20 เมษายน 2567, 06:19:46
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 [ทั้งหมด]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะ .. ดิลิเวอรี่ by Jimsy  (อ่าน 28545 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« เมื่อ: 07 มิถุนายน 2550, 16:54:40 »

Jimsy หรือ จิ๋ม หรือ พิลาวัณย์ ชัยกิจโกสีห์ นิเทศ 2520

ใคร  อยากคุยธรรมะ ... ได้ตลอดเวลา เชิญ จ้า !!

   
ภาพวาดฝีมือ อาจารย์เฉลิมชัย  แห่งวัดร่องขุ่น จ.เชียงราย
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #1 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2550, 16:58:07 »

ในฐานะ  ตัวแทนรุ่น 2520

ได้เปิดกระทู้  ให้แล้ว .. ตามอัธยาศัย ได้เลย Jimsy  
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2550, 17:00:57 »

P.Toomy ka,
may I observe from far???
nungning
บันทึกการเข้า


toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #3 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2550, 07:55:21 »

ด้วยความยินดีปรีดา .. ka  N' Nung-Ning

ธรรมะ ลึก ๆ - ชั้นสูง ก้อต้อง .. พี่ Jimsy

ของพี่ .. จะสอยธรรมะง่าย ๆ ตาม Net มาฝาก จ้า !!!

บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2550, 13:59:08 »

Oh,P.Toomy..it is short and need not to think much it is near the nose!!!...let me think about it deeper!
nungning
บันทึกการเข้า


jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #5 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2550, 20:54:46 »

โอ้..ทำ เซอร์ไพร้ส์ ให้เพื่อนได้สวยงามจังนะจ๊ะ ขอบคุณมาก ๆ เลย ขออนุโมทนาบุญกับToomy ด้วยนะจ๊ะ เพื่อนทำอะไรแบบเนี๊ยไม่เป็นหรอก แล้ว แถม ภาพสวย...สวย มาอีก ภาพของอ.เฉลิมชัยเป็นอะไรที่ชอบมาก หนังสือของอาจารย์ก็ซื้อมาอ่าน ๆ แล้ว รู้สึกอาจหาญและเห็นตัวอย่างของคนที่มีจุดยืน ที่เข้มแข็งที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนา บุญอันมหาศาลนี้คงจะต้องให้ผลกับอาจารย์ไปอีกยาวนานตราบจนเข้าถึงมรรคผลนิพาน แน่ ๆ เลยเนอะ ว่าแล้วก็ต้องขออนุโมทนาบุญกับอาจารย์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย /|\ /|\ /|\...สาธุ
เริ่มคุยก็ร่ายยาวเลย เราคุยสั้น ๆ ไม่เป็นนะ ขอบอก และต้องขอออกตัวก่อนนะจ๊ะว่าเราไม่ได้รอบรู้ธรรมะอะไรสูงส่งหรือมากมายอะไรเลย เป็นคนที่พยายามรบกับกิเลสของตัวเองไปวัน ๆ และพยายามช่วยชาวบ้านหรือใครก็ตามที่มีนิสัยที่จะมาทางธรรม ธรรมะง่าย ๆ แบบชาวบ้าน
พยายามแก้ไขข้อเสียของตัวเองไปเรื่อย ๆ แล้วจูงลูกจูงหลาน คนในครอบครัว พี่น้องเพื่อน ๆ ที่สนใจที่จะมีชีวิตอยู่อย่างผู้ไม่ประมาท สนใจที่จะอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข สุขแบบไม่ต้องไปอิงอาศัยวัตถุภายนอกมากมาย มีความสงบงดงามอยู่ภายใน อยู่ร่วมกันด้วยความเอื้อเฟื้อ และให้ความรัก ความเมตตา จริงใจและปรารถนาดีต่อกัน อยู่อย่างผู้มีศีล 5 เป็นพื้นฐานของชีวิต ใครที่มีแนวร่วมแบบนี้เชิญเข้ามาเลยค่ะ สังคมแบบนี้จะหายากขึ้นทุกวัน ๆ แล้วนะ เรามาร่วมสร้างกลุ่มกัลยาณมิตรกัน โดย เริ่มจากพวกเราชาวหอนี่แหละนะ โอเค ป่ะ แล้วมาร่วมกันสร้างกระแสแห่งความสุข สว่าง สงบ ให้กับบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเรา ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ดีไหมจ๊ะ
ใครเห็นด้วยยกมือขึ้น !

และขอประกาศข่าวอีกที ตอนนี้เรามีหนังสือธรรมะ วิมุตติมรรค และ แด่เธอผู้มาใหม่ (เล่มนี้มีไม่เยอะ) และคู่มือการทำความรู้สึกตัว ของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ พร้อม MP3 ของ
ดังตฤณ พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ฯลฯ แจกถึงที่ค่ะ ส่งชื่อ นามสกุล และที่อยู่มาได้เลย นะคะ
บันทึกการเข้า
Thippy
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 377

« ตอบ #6 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2550, 00:05:32 »

Jimsy

สาธุ......
บันทึกการเข้า
pisamai 2520
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2550, 21:28:52 »

จิ๋มจ๊ะ

ดีใจจังที่เธอเข้ามาคุยแล้ว
ธรรมะเป็นสิ่งที่ดี และงดงามที่สุดสำหรับจิตใจจริงๆ
เข้ามาคุยบ่อยๆนะ
โกะ
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #8 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2550, 07:49:57 »

-พระธรรมเทศนา โดย หลวงตาบัว-
๑๘ เมษายน ๒๕๔๓
ณ สวนแสงธรรม

********************


ปัญญามี ๓ ตัว

สุตมยปัญญา- เป็นปัญญาที่ได้จากการได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน ปัญญาจากการศึกษาเล่าเรียน
จินตามยปัญญา- เป็นปัญญาที่ได้จากการคิด
ภาวนามยปัญญา- เป็นปัญญาที่เกิดจากการภาวนา เป็นปัญญารู้แจ้งและฆ่ากิเลสได้จริงด้วยตัวนี้

พระอรหันต์ ไม่มีทุกข์ ไม่มีทุกข์ใจ ทุกข์เข้ามาไม่ได้ จะทุกข์ก็ทุกข์อยุ่ที่ธาตุที่ขันธ์

อดีตเป็นสัญญา อนาคตก็ไม่เอา อดีตก็ไม่เอา ให้เอาปัจจุบันเท่านั้น
ปัญญาเกิดได้ตรงปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต

หลวงตาขอให้ปฏิบัติกันเพียงวันละ ๑๐ นาที สิบนาทีจากยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่านั้น
บันทึกการเข้า
จุฑารัตน
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2550, 11:56:34 »

อ้างจาก: "toomy"
ด้วยความยินดีปรีดา .. ka  N' Nung-Ning

ธรรมะ ลึก ๆ - ชั้นสูง ก้อต้อง .. พี่ Jimsy

ของพี่ .. จะสอยธรรมะง่าย ๆ ตาม Net มาฝาก จ้า !!!



วันนี้วันพระ วันธรรมสวนะ  ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘  (ปีนี้มีเดือน ๘ สองหน)  ขอเข้าห้องธรรมะ  แบ่งความรู้ ความเข้าใจในระดับ ของ complete beginnerค่ะ

:idea: ขอเพิ่มเติมคำสอนที่ได้มาจากหลวงปู่ว่า

อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด
อยู่กับมิตรระวังวาจา


ชอบมากเลยคำสอนหลวงพ่อชาในเรื่องนี้  ...ความคิดทำให้เกิดการกระทำ (พฤติกรรม)....
                                                  การกระทำนำสู่อุปนิสัย (การทำซ้ำๆ)
                                                  อุปนิสัยนำสู่ความดี ความชั่ว..ชะตากรรม

:idea:  :idea: และหลวงพ่อผู้ที่สอนการภาวนา (ตามตัวอักษร  ภาวนา แปลว่า...พัฒนา ..ท่าน ป.อ.ปยุตโต)ไว้ว่า

    ความสงบในใจจะต้อง "ว่าง" ก่อนจึงจะ"วาง" ได้  
    อยู่ในที่ที่พอดี  พอเหมาะจึงสงบ
และในหนังสือหลวงพ่อชาเรื่อง ตามดูจิตนั้น ท่านว่า ความพอดี พอเหมาะคือความสงบ
จิตที่สงบ ทำให้กิเลสสงบ ท่านว่า เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน



:idea:  :idea:  :idea: ท่านสอนเพิ่มเติมเมื่อเรียนถามท่านว่าจะเริ่มต้นการเจริญสติภาวนาอย่างไร

ท่านชี้แนะว่า  การจะเจริญสติภาวนาให้สว่างต้องถือ พุทธานุสติและ   ธรรมานุสติ
"พระธรรม"......ตามความเข้าใจนั้นท่านว่า   โอปะนายิโก คือ น้อมนำเข้าสู่ตัวเรา
ปัจจัตตัง เวทิต ตัพโพ วิญญูหิติ  .....คือ เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน
[/size]
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #10 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2550, 12:47:29 »

บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #11 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2550, 18:34:50 »

:)  :) หายใจเข้า...อ่อนโยน   หายใจออก...ผ่อนคลาย   หายใจเข้า...รู้   หายใจออก...รู้   รู้อยู่ในปัจจุบันขณะ  ปัจจุบันขณะเป็นเวลาอันมีค่าที่สุดของชีวิต   ถ้าเรากลับสู่ปัจจุบันขณะ
จิตจะนิ่งจากความคิดที่วุ่นวาย   จิตจะค่อย ๆ สงบและมีกำลัง จิตมีกำลังคือจิตที่สงบจากความคิดปรุงแต่ง  ถ้าจิตฟุ้งฃ่าน  ความคิดก็จะเพ้อเจ้อ  โปรดทำจิตให้สงบก่อน  แล้วยกความสงบเป็นพื้นฐานของความคิด  ความคิดจะคมชัดไม่วกวน  ไม่วุ่นวาย  ไม่แส่ส่ายไร้ทิศทาง...
หายใจเข้า...กายสงบระงับ   หายใจออก...ใจสงบระงับ   หายใจเข้า...กายกับใจเป็นหนึ่งเดียวกัน
หายใจออก...
ปัจจุบันขณะเป็นเวลาประเสริฐสุด   :)  :)

(แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต)

หมายเหตุ  การยิ้มอยู่เสมอ  จะเป็นกายดึงกายและใจเข้าสู่ปัจจุบันขณะ  เป็นเทคนิคของท่าน ติช นัท ฮันห์พระชาวเวียตนาม
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #12 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2550, 18:59:32 »

Get back later naka,p.Jimsy...nungning needs time to read and today is her busy day ka.
nn.
บันทึกการเข้า


jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #13 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2550, 15:25:03 »

วันนี้มีธรรมะจากพระผู้รู้มาฝาก...ได้นำคำสอนแบบย่อของหลวงพ่อปราโมทย์  จากนิตยสารธรรมะใกล้ตัวมาฝากกันให้อ่านนะจ๊ะ...

      การรู้แจ้งอริยสัจจ์ตัวที่ ๑ เรียกว่า ทุกขสัจจ์
ทุกขสัจจ์คืออะไร คือกายกับใจนี้เอง
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติ ตั้งแต่เบื้องต้นเลย จนสุดท้ายมีแต่การรู้กายรู้ใจตนเอง
รู้ลงมาเรื่อยๆ กายของเราเป็นยังไง รู้สึกไว้ จิตใจของเราเป็นยังไง คอยรู้สึกไว้
อย่าลืมกาย อย่าลืมใจ ถ้าลืมกายลืมใจเรียกว่าขาดสติ
แต่ก็ห้ามเพ่งกายเพ่งใจ ให้รู้กายรู้ใจ ไม่ได้ให้เพ่งกายเพ่งใจ
ไม่ได้ให้กำหนดกายกำหนดใจ คนละเรื่องเลยนะ
รุ่นหลังๆ นี้ชอบกำหนดนะ กำหนดเป็นสมถะ กำหนดลงไป จิตจะไปแน่วไปนิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว
บังคับให้อยู่ในอารมณ์อันเดียว ถ้าบังคับไม่เป็น หรือบังคับแบบฝืนใจ ก็จะหนักๆ ขึ้นมา
แน่นๆ แข็งๆ ทื่อๆ เครียดๆ ขึ้นมา
ถ้าน้อมใจเก่ง จะสงบ จะสบาย จะโปร่ง โล่ง เบานะ จะเป็นสมาธิไปอีกแบบนึง
แต่ส่วนใหญ่ที่พวกเราทำจะเป็นมิจฉาสมาธิแท้ๆ เลย
เป็นสมาธิที่หนักๆ แข็งๆ ตัวก็เกร็งๆ กายก็เกร็งๆ ใจก็เกร็งๆ ใช้ไม่ได้จริงนะ
เราคอยรู้สึกนะ คอยรู้ รู้ลงมาในกาย รู้ลงมาในใจ
ร่างกายของเราเคลื่อนไหวคอยรู้สึก จิตใจของเราเคลื่อนไหวเราคอยรู้สึก
แต่อย่าไปเพ่งให้นิ่ง ไม่ใช่คอยบังคับกายให้นิ่ง
จะเดินก็เดินไม่เหมือนคนธรรมดา คล้ายๆ ผีดิบนะ เดินต้องตัวทื่อๆ อย่างนั้นใช้ไม่ได้นะ
จิตใจก็อย่าไปข่มให้มันซึมกะทือซื่อบื้ออยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน
เราต้องการเห็นความจริงของกายของใจ เพราะฉะนั้นอย่าไปบังคับมัน แต่คอยดูมันไป
แต่ถ้ามันจะเอากายเอาใจไปทำผิดศีลห้าไม่เอานะ ตรงนี้ต้องฝืนใจ
ศีลห้านี้มาตรฐานปราการขั้นสุดท้ายแล้ว มาตรฐานของเราเลย
ถ้าขาดศีลห้าเราไม่ใช่มนุษย์แล้ว ต้องระมัดระวังนะ
ขนาดพระโพธิสัตว์ยังตกนรกได้เลย นับประสาอะไรกับพวกเราจะไม่ตก ยังเชื่อใจตัวเองไม่ได้นะ
อย่าประมาทกิเลสนะ  

สนทนา - ถามปัญหาส่วนตัว ได้ที่ลานธรรม
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #14 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 12:18:34 »

 วันนี้พอมีเวลา   จะค่อย ๆนำคำถามตอบเรื่องกรรมมาฝากนะจ๊ะ..ใครอยากรู้อะไรเพิ่มถามมาจาไปค้นคว้ามาให้..


