ถ้าชนะการเลือกตั้งมา ประชาชนที่ลงคะแนนเสียงเป็นหลักประกันซึ่งเปรียบเสมือนดวงตราประทับรับรองว่าถ้าโกงก็ไม่เป็นไร เพราะโกงในนามตัวแทนประชาชน แถมยังมีระบบลด แลก แจก แถม โดยเฉพาะเงินกระจายแจกไปตามขนาดของชุมชน ซึ่งผลของระบบประชานิยมในวันนี้ คนไทยได้เสพติดและกลายเป็นพวกงอมืองอเท้า รอการช่วยเหลือจากรัฐ โดยไม่รู้สึกรู้สาอย่างที่ทางพระเรียกว่าประพฤติชอบหรือมีสัมมาชีวะ
       
       เมื่อเกิดคำถามว่า “เมื่อไหร่สังคมไทยจะหลุดพ้นจากปมความขัดแย้งหรือหลีกหนีจากเขาวงกตแห่งความชั่วร้ายได้” ผู้เขียนตอบแบบฟันธงได้เลยว่า “ต้องทำลายเขาวงกตเท่านั้น สังคมไทยจึงหนีความขัดแย้งนี้ได้”
       
       ส่วนคำถามที่ตามมาว่า “ใครจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปในทางที่ดีกว่าหรือใครจะเป็นผู้นำในการฝ่าวิกฤตนี้ได้” ผู้เขียนตอบได้เลยว่า “อยู่ที่ประชาชน” ด้วยรากเหง้าของความขัดแย้งในสังคมได้ถูกพัฒนาสู่ความรุนแรง แบ่งแยกผู้คนอย่างเห็นได้ชัด การแก้ปัญหาจึงยากที่จะอาศัยอัศวินม้าขาวมาคนเดียว
       
       แต่อย่างไรก็ตาม จากประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงในโลกต่างมีที่มาที่เกิดจากคนหรือกลุ่มคนที่มีความคิด มีการศึกษาผนึกกำลังกัน ขับเคลื่อนองค์ความรู้ให้เกิดการยอมรับจนเป็นฉันทามติที่สมาชิกในสังคมยอมรับหรืออีกในหนึ่งคือการสร้างศรัทธาที่ประชาชนมีความปรารถนาร่วมกันในการพัฒนาเปลี่ยนแปลง ซึ่งพันธมิตรจากสหรัฐอเมริกาอย่างคุณบรรจบ เจริญชลวานิช ได้ยกตัวอย่างสังคมอเมริกันในช่วงเริ่มต้นของการสร้างประเทศที่มีบุคคลที่ทรงคุณค่าอย่าง จอร์จ วอชิงตัน เบนจามิน แฟรงคลิน โทมัส เจฟเฟอร์สัน โทมัส เพน จอห์น อดัม ฯลฯ ที่เสียสละเลือดเนื้อ ชีวิต และทรัพย์สิน ทุ่มเทความคิด สร้างความเชื่อมั่น นำการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน...และท่ามกลางการต่อสู้นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของแต่ละคนดังนี้
       
       - ท่ามกลางความลำเค็ญ จอร์จ วอชิงตัน ไม่กล่าวโทษผู้ใด ได้แต่ถามตนเองเสมอว่า ตนเหมาะสม ในการเป็นแม่ทัพกอบกู้ประเทศ ต่อไปหรือไม่
       
       -ท่ามกลางการกดดันของนายทุน เบนจามิน แฟรงคลิน ยืนหยัดบนหลักการของฐานันดรที่สี่ ได้อย่างสมภาคภูมิ
       
       -ท่ามกลางความยินดีต่อความสำเร็จในการก่อกำเนิดชาติ และฟูมฟักจนแข็งแกร่ง โทมัส เจฟเฟอร์สัน ผู้เกิดมารวยบนกองเงิน กลับตายจนบนกองหนี้...
       
       ส่วน โทมัส เพน เป็นนักปฏิวัติเสรีประชาธิปไตยชาวอังกฤษ ถูก เบนจามิน แฟรงคลินชักชวนให้ไปเสี่ยงโชคที่อเมริกา โดยเข้าทำงานเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Pennsylvania Magazine ได้เขียนบทวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งหนังสือหลายเล่มแต่เล่มที่สำคัญชื่อ Common Sense ได้เป็นแรงบันดาลใจให้คนอเมริกันทำสงครามประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ ซึ่งโทมัส เพน มีความกล้าหาญในการปลุกสำนึก ทั้งเตือนสติ
       
       “คนอเมริกันผู้ซึ่งพล่ามรำพันถึงความรักชาติ แต่ขอเป็นทหาร เฉพาะในยามสบายของหน้าร้อน ให้กลับมาอยู่สู้ศึกอย่างยากแค้นลำเค็ญ ในฤดูหนาวอันยาวนาน...”
       
        จากตัวอย่างของผู้นำในยุคอเมริกันสร้างชาติ จะเห็นได้ว่า ผู้นำเหล่านี้ต่างมีศรัทธาต่อการทำสิ่งที่ดี เพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนรวม มีความกล้าที่จะทำ ไม่ยึดติดในอำนาจและที่สำคัญคือไม่มีความกลัวที่จะทำความดี
       
        เมื่อผู้นำมีศรัทธาในการสร้างชาติ บรรดาชาวอเมริกันที่เป็นเสรีชนก็เข้าร่วมแบบไม่กลัวตาย และที่สำคัญของการเป็นผู้นำนั้นต่างมีสมองหรือกระบวนการคิดที่สื่อถึงประชาชนให้เข้ามาร่วมกระบวนการจากประชาชนสู่ประชาชน จากรัฐสู่รัฐ ทำให้มาหลอมรวมประชาชนที่มาจากหลายสาแหลกแบบอเมริกันชนนั้น ไม่มีข้อสงสัยในตัวผู้นำ ไม่ว่าในความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์สุจริต หรือสติปัญญา ฯลฯ
       
        ส่วนในประเทศไทย ปัจจัยของการสร้างชาติ เปลี่ยนแปลงสังคมสู่สังคมที่ดีกว่านั้น ก็ไม่ได้ต่างสังคมที่เป็นอารยะอื่นๆ ที่ต้องดูความเข้าใจ การรับรู้ของประชาชน และที่สำคัญอย่าทำให้ประชาชนสงสัยและไม่มีความศรัทธาในตัวผู้นำ ที่ถูกยึดถือว่าเป็นแกนนำหลักในการผลักดันสังคม ซึ่งผู้เขียนใคร่เสนอข้อความที่ คุณธัชพงศ์ จันทรปรรณิก พันธมิตรจากสหรัฐอเมริกาส่งมาให้อ่านเป็นข้อคิดว่า
       
        “Thai PM has two sides of brain, the Left brain has nothing right, and the Right brain has nothing left” หรือ “นายกรัฐมนตรีไทยมีสมองสองด้าน สมองด้านซ้ายไม่มีอะไรที่ถูกต้อง และสมองด้านขวาไม่มีอะไรเหลือ (ว่างเปล่า)”
       
        ข้อสรุปข้างต้นนั้น แม้ไม่ได้บอกนะครับว่านายกรัฐมนตรีไทย คนไหน แต่ก็เป็นข้อคิดว่าสังคมไทย เรานั้น “ถ้าผู้นำสิ้นคิด ประเทศไทยเราก็มีสิทธิสิ้นหวัง”



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 พฤศจิกายน 2554, 14:37:21
ถอดรหัส อภัยโทษ

    19 พฤศจิกายน 2554 Posttoday.com
 
ประเด็น: พรฎ-อภัยโทษเอื้อทักษิณ ,

"แต่จะเขียนให้เปลี่ยนไปจากนี้ ใจคุณถึงก็ทำไปสิ ในอดีตผมไม่เคยเห็นคนไม่ติดคุกจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ"

โดย.....ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว

ใจคุณถึง...ก็ทำไปสิ

ผ่านมาถึงวันนี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดยิ่งลักษณ์บ่ายเบี่ยงชี้แจงรายละเอียดร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ตามที่ตกเป็นกระแสข่าวเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ

การปกปิดข้อมูลด้วยการยกข้ออ้าง เป็นวาระลับพูดไม่ได้ ผ่านการให้สัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.เฉลิมอยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่นั่งหัวโต๊ะครม.ในเวลานั้น รวมถึงบรรดารัฐมนตรีสร้างความเคลือบแคลงสงสัยในหลายประเด็น

ทั้งที่ในอดีตเมื่อถึงโอกาสสำคัญ ครม.จะมีมติผ่านความเห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับครั้งนี้เหตุใดถึงกลายเป็นชนวนร้อนทำให้กลุ่มองค์กรภาคประชาชน นักวิชาการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านถึงขั้นคณาจารย์รวมตัวออกแถลงการณ์ชี้ว่า นี่เป็นร่าง พ.ร.ฎ.แหวกม่านนิติประเพณี ทำลายระบบนิติรัฐของบ้านเมือง

รี

วิษณุ เครืองาม อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่จัดระเบียบวาระให้ความเห็นชอบข้อกฎหมายในหลายรัฐบาล ได้ถ่ายทอดกระบวนการผ่านร่างพ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษจากอดีตถึงปัจจุบันไว้อย่างน่าสนใจชนิดที่ต้องขีดเส้นใต้

วิษณุ ออกตัวก่อนว่า เขายังไม่เห็นรายละเอียดร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษฉบับ ครม. และไม่ยืนยันว่า ครม.ได้พิจารณาเรื่องนี้จริงตามที่มีกระแสข่าวหรือไม่ จึงไม่สามารถบอกได้ว่า การเขียนเนื้อหาลงในร่าง พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ผิดแผกไปจากอดีตมากน้อยขนาดไหน แต่ยอมรับอย่างหนึ่ง เป็นสิทธิของรัฐบาลจะเขียนออกมาอย่างไรก็ได้

"แล้วแต่จะเขียนอย่างไรก็ได้ แต่ละฉบับไม่เหมือนกัน รัฐบาลนี้จะเขียนมากน้อยแล้วแต่ แต่พูดอย่างแฟร์ๆ การพิจารณาร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ในการประชุมลับเป็นเรื่องปกติ เราไม่อยากให้รู้กันออกไป เดี๋ยวญาตินักโทษหรือตัวนักโทษจะตั้งข้อสงสัยทำไมถึงไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษจะมีการฮือแหกคุก สมมติต้องรับโทษไม่เกิน 3 ปีทำไมไม่เขียนไม่เกิน 4 ปี เขาจึงพยายามทำเป็นเรื่องลับ"

ต่อข้อสงสัยร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษถือเป็นเรื่องลับในที่ประชุม ครม.เสมอไปหรือไม่วิษณุ ยอมรับว่า "จากประสบการณ์ในอดีต ทุกครั้งเป็นการประชุมลับ" ถามต่อไปว่า ถึงขั้นไม่ต้องแถลงให้สาธารณชนทราบเลยใช่ไหม คำตอบของอดีตแม่บ้าน ครม.ดูจะขัดกับสิ่งที่ รัฐมนตรีในรัฐบาลอ้างว่าพูดไม่ได้อยู่บ้าง วิษณุ บอกว่า ในอดีตเมื่อมีมติ ครม.ในเรื่องนี้จะมีการแถลงให้สาธารณชนรับทราบซึ่งเลขาธิการ ครม.ไม่จำเป็นต้องแถลงก็ได้ เพราะมีโฆษกรัฐบาลทำหน้าที่แถลงอยู่แล้ว

"การแถลงก็แถลงว่า ครม.มีมติผ่านร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษแล้ว แต่ไม่ขอแถลงในรายละเอียด โดยให้กฤษฎีกาไปพิจารณาต่อไป"

พิจารณาประโยคข้างต้นจะเห็นความแตกต่างระหว่าง ครม.ในอดีตกับ ครม.ปัจจุบัน มีเจตนาที่จะให้ความจริงประชาชนมากน้อยขนาดไหน เพราะครม.ในอดีตแถลงมติเห็นชอบ พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ แต่ ครม.ปัจจุบันปกปิดไม่พยายามที่จะบอกอะไรเลย จริงอยู่เรื่องของรายละเอียดอาจต้องขอสงวนไว้เป็นความลับ แต่กับการติดตามสัมภาษณ์คนในรัฐบาล หรือแม้แต่ อำพน กิตติอำพน เลขาธิการครม.คนปัจจุบัน ว่าเรื่องนี้บรรจุอยู่ในระเบียบวาระหรือไม่ ผ่านหรือไม่ ก็ไม่มีความชัดเจนออกมา

แกะรอยเส้นทาง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษกันดูบ้าง อดีตเลขาธิการ ครม. บอกว่า ในอดีตเมื่อมีโอกาสสำคัญจะมีคณะกรรมการพิเศษที่ตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินการเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญอยู่แล้ว โดยจะเสนอรูปแบบกิจกรรมออกมาเป็นแพ็กเกจ ตั้งแต่จัดให้มีพิธีทำบุญ อุปสมบท ปล่อยนักโทษ จากนั้นเข้าสู่กลไกทำงานผ่านหน่วยงานราชการ ซึ่งกรณีพระราชทานอภัยโทษเป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์รวบรวมข้อมูล สมัยก่อนเสนอกระทรวงมหาดไทย เพราะเป็นต้นสังกัด แต่ปัจจุบันกรมราชทัณฑ์สังกัดกระทรวงยุติธรรม ก็จะต้องทำเรื่องเสนอกระทรวงยุติธรรม จากนั้นเสนอเข้าครม. เมื่อ ครม.ผ่านความเห็นชอบจึงส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่าง

การส่งร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นอีกประเด็นต้องจับตามอง วิษณุ บอกว่า ที่ผ่านมาไม่จำเป็นต้องนำเรื่องเข้ากฤษฎีกาคณะพิเศษขึ้นอยู่กับสำนักงานพิจารณาก่อนว่า มีความจำเป็นมากน้อยขนาดไหน ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาอะไรมาก ก็ส่งให้สำนักงานเป็นผู้พิจารณาช่องทางมี 3 ทาง ให้สำนักงาน ให้คณะกรรมการ หรือให้คณะกรรมการคณะพิเศษพิจารณา หลังจากพิจารณาเสร็จ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาส่งกลับ ครม. เพื่อนำความขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายก่อนประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา

"การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาจะให้สำนักงานหรือคณะกรรมการได้ทั้งนั้นเพราะเป็นเรื่องสั้นๆ ง่ายๆ สำนักงานเอาไปทำเองก็ได้ ไม่เหมือนเรื่องล้างมลทินเป็นเรื่องใหญ่ต้องเข้าคณะกรรมการ นี่คือประสบการณ์นะ ส่วนเรื่องนี้เป็นอย่างไรผมไม่รู้"

แม้จะไม่เห็นรายละเอียดของร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ แต่ทุกกระแสเสียงดูจะเข้าใจทำนองเดียวกัน เป็นการเขียนร่าง พ.ร.ฎ.เพื่อมุ่งช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษามีความผิดคดีที่ดินรัชดาฯจำคุก 2 ปี แต่กำลังได้รับการพ้นโทษทั้งที่ยังไม่ได้เข้ามานอนคุก

จึงมีคำถามตามมาว่า การเขียนเนื้อหาร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษโดยไม่ต้องถูกคุมขังทำได้หรือไม่ มือกฎหมายและเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกฤษฎีกา ยอมรับว่าทำได้แต่เหมาะหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

"ทำได้นะ แต่ควรทำหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่โดยปกติที่ผ่านมาคน กำลังรับโทษอยู่จึงจะได้ชื่อว่าควรแก่การได้รับพระราชทานอภัย แต่จะเขียนให้เปลี่ยนไปจากนี้ ใจคุณถึงก็ทำไปสิ ในอดีตผมไม่เคยเห็นคนไม่ติดคุกจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ"

ถามย้ำ ถ้ายังเดินหน้าเขียนไว้ในร่าง พ.ร.ฎ.ไม่ต้องจำคุกก็ได้รับการพระราชทานอภัยโทษต่อไปจะกระทบต่อหลักนิติรัฐหรือไม่ ถึงตอนนี้วิษณุปฏิเสธที่จะตอบคำถาม "ผมไม่ตอบลงในรายละเอียด แม้จะมีความรู้สึก แต่ไม่ตอบ"

แม้วิษณุไม่ขอทำนายว่าเขา (รัฐบาล) จะกล้าตัดหลักเกณฑ์ผู้ได้รับการพระราชทานอภัยโทษไม่จำเป็นต้องถูกคุมขังหรือไม่ แต่ด้วยถ้อยความขีดเส้นใต้ตัวหนา "ใจคุณถึงก็ทำไปสิ"หากถอดรหัสออกมาก็ดูเป็นการส่งสัญญาณไปถึงสถานการณ์ทางการเมืองในอนาคตจะเป็นเช่นไร

ด่านหินกับบทเรียนในอดีต

ย้อนกลับไปดูเนื้อหาร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษที่ ครม.ไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่แหล่งข่าวระบุออกมาดังนี้ มีการกำหนดหลักเกณฑ์ของนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว คือ เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีนอกจากนั้นยังมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2553 ฉบับที่เขียนในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหา

ระบุว่า ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษ จะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติดและไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับการเข้ารับโทษ

ถ้าเป็นไปตามที่สื่อต่างๆ นำมาเสนอ เท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าข่ายได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการคุมขังแม้แต่วันเดียว ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งตรงกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม เคยทำเอกสารแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนก่อนหน้านี้

วิษณุ อธิบายว่า "ประเภทที่รับการพระราชทานอภัยโทษไม่ว่าจะเป็นประเภทยาเสพติด คอร์รัปชัน สมัยก่อนได้รับการพระราชทานอภัยโทษหมด แต่ตอนหลังมีการปราบยาเสพติดกันมาก จึงเขียนยกเว้นคดียาเสพติด ส่วนเรื่องทุจริตเท่าที่จำได้ ผมไม่เคยเห็น แปลว่าอยู่ในข่ายด้วย ที่เอาเรื่องยาเสพติดเพราะนโยบายรัฐบาลสิบปีที่ผ่านมาเน้นเรื่องยาเสพติด แต่ถ้าวันนี้นโยบายรัฐบาลจะเน้นเรื่องป้องกันทุจริต คุณอาจจะยกเว้นไว้ก็ได้"

คำอธิบายของวิษณุสอดรับกับ พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2553 ที่เขียนขึ้นในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่ไม่ต้องการให้นักโทษคดียาเสพติด นักโทษเกี่ยวกับคดีทุจริตคอร์รัปชันได้รับการพระราชทานอภัยโทษ จึงมีการเขียนคำแนบท้าย พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับการพระราชทานอภัยโทษ จะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติดและไม่เกี่ยวกับการทุจริต ทั้งยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับรับโทษ อีกนัยรัฐบาลมีนโยบายปราบปรามยาเสพติดจริงจัง และมีนโยบายต่อต้านการทุจริต จึงสกัดกันช่องทางการพระราชทานอภัยโทษไว้ด้วย

แต่ถ้ารัฐบาลชุดปัจจุบันมีการตัดเนื้อหาข้อยกเว้นของรัฐบาลยุคประชาธิปัตย์ จะทำให้ถูกมองว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายปราบปรามยาเสพติด ไม่ให้ความสำคัญกับการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันได้หรือไม่ วิษณุตอบตามหลักการว่า "ถ้านโยบายรัฐบาลไม่สนใจเรื่องอย่างนี้ จะตัดออกไปหมดก็ได้ จะยกเว้นอะไรก็ได้"

ไม่ว่าจะตัดหรือยกเว้นความผิดใดๆ ออกไปถึงกระนั้นวิษณุให้ข้อมูลเพิ่มเติม "แต่ พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษบางฉบับในอดีตเคยขอให้ยกเว้นคดีความผิดความมั่นคงต่อรัฐแต่ปรากฏว่ายังไงก็ไม่ได้พระราชทานอภัยโทษหรอกต่อให้คุณเข้าข่าย"

หรือนี่กำลังจะบอกว่า แม้จะยกร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษให้เป็นไปตามความต้องการของฝ่ายการเมืองหรือเอื้อประโยชน์ให้คนใดคนหนึ่งหรือไม่ก็ตาม แต่ทว่ายังต้องฝ่าด่านหินอีกหลายด่าน เพราะฉะนั้นความหวังจะได้รับการพระราชทานอภัยโทษอภัยโทษ อาจไม่ง่ายอย่างที่หวังก็ได้

ถามทิ้งท้ายว่า พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษจะต้องดำเนินการให้ทันวันที่ 5 ธ.ค. หรือไม่วิษณุ บอกว่า ไม่จำเป็น แต่ย้อนกลับมาวันที่ 5 ธ.ค. จะมีผลปลายเดือน ม.ค. ก็ได้

'ผมทำงานให้รัฐไม่ใช่รัฐบาล'

นับตั้งแต่ใช้ชีวิตข้าราชการมา 30 ปี ทำงานในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มายาวนาน 15 ปี กับรัฐบาล 10 ชุด นายกรัฐมนตรี7 คน วิษณุ เครืองาม ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งสุดท้ายทางราชการ นั่นก็คือ เลขาธิการครม. ตามการทาบทามของ พ.ต.ท.ทักษิณ นายกรัฐมนตรีสมัยนนั้น ให้ไปทำหน้าที่รองนายกฯดูแลงานด้านปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูปกฎหมาย เริ่มลิ้มลองรสชาติการเมืองมากขึ้น จนได้ไปขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงสังกัดพรรคไทยรักไทย ทำให้หลายคนคิดว่าจะก้าวไปเป็นนักการเมืองเต็มตัว แต่เมื่อเข้าไปคลุกวงในบรรดานักการเมือง ได้เห็นอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างทำให้รู้ตัวว่า "นี่ไม่ใช่ตัวเอง" จึงต้องถอยออกมาในที่สุดถึงกระนั้น มือกฎหมายระดับแถวหน้าเมืองไทย ยังได้รับความไว้วางใจจากวงการราชการ ภาคธุรกิจ เอกชน แต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการชุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคณะ

กรรมการกฤษฎีกา อนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) บอร์ดรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ แต่งานที่รักและอยู่ในจิตวิญญาณไปแล้ว นั่นก็คือการเป็นอาจารย์สอนหนังสือประจำสถาบันการศึกษาหลายแห่งแม้จะเว้นวรรคหน้าข่าวการเมืองไปนานแต่ระยะหลังปรากฏชื่อ ศ.ดร.วิษณุ เป็นผู้ดำเนินรายการ บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ กฎหมายหลักธรรมาภิบาล ทางหน้าจอเคเบิลทีวี ล่าสุดมีชื่ออยู่ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.)โดยมี ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน ไล่เรียงดูรายชื่ออุดมไปด้วยระดับกูรูชั้นนำของประเทศมาร่วมกันคิดอ่านวางแผนฟื้นฟูประเทศหลังจากเผชิญมหาอุทกภัยถล่มเมือง

อดไม่ได้ถามไถ่กันซึ่งหน้า เป็นอย่างไรบ้างที่ได้กลับมาร่วมงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์ วิษณุปฏิเสธทันควัน "ไม่ได้มาทำงานกับรัฐบาล แต่มาทำงานให้รัฐ"

ทันทีที่มาทำงานให้ "รัฐ" ได้ร่วมประชุม กยอ.นัดแรกไปแล้ว วิษณุ บอกว่า ไม่ได้เข้ามาเพื่อทำหน้าที่ดูแลงานกฎกหมายโดยตรง แต่ได้รับมอบหมายจากวีรพงษ์ ในเรื่องการจัดสร้างองค์กร เพราะเขามองว่า ตามระเบียบสำนัก

นายกรัฐมนตรี ตั้ง กยอ. มีอำนาจหน้าที่น้อยมาก ในขณะที่ปัญหาอุทกภัยเป็นสถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ว่าหลังน้ำลดแล้วฟื้นฟู แต่ต้องมองถึงสถานการณ์ในอนาคตด้วยว่า จะเผชิญวิกฤตที่หนักหน่วงกว่านี้อีกหรือไม่ ซึ่งเขาไม่ได้มองเฉพาะอุทกภัย แต่มองไปถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นด้วย จึงควรจะมีการตั้งเป็นองค์กรเฉพาะ มีการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) มาบังคับใช้ ซึ่งจะทำให้การบริหารงานเป็นไปด้วยความคล่องตัวในระยะยาว

"ตอนนี้มีโมเดลหลายแบบ ก็ต้องมาดูจะใช้รูปแบบต่างประเทศหรือไม่ เขาส่งมาให้เยอะจากกูเกิลนั่นแหละ" วิษณุหยอดมุขเล็กน้อยก่อนจะยกตัวอย่างรูปแบบองค์กรต่างประเทศเช่น เทนเนสซีวัลเลย์ในสหรัฐ โครงการเอ็มไพร์สเตต กรณีการลงทุนของประเทศนิวซีแลนด์ หรือบางประเทศมีการจัดตั้งบรรษัทลงทุนที่คล้ายกับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมและเขียนตัวบทกฎหมายให้อำนาจจัดการอย่างชัดเจนว่ามีอำนาจทำอะไรได้บ้าง

ไม่เพียงงานระดับชาติ งานส่วนตัวก็ไม่ใช่ย่อย ตั้งแต่เป็นรองนายกฯ ก็สร้างความฮือฮาด้วยการถ่ายทอดประสบการณ์สมัยนั่งเป็นแม่บ้านห้องประชุม ครม.ผ่านตัวหนังสือ "ครัวครม." เขย่าวงการร้านอาหาร กระทั่งเมื่อก่อนเกิดเหตุน้ำท่วม ก็เปิดตัวพ็อกเกตบุ๊กเล่มล่าสุดสะเทือนทำเนียบรัฐบาล "โลกนี้คือละคร" เป็นการบอกเล่าเบื้องหน้าเบื้องหลังการทำงานร่วมกับนักการเมืองมากหน้าหลายหน้าตา หลายต่อหลายเรื่องใน ครม. ที่ประชาชนไม่รู้ก็ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านหนังสือเล่มนี้

ตอนหนึ่งในหนังสือโลกนี้คือละคร หน้า301 วิษณุ เปิดเผยเทคนิคการให้สัมภาษณ์ว่า"การสัมภาษณ์จะมีอย่างไรก็ตาม ต้องยึดหลักว่า หากไม่อยากพูด ก็ไม่ต้องพูด แต่ถ้าพูด ควรพูดความจริง ไม่ควรกล่าวความเท็จเพราะถูกจับได้ไล่ทันจนไปกันใหญ่ ถ้าพูดความจริงหมดไม่ได้ ก็พูดเท่าที่พูดได้ ที่เหลือก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ"

เนื้อหาตอนนี้ ช่างเข้ากับสถานการณ์ที่บรรดา ครม.ต่างหาทางชิ่งหนี ปกปิดรายละเอียดร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.)พระราชทานอภัยโทษ ซึ่งถ้าจะหาทางออกเพื่อคลี่คลายความสงสัย ก็น่าจะขอยืมเทคนิคที่วิษณุเขียนไว้ในหนังสือนี้มาลองใช้ดูก็ได้

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 พฤศจิกายน 2554, 20:11:52
เจาะเหตุผล"ณรงค์"หัวขบวนฟ้องรัฐ

    20 พฤศจิกายน 2554 posttoday.com

เราต้องฟ้องเพื่อชดใช้ให้ผู้ได้รับความเสียหาย ซึ่งไม่ได้บอกว่าฟ้องใคร แต่จะฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เคยตั้งใจว่าจะฟ้องรัฐบาลหรือนายกฯ

โดย...ทีมข่าวการเมือง

มหาอุทกภัยถล่มเมืองสร้างความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินประชาชนและส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเอกชนมหาศาล แม้รัฐบาลจะยัดเยียดต้นเหตุมาจากธรรมชาติ แต่เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่

ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นหัวขบวนที่ออกมาจุดประเด็นให้ประชาชนใช้สิทธิทางกฎหมายฟ้องเรียกค่าเสียหาย เปิดทางนำไปสู่การตรวจสอบภัยพิบัติครั้งนี้เป็นเพราะการบริหารจัดการน้ำผิดพลาดหรือไม่



“ผมกำลังถูกแรงกดดันจากคนจนครับ โดยเฉพาะพี่น้องผู้ใช้แรงงานถูกปลดออกจากงานและไม่มีเงิน หรือบางคนทำงานอยู่แต่ได้รับเงินเดือนไม่เต็ม และคนจนอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ตามแถวริมคลอง บางคนออมเงินมา 10 ปี แสนบาท สร้างบ้านเล็กๆ 7-8 หมื่นบาท น้ำมาทีเดียวหายวับไปกับตา” นักวิชาการผู้ต่อสู้เรียกร้องสิทธิผู้ใช้แรงงาน เปิดเผยสาเหตุที่ลุกขึ้นมาฟ้อง

ณรงค์ บอกว่า เมื่อมีการนำเสนอข่าว ออกไปว่า ณรงค์ จะรวบรวมประชาชนฟ้อง ก็มีคนโทร.มาหา ซึ่งไม่ใช่เฉพาะผู้ใช้แรงงาน แต่มีนักธุรกิจเอกชนพันล้านที่ได้รับผลกระทบ โทร.มายืนยันว่าได้จดแจ้งความเสียหายกับสภาทนายความแล้วที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย แล้วบอกว่าขอให้เดินหน้าต่อ

ผมคิดว่าเหมือนเรือจ้าง บางทีเราไม่สามารถบอกได้ว่าคนไหนลงเรือผมได้บ้าง เมื่อทุกคนอยากจะลงเรือรับจ้างประจำทางก็ต้องไปกับเรา ทั้งคนจน นักธุรกิจ แยกไม่ได้แล้ว ถ้าคนนั้นลงเรือมาด้วยความบริสุทธิ์ใจที่ต้องการไปปลายทางกับเราก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะเขาเสียหายจริง

ณรงค์ ยอมรับว่า ไม่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมากนัก แต่มีสภาทนายความ และนักกฎหมายท่านอื่นมาร่วมด้วย ทำให้เขาเปลี่ยนบทบาทเป็นตัวประสานด้วยการลงพื้นที่รับจดแจ้งความเสียหายจากประชาชนเป็นข้อมูลให้สภาทนายความฟ้องร้อง

“เรื่องที่จะฟ้องมีอยู่ 5 กรอบ ครอบ คลุมคนจน คนรวย คือ 1.ความเสียหายที่เกิดจากชีวิตและสุขภาพ เช่น สูญหาย ทุพพลภาพ เจ็บป่วย ประสบภัย 2.ทรัพย์สินเสียหาย 3.เสียโอกาส เช่น ลูกจ้างตกงาน ขาดรายได้ 4.คนที่เป็นหนี้สินไม่สามารถผ่อนชำระได้จนถูกปรับ 5.คนที่เสียหายอันเกิดจากการกระทำหรือไม่”

เมื่อจำแนก 5 หมวดหมู่เรียบร้อยก็จะมาพิจารณาว่าเรื่องนี้ฟ้องศาลปกครอง หรือฟ้องศาลแพ่ง หรือฟ้องศาลอาญา ซึ่งการพิจารณาประเด็นไหนจะฟ้องใคร จะฟ้องศาลอะไร อยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย

ประเด็นที่นักวิชาการผู้นี้เห็นว่ารัฐบาลบริหารน้ำผิดพลาด เริ่มจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 ส.ค.

“การประชุม ครม.เมื่อ 16 ส.ค. 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รับผิดชอบติดตามสถานการณ์ประเมินเรื่องน้ำท่วม แล้วให้วิเคราะห์ดูว่าน้ำจะท่วมจังหวัดไหนอีก เมื่อส่งสัญญาณแล้วว่าน้ำจะท่วมจังหวัดไหน ก็ให้หาทางป้องกันแก้ไขด้วย นี่เป็นคำสั่งตามมติ ครม.ในวันดังกล่าว แต่ผมติดตามมติ ครม. พบว่าทั้งสองกระทรวงไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรเลย ทั้งที่นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยาน้ำท่วมแล้ว มันเลี่ยงไม่ได้เลยจะต้องเข้าปทุมธานี นนทบุรี กทม. แต่เราไม่รู้ว่าจะเข้าเมื่อไหร่”

“1 เดือน กับ 15 วัน ไม่ได้ส่งสัญญาณ หรือส่งผมก็ไม่รู้นะ แต่ผมไม่รู้เลย ผมอยู่ทวีวัฒนา ไม่รู้สัญญาณเลย มารู้อย่างเดียวว่าเขาสั่งหยุดราชการ 27 ต.ค.-31 ต.ค. แล้วบอกว่า 31 ต.ค.น้ำทรงตัว เอาอยู่ ผมยื้อเต็มที่น่ะ แต่ตื่นขึ้นมาวันที่ 1 พ.ย. น้ำท่วมเลย ไหนบอกว่าเอาอยู่ไง การส่งสัญญาณผิด หรือไม่ส่งสัญญาณเนิ่นๆ ถือว่าเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ถือว่าเข้าข้อ 5 ของสภาทนายความ”

ณรงค์ กล่าวว่า สมมติเมื่อมีการส่งสัญญาณว่าอีก 15 วันน้ำเข้า กทม. กทม.ต้องเคลียร์แล้วทั้งสิ่งกีดขวางทางน้ำต่างๆ เพื่อรองรับน้ำที่กำลังจะมา ถ้า กทม.ไม่ทำ กทม.ก็ผิด ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ควรปฏิบัติ ถูกมั้ย แบบนี้ก็ฟ้อง กทม.ได้ เพราะฉะนั้นคนที่เกี่ยวข้อง เราไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ไม่ได้บอกพรรคการเมืองไม่เกี่ยว คุณไปไล่กันเองในศาล

“เราต้องฟ้องเพื่อชดใช้ให้ผู้ได้รับความเสียหาย ซึ่งไม่ได้บอกว่าฟ้องใคร แต่จะฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เคยตั้งใจว่าจะฟ้องรัฐบาลหรือนายกฯ แต่เหตุการณ์จะไล่ไปเอง ก็ถือว่าเป็นเรื่องของศาลจะพิจารณา” ณรงค์ กล่าวย้ำ

เสียงวิจารณ์ว่า ณรงค์ เป็นฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งถ้าไม่ใช่รัฐบาลพรรคนี้บริหารประเทศ จะออกมาเป็นแถวหน้าฟ้องร้องหรือไม่ ณรงค์ตอบว่า จะคิดกันอย่างไรก็ตาม แต่ในอดีตเคยทำงานร่างนโยบายให้พรรคไทยรักไทย เคยทำงานร่วมกับนักการเมืองหลายคน และไม่เคยได้รับประโยชน์อะไรเลย แถมซ้ำยังถูกนักการเมืองเหล่านั้นฟ้องดำเนินคดีเขาอีก

“ผมไม่เคยขออะไรจากพรรคไทยรักไทย คุณไปถามเลย พวกเกรียงกมล พวกภูมิธรรม ถามหมอมิ้ง นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ เคยเรียกร้องตำแหน่งอะไรจากพรรคบ้าง ไม่มี ไม่เคยเรียกร้อง” ณรงค์ กล่าวทิ้งท้าย

ชี้ปมผิดพลาด 4 ประการ

ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์การเมือง ณรงค์ มองอุทกภัยที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาด 4 ประการ จากเชิงระบบ 3 ประการ และความผิดพลาดของการจัดการอีก 1 ประการ

ผิดพลาดเชิงระบบ คือ เรามีนักประวัติศาสตร์ นักอุทกศาสตร์ นักธรณีวิทยา มีสารพัดนักที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่รู้หรือว่า กทม.เมื่อหลายพันปีมาแล้ว กทม.อยู่ใต้ทะเล ไม่รู้หรือว่าเมื่อทะเลตื้นเขิน กทม.คือปากอ่าว คือทางน้ำลงในทะเล เมื่อเป็นทางน้ำลงจากเหนือ ปิง วัง ยม น่าน การตั้งเมืองของ กทม.ในอดีตถูกต้องแล้ว เพราะอดีตเป็นประเทศเกษตรกรรมกทม.สมัยก่อนทุกบ้านหันหน้าลงคลอง ไม่ได้หันหน้าเข้าถนน ก็ถูกต้องแล้วในอดีต ถ้าเรามีภูมิประเทศอย่างนี้ก็รู้ทันทีว่าเมื่อนครสวรรค์น้ำเข้ามาต้องผ่านพระนครศรีอยุธยา แต่เดิมคือ หนองโสน ปทุมธานี ชื่อปทุมก็เป็นบัว บัวอยู่ในน้ำ รู้อยู่แล้ว ถ้ารู้อย่างนี้ทำไมคุณจะมาทำ

ผิดพลาดข้อที่ 2 คือ นโยบายผิดพลาด ทำไมคุณมาตั้งให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมนักเศรษฐศาสตร์ทำอะไรอยู่ที่ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ แล้วคุณเคยคิดนโยบายป้องกันน้ำหรือไม่ นิคมอุตสาหกรรมไปตั้งได้อย่างไร ถ้าคุณคิดป้องกันไว้ก่อน

เปรียบเทียบกรณีเนเธอร์แลนด์สามารถสร้างเมืองในทะเลได้ เพราะรู้ว่าต้องอยู่ใต้ทะเล ต้องทำอย่างไร แต่ประเทศไทยมีนักเศรษฐศาสตร์วางแผนทางเศรษฐกิจ แต่ไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า ถ้าคุณจะอยู่กับน้ำจะทำอย่างไร ปี 2485 น้ำท่วม กทม. ต้องพายเรือไปประชุมที่สภา ก็เห็นกันอยู่ว่าน้ำท่วม กทม.ได้ แล้วไม่คิดบ้างหรือ วันนี้นักสารพัดทำไมมาตั้งนิคมอุตสาหกรรมตรงนั้น

ผิดพลาดข้อที่ 3 โลกร้อน แกนโลกเอียง น้ำแข็งถล่มทลาย พูดกันมา 10 ปีแล้วไม่ใช่หรือ กระทั่งมาถึงปีนี้ ตั้งแต่เดือน มี.ค. ใครๆ ก็รู้ว่าปีนี้เกิดอะไรขึ้น มีแต่น้ำฝน นี่ขนาดเราเป็นสามัญชนคนธรรมดา แล้วผู้เชี่ยวชาญไม่มีสำนึกนี้บ้างหรือ ไม่สะกิดใจบ้างหรือ แล้วคุณไม่ส่งสัญญาณเตือนบ้างหรือ อย่างนักเศรษฐศาสตร์ยังพูดทุกปีว่าปีนี้จีดีพีจะโตเท่าไหร่ พวกอุทกศาสตร์ไม่ยอมพูด กรมชลประทานไม่ยอมพูดหรือไง เพราะอะไร

ผมไม่ใช่ขงเบ้ง วิทยาศาสตร์มันเยี่ยมกว่าขงเบ้งอีก แล้วทำไมคุณไม่ใช้ล่ะ ถูกหรือเปล่า ความผิดพลาดของข้อมูลเป็นเรื่องธรรมชาติหรือ แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าฝนจะตกกี่เปอร์เซ็นต์ แต่คุณประมาณได้ นักเศรษฐศาสตร์ยังประมาณเลยปีนี้จะโตกี่เปอร์เซ็นต์ เอาแค่ประมาณก็พอแล้ว แค่ประมาณคนก็ตกใจแล้ว เตรียมตัวได้แล้ว ถ้าบอกว่าปีนี้น้ำจะมากขึ้น 25% คุณต้องหาทางอย่างนี้ๆ เตรียมการไว้ก่อน สามารถพูดล่วงหน้าได้เป็นปี หรือหลายเดือน ทำไมไม่พูด

ผิดพลาดข้อที่ 4 การจัดการ พอคุณลงมือจัดการกั้นลูกเดียว ข้อที่ 2 ก็ยอมรับแล้วว่าไม่อยากปล่อยน้ำเพราะกลัวน้ำท่วมนา ให้เก็บเกี่ยวก่อน ผมมีความรู้ฟิสิกส์เบื้องต้น ที่ไหนก็ตามที่น้ำสะสม มวลน้ำจะมาก คุณยิ่งกั้นไว้มวลน้ำยิ่งมาก มวลน้ำมากจะหนักมาก แรงกดดันเท่ากับมวลน้ำบวกการไหล น้ำมวลมากแต่อยู่กับที่ แรงแต่ยังไม่มากพอ น้ำไหลเร็วแต่น้อยแรงก็น้อย แต่น้ำมากและไหลแรง โห เสียหายเลยครับ นี่ฟิสิกส์เบื้องต้นนะ นักอุทกศาสตร์ไม่รู้หรือว่าถ้าคุณกั้นน้ำไว้มากๆ มวลน้ำจะหนัก และยิ่งฝนตกเรื่อยๆ และมาจากที่สูงลงจากที่ต่ำ การมีแรงโน้มถ่วงจะหนัก นี่หลักพื้นฐาน แล้วคุณไม่เตือนหรือ คนจัดการเขื่อนไม่คิดหรือ

ที่บอกว่าต้องการกั้นน้ำไม่ให้ท่วมนาก็ถูกต้อง ผมนับถือคุณธีระ (วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์) ที่กล้าพูด และคิดว่าเจตนาดีนะ เพียงแต่ผลที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหาย ถ้าคุณธีระประมาทเลินเล่อ ไม่คิดถึงตรงนี้ได้ ดังนั้นในกฎหมายประมาทเลินเล่อ ก็ถูกฟ้องได้เท่านั้นเอง ผมยอมรับคุณธีระที่แบกรับ แต่คนอื่นไม่ยอมรับ พอระบายน้ำทำไมตะวันออก คลองพระโขนงยังห่างตลิ่งเยอะเลย อุโมงค์น้ำอุตส่าห์สร้างไว้ไม่ผ่านเลย อย่างนี้ธรรมชาติหรือเปล่า หรือแม้แต่ด้านสมุทรปราการรออยู่ แต่ยังแห้ง เพราะอะไรน้ำไม่ไป ถามว่าถ้าคุณปล่อยตามธรรมชาติระบายไปหรือไม่ ตอบว่า ไป แต่ที่ไม่ธรรมชาติคืออะไร เพราะมอเตอร์เวย์ขวางอยู่ สะพานข้ามก็เสาเต็มไปหมด น้ำไม่ไหลแล้วน้ำจะไปถึงหรือ ตรงนี้ธรรมชาติหรือเปล่า



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 พฤศจิกายน 2554, 09:21:47
"มัลลิกา" ซัด "การุณ" หน้าหนาโกหกผ่านทีวี แฉเจอถีบยกพวกมาเป็นฝูง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
"มัลลิกา" สุดทน "เก่ง การุณ" โกหกป้ายสีผ่านทีวี แฉเจอถีบหันไปฟ้องบอดี้การ์ด ถลามากันเป็นฝูง ถามกลับ "ใครเกาะใครดัง?" พ้อช่อง 9 ให้การุณแก้ตัวโดยไม่มีข้อมูลของอีกฝ่าย ชี้ข้อ กม.ผู้ชายทำร้ายต้องป้องกันตัว ย้อนถามมีผู้ชายมารังแก คุณยอมเหรอ? ส่วนในยูทิวบ์พบคลิปเหตุการณ์ถีบสะท้านการเมืองดังกล่าวชื่อ “เก่ง การุณ เรียกผู้หญิงว่า อีควาย”
       
       วันที่ 20 พ.ย. น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความลงในเว็บไซต์ทวิตเตอร์ @MallikaBoon โดยกล่าวถึงกรณีที่นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพฯ เขตดอนเมือง พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์นายวุฒิธร มิลินทจินดา ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ กล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้ถูก น.ส.มัลลิกาถีบ และเมื่อนายวุฒิธรถามย้ำว่า น.ส.มัลลิกาเป็นคนบอกเอง นายการุณโต้กลับว่า “อยากดังป่ะครับ”
       
       โดย น.ส.มัลลิกาโพสต์ข้อความว่า ความจริงไม่อยากจะพูดเรื่องผู้ชายกากๆ คนนี้ แต่ไม่ชอบที่ช่อง 9 ใช้คุณวู้ดดี้ (นายวุฒิธร) แก้ตัวให้คนๆ นี้ โดยที่ไม่มีข้อมูลของอีกฝ่ายไม่ว่าคู่กรณีจะเป็นใคร ตอนที่ตนดัง เป็นผู้ประกาศ เป็นพิธีกร นายการุณยังเป็นคนขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างอยู่เลย ตนถามว่าใครเกาะใครดัง ใครอยากไปแปดเปื้อนคนอย่างนี้
       
       ตอนแรกคิดว่าการที่ไม่พูด จะเป็นการวัดใจนักเลงอย่างนายการุณว่าจะไม่ให้อายไปกว่านี้ แต่โกหกแถมใส่ร้ายคนอื่นออกทีวีหน้าหนาๆ ด่าผู้หญิงอีควาย กระดกก้นกระแทกขาผู้หญิงอย่างแรงจนเซถลา จึงเจอขาข้างขวาง้างถีบกลางหลังเต็มๆ แรงด้วยรองเท้าเบอร์ 38 จนถลาคะมำไป 3 ศอก ก็แค่ไปสะกิดว่า คุณๆ กำลังยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ดันกระแทกเสียงกลับมาว่า “ใหญ่กว่านี่กูก็ไม่สน” เอาก้นมาบังหน้าก็แค่โกรธมันนะ แต่ก้นกระแทกผู้หญิงนี่สิ ซึ่งข้อกฎหมายระบุว่า เมื่อผู้ชายทำร้ายต้องป้องกันตัว ไม่เช่นนั้นเขาอาจทำร้ายมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงถีบได้เต็มที่เต็มแรง เสียงนายการุณร้องดังอั๊ก
       
       “แหม ทีตอนโดนทำโวยวาย หันไปฟ้องบอดี้การ์ด ถลามากันเป็นฝูง ฉันน่ะปิดข่าวจะตายกลัวแกอาย แต่ไปถามแคทช่อง 7 ชีเป็นคนทวิตแถมประกาศออกช่อง 7 จำไว้ค่ะว่า เกิดมาไม่ได้อยากถีบใครไม่ว่าจะชายหรือหญิง ไม่ว่าจะไอ้เก่งหรือไอ้กากนอกจากด่า แต่ถ้ามีผู้ชายมารังแก เป็นคุณๆยอมเหรอ ถามจริง” นางสาวมัลลิกาโพสต์ข้อความปิดท้าย
       
       สำหรับเนื้อหาที่ น.ส.มัลลิกาโพสต์ในเว็บไซต์ทวิตเตอร์มีดังต่อไปนี้
       
       “1.ความจริงไม่อยากพูดเรื่องผู้ชายกากๆคนนี้ แต่ไม่ชอบที่ช่อง9ใช้คุณวู้ดดี้แก้ตัวให้คนๆนี้ โดยที่ไม่มีข้อมูลของอีกฝ่ายไม่ว่าคู่กรณีจะเป็นใคร?”
       
       “2.ตอนมัลลิกาดัง เป็นผู้ประกาศ เป็นพิธีกร ไอ่คนคนนี้ยังเป็นวินมอเตอร์ไซค์อยู่เลย ใครเกาะใครดังยะ ใครอยากไปแปดเปื้อนคนอย่างนี้?”
       
       “3.ตอนแรกคิดว่าการที่ไม่พูด จะเป็นการวัดใจนักเลงอย่างไอ่นี่ว่าจะไม่ให้อายไปกว่านี้! แต่โกหกแถมใส่ร้ายคนอื่นออกทีวีหน้าหนาๆ”
       
       “4."ด่าผู้หญิงEควาย กระดกก้นกระแทกขาผู้หญิงอย่างแรงจนเซถลา จึงเจอขาข้างขวาง้างถีบบบบกลางหลังเต็มๆแรงด้วยรองเท้าเบอร์38จนถลาหน้าคะมำไป3ศอก"”
       
       “5.ก็แค่ไปสกิดว่าคุณๆกำลังยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ดันกระแทกเสียงกลับมาว่า"ใหญ่กว่านี่กูก็ไม่สน"เอาก้นมาบังหน้าก็แค่โกรธมันนะ!แต่ก้นกระแทกผู้หญิงนี่สิ”
       
       “6.ข้อกฎหมายระบุว่า"เมื่อผู้ชายทำร้าย ต้องป้องกันตัวไม่เช่นนั้นเขาอาจทำร้ายมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงถีบได้เต็มที่เต็มแรง"เสียงไอ่นี่ร้องดังอั๊ก”
       
       “7.แหม! ทีตอนโดนทำโวยวาย หันไปฟ้องบอดี้การ์ด ถลามากันเป็นฝูง ฉันน่ะปิดข่าวจะตายกลัวแกอาย แต่ไปถามแคทช่อง7 ชีเป็นคนทวิตแถมประกาศออกช่อง7!!”
       
       “8.จำไว้ค่ะว่า เกิดมาไม่ได้อยากถีบใครไม่ว่าจะชายหรือหญิงไม่ว่าจะไอ่เก่งหรือไอ่กาก นอกจากด่า! แต่ถ้ามีผู้ชายมารังแก เป็นคุณๆยอมเหรอ?ถามจริง”
       
       อนึ่ง ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกันบนเว็บไซต์ยูทิวบ์ ได้มีผู้ใช้นามแฝง “realmkii” โพสต์วีดีโอคลิปหัวข้อ “เก่ง การุณ เรียกผู้หญิงว่า อีควาย” ความยาว 54 วินาที ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการประชุมป้องกันน้ำท่วมที่โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย 2 เขตสายไหม เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยในวีดีโอคลิปนายการุณกล่าวว่า “ใหญ่กว่านี้กูก็ไม่สน” และคำว่า “อีควายกูรู้จักมึง” ก่อนที่จะเกิดการชุลมุน
       
       จากนั้นนายการุณกล่าวว่า “เฮ้ย... บ้านี่เฮ้ย สี่อเยอะแยะ” น.ส.มัลลิกาโต้กลับไปว่า “มันเตะฉันก่อน” นายการุณโต้กลับไปว่า “ใครเตะคุณ” น.ส.มัลลิกาตอบกลับด้วยอารมณ์ว่า “ก็มันเอาก้นมาเตะฉัน” นายการุณกล่าวหัวเราะแล้วพูดว่า “เฮ้ย... ทำอะไรให้มัน...” ก่อนที่จะเดินห่างออกไป
       


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 พฤศจิกายน 2554, 09:49:16
สหรัฐฟังสำเนียงนายกฯปูไม่ออก

    posttoday.com

ประเด็น: พรฎ-อภัยโทษเอื้อทักษิณ ,

ก.ต่างประเทศสหรัฐฯแพร่คำแถลงร่วมยิ่งลักษณ์-ฮิลลารีในโอกาสเยือนไทยฟังสำเนียงอังกฤษนายกฯไม่ออก12คำ

เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่ถ้อยคำการแถลงข่าวร่วมกันระหว่างน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย และ นางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ในโอกาสที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมาที่ทำเนียบรัฐบาลไทย       

ทั้งนี้ปรากฎว่ากระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ระบุคำว่า inaudible หรือได้ยินไม่ชัด ในคำแถลงของน.ส.ยิ่งลักษณ์ถึง12คำ โดยใน2คำพูดของน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ได้ยินไม่ชัดนั้นเป็นการตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการออก พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษที่กำหนดคุณสมบัติเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ลิงก์ประกอบข่าวhttp://www.state.gov/secretary/rm/2011/11/177263.htm

 



 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 พฤศจิกายน 2554, 10:00:56
การเมืองเรากำลังถดถอย ขณะที่เพื่อนบ้านเดินหน้า

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


การเมืองไทยกำลังจะล้าหลังอย่างมาก เมื่อเพื่อนร่วมอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์ กล้าสั่งจับอดีตประธานาธิบดี ในข้อหาโกงเลือกตั้ง,


  และพม่าประกาศให้ออง ซาน ซูจี สมัครรับเลือกตั้งเพื่อเข้ามาเล่นบทประชาธิปไตยรัฐสภาอย่างคึกคัก
 ส่วนอินโดนีเซีย เขากระโดดข้ามรั้ว, ออกจากสภาพ “รัฐทหาร” มาเป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบมาหลายปีดีดักแล้ว

 แต่ “พี่ไทย” ยังเต็มไปด้วย “ศรีธนญชัย” ที่พยายามจะหาช่องว่างของกฎหมายเพื่อที่จะกระทำการต่างๆ เพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มของตน ไม่สนใจว่าผลประโยชน์ของชาติเป็นเช่นไร

 อีกทั้งคำว่า “ปรองดอง” ก็เป็นเพียงคำหาเสียงของนักการเมืองที่ขาดความจริงใจในแนวคิด และขาดความจริงจังในทางปฏิบัติโดยสิ้นเชิง

 ไทยจึงกลายเป็นประเทศที่ค่อยๆ ถูกลดอันดับในแง่ของการเป็นชาติที่มีการพัฒนาทางด้านการเมืองทั้งๆ ที่เคยอยู่แถวหน้าเพราะความไร้คุณภาพของนักการเมืองและระบบการศึกษาที่หมดสภาพ, ไม่อาจจะสร้างทัศนคติและค่านิยมแห่งความโปร่งใสและธรรมาภิบาลอย่างจริงจัง

 อดีตประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย แม้จะเคยปกครองประเทศถึงเกือบสิบปี แต่เมื่อถูกสอบสวนกรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของเธอในฐานะผู้นำประเทศเพื่อบิดเบือนผลการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อปี 2007 ให้คนที่เธอสนับสนุนได้ชัยชนะ จนคณะกรรมการเลือกตั้ง ฟ้องร้องเธอและศาลออกหมายจับเธอถึงโรงพยาบาลที่เธอรักษาตัวอยู่

 ก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีโจเซฟ เอสตราดา ก็ถูกศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาคอร์รัปชัน และอาร์โรโย ที่รับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อมาก็สั่งอภัยโทษเขาในเวลาต่อมา

 วันก่อน เธอพยายามจะเดินทางออกนอกประเทศ อ้างว่าไปรักษาตัว แต่ถูกรัฐบาลของประธานาธิบดีเบนิญโญ อคิโน ที่สาม สั่งอายัดตัว ไม่ให้ขึ้นเครื่องบิน เพราะมีคำสั่งศาลชั้นต้นสั่งระงับการเดินทาง แม้ว่าก่อนหน้านี้ศาลฎีกาจะมีคำวินิจฉัยว่าเธอมีเสรีภาพในการเดินทางแม้จะเป็นผู้ต้องหาก็ตาม

 อย่างน้อยก็แสดงว่าความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายที่ไม่ละเว้นแม้แต่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสูงสุด เพราะความเป็น “นิติรัฐ” ต้องทำให้เกิดความเสมอภาคทางกฎหมาย ไม่ว่าคุณจะเป็นชาวบ้านหรือผู้มีตำแหน่งแห่งหนใหญ่โตเพียงใดก็ตาม

 ที่พม่า, สัญญาณส่งออกมาชัดแล้วว่าเพื่อนบ้านด้านตะวันตกของเราประเทศนี้ กำลังจะออกจากยุคมืดของเผด็จการทหาร และการเลือกตั้งปีที่แล้วกำลังเปิดทางให้มีการปฏิรูปทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม

 ออง ซาน ซูจี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้กับอำนาจเถื่อนของเผด็จการบอกว่า เธอจะสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งซ่อมเพื่อจะได้มีบทบาทในรัฐสภาเพื่อร่วมกับรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี เต็งเส่ง ในการพาประเทศให้พ้นจากสภาพเป็น “คนป่วย” ที่ถูกทั้งโลกประณามว่าได้ขัดขวางประชาชนคนพม่าในการใช้สิทธิทางการเมืองของตนอย่างเสรีมาตลอด

 ประธานาธิบดีสหรัฐ โอบามา บอกที่บาหลี ว่า จะส่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน ไปพม่าในเดือนหน้า ซึ่งต้องถือว่าเป็นการบอกกล่าวกับชาวโลกว่าอเมริกา ยอมรับการเปลี่ยนแปลงไปในทางสร้างสรรค์ของรัฐบาลพม่า ถึงขั้นที่จะเปิดประตูฟื้นสัมพันธ์ทางการทูต และระงับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีมาหลายปี

 หากฮิลลารี คลินตัน ไปเยือนพม่าจริงในเดือนหน้า, ก็เท่ากับเป็นครั้งแรกใน 50 ปีที่วอชิงตันส่งคนระดับรัฐมนตรีไปเยือนประเทศที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเผด็จการที่คบหาด้วยไม่ได้มาตลอดระยะเวลาที่คนรุ่นหนุ่มสาวพึงจะจำได้ทีเดียว

 ขณะที่พม่า ฟันฝ่าอุปสรรคทางการเมืองเพื่อเดินไปข้างหน้า, คนไทยเรามองรอบๆ ตัวกลับจะเห็นแต่ร่องรอยของการถอยหลังเข้าคลองทางการเมือง เพราะนอกจากเราจะไม่สามารถสร้างความปรองดองในชาติอย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในเวทีการเมืองของเราก็ยังชี้ไปในทิศทางที่ย่ำแย่ลง และการเผชิญหน้าเพื่อจะเอาชนะคะคานทางการเมืองดูจะรุนแรงขึ้นด้วยซ้ำไป

 คงไม่ต้องให้ใครวิเคราะห์ให้เราฟัง คนไทยเองก็คงจะเห็นแจ้งประจักษ์แล้วว่า เพื่อนบ้านเราสามารถสลัดความล้าหลังและความเถื่อนถ่อยทางการเมืองได้ ขณะที่เรายิ่งวันก็ยิ่งถดถอยและเสื่อมทรามลงอย่างชัดเจน

 เพราะเราอยู่ในสถานะ “ลูกผีลูกคน” มานานจนไม่รู้ว่าจะหลุดออกไปจากสภาพนี้ได้เมื่อไหร่, และอย่างไร




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 พฤศจิกายน 2554, 22:52:27
คลายเครียด....

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd663625_2443606_4630752_380750photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd643633_9469763_6436489_9435342photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd835185_1037263_7109982_9766392photo.jpg)




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 พฤศจิกายน 2554, 23:09:29
ตร.มะเขือเทศ สนอง “เหลิม” จ่อเป่าคดีเสื้อแดงอีเมลขู่นักข่าวสาว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

ตำรวจส่อแววสนอง “เสื้อแดง” เตรียมยุติคดี นปช.ส่งอีเมลข่มขู่นักข่าวช่อง 7 อ้างถามไอซีทีแล้ว หาต้นตอคนส่งไม่ได้ ขณะราชบัณฑิตยฯ บอกข้อความ “จัดให้หน่อย” ไม่เข้าข่ายข่มขู่ สอดคล้องความเห็น “เฉลิม” เคยตีความกลางสภาทุกวลี ด้านเสื้อแดงอีกกลุ่มอ้างชื่อ “ชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย” ยื่นหนังสือผู้บริหารช่อง 7 ลงโทษ “สมจิตต์” ฐานบังอาจจี้ใจดำ ถามรองนายกฯ จนเสียมวย ผิดจรรยาบรรณสื่อ
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็นวันที่ 21 พ.ย. น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ได้รับการติดต่อจาก พ.ต.ท.อภิชาติ นาคสุข พนักงานสอบสวนในคดีที่ น.ส.สมจิตต์ แจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.พรทิพย์ ปักษานนท์ ในข้อหาข่มขู่ทำให้เกิดความกลัวจากการส่งต่ออีเมลลูกโซ่ในเครื่อข่ายคนเสื้อแดง ที่มีเนื้อหาว่า “จำหน้าหล่อนไว้นะครับ เจอหน้าที่ไหน จัดให้หน่อยนะครับ” โดย พ.ต.ท.อภิชาติ แจ้งว่า ได้ทำหนังสือไปยังกระทรวงไอซีที เพื่อให้ช่วยตรวจสอบถึงต้นตอการโพสต์ข้อความดังกล่าว แต่ทางไอซีที ตอบกลับมาว่า ไม่สามารถที่จะหาต้นตอได้ เนื่องจากต้องมีอีเมลเฮดเดอร์ มาตรวจสอบ ซึ่งหาก น.ส.สมจิตต์ ไม่สามารถที่จะให้ข้อมูลในส่วนนี้ได้ ก็จะสอบปากคำ น.ส.พรทิพย์ เพิ่มเติม แต่เท่าที่ทราบ น.ส.พรทิพย์ เป็นเพียงผู้ส่งข้อความต่อในหมู่เพื่อนของตนเองเท่านั้น จึงไม่เข้าข่ายการทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ อีกทั้งทางพนักงานสอบสวนยังได้ทำหนังสือไปยังราชบัณฑิตยสถาน เพื่อให้คำจำกัดความเกี่ยวกับคำว่า “จัดให้หน่อย” ว่า เข้าข่ายการข่มขู่ทำให้เกิดความกลัวได้หรือไม่ ซึ่งได้รับการตอบกลับมาว่า ไม่ได้เข้าข่ายให้เกิดความกลัว หรือความตกใจ ดังนั้น ในชั้นต้นนี้ หากไม่มีหลักฐานเพิ่มเติมทางพนักงานสอบสวนเห็นว่า ไม่เข้าข่ายที่จะส่งฟ้อง แต่ก็ต้องดูว่า หลังจากสรุปสำนวนส่งให้อัยการ ทางอัยการจะเห็นตรงกับพนักงานสอบสวนหรือไม่
       
       อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า คดีดังกล่าวมีการแจ้งความตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ผ่านมาเกือบ 3 เดือนแล้ว แต่พนักงานสอบสวนกลับเพิ่งแจ้งความเห็นเบื้องต้นในการสรุปสำนวนมายัง น.ส.สมจิตต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับเหตุการณ์การปะทะคารมระหว่าง น.ส.สมจิตต์ สัมภาษณ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เรื่อง การออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้งข้ออ้างที่ระบุว่า มีการยื่นให้ราชบัณฑิตยสถานให้คำจำกัดความนั้นก็สอดคล้องกับคำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่ตอบคำถามกระทู้สดในสภาว่า คำว่า “จัดให้หน่อย” ตามราชบัณฑิตยสถาน ไม่ได้หมายถึงการข่มขู่ และ น.ส.พรทิพย์ ซึ่งเป็นผู้ส่งต่ออีเมล ก็พูดชัดเจนว่า ไม่ชอบคำถามที่ น.ส.สมจิตต์ ถามต่อนายกฯ ถือเป็นสิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตยได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 ถ้าตนเป็นตำรวจลงบันทึกประจำวันจะแจ้งเลยว่า “ไม่เข้าข่ายตามที่จะส่งฟ้อง”
       
       อีกทั้งประกอบกับในวันนี้ (21 พ.ย.) ได้มีตัวแทนกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นหนังสือต่อผู้จัดการฝ่ายข่าว ช่อง 7 เพื่อให้ดำเนินการลงโทษ น.ส.สมจิตต์ โดยระบุว่า ได้ตั้งคำถามกับ ร.ต.อ.เฉลิม ในลักษณะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเลือกข้างพรรคการเมืองซึ่งถือว่าขัดต่อจริยธรรมของสื่อมวลชน
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบการเคลื่อนไหวของชมรมดังกล่าว พบว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา บุคคลกลุ่มนี้ได้เข้าร่วมกับ นายสิงห์ทอง บัวชุม อดัตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวจัดงานทำบุญวันเกิด 4 ภาคให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด 62 ปี ที่วัดแก้วฟ้า โดยในการจัดงานครั้งดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่ามีกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากในงานดังกล่าวได้นำรูปหล่อพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์มาร่วมพิธีและใช้ชื่องานว่า “62 ปี คืนคนดีกลับบ้าน บูชาคุณแผ่นดิน” โดยหลายฝ่ายเห็นว่าเป็นการมิบังควรที่นำ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปเทียบเคียงกับรูปหล่อของบูรพกษัตริย์ เนื่องจากมีการนำรูป พ.ต.ท.ทักษิณ ขนาดเท่าตัวจริงวางอยู่ตำแหน่งด้านหลังเป็นประธาน และนำรูปหล่อบูรพกษัตริย์มาตั้งบวงสรวง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 พฤศจิกายน 2554, 09:48:11
มารู้จัก พิธีกรแดง...สถานีโทรทัศน์ Thai PBS นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

ผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ทางสถานีโทรทัศน์ Thai PBS นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
เป็นชาวจังหวัดจันทบุรีโดยกำเนิด สำเร็จการศึกษาที่ ร.ร. เตรียมอุดมศึกษา พญาไท และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มอาชีพในสายงานข่าวและสิ่งพิมพ์ โดยรับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจและการเมืองในค่ายสิงพิมพ์หลายแห่ง ต่อมาในยุคฟองสบู่แตก เมื่อ พ.ศ. 2540 ได้ผันตัวเองเป็นนักเขียนและบรรณาธิการ โดยจัดทำหนังสือทางเลือกใหม่สำหรับคนหนุ่มสาว ชื่อว่า OPENBOOK (OP portunity + EN trepreneur) อยู่ร่วมยุคกับนิตยสารเด็กแนวหัวใหม่ เช่น a day ของ โหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์

นิตยสาร OPEN Positioning ตัวเองเป็นนิตยสารที่ไม่พึ่งโฆษณาและเป็นกำลังใจ ให้ความคิดไฟฝันให้กับผู้คนในยุคที่ซบเซาจากพิษเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างดีในระยะแรก แต่ก็ประสบปัญหาทางการเงินด้วยเป็นนิตยสารที่ไม่พึ่งพาโฆษณา ภิญโญแก้ปัญหานี้โดยการขอเจรจาขอรับการสนับสนุนจากค่าย GM (นิตยสารผู้ชาย ย่านดุสิต ที่ได้รับอิทธิพลมาจากนิตยสาร GQ (Gentle Quart) ของปกรณ์ พงษ์วราภา ซึ่งก็ยืนระยะมาได้ช่วงหนึ่ง แต่เมื่อถึงจุดที่หากจะพยุงให้นิตยสารดำเนินต่อไปได้ GM ก็ต้องเข้ามาควบคุมทิศทางอย่างเต็มตัว นี่จึงเป็นเหตุให้ภิญโญต้องหาวิธีอยู่รอดใหม่ โดยการทำนิตยสารออนไลน์ (ปัจจุบัน คือ onopen.com) ควบคู่ไปกับการทำหนังสือเล่ม ซึ่งก็ได้เริ่มต้นควบคู่กับการทำนิตยสารโอเพ่นในยุคแรก

สำนักพิมพ์โอเพ่นบุ๊คส์จัดพิมพ์หนังสือที่ให้แนวคิด มุมมองทางเศรษฐกิจสังคมสำหรับคนรุ่นใหม่ (นักศึกษา ปัญญาชนรุ่นใหม่) ที่มีคุณภาพมากมาย อาทิ หนังสือ October ที่เป็นการรวบรวมบทสัมภาษณ์หรือบทความคัดสรรจากนักคิดคนสำคัญทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ (ที่รวบรวมเป็น Volume ตามระยะเวลาที่เหมาะสม) ได้ไปผงาดในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย Cornell ซึ่งถือเป็นหนังสือภาษาไทยฉบับแรกที่มีโอกาสไปเผยแพร่ที่นั่น

ต่อมาเมื่อสำนักพิมพ์โอเพ่นบุ๊คส์ได้ตั้งมั่น มีชื่อเป็นที่จดจำในตลาดแล้ว ภิญโญได้มอบหมายให้เครือข่ายคนรุ่นใหม่ มาร่วมบริหารงานและผลิตผลงานให้แก่สำนักพิมพ์ “มิตรน้ำหมึก” เหล่านี้ประกอบไปด้วยนักคิด นักเขียน นักวิชาการ ศิลปิน ที่มีชื่อหลายคน เช่น ปกป้อง จันวิทย์ อภิชาติ สถิตนิรามัย (เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์) สฤณี อาชวนันทกุล วรพจน์ พันธ์พงศ์ ปราบดา หยุ่น เกษียร เตชะพีระ (รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์) นิธิ เอียวศรีวงศ์ แทนไท ประเสริฐกุล วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ (ชีวิตสัตว์ป่าในเมืองไทย) วรศักดิ์ มหัทธโนบล ไชยวัฒน์ ค้ำชู วาณิช จรุงกิจอนันต์ (เสียชีวิต) วาด ระวี สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ (TDRI) ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข (เว็บไซต์ประชาไท) วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ (สำนักพิมพ์สารคดี) เป็นอาทิ

ในปัจจุบัน สำนักพิมพ์โอเพ่นบุ๊คส์ ได้แตกไลน์ออกไปตั้งสำนักพิมพ์ย่อย OPENWORLD ที่เน้นการผลิตหนังสือด้านเศรษฐกิจ สังคม ปรัชญา ประวัติศาสตร์ การเมือง ที่มีความร่วมสมัย จนเป็นสำนักพิมพ์ที่อยู่แนวหน้าของหนังสือในแนวทางนี้ และภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ได้ก้าวสู่บทบาทใหม่ของวงการสื่อสารมวลชนในฐานะ พิธีกรในรายการสัมภาษณ์ช่วงท้ายของข่าวภาคดึกของสถานีโทรทัศน์ TPBS โดยสร้างจุดขายด้วยการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายให้หลากหลาย ไม่เลือกฝ่าย ไม่เลือกประเด็น ทั้งคนสำคัญและประชาชนคนธรรมดา ตั้งแต่ นายทักษิณ ชินวัตร นายอานันท์ ปันยารชุน นางอังคณา นีละไพจิตร นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายพิภพ ธงไชย พลตรีจำลอง ศรีเมือง นายประพันธ์ คูณมี พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน กลุ่มเคลื่อนไหวปากมูล กลุ่มเคลื่อนไหวมาบตาพุด กลุ่มสหภาพแรงงาน ส.ส.เพื่อไทย ส.ส. ประชาธิปัตย์ และนักวิชาการทุกแขนง ฯลฯ

แม้ว่าการนำเสนอแง่มุมความคิดของคนในสังคมอย่างหลากหลายไม่เลือกฝ่ายจะเป็นสิ่งดี แต่จากบางคำถามในการสัมภาษณ์ และท่าทีต่อแขกรับเชิญก็อาจบ่งบอกได้ว่า ภิญโญมีศรัทธาทางการเมืองเป็นอย่างไร ซึ่งนั่นก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของภิญโญเอง อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีก็สุ่มเสี่ยงต่อความเหมาะสมในการวางตัวของสื่อ เช่น การสัมภาษณ์ทักษิณในวันเลือกตั้ง (รวมทั้งช่อง 3 โดยกิตติ สิงหาปัด) หรือ การบินไปสัมภาษณ์ที่ดูไบเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งไม่มีฟรีทีวีเคยทำเช่นนี้มาก่อน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลมิได้ดำเนินการใด ๆ ตามกฎหมายในกรณีของทักษิณ ชินวัตร และสื่อสารมวลชนก็มิได้ชี้แนะความถูกต้องแก่ประชาชนในเรื่องความถูก – ผิด ลอยตัวอยู่เหนือความขัดแย้งใด ๆ ของสังคม ซึ่งไม่มีความหมายต่อความอยู่รอดของสื่อสารมวลชน
*-*


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทุกคน มีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28 และ29
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 พฤศจิกายน 2554, 09:52:03
นี่แหละสันดานแม้ว !!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
เกาะกระแส
       โดย...ก้อนกรวด
       
       00 การโบกมือส่งสัญญาณถอย ของ ทักษิณ ชินวัตร ทำนองว่าจะไม่ขอรับประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ ฉบับปี 2554 โดยอ้างเรื่องความ “ปรองดอง” ของคนในชาติ ฟังเผินๆก็ดูดี น้ำตาแทบไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดต่อมาที่ว่าแม้เขาจะไม่ได้รับความยุติธรรมมากว่า 5 ปีแล้วก็ตาม สำหรับคนที่ตามไม่ทันก็อาจเคลิบเคลิ้มหลงลมว่านี่คือ “โคตรเสียสละ” ประเภทที่ไม่เคยมีมนุษย์หน้าไหนเคยทำมาก่อน
       
       00 แต่ขอโทษถ้าคนอย่างเอ็งไม่ได้รับความยุติธรรม แล้วใครในประเทศนี้จะได้รับความยุติธรรมบ้างเล่า และความหมายของคำว่า “ยุติธรรม” ของเอ็งนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะถ้าอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมหลังจากถูกรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.49 ก็ต้องขอโต้แย้งว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง เนื่องจากข้อหาและความผิดของทักษิณ นั้นเกิดขึ้นก่อนการรัฐประหาร ทั้งสิ้น และที่สำคัญการพิจารณาคดีเกิดขึ้นจากศาลยุติธรรม ไม่ใช่ “ศาลเตี้ย” และที่ผ่านมาก็ได้เปิดโอกาสให้ต่อสู้คดีเต็มที่ มีทั้งจ้างทนายราคาแพง ทำแม้กระทั่ง “คิดติดสินบนศาล” แต่เมื่อไม่มีใครเล่นด้วย รู้ดีว่าต้องติดคุกแน่จึงเผ่นออกนอกประเทศ ไม่ยอมรับโทษเหมือนคนอื่น คิดจะเอาเปรียบคนอื่นตลอดเวลา คนแบบนี้นอกจากไม่สมควรให้อภัยแล้ว เจอหน้าเมื่อไหร่ต้อง “รุมกระทืบ” ให้จมดินเท่านั้น
       
       00 สาเหตุสำคัญก็คือการ “สอดไส้” ขอพระราชทานอภัยโทษ มีแต่ได้ อย่างมากแค่ “เสมอตัว” ไม่มีขาดทุน เป็นการโยนหินถามทางไปก่อน เช็กกระแสฝ่ายต่อต้านว่าเข้มแข็งแค่ไหน ขณะเดียวกันถ้าอาศัยช่วงชุลมุนผ่านไปได้ก็ผ่านไปได้เปลาะหนึ่ง เพราะคิดว่าอย่างน้อยโทษจำคุกก็จะหายไปก่อน ส่วนคดีอื่นๆทีเหลือก็ค่อยว่ากันไปภายหลัง เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด ยังไม่เริ่มแค่คาอยู่ในศาลเท่านั้น อย่างไรก็ดีเมื่อถูก “รุมด่า” มากขึ้นแบบขยายวง ก็ต้องถอยกรูดออกมาก่อน และที่สำคัญเป็นการถอยเพื่อรักษารัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ให้ “พัง”ก่อนกำหนด เพราะถ้าขืนดันทุรังเดินหน้าอีกมุมหนึ่งมันก็ได้ไม่คุ้มเสีย
       
       00 ประกอบกับสถานการณ์ในขณะนี้ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดูไม่ดีเอาเสียเลย โดยเฉพาะฝีมือในการรับมือเยียวยาปัญหาน้ำท่วมทำงาน “ห่วยแตก” ผิดความคาดหมาย ตั้งแต่ตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ ไล่ลงมาจนถึงบรรดารัฐมนตรีแต่ละคนทำงานไม่เอาอ่าว มีแต่ “ราคาคุย” ทำงานจริงไม่ได้เรื่องสักคน ดังนั้นถ้ายังขืนเดินหน้าชาวบ้านก็จะยิ่งหงุดหงิด ไม่เป็นผลดีแน่นอน
       
       00 มองในแง่ดีก็ต้องบอกว่าคำแถลงถอยของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะเจ้าของเรื่องโดยตรง โดยให้ยึดตามร่างเดิมในยุครัฐบาล ปชป.ปี 2553 ที่ยังพ่วงข้อห้ามคดียาเสพติดและคดีคอรัปชั่น รวมไปถึงคำยืนยันว่า “ต้องติดคุกก่อน” มันก็เหมือนสัญญาประชาคมถ้าผิดไปจากนี้ก็ต้องเจอสหบาทาแน่ อย่างไรก็สิ่งที่ต้องจับตาอย่างไม่กระพริบก็คือ การแก้ไข รธน.เพื่อลบล้างความผิดของ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมด ที่คาดว่าจะเริ่มในปลายปีหรือต้นปีหน้า กรณีนี้น่าจะเป็นความหวังสูงสุด โดยอาศัยเสียงในสภา แต่ถ้ารัฐบาลน้องสาวยัง “โชว์โง่” อยู่ไม่เลิกมันก็เหนื่อยเหมือนกัน !!
       
       00 คดีโจรปล้นบ้านอดีตปลัดกระทรวงคมนาคม สุพจน์ ทรัพย์ล้อม ได้เงินไปหลายล้านบาท ซึ่งตัวเลขยังสับสนว่าเป็นเท่าใดกันแน่ บางข่าวบอกว่ามีถึงสองร้อยล้าน หรือตามข่าวที่หนึ่งในโจรบอกว่ามีเงินสดเก็บเอาไว้อีกเป็นพันล้านบาท มันไม่ธรรมดาอยู่แล้ว อีกทั้งเมื่อดูการทำงานของตำรวจยัง “ปิดบัง” อะไรชอบกล มันก็ยิ่งทำให้ชวนให้อยากรู้ไปกันใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อความชัดเจนน่าจะใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ร่วมด้วย เช่น การพิสูจน์ลายมือบนธนบัตรด้วย บางทีอาจได้เบาะแสเชื่อมโยงไปถึงคนที่นำมามอบให้ด้วย หากเป็นเงินไม่สุจริต !!


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 พฤศจิกายน 2554, 14:46:28
แอบฟัง 2 สามีภรรยาคุยกัน หลังจากกลับจากเมืองไทย

Bill: How's the situation in Thaiand?
สถานการณ์ที่เมืองไทยเป็นอย่างไรบ้าง
Hillary: Regretful.
น่าเสียดาย
Bill: Flooding?
น้ำท่วมหน่ะหรือ
Hillary: Nope. The Prime Minister!
เปล่า นายกรัฐมนตรี
Bill: Why?
ทำไม
Hillary: I wished she should have replaced Monica.
อยากให้หล่อนมาแทนที่ มอนีก้า ( สาวฝึกงานที่ทำเนียบขาว แ้ล้วออกมาปูดว่ามีอะไรกับ บิล คลินตัน)
Bill: Don't get it. 
ไม่เข้าใจ
Hillary: She wouldn't be talkative. Eventhough if she talked, nobody would understand anything!
หล่อนจะได้ไม่ปากโป้ง หรือถ้าพูดก็ไม่มีใครเข้าใจอะไร


 emo20:)):) emo20:)):) emo20:)):) emo20:)):) emo20:)):)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 พฤศจิกายน 2554, 14:50:21
เป็นคนไทย พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ไม่มีใครว่าโง่

เป็นนายกฯ พูดไทยด้วยสมองตัวเอง แล้วใช้ล่ามแปล ไม่มีใครว่าโง่

เติ้งเสี่ยวผิง พูดได้ทั้งฝรั่งเศส และอังกฤษ เจรจากับผู้นำอเมริกาท่านพูดภาษาจีนให้ล่ามแปลให้ฝรั่งฟัง
อเมริกาเสนอเงื่อนไขอะไรมา ท่านพูดภาษาอังกฤษคำเดียว "NO"

แต่ "โง่" แล้วแอ็คอาร์ต พูดผิด อ่านผิดซ้ำซาก คนไทยอายที่มีผู้นำประเทศ "NANO BRAIN"
(คำนี้ขออนุญาตนำมาจากความคิดเห็นที่ ๒๑ ศัพท์คำนี้ยอดเยี่ยม ทันสมัยมาก คิดได้ไง)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 11:33:00
วิพากษ์!ภาษา'ยิ่งลักษณ์ กับความเป็นผู้นำ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วิพากษ์'ภาษา-ภาวะผู้นำ'ยิ่งลักษณ์'ด้อยทั้งอังกฤษและภาษาไทย'สมเกียรติ'ย้ำใช้ภาษาไทยเจรจาตปท.ด้าน'ชาญวิทย์'มองผิดพลาดเรื่องปกติ

 รายการคมชัดลึก ทางเนชั่นแชลแนล เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ได้เสวนาในหัวข้อ"ภาษา ภาวะผู้นำ...นายกฯ(หญิง)ยิ่งลักษณ์" นายสมเกียรติ อ่อนวิมล อดีตวุฒิสมาชิก และนักวิชาการสื่อสารมวลชน กล่าวว่า ภาษาอังกฤษของน.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้การไม่ได้อย่างฉะฉาน เหมือนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นอกจากนั้นการใช้ภาษาไทยควบกล้ำ ตะกุกตะกัก ผิดแล้วไม่แก้ บางอย่างไม่ควรผิด


 "ในส่วนภาษาไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพราะเป็นผู้นำต้องเป็นแบบอย่าง หากเป็นภาษาอังกฤษ ใช้การไม่ได้ไม่ว่ากัน แต่อย่าใช้เมื่อไม่พร้อม ควรใช้ภาษาไทยและใช้ล่ามแปลเอาจะเป็นการดีทั้งยังเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรม ปัญหาคือ เมื่อใช้ภาษาอังกฤษไม่ถูกต้อง โครงสร้างผิด ในทางนโยบายต่างประเทศจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ "

 นายสมเกียรติ กล่าวว่าในการกล่าวสุนทรพจน์ควรจะกล่าวเป็นภาษาไทย เมื่อเป็นนักการเมือง นักสื่อสารการเมือง ต้องสื่อสารให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง ให้ความรู้ ให้สังคมได้รับข้อมูลข่าวสารเพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ภาษาอังกฤษในขณะนี้ เพราะการสื่อสารเป็นการแสดงออกซึ่งภาษาในการพูด อาเซียนด้วยกันประกาศให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทำงานของอาเซียน ดังนั้นในอาเซียน ผู้นำต้องพูดภาษาอังกฤษได้ ผู้เป็นนายกฯควรจะคัดเลือกคนที่ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ ทุกพรรคการเมืองถ้ามีโอกาสให้เลือกใหม่ เพราะภาษาทำให้เข้าถึงความรู้ วัฒนธรรมใหม่

 "การที่นายกฯไม่ปรากฏตัวทางโทรทัศน์เป็นสิ่งดี อยากให้คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯของผมด้วย การร้องไห้ของคุณยิ่งลักษณ์ผมชอบมาก หัวใจจะร้องไห้ก็ร้อง จะสงสารประชาชนก็ร้อง จะร้องกี่ครั้งก็ไม่ว่า และไม่ถือเป็นการแสดงความอ่อนแอ แต่อย่าร้องที่เวทีอาเซียน เวลาที่คุณทักษิณทวิตมาผมรู้สึกหงุดหงิด จะไปทำบุญวัดไหนก็ไปไม่ต้องมาทวิตบอก เพราะอยากให้คุณยิ่งลักษณ์ทำหน้าที่ของตัวเอง ผมอยากเห็นคุณยิ่งลักษณ์ทำงานด้วยหัวใจ เป็นตัวของตัวเองให้เต็มที่" ดร.สมเกียรติ กล่าวและว่า ส่วนเรื่องการเมือง เรื่องน้ำ ตนคงเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ยกเว้นเรื่องที่ติดขัดเช่นภาษาไทย

นายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส นสพ.เดอะเนชั่น กล่าวว่า การอ่านภาษาอังกฤษของน.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ในลักษณะที่คาบเกี่ยว จะเห็นได้จากการอ่านสุนทรพจน์ต่อนางฮิลลารี คลินตัน จะเห็นได้ว่ากระทรวงต่างประเทศสหรัฐได้โน๊ตคำมา 12 คำที่ไม่ค่อยได้ยิน ไม่สามารถถอดความได้ ทั้งที่นายกฯอ่านจากสคริป ตนเห็นว่ากระทรวงต่างประเทศไทยควรจะให้คำแนะนำว่าตัวนายกฯเหมาะหรือไม่ที่จะอ่านเป็นภาษาอังกฤษ หากใช้ได้ไม่ดีพอก็ควรใช้ล่าม และในต่างประเทศก็มีการใช้ล่ามเช่นกัน ถ้าพูดไม่ดีผิดเยอะๆ แทนที่จะเป็นการอวด อาจจะกลายเป็นการประจานตัวเอง

เขาเห็นด้วยว่าหน้าที่ของนายกฯคือ การสื่อสารกับสาธาณะให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นความผิดพลาดของกระทรวงต่างประเทศ และนายกฯ ที่จะต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ว่าในการกล่าวสุนทรพจน์ควรกล่าวเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าเมืองไทยมีการทุ่มทรัพยากรมหาศาลในการเรียนภาษาอังกฤษ จึงต้องกลับมาดูว่าสถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไป ต้องการคนที่มีทักษะภาษาอื่นๆมากกว่า อย่างไรก็ตาม อยากให้เวลานายกฯอีก 3-4 เดือน ไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ตัวคุณยิ่งลักษณ์มีเวลาเตรียมตัวน้อยกว่านายกฯท่านอื่นๆ แต่ยอมรับว่าประเทศไม่ใช่ที่ฝึกงาน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 11:35:44
'ยิ่งลักษณ์'โวยข่าวพ.ร.ฎ.อภัยโทษรั่ว

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


"ยิ่งลักษณ์"โวยประชุมลับ ไม่ลับจริง หลังข่าวพ.ร.ฎ.อภัยโทษรั่ว ขณะที่"วรรณรัตน์-ศิริวัฒน์"รีบแจงไม่ใช่คนปล่อยข่าว

ทำเนียบรัฐบาล  - ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (22 พ.ย.)  ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ขอความร่วมมือกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลการประชุม โดยเฉพาะในส่วนของวาระการประชุมลับ หลังจากที่กรณี การพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ) พระราชทานอภัยโทษ...2554 ซึ่งเป็นวาระจร และเป็นการประชุมลับ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ถูกเปิดเผยและทำให้รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าการกระทำดังกล่าว รัฐบาลต้องการเอื้อประโยชน์ให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความเคลื่อนไหวกดดันจากหลายกลุ่ม
 
ภายหลังที่นายกรัฐมนตรีกล่าวจบนั้น นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม และนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์ ที่มีชื่อเป็น 2 ใน 4 รัฐมนตรี ที่เปิดเผยข้อมูลการประชุมลับดังกล่าวให้กับนักข่าว ได้ยกมือขอชี้แจงต่อที่ประชุมทันที

ทั้งนพ.วรรณรัตน์ และนายศิริวัฒน์ ได้กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นคนให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนตามที่ปรากฏเป็นข่าวแต่อย่างใด  อย่างไรก็ตามในวันนี้ ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยูบำรุง ที่ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมครั้งก่อน และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ซึ่งเป็นเจ้าของเรื่อง ไม่ได้แสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 11:51:13
มา ครับ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 12:57:33
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 23 พฤศจิกายน 2554, 11:51:13
มา ครับ
มาก็ดีแล้ว..ดีกว่าไม่มา...งั้นขอต้อนรับ...OVERCOME...จาก ปูเน่า


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 13:00:26
ผ่าแนวคิด "ทางด่วนระบายน้ำ" เตือนย้ายเมืองหลวงถือว่า "โง่"

โดย : ไพศาล เสาเกลียว, ปกรณ์ พึ่งเนตร

   
    คุยกับนักวิชาการจากจุฬาฯ เจ้าของไอเดีย "ทางด่วนพิเศษระบายน้ำท่วม" พร้อมด้วยมาตรการอื่นๆ รวม 11 มาตรการ
สานฝัน "นิว ไทยแลนด์" ของจริง


แม้น้ำทุ่งยังท่วมอยู่ในหลายท้องที่ของกรุงเทพฯ แต่รัฐบาลกลับแสดงท่าทีประหนึ่งว่าน้ำลดหมดแล้ว ด้วยการเดินหน้าฟื้นฟูเยียวยา และสร้างฝัน "นิว ไทยแลนด์" กันอย่างครื้นเครง ไอเดียทั้งที่คิดเองและคนอื่นคิดให้ทะลักทลายเพื่อเรียกความเชื่อมั่นที่หดหายให้กลับคืน

พลิกดูข้อเสนออันหลากหลาย มีข้อเสนอหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือ "11 แนวทางแก้ไขน้ำท่วมแบบบูรณาการหลายมิติ" ของ ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเคยมีปรากฏทางสื่อแบบแว้บๆ แต่ก็เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย โดยเฉพาะ "ระบบทางด่วนพิเศษระบายน้ำท่วม" หรือ super-express floodway

"กรุงเทพธุรกิจ" จึงเปิดพื้นที่เพื่อนำเสนอรายละเอียดแบบเต็มๆ กันอีกครั้ง

ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาภัยพิบัติต้องมองความจริงที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ด้วย อย่างกรุงเทพฯนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นที่ราบน้ำท่วมถึง หรือ flood plain ขนาดใหญ่ เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีลุ่มน้ำย่อยอีกถึง 8 ลุ่มน้ำ ฉะนั้นการจัดการปัญหาต้องมององค์รวมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ไม่ใช่มองแบบแยกส่วนเหมือนปัจจุบัน

"เมื่อสิบกว่าปีก่อนเราเตรียมทุ่งตะวันออก (เขตมีนบุรี หนองจอก คลองสามวา และลาดกระบัง) เอาไว้สำหรับเป็นทางผันน้ำหลาก หรือฟลัดเวย์ ซึ่งก็ทำหน้าที่ได้ดี เพราะมีแค่ถนนบางนา-ตราดขวางอยู่ แต่ปัจจุบันพื้นที่ตรงนั้นกลายเป็นคอขวดหมดแล้ว กระทั่งไม่สามารถดึงน้ำลงทะเลได้สะดวก เพราะมีการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ สร้างมอเตอร์เวย์ และมีชุมชนขวางทางน้ำอีกมากมาย ฉะนั้นจึงต้องหาฟลัดเวย์ใหม่"

ศ.ดร.ธนวัฒน์ ขยายความว่า ทางผันน้ำหลากที่เขาเสนอนั้น เป็นทางด่วนพิเศษ (super-express floodway) ใช้คลองธรรมชาติเข้าช่วย โดยจะไม่ขุดคลองเพิ่ม และใช้คลองชัยนาท-ป่าสักดึงน้ำลงเขื่อนพระรามหก เพื่อให้ไหลลงคลองระพีพัฒน์ จากนั้นก็ผันให้ไหลต่อไปยังคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต และลงสู่คลองด่าน

"จุดสำคัญคือรอบแนวคลองที่ระบุไว้ทั้งหมดจะขอเวนคืนเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ของคนที่อาศัยอยู่ริมคลอง แล้วให้ย้ายออกห่างคลองประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน สามารถเพาะปลูกข้าวได้อย่างเดียว โดยจะให้ปลูกปีละ 2 ครั้ง เมื่อเวนคืนและจ่ายค่าชดเชยเสร็จสิ้น ก็จะสร้างถนนริมคลอง โดยยกถนนให้สูง 6 เมตร กว้าง 3 เมตรทั้ง 2 ข้างคลอง เราก็จะได้ถนนมอเตอร์เวย์เส้นใหม่ที่สามารถเดินทางจากคลองด่านไปภาคอีสานและภาคเหนือได้ในหน้าแล้ง ส่วนหน้าน้ำก็จะทำหน้าที่ผันน้ำลงทะเล และพื้นที่รอบคลองในอนาคตอาจเป็นผืนนาที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลาง"

หัวหน้าหน่วยศึกษาภัยพิบัติ จุฬาฯ อธิบายต่อว่า ทางด่วนพิเศษระบายน้ำที่สร้างขึ้นนี้จะมีหน้าที่ 2 แบบ คือ 1.เป็นแก้มลิงธรรมชาติ สามารถบรรจุน้ำได้ 1,600 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 2.เป็นตัวผันน้ำ โดยสามารถผันน้ำลงทะเลได้ 6,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที วันละ 500 ล้านลูกบาศก์เมตร ฉะนั้นฟลัดเวย์จึงสามารถทำได้ทั้งผันน้ำในหน้าน้ำ และเก็บกักน้ำในฤดูแล้ง

"หากระบบนี้เสร็จเรียบร้อย โรงงานหรือนิคมอุตสาหกรรมที่ว่าจะต้องย้ายฐานการผลิตเพราะน้ำท่วมก็ไม่ต้องย้าย ยังคงอยู่ที่เดิมได้ เพียงแต่ไม่ให้มีการสร้างโรงงานเพิ่มอีก" ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าว

อีกเรื่องหนึ่งที่นักวิชาการผู้นี้เสนอเอาไว้เป็นหนึ่งใน 11 แนวทางแก้ไขน้ำท่วมแบบบูรณาการหลายมิติ ก็คือเรื่อง "เมืองบริวาร" โดยเขาบอกว่า ควรวางแผนพัฒนากรุงเทพฯและเมืองบริวารอย่างเป็นระบบ เพราะหากยังปล่อยให้กรุงเทพฯโตขึ้นเหมือนปัจจุบัน อีก 50 ปีข้างหน้าทุ่งรับน้ำที่เหลืออยู่จะกลายเป็นพื้นที่เมืองทั้งหมด หากน้ำท่วมใหญ่อีกจะเกิดความเสียหายหนักกว่าวันนี้ ดังนั้นต้องคุมไม่ให้มีการขยายเมืองเพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต โดยขีดเส้นไม่ให้กรุงเทพฯโตขึ้น และหาทางออกอื่นให้

"ถ้าย้ายเมืองหลวงถือว่าโง่ เพราะเราลงทุนสร้างมากว่า 200 ปี แค่น้ำท่วมครั้งเดียวก็ใจเสาะหนี ผมจึงมีแนวคิดว่าเราควรขยายเมืองในต่างจังหวัดเพื่อรองรับการเติบโตของกรุงเทพฯ เช่น จ.ราชบุรี สุพรรณบุรี สระบุรี และฉะเชิงเทรา โดยให้เป็นเมืองหน้าด่าน จากนั้นก็สร้างทางด่วนหรือรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมกับกรุงเทพฯ เพื่อให้สามารถเดินทางไปกลับได้ภายใน 1 ชั่วโมง"

ส่วนมาตรการอื่นๆ ที่เสนอใน 11 แนวทาง ได้แก่

- วางแผนแม่บทควบคุมการป้องกันน้ำท่วมโดยใช้สิ่งก่อสร้างในลุ่มน้ำต่างๆ ปรับปรุงระบบระบายน้ำท่วมให้มีประสิทธิภาพทั้งระบบ เช่น ขยายประตูน้ำให้สอดคล้องกับขนาดคลอง วางระบบการดูแลคูคลองและขุดลอกสม่ำเสมอ ควบคุมการสร้างระบบถนนในอนาคตที่ปิดกันทางน้ำท่วมไหลหลาก

- ปรับปรุงระบบเตือนพิบัติภัยล่วงหน้าและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำใหม่ทั้งระบบ

- มาตรการจัดเก็บภาษีน้ำท่วมและการประกันภัยเพื่อกองทุนชดเชยน้ำท่วม แบ่งเป็น ภาษีน้ำท่วมโดยตรงจากพื้นที่ที่มีระบบปิดล้อมป้องกันน้ำท่วม กับ ภาษีน้ำท่วมทางอ้อม เพื่อปกป้องพื้นที่แก้มลิงธรรมชาติ โดยเก็บภาษีสิ่งปลูกสร้างในอัตราสูงมาก

- มาตรการควบคุมการใช้ที่ดินและผังเมืองโดยใช้แผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม

- มาตรการควบคุมการใช้น้ำบาดาลเพื่อลดปัญหาแผ่นดินทรุด ช่วยให้การระบายน้ำดีขึ้น

- มาตรการจัดทำแผ่นแม่บทกำหนดระยะเวลาการเพาะปลูกในลุ่มน้ำท่วมอย่างเป็นระบบให้สอดคล้องกับการแปรปรวนและผกผันของภูมิอากาศในอนาคต เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดกับภาคเกษตรกรรมและการผลิตอาหารของประเทศทั้งระบบ

- มาตรการอนุรักษ์และเพิ่มพื้นที่แก้มลิง ปกป้องพื้นที่แก้มลิงธรรมชาติให้สอดคล้องกับวิถีชุมชน ควบคุมระดับการถมที่ดินทั้งระบบและควบคุมการสร้างถนนในพื้นที่แก้มลิง

- ควรเร่งพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการพิบัติภัยทั้งระบบและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการจัดการพิบัติภัยของภาครัฐ

- ควรจัดตั้งหน่วยงานดูแลเรื่องพิบัติภัยและส่งเสริมงานวิจัยทั้งระบบอย่างจริงจังเพื่อลดพิบัติภัยด้วยองค์ความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่

ทั้งหมดนี้คือข้อเสนอแก้ไขน้ำท่วมแบบยั่งยืนที่มีฐานทางวิชาการรองรับ ซึ่งไม่ได้จำกัดมุมคิดเฉพาะการสร้างเขื่อนหรือวางระบบปกป้องซึ่งต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลเท่านั้น

แต่สุดท้ายก็ต้องขึ้นกับรัฐบาลว่าจะตัดสินใจอย่างไร หรือจะปล่อยให้ประเทศเผชิญชะตากรรมต่อไป

 

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 17:42:40
                                         ทำเวปต์หมิ่น

                              โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd838626_5299575_397849_6574533photo.jpg)

มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกปชป.นำภาพนายณัฐวุฒิ ด้วงนิล คณะทำงานสื่อออนไลน์น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซี
                   ทีเคยถูกจับกุมเวปไซต์หมิ่นสถาบัน




หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 17:51:17

คลิปนาที "การุณ" เจอ "มัลลิกา" ถีบว่อนยูทูบ ชาวเน็ตร่วมแสดงความเห็นอื้อ

เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ผู้ใช้นามแฝง "realmkii" ได้โพสต์คลิปวิดีโอขึ้นเว็บไซต์ยูทูบ โดยระบุว่าเป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ถีบ นายการุณ โหสกุล ส.ส.เขตดอนเมือง พรรคเพื่อไทย หลังการประชุมป้องกันน้ำท่วมที่โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย 2 เขตสายไหม โดยคลิปดังกล่าวได้มีผู้สนใจเข้ามาแสดงความคิดเห็นและส่งต่ออย่างกว้างขวาง ซึ่งคลิปดังกล่าวมียอดผู้ชมเกือบ 30,000ครั้งในเวลาเพียง 1 วัน

                     คลิ๊กเลยครับ       http://goo.gl/ofpJJ
                          จบแล้ว ให้ดูต่อในคลิปเดียวกัน  คลิปล้อ ปูเน่า OVERCOM นางฮิลาลี่..ฮา สุดๆๆ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 22:16:17
 Subject: FW: ไม่ไหวแล้วโว้ย 

        From OKNATION:

         

        นับวันฉันยิ่งไม่แน่ใจ

        ว่านี่คือประเทศไทยของฉัน

        ปกครองด้วยระบอบใดกัน

        คล้ายระบอบแดกดันอธิปไตย

         

        มีนารีขี่อะไรก็ไม่รู้

        มานำเป็นแม่ปูดูเฉไฉ

        เดินลดเลี้ยวเคี้ยวคดตามสั่งใคร

        แถมพูดภาษาไทยไม่แข็งแรง

         

        “พฤศจิกาคม” เดือนใหม่เธอจำแนก

        “หญ้าแฝก”เป็น”หญ้าแพรก”ยิ่งแปลกแปร่ง

        “สระแก้ว”เป็น”สระบุรี “ ชีพลิกแพลง

        ไปเมืองสิงห์ก็ยังแสร้งเรียกสระบุรี

         

        จะเบลอเบลอเฟอะฟะไปถึงไหน

        ก็มีโพยอยู่ร่ำไปใช่ไหมนี่

        พูดผิดลิ้นพันกันทุกที

        จะโพยมีไม่มีก็เหมือนกัน

         

        แถลงร่างงบประมาณต่อรัฐสภา

        ยังอ่านโพยต่อหน้าให้ขำขัน

        หน่วยสิบร้อยพันพัลวัน

        หมื่นก่อนแสน จึงเฮลั่นกันทั้งสภา

         

        “ห้าหมื่นสามแสนเก้าร้อยสิบแปดล้านบาท”

        คำแถลงผิดพลาดขายขี้หน้า

        จะบันทึกกันอย่างไรในรัฐสภา

        งบประมาณจะพิจารณากันอย่างไร

         

        มีผู้นำเฟอะฟะประมาณนี้

        เป็นนารีขี่ปู ดูเฉไฉ

        เดินลดเลี้ยวเคี้ยวคดตามสั่งใคร

        ขายขี้หน้าประเทศไทย  ไม่ไหวแล้วโว้ย `!

        ว.แหวนลงยา

     


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: หนุน'21 ที่ 25 พฤศจิกายน 2554, 15:35:54
สว่นชาวประชาก็เป็น...
ศ.ศาลา  เงียบเหงา กันต่อไป
หึ หึ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 พฤศจิกายน 2554, 20:51:49
from tsenami in japan
>

> เมื่อคืนนี้ ผมถูกส่งไปที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง
> เพื่อช่วยหน่วยงานอาสาสมัครในการแจกจ่ายอาหารให้กับผู้ประสบภัยพิบัติ
>
> ในหมู่ผู้ที่เข้าคิวยาวรออยู่นั้น ผมสังเกตุเห็นเด็กชายอายุประมาณ 9
> ขวบคนหนึ่ง ซึ่งใส่เพียงเสื้อคอกลมและกางเกงขาสั้น.
> อากาศขณะนั้นหนาวเย็นมาก และเขากำลังยืนคอยอยู่ตอนท้ายแถว
> ผมเป็นห่วงว่าอาจจะไม่มีอาหารหลงเหลือพอ เมื่อถึงคิวของเขา
> ผมจึงเดินไปเพื่อคุยกับเขา
>
> เขาเล่าให้ผมฟังว่า แผ่นดินไหวและสึนามิเกิดขึ้นขณะที่เขาอยู่ที่โรงเรียน
> ในชั่วโมงพละศึกษา.
> พ่อของเขาซึ่งทำงานอยู่ใกล้ๆกันมาหาเขาที่โรงเรียน
> เขามองเห็นคุณพ่อและรถของเขาถูกน้ำพัดหายไป จากระเบียงบนชั้นสามของโรงเรียน
> คุณพ่อของเขาคงเสียชีวิตไปแล้ว
>
> เมื่อผมถามเขาถึงคุณแม่ เขาบอกผมว่า ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ริมทะเล
> ดังนั้นคุณแม่และน้องชายของเขาคงไม่สามารถหลบหนีได้ทัน
> เขาหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง เพื่อเช็ดน้ำตาเมื่อถูกถามถึงญาติๆของเขา
>
> ผมเห็นว่าเขาคงหนาวอยู่ จึงถอดเสื้อโค๊ทตำรวจแล้วคลุมร่างเขาไว้
> ขณะเดียวกับที่ อาหารมื้อเย็นที่เหลือซึ่งซุกอยู่ในกระเป๋าก็หล่นออกมา
> ผมหยิบมันขึ้นมา แล้วส่งให้เขาพร้อมบอกเขาไปว่า "น้าเป็นห่วงว่า
> อาจจะไม่มีอาหารเหลือถึงคิวของเธออีก นี่เป็นส่วนของน้า
> น้ากินไปแล้วหน่อยหนึ่ง เธอกินส่วนที่เหลือให้หมดเถอะ"
> เด็กน้อยยื่นมือมารับอาหาร แล้วค้อมตัวลงกล่าวคำขอบคุณ
> ผมคิดว่าเขาคงรีบกินด้วยความหิวในทันที แต่ .. เปล่าเลย
> เขาถืออาหารชิ้นนั้น แล้วเดินตรงไปยังหัวแถว ที่ซึ่งมีคนคอยแจกอาหารอยู่
> แล้ววางอาหารที่ผมให้กับเขาลงไปในกล่องของอาหารที่กำลังได้รับการแจกจ่าย
> แล้วเขาก็เดินกลับ มาเข้าแถวในคิวของเขา
>
> ผมประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงถามเขาว่าทำไมเขาไม่กินอาหารที่ผมให้เสียละ
>
> เขาตอบผมว่า "เพราะมีคนอีกมาก ที่อาจจะหิวยิ่งกว่าผม ผมวางไว้ที่นั่น
> ก็เพื่ออาหารจะได้รับการแจกจ่ายอย่างเป็นธรรมให้กับทุกคน"
> เมื่อผมได้ฟังคำตอบ ผมต้องหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อร้องไห้
> โดยที่คนอื่นๆจะได้มองไม่เห็น
>
> ผมรู้สึกตื้นตันใจ ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กชายอายุ 9 ขวบ
> ซึ่งยังเรียนอยู่เพียงชั้นประถมปีที่ 3 จะสามารถสอนบทเรียนล้ำค่าแก่ผม
> ในเวลาคับขันเช่นนี้
> มันเป็นบทเรียนแสนสะเทือนใจของความเสียสละ
> ประเทศใด ที่มีเด็กๆอายุเพียง 9 ปี ซึ่งเรียนรู้ที่จะอดทน
> ที่จะทนกับความยากลำบาก และเสียสละเพื่อผู้อื่นได้
> ต้องเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ประเทศหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
>
> แม้ประเทศนี้กำลังอยู่ในสภาวะที่คับขันที่สุด
> แต่ประเทศนี้ต้องสามารถฟื้นคืนกลับมาได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแน่นอน
> ทั้งนี้ด้วยเพราะประชาชนผู้รู้ที่จะเสียสละตัวเองให้กับผู้อื่น
> ดังเช่นเด็กชายน้อยๆผู้นี้
>
>
> ต้นฉบับ ตามนี้ครับ
>
>
> Last night I was sent to a primary school, in order to assist the
> autonomous association there distributing food to the victims. Among
> the long waiting queue, I noticed a boy at around 9 year-old, wearing
> only a T-shirt and a pair of shorts. The weather was really cold and
> he was standing at the end of the line. I was afraid that there might
> not be any food left when his turn came, thus I came over to talk to
> him.
>
> He told me that the earthquake and tsunami came when he was at school,
> in his physical education class. His father, who worked nearby, came
> to the school. From the balcony on the 3rd floor of the school, he saw
> his father and the car being swept away by the water. His father had
> most likely died.
>
> As I asked where his mom was, he told me that since his family lived
> close to the ocean, his mom and brother must have not escaped in time.
> He quickly turned to wipe away his tears when being asked about his
> relatives.
>
> Seeing that he was cold, I took off my police coat and covered him up
> with it. Inadvertently, my dinner portion felt out of the pocket. I
> picked it up, gave it to him, and said: "I'm afraid there'd be no food
> left when it's your turn. Here is mine. I already ate. You go ahead
> and have it" The little boy received the food, bending over to thank.
> I was thinking he would start eating voraciously at that moment, but
> no. He carried it and went straight to the front of the line, where
> the people are handing out food, put what I gave him into the box of
> food that was being distributed, then turned back to the queue.
>
> Extremely surprised, I asked why he didn't eat it instead. He
> answered: " Because there are more people who probably are hungrier
> than me. I put it in there so they could fairly distribute it to
> everyone"
>
> After hearing his answer, I turned away to cry so people couldn't see
> it. I was moved. I can't believe that a 9 year-old little boy, who was
> only in the 3rd grade, could teach me such a lesson in this difficult
> moment. A very touching lesson about sacrifice. A nation with children
> who are only 9 year-old, yet already know how to be patient, to bear
> hardship, and to sacrifice for others is undoubtedly a great nation.
>
> Even though this country is in its most critical moments, it certainly
> will revive stronger, thanks to the people who know to sacrifice
> themselves for others at such a young age. fot gclo="ffff"
> olr=#0000"HR Dscaier hi mssgema cntincofienia ad/r riilge ifomaio ad
> ntndd ollyfo te ecpints)naedabve I yu reno te ddeseeorauhoizd y ha Uio
> Gou t rceveths esag, oumut otus, op, isloe r ak ay ctononths esag o ay
> nfrmtin erin I yu ecivd hi mssgeineror peae dvseth sndr mmditey y epy
> -milan dlee hi mssge TaiUnonGrupwil otbelibl fr nylos r amgearsig
> ircty r ndretl fomth psssson pblcaio o uag o rlinc o ifomaio otane, r
> nydaag cusd y nyviusatacedwih hi mssge HR/fnt


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 พฤศจิกายน 2554, 10:00:51
ไอ้เบ้-ถุงปลิดชีพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
      
ตัวละครที่ ส.ส.ประชาธิปัตย์ คือวิลาศ จันทพิทักษ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร ผู้อภิปรายเรื่องถุงปลิดชีพเอ่ยถึง ว่าผู้ที่เป็นธุระจัดหาจัดซื้อถุงยังชีพให้กับศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ผ่านสำนักนายกรัฐมนตรีและกรมป้องกันฯ
       
       ชื่อ “ไอ้เบ้” คือใคร
       
       มันมีความสำคัญอย่างไรในข้อกล่าวหา มีความผิดปกติไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อจัดจ้างสิ่งของหลายอย่างเพื่อนำไปแจกจ่ายประชาชน
       
       ก็พบว่า “ไอ้เบ้” เป็นข้าราชการคนดังของกรมป้องกันฯ คือมีตัวตนจริง ชื่อเล่นจริงๆ คือ “เบ๋” ไม่ใช่ “เบ้” แต่อาจมีการขานชื่อให้เสียงออกแปร่งไป แต่หากเรียก “เบ้” ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด
       
       รายนี้เป็นข้าราชการคนดังของกรมป้องกันที่รู้จักกันดีในแวดวงข้าราชการมหาดไทย เพราะไม่ใช่พวกข้าราชการตัวเล็กๆ เทียบระดับซี ก็ถือว่าชื่อชั้นไม่ธรรมดาคืออยู่ในระดับ 9 ไปแล้ว
       
       เพราะเติบโตในกรมป้องกันฯ มาหลายปี พื้นที่หลักที่ยึดหัวหาดจนมีตำแหน่งใหญ่พบว่าคือจังหวัดแห่งหนึ่งโซนตะวันออกที่มีแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อทางทะเล แต่ไม่ใช่ชลบุรีและระยอง
       
       เส้นทางชีวิตข้าราชการเริ่มตันในจังหวัด จนก้าวขึ้นในตำแหน่งสูงสุดของจังหวัด ผ่านทั้งตำแหน่ง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย-ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต
       
       จนผลงานเข้าตาบิ๊กมหาดไทยบางคน เลยดึงตัวจากพื้นที่มาช่วยราชการในสายงานมหาดไทย
       
       เป็นเสมือนเงาตามตัวกึ่งๆ หัวหน้าสำนักงาน
       
       พร้อมกับตำแหน่งระดับ 9 ที่เติบโตอย่างรวดเร็วอายุอานามก็แค่ 40 ต้นๆ ทำเอาพวกสิงห์มหาดไทยข้องใจว่าทำไมทำงานถูกใจผู้ใหญ่ทั้งสายข้าราชการและฝ่ายการเมือง ไม่ว่าจะยุคภูมิใจไทยคุมกระทรวงมหาดไทยผผลัดเปลี่ยนมาเป็นยุคเพื่อไทยคุมคลองหลอด “ไอ้เบ้” ก็ยังเอาผู้ใหญ่อยู่!
       
       เหตุผลหนึ่งก็เพราะ “ไอ้เบ้” อยู่กับเจ้านายในกระทรวงที่แบ็คอัพการเมืองแน่นปึ้ก ขนาดว่าการเมืองเปลี่ยนขั้วจากภูมิใจไทยมาเป็นเพื่อไทย เจ้านายก็ยังเก้าอี้เหนียวไม่โดนเด้ง แถมทำงานเป็นที่ถูกใจของรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคน
       
       จนมีข่าวปีหน้าอาจได้ลุ้นเก้าอี้ปลัดกระทรวงมหาดไทย หลังพระนาย สุวรรณรัฐ เกษียณอายุราชการในปีหน้า
       
       เมื่อเจ้านายเส้นแน่นปึ้ก ลูกน้องอย่าง “ไอ้เบ้” ก็เลยพลอยสบายไปด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่าตอนนี้ทั้งเจ้านายและลูกน้องคือ “ไอ้เบ้” กำลังเครียดหนัก เหตุเพราะโดนจับจ้องอย่างหนักจากฝ่ายค้าน และสื่อมวลชน มีการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างสิ่งของหลายอย่างที่ศปภ.ซึ่งจัดซื้อโดยสำนักนายกรัฐมนตรีและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดซื้อไปแจกจ่ายประชาชน โดยมีคนพยายามโยง “ไอ้เบ้” เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
       
       จนมีข่าวร่ำลือกันใน ศปภ.ว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีรัฐมนตรีบางคนเรียกทีมงานจัดซื้อจัดจ้างไปสอบถามนอกรอบก่อนศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จบสิ้นไปแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 พ.ย. 2554 ที่ผ่านมา โดยหนึ่งในคนที่ถูกเรียกไปสอบถามมีทั้งเจ้านายและตัว “ไอ้เบ้” ด้วย
       
       ข่าวไม่ได้บอกว่า การพูดคุยกันดังกล่าวคุยกันเรื่องอะไร แต่มีเสียงเล็ดลอดออกมาว่า เจ้านายไอ้เบ้บอกน้ำลายท่วมปาก พูดอะไรมากไม่ได้ แต่เรื่องที่อึดอัดใจดูแล้วไม่อยากทำก็พยายามตัดความเชื่อมต่อไม่ให้โยงมาถึงตัวเองและ “ไอ้เบ้” ลูกน้องแล้ว ด้วยการให้ลูกน้องอีกคนรับหน้าเสื่อไป
       
       งานนี้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลก็รับปากจะดูแลให้ขอให้ผ่านศึกอภิปรายนี้ไปก่อน ที่อาจจะมีการดูแลเป็นพิเศษให้กับคนรับหน้าเสื่อในการดูแลเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างที่ฝ่ายค้านตรวจสอบ ด้วยการให้เลื่อนตำแหน่งให้เมื่อมีโอกาสโดยเฉพาะหากมีจังหวะในการแต่งตั้งโยกย้ายกลางปี ถ้าตำแหน่งว่าง
       
       แต่ไม่รู้จะมีใครหลอกใครหรือเปล่า



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 ธันวาคม 2554, 14:05:25
“คำ ผกา” เปลือยนม “ล้มเจ้า”!? กับวิถีแห่ง “ดอกทอง”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    

จากกรณีที่ นายอำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” อายุ 61 ปี ถูกศาลตัดสินจำคุก 20 ปี ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2), (3) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
       
       เหตุที่จำเลยใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวพิมพ์ข้อความอันเป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่นพระเกียรติยศ และหมิ่นประมาทใส่ความให้ร้ายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และส่งข้อความดังกล่าวไปยังโทรศัพท์มือถือของ นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ขณะดำรงตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
       
       หลังจากนั้นก็ได้มีการเผยแพร่บทความออกมาตามโซเชียลเน็ตเวิร์กจำนวนมาก ในทำนองว่า “จำเลยเป็นแพะ” ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดที่แท้จริง ขณะเดียวกัน กลุ่มคนที่แสดงตัวว่ามีทัศนคติเชิงลบกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการรณรงค์ให้มีการแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
       
       อย่างเช่น “นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์” นักรัฐศาสตร์ สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ ได้ริเริ่มแคมเปญ “ฝ่ามืออากง” โดยให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กส่งภาพตัวเองที่มีข้อความ “อากง” บนฝ่ามือมาร่วมในการรณรงค์ โดยนายปวินได้บอกถึงเหตุผลในการรณรงค์นี้ว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อทำลายฝั่งตรงข้ามมากขึ้น
       
       “หวังว่านี่จะเป็นการส่งสัญญาณที่เข้มข้นไปยังรอยัลลิสต์ เพื่อให้เห็นเหตุผลเบื้องหลังคำตัดสินอากง ได้เห็นว่าพวกเขาหาประโยชน์จากกฎหมายหมิ่นฯ และที่สำคัญกว่าคือ พวกเขาอาจทำให้สถาบันอันเป็นที่รักเสื่อมถอยลงได้จริงๆ ข้อโต้แย้งของผมคือ ยิ่งกฎหมายนี้ถูกใช้มากเท่าไหร่ กลับจะยิ่งทำให้สถาบันฯ อยู่ในสถานะที่ลำบากขึ้น” นายปวิน กล่าว
       
       เช่นเดียวกับ “นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” เจ้าประจำก็ได้เผยแพร่บทความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เสนอให้ช่วยกันเรียกร้องรัฐบาลผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองที่ไม่ใช่ระดับแกนนำ โดยให้รวมถึงทุกฝ่ายที่ถูกดำเนินคดีตั้งแต่หลัง 19 ก.ย.
       
       ความจริงก็คือ นายปวิน พยายามเอา ฝ่ามือของตนที่เขียนคำว่า "อากง" ปิดบังข้อเท็จจริงไม่ให้ประชาชนรับรู้
       
       เพราะ "อากง" ชายวัย 61 ปี ถูกกล่าวหาว่า ส่ง SMS ข้อความเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปเข้าโทรศัพท์ของ นายสมเกียรติ เลขานุการส่วนตัวของ นายอภิสิทธิ์ 4 ครั้ง ระหว่างวันที่ 9-22 พฤษภาคม 2553 ในช่วงที่คนเสื้อแดงกำลังจุดไฟเผาเมือง
       
       ศาลอาญาตัดสินจำคุกอากง 20 ปี ตามมาตรา 112 และกฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
       
       การบิดเบือนประเด็นว่า ส่ง SMS เพียง 4 ครั้ง ถูกลงโทษหนักจำคุกถึง 20 ปี ก็ไม่ต่างอะไรจากตรรกะแบบบิดๆ เบี้ยวๆ ที่ว่า "ทักษิณแค่เซ็นชื่อ ยินยอมให้เมียไปซื้อที่ดิน ทำไมต้องติดคุก 2 ปี" ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยการกระทำที่พยายามอ้างกันว่า ไม่เห็นจะเป็นความผิดตรงไหนนั้น แท้จริงแล้ว มีกฎหมายบัญญัติว่า เป็นความผิด ด้วยเหตุผลที่กระจ่างชัด และกำหนดบทลงโทษไว้ชัดเจน
       
       ทั้งนี้ "อากง" ไม่ได้ผิดเพราะส่ง SMS ที่ผิดเพราะส่งข้อความอันเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และข้อความนั้น เข้าข่ายการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และเป็นการทำความผิดอย่างเดียวกันซ้ำซากถึง 4 ครั้ง จึงถูกลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมเป็น 20 ปี ทั้งๆ ที่ ศาลอาจจะลงโทษมากกว่านี้ก็ได้ เพราะความผิดตามมาตรา 112 มีโทษจำคุกระหว่าง 3-15 ปี
       
       หาก "อากง" ส่ง SMS เพียง 2 ครั้ง ก็จะติดคุกเพียง 10 ปี ถ้าส่งครั้งเดียว ก็ติด 5 ปี และหากอากงรับสารภาพ ก็จะได้รับการลดโทษกึ่งหนึ่ง และอาจจะได้รับการรอการลงโทษ ก็ได้ เหล่านี้คือ กระบวนการพิจารณาโทษตามปกติของศาล หาใช่การกลั่นแกล้งหรือความอยุติธรรมที่ "อากง" ได้รับไม่
       
       แต่เมื่อไม่รับว่าผิด และไม่สามารถแก้ข้อกล่าวหาจนศาลสิ้นสงสัยได้ ก็ไม่มีเหตุในการลดโทษ รอการลงโทษ
       
       นอกจากนี้ คดี "อากง " ยังถูกขบวนการล้มเจ้า ที่บังหน้าด้วยการเคลื่อนไหวให้มีการยกเลิก หรือแก้ไข มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นำไปกระพือ ขยายผลเกินความเป็นจริง และมีการบิดเบือน ตัดทอนข้อมูล ให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า "อากง" คือ ผู้บริสุทธิ์ ที่ถูกลงโทษอย่างรุนแรง เพราะมาตรา 112 เป็นต้นเหตุ
       
       "อากง" จะคิดอย่างไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะเป็นแดงฮาร์ดคอร์แถวสำโรงหรือไม่ จะเป็นผู้ส่ง SMS ด้วยตัวเอง หรือมีผู้อื่นส่งให้ก็ตามแต่ วันนี้ เขาคือ “เหยื่อ” ของขบวนการล้มเจ้า ที่น่าสงสาร ชะตากรรมของเขาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยก
       
       และที่น่าอดสูที่สุดคือ คดี "อากง" ยังเป็นโอกาสให้ “คำผกา” หรือที่หลายคนเรียกเธอว่า “นักเขียนดอกทอง” (ที่สุดในประเทศไทย) สบช่อง-ฉวยโอกาสอ้างเป็นเหตุแก้ผ้า “โชว์นม” ในโลกไซเบอร์ สมใจอยาก (แม้หลายคนจะไม่อยาก “ชมนม” ของเธอก็ตาม)
       
       **คำ ผกากับวิถีแห่งดอกทอง
       
       อย่างไรก็ตาม จากกรณีศาลตัดสินจำคุก 20 ปี “อากง” ส่ง SMS หมิ่นฯ ดังกล่าว ได้ถูกกลุ่มล้มเจ้านำไปปลุกระดม “บิดเบือน” สร้างละครชีวิตอากงขึ้นมา เพื่อกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของมาตรา 112 ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องติดคุก และเรียกร้องให้มีการแก้ไข
       
       นอกจากนี้ยังทำให้หลายคนที่ “อยากดัง” สบช่องฉวยโอกาสโหนกระแส “อากง” ตะโกนโหวกเหวกโวยวายในโลกออนไลน์และเฟซบุ๊กเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองเป็นนักประชาธิปไตยและนักมนุษยชนตัวยง ขณะที่บางคนใช้อากงเป็น “เหยื่อ” เพื่อสนองตัณหาความ “อยากแรง” ของตัวเอง
       
       อย่างกรณีของ “คำ ผกา” หรือ “น.ส.ลักขณา ปันวิชัย” หรือที่หลายคนเรียกขานเธอว่า “นักเขียนดอกทอง” เจ้าของหนังสือ “กระทู้ดอกทอง” ตัวแม่ที่นิยมชมชอบการเปิดเผย “นม จิ๋ม ตด” รสนิยมทางเพศ และเรื่องราวอันเป็นตัณหาราคะของตัวเองให้สาธารณชนได้รับรู้ จนทำให้เธอโด่งดังในการเป็นนักเขียนอย่างว่ามาจนถึงทุกวันนี้ โดยในช่วงที่กระแสความนิยมแผ่วลง เธอก็ถือโอกาสใช้กระแส “อากง” มาเป็นเครื่องมือ “ขายนม” โดยการลงทุนแก้ผ้าจนเหลือแต่นมล่อนจ้อน เพื่อสร้างกระแสความนิยมอัน “ร้อนแรง” ในหมู่คนเสื้อแดงให้กับตัวเอง
       
       โดยในสายตาของหลายคนที่ “รู้ทันคำ ผกา” ต่างก็มองว่าการลงทุนเปลื้องผ้าครั้งนี้ไม่ใช่ทำเพื่อ “อากง” ไม่ใช่เพื่อสิทธิมนุษยชน หรือมนุษยธรรมอะไรนักหนา แต่สิ่งที่เธอทำคือ “การตลาด” เพื่อสร้างภาพ สร้างราคา และสร้าง “ความแรง” ให้กับตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอถนัดและประพฤติปฏิบัติเสมอมา โดยครั้งนี้เธอเรียกการโป๊เปลือยของตัวเองซะโก้เก๋ว่า “Art project” เพราะมันคือโปรเจ็กต์ที่หวังผล(ประโยชน์)ที่จะตามมาสู่ตัวเธอในฐานะนักเขียน คอลัมนิสต์ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของยอดขายหนังสือ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นช่องทางหากินของเธอ
       
       ลองไปถามดูก็ได้ ใครที่เคยเป็น ผ. ให้เธอคงไม่มีใครสงสัย ใครที่เคยเป็น “เพื่อนสนิท” และใครที่เคยเอาเธอไปหากินในฐานะคอลัมนิสต์และพิมพ์หนังสือขายให้คงไม่แปลกใจอะไร กับการแก้ผ้า “ขายนม” ของเธอในครั้งนี้ มีแต่สาวกเสื้อแดง นักวิชาการเสื้อแดง และนักเขียนเสื้อแดงที่ฟันยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านั้นที่ยังหลงใน “จุก” ของเธอจนโงหัวไม่ขึ้น “เมานมคำผกา” จนคิดว่าเธอคือ เทพมารดามาโปรด!
       
       อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับการเผยแพร่ภาพเปลือยของ “คำ ผกา” ครั้งนี้มีข้อความ “No Hatre for Naked Heart” อยู่บนเนินอกและเต้านมทั้งสองข้างที่เปลือยเปล่า พร้อมคำว่า “อากง” อยู่บนฝ่ามือ เธอบอกว่า “Art project” ชิ้นนี้ อยากจะสื่อออกไปยังสังคมไทย ให้ถอดอคติส่วนตนออกไปจากจิตใจ และลองเปลือยใจเพื่อสำรวจถึงความมีมนุษยธรรมในฐานะเพื่อนมนุษย์ และตั้งคำถามดูว่าทำไมกรณีของ “อากง” จึงเกิดขึ้นได้ มันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ไหม และมันมากเกินไปหรือเปล่า
       
       “แทนที่จะหลบอยู่หลังตู้เย็น หลบอยู่หลังหน้าจอคอมพ์ อย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรซักอย่าง ที่จะก้าวข้ามความกลัวนั้นไป และส่งข้อความออกไปยังสังคม...ให้สังคมไทยนั้นก้าวพ้นความกลัวไปด้วยกัน” นักเขียนดอกทองกล่าว และว่า “งานชิ้นนี้ เปรียบเสมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ใช้ร่างกายประท้วงต่อความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งการกล้าเปิดกาย-ใจ และการกล้าเปิดเผยตัวตนนี่เอง ที่เป็นการเผชิญหน้าและเอาชนะความกลัวได้อย่างแท้จริง”
       
       งานนี้เธอ “ถอดผ้า” แต่สาบานได้ว่าเธอเองก็ไม่ได้ “ถอดอคติ” ส่วนตนออกไปจากจิตใจ เหมือนที่พร่ำบอกต่อสังคมไทยอยู่ในขณะนี้
       
       นั่นล่ะคือ “คำ ผกา” ที่ภาษาเหนือแปลว่า “ดอกทอง” หญิงสาวที่เติบโตมาจากบ้านสันคะยอม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เรียนจบปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต่อด้วยปริญญาโทและเอกจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ที่ซึ่งทำให้เธอเริ่มมีคอลัมน์แรก “จดหมายจากเกียวโต” ตีพิมพ์ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ โดยใช้นามปากกาว่า ฮิมิโตะ ณ เกียวโต แต่ที่สร้างชื่อให้เธอก็คือคอลัมน์ “กระทู้ดอกทอง” โดย คำ ผกา
       
       ต่อจากนั้นหญิงสาวก็สร้างเรื่องอื้อฉาวเพื่อส่งให้ตัวเอง “ร้อนแรง” ขึ้นเรื่อยๆ จากการ “เปลื้องผ้า” ขึ้นหน้าปกนิตยสาร GM เพราะต้องการบอกว่า “การแก้ผ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิง” และเธอยังมีงานเขียนในนิตยสารอีกหลายฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่เธอจะสื่อสารกับคนอ่านด้วยเรื่อง “เซ็กซ์” รวมถึงเรื่องดอกทองที่มีประเด็นทางสังคม-การเมือง และที่ร้อนแรงที่สุดเห็นจะเป็นคอลัมน์วิพากษ์วิจารณ์สังคม-การเมืองในหนังสือ “มติชนสุดสัปดาห์” ที่เรียกทั้งเสียงชมและเสียงด่าไม่แพ้กัน ล่าสุด, ด้วยบทบาทการเป็นเทพีของคนเสื้อแดง ด้วยการชูธงไพร่ต่อต้านอำมาตย์ “นักเขียนดอกทอง” คนนี้จึงได้รับการอุปการคุณให้เป็นพิธีกรรายการ “คิดเล่นเห็นต่างกับ คำผกา” ออกอากาศทาง “วอยซ์ทีวี” โดยเธอวิพากษ์วิจารณ์และด่าทอทุกผู้ทุกนามที่รู้สึกขวางหูขวางตา ยกเว้น “ทักษิณ” และครอบครัวชินวัตร ผู้มีอุปการคุณของเธอที่เป็น “คนเหนือ” ด้วยกัน
       
       “แขก (ชื่อเล่น) เป็นคนไม่เที่ยวกลางคืนนะคะ ไม่โดยสิ้นเชิง เว้นแต่ไปดื่มกับเพื่อนเงียบๆ ... หากเราได้เจอคนที่เราอยากอยู่กับเขา และเขาอยากอยู่กับเรา อยู่ด้วยกันแล้วชีวิตรื่นรมย์ขึ้น ได้พึ่งพา เกื้อกูลกัน คุยกันสนุก มีเซ็กซ์ดีๆ ด้วยกัน ทำไมเราจะไม่อยากอยู่กับใครล่ะคะ?” นั่นคือส่วนหนึ่งใน “ไลฟ์สไตล์” ของเธอ
       
       ส่วนเรื่องลับเฉพาะคนรู้ใจ “คำ ผกา” ที่สื่อหลายสำนักให้ข้อมูลตรงกันก็คือ
     “เวลาสื่อไปขอสัมภาษณ์ คำ ผกา จะคิดเงินอักษรละบาท” เอากะเธอสิ!
       
       แต่บางคนบอกว่าอย่าด่วนสรุป หากยังไม่ได้คุยกับเธออย่างเปิดเปลื้อง...
       
       **กูเบื่อมึง : บทความสะท้อนตัวตนของผู้หญิงเรยา
       
       “อม... (อวัยวะเพศพระ) มาพูดก็ไม่เชื่อ” ! นั่นคือประโยคร้อนแรงของ “คำ ผกา” ในทวิตเตอร์ที่ทำเอาพระเณรสะดุ้งสะเทือนไปตามๆ กันเมื่อไม่นานมานี้
       
       และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้เธอก้าวล่วงมาแล้วทั้งพระเถรเณรชี ไล่มาตั้งแต่ท่าน ว.วชิรเมธี พระไพศาล วิสาโล ท่านเจ้าคุณประยุทธ์ ลามปามไปจนถึง “ท่านพุทธทาส” แต่ด้วยเหตุที่ศิษยานุศิษย์ของท่านเหล่านั้นวางอุเบกขา จึงทำให้เธอยิ่งลามปามไปทั่วด้วยความคะนอง และถือเป็นโอกาสทำมาหากินในฐานะนักเขียนดอกทองของเธอเรื่อยมา
       
       "ทำไมสังคมไทยถึงชอบให้พวกครู หมอ พระ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมมานั่งสอนศีลธรรมเหมือนเป็นเด็กอมมือ...
       
       "ฟ้าเป็นไพร่นะ... คนที่มันตื่นเต้นกับธรรมะ... อย่างกะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่แบบกาลิเลโอที่ค้นพบว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล พวกเห่อธรรมะนี่เค้าเป็นกันอย่างนี้จริงๆ คำก็สติ สองคำก็รู้จักพอ สามคำก็ทุกข์ พอถึงคำที่สี่ก็ต้องเอ่ยคำนี้ออกมา "พุทธทาส" เป็นสูตรสำเร็จยังกะน้ำจิ้มสุกี้"
       
       นั่นคือบางส่วนในบทความที่ชื่อว่า “กูเบื่อมึง” ของ “คำ ผกา” ในมติชนสุดสัปดาห์ ที่สมมติตนเองเป็น “เรยา” ตัวละครอื้อฉาวที่โด่งดัง
       
       หรือเมื่อปี 53 ที่ คำ ผกา วิจารณ์ท่าน ว.วชิรเมธี ค่อนข้างแรงว่า...
       
       “งานของท่าน ว.วชิรเมธี มันเป็นยากล่อมประสาท หลอกขายกันไปวันๆ ไม่ได้ทำให้คนตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม มันเป็นการเอาตัวรอดคนเดียว... แขก (ชื่อเล่น) เลยมองว่ามันเป็นการมอมเมาทางปัญญา สอนให้คนหลีกหนีปัญหา แล้วก็ทำให้มืดบอดต่อปัญหาของคนอื่นในสังคมด้วย คำพูดของ ว.วชิรเมธี มีอะไรที่ลึกซึ้งบ้าง ไม่มี แต่ทำไมคนถึงให้ความสำคัญ เพราะมันออกมาจากพระที่บอกว่าตัวเองอ่านพระไตรปิฎกเจนจบ เป็นศิษย์พุทธทาส”
       
       หรืออีกครั้งที่เธอวิพากษ์วิจารณ์ท่าน ว.วชิรเมธี ว่า... “ดาราคนหนึ่งพูด กับ ว.วชิรเมธีพูด อะไรจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน ก็คือว.วชิรเมธีมีอิมแพคต่อสังคมมากกว่า เพราะฉะนั้นคำพูดของ ว.วชิรเมธีจึงควรได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าคำพูดของดาราสักคนหนึ่ง พี่ไม่เข้าใจทำไม ว.วชิรเมธีบอกว่า "ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน" อันนี้เราก็ต้องเอาไปถกเถียงกันว่าพูดในบริบทไหน ในความหมายยังไง แล้วพูดบนฐานของปรัชญาแบบไหน พี่คิดว่ามันผิดฝาผิดตัว พี่คิดว่าแกมีปัญหาในทางตรรกะ ในทางการพูดเปรียบเทียบอะไรแบบนี้...”
       
       นอกจากพระสงฆ์องคเจ้าแล้ว “คำ ผกา” ยังจับผู้หลักผู้ใหญ่และใครต่อใครในบ้านเมืองยัดเยียดให้เป็น “สลิ่ม” ไปเสียหมด ไม่เว้นแม้กระทั่ง “นายแพทย์ประเวศ วะสี” ราษฎรอาวุโส ที่เธอด่าทออย่างสาดเสียเทเสียมาแล้ว
       
       “ที่ผิดปกติ และชวนหัวอย่างที่สามารถเป็น black comedy ได้อย่างสมบูรณ์แบบคือ ความคิดเห็นของ ประเวศ วะสี บุคคลผู้สั่งสมบารมีชื่อเสียงของตนมาจากการสร้างชื่อในฐานะของคนที่ต่อสู้เพื่อโครงสร้างของสังคมที่เป็นธรรม บุคคลที่มีภาพของการเป็นคนดีมีศีลธรรม บุคคลที่เป็นเจ้ายุทธจักรของโครงการที่รณรงค์ให้คนเป็นคนซื่อ มือสะอาด เลิกเหล้า อดบุหรี่ มีศีล บุคคลผู้พร่ำเพ้อถึงสังคมอุดมคติ นิพพาน ปราศจากการเอารัดเอาเปรียบ บุคคลที่รังเกียจทุนสามานย์ การคอร์รัปชั่นและความหื่นกระหายตะกละของนักการเมือง
       
       “นี่คือทัศนะของบุคคลที่ชนชั้นกลาง มีการศึกษาจำนวนมากในสังคมไทยเคารพนบไหว้ว่าเป็นปูชนียบุคคล วิเศษวิโสเหลือประมาณ... นี่คือทัศนะของท่านว่า แรงงานไทยมีค่าแรงวันละ 150 บาทก็พอแล้ว ถ้าให้แรงงานมีที่พัก และอาหาร จากนั้นโปรดอยู่ในความสงบ เอ๊ย อยู่ในความพอเพียง
       
       “พิโธ่เอ๋ย...อนิจจัง อนิจจา ท่านราษฎรอาวุโส นี่เป็นสิ่งที่ฉันหัวเราะมิได้ ร่ำไห้มิออก อึ้งยิ่งกว่าอ่านเจอรายงานของคณะกรรมการสิทธิฯ เรื่องสลายการชุมนุม อึ้งเสียยิ่งกว่าปริศนาว่าด้วยเงิน 600 ล้านปฏิรูปประเทศ (แบบว่าทำใจไปแล้วว่าประชาชนได้ทำทานครั้งใหญ่ไป)...
       
       “อีกหน่อยอาจเพิ่มแพ็กเกจใครเลิกเหล้าได้เด็ดขาดถึงจะมีของขวัญเป็นค่าแรงเพิ่มให้เป็นพิเศษ ใครไปบวช ได้เพิ่มวันละห้าบาท ใครเลิกบุหรี่เอาไปเลยอีกคนละหกบาทขาดตัว ใครวิปัสสนาทุกวันเอาไปเล้ยยยค่าแรงฟรีวันละ 10 บาท ทำเช่นนี้ นิตยสารส่งเสริมความดี รายการคนค้นสัตว์ จะมาแย่งกันทำรายการสารคดีนายทุนดีมีคุณธรรมค้ำจุนโลก
       
       “ท่านราษฎรอาวุโส ค่าแรงวันละ 150 บาท นั้นเท่ากับเดือนละ 4,500 บาท ฉันแค่อยากรู้ว่าหลานของท่านดื่มนมเดือนละกี่บาท? กินขนมเดือนละกี่บาท...
       
       “สุดท้ายนี้ ฉันอยากจะบอกว่า ค่าแรงวันละ 150 บาทจากท่านนั้นเป็นความอำมหิต มันปิดไม่มิดจากหัวใจไร้ความเป็นธรรม ไร้ความปรานีจากคนที่เรียกตนเองว่าราษฎรอาวุโสที่เที่ยวป่าวประกาศว่าตนเองรักความยุติธรรม ไม่อยากเห็นความเหลื่อมล้ำในสังคมและอยากปฏิรูปโครงสร้างประเทศ”
       
       เอากะเธอสิ!
       
       และแม้แต่ “เช็ค-สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ” เจ้าของรายการ “คนค้นฅน” ก็ไม่ได้รับความปรานีจาก “เทพีของคนเสื้อแดง” ในประเด็นที่แรงแบบไม่จำกัดความถ่อย แต่ขอเอามานำเสนอแค่พองาม ในบทความเรื่อง “กูเบื่อมึง” ในมติชนสุดสัปดาห์ ที่ “คำ ผกา” สมมติตัวเองเป็น “เรยา” ความว่า...
       
       “...กําลังกริ้วเรื่องพระ ตวัดสายตามาอ่านเจอบทสัมภาษณ์คนทำรายการ คน ค้น ฅน อาการกริ้วของฟ้าก็มากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ จากนั้นก็ลืมตัวอุทานว่า "ชิบหายแล้ว"...
       
       “ฟ้าเป็นไพร่นะ แม่เป็นแม่ครัว พ่อเป็นยาม ก็ขอใช้ภาษาให้ตรงกับกำพืดของตนเอง อาการประมาณนี้คนในชนชั้นของฟ้าอยากจะเรียกว่า "เด็กเห่อห-มอย" ได้ไหม? …
       
       “คนเราตายไปเอาอะไรไปไม่ได้ก็ถูก แล้วไง? มีอะไรตื่นเต้น? มีอะไรแปลก? ...แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้น ก่อนตายกูจะอยู่ยังไง (โว้ย?)?
       
       “คุณคน ค้น ฅน... ถ้าฟ้าเจอหน้าคุณจังๆ จะขอถามนะว่า "ที่ออกมาพูดเรื่องธรรมะปาวๆ ที่ใบหน้ายังมียางเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า? ยางอายน่ะ รู้จักไหม?...
       
       “แล้วในฐานะที่คุณก็ไปทำสารคดีเอาชีวิตคนจนมาค้าขายทางจอโทรทัศน์จนคุณชักจะมั่งคั่งขึ้นมากับเขาบ้าง คุณไม่เคยตั้งคำถามเลยหรือว่า ทำไมคนกลุ่มหนึ่งถึงขาดโอกาสและยากจน และทำไมคนอีกกลุ่มหนึ่งถึงสามารถสะสมความมั่งคั่งจากรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งได้ไม่ขาดสาย
       
       “หรือคุณเชื่อว่านี่เป็นเรื่องบุญ เรื่องบาป เป็นเรื่องบุญทำกรรมแต่ง หรือคุณรู้ทุกอย่างแต่บิดเบือนเรื่องความยากจน และการขาดโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณะ ให้มันเป็นเรื่อง "ศักดิ์ศรี", "ความกตัญญู", "ความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค" ฯลฯ เด็กๆ ขายปาท่องโก๋หาเงินมารักษาพ่อแม่ที่ป่วย แทนที่จะทำให้เราตั้งคำถามต่อระบบประกันสุขภาพ แต่สารคดีของพวกคุณหันไประบายสีที่ความกตัญญู ความน่ารักของเด็ก ความทรหดอดทนของเด็ก
       
       “จากนั้นคนอย่างคุณก็หาเงินบริจาคเอาไปช่วยเด็ก - ถามหน่อยว่าเราจะแก้ปัญหาความยากจนด้วยการสงเคราะห์กันไปทีละครอบครัวสองครอบครัวอย่างนี้เรื่อยไปหรือ? ถามต่ออีกว่าใครได้ประโยชน์จากการสงเคราะห์อันนี้มากที่สุด ไม่ใช่ครอบครัวเด็กคนนั้น ไม่ใช่ปู่เย็น แต่เป็นคุณเจ้าของบริษัทผลิตรายการสารคดี ที่ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งกล่อง (ในฐานะนักบุญ) ได้ทั้งภาพพจน์ของความเป็นคนดีมีคุณธรรม
       
       “ฟ้าไม่โทษคุณหรอกนะ แต่โทษสังคมไทยสับปะรังเคที่มันหล่อหลอมให้พวกเรากลายเป็นคนที่เห็นความดีงามกันตื้นๆ ง่ายๆ ใครไปวัดก็ว่าดี ใครไม่กินเนื้อสัตว์ก็ว่าดี ใครบริจาคเงินเยอะๆ ก็ว่าดี ใครชอบอ้างชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ก็ว่าดี ใครพูดจาธรรมะธัมโมหน่อยก็ว่าดี ใครไปปฏิบัติธรรมก็ว่าดี ใครชอบหล่นคำว่า 'พุทธทาส' ออกมาบ่อยๆ ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่...
       
       “ยาวเกินไปละ ขอตัวไปหาผัวใหม่ก่อนนะ
       
       “ฟ้า (เรยา) ป.ล. กูเบื่อความ FAKE”
       
       อย่างไรก็ตาม ถ้าสังเกตให้ดี โดยไม่จำเป็นต้องดูนมที่ “คำ ผกา” เอามาโชว์ ก็จะเห็นเจตนาของเธอที่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์และปะทะกับเฉพาะผู้มีชื่อเสียงในสังคม หรือคนในระดับที่เรียกว่า “เซเลบฯ” หรือไม่ก็ประเด็นใหญ่ๆ ที่เธอรู้ว่าเมื่อวิพากษ์วิจารณ์ด่าทอแล้วจะเกิดแรงกระเพื่อมในสังคม ส่งผลให้ตัวเธอโด่งดังขึ้นมา เหมือนกรณีที่เธอเปรียบเทียบ “นักศึกษาน้องใหม่” ที่ร่วมกิจกรรมรับน้องในมหาวิทยาลัย ด้วยการคล้องป้ายชื่อพร้อมรหัสนักศึกษา ว่าเป็นเหมือน “สัตว์ในฟาร์ม” และเหมือนกับที่เธอเข้าใจใน “เรยา” และท่าเต้นของ “จ๊ะ คันหู” เป็นพิเศษ นั่นแหละ
       
       กรณี “คำ ผกา” ที่หลายคนยกให้เธอเป็น “นักเขียนที่ดอกทองที่สุดในประเทศไทย” และการที่เธอ “เปลือยนม” นั้น ก็ไม่ได้เป็นความผิดปกติเกินความคาดหมายของใครหลายคนที่รู้จักเธอเป็นอย่างดี หลายคนคิดอยู่แล้วสักวันหนึ่ง คำ ผกา ต้องลุกขึ้นมาแก้ผ้าโชว์ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง เพื่อดูดดึงหรือหล่อเลี้ยงกระแสของตัวเองไว้ การเปิดเผย “นม จิ๋ม ตด” จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาของเธอที่เลือก “จุดขาย” ของตัวเองไว้แบบนี้ อย่าไปถามถึงเรื่อง “ยางอาย” หรือการแคร์ความรู้สึกของสังคม เพราะมันคงไม่ได้อยู่ในสมองและสองนมของเธอนานแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่ “ครั้งแรก” ของเธอที่แก้ผ้าต่อสาธารณะ
       
       กรณีฝ่ามืออากง และการ “เปลือยนม” ของคำ ผกา หลายคนอาจดูเป็นการประท้วงที่ “เท่” เก๋ไก๋กลายเป็นแฟชั่นของพวกที่มีหัวคิดก้าวหน้า ก็ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาที่อยากเป็นคนมีหัวคิด “ก้าวหน้า” ตบเท้าเข้ากราบคารวะ “นม” คำ ผกา กันไปเถิด โดยเฉพาะคนที่อยากให้เรื่องนี้ลุกลามบานปลายกลายเป็นขบวนการรณรงค์ทางการเมือง ก็สมควรที่จะเข้าไป “กราบสองเต้า” ของ คำ ผกา งามๆโดยพลัน



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 ธันวาคม 2554, 14:50:11
เรียน ทุกท่าน
    ผมส่งบทความ "เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์ เป็นจริง" ตอนสุดท้าย  และตอนที่ 1-7 มาให้อ่านครับ

“..ดวงทักษิณ..เป็น..เสนียดเมือง..”        “พระสงฆ์รูปนั้น”เริ่มต้นด้วยคำพูดที่ผมต้องถามกลับทันทีว่า“ท่านอาจารย์..เสนียดเมือง..ต่างกับ..กาลีบ้านกาลีเมืองอย่างไรครับ?”   (จากตอนที่ 7)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000157008

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนสุดท้าย)
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    9 ธันวาคม 2554 16:53 น.    


      
สอดแนมการเมือง
       โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

       
       การเคลื่อนไหวชุมนุมขับไล่ทักษิณ ของพันธมิตรฯเป็นไปอย่างต่อเนื่อง นับแต่ปลายปี2547-2548 โดยทักษิณกับพวกได้จ้างและเกณฑ์ผู้คนของตนออกมาปะทะ จนสถานการณ์การเมืองตึงเครียด
       
        แต่ทักษิณก็เป็นนายกฯ จนครบ 4 ปี และสืบทอดอำนาจต่อด้วยการชนะเลือกตั้งอีกครั้งในปี2548 การเป็นนายกฯ รอบสองของทักษิณไม่ราบรื่น เพราะยังโดนประชาชนต่อต้านจนต้องมีการเลือกตั้งใหม่
       
       2549 มีการเลือกตั้งทั่วไปซ้ำอีกครา แต่พรรคฝ่ายค้าน3 พรรคไม่ส่งคนลงสมัคร ทำให้การเลือกตั้งเกิดเรื่องมิชอบ จนศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้เป็นโมฆะ
       
       วันที่ 15 ตุลาคม 2549 กกต.ได้จัดการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ไม่ชอบธรรมอีกตามเคย ทำให้การเมืองไทยยิ่งร้อนระอุ กับการชุมนุมยืดเยื้อของพันธมิตรฯ ที่ยังปักหลักตะโกน“ทักษิณออกไป”ตลอดเวลา
       
       ห้วงนั้น..รัฐบาลทักษิณอ่อนแอจะล้มมิล้มแหล่ แต่ทักษิณก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ถึงขนาดเกณฑ์คนของรัฐบาล ออกมาทำร้ายการชุมนุมของพันธมิตรฯอยู่เนื่องๆ จนสถานการณ์ทำท่าจะบานปลาย
       
       ในที่สุด..ทหารกลุ่มหนึ่งจำต้องออกมาทำรัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลทักษิณลง เมื่อวันที่ 19 กันยายน2549
       
       เหตุการณ์..ตรงกับคำทำนายของ“พระสงฆ์รูปนั้น” ที่ว่า..ทำยังไงๆทักษิณก็ไม่ล้มไม่ไป จนกว่าจะถึงวันที่ 6-26 กันยายน2549 ทักษิณจะหมดอำนาจลง!
       
       ผมพบกับ“พระสงฆ์รูปนั้น”อีกครา หลังรัฐบาลทักษิณถูกโค่นเพียงไม่กี่วัน
       
        “คุณชัช..สมัครจะได้เป็นนายกฯ นะ แต่อายุเขาจะสั้นลง”
       
       สมัคร สุนทรเวช จะเป็นนายกรัฐมนตรี “พระสงฆ์รูปนั้น”บอกผมหลายครั้งแล้ว และผมกับเพื่อนที่ได้ยินก็ไม่เชื่อ และจะแย้งเสมอว่า“เป็นไปไม่ได้”
       
       “สมัคร”หมดอำนาจนานแล้ว พรรคประชากรไทยของเขาเล็กลง..เล็กลง..จนเหลือแต่ซาก..เขาจะเป็นนายกฯ ได้ยังไง?
       
       ทว่า..ด้วยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่ได้ดำเนินคดีความทักษิณกับพวกอย่างจริงจัง ไม่มีการปฏิรูปการเมืองเพื่อยุติการซื้อเสียงเลือกตั้งใดๆเลย ทักษิณมีเงินล้นฟ้าจึงยังเล่นการเมืองได้อย่างอิสระ ทั้งนอกสภา-ในสภา-บนดิน-ใต้ดิน!
       
       เมื่อรัฐบาล“สุรยุทธ์”จัดให้มีการเลือกตั้ง ในปี 2550 ทักษิณได้ดึง สมัคร สุนทรเวช เข้าสังกัดพรรคของเขา ก่อนจะกวาดชัยชนะจากการเลือกตั้งได้อีกครา“ส้มนายกฯ”จึง“หล่นใส่”สมัคร สุนทรเวช ที่ถูกเชิดให้เป็นหุ่นทันที
       
       สมัครเป็นนายกฯ-ผมนึกถึงคำว่า“เก่งกับเฮง”ขึ้นมา บางคนเก่งแต่ดวงไม่เฮง-ชีวิตเจ๊ากับเจ๊ง บางคนห่วยแต่ดวงเฮง-ชีวิตเลยแจ๋วแหววโดยไม่มีเหตุผล แต่บางคนทั้งเก่งทั้งดวงเฮง-จึงสมหวังดังปรารถนาเสมอ
       
       งานนี้..ผมกับเพื่อนแพ้พ่าย“พระสงฆ์รูปนั้น”ราบคาบครับ
       
       สมัคร-เป็นนายกฯ ทุกขลาภ เพราะเป็นนายกฯ หุ่นที่ทักษิณบงการอยู่เบื้องหลัง วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ทักษิณได้เดินทางกลับประเทศไทย แต่อยู่ได้ไม่นาน..ก็ต้องหนีคดีซื้อที่ดินรัชดาฯ ไปพเนจรอยู่ในต่างประเทศตราบทุกวันนี้
       
        25 พฤษภาคม 2551 พันธมิตรฯ ได้เปิดฉากชุมนุมขับไล่รัฐบาลสมัคร ต่อสู้กันชนิดเจ๊งเป็นเจ๊ง-ตายเป็นตายอีกครั้ง ทว่าปีเดียวกันนั้นเอง..สมัคร-ก็ตกสวรรค์จนต้องหลุดจากเก้าอี้นายกฯ เพราะไปทำความผิดกฏหมาย ที่เกี่ยวกับผลประโยน์ทับซ้อนเข้าอย่างจัง
       
        แม้สมัคร-จะยังอยากเป็นนายกฯ ซ้ำสอง แต่ทักษิณก็หักดิบด้วยการตั้งน้องเขย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ แทน สมัครจึงทรุดทั้งกายและใจด้วยโรคมะเร็ง จนต้องเดินทางไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกาอย่างเงียบๆ
       
       ทราบมาว่า..สมัคร-ได้ลงจากเตียงพยาบาลเพื่อกราบลา“พระสงฆ์รูปหนึ่ง”เป็นครั้งสุดท้ายด้วย
       
       ผมไม่ได้พบกับ“พระสงฆ์รูปนั้น” ตลอดอายุขัยรัฐบาล“สมชาย วงศ์สวัสดิ์”และรัฐบาล“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ด้วยผมยุ่งอยู่กับงานและการชุมนุมของพันธมิตรฯ นั่นเอง
       
       จนกระทั่ง เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ภายใต้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นแหละ..ที่ทำให้ผมอดใจไม่ไหว ต้องตัดสินใจไปพบกับ“พระสงฆ์รูปนั้น”ในค่ำคืนของเดือนพฤศจิกายน 2554
       
       แน่นอน..ไม่พบปะยาวนานถึงสองสามปี เรื่องพูดคุยย่อมมากเป็นธรรมดา สนทนากันจนดึกดื่นเที่ยงคืน..กว่าจะลากลับ ด้วยเรื่องราวแห่งคำพยากรณ์ในหลายเรื่อง แต่ละเรื่องจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่..เวลาจะพิสูจน์ครับ
       
        “ท่านอาจารย์..นายกฯ คนนี้กับบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร?”
       
       ผมถามตรงไปตรงมาขณะที่“พระสงฆ์รูปนั้น”ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ
       
        “คุณชัช..คุณยิ่งลักลักษณ์ดวงเหมือนทักษิณ คอยดูนะ..บ้านเมืองจะมีปัญหาหนักขึ้นเรื่อยๆ จากน้ำนองหรือน้ำท่วมแล้ว..จากนี้..เลือดจะนอง..”
       
       “พระสงฆ์รูปนั้น”เกริ่นนำแล้วเงียบไปพักใหญ่ โดยผมยังคงนั่งจับตาและเงี่ยหูฟังอยู่เงียบๆ
       
        “..นับจากวันที่ 7 ธันวาคม ปี 2554 จนถึงเดือนมิถุนายน ปี 2555 ดวงเมือง..จะต้องมีเรื่องใหญ่ๆ เกิดขึ้น และอีก 3 ปีข้างหน้า นับตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปี 2557 ประเทศไทยจะมีทั้งเรื่องอุบัติภัย และปัญหาการเมืองมากมาย โน่น..หลังปี 2557 ประเทศไทยถึงจะดี”
       
        “อาจารย์..นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะอยู่ในตำแหน่งนานไหม?”
       
        ผมถาม..เพราะระอาฝีมือบริหารชาติ อันแสนห่วยแตกของ“ปู”น้อง“แม้ว”ที่ถูกเชิดเป็นนายกฯ ทั้งที่เธออ่อนหัดเกินกว่าจะเป็นนายกฯประเทศไทยได้
       
        “นายกฯ คนนี้..แม้ดวงจะเหมือนพี่ชาย-แต่หลายอย่างต่างกัน เขาอยู่ไม่นานคุณชัช เพราะบ้านเมืองต้องมีการเปลี่ยนแปลง”
       
        “เปลี่ยนแปลงอย่างไร..ท่านอาจารย์?” ผมย้ำถาม..เพราะคำเปลี่ยนแปลงนั้น เปลี่ยนแปลงเป็นรัฐไทยใหม่-ทักษิณชนะ หรือเปลี่ยนรัฐบาลยิ่งลักษณ์-ทักษิณแพ้
       
        “เปลี่ยนไปในทางที่ดีต่อชาติและประชาชนสิ..คุณชัช”
       
        “อาจารย์..แล้วทักษิณล่ะ..เขาจะเป็นเช่นไร?”
       
        “ดวงทักษิณไม่ดีมากๆ ถ้าเขาตายเร็ว..ต้องถือว่าเขาโชคดี แต่หากไม่ตายเร็ว..ชีวิตจะลำบากมากๆ”
       
        ผมไม่ถามต่อ..เพราะมีคำตอบอยู่ในใจมาตลอดว่า สุดท้าย..ธรรมะต้องชนะอธรรมแน่นอน!
       
        แต่ผมบอกแล้วนะว่า.. ไม่มี“นักทำนาย”ที่ไหนในโลก ที่จะทำนายอนาคตได้ถูกทุกเรื่อง “พระสงฆ์รูปนี้”ก็เคยทำนายพลาดในบางเรื่อง
       
       แต่มนุษย์..ต้องอย่าให้คำทำนาย มาเป็นอุปสรรคขวางการทำงานใดๆ ของเราได้ มนุษย์-กำหนดชะตาชีวิตตนเองได้ แม้บางเรื่องจะแพ้พ่าย“ฟ้าลิขิต”ก็ตาม
       
        ดูสิ..ทักษิณใช้เงินชี้ชะตาเอาชนะการเลือกตั้ง แต่กลับถูก“น้องน้ำ54”ที่น้ำไม่ได้มากกว่า “น้องน้ำ38”สอยแทบร่วง เพราะรัฐบาล“ปู”ที่“แม้ว”บงการอยู่ข้างหลัง บริหารจัดการผิดจนน้ำท่วมประเทศครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์
       
       ทำให้คนไทยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตายกว่า 600 คนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสกว่า 3 ล้านครัวเรือน ประเทศเสียหายกว่า 1.1 ล้านล้านบาท
       
        เท่านั้นไม่พอ..นายกฯ ยิ่งลักษณ์ยังปล่อยให้คนในรัฐบาล หากินบนความทุกข์ของผู้ประสบภัยน้ำท่วม ด้วยการโกงกินถุงยังชีพและการซื้อข้าวของอีกสารพัด
       
       ร้ายกว่านั้น..รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังเอาแต่เล่นสงครามน้ำลายทางการเมือง บนความเดือดร้อนของผู้คนที่ถูกน้ำท่วมอีกต่างหาก ทั้งปล่อยให้ ส.ส.รัฐบาลนำชาวบ้านไปรื้อคันกั้นน้ำและเปิดประตูน้ำ จนการระบายน้ำใน กทม.ปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา
       
       น้ำท่วมเพราะนักการเมืองชั่ว น้ำท่วมทำให้เห็นชัดเจนว่า นักการเมืองชั่วทั้งหลายนั่นแหละ คือ ตัวอันตรายต่อความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง!
       
       ตราบใดที่ประเทศไทยไม่มีการปฏิรูปการเมือง ขจัดหรือยุติการซื้อเสียงเลือกตั้งไม่ได้ ทักษิณกับนักการเมืองชั่วจะยึดอำนาจรัฐ เพื่อทำความชั่วได้ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง!
       
       ทักษิณและนักการเมืองชั่วจะพ่ายแพ้ ถ้าประเทศไทยใช้ระบบการเมืองที่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย ที่ทำให้ทักษิณกับพวกซื้อเสียงหรือโกงการเลือกตั้งไม่ได้ นั่นแหละ..ชาติกับประชาชนจึงจะชนะนักการเมืองชั่ว บ้านเมืองก็จะดีขึ้นไงล่ะครับ..
       
       ท่านผู้อ่าน..ให้เวลา-พิสูจน์“คำพยากรณ์” ให้ปาก-ท่องคำว่า..อะไรจะไม่เกิด-ก็ไม่เกิด อะไรจะเกิด-ก็ให้มันเกิด ให้ใจ-อย่าซีเรียสเครียดไปกับคำทำนาย ให้สมอง-รู้ไว้ใช่ว่า..ใส่บ่าแบกหาม..ดีไหมครับ!

สามารถอ่านคำทำนายตอน 1 - 7 ก่อนหน้านี้ได้จากลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนหนึ่ง)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000134664

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนสอง)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000137708

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนสาม)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000140862

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนสี่)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000144272

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนห้า)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000147456

เมื่อคำทาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนหก)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000150649

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนเจ็ด)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000153949


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 ธันวาคม 2554, 08:57:20
8 เหตุผลที่ "ธีระชัย" จะถูกคัดออก

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


เหตุผลหลายประการที่ทำให้ชื่อของ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.การคลัง อยู่ในลำดับต้นๆ ของรัฐมนตรี ที่จะถูกคัดออก


  ในการปรับคณะรัฐมนตรีเร็วๆ นี้ หลังจากทำงานมาได้เพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น

 ประการแรก ตอบแทนเรียบร้อยแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่า คุณธีระชัย มีส่วนสำคัญในการคลี่คลายปมปัญหาหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พัวพันอยู่เมื่อหลายปีก่อน คุณธีระชัย ที่ขณะนั้นเป็นเลขาธิการ ก.ล.ต. ออกมารับแทนทั้งหมด การได้ตำแหน่งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 จึงเป็นการตอบแทนบุญคุณ ซึ่งเป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิบัติมาตลอด

 2. ไม่ใช่ตัวเลือกลำดับแรกๆ ตั้งแต่แรกๆ ของการฟอร์มทีมรัฐบาล คุณธีระชัย ถูกวางตัวให้เป็นแค่ระดับรัฐมนตรีช่วยเท่านั้น แต่เพราะว่า ตัวจริง ที่ไปทาบทามไว้ ไม่ว่าจะเป็น นายวิชิต สุรพงษ์ชัย และ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ปฏิเสธทั้งหมด หวยจึงมาตกที่คุณธีระชัย แทน

 3. ข้าราชการไม่ยอมรับ ผ่านไป 4 เดือนคุณธีระชัย พยายามอย่างยิ่ง ที่จะได้รับการยอมรับจากข้าราชการ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเท่าใด เมื่อเทียบกับอดีตรมว.คลัง กรณ์ จาติกวณิช แล้ว ข้าราชการมองว่า คุณธีระชัย ยังห่างชั้น

 4. เงาปริศนาอยู่เบื้องหลัง การที่คุณธีระชัย แต่งตั้งคนที่ใกล้ชิดกับคนที่ใกล้ตัวตัวเอง มาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะผู้ทำงาน เพื่อทำหน้าที่กรองงานต่างๆ หวังว่างานต่างๆ จะเดินหน้าไม่ติดขัด แต่กลับกลายเป็นดาบที่เชือดตัวเองให้เจ็บปวด เมื่อเกิดหลายกรณีที่หัวหน้าคณะดังกล่าวทำเกินหน้าที่ จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงเงาปริศนาที่ซ่อนอยู่ และเป็นรัฐมนตรีตัวจริงเสียงจริงหรือไม่

 5. บุคลิกภาพเข้าถึงยาก ข้าราชการในกระทรวงการคลัง บอกว่า คุณธีระชัย ไม่เปิด เข้าถึงยาก และไม่ฟังใคร คิดว่าความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ซึ่งไม่ใช่บุคลิกที่ควรจะเป็นของผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ในยุคที่พรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาล ที่ปะยี่ห้อ คิดเป็น คิดไว ทำเป็น ทำไว เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหนียวแน่น

 6. การประสานงานมีปัญหา โดยเฉพาะการประสานงานกับกระทรวงต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล นอกจากจะไม่เข้าขา ไม่ไปในแนวทางเดียวกันแล้ว ยังจะมีปัญหาเนืองๆ กับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่าง กิตติรัตน์ ณ ระนอง โดยเฉพาะแผนพัฒนาตลาดทุน ที่ กิตติรัตน์ ในฐานะลูกน้องเก่า ออกมาเบรกแผนแปรรูปตลาดหลักทรัพย์

 7. ตลาดเงิน-ตลาดทุนไม่ยอมรับ ภาพของ ธีระชัย ที่กดดันอย่างหนักต่อ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ให้ดำเนินนโยบายการเงิน ตามที่ตัวเองต้องการ ผ่านนโยบายต่างๆ ทั้งเรื่องการตั้งกองทุนมั่งคั่ง หรือการรื้อกรอบเงินเฟ้อ ส่งผลสะท้อนถึงนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ที่ตลาดมองว่า ควรจะทำงานสอดประสานกันมากกว่าจะประสานงา

 8. ผลงานไม่เข้าตา เป็นเหตุผลสำคัญที่สุด เพราะตลอด 4 เดือนในตำแหน่งนี้ รวมถึงสถานการณ์น้ำท่วม ชื่อของคุณธีระชัย จมหายไปกับสายน้ำ การออกนโยบายช่วยเหลือผู้ประสบภัยไม่เข้าตาสังคม ที่สำคัญไม่เข้าตาพรรคเพื่อไทยที่มุ่งนโยบายประชานิยมเป็นหลัก โครงการรถคันแรก ถูกขับเคลื่อนโดย รัฐมนตรีช่วย บุญทรง เตริยาภิรมย์ ส่วนโครงการบ้านหลังแรก ถูกผลักดันโดย วิรุฬ เตชะไพบูลย์ โดยที่คุณธีระชัย แทบไม่ได้แสดงบทบาทแต่อย่างใด

 ใครที่จะมาแทน คุณธีระชัย นั้น ยังไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่า ทักษิณ ชินวัตร ที่เร่งกู้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลให้พ้นน้ำโดยด่วน โดยที่ การคลัง จะต้องมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนแผนฟื้นฟูฯ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมาทำหน้าที่คุมรอบนี้ ต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ ทำงานเป็น ฉับไว และตรงประเด็น แต่จะใช่ "ว" และ "ป" หรือไม่ "ทักษิณ" เท่านั้น จะเป็นผู้ให้คำตอบ อีกไม่นานคงรู้กัน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 ธันวาคม 2554, 11:16:25
"อากง"ฮีโร่พวกล้มเจ้าหรือตาเฒ่าจิตป่วน!
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม    
      
“เชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของโทรศัพท์ และซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ใช้ก่อเหตุ ข้อความมีลักษณะแสดงความอาฆาตมาดร้าย ใส่ความทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่ข้อความดังกล่าวล้วนไม่เป็นความจริง การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง พิพากษาว่าให้ลงโทษตามมาตรา 112 อันเป็นบทลงโทษสูงสุด ให้จำคุกจำเลย 4 กระทง ๆ 5 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 20 ปี”
       
       พลันสิ้นเสียงคำพิพากษาผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ นายอำพล ตั้งนพกุล หรือ อากง ชายชราในวัย 61 ปี ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูงที่ฟังอย่างสงบนิ่งในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังสิ้นคำพิพากษา นายอำพล ได้หันไปถามเจ้าหน้าที่ศาลเพราะฟังไม่ชัด เจ้าหน้าที่จึงบอกไปว่า "ลุงติดคุก 20 ปี" นายอำพล ถึงกับปลงตกในชีวิต
       
       หลังคำพิพากษา กรณีดังกล่าวก็กลายเป็นประเด็นร้อนแรง โดยกลุ่มคนที่เป็นปรปักษ์ต่อสถาบันต่างออกมาวิพากษ์ วิจารณ์ถึงบทลงโทษดังกล่าว บางคนพาลด่าว่าโทษรุนแรงเกินไป บางคนก็บอกว่าอากงเป็นผู้บริสุทธิ์ อากงถูกใส่ร้าย อากงคือเหยื่อมาตรา 112 โดยเฉพาะ น.ส.ลักขณา ปันวิชัย หรือ “คำ ผกา”นักเขียนดังถึงกับลงทุนเปลือยหน้าอกพร้อมเขียนข้อความว่า “No Hatre for Naked Heart” และเขียนคำว่า “อากง” บนฝ่ามือข้างขวา นอกจากนี้สังคมคนไม่เอาเจ้าก็ได้หยิบยกกรณีของอากงมาร้องแรกแหกกระเชออยู่ในสังคมโซเชียลมีเดียและในสื่อสีแดงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวจะเป็นการใส่ร้ายอากงอย่างที่กล่าวหากันหรือไม่ เราลองมาย้อนรอยคดีและพยานหลักฐานที่มัดตัวอากงจนดิ้นไม่หลุดอีกครั้ง
       
       ย้อนหลังไปเมื่อ วันที่ 9-12 พฤษภาคม 2553 ปรากฎว่ามีเบอร์โทรศัพท์ลึกลับส่งข้อความหมิ่นสถาบันไปให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นากยกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถึง 4 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีหลายคนได้รับข้อความดังกล่าว รวมทั้ง นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสีอีกด้วย
       
       ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2553 นายอภิสิทธิ์ ได้มอบอำนาจให้นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขาฯส่วนตัวเข้าแจ้งความ กับทาง พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อสืบสวนหาตัวผู้ก่อเหตุจาบจ้วงสถาบันสูงสุด เนื่องจากข้อความกระทบกระเทือนจิตใจคนไทยเป็นอย่างมาก
       
       ไม่รอช้า พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศรัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ขณะนั้น) ก็ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งสั่งตั้งคณะกรรมการร่วม โดยมี กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมและเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และแต่งตั้งให้ พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา รอง ผบก.ปอท.เป็นหัวหน้าคณะสืบสวนสอบสวน
       
       จากการตรวจสอบพบว่าเบอร์ที่ส่งเอสเอ็มเอสมาจากซิมการ์ดหมายเลขเดียวกันทั้งหมด แต่ซิมการ์ดดังกล่าวได้เลิกใช้ไปแล้ว ส่วนโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวตรวจสอบพบว่ายังมีการเปิดใช้อยู่ แต่ได้มีการเปลี่ยนซิมการ์ดใหม่ จากนั้นทางกองปราบปรามได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ 4 -5 นาย ลงพื้นที่ใน ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เนื่องจากตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวเปิดใช้อยู่ในพื้นที่นั้น โดยเจ้าหน้าที่ฝังตัวหาข่าวนานกว่า 2 สัปดาห์
       
       นอกจากนี้ได้ตรวจสอบข้อมูลที่โทรศัพท์เครื่องดังกล่าวโทรเข้า-โทรออกย้อนหลัง กระทั่งเรียกตัวพยานรายหนึ่งซึ่งเป็นบุตรสาวผู้ต้องสงสัยมาให้ปากคำ พยานคนดังกล่าวให้การว่าโทรศัพท์เครื่องนั้นนายอำพล เป็นคนใช้จริง โดยใช้ทั้งซิมการ์ดปัจจุบันและซิมการ์ดที่ส่งข้อความหมิ่นสถาบัน
       
       ต่อมาพนักงานสอบสวนได้รวมรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับ กระทั่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ ที่ 1659 /2553 ลงวันที่ 29 ก.ค.53 ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตาม ป.อาญา มาตรา 112
       
       3 สิงหาคม 2553 เวลา 7 โมงเช้า พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศรัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา รอง ผบก.ปอท.พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผกก.1 บก.ป.และพ.ต.ท.สุทธิเวท บุญยรัตกลิน สว.กก.1 บก.ป.ยศและตำแหน่งในขณะนั้นนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า 20 นาย เข้าปิดล้อมซอยวัดด่านสำโรง 17/1 และ 19 หมู่ที่ 4 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ลึกเข้าไปซอยเกือบ 100 เมตร ด้านซ้ายมือเป็นห้องแถวถืออิฐก่อปูนสองชั้น แบ่งซอยเป็นห้องเช่า กว่า 10 ห้อง สนนราคาค่าเช่าตกเดือนละ 1,200 บาท บริเวณห้องเช่าชั้นล่าง ห้องกลางคือเป้าหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
       
       เสียงเคาะประตูหลายครั้งปลุกนายอำพล ให้ลุกขึ้นมาเปิด เมื่อประตูเปิดออก เจ้าหน้าที่ได้ยื่นหมายจับและหมายค้นให้ดู พร้อมขอเข้าตรวจค้น ภายในห้องสี่เหลี่ยมคับแคบพบข้าวของระเกะระกะ มีเบาะนอนขนาดใหญ่วางอยู่ด้านหน้า และเด็กเล็กๆซึ่งเป็นหลานของนายอำพล 3 คน กำลังงัวเงียและตื่นตระหนก เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้ภรรยานายอำพล นำเด็กๆไปอยู่บริเวณหลังห้อง
       
       จากการตรวจค้นพบโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง โดยเครื่องที่ใช้ส่งเอสเอ็มเอสหมิ่นสถาบันคือ ยี่ห้อโมโตโรล่า สีขาว ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า
       
       “พระองค์ท่านไปทำอะไรให้ลุง” พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศรัตรู ถามพลางจ้องตารอคำตอบจาก นายอำพล แต่ชายชรานิ่งเงียบ มีเพียงแววตาเฉยชาราวกับไม่รู้สึกรู้สาในสิ่งที่ตนเองกระทำลงไปตอบกลับมาเท่านั้น
       
       ราวๆครึ่งชั่วโมง ก็มีกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทราบข่าวประมาณ 20 คนได้แห่กันมาที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่เห็นท่าไม่ดีเกรงจะมีการแย่งตัวผู้ต้องหา จึงรีบนำตัวนายอำพลเข้ากองปราบปรามมาสอบสวนต่อ
       
       “ผมไม่ได้ทำ โทรศัพท์ผมเสียจึงเอาไปซ่อม และได้เลิกใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ไปนานแล้ว”นายอำพล ให้การปฏิเสธในวันที่ถูกสอบเครียด
       
       จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายอำพลพาไปดูร้านซ่อมโทรศัพท์ ภายในห้างสรรพสินค้าอิมพิเรียล สาขาสำโรง ที่นายอำพลอ้างว่านำไปซ่อม แต่นายอำพลกลับแสร้งทำเป็นจำไม่ได้
       
       เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนคดีดังกล่าวนายหนึ่งเล่าว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญกระทบกระเทือนกับสถาบันสูงสุดของประเทศ การสืบสวนจับกุมจำต้องกระทำอย่างรอบคอบและรัดกุมที่สุด เจ้าหน้าที่ใช้เวลาสืบสวนกระทั่งตามจับกุมโดยใช้เวลาเดือนกว่า แต่อากงก็ได้ ปฏิเสธทั้งๆที่โทรศัพท์เครื่องที่ส่งข้อความมิบังควรถูกซุกซ่อนอยู่ในบ้านของอากงเอง
       
       ส่วนข้อครหาที่ว่าอากง ไม่มีใจฝักใฝ่กลุ่มคนเสื้อแดงและไม่น่าจะทราบเบอร์โทรศัพท์บุคคลสำคัญ ซึ่งข้อมูลจากฝ่ายสืบสวนทราบว่า นายอำพล คือเสื้อแดงระดับฮาร์ดคอร์ปากน้ำคนหนึ่งที่ถูกขึ้นบัญชีดำโดย กอ.รมน.และมักเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่เสมอ โดยในที่ชุมนุมจะมีการแจกจ่ายใบปลิวเบอร์โทรศัพท์บุคคลสำคัญที่กลุ่มคนเสื้อแดงเกลียดชังเพื่อให้สมาชิกโทรไปด่าหรือส่งข้อความป่วน
       
       “ผมขอยืนยันว่าจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มีความมั่นคง เป็นศูนย์รวมจิตใจและความรักสามัคคีของคนในชาติ และจะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือความขัดแย้งทุกรูปแบบ พร้อมทั้งจะดำเนินการตามกฏหมายกับบุคคลที่ล่วงละเมิดสถาบันอย่างจริงจังเพื่อป้องกันมิให้มีการล่วงละเมิดพระบรมเดชานุภาพได้ ” พล.ต.ท.ไถง กล่าวเสียงเข้มในวันจับกุม
       
       ถือเป็นการปิดคดีที่ใช้เวลานานร่วมเดือน การสืบสวนสอบสวนกระทำในลักษณะคณะกรรมการร่วม และพยานหลักฐานมัดแน่นทั้งสืบจากข้อมูลการใช้โทรศัพท์ โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้นอกจากนี้ยังมีคำให้การที่มัดตัวอากงโดยลูกสาวอากงเอง กระทั่งศาลพิพากษาจำคุก 20 ปี อย่างไรก็ตามแท้ที่จริงแล้ว ชายชราในวัยไม้ใกล้ฝั่งที่หลานๆเรียกขานเขาว่า"อากง"จะเป็นฮีโร่ของพวกล้มเจ้าหรือเป็นตาเฒ่าจิตป่วนลบหลู่สถาบันสูงสุดที่คนไทยให้ความเคารพนับถือ พยานหลักฐานที่สู้กันในกระบวนการยุติธรรม และคำพิพากษาของศาลก็น่าจะเพียงพอที่จะตอบคำถามของสังคมได้แล้ว



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 ธันวาคม 2554, 22:04:12
โฆษกศาลฯ แจง 5 ประเด็น “อากง” ติดคุก ชี้ ยังมีสิทธิ์สู้คดี-วอนคำนึงความรู้สึกประชาชนก่อนแก้ ม.112
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
   

      โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงคดี “อากง” หลังถูกปั่นกระแสเรียกร้องแก้ไข-ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เผย ศาลชั้นต้นชั่งน้ำหนักแล้วผิดจริง แต่ใช้สิทธิ์อุทธรณ์-ฎีกา ได้ตามกฎหมาย ชี้ บทลงโทษไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับข้อหาและพฤติการณ์ โต้พวกโจมตีศาลไม่เข้าใจประวัติศาสตร์-ธรรมเนียมประเพณี แจง มาตรา 112 แก้ไขได้ถ้าล้าสมัย แต่ต้องมองความรู้สึกประชาชน-อย่าใช้อารมณ์ชักจูงในทางเสียหาย ติชมด้วยใจเป็นกลาง
       
       วันนี้ (14 ธ.ค.) เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ตีพิมพ์บทความหัวข้อ “อากงปลงไม่ตก” ของ นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ซึ่งกล่าวถึงกรณีที่ นายอำพล ตั้งนพคุณ อายุ 61 ปี ซึ่งถูกตั้งฉายาว่า “อากง” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 20 ปี เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ากระแสสังคมให้ความสนใจรวมทั้งต่างชาติที่วิพากษ์วิจารณ์ศาลยุติธรรมไทยในทางไม่สร้างสรรค์
       
       นายสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า ศาลและกระบวนการยุติธรรม ไม่เคยขัดขวางการแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆ ขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนหลายคนที่วิจารณ์ผลคดีข้างต้นในทางลบยังมิได้รู้เห็นพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงในสำนวนความอย่างถ่องแท้ จึงขอตนำความจริงบางประการของสำนวนคดีนี้ ประกอบกับประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัยมานำเสนอเพื่อเป็นข้อมูลแลกเปลี่ยน
       