ถาม – ทำบุญหรือทำกรรมอย่างไร จะประกันว่าไม่โง่ตลอดไปครับ? ไม่ได้หวังฉลาดเลิศเลอนะครับ ขอแค่ไม่คิดช้า ตามคนอื่นไม่ทันอย่างที่เป็นมาก่อนก็พอใจแล้ว

มองออกมาจากจุดยอดสุดของพุทธศาสนา มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายต่างตกอยู่ในม่านหมอกแห่งความหลงเขลากันทั้งหมด เพราะเกิดมาด้วยความไม่รู้ โตขึ้นมาด้วยความไม่รู้ และตายไปด้วยความไม่รู้

ไม่รู้ว่าอย่างไร? ไม่รู้ว่าผลแห่งกรรมมีจริง ไม่รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ไม่รู้ว่าการหยุดเวียนว่ายตายเกิดมีจริง

ที่ยังคงไม่รู้อยู่เพราะอะไร? เพราะยังติดใจในกาม เพราะยังละความพยาบาทไม่ได้ เพราะยังยึดถือสิ่งไม่เที่ยงว่าเที่ยง เพราะยังหลงยึดสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน

สรุปโดยย่นย่อคือพวกเราต่างถูกปกคลุมด้วยธรรมชาติอย่างหนึ่ง เรียกว่า ‘โมหะ’ ตราบใดยังมีโมหะ ตราบนั้นยังโง่หลงอยู่ร่ำไป ที่เราพากันฝึกคิด ฝึกแก้ปัญหาในโรงเรียนตั้งแต่เด็กนั้น เป็นแค่การทำให้สมองไม่ทื่อ ทำให้เรียนรู้วิชาได้สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คิดอ่านแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นคราวๆ แต่หาใช่การทำให้ปัญญาญาณแก้ทุกข์ทางใจได้อย่างถาวรไม่

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าความตระหนี่ถี่เหนียว หวงในส่วนเกิน ไม่มีแก่ใจแจกจ่ายให้ทานตามโอกาส ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การหวงในสิ่งที่ไม่ควรหวง ตลอดจนมีจิตใจคับแคบจำกัด ไม่เป็นสุขในสภาพน่าอึดอัดของตนเอง แล้วยังจะต้องไปเสวยภพอันคับแคบอัตคัด คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่คนยากจน

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คิดประหัตประหารเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกัน หรือกระทั่งทำร้ายให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยโทสะ เร่าร้อนได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้ร้อน จิตไม่อาจเป็นสุขกับความร้อนของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่อันธพาลที่จ้องทำร้ายทำลาย ประหัตประหารกันอีก

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการลักทรัพย์ เพ่งจ้องเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยความโลภ กระวนกระวายได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้กระวนกระวาย จึงไม่อาจเป็นสุขกับความกระวนกระวายของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่อันธพาลที่มีใจไม่ซื่อ จ้องแต่จะเอาของของกันอีก

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยราคะผิดๆ ตัณหาจัดได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้ตัณหาจัด จึงไม่อาจเป็นสุขกับตัณหาอันแรงกล้าของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่พาลหน้าด้านที่มีใจสกปรกไร้ความละอาย ไม่สนว่าใครเป็นของรักของหวงของใคร แย่งได้เป็นแย่ง ลักลอบเป็นชู้ได้เป็นลักลอบ

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการพูดเท็จ การพูดหยาบ การพูดส่อเสียด และการพูดเพ้อเจ้อ ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยความบิดเบี้ยว ไม่อาจเห็นเรื่องตรงหน้าตามจริง ไม่อาจทราบว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร เห็นผิดได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้เห็นผิด จึงไม่อาจเป็นสุขกับความมีจิตบิดเบี้ยวของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่อันธพาลที่มีความเห็นผิด มองกันผิดๆ จ้องจับผิด ตลอดจนผิดใจกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเสมอๆ

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการกินเหล้า การมึนเมาเคลิ้มหลงอยู่กับยาเสพติดชนิดต่างๆ ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านจัด รำคาญใจได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้รำคาญใจ จึงไม่อาจเป็นสุขกับความรำคาญใจของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่อันธพาลที่มีใจวิปริต ฟุ้งซ่าน อยู่ดีไม่ว่าดี หาเครื่องทำลายสติมาเสพ

และสุดท้าย ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการมองไม่เห็นตามจริง หลงยึดกายใจอันไม่เที่ยงว่าเที่ยง หลงยึดกายใจอันไม่ใช่เรา ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา เพียงความไม่รู้ข้อนี้ ก็เป็นรากแห่งผลร้ายทุกชนิดบรรดามี นับแต่การที่จิตขาดอิสระ ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ไม่ใช่ของของตน เพื่อความทุกข์ เพื่อความเปล่าประโยชน์ในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพใหญ่น้อยอีก ด้วยความไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ว่าที่ต้องเกิดตายแต่ละครั้ง เป็นผลของกรรมที่ทำไว้แต่ปางใด

การต้องปะปนคละเคล้าไปในหมู่พาลบ้าง หมู่บัณฑิตบ้าง ได้ดีบ้าง ตกยากบ้าง เป็นทุกข์ทางใจกับความพลัดพรากบุคคลอันเป็นที่รักบ้าง ตระหนกตกใจกับการมาถึงของมัจจุราชบ้าง ทั้งที่ไม่จำเป็นแต่อย่างใด ไม่น่าจะเป็นความรับผิดชอบของเราแต่อย่างใด นั่นแหละสมควรถือเป็นความเขลาหลงอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรเกินไปกว่านี้แล้ว

การไม่รู้จักต้นเหตุแห่งความเดือดร้อน การหลงยินดีในต้นเหตุแห่งความเดือดร้อน นั่นแหละมูลรากแห่งความโง่ที่แท้จริง พวกเราไม่รู้ และไม่อาจรู้ได้ด้วยตัวเอง ต้องพึ่งพามหาบุรุษเช่นพระพุทธเจ้ามาชี้ มาจำแนกแจกแจงกรรม เมื่อศึกษาตามที่พระองค์ชี้แล้ว จึงอาจเข้าใจเป็นขั้นๆ คือ

ความตระหนี่ทำให้โง่แบบทึบ หวงไปหมด ของกูไปหมด

การผิดศีลทำให้โง่แบบไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชอบเป็นผิดร่ำไป

การติดยึดอยู่ด้วยอุปาทานว่ากายใจนี้ของเรา ทำให้โง่แบบติดวน ยังหลงมองสิ่งที่ไร้แก่นสาร ด้วยความหวังว่าจะค้นพบแก่นสาร

ฉะนั้น คำตอบว่าทำอย่างไรจะไม่โง่ได้ตลอดไป ก็คือ

๑) เพ่งให้เห็นโทษของความตระหนี่แล้วละความตระหนี่ด้วยทาน

๒) เพ่งให้เห็นโทษของการผิดศีลแล้วละการผิดศีลด้วยการตั้งใจรักษาศีล

๓) เพ่งให้เห็นโทษของการยึดมั่นถือมั่นกายใจว่าเป็นตนแล้วละการยึดมั่นกายใจด้วยการเจริญวิปัสสนา

แค่เริ่มต้น คุณก็จะเริ่มรู้สึกปลอดโปร่ง ความปลอดโปร่งนั่นแหละทางมาแห่งสติ ทำให้คิดเร็วขึ้น ตามคนอื่นทันมากขึ้น

ขั้นต่อมา คุณจะรู้สึกสว่างอบอุ่นจากภายใน ความสว่างอบอุ่นนั่นแหละส่วนประกอบสำคัญของปัญญาอันรุ่งเรือง ทำให้ฉลาดกว้างขวางขึ้น คิดอ่านเป็นประโยชน์ได้ดีขึ้น

และที่สุดแล้ว ใจที่หลุดพ้นจากต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนทั้งปวงอย่างเด็ดขาดนั่นแหละ ความฉลาดขั้นสูงสุด ฉลาดแล้วไม่กลับโง่ลงอีกเลย ซึ่งระดับนั้นพุทธเราเรียกด้วยความยกย่องว่า ‘อรหันต์’ ครับ
[/color]
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #15 เมื่อ: 25 กันยายน 2550, 13:20:50 »

ของฝากจากบทส่งท้าย ในคอลัมน์เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวของ ดังตฤณ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่จบลง  แต่ก็ขอตัดทอนสิ่งที่เผื่อจะเป็นประโยชน์กับชาวหอฯ ที่สนใจนะคะ

.......................................................................................................

    ถ้าสิ่งที่พุทธศาสนาบอกเป็นความจริง ก็แปลว่าทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่มีใครปลอดภัยเลยสักคน แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าทำบุญมาตลอดชีวิต!

    ที่กล่าวเช่นนี้เพราะสาระของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏคือความไม่แน่นอน ไม่มีใครเที่ยงที่จะทำบุญกันท่าเดียว ในวังวนเวียนว่ายตายเกิดนั้น ฝึกให้เชี่ยวชาญการบุญกันไม่ได้ จะทำบุญหรือทำบาปแต่ละครั้งก็เพราะมีเหตุบันดาลใจเป็นคราวๆไป

    แม้ในภพที่มีโอกาสดีที่สุดอย่างขณะเกิดเป็นมนุษย์เช่นเราๆนี้ ธรรมชาติก็แกล้งให้ลืมหมดว่าเคยทำอะไรมา เคยเป็นอะไรมา เราถูกหลอกให้นึกว่าทนๆไปเถอะ ทำๆไปเถอะ ตายเมื่อไหร่สบายเมื่อนั้น เราจะนอนพักยาวในโลงศพแบบหลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี ทั้งที่จริงแล้ว ตายเมื่อไหร่รับกรรมเมื่อนั้น เราจะเดินทางอย่างยาวไกลชั่วนิรันดร์ตราบเท่าที่ยังไม่รู้วิธีหยุด

    ด้วยความทึบตัน ไม่รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมี กับทั้งยิ่งไม่รู้ว่าวิธีหยุดเวียนว่ายตายเกิดทำอย่างไร เราๆท่านๆจึงได้แต่พากันเอาชีวิตให้รอดไปวันๆ อยากทำอะไรก็ทำ อยากได้อะไรก็พยายามเอามาครอง ไม่มีการวางแผนสำหรับทางไกลเบื้องหน้า ไม่มีการหาวิธีย่อทางให้สั้นลง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีการฝันถึงปลายทาง เพื่อยุติความระหกระเหินกันเสียที

    พวกเราพากันหลงไม่รู้ ตกอยู่ในห้วงฝันว่าตัวเองเป็นใครคนหนึ่ง มีความเป็นอย่างหนึ่ง เกิดหนเดียวตายหนเดียว หรือเมื่อเริ่มเชื่อว่าตนต้องเกิดต้องตายอีกตามบุญตามบาป ก็พากันประมาทอยู่ นึกว่าทำสังฆทานที่วัดสองสามทีคงได้ขึ้นสวรรค์ เสพสุขไปจนสิ้นกาลปาวสาน

    คุณจะนึกว่าตัวเองเป็นใครก็ตามที ตัวที่คุณนึกนั้นคืออุปาทาน แล้วอุปาทานเกิดขึ้นจากอะไร? เกิดขึ้นจากการสั่งสมนิสัยทางความคิด ทางคำพูด และทางการกระทำ

    ไม่ว่าคุณจะคิด พูด ทำอย่างไร รวมแล้วต้องได้ผลลัพธ์อย่างสอดคล้องเสมอ กล่าวคือคุณจะมีกายขึ้นมากายหนึ่ง มีเพศขึ้นมาเพศหนึ่ง มีฐานะขึ้นมาฐานะหนึ่ง มีสติปัญญาความคิดอ่านขึ้นมาระดับหนึ่ง จะหยาบหรือประณีต จะได้ดีหรือตกยาก ล้วนเป็นสิ่งที่ธรรมชาติของกรรมวิบากตัดสินให้ได้รับทั้งสิ้น

    เมื่อเริ่มเป็นอะไรอย่างหนึ่งด้วยกรรมเก่า จิตคุณจะหลงติดความเป็นอย่างนั้นทันที และสำคัญมั่นหมายว่านั่นใช่คุณ นั่นคือตัวคุณแน่ๆ เสร็จแล้วความเป็น ‘ตัวคุณ’ จะหลอกให้คิดไปสารพัด พยายามพูดและพยายามทำไปสารพัด ทั้งหมดก็เพื่อ ‘เอาเข้าตัว’ แทบทั้งสิ้น

    อุปาทานเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ นั่นเพราะการสั่งสมนิสัยเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเจอครูแบบไหน คบมิตรเช่นไร และสำคัญที่สุดคือตัดสินใจเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางใด

    มาสำรวจกันดีกว่าว่าคุณมีอุปาทานมาถึงไหนแล้ว อุปาทานนั้นกำลังพาคุณไปสู่ที่มืดหรือที่สว่าง ให้ถามตัวเองง่ายๆ และตอบตัวเองซื่อๆว่า คุณมีความพอใจหรือไม่พอใจตัวเอง?

    ไม่ว่าคุณจะพอใจหรือไม่พอใจในตนเอง ขอให้รู้ว่ามีกรรมของตนเองนั่นแหละเป็นเหตุ ฉะนั้นหากไม่พอใจตนเองก็อย่าโทษใคร ให้เร่งสำรวจว่ากรรมใดประกอบด้วยโลภะ โทสะ หรือความหลงเข้าข้างตัวเอง เอาแต่ได้เข้าตน หรือสำคัญผิดในตนอย่างแรงกล้า แม้กระทั่งกรรมทางความคิดอ่านก็อย่าตกสำรวจ เพราะวิธีที่คุณหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่เสมอๆนั่นแหละ คือตัวบีบคั้นให้ตกอยู่ในโลกแคบหรือโลกกว้าง ด้านสว่างหรือด้านมืด

    โลกที่คุณกำลังเผชิญ ล้วนถูกตกแต่งด้วยกรรมอย่างไม่มีข้อยกเว้น เป็นกรรมเฉพาะตนบ้าง เป็นกรรมของตระกูลบ้าง เป็นกรรมของประชาชนในประเทศบ้าง เป็นกรรมของพลโลกบ้าง

    หากกรรมของพลโลกโดยรวมหนักไปทางโลภโมโทสัน โลกย่อมร้อนระอุ หากกรรมของประชาชนในประเทศโดยรวมมีความเสียสละและรักษาศีล ประเทศนั้นย่อมอยู่สงบผาสุกกว่าประเทศที่ขาดศีลธรรม หากกรรมของตระกูลโดยรวมเป็นไปในทางดี ตระกูลนั้นย่อมมั่งคั่งอยู่เย็นเป็นสุข และหากกรรมเฉพาะตนของคุณหนักไปในทางสว่าง ตัวคุณย่อมพ้นจากกรอบจำกัดด้านมืดของตระกูล ของประเทศ และของโลกได้โดยทางใดทางหนึ่งเสมอ อาจด้วยความช่วยเหลืออันลึกลับของกรรมเก่า หรืออาจด้วยกรรมใหม่ช่วยตนเองเห็นอยู่ชัดๆ

    กรรมเก่าแก้ไม่ได้แล้ว แต่กรรมใหม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือก!