       โดยประเด็นอากงไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุก นายสิทธิศักดิ์ ชี้แจงว่า หากเป็นการตัดสินกันเองโดยบุคคลกลุ่มคนนอกศาลและกระบวนการยุติธรรม คงจะหาเหตุผลรองรับความชอบธรรมยาก เพราะเป็นความเชื่อส่วนตนที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เป็นอัตวิสัยที่อาจปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน ในขณะที่คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ อันเป็นหลักการสากลและหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม
       
       “ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อากง หรือจำเลยมีความผิด เพราะศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้ว เชื่อว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของอัยการโจทก์จริง แต่ถ้าจำเลยไม่เห็นด้วยไม่พอใจในผลคำพิพากษา ก็ยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ตามกฎหมาย ซึ่งในอดีตมีคดีที่ศาลสูงเห็นต่างจากศาลชั้นต้นพิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลล่าง ก็ไม่น้อย ดังนั้นเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด การจะด่วนสรุปว่าอากงเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยเสร็จเด็ดขาดนั้น ก็ยังมิใช่เป็นเรื่องที่แน่แท้เสมอไปดังที่บางคนมีความเชื่อและเข้าใจในทำนองนั้น แท้จริงแล้ว อากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด” นายสิทธิศักดิ์ กล่าว
       
       • ชี้ถ้อยคำหยาบคาย-อาฆาตกษัตริย์ต่างกรรมต่างวาระเข้าข่ายท้าทาย-ไม่สำนึกผิดชอบชั่วดี
       
       ประเด็นต่อมา เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษถึงจำคุก ซึ่งการที่ศาลลงโทษจำคุก 20 ปี เป็นโทษที่หนักเกินไป นายสิทธิศักดิ์ เห็นว่า ปกติการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลธรรมดาที่เป็นการดูหมิ่นใส่ความทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติคุณอย่างร้ายแรง กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดมีโทษถึงจำคุก ศาลยุติธรรมก็เคยลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมาแล้ว สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินีด้วยถ้อยคำภาษาที่ป่าเถื่อน และต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไปจะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน
       
       โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์พระประมุขของประเทศ อันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของปวงชนชาวไทยและทั่วโลก ในหลวงทรงครองสิริราชย์มาเป็นเวลากว่า 65 ปี ทรงครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม ห่วงใยทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎร์ตลอดเวลา แม้ในยามทรงพระประชวร พระองค์ก็ยังทรงงานเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนเช่นอุกทุกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทุ่มเทพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพ ทรงงานเพื่อความผาสุกของประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า ในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ก็บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลยแม้แต่น้อยนิด รวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรมและห่างไกลจากความเป็นจริง
       
       “คดีนี้มีข้อเท็จจริงบางประการที่ผู้วิจารณ์อาจยังรู้ไม่ครบถ้วนและเข้าใจคลาดเคลื่อน คือ นอกเหนือจากพฤติการณ์แห่งคดีหรือข้อความหมิ่นประมาทที่มีความรุนแรงและร้ายแรงอย่างมากแล้ว ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า ผู้กระทำไม่ได้กระทำความผิดแค่ครั้งเดียว แต่มีการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ ด้วยถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายถึง 4 ครั้ง มีถ้อยคำที่แตกต่างกันทุกครั้ง แสดงถึงเจตนาที่จงใจกระทำผิดกฎหมายอย่างท้าทายไม่ยำเกรงอาญาแผ่นดิน ไม่มีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอดจนถึงในชั้นศาลจึงไม่มีเหตุลดโทษ บรรเทาโทษตามกฎหมาย ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กฎหมายระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี” นายสิทธิศักดิ์กล่าว
       
       โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวในบทความว่า การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยในความผิดแต่ละครั้งจำคุกกระทงละ 5 ปี ตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นโทษบทหนักนั้น เป็นการลงโทษสูงกว่าโทษขั้นต่ำของกฎหมายเพียง 2 ปี ยังเหลืออัตราโทษอีก 10 ปี ที่ศาลมิได้นำมาใช้ เมื่อนำโทษทั้ง 4 กระทงมารวมกันเป็น 20 ปี คนทั่วไปที่ไม่รู้จึงเข้าใจผิดคิดว่าศาลลงโทษครั้งเดียว 20 ปี เห็นว่าโทษหนักไป แต่ถ้าเทียบกับพฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดีแล้ว หลายคนที่รู้จริงเห็นตรงข้ามว่าโทษเบาไปหรือเหมาะสมแล้วก็มี
       
       • โทษขึ้นอยู่กับความผิด-พฤติการณ์มิใช่อายุ-เจตนาทำร้ายสถาบันไม่มีใครอยากปล่อยลอยนวล
       
       สำหรับประเด็นอากงอายุมากแล้วควรได้รับการลดโทษ ปล่อยตัวไป หรือได้รับการประกันตัว นายสิทธิศักดิ์ ชี้แจงว่า แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า “อากง” ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใดสามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ แสดงว่า เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคมสถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
       
       “ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้ มาตรการที่เหมาะสมจึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กระทำความผิดคิดวางแผนไตร่ตรองในการกระทำความผิดอย่างแยบยลแนบเนียนด้วยแล้ว ก็ยิ่งสมควรใช้วิธีการที่เหมาะสม ในการคุ้มครองรักษาความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชนด้วย” โฆษกศาลยุติธรรม กล่าว
       
       นายสิทธิศักดิ์ กล่าวต่อว่า ไม่แน่แท้เสมอไปว่าชราชน ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับการลดโทษ ลงโทษน้อย หรือปล่อยตัวไปเสมอไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อหาความผิด ความเสียหายและพฤติการณ์การกระทำแต่ละคดีที่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป ส่วนการจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นเรื่องๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108, มาตรา 108/1
       
       • โต้กลับพวกโจมตีศาล “ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์-ธรรมเนียมประเพณี” ชี้มีข้อจำกัดเพื่อความมั่นคง
       
       ส่วนประเด็นที่ว่า ศาลไทยไม่มีมาตรฐานสากล ควรรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล
 นายสิทธิศักดิ์ชี้แจงว่า ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (International Covenant on Civil and Political Rights) ICCPR ได้บัญญัติรับรองในข้อ 19 ว่า
 1) บุคคลมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากแทรกแซง
2) บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา ได้รับและสื่อสารข้อมูลและความคิดทุกชนิด โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ไม่ว่าด้วยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยการพิมพ์ ในรูปแบบของศิลปะหรือโดยสื่อประการอื่นใดที่บุคคลดังกล่าวเลือก
3) การใช้สิทธิตามวรรคสองของข้อนี้ต้องประกอบด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบอันเป็นพิเศษ ดังนั้น สิทธิดังกล่าวจึงอาจอยู่ภายใต้ข้อจำกัด บางประการ แต่ข้อจำกัดนั้นต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติและเท่าที่จำเป็น คือ เพื่อเคารพต่อสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น และ เพื่อคุ้มครองความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของประชาชนสาธารณสุขหรือศีลธรรมอันดี
       
       นอกจากนั้น กติการะหว่างประเทศฯ ยังได้ให้ความคุ้มครองสิทธิของบุคคลในการที่จะไม่ถูกล่วงละเมิดทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเกียรติภูมิไว้ด้วยตามข้อ 17 ซึ่งกำหนดว่า
1.ไม่มีบุคคลใดที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การแทรกแซงตามอำเภอใจหรือโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อความเป็นส่วนตัว ครอบครัว หรือการติดต่อสื่อสาร หรือการโจมตีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อเกียรติภูมิและชื่อเสียง
 2.บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจากการแทรกแซงหรือการโจมตีเช่นว่านั้น ฉะนั้นแม้การแสดงความคิดเห็นถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่กติการะหว่างประเทศฯ ให้การยอมรับ แต่ในขณะเดียวกัน กติการะหว่างประเทศฯ ก็ได้กำหนดไว้ด้วยว่าการใช้สิทธิดังกล่าวต้องทำด้วยความสำนึกรับผิดชอบและไม่ล่วงละเมิดสิทธิของบุคคล เนื่องจากบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิ ในการรักษาชื่อเสียงและเกียรติภูมิของตนและต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายด้วยเช่นกัน
       
       ทั้งนี้ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR เป็นสนธิสัญญาพหุภาคี ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้ให้การรับรองเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2509 และมีผลใช้บังคับเมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ.2519 สนธิสัญญานี้ให้คำมั่นสัญญาว่าภาคีจะเคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ของบุคคล ซึ่งรวมถึงสิทธิในชีวิต เสรีภาพในศาสนา เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการรวมตัว สิทธิเลือกตั้ง และสิทธิในการได้รับการพิจารณาความอย่างยุติธรรม จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ.2552 กติการะหว่างประเทศนี้มีประเทศลงนาม 72 ประเทศ และภาคี 167 ประเทศ
       
       ประเทศไทย เข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญานี้โดยการภาคยานุวัติ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 และมีผลบังคับใช้กับไทย เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2540 อันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ที่ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น แต่เสรีภาพดังกล่าวก็ยังถูกจำกัดได้โดยกฎหมายหากเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิ หรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”
       
       นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5 บัญญัติว่า ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต และมาตรา 421 ก็บัญญัติว่า การใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีมาตรฐานเช่นเดียวกับหลักการสากลข้างต้น อันแสดงว่าประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน มีกฎหมาย ที่ความก้าวหน้าทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ เพียงแต่ภายใต้ระบอบการปกครองบ้านเมืองที่แตกต่างกัน ทุกประเทศจึงควรที่จะต้องให้เกียรติเคารพในความต่างที่เป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมและสังคมของแต่ละประเทศ
       
       “หากผู้วิจารณ์คนใดยังศึกษาภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ไม่ลึกซึ้งถึงแก่นแท้หรือมีข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนเพียงพอ ไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียม ประเพณี สังคมประเทศใดแล้ว การแสดงความเห็นว่าศาลหรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศอื่นในทำนองห่วงใยว่าจะไม่มีมาตรฐานสากลนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง และหมิ่นเหม่ต่อการกล่าวหากันอย่างไม่เป็นธรรม อาจทำให้คิดไปว่าผู้วิพากษ์เจือปนด้วยอคติที่ผิดหลงมีวาระซ่อนเร้น ประเทศไทยมีเอกราชทางการปกครองและการศาลมาช้านาน และประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” โฆษกศาลยุติธรรม ระบุ
       
       • ม.112 ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขได้ แต่ต้องมองความรู้สึกประชาชน-วอนอย่าใช้อารมณ์ชักจูงในทางเสียหาย
       
       สำหรับข้อเรียกร้องควรยกเลิกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายคอมพิวเตอร์นั้น โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวว่า กฎหมายทุกฉบับออกหรือตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นผู้แทนมาจากปวงชนชาวไทย สามารถแก้ไขปรับปรุงและยกเลิกได้ ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าล้าสมัยไม่เหมาะสม ศาลเป็นเพียงผู้ใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ที่สภานิติบัญญัติตราขึ้น มีกฎหมายหลายฉบับเขียนให้ศาลแทบใช้ดุลพินิจไม่ได้หรือ ต้องลงโทษสถานหนักในบางข้อหา เช่น ผลิตนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 แม้เพียง 1 เม็ด หรือข้อหาฆ่าบุพการี ต้องประหารชีวิตสถานเดียว เป็นต้น แม้การแก้ไขยกเลิกกฎหมายจะกระทำได้ก็ตาม แต่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ความสงบเรียบร้อยของสังคมและผลกระทบข้างเคียงอื่นที่อาจตามมาด้วย อย่าให้อารมณ์หรือกระแสแห่งการปลุกปั่นยั่วยุชักจูงไปในทางที่เสียหายได้
       
       “คดีอากง เป็นแค่ปฐมบทในการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลย ตามครรลองแห่งเสรีภาพที่กฎหมายเปิดช่องไว้ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุด การด่วนรวบรัดตัดความกล่าวโทษบุคคลหรือองค์กรที่ทำหน้าที่รักษากติกาสังคมอาจยังไม่เป็นธรรมนัก อย่างไรก็ตาม คนทุกชาติ ทุกภาษา ต่างหวงแหนรักในแผ่นดินเกิดของตนเองเคารพและศรัทธาในศาสดาที่เป็นผู้นำทางศาสนาของตนเอง ความแตกต่างทางความคิดเชื้อชาติศาสนาการปกครองบ้านเมืองศิลปวัฒนธรรม ประเพณี มิใช่สิ่งผิดปกติในสังคมโลก แต่การกล่าวร้ายใส่ความ แสดงความอาฆาตมาดร้ายศาสดาของศาสนาอื่น เป็นพฤติการณ์ที่ผู้เจริญมิสมควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะน้ำผึ้งหยดเดียวอาจกลายเป็นความหายนะของชาติได้ ดังนั้น หากอยากรู้ปัจจุบันและอนาคตของชาติใด ขอจงศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น” นายสิทธิศักดิ์ กล่าว
       
       โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับชาติไทยดำรงคงเอกราชมีเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย เป็นที่ชื่นชมยกย่องของคนทุกชาติทุกภาษา เพราะผู้คนในสังคมไทยยังมีความรักสามัคคี มีน้ำใจ เอื้ออาทรผ่อนปรนเข้าหากัน ไม่ก้าวร้าวรุนแรงโดยขาดสติไร้เหตุผลรักหวงแหน เทิดทูนในชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์จากรุ่นสู่รุ่น และปลูกฝังถ่ายทอดเป็นมรดกสู่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน หากคนไทยยังรักและภูมิใจในแผ่นดินเกิด ขอได้โปรดช่วยกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ การจะติชมวิพากษ์เป็นเสรีภาพที่กระทำได้ ขอเพียงมีจิตเป็นกลาง ไม่มีอคติ และบนฐานคติที่สร้างสรรค์ พึงอย่าได้ใช้สิทธิส่วนตนเกินส่วนจนเกินขอบเขตก้าวล้ำสิทธิเสรีภาพผู้อื่น
       
       “อย่าได้แสดงความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย ประหัตประหารด้วยอาวุธลมปากและความเท็จต่อผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุอื่นมาสร้างความชอบธรรมแก่ตนเอง อย่าให้ลูกหลานในอนาคตเหลือแค่ความทรงจำแห่งความภาคภูมิในอดีตบนซากปรักหักพังของชาติไทย ที่ผองชนรุ่นปัจจุบันได้ทำลายล้างไปอย่างตั้งใจและมิได้ตั้งใจ” นายสิทธิศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 ธันวาคม 2554, 21:58:12


ปชป.ปูดสุนัยใช้งบหลวงเลี้ยงข้าวเสื้อแดง

   กรุงเทพธุรกิจ

โฆษกปชป. ปูด "สุนัย"  ใช้งบหลวงเลี้ยงข้าวเสื้อแดงที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ระหว่างบินยื่นฟ้องศาลโลกกรณีสลายชุมนุม

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า กรณีที่นายสุนัย จุลพงศธร ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่าการเดินทางไปกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อยื่นหนังสือฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ไปเป็นการส่วนตัว ไม่ได้เบียดบังงบประมาณของราชการ และไม่ได้อ้างกรรมาธิการ

อย่างไรก็ตาม  แต่จากข้อเท็จจริงที่ตนเองได้รับจากผู้หวังดี ที่อยู่ที่กรุงเฮก บอกว่านายสุนัยไปวางกล้าม อวดเบ่ง มีกลุ่มคนเสื้อแดงไปรับประทานข้าวในร้านอาหารกลางเมือง ซึ่งหากใช้งบประมาณส่วนตัวก็ไม่เป็นไร แต่กลับให้สถานทูตดูแล ต้องใช้งบประมาณราชการไปรับรอง  อยากถามว่านายสุนัยไปในฐานะอะไร แล้วมีสิทธิอะไรในการไปก้าวก่ายการทำงานของเจ้าหน้าที่สถานทูต ไปใช้เครือข่ายของเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงาน ไปใช้งบหลวงระหว่างที่ไปพำนักที่นั่น

นายชวนนท์ กล่าวอีกว่า ยังจับข้อโกหกได้ว่าเมื่อนายสุนัยไปยื่นจดหมายถึงรองประธานศาลโลกให้ไต่สวนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กรณีมีการเสียชีวิตจากการชุมนุม ได้ระบุชัดว่าทำในฐานะสส. และประธานกรรมาธิการต่างประเทศ สภาฯ ​ ดังนั้นคงต้องให้กรรมาธิการการต่างประเทศออกมาชี้แจงว่ามีมติส่งประธานกรรมาธิการฯไปทำหน้าที่นี้หรือไม่ เพราะนายสุนัยจะมาแอบอ้างแล้วโกหกประชาชนไปวันๆ ก่อนไปพูดอย่าง พอไปถึงก็ไปทำอีกอย่าง ฉะนั้นคงต้องตรวจสอบด้านจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎรอีกทางหนึ่งด้วย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 ธันวาคม 2554, 22:01:48
"ศิริโชค" บุกทำเนียบยื่นหนังสือบล็อกคลิปเสียง "สุนัย" หมิ่นสถาบัน "เหลิม" รับปากจะดำเนินการตามกฎหมาย

กรุงเทพธุรกิจ

 

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสมผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยเนื้อหาระบุว่า ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เนื่องจากมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอผ่านทางเว็บไซต์ยูทูบความยาวประมาณ 45 นาที ซึ่งเป็นการบรรยายของนายสุนัยระหว่างพบกับกลุ่มคนเสื้อแดงในต่างประเทศ มีเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในหลายช่วง จึงขอให้ ร.ต.อ.เฉลิมดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาลในการปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของคนไทย


"การยื่นหนังสือครั้งนี้ตนไม่ได้ประสงค์จะให้เบี่ยงเบนเรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมือง และไม่ต้องการให้พรรคเพื่อไทยนำไปอ้างว่าพรรคประชาธิปัตย์นำสถาบันหลักของชาติมากล่าวร้ายป่ายสีทางการเมือง จึงหวังว่า ร.ต.อ.เฉลิมจะเดินหน้าตรวจสอบ เพราะหากไม่ดำเนินการใดๆ จะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีทัศนคติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ต่างจากนายสุนัย" นายศิริโชคกล่าว


ด้าน ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ยืนยันว่าจะดำเนินการทุกอย่างไปตามกฎหมาย ใครทำผิดกฎหมายก็ต้องได้รับโทษ โดยจะใช้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่มีหน้าที่โดยตรงทำงาน และตนในฐานะประธานปราบเว็บหมิ่นสถาบัน จะทำงานตรวจสอบควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้ ตนได้รับการติดต่อจากบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว และต่อไปจะขอความร่วมมือจากบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ในการดำเนินการบล็อกเว็บหมิ่นสถาบันด้วย ตนไม่ถือว่าการยื่นเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง หรือคนต่างพรรค เพราะการปกป้องสถาบันถือเป็นสิทธิและหน้าที่ของคนไทยทุกคน และส่วนจะตรวจสอบบล็อกเว็บที่มีเสียงของนายสุนัยได้ภายในกี่วันนั้น ขอเวลาตรวจสอบก่อน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 ธันวาคม 2554, 22:09:58
อับดุลเอ๊ย...เอ๊ย!!!

    ท่านขุนน้อย

15 ธันวาคม 2554 - 00:00

   เห็นลีลาของ ดอกเตอร์เหลิม ในช่วงนี้...ต้องเรียกว่าไหลลื่นพอๆ กับ ดอกเตอร์อับดุล เอาเลยทีเดียว คือออกไปในแนว...อับดุลเอ๊ย...เอ๊ย...รู้ว่านี่อะไร...รู้...รู้ว่าอยู่ที่ไหน...รู้...รู้ว่าใครทำอะไร...รู้ คือรู้ไปหมดในทุกๆ เรื่อง ทั้งๆ ที่นอนคลุมโปงปิดหัว ปิดหู อยู่แท้ๆ แถมระหว่างตอบคำถามในทุกๆ คำตอบ ยังสลับฉากด้วยการขายยา และหลอกรับประทานผู้ดู ผู้ชมทั้งหลาย ชนิดรอบวงซะอีกล่วย!!!
                            --------------------------------------------------------
    แม้ว่าในช่วงจัดโผ ครม.คราวแรก...รายชื่อของ ดอกเตอร์เหลิม หวิดจะหลุดแหล่ มิหลุดแหล่ หวีดหวิว ฉิวเฉียด ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด เอาเลยก็ว่าได้ ถึงขั้นที่เจ้าตัวต้องออกมารำพึง รำพัน ตัดพ้ออยู่ซักพักใหญ่ๆ รวมทั้งต้องเปิดไฟเขียวให้บรรดา ส.ส.อีสานผู้ใกล้ชิด ออกมาง่ำๆ แง่ๆ แสยะเขี้ยวให้เห็นถึงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จะค่อยๆ หล่นลงมาใส่นิ้วหัวแม่โป้งข้างซ้าย และเมื่อกระชากเท้าหลบไม่ทัน จึงได้เป็นรองนายกฯ ไปตามความใฝ่ฝัน และแรงปรารถนาจนได้ แต่เมื่อได้มีฐานะ ตำแหน่ง เป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ด้วยประสบการณ์ ความเชี่ยวกราก ขนาดเขี้ยวที่ยาวกว่าใครๆ ในบรรดาแถว 3 แถว 4 ทั้งสิ้น รัฐบาล หนูไม่รู้ ของคุณน้อง ปู ยิ่งลักษณ์ ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยบุญ บารมี ของ ดอกเตอร์เหลิม ในแบบแทบจะทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี จนกลายมาเป็นมวยหลักเป็น มิดฟิลด์ตัวจ่าย หรือเป็นผู้ขับเคลื่อนรัฐบาลตัวจริงไปแล้ว ณ ขณะนี้...
                            -----------------------------------------------------------
    ด้วยสถานะ ตำแหน่ง ในแบบที่ว่า...จึงไม่ถึงกับน่าแปลกใจอะไรมากมาย ที่เมื่อเกิดอะไรขึ้นมาเมื่อไหร่ อับดุล ก็ต้องร้อง เอ๊ย ซะทุกทีไป แต่อย่าดันไปถามว่า อับดุลเอ๊ย...เอ๊ย...ไอ้ปื๊ดอยู่ที่ไหน อันนี้นอกจาก อับดุล จะไม่เอ๊ยแล้ว ดีไม่ดี อับดุล จะลุกขึ้นมาถีบผู้ถามเอาง่ายๆ หรือเว้นไปจากเรื่องนี้แล้ว อับดุล ย่อมสามารถตอบคำถามได้ในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี ส่วนจะตอบถูก ตอบผิด อย่าไปเสียเวลาสนใจอะไรมากมาย เพราะสิ่งซึ่งน่าสนใจยิ่งไปกว่าคำตอบทั้งหลาย นั่นก็คือว่า...ระหว่างที่กำลังถาม กำลังตอบ กำลัง เอ๊ยไป...เอ๊ยมา นั้น อับดุล จะขายยาให้ใคร หรือจะหลอกรับประทานใคร อันนี้นี่แหละ...ที่สำคัญซะยิ่งกว่า!!!
                            -----------------------------------------------------------
    เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนก็แล้วแต่ ถ้าหากเคยรู้มือ รู้ตีน กันมา...ต่างก็หวาดเสียว อับดุล ไปด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่ง นายใหญ่ ก็เถอะ ระหว่างที่กำลังร้อง อับดุลเอ๊ย...เอ๊ย แบบไปๆ-มาๆ นั้น ก็ใช่ว่าจะวางใจ ไว้ใจ อับดุล ไปซะในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี หรือใช่ว่ากล้าจะรับประทานยาที่ อับดุลขายให้ พร้อมจะซดเฮือกๆ ในทุกเรื่องที่นำเสนอ เพราะเจอเข้ากับรายการ สับขาหลอก ใครต่อใคร ในกรณี พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ จนป่านนี้ก็ยังไม่เป็นที่สรุปแน่ชัดว่า ใครกันแน่!!! ที่เป็นฝ่ายโดนสับขาหลอก ฝ่ายมัน หรือฝ่ายเรา ออกอาการมึนซ์ซ์ซ์งงง์ง์กันไปทั้งบาง หลังจากรับประทานยาชุดของ อับดุล เข้าไปชุดใหญ่ๆ...
                              -------------------------------------------------------------
    ด้วยเหตุนี้...เพื่อป้องกันความหวาดเสียว หรือลดความหวาดเสียวของ อับดุล ย่อมต้องมีการหันไปพึ่งบริการ เจ๊ใหญ่ และใครต่อใคร เอาไว้คอยถ่วงๆ ไว้คอยจำแนก แยกแยะ ตัวยาแต่ละชนิด ที่ อับดุล นำเสนอมาให้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีขึ้นมา ในตอนไหน เมื่อไหร่ บรรยากาศมันจึงออกไปทางชุลมุน ชุลเก หวาดหวั่น ขวัญสยอง ชนิดแทบไม่รู้ว่าไผเป็นไผ สายไหนเป็นสายไหน ใครเป็นสายตรง สายอ้อม สายพี่เมีย น้องเมีย หรือสายผัวโดยตรง ฯลฯ ต่างฝ่ายต่างเลยต้องยกขบวนไปฮ่องกง สิงคโปร์ กันเป็นเทือก ในขณะที่ อับดุลยังมัวแต่ร้องเอ๊ยไป เอ๊ยมา รู้หมด รู้ทุกเรื่อง แต่ยังไม่มีโอกาสที่จะรู้ชะตากรรมของตัวเอง ว่าจะออกหัว ออกก้อย ถ้าหากมีการปรับ ครม.ชุดใหม่ขึ้นมาจริงๆ...
                            --------------------------------------------------------------
    เพราะแม้ว่าการเป็น อดีตตำรวจเก่า จะทำให้สถานะของ อับดุล ดูมั่นคง เข้มแข็ง อยู่ไม่น้อย...โดยเฉพาะออกจะเป็นอะไรที่สอดคล้อง เหมาะสม กับการสถาปนา รัฐตำรวจ ให้เป็นรูป เป็นร่าง เป็นจริง เป็นจัง ขึ้นมาให้จงได้
แต่อย่างที่ใครต่อใครเคยพูดๆ เป็นภาษิตสอนใจ เอาไว้นั่นแหละว่า ถ้าเจองู...กับเจอแขก...ให้ตีตำรวจเอาไว้ก่อน ปฏิบัติการฆ่าน้อง-ฟ้องนาย-และขายเพื่อน อันถือเป็นคุณลักษณะประจำเหล่าของบรรดาตำรวจไทย นับแต่ชั้นยศนายพลขึ้นไป ย่อมเป็นสิ่งซึ่งรู้ๆ กันอยู่มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้...ถึงจังหวะปรับคณะรัฐมนตรีขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ใช่ว่าสถานะของ อับดุล จะสามารถดำรงความเป็นมวยหลัก เป็นมิดฟิลด์ตัวจ่าย ให้กับรัฐบาลในทุกๆ เรื่อง เหมือนอย่างเท่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ โอกาสที่จะได้ยินเสียงตะโกนเรียก เสียงขานรับแบบ อับดุลเอ๊ย...เอ๊ยอย่างเช่น ณ ขณะนี้ อาจต้องเปลี่ยนเป็น อับดุลโว๊ย...โอ๊ย!!! ไปแทนที่เอาเลยก็ไม่แน่...
                            ----------------------------------------------------------------
    สรุปรวมความแล้ว...เมื่อพิจารณาถึงความชุลมุน ชุลเก ในคณะรัฐมนตรีหรือในคณะรัฐบาลขณะนี้ มันน่าจะเป็นไปตามที่คุณน้อง ปู ยิ่งลักษณ์ เธอปรารภ รำพึง เอาไว้นั่นแหละ คงต้องยืดเวลาออกไปซักพักใหญ่ๆ รอวัน รอเวลาให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเข้าที่ เข้าทาง ตกผลึก ลงตัว กว่าเท่าที่เป็นอยู่ มันถึงจะไม่เกิดอาการแตกดังโพล๊ะ เกิดรายการติดดาบปลายปืน หันมาไล่เสียบ ไล่แทงกันเอง จน ป้อมค่าย อาจถูกตีแตกจากภายในจนได้ แต่ก็อย่างว่าวัน เวลาเท่าที่เหลือ มันคงเหลืออยู่น้อยเต็มที ความล้มเหลวของรัฐบาลตลอดช่วงระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะล้มเหลวต่อไปเรื่อยๆ ถ้าหากไม่คิดจะทำอะไรขึ้นมาบ้างในช่วงนี้ โอกาสที่จะ ไปทั้งยวง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และจะไปพึ่ง อับดุล รายเดียว...ก็คงไม่ไหวแล้ว!!! ประเภททั้งๆ ที่นอนคลุมโปง แต่รู้หมดไปทุกๆ เรื่อง อันนี้...ต้องเรียกว่าถือเป็นการ หลอกขายยา ล้วนๆ...
                            ------------------------------------------------------------------
    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก C.S. Lewis...ท่านได้เห็น และ ได้ยินอะไร...ขึ้นอยู่กับว่าท่านยืนอยู่ ณ ที่ใด และขึ้นอยู่กับว่าท่านเป็นคนประเภทใด...


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 ธันวาคม 2554, 12:06:17
สลิ่มโจ๊ก‏

 
1. คิวแม่งยาวจัง
ตาสีกับตาสาเข้าคิวรอรับถุงยังชีพแถวยาวมาก ระหว่างรอตาสีก็ด่าทักเหลี่ยม
ว่าเป็นตัวต้นเหตุแห่งความลำบากยากแค้น ตาสาชักรำคาญก็เลยบอกว่า
ถ้าเกลียดมันนักก็ไปถุยใส่รูปที่ติดอยู่ข้างรถบรรทุกด้านโน้นสิวะ อั๊วจะจองคิวนี้ไว้ให้มึง
ตาสีก็เลยเดินออกไปทางที่ตาสาบอก 
ระหว่างที่ตาสารอคิวอยู่ สักพักตาสีก็เดินหัวเสียกลับมา
 
ตาสาก็ถามว่า  หารูปที่ว่าไม่เจอหรือไงวะ
ตาสีบอกว่า  เปล่าหรอก กูเห็นแล้วมันหมดอารมณ์
ตาสาถามอีกว่า  ทำไมล่ะ 
จะไม่เสียอารมณ์ได้ไง ตาสีบอก ที่ตรงนั้นคิวแม่งยาวกว่าคิวที่ตรงนี้อีก


2. ตาสีตาสาเจอะทักเหลี่ยม
ตาสี ตาสา ตกอับเลยต้องออกไปจี้ปล้น พอดีเดินไปเจอคนหน้าเหลี่ยม
ตาสี: หยุดเดี๋ยวนี้ ส่งเงินทั้งหมดของแกมาเร็ว
คนหน้าเหลี่ยม :แกรู้ไหมว่าอั๊วเป็นใคร อั๊วคือทักเหลี่ยม พ่อเสื้อแดงนะมึง
ตาสี : เอ้า ถ้างั้นเปลี่ยนใหม่ก็ได้ ส่งเงินทั้งหมดของพวกกูคืนมา

3. ประกาศข่าวด่วนจากสรยวย:
ขอแจ้งข่าวด่วนให้ท่านได้ทราบว่าขณะนี้มีผู้ก่อการร้ายชุดดำ อ้างว่าเป็นแก๊งลูกน้องปลัด
ได้จับทักเหลี่ยมไปเพื่อแลกกับเงินหนึ่งพันล้านบาท มิเช่นนั้นจะจุดไฟเผาให้ตาย
เราจึงประกาศขอให้ท่านผู้ชมท่านผู้ฟังช่วยกันบริจาคเงินคนละเล็กคนละน้อยเพื่อช่วยท่านผู้นำของพวกเรา

หลังจากสักพักที่สรยวยดำเนินรายการต่อไป ก็ปรากฏตัววิ่งข้างล่าง บอกว่า อั๊วขอบริจาคน้ำมันก๊าด 1 ลิตร


4. ประกาศจากกรมไปรษณีย์
หลังจาก พรบ.นิรโทษกรรมมีผลบังคับใช้ กรมไปรษณีย์ก็ได้ออกแสตมป์รูปทักเหลี่ยมออกมาเพื่อหวังเลียดวงใจทักเหลี่ยม
       แต่เกิดความสับสนในหมู่ผู้ใช้  คือส่วนใหญ่จะถุยน้ำลายใส่ผิดด้าน

5. ตาสีคุยกับคนอเมริกัน
ตาสีคุยกับคนอเมริกัน : ที่อเมริกา คุณทำอะไรกับไอ้พวกคอรัปชั่นโกงกินภาษีของประชาชน
คนอเมริกัน: เราจับเขาเข้าคุก แต่เราก็ดูแลอย่างมีมนุษยธรรม เราให้อาหารให้น้ำให้เสื้อผ้า
                 ระหว่างรอการตัดสินที่ยาวนานของศาล
ตาสี: โธ่เอ๋ย  เรื่องจิ๊บจ้อย ที่เมืองของเรานี่คะแนนเสียงส่วนใหญ่จะเลือกให้มันเป็นนายก


6. เทวดากับตาสี
เทวดาพูดกับตาสี: ที่เจ้าถวายเครื่องเส้นมานี่ เจ้าจะเอาอะไร
ตาสี: ลูกช้างขอมีเงินทองสักแสนล้าน
เทวดา: เฮ๊ย ข้าเป็นแค่เทวดาโว๊ย ไม่ได้เป็นทักเหลี่ยม



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 ธันวาคม 2554, 12:54:54
หลังจากถูกกระหน่ำ ประณามอย่างหนัก จากชาวใทย ผ่าน เฟชบุ๊ก

สหรัฐยืนยันเคียงข้างคนไทย-ไม่แทรกแซงกิจการภายใน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1
   
       สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ออกคำแถลงการณ์ผ่านทางเฟสบุ๊กและทวิตเตอร์ มีใจความว่า ดังที่เอกอัครราชทูตเคนนี ได้กล่าวว่า รัฐบาลไทย และสหรัฐอเมริกานั้น มีความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และวัฒนธรรมของประเทศไทยอย่างสูงที่สุด
        เมื่อเร็วๆ นี้ นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดี และนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ รวมถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ได้ถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 84 พรรษา
        ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นมิตรเก่าแก่ที่สุดในเอเชียของสหรัฐฯ และสหรัฐฯ ยังคงยืนยันที่จะเคียงข้างประชาชนไทยตลอดไป โดยเคารพกฎหมาย และสำหรับกิจการภายในของประเทศไทยนั้น สหรัฐฯ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดทั้งสิ้น และสนับสนุนให้มีเสรีภาพในการแสดงออก ในทุกประเทศทั่วโลก และถือว่าเป็นเสรีภาพที่มีสิทธิพื้นฐานของมนุษย์


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 ธันวาคม 2554, 16:10:44
ระเบิด3ลูกกลบข่าวคืนพาสปอร์ต'ทักษิณ'?

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

   
 ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องวางระเบิด 3 ลูก ที่เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ เหมือนแหกตาประชาชน
เพิ่อกลบข่าว กระทรวงการต่างประเทศ คืนพาสปอร์ตให้"ทักษิณ"

เหตุคนร้ายวางระเบิด แสวงเครื่องในพื้นที่ลาดกระบัง กรุงเทพฯ โดยระเบิดอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน มีสก็อตเทปสีดำพันระเบิดไว้ โดยระเบิดมีความกว้าง 5 นิ้ว ยาว 10 นิ้ว บรรจุในท่อพีวีซีและห่อด้วยถุงพลาสติกเพื่อใช้พรางสายตาอีกชั้นหนึ่ง และจุดระเบิดด้วยรีโมตคอนโทรล

จุดแรก นำไปวางไว้ที่ กองขยะข้างรั้วของธนาคาร เจ้าหน้าที่ทำการเอกซเรย์ระเบิดก่อนใช้อุปกรณ์ตัดสายไฟเพื่อทำลายแผงวงจรระเบิด จากการตรวจสอบอย่างละเอียด คนร้ายจะกดระเบิดด้วยรีโมตคอนโทรล

ส่วนจุดที่สอง  คนร้ายใช้ระเบิดแสวงเครื่องวางไว้ บนถนนมอเตอร์เวย์ ช่วงคู่ขนานกาญจนาภิเษก 39 จุดนี้ พบระเบิดแสวงเครื่อง 2 ลูก อยู่ในท่อพีวีซีสีดำ ในสภาพพร้อมใช้งาน ติดนาฬิกาปลุก 2 เครื่อง ตั้งเวลาการทำงานไว้ในเวลาประมาณ 12.55 น.

จุดที่สาม บริเวณถนนลาดกระบัง 13 คนร้ายวางระเบิดแสวงเครื่อง 2 ลูก และนาฬิกาปลุกไว้ในพงหญ้าใต้สะพานคนข้าม ตรงข้ามตลาดนัดสุวรรณภูมิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้สามารถเก็บกู้ได้ครบทั้ง 3 จุด แล้ว

รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พร้อมด้วยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ประกอบด้วย ผบ.ตร. พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์  รอง ผบ.ตร.พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา  ผบช.น.พล.ต.ท.วินัย ทองสอง  นำตัวนายจิรวัฒน์ จันทร์เพ็ง อายุ 45 ปี ชาวสกลนคร ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางระเบิดสามจุดในพื้นที่ กทม.เมื่อคืนที่ผ่านมา แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

โดยร.ต.อ.เฉลิม และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั่งประกบผู้ต้องหาทั้งสองข้างไม่เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถามผู้ต้องหาแต่อย่างใด และเมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามรายละเอียดในเรื่องต่างๆ ร.ต.อ.เฉลิม จะเป็นผู้ชิงตอบเองหมด

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหาที่จะไม่พูดอย่างใด และการแถลงข่าวในครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น โดย ร.ต.อ.เฉลิม อ้างว่าจะต้องรีบเดินทางไปประชุมสภาผู้แทนราษฏร จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจรีบนำตัวนายจิรวัฒน์ เดินทางกลับไปทันที

เรื่องวางระเบิด3ลูก ที่กทม. เหมือนแหกตาประชาชน

ก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นคนประกาศเองว่าจะมีระเบิด 10 จุดในช่วงใกล้ปีใหม่ แต่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตอบนักข่าวว่า เรื่องนี้ ไม่มีรายงาน

และเป็นร.ต.อ.เฉลิม ผู้ประกาศจะเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ที่แปลงร่างในชื่อกฎหมายปรองดอง ทำให้คนด่าทั้งเมืองว่าเป็นการออกกฎหมายเพื่อช่วยทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น

ตกเป็นผู้ร้ายในสายตาผู้คนได้ไม่กี่วัน ก็เกิดการวางระเบิด โดยหนุ่มสกลฯ ถิ่นคนเสื้อแดง และเป็นร.ต.อ.เฉลิม ที่ไปถึงที่เกิดเหตุก่อนผบ.ตณง และเป็นผู้จัดแถลงข่าว ได้ 2 เด้ง เด้งหนึ่งคือ ให้ตำรวจยุค "เพรียวพันธ์" เป็นฮีโร่ เกิดเหตุแเล้วจัวกับคนร้ายได้ทันที

ผิดกับคดียิงหัวคะแนนนายอี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้สมัครส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่อี้ ออกมาให้ข้อมูลว่าผู้บงการคือนักการเมือง รู้จักนักการเมืองใหญ่ในพื้นที่ดอนเมือง คดีนี้กลับคืบหน้าแบบช้าๆ และชิงตัดตอนว่า คดีเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับการเมือง

นอกจากนี้ รู้สึกคล้าย ๆ จะกลบเกลื่อนข่าวคืนพาสปอร์ตให้ "ทักษิณ"

ล่าสุด นายสุพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า คืนพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว และท้าให้ฝ่ายค้านฟ้องร้องหากเห็นว่าทำผิดกฎหมาย

ภาพที่ "เฉลิม" นำผู้ต้องหาวางระเบิดแถลงข่าว ช่างไม่แตกต่างกับ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ พร้อมด้วยตำรวจจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ปปท.) และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้นำตัวนายเอกวิทย์ ทองดีวรกุล อายุ 22 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.สงขลา เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และมือแฮกเกอร์เฟซบุ๊คของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหากรณีเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงของผู้อื่นโดยมิชอบ มาแถลงข่าว ที่ น.อ.อนุดิษฐ์ชิงตอบคนเดียวทั้งหมด

สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบหายไปกับสายลม

และเชื่อขนมกินว่าเรื่องระเบิดนี้ก็เช่นกัน


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 ธันวาคม 2554, 11:07:28
“สำนวนพิษ” เหตุที่ต้องปลด”เฉลิม”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    

      
 -ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อาจจะอยู่เย็นเป็นสุขเมื่อนั่งเก้าอี้ มีอำนาจวาสนา แล้วพูดจาโอ้อวด เสมือนหนึ่งผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน
       
       แต่ถ้าเมื่อไหร่หมดราคาค่างวด ตกจากเก้าอี้ ไม่มีตำแหน่งให้ทำงาน เฉลิม ก็อาจจะไม่มีที่ยืนในสังคม
       
       การกระทำของเฉลิม ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งควบคุมตำรวจ 2 แสนทั่วประเทศ กำลังทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป
       
       โอกาสกลับเมืองไทยอย่างสง่าผ่าเผยถูกปิดตายทันที หลังจากเฉลิมขึ้นมาควบคุมตำรวจ
       
       ผลงานของเฉลิมที่ไม่อาจจะนับเป็นผลงานได้ เพราะใครที่ควบคุมดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น
       
       ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็น ผบ.ตร. หรือความพยายาม ร่าง พ.ร.ฎ.นิรโทษกรรม ด้วยการใส่ชื่อทักษิณ เป็นหนึ่งใน 26,000 คน
       
       ปัจจุบันเฉลิมกำลังเดินหน้า “เปลี่ยนสีแปรธาตุสำนวนการสอบสวน” ทุกคดีที่ทำให้ศัตรูของทักษิณติดคุก หรือมีมลทินให้ได้
       
       แต่การกระทำเช่นนี้ จะทำให้ศัตรูยิ่งกลายเป็น “คู่อาฆาต” มิตรกลายเป็นคนห่างเหิน คนยืนตรงกลางเริ่มหมั่นไส้
       
       ความเกลียดชังกำลังสะสมปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ
       
       
       หากเป็นไปตามโผโยกย้ายนายตำรวจระดับ พล.ต.ต. ที่เปิดเผยตามสื่อมวลชน
       
       มีรายชื่อ 2 คน ที่กระชากเส้นแบ่ง “คุณธรรมความดี” ของสังคมไทยให้ขาดออกจากกัน นั่นคือ
       
       พล.ต.ต.มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ ผบก.สทส. อดีต ผบก.น.1 ซึ่งเคยถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีสลายการชุมนุมเสื้อเหลือง บริเวณเซ็นทรัลเวิลด์ จะได้รับการแต่งตั้งเป็นรอง ผบช.น.
       
       พ.ต.อ.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ หรือ โอ๋ สืบ 6 รอง ผบก.ปส. 3 เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลมีความผิดพากลุ่มคนทำร้ายผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ จะขยับเป็น ผบก.น. 6
       
       ศิริโชค โสภา ส.ส. สงขลา ในฐานะ รมว.กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ เงา (ไอซีที เงา) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Sirichok Sopha เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า พ.ต.อ.วัลลภ ประทุมเมือง รองผู้บังคับการ น. 9 เป็นบุคคลที่สังคมต้องจับตา เพราะเป็นตำรวจคนสนิทของ ร.ต.อ.เฉลิม อยุ่บำรุง และเป็นผู้อาสาเข้ามาดำเนินการพลิกสำนวนที่พนักงานสอบสวนชุดที่แล้ว มีความเห็นว่า การตายของนักข่าวญี่ปุ่น ไม่มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าเป็นการตายที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
       
       “ แต่บัดนี้มีความพยายามที่จะพลิกสำนวนให้การตายเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้อัยการส่งศาลตาม มาตรา 150 วรรค 3 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อให้ศาลทำการไต่สวน และทำคำสั่งแสดงว่า ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และสาเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้าย ให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำร้าย เท่าที่จะทราบได้ "
       
       และเมื่อศาลมีความเห็นว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้ว ก็จะโยง นายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ เป็นผู้สั่งการ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตาย เพื่อที่จะเอาเป็นตัวประกันในการออกกฎหมายนิรโทษกรรม หรือกฎหมายปรองดอง
       
       โดยแหล่งข่าวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ถ้า พ.ต.อ.วัลลภ ประทุมเมือง ประสบความสำเร็จในการพลิกสำนวน ก็จะได้ปูนบำเหน็จเป็นนายพล ในการโยกย้ายที่จะถึงในเร็วๆนี้ ซึ่งจะเป็นจริงหรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไป
       
       ศิริโชค ยังเขียนอีกว่า ผมไม่เคยรู้จักนายตำรวจท่านนี้ แต่เจอครั้งแรกในห้องสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมนายอภิสิทธิ์ และก็มีความรู้สึกได้ทันทีว่ามีความอคติ และมีความตั้งใจที่จะโยงนายอภิสิทธิ์ให้ผิดให้ได้ จึงได้มีการตรวจสอบประวัตินายตำรวจท่านนี้ ก็เลยถึงบางอ้อ เพราะได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า พ.ต.อ.วัลลภ ประทุมเมือง จะเป็นผู้รายงานตรงถึง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง โดยจะทำเป็นชาร์ต เป็นเพาเวอร์พอยท์ ทั้งๆที่ในข้อเท็จจริง มีหน้าที่รายงานถึง พ.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ประธานคณะกรรมการสอบสวนเท่านั้น ผมจึงไม่แปลกใจว่า ทำไมนักการเมืองอย่าง เฉลิม จึงรู้เรื่องคดีนี้มาก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ เพราะเป็นผู้ให้นโยบายเท่านั้น
       
       การแปรเปลี่ยนสำนวนการสอบสวน เป็นความถนัดของ เฉลิม แต่จะทำให้ “ทักษิณ” ตายทั้งเป็น เหมือนคดี “ยิงหัวดาบยิ้ม”
       
       แม้กระทั่งสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอ เกี่ยวกับการเสียชีวิตของประชาชน ทหาร จำนวน 91 ศพ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุตธรรม ผู้กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็ยังสั่งให้มีการเปลี่ยนพนักงานสอบสวน เพื่อสร้างสำนวนขึ้นมาใหม่
       
       ทีมงานของเฉลิม ที่เกี่ยวข้องกับคดีดาบยิ้ม ยังได้รับการตบรางวัลเป็น “ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.)” เพื่อมาทำหน้าที่ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55
       
       เฉลิม กำลังส่งอดีตผู้ต้องหา เป็นคนรับผิดชอบการรับจำนำข้าว...มันน่าทึ่งมาก
       
       โดยเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอแต่งตั้ง พ.ต.ต.ศราวุฒิ สกุลมีฤทธิ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) โดยให้มีผลตั้งแต่ วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป
       
       พ.ต.ต.ศราวุฒิ เคยเป็นอดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชน และเคยตกเป็นจำเลยร่วมกับนายดวง (ดวงเฉลิม) อยู่บำรุง ลูกชายคนสุดท้องของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในคดีฆ่า ด.ต.สุวิชัย รอดวิมุต หรือ ดาบยิ้ม ตำรวจกองปราบปราม ในคลับทเวนตี้ ถนนรัชดาภิเษก เมื่อคืนวันที่ 29 ต.ค. 44 โดย พ.ต.ต.ศราวุฒิ ถูกอัยการยื่นฟ้องเป็นผู้ต้องหาในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และทำร้ายร่างกาย ต่อมาศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง พ.ต.ต.ศราวุฒิ และต่อมาอัยการไม่อุทธรณ์ ทำให้คดีนี้ถึงที่สุด
       
       การเสียชีวิตของหัวคะแนนคนสำคัญของ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขตดอนเมือง พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเฉลิม แสดงตัวเป็นพหูสูต บอกว่า “เป็นเรื่องส่วนตัว” ก็เหมือนจงใจฉีกกระชากเส้นแบ่งความยุติธรรมอีกครั้ง
       
       หลายคนคิดในใจดังๆว่า เฉลิม พยายามปกป้องพรรคพวกตัวเอง เพื่อสร้างบารมีในพื้นที่ดอนเมือง ผ่าน การุณ โหสกุล
       
       ทั้งนี้ เมื่อเวลา 18.30 น.ของวันที่ 10 ธันวาคม ที่ผ่านมา “นายชุติเดช สุวรรณเกิด” ถูกอาวุธปืนยิงเสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณหลังตลาดนัดโกสุมรวมใจ แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กทม.
       
       สถานที่เกิดเหตุ เป็นลานจอดรถหลังตลาด เจ้าหน้าที่พบกองเลือดจำนวนมากอยู่บริเวณหน้าที่ก่อสร้างร้านค้า นายชุติเดช สุวรรณเกิด อายุ 38 ปี ถูกกระสุนไม่ทราบชนิดยิงเข้าที่ใบหน้า โหนกแก้มซ้ายทะลุด้านหลัง และที่หน้าอก
       
       หลังจากนั้น เฉลิมก็แอบอ้างของเก่าล้าสมัยว่า ในฐานะที่เคยเป็นพนักงานสอบสวนเชื่อว่า เป็นเรื่องความแค้นส่วนตัว
       
       แต่ต่อมา นางณัฐทัย เครื่องสาย อายุ 21 ปี ภรรยานายชุติเดช จึงนำบุตรสาววัย 5 ขวบ แถลงข่าว เรียกร้องพนักงานสอบสวนคดีให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา โดยนางณัฐทัยแถลงทั้งน้ำตาว่า อยากฝากไปยัง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ระบุเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวการเมืองนั้น ไม่ใช่แน่นอน ขอยืนยันในฐานะภรรยาที่นอนด้วยกันทุกคืนว่าเป็นเรื่องการเมืองแน่นอน
       
       "เรื่องวิถีกระสุน ดิฉันเป็นคนจับศพสามีคนแรก ร่างของสามีอยู่ในสภาพนอนหงาย มีเลือดกลบปาก เชื่อว่าถูกยิงจากด้านหน้าแน่นอน เป็นลักษณะการตามไปยิงซ้ำ และความแค้นส่วนตัวทางการเมือง ก็เป็นสาเหตุให้ยิงในลักษณะดังกล่าวได้" นางณัฐทัย กล่าว
       
       ภรรยานายชุติเดช บอกข้อมูลกับนักข่าวว่า นายชุติเดช ไม่ได้มีธุรกิจรถบรรทุกตามที่ตำรวจอ้าง มีเพียงแผงพระเป็นตู้เล็กๆ เท่านั้น และถ้าเกี่ยวข้องกับธุรกิจมืด เราคงรวยกว่านี้ ตอนนี้ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าไฟ ค่าน้ำ ยังค้างอยู่เลย ซึ่งนายชุติเดช รู้จักคนเยอะมาก และกำความลับของดอนเมืองไว้เยอะ
       
       แม้กระทั่งเรื่องที่เคยมีปัญหากับ เสธ.บ.นั้น เคยมีจริง แต่ผ่านมา 3 ปีแล้ว และเคลียร์จบกันไปแล้ว จึงไม่ใช่ เสธ.บ. แน่นอน เพราะตอนที่นายชุติเดช จะลงสมัคร ส.ข. เสธ.บ. ยังโทร.มาหา ถามว่าให้ช่วยหรือไม่ มีเงินใช้หรือไม่ เพราะรู้ว่า นายชุติเดชไม่มีเงิน ต้องขายรถเอาเงินมาทำป้ายหาเสียง ประเด็นของ เสธ.บ. ขอให้ตัดทิ้งได้เลย
       
       นายแทนคุณ อธิบายข้อมูลที่มีอยู่ในมือ พร้อมกับยืนยันอย่างหนักแน่นอนว่า การสังหารนายชุติเดชครั้งนี้ เกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล ธุรกิจผิดกฎหมาย บ่อนการพนันย่านดอนเมือง ซึ่งในช่วงหาเสียงราวเดือน เม.ย.-มี.ค. ตนได้ประสานข้อมูลให้ตำรวจเข้าจับกุมหลายแห่ง ทำให้มีฝ่ายเสียประโยชน์ จนมีคนมาบอกว่า ถ้าผมไม่ได้เป็น ส.ส. นายชุติเดช ตายแน่
       
       " ตัวละครที่บงการสังหารนายชุติเดช ประกอบด้วย คนอักษรย่อ ว. ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลย่านดอนเมือง ในเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมาย มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาย ก. เป็นนักการเมือง รวมถึงนาย ม. ซึ่งเป็นผู้จัดหามือปืนจากซุ้ม จ.สุโขทัย มาลงมือ โดยตอนแรก ว. สั่งให้ลูกน้องอีกคนหามือปืน แต่นายชุติเดช ยังมีบุญคุณกับลูกน้องคนดังกล่าว เลยโอนงานไปให้ ม. เป็นคนหา และในอดีตนายชุติเดช เคยเป็นมือขวาของนักการเมือง ก. โดยมี ว. เป็นมือซ้าย แต่พอนายชุติเดชแยกตัวไป ว. ก็กลายเป็นมือขวา โดยธุรกิจผิดกฎหมายที่เชื่อมโยงกับ ว. มีหลายอย่าง " นายแทนคุณ กล่าว
       
       แปลไทยเป็นไทยอีกครั้งอักษรย่อเหล่านี้ ทำให้หน้าของ “ไอ้เก่ง” ลอยมาตามหน้าหนังสือพิมพ์
       
       แต่การที่เฉลิม พยายามสร้างก๊กในพรรคเพื่อไทย ด้วยโอบอุ้ม “ไอ้เก่ง” หลายคนเชื่อว่า ชีวิตทางการเมืองไม่น่าจะจบได้สวย
       
       ที่สำคัญ หาก “ไอ้เก่ง” ยังลอยนวล
       ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย อาจจะได้ชื่อใหม่ไปอีกแบบ
       
       ล่าสุด “การุณ โหสกุล” ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 1 ปี ปรับ 40,000 บาท ในคดีหมิ่นประมาท ที่ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ฟ้อง นายการุณ หรือ เก่ง โหสกุล ส.ส.เขตดอนเมือง พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา โทษจำคุก จึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ทั้งให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาโดยย่อใน นสพ.เดลินิวส์ ไทยรัฐ และ มติชน เป็นเวลา 3 วัน โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
       
       แต่ตามความรู้สึกของคนทั่วไปในเรื่องความยุติธรรม สังคมไม่อยากให้ “ไอ้เก่ง” อยู่นอกคุก
       
       ประเด็นสำคัญคือ ทักษิณ จะเลี้ยงคนสร้าง “สำนวนการสอบสวน” แบบเฉลิม เพื่อก่อชนวนสงครามความยุติธรรมกระนั้นหรือ
       
       หากยังต้องการกลับเมืองไทยอย่างสง่าผ่าเผย “เฉลิม” ก็ไม่ควรอยู่ในแผนที่กลับประเทศ !!


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 ธันวาคม 2554, 13:32:39
"ดร.ไชยันต์ ไชยพร" วิเคราะห์แผนพ้นคุกของ "ทักษิณ" นับถอยหลัง 10 ปี ประชาธิปัตย์ฟื้นชีพ



"ดร.ไชยันต์ ไชยพร" นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์โฉมหน้าการเมืองปีหน้า

เผ็ดร้อนทั้งเรื่องทักษิณและพวก-การฟื้นชีพของพรรคประชาธิปัตย์ และอำนาจของฝ่ายกองทัพ



- กระดานการเมืองปี 2555 มีทั้งมิติพรรคการเมือง มิติทักษิณ มิติปรองดอง การกลับมาของ 111 จะเป็นอย่างไร

ถ้าพูดถึงการเมืองปีหน้า โดยที่ยังไม่พูดถึง factor (ปัจจัย) เรื่องคุณทักษิณ ชินวัตร ก็หมายความว่าพรรคเพื่อไทยมีคะแนนเสียง 265 รวมกับพรรคร่วมรัฐบาลเป็น 300 เสียง บวกกับสถานการณ์และความนิยมของประชาชน ยังไง ๆ ก็ควรจะต้องอยู่ถึง 4 ปี แต่ปัญหาของพรรคเพื่อไทยที่เราเห็นชัดมากตั้งแต่ช่วงน้ำท่วม คือปัญหาเกิดจากภาวะผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) เอง พรรคร่วมรัฐบาลยังไงเขาก็ไม่อยากให้ยุบสภา หากจะมีการปรับเปลี่ยนอะไร ก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี

แต่เมื่อในความเป็นจริง หากนำ factor คุณทักษิณเข้ามา เมื่อเปลี่ยนตัวนายกฯ ต่อให้เอาใครก็ได้ในพรรค เพื่อไทยมาเป็นนายกฯ ไม่ว่าจะเป็น คุณเฉลิม (อยู่บำรุง รองนายกฯ) คุณประชา (พรหมนอก รมว.ยุติธรรม) หรือคุณยงยุทธ (วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย) คุณทักษิณก็ คงยอมไม่ได้ เพราะเขาเคยให้คุณสมัคร (สุนทรเวช) มาเป็นนอมินีเขา แต่เมื่อถึงเวลาเมื่อคุณสมัครไม่สามารถทำในสิ่งที่คุณทักษิณต้องการโดยเร็วได้ ทำให้หลังจากคุณสมัครพ้นตำแหน่ง เขาก็ไม่เลือกคุณสมัคร กลับเลือกคนที่ใกล้ตัวเข้ามาอีกคือ คุณสมชาย (วงศ์สวัสดิ์) เขาก็เลือกคนที่ใกล้ตัวที่สุด ต้องเป็นคนที่เขาไว้ใจและคุมได้

ต่อให้ 3 คนนี้เก่งแค่ไหน แต่อำนาจการคุมและตัดสินใจไม่มี เพราะ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยทุกคนเห็นแล้วว่า คุณเฉลิม คุณประชา คุณยงยุทธ เป็นแค่นอมินี ต่อให้เก่งแค่ไหนเขาก็ไม่สนใจ พวกนี้เขาจะวิ่งตรงเข้าหาคุณทักษิณ ทำให้ในช่วง ม.ค.-พ.ค.นี้ หากเปลี่ยนตัวนายกฯก็ยังมีปัญหาอยู่

ดังนั้นสิ่งที่เร็วที่สุดคือทำอย่างไร ให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ออกมาก่อนที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะพ้นจากการถูก เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน เช่น ถ้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกมาปุ๊บ แล้วยุบสภาทันที เพื่อดูว่าประชาชนจะเอาเขาไหม และ ยังทำลายแรงต้านของการชุมนุมด้วย อย่างนี้ถือว่าสวย เพราะเมื่อนิรโทษกรรมได้แล้วก็หมายความว่า คุณทักษิณก็เล่นการเมืองได้ แล้วบ้านเลขที่ 111 ก็เล่นการเมืองได้อยู่แล้ว ทำให้คนที่จะมาเป็นนายกฯก็คือ คุณทักษิณ นี่คือสูตรที่ สวยที่สุด ที่คุณทักษิณคิดว่าควรจะเป็น แล้วมีสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เป็นรัฐมนตรี มันคือพรรคไทยรักไทยเก่า คนที่เชียร์คุณทักษิณก็จะแฮบปี้มากเลย ว่านี่มันคือสุดยอดเลย เพราะยอดฝีมือแต่ละคนไม่ต้องพูดถึง ประเทศไทยหลังจากนี้คงดีแน่เลย นี่คือสูตรที่คุณทักษิณอยากให้เป็นมากที่สุด

แต่ปัญหาคือหาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกบังคับใช้ไม่ได้ แล้วไม่มีการยุบสภา เมื่อบ้านเลขที่ 111 ที่ช่วยพรรคมาตลอดพ้นโทษออกมา แล้วได้เป็นเพียงแค่รัฐมนตรี หรือรองนายกฯ ผมว่านี่เป็นปัญหามากเลย เพราะคนที่อยู่ ในบ้านเลขที่ 111 ซึ่งไม่ใช่มือระดับ พระกาฬ เขายินดีเป็นรัฐมนตรี รองนายกฯ ภายใต้คุณยิ่งลักษณ์ ภายใต้คุณเฉลิม คุณประชา แต่คงไม่ใช่คุณหญิงสุดารัตน์ คุณจาตุรนต์ ฉายแสง ไม่ใช่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คนเหล่านี้ไม่ ยอมเป็นแค่รัฐมนตรีธรรมดา แต่ถ้าเป็น ก็ต้องเป็นรัฐมนตรีให้คุณทักษิณคนเดียวเท่านั้น

เป็นปัญหาของคุณทักษิณ ที่จะทำอย่างไรให้การปรับ ครม. ช่วงหลังเดือน พ.ค.2555 เมื่อสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลับมา จะปรับให้มันลงตัว หล่อเลี้ยงให้คน 111 ยังอยู่พรรคเพื่อไทย ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันยากมากเลย

เพราะขณะนี้คนในพรรคเพื่อไทยถือว่าเป็นรุ่นที่ 3 ต่อจากพวก 111 และพวก 109 ซึ่งคนรุ่นที่ 3 ของพรรค เพื่อไทย เขาก็ถือว่าเขา fight (ต่อสู้) มาขนาดนี้ ผมจึงยังมองไม่ออกว่า คุณทักษิณจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

- แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่า พ.ร.บ. นิรโทษกรรม การถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ และพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เมื่อมีการแตะชื่อของคุณทักษิณ มักจะถูกอีกฝ่ายหนึ่งมาต่อต้าน

ถ้าเป็นพระราชกฤษฎีกาก็จะมีปัญหา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ แล้วเขาพยายามลักไก่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องพระราชทานอภัยโทษทุกปี แต่เรื่องนี้ออกโดยรัฐมนตรีมันไม่ควร อาจมีคนต่อต้าน ได้ แต่ถ้าออกโดยกระบวนการรัฐสภา ซึ่งมีความชอบธรรมมากที่จะออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรม แล้วมันก็สอดคล้องกับแนวคิดกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน

ฉะนั้นการนิรโทษกรรมก็คือ นิรโทษกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย ผมคิดว่ากระแสสังคมก็ต้องคิดว่าเรื่องอาจจะจบ กระแสที่ไม่เอาเหลือง ไม่เอาแดง ก็อาจจะบอกว่าจบสักทีดีกว่า

แล้วเรื่องในอนาคตที่สำคัญอีกประการคือ เรื่อง 91 ศพ หากตัดสินแล้วมีปัญหา ไม่ถูกใจตามที่พี่น้อง เสื้อแดงคาดหวังเรื่องนี้ก็จะถูกจับ มาเชื่อมโยงกับเรื่องอากง ก็จะโยงเป็น ภาพรวมเดียวกันทั้งหมดว่านี่คือผลพวงของระบอบอำมาตย์ เมื่อศาลตัดสิน เรื่อง 91 ศพ ไม่ถูกใจ รวมถึงอากง เรื่องฎีกามันก็จะเป็นปัญหาพรรค เพื่อไทยเขาไม่ได้แฮบปี้กับตรงนี้เลย เรื่องคดีอากงเขาไม่อยากยุ่ง เรื่อง 91 ศพ หากตัดสินไม่ดี เขาก็ไม่สนใจ เพราะรัฐบาลอยากอยู่ในอำนาจนาน ๆ แต่คนที่จะออกมาคือพี่น้องเสื้อแดง เพื่อเรียกร้องคดี 91 ศพ คราวนี้พี่น้องเสื้อแดงก็จะตั้งคำถามรัฐบาลพรรค เพื่อไทยว่า จะเกี้ยเซียะกับอำมาตย์เพื่ออยู่ในอำนาจ หรือทำเพื่อมวลชนเสื้อแดง

- มวลชนเสื้อแดงก็จะกลายเป็นก้าง ตำคอรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ก็เป็นหอกข้างแคร่ทันที คราวนี้ก็ยืนดูเขาตีกันจริง ๆ

- ความรุนแรงจะเกิดขึ้นเหมือนก่อนหน้านี้หรือไม่

โอ้โห...ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันนะ การที่มวลชนเสื้อแดงมีปัญหากับพรรคเพื่อไทย ก็จะซ้ำรอยกับกลุ่มพันธมิตรฯที่มีปัญหากับพรรคประชาธิปัตย์ มันเป็นอย่างนี้ตลอด ผมเห็นชัดยังไงก็มีความขัดแย้ง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากรัฐบาลเป็นฝ่ายปฏิบัติงาน แต่มวลชนขับเคลื่อนโดยขบวนการ เมื่อคุณเป็นรัฐบาลก็ต้องประสานประโยชน์ ประนีประนอมที่จะอยู่ ผมคิดว่าทำตามอุดมการณ์ อุดมคติ ไม่ได้หรอก

แต่ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าคุณ ยิ่งลักษณ์สลัดคุณทักษิณทิ้ง แล้วเป็นผู้นำขึ้นมาจริง ๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แต่ผมไม่แน่ใจ เพราะพอถึงจุดจุดหนึ่ง คุณก็รู้ว่าอำนาจอยู่ในมือ ใคร ๆ ก็รักคุณ พี่น้องเสื้อแดงก็รักคุณ อำนาจอยู่ในมือแล้ว แม้จะดูอ่อนแอ กตัญญูพี่ชาย แต่ถึงเวลาคุณแข็งเพื่อเอาประเทศก่อน เวลานั้นบ้านเลขที่ 111 ก็ต้องพึ่งคุณ เพราะประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยเพราะคุณยิ่งลักษณ์ และคุณทักษิณ แต่พอถึงคราวนี้คุณยิ่งลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง บอกว่าเรื่องพี่ชายให้พักไว้ก่อน แล้วหันมาคุมบ้านเลขที่ 111 ได้ ผมคิดว่าก็เป็นอีกสูตรหนึ่งที่เป็นทางออก แต่ถ้าบอกเป็นไปได้มันก็ยาก แต่ในประวัติศาสตร์บางครั้งคนที่ดูอ่อนแอที่สุด มันก็สร้างปาฏิหาริย์ได้เหมือนกัน แต่ถ้าทำไม่ได้ บ้านเมืองก็จะยุ่ง

- เป็นไปได้หรือไม่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะก้าวข้ามปัญหา พ.ต.ท.ทักษิณ

งานนี้สนุก ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ทำแบบนี้ได้ มวลชนก็จะปวดหัวเลย สมมติว่าคุณทักษิณให้คนบ้านเลขที่ 111 เป็นนายกฯ แต่ยังคุมได้ทุกอย่าง แล้วยังสามารถ พาประเทศเดินหน้าไปได้ ประชาชน จะต้องการคุณทักษิณไปอีกทำไม ประชาชนส่วนหนึ่งอาจบอกว่า พ.ต.ท. ทักษิณกลับมาแล้วยุ่ง อย่ากลับเลย

- สมมติฐานที่นายกฯจะตัดสินใจชิงลาออกก่อนเวลาเป็นไปหรือไม่

ถ้าลาออกก็หมายความว่า ต้องมีคนที่ขึ้นมาแทน ซึ่งจะเป็นใคร คุณยงยุทธตัดทิ้งได้เลย อ่อนกว่าคุณยิ่งลักษณ์อีก คนบ้านเลขที่ 111 ไม่เอาคุณเฉลิม เพราะเขาถือว่ามาตีกิน ชุบมือเปิบ คุณประชาก็ไม่ได้อีก เพราะไม่ใช่ ไทยรักไทยแท้

ฉะนั้นเรื่องของเรื่องมันจึงอยู่ที่ตัวคุณยิ่งลักษณ์ และหากคุณทักษิณลดอัตตาตัวเองได้ พอถึงเดือนพฤษภาคม 2555 บ้านเลขที่ 111 ออกมาแล้ว และบอกให้น้องปู (น.ส.ยิ่งลักษณ์) ยุบสภาซะ เพราะที่ผ่านมาบริหารงานง่อนแง่น เมื่อถึงเวลาก็ยุบสภา ปล่อยให้บ้านเลขที่ 111 เข้ามา โดยคุณทักษิณสั่งการในพรรค คนก็ต้องวิ่งเข้าหาแก

- ทางแก้คือให้คุณทักษิณกลับมาเป็นนายกฯเสียเอง แล้วจัดการใหม่ทั้งหมด

นี่คือสูตรที่คุณทักษิณคิด และคุณ ยิ่งลักษณ์ก็คิด เป็นสูตรที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายในสายพรรคไทยรักไทย และพรรคเพื่อไทย เพราะต้องยอม กันว่าหากคุณทักษิณกลับมาแล้วก็ จะ select (เลือก) ว่าเอา 111 คนไหนมาวางตำแหน่งนี้ แล้วคนที่ไม่ใช่ 111 แต่ทำงานดีก็เอามา คราวนี้ก็จะแน่นปึ้กเลย

- แต่คุณทักษิณจะกลับมาด้วยเงื่อนไข พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีแรงต้านหรือแรงเสียดทาน เลยหรือ

ก็คือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกฝ่าย เท่ากับล้างหมดเลย เหมือนที่กลุ่ม นิติราษฎร์เสนอ ก็นำมาเขียนเป็นกฎหมาย เป็น พ.ร.บ. แล้วล้างให้หมดเลย เพราะแดง เหลืองมีไม่เยอะ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้เป็นแดงและเหลือง ฉะนั้นดูแล้วพวกคนกลาง ๆ น่าจะเอา แล้วก่อนที่จะนำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้าสภา น่าจะประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชนว่ามันจะเป็นทางออกของประเทศ และขึ้นอยู่กับคนที่อาจจะ เบื่อความขัดแย้งที่ผ่านมามากแล้ว อยากให้มันจบ ๆ ไป

- มองปรากฏการณ์ในพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร

การปรับเปลี่ยนในพรรคประชาธิปัตย์มันเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเมื่อถึงเวลา หลังจากคุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ) นำพรรคล้มเหลวในการเลือกตั้ง ก็ต้องเลือกเลขาธิการชุดใหม่เข้ามาทำ แต่ก็สู้กระแสของพรรคเพื่อไทยไม่ได้ เพราะสามารถเอาคำว่าประชาธิปไตยมาอยู่ฝั่งเขาได้ เวลานี้มันเป็นการแย่งชิงคำว่าประชาธิปไตยอยู่กับใคร ตราบใดที่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงยังดึงได้ อยู่ พรรคประชาธิปัตย์ก็คงยาก ต่อให้ ชูประชานิยมอย่างไรก็กลายเป็นไปชูประชานิยมเก่าอยู่ดี

พรรคประชาธิปัตย์ ความจริงเขาก็รู้ตัวว่าจะต้องเป็นฝ่ายค้านถึง 4 ปี แต่เนื่องจากน้ำท่วม เขาก็มีความหวังขึ้นมาว่ามีประชาชนจะออกมาปั่นป่วน เสื้อแดงที่รับผลกระทบอาจเกิดความไม่พอใจ จนในที่สุดแล้วรัฐบาลคุมไม่ได้ ก็จะมีการยื่นถอดถอน แต่ความหวังของพรรคประชาธิปัตย์เป็นความหวังที่ยืน อยู่บนความฟลุกของน้ำท่วม เรื่องทหาร ไม่ต้องห่วง ยังไงทหารก็พยายามอยู่ ในกรอบในร่องในรอย

- นอกจากจะรอให้ประชานิยมล่มสลายแล้ว จะมีปัจจัยอะไรอีกหรือไม่ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์คืนชีพอีกครั้ง

10 กว่าปีมั้งกว่าจะฟื้น ผมบอกได้เลย รอไปเลย เพราะการเมืองสมัยนี้มีแนวโน้มเป็นเช่นนั้นเสมอ ดูสิงคโปร์มีพรรคครองอำนาจยาวนาน 50 กว่าปี อังกฤษ 10 กว่าปีถึงจะเปลี่ยนรัฐบาล การเมืองไทยจะเข้าสู่โหมดแบบนั้น แต่ไม่ใช่โหมดเผด็จการเหมือนพม่า แต่เป็นโหมดนโยบายที่ออกมาแล้วติดกระแสสังคมและต้องการก็จะอยู่ยาว พรรคประชาธิปัตย์จะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกิดความแตกแยกในพรรคเพื่อไทยเอง หากคุณทักษิณยังอยู่ก็คงเป็นไปไม่ได้





หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 ธันวาคม 2554, 13:40:24
3 หนุ่มเนื้อทอง Here of the Year
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    
      เก่ง-การุณ โหสกุล Here of the Year

       ชั่วโมงนี้ พ.ศ.นี้ คงต้องยอมรับกันว่า ชื่อและชั้นของเจ้าของฉายา “จอมถีบแห่งทุ่งดอนเมือง” อย่าง “นายการุณ โหสกุล” ส.ส.ผู้ทรงเกียรติแห่งพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากพฤติกรรมอัน “ดิบ เถื่อนและถ่อย” ครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงท้ายปี
       
       จนหลายคนถึงกับยกตำแหน่ง Here of the Year ให้ด้วยความยินยอมพร้อมใจ
       
       ยิ่งล่าสุดเมื่อเกิดคดีสังหารสะท้านทุ่งดอนเมือง โดยคนร้ายบุกยิง “นายชุติเดช สุวรรณเกิด” หัวคะแนนของ “นายแทนคุณ จิตต์อิสระ” อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตดอนเมือง อย่างอุกอาจกลางตลาดต่อหน้าลูกและเมีย รวมถึงชาวบ้านร้านตลาดเป็นจำนวนมากด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ชื่อของนายการุณเข้ามาพัวพันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม
       
       เพราะใครๆ ก็รู้ว่า นายการุณคือผู้กว้างขวางและผู้ทรงอิทธิพลแห่งเขตดอนเมือง
       
       ขณะที่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง นายการุณก็ดังสะท้านเมืองอีกคำรบสมกับตำแหน่ง Here of the Year เพราะมีอันต้องคำพิพากษาในคดีอาญาข้อหาทำร้ายร่างกายและหมิ่นประมาท “นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์” อดีต ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายการุณมีความผิดจริง โดยให้จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 12 เดือนและปรับกระทงละ 20,000 บาท รวม 4,000 บาท
       
       เดชะบุญที่ศาลมีเมตตาให้รอลงอาญา ไม่เช่นนั้น นายการุณคงต้องเข้าไปนอนในมุ้งสายบัว
       
       ทั้งนี้ ทั้งสองเหตุการณ์และทั้งสองคดีที่เกิดขึ้น ทำให้หลายคนอดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า ทำไมคนเยี่ยงนี้ถึงได้เชิดหน้าชูตากลายเป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติของเขตดอนเมืองได้
       
       และที่สำคัญคือ พฤติกรรมของจอมถีบแห่งทุ่งดอนเมืองผู้นี้ ก็ใช่ว่าคนดอนเมืองจะไม่รับรู้ หากแต่รับรู้มาโดยตลอด แต่เขาก็ยังสามารถฝ่าฟันเข้ามาเป็น ส.ส.ได้สำเร็จ ดังนั้น นายการุณจึงไม่ใช่คนธรรมดา แถมยังเป็นส.ส.ที่ทรงอิทธิพลชนิดที่แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยต้นสังกัดรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้
       
       ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ กรณีจอมถีบแห่งทุ่งดอนเมืองนำชาวบ้านไปพังคันกั้นน้ำจนน้ำเน่าทะลักเข้าคลองประปาจนมีปัญหากับชาวปากเกร็ด
       
       และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการที่จอมถีบแห่งทุ่งดอนเมืองนำชาวบ้านเข้ารื้อบิ๊กแบ๊กที่เขตดอนเมืองหน้า ศปภ.อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
       
       แถมในคราวที่นารีขี่ม้าขาวลงพื้นที่เขตดอนเมืองไปบิ๊กคลีนนิงหลังน้ำท่วมและพบเจ้าอาวาสวัดดอนเมืองจนสร้างตำนานอันลือลั่น นายการุณยังติดสอยห้อยตามดูแลอย่างใกล้ชิดอีกต่างหาก
       
       ดังนั้นเมื่อเกิดคดีสะเทือนขวัญฆ่านายชุติเดช จึงไม่แปลกใจอะไรที่สังคมจะเชื่อมโยงและต่อจิ๊กซอว์ไปถึงคนที่คุณก็รู้ว่าใคร
       
       อย่างไรก็ตาม สำหรับความทรงอิทธิพลของนายการุณในพื้นที่ทุ่งดอนเมืองนั้น จัดได้ว่าไม่ธรรมดาชนิดที่ไม่มีใครกล้าหือเพราะรู้ซึ้งถึงสรรพคุณของนายการุณว่าเป็นคนเยี่ยงไร
       
       หากยังจำกันได้กับเหตุการณ์ที่นายการุณถูกชาวบ้านต่อยปากแตกจนเย็บถึง 5 เข็มในช่วงน้ำท่วมทุ่งดอนเมืองที่ผ่านมา คงรู้ซึ้งถึงความเป็นนายการุณได้เป็นอย่างดี
       
       คดีนี้คู่กรณีของนายการุณเป็นชาวบ้านธรรมดาชื่อว่านายฐิติพันธุ์ บุญใหญ่
       
       นายฐิติพันธุ์ให้การว่า ได้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับนายการุณเพราะไม่พอใจที่นายการุณขี่เจ็ตสกีมาด้วยความเร็วสูงทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่มากระแทกเรือที่ตนเองพายมากับพวกรวม 4 คน จนเรือพลิกคว่ำ ทำให้ทุกคนตกลงไปในน้ำ จากนั้นนายการุณได้ขี่เจ็ตสกีวนกลับมา ก่อนจะมีปากเสียงกันขึ้น ตนทนไม่ไหวจึงชกที่ใบหน้านายการุณ
       
       สุดท้ายนายฐิติพันธุ์ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกายนายการุณ และเรื่องก็เงียบหายไปราวกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
       
       แต่ในโลกออนไลน์ก็เป็นที่ร่ำลือกันถึงชะตากรรมของนายฐิติพันธุ์ว่า น่าเป็นห่วงไม่น้อย
       
       เช่น ผู้ใช้นามแฝง "คนอยู่ในเหตุการณ์" ระบุว่า "ข่าวจริงบางส่วนครับ ต่อยจริงแต่คงไม่ถึงขนาดเย็บถึง 5 เข็มหรอกครับ ไม่รู้ว่า ไปให้หมอเซ็นรับรองให้หรือเปล่า แต่ชาวบ้าน อ่วมเลย โดนส่งลูกสมุนมารุมยำเละ ตอนนี้ พยายามส่งคนมาไกล่เกลี่ยอยู่"
       
       และผู้ใช้นามแฝง "pp" ระบุว่า "confirm เรื่องนี้ : Couture Jinna อันนี้เรื่องจริงค่ะ ข้างบ้านเพื่อนพี่เองค่ะ เขาเล่าให้ฟังเมื่อเช้า สรุปคือชาวบ้านตาดำๆ ต้องเสียค่าปรับให้คนละ 5,000 ส่วนเก่งลอยนวลไป ตอนนี้ทุกคนก็ต้องย้ายออกนอกพื้นที่ก่อนเพื่อความปลอดภัยแบบสะบักสะบอมค่ะ พวกสั่งให้สามในสี่ถอดเสื้อแล้วเอาเสื้อมามัดแขนด้วยนะคะ แต่อีกคน 1 ใน 4 เป็นผู้หญิง"
       
       อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของ “นายการุณ” ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น หากไล่เลียงเกียรติประวัติและผลงานออกมาก็คงยาวเป็นหางว่าว
       
       ในต้นปี 2548 “การุณ” โดนศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ปรับเงินนายการุณในความผิด ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2496 ม.27 ฐานลักลอบนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลบเลี่ยงภาษีศุลกากร เป็นเงินจำนวน 30,254,052 บาท และถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 8 ก.พ. เนื่องจากหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และถูกนำตัวไปควบคุมที่ห้องขังใต้ถุนศาลอาญา ต่อมาญาติได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินย่านดอนเมืองจำนวน 2 แปลงเนื้อที่ 1 ไร่ 84 ตารางวา ราคาประเมิน 4,800,000 บาท มาประกันตัวออกไป
       
       นอกจากนี้ ในปีเดียวกัน ศาลฎีกายังมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ของ “นายการุณ โหสกุล” จากพรรคไทยรักไทย เพราะมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ประกาศยกเลิกใบปริญญาบัตรของผู้สมัครฯ โดยคดีนี้สืบเนื่องจาก “ชัยณรงค์ เทียนมงคล” ผอ.กกต.กทม. ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีการะบุว่า กกต.เขต 14 ได้ตรวจพบว่าคุณสมบัติของนายการุณไม่ต้องด้วย พ.ร.บ.เลือกตั้ง ประกอบรัฐธรรมนูญ ม.107
       
       กล่าวคือ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 48 กกต.เปิดรับสมัครรับเลือกตั้งที่อาคารกีฬาเวสน์ กทม. โดยนายการุณใช้หลักฐานประกอบการสมัครเป็นวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาอื่นๆ ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายเลือกตั้ง แต่เนื่องจาก กกต.ได้ประกาศรายชื่อเป็นผู้สมัครแล้ว จึงขออาศัยเหตุดังกล่าวเพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งของนายการุณ และสุดท้าย ศาลก็มีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งดังกล่าวของนายการุณ
       
       นอกจากนี้ นายการุณยังมีคดีความติดตัวเป็นห่างว่าวในอีกหลายคดีด้วยกัน
       
       เริ่มจากต้นเดือน มี.ค. 48 “การุณ” ถูกกล่าวหาว่าทำร้าย “นางสมศรี ด่าน” หนึ่งในทีมงานของพรรคชาติไทย คู่แข่งในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ก.ที่นางรัชดาวรรณ โหสกุล (อดีต)ภรรยานายการุณลงสมัครในนามของพรรคไทยรักไทย ทั้งนี้ นางสมศรี ได้เข้าแจ้งความที่ สน.ดอนเมือง ว่าถูกนายการุณทำร้ายร่างกาย โดย "ถูกเตะเข้าที่แขนซ้าย" จนได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งนายการุณยังด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย และแม้นางสมศรีจะเข้าไปในรถแล้ว ยังถูกกลุ่มของนายการุณยืนล้อมรถไว้
       
       และราวเดือน มิ.ย. ปีเดียวกัน “การุณ” ก็สร้างวีรกรรม “โชว์ความเป็นลูกผู้ชาย” ด้วยการตบ ถีบ และจิกผม “รัชดาวรรณ เกตุสะอาด” ส.ก.เขตดอนเมือง อดีตภรรยาของเขาที่สนามบิน เพราะไม่พอใจที่นางรัชดาวรรณไม่กลับบ้าน แต่นางรัชดาวรรณไม่กลับ เพราะศาลมีคำสั่งให้ทั้งคู่หย่าขาดกันตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.2548 ที่ผ่านมา
       
       ต่อมา 3 กันยายน 49 “การุณ” พร้อมพวก 5 คน รุมทำร้ายร่างกายชายอายุ 53 ปี ซึ่งเป็นรปภ. โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง โดย รปภ. แจ้งความดำเนินคดีว่า นายการุณพร้อมพวกอีก 5 คน รุมทำร้ายร่างกาย
       
       นอกจากนี้เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 50 “การุณ” ยังตกเป็นผู้ต้องหาทำร้าย พ.ต.ท.บัญชา คล้ายน้อย รอง ผกก. 2 บก.ป. ขณะเข้าไปสืบสวนหาข่าวการเล่นพนันไก่ชน ในสนามชนไก่คลอง 5 หมู่ 14 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
       
       หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 51 “การุณ” ก็ได้แผลงฤทธิ์จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ ด้วยการกระโดดถีบและสำรากวาจาอันหยาบคายเข้าใส่ “สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กลางสภาอันทรงเกียรติ จนถูกศาลพิพากษาให้ลงทัณฑ์ไปเป็นที่เรียบร้อย
       
       นอกจากนี้ ในวันที่ 28 ต.ค. ปีเดียวกัน “การุณ” ยังได้ขู่เตะ “น.ส.รสนา โตสิตระกูล” ส.ว.กทม. กลางห้องประชุมรัฐสภา อีกด้วย
       
       และเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา “การุณ” ก็ตกเป็นข่าวว่าถูก “น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ “ถีบ!” จนถลา หลังการประชุมสถานการณ์น้ำท่วมระหว่างรัฐบาลกับกทม. ภายในโรงเรียนฤทธิ์ยวรรณลัย 2 เขตสายไหม ในข้อหา “หมั่นไส้” !!!
       
       เรียกว่า เรื่องของนายการุณล้วนแล้วแต่เป็นไปในทางฉาวโฉ่สมกับฉายาใหม่ล่าสุด Here of the Year อย่างไม่มีใครกล้าเถียงเลยทีเดียว
       
      'เหลิม' อับดุล !ถามอะไรตอบได้ …ตอบได้ ? ยกเว้นเรื่อง “ไอ้ปื้ด”

       นับเป็นหนึ่งใน 'หนุ่มเนื้อทอง' ของรัฐบาลเพื่อไทย เนื่องเพราะช่วงนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีที่มีวลีเด็ดว่า “ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แค่ทำสิ่งที่กฎหมายห้าม” นั้นเข้าไปมีบทบาททุกที่ มีส่วนร่วมในทุกเรื่อง กับวางท่าโชว์พาวฯ ด้วยลีลาว่ารู้ลึกรู้จริง …รู้ทุกเรื่อง ...อยากรู้อะไรให้ถามเหลิม ?
       
       **รองฯเหลิม ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน
       
       เริ่มตั้งแต่คดีคดีปล้นบ้าน 'นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม' ปลัดกระทรวงคมนาคม.ซึ่งรองฯเหลิมออกมา ’ฟันธง“ ก่อนจะจับตัวคนร้ายได้เสียอีกว่า เงินที่ถูกปล้นไปนั้นได้มาจาก ’การทุจริต“ อย่างแน่นอน พร้อมกับบอกว่าจะแฉให้สังคมเห็นกันเป็น ’ฉาก ๆ“ ว่าใครอยู่เบื้องหลัง
       
       ตามด้วยคดียิงคนสนิทของ 'อี้' แทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขตดอนเมือง พรรคประชาธิปัตย์ ที่รองฯเหลิมออกมาสรุปว่า.... แค่ดูจากบาดแผลซึ่งกระสุนถูกยิงจากท้ายทอยทะลุปากก็รู้แล้วว่า 'ไม่ใช่คดีการเมือง' ? แต่น่าจะเป็นความขัดแย้งส่วนตัว ทั้งๆที่ตำรวจเจ้าของคดียังไม่ได้มีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงแต่อย่างใด และภรรยาของ 'นายชุติเดช สุวรรณเกิด' ผู้ตายนั้นมั่นใจว่าเป็นเรื่องการเมือง เนื่องจากผู้ตายเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของนักการเมืองใหญ่ในดอนเมือง การที่ย้ายขั้วมาช่วยงานนายแทนคุณก็ทำให้นักการเมืองดังกล่าวไม่พอใจเป็นอย่างมาก
       
       ต่อด้วยกรณีลอบวางระเบิดที่กองสลากเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งรองฯเหลิมระบุว่าเป็นเรื่องการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยอ้างความเป็นตำรวจเก่าที่ผ่านโรงเรียนสืบสวนของกรมตำรวจมา ทำให้เขารู้ตื้นลึกหนาบางว่าคนที่สั่งวางระเบิดนั้นเป็นกลุ่มที่จ้องล้มรัฐบาล รู้กระทั่งว่าผู้บงการคนหนึ่งมีอักษรย่อ 'ป.ปลา' และอีกคนหนึ่งเป็นโรคพาร์กินสัน มีอักษร 'พ.พาน'
       
       นอกจากนั้นรองฯเหลิมยังออกมาตีปี๊บเขย่าขวัญว่าจะมีการวางระเบิดช่วงปีใหม่นี้ ในลักษณะเดียวกับเหตุระเบิดช่วงปีใหม่ในปี 2550 พร้อมทั้งเข้าไปนั่งประชุมกับตำรวจ สั่งการเสร็จสรรพให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานด้วยความระมัดระวังและเพิ่มความถี่ในการตรวจตรา
       
       “คาดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในช่วงปีใหม่นี้ ผมจึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตับตาอย่างเข้มงวด โดยเราจะใช้แผนเฝ้าระวังสถานการณ์ช่วงใหม่ เมื่อปี 50 ที่มีระเบิด 10 จุดเป็นต้นแบบ ทั้งลักษณะการวางระเบิด สถานที่เกิดเหตุ และเป้าหมายที่ต้องการ ส่วนเหตุการณ์วางระเบิดที่กองสลากนั้น พบว่าคราวนี้มีกลุ่มคน 4 กลุ่มที่ทำ คือกลุ่มที่เคลื่อนไหวประจำ กลุ่มที่สูญเสียอำนาจ กลุ่มตำรวจที่เคยผูกพันกับพรรคการเมืองบางพรรคแล้วใส่ชุดดำยิงชาวบ้านในเหตุการณ์ชุมนุมที่ราชประสงค์เมื่อเดือน เม.ย.และพฤษภาคม ปี 2553 พอยิง เสร็จก็เปลี่ยนชุดดำใส่ชุดตำรวจ ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มนักการเมือง”
       
       ล่าสุด รองฯเหลิมก็ออกมาวางท่าให้สัมภาษณ์ว่า เขารู้ตัวคนยิง 'เสธ.แดง' พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แดงฮาร์ดคอร์ที่ถูกลอบสังหารในช่วงการชุมนุมที่ราชประสงค์ ว่าเป็นตำรวจยศรองผู้บัญชาการ ซึ่งแฝงตัวเป็นชายชุดดำ และเป็นกลุ่มที่ทำงานภายใต้การสั่งการของนักการเมือง โดยตั้งข้อสังเกตว่าจุดที่ เสธ.แดงถูกยิงเสียชีวิตนั้นเป็นจุดที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด หากไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐจะไม่สมารถเข้าไปได้
       
       เข้าทำนอง “ เหลิมรู้ เหลิมเห็น ถามอะไรตอบได้ ผู้หญิงรู้จัก ผู้ชายรู้จัก ” ศักยภาพเหนือชั้นกว่า 'อับดุล'ตามวิกขายยาที่เด็กๆพากันชื่นชมหลงใหลหลายเท่าตัว
       
       แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีใครตอบได้ว่า รองฯเหลิมรู้ได้อย่างไร ที่สำคัญถ้ารู้ขนาดนี้ทำไมไม่มีการ 'จับกุม' ผู้กระทำผิด
       
       **ชิงผลงาน ผลาญงบ
       
       นอกจากจะเป็น 'เหลิมอับดุล' ที่รู้ไปหมดทุกเรื่องแล้ว เขายังอหังการถึงขั้นเข้าไป 'แย่งซีน' ชิงผลงานจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้มากด้วยบารมีเพราะมีฐานะเป็นถึงพี่ชายของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร 'นายหญิง' แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า โดยรองฯเหลิมอาศัยตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปตั้งโต๊ะจัดแถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดล็อตใหญ่ๆ หลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่จริงๆแล้วตัวเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการติดตามจับกุมแต่อย่างใด แต่อาศัยความหน้ามึนเข้าไป 'ชุบผลงาน'ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์แม้จะไม่พอใจแต่ก็ต้องเก็บอาการ เพราะเขามานั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ก็ด้วยฝีมือของรองเหลิมฯ ที่เป็นคนวางแผนเขี่ย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนก่อนให้พ้นทาง เพื่อให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ได้ขึ้นมานั่งในเก้าอี้นี้แทน
       
       ล่าสุด ร.ต.อ.เฉลิมยังโชว์พาวฯออกโรงขึงขังว่าจะเร่งปราบปรามเว็บฯหมิ่นสถาบันให้สิ้นซาก หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งจาก 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี ให้รับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ของรัฐบาลในการควบคุมปราบปรามเว็บไซท์ผิดกฎหมายจาบจ้วงสถาบัน ในฐานะประธานกรรมการที่มีชื่อเรียกยาวเหยียด ว่า “คณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมาย หรือไม่เหมาะสม ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” แต่สิ่งแรกที่รองฯเหลิมทำหลังประชุมเสร็จหาใช่การสั่งการให้มีการปิดเว็บไซต์ที่ลงบทความหมิ่นเบื้องสูงหรือดำเนินคดีกับผู้ที่ให้ร้ายใส่ความสถาบันแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชงเรื่องเข้า ครม.ขอจัดซื้อเครื่องมือเพื่อบล็อกสัญญาณเว็บไซต์ที่มีลักษณะหมิ่นสถาบัน ในวงเงินถึง 400 ล้านบาท !
       
       ทันทีที่มีข่าวนี้ออกมาก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งจากประชาชนทั่วไปและผู้คนในสังคมออนไลน์ เพราะวิธีที่ 'ง่าย'และ 'ได้ผล' ที่สุดในการแก้ปัญหากรณีจาบจ้วงเบื้องสูงก็คือการสั่งให้บรรดา 'แกนนำเสื้อแดง' ที่มีสัมพันธ์อันแนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกับพรรคเพื่อไทยเลิกปลุกระดมแนวคิดล้มเจ้า ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ แกล้งทำไม่รู้ไม่เห็นปล่อยให้คนเหล่านี้เดินเกมจาบจ้วงได้ตามอำเภอใจ
       
       **กับภารกิจ 'พาทักษิณกลับบ้าน'
       
       ภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งของ ร.ต.อ.เฉลิมก็คือการอาสา 'พาทักษิณกลับบ้าน' ดังนั้นนับแต่เข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี 'เหลิมฝั่งธน' ก็เดินเครื่องเต็มที่ นับตั้งแต่แอบชงเรื่องเข้า ครม.เพื่อออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ)อภัยโทษ เพื่อช่วยเหลือ นช.ทักษิณ ชินวัตร โดยระบุคุณสมบัติของผู้ที่จะขอพระราชทานอภัยโทษว่าต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และตัดคำแนบท้ายที่เขียนไว้ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ว่า “ผู้ที่จะยื่นของอภัยโทษต้องไม่ใช่นักโทษที่ต้องคดียาเสพติดและคดีคอร์รัปชั่น” แต่เมื่อข่าวรั่วออกมาทำให้เกิดกระแสคัดค้านอย่างหนักจากหลายภาคส่วนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและเป็นการกระทำที่ไม่บังควร ครม.ยิ่งลักษณ์จึงรีบพลิกลิ้นดึงเรื่องกลับก่อนที่สถานการณ์จะบานปลาย
       
       เมื่อแผนแรกไม่สำเร็จ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ไม่รอช้าพยายามเดินหน้าผลักดันให้มีการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งซึ่งจะสามารถช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้พ้นจากความผิด และเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมเคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แม้จะมีกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวางทั้งจากพรรคฝ่ายค้าน ภาคประชาชนและกลุ่มองค์กรต่างๆ แต่ ร.ต.อ.เฉลิมก็หาได้ใส่ใจ ยังคงยืนยันว่าจะออก พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้ได้ แต่ด้วยลูกไม้ของนักการเมืองเก๋าเกมที่คร่ำหวดในสภามากว่า 20 ปี เขาจึงเล่นแร่แปรธาตุหาทางเลี่ยงบาลีโดยเปลี่ยนไปใช้คำว่า พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อหวังลดกระแสต่อต้าน
       
       ขณะเดียวกัน รองฯเหลิมก็ยังไม่ทิ้งลายในการไล่บี้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างประชาธิปัตย์ โดยงัดเอาคดี '91ศพ' ซึ่งคนเสื้อแดงและนักข่าวต่างชาติถูกฆ่าตายในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ เมื่อปี 2553 ขึ้นมาปัดฝุ่น โดยจี้ให้นครบาลเรียกให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศอฉ.(ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน)มาสอบปากคำ นอกจากนั้นที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิมยังให้สัมภาษณ์ในลักษณะชี้นำว่าจากการเข้ามากำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เพียง 3 เดือน เขาสามารถพิสูจน์ได้ว่า นายฮิโรยูกิ มูราโมโต นักข่าวญี่ปุ่นประจำสำนักข่าวรอยเตอร์ เสียชีวิตจากฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ และเรื่องนี้เป็นคดีสำคัญระดับประเทศเพราะทางสำนักข่าวรอยเตอร์ที่เป็นต้นสังกัด รวมถึงทูตญี่ปุ่นได้เรียกร้องและกดดันให้เร่งดำเนินการหาตัวคนผิด อีกทั้ง ร.ต.อ.เฉลิมยังอ้างว่ามีข้อมูลว่าชายชุดดำที่ยิงกลุ่มผู้ชุมนุม 91 ศพนั้นเป็นตำรวจจากทางภาคอีสาน ซึ่งมีทั้งระดับนายพล และพันตำรวจเอก ที่เติบโตมาจาก จ.บุรีรัมย์ ทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะพุ่งเป้าไปที่ 'คนชื่อพม่า หน้าลาว เว้าเขมร' คนเนรคุณในความหมายของ นช.ทักษิณ ชินวัตร
       
       จัดหนัก จัดเต็ม ขนาดนี้ 'ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง' จึงมีผลงานเข้าตากรรมการ โดยเฉพาะในสายตาของ 'นายใหญ่' ที่ตอนนี้มีฐานะเป็นนักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น และถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน '3 หนุ่มเนื้อทอง' ของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงในขณะนี้
       
       "ไอ้กี้ร์" หนุ่มเนื้อทอง 2 มาตรฐาน คำว่าผิดไม่อยู่ในสามัญสำนึก!

       ถ้าหากจะหยิบยก แกนนำคนเสื้อแดงขึ้นมาสักคนหนึ่งที่เป็นขวัญใจของสาวก แม่ยกคนเสื้อแดง อันดับต้นๆ คงจะต้องมีชื่อของ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำฮาร์ดคอร์ อย่างไม่ต้องสงสัย
       
       เอาแค่ไม่ต้องอื่นไกล วันที่ไอ้กี้ร์โผล่หัวเข้ามอบตัวต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ หลังจากมีข่าวว่าหลบหนีไปอยู่ประเทศกัมพูชาตั้งแต่หลังเหตุการณ์คนเสื้อแดงเผาเมืองเมื่อเดือน พ.ค.2553 วันนั้นบรรดาสาวกแม่ยกคนเสื้อแดงก็ได้แห่แหนไปเจอหน้าไอ้กี้ร์กันอย่างเนืองแน่นเลยทีเดียว
       
       ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ เมื่อศาลพิเคราะห์แล้วเห็นควรที่จะยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ก็ทำเอาสาวเสื้อแดงรายหนึ่งถึงกับกรีดร้องและเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาจนเจ้าหน้าที่ต้องนำตัวไปปฐมพยาบาล ขณะที่อีกส่วนหนึ่งพากันร่ำไห้เสียใจที่ผู้นำของเขาหมดสิ้นอิสรภาพ ราวกับว่าไอ้กี้ร์เป็นญาติสนิท มิตรสหาย หรือคนในครอบครัวตัวเองติดคุกเองเลยด้วยซ้ำไป ราวกับว่าไอ้กี้ร์สร้างคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองมากมายก่ายกองเสียนี่กระไร
       
       และแล้วสุดท้าย ไอ้กี้ร์ก็ต้องเข้านอนในคุกตามระเบียบ
       
       ทั้งนี้ ความเป็นหนุ่มเนื้อทองของนายอริสมันต์เห็นจะหนีไม่พ้นการที่เขาประกาศและดำรงตัวเป็นแกนนำแดงสายฮาร์ดคอร์อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้กระทั่งในวันที่ยื่นคำร้องขอประกันตัว เขาก็ยังยืนยันอย่างหนักแน่นว่า เขาไม่ได้ทำความผิด และมิได้สำนึกต่อการกระทำผิดของตัวเอง
       
       "หลังมีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ จะขอเข้ามอบตัวและสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. แต่มีผู้ใหญ่หลายคนบอกให้ชะลอการมอบตัว เพราะไม่ได้รับการยืนยันว่าจะปลอดภัย และเกรงว่าจะเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย จึงเสียสละไม่กลับมา จะรอจนการเลือกตั้งจบลงด้วยดี และได้รัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย แต่ปรากฏว่าช่วงประสานงานกลับมามอบตัวเกิดเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ จึงรอให้สถานการณ์น้ำแห้งลง และทราบข่าวว่ามี ส.ส.หลายพรรคร่วมเป็นกรรมาธิการปรองดองแห่งชาติ เพื่อให้ประเทศชาติเกิดความสามัคคี ตนเห็นเป็นโอกาสอันดี และอยากเห็นบ้านเมืองเกิดความปรองดอง จึงเข้ามอบตัว"
       
       "ตลอดเวลาผมเป็นผู้ถูกกระทำ ยืนยันว่าตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผมเป็นคนรักสงบ มีความยุติธรรม ไม่นิยมความรุนแรง เป็นคนเรียบร้อย เที่ยงตรง จะต่อสู้ในกรอบของกฎหมาย พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ต่อสู้คดีต่อศาลอย่างไม่ผิดเงื่อนไขในทุกคดี" นายอริสมันต์ กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
       
       คำเบิกความต่อศาลของ นายอริสมันต์ เรียกว่าทำเอาละครน้ำเน่าหลังข่าวต้องเรียกพี่ไปเลยทีเดียว เพราะหากประชาชนประเทศนี้ หูไม่หนวก ตาไม่บอดไปหมดประเทศแล้ว ก็ย่อมจะพอจำได้ในสิ่งที่นายอริสมันต์ก่อกรรมทำเข็ญไว้กับประเทศไทยอย่างเหลือคณานับเกินคำบรรยาย ยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว
      
       ไม่ว่าจะเป็น 12 มี.ค.2553 ที่เวที จ.อุดรธานี วันนั้น ไอ้กี้ร์ผู้เรียบร้อยและรักสงบ กล่าวว่า "ครั้งนี้จะเป็นการคิดบัญชีรัฐบาลทรราชอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพวกอำมาตย์เฒ่าทั้งหลาย คุณไม่ต้องมาบอกว่าสถานที่สำคัญที่เขาจะไปก่อวินาศกรรม คุณไม่ต้องไปปูดข่าวบอกว่าสถานที่ที่เป็นศาสนสถานของพวกมุสลิม โรงพยาบาลแล้วก็ถนนราชวิถี สะพานข้ามแม่น้ำ โรงพยาบาลศิริราช สนามบิน ทำเนียบ กระทรวงสำคัญๆ ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ ค่ายทหาร บ้านบุคคลสำคัญ และศาลยุติธรรม และองค์กรอิสระ คุณไม่ต้องบอก ถ้าหากว่าคุณใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดง รับรองว่าไอ้สิ่งที่คุณพูดถึงนี้จะไม่เหลืออยู่ในประเทศไทยอย่างแน่นอน”
       
       29 ม.ค. 2553 เวทีหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถ.ราชดำเนิน "ผมได้เขียนสรุปง่ายๆ ว่า ต่อไปนี้การที่จะสู้กับอำมาตย์ จะสู้กับพวกกองทัพที่มันรับใช้อำมาตย์มาทำการปฏิวัติ เราต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง ด้วยสโลแกน ออลฟอร์วัน รวมใจเป็นหนึ่งล้มอำมาตย์ครับ พี่น้องนัดกันคราวหน้าถ้ารู้ว่าเขาจะปราบปรามไม่ต้องเตรียมอะไรมาก มาด้วยกัน ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามา 1 ล้านคนในกรุงเทพมหานคร มีน้ำมัน 1 ล้านลิตร รับรองว่า กรุงเทพ เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน”
       
       "การสู้ของคนเสื้อแดงแบบง่ายๆ อย่างนี้ บอกให้ทหารได้รับได้ทราบ บอกให้ทหารสุนัขรับใช้อำมาตย์ได้รู้ว่า ถ้าคุณทำร้ายคนเสื้อแดง แม้เลือดหยดแต่หยดเดียวนั่นหมายความว่า กรุงเทพฯ จะเป็นทะเลเพลิงทันที ส่วนต่างจังหวัด จตุพร (พรหมพันธุ์)ได้บอกแล้ว ให้รอฟังข่าวว่า พี่น้องที่อยู่ในต่างจังหวัด ไม่ได้มาไม่เป็นไร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นทันทีรวมตัวกันที่ศาลากลาง ไม่ต้องรอเงื่อนไข จัดการให้ราพณาสูรเหมือนกัน"
       
       แน่นอน หากใครฟังคำพูดและเฝ้าดูพฤติกรรมของ นายอริสมันต์แล้ว คงจะไม่แปลกใจเลยหากศาลจะอนุมัติหมายจับนายอริสมันต์ ความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการภายในสถานการณ์ฉุกเฉินเข้าข่ายความผิด และ พ.ร.บ.ความมั่นคง มาตรา 11 (1) และความผิดข้อหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ (รัฐสภา) กักขังหน่วยเหนี่ยว และข่มขู่ โดยบุกรุกรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 53
       
       ต่อมา 6 พ.ค.53 ศาลออกหมายจับ ข้อหาความผิดก่อการร้าย ขู่บังคับรัฐบาล ประทุษร้ายต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ ข้อหาสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง และศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับ ตามที่ดีเอสไอเสนอ
       
       คงจะกล่าวได้ว่าถึงแม้ระยะเวลาผ่านไปปีเศษ แต่เชื่อว่าคนไทยยังจำพฤติกรรมอันรุนแรงและเลวทรามของอริสมันต์ได้ดี ที่เป็นแกนนำมวลชนคนเสื้อแดงบุกเมืองพัทยาล้มการประชุมผู้นำอาเซียน จนสถานที่ใช้ประชุมได้รับความเสียหาย และทำให้ประเทศไทยเสียภาพพจน์ในสายตาประชาคมโลกดำเนินการปราศรัยปลุกระดมมวลชนทั้งในจังหวัดต่างๆ และใน กทม.ให้เผาบ้านเผาเมือง ภาพการแสดงโรยตัวจากชั้นบนของโรงแรมเพื่อหนีตำรวจอย่างทุลักทุเลก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของคนไทย
       
       ขณะเดียวกัน หากจะตอกย้ำถึงความสำนึกผิดชอบชั่วดีที่ไม่เคยจะมีในกมลสันดานของ นายอริสมันต์แล้ว ก็คงต้องหยิบยกคำสัมภาษณ์ ของนายสิงห์ทอง บัวชุม ทนายของไอ้กี้ร์ ที่ให้สัมภาษณ์แบบหน้าไม่อายว่า "ยอมรับว่าพฤติกรรมของอริสมันต์ที่ดูรุนแรงมีส่วนในส่วนที่ถูกมองว่าฮาร์ดคอร์บางเรื่อง เรื่องคลิปมีผลต่อการให้ประกันตัวหรือไม่ ก็มีส่วน เพราะเรื่องคลิปมีส่วนอยู่โดยเฉพาะที่ดีเอสไอส่งไปที่ศาล แต่เป็นคลิปที่ถูกตัดตอน ไม่ใช่คลิปสมบูรณ์ เป็นคลิปที่ปราศรัยบนเวทีต่างๆ แล้วนำมาต่อกัน ผมเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมวันนี้ศาลได้ให้เหตุผลมาแล้วไม่อยากก้าวล่วง เป็นความผิดร้ายแรง การที่อริสมันต์หนีไปนานกว่าจะมามอบตัว เหตุผลหนึ่งคือกลัวหลบหนี"
       
       ฟังแล้วรู้สึกอย่างไร... คงต้องกล่าวว่าการเอาสีข้างถูของนายสิงห์ทอง คงจะลืมไปแล้วว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่ใช่คนเสื้อแดง ย่อมจะทราบดีว่าอะไรคืออะไร คำพูดของทนายไอ้กี้ร์คงจะมีค่าแค่เพียงเอาไว้หลอกคนเสื้อแดงไปวันๆ เท่านั้นเองว่า ที่ต้องถูกดำเนินคดี ต่างๆนานา เพราะไม่ได้รับความยุติธรรม คนเสื้อแดงมันถูกกระทำสองมาตรฐานตลอด
       
       และที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้เลยในเรื่องสองมาตรฐาน ดูเหมือนว่าจะเป็นนายอริสมันต์ที่ต้องกลืนน้ำลายตัวเสียเฮือกใหญ่มากกว่า เพราะหลังจากที่ต้องตีหน้าตาน่าสงสาร เดินคอตกเข้าคุก ต่างจากตอนทำตัวปากกล้า แสดงอาการเถื่อยถ่อยต่อหน้าสาวกเสื้อแดง ชนิดหน้าเป็นมือหลังมือแล้ว นายอริสมันต์ก็ยังได้สวมวิญญาณอำมาตย์ เพราะชีวิตความเป็นอยู่ในคุกก็ยังไม่วายทำตัวราวกับนักโทษที่ได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นอาหารเรือนจำที่จัดไว้ให้ 3 มื้อ นายอริสมันต์ก็กินไม่ได้ แต่สามารถสั่งพิซซ่า แมคโดนัลด์ มารับประทานได้
       
       อีกทั้งตามปกติ เมื่อผู้ต้องขังถูกส่งตัวมาที่เรือนจำแล้ว จะต้องถูกตัดผมใหม่ หรือกล้อนผมเสียก่อน แต่นายอริสมันต์ ก็ผ่านข้อยกเว้นนี้ไป แถมยังมีการจัดนักโทษหุ่นกำยำมาดูแลมารักขาราวกับว่าเป็นบอดี้การ์ดประจำตัว
       
       ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าใดนัก ที่บรรดานักโทษเสื้อแดงจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพราะคนที่นั่งเป็นใหญ่เป็นโตในเก้าอี้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ก็เป็น พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย ยี่ห้อคนระบอบทักษิณการันตี แถมหนำซ้ำยังแสดงการเอาอกเอาใจด้วยการจะย้ายผู้ต้องโทษเสื้อแดงไปคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ด้วยซ้ำไป
       
       กล่าวถึงไอ้กี้ร์ ชั่วโมงนี้ ก็คงได้แต่ต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ในคุกชั่วคราวก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งในวันที่ 19 ธันวาคม เวลา 14.00น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก และในวันนั้น ไอ้กี้ร์จะได้ชูกำปั้นทำหน้าหยิ่งผยองออกจากคุก หรือ ได้แต่ทำหน้าตาน่าสงสารเดินคอตกกลับเข้าคุก ก็คงต้องติดตามกันต่อไป
       
       แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับประทานหญ้าเป็นอาหารเหมือนกับคนเสื้อแดง คงจะรู้สึกยินดีไม่น้อยกับการที่จะได้เห็นไอ้กี้ร์ เดินคอตกทำหน้าเศร้าเดินเข้าตารางอีกรอบ ซึ่งหากดูพฤติกรรมที่ผ่านมาแล้ว น่าจะเหมาะสมกับสิ่งพ่อหนุ่มเนื้อทองคนนี้ได้ก่อกรรมไว้กับประเทศนี้ด้วยประการทั้งปวง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 ธันวาคม 2554, 11:48:38
คำชมของชาวต่างชาติ..ถึงนายกไทย

ฝรั่ง: โอ้! นายกรัฐมนตรีประเทศยูนี่ดีมากๆเลยนะเนี่ย

คนไทย: ดียังไง?

ฝรั่ง: ก็ไอเห็นฮีใส่ขาสั้นออกไปเดินลุยน้ำช่วยประชาชนทุกวัน เยี่ยมมากๆ

คนไทย: หือ? ฮี? ผู้ชายเหรอ?

ฝรั่ง: ใช่ๆก็คนที่ตี๋ๆใส่แว่นไง!

คนไทย: เอ่อ...นั่นชื่อสรยุทธ...

ฝรั่ง: แต่รองนายกบ้านยูตัวเตี้ยไปหน่อยนะ

คนไทย: เอิ่ม... นั่นโก๊ะตี๋........



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 ธันวาคม 2554, 10:32:03
วันที่ “กี้ร์”ต้องเดียวดาย !!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
เกาะกระแส
       โดย...ก้อนกรวด
       
       00 ต้องยอมรับว่า “คาดไม่ถึง” หรืออาจจะเรียกว่าผิดคาดก็ได้ สำหรับกรณีที่ศาลไม่ให้ประกันตัว “พี่กี้ร์” อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนีอีก ในคำสั่งของศาลก็ได้ให้เหตุผลว่า นอกจากคดีร้ายแรงและมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตแล้ว ข้ออ้างของจำเลยนั้นฟังไม่ขึ้น จึงยกคำร้อง ทำให้ต้องกลับไป “อมฮอลล์” ในคุกต่อ
       
       00 เมื่ออ่านรายละเอียดในคำสั่งของศาล พอจับประเด็นได้ว่า สาเหตุสำคัญที่ไม่อนุญาตให้ประกันตัวเหมือนกับ “หัวโจก” ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะ “พฤติกรรมแห่งคดี” นั้นแตกต่างกัน และในคำบรรยายของศาล ทำให้เข้าใจทันทีว่าคำพูดที่เคยปลุกระดมว่า “ให้นำขวดแก้วมาคนละขวด ไปหาน้ำมันเอาข้างหน้า ถ้าเรามาหนึ่งล้านคน หนึ่งล้านลิตร กรุงเทพฯ ต้องกลายเป็นทะเลเพลิงแน่นอน” ชัดหรือยังพี่น้อง และนี่ก็ “ไม่ใช่แดงเทียม” แน่นอน เป็นผู้ก่อการร้าย
       
       00 ในคำสั่งของศาลคราวนี้ทำให้เห็นอีกว่า ศาลก็ “มีตา มีหู” รอบตัวเหมือนกัน ไม่ใช่พิจารณาแค่พยานหลักฐานที่ฝ่ายจำเลยนำส่งไปให้ เพราะสิ่งที่เห็นศาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบเหมือนกับได้ติดตามข่าวสารมาตลอด ที่สำคัญยัง “รู้ทัน” เสียด้วยซี เป็นอันว่าชัดเจน เรียกว่าจำนนต่อหลักฐาน จนต้องเดินคอตกกลับไป
       
       00 ที่อ้างตัวเองถูกไล่ล่า จนไม่กล้าเข้ามามอบตัว พร้อมอ้างอิงไปถึง “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่ถูกยิงเสียชีวิต อ้างว่าถูกคุกคามเหมือนกับ จตุพร พรหมพันธุ์ และพวก ศาลก็ไม่เชื่ออีก เพราะหลังจากนั้นก็ไม่เห็นมีใครตายสักคน อีกทั้งไม่มีพยานมายืนยัน มีเพียงเจ้าตัวกับเมียมายืนยันเท่านั้น ยังไม่มีน้ำหนัก ศาลก็ไม่เชื่ออีก น่าสังเกตก็คือคราวนี้ไม่มีบรรดาหัวโจกมีชื่อ ไม่ว่าจะเป็น ไอ้ตู่ ไอ้เต้น เหวง-ธิดา ก็ไม่เห็นโผล่หน้ามาให้เห็นเลย หรือว่าเป็นพวกเดียวกับ “อำมาตย์” กันไปหมดแล้ว
       
       00 น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ทีมทนายความ” ก็เป็นคนละชุดของพวกหัวโจกก่อนหน้า เพราะใช้บริการของทนายความชื่อ ศุภชัยวุฒิ ชาวสวนกล้วย ไม่ใช่ คารม พลทะกลาง อย่างที่คุ้นชื่อกันก่อนหน้านี้ ฝ่ายที่ไปยื่นประกันตัวก็ไม่ค่อยคุ้น แม้ว่ามีการเพิ่มหลักทรัพย์จาก 1.5 ล้าน เป็น 4 ล้าน และใช้ตำแหน่ง ส.ส.ของเมียตีค่าอีกกว่า 1.3 ล้านบาท ก็ไม่ผ่าน ทั้งที่พนักงานอัยการก็ไม่ได้คัดค้านการประกันตัวเสียด้วย อย่างไรก็ดี เชื่อว่าเรื่องหลักทรัพย์ไม่น่าจะเป็นประเด็น ประเด็นน่าจะอยู่ตรงที่ว่า “พฤติกรรมแห่งคดี” มากกว่า เพราะมันร้ายแรงกว่า ที่ผ่านมาอาการไม่ต่างจาก “คนบ้า” และหากย้อนเหตุการณ์ในอดีตก็ไม่ควรให้อภัยกับคำพูดที่เหยียบย่ำหัวใจคนไทย โดยการข่มขู่จะ “ถล่มศิริราช” รวมไปถึงการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตำรวจชั้นนายพล ที่บังคับให้พวกเขาวางปืนแทบเท้า หลังจากเสียท่าที่โรงแรมเอสซีปาร์ค
       
       00 มองอีกมุมหนึ่ง การกลับเข้าไปนอนคุกเที่ยวนี้ของ อริสมันต์ เหมือนกับคืนความยุติธรรมให้กับเขาให้เท่าเทียมกับคนอื่น หลังจากที่ต้องหนีเอาตัวรอดไปก่อนหน้านี้ อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากรูปการณ์เท่าที่เห็นแล้วยังไม่อาจประเมินได้เลยว่า คราวหน้าจะได้รับการประกันตัวออกมาได้หรือไม่ เพราะเหตุผลที่นำไปอ้างกับศาลก็โม้ไปหมดแล้วเสียด้วย !!


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 ธันวาคม 2554, 21:52:22
ฉายาเด็ดรัฐบาลยิ่งลักษณ์แอ๊บแบ๊วฟันน้ำนม

   
โดย..อสนีบาต

ตลอดหนึ่งปีมีเรื่องราวทางการเมืองเข้ามาเขย่าอารมณ์ความรู้สึกประชาชน บรรดานักการเมืองขึ้นสู่อำนาจส่วนใหญ่ต่างแสดงพฤติการณ์ที่ก่อให้เกิดความตึงเครียด วิตกกังวล น้อยคนนักสร้างความพึงพอใจหรืออาจมีผลงานก็ถูกเบียดพื้นที่ข่าวไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง  ว่าไปแล้วกลุ่มบุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลสาธารณะที่สวมหัวโขนเข้ามาเล่นละครให้ประชาชนได้วิพากษ์วิจารณ์

รอบปีจึงมักมีประเพณีหยิกแกมหยอกในหมู่สื่อมวลชนที่ได้สัมผัสการทำงานของตัวละครเหล่านี้ ผ่านการตั้งฉายาแบบขำขำ เช่นเดียวกับในมุมมองของ…อสนีบาต…สดับตรับฟังเพื่อนพ้องสื่อมวลชนและเพื่อนฝูงรวมถึงประชาชนแลกเปลี่ยนความเห็นถึงบุคคลทางการเมืองเด่น- ดัง - ลืม  สะท้อนออกมาเป็นฉายาแสบๆคันๆไว้ดังนี้ 

ยิ่งลักษณ์ : “แอ๊บแบ๊วฟันน้ำนม”

นับตั้งแต่แสงประชาธิปไตยสาดส่องมาที่พรรคเพื่อไทยเปิดทางสู่อำนาจรัฐ  ตัวชูโรงตำแหน่งนายกฯกำหนดไปที่  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี   ท่ามกลางเสียงอื้ออึง ประเทศไทยจะได้สุภาพสตรีเป็นนายกรัฐมนตรี

ภาพของการหาเสียงเลือกตั้งเต็มไปด้วยความคึกคัก เพราะพรรคเพื่อไทยขับเน้นความสวยงามทางใบหน้าและเรือนร่างออกมาเป็นจุดขายมากกว่าโชว์กึ๊นแสดงวิสัยทัศน์ต่อการกำหนดทิศทางประเทศไทย ป้ายหาเสียงหวานแหวผสมลีลาบ๊องแบ๊วต่อหน้าสื่อโดดเด่นกว่าการให้น้ำหนักแข่งขันทางนโยบายแต่ละพรรคเสียสิ้น  การเมืองไทยช่วงเลือกตั้งจึงหนักไปทางเอ็นเตอร์เทน ชาวบ้านร้านตลาดโขมงโฉงเฉงแต่เรื่องความสวย-ความหล่อ ท้าประลอง

ครั้นเมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ หลายคนได้ประจักษ์ชัดต่อวิธีการบริหารประเทศชนิดพูดไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เพราะแต่ละความมุ่งมั่นถ่ายทอดออกมาทำเอาคนในชาติสรวลเสเฮฮา ไม่เพียงแต่อารมณ์ขันยังผสมอาการสะเทือนใจแม้แต่เรยาต้องอาย จากบทบาทลงพื้นที่สัมผัสผู้ยากไร้ ประสบปัญหาภัยพิบัติต้องน้ำตาร่วงทุกเวที

หรือแม้แต่ ลีลาตอบคำถามสะท้อนถึงก้อนเนื้อทางความคิดที่เป็นลักษณะถามช้างตอบม้า  ถามม้าตอบลา   บ่อยครั้งที่ฉากหน้าได้ยินเสียงเพรียกหาความปรองดองแต่ทว่าหลังฉากกลับมีคนในพรรคขมักเขม้นเล่นกลการเมือง หาทางแก้กฎหมาย เอื้อประโยชน์ นิรโทษกรรมให้คนคนเดียว   ทั้งที่คนเป็นนายกฯสวมใส่เสื้อพรรคเพื่อไทย นั่งประชุมในพรรคด้วยแท้ๆ กลับไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ตอกย้ำผ่านการสัมภาษณ์  “ ดิฉันไม่ทราบ”  “เรื่องนี้ต้องขอศึกษาก่อน”  จนถูกแซวในเวลาต่อมาสงสัยจะเป็นแฟนธุ์พันธุ์แท้พุ่มพวงจึงถนัดแต่ร้องเพลง “หนูไม่รู้”     

แม้กระทั่งการออกงานราชการ ตรวจแถวสวนสนาม ก็สามารถฝึกกายได้รวดเร็วแปลงร่างเป็นโรบ็อท ทำให้แม่ทัพนายกองลงมาถึงพลทหารต่างอมยิ้มเป็นทิวแถวมิพักพูดถึงลีลาพบปะผู้นำต่างประเทศ ต้องได้ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่ชายปูทางไว้ก่อนไม่งั้นหนูเอาไม่อยู่ เพราะหนูไม่เป็นตัวของตัวเองต้องมีผู้หลักผู้ใหญ่คอยกำกับ

ถ้าลองปล่อยให้บรรเลงเองโดยลำพังก็เห็นฝีมือกันมาแล้ว ยอดเยี่ยมไหมหล่ะพี่ชายจ๊า  อย่างเหตุการณ์ท่องบทออกอากาศวิทยุ โทรทัศน์ ผ่านรายการน้องปูพบประชาชน สงสัยจะเล่นตลกให้ผู้ฟัง จากหญ้าแฝกเป็นหญ้าแพรก จากพฤศจิกายน เป็น พฤศจิกาคม นี่ไม่จุใจยังโชว์คาเฟ่บนโต๊ะครม. จากเรือดำน้ำเป็นเรือดันน้ำ หรือถ้าจะโกอินเตอร์ก็เห็นจะเป็นในวันเปิดแถลงข่าวร่วมกับฮิลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ ที่ทำเนียบฯ  จนกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยังเกาหัวแกรกๆเพราะแปลคำพูดนายกฯ( inaudible))ไม่ออก!!

เดิมทีผู้คนที่ได้ฟังเกิดอาการตึงเครียด แต่ความผิดพลาดเป็นอาจิณ ทำให้ประเทศนี้ต้องทำใจปรับให้ได้เพื่ออยู่กับความคุ้นชินผู้นำตามระบอบประชาธิปไตย คิดเสียว่านี่คือ มิสโจ๊กเกอร์การเมืองแห่งประเทศไทย

ถ้าเปรียบเหมือนเด็กวัยละอ่อน อายุสัก 3-4  ขวบ ที่ยังไม่เปลี่ยนฟันน้ำนมเป็นฟันแท้ ทางการแพทย์ระบุเด็กวัยนี้จะไม่ประสีประสาต่อความรับผิดชอบชั่วดีมากนัก  ทำอะไรผิดพลาดซุ่มซ่าม ถ้าตามประสาอินเทรนด์จัดอยู่ในประเภทแอ๊บแบ๊วไร้เดียงสา  จึงไม่ต่างอะไรกับนายกฯรายนี้ที่ออกลีลาใสซื่อในยามประเทศเผชิญวิกฤติ   ฉายานี้จึงเหมาะเหม็ง “ แอ๊บแบ๊วฟันน้ำนม “

สุรพงษ์  โตวิจักษ์ชัยกุล :  “ป๊ะป๋ากามิกาเซ่”


ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญต่อการสร้างภาพลักษณ์ เชื่อมกระชับสัมพันธ์ นานาประเทศ  ซึ่งเป็นความโชคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีลูกน้องผู้ภักดีเป็นที่ไว้วางใจอย่าง สุรพงษ์  โตวิจักษ์ชัยกุล เสี่ยใหญ่จากเชียงใหม่  จึงได้รับการสมนาคุณมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ  แต่อาจเป็นความโชคร้ายของคนไทยหรือไม่ต้องมาร่วมพิจารณาเพราะภารกิจระหว่างประเทศตลอด 4 เดือน เน้นหนักไปทางสร้างผลงานตอบแทนบุญคุณอดีตนายกฯ ทั้งการเคลียร์วีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น  ทั้งคืนพาสปอร์ตเป็นของขวัญคริสมาสต์  ทั้งการจัดแจงบรรดาเจ้าหน้าที่การทูตต้อนรับอำนวยความสะดวกให้ผู้ต้องหาหนีคดีในยามเยือนต่างประเทศ     

แต่ละเรื่องที่สุรพงษ์ดำเนินการเป็นที่จับจ้องตรวจสอบจากองค์กรภาคประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากหมิ่นเหม่เข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่  ฉีกม่านประเพณีระเบียบปฏิบัติของกระทรวงการต่างประเทศ   จนในที่สุดถูกยื่นถอดถอน ดำเนินคดีอาญา แต่เจ้ากระทรวงรายนี้มิได้ไหวหวั่นเดินหน้าสานภารกิจเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณต่อไป  ไม่อาจปฏิเสธกับการสร้างผลงานเข้าตานายใหญ่ยิ่งนัก เพราะถ้าเทียบกับบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง  ส.ส.ในพรรคออกมาเคลื่อนไหวช่วยเหลือด้านอื่นๆ  ก็ยังไม่รวดเร็วทันใจเท่ากับป๊ะป๋ะสุรพงษ์ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมยอมดับเครื่องชนพลีชีพเพื่อนายใหญ่  เหมือนเช่นฝูงบินพลีชีพของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2  ทำเอาสูญเสียทั้งตัวเองและฝ่ายตรงข้ามพังกันเป็นแถบ  เวทีโลกต้องยกนิ้วให้ “ ป๊ะป๋ากามิกาเซ่"

เฉลิม อยู่บำรุง :  ประธานหารสอง


จัดเป็นนักการเมืองเขี้ยวลากดิน ไม่ใช่ใครที่ไหน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง  รองนายกรัฐมนตรี ความสามารถในการวางหมากเกมการเมือง พรั่งพรูไอเดียความคิด ถือเป็นลักษณะพิเศษที่ติดตัวมาชนิดที่ห้ามใครลอกเลียนแบบ   หรือการผลิตสำนวนโวหารเสียดสีคู่แข่งทางการเมืองต้องยกให้เขา บ่อยครั้งจึงได้รับความไว้วางใจจากนายกฯยิ่งลักษณ์ ทำหน้าที่ตอบกระทู้แทน หรือถ้าเจอแรงเสียดสีจากฝ่ายค้าน ก็จะเป็นหน้าที่ของ นักการเมืองอาวุโสรายนี้ ปะฉะดะ

ถึงกระนั้นด้วยพฤติกรรมและคำพูด มักจะทำให้ผู้คนต้องมาพินิจพิจารณาถึงเจตนาที่แท้จริง มุ่งหมายอะไรกันแน่   อย่างกรณีข่าวที่เด่นชัด เมื่อครั้งนั่งทำหน้าที่เป็นประธานประชุมครม.แทนนายกฯที่ติดราชการต่างจังหวัด  จัดประชุมครม.ลับผลักดันร่างพระราชกฤษฏีขอพระราชทานอภัยโทษท่ามกลางเสียงวิจารณ์มีการแก้ไขสาระกฎหมายเอื้อให้พ.ต.ท.ทักษิณ  ครั้งแรกก็อ้างความลับไม่ได้แก้ไขสาระ  แต่ต่อมาไปยอมรับกลางสภา รัฐบาลไม่จำเป็นต้องนำเสนอสาระกฎหมายเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา  แต่เมื่อถูกตรวจสอบหนักจากกลุ่มนักวิชาการ ด้านกฎหมาย กฤษฏีกาเห็นว่า ไม่อาจทำได้เพราะจะทำลายระบบนิติรัฐ   ความพยายามออกพรฎ.พระราชทานอภัยโทษให้พ.ต.ท.ทักษิณต้องถอยร่น 

ล่าสุดกับจุดยืนไม่เห็นด้วยต่อการแก้กฎหมายประมวลความอาญามาตรา 112 กรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำเอาแกนนำคนเสื้อแดงตกตะลึง เพราะเพื่อไทยและเสื้อแดงเป็นเนื้อเดียวกัน แต่เหตุใด ร.ต.อ.เฉลิมถึงออกมาแสดงท่าทีเช่นนี้ หรือเพราะร.ต.อ.เฉลิมรับบทเป็นประธานกรรมการปราบเว็ปหมิ่นตามที่ไปยืนยันกับเหล่าทัพจะจัดการให้สิ้นซาก จึงต้องรักษาภาพเอาจริงเอาจัง นี่แหละหนอกรรมของคนมาเป็นประธาน

ล่าสุดประเด็นร้อนแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยแรงผลักดันส.ส.กลุ่มเสื้อแดงต้องการเห็นผลโดยเร็ว แต่ร.ต.อ.เฉลิมกลับมองว่ารอจังหวะที่เหมาะสมแถมเสนอว่าควรประชาพิจารณ์ก่อน ขัดอารมณ์ความรู้สึกคนเสื้อแดงแต่อีกด้านมองว่านี่เป็นหมากเกมสับขาหลอกสร้างข่าวกลบเรื่องบางเรื่องที่รัฐบาลกำลังคิดการณ์ใหญ่อยู่ก็ได้   ทุกลีลาคำพูดจับทางไม่ถูกเดินตามไม่ทัน สมแล้วฉายา” ประธานหารสอง”

ประชา พรหมนอก :   “ผู้ใหญ่บ้าน”

เงียบ พูดน้อย ต่อยหนัก ยกให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เงียบๆอย่างนี้แหละ แต่ภารกิจน่าดูชม ตั้งแต่คอยประสานเคลียร์ข้อข้องใจทางคดีให้กลุ่มคนเสื้อแดงได้รับการประกันตัว  จัดวางข้าราชการกระทรวงให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการเพื่อหวังผลสูงต่อการอำนวยความสะดวกให้กับผู้มีบุญคุณต่างแดน  จะด้วยคำสั่งโยกย้ายอธิบดีคุก  ปรับปรุงคุกวีไอพีต้อนรับนักโทษคดีการเมือง  แต่งตั้งนักวิชาการศึกษาข้อกฎหมายล่าชื่ออภัยโทษ 

แม้แต่มหาอุทกภัยท่วมเมือง ที่ความจริงกระทรวงมหาดไทยต้องรับผิดชอบโดยตรง แต่นายกฯจับพลัดจับผลูท่าไหนมอบความไว้วางใจให้พล.ต.อ.ประชามานั่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)  ว่ากันว่าเพราะบุคคลิกความเป็นผู้ใหญ่ใจดี เป็นอดีตผบ.ตร. มีบริวารในสำนักงานเก่าเยอะ   แต่ผู้ใหญ่ใจดีก็ต้องรับเละปัญหาสารพันไม่ว่าจะเป็นข้อครหาทุจริต เอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองในพรรคเข้ามาแทรกแซงการแจกจ่ายถุงยังชีพ ม็อบรื้อบิ๊กแบ็ค บิ๊กประชาก็ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ จนกระทั่งถูกประเดิมอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐบาลนี้  ด้วยบุคคลิกท่าทีพูดน้อยแบบบ้านๆ  สมานฉันท์นะคร้าบ  ลูกบ้านต้องเกรงใจ  จึงไม่ต่างกับผู้ใหญ่บ้านในถิ่นไกลปืนเที่ยง  สมควรได้ฉายา  “ ผู้ใหญ่บ้าน”


พรศักดิ์  : นินจานิรนาม

บรรดารัฐมนตรี 35 คน หากเอ่ยชื่อ   พรศักดิ์  เจริญประเสริฐ  จะมีประชาชนตอบถูกสักกี่คนว่าบุคคลรายนี้ดำรงตำแหน่งใด  เอ้า! จดจำกันให้ดีๆหรือไม่ก็เขียนแปะข้างฝา  เขาดำรงตำแหน่งรมช.เกษตรและสหกรณ์  เบื้องหลังความสำเร็จที่ทำให้ทุกคนลืมรมต.รายนี้ เพราะความสามารถส่วนบุคคลเวลาเข้ากระทรวงจะใช้วิธีผลุบโผล่เหมือนนินจา หายวับเคลื่อนที่เร็ว ขนาดข้าราชการในกระทรวงยังถามไถ่ รัฐมนตรีท่านนี้หน้าตาเป็นอย่างไร

ทุกครั้งของการทำโพลล์มีใครบ้างจัดอยู่ในกลุ่มรัฐมนตรีโลกลืม  พรศักดิ์ติดกลุ่มเสมอ ขนาดข่าวโพลล์จบไปแล้วซึ่งน่าจะเป็นผลดีที่ทำให้คนรู้จักมากขึ้น  แต่ก็ไม่มีใครจดจำเขาอีก  ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่กับการอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน ส่วนงานในกระทรวงเฉลี่ยเข้ามาสัก1-2 วัน

ครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงน้ำท่วม พรศักดิ์ยอมรับ เขาได้รับมอบหมายให้ลงพื้นที่ดูแลสถานการณ์น้ำท่วมที่ศรีษะเกษ  ขณะที่ธีระ วงศ์สมุทร  รมว.เกษตรได้ดูแลพื้นที่ชัยนาท  ปรากฎว่า ศรีษะเกษน้ำไม่ท่วม  ทำให้เขาไม่ดัง แตกต่างกับคนอื่นที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมจึงมีชื่อโด่งดัง  ถึงกระนั้นเจ้าตัวบอกถ้าศรีษะเกษน้ำท่วม ป่านนี้เขาคงเป็นที่รู้จักของคนในกรุงเทพฯแน่ๆ    นี่แหละคือเหตุผลทำไมถึงได้ฉายา “นินจานิรนาม”

ฉายารัฐบาล :  แม้วยังชีพ


รัฐบาลชุดนี้พยายามเดินนโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้  ภายใต้สโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ “ ทั้งแจกแท็บเล็ตเด็กประถมศึกษา  ผลักดันโครงการถมทะเล  หรือการประสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อกรุยทางให้น้องสาวผู้เป็นนายกฯได้ไปสร้างความสง่าผ่าเผยบนเวทีต่างประเทศ หรือแม้แต่การจัดตัวครม. วางแต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กข้าราชการ  ล้วนแต่ต้องพึ่งบริการพ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาเป็นตัวช่วยกระตุ้นทุกครั้งไป      ขณะที่พรรคเพื่อไทยยืนหยัดอยู่ได้ นอกจากอ้าง 15 ล้านเสียงค้ำยัน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธจะอยู่หรือจะไปในทิศทางไหน ต้องได้รับสนับสนุนจากทุนนายใหญ่หล่องลี้ยง

พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเปรียบเสมือนถุงยังชีพที่รัฐบาลนำมาใช้อย่างสิ้นเปลือง  แม้รู้ว่าจะไม่สามารถปัดเป่าดับทุกข์ปัญหาประชาชนได้  แต่มาเป็นตัวช่วยให้รัฐบาลดำเนินกิจการต่างๆตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ถึงกระนั้นถุงยังชีพไม่มีวันอยู่ได้นานบริโภคแล้วก็หมดไป หรือ ไม่บริโภคก็เป็นข้าวของหมดอายุ แจกใครก็ไม่รับแถมโดนด่าอีกต่างหาก  เช่นเดียวกับการคิดค้นหาวิธีถนอมถุงยังชีพทางการเมือง จะออกกฎหมาย หาช่องทางช่วยเหลือ แต่เจอมวลประชาชนมหาศาลต่อต้านก็เป็นถุงเน่าไร้ค่าในที่สุด     สภาพของรัฐบาลชุดนี้อยู่ได้เพราะทักษิณแต่ก็อาจพังได้เพราะทักษิณเหมือนกับถุงยังชีพ  จึงได้รับฉายา “ แม้วยังชีพ”  นั่นเอง

วาทะแห่งปี :“ดิฉันจะไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”

มากมายเรียงร้อยไม่หมด สำหรับวาทะนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ที่แสดงศักยภาพทางความคิดผ่านทางหลอดเสียงออกมาเป็นประโยค แต่ที่แน่ๆ สารพัดถ้อยคำเมื่อแปลความออกมาทำเอาประชาชนมึนงงเสมอ

ตัวอย่าง เคยลั่นวาจายืนยันอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศ”เอาอยู่แน่นอน”  แต่ก็เอาไม่อยู่จนได้  หรือจะเป็นเรื่องราวที่นำไปสู่ประเด็นสร้างความขัดแย้งทางการเมืองตอบเพียงว่า” ต้องศึกษารายละเอียดก่อน” โดยหารู้ว่าไม่ว่าขบวนการคนรอบข้างเดินหน้าหลายเรื่องก่อเชื้อความร้อนแรง แต่มาถึงป่านนี้จากปี 54- 55 นายกฯยังคงตอบขอศึกษาต่อไป

แต่วาทะใดเล่าจะกินใจ  มีความศักดิ์สิทธิถึงปัจจุบัน  ก็เห็นจะเป็นคำแถลงการณ์ของนายกฯยิ่งลักษณ์ในโอกาสรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28  เมื่อวันที่ 8 ส.ค.54 มีใจความสำคัญว่า "จะนำความรู้ความสามารถ และสติ  ปัญญา ทุ่มเททำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และตั้งใจอย่างเต็มที่ เพื่อนำพาประเทศของเรา ไปสู่ความสงบสุข ความสามัคคีปรองดอง มีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะเข้ามาทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน  ....ดิฉันจะมุ่งมั่น สร้างสุข สลายทุกข์ ให้แก่ประชาชนอย่างสุดกำลังความสามารถ ดิฉันจะไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”

สิ่งที่กระทำมาตั้งแต่เป็นนายกฯ จนถึงปัจจุบัน ไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่ทำเพื่อคนไทยทุกคน กลับตรงข้ามเสียสิ้น แทบจะไม่มีผลงานใดยืนยันกับสิ่งที่พูดนี้ เพราะ 4 เดือนบริหารชาติ  ล้วนให้น้ำหนักมุ่งแก้ไขสิ่งผิดเป็นสิ่งถูก ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชาย  หรือจะเป็นการไฟเขียวแต่งตั้งนักเคลื่อนไหวปลุกระดมผู้ต้องคดีอาญาแผ่นดิน  ได้ขึ้นเป็นใหญ่ในตำแหน่ง ที่ปรึกษา เลขานุการรมต.

เปิดทางให้วีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น  คืนพาสปอร์ต นำไปสู่การหมิ่นเหม่ขัดกฎหมาย แหกระเบียบปฏิบัติกระทรวงการต่างประเทศ  และยังจะหลับตาไม่รับรู้ถึงความพยายามแก้ไขกฎหมายนิรโทษกรรม แก้ไขรัฐธรรมนูญ วางสเป็ค สสร.ตามข้อเสนอแนะของคนเสื้อแดงล่วงหน้า ด้วยการให้กำหนดคุณสมบัติสสร.ห้ามมาจากคนที่รับใช้เผด็จการ  จำกัดสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย  อีกทั้งเตรียมไล่รื้อที่มาองค์กรอิสระ จ้องลบมาตรา 309 ในรัฐธรรมนูญปี 50 เพื่อลบล้างผลพวงการกระทำของคณะรัฐประหาร จึงไม่ได้แสดงเห็นว่าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ส่วนรวมแต่อำนวยประโยชน์เพื่อพวกพ้องนักการเมืองเป็นหลัก ส่วนประโยชน์ส่วนรวมหยิบยกแค่กรณีประชาชนได้รับผลกระทบน้ำท่วมโยนเงินชดเชย ครัวเรือนละ 5,000 บาทแล้วก็จากไป หาได้แข็งขันใช้บทเรียนภัยพิบัติครั้งใหญ่ศึกษาวางยุทธศาสตร์เพื่อปกป้องประเทศชาติ ดูแลประชาชนโดยเร็วแต่อย่างใด ตอกย้ำให้เห็นว่า การทำเพื่อประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมักรวดเร็วทันใจกว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของประเทศ

คำกล่าว “ไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”  คือพันธะสัญญาสำคัญ  ที่ให้ไว้ต่อสาธารณชนและต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียด้วย  ยิ่งบอกไว้ด้วยว่า”จะทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต”  นายกฯยิ่งลักษณ์ จดจำสคริ๊ปทั้งหมดได้หรือไม่ หากจำไม่ได้จริงๆก็แสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง

 
 

 

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 ธันวาคม 2554, 10:02:48
“เจ้าแม่ทำเนียบ”ปรี๊ดแตก!! วอล์กเอาท์ตั้งฉายารัฐบาล
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
      
สะเก็ดไฟ
       
       เป็นอีกหนึ่งสีสันในช่วงส่งท้ายปลายปี สำหรับการตั้งสมญานามหรือฉายาให้แก่นักการเมืองของกระจิบกระจอกข่าวสายการเมือง เพื่อสะท้อนการทำงานของผู้แทนประชาชน ที่ผ่านการคลุกคลีตีโมงดวลฝีปากผ่านไมค์ผ่านกล้องกันมาตลอดปี
       
       และก็เป็นธรรมดาเมื่อเปิดโผฉายาประจำปีออกมา บางคนก็ว่า “แหลมคม” เจ็บจิ๊ดไปถึงขั้วหัวใจ คนโดน บ้างก็ว่าไร้ดีกรี “ฮาร์ดคอร์” ยังไม่มันส์ในอารมณ์ ซึ่งจะถูกใจหรือขัดใจผู้เสพสื่อบ้างก็เป็นเรื่องของนานาจิตตัง แต่อย่างน้อยคนถูกตั้งให้มีฉายาก็แฮปปี้ เพราะยังไม่ถูกหลงลืมตกกระแส
       
       หันมาดูเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไปที่มากันบ้าง เป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อถึงวาระนี้เมื่อไร นักข่าวแต่ละสำนักก็จะเตรียมงัดของปล่อยอาวุธดีเบตกันแบบไม่ยั้งตามประสา
       
       เริ่มที่โดย “สื่อสายสภาฯ” ที่ปีนี้ “ปล่อยของ” ออกมาก่อนกับฉายา “สภาฯกระดองปูแดง” ที่ชี้ให้เห็นสภาพ ส.ส.เสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทยที่ตะบี้ตะบันพิทักษ์ “น้องสาวนายใหญ่” กันแบบยิ่งกว่าไข่ในหินเสียอีก แถมหลายคนได้ดิบได้ดีมีตำแหน่ง เงินเดือนเรือนแสนก็เพราะสวม “เสื้อแดง” ปลุกระดมชาวบ้านกันมาก่อน
       
       ฉายานี้จึงผ่านไปด้วยมติเอกฉันท์ พร้อมกับยัดเยียดตำแหน่ง “ดาวดับ” ให้แก่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี อีกตำแหน่งในฐานะไม่เห็นคุณค่างานในสภาฯ
       
       ถัดมากับ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ที่โดนลดชั้นจาก “ขุนค้อน” ผู้เด็ดขาดกลายมาเป็น “ค้อนปลอมตราดูไบ” หรือแม้แต่จิกกันเจ็บๆอย่าง “สังคโลก” ที่มอบให้แก่ ส.ว.ผู้สูงวัยทั้งหลาย เปรียบเป็นของสูงค่า แต่ก็เป็นแค่เครื่องประดับตั้งโชว์ สอดรับกับ “นายพลถนัดชิ่ง” - “ธีรเดช มีเพียร” ประธานวุฒิสภา ที่สอบตกในการทำหน้าที่หลังรับตำแหน่งมาหลายเดือนดีดัก แต่ทำได้เพียงโบ้ยซ้ายทีขวาที พร้องหัวเราะแหะๆเอาตัวรอดไปวันๆ
       
       ที่ว่าไปส่วนใหญ่คอนเซปต์เป๊ะ ความเห็นตรงกันแทบทุกคน
       
       แต่ที่ทำให้บรรยากาศในวันที่ระดมสมองเสนอรายชื่อรอบแรกระอุขึ้นมา ก็เมื่อนักข่าวหนุ่มจากค่ายบางนา โยนฉายา “หล่อดีเลย์”
 สำหรับ “หนุ่มมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ที่ประชุมร่วมพิจารณาแบบทะลึ่งพรวด
       
       ทำเอา “บุษยา อุ้ยเจริญ” หรือ “พี่อ้อ ช่อง 9” ของน้องๆนักข่าว ถึงกับชูมือค้านหัวชนฝา ในฐานะทำข่าวติดตาม “หนุ่มมาร์ค” มานมนาม โดยเฉพาะช่วงเป็นผู้นำประเทศที่ตะลอนๆลุยงานตั้งแต่เช้าตรู่ จนดึกดื่นค่ำคืน ไม่ได้เพิ่งมาตื่นทำงาน “ดีเลย์” ตามที่น้องนักข่าวตั้งข้อสังเกต
       
       ทำเอาอุณหภูมิในห้องนักข่าวสภาฯวันนั้นร้อนฉ่าขึ้นมา จนนักข่าวหนุ่มผู้เสนอเสียงอ่อยเกือบถอนชื่อออก แต่ดีที่มีคนทัดทานไว้ เพราะเห็นว่าคมคายสื่อความหมายถึงอดีตนายกฯรูปหล่อได้หมดจด พอวันรุ่งขึ้นที่มีการโหวตตัดสินดีกรีความแรงของ “พี่อ้อ” ก็ลดลง
       
       และยอมรับโดยดุษฎีกับเสียงโหวตที่ให้กับ “หล่อดีเลย์” อย่างล้นหลาม
       
       ข้ามฟากมาดูกันที่ “สื่อสายทำเนียบฯ” ที่ปีนี้ปล่อยหมัดเด็ดแบบไม่ต้องตีความกับฉายารัฐบาล “ทักษิณส่วนหน้า” ที่เปรียบเป็นกองทัพที่บุกตะลุยแทน “นายใหญ่” ที่จำต้องปักหลักบัญชาการอยู่นอกประเทศ จนรัฐมนตรีต้องผละงานแห่แหนไปรายงานการทำงานถึงต่างแดน แถมบางครั้งต้องให้ “พ่อแม้ว” ออกตัวเป็น “ทัพหน้า” เจรจาความเมืองก่อนที่จะตามไป “เก็บงาน” อย่างเป็นทางการ
       
       ส่วนที่ทำเอากองเชียร์ผิดหวังเล็กน้อยกับสมญาของ “เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ที่แซวความ “แสนรู้” ไปทุกเรื่องยกให้เป็นแค่ “กุมารทองคะนองศึก” เรียกว่าออกหมัดแย็บเบาๆ จน “ทั่นเฉลิม” คงรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย มุมนี้กองเชียร์มองว่าบทบาทของ “เฉลิม” ในช่วงโค้งแรกของรัฐบาลนี้ ตีความออกมาได้หลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ออกแนวไม่ผ่านเซ็นเซอร์ซะมากกว่า
       
       ที่คลุมเครือเหมือนชมหรือด่าในคำเดียวคือ “นายกฯนกแก้ว” ที่มอบให้แก่นายกฯหญิงคนแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทย ตีความได้ถึงความเป็นคนรักสวยรักงาม แต่ติดตรงพูดตามสคริปต์ ล้อคำถามสื่อแบบถามมาตอบไป ไม่ต่างจากนกแก้วที่เลี้ยงกันอยู่ในบ้าน
       
       ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่ “อมยิ้ม” รับฉายาแต่ไม่พูดอะไร จนงานนี้สื่อทำเนียบไม่รู้ว่าโกรธหรือเปล่า เพราะ “ยิ่งลักษณ์” ไม่แสดงอารมณ์ร่วมออกมาเหมือนเคย
       
       อย่างที่บอกไปแล้วว่า ความน่าสนใจของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ชาวบ้านคนอ่านข่าวจะถูกใจไหม หรือนักการเมืองจะโกรธจะเคืองกันหรือเปล่า แต่ความเร้าใจกลับอยู่ที่บรรยากาศการเสนอชื่อและการห้ำหั่นกันเองของ “นักข่าว” ที่ต่างก็มีจุดยืนมีความรู้สึกรักใคร่ชอบพอผูกพันธ์กับ “แหล่งข่าว”
       
       เม้าส์กันแซ่ดว่ากว่าจะเคาะออกมาเป็นฉายา “ทักษิณส่วนหน้า” ให้กับ “ครม.ปู” ผ่านการกลั่นกรองปิดห้องถกเถียงตกผลึกกันมาไม่ต่ำกว่า 4-5 หนกันเลยทีเดียว จนมาถึงวันโหวตเหลือแคนดิเดตฉายารัฐบาลอีกเพียบ ทั้ง “บิ๊กแบ็ค - สตันท์มือสอง - ครม.วิดีโอลิ้งค์ - ครม.คนรักแม้ว - ศปภ.ศูนย์สร้างความปั่นป่วนทั่วพิภพ”
       
       ท้ายที่สุด “ทักษิณส่วนหน้า” ก็ยังมาแรงเป็น "ตัวเต็ง" เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศลงคะแนนครั้งสุดท้าย จึงต้องมีการพรีเซ็นต์อธิบายความกันยกสุดท้ายก่อนโหวต จังหวะนี้ “เจ๊ยุ-ยุวดี ธัญญสิริ” เจ้าแม่ทำเนียบฯ คัดค้านหัวชนฝาว่า ผู้สนับสนุนคำๆนี้อคติคิดไปเอง เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่า พฤติกรรมของ “ทักษิณ ชินวัตร” บงการอยู่เบื้องหลังรัฐบาลจริงเท็จแค่ไหน โดยเฉพาะที่ร่ำลือกันว่าอดีตนายกฯทักษิณเดินทางเป็น “หน่วยล่วงหน้า” ไปตามประเทศต่างๆเพื่อ “กรุยทาง” ก่อนที่ “ยิ่งลักษณ์” น้องของตัวเองจะไปเยือนในฐานะนายกฯ ทั้งประเทศจีน กัมพูชา หรือล่าสุดอย่างประเทศพม่า ที่มี “ซูเปอร์ดีล” หวังให้นายกฯไทยโหนกระแสประชาธิปไตย โดยเข้า “อองซานซูจี” ผู้นำฝ่ายค้านและนักต่อสู้ด้านประชาธิปไตยชื่อกระฉ่อนโลกของประเทศพม่า
       
       ฟังมาถึงช่วงนี้นักข่าวน้อยใหญ่ที่ติดตามการทำงานของรัฐบาลมาโดยตลอดถึงกลับส่ายหัวด้วยความฉงนว่า เจ๊ไปอยู่ที่ไหนมา ถึงหลับตาข้างเดียวมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งที่ครองความ “อาวุโสสูงสุด” ในรังนกกระจอกมาอย่างช้านาน
       
       จนทำให้นักข่าวสาวผู้หนึ่งทนไม่ได้ ต้องขออนุญาต “ปีนเกลียว” ชี้แนะผู้เฒ่า โดยยกเอาคำให้สัมภาษณ์ของอดีตนายกฯผู้หลบหนีคดีกับสื่อต่างชาติ ที่ยอมรับเองว่าเดินทางไปไหนมาไหนก่อน “ทัพหลัง” ของนายกฯยิ่งลักษณ์จะไปถึงแทบทุกที่
       
       เมื่อ “จนแต้ม” หมดทางสู้ “เจ๊ยุ” ก็ออกอาการปรี๊ดแตก ก่อนหน้าเบ๊ไม่ยอมรับผลุนผลัน “วอล์กเอาท์” ออกจาก “รังนกกระจอก” ไปกลางคัน ทำเอาสื่อในทำเนียบเกือบ 50 ชีวิตในวันนั้นมองกันเลิ่กลั่ก และรีบไปล็อกประตูปิดตายกลัว “รุ่นใหญ่” จะเปลี่ยนใจย้อนกลับมาร่วมวงแทบไม่ทัน
       
       จากนั้นบรรยากาศก็ราบรื่นด้วยความร่วมมือของสื่อทุกสำนัก จนคลอดออกมาเป็น “ฉายารัฐบาล” ในที่สุด
       
       กลายเป็นอีกบทพิสูจน์ว่า “เก๋า” ด้วยประสบการณ์ เด็กเคารพเพราะฝีมือ หรือว่าเป็นแค่พวก “แก่กินข้าว - เฒ่าอยู่นาน”



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 ธันวาคม 2554, 10:04:48
"ปู" ส่งซิก คนเพื่อแม้ว อยากเป็นรมต. ต้องส่งเสียงดังๆ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
"ยิ่งลักษณ์" ส่งสัญญาน ส.ส.อกหักจากเก้าอีกรมต.ครั้งที่แล้ว อยากเป็นรมต.ต้องส่งเสียงดังๆ ขณะที่ส.ส.เสื้อแดง หนุน"จตุพร" นั่งมท.1 แทน "ยงยุทธ" หลังส่ง"เจ๋งดอกจิก-นายอารีย์" ไปชิมลางแล้วก่อนหน้า
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แหล่งข่าวระดับสูงพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวอวยพรปีใหม่กับส.ส.และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ว่า หากส.ส.คิดอะไรให้สมปรารถนา และถ้าคิดในใจดังๆ ก็จะได้สมปรารถนาแน่นอน นั้น นายกรัฐมนตรีจะสื่อถึงรัฐมนตรีบางคน และส.ส.บางกลุ่ม ที่คิดถึงเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี โดยที่ส.ส.ต้องการจะผลักดันคนในกลุ่มของตนเองขึ้นเป็นรัฐมนตรี หลังจากที่พลาดจากเก้าอีกรัฐมนตรีเมื่อครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังไม่ได้เก้าอี้รัฐมนตรีเลย และมีความคาดหวังว่าจะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในครั้งนี้ โดยคาดหวังว่าจะเข้ามาในส่วนของเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นั่งควบอยู่ขณะนี้
       
       ทั้งนี้มีการพูดคุยกันในกลุ่มส.ส.เสื้อแดงว่า มีการวางตัวนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแทน ในโควต้าของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งก่อนหน้านี้มีการนำกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปทำงานหลายตำแหน่งในกระทรวงมหาดไทยไว้แล้ว อาทิ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และนายอารีย์ ไกรนรา อย่างไรก็ตามถ้านายจตุพร ไม่ได้เข้ามารับตำแหน่งแทนนั้น ก็จะต้องให้นายยงยุทธ นั่งตำแหน่งนี้ต่อไป เพราะขณะนี้กลุ่มคนเสื้อแดงคิดว่านายยงยุทธ เป็นสิงห์แก่ อายุมากแล้ว ไม่สามารถทำงานได้แล้ว อีกทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงก็ไว้ใจและเคารพนายยงยุทธ อยู่ด้วย


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 ธันวาคม 2554, 10:36:30
ฉายารัฐบาลย้ำตัวตนห่วยแตกรับใช้ผลประโยชน์ทักษิณ !!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      ผ่าประเด็นร้อน
       
       อาจเป็นเพราะความเกรงใจ หรือมีพวกสื่อเลีย “ระบอบทักษิณ” ปะปนอยู่ไม่น้อยทำให้ต้องลดโทนการให้ฉายาประจำปี ทั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างๆออกมาแบบไม่ “จัดหนัก” ตามที่คอการเมืองประเภทรู้ทันต้องการนัก
       
       อย่างไรก็ดีถ้าพิจารณาจากความหมาย แม้ว่าจะพยายามจะใช้คำที่เบาที่สุดแล้วก็ตาม แต่ก็สะท้อนภาพออกมาได้อย่างชัดเจนในตัวเอง โดยที่ไม่ต้องมีคำอธิบายความหมายเพิ่มเติมมากนัก
       
       เพราะหากย้อนกลับไปพิจารณาฉายาจากผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาก่อนหน้านั้นก็ตีแสกหน้า ประธานรัฐสภาคือ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ กับฉายา “ค้อนปลอมตราดูไบ” มันก็ออกมาตรงๆว่าที่แท้ “นายคนนี้มันของปลอม” เหมือนกับสัญลักษณ์ “ขุนค้อน” ที่เคยได้รับก่อนหน้านี้นั่นแหละ เพียงแค่ใช้กลยุทธ์การตลาดเพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเอง แต่ในความจริงก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองต้องการ
       
       จะว่าไปแล้วใครก็ตามที่ติดตามการเมืองมาตั้งแต่ต้นก็จะทราบดีว่าเป็น “ของปลอม” มาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่คราวนี้เมื่อมีการตั้งฉายาพร้อมคำอธิบายให้เห็นภาพโดยพิจารณาจากผลงานการทำหน้าที่มาตั้งแต่ต้นว่าไม่ได้ทำหน้าที่สมกับเป็นประธานรัฐสภา ต้องเป็นกลางอย่างเคร่งครัด ต้องเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติหนึ่งในสามอำนาจหลักนอกเหนือจาก ฝ่ายบริหาร และตุลาการ แต่กลายเป็นว่าทำหน้าที่รับใช้พรรคการเมืองที่ตนเองสังกัดอย่างน่าเกลียด รวมไปถึงยอมทำตามคำสั่งของคนที่ทำผิดกฎหมาย อย่าง ทักษิณ ชินวัตร เพื่อแลกกับตำแหน่งและการได้ยกระดับตัวเองขึ้นมา
       
       นักข่าวประจำสภายังได้ให้ฉายา นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะสมาชิกรัฐสภาว่าเป็น “ดาวดับ” มีคำอธิบายทำนองว่าทำงานไม่สมราคาคุยก่อนหน้านี้เมื่อครั้งชนะเลือกตั้งเข้ามาจนได้เป็นผู้นำรัฐบาลในฐานะ “ดาวเด่น” แต่เวลาผ่านไปทุกอย่างกลับตาลปัตร ไม่ให้ความสำคัญกับงานในสภา เลี่ยงที่จะมาตอบกระทู้ มาชี้แจงด้วยตัวเอง แต่มักมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีคนอื่นมาชี้แจงแทนจนพร่ำเพรื่อ ซึ่งในความเป็นจริงเป็นเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเดี๋ยวถามช้างตอบม้าเลยเบี้ยวเสียดื้อๆจะดีกว่า
       
       มาที่ฉายาของ “นักข่าวสายทำเนียบรัฐบาล” กันบ้างโดยรวมถือว่าเจ็บคันใช้ได้ เริ่มที่ฉายารัฐบาลชุดปัจจุบันว่า “ทักษิณส่วนหน้า” ที่อธิบายว่าไม่ต่างจากศูนย์บัญชาการส่วนหน้าของ ทักษิณ เพราะทุกอย่างต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น อีกทั้งรัฐมนตรีแต่ละคนที่จะได้รับตำแหน่งก็ต้องได้รับความเห็นชอบ หรือไม่ก็หากเป็นตำแหน่งสำคัญก็ต้องเดินทางไปขออนุมัติจากเขาเสียก่อน
       
       ถัดมาก็มาถึงตัวละครเอกก็คือ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฉายา “นายกฯนกแก้ว” ที่แม้ว่าดูภายนอกสวยงาม มีสีสันสดใส แต่ทุกอย่างทั้งการพูดการจาล้วนแล้วเป็นการท่องจำ ท่องตามบทที่กำหนดเอาไว้ หากพูดกันให้ตรงๆก็คือ พูดจาเหมือนกับนกแก้วนกขุนทองนั่นแหละ หรือพูดไปตามสคริปต์ ท่องจำโดยที่ตัวเองไม่รู้ความ ผิดๆถูกๆ ความหมายก็คือไม่มีความรู้แท้จริง
       
       หากแยกมาเฉพาะตัว นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อพิจารณาจากฉายาของนักข่าวสภาและทำเนียบรัฐบาลความหมายออกมาก็ไม่ได้แตกต่างกันนั่นคือ ไม่ได้เรื่องได้ราว ไม่ต่างจากคนไร้สติปัญญา ไร้ความสามารถ ต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสดใสสวยงาม และถ้าให้สรุปก็ต้องแบ่งออกมาสองส่วนคืออย่างแรกก็คือตัว นายกรัฐมนตรี ซึ่งก็สรุปให้เห็นภาพดังกล่าว และ รัฐบาล ที่ต้องทำตามคำสั่งของทักษิณ เท่านั้น ขณะที่ระดับรัฐมนตรีที่ได้รับฉายาแตกต่างกันไป ไม่ควรไปเอ่ยถึง เพราะเป็นแค่ระดับ ลิ่วล้อ ถือว่า “กระจอก” เกินไป
       
       อย่างไรก็ดี เมื่อนำเอาสองส่วนมารวมกันเราก็ได้จะได้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ไร้ความสามารถและบริหารงานเพื่อผลประโยชน์และความต้องการของ ทักษิณ ชินวัตรเท่านั้น ซึ่งดูแล้วห่างไกลจากความหมายเพื่อชาวบ้านส่วนใหญ่
       
       ที่ผ่านมาหากใครติดตามสถานการณ์มาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการบริหารงานของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ก็คงรับรู้มานานแล้วว่า “ห่วยแตก” น่าผิดหวังแค่ไหน เห็นได้ชัดก็คือการบริหารจัดการในช่วงเกิดวิกฤติน้ำท่วม ทั้งระหว่างน้ำท่วมและหลังน้ำลดที่ถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันเมื่อมองจากผลงานในอดีตและปัจจุบันมันก็ย่อมสะท้อนมองไปถึงอนาคตว่าจะน่าเศร้าใจเพียงใด เพราะในวันหน้าหลังจากปีใหม่เป็นต้นไปเราจะต้องเจอกับปัญหาเศรษฐกิจทั้งภายในภายนอกที่รุมเร้าเข้ามา
       
       สำคัญที่สุดก็คือปัญหาปากท้อง ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลพวงสืบเนื่องมาจากปัญหาวิกฤติน้ำท่วมที่ผ่านมา โดยเวลานี้ชาวบ้านกำลังประสบกับเรื่อง “ข้าวยากหมากแพง” สินค้าจำเป็นบางอย่าง เช่น นมข้น สินค้าอุปโภคบริโภค ข้าวสารบรรจุถุง ข้าวราดแกง ที่ปรับราคาขึ้นไปแล้วหรือบางชนิดก็มีการจำกัดการซื้อ เป็นสิ่งที่ชาวบ้านระดับรากหญ้ากำลังทุกข์หนัก
       
       ดังนั้นการที่บรรดาสื่อทั้งที่ประจำรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาลได้สะท้อนการทำงานของคนพวกนี้ออกมาก็ถือว่าเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความไม่เอาไหน ความห่วยแตกไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล และที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือนอกจากไร้สติปัญญาแล้วคนพวกนี้ยังรับใช้ และทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของ ทักษิณ ชินวัตร อีกต่างหาก !!


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 มกราคม 2555, 19:50:59
โวยคูปองช่วยน้ำท่วมแหกตา ชาวมหาชัยฮือปิด“พระราม 2”    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์        


เหยื่อน้ำท่วมสมุทรสาครฮือปิดถนนประท้วง หลังพบคูปองซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าแหกตา ซื้อสินค้าไม่ได้ 2 พันบาทตามที่รัฐบาลกำหนด บางร้านให้แค่เป็นส่วนลด ขณะบางร้านปิดหนีเฉย อธิบดีกรมธุรกิจพลังานลงเจรจา ขณะการจราจรถนนพระราม 2 หน้าตลาดมหาชัยติดยาวเหยียด
       
       รายงานข่าวจาก จ.สมุทรสาครแจ้งว่า ตั้งแต่เช้าวันนี้(5ม.ค.) ประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยและมีสิทธิรับคูปองแลกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าครัวเรือนละ 2,000 บาท ตามโครงการมหกรรมสินค้าประหยัดไฟเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบอุทกภัยของรัฐบาล ได้รวมตัวกันประท้วงที่หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรสาครและเคลื่อนขบวนปิดถนนพระราม 2 บริเวณใต้สะพานลอยหน้าทางเข้าตลาดมหาชัย ทั้งฝั่งขาเข้าขาออก เนื่องจากคูปองที่รัฐบาลแจ้งว่าสามารถนำไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จำนวน 12 รายการ ตามที่กระทรวงพลังงานได้กำหนดไว้นั้น เมื่อนำไปใช้ซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ร่วมรายการแล้วปรากฏว่าร้านค้าได้ให้ส่วนลดไม่ตรงกัน และบางร้านก็ไม่รับ และวันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการใช้คูปองดังกล่าว บางร้านก็ปิด ทำให้พลาดโอกาสที่จะใช้คูปอง กลุ่มชาวบ้านจึงมารวมตัวกันเพื่อขอความชัดเจนในการใช้คูปองว่าสามารถใช้แทนเงินสด 2,000 บาทได้เลยหรือไม่ ไม่ใช่ให้เป็นส่วนลดร้อยละ 20 ตามที่บางร้านตั้งเงื่อนไข หรือไม่เช่นนั้นก็ให้รัฐบาลจ่ายเป็นเงินสดครอบครัวละ 1,500 บาท
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า นายจุลภัทร แสงจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ได้ออกมารับข้อเรียกร้องจากประชาชน และได้ขอให้ไปเจรจาที่ศาลากลางจังหวัดเพื่อไม่ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเดือดร้อน แต่กลุ่มประชาชนหลายพันคนไม่ยินยอม และยืนยันที่จะขอทราบข้อสรุปที่ชัดเจนชัดภายในวันนี้ว่าสามารถนำคูปองไปซื้อของได้เต็มจำนวน 2,000 บาท เช่นเดียวกับประชาชนที่ได้ซื้อไปแล้ว และให้ยืนยันว่าร้านค้าจะมีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการและไม่ปิดร้านหนี หลังจากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประสานไปยังภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และได้ขอร้องให้ประชาชนเปิดถนน 1 ช่อง เพื่อให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานเดินทางมาเจรจากับประชาชน ซึ่งประชาชนก็ยอมเปิดให้ แต่จะให้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง ถ้าอธิบดียังมาไม่ถึง ก็จะปิดถนนเหมือนเดิม
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเรียกร้องยังไม่มีความคืบหน้า กลุ่มประชาชนจึงปิดถนนบริเวณสี่แยกมหาชัยอีกครั้ง ทำให้การจราจรภายในตลาดมหาชัย และถนนพระราม 2 ติดขัดยาวเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร จนกระทั่งเวลาประมาณเกือบ 17.00 น.อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานได้เดินทางมาเจรจากับผู้ชุมนุม ซึ่งผู้ชุมนุมได้ยอมเปิดเส้นทางการจราจรขาออกไป จ.สมุทรสงคราม ส่วนขาเข้ากรุงเทพฯ ยังคงปิดอยู่
       
       ต่อมาเวลาประมาณ 17.20 น. อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนรับข้อเสนอชาวบ้านที่ที่ให้เปลี่ยนเป็นคูปองเงินสดไปหารือกับกระทรวงพลังงาน และขอให้ชาวบ้านเก็บคูปองเอาไว้ ซึ่งกลุ่มชาวบ้านได้ยอมสลายการชุมนุมเมื่อเวลาประมาณ 17.45 น. และนัดฟังคำตอบในวันพุธที่ 11 ม.ค. เวลา 14.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 มกราคม 2555, 22:58:41

สมเกียรติ อ่อนวิมล รณรงค์หยุดซื้อ “มติชน”

ASTVผู้จัดการ - “สมเกียรติ อ่อนวิมล” เพิ่งตื่น ปี 55 รณรงค์ให้คนเลิกซื้อ นสพ.มติชน ชี้กรณีมติชนสุดสัปดาห์เลียแข้ง “ทักษิณ” โดยยกให้เป็นบุรุษแห่งปีถือว่ารับไม่ได้ ชี้ไม่ทำการบ้าน-ผิดมาตรฐานสื่อมวลชน ไม่สมควรเสียเงินซื้อต่อไป
       
       วานนี้ (5 ม.ค.) แฟนเพจเฟซบุ๊กของ นายสมเกียรติ อ่อนวิมล สื่อมวลชนอาวุโสและอดีตผู้บริหารบริษัทแปซิฟิคฯ ได้มีเผยแพร่ข้อเขียนเรื่อง ปีใหม่ 2555 หยุดซื้อมติชน โดยมีเนื้อหาแสดงความไม่พอใจต่อความไร้ความเป็นมืออาชีพของเครือมติชนในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและนักโทษหลบหนีโทษจำคุกในคดีอาญาเป็นเวลา 2 ปี
       
       นายสมเกียรติระบุว่า หลายสิบปีที่ผ่านมา ตนเป็นผู้อุดหนุนหนังสือพิมพ์ในเครือมติชนมาตั้งแต่แรกเริ่ม ทั้งยังเคยเป็นคอลัมนิสต์ให้หนังสือพิมพ์เล่มดังกล่าว โดยแม้หนังสือพิมพ์มติชนจะเป็นกลางหรือเข้าข้างใครก็ไม่เคยที่จะเลิกซื้อ อย่างไรก็ตาม จากกรณี “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับล่าสุด ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2554-5 มกราคม 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1637 ที่ ยกย่อง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็น “บุรุษแห่งปี” โดยพาดหัวว่า “บุรุษแห่งปี COMING SOON ไม่นานเกินรอ” ทำให้ตนตัดสินใจเลิกรับมติชน
       
       “เรื่องอยู่ในหน้าที่ 7 เนื้อหาสั้นมาก ไม่เต็มหน้า ไม่มีสาระรายละเอียดอะไรเลย กองบรรณาธิการมติชนไม่ทำการบ้าน ไม่ค้นคว้า ไม่มีหลักเกณฑ์ในการทำรายงานเรื่องบุรุษแห่งปีอะไรเลย คิดเอาเอง เขียนเอาเอง ตามจินตนาการของคนเขียน เป็นจินตนาการที่สั้นมากๆ ด้วย
       
       โดยหลักแล้ว การทำเรื่องขึ้นปกนั้น ต้องถือเป็นงานสำคัญ งานใหญ่ ต้องเตรียมงานกันหลายคนหลายวัน อาจนานเป็นเดือน กองบรรณาธิการควรทำงานหนักกว่านี้ ต้องทำงานหนักจริงๆ การมีความเห็นชื่นชมคุณทักษิณก็เป็นสิทธิและเสรีภาพของมติชน ผมไม่มีอะไรขัดข้องในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าผมจะเห็นด้วยในเนื้อหาสาระหรือไม่ก็ตาม แต่ผมอยากอ่านงานที่มีการค้นคว้าที่ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้ อยากรู้ว่าการเป็นบุรุษแห่งปีของคุณทักษิณ ตามมาตรฐานของมติชนนั้นมีอะไรเป็นพิเศษบ้าง แต่ผมก็หาสาระให้คล้อยตามหรือแม้ที่จะให้โต้แย้งก็หาไม่ได้” นายสมเกียรติระบุ และกล่าวต่อว่า
       
       บทความชิ้นดังกล่าวนั้นสั้นมาก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องปกที่ควรจะมีการค้นคว้า หาข้อมูลมาสนับสนุนมากกว่านี้แต่ก็ไม่มี ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ไม่ได้มาตรฐานของสื่อสารมวลชน ทำให้ตนคิดว่า เงิน 40 บาท สำหรับมติชนสุดสัปดาห์ และ 10 บาท สำหรับมติชนรายวันนั้นไม่คุ้มค่าที่ตนจะอุดหนุนอีกต่อไป
       
       สื่อมวลชนอาวุโส ทิ้งท้ายไว้ว่า ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่เย็นวานนี้ตนได้บอกกับคนส่งหนังสือพิมพ์ที่มาเก็บเงินที่บ้านว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปตนไม่รับหนังสือพิมพ์มติชนอีกต่อไปแล้ว ทำให้ประหยัดเงินไปได้อีกเดือนละ 300 บาท
       
       ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2555 เปลว สีเงิน คอลัมนิสต์แห่งหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ก็ได้เขียนบทความในหัวข้อ “โก่งคอขันด้วยนึกว่า “ชนะ” แล้ว!” โดยเหน็บแนม นสพ.มติชน สุดสัปดาห์กรณียกย่องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นบุรุษแห่งปีว่า จริงๆ ควรพาดหัวให้เป็น “มหาบุรุษแห่งศตวรรษ” ไปเลยดีกว่าตามมาตรฐานของหนังสือพิมพ์ที่ให้ราคาตัวเองว่าเป็นมาตรฐานของประเทศ
       
       ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เคยรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันหยุดซื้อ นสพ.ในเครือมติชนมาแล้ว จากกรณีที่ นสพ.มติชนและ นสพ.ข่าวสด บิดเบือนคำให้สัมภาษณ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, บิดเบือนกรณีระบุว่า นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ ศิลปินพันธมิตรฯ ถือระเบิดไว้ในมือในวันที่ 7 ต.ค. 51 ทั้งๆ ที่จริงแล้วเป็นล็อคเกตพระ นอกจากนี้ยังมีกรณีการเผยแพร่ข่าวให้ร้าย “น้องโบว์” อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ผู้เสียชีวิตจากระเบิดแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และให้ร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าควักเนตรพระพรหมที่ทำเนียบรัฐบาลอีกด้วย
       
       
ปีใหม่ 2555 หยุดซื้อ มติชน

       
       “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2554 - 5 มกราคม 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1637 เรื่องขึ้นปก ยกย่อง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็น “บุรุษแห่งปี” พาดหัวบนหน้าปกว่า :
       
       บุรุษแห่งปี COMING SOON ไม่นานเกินรอ
       
       เรื่องอยู่ในหน้าที่ 7 เนื้อหาสั้นมาก ไม่เต็มหน้า ไม่มีสาระรายละเอียดอะไรเลย
       
       กองบรรณาธิการมติชนไม่ทำการบ้าน ไม่ค้นคว้า ไม่มีหลักเกณฑ์ในการทำรายงานเรื่องบุรุษแห่งปีอะไรเลย คิดเอาเอง เขียนเอาเอง ตามจินตนาการของคนเขียน เป็นจินตนาการที่สั้นมากๆ ด้วย โดยหลักแล้ว การทำเรื่องขึ้นปกนั้น ต้องถือเป็นงานสำคัญ งานใหญ่ ต้องเตรียมงานกันหลายคนหลายวัน อาจนานเป็นเดือน กองบรรณาธิการควรทำงานหนักกว่านี้ ต้องทำงานหนักจริงๆ การมีความเห็นชื่นชมคุณทักษิณก็เป็นสิทธิและเสรีภาพของมติชน ผมไม่มีอะไรขัดข้องในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าผมจะเห็นด้วยในเนื้อหาสาระหรือไม่ก็ตาม แต่ผมอยากอ่านงานที่มีการค้นคว้าที่ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้
       
       อยากรู้ว่าการเป็นบุรุษแห่งปีของคุณทักษิณ ตามมาตรฐานของมติชนนั้นมีอะไรเป็นพิเศษบ้าง แต่ผมก็หาสาระให้คล้อยตามหรือแม้ที่จะให้โต้แย้งก็หาไม่ได้
       
       บทความสั้นมาก จนไม่ควรจะเป็นเรื่องขึ้นปก
       
       หากมติชนมีมาตรฐานงานสื่อสารมวลชนเพียงเท่าที่เห็นนี้ คิดเงินผม 40 บาท สำหรับมติชนสุดสัปดาห์ และ 10 บาท สำหรับรายวัน ก็ไม่สมควรที่ผมจะเสียเงินอุดหนุนมติชนอีกต่อไป
       
       ในช่วงวิกฤตการเมือง 3-5 ปีที่ผ่านมา การทำงานของหนังสือพิมพ์มติชน ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ ผมสรุปเป็นความเห็นส่วนตัวว่า คุณภาพงานข่าวสารของมติชนตกต่ำลงมาก ความคิดของกองบรรณาธิการสับสนอลวน แนวทางหลักเอียงไปทางสนับสนุนคุณทักษิณมากโดยไม่แสดงนโยบายการบรรณาธิการให้ผู้อ่านได้รับทราบให้ชัดเจน ไม่แสดงความโปร่งใสต่อสาธารณชนในเรื่องการถือหุ้นจากกลุ่มการเมือง วิกฤติการเมืองภายในองค์กรมติชนเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ละครั้งไม่ได้รับการชี้แจงให้หายกังขา
       
       ผมอ่านมติชนมาตั้งแต่กำเนิดมติชนในปีแรก และซื้ออ่านโดยให้ส่งถึงบ้านทุกเช้าเสมอมาไม่เคยขาด เขียนบทความลงมติชนก็หลายครั้ง มติชนจะลำเอียงไปทางไหนผมไม่เคยถือเป็นเหตุสำคัญ เพราะผมวิเคราะห์ความอิสระหรือความลำเอียงของมติชนได้ ใครถือหุ้นในมติชนเท่าไรอย่างไรผมก็พอมีข้อมูล
       
       ไม่ว่ามติชนจะเป็นกลาง หรือ ลำเอียงไปทางไหน ผมยินดีซื้อมติชนอ่านมาโดยตลอด
       
       แต่พอมาพบความไม่ขยันในการทำงานค้นคว้าหาความจริงจากเรื่องขึ้นปกมติชน สุดสัปดาห์ฉบับล่าสุดนี้ ก็เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้าย ทำให้ผมตัดสินใจเด็ดขาดในวันนี้ว่าจะหยุดซื้อมติชนอ่านจากวันนี้เป็นต้นไป
       
       สาเหตุใหญ่มาจากวามไม่ขยันทำงานค้นหาความจริงของมติชนมากกว่าจุดยืนทางการเมืองของกองบรรณาธิการ
       
       เมื่อเย็นวันนี้คนส่งหนังสือพิมพ์มาเก็บเงินที่บ้านพอดี ผมเลยบอกคนส่งหนังสือพิมพ์ให้ทราบว่า :
       
       จากพรุ่งนี้เช้าเป็นต้นไป ขอไม่เอามติชน (10 บาท) เหลือไว้เพียง “โพสต์ทูเดย์” (15 บาท). ฉบับเดียวพอ. ประหยัดเงินไปเดือนละ 300 บาท!
       