    ก็น่าเห็นใจกันและกันครับ โดยทั่วไปถ้าโลกร้อน ประเทศร้าย หรือตระกูลแร้นแค้น คุณจะถูกผลักไสออกจากทางดีเข้าสู่ทางมืดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แม้เตรียมกายเตรียมใจให้แข็งแกร่งขนาดไหน บางคาบบางเวลาก็อาจโอนอ่อนผ่อนตามพลังบาปที่บีบคั้นจากทุกด้านเข้าจนได้

    เพราะไม่อาจเลือกอยู่คนเดียว คุณจึงต้องถูกกระทบกระทั่งร่ำไป และเพราะต้องถูกกระทบกระทั่งร่ำไป คุณจึงมีความไม่แน่นอน อาจกลับดีเป็นร้าย อาจกลับร้ายเป็นดี ขึ้นอยู่กับว่าศรัทธากุศลผลบุญแค่ไหน และขึ้นอยู่กับว่ามีกำลังใจอดกลั้นเพียงใดด้วย

    เมื่อทำเรื่องร้ายย่อมเป็นทุกข์ และทุกข์ก็ไม่ได้มีอยู่แค่ที่ประสบกันในภพมนุษย์ อย่างเช่นสัตว์เดรัจฉานมีจริง คุณเห็นด้วยตาเปล่า แต่ที่ไม่รู้คือคุณก็มีสิทธิ์ไปสู่ความเป็นเช่นนั้นได้ด้วยบาปเช่นกัน และสัตว์นรกกับเหล่าเปรตมีจริง คุณไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่า แถมไม่มีทางรู้ว่าบาปที่คุณก่อแล้วอันใดอาจนำไปสู่ความเป็นเช่นนั้นบ้าง

    เมื่อสังสารวัฏเต็มไปด้วยเรื่องร้ายและภยันตรายใหญ่หลวง พระพุทธเจ้าจึงไม่สรรเสริญการติดอยู่กับภพใดภพหนึ่ง ซึ่งมีความไม่เที่ยง เกิดขึ้นด้วยเหตุแล้วย่อมเสื่อมไปสู่ความเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา พระองค์เร่งรัดให้พวกเราออกจากสังสารวัฏเสีย โดยก้าวแรกเริ่มจากการพิจารณาเห็นโทษเห็นภัยในธรรมชาติของภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิดด้วยกรรม และภาวะยึดมั่นถือมั่นด้วยความหลงผิดคิดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเรา เพราะเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งสิ้น

    การทำลายอุปาทานเป็นเรื่องประเสริฐ การหลุดพ้นมีรสอันเยี่ยมทางจิตรออยู่ พระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันตสาวกต่างรู้แล้วว่าความสว่างโพลงไม่ดับไม่สิ้นเป็นเช่นไร ที่เหลือก็สุดแต่ใครในบรรดาหมู่เรา จะรู้ทางที่พวกท่านช่วยกันชี้นำชักจูง และรู้ได้ทันก่อนตายหรือไม่

    คุณๆถามให้ผมตอบเรื่องกรรมวิบากมามากแล้ว ที่ตรงท้ายปลายทางนี้ผมขอนำคำถามชวนคุณดูให้รู้ตัวดังที่กำลังเป็น เมื่อเห็นแล้วอาจคลายอุปาทานลง ขอให้ค่อยๆอ่าน ค่อยๆคิดตาม และค่อยๆตอบคำถามเหล่านี้ตามลำดับ ถึงที่สุดคุณควรจะเกิดประสบการณ์เห็นกายใจเป็น ‘อะไรอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวตน’ ขึ้นมาชั่วขณะ

    หากเกิดวูบประสบการณ์ว่างจากความรู้สึกว่าเป็นตัวตนได้ แปลว่า ๔๐ คำถามต่อไปนี้ใช้ได้สำหรับคุณ ขอให้อ่านทบทวนทีละข้อตามลำดับบ่อยเท่าที่ต้องการ แล้วจะรู้สึกถึงความแตกต่างไปเรื่อยๆทุกครั้งที่อ่านทวน

    ๑) หลังของคุณกำลังตรงหรืองอ?

    ๒) ใครเป็นคนกำหนดให้กายตั้งอยู่ในท่านี้?

    ๓) กายที่กำลังตั้งอยู่ในท่านี้เดี๋ยวนี้ ต้องการลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรือหยุดลมหายใจ?

    ๔) ร่างกายคุณต้องการลมหยุดนานแค่ไหน?

    ๕) คุณลากลมเข้ายาวๆสบายๆ หรือรีบเร่งเสียจนห้วนสั้น?

    ๖) คุณหายใจตามความอยาก หรือร่างกายหายใจตามความต้องการของมันเอง?

    ๗) ลมหายใจเข้าลากยาวนานกว่าลมหายใจออกถึงสองเท่าตัวไหม?

    ๘) ความรู้สึกเป็นเจ้าของลมหายใจเกิดขึ้นตอนลมเข้าหรือลมออก?

    ๙) ขณะนี้คุณมีอาการใส่ใจลมมากหรือน้อยกว่าเมื่อครู่ก่อนเริ่มอ่านข้อแรก?

    ๑๐) ใครเป็นเจ้าของ ‘อาการใส่ใจ’ ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้?

    ๑๑ ) ระหว่างลมเข้ากับลมออก อย่างไหนทำให้คุณสบายหรืออึดอัดกว่ากัน?

    ๑๒) กายหรือใจกันแน่ที่เป็นตัวกำหนดระดับความสบายหรืออึดอัด?

    ๑๓) ในความรู้สึกสบายหรืออึดอัดขณะนี้ มีความผ่อนคลายหรือกำเกร็งตรงไหนบ้าง?

    ๑๔) เมื่อรู้สึกถึงความเกร็งส่วนใด ความเกร็งส่วนนั้นคลายลงหรือคงอยู่ต่อ?

    ๑๕) ในความผ่อนคลายสบายทั่วกาย มีความพอใจในสภาพเช่นนั้นนานเพียงใด?

    ๑๖) ชั่วระยะเวลาที่ยังพอใจ คุณเห็นความ ‘สบายที่ใจ’ ไหม?

    ๑๗) เมื่อดูความสบายใจ คุณเห็นรูปลักษณะหรือว่างจากรูปลักษณะ?

    ๑๘) ที่ปลายทางของความผ่อนกายสบายใจ กลายเป็นความชืดเฉยหรือค่อยๆอึดอัดขึ้นมา?

    ๑๙) ความเฉยหรือความอึดอัดนั้น เกิดขึ้นที่กายหรือที่ใจก่อนกัน?

    ๒๐) ขณะที่เฉยหรืออึดอัด กลางอกของคุณทึบตันหรือโปร่งโล่ง?

    ๒๑) ถึงขณะนี้ ระหว่างลมออกกับลมหยุด อย่างไหนทำให้กายและใจของคุณสงบระงับ มากกว่ากัน?

    ๒๒) แต่ละครั้งที่ลมหายใจระงับไปชั่วขณะ ในหัวของคุณเกิดความว่างหรือคลื่นความฟุ้งซ่านจางๆ?

    ๒๓) มีความแน่นอนไหมว่าระงับลมหายใจครั้งไหนจะว่างหรือจะฟุ้ง?

    ๒๔) จิตที่ว่างจากความคิด กับจิตที่ฟุ้งซ่านอ่อนๆนั้น เป็นจิตเดียวกันหรือคนละจิต?

    ๒๕) จิตที่ฟุ้งซ่านพาไปหาความมีสติหรือความเหม่อ?

    ๒๖) แต่ละครั้งความเหม่อเอาเวลาของคุณไปนานเพียงใด วัดเป็นช่วงการหายใจ คุณเหม่อแบบไม่รู้ทั้งเฮือก หรือว่ารู้เฉพาะลมเข้า ไม่รู้ลมออก ไม่รู้ลมหยุด หรือว่าไม่รู้เลยไปหลายลมหายใจ?

    ๒๗) จิตที่เหม่อลอยพาไปสู่กายที่มีพละกำลังหรือเฉื่อยชาลง?

    ๒๘) คุณเริ่มเห็นไหมว่าจิตกับกายมีความสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นผลแก่กัน?

    ๒๙) ขณะนี้คุณเห็นชัดเจนไหมว่ากายกับจิตเป็นภาวะธรรมชาติที่เป็นต่างหากจากกัน?

    ๓๐) ในความเป็นต่างหากจากกัน คุณเห็นไหมว่าคุณบังคับบัญชากายหรือจิตได้มากกว่ากัน?

    ๓๑) ขณะนี้คุณมีความสนใจข้อความบนกระดาษ หรือใส่ใจภาวะที่เกิดขึ้นกับกายและจิตมากกว่ากัน?

    ๓๒) ‘อาการใส่ใจ’ เกิดขึ้นในหัวหรือในอก?

    ๓๓) ความใส่ใจในแต่ละข้อที่ผ่านมา เท่ากันหรือมากน้อยกว่ากัน?

    ๓๔) ในความไม่คงเส้นคงวาของความตั้งใจ อันไหนที่เป็นตัวคุณ ระหว่างสนใจมากกับสนใจน้อย?

    ๓๕) ขณะนี้คุณรู้สึกถึงน้ำหนักตัวของคุณ หรือรู้สึกถึงความเบาโล่งว่างวายเหมือนไม่มีอะไร?

    ๓๖) น้ำหนักตัวอยู่ที่กายหรือจิต? ความว่างโล่งอยู่ที่จิตหรือกาย?

    ๓๗) ระหว่างการมีน้ำหนักกายกับการว่างโล่งไม่มีอะไรในใจ อย่างไหนน่าพอใจกว่ากัน?

    ๓๘) ว่าง… ไม่มีคำถาม ไม่มีข้อสังเกต

    ๓๙) ในความพอที่ใจ ใจนิ่งสงัดลง ตัวคุณจะไปอาศัยอยู่ตรงไหน ที่ความไม่เที่ยงของกาย หรือที่ความไม่เที่ยงของสุขทุกข์ หรือที่ความไม่เที่ยงของจิต หรือที่ความไม่เที่ยงของเจตนานึกคิด?

    ๔๐) เคยมีตัวคุณเกิดมาแน่หรือ?



บันทึกการเข้า
pisamai_pe20
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 376

เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 13:52:29 »

To Jimsy,

ต้อยตามหาจิ๋ม ...  ไม่รู้ว่าจิ๋มเข้าห้องไหนแน่ ....
เพราะอยากจะขอบคุณที่ส่ง CD ธรรมะ มาให้
เข้ามาตาม theme ของ Topic นี้ คือ
".........ธรรมะ Dilivery by Jimsy......."  
เดือนหน้าไปบ้าน จะเอาไปให้แม่น้ำค้างฟังต่อค่ะ
แต่ถ้าไม่ได้ไป ก็จะส่งไปให่ท่านค่ะ...

คิดว่า จิ๋มคงเข้ามารับการขอบคุณจากต้อยแล้วนะ ...
Toomy ขา... ฝากขอบคุณเจ้าสำนักจิ๋มให้ด้วย ค่ะ.....
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #17 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 21:08:54 »

ต้อยจ๊ะ...ไม่ต้องขอบคุณ...แต่ให้รีบนำไปฟังให้เกิดประโยชน์ในชีวิตโดยเร็ว....เวลาล่วงเร็วมาก แพล๊บเดียว อายุพวกเราจะครึ่งศตวรรษ แล้วนะต้อยนะ...ไม่ต้องรอเดือนหน้ากลับหรือไม่กลับหรอก  รีบส่งไปให้แม่ฟังก่อนเลย  เวลานั้นมีค่ามากอย่าปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่เกิดประโยชน์
ต่อตนเอง  และผู้มีพระคุณ...ต้อยไรท์ไว้อีกชุดหรือหลายชุดแจกผู้อื่นต่อก็ได้จ้ะ.....คนที่ไม่ได้ฟังและอยากฟังยังมีอีกเยอะ...เราเองก็มีคนที่จะต้องให้แทบทุกวัน   ไม่ต้องเกรงใจ   อยากได้เพิ่ม...บอก ของหลวงพ่อปราโมทย์มีหลายแบบ  ส่วนใหญ่เราจะมีของหลวงพ่อปราโมทย์...และหลวงปู่ เทสก์ ,หลวงพ่อเทียน สมเด็จพระสังฆราชฯ....แผ่น"มีชีวิตที่คิดไม่ถึง" ที่ส่งไปให้  เหมือนจะมีภาพด้วยนะ ถ้าดูไม่ดีเราได้เอ็มพี3 มาใหม่ แล้ว  ส่งให้ใหม่ก็ได้จ้ะ  
     แค่ต้อยได้นำไปฟังและได้ประโยชน์นั่นก็คือความสุขของเราแล้ว....
บันทึกการเข้า
pisamai_pe20
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 376

เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 22:44:32 »

จิ๋มจ๋า.....

จะฟังคืนนี้ทันทีค่ะ
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #19 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 12:45:13 »

ถึงต้อย..จ๋า..และเพื่อนที่สนใจ...เราเพิ่งไปอ่านพบคำแถลงของบก.ในนิตยสาร"ธรรมะใกล้ตัว"
จากwww.dungtrin.com  ใครสนใจเข้าเว็บสมัครสมาชิกฟรีได้  ต้อยลองเข้าไปดูนะจ๊ะ  มีอะไรที่น่าสนใจอีกเยอะเลยแหละจ้ะ....



 

กลางชล

 

สวัสดีค่ะ

 

ก่อนอื่นก็ต้องขออภัยคุณผู้อ่านสำหรับความล่าช้าของฉบับที่แล้วด้วยนะคะ

มีคนถามไถ่กันเข้ามาไม่น้อยเลยว่า ฉบับพฤหัสนี้หายไปไหน มีอะไรหรือเปล่า ฯลฯ

สาเหตุที่ต้องออกช้าไปนิดก็คือ ช่วงนั้นเซิร์ฟเวอร์เกิดดาวน์ไปหลายวันค่ะ

ทีมงานเลยต้องปิดออฟฟิศ นั่งทาโลชั่นกันยุงกันไปชั่วคราว (ตบยุงไม่ดีค่ะ ผิดศีล) : )

แต่พอช่างเทคนิคมือฉกาจแก้เสร็จ ทุกคนก็มะรุมมะตุ้มทำกันจนเสร็จตามมาจนได้ค่ะ

ก็ต้องขออภัยที่ทำให้คุณผู้อ่านชะเง้อรอคอยกันด้วยนะคะ

 

ยังไม่อยากชวนคุยเรื่องเครียดเลยนะคะนี่ แต่หลายวันก่อนเปิดหน้าหนังสือพิมพ์

เห็นข่าวคนฆ่าตัวตายแล้ว ทอดถอนใจยังไม่ทันหมดลมดี

วันถัดมา ก็มีข่าวคนฆ่าตัวตายขึ้นหน้าหนึ่งตามมาติด ๆ อีก เลยต้องถอนใจเป็นระลอกสอง

ถึงแม้ว่ากรมสุขภาพจิตจะเก็บสถิติตัวเลขจากเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ มาบอกเราว่า

ในช่วงเก้าปีที่ผ่านมา คนฆ่าตัวตายลดลงทุกปี โดยล่าสุดมีคนฆ่าตัวตายสำเร็จ

ปีละ ๓,๖๑๒ คน และมีคนที่คาดว่าพยายามฆ่าตัวตายปีละกว่า ๓ หมื่นราย

แต่เห็นข่าวอย่างนี้ทีไร ก็อดรู้สึกสงสารในความ "ไม่รู้"

และอดเสียดายความเป็นมนุษย์แทนเขาเหล่านั้นไม่ได้นะคะ

 

กรมสุขภาพจิตบอกเราว่า สาเหตุหลัก ๆ ของคนที่พยายามฆ่าตัวตาย

ส่วนใหญ่จะมาจาก โรคซึมเศร้า ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว และสังคม

โดยมีสมาคมที่ชื่อว่า สะมาริตันส์แห่งประเทศไทย ช่วยรวบรวมข้อมูลของคนที่โทรศัพท์

มาปรึกษาปัญหาผ่านฮอทไลน์เพิ่มเติมให้ด้วยว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปีถึงกลางปี ๒๕๕๐ นี้

คนที่โทรมาปรึกษาปัญหานั้น เป็นหญิงมากกว่าชาย (แต่ชายฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่านะคะ)

โดยปัญหาที่นำมาบอกเล่ามากที่สุดก็คือ ความเครียด วิตกกังวล

รองลงมาเป็นปัญหาด้านสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ความเหงา ความกดดัน

ปัญหาครอบครัว สุขภาพร่างกาย ความพิการ หนี้สิน ปัญหาทางเพศ และการเรียน

 

ฟังดูแล้ว ก็เป็นปัญหาและสภาวะความคับข้องใจที่เกิดได้กับพวกเราทุกคนนี่แหละนะคะ

ไม่มีใครเลย ที่จะมีชีวิตอยู่โดยมีแต่เรื่องที่สมหวัง ไม่พลาดพลั้งกันเลยตลอดชีวิต

เพียงแต่ในยามที่ความทุกข์มันท่วมท้นหัวใจ จมอยู่ในหนองน้ำแห่งความเศร้าหมอง

ใครบางคนอาจจะคิดง่าย ๆ ว่าถ้าจบชีวิตลง ปัญหาคาใจเหล่านี้ก็คงจบลง

หรือคิดง่ายกว่านั้นคือ ขอทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้พ้นจากสภาพที่เป็นอยู่นี้ไปเสียเร็ว ๆ

 

ซึ่งก็คงจะเป็นที่มาของคำว่า "คิดสั้น" นี่แหละนะคะ

คือ ตัดสินกระทำไปด้วยอารมณ์เฉพาะหน้า แบบที่ไม่ทันได้คิดได้ตรองมองไปข้างหน้า

กระทั่งไม่เคยเข้าใจกฎกติกาอันเป็นธรรมชาติแห่งกรรมวิบาก

ว่ายิ่งทำเช่นนี้ ก็ยิ่งเท่ากับแผ้วถางทางไปสู่ความทุกข์ที่ทรมานยิ่งกว่าในเบื้องหน้า

กับร่างร้ายที่รออยู่ในไม่กี่อึดใจ ที่คิดว่าจะหนีปัญหาได้นั้น ที่แท้ก็หนีเสือปะจระเข้แท้ ๆ

 

มีคนเคยพูดไว้ชวนคิดสะกิดใจค่ะว่า ถ้าถามว่า มีวิธีเสียชีวิตวิธีไหนในโลกบ้าง

ที่เราจะแน่ใจได้อย่างที่สุดว่า จะเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเศร้า ไม่พอใจ

ไม่สมหวัง หรือมัวเมาหลงผิด ได้อย่างเที่ยงแท้แน่นอน แรงกล้า

และทรงประสิทธิภาพมากที่สุดขณะตาย คำตอบก็คือ... การฆ่าตัวตายนี่แหละค่ะ

 

ก็เมื่อเราระลึกถึงความสว่าง ระลึกถึงบุญกุศล เมื่อขณะสิ้นใจไม่ได้

แม้ยามลาโลก ก็หอบเอาความรู้สึกผิดหวัง เศร้าหมอง หลงผิด ติดตัวไปด้วย

ที่คิดว่าจะได้ไปเกิดใหม่ด้วยความสุข ความสว่าง เบาสบาย ในสุคติภูมินั้น

ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่ ทว่าทุคติภูมิต่างหาก... ที่ย่อมเป็นที่หวังได้แน่นอนค่ะ

สิ่งที่เหลือ จะมีแต่สภาพอันมีความทุกข์ห่อหุ้ม กับจิตวิญญาณที่อ่อนแอ

แม้เกิดใหม่ได้เป็นมนุษย์อีกครั้ง หากต้องเจอกับปัญหาหนักใจชวนให้ท้อแท้อีก

ก็มีแต่จะคิดตัดช่องน้อยแต่พอตัว ชะรอยเดิมแห่งความเศร้าหมองวนเวียนอยู่อย่างนี้ร่ำไป

 

เคยฟังหลวงพ่อองค์หนึ่งท่านเล่าให้ฟังนะคะว่า มีคืนหนึ่งจิตท่านได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้

เห็นเธอนุ่งผ้าถุงเดินร้องไห้ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปตามถนน เท้าลอยห่างจากพื้นถนนราว ๆ หนึ่งคืบ

แต่ท่านแผ่เมตตาไปให้แค่ไหน เธอก็ไม่สนใจที่จะรับ เพราะจิตถูกความทุกข์ครอบงำอย่างหนัก

สาย ๆ วันถัดมาจึงทราบว่ามีหญิงละแวะนั้นผูกคอตายเพราะสามีหนีไปและบ้านกำลังจะถูกยึด

น่าสงสารนะคะ ฆ่าตัวตายด้วยคิดว่าจะหนีทุกข์พ้น แต่กลับไปเจอสภาพที่มืดมนอนธการกว่าเดิม

จิตจมอยู่กับความเศร้าหมองจนแม้จะมีผู้แผ่เมตตาไปให้ ก็ยังไม่อาจรับความสว่างนั้นไปได้เลย

 

จริง ๆ แล้ว ถ้าอยากจะตาย สู้ตายแบบมั่นใจ

ว่าไปเกิดใหม่แล้วต้องดีกว่าเก่าแน่นอนไม่ดีกว่าหรือคะ

 

แต่จะมีสักกี่คนนะคะ ที่คิดจะตั้งคำถามเพื่อหาความจริง และแสวงหาคำตอบว่า

ต้องทำอย่างไร ถึงจะไปเกิดใหม่โดยมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้ ในท่ามกลางความทุกข์เช่นนั้น

 

น้อยคนค่ะ... แต่อย่างน้อยก็มีอยู่คนหนึ่ง ที่อดไม่ได้ที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

 

ในขณะที่กำลังรับรู้ด้วยข่าวคราวการตัดสินใจลาโลกของคนสองคนบนหน้าหนังสือพิมพ์

ก็หมุนช่องโทรทัศน์ไปพบกับโลกที่เป็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตผ่านรายการเจาะใจ

ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกในด้านตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง…

 

น้องกัน และน้องกี้ เป็นเด็กชายสองพี่น้องวัย ๑๕ และ ๑๑ ปี ที่เป็นเด็กพิเศษค่ะ

เขาสองคนมีร่างกายที่ดูเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อันเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมโดยกำเนิด

คุณหมอเรียกมันว่า เมตาโบลิก คือจะมีสารตัวหนึ่งเกาะอยู่ตามกระดูกตามข้อ

และเมื่ออายุมากขึ้น ๆ มันก็จะค่อย ๆ ลามทำลายส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

 

วันนี้ น้องกัน คนพี่ เริ่มเดินไม่ได้แล้ว สายตาเริ่มฝ้าฟาง มองอะไรไม่เห็น พูดก็เหนื่อย

เสียงเริ่มแหบเบา หูเริ่มไม่ค่อยได้ยิน เพราะเจ้าสารตัวร้ายนี้เริ่มลามไปตามอวัยวะต่าง ๆ

ส่วนน้องกี้คนน้อง ตอนนี้ยังเดินได้ แต่ไม่นาน เขาก็จะเป็นแบบพี่ของเขาด้วยโรคเดียวกัน

แต่ความน่ารักในภาพที่เห็นก็คือ น้องกัน และน้องกี้ เป็นเด็กอารมณ์ดี ยิ้มง่ายค่ะ

อาจด้วยพ่อแม่ที่ไม่เคยทอดทิ้ง และดูแลพวกเขาด้วยความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขจริง ๆ

 

สิ่งที่รายการนำเสนอในช่วงนี้คือ การจัดสรร "ความสุข" ให้ตามที่คนทางบ้านขอมา

และวันนั้น คนที่ขอมาก็คือคุณแม่ของน้องทั้งสองที่อยากจะส่งมอบความสุขให้กับลูก ๆ

ความสุขของน้องกี้ คืออยากไปดรีมเวิร์ลด์ แต่ความสุขของน้องกัน... เขาอยากไปวัดค่ะ

 

แม่ของน้องกันเล่าให้ฟังว่า ตอนที่น้องกันกลับมาจากโรงพยาบาล รู้ว่าตัวเองเดินไม่ได้แล้ว

เขากลับมาถึงบ้าน นอนร้องไห้ บอกแต่ว่า "หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว..."

 

ด้วยความรักของผู้เป็นแม่ที่ไม่เคยทอดทิ้ง แม่ปลอบประโลมเขาทุกยาม

สอนให้น้องกันสวดมนต์ ไหว้พระ และน้องกันก็ยังคงสวดมนต์ทุกวันจนถึงทุกวันนี้

 

น้องกันบอกว่า ความสุขของเขาตอนนี้คือ การได้ไปทำบุญ ไปทำบุญแล้วจิตใจสบาย

สิ่งที่ห่วงอย่างเดียว คือ ห่วงน้อง เพราะอีกหน่อยน้องก็จะต้องทรมานแบบเดียวกันกับเขา

"ได้แต่ภาวนาว่า ถ้าได้ไปเกิดใหม่ ขอให้เกิดมาสมบูรณ์ ปกติ เหมือนคนทั่วไป

ขอให้สมบูรณ์ทุกอย่าง ตอนนี้รักษาก็รักษาไม่ได้ ถ้าจะรักษาจริง ๆ ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง"

 

น้องกันพูดต่ออย่างช้า ๆ ด้วยความรู้สึกที่สื่อผ่านน้ำเสียงจากก้นบึ้งหัวใจของเขาว่า

 

"ตอนนี้อยากรู้อย่างเดียว… ว่าชาติที่แล้ว ทำบาปอะไรไว้ ถึงได้มาเกิดเป็นแบบนี้

ถ้ารู้แล้ว ก็จะได้หาทางแก้ไข ลบล้างความผิดที่ได้เคยทำไว้…"

 

พิธีกรนิ่งไปกับคำตอบที่บอกเล่าผ่านใบหน้าราบเรียบนั้น...

แล้วรายการได้พาน้องกันและครอบครัวไปกราบท่าน ว.วชิรเมธี ที่วัดค่ะ

 

gungee2

(ชมวิดีโอคลิป: http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A5862884/A5862884.html )

 

ท่าน ว.วชิรเมธี ได้ตอบข้อสงสัยให้น้องกัน และให้กำลังใจแก่น้องกันมากมาย

ในแววตาที่เหมือนเหม่อมองนิ่ง เพราะสายตาไม่เอื้อให้มองภาพข้างหน้าได้เห็นแล้ว

กล้องโคลสอัพให้เราได้เห็นภาพน้องกันนั่งฟังธรรมะอย่างตั้งอกตั้งใจ

 

ท่าน ว.วชิรเมธี เล่าเรื่องให้น้องกันฟังด้วยภาษาที่พูดคุยอย่างเอ็นดูและเป็นกันเองว่า

"เคยมีพระอรหันต์ ตัวเตี้ยม่อต้อ ดำก็ดำนะ พุงพลุ้ยเลย มาบวช

คนมาวัดก็นึกว่าท่านน่ารักจัง ตัวดำเตี้ย ก็ตบหัว ลูบหัว หยิกแก้ม หยิกพุง หยอกล้อท่าน

จนวันหนึ่งมีคนไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสบอกแก่เหล่าภิกษุว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอกำลังทำบาปนะ พระที่ไปหยอกล้อท่าน

รู้ไหม ท่านร่างเตี้ย อ้วน ดำก็จริง แต่ท่านอัปลักษณ์แต่เพียงรูปกายเท่านั้น

จิตใจของท่านนั้นบริสุทธิ์หมดจดยิ่งนัก และท่านก็เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งด้วย"

 

ท่านสอนให้น้องกันเข้าใจว่า ร่างกายจะเป็นอย่างไร ก็ให้ยอมรับว่ามันเป็นมาแล้ว

จงใช้มันให้เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แทนที่จะใช้เวลามาหมกมุ่นครุ่นคิดว่าทำไมเราถึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

ให้คิดว่า เราจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ทำประโยชน์ให้ตัวเองและคนอื่นได้อย่างไร

 

ก่อนกลับไปวันนั้น น้องกันมีแต่รอยยิ้มที่แม้แต่คนดู ดูแล้วก็พลอยรู้สึกเป็นสุขตามไปด้วย

"ผมเคยคิดจะฆ่าตัวตายครับ แต่คิดอีกที... ไม่เอาดีกว่า ...มันบาป" น้องกันบอกยิ้ม ๆ

ได้ฟังอย่างนั้นแล้วนึกอนุโมทนาในใจค่ะ ที่น้องเขามีปัญญาคุ้มครอง

 

ถ้าจะพูดอีกอย่าง ก็อาจจะเรียกได้ว่า น้องกันเป็นคน "คิดยาว" นะคะ

เขาตั้งคำถามเพื่อแสวงหาที่มาของตัวเอง อยากรู้วิธีที่จะไปเกิดใหม่ให้ดีกว่าเดิม

และมีสติคิดได้ด้วยว่า ถ้าทำลายชีวิตนี้ลงเสียเดี๋ยวนี้ มันจะเป็นผลบาปกับตัวเขาเอง

 

สิ่งหนึ่งที่น้องกันโชคดีกว่าหลาย ๆ คนด้วย ก็คือการมีพ่อแม่ที่ประเสริฐมาก ๆ ค่ะ

คุณแม่นั้น พาน้องกันน้องกี้ไปทำบุญทุกวันพระ สอนให้ลูกสวดมนต์

กอดอุ้มและให้ความรักเลี้ยงดูน้องทั้งสองด้วยความรักอันเต็มเปี่ยมอย่างหาได้ยาก

อาจด้วยสิ่งแวดล้อมที่ปลูกฝังมาเช่นนี้ จึงทำให้น้องกันค่อย ๆ เลื่อมใสในพุทธศาสนา

และในยามที่ชีวิตทุกข์ถึงที่สุด ก็ได้คำสอนของพระพุทธองค์เป็นเครื่องช่วยเยียวยา

 

ใครมีลูกมีหลาน ค่อย ๆ ปลูกฝังและปูพื้นแนวคิดอันเป็นกุศลธรรมกับพวกเขาไว้เถิดนะคะ

และวิธีที่จะทำให้เขาซึมซับได้มากที่สุด ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเป็นตัวอย่างให้เขาด้วย

คือ บอกให้เขารู้ อยู่ให้เขาเห็น เย็นให้เขาสัมผัส พาเขาไปวัดฟังธรรมจากพระดีสม่ำเสมอ

แต่ถ้าเขายังไม่รับ อย่าไปเร่งรัดก็แล้วกันนะคะ ของอย่างนี้บางทีก็มีจังหวะของมันเหมือนกันค่ะ

 

น้อยคนเหลือเกินนะคะที่จะตระหนักว่า การจะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นั้น

ยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเปรยความยากแสนยากนี้ให้ฟังค่ะว่า

เปรียบเสมือนกับแอกซึ่งมีช่องเดียว ลอยไปมาตามยถากรรม

ด้วยแรงคลื่นลม ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

ทุกร้อยปี เต่าตาบอดตัวหนึ่ง จะโผล่ขึ้นมาสู่ผิวน้ำคราวหนึ่ง

โอกาสที่เต่าตาบอดนั้น จะสอดคอเข้าไปในแอก ซึ่งมีช่องเดียวนั้น

เป็นของยากฉันใด การเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นของยากฉัน

 

ใครคิดว่าเกิดมาร่างกายไม่สมบูรณ์ เกิดมาอดอยากยากแค้น จะว่าโชคดีได้อย่างไร

แต่ถ้าเราได้รับรู้ด้วยสัมผัสจริง ๆ ว่าการเกิดในนรกนั้นน่ากลัวและทุกข์ทรมานขนาดไหน

เราจะรู้สึกทีเดียวค่ะว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ลำบาก ก็ยังดีกว่าการเกิดในนรกเป็นไหน ๆ

 

ที่สำคัญ ความเป็นมนุษย์นี่แหละค่ะ ที่มีศักยภาพสูงขนาดที่จะพลิกชีวิตไปด้านสว่างได้

ตั้งแต่ชาตินี้ทีเดียว ต่อให้เกิดเป็นหมาบ้านคนรวยที่ดูเหมือนน่าอิจฉาเพราะสุขสบายกว่าเรา

แต่มันจะไม่มีวันเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า และจะไม่มีโอกาสสร้างกรรมใหม่อันเป็นกุศล