       สมเกียรติ อ่อนวิมล
       5 มกราคม 2555


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 มกราคม 2555, 23:02:04
สนุกไปเรื่อยๆละครับ ผลงานสุดจ๊าบของรัฐบาลชุดนี้
หลังจากการประท้วงที่สมุทรสาคร นี่ก็มาอยุธยา อีกแล้ว


คนกรุงเก่าปิดถนนประท้วงคูปอง 2 พันห่วย อัดรัฐบาลช่วยคนรวยขูดรีดคนจน


พระนครศรีอยุธยา - ชาวพระนครศรีอยุธยากว่า 200 คน รวมตัวปิดถนนเอเชีย หน้าศูนย์ราชการกรุงเก่าร้องคูปอง 2,000 บาทช่วยน้ำท่วมซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดไฟเบอร์ 5 ของกระทรวงพลังงานสุดห่วย อัดรัฐบาลช่วยแต่คนรวยให้มีรายได้ด้วยการขูดรีดคนจน แฉซื้อตู้เย็น 8,000 บาทลด 1,600 บาทต้องจ่ายเงินสด 6,400 บาท
       
       เมื่อเวลา 12.00 น.วันนี้ (6 ม.ค.55) ที่ศูนย์ราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณด้านหน้ามีชาวบ้านจาก 16 อำเภอในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาราว 200 คน ได้รวมตัวกันปิดถนนสายเอเชียฝั่งขาขึ้น จ.นครสวรรค์ กม.ที่ 18 ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเรียกร้องการแลกคูปองเงิน 2,000 บาทของกระทรวงพลังงานช่วยเหลือประชาชนที่ถูกน้ำท่วมนำไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดไฟเบอร์ 5 ตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค.54-4 ม.ค.55 ตามร้านที่ร่วมรายการมีทั้งหมด 4 ร้าน
       
       แต่ปรากฏว่า บางร้านติดป้ายไว้ว่า สินค้าหมด ร้านปิด บางร้านมีแต่สินค้าชิ้นใหญ่ ราคาแพง บางร้านนำสิ้นค้าไม่มีคุณภาพมาขายและสุดท้ายไม่รับคูปอง ทำให้ชาวบ้านเดือดอยากได้เงินสดแทน
       
       นางสาวภัสสร แสงแก้ว อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 28/3 หมู่ 2 ต.สามไถ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ตัวแทนชาวบ้าน บอกว่า ชาวบ้านทั้งหมดกำลังเดือดร้อนส่วนใหญ่ที่มามีฐานะยากจนหาเช้ากินค่ำทุกคนมีคูปอง แต่มีปัญหาในการแลกทุกคน จึงอยากได้เป็นเงินสดมากกว่า จึงมารวมตัวเพื่อบอกผ่านทางเจ้าหน้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือ ส.ส. แต่ก็ไม่มีใครมาสนใจชาวบ้านจนๆ ชาวบ้านจึงได้ตัดสินใจกันออกไปประท้วงปิดถนนสายเอเชียฝั่งขาขึ้น จ.นครสวรรค์ กม.ที่ 18 ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยาดังกล่าว
       
       นางชม้อย พันธ์แก้ว อายุ 77 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44 หมู่ 5 ต.เกาะเกิด อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ตนแก่แล้ว เดินทางมารับคูปองต้องรอทั้งวันและนำคูปองไปแลกสินค้าต้องไปกลับบางปะอิน-อยุธยามา 3 วันแล้วทุกร้านลดให้ 20% ซื้อตู้เย็น 8,000 บาทลด 1,600 บาทต้องจ่ายเงินสด 6,400 บาทคนจนจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อจึงอยากได้เป็นเงินสดจะดีกว่าไปซื้อข้าวของจำเป็นจึงต้องมาประท้วง
       
       นางทิพรัตน์ พูลสิทธิโชคชัย อายุ 47 ปี แม่ค้าขายอาหารในตลาดเจ้าพรหม บอกว่า คนจนจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อสินค้าได้ พัดลมตัวละ 1,000 บาทลด 200 บาทต้องจ่ายอีก 800 บาท น้ำท่วมก็หมดตัวแล้วถ้ารัฐบาลช่วยชาวบ้านจริงก็ขอให้จ่ายเป็นเงินสดได้ซื้อกะปิ น้ำปลาเก็บไว้กิน นี่รัฐบาลช่วยเหลือคนรวยให้ขายสินค้าได้มากๆ ไม่ได้ช่วยคนจนเลย
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากชาวบ้านปิดถนนดังกล่าวทำให้การจราจรติดขัดเป็นแถวยาวนับ 10 กิโลเมตร พ.ต.อ.สมบัติ ชูชัยยะ ผกก.สภ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 50 นาย ได้มาดูแลความสะดวกและป้องกันเหตุการณ์จลาจล และให้ผู้ใช้รถใช้ถนนใช้ทางเลี่ยงเมืองอยุธยา-สุพรรณบุรี (สาย 356) ตัดถนนสายปทุมธานี-บางปะหันแทน
       
       นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังใช้ความพยายามเกลี่ยกล่อมชาวบ้านนานกว่า 2 ชั่วโมง เพื่อชาวบ้านเปิดถนน ตรชาวบ้านยอมเปิดเส้นทางแล้วไปรวมตัวที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อรอตัวแทนจากกระทรวงพลังงานมาเจรจาและหาข้อยุติต่อไป


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 มกราคม 2555, 22:56:44

พท.แอบติดตั้งกล้อง สอดแนมสื่อ ส.นักข่าวฯ ชี้ ส่อคุกคาม


พรรคเพื่อไทย ระแวงสื่อแอบติดตั้งกล้องวงจรปิด สอดแนมห้องนักข่าว ด้านโฆษกพรรคเล่นลิ้น อ้างตึกไอโอเอต้องมีมาตรการเพิ่มรักษาความปลอดภัย ระบุ กลัวของมีค่าสื่อมวลชนสูญหาย ขณะที่ ส.นักข่าวฯ ชี้ ส่อคุกคามสื่อ “เพื่อไทย” จี้ทบทวน ยกเลิก กล้องสอดแนม
       
       วันนี้ (9 ม.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายอาคาร และสถานที่ของอาคารโอเอไอ ทาวเวอร์ ที่ทำการของพรรคเพื่อไทย ได้นำกล้องโทรทัศน์วงจรปิดมาติดตั้งภายในห้องสื่อมวลชน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ในการแถลงข่าว และนั่งทำงานรวมสื่อมวลชนประจำพรรคเพื่อไทย โดยกล้องตัวดังกล่าวเป็นกล้องที่สามารถหมุนซูมลึก และส่ายรอบตัวได้ 360 องศา ซึ่งภาพจากกล้องตัวนี้จะถูกถ่ายทอดสดไปยังห้องคอนโทรลของฝ่ายอาคารและสถานที่ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่พรรคได้นำมาติดตั้งในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งไม่มีสื่อมวลชนเดินทางทำข่าว
       
       อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับตำแหน่งใหม่ๆได้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมในบริเวณอาคารลานจอดรถ อาคารด้านหลัง และ บริเวณโถงหน้าลิฟต์ที่พรรคเพื่อไทยแห่งนี้แล้ว เพื่อวางมาตรการรักษาความปลอดภัย
       
       ทางด้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ชี้แจงว่า การติดตั้งกล้องวงจรปิดในห้องสื่อมวลชนนั้น พรรคเพื่อไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องของฝ่ายอาคารและสถานที่ของอาคารโอเอไอ ทาวเวอร์ ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้ทำการเช่าสถานที่อยู่ในบางชั้น และบางชั้นมีสำนักงานเอกชนอื่นเช่าอยู่ซึ่งการติดกล้องวงจรปิดนั้น เป็นไปเพื่อการรักษาความปลอดภัย เพราะหลังจากที่พรรคเพื่อไทยเป็นพรรครัฐบาล ปรากฏว่า มีคนเดินเข้าเดินออกพรรคพลุกพล่านมากกว่าปกติในสมัยเป็นฝ่ายค้านถึง 2-3 เท่าตัว จึงมีความกังวลว่าบุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอาจจะเล็ดลอดเข้ามาอยู่ในห้องผู้สื่อข่าว และอาจจะหยิบฉวยอะไรไปได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวในสมัยที่มีการย้ายที่ทำการพรรคเพื่อไทยไปอยู่อาคารบีบีดี บิวดิ้ง ถ.พระราม 4 ก็มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อรักษาความปลอดภัยเช่นกัน โดยที่อาคารนั้นมีการติดตั้งของเดิมไว้อยู่แล้ว
       
       เมื่อถามว่า เหตุใดถึงต้องมีการติดกล้องในห้องผู้สื่อข่าวทั้งที่ในบริเวณประตูทางเข้าออกห้องผู้สื่อข่าว ก็มีการติดตั้งกล้องและมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลอยู่แล้ว นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ในห้องนี้เคยมีการวางสาย และติดตั้งกล้องมาแล้ว แต่ใช้ไปนานๆ มีความเสียหายเกิดขึ้น ฝ่ายอาคาร และสถานที่จึงติดตั้งใหม่ เพราะกังวลเรื่องทรัพย์สินของมีค่าของผู้สื่อข่าว หากสูญหายไปฝ่ายอาคาร ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
       
       เมื่อถามว่าจะชี้แจงอย่างไร หากถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิของสื่อมวลชน นายพร้อมพงศ์ ตอบว่า เป็นเรื่องของฝ่ายอาคารไม่เกี่ยวกับพรรค พรรคเพื่อไทยไม่ละเมิดสิทธิ์ของสื่อมวลชน ยืนยันว่า ไม่มีการเซ็นเซอร์ หรือตรวจสอบว่าใครเป็นแหล่งข่าวเดินเข้ามาให้ข่าวกับนักข่าวในห้องนี้ และไม่มีการถ่ายทอดเสียงอย่างแน่นอน เป็นการใช้เทคโนโลยีช่วยเพื่อรักษาทรัพย์สินเท่านั้น
       
       ทั้งนี้ อาคาร โอเอไอ ทาวเวอร์ เป็นหนึ่งในทรัพย์สินของตระกูลชินวัตร โดยย่อมาจากอักษรย่อ “O-Oke, A-Aim, I-Ing” ชื่อเล่นของบุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยก่อนหน้านี้ อาคารแห่งนี้ใช้ชื่อว่า อาคารไอเอฟซีที ซึ่งเป็นที่ทำการของพรรคไทยรักไทยมาก่อน
       
       ขณะที่ นายปราเมศ เหล็กเพ็ชร์ รองเลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศ กล่าวว่า ดูแล้วก็เข้าข่ายคุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่มาประจำติดตามความเคลื่อนไหวพรรคเพื่อไทย เพราะตามปกติที่พรรคเพื่อไทยก็มีการติดกล้องวงจรปิดรอบบริเวณพรรคอยู่แล้ว ซึ่งสามารถจับภาพคนเข้าออกได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังมี รปภ.ดูแลความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ดังนั้น การจะมาอ้างว่าเพื่อเพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัย หรือดูแลทรัพย์สินของสื่อมวลชน ก็คงไม่ใช่ อยากเรียกร้องให้พรรคพิจารณาทบทวน ยกเลิกการติดตั้งกล้องวงจรในห้องสื่อมวลชนเพื่อให้นักข่าวรู้สึกว่า มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่นำเสนอความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยให้ประชาชนรับทราบ


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 มกราคม 2555, 16:05:48
รัฐบาลลืมตัว กุนซือแดงลืมกำพืด

   Posttoday.com

“แม้จะเป็นที่ยุติระดับหนึ่ง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นที่พอใจอย่างถาวร”   

การเคลื่อนไหวของบรรดาพี่น้องแท็กซี่ -รถบรรทุก ออกมาปิดถนนเรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ม.ค. นี้ จนนำไปสู่การเปิดห้องประชุมศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาลนำตัวแทนแท็กซี่ ปลัดกระทรวงพลังงาน และผู้แทนกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมเจรจา จนได้ข้อสรุปรัฐบาลจะแจกบัตรลดราคาเติมก๊าซเอ็นจีวีให้พี่น้องแท็กซี่ทุกรายในราคา 2 บาทต่อกิโลกรัมเป็นเวลา 4 เดือน  และระหว่าง 4  เดือนจะมีตั้งกรรมการร่วมระหว่างตัวแทนฝ่ายแท็กซี่ ตัวแทนฝ่ายรัฐบาลหาทางออกร่วมกันไม่ให้ชาวแท็กซี่ได้รับผลกระทบ

บรรยากาศการหารือของตัวแทนกลุ่มแท็กซี่กับภาครัฐ

ก่อนที่ตัวแทนแท็กซี่นำโดย วิฑูรย์  แนวพานิช ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์บริการเงดินรถแห่งประเทศไทยจำกัด และประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขต กทม. จะตัดสินใจรับข้อเสนอยอมถอยทัพชั่วคราว

แต่หากติดตามบรรยากาศการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตั้งแต่ต้น ย่อมสะท้อนถึงการสะสมความคับแค้นใจต่อการทำงานรัฐบาลชุดนี้ที่อยากระบายออกมา  เนื่องจาก นี่เป็นต้นเหตุหนึ่งที่บีบให้พวกเขาต้องนัดหมายนำแท็กซี่ออกมากดดันรัฐบาล  เป็นการกดดันรัฐบาลที่พวกเขาส่งเสียงลั่นในที่ประชุมให้รู้ว่า”นี่คือรัฐบาลมาจากประชาชน นี่คือรัฐบาลที่เขาเทคะแนนให้”

ถ้าไล่เรียงดูตัวแทนกลุ่มแท็กซี่เหล่านี้ พบว่าแต่ละคน ล้วนเป็นฝ่ายสนับสนุนแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือแฟนคลับเสื้อแดงเคลื่อนไหวส่งเสริมให้รัฐบาลเพื่อไทยขึ้นเสวยอำนาจนั่นเอง

เมื่อความอัดอั้นของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลระเบิดออกมา  ทำให้ทุกสายตาต้องจับจ้อง ทุกหูต้องรับฟัง

เสียงหนึ่งด้วยการบอกว่า “พวกเราดีใจที่ปลัดกระทรวงพลังงานสละเวลามาหารือ  อีกท่านจากปตท.สผ. ท่านก็เป็นผู้ที่เข้าใจปัญหาของพวกเรามากกว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน    เราไม่มั่นใจ  เราไม่ต้องการคุยกับรมว.พลังงาน  เพราะที่ผ่านมา ก็ไม่ให้เราเข้าพบ ไม่ฟังเรา  ไม่เข้าใจปัญหาพี่น้องแท็กซี่เหมือนท่านปลัดพลังงาน  การตั้งกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐกับตัวแทนแท็กซี่   ถ้ามีรมว.พลังงาน เราก็ไม่ร่วม แต่ถ้าเป็น รองนายกฯ กิตติรัตน์ ก็ยินดี”

ท่าทีชาวแท็กซี่ตรงนี้ กำลังบอกอะไร

กำลังบอกว่า ในช่วงที่ผ่านมา ชาวแท็กซี่ไม่พอใจข้อเสนอการช่วยเหลือจากรมว.พลังงาน และทุกครั้งเหมือนคุยกันไม่รู้เรื่อง  แม้แต่บัตรเครดิตแท็กซี่ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ปรากฎว่า ไม่ได้ผลตามเป้า แท็กซี่เข้าร่วมโครงการแค่พันคนจากแท็กซี่กว่าแสนราย 

เช่นเดียวกับแรงสะสมที่ถูกเปิดออกจากใจอีกเรื่อง "สาเหตุที่พวกเราต้องเดินทางมาครั้งนี้ เพราะคุณชินวัฒน์  ไปออกรายการกล่าวหาว่าพวกเราจ้องเคลื่อนไหวกดดันรัฐให้ปรับค่าวัดมิเตอร์ ทั้งที่ไม่ใช่เลย  รมต.ก็ฟังแต่ชินวัฒน์   ทำไมชินวัฒน์ ถึงไปพูดอย่างนั้น   ชินวัฒน์ก็เคยขับแท็กซี่แต่ตอนนี้ไปขับเบนซ์ ใส่สูทผูกไทค์  ไปเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม  พวกท่านรู้จักมั๊ย ตอนนี้เขาไม่เห็นหัวพวกเราแล้ว"

สำหรับชินวัฒน์ ที่ชาวแท็กซี่เอ่ยถึง คงหนีไม่พ้น "ชินวัฒน์ หาบุญพาด" ซึ่งเคยขึ้นเวทีปราศรัยกับกลุ่มคนเสื้อแดง และในที่สุดได้โบนัสเหมือนกับแกนนำรายอื่นด้วยการได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการรัฐมนตรี เป็นกุนซือใหญ่ประจำกระทรวงต่างๆ โดย ชินวัฒน์ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารมว. คมนาคม โดยได้รับเงินเดือนตอบแทนการทำงานเกือบครึ่งแสน  อีกทั้งเคยเป็นนายกสมาคมพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้ขับรถแท็กซี่ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ ที่ชื่นชอบ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ก่อตั้งและผู้จัดรายการของสถานีวิทยุชุมชนคนแท็กซี่นั่นเอง

คงพัฒน์  ภู่พวง กรรมการชุมนุมสหกรณ์บริการเดินรถแห่งประเทศไทยจำกัด  ตอกย้ำสาเหตุที่ต้องบุกทำเนียบฯว่า ก็แกนนำแท็กซี่เสื้อแดงที่ลืมตัวเอง  “ เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา  ชินวัฒน์ไปออกรายการทีวีเอเชียอัพเดท ซึ่งมีคุณอดิศร เพียงเกษ คุณสุธรรม แสงประทุม เป็นผู้ดำเนินรายการ เป็นรายการที่พวกเราแท็กซี่เสื้อแดงติดตาม แต่พวกเราก็หงุดหงิด ส่ายหน้าตามๆกัน

คงพัฒน์

แกนนำแท็กซี่ซึ่งสวมเสื้อเสื้อยืดแดง  บอกว่า “ ชินวัฒน์ไปพูดได้ยังไงว่า สาเหตุที่ชาวแท็กซี่ออกมาเคลื่อนไหวต้องการกดดันรัฐบาล ให้ปรับเปลี่ยนมาตรวัดมิเตอร์ แท็กซี่มาชุมนุมเพราะมติครม. ที่จะขึ้นราคาเอ็นจีวี แล้วต่อไปถ้าไม่ยอมลดก็ต้องส่งผลให้แท็กซี่ต้องปรับราคา ประชาชนก็เดือดร้อน

"เขาบิดเบือนประเด็นไม่มีข้อเท็จจริงเลย  ผมก็เสื้อแดงนะครับ เรามาเรียกร้องเพื่อปากท้องประชาชนและเพื่อพี่น้องชาวแท็กซี่ ประชาชนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมก็หนักอยู่แล้ว เราไม่อยากโยนภาระให้ประชาชนอีก แต่คนที่ได้เป็นใหญ่เป็นโตมาพูดอย่างนี้ได้อย่างไร"

คงพัฒน์ ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีบนเวทีเรียกร้อง บอกด้วยว่า รัฐบาลนี้มาจากประชาชน มาจากการสนับสนุนของพวกเรา เมื่อทำอะไรไม่ถูกต้องก็ต้องท้วงติง รัฐบาลต้องฟังความเห็นประชาชน ไม่ใช่ไม่รับทราบปัญหา เขา(ชินวัฒน์) เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก่อนก็เป็นคนขับแท็กซี่ แต่ตอนนี้ใส่สูทแล้ว ไม่ได้สร้างแรงจูงใจให้คนแท็กซี่แม้แต่น้อย

เสียงของตัวแทนแท็กซี่เหล่านี้ จะว่าไปแล้วก็ถือว่าเคยเป็นเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนหลายคนทางการเมืองไต่บันไดขึ้นสู่อำนาจบริหาร 

แต่ ณ  วันนี้ สังคมชาวแท็กซี่แดงก็เหมือนเสียงส่วนน้อยในมุมมองของคนที่ขึ้นสู่อำนาจรัฐไปซะแล้ว

เป็นเสียงส่วนน้อยที่ดูจะไม่แตกต่างจากกระแสเสียงคนเสื้อแดงทางโซเซียลมีเดียที่กำลังส่งผ่านความรู้สึกเอือมระอาอึดอัด       

เป็นเหมือนนักวิชาการที่ถูกปรามาสอีกเหมือนกันว่าเป็นแค่เสียงส่วนน้อยมาติงรัฐบาลอ่อนด้อยต่อการบริหารชาติได้อย่างไร

แต่เสียงส่วนน้อยเหล่านี้ก็พยายามตะโกนดังๆถึงนักเคลื่อนไหวที่ได้ดิบได้ดีว่า "กำลังลืมตัว"



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 มกราคม 2555, 22:43:59

6 เดือน “มติชน” เจาะเสื้อผ้าหน้าผม “ยิ่งลักษณ์-ชินวัตร” สิบครั้ง


ASTVผู้จัดการ - “มติชน” หลงความงาม “พญามังกรเสื้อม่วงตระกูลชิน” โงหัวไม่ขึ้น เผยข้อมูล 6 เดือนรายงานเรื่องเสื้อผ้า-หน้า-ผม “ยิ่งลักษณ์-ลูกแม้ว” แล้วกว่า 10 ครั้ง ผู้อ่านตั้งข้อสังเกตเป็นสื่อมวลชนหรือประชาสัมพันธ์ส่วนตัวกันแน่
       
       วันนี้ (12 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวกองบรรณาธิการ ASTVผู้จัดการออนไลน์ได้รับการร้องเรียนว่า ในช่วงที่ผ่านมาสื่อในเครือมติชนได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับการแต่งกายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีเนื้อหาในทางชี้นำเรื่องเครื่องแต่งกายมากจนผิดปกติโดยวิสัยที่สื่อมวลชนจะทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และแสดงความสงสัยว่าอาจกลายเป็นการมุ่งเน้นประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์มากกว่าการทำหน้าที่สื่อมวลชนหรือไม่ จึงขอให้ผู้สื่อข่าวช่วยตรวจสอบเรื่องนี้
       
       เมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบตามที่ข้อมูลได้รับ พบว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2555 เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้ตีพิมพ์ข่าวในหัวข้อ “ยิ่งลักษณ์” เฉลยทำไมชอบใส่เสื้อ “สีม่วง”? โดยอ้างถึงสุภาษิตเรื่อง สวิสดิรักษา สุนทรภู่ แต่งถวายสมเด็จเจ้าฟ้าอาภรณ์ พระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ความว่า “...วันอาทิตย์สิทธิโชคโฉลกดี เอาเครื่องสีแดงทรงเป็นมงคลเครื่อง วันจันทร์นั้นควรสีนวลขาว จะยืนยาวชันษาสถาผล อังคารม่วงช่วงงามสีครามปน เป็นมงคลขัตติยาเข้าราวีเครื่อง วันพุธสุดสีด้วยสีแสด กับเหลือบแปดปนประดับสลับสี วันพฤหัสจัดเครื่องเขียวเหลืองดี วันศุกร์สีเมฆหมอกออกสงคราม วันเสาร์ทรงดำจึงล้ำเลิศ แสนประเสริฐเสี้ยนศึกจะนึกขาม หนึ่งพาชีขี่ขับประดับงาม ให้ต้องตามสีสรรพ์จึงกันภัยฯ”
       
       อย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ในวันที่เข้าเยี่ยมกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน อาคารมติชน ย่านถนนประชาชื่น เมื่อวันที่ 9 ม.ค.ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ข่าวลงตีพิมพ์ในเว็บไซต์ โดยระบุว่า ตนเป็นคนชอบสีจำพวกแม่สี อย่างน้ำเงิน แดง เพราะใส่แล้วเข้ากับตน ใส่แล้วออกมาดูดีก็เลยใส่ อย่างสีชมพู (วันที่ให้สัมภาษณ์) ก็ใส่ได้ อย่างสีม่วงใส่แล้วก็รู้สึกดี อย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธว่าเป็นเรื่องของสีมงคลเสริมดวง แต่เพราะใส่ออกมาแล้วเข้ากับตนมากกว่าก็เลยใส่ ซึ่งในตู้เสื้อผ้าก็มีเสื้อผ้าสีม่วงเยอะ รวมทั้งสีอื่นที่ตนชอบ แต่ก็มีสีทางการจำพวกขาวดำไม่น้อย
       
       เมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบข่าวในเว็บไซต์มติชนออนไลน์ ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งกายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2554 ที่ผ่านมามีรายงาน “ยิ่งลักษณ์” สวมเสื้อม่วงเลือกตั้งแต่เช้า ชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิเยอะๆ โดยนำภาพที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์แต่งกายด้วยเสื้อสีม่วงเข้ม กำลังหย่อนบัตรเลือกตั้งจากสำนักข่าวรอยเตอร์ เดินทางมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 32 เขตเลือกตั้งที่ 16 บึงกุ่ม บริเวณโรงเรียนวัดคลองลำเจียก แขวงนวมินทร์ โดยเดินทางมาเพียงคนเดียว รายงานข่าวตอนหนึ่งผู้สื่อข่าวถามว่า ถือเคล็ดอะไรในการใส่เสื้อสีม่วงมาใช้สิทธิเลือกตั้งวันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ไม่ได้ถือเคล็ด เพียงแต่ใส่สบายและสีสันสดใส
       
       ต่อมาวันที่ 7 ก.ย. 2554 เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้เผยแพร่ข่าว “มาดูแฟชั่นเสื้อผ้า หน้า ผม “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เจิด แจ่ม แหล่ม เก๋ แม้ไม่ต้องจัดเต็ม !!” โดยยกย่องว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์สมกับเป็นสตรีหมายเลข 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่ไม่ว่าจะขยับไปทางไหนก็กลายเป็นข่าว ถูกแชะภาพ ตามติดไปทุกอิริยาบถ ทุกสถานที่ ให้ตามเก็บกันไม่หวาดไม่ไหว และยิ่งเป็นผู้นำระดับประเทศ ด้วยวัยที่ยังดูสาว แถมยังรูปร่างหน้าตาดีด้วยแล้ว เสื้อ ผ้า หน้า ผม ของนายกฯ ปู ยิ่งต้องเนี้ยบ เก๋ กู๊ด ดูดี มีสไตล์ บนลุคส์สง่าผ่าเผยให้สมสถานะให้มากที่สุด ซึ่งต้องยอมรับสไตล์การแต่งตัวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับว่า พอดี มีคลาส และไม่เยอะเกินไปจนดูโอเวอร์จริงๆ
       
       “จะเห็นได้ว่า นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทยจะเน้นแต่งกายโทนเสื้อผ้าสีดำ น้ำเงิน ขาว และเทา เป็นส่วนใหญ่ ในชุดเสื้อเชิ้ต กระโปรงบ้าง กางเกงผ้าบ้างแล้วแต่กาลเทศะการปฏิบัติภารกิจหน้าที่งานบริหารประเทศ ส่วนในสถานการณ์ที่ต้องลงพื้นที่ พบปะประชาชน หรือพิธีเปิดงานต่างๆ หรือแม้แต่ในวันสบายๆ เธอจะเน้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใส หลากหลาย ดูขับให้กลายเป็นความเริงร่าน่าเข้าหาสุดๆ ของผู้หญิงแนวหน้าในอันดับต้นของประเทศ มติชนออนไลน์ จึงได้รวบรวมแฟชั่นการแต่งกาย ที่แมตช์กันทั้งเสื้อ ผ้า หน้า ผมของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในแต่ละวัน ต่างงาน หลากสถานที่มาให้ชมกัน สวยๆ โอๆ เดิร์นๆ ทั้งนั้น ไม่เชื่อพินิจกันดูเอาเองสิ Keep looks สุดๆ” คำอธิบายในข่าวของมติชน พร้อมกับโพสต์ภาพเครื่องแต่งกายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จำนวนมาก
       
       ขณะที่ในช่วงงานฉลองมงคลสมรส ระหว่าง น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหนีคดีอาญาแผ่นดิน กับนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2554 เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้ตีพิมพ์ข่าว เบื้องลึกเบื้องหลัง “ยิ่งลักษณ์” แปลงร่างเป็น “มังกรเสื้อม่วง” ผงาดกลางงานแต่งหลานสาว โดยกล่าวถึงการแต่งตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะผู้เป็นอา ในชุดผ้าไหมสีม่วงแขนกุดยาวคลุมปลายเท้า พร้อมด้วยผ้าคลุมไหล่สีม่วงติดเข็มกลัดเพชรรูปใบไม้ปักที่บริเวณเอว ซึ่งเปรียบประดุจดัง “พญามังกรเสื้อม่วง” หนึ่งในตัวละครสำคัญจากนิยายกำลังภายในเรื่องดาบมังกรหยก
       
       ซึ่งเว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้แปะลิงก์เนื้อหาไปยังเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ ระบุว่า แขกวีไอพีคนหนึ่งในงานเล่าให้ฟังว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ในชุดผ้าไหมม่วงทำให้แขกในงานที่นอกจากจะถ่ายรูปร่วมกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่หน้าทางเข้างานกันอย่างคับคั่งแล้ว หากมองไปในห้องจัดงาน ยิ่งลักษณ์ได้รับเชิญให้ถ่ายรูปร่วมกับแขกในงานมากไม่แพ้กัน และเสียงทักถึงชุดม่วงก็มีเป็นระยะๆ จนมีคำอธิบายของนายกรัฐมนตรีถึงที่มาที่ไปชุดนี้กับแขกในงานว่า “ชุดนี้จะใส่ถ่ายรูปเพื่อถ่ายปฏิทินทำแจกปีใหม่”
       
       อีกด้านหนึ่ง เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2554 เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้ตีพิมพ์ข่าว “แฟชั่น” นายกปู ประเมินผล “เสื้อผ้าหน้าผม” 4 เดือน ยิ่งลักษณ์ "ผ่าน"-"ไม่ผ่าน" โดยเขียนคำบรรยายว่า “ถึงใครจะว่าเธอว่า พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ชัด พูดจาผิดๆ ถูกๆ แถมยังร้องไห้ออกทีวี แต่หากว่าเป็นเรื่องเสื้อผ้า-หน้าผมละก็ รับรองว่านายกหญิงมือใหม่หัดขับคนนี้เป๊ะทุกกระบวนท่า เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะโดนกระแสการเมืองรุมเร้า หรือจะมีภาระหน้าที่ต้องปฏิบัติรีบเร่งขนาดไหน แต่ปูขอสวยไว้ก่อน อีกทั้งปลายปี โพลหลายสำนักต่างก็รีบประเมินงานรัฐบาลกันเป็นพัลวัน มติชนออนไลน์ จึงขอประเมินกับเขาบ้าง ว่าผลงานการแต่งกายของนายกหญิงตลอด 4 เดือนที่ดำรงตำแหน่งมานี้ นายกปูสอบผ่าน-หรือไม่ผ่าน มาตัดสินความสวยด้วยสายตาคุณเองเลยดีกว่า...” พร้อมกับโพสต์ภาพเครื่องแต่งกายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จำนวนมาก
       
       ขณะที่เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2554 เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้ตีพิมพ์ข่าว “บีบีซี” เผยภาพ “ยิ่งลักษณ์” ติดอันดับ 1-12 ภาพประจำปี 2011 แห่งทวีปเอเชีย โดยรายงานว่า เว็บไซต์สำนักข่าวบีบีซี สื่อชื่อดังของอังกฤษ เปิดเผย 12 อันดับภาพแห่งปี 2011 โดยมีภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ติดอยู่ในอันดับด้วย อันเป็นภาพที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์สวมเสื้อผ้าไทยสีเหลือง อมยิ้มเล็กน้อย สำหรับภาพดังกล่าวน่าจะเป็นภาพที่นายกรัฐมนตรีของไทยไปเยือนประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา
       
       นอกจากนี้ ในช่วงเช้าของวันที่ 2 ม.ค. 2555 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจยังตีพิมพ์ข่าว 6 ชุดแฟชั่นน่าจดจำ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โดยได้เลือกภาพเครื่องแต่งกายชุดเด่นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ระหว่างปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีว่าชุดไหนมีช่วงเวลาที่น่าจดจำ ได้แก่ ชุดสีดำเสื้อสูทสีน้ำเงิน ซึ่งสวมใส่เดินตรวจแถวทหารเพื่อเยี่ยมกองบัญชาการกองทัพบก และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, ชุดสีขาวสวมด้วยสูทสีขาว กระโปรงสีดำ ในช่วงเข้าพรรคเพื่อไทยรอการรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ, ชุดกระโปรงสีขาวด้วยสูทสีเหลืองอ่อน เมื่อครั้งเยือนประเทศบรูไน ระหว่างเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์แห่งบรูไน, เสื้อสีขาวสวมทับด้วยสูทผ้าไหมสีน้ำตาล ระหว่างเยือนประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ, เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกง และรองเท้าบู๊ตสีแดงระหว่างตรวจน้ำท่วม และเสื้อสีเทา สวมทับด้วยสูทผ้าไหมสีดำมีลวดลาย ระหว่างรับรองแขกนายบัน คี มูน เลขาฯ สหประชาชาติ และนางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ
       
       จากข่าวดังกล่าวของเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ ช่วงค่ำวันเดียวกัน (2 ม.ค.) เว็บไซต์มติชนออนไลน์ยังนำไปเผยแพร่ซ้ำโดยเปลี่ยนพาดหัวข่าวเป็น "มิสนอร่าห์ ประชาชาติออนไลน์" ย้อนให้ชม 6 ชุดแฟชั่นน่าจดจำของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อีกด้วย
       
       นอกจากการรายงานข่าวเครื่องแต่งกาย น.ส.ยิ่งลักษณ์แบบถี่ยิบแล้ว เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานข่าวเกี่ยวกับแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ของคนในตระกูลชินวัตรอีกหลายชิ้น เช่น Before - After “อุ๊งอิ๊ง” เพื่อนเจ้าสาว “หุ่นเพรียว” คำนวณแคลอรี่อาหารทุกคำที่เข้าปาก เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2554 โดยนำเสนอภาพ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ในงานแถลงข่าวกิจกรรม This’s My Future Chiangmai 2011 ที่สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมวอยซ์ทีวี ระบุว่าจากสาวที่เคยอวบก็เปลี่ยนมาเป็นสาวหุ่นเพรียว เคล็ดลับความงาม คือ ใช้วิธีลดความอ้วนแบบธรรมชาติ แค่ลดปริมาณอาหารลงแต่ไม่หักดิบ เคร่งครัดในเรื่องการรับประทานอาหารเป็นอย่างมาก ถึงขนาดคำนวณแคลอรี่อาหารที่จะกินทุกคำ ส่งผลให้ในปัจจุบันมีรูปร่างที่สมส่วน พร้อมกับสุขภาพที่ดีมากขึ้น โดยไม่ต้องกินยาลดน้ำหนัก และรายงานเรื่อง เฉลยปริศนา “ชุดเจ้าสาว” ของเอม-พินทองทา สวยเฟี้ยว! ด้วยแบรนด์ระดับโลก "เวรา แวง" ในวันที่ 13 ธ.ค. 2554
       
       จากข้อมูลของจุลสารราชดำเนินของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ฉบับเดือนมิถุนายน 2554 เว็บไซต์มติชนออนไลน์มีนายปราปต์ บุนปาน บุตรชาย นายขรรค์ชัย บุนปานเป็นบรรณาธิการเว็บไซต์ และมีนายสรกล อดุลยานนท์ เจ้าของนามปากกา “หนุ่มเมืองจันทน์” ดูแลในเชิงธุรกิจ ซึ่งมีเนื้อหาผูกโยงกันระหว่างเว็บไซต์มติชนออนไลน์ และเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจซึ่งมีผู้ดูแลเพียงคนเดียว มีกองบรรณาธิการรวม 12 คน ประกอบด้วยหัวหน้าข่าว 2 คน ผู้สื่อข่าว 5 คน และทีมแปลข่าวต่างประเทศ 3 คน
       
       อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาครั้งหนึ่งเครือมติชนตกเป็นข่าวกรณีนายวิม รุ่งวัฒนะจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทยระบุในอีเมลว่าได้จ่ายเงินให้กับบรรณาธิการข่าว และหัวหน้าข่าว 5 สำนัก ซึ่งรวมทั้งหนังสือพิมพ์มติชน และข่าวสด เป็นค่าจ้างเสนอข่าวเชียร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รายละ 20,000 บาทในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง กระทั่งอีเมลดังกล่าวถูกเปิดเผยผ่านสื่อมวลชน และสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมี นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นประธาน จากนั้นได้ออกรายงานมีข้อสรุปว่า ในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยน่าจะมีการ “บริหารจัดการสื่อมวลชน”ทั้งในระดับองค์กรและระดับบุคคลอย่างเป็นระบบ และหนังสือพิมพ์บางฉบับที่ถูกพาดพิงถึงมีการเสนอข่าวที่เป็นประโยชน์แก่พรรคเพื่อไทยอย่างเป็นระบบ แต่ไม่พบว่ามีบุคคลที่รับเงิน 20,000 บาทจากนายวิม เพราะไม่มีหลักฐาน แต่ก็เชื่อว่าผู้ที่ถูกพาดพิงส่วนใหญ่น่าจะไมได้มีพฤติกรรมการรับสินบน แม้จะมีข้อสงสัยต่อท่าทีของผู้ถูกพาดพิงบางรายก็ตาม


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 มกราคม 2555, 08:40:48

เบื้องหลัง “พิชัย” เก้าอี้หลุด “อภิวันท์” ยังไม่ถึงฝั่งฝัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

       
       แน่นอนว่าการปรับ ครม.แต่ละครั้ง ย่อมต้องการเสริมความแข็งแกร่ง กู้ภาพลักษณ์ และเรียกความเชื่อมั่นให้แก่รัฐนาวา โดยเฉพาะรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ต้องอาศัยจังหวะที่ “วิกฤตน้ำท่วม” เริ่มคลี่คลาย ปรับทัพเร่งเครื่องเดินหน้าสร้างผลงานซื้อใจรากหญ้า ชดเชยกับที่ “เสียรังวัด” ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกับความล้มเหลวในการบริหารจัดการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา
       
       ความน่าสนใจของการปรับ ครม.งวดนี้อยู่ที่ “ทีมเศรษฐกิจ” ที่มีการรื้อแทบยกแผงหลังเกิด “เกาเหลา” แทบทุกกระทรวง ไล่ตั้งแต่ “คลัง - พาณิชย์ - คมนาคม - พลังงาน - อุตสาหกรรม” คงไว้แต่เพียง “บิ๊กโต้ง - กิตติรัตน์ ณ ระนอง” หัวหน้าทีมที่ยังรั้งตำแหน่งรองนายกฯ และข้ามห้วยจากกระทรวงพาณิชย์มานั่งควบที่กระทรวงการคลัง ส่วนเจ้ากระทรวงพาณิชย์ ตกเป็นของ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” คนสนิทของ “เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์”
       
       ขณะที่กระทรวงหูกวาง “คมนาคม” เป็นทีของ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่ตกขบวนไม่ได้ร่วม ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 ทั้งที่ถือเป็นคนทำงานให้พรรคมาโดยตลอด มารอบนี้จึงสมหวังเสียที สำหรับ “อุตสาหกรรม” ในโควต้าของพรรคชาติพัฒนา เป็นภาวะจำยอมเพราะเจ้ากระทรวงคนเก่าชูธงขาวยอมแพ้สังขาร จึงเป็นทีของ “ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์” ที่เด่นเรื่องงานวิชาการได้มานั่งแทน ส่วนงานด้านบริหารต้องจับตาดูกันต่อไป
       
       แต่ที่ทำเอา “อาณาจักรเอนเนอยี่คอมเพลกซ์” ที่ทำการของกระทรวงพลังงานต้องสั่นสะเทือนยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่ “น้องน้ำ” บุกมาจ่อคอหอยก็คือ การที่ “เสี่ยแดง - พิชัย นริพทะพันธุ์” พ้นจากตำแหน่งเสนาบดีแบบเซอร์ไพรส์สุดๆ เพราะที่ผ่านมาทั้งบทบาทนายทุนพรรค ทีมนโยบายเศรษฐกิจของพรรค และคนทำงานที่ทุ่มเทให้พรรคแบบสุดตัว แต่กลับถูกปรับออกเร็วกว่าที่คาดไว้มาก ทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่ง ส.ส.รองก้น เพราะเสียสละขอใส่ชื่อไว้ในตำแหน่งท้ายๆของปาร์ตี้ลิสต์ ทำเอาเจ้าตัวออกอาการช็อค เพราะไม่เชื่อว่าจะ “ขาลอย” ไร้ตำแหน่งก่อนเวลาอันควร
       
       แน่นอนว่า “จุดอ่อน” ที่หลายคนมองเห็นทั้งเรื่องมาตรการราคาพลังงาน ประกาศขึ้นราคาก๊าซจนเกิดเรื่องเกิดราวมีม็อบแท็กซี่-รถบรรทุกมาล้อมกระทรวงปิดถนนคัดค้านประเดิมรับปีใหม่ จนทำให้การจราจร กทม.ติดขัดอัมพาตไปเกือบทั้งวัน
       
       หรือ “คูปองเจ้าปัญหา” ส่วนลด 2,000 บาทสำหรับการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเอาไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ ตามโครงการ “มหกรรมสินค้าเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย” ที่ถูกโจมตีว่า “แหกตา” ประชาชน เพราะไม่สามารถใช้ได้จริงตามที่ป่าวประกาศไว้ จนมีการประท้วงปิดถนนที่ จ.สมุทรสาคร เมื่อช่วงก่อนปีใหม่
       
       อย่างไรก็ตามเหตุลึกๆที่ทำให้ “พิชัย” ต้องถูกเลื่อนขาเก้าอี้จนหลุดจาก ครม.นั้นไม่ได้มาจาก 2 ประเด็นดังกล่าว เพราะการดำเนินนโยบายลอยตัวราคาพลังงานนั้นถือเป็นแนวทางของรัฐบาลนี้อยู่แล้ว ตามความต้องการของ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ที่จ้องหาประโยชน์จากธุรกิจพลังงานตาเป็นมัน อีกทั้ง “ม๊อบรถบรรทุก” ที่โผล่มาคราวนั้นก็ถือเป็น “กากี่นั้ง” คนกันเองกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่การที่ “พิชัย” ไม่ออกตัวไปเคลียร์ด้วยตัวเอง เพราะมี “ผู้ใหญ่” ในกระทรวงบอกว่าเรื่องนี้นายกฯจะเคลียร์เอง รัฐมนตรีไม่ต้องทำอะไร
       
       แต่เมื่อเรื่องบานปลาย จน “ยิ่งลักษณ์” เรียกประชุมด่วน พอทั้งคู่ปะหน้ากัน จึงได้รู้ความจริงว่างานนี้ “เสี่ยแดง” โดนต้มเสียแล้ว เช่นเดียวกับ “คูปองเจ้าปัญหา” ที่เป็นไอเดียของ “ผู้ใหญ่” ในกระทรวงคนเดิมที่ริเริ่มขึ้นมา แต่เมื่อเกิดปัญหาก็โยนให้เป็น “ไอเดียกระฉอก” ของรัฐมนตรี จนมีการโยนเรื่องราวว่ามีการทุจริตเก็บ “เงินทอน” กันในโครงการนี้
       
       เรียกได้ว่า “พิชัย” โดนดัดหลังเต็มๆเพราะไว้ใจคนมากเกินไป
       
       แถม “ฟาดหาง” มาเล่นงาน “เด็ก” อย่างลูกชายของรัฐมนตรีที่เป็นโฆษกกระทรวงว่า “กินหัวคิว” จากบริษัทจัดงานอีเวนต์โนเนมเข้ามา ไม่ยอมใช้ “ผู้รับเหมาเจ้าเดิม” ที่ผูกปีว่าจ้างกันมานามนม ซึ่งเป็นปมขัดแย้งตั้งแต่เมื่อ “พิชัย” เข้ามารับตำแหน่ง เหตุเพราะลูกชายหวังดีอยากจัดระบบระเบียบการใช้สอย “งบประชาสัมพันธ์” ของกระทรวงใหม่ทั้งหมด
       
       โดยให้ “ผู้รับเหมาเจ้าเดิม” เข้ามาประมูลงานตามระเบียบ ไม่ใช้วิธีพิเศษอย่างที่ผ่านมา ด้วยวิธีการที่หักดิบไม่ยอมประนีประนอม กลายเป็น “ทุบหม้อข้าวเก่า” และทำให้คนในกระทรวงไม่พอใจ จนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต และมีคนวิ่งแจ้นนำความไปฟ้อง “นายใหญ่” ถึงเมืองดูไบว่า เด็กคนนี้ไร้สัมมาคารวะเข้ามาเป็น “ก้างชิ้นโต” ทำให้เก็บเกี่ยวกินกันไม่คล่องคอเหมือนเช่นเดิม
       
       ทั้งนี้อาจจะรวมไปถึงผลประโยชน์ก้อนโตของกระทรวงพลังงานที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีนี้ ที่กำลังจะมีการประมูลสัมปทานหลายสิบใบเกี่ยวกับการขุดเจาะ-สำรวจแหล่งพลังงาน ซึ่ง “นายใหญ่-นายหญิง” ต้องการใช้มือทำงานที่ไว้ใจได้อย่าง “อารักษ์ ชลธารนนท์” ลูกหม้อชินคอร์ป เข้ามากำกับดูแลด้วยตัวเอง
       
       “พิชัย” จึงต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไปแบบช็อคๆ
       
       ขณะที่ “ผู้มาใหม่” แม้จะมีมากถึง 10 คน แต่ก็ยังมีคนอกหักผิดหวังอยู่เต็มพรรคเช่นเดิม เพราะเกม “เก้าอี้ดนตรี” ที่มีโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีให้นั่งแค่ 35 ที่ แต่มี “คนกระสัน” ในอำนาจรออยู่เพียบ ทั้ง ส.ส.ที่มีมากกว่า 200 คน บวกกับคนทำงานเบื้องหลังอีกหลายสิบชีวิต
       
       แต่คนที่อกหักช้ำแล้วช้ำอีกคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากขวัญใจเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ “อภิวันท์ วิริยะชัย” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เคยเป็นแคนดิเดตเข้าชิงดำตำแหน่ง “ประมุขนิติบัญญัติ” ให้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล แต่สุดท้ายต้องขอบายถอนตัวปล่อยให้ “ขุนค้อน - สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” รับตำแหน่งไปเชยชม
       
       ก่อนจะมามีหวังอีกครั้งเมื่อครั้งจัดทัพ ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 แต่ชื่อก็หลุดในช่วงโค้งสุดท้าย ว่ากันว่า “นายหญิง” ไม่ปลื้มกับบทบาทแนวคิดที่ผ่านมา จนตกขบวนอดเป็น “เสมา 1” รมว.ศึกษาธิการอย่างที่หวัง เช่นเดียวกับการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 ที่ต้องอกหักซ้ำสองในตำแหน่ง โดยมี “สุชาติ ธาดาธำรงเวช” คว้าตำแหน่งเสนาบดีศึกษาธิการไปครอง เพราะแม้ “อภิวันท์” จะทำงานสร้างผลงานเข้าตากรรมการจนน่าจะได้ตำแหน่งทางการเมืองเป็นรางวัล แต่ก็มี “ชนัก” ที่ติดหลังจาก “วีรกรรม” ในอดีต ซึ่งเจ้าตัวรู้ดีที่สุด
       
       “กรณีที่ผมไม่ได้ตำแหน่งในรัฐมนตรีครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะว่ายังมีจุดอ่อน และยังไม่เหมาะสมกับตำแหน่งใดๆ เมื่อไรเหมาะสมก็อาจจะได้เป็น ที่ผ่านมาคนเขาก็เชียร์เยอะ แต่อาจจะยังไม่เหมาะสม ณ ขณะนี้” เป็นคำพูดของ “อภิวันท์” ที่รับสภาพหลังรู้ตัวว่าไม่มีชื่อใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 2
       
       “จุดอ่อน” ที่เจ้าตัวกล่าวถึงนั้นไม่ใช่การเป็น “หัวขบวน” ของกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างแน่นอน เพราะคนอย่าง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนำแดงตัวพ่อ เจ้าของวรรคทอง “เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” ยังขึ้นชั้น รมช.เกษตรฯได้ หรือคนอย่าง “สุชาติ” ที่ช่วงหลังเดินสายบรรยายเปิดโรงเรียนคนเสื้อแดงจนกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ก็ยังรีเทิร์นกลับมาเป็นรัฐมนตรีได้อีกหน
       
       ดังนั้นเรื่องที่ “อภิวันท์” มีภาพติดกับคนเสื้อแดงนั้นจึงเป็นเรื่องรอง
       
       แต่เป็น “วีรเกิน” ในอดีตมากกว่าที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง และทำให้ไม่ถึงฝั่นฝันกับเขาเสียที ทั้งการปลุกระดมมวลชนเข้าโอบล้อม หน้าบ้าน “ป๋าเปรม - พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พร้อมขึ้นเวทีโจมตีด้วยถ้อยคำหยาบคาย และหนักไปถึงขั้นปราศรัยว่า “ไม่เชื่อว่า พล.อ.เปรม จะรักชาติมากกว่าคนอื่น เพราะทุกคนต่างก็รักชาติและสถาบันเหมือนกัน” ทั้งที่วันนั้นยังมีตำแหน่งเป็นรองประธานสภาฯอยู่
       
       และหนักไปกว่านั้นกับการหยิบยกกรณีการล่มสลายของ “ราชวงศ์โรมานอฟ” ของรัสเซียมากระทบกระเทียบเปรียบเปรยว่าคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สร้างความไม่พอใจให้แก่คนไทยทั้งประเทศ และยังกลายเป็นโลโก้ติดตัวนำมาซึ่งฉายา “รองฯโรมานอฟ” อีกด้วย ภาพลักษณ์นี้เองที่ทำให้ “นายใหญ่ - นายหญิง” รวมไปถึง “ยิ่งลักษณ์” ต้องคิดหนัก
       
       ด้วยประการฉะนี้แลทำให้ “อภิวันท์” จึงต้องผิดหวังไปไม่ถึงฝันอีกครั้ง



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2555, 10:02:34
สายตรง'ชินวัตร'คุมเบ็ดเตร็จ

   posttoday.com

โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

หลังจากปรับ ครม.ยกกระบิ 16 ตำแหน่ง มีคนใหม่ “เข้าออก” ฝ่ายละ 9 คน รวม 18 คน เล่นเอาคนที่ถูกปรับออกตั้งตัวไม่ติดเพราะไม่คิดว่าจะมากมายเพียงนี้ ล่าสุดถึงคิวปรับเปลี่ยนเก้าอี้เลขานุการ และที่ปรึกษารัฐมนตรี เมื่อ ครม.มีมติแต่งตั้งข้าราชการการเมืองยกแผงวานนี้ 41 ตำแหน่ง

ตามหลักเกณฑ์ รัฐมนตรี 1 คน จะมีเลขานุการได้ 1 ตำแหน่ง และที่ปรึกษาอีก 1 ตำแหน่ง เมื่อรัฐมนตรีถูกปรับออก คนที่เป็นเลขาฯที่ปรึกษารัฐมนตรีรายนั้น ต้องพ้นจากเก้าอี้โดยอัตโนมัติ

ถึงแม้ ครม.ยังแต่งตั้งเลขาฯที่ปรึกษา ไม่ครบจำนวน แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้เคยนั่งเก้าอี้เลขาฯที่ปรึกษาในตำแหน่งเดิมอยู่แล้ว บ้างก็สลับกระทรวง บางส่วนหลุดเก้าอี้และตั้งใหม่ กระจายให้กับนักการเมืองอาวุโสที่สอบตกตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัญญาณจะดูแลให้ทั่วถึง

พรรคเพื่อไทยได้วางระบบไว้ว่าจะเป็นผู้คัดเลือกคนในพรรคมาเป็น “เลขาฯที่ปรึกษา” เอง เว้นแต่รัฐมนตรีบางรายที่เส้นใหญ่ เสียงดัง อาจได้สิทธิในการเลือก “คนรู้ใจ” มาเป็นมือขวาข้างกาย แต่ก็มีไม่มาก ซึ่งเป็นการดึงอำนาจการแต่งตั้งขึ้นตรงกับผู้บริหารพรรคที่เป็นครอบครัวชินวัตร

ตามคุณสมบัติของ “เลขาฯ-ที่ปรึกษา” จะเป็น สส.ไม่ได้ พรรคจึงตอบแทนเก้าอี้ตัวนี้ให้กับ สต. หรือผู้สมัครสอบตก

ครั้งนี้รายเดิมที่ยังเหนียวอยู่ในตำแหน่ง แต่แค่โยกเปลี่ยนเก้าอี้ เช่น ภาคิน สมมิตร เดิมเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี สลับมาเป็นที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ (บุญทรง เตริยาภิรมย์) เอกพจน์ วงศ์อารยะ โยกจากเลขานุการ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมช.คลัง (ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย)

แต่ที่เป็นไฮไลต์ครั้งนี้คือ ตำแหน่งเลขานุการ รมว.มหาดไทย เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ ที่มีการดึงคนใกล้ชิดตระกูลชินวัตร มาคุมเก้าอี้สำคัญ

โดยให้ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขานุการส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มานั่งเก้าอี้เลขาฯ มท.1 (ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค) โยก อารี ไกรนรา อดีตหัวหน้าการ์ด นปช. ไปเป็นเลขานุการ รมช.เกษตรฯ ช่วย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรี นปช. ป้ายแดง และตั้ง ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สะใภ้ตระกูลชินวัตร เป็นเลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ (สุชาติ ธาดาธำรงเวช) สลับเก้าอี้เดิมที่เป็นเลขานุการ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

การตั้งสองคนคู่ใจตระกูลชินวัตรมาเป็นมือขวาใน 2 ตำแหน่งนี้ ชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งคน “ไว้ใจ” มาคุมกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นกระทรวงใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการขยายฐานเสียงและใกล้ชิดประชาชนรากหญ้า

เพราะทั้ง รมว.มหาดไทย รมว.ศึกษาธิการ ตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา ต่างมีปัญหาในการประสานงาน ซึ่งคนในพรรคไม่พอใจสูง

ยงยุทธ รองนายกฯ และ มท.1 แม้จะไม่ถูกปรับออก แต่ สส.ในพรรคหงุดหงิดที่ไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องของ สส. และการดูแลปัญหาประชาชนในพื้นที่ จนวันนี้ก็ยังมีเสียงบ่นไม่ขาดสายจากคนในพรรค

สำหรับ อารี เลขาฯ มท.1 ที่ถูกโยกพ้นเก้าอี้ ก็มาจากโควตาเสื้อแดงที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตั้งปลอบใจกลุ่ม นปช.ในช่วงตั้งลำรัฐบาลใหม่ๆ แทนตำแหน่งรัฐมนตรี เก้าอี้เลขาฯ มท.1 ของ อารี ถือเป็นตำแหน่งทางการเมืองสูงสุดของ นปช. ในรัฐบาลปู 1 แต่เมื่อ ปู 2 ได้ตั้ง ณัฐวุฒิ เป็น รมช.เกษตรฯ และเป็นคน จ.นครศรีธรรมราช เหมือนกับ อารี กลุ่มเสื้อแดงก็ต้องหลีกทาง

ไม่ต่างจาก วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ตลอดเวลาที่เป็น รมว.ศึกษาฯ มีปัญหาไม่ลงรอยกับ สส.ในพรรค และปัญหาในการทำงานมาก จนลูกพรรคเปิดศึกกับ วรวัจน์ ในที่ประชุมพรรคหลายรอบ ลามไปถึงการฟ้องร้อง “นายใหญ่” จนที่สุด วรวัจน์ ต้องถูกโยกพ้นจาก รมว.ศึกษาฯ เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แทน

ภารกิจของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายปกครอง ประกอบด้วย กำนัน 7,446 ตำบล นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ทั่วประเทศ 878 แห่ง ปลัดจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ รวมแล้วนับหมื่นตำแหน่ง เป็นกระทรวงที่ต้องใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด และยังมีงบประมาณลงที่กรมการปกครองร่วมแสนล้านบาทต่อปี ไม่นับผลประโยชน์อื่นมหาศาลที่กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบ เช่น การให้ใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืน

ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ มีงบที่ดูแลนับแสนล้านบาทเช่นกัน จากงบสนับสนุนโครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการแท็บเล็ตที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงอีก 4,000 ล้านบาท และขุมกำลังจากบุคลากรครูทั่วประเทศกว่า 4 แสนคน ทุกพรรคที่เป็นแกนนำรัฐบาลจะไม่ยอมให้ 2 กระทรวงนี้ไปตกอยู่กับพรรคร่วม เพราะใครคุมครู ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ได้ ก็ช่วยขยายฐานเสียงให้กับพรรค เนื่องจากใกล้ชิดและมีอิทธิพลชี้นำกับประชาชนสูง

การปรับ ครม. ปู 2 ได้เห็นแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ดึงคนไว้ใจที่สุดจากตระกูลชินวัตร และกลุ่มชินคอร์ป เข้ามาคุมกระทรวงสำคัญ เช่น อารักษ์ ชลธาร์นนท์ อดีตผู้บริหารไทยคม เป็น รมว.พลังงาน นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองประธานกรรมการบริษัทในเครือชินคอร์ป เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ คุมด้านสื่อ และ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตที่ปรึกษาด้านคมนาคมของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็น รมช.คมนาคม รวมถึง กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยชินวัตร รองนายกฯ ที่ถูกโยกมาควบ รมว.คลัง และเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล และ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เพื่อนเตรียมทหารรุ่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ คุม รมว.กลาโหม

พ.ต.ท.ทักษิณ ยึดหลักใครไม่เหมาะให้รีบปรับ หมดเวลาสำหรับการทดลองงาน ถึงเวลาที่ต้องให้ “สายตรง” คนใกล้ชิดมาคุม “หัวใจ” ขุมอำนาจและฐานเสียงของรัฐบาล นี่จึงตอกย้ำอีกครั้งจากการตั้ง “ผดุง” ผู้เป็นเงาข้างกายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอด 5 ปี ในเก้าอี้นายกฯ ที่ถูกส่งมาเป็นหูเป็นตาในเลขาฯ มท.1 จัดการปัญหา กระจายทรัพยากร จัดฐานอำนาจ เพราะ ผดุง มีประสบการณ์ประสานงานกับฝ่ายต่างๆ มาตลอดในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึง ทพญ.ศรีญาดา สะใภ้ชินวัตร และทีมงานนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ที่ส่งมาประสานจัดการปัญหาความต้องการของ สส.ในพรรคเพื่อไทยให้ลงตัวที่สุด

วินาทีนี้ต้องใช้สายตรงของกลุ่มชินวัตรเท่านั้น...


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2555, 10:04:50
ร้องผู้ตรวจการฯสอบมติครม.เยียวยาเสื้อแดง

   
เครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน ร้องผู้ตรวจการแผ่นดินสอบมติครม.เยียวยาเสื้อแดง

นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน เดินทางมายื่นเรื่องร้องเรียนต่อนางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาส ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และนายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2555 เรื่องการอนุมัติเงินเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงปี2548-2553

นพ.ตุลย์ กล่าวว่า ตามที่ครม.ได้มีมิติให้ใช้งบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากากรชุมนุมทางการเมืองในช่วงดังกล่าวนั้น ผู้ที่เสียชีวิตจากการชุมนุมจะได้รับเงินไม่น้อยกว่า 7 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินภาษีอากรจากคนทั้งชาติ เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในช่วงวันที่ 12 มี.ค. 53 เป็น การชุมนุมที่ใช้อาวุธรุนแรงไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้แกนนำนปช. รวมทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯก็ยังอยู่ในระหว่างการฟ้องร้องดำเนินคดีก่อการร้าย ดังนั้นการอนุมัติเงินเยียวยา โดยรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจึงเป็นการอนุมัติเงินเยียวยาเงินให้กับผู้ที่มาชุมนุมผิด กฎหมาย เพราะรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ไม่ได้ละเมิดกลุ่มนปช. เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการสลายการชุมนุมที่เป็นไปตามหลักกฎหมายและ หลักปฏิบัติสากล

นพ. ตุลย์ กล่าวต่อว่า การอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายของครม.จะต้องมีกฎหมายรองรับคือ พ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดินที่ผ่านการเห็นชอบจากสภาฯ และจำนวนเงินที่อนุมัติต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.เงินเดือนข้าราชการ จึงเห็นว่ามติครม.ดังกล่าวที่อนุมัติให้จ่ายเงินค่าเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากากรชุมนุมทางการเมืองในช่วง 2548-2553 ไม่มีกฎหมายรองรับ จึงน่าจะเป็นการอนุมัติโดยไม่มีอำนาจและเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

ทั้งนี้นอกเหนือจากผู้ที่มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช.จนเสียชีวิตในปี 2553 ก็ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง อาทิ เหตุการณ์ 14 ตุลา เหตุการณ์ 6 ตุลา เหตุการณ์ความไม่สงบใน 4จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยอีก จำนวน 800 คนก็ไม่ได้รับเยียวยา ดังนั้นการอนุมัติเงินเยียวยาศพละ 7ล้านบาทจึงเป็นการเลือกปฏิบัติจ่ายเงินให้กับผู้ที่สนับสนุนรัฐบาล โดยอ้างว่ารัฐบาลก็จ่ายเงินเยียวยาให้กับกลุ่มอื่นร่วมด้วย ทางเครือข่ายฯจึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบการอนุมัติสั่งจ่ายเงินตามมติครม.ดังกล่าวถูกกฎหมายหรือไม่ หากมติครม.ดังกล่าวไม่ได้เป็นไปตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 245 ดำเนินการให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาเพิกถอนมติครม.ดังกล่าว

ด้านนางผาณิต กล่าวว่า ทางผู้ตรวจการแผ่นดินยินที่จะรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา โดยยืนยันว่าจะดูแลเรื่องนี้ให้ดีที่สุด เนื่องจากเห็นว่ากรณีดังกล่าวมีบุคคลที่ไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก และมีหลายคนได้รับผลกระทบ ดังนั้นทางผู้ตรวจการแผ่นดินจะเร่งดำเนินการพิจารณาและตรวจสอบทันที



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2555, 10:28:00
อหังการแห่ง "วรเจตน์และแก๊ง"

ผมชักชอบ "วรเจตน์ แอนด์ เดอะ แก๊ง" ขึ้นมาแล้วซีแฮะ นับวัน "ตลกร้าย" ขึ้นทุกที ยึดธรรมศาสตร์เป็นศูนย์กลาง "แดงล้มสถาบัน" ล่าสุด...ใช้ฤกษ์ตรุษจีน ประกาศจัดระเบียบ "สถาบันพระมหากษัตริย์-ศาล-กองทัพ-สถาบันการเมือง" ใหม่ คนที่เป็นพระมหากษัตริย์ต้องสาบานตน  ประธานศาลต้องรัฐบาลตั้ง และ ผบ.เหล่าทัพต้องนายกฯ เท่านั้น...ตั้ง"
    เสียดายที่ผมไม่ได้ไปร่วมฟังกับขบวนการแดงที่ธรรมศาสตร์วานซืนนี้  (๒๒ ม.ค.๕๔) ได้แต่อ่านตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขานำมารายงานเป็นข่าวไว้  แค่อ่านยังมันเข้าไส้ ไม่รู้ไปคิดเค้นรูปแบบและวิธีการแปลงบ้าน-แปลงเมืองอย่างนี้มาแต่ไหน    
    นับถือ...นับถือ นรกจกเปรตดีจริงๆ!
    แต่มองปร๊าดก็รู้ว่า แนวคิดและรูปแบบ เหมือนปิง-วัง-ยม-น่าน ไหลรวมเป็น "อำนาจประเทศรวมศูนย์" ที่ตัวผู้นำสูงสุดคนเดียว และผู้วาดหวังยิ่งใหญ่อมตะนิรันดร์กาล (แต่กำลังเข้าสู่จุด..สั้นจู๋) คนนั้นคือใคร คงไม่ต้องบอก!?
    ตอนนี้ ประธาน คอ.นธ. "อุกฤษ มงคลนาวิน" แม่น้ำอีกสายที่รับงานมา กำลังนำกฎหมายต่างๆ อันว่าด้วยอำนาจ ๓ สถาบัน ขยำรวมสูตร "หนึ่งผู้นำ-อำนาจเดียว" สูงสุด!
    ผมเล่าก็คงไม่ได้รสชาติ เพราะงูดินหรือจะดั้นเมฆได้เทียมทันฝูงมังกรโคโมโดอย่างท่านอาจารย์ธรรมศาสตร์ที่เรียกว่า "กลุ่มนิติราษฎร์"
    อย่ากระนั้นเลย เพื่อคงเนื้อหาไม่ให้ผิดเพี้ยน ผมจะลอก "ไทยโพสต์" ฉบับวันจันทร์ ที่เขารายงานเป็นข่าวหน้า ๑ ไว้มาให้ท่านละเลียดอ่านกันอีกที ดังนี้
    ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มนิติราษฎร์ นำโดยนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ นายปิยบุตร แสงกนกกุล นายปูนเทพ ศิรินุพงศ์ นายฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล นางจันทจิรา เอี่ยมมยุรา นางสาวตรี สุขศรี ได้จัดงานอภิปรายในหัวข้อ "ลบล้างผลพวง รัฐประหาร-นิรโทษกรรม-ปรองดอง" พร้อมกับเสนอแนวทางลบล้างผลพวงจากการรัฐประหารทั้งหมด และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๕๐ ในส่วนที่ยึดโยงกับการรัฐประหาร
    นายวรเจตน์เสนอให้ยกเลิก รธน.๕๐ ทั้งฉบับ ก่อนจะมีการยกร่างใหม่ ซึ่งขั้นตอนคือ แก้ ม.๒๙๑ เพื่อตั้งคณะกรรมการจัดทำรัฐธรรมนูญนิติรัฐและประชาธิปไตย จำนวน ๒๕ คนขึ้นมา โดยให้ ส.ส.ตามสัดส่วนจำนวนของแต่ละพรรคการเมืองเป็นผู้เลือก ๒๐ คน ส.ว.เลือกตั้ง ๓ คน และ ส.ว.สรรหา ๒ คน
    จากนั้นให้คณะกรรมการฯ วางกรอบการแก้ไข รธน.ภายใน ๓๐ วัน โดยอาจตั้งอนุกรรมการฯ ไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ แล้วยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ เพื่อเข้าสู่สภาผู้แทน และวุฒิสภา เพื่อรับฟังความคิดเห็น  จากนั้นคณะกรรมการฯ นำกลับไปแก้ไขและให้ประชาชนทำประชามติ หากประชาชนเห็นชอบก็ใช้ รธน.ฉบับใหม่
    "แต่หากประชาชนไม่เห็นด้วย ก็กลับไปใช้ รธน.๕๐ ซี่งประชามติจากประชาชนถือว่าเป็นสิทธิ์เด็ดขาด หากใช้แบบนี้ก็ ๙ เดือน เป็นการเชื่อมโยงกับประชาชนมากที่สุด และเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย ที่ให้ตัวแทนจากประชาชนเป็นผู้แต่งตั้ง"
    "โดยพรรคไหนที่มีจำนวน ส.ส.มาก ก็ได้โควตาในการเลือกตัวแทนคณะกรรมการฯ เข้ามามากตามสัดส่วน จริงๆ แล้วเราไม่ต้องการให้ ส.ว.สรรหาเข้ามาเลือก แต่เกรงว่าจะเกิดปัญหา จึงต้องลดสัดส่วนให้เหลือ ๒ คน ทั้งนี้  คุณสมบัติคณะกรรมการฯ จะต้องไม่เป็น ส.ส. หรือ ส.ว. หรือข้าราชการการเมือง”
    สำหรับแนวทางการร่าง รธน.นั้น จะยึดกรอบ รธน.๓ ฉบับแรก ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิ.ย.๒๔๗๕ และ รธน.ปี ๔๐ ในเรื่องการให้สิทธิเสรีภาพประชาชน โดยเนื้อหาทุกหมวดใน รธน.จะต้องแตะต้องได้ ซึ่งจากเดิมที่มีข้อห้ามเอาไว้
    "โดยจะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ศาล กองทัพ และสถาบันการเมือง"
    หลักการจะมีอยู่ ๔ ส่วน คือ ๑.บททั่วไป ๒.สิทธิเสรีภาพ ๓.สถาบันทางการเมือง องค์กรอิสระ และเรื่องที่ ๔.เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
    คือ การต่อต้านรัฐประหาร และลบล้างผลพวงจากรัฐประหาร ประเทศไทยยังเป็นราชอาณาจักร ที่ยังมีประมุขของรัฐ คือพระมหากษัตริย์ แต่ต้องวางโครงสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างประมุขของรัฐกับองค์กรผู้ใช้อำนาจอื่นๆ ให้สอดคล้องกัน
    "โดยกำหนดให้ประมุขของรัฐ จะต้องสาบานตนว่า จะปฏิบัติตาม  รธน. และพิทักษ์ รธน.ก่อนเข้ารับตำแหน่ง”
    ตรงนี้ เขารายงานถึงบรรยากาศในห้องประชุมว่า นายวรเจตน์กระทุ้งเสียงดุดัน พลันเสียงตะโกนโห่ร้องของคนเสื้อแดงก็ดังลั่นห้องประชุม และนายวรเจตน์ก็เมามันต่อว่า  
    ให้ยกเลิกองค์กรอิสระตาม รธน.ในปัจจุบันที่ไม่มีสถานะตาม รธน.ในรูปแบบเนื้อหา โดยให้ มีสภาเดี่ยว มาจากการเลือกตั้ง แต่หากประชาชนต้องการให้มี ๒ สภา คือ ส.ว. และ ส.ส. จะต้องมาจากกระบวนการเลือกตั้งทั้งหมด
    "ตุลาการระดับประธานศาล จะต้องได้รับการเสนอชื่อจาก ครม.และเห็นชอบจากรัฐสภา ตำแหน่งคณะตุลาการต่างๆ จะต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อที่สาธารณะ เช่น นักการเมือง ขณะที่ศาลล่าง จะต้องให้มีผู้พิพากษาศาลสมทบ หรือผู้พิพากษาที่ได้รับการคัดเลือกจากประชาชน เข้าไปร่วมตัดสินคดีร่วมด้วย"
    เจ๋งจริงๆ ใช้สมองกันหลายคืนมั้ยเนี่ย...กว่าจะกระฉูดออกมาแบบนี้ แต่อันที่จริง ก็ไม่น่าต้องเสียเวลาอ้อมเขาวงกต บอกไปตรงๆ ให้สิ้นเรื่องก็ได้ว่า
    ต่อไปนี้จะปฏิรูปการเมืองไทยจาก "การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ในปัจจุบัน
    ไปเป็น "การปกครองระบบสภาเปรซิเดียม" แบบที่เลนิน-ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย ล้มราชวงศ์โรมานอฟของพระเจ้าซาร์ นิโคลัส พร้อมพระราชินีอเล็กซานดรา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๐
    หรือจะให้เป็นการปกครองระบบคู่ขนานแบบคอมมิวนิสต์จีน คือมี "พรรคเพื่อระบอบทักษิณพรรคเดียว" กับ "รัฐบาลเพื่อระบอบทักษิณรัฐบาลเดียว" คลอไปด้วยกันเป็น "รัฐบาลกลาง" ซึ่งแบบนี้ อำนาจทั้งหมด ทั้งรัฐบาล ทั้งศาล ทั้งกองทัพ ทั้งสภา ทั้งพรรค ทั้งหลาย-ทั้งปวง
    จะรวมศูนย์หนึ่งเดียว!?
    ครับ..เนื้อหาสาระจากวรเจตน์และคณะแถลงยังไม่หมด อ่านจากข่าวต่อเลยนะครับ คือเมื่อจัดระเบียบสถาบันกษัตริย์ สถาบันบริหาร สถาบันนิติบัญญัติ  สถาบันตุลาการแล้ว ก็มาถึง "สถาบันกองทัพ" นายวรเจตน์บอกว่า
    "การปฏิรูปกองทัพ จะต้องมีผู้ตรวจการกองทัพที่แต่งตั้งจากรัฐสภา  และผู้บัญชาการเหล่าทัพ จะต้องได้รับการแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรี อีกทั้งผู้ใต้บังคับบัญชา สามารถปฏิเสธคำสั่งที่ขัดกับ รธน.และกฎหมายอื่นๆ  ต่อผู้บังคับบัญชาได้"    
    "นอกจากนี้ ไม่อนุญาตให้องค์กรอิสระสามารถแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปี เช่น รธน.๕๐ ที่อนุญาตให้ทำได้ และต้องกำหนดให้การรัฐประหารมีความผิดทางกฎหมายอาญา และภายหลังที่ประชาชนได้อำนาจกลับคืนมาแล้ว  ให้ดำเนินคดีแก่ผู้ชิงอำนาจจากประชาชนได้ในภายหลัง โดยอายุความการดำเนินคดี ให้เริ่มนับตั้งแต่ได้มีการเริ่มคดีแล้ว"
    ด้านนายปิยะบุตรกล่าวเสริมว่า "สาเหตุที่เราไม่ตั้งสภาร่าง รธน. เนื่องจากมีจำนวนสมาชิกมาก ยากต่อการแก้ไข อีกทั้งผู้ที่เขียนกฎหมายก็เป็นเพียงคนกลุ่มเล็กเท่านั้น รวมถึงวิธีนี้อาจจะต้องใช้เวลานาน และมีการดึงเรื่องกันไปมา  นอกจากนี้ เราได้นำโมเดลของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการใช้ รธน.มาปฎิบัติใช้กับประเทศไทย"
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานยังมีการเปิดโอกาสให้คณะนิติราษฎร์ตอบคำถามที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า นิติราษฎร์รับงานช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  นายฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล หนึ่งในกลุ่มนิติราษฎร์กล่าวว่า
    "ข้อเสนอของนิติราษฎร์อยู่ตามหลักวิชาการ เคารพกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นธรรม ซึ่งหลักการทั้งหลายเหล่านี้ จำเป็นอย่างยิ่งในนิติรัฐและระบบประชาธิปไตย แต่หากผลดังกล่าว ได้หรือเสียประโยชน์ ก็เป็นการได้หรือเสียประโยชน์บนพื้นฐานของหลักการ และความยุติธรรม
    โดยจุดยืนของนิติราษฎร์ ปฏิเสธการรัฐประหารถึงที่สุด เรื่องคำพิพากษาที่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณและพวก มีความสัมพันธ์โดยตรงกับรัฐประหาร จึงจำเป็นที่ต้องเสนอให้ลบล้างคำพิพากษา"
    “เรื่องคุณทักษิณเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก และคุณทักษิณก็เป็นนายกฯ ได้ไม่นานหรอก และหากคุณทักษิณมีปัญหา พวกเราจะจัดการคุณทักษิณเอง โดยเราเพียงต้องการให้อุดมการณ์ของนิติราษฎร์อยู่ไปยาวนาน”
    ครับ...เป็นอันว่า "จบข่าว" วรเจตน์เพื่อวรเชษฐาทักษิณ ประเด็นที่ควรสนใจทั้งหมด สรุปได้ดังนี้
    -ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๕๐
    -แก้มาตรา ๒๙๑ เพื่อตั้งคณะกรรมการจัดทำรัฐธรรมนูญนิติรัฐและประชาธิปไตย ๒๕ คน
    -ให้ ส.ส.ตามสัดส่วนจำนวนแต่ละพรรคการเมืองเลือก ๒๐ คน ส.ว.เลือกตั้ง ๓ คน ส.ว.สรรหา ๒ คน
    -ให้คณะกรรมการวางกรอบแก้ไขรัฐธรรมนูญภายใน ๓๐ วัน
    -อาจตั้งอนุกรรมการฯ ไปรับฟังความเห็นประชาชนทั่วประเทศ แล้วยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ นำเข้าสู่สภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา เพื่อรับฟังความคิดเห็น  จากนั้นนำกลับมาแก้ไข และให้ประชาชนทำประชามติ หากเห็นชอบก็ประกาศใช้
    -หากประชาชนไม่เห็นชอบ ก็กลับไปใช้ รธน.๕๐
    -ตามแนวทางนี้ จะใช้เวลาทั้งหมด ๙ เดือน
    -มีสภาเดียวจากการเลือกตั้ง
    -ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ศาล-กองทัพ-สถาบันการเมือง
    -พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญก่อนรับตำแหน่ง
    -ประธานศาลต้องได้รับการเสนอชื่อจาก ครม.และรัฐสภาเห็นชอบ
    -ผบ.เหล่าทัพ ต้องได้รับการแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรี
    -ต้องลบล้างคำพิพากษาทักษิณกับพวก
    โหย...เจ๋งว่ะ จารย์!


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2555, 10:33:03
“พิชาย-คมสัน” ซัด “นิติราษฎร์” ไร้เดียงสา หนุนทุนนิยมสามานย์ครอบงำประเทศ    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันที่ 23 ม.ค. เมื่อเวลา 20.30 น. คณาจารย์ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” ได้แก่ รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และนายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ถึงประเด็นข้อเสนอของ “นิติราษฎร์”
       
       รศ.ดร.พิชายกล่าวว่า ถ้าดูรูปแบบข้อเสนอของนิติราษฎร์ ที่ให้มีคณะจัดทำรัฐธรรมนูญ 25 คน มาจากฝ่ายการเมืองทั้งสิ้น คือ ส.ส.20 คน และ ส.ว.5 คน โดยมองว่าเป็นตัวแทนของประชาชน แต่มันก็ขัดแย้งกับสิ่งที่นิติราษฎร์คัดค้าน เพราะส.ส.ชุดนี้ก็มาจากรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐประหารที่พวกนี้ต่อต้าน คือไม่ว่าจะเสนออะไรภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญนี้ ก็เท่ากับยอมรับอำนาจรัฐประหาร ฉะนั้นถ้าไม่เห็นด้วยจริง ควรใช้วิธีการอื่น ที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีรัฐธรรมนูญปี 50
       
       วิธีการที่เสนอ เป็นการเสนอเกินขอบเขตเส้นแบ่งการยอมรับของสังคมไปมาก เช่นข้อเสนอให้กษัตริย์สาบานตน เป็นข้อเสนอที่เกินกว่าคนไทยที่มีจิตใจปกติจะยอมรับได้ สะท้อนว่าเจตนาจริงๆ ไม่ได้อยากเสนอสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่เขาต้องการเสนอ อาจเพื่อทำลายรัฐธรรมนูญฉบับนี้
       
       ด้านหนึ่งสะท้อนเจตนาว่าต้องการบางสิ่งบางอย่างทางการเมืองให้เกิดขึ้นมาเพื่อลบล้างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยอาจต้องการยั่วยุทหารให้ปฏิวัติ เสร็จแล้วก็ให้มวลชนออกมาต่อต้าน เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง นั่นคือเป็นเกม จึงเสนอให้เกินเลย และโฟกัสไปที่สถาบันฯ
       
       รศ.ดร.พิชายกล่าวต่อว่า เห็นได้ชัดว่าการเสนอของนิติราษฎร์เป็นการปูพรมแดงให้เผด็จการทุนสามานย์ทั้งหลาย ให้ครองอำนาจในสังคมไทยได้อย่างราบเรียบ โดยไม่ให้มีผู้มีอำนาจเชิงคุณธรรมทั้งหลายมาหยุดยั้ง ฉะนั้น นิติราษฎร์เป็นกองหน้าของทุนนิมยมผูกขาด ไม่ใช่เป็นกองหน้าของประชาธิปไตยแต่อย่างใด แล้วบอกว่าตัวเองก้าวหน้า ทั้งๆที่หาความก้าวหน้าไม่เจอ เพราะข้อเสนอ ย้อนไปปี 2475 ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีทุนนิยมผูกขาดในสังคมไทยด้วยซ้ำไป
       
       รศ.ดร.พิชายยังกล่าวว่า ข้อเสนอนิติราษฎร์ คือ ต้องการย้อนรอยรัฐธรรมนูญปี 40 คือมอบอำนาจให้นักการเมืองที่มาจากการทุจริตในการเลือกตั้ง แสวงหาประโยชน์จากการบริหารประเทศ เอาอนาคตของประเทศไปอยู่ในมือนักการเมืองพวกนี้อีก หลังจากรัฐธรรมนูญปี 50 พยายามถ่วงดุลอำนาจต่างๆ ไว้
       
       ข้อเสนอข้อ 8 เสนอในแง่โครงสร้างทางการเมืองและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่นการใช้สภาเดียว หรือสองสภา แต่ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งก็จะไม่พ้นสภาผัวเมีย
       
       ข้อ 9 ให้ผู้พิพากษาศาลสูง ก็คือศาลฎีกา ได้รับการเสนอชื่อโดยคณะรัฐมนตรี และได้รับความเห็นชอบโดยรัฐสภา อันนี้ไปจำลองอเมริกามา แต่ก็ไม่ดูรัฐมนตรีบ้านเรา บางคนยังมีแบล็กลิสต์ บางคนยังมีคดีก่อการร้ายอยู่เลย แล้วให้คนเหล่านี้แต่งตั้งศาลสูง ยิ่งทำให้ระบบยุติธรรมมีปัญหามากขึ้น
       
       ไม่ใช่ตนรังเกียจการเลือกตั้ง แต่ทุกวันนี้ความจริงในสังคมไทย เวลาเอาระบบเลือกตั้งเข้าไป ระบบคุณธรรมหายหมด มีปัญหาหมด เพราะมีการเสนอผลประโยชน์กัน เพราะโครงสร้างอุปถัมน์ และจิตสำนึกยังมองการเลือกตั้งเป็นการแลกเปลี่ยนเฉพาะหน้า ที่ อ.วรเจตน์เสนอ พื้นฐานที่สำคัญที่เสนอ คือมองคนไทยเปี่ยมไปด้วยเหตุผล มีความรู้ เป็นปัจเจกชนนิยม ไม่มีระบบอุปถัมน์ ซึ่งไม่ใช่สังคมไทย ข้อเสนอเหล่านี้จะยิ่งทำลายระบบต่างๆ ของประเทศ
       
       ที่หนักข้อไปอีก คือ ผู้ตรวจการกองทัพ โดยให้แต่งตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎร โดยนัยยะเหมือนเป็นการดูถูกกองทัพ ให้อยู่ในมือกลุ่มทุน ทำตามบัญชาการของนักการเมือง และแยกกองทัพออกจากสถาบันกษัตริย์ เขาก็วางเกมอันนี้ไว้สำหรับคนที่เป็นเจ้าของพรรคให้ควบคุมกองทัพ
       
       ด้าน นายคมสันกล่าวว่า ข้อเสนอของนิติราษฎร์เป็นข้อเสนอเก่า ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และข้อเสนอใหม่ แต่ค่อนข้างวิปริตอีกประมาณครึ่งหนึ่ง เพราะเสนอไม่ดูสภาพความเป็นจริงของสังคมไทย เสมือนกับเชื่อว่านักการเมืองของไทยไร้มลทินโดยสิ้งเชิง และเสนอแบบไร้เดียงสา ไม่แตะต้องรากเหง้าของปัญหาอย่างแท้จริง
       
       อีกเรื่องที่ไม่พูดถึงคือการพยายามสร้างระบบเผด็จการทุนนิยมผูกขาดโดยพรรคการเมือง โดยลืมไปว่าพรรคการเมืองไทยไม่ได้มีฐานรากมาจากประชาชนอย่างแท้จริง
       
       นายคมสันกล่าวอีกว่า รูปแบบข้อเสนอของนิติราษฎร์พยายามบอกว่าตัวเองก้าวหน้ามาก ซึ่งดูจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ แต่เคยเกิดในประเทศฝรั่งเศสแล้ว คือ การร่างรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐที่ 5 โดยให้ประธานาธิบดีคัดเลือกบุคคลมาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ของนิติราษฎร์ตะขิดตะขวงใจในการให้ประมุขของรัฐเป็นผู้แต่งตั้ง จึงให้นักการเมืองมาทำสิ่งเหล่านี้
       
       ข้อเสนอของนิติราษฎร์ คือ การสร้างฝ่ายบริหารให้เข้มแข็ง ที่สำคัญสร้างระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ และหากเกิดขึ้นแล้ว จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยต่อไปในอนาคต นอกจากรัฐธรรมนูญจะถูกฉีกโดยรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง
       
       อีกทั้งเป็นการเอาอำนาจรัฐให้ไปอยู่ภายใต้กลุ่มทุนนิยมผูกขาด ให้สามารถครอบงำสถาบันประมุข ศาล ตุลาการ และกองทัพอย่างสมบูรณ์แบบ และไม่มีการตรววจสอบทัดทานใดๆทั้งสิ้น สุดท้ายต้องการให้ประมุขของรัฐเป็นเพียงสัญลักษณ์ของสังคม เป็นข้อเสนอที่วิปริตต่อสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง เหมือนข้อเสนอของคนบ้า เหมือนเด็กเรียนใหม่ ชุ่ยทางวิชาการอย่างยิ่ง
       
       นายคมสันกล่าวอีกว่า มองรากเหง้าสังคมไทยจริงๆ มาจากการผูกขาดระบบอุปถัมน์ ถ้าใช้ข้อเสนอของนิติราษฎร์ ฉิบหายทั้งเมือง ข้อเสนอบางอย่างไม่ใช่ของใหม่ เช่นเอารัฐธรรมนูญพื้นฐานปี 2475 และ 2489 มาใช้ ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2489 ก็คือการเอา 2475 มาใช้ทั้งยวง และนี่อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่เขาเอามาใช้ คือเอารัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งมาใช้แทนเลย แล้วยกเลิกของปี 50 ไป แล้วบอกว่ามีการจัดสร้างโครงสร้างให้เข้ากับยุคร่วมสมัย ใช้คำว่าร่วมสมัย คือการเอาของใหม่ผสมกับของเก่า แต่นี่ที่เสนอมาส่วนใหญ่มันเก่า
       
       ถ้าเดินตามโครงสร้างที่นิติราษฎร์เสนอ จะเกิดระบบเผด็จการผูกขาดเบ็ดเสร็จ โดยที่ไม่มีใครทำอะไรต่อได้แล้ว ไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่สร้างเผด็จการภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย ลองกลับไปดูในแง่เนื้อหา พบว่าสิ่งที่ใหม่คือเรื่องประมุขของรัฐ แต่ก็สอดคล้องกับปี 2475 ตอนนั้นคณะราษฎร์พยายามเสนอ แต่ถ้ารู้ความจริง จริงๆแล้วสิ่งที่คณะราษฎรทำไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมาย แต่กษัตริย์ทรงเมตตา ไม่อยากให้เกิดสังคมนองเลือด เพราะถ้ารบกันจริงๆก็แพ้ แล้วคณะราษฎร์ก็บอกว่านั่นคือการอภิวัติ แต่จริงๆ ก็คือการรัฐประหารอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้น
       
       รัฐธรรมนูญปี 2540 ถ้ามองในทฤษฎีผลไม้เป็นพิษ รัฐธรรมนูญปี 40 ก็มาจากรัฐประหาร เพราะมาจากรัฐธรรมนูญปี 2534 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 8 ปี 2538 ซึ่งมาจากรัฐประหาร ฉะนั้นทฤษฎีผลไม้เป็นพิษของนิติราษฎร์ใช้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เสนอมาก็ใช้ไม่ได้ทั้งหมด
       
       นายคมสันกล่าวอีกว่า การพูดถึงเรื่องหลักการ การแบ่งแยกอำนาจ อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน มันเป็นของเดิมหมด หลักนิติรัฐก็ของเดิม ความเป็นกฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญก็ของเดิม มีเพิ่มขึ้นมาคือเรื่องสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้การเมืองครอบงำประมุข ให้กษัตริย์สาบานตนก่อนรับตำแหน่ง โดยเอารูปแบบประธานาธิบดีมาใช้ แต่ลืมว่าประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้ง เป็นเพียงเรื่องการให้สัญญากับปวงชน แต่ของเราจะให้ไปสาบานตนต่อสภา ซึ่งปัจจุบันเราตั้งคำถามอะไรคือการเลือกตั้งที่แท้จริง มีใครบอกได้หรือไม่ว่าไม่มีการทุจริต อ.วรเจตน์ ทำไมไม่ระบุว่าการเลือกตั้งอย่างแท้จริงคืออะไร


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2555, 10:39:39
ครม.ปู 2 ถึงคราวแปรรูปประเทศเป็น “บริษัทแม้วจำกัด” !!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ผ่าประเด็นร้อน
       
       หลังจากมีการเปิดเผยออกมาจากปากของ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขานุการส่วนตัวของ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันจันทร์ที่ 23มกราคมว่า ตัวเองจะเข้ามารับตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อ้างว่าเพื่อให้การทำงานในกระทรวงมหาดไทยมีความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น
       
       ล่าสุดเมื่อบ่ายวันรุ่งขึ้น (24 มกราคม) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็ประทับตราแต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการเข้ามาแทน อารี ไกรนรา หัวหน้าการ์ดคนเสื้อแดง ที่ต้องลุกไปนั่งที่อื่น
       
       ถามว่าทำไมต้องให้ความสำคัญกับแค่ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ต้องบอกว่า หากพิจารณาจากตัวบุคคลที่เข้ามาก็ต้องถือว่า “พิเศษ” และต้องเพ่งมองว่าเข้ามาด้วยจุดประสงค์ใด เพื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์แล้วรับรองว่าไม่ธรรมดา
       
       เพราะ ภาพของ ผดุง ในความเข้าใจของคนทั่วไปก็ไม่ต่างจาก “คนรับใช้” ที่ซื่อสัตย์ของ ทักษิณ ชินวัตร ทำทุกอย่างตามบัญชาของเจ้านาย ทำได้แม้แต่ “งานนอกสั่ง” หากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีผลดีต่อทักษิณ ซึ่งเมื่อครั้งที่ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็เป็นคนประสานงาน ติดต่อและสั่งการแทนในแทบทุกเรื่อง ในงานเบื้องหลัง ไม่เว้นแม้กระทั่ง “งานใต้ดิน”
       
       ดังนั้นการเข้ามาของ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ คราวนี้จึงมองว่านี่คือ มท.1 ตัวจริง ที่จะทำหน้าที่สั่งการแบบไม่เป็นทางการแทน ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามพิธีการ และขณะเดียวกันหากพิจารณาจากคำพูดก่อนที่จะได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ผดุง ก็ให้เหตุผลแล้วว่า เพื่อให้การบริหารภายในกระทรวงมหาดไทยมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นก็แสดงว่าที่ผ่านมาการทำงานของ ยงยุทธ ล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ อย่างไรก็ดีหากถึงขั้นเปลี่ยนตัว มท.1 มันอาจเกิดแรงกระเพื่อม รวมไปถึงเกิดภาพที่เป็นลบหากปรับ ยงยุทธ ออกไป เนื่องจากเป็นถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
       
       ในภาพรวมของรัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากมีการปรับคณะรัฐมนตรีเป็น ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 จำนวน 16 ตำแหน่ง และรวมถึงตำแหน่งเลขานุาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนใหม่เป็น ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ทำให้มองเห็นภาพไม่ต่างจาก “บริษัททักษิณ จำกัด” เพราะล้วนแล้วแต่คนกันเอง หรือคนรับใช้ประเภทเด็กในบ้านที่ซื่อสัตย์ทั้งนั้น โดยเฉพาะในตำแหน่งสำคัญ
       
       หากไล่เรียงตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงมาก็มี อารักษ์ ชลธาร์นนท์ จากบริษัทไทยคมฯเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นต้น
       
       สำหรับภารกิจของแต่ละคนนาทีนี้คงไม่ต้องสาธยายซ้ำให้เสียเวลา เพราะระดับ “คอการเมือง” ก็คงรับรู้กันจนเลี่ยนไปแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อมีตัวละครอย่าง ผดุง เข้ามาใหม่ มันก็เหมือนกับการต่อจิ๊กซอร์ให้เติมเต็ม เป็นภารกิจที่ครอบคลุมทั้ง เศรษฐกิจ ทุน ความมั่นคง รวมไปถึงงานทางด้านการปกครอง ทุกอย่างครบวงจร ความหมายก็ไม่ต่างจากบริษัท ทักษิณ จำกัด และเมื่อภาพออกมาเป็นแบบนี้ อย่าได้แปลกใจที่การทำงานของรัฐบาลชุดนี้จะถูกมองว่ามี “วาระซ่อนเร้น” ทำเพื่อขยายอิทธิพลส่วนตัว โดยใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่ในมือเป็นใบเบิกทาง
       
       ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบจากคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งสำคัญดังกล่าว รวมทั้งเมื่อมาบวกกับความพยายามเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป้าหมายเพื่อให้ ทักษิณ พ้นความผิด และกลับมามีอำนาจทางการเมืองเต็มรูปแบบอีกรอบ กำลังมีการขับเคลื่อนกันอย่างเต็มที่ มันก็ชัดยิ่งกว่าชัดว่า เวลานี้กำลังแปรรูปประเทศไทยให้กลายเป็นบริษัททักษิณ ซึ่งบริษัทที่ว่านั้นก็ไม่ใช่แบบมหาชน แต่เป็นแค่บริษัทจำกัด เท่านั้น !!