เพื่อถางทางไปสู่ชีวิตที่เจริญขึ้นได้เลย คุณดังตฤณเคยเปรียบเทียบไว้น่าฟังค่ะว่า

"ความเป็นมนุษย์นั้นเหมือนมีดที่คมกว่าเราคิด เอาไปเฉาะดินเล่นจนทื่อก็ได้

หรือเอาไปฟันฝ่าอุปสรรคในตัวเองก็ได้ และในเวลาที่ไม่เนิ่นช้าด้วย"

 

ดึงศักยภาพของความเป็นมนุษย์ของเรามาใช้ให้เต็มที่เถิดนะคะ

อุปสรรคและปัญหาเป็นของคู่กันกับโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดในโลกจะเป็นไปอย่างใจเราได้หมด

แต่ถ้าเราเข้าใจและน้อมนำหลักการเจริญสติอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไปปฏิบัติตามแล้ว

เชื่อไหมคะว่า ท่ามกลางอุปสรรคที่อาจจะยังคงอยู่เหมือนเดิมเลย แต่ใจเรานี่แหละ

จะสามารถเป็นสุขชื่นอยู่ข้างในได้ และถ้าเป็นมนุษย์เสียแล้ว เราก็มีชีวิตแบบนั้นกันได้ทุกคน

ขอเพียงมีฉันทะในการน้อมนำไปปฏิบัติเท่านั้น ก็จะเห็นผลในเวลาที่ไม่เนิ่นช้าจริง ๆ

 

เรียกว่า ถ้าคิดจะฆ่าตัวตาย ก็ต้องฆ่ากันให้ถูกตัวนะคะ... ฆ่ามันตรงกิเลสในใจเรานั่นล่ะค่ะ : )

 

สำหรับฉบับนี้ "ธรรมะกับไลฟ์สไตล์" คุณตันหยง จะพาเราไปรู้จักกับคุณหมอนักภาวนา

ในตอน ธรรมะสำหรับผู้ป่วยและไม่ป่วย จากคุณหมออมรา มลิลา ค่ะ


(ใครอยากอ่านต่อก็ไปเข้าเว็บดังกล่าวดูนะจ๊ะ )  ทางสายนี้มีแต่กัลยาณมิตร พวกกลุ่มลานธรรม อายุยังน้อยทำงานดี ๆ กัน และมีศีล 5 เป็นอย่างต่ำ เขาช่วยกันทำงานเผยแพร่ธรรมะ น่ารักกันมากเลยจ้ะ
 และวันนี้ เวลา 14.00 น.คุณดังตฤณ จะจัดแถลงข่าวหนังสือธรรมะที่นำมาทำเป็น การ์ตูน รู้สึกจะเป็น เรื่อง มีชีวิตที่คิดไม่ถึง  หรือไงนี่แหละจ้ะ ที่ชั้น 22 ห้องพุทธคยา อาคารอัมรินทร์พลาซ่า ใครอยากพบ
"ดังตฤณ"ตัวเป็น ๆ และคุยธรรมะ ก็เชิญเพราะเขารู้วาระจิตของเรา ก็อาจจะแนะนำธรรมะ หรือวิธีปฏิให้เราได้  ที่บอกช้าเพราะเพิ่งรู้เหมียนกัล  เดี๋ยวเราจะไปแว๊ว...นัดกับลูกชายไว้ว่าจะไปพบกันที่นั่น  ลูกชายเราเขาก็สนใจธรรมะเหมือนเราแหละต้อย คุณดังตฤณ เคยบอกว่า อีกหน่อยเขาจะดีมาก ๆ เลย ...ดีใจจังเนอะ เรียกว่าบุญที่เราทำก็ได้ลูกดี ๆ แค่นี้ก็ตายตาหลับแล้ว...ต้อยว่ามั๊ย  
บันทึกการเข้า
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #20 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 13:35:15 »

พี่จิ๋มขา...
ในรุ่น 39 มี Do you believe in Destiny? ก็เลยอยากจะถามเรื่อง "พรหมลิขิต" ในทางพุทธศาสนาค่ะ...
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #21 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2550, 14:16:11 »

วันที่ 23 ตค. ที่เจอกัน เชิญ  Jimsy บรรยายธรรม ซัก 10 นาที่เนาะ
บันทึกการเข้า
จุฑารัตน
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #22 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2550, 14:50:50 »

hOOOOOOOOOOOOOเริง......ฮา...ขำกลิ้งเลย..มามุขนี้


 Cheesy เริง......ด้อง.3 ชั่วโมงต่อเนื่อง  ไม่พักเหนื่อย  ไม่พักจิบน้ำชา..........
 
            และ ผู้ฟังห้ามเหนื่อย  ต้อง pay full attention นะคะ

.............ขอเสนอเป็น MP3  แล้วตัวใครตัวมัน


และอย่าให้จิ๋มซี่  หมุนตัวกลับนะเคอะ.....danceeeeeeeeeกระจาย :!:  :!:  :!:
บันทึกการเข้า
nitty20
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,398

« ตอบ #23 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2550, 10:10:44 »

:lol:  :lol: อ่าง...เอ๋ย....เธอ...ช่างไม่รู้อะไรบ้างเรย..
ที่เสนอมา..นะ..เดี๋ยวก็เข้าทางไอ้จิ๋ม...แล้วเธอจะหนาววววว....5555
3 ชั่วโมงก็ยังไม่พอหรอกม้าง...แขก...ไหนจะเวลาแจกซองกฐินอีกล่ะ..ฮา :
lol:  :lol:
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #24 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2550, 11:06:03 »

  หนูปุ๊กกี้จ๋า...คำถามนี้ก็เคยมีผู้ถามคุณตุลย์(ดังฤณ)มาแล้ว...พี่คิดว่าน่าจะเป็นคำตอบสำหรับหนูได้ นะจ๊ะ....



ถาม : คำว่า ‘พรหมลิขิต’ มีความเป็นมาอย่างไรคะ?

ตอบ :


ตามตำนานนะครับ มีพระพรหมซึ่งเป็นเทพผู้ทรงฌานท่านหนึ่ง อายุยืนยาวจนลืมความเป็นมาของตัวเอง เห็นแต่ความเกิดดับของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย แต่ไม่เห็นความเกิดดับของตนเอง ก็เกิดความหลงเข้าใจว่าตนเป็นผู้สร้างโลก สร้างสวรรค์ สร้างจักรวาล และความเชื่อนี้พลอยตกทอดลงมาถึงมนุษย์ผ่านเทวดา ผ่านร่างทรง ผ่านการเข้าฝัน จนกระทั่งผ่านมนุษย์รุ่นต่อรุ่น หาที่มาชัดเจนไม่เจอ


เมื่อเชื่อเสียแล้วว่าพระพรหมเป็นผู้สร้าง ดังนั้นชะตากรรมทั้งหมดก็ต้องมีพระพรหมเป็นผู้ลิขิต แต่ถามว่าทำไมพระพรหมมีเวลาลิขิตมากนัก สัตว์เป็นหมื่นล้านแสนล้านขนาดนี้ ก็จะไม่พบคำตอบ คำตอบสุดท้ายคือพระพรหมเป็นผู้ลิขิต หาทางพิสูจน์หรือหาคำอธิบายให้ยิ่งไปกว่านี้ไม่ได้


จุดและที่สำคัญคือ เมื่อเชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้ลิขิตเสียแล้ว ก็แปลว่าเราไม่มีทางแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนอะไรๆให้ดีขึ้นเลย ทุกอย่างถูกกำหนดไว้เรียบร้อยตั้งแต่เกิดจนตาย แบบเดียวกับเราเป็นนกหนูในกรงทดลองที่คนอยากกำหนดให้มีอันเป็นไปอย่างไรก็ ได้ ไม่มีทางหือ


แต่ถ้าเราเชื่อตามหลักพุทธศาสนาที่ว่าตัวเราเองลิขิตตัวเองด้วยกรรม ใครทำกรรมอันใดไว้ ย่อมเป็นทายาทของกรรมนั้นๆ อันนี้พอหาทางพิสูจน์และอธิบายกันได้ เช่นว่าถ้าเราดวงไม่ดี เจอแต่คนรักเลวๆ ก็แปลว่ากรรมเก่าเราทำให้คนอื่นมีชะตากรรมไม่ดี และเราก็อาจจะเคยเลวกับคนรักในปางก่อน


วิธีพิสูจน์นั้น ก็ยืนพื้นอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า ถ้าเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นด้วยกรรมดำ เราก็ต้องสร้างเรื่องดีมาสู้ได้ด้วยกรรมขาวอันเป็นขั้วตรงข้ามเช่นกัน เช่น เมื่อหมั่นสร้างชะตากรรมดีๆให้ผู้ด้อยโอกาส หมั่นให้อภัยไม่อาฆาตคนร้ายกับคุณ กัดฟันทำแต่กรรมขาวจนกระทั่งความดีงามตั้งมั่นในคุณ หากเรื่องของกรรมวิบากมีจริงชะตากรรมของคุณก็ต้องดีขึ้นภายในชาตินี้ กรรมย่อมไม่ปล่อยให้คุณต้องมัวน้อยใจวาสนา ไม่ปล่อยให้รอถึงชาติหน้าเหมือนอย่างพรหมลิขิตอย่างแน่นอน


และเท่าที่พบกันมานักต่อนัก ทันทีที่คนเราเริ่มเชื่อว่ากรรมเป็นตัวลิขิตชะตานี่นะครับ ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นทันที อย่างน้อยเรามีเหตุผลอธิบายตัวเองว่าทำไมต้องเป็นเรา และเจออะไรอย่างที่เคยเจอ จิตที่มีศรัทธาแบบพุทธจะคล้อยไปในเส้นทางของเหตุผลและปัญญา ซึ่งทำให้เกิดความสว่าง ความอบอุ่น และความไม่หลงงมงายด้วยความเชื่อสืบๆกันมาครับ
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #25 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2550, 11:22:15 »

ลูกว่าน...ลูกชายสุดที่รัก....หลานชายพวกเธอ...เขาแนะนำวิธีที่จะให้เพื่อน ๆ ลุงป้าน้าอา..ได้ฟังธรรมะ..ว่าให้จับมัดที่เก้าอี้...เอาซาวด์อะบาวซ์ธรรมะMP3 ครอบหูเปิดเต็มสปีด... ให้นั่งฟังเลย ....ง่ะ ดีแมะ เวลาหิวน้ำก็เอาหลอดให้ดูด...ป้อนข้าวให้อยู่กับที่เลย...แบบดิลิเวอรี่..เต็มรูปแบบเลยเอาแมะจ๊ะ... : Roll Eyes 
บันทึกการเข้า
จุฑารัตน
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #26 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2550, 16:18:44 »

:)    ว่านครับ......ลูกทำกับคนที่ลูกรักอย่างนี้ได้อย่างไร...................
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #27 เมื่อ: 14 ตุลาคม 2550, 21:42:36 »

 Wink Grin
บันทึกการเข้า
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #28 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2550, 08:30:36 »

อ้างจาก: "jimsy"
  หนูปุ๊กกี้จ๋า...คำถามนี้ก็เคยมีผู้ถามคุณตุลย์(ดังฤณ)มาแล้ว...พี่คิดว่าน่าจะเป็นคำตอบสำหรับหนูได้ นะจ๊ะ....



ถาม : คำว่า ‘พรหมลิขิต’ มีความเป็นมาอย่างไรคะ?

ตอบ :


ตามตำนานนะครับ มีพระพรหมซึ่งเป็นเทพผู้ทรงฌานท่านหนึ่ง อายุยืนยาวจนลืมความเป็นมาของตัวเอง เห็นแต่ความเกิดดับของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย แต่ไม่เห็นความเกิดดับของตนเอง ก็เกิดความหลงเข้าใจว่าตนเป็นผู้สร้างโลก สร้างสวรรค์ สร้างจักรวาล และความเชื่อนี้พลอยตกทอดลงมาถึงมนุษย์ผ่านเทวดา ผ่านร่างทรง ผ่านการเข้าฝัน จนกระทั่งผ่านมนุษย์รุ่นต่อรุ่น หาที่มาชัดเจนไม่เจอ


เมื่อเชื่อเสียแล้วว่าพระพรหมเป็นผู้สร้าง ดังนั้นชะตากรรมทั้งหมดก็ต้องมีพระพรหมเป็นผู้ลิขิต แต่ถามว่าทำไมพระพรหมมีเวลาลิขิตมากนัก สัตว์เป็นหมื่นล้านแสนล้านขนาดนี้ ก็จะไม่พบคำตอบ คำตอบสุดท้ายคือพระพรหมเป็นผู้ลิขิต หาทางพิสูจน์หรือหาคำอธิบายให้ยิ่งไปกว่านี้ไม่ได้


จุดและที่สำคัญคือ เมื่อเชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้ลิขิตเสียแล้ว ก็แปลว่าเราไม่มีทางแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนอะไรๆให้ดีขึ้นเลย ทุกอย่างถูกกำหนดไว้เรียบร้อยตั้งแต่เกิดจนตาย แบบเดียวกับเราเป็นนกหนูในกรงทดลองที่คนอยากกำหนดให้มีอันเป็นไปอย่างไรก็ ได้ ไม่มีทางหือ


แต่ถ้าเราเชื่อตามหลักพุทธศาสนาที่ว่าตัวเราเองลิขิตตัวเองด้วยกรรม ใครทำกรรมอันใดไว้ ย่อมเป็นทายาทของกรรมนั้นๆ อันนี้พอหาทางพิสูจน์และอธิบายกันได้ เช่นว่าถ้าเราดวงไม่ดี เจอแต่คนรักเลวๆ ก็แปลว่ากรรมเก่าเราทำให้คนอื่นมีชะตากรรมไม่ดี และเราก็อาจจะเคยเลวกับคนรักในปางก่อน


วิธีพิสูจน์นั้น ก็ยืนพื้นอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า ถ้าเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นด้วยกรรมดำ เราก็ต้องสร้างเรื่องดีมาสู้ได้ด้วยกรรมขาวอันเป็นขั้วตรงข้ามเช่นกัน เช่น เมื่อหมั่นสร้างชะตากรรมดีๆให้ผู้ด้อยโอกาส หมั่นให้อภัยไม่อาฆาตคนร้ายกับคุณ กัดฟันทำแต่กรรมขาวจนกระทั่งความดีงามตั้งมั่นในคุณ หากเรื่องของกรรมวิบากมีจริงชะตากรรมของคุณก็ต้องดีขึ้นภายในชาตินี้ กรรมย่อมไม่ปล่อยให้คุณต้องมัวน้อยใจวาสนา ไม่ปล่อยให้รอถึงชาติหน้าเหมือนอย่างพรหมลิขิตอย่างแน่นอน


และเท่าที่พบกันมานักต่อนัก ทันทีที่คนเราเริ่มเชื่อว่ากรรมเป็นตัวลิขิตชะตานี่นะครับ ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นทันที อย่างน้อยเรามีเหตุผลอธิบายตัวเองว่าทำไมต้องเป็นเรา และเจออะไรอย่างที่เคยเจอ จิตที่มีศรัทธาแบบพุทธจะคล้อยไปในเส้นทางของเหตุผลและปัญญา ซึ่งทำให้เกิดความสว่าง ความอบอุ่น และความไม่หลงงมงายด้วยความเชื่อสืบๆกันมาครับ


ขอบคุณมากเลยค่ะพี่จิ๋ม...ได้อะไรในคำตอบของคุณดังตฤณเยอะเลยนะเนี่ย อิอิ
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #29 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2550, 11:22:23 »

ปุ๊กกี้จ๊ะ....ถ้าถามเรื่องพรหมลิขิต...ถ้าเป็นเรื่องคู่...ใครอยากรู้คู่แท้..เป็นอย่างไร...จะได้สำรวจดูว่าคู่เรา...หรือคนที่จามาเป็นคู่ใช่ตัวจริงหรือเปล่า....ดูนี่เลย....พี่เคยติดค้างน้อง ๆ ไว้ตอบซะเลย...นะจ๊ะ...ด้วยคำถามตอบที่เคยมีคนถามคุณ ดังตฤณ มาแล้วใน....หนังสือ  เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว....