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 มกราคม 2555, 19:42:39
วาสนาของไพร่ “เต้น” อยู่บ้าน 10 ล.“ก่อแก้ว” รวย 80 ล.“เมียกี้ร์” ขี่ฮาร์เลย์ฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ASTVผู้จัดการ – เปิดบัญชีทรัพย์สิน “เต้น-ณัฐวุฒิ” ไพร่ระดับ “ซุป’ตาร์-เสนาบดีเกษตรหน้าใหม่” พบอยู่บ้านจัดสรรสุดหรู 270 กว่า ตร.ว.ราคาร่วม 10 ล้าน รถ 3 คัน หนึ่งคันทะเบียน “777” สวยกิ๊ง “ก่อแก้ว” ขึ้นชั้นมหาเศรษฐีรวยหุ้น-ห้องชุดเฉียด 80 ล้าน “เมียกี้ร์” ไม่ระบุรายได้ แต่ ขี่ ฮาร์เลย์ เดวิดสัน 3 ปี ซื้อรถ 3 คัน
       
       การแต่งตั้ง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นับเป็นการสร้างความประหลาดใจให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก ประการหนึ่งเนื่องจากนายณัฐวุฒินั้น ถือเป็นแกนนำระดับตัวกลั่น หรือหากเรียกภาษาวัยรุ่น ก็คือ “ซุป’ตาร์” ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ว่าจากเหตุการณ์การบุกไปทำลายทรัพย์สินสาธารณะที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ที่พักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2550, การเป็น 1 ใน 3 ผู้ดำเนินรายการหลักของรายการ “ความจริงวันนี้” เรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์สงกรานต์เลือด 2552 และเผาบ้านเผาเมือง 2553
       
       ทั้งนี้ คำปราศรัยของนายณัฐวุฒิ ที่ติดหูติดตาชาวบ้านชาวเมืองมากที่สุด คงหนีไม่พ้นประโยคที่ว่า “เผาไปเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” ซึ่งในเวลาต่อมาก็เกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองอย่างที่นายณัฐวุฒิ กล่าวยุยงจริงๆ
       
       อีกประการหนึ่งก็คือ นายณัฐวุฒิ นั้น ถือเป็นผู้ที่นำวาทกรรม “อำมาตย์-ไพร่” มาใช้กันอย่างแพร่หลายในการชุมนุมและบนเวทีของกลุ่มคนเสื้อแดง ในปี 2553
       
       “อะไรเป็นตัวชี้วัดว่าใครเป็น “ไพร่” ใครเป็น “อำมาตย์” นั่นคือ รูปการณ์จิตสำนึก จิตสำนึกของไพร่ต้องยอมรับในความเสมอภาคและเท่าเทียม ไม่ดำรงชีวิตแบบอภิสิทธิ์ชน ไม่ใช้โอกาสที่ดีกว่าไปเบียดบังคนอื่นที่ด้อยกว่า ไพร่คือประชาชนธรรมดาที่เคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์” นั่นคือ ความแตกต่างระหว่างไพร่ กับ อำมาตย์ ในทัศนะของ นายณัฐวุฒิ ที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อเดือนมีนาคม 2553
       
       เมื่อ นายณัฐวุฒิ ได้รับแต่งตั้งเป็น รมช.เกษตรฯ เมื่อวันที่ 18 ม.ค.2555 ผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการ จึงสืบค้นข้อมูล การเปิดเผยรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายณัฐวุฒิ และครอบครัว หลังเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จากการเลือกตั้งทั่วไป 3 ก.ค.2554 พบว่า นายณัฐวุฒิและครอบครัว ที่ประกาศตนว่าเป็นไพร่นั้น มีทรัพย์สินมากถึง 21.86 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินราว 6.74 ล้านบาท หรือทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินถึง 15.12 ล้านบาท
       
       ในวันที่ 2 ส.ค.2554 นายณัฐวุฒิ ได้แจ้งต่อ ป.ป.ช.ว่า ครอบครัวมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 21,864,458.69 บาท แบ่งเป็นทรัพย์สินของนายณัฐวุฒิ 14,896,105.84 บาท ทรัพย์สินของ นางสิริสกุล ใสยเกื้อ ภรรยา (อดีตทำงานเป็นพนักงาน บ.การบินไทย) 5,754,746.41 บาท และบุตร 2 คน ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 1,213,606.44 บาท ขณะที่ครอบครัวมีหนี้สิน 6,738,043.40 บาท
       
       ทรัพย์สินที่มีมูลค่ามากที่สุดของ นายณัฐวุฒิ และครอบครัว คือ ที่ดิน 6 รายการในจังหวัดนนทบุรี นครศรีธรรรมราช และ สุราษฎร์ธานี แบ่งเป็นที่ดินของนายณัฐวุฒิ เอง 5 รายการ และภรรยา 1 รายการ รวมมูลค่า 9,326,800 บาท โดยที่ดินใน จ.นนทบุรี ยังเป็นที่ตั้งของโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง มูลค่า 1,500,000 บาท อีกด้วย
       
       จากบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหน้าที่ 7 และ 8 ของ นายณัฐวุฒิ ระบุว่า สิ่งปลูกสร้างและที่ดินใน จ.นนทบุรี ของ นายณัฐวุฒิ คือ บ้านจัดสรรในหมู่บ้านเศรษฐสิริ ถนนนนทบุรี ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 274 ตารางวา ตั้งอยู่บนโฉนดเลขที่ 220018 ได้มาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2548 มูลค่ารวม 9.0 ล้านบาท (แบ่งเป็นมูลค่าที่ดิน 7.5 ล้านบาท และ สิ่งปลูกสร้าง 1.5 ล้านบาท)
       
       โดยเมื่อผู้สื่อข่าวสืบค้นจากรายละเอียดจากอินเทอร์เน็ต พบว่า บ้านในหมู่บ้านเศรษฐสิริที่เป็นทรัพย์สินของนายณัฐวุฒิ น่าจะเป็นหมู่บ้านเศรษฐสิริ สนามบินน้ำ ที่พัฒนาโดย บมจ.แสนสิริ โครงการประเภทบ้านเดี่ยว สไตล์ Thai Contemporary ราคาเริ่มต้น 5-16 ล้านบาท ขณะที่ราคาขายต่อในปัจจุบันอยู่ที่ราว 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยผู้สื่อข่าวตรวจสอบในเว็บไซต์ขายบ้านแห่งหนึ่ง พบว่า “บ้านเดี่ยว 2 ชั้น หมู่บ้านเศรษฐสิริ-สนามบินน้ำ เนื้อที่ 104.40 ตร.วา นนทบุรี สภาพพร้อมอยู่” ถูกตั้งราคาขายไว้ที่ 13.5 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าบ้านและที่ดินของนายณัฐวุฒิในปัจจุบันน่าจะสูงกว่านี้มาก และน่าจะสูงกว่า 9 ล้านบาท เนื่องจากที่ดินของนายณัฐวุฒิและครอบครัวมีเนื้อที่มากถึง 274 ตร.วา
       
       นอกจากบ้านและที่ดินแล้ว นายณัฐวุฒิ และครอบครัวยังมีทรัพย์สิน เป็นรถยนต์อีก 3 คัน ประกอบไปด้วย รถยนต์ทะเบียน ฮธ 777 กรุงเทพมหานคร (ได้มาเมื่อ 4 มี.ค.53) มูลค่าปัจจุบันประมาณ 3 ล้านบาท, รถยนต์ทะเบียน กพ 4141 นนทบุรี (26 ธ.ค.50) มูลค่า 750,000 บาท และ รถยนต์ทะเบียน กย 530 นนทบุรี (22 พ.ย.53) มูลค่า 938,000 บาท
       
       เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินและหนี้สินที่นายณัฐวุฒิมี กับเพื่อนๆ แกนนำ นปช.แล้ว นายณัฐวุฒิ นับว่า มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินมากกว่าเพื่อนๆ หลายคน เพราะทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินสุทธิกว่า 15 ล้านบาท ขณะที่เกลอแกนนำ นปช.อย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่วาสนายังไม่ถึงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 8,224,825.64 บาท, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท มีทรัพย์สินน้อยกว่าหนี้สิน 65,151.89 บาท, นายพายัพ ปั้นเกตุ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 2,445,586.41 บาท
       
       อย่างไรก็ตาม นอกจาก นายณัฐวุฒิ ที่เรียกตัวเองว่า “ไพร่” แต่กลับมีทรัพย์สินมากมายในหลักสิบล้านบาทแล้ว ในกลุ่มแกนนำ นปช.ซึ่งในเวลานี้ยกระดับสถานะทางสังคมเป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ ก็ยังมีผู้ที่มีทรัพย์สินที่มากมายไม่แพ้กัน และอาจจะมากกว่าด้วย อย่างเช่น นพ.เหวง โตจิราการ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 15,254,319.34 บาท ขณะที่ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ก็มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินสูงถึง 74.05 ล้านบาท
       
       สำหรับ นายก่อแก้ว ซึ่งในอดีตเป็นหนึ่งในพิธีกรตัวเสริมของรายการความจริงวันนี้ ทรัพย์สินในบัญชีที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนในบริษัท นิวสตาร์อินเตอร์แนชั่นแนล จำกัด จำนวน 112,500 หุ้น มูลค่าสูงถึง 58,018,897.01 บาท และ โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างมูลค่า 20 ล้านบาท
       
       ขณะเดียวกัน นางระพิพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และภรรยาของนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ในวันที่ 2 ส.ค.2554 ก็แจ้งรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองและสามีหลังเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย โดยไม่ได้แจ้งรายได้-รายจ่ายประจำ ทั้งของตนเองและสามี (นายอริสมันต์) แต่มีทรัพย์สินเป็นเงินฝาก 2,988,135.78 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างมูลค่า 3,720, 267.43 บาท และยานพาหนะมูลค่า 4,590,000 บาท ขณะที่มีหนี้สินรวม 9,715,357.51 บาท
       
       กระนั้น แม้ นางระพิพรรณ ไม่ระบุถึงรายได้ของตัวเองในเอกสารที่ยื่นแก่ ป.ป.ช.แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นางระพิพรรณ และครอบครัวกลับครอบครองรถใหม่ถึง 3 คัน คือ ปี 52 รถยนต์โตโยต้า ทะเบียน ศจ 7793 กรุงเทพ (ได้มาเมื่อ 22 ก.ย.2552) มูลค่าปัจจุบันประมาณ 3 ล้านบาท, ปี 53 รถฮาร์เลย์ เดวิดสัน ทะเบียน ลขล 333 กรุงเทพ (ได้มา 11 ต.ค.2553) มูลค่าปัจจุบัน 9.9 แสนบาท (นางระพิพรรณ น่าจะกรอกเอกสารผิดเป็น 9.9 ล้านบาท) และ รถยนต์ฮอนด้า (ได้มา 3 ก.พ.2554) มูลค่าปัจจุบัน 6 แสนบาท (นางระพิพรรณ น่าจะกรอกเอกสารผิดเป็น 6 ล้านบาท) รวมมูลค่าทั้งหมด 4,590,000 บาท
       
       หลังเข้ารับตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ แม้ นายณัฐวุฒิ จะพยายามแก้ตัวว่า ถึงจะได้เลื่อนชั้นเป็นอำมาตย์ระดับเสนาบดี แต่ตัวเองยังยืนยันในจุดยืนของความเป็นไพร่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่มูลค่าทรัพย์สินระดับเศรษฐีของตนเองและพรรคพวก รวมถึงคำให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ไพร่ต้องไม่ดำรงชีวิตอย่างอภิสิทธิ์ชน” ก็จะยังคงค้ำคอและหลอกหลอน รมช.เกษตรฯ และ เศรษฐีไพร่คนนี้ไปตลอดกาล
       
       ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง :
       - เปิดเผยรายการทรัพย์สินและหนี้สินของรัฐมนตรี, ส.ส., ส.ว. และหน่วยงานภาครัฐ จากเว็บไซต์ ป.ป.ช.


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 มกราคม 2555, 20:41:35
"กนก" ถามฝ่ายหนุนแก้ ม.112 "พ่อแม่สั่งสอนหรือเปล่า?"
มติชนออนไลน์


เมื่อวันที่ 25 ม.ค. เว็บไซต์ข่าวประชาไท รายงานว่า นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ประกาศข่าวเครือเนชั่น ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก "Kanok Ratwongsakul" วิจารณ์กลุ่มที่สนับสนุนให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า


"ทุกๆ 10 นาที จะมีคนโพสต์ต่อต้านกลุ่มที่จะขอแก้มาตรา 112 ลงที่เฟซบุ๊กนี้ ผมก็ตามอ่านตลอด บางคนลงรูปของอาจารย์นิติฯ ธรรมศาสตร์ ที่เป็นหัวหอกแก้มาตรานี้ ซึ่งผมจะลบออกทุกครั้ง เพราะไม่อยากเห็นหน้าคนกลุ่มนี้บนเฟซบุ๊กผม ถ้าพวกนี้อายุ 30 – 40 กว่าปี ตามที่เสธ.หนั่นไล่ให้ไปอ่านประวัติศาสตร์ ผมสงสัยว่า พ่อแม่เขายังอยู่หรือเปล่า รุ่นพ่อรุ่นแม่น่าจะทันได้เห็น ′ในหลวง′ ทรงงานมาตลอด ถ้าลูกไม่ใส่ใจในความเป็นกษัตริย์นักพัฒนา มัวแต่ดื้อด้านจะแก้กฎหมายท่าเดียว แล้วพ่อแม่พวกนี้ทำอะไรอยู่..ไม่ห้ามปรามเลยหรือ? หรือวายชนม์ไปหมดแล้ว? ผมขอโทษนะครับ อย่าหาว่าผมก้าวล่วง แต่อยากถามคนกลุ่มนี้จริงๆว่า พ่อแม่คุณอบรมสั่งสอนหรือเปล่า?"


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 มกราคม 2555, 20:57:38
โลกเย้ยหยันไทย! ประจาน‘แบล็กลิสต์’เสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ
thaipost.net
   
  โลกเย้ยไทย ตั้งเพื่อนซี้จอมเผด็จการมือเปื้อนเลือด "มูกาเบ" เป็นรัฐมนตรีดูแลเอกลักษณ์ของชาติไทย สื่ออเมริกา-ยุโรปหลายสิบสำนักพร้อมใจประจาน "นลินี" เละ เปิดภารกิจสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์แห่งชาติ ดูแลการเฟ้นหาครอบครัวประชาธิปไตยตัวอย่างในประเทศไทย รวมถึงบุคคลดีเด่นและหน่วยงานดีเด่นของชาติ
    การได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์แห่งชาติ ของนางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกขึ้นบัญชี Specially Designated Nationals (SDN) ของสำนักงานควบคุมสินทรัพย์ต่างชาติ กระทรวงการคลังสหรัฐ ถูกสื่อชั้นนำในตะวันตกทั้งในสหรัฐและยุโรปนำเสนออย่างกว้างขวาง โดยตั้งข้อสังเกตเชิงเสียดสีว่า บุคคลที่มีส่วนสนับสนุนการสังหารหมู่ในซิมบับเวได้เป็นผู้เผยแพร่เอกลักษณ์ของชาติไทย
    โดยตลอดทั้งวัน ปรากฏพาดหัวข่าว 'Crony' of Mugabe to promote Thai national image ในสื่อออนไลน์ชั้นนำของตะวันตกหลายสิบสำนัก
      วอชิงตันโพสต์ บอสตันโกลบ เอบีซีนิวส์ และสื่อโทรทัศน์ เช่น เอบีซี ซีบีเอส รวมไปถึงซิมบับเวทรีบูน ได้เผยแพร่รายงานข่าวของสำนักข่าวเอพี ต่อกรณีที่รัฐบาลไทยได้แต่งตั้งนางนลินี
    เอพีรายงานว่า หน่วยงานในสังกัดของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแห่งนี้ มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมค่านิยมของชาติ อาทิ ความสำคัญของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นางนลินีเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาและที่ปรึกษาของกระทรวงพาณิชย์ จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการบริหารรัฐกิจ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเคยเป็นผู้บริหารของบริษัทหลายแห่ง
    เมื่อปี 2551 กระทรวงการคลังสหรัฐได้ขึ้นบัญชีนางนลินีเป็นบุคคลที่ถูกควบคุมสินทรัพย์ในสหรัฐ (เอสดีเอ็น) โดยระบุว่านางเป็น "คนสนิท" ของประธานาธิบดีแห่งซิมบิบเว โรเบิร์ต มูกาเบ ที่ถูกสหรัฐคว่ำบาตร และได้ "อำนวยความสะดวกในการติดต่อธุรกิจทางการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และอัญมณี" ให้แก่นางเกรซ ภริยาของมูกาเบ
    เอพีรายงานด้วยว่า เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นางนลินีได้แถลงข่าวว่า นางได้พบกับมูกาเบและภริยา เมื่อคนทั้งสองเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2545 และต่อมานางได้มี "ความสัมพันธ์ทางสังคม" กับคนทั้งสอง แต่ "ไม่มีการติดต่อธุรกิจแต่อย่างใด" และว่า "ดิฉันไม่คาดคิดว่ามิตรภาพนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของดิฉัน โดยเฉพาะเมื่อดิฉันก้าวเข้าสู่วงการการเมือง"
    สำหรับงานในสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์แห่งชาตินั้น นางนลินีต้องส่งเสริมเกี่ยวข้องกับ 4 สถาบันหลัก คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยังมีรายละเอียดปลีกย่อยรวมไปถึงจารีตประเพณี วัฒนธรรม เกียรติภูมิประเทศ
    ที่น่าสนใจบุคคลซึ่งสหรัฐขึ้นแบล็กลิสต์ว่าให้การสนับสนุนการสังหารประชาชนชาวซิมบับเว กับประธานาธิบดีโรเบิร์ต มูกาเบ มีหน้าที่ดูแลการคัดเลือกครอบครัวประชาธิปไตยตัวอย?างในประเทศไทย ตามกรอบคุณธรรม จริย
ธรรม และค?านิยมพื้นฐาน อันเป?นแนวทางสําคัญในการพัฒนาประชาธิปไตยที่สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์แห่งชาติกำหนดไว้ ทั้งยังดูแลการเลือกบุคคลดีเด่นและหน่วยงานดีเด่นของชาติอีกด้วย
    ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทยพยายามบอกกับประชาชนว่า นางนลินีไม่ได้ถูกแบล็กลิสต์ห้ามเข้าประเทศสหรัฐ เป็นแค่การแซงก์ชั่น แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่าการแซงก์ชั่นนางนลินีนั้น ร้ายแรงกว่าการห้ามเข้าประเทศมาก เพราะเมื่อนางนลินีถูกขึ้นบัญชีเอสดีเอ็น ก็มีแนวโน้มสูงว่าเธอไม่อาจเดินทางเข้าสหรัฐได้อีกต่อไป
    คำสั่งซึ่งลงนามโดยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ระบุว่า สินทรัพย์ใดๆ ของบุคคลและบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีเอสดีเอ็น ซึ่งอยู่ภายในเขตอำนาจทางกฎหมายของสหรัฐ ต้องถูกอายัด และพลเมืองสหรัฐได้ถูกห้ามมิให้ติดต่อทางการค้า หรือทางการเงินกับบุคคล หรือบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีนี้
     ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินรับตรวจสอบการแต่งตั้งนางนลินี และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ อาจเข้าข่ายผิดประมวลจริยธรรมว่า ตนไม่กล้าแสดงความคิดเห็นข้ามฝั่ง ให้ตนปราบปรามยาเสพติดเถอะ กำลังสนุก เป็นเรื่องของเลขาธิการ ครม. เจ้าตัวเขาชี้แจงได้ เมื่อไปร้องท่านก็ต้องเรียก
    รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยเผยว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 24 ม.ค. ที่ร้านอาหารแดทอิส ย่านพระราม 9 นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน, นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข แกนนำ ส.ส.ภาคกลาง ได้นัด ส.ส.พรรคเพื่อไทย มาสังสรรค์ในโอกาสวันปีใหม่จีน หรือวันตรุษจีน มี ส.ส.มาร่วมงานกว่า 70 คน ส่วนใหญ่เป็น ส.ส.ภาคกลาง และอีสานบางส่วน ในขณะที่ ส.ส.ภาคเหนือ และ กทม.มากันประปราย โดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย, นายศักดา คงเพชร รมช.ศึกษาธิการ, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม, นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็มาร่วมด้วย
    แขกคนสำคัญคือ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีต รมว.คมนาคม สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่ได้ถือโอกาสกล่าวกับ ส.ส.สั้นๆ ว่า อยากให้รัฐมนตรีตั้งใจกันทำงาน เพราะไม่อยากให้มีการปรับ ครม.บ่อย ถ้ารัฐมนตรีชุดปัจจุบันทำงานดีแล้ว สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมา
    มีรายงานอีกว่า ส.ส.ที่มาร่วมงานส่วนใหญ่พยายามรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน โดยมอบบทบาทการนำให้กับนายพงษ์ศักดิ์ เพราะถือเป็นแกนนำระดับผู้ใหญ่ มีเพาเวอร์ที่เมื่อแสดงความเห็นแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งแกนนำสำคัญคนอื่นๆ ต้องรับฟัง
    นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย เผยว่า ตนและเพื่อน ส.ส.ประมาณ 60-70 คน ทั้งจากภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสานบางส่วน ได้ไปกินข้าวเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่จีน โดยมีผู้ใหญ่ในพรรค เช่น นายเผดิมชัย, นายวิทยา และนายยงยุทธ มาร่วมด้วย งานนี้เป็นการจัดของภาคกลาง แต่ก็มีภาคอื่นๆ มาด้วย เมื่อครั้งตอน ส.ส.ภาคอีสานจัดงาน ภาคอื่นๆ ก็มาเหมือนกัน ทั้งนี้ นายพงษ์ศักดิ์ถือเป็นผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานนี้ ยืนยันว่าไม่มีการหารือประเด็นการเมือง เป็นการกินข้าวกันเท่านั้น
    สำหรับบรรยากาศการเข้ามาทำงานวันแรกหลังเข้ารับตำแหน่งของนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เขากลับมาสร้างภาพด้วยการนั่งรถเมล์เข้ากระทรวงอีกครั้ง หลังเคยสร้างความฮือฮามาแล้วเมื่อครั้งรับตำแหน่ง รมว.คลัง โดยคราวนี้มีกลุ่มคนเสื้อแดงนับสิบคนตามเชียร์ไม่ห่าง.


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 มกราคม 2555, 12:00:29
“ยิ่งลักษณ์”ที่เวทีดาวอส กลัวหน้าแตกขอพูดไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


สะเก็ดไฟ
       
       เห็นภาพ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ท่าหน้าทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย ด้วยอากัปกริยาที่ไม่แตกต่างจากนักท่องเที่ยว
       
       บอกได้คำเดียวว่า "ปวดใจ"
       
       ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ในสภาพเปราะบางทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ และ การเมือง ผู้นำประเทศซึ่งมีหน้าที่กอบก็วิกฤติยังมีแก่ใจสอดไส้หมายเที่ยวในวาระงานเยือนประเทศอินเดีย โดยไม่รู้สึกละอายใจแต่อย่างใด
       
       ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นคือ การที่ประเทศไทยมีนายกฯนกแก้วชื่อ "ยิ่งลักษณ์" ได้ทำให้บ้านเมืองเสียโอกาสทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญไปเสียแล้ว
       
       การประชุม World Economic Forum Annual Meeting 2012 หรือ การประชุมเศรษฐกิจโลก ที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 มกราคมนี้ ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์ โดย “ยิ่งลักษณ์” ได้ชื่อแค่ว่าได้ไปร่วมงาน แต่หาได้มีบทบาทใด ๆ ที่จะใช้เวทีนี้ให้เป็นประโยชน์ในการเรียกความเชื่อมั่นจากต่างชาติ หลังจากที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตน้ำมาหมาด ๆ
       
       กำหนดการของ ยิ่งลักษณ์ กลับมีเพียงแค่ การกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับบทบาทสตรีต่อการบริหารประเทศ
       
       หัวข้อว่าแย่แล้ว วงสนทนายิ่งแล้วใหญ่ เพราะ สุนทรพจน์ ที่นายกฯนกแก้วจะไปอ่านนั้นเป็นการพูดคุยในวงเล็ก ๆ ซึ่งรัฐบาลไทยจัดเองเพื่อโปรโมทประเทศไทยในงาน Thailand night มิใช่ในเวทีผู้นำตามที่พยายามตีฆ้องร้องป่าวสร้างภาพให้ “ยิ่งลักษณ์” ดูอินเตอร์แต่อย่างใดไม่
       
       แต่สิ่งที่น่าจะดีสำหรับประเทศไทยอย่างหนึ่งคือ “นายกฯนกแก้ว” ตัดสินใจที่จะกล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาไทย!
       
       หลายคนคงถอนหายใจโล่งอก เพราะหากอ่านผิดอย่างน้อยต่างชาติก็ฟังไม่ออก และคนแปลเขาก็คงไว้หน้าไม่แปลผิดให้ผู้นำไทยไปเสียฟอร์มต่อหน้าต่างชาติ
       
       ที่น่าแกะรอยคือ ในเวทีเดียวกัน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กลับได้รับเชิญให้เข้าร่วมนำเสนอแนวคิดเรื่อง “The Future of Urban Development Launch of a Cross Industry Initiative” ร่วมกับผู้นำ 4 เมือง จากกรุงลอนดอน กรุงมอสโคว นครเทียนจิน และเมืองชางชา สาธารณรัฐประชาชนจีน
       
       ขนาดผู้นำท้องถิ่นของไทยคือ ผู้ว่า กทม.ยังได้รับเชิญให้เข้าร่วมนำเสนอแนวคิดตามหัวข้อที่กล่าวข้างต้น แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้นำประเทศไทยซึ่งกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุม World Economic Forum on East Asia ในอีกสี่เดือนข้างหน้า คือ ระหว่างวันที่ 30 พ.ค. - 1 มิ.ย. 55 ที่กรุงเทพมหานคร กลับไม่ได้แสดงวิสัยทัศน์ในเวทีนี้
       
       มีเสียงกระซิบมาจากข้าราชการที่แอบส่ายหน้า แต่ไม่กล้าเปิดตัวบอกว่า ความจริงเขาให้เกียรติเชิญให้ “ยิ่งลักษณ์” ได้พูด แต่เวทีนี้หินเกินกว่าที่ “ยิ่งลักษณ์” จะก้มหน้าอ่านโพยได้ จึงไม่กล้าที่จะตอบรับ เพราะกลัวตายคาเวทีโลก เนื่องจากการแสดงวิสัยทัศน์ไม่ใช่สักแต่มีสคริปต์ก็ใช้ได้ แต่ต้องสามารถตอบคำถามสดได้ด้วย
       
       เวทีนี้มีผู้เข้าร่วมการประชุมรวมทั้งหมดกว่า 2,600 คน ประกอบด้วยผู้นำรัฐบาลกว่า 40 ประเทศ นักการธนาคารชั้นนำระดับโลกจำนวน 19 คน เจ้าหน้าที่รัฐบาล นักธุรกิจชั้นนำระดับโลก นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้นำสหภาพแรงงาน ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และนักวิชาการ
       
       คงพอเห็นเหตุผลแล้วว่า ทำไม “ยิ่งลักษณ์” จึงขอบายภารกิจนี้ เพราะมันยากกว่าการแต่งตัวเฉิดฉายให้สื่อซื้อได้มาชื่นชมความงามด้านแฟชั่น ชนิดที่เรียกว่าฟ้ากับเหว
       
       แต่อาจจะดีสำหรับประเทศไทยก็ได้ เพราะถ้าดึงดันอยากโชว์อาจสร้างความเสียหายให้กับประเทศมากกว่า



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 มกราคม 2555, 19:11:46
อย่างนี้ซิจึงจะเรียกว่า ธรรมศาสตร์ของแท้

กลุ่มนิติมธ. 2501 ยื่นจม.เปิดผนึกถึงอธิการฯ มธ. จี้ลงโทษอาจารย์คณะนิติราษฎร์

วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 18:56:18 น.


   
ชมรมนิติมธ.2501 นำโดย นายสุเทพ นิรันดร และนายสุชาติ สหัสโชติ ประธานชมรม ออกแถลงการณ์และทำจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดำเนินการห้ามไม่ให้มีการใช้สถานที่ของม.ธรรมศาสตร์รณรงค์ยกเลิกหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 8 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 อันเป็นพฤติกรรมเหิมเกริมจาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด และให้กลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์ ซึ่งประกอบด้วยอาจารย์ชายหญิงคณะนิติศาสตร์ 5 คน และคณะอื่นอีกบางคณะ ให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่อาจารย์ทันที เพื่อไม่ให้นักศึกษารับความคิดมิจฉาทิฐิมาเป็นแบบอย่างต่อไป พร้อมทั้งให้มีการดำเนินการสอบสวนเพื่อลงโทษทางวินัยกลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์ ซึ่งมีการแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เป็นผู้ไม่นิยมเลื่อมใสการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ข้าราชการไทยทุกคนจะต้องมี

   


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 มกราคม 2555, 19:25:13
ข่าวดีอีกข่าวครับพี่น้อง ยามที่พวกมารครองเมือง

จารุวรรณ'มอบทนายความแจ้งคำวินิจฉัยศาลรธน.ให้'พิสิษฐ์'ระวังปฏิบัติหน้าที่ละเมิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
 ไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีแพ่ง-อาญา



นายสุวัตร อภัยภักดิ์ เปิดเผยว่า ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา แจ้งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 51/2554 ให้นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาราชการแทนผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่วินิจฉัยว่าประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 ไม่ขัดหรือแย้งกัน

กล่าวคือประกาศคปค.เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐมีความต่อเนื่องในลักษณะของบทเฉพาะกาล ส่วนพ.ร.บ.ตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 มาตรา 34(2) ที่นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ มาตรา 33 แล้วผู้ว่าการสตง. ยังพ้นจากตำแหน่งเมื่ออายุ 65 ปี บริบูรณ์อีกกรณีหนึ่ง หมายความว่า คุณหญิงจารุวรรณ ซึ่งพ้นจากผู้ว่าการสตง. แล้ว ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการสตง. ตามบทเฉพาะกาล ที่มีผลบังคับใช้อยู่ คุณหญิงจารุวรรณ ยังต้องปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการสตง. ไปพรางก่อน จนกว่าจะมีคณะกรรมการและผู้ว่าการสตง. คนใหม่ ซึ่งผู้จะมาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการสตง.คนใหม่ จึงอยู่เงื่อนไขที่ว่าจะพ้นจากตำแหน่งตามวาระ 5 ปี และยังต้องพ้นไปเมื่ออายุ 65 ปีด้วย

นายสุวัตร กล่าวว่า จากผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคห้าซึ่งบัญญัติว่า "คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์การอื่นของรัฐ" ดังนั้น คำวินิจฉัยจึงผูกพันนายพิศิษฐ์ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค.2554 เป็นต้นมา

นายสุวัตร ระบุว่า ขอให้นายพิศิษฐ์ ระมัดระวังในการทำการใดๆ อันจะเป็นการผิดไปจากคำวินิจฉัยของศาบลรัฐธรรมนูญ มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่งต่อไป
จารุวรรณ'มอบทนายแจ้ง'พิศิษฐ์'ใช้อำนาจสตง.ระวังผิดแพ่ง-อาญา

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 มกราคม 2555, 23:12:06
ผลงาน"สวย"ช่วยได้ไหม
Posttoday.com
โดย....อสนีบาต

วันเวลาผ่านไปรวดเร็ว เข้าสู่สิ้นเดือนมกราคม รัฐบาลยิ่งลักษณ์สร้างผลงานอะไรเป็นรูปธรรมบ้าง

ถ้าจะเป็นที่รับรู้ผ่านสายตาประชาชี  คงต้องซูฮกกับผลงานการเปลี่ยนแปลงตัวเอง  ตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะสังเกตตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา  ทั้ง เสื้อผ้า หน้า ผม โดดเด่นเป็นพิเศษ ชนิดซุปเปอร์โมเดลต้องถอยไป ด้วยรัศมีความงามเปล่งประกาย ตั้งแต่ลานแคทวอล์คไทยคู่ฟ้าโกอินเตอร์ไปถึงดาวอส

แทบจะไม่มีเสียงวิจารณ์หรือมีก็น้อยเต็มทน  คนอ๊ารายแต่งองค์ทรงเครื่องเฉิดฉายสวยเริ่ดขนาดนี้ ไม่ว่าจะเข้าทำงานในทำเนียบรัฐบาล หรือจะเยื้องกายขึ้นเวทีโชว์วิสัยทัศน์  ตบท้ายด้วยงานรื่นเริงบันเทิงใจ  ล้วนตกเป็นเป้าสายตา

ทั้งชุดม่วงตัวโปรดปรานในงานแต่งหลานสาว  ชุดราตรีสีเงินเด่นอร่ามในงานเลี้ยงทบ.กับการได้พบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์  ประธานองคมนตรี หรือจะชุดดำขับเน้นภาวะผู้นำเข้มแข็งไม่อ่อนปวกเปียกสั่นประหม่า ตามด้วยชุดสูทสตรีสีน้ำตาลรัดรูปตกแต่งด้วยกระดุมเม็ดใหญ่หลายเม็ดหรือจะแจ๊กเกตดำพองลมให้เห็นถึงความน่าเกรงขามไทยแลนด์ ณ ดินแดนดาวอส


ความโดดเด่น สุดสวยแบบนี้ คือลักษณะพิเศษ ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ได้ค้นพบตัวเองแล้วว่ารูปลักษณ์ภายนอกสามารถครองภิภพได้ เพราะทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์จนหลงลืมภูมิปัญญาความรู้ในตัวผู้นำไปโดยพลัน แม้แต่สื่อไทยภายใต้คอนโทรลยังลงทุนเปิดพื้นที่คอลเลคชั่นให้ผู้นำไทย ดูกันไปดูกันมาก็สบายตา และมันก็สามารถเข้าตากรรมการในระดับสื่อต่างประเทศ อย่างเดลิเมลล์ นำไปเขียนถึง การแต่งองค์ทรงเครื่องนายกฯหญิงไทย ช่างผสมผสานกลมกลืนดีนักแลระหว่าง สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐ และ คาร์ล่า บรูนี่ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งฝรั่งเศส   โดยสไตล์แต่งกายของนายกฯหญิงไทย ผสมผสานระหว่างความมีรสนิยมดีมีระดับของนางโอบามา และความคลาสิกสง่างามของนางบรูนี่  

สารพัดชุดออกงานทั้งท็อปบู๊ทลุยน้ำท่วม ชุดสัญจรตะลุยท้องนา มางานแต่ง แปลงโฉมงานราตรี  นารีโกอินเตอร์ เริ่ดทั้งน้านส์คร้าคุณ  เขาถึงยกให้เป็นผลงานคุณ...ภาพ....

อีกผลงานรูปธรรม ด้วยการบริหารกิจการภายในพรรคพวกตัวเอง ตบรางวัลให้ตำแหน่งรัฐมนตรี เลขานุการที่ปรึกษารัฐมนตรีถ้วนหน้า  ช่างเสียดายห้าเดือนที่ผ่านมาเหมือนนั่งผลาญเวลาไปวันๆเพราะการปรับครม.แต่ละครั้งเท่ากับต้องกลับมานับหนึ่งใหม่ในหลายด้าน

เห็นได้จากบรรดาข้าราชการแต่ละกระทรวง  แทนที่จะนำนโยบายไปปฏิบัติ แต่ต้องมาเพลิดเพลินกับการปรับแต่งข้อมูล ลบชื่อเปลี่ยนป้ายรัฐมนตรีประจำกระทรวงกันใหม่   บางรายเป็นรัฐมนตรีใหม่ถอดด้ามไม่เคยอยู่ในตำแหน่งบริหารงานต้องขอเวลาศึกษาเรียนรู้ เผลอๆกว่าจะลงตัวมีสัญญาณปรับครม.รอบสาม กลายเป็นว่ายังไม่ทันทำงานถึงคราวต้องอำลากระทรวงซะแล้ว      

บางรายเป็นรัฐมนตรีมาก่อนแต่ย้ายมากระทรวงใหม่ ไม่มีความแคล่วคล่องแต่ถูกไฟท์บังคับให้มานั่งทำงานจึงต้องทำตัวเสมือนผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ลูกน้อง ข้าราชการมั่นใจได้นายเก่งจริง บางรายมาพร้อมอาการร้อนวิชา ปฏิเสธนโยบายอดีตรัฐมนตรี ขอปั๊มนโยบายใหม่ตามที่ตัวเองต้องการชนิดปรับเปลี่ยนหัวทิ่มสามร้อยหกสิบองศา ทำเอาอลหม่านทั้งกระทรวงต้องปรับตัวกันยกใหญ่

ไม่หมดเพียงเท่านี้  ยังมีบรรดาอดีตรัฐมนตรี ผู้สมัครส.ส.สอบตก ผู้รับใช้พรรคมานาน รอลุ้นมติครม.เพื่อหวังว่าตัวเองจะมีชื่อได้รับแต่งตั้งตำแหน่งเทกระโถนที่ยังเป็นโควต้าตกค้าง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งโฆษกรัฐบาล รองเลขานายกฯ หรืออย่างกรณี ผู้แทนการค้าไทยซึ่งว่างลงหลังจากนลินี ทวีสิน ขึ้นเป็นรัฐมนตรีไปแล้ว คราวนี้ต่อพงษ์ ไชยสาสน์ จำต้องลดชั้นนั่งตบยุงห้องเย็นทำเนียบรัฐบาล จากรัฐมนตรีมาเป็นผู้แทนการค้าไทย เสียศักดิ์ศรีเล็กๆแต่ก็ยังดีกว่าตกงาน ถือเป็นตำแหน่งรักษาน้ำใจ

พรรคการเมืองนี้เขาจัดสรรกันดี โดยเฉพาะความถนัดกลเกมเก้าอี้ดนตรีโดดเด่นกว่าการบริหารการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ   ขนาด อารี ไกรนารา หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง หลังได้ใช้เวลาห้าเดือนกับตำแหน่งเลขานุการรมว.มหาดไทย ด้วยผลงานเท่าที่พอจำได้ จัดคอนเสริตช่วยผู้ประสบอุทกภัย และการลงพื้นที่โชว์บารมี จนผู้ว่าราชการจังหวัดภาคใต้ต้องระดมเมนูอาหารใต้มาปรนนิบัติราวกับราชา ถึงคราวหมดวาสนามาเป็นแค่ผู้ช่วยเลขานุการรมช.เกษตรและสหกรณ์ อาจจะโชว์พาวไม่ได้เหมือนอยู่กระทรวงคลองหลอดเพราะต้องตาม”รัฐมนตรีเต้น” ไปทำวิจัยช่วยพี่น้องเกษตรกรให้ราคายางขยับ แต่ก็เป็นอีกรายที่ยังมีตำแหน่งติดตัวดีกว่าไปเป็นหัวหน้า รปภ.เฝ้าเวทีคอนเสริ์ต

ครั้นจะมองถึงเนื้องาน เอาแค่ยุทธศาสตร์รับมืออุทกภัยในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว กับการเอ่ยอ้างออกพรก.กู้เงินเพื่อนำเม็ดเงินกว่าสองแสนล้านบาทมาใช้เพื่อการนี้ กลับปรากฎเสียงบ่นอื้ออึงของคณะกรรมการ ที่อุดมไปด้วย นักวิชาการด้านทรัพยากรน้ำ  ถูกบรรดานักการเมืองผู้มีตำแหน่งใหญ่โตสั่งให้ปิดปากอย่าบังอาจแย่งซีนโชว์ความรอบรู้ต่อสาธารณชนมากนักเพราะเห็นแล้วหมั่นไส้

จึงมีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล จะขอถอนตัวจากที่ปรึกษา กยน. หรือสมิทธ  ธรรมสโรช บ่นน้อยอกน้อยใจ อยากลาออกซะงั้น  เหตุเพราะเข้าไปทำงานเห็นอะไรต่อมิอะไรมากมายที่นักการเมืองไร้ศักยภาพทำไว้  ไม่ว่าจะเป็นความไม่ก้าวหน้าของงาน เพราะการที่ฝ่ายการเมืองไม่เข้าใจหลักของการบริหารจัดการป้องกันปัญหาภัยธรรมชาติอย่างเป็นระบบ ถนัดแต่จ้องละเลงงบประมาณลงพื้นที่ที่เห็นว่าเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาน้ำเท่านั้นเอง  เมื่อเป็นอย่างนี้จะไปตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร

กรุณามองขึ้นไปบนท้องฟ้าสภาพอากาศแปรปรวนอีกแล้ว คิดถึงปริมาณน้ำในเขื่อน  ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีการดำริจัดตั้งหน่วยงานบูรณาการทั้งระบบแจ้งเตือนทิศทางเดียวกันหรือยัง   ดูแล้วเศร้าใจยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง

แล้วอย่างงี้ "ความสวย"จะช่วยได้ไหม


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 09:34:31
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ วิเคราะห์ ความผิดฐาน“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”ฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

 ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ท่ามกลางกระแสหนุน-ค้านการแก้ไขมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาที่กำลังร้อนแรงสุดขีด บทวิเคราะห์ “ความผิดฐาน “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” : เอกลักษณ์ประชาธิปไตยไทยในกระแสประชาธิปไตยโลก” ของนักกฎหมายชื่อดัง บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นอีกหนึ่งมุมมองทางวิชาการด้านกฎหมาย ที่น่าจะนำมาเป็นข้อมูลเพื่อพิจารณาใคร่ครวญในความเห็นต่างที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน
       
       ความผิดฐาน“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” : เอกลักษณ์ประชาธิปไตยไทยในกระแสประชาธิปไตยโลก
       

       โดย   ศาสตราจารย์ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
                ราชบัณฑิตและเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า
       
       ในช่วงที่ผ่านมา มีข้อเสนอให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยนักวิชาการไทยบางคน และมีการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยตามมา จากทั้งชาวต่างประเทศและชาวไทย หากสรุปข้อวิพากษ์วิจารณ์ทั้งปวงก็จะเห็นได้ว่า อยู่บนสองฐานคิดหลัก คือ
       
       ๑. ความผิดฐานนี้ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกและวิพากษ์วิจารณ์ (freedom of expression)
       
       ๒. มีการใช้ข้อกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานนี้เพื่อประโยชน์ในทางการเมืองของผู้กล่าวหา
       
       บทความนี้ต้องการวิเคราะห์หลักวิชาการเพื่อดูว่าการคงความผิดฐานนี้ไว้ถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้อง มีฐานคิดใดรองรับ ถ้าไม่ถูกต้อง เพราะอะไร? และการใช้กฎหมายนี้ มีปัญหาหรือไม่ ถ้ามีต้องแก้อย่างไร ?
       
       ถ้าเราวิเคราะห์โดยอาศัยหลักวิชา ไม่ใช่อาศัยความเห็น (opinion) ที่มาจากความรู้สึกชอบหรือชังอันเป็นอคติ (bias) ก็เห็นจะต้องแยกการวิเคราะห์เรื่องนี้เป็นสองประเด็นหลัก คือ
       
       ๑. หลักการประชาธิปไตยและการกำหนดให้การกระทำบางอย่างเป็นความผิด (criminalization) ในส่วนที่เกี่ยวกับประมุขของรัฐ
       
       ๒. วัฒนธรรมไทยกับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย : เอกลักษณ์ประชาธิปไตยไทยในกระแสประชาธิปไตยโลก
       
       ๑. หลักการประชาธิปไตยและการกำหนดให้การกระทำบางอย่างเป็นความผิดในส่วนที่เกี่ยวกับประมุขของรัฐ
       
       ๑.๑ หลักนิติธรรม (The Rule of Law)
       
       นักปรัชญาอาชญาวิทยาชั้นแนวหน้าต่างยอมรับว่า การที่จะกำหนดให้การกระทำบางอย่างเป็นความผิดอาญา (criminalization) ก็ต่อเมื่อ “มีความเป็นธรรม” (fair) ที่จะกระทำเช่นนั้น (Dennis Baker, 2007; Joel Feinberg, 1984) โดยต้องมีเหตุผลที่เป็นภาวะวิสัย (objective) ที่อธิบายได้ เหตุผลนั้นก็คือ การกระทำดังกล่าวมีฉันทามติทางสังคม (societal consensus) ของผู้คนว่าการกระทำนั้น “เป็นผลร้ายต่อสังคม” (harmful to the society)
       
       “ผลร้าย” (harm) นี้ อาจเป็นผลร้ายต่อความสงบเรียบร้อย เช่น การฆ่าคน การลักทรัพย์ นอกจากกระทบต่อเหยื่อ (victim) ของการกระทำแล้ว ยังกระทบต่อสังคมโดยรวม เพราะทำให้เกิดความกลัวและความไม่สงบ หรืออาจเป็นผลร้ายต่อความมั่นคง เศรษฐกิจของสังคมก็ได้ นอกจากนั้น ยังอาจเป็นผลร้ายต่อศีลธรรมอันดี (good moral) ก็ได้ ดังเช่นที่หลายสังคมยังกำหนดให้เพศสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นความผิด ทั้งๆ ที่ผู้นั้นยินยอม (statutory rape)
       
       ว่ากันอันที่จริง การกระทำนี้อาจไม่ก่อความเสียหายเป็นส่วนตัวให้ผู้มีเพศสัมพันธ์ที่ยินยอมเลยแม้แต่น้อย (เพราะเขาสมัครใจ) แต่สังคมก็เห็นว่าเป็นผลร้ายต่อศีลธรรม จึงกำหนดให้เป็นความผิดอาญา ความผิดอื่นๆ ลักษณะนี้ยังมีอีกมาก เช่น การเปลือยกายต่อหน้าธารกำนัล อาจไม่เป็นผลร้ายต่อส่วนตัวใคร เพราะผู้เปลือยก็อยากอวด ผู้เห็นก็อยากดู แต่สังคมเห็นว่าผิดศีลธรรม จึงกำหนดเป็นความผิดอาญา
       
       โดยสรุป ความเสียหายหรือผลร้ายต่อตัวเหยื่อ (victim) ที่ถูกกระทบสิทธิ อันเป็นฐานของการกำหนดว่าการกระทำใดเป็นความผิดอาญานั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ความเสียหายต่อสังคมต่างหากที่เป็นตัวชี้ขาดว่าการกำหนดความผิดอาญานั้นมีความเป็นธรรมหรือไม่ บางเรื่องอาจไม่มี “เหยื่อ” เป็นตัวคน เพราะคนไม่เสียหายดังตัวอย่างข้างต้น แต่ “เหยื่อ” คือ สังคมทั้งสังคม ที่รับการกระทำนั้นไม่ได้ !
       
       หลักการของอาชญาวิทยานี้เป็นส่วนหนึ่งของ “หลักนิติธรรม” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของหลักการประชาธิปไตยที่ใช้กฎหมายที่เป็นธรรมอยู่เหนืออำเภอใจของมนุษย์ ไม่ให้มนุษย์กำหนดสิ่งใดๆ ให้เป็นความผิดอาญาได้ตามใจ
       
       ๑.๒ หลักการประชาธิปไตยกับการคุ้มครองประมุขของรัฐ
       
       นอกจากหลักนิติธรรมแล้ว ก็เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ประชาธิปไตย มีหลักการสำคัญสองส่วนหลัก คือ
       
       ส่วนแรก อำนาจสูงสุดในการปกครองอยู่ที่ประชาชน รัฐบาลผู้ปกครองต้องมาจากความยินยอมของประชาชน โดยประชาชนใช้อำนาจเอง (ประชาธิปไตยทางตรง) หรือประชาชนเลือกตั้งผู้แทนให้เข้ามาใช้อำนาจแทน (ประชาธิปไตยทางอ้อม) และประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมือง
       
       ส่วนที่สอง คือ คนทุกคนในสังคมมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (human dignity) เสมอภาคเท่าเทียมกัน (equality) และมีสิทธิเสรีภาพ (freedom) ที่จะจำกัดได้ก็โดยกฎหมายที่ประชาชนออกเอง หรือออกโดยผ่านผู้แทน และมีกลไกคุ้มครองการละเมิด สิ่งเหล่านี้ให้ยุติลงโดยศาลที่เป็นกลางและอิสระ
       
       ประเทศใดๆ ที่เป็นประชาธิปไตยก็ยึดหลักการทั้งสองนี้ รวมทั้งประเทศไทยด้วย แต่ละประเทศต่างนำหลักการนี้ไปใช้รูปแบบต่างๆ กัน เช่น บางประเทศเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อาทิ อังกฤษ เบลเยี่ยม สเปน ญี่ปุ่น ไทย ฯลฯ บางประเทศก็เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข อาทิ สหรัฐอเมริกา อินเดีย เกาหลี ฯลฯ แต่ไม่ว่าระบบบการปกครองจะต่างกันอย่างไร ทุกประเทศก็ยึดถือหลักการทั้งสองนี้เหมือนๆ กัน โดยเฉพาะหลักการที่สอง
       
       ความจริงระบอบประชาธิปไตยยังมีระบบรัฐบาลที่แตกต่างหลากหลายกันออกไปหลายรูปแบบอีก เช่น ประเทศที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขก็อาจเป็นระบบประธานาธิบดี (presidential system) คือ ประธานาธิบดีเป็นทั้งประมุขของรัฐ และประมุขรัฐบาล ลงมือบริหารประเทศเอง มีความรับผิดชอบทางการเมือง เช่น สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ หรือเกาหลี แต่บางประเทศก็มีประธานาธิบดีเป็นประมุขและไม่ได้บริหาร ทั้งไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง แต่มีนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลบริหารและรับผิดชอบทางการเมืองแทน เช่น อินเดีย หรือเยอรมนี อันเป็นระบบรัฐสภา (parliamentary system)
       
       ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็แตกต่างกัน หลายประเทศเป็นระบบรัฐสภา คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ได้ทรงบริหารราชการแผ่นดิน แต่ทรงทำตามคำแนะนำของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงไม่ต้องทรงรับผิดชอบทางการเมือง จึงมีคำพูดที่ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงปกเกล้าฯ (the King reigns) แต่ไม่ได้ทรงปกครอง (but not rules)” ประเทศเหล่านี้ก็มีอังกฤษ เบลเยี่ยม สเปน นอร์เวย์ ญี่ปุ่น และไทย เป็นต้น แต่พระมหากษัตริย์บางประเทศก็ทรงปกเกล้าและปกครองบริหารประเทศไปด้วย โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มมุสลิม อาทิ ซาอุดิอาระเบีย บรูไน ฯลฯ
       
       แต่ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยรูปแบบใดๆ ก็ตาม ต่างก็ยอมรับว่า “ประมุขของรัฐ” (head of state) มีฐานะต่างจากคนทั่วไปทุกคนในประเทศนั้น เพราะไม่ได้มีฐานะบุคคลแต่มีฐานะเป็น “สถาบัน” (institution) และเป็น “ผู้แทนรัฐหรือประเทศ”
       
       หลักการนี้เป็นหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เป็นกฎหมายจารีตประเพณี และเป็นหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย
       
       ดังนั้น ในกฎหมายระหว่างประเทศ ประธานาธิบดี หรือพระมหากษัตริย์ก็ทรงมีเอกสิทธิ์และความคุ้มกัน (privileges and immunities) หลายประการ อาทิ ไม่อาจฟ้องร้องหรือดำเนินคดีใดๆ ต่อประมุขของรัฐได้ในขณะที่ดำรงตำแหน่ง ด้วยเหตุนี้ ความพยายามฟ้องประธานาธิบดีฟิเดล คาสโตร ในสเปนก็ดี ความพยายามฟ้องประธานาธิบดีเจียง เจ๋อ หมิน ในสหรัฐอเมริกาก็ดี หรือความพยายามฟ้องประธานาธิบดีโรเบิร์ต มูกาบี ในอังกฤษก็ดี ศาลต้องยกฟ้องหมด มีข้อยกเว้นกรณีประธานาธิบดีปิโนเชของชิลีที่ฟ้องได้ในศาลอังกฤษ เพราะชิลีและอังกฤษต่างเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมานที่สละเอกสิทธิ์ของประมุขของรัฐ!
       
       ในรัฐธรรมนูญของประเทศประชาธิปไตยก็ยกประมุขของรัฐไว้แตกต่างจากบุคคลธรรมดาโดยเฉพาะประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อาทิ
       
       รัฐธรรมนูญนอร์เวย์ ปี ๑๘๑๔ มาตรา ๕ บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ (sacred) และจะถูกกล่าวหาหรือตรวจสอบมิได้”
       
       รัฐธรรมนูญเดนมาร์ก ปี ๑๙๕๓ มาตรา ๑๓ บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ไม่ต้องทรงรับผิดทางการเมือง องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ (sacrosanct) …”
       
       รัฐธรรมนูญเบลเยี่ยม ปี ๑๙๗๐ มาตรา ๘๘ บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันละเมิดมิได้ (inviolable) รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์”
       
       รัฐธรรมนูญสเปน มาตรา ๕๖ (๓) บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันละเมิดมิได้ (inviolable) และไม่ต้องทรงรับผิดชอบใดๆ ทางการเมือง”
       
       รัฐธรรมนูญลักเซมเบิร์ก มาตรา ๔ บัญญัติว่า “องค์แกรนด์ดยุกทรงดำรงอยู่ในฐานะอันละเมิดมิได้ (inviolable)”
       
       จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ต่างก็บัญญัติรัฐธรรมนูญรองรับพระราชสถานะอันศักดิ์สิทธิ์ (sacred)เป็นที่เคารพสักการะหรือละเมิดมิได้ (inviolable) ทั้งสิ้น ข้อสำคัญ คือ ความคุ้มครองนี้มิได้คุ้มครองเฉพาะตำแหน่งพระมหากษัตริย์ แต่คุ้มครองไปถึงส่วนตัวหรือส่วนพระองค์ด้วย ดังจะเห็นได้ว่าการใช้ถ้อยคำว่า “the person of the King” หรือ “องค์พระมหากษัตริย์” อันเป็นการคุ้มครองที่รัฐธรรมนูญถวายไว้มากกว่าประมุขของรัฐที่เป็นประธานาธิบดี
       
       นอกจากรัฐธรรมนูญแล้ว ในประเทศประชาธิปไตยของโลกก็ยังมีบทบัญญัติของกฎหมายธรรมดาคุ้มครองประมุขของรัฐ และองค์กรอื่นๆ ของรัฐในฐานะสถาบันอีก เช่น คุ้มครองรัฐสภา คุ้มครองศาล
       
       ในอังกฤษ ต้นแบบประชาธิปไตยระบบบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีหลักคอมมอน ลอว์ และกฎหมายลายลักษณ์อักษรคุ้มครองทั้งพระมหากษัตริย์ รัฐสภา และศาล
       
       พระมหากษัตริย์นั้น มีพระราชบัญญัติว่าด้วยกบฏ ปี ๑๘๔๘ (The Treason and Felony Act, 1848) มาตรา ๓ ซึ่งกำหนดองค์ประกอบความผิดฐานกบฏไว้หลายอย่างรวมทั้งการละเมิดต่อพระเกียรติยศของสมเด็จพระราชินีนาถ เช่น การนำเสนอการมีประธานาธิบดีแทนสมเด็จพระราชินีนาถก็อาจมีความผิดฐานนี้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีตามพระราชบัญญัตินี้ครั้งสุดท้ายเกิดในปี ๑๘๘๓ ตั้งแต่นั้นมากฎหมายฉบับนี้ก็ “หลับ” ไป คือไม่มีการใช้บังคับอีกเลย
       
       นอกจากนั้น ตามคอมมอน ลอว์ ทั้งสภาสามัญ และสภาขุนนาง ต่างมีอำนาจลงโทษอาญาฐาน “ละเมิดรัฐสภา (contempt) หรือละเมิดเอกสิทธิ (breach of privilege)” ได้ โดยสามารถพิจารณาและมีมติให้ตำรวจรัฐสภาไปจับมาขังได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของศาลยุติธรรม และหากมาอุทธรณ์ต่อศาล ศาลก็ไม่มีอำนาจพิจารณา ต้องยกฟ้อง (ดู Brass Crosby’s Case 19 St. Tr. 1147) อำนาจนี้รวมถึงการลงโทษคำพูดหรือข้อเขียนที่ใส่ความหรือหมิ่นประมาทสภาใดสภาหนึ่ง หรือสมาชิก (Erskine May, 1983, p.124, 152)
       
       นอกจากนั้น ยังมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล (contempt of court) ซึ่งเป็นความผิดตามคอมมอน ลอว์ และพระราชบัญญัติ Contempt of Court Act 1981 ซึ่งอาจทำให้ผู้ละเมิดอำนาจศาลมีทั้งความผิดอาญาและทางแพ่ง ฐานความผิดก็คือการไม่เคารพศาล เช่น ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ไม่เคารพผู้พิพากษา ขัดขวางกระบวนพิจารณา หรือหมิ่นประมาทศาลด้วยการโฆษณา ถ้ากระทำต่อหน้า (direct contempt) ศาลสั่งขังได้ทันที ถ้ากระทำนอกศาล (indirect contempt) ก็เป็นหน้าที่ของอัยการที่ฟ้องคดี
       
       นอกจากอังกฤษแล้ว ประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอื่นๆ ก็มีกฎหมายทำนองนี้หลายประเทศ อาทิ นอร์เวย์ กำหนดความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ (defamation) หรือผู้สำเร็จราชการแผ่นดินต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี (มาตรา ๑๐๑ ประมวลกฎหมายอาญา) และถ้ากระทำผิดต่อพระบรมวงศานุวงศ์ทางเพศ (มาตรา ๑๙) ละเมิดเสรีภาพส่วนตัว (มาตรา ๒๑) หรือใส่ความดูหมิ่น (มาตรา ๒๓) อาจได้รับโทษเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของโทษที่กระทำต่อบุคคลธรรมดา (มาตรา ๑๐๒) แต่ที่น่าสนใจ คือ การกล่าวหาเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของนอร์เวย์จะกระทำได้เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบเท่านั้น
       
       ในเบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ สเปนต่างก็มีความผิดฐานนี้ทั้งสิ้น กล่าวคือในเบลเยี่ยม ความผิดฐานนี้ถ้าเป็นการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ จำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสามปี และปรับ ๓๐๐-๓,๐๐๐ ฟรังค์ กรณีหมิ่นพระบรมวงศานุวงศ์ จำคุกตั้งแต่สองเดือนถึงสองปี และปรับ ๑๐๐-๒,๐๐๐ ฟรังค์ ในเนเธอร์แลนด์ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หากหมิ่นพระราชินีหรือพระสวามีจำคุกสี่ปี ในสเปนต้องระวางโทษจำคุกหกเดือนถึงสองปี นอกจากนั้น ในหลายประเทศที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ ก็มีความผิดอาญาฐานดูหมิ่นประมุขของรัฐต่างประเทศ เช่น เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ โปแลนด์ (wikipedia, lèse majesté)
       
       ๑.๓ หลักความเสมอภาค เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการคุ้มครองสังคม
       
       จริงอยู่แม้ว่าหลักการประชาธิปไตยจะเชิดชูความเสมอภาคและเสรีภาพ โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการโฆษณาความคิดเห็นก็จริง แต่ความเสมอภาคก็ไม่ใช่ความเสมอภาคแบบเถรตรงซื่อๆ ซึ่งทำให้การเลือกปฏิบัติ (discrimination) ทุกประเภทกลายเป็นขัดหลักความเสมอภาคหมด ทั้งๆ ที่การเลือกปฏิบัติบางอย่างมีเหตุผลและความจำเป็น เช่นการสอบเข้ารับราชการหรือมหาวิทยาลัยเพราะมีที่จำกัด
       
       ว่ากันอันที่จริง การสอบเข้าก็เป็นการเลือกปฏิบัติ แต่เป็นการเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรม (fair discrimination) ที่ยอมรับกันทั่วไปว่าไม่ขัดหลักความเสมอภาค การคุ้มครองประมุขของรัฐแตกต่างจากคนทั่วไปก็ดี การคุ้มครององค์กรของรัฐแตกต่างจากคนทั่วไปก็ดี ก็เป็นการเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรมที่ทำกันทั่วไปทุกประเทศ ไม่เห็นใครบอกว่าขัดหลักความเสมอภาค นี่คือหลักเสมอภาคที่อริสโตเติล บอกว่า การปฏิบัติต่อสิ่งที่ที่แตกต่างกันโดยปฏิบัติเหมือนๆ กันต่างหากที่ไม่ยุติธรรม การเลือกปฏิบัติในทางบวก (positive discrimination) เพื่อช่วยคนพิการ คนด้อยโอกาสในสังคมมากกว่าช่วยเหลือคนทั่วไปจึงทำได้ และควรทำโดยไม่ขัดหลักเสมอภาคแต่อย่างใด
       
       เสรีภาพก็เช่นกัน ปราชญ์ทั่วโลกก็ยอมรับว่าเสรีภาพที่เสรีเต็มร้อยโดยไม่มีข้อจำกัดเลยจะทำให้เกิดอนาธิปไตยและความวุ่นวาย เหตุนี้ คำประกาศสิทธิมนุษย์และพลเมืองฝรั่งเศส ปี ๑๗๘๙ ข้อ๔ จึงกำหนดว่า “เสรีภาพ ก็คือ ความสามารถที่จะกระทำการใดก็ได้ที่ไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น ดังนั้นการใช้สิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคนจะมีก็แต่เพียงข้อจำกัดเฉพาะที่ต้องยอมให้สมาชิกอื่นของสังคม สามารถใช้สิทธิเหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน ข้อจำกัดเช่นว่านี้ จะกำหนดขึ้นได้ก็แต่โดยบทกฎหมายเท่านั้น”
       
       หลักการนี้ ก็ปรากฏในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ปี ๑๙๔๘ ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะข้อ ๑๙ ที่ว่าด้วยเสรีภาพแห่งความคิดเห็นและ การแสดงออก (freedom of expression) แต่ก็อยู่ภายใต้ข้อ ๒๙ โดยเฉพาะ (๒) ที่ว่า “ในการใช้สิทธิและเสรีภาพของตน บุคคลทุกคนย่อมอยู่ภายใต้ข้อจำกัดที่กำหนดโดยกฎหมาย เพื่อประโยชน์ที่จะได้มาซึ่งการยอมรับและเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นตามควร และที่จะสอดคล้องกับศีลธรรม ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และสวัสดิการทั่วไปในสังคมประชาธิปไตย”
       
       อันที่จริง ทุกประเทศประชาธิปไตยก็ยอมรับว่าเสรีภาพมีข้อจำกัด และการจำกัดเสรีภาพนั้นต้องทำโดยกฎหมายที่ปวงชนเป็นผู้ออก หรือผู้แทนประชาชนเป็นผู้ออก จึงไม่เคยมีประเทศใดหรือใครเคยบอกว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือการแสดงออกนั้นก่อให้เกิดความสามารถที่จะด่าใคร ดูหมิ่นใคร หรือหมิ่นประมาทใครๆก็ได้ ทุกประเทศยอมรับว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกหยุดลง เมื่อต้องคุ้มครองผู้อื่น ในชื่อเสียง เกียรติยศของผู้อื่น(จึงกำหนดเป็นความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาท) คุ้มครองผู้เยาว์ (ในหลายประเทศ การแพร่ภาพเปลือยหรือลามกของผู้ใหญ่ทำได้ แต่การแพร่ภาพดังกล่าวของเด็กเป็นความผิด) คุ้มครองศีลธรรม (เมืองไทยห้ามขาย ห้ามฉายหนังโป๊ เมืองไทยห้ามเปิดบ่อน เมืองมุสลิมถือว่าการมีเพศสัมพันธ์ชายกับชายเป็นความผิดอาญาร้ายแรงฯลฯ) คุ้มครองความสงบเรียบร้อยละความมั่นคง (ห้ามโฆษณาเชิญชวนคนมาร่วมก่อการร้าย ฯลฯ)
       
       ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ข้อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกที่ยอมรับหลักการร่วมกันของทุกประเทศว่า เป็นไปเพื่อคุ้มครองผู้อื่น คุ้มครองศีลธรรม เพื่อคุ้มครองความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย เมื่อนำมาใช้ในแต่ละประเทศ การให้ความหมายของคำว่า “ศีลธรรม” ว่าอะไรคือศีลธรรมที่ต้องคุ้มครอง? และต้องคุ้มครองเพียงใด? อันเป็นเรื่องขอบเขต (extent) และระดับ (degree) ของข้อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกก็แตกต่างกันไป การให้ความหมายของคำว่า “ความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อย” ก็มีปัญหาเรื่องขอบเขตและระดับที่ไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ
       
       ตรงนี้คือหัวใจสำคัญของปัญหา เพราะทุกคนยอมรับข้อจำกัดเสรีถาพในการแสดงออกร่วมกัน แต่ถกเถียงกันในเรื่องที่เป็นข้อจำกัดว่าคืออะไร มีระดับใด
       
       ปัญหามีต่อไปว่า ใครจะเป็นผู้ตัดสินว่าการที่ประเทศหนึ่งถือว่าเรื่องนั้นไปจำกัดไม่ได้ แต่อีกประเทศหนึ่งถือว่าเรื่องนั้นต้องจำกัด ประเทศใดทำถูก
       
       ในสหรัฐอเมริกา ในอังกฤษ เสรีภาพในการแสดงออกมีมากถึงขั้นวิพากษ์วิจารณ์พระคริสต์ได้ ฉายหนังลามกได้ ชายรักร่วมเพศกอดจูบกันในที่สาธารณะได้ แต่ในประเทศมุสลิม อย่าว่าแต่ทำโดยแสดงออกเปิดเผยเลย แม้กระทำในที่ลับตัวต่อตัวด้วยความยินยอม ก็เป็นความผิดอาญาร้ายแรง เพราะขัดต่อหลักศาสนาและกฎหมายอิสลามอย่างรุนแรง!
       
       ใครเป็นประชาธิปไตย ใครไม่เป็นประชาธิปไตย ใครถูก ใครผิด?
       
       เรื่องนี้เป็นความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งระหว่างกฎหมายกับจริยศาสตร์ (Law and Ethics) กล่าวคือ อะไรคือสิ่งที่ดีหรือถูก เป็นสิ่งที่ควรทำเพราะถูกจริยธรรม (ethical) อะไรคือสิ่งที่เลวหรือผิด เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ (unethical) เพราะเป็นผลร้ายต่อสังคม (harmful to the society)
       
       ถ้าเราถือว่าทั้งโลก ความถูก-ผิดมีเพียงหนึ่งเดียว และความถูกผิดเพียงหนึ่งเดียวนั้นก็คือที่ “เรา” เท่านั้นเชื่อว่าถูกหรือผิด เราก็คือผู้เผด็จการทางจริยธรรม ที่ต้องการเอาสิ่งที่เราเชื่อขึ้นเป็นมาตรฐานของคนทั้งโลก (Ethical dictatorship) หรือที่เรียกให้ไพเราะตามศัพท์จริยศาสตร์ว่า จริยธรรมสมบูรณัติ (ethical absolutism)
       
       แต่ถ้าเราถือว่าในปัญหาข้างต้นไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด ต่างก็เป็นประชาธิปไตยในวิถีของตน ตามวิถีแห่งจริยธรรมสัมพัทธ์ (ethical relativism) คือถือว่าประเทศแต่ละประเทศ สังคมแต่ละสังคมมีวัฒนธรรมและจริยธรรมที่หลากหลาย แตกต่างกันได้และไม่มีใครผิด เป็นความหลากหลายที่โลกต้องการ เราต้องการ เราก็จะเข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น ง่ายขึ้น และไม่ทำตัวเป็นพระเจ้าตัดสินถูกผิดของมนุษย์ผู้อื่นทั้งโลกด้วยมาตรฐานของตัวเราเอง !
       
       คนที่เปิดใจกว้างเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น เคารพวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของสังคมอื่น ยอมรับความหลากหลายเห็นความแตกต่าง ฟังเหตุ ฟังผล ก็จะเริ่มเข้าใจว่าความเป็นประชาธิปไตยก็ดี ความเสมอภาคก็ดี เสรีภาพในความคิดและการแสดงออกก็ดี ก็ย่อมแตกต่างกันไปตามประเทศ ตามสังคม ตามวัฒนธรรม และจริยธรรมของคนส่วนใหญ่ในแต่ละประเทศและแต่ละสังคม ข้อสำคัญก็คือ จะแตกต่างกันอย่างไรหลักการประชาธิปไตย ความเสมอภาคและเสรีภาพต้องไม่ถูกทำลาย
       
       หัวใจของเรื่องก็คือ “สังคม” (society) ต้องเป็นตัวตั้ง การเมืองการปกครองหรืออะไรๆก็แล้วแต่เกิดหลังสังคมและถูกคิดขึ้นเพื่อประโยชน์ทางสังคมทั้งสิ้น แม้รากเหง้าของระบอบประชาธิปไตยในเวลานี้ก็มีทฤษฎีสัญญาสังคม (Social Contract) รองรับอยู่มิใช่หรือ?
       
       ดังนั้น ในขณะที่สังคมหนึ่งยอมรับว่าประชาธิปไตย คือ ระบอบการปกครองสังคมที่ดีที่สุดในเวลานี้ และประชาธิปไตยก็มีหลักการสำคัญดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะหลักความเสมอภาคและเสรีภาพพร้อมข้อจำกัด สังคมแต่ละสังคมก็ย่อมมีสิทธิอิสระ (self determination) ที่จะกำหนดในรายละเอียดโดยไม่ทำให้เสียหลักการว่าอะไรคือข้อจำกัดที่ว่านั้น
       
       การที่สังคมอังกฤษให้การดูหมิ่นศาลการดูหมิ่นสภาเป็นความผิด และศาลหรือสภาลงโทษได้ทันทีโดยไม่ต้องดำเนินคดีเหมือนคดีทั่วไป ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องในสังคมอังกฤษ แต่คนอังกฤษไม่มีสิทธิไปตัดสินว่าสังคมที่ไม่ลงโทษการดูหมิ่นสภาหรือศาลเป็นสังคมไม่เป็นประชาธิปไตย! และคงไม่มีใครที่เป็นคนใจกว้างไปกล่าวหาอังกฤษว่าไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่มีหลักนิติธรรม เพราะสภาและศาลลงโทษคนละเมิดได้เองโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการปกติอันเป็นการเลือกปฏิบัติ !
       
       การที่สังคมเบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ สเปน ไทย และอีกหลายประเทศตัดสินว่าการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นความผิดมากกว่าดูหมิ่นคนธรรมดา ก็เป็นสิทธิอิสระของสังคมแต่ละสังคมที่ว่านี้ เพราะวัฒนธรรมและศีลธรรมทางสังคมและคนส่วนใหญ่ในประเทศเหล่านี้ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็น “ผลร้าย”ต่อสังคม
       
       ความจริง ข้อจำกัดเสรีภาพที่แตกต่างกันไปตามสังคมนี้ยังมีตัวอย่างอีกมาก เช่น เสรีภาพในการแสดงออกในประเทศส่วนใหญ่ในตะวันออกถูกจำกัดด้วยการห้ามเผยแพร่สิ่งลามก เสรีภาพในการประกอบอาชีพถูกจำกัดด้วยการห้ามเล่นการพนัน หรือการห้ามบ่อนคาสิโน เสรีภาพในร่างกายถูกจำกัดด้วยความผิดฐานรักร่วมเพศในบางประเทศ แต่คงไม่มีใครที่มีจิตใจประชาธิปไตยไปตัดสินว่าประเทศหรือสังคมเหล่านี้ไม่เป็นประชาธิปไตยเพียงเพราะสังคมนั้นๆมีวัฒนธรรมและจริยธรรมอันแสดงให้เห็นข้อจำกัดทางสังคมแตกต่างจากสังคมของตน
       
       ๒. วัฒนธรรมไทยกับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ: เอกลักษณ์ของประชาธิปไตยไทยในกระแสประชาธิปไตยโลก
       
       ๒.๑ กฎหมายไทยสะท้อนวัฒนธรรมและจริยธรรมไทย
       
       ถ้าศึกษาโครงสร้างความผิดฐานดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทในประมวลกฎหมายอาญาเราจะพบว่ามีความผิดอยู่สามกลุ่ม หกระดับ คือ
       
       กลุ่มที่หนึ่ง ดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทคนธรรมดา ถ้าดูหมิ่นซึ่งหน้า (insult) ตามมาตรา๓๙๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ เดือนหรือปรับไม่เกิน๑๐๐๐บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าหมิ่นประมาท (defamation) ตามมาตรา ๓๒๖ ถึง ๓๓๓ ก็ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาก็ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
       
       กลุ่มที่สอง ดูหมิ่นเจ้าพนักงานหรือศาลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าดูหมิ่นเจ้าพนักงาน (มาตรา ๑๓๖) ก็ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา (มาตรา๑๙๘) ในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี ต้องระวางโทษจำคุก๔-๗ปี หรือปรับ ๒,๐๐๐ ถึง ๑๔,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
       
       กลุ่มที่สาม ดูหมิ่นประมุขของรัฐต่างประเทศ หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถ้าดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาตร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ (มาตรา๑๓๓) (อันเป็นความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ) ต้องระวางโทษจำคุก ๑ ถึง ๗ ปี หรือปรับ ๒,๐๐๐ ถึง ๑๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้ากระทำการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาตร้ายพระมหากษัตริย์ไทย พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (มาตรา๑๑๒) ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๓ ถึง๑๕ ปี ถ้าดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาทผู้แทนรัฐต่างประเทศ ซึ่งได้รับแต่งตั้งมาสู่ราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุก ๖เดือน ถึง๕ปี ปรับ๑๐๐๐-๑๐,๐๐๐บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
       
       จะเห็นได้ว่า ประมวลกฎหมายอาญาไทยจำแนกการกระทำความผิดฐานดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทเอาไว้ตามสถานะ (status) และความสัมพันธ์ของบุคคล อันเป็นการสอดคล้องกับจริยธรรมในสังคมไทย
       
       ความจริง ถ้าดูเรื่องอื่นก็จะพบความจริงที่ว่า กฎหมายไทยในเรื่องนี้ต่างจากหลายประเทศในหลายเรื่องเพราะเรามีจริยธรรมที่ยึดสถานะและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่นความผิดฐานฆ่าคน ถ้าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา (มาตรา๒๘๘) ก็ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ ๑๕ ถึง ๒๐ ปี ถ้าฆ่าบุพการี (บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย) ฆ่าเจ้าพนักงานฯลฯ (มาตรา๒๘๙) ต้องระวางโทษประหารชีวิตสถานเดียว ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเราถือว่าการฆ่าบิดามารดา ตามหลักศาสนาเป็น “อนันตริยกรรม” ตามจริยธรรมถือว่าเป็นการเนรคุณอย่างรุนแรงที่สุด
       
       ความผิดฐานลักทรัพย์ (มาตรา๓๓๔) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน๓ปี ปรับไม่เกิน ๖,๐๐๐ บาท แต่ถ้าลักพระพุทธรูปหรือวัตถุในทางศาสนา (ทุกศาสนา) ที่เป็นที่สักการะบูชาของประชาชนหรือเก็บไว้เป็นสมบัติของชาติ (มาตรา๓๓๕ทวิ) ต้องระวางโทษจำคุก ๓ ปีถึง ๑๐ ปี ปรับ ๖,๐๐๐ ถึง ๒๐,๐๐๐บาท ความผิดฐานลักวัตถุทางศาสนาที่เคารพของประชาชน คงไม่มีในกฎหมายตะวันตก เพราะเขาไม่ได้นับถือเหมือนคนไทย!
       
       ความผิดฐานลักทรัพย์มาตรา ๗๑ กำหนดว่า ถ้าภรรยาหรือสามีกระทำต่อกันไม่ต้องรับโทษ ถ้าผู้สืบสันดานกระทำต่อบุพการี หรือบุพการีกระทำต่อผู้สืบสันดาน หรือพี่น้องร่วมบิดามารดากระทำต่อกัน ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ และศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง ลักทรัพย์กันสังคมยอมให้คนเหล่านั้น “อโหสิกรรม” กันได้ กฎหมายประเทศตะวันตกก็คงไม่มี
       
       ยังมีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและวัฒนธรรมของคนไทยส่วนใหญ่ในสังคมไทยที่ปรากฎเป็นกฎหมาย กับจริยธรรมและกฎหมายของตะวันตกอีกมากมาย เช่น กฎหมายไทยห้ามผู้สืบสันดานฟ้องบุพการี ภาษากฎหมายโบราณเรียกว่า “อุทลุม” เพราะถือว่าเป็นการเนรคุณ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๒) การให้นั้นเมื่อให้แล้วปกติเรียกคืนไม่ได้ เว้นแต่ผู้รับประพฤติเหตุเนรคุณ (มาตรา๕๓๑)
       
       ๒.๒ พระมหากษัตริย์ในวัฒนธรรมและจริยธรรมไทย
       
       ถ้าเราจำแนกประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ ๒๖ ประเทศที่มีอยู่ในโลก เราจะพบว่ามีพระมหากษัตริย์อยู่สองกลุ่มหลักๆ คือ
       
       กลุ่มที่๑ ซึ่งอาจเรียกว่า “พระมหากษัติย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” (Constitutional Monarchy) อาทิ อังกฤษ เบลเยี่ยม นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ สเปน ญี่ปุ่น ไทย ในกลุ่มนี้ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ ทรงปกเกล้าฯ แต่ไม่ทรงปกครอง แต่มีรัฐบาลที่มาจากประชาชนเลือกตั้ง เป็นผู้ถวายคำแนะนำและปกครอง
       
       กลุ่มที่ ๒ คือกลุ่ม “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงปกครอง” กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นประเทศมุสลิม เช่น ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือบรูไน
       
       สำหรับกลุ่มที่ ๒ คงไม่ต้องวิเคราะห์ เพราะแตกต่างจากของเรามาก แต่แม้ในกลุ่มที่๑ ที่ต่างก็เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็ยังมีสถานะต่างกันเป็นสามกลุ่ม คือ
       
       กลุ่มแรก เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีประวัติศาสตร์ยืนยาวมาตั้งแต่ครั้งราชาธิปไตยในสมัยโบราณ และเมื่อเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตย ก็ยังคงลักษณะเด่นอยู่คือคงความลึกลับและสูงส่ง มีนิติราชประเพณีเคร่งครัด อาทิ อังกฤษ ญี่ปุ่น ซึ่งพระมหากษัตริย์ไม่สู้จะมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับประชาชนมากนัก
       
       กลุ่มที่สอง เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเช่นกัน แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตยก็มีความเปลี่ยนแปลงคือ ทรงปฏิบัติพระองค์เยี่ยงคนธรรมดา เสด็จไปห้างสรรพสินค้าโดยทรงขับรถพระที่นั่งเอง หรือทรงจักรยานไป ความเคร่งครัดของนิติราชประเพณีก็ไม่เท่ากลุ่มแรก สถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในกลุ่มนี้ คือกษัตริย์สแกนดิเนเวีย เช่นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์ค เนเธอร์แลนด์ พระมหากษัตริย์สวีเดนและนอร์เวย์ แต่ความสัมพันธ์กับประชาชนก็ไม่เด่นชัด
       
       กลุ่มที่สาม อยู่กึ่งกลางระหว่างกลุ่มที่๑ และกลุ่มที่ ๒ เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่ครั้งราชาธิปไตย มีสถานะสูงส่งทั้งทางศาสนา และสังคม มีนิติราชประเพณีที่มีมายาวนาน แต่ก็มีความใกล้ชิดกับประชาชน และเป็นที่เคารพรักของประชาชนอย่างยิ่ง เพราะพระราชกรณียกิจนานัปการที่ทรงประกอบเพื่อประชาชน กลุ่มที่สามนี้มีตัวอย่างเห็นชัดคือ พระมหากษัตริย์ไทย
       
       คนต่างชาติอาจเห็นภาพพระพุทธเจ้าหลวง หรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ หรือทรงบรมราชขัตติยภูษาภรณ์ในพิธีบรมราชาภิเษกอันแสดงความอลังการ และศักดิ์สิทธิ์
       
       แต่คนไทยนั้นได้เห็นทั้งภาพอลังการ ศักดิ์สิทธิ์อันแสดงความยืนยงและความต่อเนื่องของประวัติศาสตร์ของชาติ ประเพณีโบราณที่เก็บรักษาไว้ และยังได้เห็นภาพที่พระมหากษัตริย์ของเรา พระบรมราชินีนาถ และพระราชโอรส ธิดา ประทับนั่งบนดิน มีรับสั่งด้วยภาษาสามัญกับประชาชนของพระองค์ในถิ่นทุรกันดาร ที่คนธรรมดาไม่อยากไป โครงการต่างๆ ที่ทรงริเริ่มและทำทั่วประเทศกว่า ๓,๐๐๐ โครงการที่ไม่เคยมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประเทศอื่นทรงทำก็เกิดขึ้นเพราะความใกล้ชิดกับประชาชนนี้เอง
       
       สายสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์ไทยกับประชาชนคนไทยมีลักษณะพิเศษที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ธรรมดาระหว่างประมุขของรัฐที่เป็นสถาบันการเมือง กับประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย แต่เป็นสายสัมพันธ์พิเศษที่มีลักษณะยากแก่ความเข้าใจของคนต่างชาติ ต่างภาษา ดังนี้
       
       ๒.๒.๑ เทวราชาหรือธรรมราชา
       
       ผู้เขียนต่างชาติบางคนไปอธิบายว่า คนไทยถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นเทพตามคติเทวราชาของพราหมณ์ ซึ่งก็ไม่ผิดไปทั้งหมดเพราะเค้ามูลของพระราชพิธีบางอย่างทำให้เข้าใจเป็นนั้นได้ แต่ความจริงแล้ว คติพระพุทธศาสนาต่างหากที่สำคัญกว่า เพราะในอัคคัญญสูตรที่พระพุทธองค์ทรงอธิบายกำเนิดโลกและการปกครองนั้น ทรงแสดงไว้ชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์เป็น “มหาสมมติ” (ผู้ที่มหาชนพร้อมใจกันให้เป็นหัวหน้า) เป็น “ราชา” (ผู้ทำความอิ่มใจ สุขใจให้แก่ผู้อื่น) ที่เป็นพระมหากษัตริย์ได้ก็โดย “ธรรม” มิใช่เกิดขึ้นโดย “อธรรม” และทรงย้ำว่า “กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชนผู้ถือโคตร แต่ผู้ใดมีวิชาและจรณะ (ธรรมะ) ผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่เทวดาและมนุษย์”
       
       ด้วยเหตุดังนี้ คติ “ธรรมราชา” ซึ่งหมายถึงพระราชาผู้ทรงปกครองด้วยธรรมะ (อาทิ ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร ราชสังคหวัตถุ ฯลฯ) จึงมีความสำคัญมากกว่าเทวราชา ดังที่พระเจ้าอโศกมหาราชของอินเดียได้ทรงวางแบบอย่างแนวทางไว้ และพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต คือ พระมหาธรรมราชาลิไท และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ได้ทรงดำเนินตาม ดังพระปฐมบรมราชโองการของรัชกาลปัจจุบันซึ่งทรงเปล่งท่ามกลางมหาสมาคมเมื่อพระราชพิธีบรมราชาภิเษกว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” (โปรดดูข้อเขียนของผู้เขียนเรื่อง “ทศพิธราชธรรมกับพระมหากษัตริย์ไทย”)
       
       ๒.๒.๒ จาก “สถาบันการเมือง” มาสู่ “สถาบันหลักทางสังคม”
       
       โดยปกติ พระมหากษัตริย์นั้นทรงเป็นประมุขของรัฐอันจัดเป็นสถาบันการเมืองประเภทหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ทรงมีพระราชดำริทางการเมือง แต่ทรงกระทำตามคำแนะนำของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ยังถือว่าเป็น “สถาบันการเมือง””แต่เป็น “ส่วนอันทรงเกียรติยศ” (dignified part of the constitution) ส่วนคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเป็น “ส่วนปฏิบัติการ” (efficient parts of the constitution) ตามที่นาย Walter Bagehot นักรัฐศาสตร์ชาวอังกฤษได้กล่าวไว้
       
       แต่จากพระราชกรณียกิจตลอดกว่า ๖๐ ปีในรัชกาลด้วยการทุ่มเทพระวรกายและพระสติปัญญาแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนเพื่อ “ลดช่องว่าง” ที่รัฐบาลยังไม่ได้ทำ หรือทำไปไม่ถึง กว่า ๓,๐๐๐ โครงการก็ดี การที่ทรงระงับวิกฤติการณ์ทางการเมืองมิให้ลุกลามร้ายแรงระหว่างรัฐบาลกับประชาชนในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ หรือเหตุการณ์ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ก็ดี ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยได้แปรสภาพจาก “สถาบันทางการเมืองอันเป็นส่วนอันทรงเกียรติยศ” ไปสู่ “สถาบันหลักทางสังคมที่เป็นส่วนปฏิบัติการทางสังคม” ในลักษณะเดียวกับสถาบันครอบครัว หรือศาสนา พระมหากษัตริย์จึงไม่ใช่ “เทวะ” ที่อยู่ห่างไกลบนสวรรค์อันลึกลับ แต่เป็น “พ่อ” ที่คนไทยเรียก “พ่อหลวง” และคนไทยมีความรัก ความผูกพัน ความเทิดทูน ความสัมพันธ์นี้มีมากกว่าในสังคมตะวันตกระหว่างประมุขของรัฐกับราษฎร
       
       ดังจะเห็นได้จากจำนวนคนไทยที่มาร่วมพระราชพิธีฉลองศิริราชสมบัติ ครบ๖๐ปี ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายแสนคนเต็มถนนราชดำเนินและเป็นข่าวไปทั่วโลก ที่พร้อมใจกันเดินทางมาถวายพระพรโดยไม่ได้มีการกะเกณฑ์ใด ๆ และเมื่อทรงพระประชวรเสด็จเข้าโรงพยาบาลศิริราช ประชาชนจำนวนมากก็ไปเข้าเฝ้าทั้งวันทั้งคืน เหมือนลูกเฝ้าไข้พ่อที่ป่วยไข้ นี่คือที่มาของรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับที่บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้” (มาตรา๘ รัฐธรรมนูญปัจจุบัน) บทบัญญัตินี้เป็น “ผล” ของวัฒนธรรมและจริยธรรมไทยที่เป็นเอกลักษณ์นี้เอง ไม่ใช่ “เหตุ” ที่บังคับให้คนไทยเคารพพระมหากษัตริย์อย่างที่อ้างๆ กัน
       
       วัฒนธรรมการปกครองแบบ “พ่อปกครองลูก” (paternalistic governance) นี้เองที่อธิบายปรากฏการณ์ที่อาจไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศอื่น ๆ คือ เมื่อมีการวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์โดยไม่เป็นธรรม คนไทยส่วนใหญ่ก็รู้สึกเหมือนพ่อตนเองกำลังถูกทำร้ายและยอมรับไม่ได้ เหมือน ๆ กับที่คนไทยยอมรับไม่ได้ที่จะให้ใครมาจาบจ้วงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือแม้พระพุทธรูปที่แทนพระพุทธเจ้า
       
       ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจึงไม่ใช่การทำร้ายพระมหากษัตริย์เท่านั้น แต่เป็นการทำร้าย “พ่อ” ของคนไทยส่วนใหญ่ เป็นความผิดทางสังคมที่ร้ายแรง เหมือนการเนรคุณและด่าพ่อของตนเอง จึงไม่น่าแปลกใจว่า แม้ “พ่อ” จะไม่อยากเอาความผิด (ดังปรากฏในพระราชดำรัสเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘) และทรงเห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ท่านทำได้ แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังต้องการให้คงความผิดนี้ไว้ เพื่อคุ้มครองสิ่งที่เขาเห็นว่าทำร้ายสถาบันที่เคารพของเขา
       
       กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสังคมไทยถือว่าการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ใช่ผลร้ายต่อองค์ผู้ถูกหมิ่น แต่เป็นผลร้ายต่อสังคม จริยธรรม และวัฒนธรรมไทย อันเป็นไปตามหลักอาชญาวิทยาที่ว่าการกระทำบางอย่างอาจถูกกำหนดเป็นความผิดอาญา เมื่อมีฉันทามติทางสังคมว่า การกระทำนั้นเป็นผลร้ายต่อสังคม และเป็นข้อจำกัดของเสรีภาพในการแสดงออกในสังคมนี้ เหมือนๆ กับการวิพากษ์วิจารณ์พระผู้เป็นเจ้าในศาสนาอิสลาม ก็เป็นข้อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกของประเทศมุสลิม และคนตะวันตกบางคนไม่เข้าใจ แต่ได้นำพระผู้เป็นเจ้าที่ชาวมุสลิมทั้งโลกเคารพและศรัทธาไปล้อเลียนจนหวิดจะเกิดความรุนแรงไปทั่วโลกมาแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง!
       
       จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ในสังคมไทยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ได้มีฐานมาจากหลักกฎหมายระหว่างประเทศหรือหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งสากลทั่วไปยอมรับเท่านั้น แต่มีฐานจากหลักจริยธรรมไทย วัฒนธรรมไทย และพระพุทธศาสนา อันเป็นลักษณะเฉพาะของสังคมไทย เหมือน ๆ กับที่คนตะวันตกคุ้มครองสภาของเขาด้วยความผิดฐานละเมิดรัฐสภา (แต่ไทยเราไม่คุ้มครอง!) คุ้มครองศาลของเขาด้วยความผิดฐานดูหมิ่นศาลและละเมิดอำนาจศาล หรือคนมุสลิมคุ้มครองพระผู้ เป็นเจ้า และศาสนาที่เขาเคารพศรัทธา เสรีภาพส่วนบุคคลในการแสดงออกจึงหยุดลงเมื่อไปกระทบกับสิ่งที่สังคมนั้น ๆ ต้องการคุ้มครอง
       
       นี่คือความงดงามของความหลากหลาย คงไม่มีนักประชาธิปไตยที่แท้จริงผู้ใดในโลกที่ต้องการให้ทุกสังคมเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานเดียวโดยให้เสรีภาพของบุคคล (คนเดียว) ในการแสดงออกสามารถอยู่เหนือความต้องการและฉันทามติของคนส่วนใหญ่ในสังคม! ถ้าคน ๆ นั้นมีอยู่ เขาก็ไม่ควรได้ชื่อว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่ควรได้ชื่อว่าเป็นนักเผด็จการทางจริยธรรมผู้ยิ่งใหญ่ ตรงกันข้าม การยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางจริยธรรมและวัฒนธรรมตามคติจริยธรรมพหุนิยม (ethical pluralism) ต่างหากที่เป็นประชาธิปไตยและความใจกว้าง เพราะเข้าใจหลักสิทธิอิสระที่จะเลือกตัดสินใจของแต่ละสังคม (self determination)
       
       ๒.๓. ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับการใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง
       
       จริงอยู่ แม้สังคมไทยและผู้เขียนจะยอมรับว่า ความผิดฐานนี้ยังจำเป็นเพราะเป็นเอกลักษณ์ทางจริยธรรมและวัฒนธรรมไทย แต่ก็ต้องยอมรับเช่นเดียวกันว่า ในหลายกรณี มีการใช้ความผิดฐานนี้กล่าวหากันเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ในความขัดแย้งทางการเมือง ดังที่ปรากฏข่าวเสมอว่า คู่กรณีขัดแย้งทางการเมืองมีการกล่าวหาฝ่ายตรงกันข้ามว่ากระทำความผิดดังกล่าว หากพิเคราะห์ให้ถ่องแท้แล้ว การกล่าวหาดังกล่าวมีสองมิติ ผู้กล่าวหาต้องการให้สังคมประณามหรือใช้สภาพบังคับทางสังคมที่คนส่วนใหญ่เคารพพระมหากษัตริย์เป็นผู้บีบบังคับผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งอาจหมายถึงการทำให้เสื่อมความนิยมลงในกรณีนักการเมือง แต่อีกมิติหนึ่งคือ มิติทางกฎหมายที่อาจทำให้ผู้ถูกกล่าวหารับโทษอาญา
       
       ผู้เขียนไม่มีตัวเลขแน่นอนถึงสถิติการดำเนินคดีฐานนี้ แต่เท่าที่ปรากฏจากคำสัมภาษณ์ทางผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางว่าเวลานี้มีคดีคางดำเนินการอยู่ที่ตำรวจ ๓๒ คดี ๔ คดีสั่งฟ้อง ๒๘ คดีอยู่ระหว่างดำเนินการ (http://www.suthichaiyoon.com/) ถ้าดูเทียบกับสถิติในนอร์เวย์ภายใต้หัวข้อ Crime against the Constitution and the Head of State (statistics Norway http://www.ssb.no)%20_______/ปี ๑๙๙๓-๒๐๐๗ โดยในปี๒๐๐๗ มีคดีสองประเภทนี้เพียง๗คดี (รวมคดีที่ไม่ใช่ความผิดต่อประมุขด้วย) ก็จะพบว่า คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของประเทศไทยมีจำนวนสูงกว่ามาก
       
       การที่จำนวนสูงกว่ามากนี้อาจตีความได้หลายอย่าง คือ อย่างแรก คนไทยรักและหวงแหนสถาบันนี้มาก จึงไม่ยอมให้ใครมาวิพากษ์โดยไม่เป็นธรรม หรืออาจตีความได้ว่าเป็นการกล่าวหากันเพื่อประโยชน์ของผู้กล่าวหา (ไม่ชอบผู้ถูกกล่าวหาเป็นการส่วนตัว, หวังประโยชน์ทางการเมือง)
       
       แต่ถ้ามาดูสถิติคดีที่ขึ้นศาลฎีกาแล้ว จะพบว่ามีคดีเหล่านี้น้อยมาก กล่าวคือตั้งแต่มีกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. ๒๔๕๑ มาจนถึงการใช้ประมวลกฎหมายอาญาฉบับปัจจุบัน ตลอดเวลากว่า๑๐๐ปี มีคำพิพากษาศาลฎีกาเพียง ๔ เรื่อง คือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่๑๐๘๑/ ๒๔๘๒, ๘๖๑/๒๕๒๑, ๑๒๙๔/๒๕๒๑, ๒๓๕๔/๒๕๓๑ และคดีสุดท้ายไม่ใช่คดีอาญา แต่เป็นคดีให้เลิกมูลนิธิ เพราะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คือคำพิพากษาศาลฎีกาที่๓๓๐๔/๒๕๓๒
       
       คำพิพากษาศาลฎีกา ๔ เรื่องที่ตัดสินความผิดฐานนี้ มี ๑ เรื่องที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าไม่มีความผิดคือฎีกาที่ ๑๐๘๑/๒๔๘๒ ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยพูดอวดอ้างตนในขณะทำการเป็นหมอรักษาโรคว่าตนเป็นผู้วิเศษ มีพระขันธ์แก้ว (มีด) ซึ่งสามารถชี้ให้คนเป็นบ้าหรือตายหรือเป็นอะไรก็ได้ พระเจ้าแผ่นดินกับรัฐธรรมนูญ จำเลยจะเรียกให้มากราบไหว้ก็ได้ จำเลยไม่กลัวใครในโลกนี้ กลัวแต่พ่อแม่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น
       
       ศาลฎีกาเห็นด้วยกับศาลอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นแค่อวดอ้างให้คนเชื่อว่า ตนเป็นหมอวิเศษรักษาโรคให้หายได้ ไม่มีเจตนามุ่งร้ายต่อผู้ใด คำกล่าวของจำเลยไม่ทำให้คนทั้งหลายดูหมิ่นหรือเกลียดชังผู้ใดเลย (ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำกล่าวของจำเลยเป็นแค่คำอวดอ้าง มิได้แสดงเจตนาหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายหรือหมิ่นประมาทต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นคำกล่าวอันโง่เขลา) ซึ่งเห็นได้ว่าศาลใช้หลัก “เจตนา” เป็นหลักในการวินิจฉัย
       
       ส่วนในอีก ๓ คดีที่เหลือ แม้ศาลจะฟังว่าเป็นความผิดแต่โทษที่ลงนั้นไม่ได้หนักอย่างที่กฎหมายเปิดโอกาสให้จำคุกได้ ๑๕ ปี เช่น ในฎีกาที่ ๘๖๑/๒๕๒๑ศาลลงโทษจำคุก ๑ ปี ในฎีกาที่ ๑๒๙๔/๒๕๒๑ ศาลพิพากษาจำคุก๒ปี คดีที่ศาลพิพากษาจำคุกสูงกว่าคดีอื่นๆก็คือ ฎีกาที่ ๒๓๕๔/ ๒๕๔๑ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าเจตนาหมิ่นโดยกระทำ ๒ครั้ง๒กระทง จำคุก ๔ ปี
       
       อย่างไรก็ตาม ความน่ากลัวของความผิดฐานนี้ลดลงมากเนื่องจากน้ำพระทัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหากความทราบพระเนตรพระกรรณ หรือมีการทูลเกล้าถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษในความผิดฐานนี้ก็จะทรงมิให้ดำเนินคดี หรือพระราชทานอภัยโทษ รายสุดท้ายคือ นายแฮรี่ นิโคเลด นักเขียนชาวออสเตรเลียที่ศาลอาญาตัดสินจำคุก ๓ ปี แต่ถูกจำคุกจริงเดือนเศษ และขอพระราชทานอภัยโทษก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษด้วยความรวดเร็ว นายนิโคเลดให้สัมภาษณ์ว่า
       
       “ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ ๘๑ พรรษา ผมได้เห็นพลุที่จุดขึ้นจากระยะไกล นักโทษบางคนมีน้ำตาคลอเบ้า ยกย่องสรรเสริญผู้ที่พวกเขาเห็นว่าไม่ได้เป็นเพียงกษัตริย์แต่เป็นเสมือนบิดาของพวกเขา แม้ว่าผมไม่ใช่คนไทยแต่ผมเป็นลูกชายที่รู้ความหมายของความรักที่มีต่อพ่อ ผมยื่นขอพระราชทานอภัยโทษและภาวนาให้พระองค์ทรงทราบถึงชะตากรรมของผมและหวังว่าผมจะได้รับความกรุณาจากพระองค์” (มติชนรายวัน, ๒๒ก.พ.๕๒)
       
       น่าเสียดายว่า นายนิโคเลดไม่ได้ยื่นขอพระราชทานอภัยก่อนถูกจำคุก หาไม่ พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงทราบพระเนตรพระกรรณก่อนศาลพิพากษาอาจ “หลั่งมาเหมือนฝนอันชื่นใจ” ให้มีการถอนฟ้องดังเช่นที่ปรากฏข้อเท็จจริงในหลายกรณี และผู้ที่รู้เรื่องนี้ดี คือ อัยการสูงสุด และอัยการที่รับผิดชอบคดี
       
       พระเมตตาและพระกรุณานี้ทรงประพฤติปฏิบัติมาโดยตลอด โดยเราและผู้วิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลายอาจไม่รู้ เพราะไม่เคยมีข่าว คนที่ได้รับพระเมตตากรุณาเท่านั้นที่จะรู้และเป็นพยานได้ เรื่องนี้ ถ้าไปถามนักวิชาการอิสระที่ใครๆ นับถือและเรียกอาจารย์ทั้งประเทศ ที่ถูกดำเนินคดีหลายครั้งหลายครา แต่ได้รับพระมหากรุณาไม่เอาความ ก็จะได้รับคำยืนยันได้ !
       
       ในพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆที่เข้าเฝ้าถวายชัยมงคลใน วันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า
       
       “ในระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระเจ้าอยู่หัวผิดไม่ได้….The king can do no wrong….ความจริง The king can do no wrong คือการดูถูกเดอะคิงอย่างมาก เพราะว่าเดอะคิงทำไม can do no wrong….แสดงให้เห็นว่าเดอะคิงไม่ใช่คน แต่เดอะคิงทำ wrong ได้……”
       
       และทรงรับสั่งสรุปว่า วิจารณ์พระมหากษัตริย์ได้ และรับสั่งว่า
       
       “แต่เมื่อบอกว่า ไม่ให้วิจารณ์ ไม่ให้ละเมิด ไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ก็ลงท้าย ก็เลยพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบากแย่ อยู่ในฐานะลำบาก ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ให้วิจารณ์ก็หมายความว่า พระเจ้าอยู่หัวนี่ ก็ต้องวิจารณ์ ต้องละเมิดแล้วไม่ให้ละเมิด พระเจ้าอยู่หัวเสีย พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี ซึ่งถ้าคนไทยด้วยกันก็ยังไม่กล้า สองเอ็นดูพระเจ้าอยู่หัว ไม่อยากละเมิด แต่มีฝ่ายชาวต่างประเทศ มีบ่อยๆละเมิดพระเจ้าอยู่หัว ละเมิดเดอะคิง แล้วก็หัวเราะเยาะว่าเดอะคิงของไทยแลนด์ไม่ได้ก็เป็นคนเสีย เป็นคนที่เสีย” และ
       
       “….ที่จริงควรเข้าคุก แต่เพราะฝรั่งบอกอย่างนั้น ก็ไม่ให้เข้า ไม่มีใครกล้าเอาคนที่ด่าพระมหากษัตริย์เข้าคุก เพราะพระมหากษัตริย์เดือดร้อน เขาหาว่าพระมหากษัตริย์เป็นคนที่ไม่ดี อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคนที่จั๊กจี้ ใครว่าไรซักนิด ก็บอกให้เข้าคุก ที่จริงพระมหากษัตริย์ไม่เคยบอกให้เข้าคุก ตั้งแต่สมัยสมัยรัชกาลก่อนๆ เป็นกบฏ ก็ยังไม่จับใส่คุก ไม่ลงโทษ รัชกาลที่ ๖ท่านไม่ลงโทษ ไม่ได้ลงโทษผู้ที่เป็นกบฏ มาจนถึงต่อมา รัชกาลที่๙ใครเป็นกบฏ ก็ไม่เคยมีแท้ๆ ที่จริงก็ทำแบบเดียวกันไม่ให้เข้าคุก ให้ปล่อย หรือถ้าเข้าคุกแล้วก็ให้ปล่อย ถ้าไม่เข้าก็ไม่ฟ้อง เพราะเดือดร้อนผู้ที่ถูกด่า เป็นคนเดือดร้อน
       
       อย่างที่คนที่ละเมิดพระมหากษัตริย์ และถูกทำโทษไม่ใช่คนนั้นเดือดร้อน พระมหากษัตริย์เดือดร้อน นี่ก็แปลก คราวนี้นักกฎหมายก็ชอบให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก อันนี้นักกฎหมายก็สอนนายกฯ ว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ ก็สอนนายกฯ ว่าใครบอกให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ลงท้ายไม่ใช่นายกฯเดือดร้อน แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน อาจจะอยากให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อน ไม่รู้นะ เขาทำผิด เขาด่าพระมหากษัตริย์ เพื่อให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อน และเดือดร้อนจริงๆ เพราะใครมาด่า เราชอบไหม ไม่ชอบ แต่ถ้านายกเกิดให้ลงโทษ แย่เลย…”
       
       พระราชดำรัสองค์นี้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ต้องตีความใดๆ และแสดงให้เห็นทั้งน้ำพระทัยประชาธิปไตย และพระมหากรุณาตรงไปตรงมาที่สุด
       
       ดังนั้น ที่ฝรั่งบางคนซึ่งยกย่องตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และศึกษากฎหมายหมิ่นประมาทเป็นวิทยานิพนธ์เขียนว่า “กฎหมายนี้เป็นตัวก่อให้เกิดปัญหาการบังคับใช้จนเกินขอบเขตในตัวเอง เพราะไม่มีข้อจำกัดในกฎหมาย” (There are no limits on the law) จึงเป็นข้อเขียนที่อคติและผิดอย่างชัดเจน เพราะข้อจำกัดนั้นอย่างน้อยมี ๒ ประการ คือ ต้องดูเจตนา และศาลย่อมใช้ดุลพินิจกำหนดโทษไม่ร้ายแรงเกินควรได้ประการหนึ่งหากคดีไปถึงศาล และอีกประการหนึ่งก็คือพระมหากรุณา ที่ทรงแสดงให้เห็นว่า ไม่มีพระราชประสงค์ให้ใช้ความผิดนั้นพร่ำเพรื่อ และให้วิจารณ์อย่างเป็นธรรมได้ ทั้งไม่มีพระราชประสงค์ให้จำคุกใครด้วย แต่สิ่งที่ฝรั่งคนนี้วิจารณ์ได้ถูกต้องก็คือ ความน่ากลัวของกฎหมายนี้อยู่ที่ “ตำรวจหรือใครๆก็สามารถใช้กฎหมายนี้กล่าวหาใครก็ได้”
       
       ประเด็นหลังนี้เองที่ทำให้ต้องมาคิดทบทวนกันด้วยความจริงจังว่า จะยังปล่อยให้ใครต่อใครไปกล่าวหาผู้อื่นด้วยข้อหานี้จนเป็นที่มาของความรู้สึกว่ามีการกล่าวหากันพร่ำเพรื่อ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของผู้กล่าวหาและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า “ทรงเดือดร้อน” หรือจะมีการปรับปรุงเรื่องนี้อย่างไร
       
       ข้อสรุปและเสนอแนะ
       
       ผู้เขียนในฐานะคนไทยและนักกฎหมาย เห็นว่า กฎหมายที่เกี่ยวกับการดูหมิ่น หมิ่นประมาทคนไทยทั้ง ๓ กลุ่ม โดยเฉพาะความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นสอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ หลักรัฐธรรมนูญนานาอารยประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สอดคล้องกับหลักอาชญาวิทยาว่าด้วยการกำหนดความผิดไม่ขัดหลักประชาธิปไตย และเป็นข้อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกที่มีเอกลักษณ์ของตนเองตามหลักจริยธรรมและวัฒนธรรมไทยที่คนไทยส่วนใหญ่ยึดถือ ไม่ขัดหลักสิทธิมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาติแต่อย่างใด
       
       อย่างไรก็ตาม ก็สมควรมีการปรับปรุงการใช้บังคับกฎหมายดังกล่าว ไม่ให้ใช้พร่ำเพรื่อเกินขอบเขต โดยน่าจะนำแนวทางกฎหมายนอร์เวย์มาปรับใช้ กล่าวคือ คดีความผิดในกลุ่มที่๓ ซึ่งรวมการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทประมุขของ รัฐต่างประเทศนั้น ผู้กล่าวหา สอบสวน และฟ้องร้อง คือ อัยการสูงสุดแต่ผู้เดียว เพื่อมิให้มีการกล่าวหากันได้ง่ายๆ ดังที่เป็นอยู่ และต้องยอมรับร่วมกันว่า การใช้ดุลพินิจของอัยการสูงสุดนั้นเด็ดขาด จะนำไปฟ้องร้องในทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางปกครองมิได้ เพื่อมิให้มีใครนำอัยการสูงสุดไปฟ้องศาลว่า กระทำผิดอาญาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๑๕๗ และศาลฎีกาเคยตัดสินลงโทษจำคุกอัยการที่สั่งไม่ฟ้องมาแล้วในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๐๙/๒๕๔๙ ทั้งนี้ เพื่อให้สถาบันหลักทางกฎหมายของประเทศไทยได้กลั่นกรองด้วยความรอบคอบเสียก่อน
       
       ///////////////////////////////////////
       
       หมายเหตุ : - บทวิเคราะห์นี้ ตีพิมพ์เป็นหนังสือ เมื่อปี 2552 จัดพิมพ์โดย สถาบันพระปกเกล้า
       - ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 20:14:06
“ปู” กรี๊ด! ไร้เงานักธุรกิจฟังปาฐกถา สั่งระดมคนให้เต็มห้องก่อนขึ้นจ้อ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

สมาคมสื่อ ศก. หรือ “ยิ่งลักษณ์” ไร้ประสิทธิภาพ หลังคนเข้าฟังปาฐกถา“ถอดรหัส GDPปี 55” โหรงเหรง ทำทีมงานวุ่นเกณฑ์ทั้งสื่อ-ช่างภาพ-ผู้ช่วย-นักศึกษากู้หน้านั่งฟังนายกฯ จ้อ ขณะที่ “ปู”เก็บอารมณ์ฉุน ฝืนขึ้นปาถก “มุมมอง ศก.ปี 55”
       
       เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 ก.พ. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมายังโรงแรมดุสิตธานี เพื่อเปิดงานสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “มุมมองเศรษฐกิจ ปี 55” ณ ห้องนภาลัย ตามคำเชิญของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ที่จัดสัมมนาเรื่อง “ถอดรหัส GDPปี 55”โดยเจ้าภาพจัดงานได้วางคิวให้นายกรัฐมนตรีขึ้นกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษในเวลา10.10 น.แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลานายกรัฐมนตรี กลับไม่สามารถขึ้นกล่าวเปิดงานสัมมนาได้ตามเวลาที่ตั้งไว้ เนื่องจากแขกรับเชิญที่เจ้าภาพโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจแจ้งต่อทีมงานนายกรัฐมนตรีว่า จะมาร่วมงาน 400 คนนั้น ส่วนใหญ่ที่มานั่งในห้องนภาลัย ล้วนแต่เป็นผู้สื่อข่าวสายการเมืองประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ติดตามภารกิจของนายการัฐมนตรีในทุกๆ วัน อีกส่วนเป็นผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจ ที่รวมกันแล้วไม่ถึง 50 คน เช่นเดียวกับตัวแทนภาคธุรกิจ เอกชน หลักๆ ไม่เห็นเข้าร่วมงานแต่อย่างใด
       
       ทั้งนี้ จากการตรวจสอบรายชื่อผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฝ่ายนักธุรกิจพบว่า มีเพียงตัวแทนจากธนาคารภาครัฐเท่านั้น ส่งผลให้บรรยากาศในห้องนภาลัย ที่จัดเก้าอี้ไว้ 400 ที่นั่งบางตา ทำให้ทางทีมรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่สำนักนายกรัฐมนตรี และผู้จัดงานพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่โรงแรม ต้องเดินเกณฑ์ขอความร่วมมือให้ช่างภาพและผู้ช่วยสื่อมวลชนเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้อย่างโกลาหล เพื่อให้เห็นว่า มีแขกเข้ารับฟังการปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีเยอะ แต่ทางช่างภาพปฏิเสธที่จะทำได้ตามที่ขอความร่วมมือ เนื่องจากต้องปฏิบัติหน้าที่ถ่ายภาพข่าว ทำให้เจ้าภาพผู้จัดงานและเจ้าหน้าที่สำนักนายกรัฐมนตรีต้องไปเกณฑ์พนักงานของโรงแรมบางส่วน นักศึกษาฝึกงาน มานั่งเก้าอี้ที่จัดไว้ โดยเน้นให้ไปนั่งด้านหน้า เพื่อให้ภาพออกมาดูไม่น่าเกลียด
       


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 20:16:10
   
นักธุรกิจได้ฟังที่ไปพูดที่ดาวอส เลยไม่กล้ามา

นี่คือวิสัยทัศน์และภาษานายกฯ ยิ่งลักษณ์บนเวทีโลก เมืองดาวอส ตามที่หลายๆ ท่านฟอร์เวิร์ดให้ผมอ่าน


"Of course that male and female...on the balance of the the....ah male and female..ur..must be compliment together and ambitious is more..is...important, but the qualification and the capab the capable ar for this job is..is even more important...that ar that s will be..not...ar that s that s we cannot be ar separate between from male and female.....so that is will be equalize so ur....we have to give the chance ar from.....both male and female in politics...ar especially in Thailand for female will be the symbolic of nonviolent. So i saw that if we have the proportion of male and female mix together....First on the personality so we can fulfill on the thing that the man didn't cover, but ar of course that male cannot do better than....female cannot do better than male in some area, so that's ur mean ar the compliment and nonviolent will help ur especially in Thailand....ur Mister Mutu will say that ar in the roc reconciliation that s mean compliment, so I use that feminine to come up with other people and move Thailand forward for reconciliation at a peaceful for my country. Thank you."

เธอพูดจบ ทันที พิธีกรชายแดกนายกฯ ปูว่า....

Madam Prime Minister I have to also say that you speak better English than I do.

ก็คลิกฟังเฉพาะเสียงเธอได้ที่ http://www.antithaksin.com/VDO/Poo_speech1.mp3

ความยาวประมาณ ๓ นาที และที่ตามเว็บบอกว่า "เธอพูดจบ ทันที พิธีกรชายแดกนายกฯ ปู" นั้น
 ผมเปิดฟังแล้ว ตอนพิธีกรชายพูด มีเสียงหัวเราะครืนปนเสียงตบมือกราวให้


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 20:20:45
ของแถมอีกหน่อยครับ

หลังเธอพูดจบที่ดาวอส......
พิธีกรชาย: "Madam Prime Minister I have to also say that you speak better English than I do."
ปูเน่าตอบว่า: "Thank you. You are OVERCOME!!!!!!"

หรืออีกเวอร์ชั่น   
ก็พิธีกรหรือ Modurator มัวแต่ดู เลยไม่ได้ฟัง
เลยไม่รู้จะพูดอะไรเลยพูดแก้เขิน You speak better English than I do
ลองถามฝรั่งดูประโยคนี้มันเย้ยยันกันนิดๆ

   
ปูเน่าก็ตอบผิด
ต้องตอบ It is my เวรกรรม


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2555, 13:43:48
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd329944_2194816_6180427_2000838photo.jpg)

BEST BAR JOKE EVER

Guy goes into a bar, there's a robot bartender.
The robot says, "What will you have?"
The guy says, "Schooner of New"
The robot brings back the best beer ever and says to the man,
"What's your IQ?"
The guy says," 168."
The robot then proceeds to talk about physics, space exploration and
medical technology.

The guy leaves, but he is curious...So he goes back into the bar.
The robot bartender says, "What will you have?"
The guy says, "Schooner of New"
Again, the robot pours a great beer and gives it to the man and asks,
"What's your IQ?"
The guy says, "100."
The robot then starts to talk about V8 Super cars, MotoGP, Tooheys
beers and Supercheap Auto.
The guy leaves, but finds it very interesting, so he thinks he will
try it one more time.

He goes back into the bar.
The robot says, "What will you have?"
The guy says, "Schooner of New," and the robot brings him another great
beer.
The robot then says, "What's your IQ?"
The guy says, "Uh, about 50."
The robot leans in real close and asks,

"So, you people still happy you voted for Yingluck?"


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2555, 10:22:42
ชาวSocial ถล่ม ICT บนข้อครหา"แบน" Simsimi

ตอนนี้ ยากที่จะปฏิเสธว่า ผู้คนโลกไซเบอร์ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก  เจ้ากุ๊กไก่ ตัวกลมอ้วน สีเหลือง นามว่า SimSimi    แอพพลิเคชั่นทางโทรศัพท์สมาร์ทโฟน และเว็บไซต์ www.simsimi.com  สัญชาติเกาหลี ที่เพิ่งระบาดเข้าสู่กระแสสังคมไทยไปในช่วงเวลาไม่ถึง  3 สัปดาห์  มานี้ กลับได้รับความนิยมในการดาวน์โหลดมาไว้เป็นเพื่อนคุยแก้เหงา   ในรูปของ บอทแชท (Chatting Robot)  มากเสียยิ่งกว่ามาก


ด้วยความยียวนกวนประสาทของเจ้าบอทแชตที่ว่านี้ กับคำถามตอกกลับเราๆท่านๆ ที่อยากลองดีกับ เจ้า SimSimi   ด้วยการพิมพ์ข้อความเพื่อหวังจะสนทนา  อะไรบางอย่าง มักจะสร้างความอึ้ง ทึ่งและกระตุกรอยยิ้มกลั้วเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ใช้ไปไม่มากก็น้อย  ทั้งถ้อยคำเสียดสี  กวน...  น่ารักๆ คำหวานหรือแม้กระทั่งถ้อยคำหยาบคาย คำผวนที่ส่อสองแง่สองง่าม    หรือจะคำนิยามของ"ชื่อ"บุคคลต่างๆ  ทั้งมีชื่อเสียงและบุคคลทั่วไปซึ่งก็แล้วแต่การเข้าไปสอน ป้อนคำเจ้า  SimSimi  ให้มันเรียนรู้ของผู้ใช้ในโลกโซเชี่ยลมีเดียเองนี่ล่ะ

ช่วงเย็นของวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2012 ได้เกิดกระแสท่วมทั้ง Twitter และ Facebook ว่า แอพ SimSimi ที่กำลังโด่งดังสุดขีดในขณะนี้ ไม่สามารถตอบโต้ผู้ใช้กลับมาเป็นภาษาไทยได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานจากแอพบนมือถือ Android, iPhone หรือแม้แต่บนเว็บ เจ้า SimSimi ก็ออกอาการใบ้ทันทีเมื่อผู้ใช้พิมพ์ภาษาไทยพูดกับมัน


หลังจากนั้นผู้ใช้แอพ SimSimi ส่วนใหญ่ก็พากันโวยว่า จะต้องเป็นกระทรวงวัฒนธรรม หรือกระทรวง ICT ทำการแบนแอพ SimSimi อย่างแน่นอน
โลกของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค อย่าง Facebook   บรรดาผู้ใช้ต่างๆ ที่ต่างก็บอกคิดถึงเจ้าไก่   ได้มีการทำรูป เจ้า SimSimi   ตอบโต้  ล้อเลียน จิกกัด  ข้อกล่าวหา "การแบน"  ของทั้งรัฐบาล กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงไอซีที

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd240967_3156352_522334_741446photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd556612_1795764_8274811_1114075photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd808735_9114433_9550076_8121712photo.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd632627_6140389_3318567_9749868photo.jpg)





หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2555, 23:11:41
เปิดข้อมูล'จตุพร'กับพวกขนเงิน25ล.ตั้ง 5บ.ก่อนปิดกิจการปริศนา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สำนักข่าวอิศรา เปิดข้อมูล"จตุพร" กับพวก ขนเงิน 25 ล้านจดทะเบียนธุรกิจ 5 แห่งรวดช่วงไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ปริศนา!ใช้ออฟฟิศแห่งเดียวกัน


เว็บไซด์ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ก่อนเข้าสู่อำนาจรัฐเป็นรองโฆษกรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ต้นปี 2551 และเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตอนต้นปี 2555  นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ มีธุรกิจ 3 แห่งคือ บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด รับเป็นปรึกษาประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ (รับงานโครงการท่อส่งก๊าซ ของ บมจ. ปตท.) และ บริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด และ บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด รวมเงินลงทุน 3 บริษัท 23 ล้านบาท (มูลค่าตามตามสัดส่วนการถือหุ้น)     

นายจตุพร พรหมพันธุ์ หุ้นส่วนบริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด และ บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด เป็นอย่างไร?

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า ในช่วงเดือนเมษายน 2544 ที่นายณัฐวุฒิก่อตั้งบริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด  ไม่ถึงปีถัดมานายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ทำธุรกิจเช่นกัน

หากแต่ธุรกิจของนายจตุพรลงทุนร่วมกับนายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย และนายฐาปนา จินดากาญจน์ 
   
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม  2545 นายจตุพรกับพวกจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด 5 แห่งรวด รวมเงินลงทุน 25 ล้านบาท (เฉพาะนายจตุพร 8.6 ล้านบาท)  ได้แก่
         
1.หจก.สยามเชนจ์ พอยท์ จดทะเบียนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2545 ทุน 5 ล้านบาท รับเหมาก่อสร้าง ถมดิน ขุดดิน ปรับหน้าดิน  มีหุ้นส่วน 3 คน   
นายจตุพร 1,600,000 บาท บาท
นายฐาปนา จินดากาญจน์  1,600,000 บาท
นายสถาพร มณีรัตน์ 1,800,000 บาท   
       
2. หจก.วิชั่น แอนด์ ซีนะรี จดทะเบียนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 ทุน 5 ล้านบาท  ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง ผลิตสื่อโฆษณา  หุ้นส่วน 2 คน
นายจตุพร 4,000,000 บาท   
นายสถาพร มณีรัตน์ 1,000,000 บาท
       
3.หจก. ศรีหมวดเก้า จดทะเบียนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 ทุน 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ ขุดถ่านหิน ขุด ขนแร่ต่างๆ หุ้นส่วน 2 คน
นายจตุพร 1,000,000 บาท   
นายสถาพร มณีรัตน์ 4,000,000 บาท
         
4.หจก.บุตรตะวัน จดวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 ทุน 5 ล้านบาท ประกอบกิจการ2  ข้อ  ถมดิน ขุดปรับหน้าดิน ขายซื้อที่ดินทั้งหมด และ ประกอบกิจการขนถ่ายขุดถ่านหิน แร่ต่างๆทำเหมืองแร่ทั้งหมด มีหุ้นส่วน 2  คน
นายจตุพร 1,000,000 บาท บาท
นายฐาปนา จินดากาญจน์ 4,000,000 บาท
         
5.หจก. ศรีสมุย ลองสเตย์ จดทะเบียนวันที่ 12 มีนาคม 2545 ทุน 5 ล้านบาท  แจ้งข้อมูลต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ ประกอบธุรกิจบริการให้คำปรึกษาแก่ชาวไทยและต่างชาติเพื่อเป็นสมาชิกประกอบธุรกิจท่องเที่ยวพำนักระยะยาว  ประกอบกิจการอำนวยความสะดวกในการจองที่พัก โรงแรม ในโครงการที่พักระยะยาว และประกอบกิจการให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาโครงการพัฒนาโครงการหมู่บ้าน หุ้นส่วน 2 คน
นายจตุพร 1,000,000 บาท   
นายสถาพร มณีรัตน์ 4,000,000 บาท           
         
หจก.ทั้ง 5 แห่งมีที่ตั้งเลขที่เดียวกัน เลขที่ 69/12 อาคารอัลฟ่าบิลดิ้ง ชั้น 12 โซนเอ ถนนวิภาวดีรังสิต สามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ
         
น่าสังเกตว่า กิจการของนายจตุพรกับพวกจดทะเบียนก่อตั้งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันและอยู่ในช่วงพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล 
         
จากการตรวจสอบพบว่าทั้ง5 แห่งเปิดดำเนินการเพียงสั้นๆ ไม่ได้แจ้งผลประกอบการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า  และแจ้งเลิกกิจการพร้อมกันวันที่  24 ธันวาคม 2547
         
อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่าทรัพย์สินของนายจตุพรและนายสถาพรที่แจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ในช่วงเวลาถัดมา มีจำนวนไม่มากนัก

ตอนตำแหน่งระบบบัญชีรายชื่อ วันที่ 22 มกราคม 2551 นายจตุพรแจ้งทรัพย์สิน 8,050,892.2 บาท แบ่งเป็น
เงินฝาก 5 บัญชี 2,599,939.46 บาท , โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง บ้านเลขที่ 99/92 หมู่ 4 แขวงคลองถนน เขตสายใหม่ กรุงเทพฯ  2,700,000 บาท   , รถยนต์ 2 คัน  ทะเบียน สอ.2535 กรุงเทพมหานคร 1,750,800 บาท คันที่ 2 ทะเบียน ชศ 2535 กรุงเทพมหานคร มูลค่า 999,312 บาท   รวมมูลค่า  2,750,122 บาท  ไม่มีทรัพย์สินอื่น
หนี้สิน เงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 2,750,112 บาท (หนี้สินมีจำนวนเท่ากับมูลค่ารถยนต์)

บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (นอกสมรส)  1 คน  เพศหญิง (ขณะอายุ 8 ปี ที่อยู่แจ้งว่า 31/1 หมู่ที่ 77 ซอยริมคลองบางกอกน้อย แขวงศิราราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ) มีเงินฝาก ธนาคารออมสิน 1 บัญชี    840.96 บาท
เบ็ดเสร็จมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 5,300,780.2 บาท
       
ขณะที่นายสถาพร มณีรัตน์ ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย วันที่ 22 มกราคม 2551 แจ้งมีทรัพย์สิน 714,592,59 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 384,592.59 บาท ที่ดิน 2  แปลง (อ.ป่าซาง จ.ลำพูน)  เนื้อที่ 5-0-28 ไร่  หนี้สิน 911,298.74 บาท นางลาวรรณ ภรรยา มีทรัพย์สิน 3,302,519.18 บาท  ประกอบด้วยเงินฝาก  1,627,519.18 บาท ที่ดิน 1 แปลง (อ.บ้านธิ จ.ลำพูน) 0-1-69 ไร่ รถยนต์ 3 คัน 1,530,000 บาท  หนี้สิน 1,170,592 บาท บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ มีเงินฝาก 244.08 บาท และที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 0-0-66 ไร่ มูลค่า 25,000 บาท  รวมทรัพย์สินทั้งหมด 4,042,355.85 บาท เบ็ดเสร็จมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,960,465.11 บาท

 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2555, 22:57:14
ปราบดา หยุ่น ปัญญาชนซีไรต์ กับการ “เนรคุ่น” ไล่ล่า ม. 112
โดย ASTVผู้จัดการรายวั

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-จากการหมกมุ่นอยู่กับการเรียกร้องให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้ช่วงหลังมานี้ ‘คุ่น-ปราบดา หยุ่น’ นักเขียนซีไรต์ชื่อดัง ดู ‘เสียกิริยา’ ไปมาก จากอาการ ‘วีนแตก’ ใส่คนที่ตั้งคำถาม และวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดของเขา หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าช่วงหลังมานี้ นักเขียนซีไรต์เอาแต่เขียนเฟซบุ๊กเหน็บแนม ประชดประชัน แดกดันผู้คนในสังคมไทยที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดแก้ไขมาตรา 112 จนหลายคนเป็นห่วง และหลายคนรู้สึกผิดหวังในตัวผู้เป็น ‘ไอดอล’ ของพวกเขา
       
       หลังจากที่ ‘ปราบดา หยุ่น’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเครือ ‘เนชั่น’ หลานชายสุดที่รักของ ‘เทพชัย หย่อง’ ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง “ทีวีไทย” ที่ออกมาเสนอตัว เสนอหน้าเคราๆ และหัวเหม่งๆ ของเขาเป็น ‘แกนนำนักเขียน’ (ส่วนมากเป็นนักเขียนเสื้อแดง ที่ชื่นชมและเทิดทูนในตัว ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อย่างหาที่สุดมิได้) ป่าวประกาศ เรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112
       
       ราวกับว่าทุกวันนี้เขาถูกปิดกั้นเสรีภาพทางการคิด การเขียน และการแสดงออกอย่างหนัก และราวกับว่าทุกวันนี้ประชาชนถูกปิดหูปิดตา ถูกกลั่นแกล้ง เอารัดเอาเปรียบ และถูกกดให้เป็นทาส ถ้าไม่ออกมาเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ประชาชนและ ‘นักเขียน’ อย่างเขาก็จะไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้ในชาตินี้
       
       ทั้งๆ ที่หากฉุกคิดสักนิด หรือโยนอคติทิ้งไป ‘ปราบดา’ ก็จะสามารถสัมผัสได้ถึง ‘เสรีภาพ’ ที่เขาสามารถออกมาแหกปาก ทำเท่ เรียกร้องให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมันก็เป็นเสรีภาพอย่างมากที่ ‘ปราบดา’ สามารถวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ชื่นชมในตัวคนที่มีแนวคิดและพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จนออกนอกหน้า กระทั่งกระโดดเข้าร่วมกับขบวนการรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 หรือ 'ครก.112' โดยมีพวก ‘นิติราษฎร์’ เป็นแกนนำ
       
       มันเป็นเสรีภาพขนาดไหนที่ ‘ปราบดา’ สามารถทำได้ขนาดนี้ และมีที่อยู่ที่ยืนในประเทศไทย เพราะถ้าเป็นที่อื่น หรือหากประเทศไทยไร้ซึ่งเสรีภาพจริงๆ ‘ปราบดา’ จะไม่มีโอกาสแม้กระทั่ง ‘ไอ’ ให้ใครได้ยิน
       
       แต่ ‘ปราบดาและสาวก’ ของเขาต้องการมากกว่านั้น มากกว่าเสรีภาพที่มีอยู่ในปัจจุบัน มากกว่าเสรีภาพที่เคยมีมาจนทำให้เขาเขียนหนังสือจนได้รางวัลซีไรต์ และมีชื่อเสียงโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นจึงเป็นที่มาของการกระโดดเข้าร่วมขบวนการ ‘นิติราษฎร์’ หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่ากลุ่ม 'นิติเรด' หรือกลุ่ม 'วรเจี๊ยก' ที่มี 'นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์' อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นแกนนำ เสนอให้มีการยกเลิกมาตรา 112 ในความผิดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยยกระดับการเคลื่อนไหวขึ้นเป็น 'คณะรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา112' หรือ 'ครก.112' ซึ่งประกอบด้วยบุคคลจากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงนักเขียน และนักเขี่ย กลุ่มของปราบดา โดยเริ่มล่ารายชื่อประชาชนให้ได้กว่า 1 หมื่นชื่อ เพื่อแก้ไขมาตรา 112
       
       โดยล่าสุด ขบวนการนิติราษฎร์ได้รุกคืบสำแดงความ 'เหิมเกริม' ด้วยการเสนอแนวคิดซึ่งถือเป็นการกดดัน 'สถาบันพระมหากษัตริย์' อันเป็นที่รักและเคารพสูงสุดของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าอย่างชัดเจนโดยถึงกับเสนอแนวคิดให้แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยกำหนดให้พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง ว่าจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ซึ่งส่อเจตนาบีบบังคับ กดดัน และบ่อนทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันอันเป็นที่เทิดทูนของปวงชนชาวไทย
       
       นอกจากแนวคิดปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว ขบวนการนิติราษฎร์ยังเสนอแนวคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเครื่องประเทศด้วยการปฏิรูปสถาบันหลักของชาติครั้งใหญ่ ทั้งกองทัพ ศาล และองค์กรอิสระ โดยกองทัพต้องอยู่ภายใต้อำนาจและคำสั่งของฝ่ายการเมือง ประธานศาลฎีกาและเหล่าตุลาการทั้งหลายต้องอยู่ภายใต้คณะรัฐมนตรีแทนที่จะเป็น ‘พระมหากษัตริย์’ และให้ยกเลิกองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทั้งหลาย
       
       รวมถึงก่อนหน้านี้ก็มีแนวคิด ‘ห้ามกษัตริย์มีพระราชดำรัสสดต่อสาธารณะ’ จนคนไทยที่จงรักภักดี 'รับไม่ได้' กับการเสนอแนวคิดที่เหิมเกริมและ 'วิปริต' ดังกล่าว
       
       คำถามที่ตามมาจากหลายคนหลายฝ่ายก็คือ ขบวนการนิติเรด-นิติราษฎร์ที่ประกอบด้วยบุคคลจากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงพวกนักเขียน และนักเขี่ย กลุ่มของปราบดานี้ ต้องการด่าพระมหากษัตริย์อย่างไม่มีความผิด ใช่หรือไม่ เพราะดูจากแนวคิดและกิจกรรมที่ทำ มันก็ส่อให้เห็นเจตนาว่า ต้องการอย่างนั้นจริงๆ
       
       แล้วอย่างนี้ประชาชนคนไทยที่ ‘จงรักภักดี’ ที่ไหนเขาจะรับได้!
       
       และเมื่อความเหิมเกริมหนักข้อขึ้นทุกวัน และนานวันเข้า ความอดทนอดกลั้นของประชาชนคนไทยผู้ ‘รักในหลวง’ ก็ใกล้ถึงจุดระเบิด เห็นได้จากปรากฏการณ์ ‘กระแสต่อต้าน’ จากผู้คนในสังคมที่เกิดมีขึ้นทุกวัน และนับวันจะยิ่งเข้มข้นและมากขึ้นเรื่อยๆ
       
       และเมื่อ ‘คลิก’ เข้าสู่โลกออนไลน์ ก็จะพบกระแสต่อต้านการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 เกิดขึ้นมากมายและเข้มข้นเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะใน ‘เฟซบุ๊ก’ ที่หลายต่อหลายคนต่างตั้งคำถาม คำด่า คำสาปแช่ง และคำต่างๆ นานาพุ่งเป้ามาที่ ‘ปราบดา หยุ่น’ ผู้นำนักเขียน ในการเรียกร้องให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างไม่มีกาลเทศะ ทั้งๆ ที่มีเรื่องจำเป็น เร่งด่วน และสร้างสรรค์อีกมากมายให้ ‘ปราบดาและสาวก’ ออกมาเรียกร้องกัน แต่ผู้นำทางความคิดอย่าง ‘ปราบดา’ กลับนำพาเหล่าสาวกของเขาออกมาเรียกร้องเอาเป็นเอาตายกับการให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในตอนนี้
       
       ‘กนก รัตน์วงศ์สกุล’ พิธีกรรายการข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Kanok Ratwongsakul วิจารณ์กลุ่มที่สนับสนุนให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า
       
       "ทุกๆ 10 นาที จะมีคนโพสต์ต่อต้านกลุ่มที่จะขอแก้มาตรา 112 ลงที่เฟซบุ๊กนี้ ผมก็ตามอ่านตลอด บางคนลงรูปของอาจารย์นิติฯ ธรรมศาสตร์ ที่เป็นหัวหอกแก้มาตรานี้ ซึ่งผมจะลบออกทุกครั้ง เพราะไม่อยากเห็นหน้าคนกลุ่มนี้บนเฟซบุ๊กผม ถ้าพวกนี้อายุ 30 - 40 กว่าปี ตามที่เสธ.หนั่นไล่ให้ไปอ่านประวัติศาสตร์ ผมสงสัยว่า พ่อแม่เขายังอยู่หรือเปล่า รุ่นพ่อรุ่นแม่น่าจะทันได้เห็น “ในหลวง” ทรงงานมาตลอด ถ้าลูกไม่ใส่ใจในความเป็นกษัตริย์นักพัฒนา มัวแต่ดื้อด้านจะแก้กฎหมายท่าเดียว แล้วพ่อแม่พวกนี้ทำอะไรอยู่ ไม่ห้ามปรามเลยหรือ? หรือวายชนม์ไปหมดแล้ว? ผมขอโทษนะครับ อย่าหาว่าผมก้าวล่วง แต่อยากถามคนกลุ่มนี้จริงๆ ว่า พ่อแม่คุณอบรมสั่งสอนหรือเปล่า?"
       
       ซึ่งทาง ‘ปราบดา หยุ่น’ ผู้นำนักเขียนที่เข้าไปร่วมกับกลุ่มนิติราษฎร์ ก็ออกมาตอบโต้ทันควันโดยโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก TyphoonBooks Thailand ของเขาว่า
       
       "ปกติไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัวเลย แต่บางข่าววันนี้ทำให้อยากบอกว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนโชคดีมากๆ คือการมีพ่อกับแม่ที่มอบสิ่งมีค่าที่สุดกับเรามาตลอด นั่นคืออิสระทางความคิดและการใช้ชีวิต สำหรับเรา ความหมายของการอบรมสั่งสอนลูกที่ดีคือแบบนี้ ไม่ใช่แบบที่อบรมให้ไหม้เกรียมไปด้วยการบังคับ และสั่งสอนให้ตกเป็นทาสของขนบงมงาย"
       
       ขณะที่บางรายถึงกับตั้งคำถามว่า ไม่รู้พระมหากษัตริย์ไปทำความเดือดร้อนอะไรให้นักหนา ‘ปราบดา’ จึงตั้งหน้าตั้งตาทำแต่เรื่องนี้ โดยไม่เห็นเขาจะสนใจไยดีหรือพูดถึงความทุกข์ร้อนของประชาชนในเรื่องอื่นและที่อื่นๆ เลย
       
       และเมื่อเจอกับคำถาม คำวิพากษ์วิจารณ์ และคำด่าทอหนักขึ้นทุกวัน ก็ทำให้ ‘ปราบดา’ ผู้เป็น ‘ปัญญาชนซีไรต์’ ถึงกับเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวกราดเกรี้ยวใส่คนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดแก้ไขมาตรา 112 โดยเขาได้โพสต์ข้อความกระแนะกระแหน ประชดประชัน แดกดันคนที่ไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของเขา อย่างเช่นกรณีที่กลายเป็นวิวาทะร้อนในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็คือข้อความที่เขาโพสต์ว่า
       
       “วัดจากคอมเมนต์ของคนที่ด่าคนอื่นว่า “เนรคุณประเทศชาติ” หรือถามคนอื่นว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า” ดูเหมือนบรรดาคนที่กตัญญูและ “เป็นคนไทย” ส่วนใหญ่จะหยาบคาย ก้าวร้าว และรักความรุนแรงมากถึงมากที่สุด เพิ่งเข้าใจว่าคุณสมบัติของความเป็นคนไทยเป็นเช่นนี้เอง” นี่คือถ้อยคำของปราบดา หยุ่น ‘ปัญญาชนซีไรต์’ ที่เขียนโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กของเขา
       
       และข้อความใน ‘สเตตัส’ นี้เองที่ทำให้ ‘เตชะ ทับทอง’ หนึ่งในตัวแทนทำดีเพื่อพ่อ ออกมาตอบโต้ทันควันเช่นกัน ว่า
       
       "ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ และบรรพบุรุษผมเป็นคนไทย ผมจึงเป็นคนไทย โดยความภาคภูมิ ผมยึดแนวทางกตัญญูต่อแผ่นดินไทย และสถาบันสูงสุดของไทย ยิ่งชีวิต ผมมีความรักสถาบันสูงสุด อย่างมากที่สุด มากเกินกว่าที่คนอย่างคุณจะเข้าใจ ผมอาจจะเป็นคนไทยส่วนน้อย ตามที่คุณเข้าใจ เพราะผมไม่หยาบคาย ไม่ก้าวร้าว แต่สิ่งที่ผมแน่ใจได้คือ คนไทยส่วนน้อยเช่นผมก็ไม่ได้ชื่นชมคุณแต่อย่างใด โปรดจงอภัยให้กับคนไทยส่วนใหญ่ คนไทยผู้ที่ก้าวร้าว คนไทยที่หยาบคายกับคุณ เพราะเขากำลังตอบโต้กับคนที่เนรคุณแผ่นดิน หยาบคายต่อบรรพบุรุษไทย การดูถูกคุณสมบัติคนไทยส่วนใหญ่ที่กตัญญู ถือเป็นความเขลาของปัญญาชนซีไรต์เช่นคุณ ขอบคุณที่ทำให้คนไทยตาสว่าง และแยกแยะได้ว่า พ่อสอนลูกแล้ว แต่ลูกมันไม่รักดี"
       
       นอกจากนี้ ยังมีกลอนดังโดนใจของ ‘พี่คนดี’ (P.khondee) ที่ฮือฮากันในเฟซบุ๊กตอนนี้ โดยมีชื่อกลอนว่า ‘ถึงคุณ PRAVDA’
       
       “คุณปร๊าฟด้า ด่าคนที่ “กตัญญู”     จะด่ากู หรือด่า คนส่วนใหญ่
       
       กูเดือดร้อน ก็เพราะกู “เป็นคนไทย”   ขอใช้ “กู” ดูหยาบไป ขอโทษที
       
       อันคำว่า “หยาบคาย” อาจหมายว่า    “ไม่รู้กา ละเทศะ” ขณะที่
       
       มีคนร้าย ยุแยง แกล้งราวี        ควรหรือเข้า เป็นภาคี ช่วยชักจูง
       
       ส่วน “ก้าวร้าว” นั้นหรือ คือรุกหนัก     “ไม่รู้จัก ที่ต่ำ หรือที่สูง”
       
       ก้าวร้าวล่วง จ้วงเจ้า เข้าชักจูง     เข้าร่วมฝูง คนร้อยเล่ห์ “เนรคุณ”
       
       อย่ากล่าวหา ว่าเรา “รัก ความรุนแรง”    เราไม่เหมือน พวกแร้ง แดงสถุล
       
       แค่เดือดดาล ไม่ได้พาล ทำร้ายคุณ     ไม่ได้คิด ทำหุ่น คุณไปเผา
       
       มัน “มากถึง มากที่สุด” ยังไงหว่า     เขา “เม้นท์” ด่า ไม่ได้ปา ด้วยไข่เน่า
       
       ก็เข้าใจ คงโดนใส่ อยู่ไม่เบา     แต่อย่าเหมา ว่าเรา “รักความรุนแรง”
       
       “คุณสมบัติ ของความ เป็นคนไทย”    คือมักไม่ ทำอะไร ที่แผลง ๆ
       
       คนรู้ผิด ให้อภัย ไม่ไล่แทง     ถ้าไม่เชื่อ ลองแถลง ว่า “เสียใจ”
       
       มันเดือดร้อน อย่างไร ต้องเรียกร้อง          อยากจะให้ ไตร่ตรอง ลองคิดใหม่
       
       เราร่วมดอง เป็นพี่น้อง เพื่อนผองไทย      ขอให้เปลี่ยน “ความเข้าใจ” ได้ไหมคุณ
       
       อย่างไรก็ตาม นับจากวันแรก ที่ปราบดาและสาวกออกมาปล่อยของผ่าน “จดหมายเปิดผนึกถึงเพื่อนนักเขียนไทยทั่วประเทศ เรื่อง: ขอเชิญร่วมลงชื่อในการเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และยุติการใช้ข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพปิดกั้นการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง” ความเคลื่อนไหวของ ‘ปราบดาและสาวก’ ก็ยังดำเนินไปด้วยความมุ่งมั่น ‘เอาเป็นเอาตาย’ ไม่สนใจกระแสสังคม และข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นถึงความเหมาะสม รวมถึงประเด็นที่พวกเขาหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุผล เพราะแม้กระทั่งการเปิด ‘แถ-ลง’ ข่าว พร้อมกับบันทึกคลิปวิดีโอของการแถลงข่าวเพื่อนำเสนอผ่านอินเทอร์เน็ต ‘ปราบดาและสาวก’ ก็ยังตอกย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไข มาตรา 112 เหมือนเดิม
       
       “พวกเรามิใช่กลุ่มก้อนที่ต้องการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือระดมแนวร่วมเชิงอุดมการณ์ พวกเราปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัวและไม่มีเจตนาแอบแฝงใดๆ นอกเหนือไปจากการเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็น และความเป็นธรรม อันเป็นปัจจัยสำคัญขั้นพื้นฐานที่ประชาชนในสังคมประชาธิปไตยพึงได้รับ และเป็นหัวใจของการทำงานเขียน ซึ่งผูกพันเกี่ยวข้องกับพวกเราและนักเขียนผู้ร่วมลงชื่อทั้งหมดโดยตรง”
       
       ให้ตายเถอะ! นั่นคือเหตุผลที่ ‘ปราบดาและสาวก’ สำแดงเอาไว้ในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการที่ปรากฏให้เห็นชัดทั้งหน้าและเสียง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้สังคมได้เข้าใจอีกเช่นเคยว่า การแก้ไขมาตรา 112 จะทำให้พวกเขามีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และความเป็นธรรม อันเป็นปัจจัยสำคัญขั้นพื้นฐานที่ประชาชนในสังคมประชาธิปไตยพึงได้รับและเป็นหัวใจของการทำงานเขียนนั้นหมายความว่าอย่างไร
       
       ใช่หมายความว่า ‘ปราบดาและสาวก’ ต้องการให้แก้กฎหมายมาตรานี้เพื่อทำให้สามารถวิพากษ์วิจารณ์ถึงขนาดที่เรียกว่า ‘ด่า’ สถาบันได้โดยไม่มีความผิด ใช่หรือไม่ หรือการแก้มาตรา 112 จะเป็นประโยชน์ต่องานเขียนของ ‘ปราบดาและสาวก’ อย่างไร
       
       ‘ปราบดาและสาวก’ ไม่เคยตอบคำถามเหล่านี้ชัดเจน เพียงแต่พร่ำบ่น “งึมงำๆ” ว่า “มาตรานี้มีปัญหาและต้องแก้ไข” จนผู้คนอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมพวกเขาถึงอยากแก้มาตรานี้กันนักกันหนา !
       
       มันจะทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปสู่ความมี ‘เสรีภาพ’ ในการทำงานเขียนถึงขีดจุดสุดยอดได้อย่างไร !?
       
       ด้วยเหตุดังกล่าว จงอย่าแปลกใจถ้าหากสังคมจะตั้งคำถามกลับไปที่ ‘ปราบดาและสาวก’ บ้างว่า ในช่วงที่บ้านเมืองเกิดวิกฤต คนเสื้อแดงก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมือง ‘ปราบดาและสาวก’ เคยคิดใช้เสรีภาพในการเขียนของตนเองที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมทำจดหมายเปิดผนึกเพื่อเรียกร้องทวงถามความยุติธรรมให้กับสังคมบ้างหรือไม่
       
       ถามว่า ‘ปราบดาและสาวก’ เคยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองต่อการ ‘ทุจริตคอร์รัปชัน’ ของนักการเมืองบ้างหรือไม่ และเคยเรียกร้องหรือมีจดหมายเปิดผนึกเพื่อแก้ไขบทลงโทษนักการเมืองชั่วๆ ให้หนักขึ้นกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ รวมถึงการกระทำอะไรที่ ‘ปกป้องสถาบัน’ ดังที่อ้างเอาไว้ในจดหมายเปิดผนึกถึงความจำเป็นที่จำต้องแก้มาตรา
       112 ว่า “เป็นการนำเสนอแนวทางที่จะสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับสถาบันกษัตริย์ในระยะยาว” บ้างหรือไม่
       
       ก็แล้วทำไมวันดีคืนดีในช่วงที่คนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยกำลังจะกลับมาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ‘ปราบดาและสาวก’ ถึงกล้าที่จะลุกขึ้นมาเพื่อขอแก้ไขกฎหมายมาตรานี้ ถ้า‘ปราบดาและสาวก’ ไม่ได้มีความคิดที่ดำเนินไปในท่วงทำนองเดียวกัน
       
       หรือไม่รู้ว่ามันจะเป็นท่วงทำนองเดียวกันกับที่ว่ากันว่า มีผู้ชายหัวโล้นคนหนึ่งนั่งอยู่บนเที่ยวบินที่กำลังจะไป ‘ดูไบ’ โดยไม่รู้เหมือนกันว่า ‘ชายหัวโล้น’ ไปพบใครหลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง
       
       คำถามที่หลายคนอยากรู้ ก็คือ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น ผู้เป็นบิดาของ ‘ปราบดา หยุ่น’ ได้พูดคุยกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผู้มีหัวคิดก้าวหน้า เรียนจบเมืองนอกเมืองนา และถูกอบรมสั่งสอนให้เป็นผู้มี ‘อิสระทางความคิดและการใช้ชีวิต’ บ้างหรือไม่ หรือพูดแล้วเตือนแล้วแต่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผู้มี ‘อิสระทางความคิดและการใช้ชีวิต’ ไม่ฟัง... หรือว่า อย่างไร ?
       
       หรือกระทั่งสื่อในเครือเนชั่นเอง ทั้งเนชั่นสุดสัปดาห์ กรุงเทพธุรกิจ คมชัดลึก The Nation ต่างก็หุบปากสนิท ตั้งแต่วันแรกที่ ‘ปราบดา หยุ่น’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ ลุกขึ้นมารวบรวมสาวกของเขาเรียกร้องให้แก้ไขมาตรา 112 บทความหรือรายงานพิเศษหลายชิ้นมิบังอาจแตะต้อง วิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถาม หรือแม้กระทั่งโจมตีการออกมาเรียกร้องของ ‘ปราบดา หยุ่น’ ถ้าจะมีก็แบบเลียบๆ เคียงๆ โดยพยายามหลีกเลี่ยงให้ห่างจากนักเขียนผู้มีนามสกุลว่า ‘หยุ่น’ ให้มากที่สุด
       
       ไม่ต้องพูดถึงคอลัมน์ ‘กาแฟดำ’ หน้า 2 หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และรายการข่าวอันเข้มข้นเร้าใจใน ‘TPBS’ ที่มี ‘เทพชัย หย่อง’ ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ ‘ทีวีไทย’ ก็ไร้ซึ่งวี่แววของนักเขียนชื่อดังนาม ‘ปราบดา’ มาสร้างสีสันในประเด็น 112 อันโด่งดังนี้
       
       แต่ก็เอาเถอะ คงไม่มีใครแปลกใจกับการทำหน้าที่ ‘สื่อ’ ในเครือเนชั่นต่อกรณีดังกล่าว ตรงกันข้ามหลายคนกลับเห็นใจคนทำงานที่ต้องอึดอัดมากกว่า แค่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเขียนถึง ‘ปราบดา หยุ่น’ กับกรณีการออกมาเรียกร้องให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของคุณ ‘คุ่น’ เค้า ก็เท่านั้นเอง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2555, 23:13:04

ปั๊มเงินเพลิดเพลิน-จำเริญปาร์ตี้น้ำท่วม

   
โดย...อสนีบาต

ท่ามกลางข่าวดีสัปดาห์ก่อน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ปรับฐานเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรี เอก โท  รวมถึง ปวช. ปวส. พนักงานราชการขยับขึ้นมาด้วย มีผลตกเบิกย้อนหลัง 1 มกราคม 2555   ก็ต้องร่วมแสดงความยินดีพี่น้องข้าราชการด้วยคน   

การเพิ่มเงินในกระเป๋าข้าราชการเป็นผลจากพันธะสัญญาขอคะแนนเสียงแลกกับการได้อำนาจรัฐเพื่อเข้ามาทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้ได้ทั้งขึ้นเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรีให้ได้ 1.5 หมื่นบาท   ปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วไทย แจกแท็บเล็ตให้เด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ฯลฯ

ทว่าข่าวดีจากการปรับฐานเงินเดือน มาพร้อมความสยอดสยองการเงินการคลังของประเทศอยู่ไม่น้อย โปรดสดับตรับฟังให้ถี่ถ้วน นโยบายรัฐบาลเพื่อไทยประกาศไว้แจ่มชัด จะปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท ภายใน 2 ปี "ขอย้ำภายใน 2 ปี" แต่ข้อเท็จจริงมติครม.เมื่อวันที่ 31 ม.ค.  มิได้ปรับฐานเงินเดือนข้าราชการ 1.5 หมื่นบาทซะทีเดียว 

อย่างกรณีระดับปริญญาตรีได้เพียง 11,680 บาท แต่บวกเงินเพิ่มค่าครองชีพ 3 พันกว่าบาท ซึ่งครม.เคยมีมติจัดสรรเงินเพิ่มค่าครองชีพให้ข้าราชการไปก่อนหน้านี้  เมื่อนำมารวมกันแล้วจึงได้ 1.5 หมื่นบาทเท่านั้นเอง

ครั้นบอกว่า ก็นโยบายหาเสียงกำหนดไว้ต้องปรับเงินเดือนให้ได้ 1.5 หมื่นบาทภายในสองปี   ตรงนี้พอทำความเข้าใจได้ระดับหนึ่ง อันนี้เพิ่งเป็นการเริ่มต้นปรับในปีแรก  ยังเหลืออีกปีคือปี 2556 ถึงจะครบสองปีตามสัญญาหาเสียง  คงต้องตั้งหน้าตั้งตารอก่อน  ดังนั้น เมื่อปีแรกปริญญาตรีได้ 11,680 บาท ยังเหลือปีที่สอง ที่จะดำเนินการตามสัญญาหาเสียงให้ได้ 1.5 หมื่นบาท

ประเด็นอยู่ตรงนี้   ความจริงข้อเสนอจาก กพ.ส่งเข้าที่ประชุมครม.วางสูตรไว้เรียบร้อยปีที่สองจะต้องขี้น 1.5 หมื่นบาทครบถ้วน เพียงแต่กระทรวงการคลัง  สภาพัฒน์ หรือแม้แต่ อำพน กิตติอำพน  เลขาธิการ ครม. ซึ่งเคยเป็นเลขาธิการสภาพัฒน์มาก่อน ต่างแสดงความกังวลภาระงบประมาณประเทศ

เอกสารส่งเข้าครม.ผ่านตา…อสนีบาต… มีการเกษียณหนังสือจากเลขาครม.ถึงรองนายกฯไปถึงนายกฯ เขียนทำนอง "หากจะปรับเงินเดือนภายในปี 2 ให้ครบ 1.5  หมื่นบาทต้องพิจารณาให้รอบคอบเพราะกระทบภาระการเงินการคลังประเทศ"

ทุกความเห็นในเอกสารเป็นคำตอบต้องตระหนัก นี่คือสัญญาณเตือนภัยต่อภาวะการเงินการคลังประเทศ   ไม่แปลกใจที่ข้อเสนอ กพ. ให้ขึ้นเงินเดือน 1.5 หมื่นบาทให้สำเร็จภายในปีที่2 ต้องสะดุด  จึงขอให้เตรียมฉายหนังอีกรอบในที่ประชุมครม.วันอังคารที่ 7 ก.พ.นี้ ด้วยการให้ กพ.และ กระทรวงการคลังเสนอสูตรการขึ้นเดือนแบบใหม่เข้ามาใหม่

นั่นหมายความว่า อาจเกิดสูตรที่สาม  สูตรที่ว่า อาจต้องปรับฐานเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรี ให้ครบ 1.5 หมื่นบาทพอดีเป๊ะในปี 2557 แทน   ส่วนสัญญาใจที่ว่าจะปรับให้ครบ 1.5 หมื่นบาท ปี 2556 ไม่ใช่แล้ว  แต่อาจขยับเงินเดือนปี 56 ให้อีกเล็กน้อยแล้วเติมเต็มเงินเพิ่มค่าครองชีพเข้าไปก่อน เพื่อให้เห็นว่ายังไงรัฐบาลก็ให้ครบ 1.5 หมื่นบาทแล้วนะ  เรียกได้ว่า พลิกพลิ้วเอาตัวรอดไปก่อน

กล่าวแบบนี้เพื่อให้เห็นว่า การสร้างพันธะสัญญาไว้ระหว่างหาเสียง ถึงวันนี้หายนะกำลังออกดอกออกผล สะเทือนไปถึงงบประมาณรายจ่ายประเทศ

มหกรรมตามสัญญาผลาญงบมีอีกมากที่กำลังโผล่ออกมา กรณีกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีตามที่ครม.อนุมัติไปแล้ว จังหวัดละ 100 ล้านบาท เบ็ดเสร็จ 77 จังหวัดประมาณ 7 พันกว่าล้าน มีการประชุมกรรมการกองทุนดังกล่าวฯไปนัดแรกแล้ว  แต่คนเป็นประธานอย่างกิตติรัตน์  ณ ระนอง รองนายกฯหายแว่บ มอบหมายให้ผู้อื่นทำหน้าที่เป็นประธานแทน ส่วนการประชุมมีการวางกรอบหลักเกณฑ์การใช้เงินกองทุนสตรีเป็นอย่างไร ดูเหมือนยังเงียบฉี่

แต่คนระดับพื้นที่ หลังได้ข่าวเม็ดเงินร้อยล้านกำลังร่วงหล่นมาถึงมือ  เริ่มนึกฝันไปต่างต่างนานา บรรดาแม่บ้านบอกถูกหวยครั้งใหญ่อีกแล้วพี่น้อง  เพราะรัฐปั๊มเงินเอามาให้ ใครคิดอะไรได้ต้องรีบคิด จะใช้เงินก้อนนี้ทำอะไรดี จะเอาไปตั้งศูนย์บรรเทาการทำความรุนแรงจากการโดนสามีกระทืบดีไหม   บางคนอยากขอกู้เงินดอกเบี้ยต่ำไปเปิดร้านเสริมสวย ทาเล็บ ประจำหมู่บ้าน

สารพัดความคิดอันบรรเจิด   ก็เป็นอีกหนึ่งกองทุนในการนำเม็ดเงินก้อนใหญ่จากคลังประเทศรองรับนโยบายหาเสียง  ซึ่งวิธีการของการใช้เงินจากนี้ไปจึงเป็นเรื่องสนุกสนานน่าดูหากการวางหลักเกณฑ์ไม่ชัดเจน

ถ้ารวบรวมการบริหารงบประมาณรัฐบาลชุดนี้ในรอบหกเดือน ต้องยกนิ้วให้บริหารงบรื่นเริง    ตั้งแต่จัดสรรงบ 2  พันกว่าล้านบาทจ่ายให้กับค่าเผาเมือง เยียวยาความตายพี่น้องเสื้อแดงรายละไม่ต่ำกว่า 7 ล้านบาท  จนญาติพี่น้องภาคใต้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ลุกขึ้นมาเรียกร้องขอมาตรฐานเดียวกับเสื้อแดงบ้าง จนต้องเตรียมงบอีกไม่ต่ำกว่าสองพันล้านหรือมากกว่านั้นสำหรับครอบครัวพี่น้องชาวใต้แน่ๆ 

ตามด้วยการดูดเงินอีก 5.6 พันล้านบาทในเบื้องต้น เพื่อจ่ายให้กับการปรับเงินเดือนข้าราชการปีแรกจนสั่นสะเทือนงบประมาณอนาคตที่จะสูงขึ้น

จัดหนักจ่ายเงินกองทุนสตรีไปอีก 7 พันล้านบาทสร้างความปลาบปลื้มดีใจพี่น้องชาวสตรี 

งบประมาณที่ถูกผ่องถ่ายออกไป  จึงหนักไปกับค่าใช้จ่ายทางการเมือง ประชานิยม เอาใจฐานเสียงเป็นหลัก ทั้งๆที่ประเทศเผชิญสถานการณ์อุทกภัย เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าถึงขั้นต้องออกพรก.กู้เงินมาบูรณะประเทศ  หากรู้จักบริหารงบประมาณท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตจะทำให้ประหยัดงบประมาณ แต่รัฐบาลเลือกที่จะไม่ทำ แต่เลือกที่จะบริหารงบประมาณอย่างเพลิดเพลิน

*******************

ทราบข่าวรัฐบาลยิ่งลักษณ์เตรียมจัดงานแถลงผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนต่อประชาชน  ส่วนก่อนหน้าที่จะถึง   ทราบข่าวอีกเช่นกัน วันที่ 10 ก.พ.จะมีการจัดงานใหญ่ไม่ใช่มิดไนท์เซลล์กลางทำเนียบฯ แต่เป็นมหกรรมแทงกิ้วปาร์ตี้บรรดาหน่วยงานรานราชการ เอกชน นักลงทุน ทูตานุทูต ชาวต่างประเทศ  ที่ร่วมแรงร่วมใจกับศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.)  ถือเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ยิ่งใหญ่อีกงาน 

สะดุดอารมณ์ทันที  เพราะจดจำได้ว่า หลังน้ำลดไม่นานมีบัญชาจากนายกฯยิ่งลักษณ์มิใช่หรือ เคยลั่นวาจาไม่ควรจัดงานรื่นเริงในสถานการณ์ประเทศระทมทุกข์  มีการประกาศไว้ในช่วงสัปดาห์มงคลวันที่ 5 ธ.ค.  แต่จู่ๆรัฐบาลอยากจะจัดงานรื่นเริงซะเองในวันที่ 10 ก.พ.นี้

แปลกใจกว่านั้น บอกจะเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ขอบคุณทุกฝ่ายช่วยกันแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่มีการส่งเทียบเชิญพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ร่วมงานด้วยและทันทีมีชื่อพล.อ.เปรม ภาคการเมืองก็จับเชือมโยงทันที  ไม่ใช่ใครที่ไหนก็เหล่าแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ออกมาแถลงรับลูกทันควันว่าการเชิญพล.อ.เปรมร่วมงานเป็นการสร้างความปรองดองเรียกความเชื่อมั่นประเทศไทย

อ้าว! ตกลงงานนี่คือการจัดงานสร้างภาพปรองดองกับพล.อ.เปรม ผู้ถูกกำหนดให้เป็นสัญลักษณ์คู่ขัดแย้งตามที่แกนนำแดงตัวพ่อเคยยัดเยียดเอาไว้แล้วหรือ

ตกลงการจัดงานนี้ไม่ใช่ขอบคุณทุกฝ่ายแก้ปัญหาน้ำท่วมแล้วหรือ

ตกลงวัตถุประสงค์สำคัญของงานคืออะไรกัน

ครั้นจะอ้างว่าเป็นการดึงป๋าเปรมมาร่วมงานเพื่อสร้างภาพความเชื่อมั่น เอ๊ะ!  แล้วนายกฯประเทศไทย หมดความเชื่อมั่นในสายตานักลงทุนต่างประเทศ ทูตานุทูตไปแล้วหรือ จึงต้องพึ่งบริการประธานองคมนตรีบ้าง พึ่งดร.สุเมธ ตันติเวชกุลผู้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทบ้าง อะไรกันนี่!?! 

แต่ที่แน่ๆ การแก้ปัญหาน้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา เป็นที่ประจักษ์ชัด “รัฐบาลเอาไม่อยู่” ผ่านมาถึงวันนี้ประตูระบายน้ำต่างจังหวัดชำรุด  กระสอบทรายยังเก็บไม่หมด  ถนนหนทางแถวบางบัวทอง- บางใหญ่ บางจุดยังเละตุ๊มเป๊ะ ฝนตกเมื่อไม่กี่วัน รถติดยาวอย่างกับเพิ่งเกิดน้ำท่วมอีกรอบ   การเก็บกวาดภาพอัปลักษณ์ผลพวงจากน้ำท่วมคราวก่อนยังไม่เรียบร้อยดี

แล้วนี่มาจัดงานเลี้ยงขอบคุณประหนึ่งประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาน้ำท่วม สงสัยจะไม่ใช่กระมัง   

น่าจะเป็นการจัดงานเลี้ยงรื่นเริงประจานความล้มเหลว เหยียบย่ำซ้ำเติมความรู้สึกคนไทยที่ยังต้องรับทุกข์จากปัญหาน้ำท่วมมากกว่า                 



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555, 12:26:35
เขาคือ"เศรษฐา ทวีสิน" หนุ่มใหญ่ 50 กะรัต เจ้าพ่อแสนสิริ คนในข่าว เขาคือเพื่อนรักของโต้ง



 10 ก.พ. นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ถึงรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"   หลังเจ้าตัวอ้างว่าถูกลอบร้ายที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น

 

แถลงการณ์ตอนหนึ่ง ระบุว่า  "หลังนายกฯเดินทางกลับ มีผู้พบเห็นนายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ปรากฏกายในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย จึงเป็นเรื่องที่นายกฯต้องชี้แจงต่อสาธารณะให้คลายความสงสัย ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนใดแอบแฝงหรือไม่ เพราะนายกฯคือ “บุคคลสาธารณะ” ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือ “นักธุรกิจชื่อดัง”

 

หลังจากนั้น แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ กระโดดเข้ามาเล่นกับปมปริศนาอย่างรู้งาน

 

 

ประเด็นของ ปชป. คือ การพยายามโยงให้คนเชื่อว่า นายกฯปูกับนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ มีผลประโยชน์ทับซ้อน

 

 

ปมปริศนา พาดพิงถึง  เศรษฐา  ทวีสิน   กรรมการผู้จัดการบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) อย่างเต็มๆ

 

ชั่วโมงนี้ ใคร ๆ ก็อยากรู้จัก เศรษฐา ให้มากขึ้น ...

 

 

 เศรษฐา  ทวีสิน  เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2506  อีกไม่กี่วัน อายุครบ 50 ปี บริบูรณ์

 

จบการศึกษาปริญญาโท การเงิน  Claremont Graduate School สหรัฐอเมริกา

 

เริ่มการทำงานในปี 2529   เป็นผู้ช่วยผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท P&G ประเทศไทย(จำกัด)

 

ปี 2533 กรรมการบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน)

 

ชีวิตส่วนตัว สมรสกับ แพทย์หญิงพักตร์พิไล ทวีสิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ความงามด้านผิวพรรณ และคอลัมนิสต์ชื่อดัง มีบุตรด้วยกัน 3 คน ภาพของเศรษฐาคือ แฟมิลี่แมน

 

เศรษฐา ทวีสิน เป็นเพื่อนสนิทของ"โต้ง"กิตติรัตน์ ณ ระนอง  รองนายกฯและร.ม.ว.กระทรวงการคลัง

 

เศรษฐา และ แสนสิริ สร้างความร่ำรวยจากตลาดหุ้น  อย่างน่าอัศจรรย์

 

 

ล่าสุด ก่อนเกิดเหตุ มีกระแสข่าวว่า เศรษฐา เพื่อนรัก"ขุนคลังโต้ง" อาจมานั่งเก้าอี้แทน" ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน)

 มติชนออนไลน์

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555, 08:43:07
ซุกแต่หนี้-ดีแต่แจก

   

รายงานข่าวโดย: ..ณ กาฬ เลาหะวิไลย

ข่าวที่ทั้งโลกเฝ้าจับตาคือการแก้ปัญหาหนี้สินของประเทศกรีซ โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นจุดชี้เป็นชี้ตาย ที่รัฐสภาของกรีซจะต้องลงมติรับรองแผนการกู้เงินครั้งใหญ่ จำนวน 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

แน่นอน เงินก้อนนี้ไม่ใช่ของฟรี แต่เต็มไปด้วยเงื่อนไขมากมาย โดยเฉพาะการลดค่าใช้จ่าย อาทิ ต้องลดค่าจ้างขั้นต่ำในกรีซลง 22% ต้องลดการจ่ายเงินบำนาญ ลดการจ้างงานในภาครัฐ ฯลฯ

กรีซ มีทางเลือกแค่ 2 ประการ คือ ต้องผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวเพื่อให้ได้เงินกู้ แต่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจและสังคม ต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย

หรืออีกทาง กรีซต้องยอมเป็นประเทศล้มละลาย

ทั้งหมดเกิดจากปัญหาหนี้สินของกรีซ

หนี้สินดังกล่าวสรุปรวบยอดแล้วมาจาก 2 สาเหตุ

นั่นคือการ ซุกแต่หนี้ กับ ดีแต่แจก

กรีซ เคยเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วสุดในยุโรปจากปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะการที่รัฐบาลใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล

รัฐบาลกรีซหลายชุดดำเนินการขาดดุลครั้งใหญ่เพื่อจัดหาเงินทุนแก่อาชีพภาคเอกชน บำนาญ และประโยชน์ทางสังคมอื่นๆ รวมถึงการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ โดยไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีการพูดทำนอง ถ้าอุตสาหกรรมใดอยู่ในกรีซไม่ได้ก็ให้ย้ายไปประเทศอื่นด้วยหรือเปล่า

นั่นก็คือการแจก ใช้เงินประชานิยม ที่ทำให้เศรษฐกิจโต แต่แลกมาด้วยหนี้สินของประเทศ

เมื่อหนี้สินมากขึ้น รัฐบาลกรีซจึงเริ่มปฏิบัติการ ซุกหนี้ โดยรายงานสถิติทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างผิดๆ มาอย่างต่อเนื่อง มีเจตนาเพื่อให้ดูเหมือนว่ามีหนี้สินน้อย

ต้นปี พ.ศ. 2553 มีการค้นพบว่ารัฐบาลกรีซใช้วิธีซุกหนี้มากมายเพื่อให้รัฐบาลสามารถใช้จ่ายเงินได้เกินกว่ารายได้ โดยซ่อนตัวเลขหนี้สินที่แท้จริงจำนวนมหาศาล

แต่สุดท้ายกรีซก็ไม่รอด โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐ ทำให้อุตสาหกรรมหลายประเภทประสบปัญหา

หลังน้ำลดตอก็เริ่มผุด กรีซต้องเผชิญกับความจริงของมายาประชานิยม


ประชาชนชาวกรีซกำลังชดใช้กรรม ตกงาน บ้านถูกยึด ไร้สวัสดิการ มองไม่เห็นอนาคต ไม่มีใครรู้ว่าวิกฤตหนี้จะจบลงเมื่อไร

ชาวกรีซนัดหยุดงานเพื่อประท้วงต่อการลดค่าใช้จ่าย การเพิ่มภาษี โดยมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บหลายสิบคน และถูกจับกุม

เห็นกรีซแล้ว ก็ต้องขนพองสยองเกล้าอย่างไรก็ไม่รู้

ดูแล้วมันคุ้นๆ อย่างไรชอบกล

 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555, 09:36:52


ข้อสอบเข้ามหาลัย

1.ถ้านักเรียนได้มีโอกาสไปโรงแรม5ดาว นักเรียนจะไปพักชั้นใหน ให้เหตุผลด้วย

ก. ชั้น7
ข. ชั้น ว5
ค. ชั้นไม่สนสายตาใคร
 ง. ชั้นไปใหนเรื่องของชั้น
จ. ถูกทุกข้อ

เฉลย...ข้อ จ.ถูกทุกข้อ....
     
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555, 16:08:06
เอกยุทธ โพสต์เฟซบุ๊ก โต้คำชี้แจงนายกฯ ปมโฟร์ซีซั่น


จากกรณีที่วานนี้ (23 ก.พ.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชี้แจงกรณีการเดินทางไปที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อีกทั้งไม่ได้หนีสภา รวมไปเผยว่าเหตุดังกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระ และแค่เกมการเมือง จึงไม่ได้ออกมาชี้แจงนั้น

ทั้งนี้ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กตอบโต้การชี้แจงดังกล่าว ว่าเป็นคนละประเด็นกับการที่สังคมอยากรู้ ไม่ตอบให้ระเอียดครบถ้วน

“ยิ่งลักษณ์โพสท์ข้อความใน fb ชี้แจงข้อกังขา..แต่ข้อความที่เขียนคนละประเด็นกับที่สังคมและ ปชช.ผู้เสียภาษีกังขา..ไม่ตอบว่าพบใคร ? กี่คน ? ชั้นไหน ? คุยเรื่องอะไร ? และทำไมไม่เอา CCTV มาโชว์ให้ ปชช.เห็นและตอบให้ตรงประเด็น..พูดอย่างนี้ก็เหมือนเอาสีข้างเข้าถูครับ..ดูถูกปชช.ผู้เสียภาษีว่าโง่ จะตอบจะบอกอะไรก็ต้องฟังหรืออย่างไรครับ ?

นักการเมืองฝ่ายมีอำนาจเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ สส.ที่ออกมาทำหน้าที่ตรวจสอบแทน ปชช.ในกรณีโฟร์ซีซั่น..แต่ไม่เห็นฝ่ายรัฐบาลเร่งลัดเจ้าหน้าที่ให้หาตัวคนทำร้ายผมเลย..นี่แหละนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล..สุดยอดของการรับใช้..อำนาจมีไว้ปกป้องพวกตัวเองมากกว่า ปชช.ผู้เสียภาษี..เอาใจช่วย 3 สส.ที่ถูกแจ้งความครับ..ผมจะไปเป็นพยานให้..

เมื่อแจ้งความหมิ่นประมาท สส.ทั้งสามแล้ว..ตอนนี้ สส.ปชป.ทั้ง 3 สามารถใช้สิทธิทางกฏหมายขอพยานหลักฐาน CCTV มาประกอบคดีได้แล้ว..ดูซิว่าพวกอวดฉลาดใช้กฏหมายจะทำอย่างไร? หาก CCTV ถูกลบหรือหาย ก็จะถูกสังคมตัดสินเอง..แต่หากสามารถเอา CCTV ออกมาให้สังคมดูได้..คงหน้าแตกและได้เฮกันตรึม..ติดตามกันใกล้ชิดครับ..กำลังเข้าสู่จุดจบของเรื่องแล้ว..