         ถาม – คู่เวรมีจริงหรือไม่? แบบที่พออยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความวิบัติ และความหมาย   ของคู่แท้หมายถึงอยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความสุขความเจริญใช่ไหม? หากเป็นเช่นนั้นต้องเชื่อเกณฑ์ของดวงชะตาราศีที่ว่าจะเจอคู่แท้เมื่อนั่นเมื่อนี่ใช่ไหม? ถ้าหากว่าเรามีวิบากที่ต้องเจอคู่ที่ทำให้เราไม่มีความสุขเราจะหลีกหนีได้หรือไม่?


คู่หญิงชายนั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้ คำว่า ‘คู่แท้’ จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’

หากหันมาใส่ใจกับคำว่า ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บาป’ แทน อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้ ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป และนั่นก็แปลว่าคู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ

มองอย่างนี้อคติจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน เราจะเห็นตามจริงว่าถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้ อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย หรือที่เรียกง่ายๆว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อๆมา กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ

ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและปัจจุบันประกอบกัน

ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ บุญที่สร้าง ‘คู่บุญ’ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่

๑) มีศรัทธาไปในแนวทางเดียวกัน เช่นถือศาสดาองค์เดียวกัน เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลยครับ ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศเดียวกัน ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน

๒) มีศีลอันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้ แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที่ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว และนั่นก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน สำส่อนไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นในกันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ      

๓) มีจาคะอันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่นอีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กันแน่นแฟ้นขึ้น จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียงย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่ เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน

๔) มีปัญญาเสมอกัน กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง กล่าวทางธรรมคือมีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยเป็นไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน

หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ (อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้ ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง

และขอเพียงเกื้อกูลกันนิดๆหน่อยๆ เช่นฝ่ายหนึ่งมาถามทาง อีกฝ่ายบอกทางให้ เท่านี้ก็จะเกิดแรงปฏิพัทธ์ขึ้นอย่างรุนแรง ชนิดที่ฝ่ายชาย (ซึ่งมีธรรมชาติเป็นรุก) อาจยื่นข้อเสนอเดินพาไปส่ง และฝ่ายหญิงก็ตกลงรับข้อเสนออย่างยินดีเต็มใจทันที แล้วการตกลงร่วมทางกันไปจนกว่าจะตายก็ติดตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคู่บุญประเภทนี้

แน่นอนว่าสายตาทั่วไปมองแล้วย่อมนึกอิจฉา โดยไม่มีใครเข้าใจต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดจึงมีคู่ที่น่าอิจฉาได้ปานนั้น รู้แต่ว่ามีจริง แต่ไม่รู้ว่ามีขึ้นมาได้อย่างไร ต้องต่อว่าใครที่แกล้งลำเอียง ความจริงคือคู่บุญได้รับความยุติธรรมจากธรรมชาติกรรมวิบากต่างหาก แต่อาจเป็นความยุติธรรมที่ลึกลับ เพราะนำอดีตชาติมาแสดงให้เห็นเป็นภาพยนตร์ตามโรงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม แม้วิบากเก่าบันดาลให้ช่วงแรกคบเกิดแต่เรื่องดีๆ ต่างฝ่ายต่างเป็นสุขชื่นมื่น ไปที่ไหนใครก็เชียร์ ทำอะไรร่วมกันก็รุ่งเรือง แต่ถ้าบุญเก่าแพ้บาปใหม่ ค่อยๆสั่งสมบาปจนต้องทะเลาะเบาะแว้ง หรือเกิดการทำร้ายกันด้วยวิธีต่างๆ คู่บุญก็เปลี่ยนเป็นคู่ครึ่งบุญ (เก่า) ครึ่งบาป (ใหม่) ได้ ความหลงลืมอดีตชาติ ความประมาทในวัย และความไม่รู้จักบุญบาป ไม่เชื่อว่าบุญบาปมีผลนั่นแหละ ที่อาจเปลี่ยนคู่บุญให้เป็นคู่บาปได้ตลอดเวลา

บาปนั้นแม้เล็กน้อยก็เหมือนเหรียญหยอดกระปุก เพียงสั่งสมให้มากวันละเล็กวันละน้อย เมื่อถึงวันหนึ่งลองยกกระปุกดู ก็อาจพบว่ามันหนักราวกับลูกเหล็กใหญ่ และถ้าเป็นบาปที่สะสมร่วมกัน ก็อาจถูกฉุดลากลงต่ำพร้อมกันได้

บาปอันมีผลที่ทำร่วมกันแล้วหญิงชายกลายเป็นคู่บาปนั้น ยืนพื้นอยู่บนกิเลส ๓ ประการของมนุษย์ ได้แก่

๑) ราคะ คือทำเรื่องบาดใจกันทางเพศ ไปมองคนอื่น ไปคุยกับคนอื่น และกระทั่งไปมีคนอื่น กระแสกรรมอันสำเร็จด้วยการนอกใจ จะเป็นของแหลมคมที่กรีดใจผู้ทำให้เป็นทุกข์ก่อน ในรูปของความรู้สึกผิด และเมื่อประจวบกับความจริงที่ว่าความลับไม่มีในโลก วันหนึ่งเมื่อเรื่องแดง คู่ของตนทราบเรื่อง ก็ต้องเป็นทุกข์ตาม ในรูปของความผิดหวังเสียใจ ความร้าวฉานอันเกิดจากเรื่องทางเพศนั้น แม้คู่ครองไม่ผูกใจเจ็บ อย่างน้อยก็กลายเป็นเงามืดติดตามไปบนเส้นทางความสัมพันธ์ เมื่อเกิดชาติใหม่ความสัมพันธ์ทางเพศจะเป็นแรงดึงดูด แต่แรงดึงดูดนั้นแฝงความน่าคลางแคลงชอบกล อย่างน้อยก็มีเหตุน่าสับสน ทำให้คิดๆว่าจะเอาใครดี คนนี้ดีแน่ไหม หรือกระทั่งเกิดความรู้สึกสกปรกเมื่อถูกเนื้อต้องตัวในช่วงแรกๆ ขัดแย้งกันแปลกๆกับความวาบหวามเมื่อใกล้กัน

รสนิยมทางเพศที่ไม่เสมอกันก็อาจเป็นชนวนได้ แต่มาในรูปของความหน่าย ไม่อยากไปด้วยกัน ไม่ใช่ความบาดใจเหมือนอย่างการนอกใจกัน แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งข่มเหงและเป็นโรคจิตวิปริตทางเพศ กระทำย่ำยีให้อีกฝ่ายเจ็บกายเจ็บใจเป็นประจำ ก็มีส่วนก่อกระแสภัยเวรขึ้นในสายสัมพันธ์ได้เช่นกัน

๒) โทสะ ส่วนใหญ่มักมีมูลจากช่องว่างระหว่างคน เมื่อทรรศนะต่างกัน เมื่อความอยากต่างกัน เมื่อรสนิยมต่างกัน เมื่อสำเนียงและภาษาต่างกัน อะไรๆในทางร้ายก็เกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะในรูปของการทะเลาะเบาะแว้ง เมื่อทะเลาะเบาะแว้งย่อมผูกใจเจ็บ คิดอาฆาตพยาบาท อยากแก้แค้น อยากเอาคืน ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง พูดไม่ได้ก็เย้ยหยันเหยียดหยามผ่านแววตาให้สะใจเสียหน่อยก็ยังดี กรรมร่วมกันที่ทำด้วยโทสะจะเป็นแรงผลักไส หรือดลใจให้นึกเกลียดกัน แต่โทสะนั้นเองก็เป็นพลังร้อยรัดให้ต้องอดรนทนไม่ได้ อยากวนเวียนมาทิ่มตำกันเสียหน่อย ได้ประชดประชัน ได้เอาชนะสำเร็จแล้วสะใจและเป็นสุขพิลึก ท้ายที่สุดพอร่วมหอลงโรงจริง ความสนุกจากการงอน การง้อ ก็แปรไปเป็นโศกนาฏกรรมได้ โดยเฉพาะเมื่ออิทธิพลทางเพศกลายเป็นเครื่องมือกดความรู้สึกให้ดูถูกกันและกัน เห็นอีกฝ่ายแต่ในทางต่ำ เรื่องเพียงเล็กน้อยก็เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว อาจบันดาลให้อยากส่งคู่ครองไปสู่ปรโลกได้ และถ้าฆ่ากันตายในชาติหนึ่ง ชาติถัดมาก็เกิดแรงยึดเหนี่ยวมาหากันอีกผ่านความดึงดูดทางเพศ แล้วต้องทำร้ายถึงเลือดถึงเนื้ออีก จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอโหสิให้อย่างไม่มีเงื่อนไข

ทุกวันนี้ที่เห็นดาษดื่นคือการน้อยใจกันแล้วฆ่าตัวตาย นี่ก็เป็นกรรมร่วมที่อยู่ในหมวดของโทสะ เจอกันใหม่ในชาติถัดไปก็จะมีอารมณ์รุนแรง ฉุนเฉียว หรือเป็นเหตุบันดาลใจให้มักง่ายกับชีวิตอีก

๓) โมหะ หมายถึงทำกรรมแบบโง่ๆร่วมกัน โดยอาจสำคัญว่าได้ใช้ความฉลาดเฉียบแหลม ไม่มีใครจับได้ไล่ทัน เช่นเคยร่วมกันโกงสงฆ์ โกงเงินบริจาควัด โกงประชาชน โกงหมู่คณะ โกงเพื่อนฝูง หรือโกงคนแปลกหน้าเป็นรายตัว กรรมที่ทำร่วมกันแบบโง่ๆนั้นกว้างขวางพิสดารไม่รู้จบ เอาเป็นว่าถ้าทำความเดือดเนื้อร้อนใจให้กันและกันด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย หรือทำความเสียประโยชน์สุขแก่มวลชนเป็นอันมาก อันนั้นแหละกรรมร่วมกันที่ยืนพื้นอยู่บนโมหะ ไม่ต้องรอชาติหน้า เอาแค่ชาตินี้เมื่อถึงจังหวะที่กรรมเผล็ดผล ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นสุขสักนาที มีแต่เรื่องราวรุมเร้า หรือไม่มีเรื่องก็ก่อเรื่องให้กันเอง ความพินาศอันเกิดจากโมหะนั้น กล่าวได้ว่าน่ากลัวเหนือสิ่งอื่นใด เพราะราคะและโทสะนั้นยังเปิดโอกาสให้ตั้งสติคิดพิจารณาทบทวนและให้อภัยกัน แต่โมหะจะปิดกั้นสติปัญญาแทบทุกประตู มองทิศไหนเหมือนเจอแต่ทางตันทึบทึม นั่นเป็นลักษณะสะท้อนของการทำกรรมด้วยความหลงเขลามืดบอด

แต่แม้เจอเรื่องร้ายรุมเร้า ก็ยังอุตส่าห์ปักใจเชื่อว่าต้องอยู่ร่วมกันถึงจะดี ทิ้งขว้างกันไม่ได้ ต้องทนทู่ซี้ทั้งอย่างนั้น นี่ก็เป็นภาคต่อยอดของโมหะด้วย

ขอสรุปเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆและรวบรัด ถ้าชวนใครทำบุญได้สำเร็จ ทั้งทำต่อกัน ทั้งทำต่อคนอื่น ด้วยกาย วาจา และใจอันเป็นสุจริต คนนั้นมีแนวโน้มจะเป็นคู่บุญ และอยู่กับคุณได้อย่างแท้จริงในชาติปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นตรงข้าม เจอกันมีแต่ชวนกันตกต่ำ ทำอะไรเหมือนเป็นบาปกับตัวเองและคนอื่นไปหมด อย่างนั้นก็ส่อเค้าว่าไปด้วยกันไม่รอดหรอกครับ ถึงแม้มีความดึงดูดทางเพศขนาดไหนก็ตาม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนอยู่ด้วยกันก็พอบอกเป็นเค้าๆได้ระดับหนึ่ง ถ้ามีแต่เรื่องดีๆเข้ามาก็น่าจะเคยทำบุญร่วมกันไว้ก่อน แต่ถ้ามีแต่เรื่องร้ายๆ ก็ให้สันนิษฐานว่าไปทำอะไรไม่ดีร่วมกันไว้ เพราะมีอยู่ครับ วิบากชนิดที่จ้องรอจังหวะตอนคู่บาปมาเจอกัน เจอเมื่อไหร่เกิดเรื่องแย่เมื่อนั้น อันนี้สะท้อนให้เห็นบาปแต่ปางก่อนค่อนข้างชัด (ยิ่งถ้าต่างฝ่ายต่างมีชีวิตเรียบง่ายดีๆ พอมาอยู่ด้วยกันค่อยเกิดเรื่องขรุขระร้ายแรงบ่อยๆ อันนั้นแหละฟันธงเลยครับ ใช่คู่บาปแน่)

หลักการดูคู่ ขอแนะว่าลองชักชวนกันทำบุญ ดูความรู้สึกผูกพันด้านดี จะแน่นอนกว่าการดูฤกษ์ยามใดๆครับ แต่ผมก็เข้าใจและเห็นใจ บางคนไม่มีโอกาสเลือกมากนัก ถ้าใครคิดว่าตนเองมีบุญในเรื่องคู่น้อย ผมอยากแนะนำให้ตั้งใจรักษาศีล ๕ อย่างเข้มงวด ทำทานด้วยความเบิกบานอย่างเข้าใจสักพัก มนุษย์เรายกระดับความมีบุญได้ในชาติเดียว เดี๋ยวถ้าบุญถึงขีดบันดาลสุขในปัจจุบันทันตาเมื่อไหร่ บุญนั้นก็จะแปรสภาพเป็นแรงดึงดูดชักนำคนดีๆที่สมกันมาหาเราเองครับ หากถือหลักความจริงนี้ ก็คงเป็นคำตอบไปในตัว ว่าเราจำเป็นต้องเชื่อเกณฑ์ชะตาราศีไหม

สำหรับการหลบหลีกคู่เวรหรือคู่บาป ให้ตอบตรงไปตรงมาคือยาก แต่เป็นไปได้ครับ คือเมื่อเจอแล้วเรามีสติตั้งมั่น ไม่หลงถลำไปตามแรงดึงดูดทางเพศ การหักห้ามใจได้ บวกกับการตั้งใจเป็นผู้ไม่มีเวร ให้อภัยได้ด้วยใจบริสุทธิ์แท้จริงในทุกเรื่องที่น่าขัดเคือง จะค่อยๆแยกคุณออกห่างจากเขามาโดยดีในที่สุด
บันทึกการเข้า
kant
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 15

เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2550, 14:57:27 »

:shock: สาธุ    สา...ธุ     สา.......ธุ   ขอให้ไปสวรรค์ทุกคนนะ

              เอวัง  ก็มีด้วยประการ ฉะนี้ ...กรรมมุนา วัตตะ ตี โลโก....โป๊กๆ นะจิ๋มนะ
:shock:
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #31 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2550, 20:09:01 »

กานต์เจ้าขา....