ข้อเขียนของยิ่งลักษณ์ทาง fb นั้นเราคงต้องรอให้ยืนยันก่อน..เดี๋ยวเกิดโดน ปชช.ด่ามากๆก็อาจจะบอกว่าทีมงานเขียนผิดพลาดอีก แบบเดียวกับกรณีเอารูป รัชกาลอื่นมาขึ้นเป็นในหลวง..แล้วมาแก้ตัวทีหลัง..

ผมโดนทำร้ายเจ็บตัว ยังไม่แจ้งความเลยแถมโดนรองนายกฯขู่จะทำร้ายอีก..แต่คนเป็นนายกฯ โดน ปชช.กังขาและอยากให้ตอบในสิ่งที่ ปชช.ต้องการรู้และฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบ กลับโดนแจ้งความเพื่อเอาผิด..นี่ยุคเผด็จการครองเมืองแน่นอน..

ผมว่าสตรีที่ดีๆและเก่งๆของประเทศเราคงรู้สึกอับอายขายหน้ากับพวกอ้างคำว่าสตรีมาหากินนะครับ..” ในเฟซบุ๊กของ นายเอกยุทธ ระบุ

 

Mthai News



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 มีนาคม 2555, 12:47:42
BMW & A Blonde
 
A blonde buys the new Automatic BMW X8 sport.

She drives the Car perfectly well during the day, but at night the Car just
won't move at all.

She tries driving the car at night for a week but still no luck.

She then furiously calls the BMW dealers and they send out a technician to
her, the technician asks " Mam, are you sure you are using the right gears?"
Full of anger Yingluck replies "You fool, idiot man, how you could ask such a
question, I'm not stupid!!
 
I use D for the Day and N for the Night...".



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 04 มีนาคม 2555, 07:28:21
วันนี้เพื่อนเราเก่งภาษาปะกิตแฮะ ดูซิ่ หูกระดิกเชียว


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 มีนาคม 2555, 22:04:59
อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 04 มีนาคม 2555, 07:28:21
วันนี้เพื่อนเราเก่งภาษาปะกิตแฮะ ดูซิ่ หูกระดิกเชียว
หูกระดิกนี่ ท่าทางไม่ใช่คนแหงๆๆ...


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 05 มีนาคม 2555, 16:15:42
รายงานตัวครับ

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd953740_6138474_9721436_3464591photo.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2555, 22:35:25
“พี่กนก” สั่งสอน “น้องนภพัฒน์จักษ์” หลังนั่งเทียนเขียนข่าวอวย “จ.เจตน์”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
นายนภพัฒน์จักษ์ ยอมรับผิดพลาด​ที่อ้างอิงข้อมูลแหล่งเดี​ยว

โดนถล่มไม่หยุดจนต้องเอ่ย "ขอโทษ"

      
“นภพัฒน์จักษ์” ดิ้นไม่หลุด หลังถูก “กนก” โต้กลับ กรณีเขียนบทความชื่นชม “จ.เจตน์” โดยไม่สอบถามความจริง แต่กลับเชื่อทวิตเตอร์ของคนเสื้อแดง ซ้ำถูก “กนกแฟนคลับ” ถล่มยับว่าเป็นอีแอบแดง นั่งเทียนเขียนข่าว จนนักข่าวรุ่นน้องต้องขอโทษรุ่นพี่ ผ่านหน้าเฟซบุ๊ก
       
       จากบทความ “[ที่เห็นและเป็นอยู่] สื่อต้องรับฟังความเห็นของประชาชน” ของนายนภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเนชั่น ที่ลงเผยแพร่ในเนชั่นสุดสัปดาห์ ซึ่งมีเนื้อหาในเชิงชื่นชม จ.เจตน์ ว่า ทำถูกต้อง ที่ใช้วิธีการเข้าพูดคุยกับคนที่เห็นต่าง โดยไม่ใช้ความรุนแรง หลังจากนั้น นายนภพัฒน์จักษ์ ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์กลับจากผู้สนับสนุนนายกนกจำนวนมาก
       
       จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.30 น.ของวันที่ 10 มี.ค.นายนภพัฒน์จักษ์ ได้ใช้เฟซบุ๊กส่วนตัว “นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนทอ ชี้แจงไปยังหน้าเพจเฟซบุ๊กของนายกนก "Kanok Ratwongsakul Fan Page" ว่า เขียนไปด้วยความรวดเร็ว โดยไม่ได้สอบถามเรื่องราวจากนายกนกก่อน และที่เลือกเอาเนื้อหาจากทวิตเตอร์คนเสื้อแดงมาเสนอ เพราะอยากให้ฟังความจากอีกด้าน
       
       “สืบเนื่องจากบทความในเนชั่นสุดสัปดาห์ มีคนเขียนแสดงความเห็นสะท้อนกลับมา ผมขอน้อมรับและขอบคุณที่ตอบมาด้วยเหตุผลครับ
       
       บทความที่ผมเขียนเขียน 1 วันหลังจากที่เกิดเหตุ ซึ่งเขียนด้วยความรวดเร็วพอสมควร ซึ่งผมก็ยอมรับว่ายังไม่ได้สอบถามเรื่องราวจากพี่กนก แต่ได้ถามจากทีมงานแล้ว และเข้าใจว่าเหตุการณ์ไม่ได้มีเรื่องที่น่ากังวล (การปะทะกัน, การโต้เถียงกันรุนแรง)
       
       สาเหตุที่ผมเลือกนำเรื่องเล่าจากทวิตเตอร์ คนเสื้อแดงมาเสนอ เป็นเจตนาที่อยากให้ฟังความอีกด้าน เพราะช่วง 1 วันหลังเกิดเรื่อง อารมณ์ต่อเหตุการณ์นี้รุนแรงมาก รุนแรงกว่าความเป็นจริงไปเยอะพอสมควร
       
       สุดท้ายผมอยากให้มองส่วนที่เป็นความเห็นของผมเป็นหลัก ส่วนเรื่องเล่าจากเหตุการณ์ผมจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการแชร์เนื้อหาจากหน้าเพจนี้ไปที่หน้าเพจของผม เพื่อให้เห็นมุมมองอีกด้านครับ
       
       อีกหนึ่งจุดที่สำคัญ คือ มีแฟนๆ พี่กนกหลายคนไม่สบายใจกับบทความนี้ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมเขียนไว้ในบทความชัดเจนว่าชื่นชมท่าทีของพี่กนก และเคารพรุ่นพี่ด้วยใจจริงมาตลอด เจตนาในการเขียนบทความนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเห็นว่าพี่กนกเป็นแบบอย่างที่ดี แต่ผมก็เลือกนำเสนอความคิดในแบบที่ผมมอง ด้วยความหวังว่าพี่กนกจะไม่เจอเหตุร้ายๆเกิดขึ้นกับตัวเอง
       
       ถ้าทำให้คนบางส่วนไม่สบาย ผมขออภัยและพร้อมน้อมรับความเห็นครับ" นายนภพัฒน์จักษ์ ระบุ
       
       หลังจากนั้น เวลาประมาณ 19.30 น. นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ก็ได้ตอบกลับนายนภพัฒน์จักษ์ ดังนี้
       
       1.นภพัฒน์จักษ์ แน่ใจหรือว่า เขียนบทความนี้ 1 วันหลังจากเกิดเหตุ? เหตุเกิดวันไหนน้องรู้มั๊ย? ไม่ได้ถามเรื่องราวจากผม แต่ไปถามกับทีมงาน! คนไหนครับ? เพราะคืนนั้นไม่มีใครรู้มาก่อน ทั้งทีมงานช่อง 9 หรือทีมงานเนชั่น ผมเป็นคนโทร.แจ้งน้องทีมงานของทางเนชั่นคนเดียว มีคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในห้องกับผมคืนนั้น แล้วน้องคนนี้ก็ไม่ได้คุยอะไรกับนภพัฒน์จักษ์ จึงอยากรู้ว่า ไปถามจากทีมงานคนไหน?
       
       2.บทความนี้ ดูเผินๆเหมือนแสดงความปรารถนาดีกับผม แต่การเลือกนำเสนอมุมมองจากทวิตเตอร์กลุ่มที่มานั้น ผมมองว่า เป็นการแสดงความปรารถนาดี ช่วยอธิบายให้กลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นกลุ่มที่น้องนภพัฒน์จักษ์เข้าไปคลุกคลีอยู่หลายคน
       
       3.อะไรทำให้ นภพัฒน์จักษ์ เชื่อเนื้อหาจากทวิตเตอร์นั้นทั้งหมด? ความจริงผมไม่อยากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ถ้าเนื้อหาที่เห็นมันสอดคล้องตามข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่มันไม่ทั้งหมด “กลุ่มที่มาไม่ได้ทำเรื่อง แจ้งให้ อสมท.ทราบ” เป็นไปไม่ได้ ถ้าแจ้งประสานมาแล้ว ทาง อสมท.จะไม่แจ้งผม เพราะหลังจากเกิดเรื่อง ผมได้คุยกับผู้ใหญ่บางท่านของช่อง 9 ท่านน่ารักมาก ท่านลงมาขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น และบอกว่า ไม่มีใครรู้เรื่องมาก่อน อีกทั้งคนชื่อเจตน์ ก็ถามผมก่อนจะพูดคุยว่า “จะเรียกใครมาร่วมรับฟังไหม” เพราะเขาเห็นว่าตอนนั้น ก่อนที่น้องทีมงานจะมาอยู่ 1 คน ไม่มีใครอยู่กับผมเลย ก็เพราะคนกลุ่มนี้ มาโดยไม่ได้บอกใครในสถานีไง
       
       4.เนื้อหาที่นภพัฒน์จักษ์เอามาจากทวิตเตอร์ บอกว่า เห็นคุณกนก งงๆ ตกใจ ก็รู้เลยว่า ไม่รู้ตัวมาก่อน คนชื่อเจตน์จึงเข้ามา "สวัสดีพร้อมแนะนำตัวอย่างสุภาพ ถึงเหตุผลที่มาในคืนนั้น!!! ประโยคแรกที่คนชื่อเจตต์พูดกับผม คือ “ขอให้หยุด..เดี๋ยวก่อนๆ ขอพูดอะไรหน่อย..จะกลับมาหรือเปล่า? (ผมขอไปเปลี่ยนเสื้อ) จะหนีไปมั้ย?” แค่คำว่าสวัสดียังไม่มีเลยนภพัฒน์จักษ์
       
       5.ทั้งหมดที่มาในคืนนั้น ผมเห็นอยู่ 2-3 คน ที่ผมคิดว่าเขามีเหตุผล พูดคุยและรับฟังความเห็นจากผม ไม่ได้มาแบบตั้งป้อมจะให้ผมออกจากการทำรายการ 1 ใน 2-3 คนนั้น ยังขอจับมือกับผมในตอนท้าย ซึ่งผมประทับใจเค้าเป็นการส่วนตัว เสียดายที่ไม่ได้ถามชื่อ และหนุ่มคนนั้นเป็นคนตรงไปตรงมา เขาใส่เสื้อสีแดง บอกกับผมตรงๆ ว่า เขาเป็นเสื้อแดง เขาต้องการช่วยพี่น้องของเขาที่ติดคุกด้วย ม.112 ทั้ง 2-3 คนนั้น ไม่รวมคนชื่อเจตต์
       
       6.นภพัฒน์จักษ์ รู้มั้ย ที่เขามาในคืนนั้น ประเด็นหลักที่จะมาร้องเรียนผม คือเรื่องอะไร? น้องถึงไปเขียนบทความประมาณ ว่า เป็นเรื่องดีที่สื่อจะรับฟังความเห็นของประชาชน ผมรับฟังความเห็นของทุกๆคนเสมอ แต่คืนนั้นคนชื่อเจตน์เริ่มด้วย “จากกรณีที่ อ.วรเจตน์ ถูกทำร้ายร่างกาย เราคิดว่าคุณคือสื่อที่เป็นตัวปัญหาของเรื่องนี้!! คุณกนกเป็นสื่อในกระแสหลักที่ทำรายการด้วยความเห็นส่วนตัว ทำให้สังคมแตกแยก”
       
       สุดท้ายผมถึงบอกว่า กลุ่มคนที่มาไม่เคยดูรายการผม นภพัฒน์จักษ์ ก็คงไม่ได้ดู ถ้าดูจะรู้ว่าตั้งแต่หลังเลือกตั้งเป็นต้นมา รายการผมมีแต่ข่าว จับยาบ้า ค้ายาไอซ์ แฉบ่อน พระมั่วสีกา จานบินต่างดาว มะนาวแพง ไฟไหม้ หมอกควัน ศาลาการเปรียญเฮี้ยน ประเด็นเหล่านี้หรือที่ทำให้สังคมแตกแยก? ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้นะ จนกระทั่งนภพัฒน์จักษ์ เขียนบทความ
       
       ระหว่างการพูดคุยกัน ของ นายกนก และ นายนภพัฒน์จักษ์ ผ่านทางหน้าเฟซบุ๊ก ก็ได้มีคนเข้ามาแสดงความเห็นจำนวนมาก ในเชิงต่อว่านายนภพัฒน์จักษ์ เป็นเสื้อแดง และนั่งเทียนเขียนข่าว
       
       จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 21.30 น.นายนภพัฒน์จักษ์ ได้ยอมรับผิดที่อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งเดียว แต่ขอยืนยันว่ามีเจตนาบริสุทธิ์
       
       “พี่กนกครับ ผมโดนด่าเยอะพอสมควร แต่ที่ไม่สบายใจที่สุดคือผมไม่อยากให้พี่เข้าใจเจตนาผมผิด เพราะผมเคารพ และนับถือพี่กนกมาตลอด
       
       ยอมรับว่า ครั้งนี้ผมผิดพลาดไปที่อ้างอิงข้อมูลแหล่งเดียว อยากอธิบายในทุกเรื่องแต่ผมไม่อยากลงรายละเอียดมาก เพราะตรงนี้เป็นที่สาธารณะ และตอนนี้ก็มีคนคอยอยากสร้างสถานการณ์ คอยเสี้ยม ค่อนข้างมาก
       
       ยังไงขออภัยพี่กนกมา ณ ที่นี้ ที่แม้ว่าผมจะยืนยันว่า ส่วนของบทความผมเขียนด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ แต่ก็ได้สร้างความลำบากใจให้กับพี่ครับ ส่วนรายละเอียดที่เหลือ ผมขอโอกาสรบกวนเวลาไปคุยกับพี่เป็นการส่วนตัวนะครับ เพราะไม่อยากให้กลายเป็นภาพคนเนชั่นทะเลาะกัน จะได้ไปขออภัยด้วยตัวเองด้วย
       
       เอมครับ”
       
       แต่กระแสต่อว่านายนภพัฒน์จักษ์ ก็ยังคงไม่หยุด จนกระทั่งล่าสุดเวลา 23.30 น.นายนภพัฒน์จักษ์ ก็ได้พิมพ์ขอโทษนายกนก
“ผมขอโทษพี่กนกครับ”
       
       ที่มา : www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=376617472355958&id=130660513618323

   


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 มีนาคม 2555, 10:30:07
เรื่องที่คนไทยรู้นานแล้ว แต่วอลล์สตรีท เจอร์นัล เพิ่งจะรู้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ข้อเขียนสั้นๆ เรื่อง “ Some Japanese Still in the Dark Over Thailand ‘s Flood Plan” ของ อีเลียนอร์ วาร์นอค ในบล็อก “ แจแปน เรียลไทม์ “ ของเว็บไซต์ ดิ วอลสตรีท เจอร์นัล ทำให้ ความพยายามที่จะสร้างภาพ “ ยิ่งลักษณ์ โกอินเตอร์” ของทีมงานด้านประชาสัมพันธ์ และสร้างภาพ นายกรัฐมนตรี นกแก้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่วางแผนกันมาอย่างดี พังทลายลงไปในชั่วข้ามคืน
       
        ก่อนหน้า การเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ของนักลงทุนญี่ปุ่น ต่อมาตรการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 6-9 มีนาคม ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์เสื้อแดงฉบับหนึ่ง ได้รับมอบหมายให้สร้างภาพภาวะผู้นำ ของนายกฯนกแก้ว ด้วยการนำกำหนดการการเยือน มาสร้างเป็นข่าวนำหน้า 1 ติดต่อกัน 2 วันซ้อน
       
       ภาพของนายกฯนกแก้ว ในการเดินทางไปโรดโชว์ ญี่ปุ่นหนนี้ ดูเก่งกล้า สมกับเป็นนักบริหารมืออาชีพ ด้วยภาษาพาดหัวข่าวที่บรรงจงปั้นให้โดนใจผู้อ่าน อย่าง “ ปูนำเจรจา” และ “ปู กล่อม (ซีอีโอ ญี่ปุ่น) รายตัว”
       
       ระหว่างการเยือน ข่าวภารกิจและความสำเร็จของนายกฯนกแก้ว ถูกจัดทำแบบสำเร็จรูปโดยทีมงานด้านประชาสัมพันธ์ ป้อนให้กับสื่อทุกสำนัก รายงานอย่างยาวเหยียด และละเอียดยิบทุกวัน ให้คนไทยได้ชื่นชมว่า บัดนี้ นักลงทุนญี่ปุ่น เกิดความมั่นใจในแผนการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาลแล้ว จะไม่ถอนการลงทุนออกจากประเทศไทย เพราะฝีมือการเจรจาหว่านล้อมของนายกฯนกแก้ว
       
       แต่แล้ว ข้อเขียนสั้นๆ ความยาวประมาณ 500 คำ เพียงชิ้นเดียวนี้ ก็ได้ทำลายภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากข่าวแจกหลายสิบชิ้น คิดเป็นจำนวนคำได้หลายหมื่นคำ ซึ่งสื่อมวลชนไทยช่วยกันถ่ายทอดให้คนไทยได้รับรู้ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ภายในพริบตา
       
       มันเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย ทีมงานสร้างภาพของนายกฯนกแก้ว คิดไม่ถึงว่า จะเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ขึ้น เพราะได้หาทางป้องกันไม่ให้ ฝันร้าย ที่เคยเกิดขึ้นครั้งที่ ฮิลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯมาเยือนไทย และการประชุมที่ดาวอส
       
       น่าเห็นใจ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานอิ่นๆที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องทำงาน ภายใต้กรอบความรู้ สติปัญญา ที่จำกัดของผู้นำ
       
       ไม่รู้ว่า เป็นเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า หลังนายกฯนกแก้ว เดินทางกลับถึงประเทศไทย จึงยังใม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เรื่อง การเยือนญี่ปุ่น เลย
       
       แจแปน เรียลไทม์ เป็นบล็อกที่รายงานข่าว ความเคลื่อนไหว ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และไลฟ์สไตล์ ที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น โดยผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ ดิวอลล์สตรีท เจอร์นัล และ สำนักข่าวดาวโจนส์ ในเว็บไซต์ WSJ -Japan ซึ่งมีบล็อกประเภทเดียวกันนี้อยู่หลายบล็อก แยกตามประเทศ ที่เป็นตลาดเป้าหมาย เช่น โคเรีย เรียลไทม์, สิงคโปร์ เรียลไทม์ และไชน่า เรียลไทม์ เป็นต้น
       
       ดิ วอลสตรีท เจอร์นัล เป็นหนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ข่าว ของสหรัฐฯ ที่รายงานข่าวธุรกิจ การลงทุน ตลาดเงิน ตลาดทุน ทั่วโลก ได้รับการยอมรับ และมีอิทธิพลอย่างสูง ในหมู่ผู้กำหนดนโยบายทั้งภาครัฐและเอกชน รายงานข่าว และบทความที่เผยแพร่ เป็นการรายงานข้อเท็จจริง และสะท้อนความคิดเห็นของบุคคลในภาคธุรกิจ
       
       ความมึนงงว่า นายกรัฐมนตรีของไทยพูดอะไร และไม่มั่นใจในแผนป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาลไทย จึงไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน แต่เป็นบรรยากาศ และความรู้สึกของนักธุรกิจญี่ปุ่นหลายร้อยคน ที่มาร่วมการสัมมนาเมื่อบ่ายวันที่ 7 มีนาคม เพื่อรอฟังว่า รัฐบาลไทยซึ่งคุยว่า มีเงินอยุ่ในมือแล้ว 11,000 ล้านเหรียญ และมีแผนการป้องกันน้ำท่วมที่คิดขึ้นโดย พี่ชายนายกรัฐมนตรี
       
       เรื่อง นายกฯไทยไม่พูดภาษาอังกฤษ กับนักลงทุนญี่ปุ่น เป็นเพียงประเด็นเล็กๆ ที่ผู้เขียน เห็นว่า เป็นเรื่องแปลกอยู่ เพราะคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย เคนตั๊กกี้ สหรัฐอเมริกา น่าจะพูดภาษาอังกฤษได้ และหลายคนที่มาฟังนายกฯนกแก้ว อ่านภาษาไทยให้ฟังในวันนั้น ก็พูดภาษาอังกฤษได้ เพราะเป็นนักลงทุน นักธุรกิจ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า นายกฯ ไม่มั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษของตนเอง หลังจาก กรณีอ่านคำว่า “welcome” เป็น “overcome” ตอนกล่าวต้อนรับนางฮิลลารี่ คลินตัน เมื่อครั้งมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
       
       เรื่องที่ผู้เขียนคิดไม่ถึง และนักธุรกิจญี่ปุ่นบางคนเห็นว่า เป็นเรื่อง “ พิลึก” คือ การที่นายกฯนกแก้วอ่านสุนทรพจน์ เป็นภาษาไทย โดยไม่มีล่ามแปล มีแต่เพียงการแจกสุนทรพจน์ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ และญี่ปุ่น ให้ผู้ฟังไปอ่านเอง กระทรวงการต่างประเทศของไทยอ้างว่า เป็นข้อตกลงว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และประธานสภาหอการค้า ญึ่ปุ่นจะกล่าวเป็นภาษาญี่ปุ่น นายกฯไทยจะกล่าวเป็นภาษาไทย
       
       นายกฯญี่ปุ่น และประธานหอการค้าญี่ปุ่น พูดกับนักธุรกิจญี่ปุ่น ก็ต้องพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น โดยไม่ต้องมีล่ามแปล แต่นายกฯไทย ซึ่งเป็นฝ่ายไปง้องอน อ้อนวอน ให้เขาอย่าถอนการลงทุนออกไป ไปพูดภาษาไทยโดยไม่มีล่ามแปลให้คนญี่ปุ่นฟัง ใครๆก็ต้องเห็นว่า เป็นเรื่องพิลึก และไม่คิดว่า นายกรัฐมนตรีของไทยจะทำได้
       
       แต่เรื่องใหญ่ใจความ ของข้อเขียนของวาร์น็อคชิ้นนี้ น่าจะอยู่ตรงประโยคที่ว่า หลังจากที่นางสาวยิ่งลักษณ์ อายุ 44 ปี พูดกับผู้ฟังหลายร้อยคน เป็นเวลานาน 7 นาที โดยไม่มีล่ามแปล ทำให้ผูนำภาคธุรกิจจำนวนมากงงว่า เธอกำลังพูดเรื่องอะไร และพากันมะงุมมะงาหรา ไล่ดูเอกสารที่ได้รับแจกมา เพื่อเดาว่า เธอพูดถึงตรงไหนแล้ว
       
       “Ms .Yingluck then left the room in silence ,smiling and bowing as she went”
       
       การที่ กระทรวงต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย และนายสุรนันท์ เวชชาชีวะ โฆษกส่วนตัว ของนายกรัฐมนตรี ยกเรื่อง การไม่พูดภาษาอังกฤษของนายกฯนกแก้ว มาตอบโต้วอลล์สตรีท เจอร์นัล และคนที่วิพากษ์วิจารณ์ จึงเป็นเรื่องที่ผิดประเด็น เพราะความระหว่างบรรทัดของข้อเขียนชิ้นนี้คือ นายกรัฐมนตรีจากประเทศไทย ซึ่งเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ให้คงการลงทุนไว้ในประเทศไทยต่อไป โดยให้มั่นใจว่า รัฐบาลมีแผนป้องกันอุทกภัยเป็นอย่างดี ให้มั่นใจว่า น้ำจะไม่ท่วมนิคมอุตสาหกรรมอีก ปฏิเสธที่จะพูดกับนักลงทุนญี่ปุ่นอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นการแสดงความจริงใจ แต่ใช้วิธีส่งสาส์น ให้ไปอ่านกันเอง ปฏิเสธที่จะรับฟังคำถาม และตอบคำถามนักลงทุนเหล่านั้น อ่านโพยเสร็จ ก็โปรยยิ้ม เปิดตูด หนีออกจากห้องไปเลย เพราะไม่สามารถที่จะพูดอะไร ที่ไม่มีใครเขียนโพยให้ท่องไว้ก่อนได้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่คนไทยเห็นจนเบื่อ คร้านที่จะด่าแล้ว แต่วอลล์ สตรีท เจอร์นัล และนักลงทุนญี่ปุ่นเพิ่งจะรู้


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 มีนาคม 2555, 13:14:48

ว้าย..ย..ย..ซ์ ทีวี !! สื่อนี้ 'เพื่อไทย'

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน
      
      
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ออกตัวเอี๊ยดล้อฟรี...เลยทีเดียว สำหรับผู้บริหาร “สถานีโทรทัศน์ วอยซ์ ทีวี” ทีวีจานแดงแห่งค่ายเพื่อไทย “นายพานทองแท้ ชินวัตร” ซึ่งออกมาประกาศแน่นหนักถึง “ความเป็นกลาง” ในการทำหน้าที่สื่อ !!
       
       โดยรองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัวในชื่อ Oak Panthongtae Shinawatra เกี่ยวกับกรณีที่พันธมิตรฯ เลือดร้อน “กวีไกร โชคพัฒนเกษมสุข ” บันดาลโทสะทุบรถข่าวของ Voice TV ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำลังดำเนินกิจกรรมทางการเมือง บริเวณลุมพินีสถาน สวนลุมพินี ในช่วงบ่ายของวันที่ 10 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา ในทำนองว่าถ้าเมืองไทยยังเลือกข้างเช่นนี้ คงยากที่จะเกิดความปรองดองสมานฉันท์ พร้อมทั้งโอดครวญขอความเห็นใจว่าวอยซ์ ทีวีถูกทำร้ายทั้งที่นำเสนอข่าวด้วยความเป็นกลาง
       
       “เมื่อได้อ่านความเห็นหลายด้านจา?กข่าวที่ออกมาเกี่ยวกับอดีตการ์?ดเสื้อเหลืองทุบรถผู้สื่อข่าวของ? Voice TV ที่ไปทำข่าวการชุมนุมของพันธมิต?รเมื่อถูกจับกุมกลับโดนด้วยการก?ล่าวหาจากพวกเดียวกันว่าเป็น "เหลืองเทียม"บ้าง "แดงปลอม"บ้าง ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ใจและคิดว่าก?ารเมืองไทยหากยังเลือกข้างกันอยู่อย่างไม่ลืมหูลืมตาแบบนี้ ความสามัคคีปรองดรองของคนในชาติ? คงจะเกิดขึ้นได้ยากครับ โดยเฉพาะพฤติกรรม "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น" เมื่อพวกตัวเองทำผิดแล้วถูกจับไ?ด้ก็ กล่าวหาว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามทันที?อย่างไม่เขินอาย น่าจะหมดไปจากการเมืองยุคนี้แล้?ว แต่กลับยังคงเป็นการเมืองท่าไม้?ตายที่ใช้กันอยู่ทุกวี่วัน คิดแล้วก็ท้อใจครับ นี่ขนาด Voice TV เราเสนอข่าวอย่างเป็นกลางแล้วยั?ง โดนขนาดนี้ จะต้องให้เมืองไทยของเราแตกความ?สามัคคีกันจนล้าหลังเป็นอันดับบ๊วยของอาเซียนก่อนแล้วจึงค่อยหั?นหน้าเข้าหากันหรือเปล่าครับ เฮ้อออ..."
       
       นั่นคือ ข้อความจากเฟซบุ๊คของนายพานทองแท้
       
       ทันทีที่นายพานทองแท้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊กโจมตีพันมิตรฯ ว่ามีพฤติกรรม “เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น” และสื่อที่เขาดูแลนั้นเสนอข่าวเป็นกลาง ไม่เลือกข้าง ไม่สร้างความแตกแยก “นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ก็ออกมาสวนกลับทันควันว่า จากที่ติดตามการชุมนุมของพันธมิตรฯมาตลอดนั้น ยืนยันได้ว่าพันธมิตรฯ เป็นมวลชนที่ไม่นิยมความรุนแรง กรณีที่วอยซ์ทีวีถูกทุบรถนั้นนับเป็นเรื่องเล็กน้อยหากเทียบกับการคุกคามสื่อในสารพัดรูปแบบที่ ASTV ต้องพบเจอมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา อีกทั้งการเสนอข่าวของวอยซ์ทีวี ภายใต้การกำกับดูแลของนายพานทองแท้นั้นก็ไม่ได้มีความเป็นกลางอย่างที่นายพานทองแท้อวดอ้าง
       
       “วอยซ์ทีวีถ้าเป็นกลางก็ควรจะรายงานให้รอบด้านมากกว่า ส่วนที่นายพานทองแท้ ระบุรู้สึกหดหู่ใจที่วอยซ์ทีวีถูกคุกคามนั้น สิ่งที่วอยซ์ทีวีโดนทุบรถเนี่ย มันเป็นแค่เรื่องขี้เล็บเท่านั้น รถที่คุณโดนทุบมันก็มีประกันอยู่ คุณก็ไปเคลมประกันได้ สื่อที่โดนคุกคามมาตลอดก็คือเอเอสทีวีต่างหาก ถ้าจะเทียบกันแล้ว เราโดนทั้งกระสุน ระเบิด ผู้สื่อข่าวได้รับบาดเจ็บจากการทำข่าว เราโดนคดีความในรอบ 4 - 5 ปีที่ผ่านมากว่า 184 คดี ฉะนั้นวอยซ์ทีวีโดนแค่คนที่ไม่หวังดีเข้ามาทุบรถแล้วมาร้องแร่แห่กระเชอ ผมถือว่าถ้าใจปลาซิวแบบนี้อย่ามาทำสื่อดีกว่า”นายจิตตนาถโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน
       
       อย่างไรก็ดี หากใครไม่เคยติดตามการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ และเห็นแต่เพียงข้อความที่นายพานทองแท้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊ก ก็คงอดชื่นชมในอุดมการณ์และจิตวิญญาณในการเป็นสื่อมวลชนของนายพานทองแท้ไม่ได้ เพราะแม้เขาจะเป็นหลานชายสุดที่รักของ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี แห่งพรรคเพื่อไทย และเป็นลูกในไส้ของ 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' ไอดอลของมวลชนคนเสื้อแดง แต่ก็ยังรู้ถูกรู้ผิด... แยกดีแยกชั่ว ได้ ไม่เสนอข่าวแบบบิดเบือนใส่ไข่ ฟอกดำเป็นขาว ทำถูกเป็นผิด !!
       
       แต่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น
       
       ยิ่งเมื่อมีโอกาสได้ดูรายการรายการ Wake up Thailand ของวอยซ์ทีวี ซึ่งมี ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล , นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และ นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการเว็บไซต์ประชาไท เป็นผู้ดำเนินรายการ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการถกกันในประเด็นที่ทั้งแปลกทั้งแปร่ง คือหัวข้อเรื่อง “ของแพงที่ไหน? ตลาด ห้าง หรือริมถนน” ก็ให้รู้สึกว่าช่างขัดแย้งกับคำพูของผู้บริหารวอยซ์ทีวีที่ชื่อพานทองแท้อย่างสิ้นเชิง
       
       เพราะตลอดทั้งรายการพิธีการทั้ง 3 ท่านต่างประสานเสียงกันการันตีผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าช่างดีเลิศประเสริฐศรี และขณะนี้ประเทศไทยก็ไม่ได้มีปัญหาข้าวของแพงอย่างที่ประชาชนพากันก่นด่า พร้อมทั้งแถไถว่าข้อมูลราคาสินค้าที่สื่อต่างๆ นำเสนอไปในทิศทางเดียวกันว่าได้ปรับตัวสูงขึ้นนั้นล้วนเป็นตัวเลขที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
       
       อย่างเช่นข้อมูลของหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ และบางกอกโพสต์ ที่ระบุว่าราคาข้าวแกงในปีนี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 20-30 บาท มาเป็น 35-40 บาท ขณะที่ก๋วยเตี๋ยวก็ขึ้นจาก 20-30 บาท เป็น 35-40 บาทนั้น ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 คน แย้งว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากราคาสินค้าดังกล่าวนั้นขัดแย้งกับราคาวัตถุดิบที่ถูกลง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู ราคาเนื้อไก่ ราคาไข่ไก่ ราคาเนื้อหมู ราคากุ้ง ผักคะน้า กะหล่ำปลี ฯลฯ ทั้งๆที่ราคาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องจ่ายในปัจจุบันนั้นก็เป็นไปตามที่หนังสือพิมพ์ดังกล่าวระบุจริงๆ
       
       “ถ้าต้นทุนไม่สูงขึ้นเนี่ย ผู้ประกอบการก็ไม่ควรที่จะไปขึ้นราคาสำหรับผู้บริโภค ยกเว้นเสียว่าถ้าคุณมีเหตุผลจริงๆ แต่ผมมีมุมที่ต่างกว่านั้นอีก คือ ผมคิดว่ามันไม่ได้แพงขึ้นเลยไง คือ ผมคิดว่า ข้าวแกง ผัก จากปีที่แล้วถึงปีนี้ ไม่ได้แพงขึ้นฮะ ผมก็กินอยู่ ผมว่ามันไม่ได้แพงขึ้น ก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ได้แพงขึ้น เพราะฉะนั้นกลับไปยุ่งเรื่องอุดมการณ์ต่อดีกว่าฮะ เรื่อง 112 รัฐธรรมนูญ นั่นแหละเรื่องสำคัญ เพราะข้าวไม่ได้แพง ” ม.ล.ณัฏฐกรณ์โชว์ความเป็นกลางในดวงใจของคนเสื้อแดงออกมาอย่างหมดเปลือก แถมยังด้านหน้าไปสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือมาตรา 112 ที่ย่ำยีหัวใจคนไทยทั้งชาติอีกต่างหาก
       
       ขณะที่ นายชูวัส ก็กล่าวสนับสนุนว่า “ ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าของแพงขึ้นเช่นกัน แต่คนรอบข้างกลับบ่นว่าของแพงขึ้น ดังนั้น ผมจึงฟันธงว่า การจุดกระแสเรื่องของแพงขึ้นมานี้เป็นเรื่องการเมือง มิใช่เป็นความเดือดร้อนของประชาชนจริงๆ”
       
       ดูไปแล้วก็ช่างน่าขัน ไม่รู้ว่า มาตรา 112 กับเรื่องข้าวของแพงมันเกี่ยวกันยังไง ความเดือดร้อนจากปัญหาข้าวของแพงที่รัฐบาลควรเร่งแก้ไขก็กลับกลายเป็นเรื่องการเมืองที่ 'ถูกกุ' ขึ้นมา
       
       ที่ซังกะบ๊วยหนักที่สุดกว่าใครเพื่อนเห็นจะหนีไม่พ้นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชื่อ “นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์” ที่เชื่อมโยงตรรกะมั่วซั่วจนหลายคนตั้งคำถามว่า นี่หรือคืออาจารย์มหาวิทยาลัย
       
       “ข้าวแกง จากน้ำมันดีเซลขึ้นไปลิตรละ 3 บาท มันทำให้ข้าวแกงขึ้นไปตั้ง 5 บาท ถึง 10 บาท ได้ยังไง คุณเอาน้ำมันใส่ลงไปในข้าวแกงหรือไง?” นายพิชญ์ พูดพลางหัวเราะหึๆ
       
       ทั้งนี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างก็เห็นตรงกันว่าการจะนำเสนอข่าวในลักษณะที่แถไถบิดเบือนมั่วนิ่มเช่นนี้ได้คงเป็นเพราะเหล่าพิธีกรระดับปัญญาชนทั้ง 3 คนนั้นคงหลงลืมไปว่าประชาชนคนไทยไม่ได้หูหนวกบอดใบ้กระทั่งไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้แม้กระทั่งความเป็นไปของราคาสินค้าที่เขาต้องกินต้องใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะปั้นข้อมูลมายัดเยียดให้อย่างไรก็ได้ เพราะประชาชนคนไทยนั้นสมองไม่มีรอยหยัก ??
       
       ที่สำคัญหากนายพานทองแท้ซึ่งเป็นผู้บริหารสถานีวอยซ์ ทีวีไม่ได้คิดจะใช้สื่อสีแดงแห่งนี้บิดเบือนข้อมูลกลบปัญหาความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานของรัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของ นายกฯยิ่งลักษณ์แล้วล่ะก็ เหตุไฉนจึงยอมให้มีข่าวที่โกหกบิดเบือนออกมาสู่สายตาประชาชนได้มากมายขนาดนี้
       
       นี่คงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า ปรัชญาในการทำหน้าที่ของวอยซ์ทีวีนั้น หาได้เป็นไปดังสโลแกนที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของสถานีประดิดประดอยขึ้นอย่างสวยหรูว่า “ Voice TV : Voice of the New Generation”
       
       หรือ “วอยซ์ทีวี : ทีวีเพื่อคนรุ่นใหม่” หากแต่เป็น “วอยซ์ทีวี : ทีวีเพื่อพรรคเพื่อไทย” !!



หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 มีนาคม 2555, 20:30:48
ตะลึง!วารสารปากน้ำโพด่า'แม้ว'แขวะ'ปู'

ตะลึง!แจกวารสารประจำเดือน "นครสวรรค์-นครแห่งความสุข" กลางที่ประชุมประจำเดือนจังหวัดนครสวรรค์ เนื้อหาทำนองเสียดสี"รัฐบาลยิ่งลักษณ์" โชว์รูปภาพนักปกครองไร้คุณธรรม "ทักษิณ"ติดกลุ่ม ผู้ว่าฯสั่งทำลาย ลั่นเอาผิดรักษาการหัวหน้าสำนักงานจังหวัด

              30มี.ค.2555 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 29 มี.ค. นายชัยโรจน์ มีแดง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมรองผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ประชุมประจำทุกเดือนระดับหัวหน้าส่วนราชการทั้งจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งมีหัวหน้าส่วนราชการทุกอำเภอทั่วทั้งจังหวัดกว่า 100 คนเข้าร่วมประชุม

              การประชุมดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานจังหวัดนครสวรรค์ ได้แจกจ่ายหนังสือ ที่จัดทำขึ้นโดยสำนักงานจังหวัดนครสวรรค์ ศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นวารสารประจำเดือน ของสำนักงานจังหวัดนครสวรรค์ ชื่อนครสวรรค์-นครแห่งความสุข ปีที่ 2 ฉบับที่ 10 เดือนมีนาคม พ.ศ.2555 จำนวนหลายร้อยเล่มให้บรรดาหัวหน้าส่วนและราชการที่ร่วมประชุมได้อ่าน โดยสารดังกล่าวจัดทำเป็นรูปเล่มสวยงาม ปก 4 สี จำนวน 47 หน้า

              เนื้อหาสาระในหนังสือวารสารเริ่มตั้งแต่บทบรรณาธิการ ที่ผู้เขียนใช้ชื่อว่า "ติ๊ก ดอทคอม" วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลด้วยเนื้อหา   เริ่มตั้งแต่ยกเอาเรื่องของการมอบรางวัลออสการ์ครั้งที่ 84 ที่มอบรางวัลแก่นักแสดงสาขาต่างๆโดยเฉพาะหนังเรื่อง THE IRON LADY ที่ผู้เขียนพูดถึงดารานำหญิงยอดเยี่ยมคือ เมอรีล สตรีฟ ที่แสดงเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษนางมาการ์เร็ต แธตเชอร์ ที่โดดเด่นเด็ดเดี่ยวเป็นผู้นำบนเวทีโลกที่เป็นที่ยอมรับ ไม่เคยนำเอาความเป็นผู้นำหญิงหลบเลี่ยงการตอบข้อสงสัยในประเด็นสาธารณะเหมือนนายกหญิงบางประเทศ ซึ่งเป็นที่เข้าใจของผู้อ่านได้ว่าหมายถึงใคร  ในย่อหน้าสุดท้ายของบทนำโจมตีการทำหน้าที่ของนายดิสทัต คำประกอบ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ถูก กกต.ให้ใบแดง

              ส่วนเนื้อหาในเล่มใช้ภาพประกอบในหน้าที่ 16-21 คอลัมน์ "ธรรมะส่องใจ" ที่บรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน เปรียบเทียบข้าราชการที่ดีและไม่ดี โดยในเนื้อหาได้แสดงรูปเปรียบเทียบระหว่าง กษัตริย์ จักรพรรดิ นักปกครอง ผู้นำที่มีคุณธรรม และ กษัตริย์ จักรพรรดิ นักปกครอง ผู้นำที่ไม่มีคุณธรรม ด้วยการแสดงรูปบุคคลทั้งสองกลุ่มอย่างชัดแจ้ง  ในการยกตัวอย่าง กษัตริย์ จักรพรรดิ นักปกครอง ผู้นำที่มีคุณธรรมได้นำเอารูปพระพุทธเจ้า ประธานาธิบดีลินคอล์น พระเยซูคริสต์ ประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดล่า ขงจื้อ มหาตมะคานธี กษัตริย์โซโลมอน นางอองซาน ซูจี จักรพรรดิเฮเดรียน และรัชกาลที่ 5 มาประกอบ

              ส่วนรูปที่แสดงถึง กษัตริย์, จักรพรรดิ, นักปกครอง, ผู้นำ, ที่ไร้คุณธรรม ในจำนวนนี้มีรูปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีประกอบด้วย

              เมื่อวารสารดังกล่าวแจกจ่ายให้หัวหน้าส่วนราชการได้รับความสนใจจากข้าราชการระดับสูงต่างวิพากษ์อย่างกว้างขวาง  ล่าสุดนายชัยโรจน์สั่งให้เก็บวารสารของสำนักงานจังหวัดทำลายทันที  พร้อมตั้งกรรมการสอบรักษาการหัวหน้าสำนักงานจังหวัดนครสวรรค์และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 มิถุนายน 2555, 09:54:03
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd710833_7013109_4708117_1202899photo.jpg)

Nobel กับ Nobrain
ฟ้ากับดิน
สวรรค์กับนรก
สง่างามกับสมเพช
ศักดิ์ศรีกับอัปยศอดสู


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 มิถุนายน 2555, 22:53:17
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd560142_6654528_8580604_3455414photo.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มิถุนายน 2555, 13:00:08
มะเร็งติดจรวดของผลงานของนางกิมิทาเทวีนางสงกรานต์ปีดุ

ชูพงศ์ ถี่ถ้วน เจ้าของเว็บไซด์ นปช.USA จาบจ้วงในหลวง กระดูกกดทับเส้นประสาทรุนแรงเจ็บปวดสาหัสยามที่ใช้ลมในปอดเปล่งเสียพูดนอนป่วยอยู่เมืองนอกไร้คนดูแลต้องออกมาขอเรี่ยไรเงินกินอยู่จากพวกเสื้อแดงบนหน้าเพจ คงจะไม่น่าจะรอดปีนี้

แป๊ะนรก นายอำพล ตั้งนพกุล ส่ง SMS จาบจ้วงสถาบันห้าคดี มะเร็งกินตายคาคุก หลังจากเข้าคุกได้ไม่กี่เดือน

สุรชัย แซ่ด่าน แกนนำแดงสยาม จาบจ้วงสถาบันสภาพแย่นอนป่วยในคุก ต่อมลูกหมากโต ประกอบกับเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และเคยทำบายพาสมาก่อน เคยได้รับการพระราชธานอภัยโทษหลายครั้งก็ไม่เข็ดหลาบครั้งนี้มีโอกาสตายคาคุก ตอนนี้หามออกมาที่รพ.ตำรวจ รักษาตัวมะเร็งที่กล่องเสียง ตอนนี้พูดไม่ได้แล้ว กลืนอะไรไม่ได้หายใจลำบาก น่าจะกลับนรกเร็วๆนี้

นายภิรมณ์ ศรีธาตุ แกนนำแดงระยอง อดีตผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทยระยอง นอนตายด้วยโรคมะเร็งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตอนแรกข่าวออกมาสับสนว่าเป็น นายยรรยงค์ แกนนำแดงเปิดหมู่บ้านแดงมาบตาพุด ระยอง ที่คนระยองออกมาต่อต้าน ที่จริงๆแล้วนายยรรยงค์ยังไม่ตาย แต่ก็เป็นมะเร็งระยะสี่กำลังจะตายเหมือนกัน

คิวต่อไป ดา ตอติโด ด่าในหลวงบนเวทีเสื้อแดงสนามหลวงนอนป่วยคาคุกข้อต่อขากรรไกรอักเสบ ก่อให้เกิดการยุบตัวลงจึงเกิดอาการอักเสบรุนแรงซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถอ้าปากได้อย่างคนปกติ อ้าปากได้เพียง 2 เซ็นติเมตร เท่านั้น ไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ เวลาแปรงฟันก็ต้องกระทุ้งแปรงสีฟันเข้าไปข้างใน เนื่องจากอ้าปากไม่ได้ เจ็บปวดสาหัส จากคนเคยอ้วนกลายเป็นผอมน่าจะอยู่กินข้าวในคุกได้ไม่นาน

ส่วนทักกี้หัวหน้าแก็งค์นายทุนใหญ่ยังต้องทรมารกับมะเร็งต่อมลูกหมากให้คีโมจนขนหัวร่วงหน้าบวมเป็นอึ่งเน่าต่อไป

โดย: Von Richthofen

(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd731848_7909146_2085006_2852017photo.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มิถุนายน 2555, 18:44:20
Kanok Ratwongsakul

เห็นชาวเว็บขบขันเรื่องนายกฯพูดผิด ชาวโลกงงกับภาษาอังกฤษของท่านแล้ว
 ผมเห็นใจท่านจริงๆ จึงขอถือวิสาสะแนะนำบางอย่าง ในฐานะคนที่ใช้คำพูดทำงานคนหนึ่ง

1.ท่านพูดเร็วเกินไป ตัวเองอาจไม่รู้ตัว คนอื่นอาจดูไม่ออก แต่พูดผิดนับสิบหนเช่นนี้ ชัดเจนว่าพูดเร็วเกิน "เร็วเกินความคิด" (มิใช่ไม่มีความคิด
)
 2.จะดูโพยต้องเนียนกว่านี้ ดูโพยนั้นไม่ผิดและท่านสมควรจะดูมากๆ (ปล่อยพูดเองไม่ได้) แต่ท่านก้มดูมากไป ฝึกคนอ่านข่าวเวลาก้มดูสคริปต์ เราจะไม่ก้มมากจนคนดูเห็นกลางกบาลแบบนี้

3.นายกฯคนก่อนๆที่ภาษาอังกฤษ very poor รมว.ต่างประเทศช่วยได้ ไปเมืองนอกนายกฯไม่ต้องพูดเยอะ ให้รัฐมนตรีพูดนำแต่ รมว.คนนี้ very very poor! จึงไม่มีใครช่วยท่านได้ นอกจาก "ล่าม" ใช้ล่ามเลยครับ ไม่ต้องอาย ดีกว่าไป "บลาๆๆ" และท่านคงไม่แย่ถึงขนาดใช้ล่าม..แปลไทยเป็นไทยนะ

 4.ท่านมีเวลา 3 ปีก่อนรวมอาเซียน รีบท่องซะว่าประเทศไหนใช้นายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดี จำให้แม่นก่อนว่า ไทยแลนด์ใช้นายกฯครับ

^^ ปล. สำนวน very poor แปลว่าภาษาของฉันยังไม่ดี ไม่ใช่ ภาษาอังกฤษฉัน "จนมาก"


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มิถุนายน 2555, 11:12:05
Watch Red Shirt ศูนย์ปฏิบัติการติดตามผู้ชุมนุมเสื้อแดง
สื่อแดง นำความเห็นของนักวิชาการบางคน ที่ขอตัดขาดกับพรรคเพื่อไทย มาเผยแพร่ทางอินเตอร์เนต


(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd822603_723982_4983073_2411505photo.jpg)


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 มิถุนายน 2555, 15:52:47
ต่างชาติตะลึง!!! ปูนิ่มปล่อยมุขตลกคาเฟ่ระดับโลก เฮกว่า “ประเทศซิดนีย์”  น่าท้อแท้ใจยิ่งกว่า “เอาอยู่” ....

เพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ส่งคลิปมหัศจรรย์ชิ้นนี้มาให้จขบ.ดู พร้อมย้ำว่า ให้ฟังที่ช่วงประมาณ 52:30 เป็นต้นไป อันเป็นช่วงเวลาที่นายกฯปูนิ่มด้นกลอนสด โดยปราศจากโพย
จขบ.ก็เป็นคนว่านอนสอนง่าย จึงเปิดคลิปดู แล้วก็ต้องตะลึง นะจังงัง กับ มุขตลกประเภทไม่เกรงใจชาวโลกของนายกฯประเทศไทย
ครับ นายกฯนกแก้วดั้นกลอนสดออกมาประมาณว่า  “ 10 countries in ASEAN contain about half population of the world..”
นั่นคือ “สิบประเทศในอาเซียนมีประชากรประมาณครึ่งหนึ่งของโลก”
มหัศจรรย์ยิ่งกว่า จังหวัดหาดใหญ่ น่าทึ่งยิ่งกว่าประเทศซิดนีย์แน่นอน

แท้จริงแล้ว ประชากรอาเซียนมีประมาณ 600 ล้านคน และเป็นประมาณ 8.8% ของประชากรโลก ซึ่งมีประมาณ 7,000 ล้านคน
นายกฯของประเทศไทย ไปศึกษาภูมิศาสตร์จากสำนักไหนไม่ทราบเหมือนกัน ถึงได้ดำน้ำออกมาว่า “อาเซียนมีประชากรประมาณครึ่งหนึ่งของโลก”
ก็นับเป็นมุขตลกคาเฟ่ที่คนไทยมารับรู้ช้ากว่าที่ควร
เพราะนายกฯไปปล่อยฮาในการประชุม World Economic Forum เมื่อ 1 มิย.
ทั่วโลก เขาได้เฮกันจนน้ำตาเล็ดแล้ว พี่ไทยถึงเพิ่งมีโอกาสรู้ น่าท้อแท้ใจไหมละครับ?

เพื่อให้ได้เห็นบรรยากาศ “นานาชาติ” ที่ทึ่งและตะลึงต่อปัญญาความรู้ของนายกฯมหัศจรรย์คนนี้
จขบ.ขอคัดความเห็น ทั้งที่ “เอาอยู่” และ “เอาไม่อยู่” กับมุขตลกนี้ เชิญหาความหรรษากันะครับ

• Who really understand what she said????
jakjuventus 6 days ago 28 
• I don't think she actually understood what she said either. hahaha
Patrick0215270 in reply to jakjuventus (Show the comment) 6 days ago 22 

• ASEAN has a population of approximately 600 million people, which is 8.8% of the world's population. Yingluck, next time spend more time studying your speech, spend less time on your make up and hair do please, I know you are lazy but PLEASE ... for the sake of our Nation. :(
Annie7546 27 minutes ago 2 
• Yes she did say that, but what she said was beyond absurd, ASEAN population is about 600 millions. China's population alone is more than 1.3 billions. This is hilarious. I just wish she was more prepared.
marrykate24429 in reply to RynnerleinCFCx (Show the comment) 56 minutes ago
• good question. Don't take anything Yingluck said seriously, we Thais don't. This is a woman who thinks "Sydney" is a "Country". If you know what I mean. lol
PexParkpoom in reply to RynnerleinCFCx (Show the comment) 1 day ago 3 
• Is that true Thai PM said 10 South East Asia countries have about half of the population world? I don't think so. Well, I tried to ignore this Thai PM but she always make tons of mistakes....So sad for Thai people...
TheGalileo33 2 days ago 2 


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 มิถุนายน 2555, 22:38:06
กนก โพสต์ FB เชื่อ อู่ตะเภา ไม่เข้าครม. เพราะ รัฐบาลละอายใจ ไม่เชื่อ นาซ่า "พ่อพระ" เหน็บ หลอกได้แต่ "ปู ซิดนีย์แลนด์" ยิงมุก "อ้อมนำทีมร่วมปิดอู่" พร้อมเฉลย กล้ว ปู งง

นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรชื่อดัง โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คส่วนตัว Kanok Ratwongsakul แสดงความไม่เห็นด้วยที่จะให้นาซ่ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาในการสำรวจก้อนเมฆ ไม่เชื่อ นาซ่าจะเป็นพ่อพระ มีข้อความดังนี้

เบื้องหลังที่เรื่องอู่ตะเภาไม่เข้า ครม.วันนี้ เพราะรัฐบาลละอายใจ ขนาดดาราที่ไม่ค่อยสนใจการเมือง เค้ายังรู้เบื้องลึกที่สหรัฐมาขอใช้อู่ตะเภา คุณอ้อมจึงออกมาประกาศชัดๆ "ร่วมปิดอู่" มีแต่รัฐบาล "ปูโลกแคบ" ที่เชื่อนาซ่า แม่ม..ร้อยวันพันปี ไม่เห็นมันสนใจสภาพอากาศ อยู่ๆเจาะจงมาศึกษาการก่อตัวของก้อนเมฆที่สนามบินอู่ตะเภา กลัวจะไม่มีน้ำหนัก เลยแถมเรื่องจะใช้ที่นี่เป็นศูนย์ช่วยเหลือทางภัยพิบัติด้วย โห..พ่อพระโคตร! เชิญหลอก "ปู ซิดนี่ย์แลนด์" ไปเถอะ สื่ออย่างเรารู้ทัน ว่าแต่..she จะรู้มั๊ยว่า "อ้อมปิดอู่" นี่เป็นมุก เดี๋ยวหล่อนเกิดเชื่อขึ้นมาจริงๆว่า อ้อมนำทีมดาราคัดค้านด้วย ได้ฮากันอุจจาระบอมบ์เลย :-D ปล.นายกฯครับ จะเข้าใจว่า "อู่" ในโพสต์นี้หมายถึงอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่อู่รถเมล์ ขสมก.และ ไม่ใช่ "จังหวัดอู่ตะเภา" นะครับ ^^


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 มิถุนายน 2555, 07:18:36
สังคมออนไลน์แพร่บทกวี "หงา คาราวาน" ซัดมีกลุ่มคนปล้นสีแดงไปย่ำยีเป็นของตัวเอง จนไม่กล้าใช้สีนี้ เพราะไม่มีใจให้ "วิสา" อดีตเพื่อนร่วมอุดมการณ์แต่งกลอนโต้ สีแดงคือเลือดประชาชนผู้ไร้สิทธิ์ ถูกไล่ยิงกลางถนน แต่ "เนาวรัตน์ - สุรชัย" ไม่ได้ยิน จึงไม่มีใจให้สีแดง ด้าน "สมศักดิ์ เจียมฯ" งง ทำไมอดีตฝ่ายซ้ายหลายคนหันมาเชียร์เจ้า
       
       วันนี้ (26 มิ.ย.) ทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้เผยแพร่บทกวีของ นายสุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน ศิลปินแห่งชาติ และศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง เนื่องในโอกาสเป็นวันสุนทรภู่
       
       โดยบทกวีนี้มีใจความในทำนองว่า มีกลุ่มคนปล้นสีแดงไปย่ำยีเป็นของตัวเอง ทำให้ศิลปินเดือดร้อน ไม่กล้าที่จะใช้สีแดง เพราะไม่มีใจให้ วอนคืนสีแดงมา ก่อนจะเกิดสงคราม
       
       บทกวีฉบับเต็ม "หงา คาราวาน" มีดังนี้
       
       "ขอเรียนศาลแห่งสีที่เคารพ
       
       สีต้องใช้ไม่ครบกระบวนสี
       
       มีกลุ่มคนผูกขาดในชาตินี้
       
       ยึดสีแดงไปย่ำยีเป็นของตน
       
       ทำให้สีแดงแย่มีแต่ยุ่ง
       
       จะแต่งปรุงงานศิลป์ก็สับสน
       
       ศิลปินเดือดร้อนเกินจะทน
       
       เพราะสีแดงถูกปล้นขโมยไป
       
       เอาสีแดงคืนมาให้ข้าเถิด
       
       ก่อนจะเกิดสงครามห้ามไม่ได้
       
       ทุกวันนี้พวกข้าไม่กล้าใช้
       
       เพราะว่าใจไม่มีให้สีแดง..."


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 23 สิงหาคม 2555, 20:15:22
                 สวัสดีตะวัน
                      เรามีภาพที่เหมาะกับห้องการเมืองเป็นเรื่องสนุก อยู่ภาพหนึ่ง
                      เราสงสัยว่าคุณเสื้อแดงเขาจะหมายถึงใคร   ต้องถามกูรูการเมืองอย่างตะวัน
                         
                         (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd773223_7171954_8216903_2021369photo.jpg)

                                   Nokja  emo47


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 สิงหาคม 2555, 22:34:10
ขอพวกเรา ปรบมือ เชียร์ ให้กำลังใจกับเพื่อนของเรา ที่เป็นคนดี มีจุดยืน ไม่เปลี่ยนสี เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
ขอชื่นชม ถวิล เปลี่ยนศรี RCU 15

“ถวิล” โวยสลายแดงข้อเท็จจริงถูกบิดเบือน ฉะ ขรก.ขายมโนธรรมเพื่อรักษาเก้าอี้

วันนี้(23ส.ค.)นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ อดีตเลขาธิการสภาความมั่งคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหารในการสลายการการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.ปี 2553 ว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาบ้านเมืองกลับตาลปัตร ดูแล้วสับสนวุ่นวาย ซึ่งจะขอพูดในส่วนที่เกี่ยวข้องช่วงที่ตนเป็นเลขานุการ ศอฉ. และข้อเท็จจริงในเวลานั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม แต่พอมาอีกเวลาหนึ่งกลายเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จากขาวเป็นดำ เวลาผ่านมาไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนไป
       
       นายถวิลกล่าวว่า ข้อเท็จจริงบางอย่างถูกบิดเบือน ถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไป แล้วเราจะเขียนประวัติศาสตร์ในระยะหลายๆ ปีได้อย่างไร ต่อไปข้างหน้าเราไม่ต้องเอาหัวเดินต่างเท้าหรือ โดยสิ่งตนจะพูดมี 3 ประเด็น คือ 1. เหตุการณ์ สถานการณ์ และการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในช่วงเกิดเหตุ พ.ค. 2553 2. กรณีที่หลายฝ่ายข้องใจ ที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พูดถึง ศอฉ. และการทำงานของ ศอฉ.ในขณะนั้น และ 3. คำสั่งทางยุทธการหรือแผนปฏิบัติงานที่รั่วไหลมาทางสื่อ
       
       1. เหตุการณ์ความไม่สงบมีความต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2552 จากกรณีที่ไปล้มการประชุมที่พัทยา และต่อเนื่องมาจนถึง พ.ค.2553 ซึ่งเริ่มมีความบิดเบือน ทั้งที่ความจริงมีข้อเท็จจริงเดียวและต้องไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งเหตุการณ์ปี 2553 เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ออกมารักษาความสงบ และศาลแพ่งก็มีการวินิจฉัยว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถดำเนินการตามกฎหมายได้
       
       “ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ไม่มีอะไรทำแล้วคว้าอาวุธมาไล่ฆ่าประชาชน อย่างที่มีความพยายามจะกล่าวหากัน ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้นถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ออกไปจะเป็นเรื่องที่แปลก เพราะตอนนั้นต้องรักษาความสงบให้ได้ และระงับการชุมนุมที่ไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งการออกของเจ้าหน้าที่ ผมยืนยันว่าทำไปด้วยความรู้สำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี มีเจ้าหน้าที่หลายคนไม่สบายใจที่ออกไปทำงาน แต่ด้วยหน้าที่ที่รับผิดชอบก็ต้องไปปฏิบัติภารกิจให้เรียบร้อย เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ควรได้รับคำชมมากกว่าคำด่า หรือการหาว่าเขาไปฆ่าคน เราควรดำเนินการตามยุติธรรมมากกว่าในการไปค้นหาความจริง ไม่ใช่ไปกล่าวหาว่ามีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธ เอาสไนเปอร์ออกไปไล่ฆ่าคน ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่ เพราะคำสั่งที่ออกไปเป็นการพิจารณาที่รอบคอบแล้ว”
       
       นางยุวดี ธัญศิริ ผู้สื่อข่าวอาวุโสประจำทำเนียบรัฐบาล จาก นสพ.บางกอกโพสต์ถามว่า เป็นการแก้ต่างให้ ศอฉ.หรือไม่ นายถวิลกล่าวว่า ไม่ได้แก้ต่าง แต่ตนเป็นส่วนหนึ่งของ ศอฉ. ยืนยันว่าการทำงานขณะนั้นเรายึดกฎหมาย ยึดหลักสากลในการทำงาน เป็นการออกคำสั่งโดยที่มีการพิจารณารอบคอบ
       
       ส่วนที่นางยุวดีถามว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติเกินกว่าเหตุหรือไม่ทำให้มีคนตาย 98 ศพ และบาดเจ็บอีกเป็น 2 พันคน นายถวิลกล่าวว่า ตนได้สะท้อนแล้วว่ามีคนบาดเจ็บร่วมพัน ซึ่งจำนวนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจจำนวนมาก เหตุการณ์ที่ลำดับให้ฟังจะเห็นว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว หรือเกิดเพราะเจ้าหน้าที่ลุยปราบปรามสลายการชุมนุม ส่วนใหญ่เป็นการยิงเจ้าหน้าที่ และเหตุการณ์กระชับวงล้อม ซึ่งเมื่อช่วงกลางเดือน พ.ค. 2553 นั้นเจ้าหน้าที่ไม่ได้บุกเข้าไป เพียงแต่ไปตั้งกำลังเพื่อปิดล้อม เจตนาที่พูดกันใน ศอฉ.คือต้องการให้สลายการชุมนุมเอง โดยไม่มีผู้เข้าไปร่วมชุมนุมใหม่ ให้ผู้ชุมนุมเก่าเดินทางกลับภูมิลำเนา จึงไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่ตะลุยเข้าไปยิง
       
       ส่วนที่ถามว่ามีบางส่วนเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่นั้น เมื่อมีข้อมูลการสอบสวนเบื้องต้นของดีเอสไอระบุเช่นนั้น ก็เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่จะมีการไต่สวน ร้องต่อศาล ศาลก็ให้มีการไต่สวน แต่ขณะนี้มันมีการกล่าวหานอกศาลแล้วว่าเจ้าหน้าที่ฆ่าประชาชน ซึ่งตนคิดว่าเจ้าหน้าที่ออกไปทำงาน แม้มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่เขาไม่มีสิทธิที่จะทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่มีอยู่ ถ้าเขาผิดจริงตามกระบวนการไปถึงชั้นศาล เขาก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งนั้นจะเป็นความยุติธรรม แต่ไม่ใช่มากล่าวหาเขาตรงนี้ ทั้งที่เป็นฝ่ายนำพาชาติบ้านเมืองให้ไปสู่ความสงบในขณะนั้น ถ้าสภาพที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นมีการเผาอาคาร มีการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ตนก็มองไม่เห็นว่าถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ทำงานในช่วงนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองจะนำไปสู่อะไรบ้าง
       
       นายถวิลกล่าวว่า เรื่องที่ 2 การทำงานใน ศอฉ. โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น มอบให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็น ผอ.ศอฉ. และเป็นหัวหน้าผู้ปฏิบัติงาน ส่วนนายอภิสิทธิ์จะเข้าประชุมในฐานะนายกฯ ที่กรมทหารราบที่ 11 รอ.ด้วย ซึ่งการทำงานของ ศอฉ.จะมีหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการ ซึ่งรวมถึงนายธาริตด้วย ส่วนตนเป็นเลขานุการตามกฎหมาย ซึ่งมีการประชุมกันทุกวัน และมีคณะกรรมการเข้าร่วมประชุม มีการประเมินสถานการณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกวัน
       
       ในการประชุมมีการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง แต่ไม่มีการสั่งการปฏิบัติการในที่ประชุม ใครไม่เห็นชอบกับเรื่องที่ประชุมก็สามารถโต้แย้งได้ ซึ่งนายธาริตก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการประชุม หากไม่มีท่านเราคงเหนื่อยกว่านี้ เพราะท่านเป็นคนที่เสนอเรื่องที่มีประโยชน์ เมื่อประชุมเสร็จก็จะมอบให้หัวหน้าออกแผนปฏิบัติ เพราะเรื่องนี้จะให้นายสุเทพออกไปสั่งว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ซึ่งแผนดังกล่าวเรียกว่าคำสั่งยุทธการ โดยทุกครั้งจะคำนึงถึงชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน แต่การปฏิบัติการเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่ใช่การชุมนุมที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีการใช้อาวุธ จะเห็นว่าช่วงกระชับวงรอบ 18-20 พ.ค. มีการยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่
       
       นายถวิลกล่าวว่า 3. เรื่องคำสั่ง ซึ่งเรายึดกฎหมายและระเบียบราชการเป็นหลัก ซึ่งเรากำชับหัวหน้าผู้ปฏิบัติการตลอด แต่เราอาจจะไม่สามารถกำชับไปยังผู้ปฏิบัติการได้ ทั้งนี้เรากำชับให้ระวังความปลอดภัยของประชาชนมากที่สุด เพ่งเล็งไปที่ผู้ใช้อาวุธและต่อสู้กับเจ้าหน้าที่เป็นหลัก และคำสั่งที่รั่วไหลออกมาทางสื่อ ตนยังไม่เห็นว่ามีคำสั่งไหนลุแก่อำนาจหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไปฆ่าประชาชน ซึ่งลำดับขั้นตอนต่างๆ ก็เป็นไปอย่างถูกต้อง และแน่นอน คำสั่งเหล่านี้ไม่น่าจะออกมาตามสื่อ ซึ่งคำสั่งต่างๆ ไม่ใช่เรื่องของความลับ แต่การที่มีแตงโม มะเขือเทศ ส้มโอ อยู่ด้วย ฉะนั้นการสั่งการไม่ได้มีการสั่งการที่ชัดเจน แต่ตนยืนยันว่ามีการตกลงกันในเชิงนโยบาย กรรมการ ศอฉ.ทุกคนรับทราบก่อนจะออกเป็นแผนปฏิบัติการ
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า พูดมาทั้งหมดเหมือนแก้ต่างให้ ศอฉ. เพราะศอฉ.ไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นเลยว่าชายชุดดำที่ออกมายิงเป็นใครบ้าง เหตุการณ์ที่มีการเผาต่างๆ ก็ไม่เห็นตัวชุดดำ นายถวิลกล่าวว่า เรื่องเหล่านี้ถูกกระแสทำให้ไม่ปรากฏขึ้นมา ความจริงการดำเนินคดีต่อกลุ่มที่ใช้อาวุธและกลุ่มชายชุดดำ มีการจับกุมดำเนินคดี แต่ขณะนี้มีการประกันตัวไปเกือบทั้งหมด แต่ขณะนี้มันมีกระแสอย่างอื่นเข้ามากลบ อย่างที่ถามเรื่องเพ่งเล็ง ใครเผาราชประสงค์ ชายชุดดำถูกดำเนินคดีหรือไม่ มันมีการจับกุม เพราะระหว่างที่ทำงานกันมา ตำรวจและดีเอสไอ มีการรายงานเข้ามาว่ามีการจับกุม ควบคุมตัวไว้แล้ว จนกระทั่งตนถูกต่อว่า และไปยืนยันนายธาริตว่าจากการสอบสวน ทราบข่าวว่ามีการไปฝึกอาวุธจากประเทศเพื่อนบ้าน ตนแถลงว่ารับทราบจริงและนายธาริตได้มีการรายงานผลงานการสอบสวนจริงๆ เรื่องแบบนี้ถูกกลบ ถ้าบ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ ความจริงก็ไม่เป็นความจริง ความจริงเวลาหนึ่ง กลายเป็นความเท็จเวลาหนึ่ง ถ้าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ความจริงก็ไม่เป็นความจริง
       
       ต่อข้อถามว่า ที่บอก ศอฉ.ต้องรับผิดชอบร่วมกันเพื่อความชัดเจนให้สังคมโปร่งใส คำสั่งยุทธการทั้งหมดพร้อมแสดงให้สังคมได้รับรู้ รับทราบหรือไม่ นายถวิลกล่าวว่า ควรเป็นหน้าที่ของกฎหมาย ถ้าจำเป็นศาลจะเรียกดูได้ หากเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมทางเจ้าหน้าที่ของเราคงไม่ขัดข้อง ขณะนี้เป็นกระบวนการนอกศาล ซึ่งไม่เป็นธรรม
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า มองบทบาทการทำงานของนายธาริตในขณะนี้อย่างไรบ้าง นายถวิลกล่าวว่า นายธาริตทำงานทั้งในฐานะกรรมการ ศอฉ. รวมทั้งทำงานในฐานะอธิบดีดีเอสไอได้ทำงานหลายอย่าง ซึ่งเป็นผลดีต่อการระงับความรุนแรง การรักษาความสงบเรียบร้อย นายทหารหลายคนได้พูดคุยกับตนว่าถ้าไม่ได้นายธาริตเราจะเหนื่อยกันมากกว่านี้ เพราะนายธาริตอยู่ดีเอสไอ มีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานในขณะนั้น โดยวิธีปฏิบัติของนายธาริตในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องร่วมมีอด้วยกับ ศอฉ.ในขณะนั้น เพราะมีเหตุการณ์เช่นที่ว่าเราพูดเรื่องหนึ่ง เมื่อเหตุการณ์หมดไปแล้วมันไม่เห็นภาพ ขณะนี้หากไปเดินแยกราชประสงค์ก็ไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้นในขณะนั้น แต่ ณ วันนั้นมันไม่ใช่ ราชประสงค์เป็นพื้นที่ที่รัฐเข้าไปดูแลไม่ได้
       
       “ที่ถามถึงคุณธาริต ผมก็อยากให้กำลังใจท่าน ผมรู้จักกับท่านดี ท่านเป็นมืออาชีพ วันนี้ท่านก็ยังเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าหน่วยงานที่ต้องรักษาความยุติธรรม รักษาการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ผมว่าท่านไม่ละทิ้งตรงนั้น คนอื่นอาจจะสงสัยท่าน แต่ผมไม่เคยมีข้อสงสัยอะไรในตัวท่าน”
       
       ส่วนที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์นายธาริตว่าเปลี่ยนไป นายถวิลกล่าวว่า ตนไม่ขอวิจารณ์ ตนต่างหากที่เปลี่ยนเพราะตอนนั้นเป็นเลขาฯ สมช.แต่ตอนนี้ตนเป็นที่ปรึกษานายกฯ แต่นายธาริตยังเป็นอธิบดีดีเอสไอ
       
       ส่วนที่นายธาริตอ้างว่าไม่รู้ข้อมูลการสั่งการของฝ่ายยุทธการ นายถวิลกล่าวว่า การขอคืนพื้นที่เป็นความเห็นชอบร่วมกันของ ศอฉ. แต่การปฏิบัติมันสั่งการในที่ประชุมไม่ได้ ผู้ปฏิบัติหรือมีหน้าที่รับผิดชอบต้องไปออกแผนปฏิบัติของตัวเองตามกรอบที่ ศอฉ.ให้ไว้ ถ้ามีใครไม่เห็นด้วย หรือเห็นว่าการกระทำไม่ถูกต้องก็สามารถให้ความเห็นในที่ประชุมได้ เมื่อถามว่าแผนปฏิบัติในฐานะเลขาฯ ศอฉ.รับรู้ด้วยหรือไม่ นายถวิลกล่าวว่า แม้จะทราบก็อ่านแผนไม่ออกว่าสั่งการอย่างไร เมื่อถามว่าแผนออกมาแล้วต้องขออนุมัติจากใครจึงจะไปปฏิบัติได้ นายถวิล กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเร็ว มาก แค่สั่งการแล้วแยกย้ายกันปฏิบัติงานยังไม่ทันเลย ฉะนั้นคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของหัวหน้าหน่วย ผู้ที่สั่งการออกไปปฏิบัติอย่างไร แต่ถ้าบอกว่าเอาแผนมาให้นายอภิสิทธิ์ หรือนายสุเทพดูก่อนหรือไม่ตนก็ไม่ยืนยันเพราะไม่ได้เห็นในส่วนนั้น
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า การปราบจลาจลทั่วโลกเขามีวิธีการสากลอยู่แล้ว ทำไมเราถึงใช้กำลังทหารติดอาวุธและรู้ว่าทหารทำแล้วต้องรุนแรง ไม่เหมือนตำรวจดำเนินการ นายถวิลกล่าวว่า ถ้าตนพูดทุกคนอาจจะเข้าใจตนผิด ตนคิดว่าวิธีการที่เราทำงานในบ้านเมืองเราอะลุ้มอล่วยมากที่สุดแล้วถ้าเทียบกับต่างประเทศ ส่วนที่ถามว่าทำไมใช้ทหารเพราะตำรวจไม่เพียงพอในการปฏิบัติงาน และตำรวจไม่พร้อมทำงาน เพราะบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ 7 ต.ค. 2551 ยังเลียแผลไม่หาย แม้จะบอกว่าตำรวจทำงานได้กลมกลืนมากกว่าเพราะถูกฝึกมา แต่ตำรวจก็ยังโดน เพราะฉะนั้น ทหารหรือไม่ใช่ทหารก็ไม่สำคัญเท่ากับเราสรุปบทเรียนเมื่อ 7 ต.ค. 2551 เอาคำสั่งศาลมาดูขอบเขตปฏิบัติได้มากแค่ไหน
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า เหมือนว่าข้อเท็จจริงถูกเปลี่ยนไปตามรัฐบาลในแต่ละยุคหรือไม่ นายถวิลกล่าวว่า ตนรู้สึกอย่างนั้น แต่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องอื่นเกินหน้าที่ของตน แค่นี้ก็กลุ้มใจพอแล้ว สักวันหนึ่งถ้าตนเดินมาแล้วเอาสองเท้าเดินแล้วคนบอกว่าเพี้ยนแล้วต้องใช้หัวเดินแทนถึงจะถูกต้อง ถ้าบ้านเมืองถึงขณะนั้นก็เลิกกัน และเจ้าหน้าที่รัฐยอมทุกอย่างเพื่อรักษาตำแหน่งหน้าที่เอาไว้ และทำทุกอย่างที่ฝืนมโนธรรม ฝืนความจริง ข้อกฎหมาย ก็เป็นความโชคร้ายของเรา แต่ตนไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน ตนจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น ส่วนที่ว่าหมายถึงนายธาริตหรือไม่นั้นก็ทุกท่าน ใครเป็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น รวมถึงตนหากเป็นอย่างนั้นก็จะด่าตัวเอง
       
       ส่วน 98 ศพที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากใครจะต้องรับผิดชอบนั้น นายถวิลกล่าวว่า ใครทำผิดก็รับผิดชอบ แต่เจ้าหน้าที่ได้รับการคุ้มครองเพราะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนี้ คนที่เป็นนายกฯ ก็คงหนีไม่พ้นความรับผิดชอบ และจะต้องรับผิดชอบมากกว่านายสุเทพที่เป็น ผอ.ศูนย์ด้วยซ้ำ เพราะนายกฯ เป็นหัวหน้าบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะมอบให้ใครก็ต้องรับผิดชอบถ้ามีความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ตนขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม อย่าให้เป็นเรื่องใครไปกล่าวหาใครว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะไม่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
       
       เมื่อถามว่าขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังพุ่งเป้าไปที่นายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ที่จะให้รับผิดชอบ นายถวิลกล่าวว่า สังคมมันเพี้ยนไปมาก การสั่งการเป็นไปด้วยความรอบคอบ ทำไปด้วยความยั้งคิดอย่างมาก เราผ่านประสบการณ์อย่างนี้มาพอสมควร พอเวลาผ่านมาการไปรักษาความสงบเรียบร้อยในขณะนั้น แต่กระแสขณะนี้กลับบอกว่าออกไปฆ่าประชาชน ตนคิดว่ามันไม่ยุติธรรม
       
       “ถ้านึกย้อนปี 2 ปีที่ผ่านมา ลำดับเหตุการณ์ดูว่ามันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เรียนว่าเจ้าหน้าที่รัฐถูกต่อว่าด้วยซ้ำจากประชาชนทั่วไปว่ารักษาบ้านเมืองอย่าปล่อยให้คนมาละเมิดกฎหมาย เอาประเทศไทยมาเป็นตัวประกัน ผมเรียกร้องให้ฉายหนังกลับไปว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น ผมคิดว่าการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่หย่อนด้วยซ้ำไป ด้วยความเป็นธรรม ผมอยากให้ไปดูพัฒนาการสถานการณ์ในขณะนั้นเทียบกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ความยุติธรรมก็มีการเรียกร้องทั้ง 2 ฝ่าย อย่าฟังฝ่ายเดียว ฟังส่วนที่เป็นกลาง หรือกระบวนการยุติธรรม ผมคิดว่าความเป็นธรรม ข้อเท็จจริงมันมีอยู่หนึ่งเดียว ความจริงมันมีอยู่แล้ว แต่การเข้าหาความจริงต้องอาศัยองค์กร ผมคาดหวังว่าถ้าจะเอาชาติบ้านเมืองให้อยู่รอดต่อไปได้ เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ต้องทำงานอย่างมีจริยธรรม ตรงต่อหน้าที่ ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก”
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า สังคมควรเรียนรู้อย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น นายถวิลกล่าวว่า การชุมนุมเรียกร้องเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญมันจะมีต่อไป ดังนั้นต้องมีกฎเกณฑ์ในเรื่องนี้ และการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ถูกต้องจะต้องได้รับการคุ้มครอง มิฉะนั้นเมื่อ 7 ต.ค. 51 ตำรวจง่อยเปลี้ยเสียขาไป แล้วจะให้ปี 53 เจ้าหน้าที่ทหารเป็นอย่างนั้นไปด้วยหรือไม่ ต่อไปข้างหน้าจะเอาใครมาทำงาน เมื่อทำงานเสร็จสิ้น ไม่ชม แต่ไปไล่บี้อย่างนี้ มันไม่เป็นธรรม ต่อไปบ้านเมืองเกิดวิกฤตจะเรียกร้องใคร ถ้าไม่รักษาตรงนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อบางกลุ่มในระยะสั้น แต่ระยะยาวลูกหลานจะทนทุกข์ต่อสิ่งที่เราทำวันนี้


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 สิงหาคม 2555, 22:38:00
อ้างถึง
ข้อความของ nok15 เมื่อ 23 สิงหาคม 2555, 20:15:22
                 สวัสดีตะวัน
                      เรามีภาพที่เหมาะกับห้องการเมืองเป็นเรื่องสนุก อยู่ภาพหนึ่ง
                      เราสงสัยว่าคุณท่านเขาจะหมายถึงใคร   ต้องถามกูรูการเมืองอย่างตะวัน
                         
                         (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd773223_7171954_8216903_2021369photo.jpg)

                                   Nokja  emo47
หวัดดีครับ นก
คนเขียน คงจะหมายความว่า แม้วเป็นสัตว์ ที่ยิ่งใหญ่
แต่หน้าของมันด้านมากๆๆ พอๆกับถนน ที่รถแล่นไปมาก็ไม่สึกหรอ....


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 กันยายน 2555, 13:11:51
ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

ลูกแมวแจกฟรีค่ะ


เด็กหญิงเรณู ปูผ้านั่งอยู่บนทางเท้าริมถนนหน้าบ้านของเธอ ข้างๆ มีตะกร้าใส่ลูกแมวที่เพิ่งเกิดใหม่จำนวนหนึ่ง  แม่หนูถือป้ายกระดาษแข็งเขียนด้วยดินสอสีเทียนว่า “ลูกแมวแจกฟรีค่ะ”
ทันใดนั้นก็มีรถเบ๊นซ์คันหรูราคาแพงเข้ามาจอดข้างหน้าทางเท้าที่เรณูนั่งอยู่ คนที่ก้าวลงมาจากรถคือหญิงวัยสี่สิบต้นๆ แต่งตัวหรูเริ่ด หนีบกระเป๋าใบละห้าหมื่นหกแสนโปรยยิ้มหวาน

โบกมือให้ชาวบ้านที่ชูป้ายประท้วงของแพงและสาปแช่งก่นด่าเรื่องน้ำท่วมตามแนวถนัด แล้วตรงมาที่เด็กหญิงเรณู

“สวัสดีจ้ะแม่หนูน้อย ฉันคือนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์นะจ๊ะ เรียกพี่ปูก็ได้ หนูมีอะไรอยู่ในตะกร้าหรือคะ”
“ลูกแมวตัวน้อยๆ ค่ะ” เรณูตอบ (นึกในใจ อีป้าดัดจริตนี่ตาถั่วหรือโง่กันแน่ อุตส่าห์มีป้ายมีลูกแมวร้องเหมียวๆยังไม่รู้อีกว่าอะไรอยู่ในตะกร้า)

 

 

“อายุสักเท่าไหร่จ๊ะเนี่ย” นายกฯ ปูถามต่อ
“พวกมันเพิ่งเกิดน่ะค่ะ ดูซิคะ ยังไม่ลืมตาเลย” เรณูตอบ

“แล้วรู้ไม้เป็นแมวพันธ์อะไรจ๊ะ” 
“อ๋อ เป็นแมวพันธ์เสื้อแดง เชียร์พรรคเพื่อไทยค่ะ” เด็กหญิงตอบพร้อมด้วยรอยยิ้ม
 นายกปูได้ยินก็เป็นปลื้มสุดๆ พอกลับมาถึงทำเนียบ เจ้าหล่อนก็รีบเรียกโฆษกพรรคกับฝ่ายคุมสื่อเข้าพบทันทีเพื่อเล่าเรื่องเด็กหญิงน่ารักกับตะกร้าลูกแมว หวังจะใช้ประชาสัมพันธ์แก้ภาพพจน์รัฐบาลห่วยแตกของเธอ พวกลูกขุนพลอยพยักและฝ่ายประชาสัมพันธ์ของพรรคต่างเห็นเป็นโอกาสเหมาะได้ออกสื่อรณรงค์แหกตาประชาชนที่กำลังด่ารัฐบาลให้เป็นปลื้ม แก้ภาพพจน์ของนายกซื่อบื้อได้โดยไม่ต้องลงทุนใช้เงินจ้างสื่อหิวเงิน จึงตกลงกันว่าจะรีบนัดสื่อมวลชนทั้งทีวี วิทยุ นสพ. ไปรอทำข่าวในวันรุ่งขึ้น โดยให้นายกปูกลับไปหาเด็กหญิงเรณูกับลูกแมวอีกครั้ง เพื่อให้เด็กหญิงพูดถึงลูกแมวในตะกร้าของเธอตามที่เธอบอกกับนายกฯ   
 
วันรุ่งขึ้น เด็กหญิงเรณูก็ยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิม ถือป้าย "ลูกแมวแจกฟรี" และตะกร้าลูกแมวน้อยๆ ของเธอ มีผู้สื่อข่าวจากทั้งทีวีเครือข่ายของรัฐและเอกชน ทีวีดาวเทียม และช่างภาพผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หลายฉบับที่ล้วนแต่สอพลอ(เผื่อประธานสภาจะส่งเทียบเชิญไปดูบอลที่อังกฤษคราวหน้า) พากันยืนมุงรอกันแน่นขนัด จนเมื่อรถเก๋งหรูของนายกฯ และคณะผู้ติดตามอีกหลายคันพากันมาจอด นายกปูลงจากรถรีบตรงรี่ไปที่หนูน้อยทันที ช่างภาพและกล้องทีวีแย่งกันถ่ายชุลมุน

"หวัดดีจ้ะหนู พี่ปูเองแหละ หนูช่วยบอกป้าอีกทีได้ไหมคะ เหมือนที่บอกเมื่อวานน่ะ ช่วยบอกพี่ๆ น้าๆ เพื่อนๆ ของป้าที่มาทำข่าวหน่อย ลูกแมวในตะกร้าที่หนูจะแจกฟรีเนี่ย เป็นแมวพันธ์อะไรหรือคะ"

"อ๋อ ได้ซิคะ ท่านนายก" เรณูยิ้มแก้มปริ ตอบเสียงดังฉาดฉาน "พวกมันเป็นแมวสลิ่ม กับ พันธมิตรเสื้อเหลืองค่ะ"

นังยกปูหน้าซีดเผือด รีบพูดตะกุกตะกักทันที "แต่..เอ้อ..แต่เมื่อวาน..หนูบอกพี่ว่าลูกแมวนี่เป็นพันธ์เสื้อแดง เชียร์เพื่อไทย..นี่คะ"

 

"หนูทราบค่ะ" เด็กหญิงยิ้มหวาน ตอบอย่างไม่ต้องคิด "เมื่อวานตามันยังปิดอยู่ แต่วันนี้ มันลืมตาได้กันหมดแล้วนี่คะ"  


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 พฤศจิกายน 2555, 20:39:09
THAI PRIME MINISTER FALLS IN LOVE WITH OBAMA
By Frank Lake on November 19, 2012


http://weeklyworldnews.com/headlines/52772/thai-prime-minister-falls-in-love-with-obama/

The Prime Minister of Thailand, Yingluck Shinawatra, has fallen madly in love with President Obama.

Prime Minister Shinawatra is lovesick and wants to return with President Obama to live with him at The White House. ”The Prime Minister doesn’t care if she is the second wife to Michelle, she just wants to be with Barack Obama and will do anything for him,” said a source in the Thai government. ”She’s madly in love.”

President Obama and the Prime Minister could be seen laughing together and exchanging playful glances throughout a state dinner at the Government House in Bangkok on Sunday night.

They were joined by Secretary of State Hillary Clinton, who toasted to the U.S.-Thailand friendship with Shinawatra. Sources say Hillary was jealous and tried making “googly eyes” at Shinawatra.

President Obama said at a news conference on Sunday in Bangkok, that the U.S. is a ‘Pacific nation.’ Shinawatra yelled out… “we have so much in common, Barack!”

Obama’s praised Thailand for being a supporter of democracy in Myanmar, the once-pariah state that is rapidly reforming.

The Thai Prime Minister took Obama to her favorite spot – the Temple of Reclining Buddha. There she reportedly slipped him a note that simply said, “Be Mine. Recline.”

Observing traditional custom, Obama took off his shoes as a saffron-robed monk led him and the Thai Prime Minister into a private room.

They were at the beach in Pattaya two hours away but rushed to Bangkok just to see him. ‘I’m so thrilled that he won the election. When we heard he was coming, we decided to get here.’

Obama was also very popular in Myanmar.

According to sources in China, Obama is the hottest man in Asia.


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 20 พฤศจิกายน 2555, 20:56:50

     กำลังคิดอยู่ว่าเอ...นักข่าวการเมืองลางาน

     เป็นเดือนได้ไง  ทั้งที่ช่วงนี้งานข่าวการเมือง

     มีให้ทำเยอะแยะ.   กำลังจะเสียแชมป์ให้น้องหยีแล้ว.

     ดีนะ   กลับมาเกาะกระแสข่าวhot-hit ได้ทัน.

     ไม่งั้นแฟนคลับคอข่าวการเมืองหนีหมดแน่

 
     
   


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 พฤศจิกายน 2555, 11:00:35
อ้างถึง
ข้อความของ nok15 เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2555, 20:56:50

     กำลังคิดอยู่ว่าเอ...นักข่าวการเมืองลางาน

     เป็นเดือนได้ไง  ทั้งที่ช่วงนี้งานข่าวการเมือง

     มีให้ทำเยอะแยะ.   กำลังจะเสียแชมป์ให้น้องหยีแล้ว.

     ดีนะ   กลับมาเกาะกระแสข่าวhot-hit ได้ทัน.

     ไม่งั้นแฟนคลับคอข่าวการเมืองหนีหมดแน่

 
     
   
24 นี้อย่าลืม พบกันที่ลานพระรูป ตอนนี้กำลังระดมพลพรรค(แก่ๆ) ไปร่วมชุมนุมแน่นอน
ตอนนี้เช็คอุปกรณ์พร้อม เก้าอี้สนาม ร่ม พัด น้ำดื่ม....
ยังกะจะไปปิคนิค


หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)
เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2555, 12:08:34
(http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121123-120705_572023.jpg)

(http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121123-120740_824377.jpg)