     โป๊ก ๆ น่ะเป็นอาไยเหยอ...เขกหัวตัวเอง...เสียดายที่เข้ามาอ่านของดี ๆ หยั่งงี้ช้าไปใช่แมะ...
ลองอ่านเรื่องคู่บุญดูนะ...แล้วกลับไปชวนแฟนและลูกทำอะไรดี ๆ ร่วมกัน...อย่ามัวห่วงร้านชำของเธอนักนะจ๊ะ...อิ...อิ    Wink  Grin
บันทึกการเข้า
kant
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 15

เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2550, 10:22:11 »

อ้างจาก: "jimsy"
กานต์เจ้าขา....

     โป๊ก ๆ น่ะเป็นอาไยเหยอ...เขกหัวตัวเอง...เสียดายที่เข้ามาอ่านของดี ๆ หยั่งงี้ช้าไปใช่แมะ...
ลองอ่านเรื่องคู่บุญดูนะ...แล้วกลับไปชวนแฟนและลูกทำอะไรดี ๆ ร่วมกัน...อย่ามัวห่วงร้านชำของเธอนักนะจ๊ะ...อิ...อิ   :wink:  :wink:


    จ้า .......แต่ลูกยังเล๊ก ให้มันใช้ ซนสมาธิไปก่อน ไม่ถือกันนะ :shock:
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #33 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2550, 13:26:23 »

  ถึงเพื่อน ๆ      และผู้ที่สนใจในเคล็ดไม่ลับสำหรับความเจริญและความสว่างของชีวิต....เราได้ไปอ่านเจอบทบรรณาธิการของนิตยสารธรรมะใกล้ตัวฉบับล่าสุดซึ่งน่าสนใจนะเลยลากเอามาฝาก...
ถ้าใครอยากอ่านเยอะก็สมัครได้ที่
dungtrin.com ใครสนใจลึกกว่านั้นต้องคุยกัน หรืออยากเจอคุณศรันย์(ดังตฤณ) เพื่อศึกษาแนวการปฏิบัติธรรมเฉพาะตัวของเรา แจ้งได้....ลองอ่านดูอันนี้ก่อนละกัน...คือเสร็จกฐินก็กลับมาซนใหม่ไง....





กลางชล

 

สวัสดีค่ะ

 

เริ่มย่างเข้าปลายปีกันแล้วนะคะ จะเรียกว่าความสุขเริ่มสะพัด พร้อมกับเงินในกระเป๋าก็ได้ : )

ตั้งแต่บุญจากซองกฐินหลาย ๆ วัด ตามมาด้วยซองสีหวานของคู่วิวาห์หลาย ๆ ซอง

แล้วเดี๋ยวคงฉลองกันอีกยาวกับเทศกาลปีใหม่ ที่ใครก็ช้อปหาของขวัญ พากันไปเที่ยวอีก

ส่วนใครที่ใส่ใจบริหารเงินในกระเป๋าสักหน่อย คงไม่ได้จับจ่ายใช้สอยกันอย่างเดียว
แต่คงมีวินัยแบ่งเก็บไว้ออม หรือจัดสรรเงินบางส่วนไว้เตรียมลงทุนกันด้วยมั้งคะ
ซึ่งช่วงปลายอย่างนี้ ก็เป็นธรรมดาที่จะได้เห็นกองทุนระยะยาว หรือ LTF คึกคักขึ้น
นัยว่าหลายคนเห็นประโยชน์จากการจะได้ลดหย่อนภาษีก่อนสิ้นปีภาษีนี้
(แต่เขาว่าควรซื้อช่วงที่หุ้นปรับตัวลงด้วยนะคะ จะได้พลอยได้ผลตอบแทนที่ดีด้วยอีกทาง)

อ้าว คุณกลางชล เปลี่ยนมาเขียนบทความทางการเงินแล้วเหรอเนี่ย... : )
เปล่าหรอกค่ะ แต่แหม มนุษย์เงินเดือนอย่างเราก็อยากมีเงินเก็บเยอะ ๆ กับเขาบ้างนี่คะ : )
พอดีช่วงนี้กำลังศึกษาหาข้อมูลเพื่อเลือกลงทุนในกองทุนที่เหมาะ ๆ เพิ่มเติมอยู่น่ะค่ะ

ระหว่างที่หาข้อมูล คิด ๆ เรื่องการลงทุน พร้อม ๆ กับคำนวณเงินในกระเป๋าตัวเองไปนี้
เสียงของหลวงพ่อปราโมทย์ท่านก็ดังขึ้นจากแผ่นซีดี เสมือนพูดกับเราขึ้นมาว่า

"การศึกษาธรรมะ คือการลงทุนให้กับชีวิตตัวเองนะ หลวงพ่อจะบอกให้
หลวงพ่อเองตอนอยู่กับโลก ก็ไม่ได้เป็นรองใครหรอก อยู่ในโลกก็มีความสุข

แต่แล้วก็พบว่า ความสุขของโลกนี่นะ ไม่ได้เรื่องเลย ไม่ได้เรื่องเลย..."

ใจฉุกคิดวาบอีกครั้ง...
การศึกษาธรรมะ คือการลงทุนให้กับชีวิตตัวเอง
นี่ต่างหาก คือการลงทุนที่สำคัญ การลงทุนที่มีผลที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตรออยู่ข้างหน้า

หลายคนในโลกนี้ คิดแต่เพียงวางแผนการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางการเงิน
เพราะคิดว่า "เงิน" คือปัจจัยสำคัญที่จะนำมาซึ่งความสุข
แต่แทบจะไม่มีใครมองเห็นเลยว่า

ความสุขที่ได้สัมผัสกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น
ความสุขอันนี้หมดไปครั้งหนึ่ง ก็วิ่งล่าไขว่คว้าหาความสุขอันต่อไปกันอีกครั้งหนึ่ง

อย่างตอนเด็ก ๆ เราก็คิดว่า ถ้าเราเอนท์ติดคณะนั้นคณะนี้ เราจะมีความสุข...
ถ้าเรียนจบแล้ว เราจะมีความสุข... ถ้าได้เรียนต่อปริญญาโทด้วย เราจะมีความสุข...
แล้วเราก็พบว่ามันก็อย่างนั้น ๆ จบมาแล้วก็ไม่เห็นจะสุขได้นานสักเท่าไหร่
ต่อไปอีก ถ้าได้งานดี ๆ เราจะมีความสุข... ถ้าได้เงินเดือนเยอะ ๆ เราจะมีความสุข...
ถ้าตำแหน่งใหญ่ ๆ อีก เราจะมีความสุข... ถ้ามีแฟนสักคน เราจะมีความสุข...
ถ้ามีครอบครัวดี ๆ เราจะมีความสุข... ถ้าลูกเราประสบความสำเร็จ เราจะมีความสุข...
กระทั่งพอแก่ไป เจ็บป่วยทรมาน นอนทำอะไรไม่ได้แล้วอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล
ยังว่า ถ้าตายไปเสียได้ คงจะมีความสุข... หลวงพ่อท่านเคยฉายภาพให้ฟังอย่างนั้น

การที่เราทะยานวิ่งไล่คว้าความสุขด้วยแรงผลักดันของกิเลสอยู่ตลอดชีวิต
ก็ไม่ต่างอะไรกับลาที่เอาแต่จดจ้องเดินไปข้างหน้า เพื่อไล่คว้าแครอทที่ปลายไม้
โดยที่ไม่รู้เลยว่า มันจะไม่มีวันเอื้อมคว้าแครอทนั้นมาเข้าปากได้เต็มคำอย่างแท้จริง

เมื่อไม่มีใครมองเห็นความสุขที่เหนือกว่า กระทั่งว่าสามารถตัดวงจรความทุกข์ทั้งหมดได้
ก็ไม่มีใครคิดแสวงหาวิธีการลงทุนเพื่อเป้าหมายสูงสุดเช่นนั้น

มีใครเคยอ่านหนังสือชื่อดังเรื่อง "พ่อรวยสอนลูก" (Rich Dad Poor Dad) ไหมคะ
มีอยู่ตอนหนึ่ง ที่ผู้เขียนเปรียบเทียบชีวิตมนุษย์เงินเดือนเหมือน "สนามแข่งหนู" (Rat Race)
เขาเปรียบวลี "สนามแข่งหนู" เสมือนกับวังวนของการเป็นลูกจ้าง
ที่ต่างคนก็เหมือนสาละวนวิ่งไปอย่างไร้จุดหมาย ด้วยอาการตะเกียกตะกายของ "หนู"
คือวิ่ง ๆ ๆ ทำงานตัวเป็นเกลียว เพียงเพื่อได้รับเงินเดือนตอบแทนพอกินพออยู่ไปวัน ๆ

ผู้เขียนบอกว่า แม้จะมีคนเห็นช่องทาง ชี้ทางออกไปสู่อิสรภาพจากสนามแข่งหนูแห่งนี้ให้
แต่ก็น้อยคนเหลือเกินที่จะเชื่อว่าอิสรภาพทางการเงินเช่นนั้นมีอยู่จริง
และน้อยคนเหลือเกินที่แม้รู้ว่ามีอยู่จริง แล้วจะลุกขึ้นมาจนดีดตัวออกมาจากสนามแข่งนี้ได้

หนังสือชื่อดังเล่มนี้ แนะนำคนอ่านให้หนีให้พ้นจาก "สนามแข่งหนู"
หรือหลุดออกจากการมีชีวิตอยู่ด้วยเงินเดือนประจำ จากการเป็นลูกจ้าง
ด้วยกลยุทธ์ "ให้เงินทำงาน" แทนที่เราจะเหนื่อยทำงานเพื่อหาเงินไปชั่วชีวิต

อันที่จริง ชีวิตมนุษย์เรา ก็ไม่ต่างอะไรกับสนามแข่งหนูอย่างที่ว่าไว้นั้นนักหรอกนะคะ
ถ้าถอยขึ้นมามองอีกชั้น แม้จะออกมาจากสนามแข่งหนูได้แล้ว มั่นคงทางการเงินแล้ว
เราก็ยังติดอยู่กับสนามแข่งมหึมาของสังสารวัฏ ที่หนีสุขทุกข์ หนีการเวียนเกิดเวียนตายไม่พ้น

แทบจะไม่มีใครเคยมองเห็นว่า เราก็เหมือนหนูที่ติดกับดักอยู่ในสนามนั่นแหละ
ดิ้นรน ตะเกียกตะกายวิ่งไล่หาความสุขกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แล้วก็พอใจอยู่กับการได้เสพความสุขหยาบ ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปชาติหนึ่ง ชาติหนึ่ง

แม้จะมีบรมครูผู้ประเสริฐชี้ทางออกไปสู่อิสรภาพจากวงจรแห่งการเวียนเกิดเวียนตายนี้ให้
แต่ก็น้อยคนเหลือเกินที่จะเชื่อว่าการพ้นทุกข์ทางใจโดยสิ้นเชิงได้เช่นนั้นมีอยู่จริง
และน้อยคนเหลือเกินที่แม้รู้ว่ามีอยู่จริง แล้วจะเพียรพยายามจนดีดตัวพ้นจากสังสารวัฏนี้ได้

คุณผู้อ่านทุกท่านที่ได้อ่านนิตยสารเล่มนี้ ต้องถือว่าเป็นคนที่โชคดีมาก ๆ นะคะ
เพราะมีโอกาสได้รู้จักและสนใจ "กลยุทธ์หลุดพ้นจากทุกข์ทางใจ โดยไม่กลับกำเริบอีก"
ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนไว้ และยังคงไม่ล้าสมัยเลย แม้จะล่วงเลยกว่าสองพันมาปีแล้ว

เพียงแต่สิ่งที่อาจจะยังขาดสำหรับหลาย ๆ คนก็คือ การลงทุนศึกษาธรรมะ
ทั้งด้วยการทำความเข้าใจ และการลงมือปฏิบัติให้ประจักษ์ด้วยตนเองเท่านั้น

ถ้าใครเคยได้ยินโฆษณาของกองทุน เขาจะต้องมีประโยคที่อ่านเร็ว ๆ ปิดท้ายนะคะว่า
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน" : )

ธรรมะก็เหมือนกันนะคะ ถ้าจะเริ่มต้น ก็ควรต้องศึกษาให้เข้าใจหลักการและวิธีก่อน
เพราะความเสี่ยงก็มีอยู่ตรงที่ ถ้าจับหลักผิด หรือไปยึดถือศรัทธาในแนวทางที่ไม่ถูกตรง
เราก็มีสิทธิ์ดำเนินชีวิต หรือปฏิบัติไปด้วยความผิดเพี้ยน แล้วนับวันก็จะยิ่งออกอ่าว
ลากเราห่างไปจากเป้าหมาย จนสุดท้าย อาจต้องขาดทุนอีกยาวกว่าจะเจอทางที่แท้จริง

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคำสอนอันไหนเป็นทางตรง เป็นทางที่แท้จริง?
ขอให้เราศึกษาและยึดคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักให้แม่นไว้ดีที่สุดค่ะ
ธรรมะรุ่นหลัง ๆ นั้น มีการตีความ แปลความหมาย และแต่งตำรากันออกมามากมาย
ถ้าไม่แน่ใจ ขอให้เปิดพระไตรปิฏกเทียบเคียงดูว่า เป็นวจนะของพระพุทธเจ้าจริง
หรือดูเบื้องต้นว่า คำสอนนั้น เป็นไปเพื่อการลดละกิเลส เป็นไปเพื่อความเล็กลงของตัวตน
ให้การปฏิบัตินั้นอยู่ในขอบเขตของกายใจ เป็นไปเพื่อละวางความเห็นผิดว่าตัวตนนั้นเป็นเรา

กลยุทธ์การจัดพอร์ทการลงทุน สำหรับคนที่มีเป้าหมายเป็นอิสรภาพทางใจอย่างถาวรนั้น
ถ้าใครเริ่มสนใจเริ่มต้น ก็ขออนุญาตแนะนำให้จัดสรรการลงทุนเป็น ๓ ส่วนนะคะ : )
คือ การทำทาน การรักษาศีล และการภาวนา

โดยมีเงื่อนไขพิเศษคือ ลงทุนไปแล้ว ห้ามหวังผลตอบแทนนะคะ : )
เพราะผลที่รอให้เราเก็บเกี่ยวนั้น มันจะมาเองตามเหตุปัจจัยที่ได้ทำ
สั่งให้เกิด ก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้ แถมยิ่งโลภอยากได้มาก ผลตอบแทนยิ่งน้อยลง

หากรู้ตัวว่าเป็นคนไม่ค่อยทำทาน หรือยังไม่ได้ทำทานจนเป็นนิสัย
ก็ลองหมั่นหัดให้ออกมาจากใจ วันละเล็ก วันละน้อย โดยทำความเข้าใจไว้แต่ต้นก่อนว่า
การทำทาน เป็นการสละความตระหนี่ถี่เหนียวออกจากใจ
ไม่ใช่ทำเพื่อชื่อเสียงหน้าตา ไม่ใช่เพื่อล้างซวย หรือกระทั่งเพื่อโลภเอาบุญ
แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องรวยก่อนถึงจะให้ได้ และไม่จำเพาะว่าจะต้องเป็นเงินเท่านั้นนะคะ
แต่เล็งแล้วว่าสิ่งที่เราอยากให้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ไม่ว่าจะเป็นของเล็กของน้อย
การบริจาคโลหิต อวัยวะ แรงกาย แรงใจ ความรู้ ธรรมทาน หรือกระทั่ง การให้อภัย
ให้จนเหมือนจิตแผ่เมตตาออกไปก่อน อยากให้ก่อน เจอใครอยากได้อะไรค่อยว่ากันอีกที
อย่างนี้ ก็จะทำให้จิตอยู่ในสภาพที่สงบลงและเปิดกว้างเป็นธรรมชาติเบื้องต้น

ถัดมา รักษาศีล ให้ศีลเป็นเรื่องปกติของชีวิต ศีล ๕ นี่ล่ะค่ะ...
ศีลจะเป็นเสมือนกรอบล้อมรั้ว ไม่ให้เราล่วงเกินผู้อื่น ทั้งด้วยกาย และด้วยวาจา
แล้วเมื่อเราเป็นผู้ไม่ก่อเหตุแห่งเวรภัย ประตูสู่อบายก็ย่อมปิดแคบลง
เท่ากับศีลจะช่วยรักษาเราให้อยู่ในเส้นทางที่จะไม่ไหลลื่นลงต่ำได้ทางหนึ่ง
และศีลก็จะเป็นเครื่องหนุนให้จิตเรามีความสงบตั้งมั่น เอื้อต่อการภาวนาต่อไปค่ะ

แต่การ "ไม่ผิดศีล" กับการตั้งใจ "รักษาศีล" นั้นก็ต่างกันนะคะ
วันนี้ เราอาจโชคดีที่มีอันจะกิน เลยไม่มีช่องให้คิดจะลักทรัพย์ใคร ดูแล้วก็เหมือนมีศีล
แต่ถ้าวันหนึ่งเราเป็นเด็กข้างถนนหิวโซ เห็นเงินวางอยู่จะ ๆ ตรงหน้า เราจะหยิบหรือไม่?

หลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยเล่าให้ฟังถึงชาวนาคนหนึ่งนะคะ ในฤดูที่พืชผักไม่ออกผล
คนอื่นเขาพากันไปตกปลาหาเลี้ยงครอบครัว แต่ชายคนนี้ ไม่ยอมไปตกปลากับเขา
เลี้ยงลูกเลี้ยงตัวมาด้วยน้ำจนตายไป คือยอมตายไปเสียดีกว่าต้องฆ่าชีวิตอื่น
เรียกว่ารักษาศีลยิ่งชีพ การเป็นผู้รักษาศีลสัตย์ตลอดชีวิตนั้น นับว่าเป็นบารมีที่ให้ผลมาก
เพราะฉะนั้น มีสติและ "ตั้งใจ" เป็นผู้มีศีลกับตัวเองให้เป็นปกติกันไว้นะคะ


สุดท้าย แบ่งเวลาให้กับ การภาวนา ซึ่งไม่ได้แปลว่าการสวดมนต์อ้อนวอนนะคะ : )

แต่ "ภาวนา" แปลว่า การทำให้เจริญ คือการฝึกหรือพัฒนาให้เจริญขึ้น ซึ่งมีหลัก ๆ ๒ อย่าง

อย่างแรก ภาวนา แบบสมถะ อันนี้มุ่งเอาความสงบเป็นหลัก

เป็นการจับลิงที่ซุกซน อยู่ไม่สุข ไปโน่นมานี่ตลอดเวลา (คือใจของเราเอง) : ) ให้สงบนิ่ง

ด้วยการทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เช่น นั่งสมาธิดูลมหายใจไปก็ได้ พุทโธไปก็ได้

ที่ฟุ้งซ่านก็จะสงบ ที่เร่าร้อนก็จะสบาย ที่เป็นอกุศลก็จะเปลี่ยนเป็นกุศล

 

แต่ถ้าเจออะไรกระทบหน่อยเดียว เดี๋ยวก็วิ่งหนีไปหลบอยู่ในถ้ำของความสงบทุกที

แบบนี้ก็เห็นทีจะชนะกิเลสไม่ได้เสียทีหรอกค่ะ เราต้องออกไปเผชิญกับมันตัวต่อตัวด้วยค่ะ!

 

นั่นก็คือ การภาวนาอย่างที่สอง ที่สำคัญและควรเจริญให้มาก คือ แบบวิปัสสนา

ซึ่งการเป็นภาวนาที่มุ่งเจริญปัญญาเพื่อให้เห็น "ความจริง" ของกายและใจ

วิธีการก็คือ หมั่นเจริญสติ รู้สึกตัวให้บ่อย ๆ แต่คราวนี้ไม่ต้องไปบังคับลิงให้นิ่งแล้วนะคะ : )

เพราะเป้าหมายคือ เราต้องการเห็น ความจริงของกายของใจ อย่างที่มันเป็นจริง ๆ

 

เริ่มต้นก็คอยทำความรู้จักกับสภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในกาย ภายในใจ ของเรานี้
กายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ก็รู้... มีความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉย ๆ เกิดขึ้น ก็รู้...
มีราคะ โทสะ โมหะผุดขึ้น ก็รู้... มีสภาวธรรมใด ๆ เกิดขึ้น ก็รู้...

คือพอมันเกิดแล้วก็รู้ให้ทันไว ๆ อย่างเป็นกลาง อย่างเป็นคนวงนอกนั่งดูละครเรื่องกายใจ

อย่าโดดเข้าไปเล่นด้วย อย่าไปสั่งคัท อย่าไปสั่งแอ็คชั่น แต่ดูมันเปลี่ยนแปลงของมันเอง

ดูไปอย่างไม่คาดหวัง จนกระทั่งวันหนึ่งเราจะเห็นเองว่า กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา
มันเป็นเพียงของชั่วคราว เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเข้าใจความเป็นจริงของกายของใจว่าไม่ใช่ตัวเราแล้ว จะหมดความดิ้นรน

และจิตที่หมดความดิ้นรน หมดความปรุงแต่งนั้นเอง จะเป็นอิสระพ้นจากทุกข์ทั้งปวง


ดังนั้น ก็ควรฝึกควบคู่กันไปค่ะ ทำสมถะให้เหมือนพักผ่อน ทำวิปัสสนาให้เป็นงานของจริง

จะเอาแต่นอนแล้วไม่ทำงานก็ไม่ได้ ครั้นจะทำงานอย่างเดียวไม่พักเลยก็ไม่ไหว : )

 

ลองจัดพอร์ทของตัวเองให้สมดุล และเริ่มลงมือปฏิบัติกันดูนะคะ : )

การดำเนินตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ยากเกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะทำได้
แค่เริ่มศึกษาทำความเข้าใจ ทำตามทีละเล็กละน้อย วันต่อวัน เดือนต่อเดือน
เผลอไปแผล็บเดียว ย้อนกลับมาอีกทีอาจจะรู้สึกต่างไปเป็นคนละคนแล้วก็ได้

น่าเสียดายที่ธรรมะนั้น ไม่มีอะไรเหมือนกองทุนรวม
ที่เราแค่ไว้ใจให้ใครมาบริหารให้แทน แล้วเราก็แค่รอเก็บเกี่ยวผลตอบแทน
อยากได้ธรรมะของจริง ต้องลงมือศึกษาปฏิบัติ "ด้วยตนเอง" เท่านั้นนะคะ
แม้พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ยังบอกว่า ตถาคตเป็นเพียง "ผู้บอกทาง" เท่านั้น

หลวงพ่อปราโมทย์ท่านบอกว่า "ถ้าเราภาวนาเป็น เราจะรู้เลยว่า
ถ้าหากเราไม่มีโอกาสได้ภาวนา เราจะเสียโอกาสอย่างร้ายแรงที่สุดในชีวิต
แต่ถ้าเราภาวนาไม่เป็นทั้งชาติ เราจะไม่รู้สึกอย่างนี้หรอก...
เราก็จะรู้สึกว่าเราโอกาสดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น มันเป็นการลงทุนให้ชีวิตตัวเองนะ
ค่อย ๆ เรียนธรรมะไป ถ้าเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อบอก จิตใจเกิดสติขึ้นมา
เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา อีกหน่อยจะรู้เลยว่า ศาสนาพุทธนั้น มีประโยชน์มหาศาล"

ถ้าอยากร่ำรวยเงินทอง ก็ศึกษาเส้นทางของ "พ่อรวย" หรือ Rich Dad ตามอัธยาศัย
แต่ถ้าอยากร่ำรวยทางใจ ก็ขอให้น้อมรับพระพุทธเจ้าเป็นบรมครูเอก
ฟังสิ่งที่ท่านสอน ทำตามในสิ่งที่ท่านชี้แนะ มีวินัยในสิ่งที่ท่านชี้ให้ดำเนิน
แล้วเราจะมีแต่อริยทรัพย์มหาศาล ที่หาไม่ได้อีกจากที่ใด ๆ ในโลกอย่างแท้จริงค่ะ...

.............................................................................................


ถ้าตัวอักษรเล็กไปอ่านไม่ถนัดก็บอกนะคะจะขยายให้....
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #34 เมื่อ: 03 ธันวาคม 2550, 11:32:49 »

มีข่าวที่อยากจะชักชวนเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ให้พาลูกหลานไปดูหนังดีโดยฝีมือคนไทย....ได้ลากเว็บที่เกี่ยวข้องมาให้อ่านกันเล่นนะจ๊ะ.....


ข่าวที่อยากชักชวนกันไว้ล่วงหน้า
วันที่ ๕ ธันวาคมนี้ ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นคุณภาพที่ผลิตโดยคนไทย
เรื่อง พระพุทธเจ้า (The Life of Buddha)
จะเปิดฉายในโรงภาพยนตร์พร้อมกันทั่วประเทศแล้วนะคะ


ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ได้จัดทำขึ้นโดย บริษัท มีเดียสแตนดาร์ด จำกัด
เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจัดทำขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา เผยแผ่พุทธประวัติ
ในรูปแบบการ์ตูนที่เป็นฝีมือคนไทยล้วน ๆ โดยใช้เวลาเตรียมงานถึง ๔ ปี

ทีมงานผู้วาดภาพยนตร์เรื่องนี้ มีหลายท่านที่มีประสบการณ์การทำงานในวงการแอนิเมชั่น
ระดับโลกมาแล้วด้วยนะคะ อย่างเช่น วอลท์ ดิสนีย์ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส และ เอ็มจีเอ็ม
กับเรื่องที่เรารู้จักกัน เช่น มู่หลาน ทาร์ซาน ไลอ้อนคิงส์ การ์ฟิลด์ และอื่น ๆ อีกกว่า ๓๐ เรื่อง
ซึ่งแม้จะใส่จินตนาการที่เกิดจากการตีความตัวหนังสือในพระไตรปิฎกให้เป็นภาพ
แต่ทีมงานก็ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการถ่ายทอดเรื่องราวในรายละเอียด
ให้สอดคล้องและตรงตามพระไตรปิฎกที่สุด โดยมีคณะกรรมการร่วมกันพิจารณาด้วยค่ะ

ส่วนทีมพากย์ ก็มีทั้งดารา พิธีกร ดีเจ นักร้อง และทีมพากย์มืออาชีพ มาร่วมให้เสียง
ซึ่งได้ยินมาว่า เป็นภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นที่ได้รับเกียรติจากบุคคลที่มีชื่อเสียง
มาร่วมพากย์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยนะคะ เช่น คุณพิสมัย วิไลศักดิ์, คุณป้าจุ๊ จุรี โอศิริ,
คุณศรุต วิจิตรานนท์, คุณแทนคุณ จิตต์อิสระ, คุณชไมพร จตุรภุช และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้ คุณพงศ์เพชร อมรสิทธิ์ หรือ คุณยอด
ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานนิตยสารธรรมะใกล้ตัวของเรา ก็ยังได้มีส่วนร่วม
โดยได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้พากย์เสียง พระอัสสชิเถระ ในเรื่องด้วยนะคะ : )
(คุณยอดเป็นผู้ให้สุ้มเสียงคอลัมน์เรื่องสั้นในนิตยสารฉบับเสียงของเรานี่เองค่ะ
ใครอยากฟัง ลองเปิดฟังเรื่องสั้นตั้งแต่ฉบับที่ ๒๙ กันดูนะคะ)

ใครอยากชมหนังตัวอย่าง ก็เปิดคลิกไปชมกันก่อนได้เลยค่ะ มีให้ชม ๒ คลิปที่
http://video.mthai.com/player.php?id=23M1195923850M0
และ http://www.thelifeofbuddha.net ค่ะ



ช่วยกันสนับสนุนภาพยนต์ดี ๆ ฝีมือคนไทยกันหน่อยนะค้า
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #35 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2550, 17:21:54 »

วันนี้ขออนุญาตเอาของเก่าแต่มีคุณค่ามาย้ำเตือนกันลืมเฉย ๆ หลายคนคงเคยอ่านแล้วและหลายคนคงได้ CD เสียงอ่านหนังสือเล่มนี้ที่เราได้มีไว้แจกใครอยากได้ขอมาอีกก็ได้นะจ๊ะคือ เรื่อง ชีวิตนี้น้อยนัก ของสมเด็จพระสังฆราช ค่ะ

“ชีวิตนี้น้อยนัก  แต่ชีวิตนี้สำคัญนัก
เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ
เป็นทางแยก
จะไปสูงไปต่ำ  จะไปดีไปร้าย
เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น
พึงสำนึกข้อนี้ให้จงดีแล้วจงเลือกเถิด
เลือกให้ดีเถิด”
*********************************
 ทุกชีวิต  ไม่ว่าคนไม่ว่าสัตว์มิได้มีเพียงเฉพาะชีวิตนี้  คือ  มิได้มี
เพียงชีวิตในชาตินี้ชาติเดียว   แต่ทุกชีวิตมีทั้งชีวิตในชาติอดีต
ชีวิตในชาติปัจจุบัน  และชีวิตในชาติอนาคต   ชีวิตนี้น้อยนัก
นั้นหมายถึง  ชีวิตในชาติปัจจุบันน้อยนัก...สั้นนัก
  
   ชีวิต คือ อายุ  ชีวิตในปัจจุบันชาติของแต่ละคน
อย่างยืนนานที่สุดก็เกินร้อยปีได้ไม่เท่าไร   ซึ่งก็ดูราวเป็น
อายุที่ไม่ยืนมากนัก  แม้ไม่นำไปเปรียบเทียบกับชีวิตที่ต้องผ่านมา
แล้วในอดีตที่นับชาติไม่ถ้วนนับปีไม่ได้  และชีวิตที่จะต้องเวียนวน
เกิดตายต่อไปอีกในอนาคตที่จะนับภพชาติไม่ถ้วน  นับปีไม่ได้อีกเช่นกัน
  
   ที่ปราชญ์ท่านว่า  'ชีวิตนี้น้อยนัก' นั้น  ท่านมุ่งให้เปรียบชีวิตนี้กับ
ชีวิตในอดีตที่นับชาติไม่ถ้วน  และชีวิตในอนาคตที่จะนับชาติไม่ถ้วน
อีกเช่นกัน  สำหรับผู้ไม่ยิ่งด้วยปัญญา  ไม่สามารถพาตนให้พ้นทุกข์
สิ้นเชิงได้
    
   ทุกชีวิต...ก่อนแต่จะได้มาเป็นคน  เป็นสัตว์  อยู่ในปัจจุบันชาติ
ต่างเป็นอะไรต่อมิอะไรมาแล้วมากมาย   แยกออกไม่ได้ว่า...มีกรรมดี
กรรมชั่วอะไรบ้าง  ทำกรรมใดก่อน  ทำกรรมใดหลัง  และทั้งกรรมดี
กรรมชั่วที่ทำไว้ในชาติอดีตทั้งหลาย  ย่อมมากมายเกินกว่าที่ได้มา
กระทำในชาตินี้  ในชีวิตนี้อย่างประมาณมิได้

   กรรมดีกรรมชั่วทั้งหลายเหล่านั้น  ย่อมให้ผลตรงตามเหตุทุกประการ
แม้ว่าผลจะไม่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันทุกสิ่งทุกอย่าง  และไม่อาจเรียงลำดับ
ตามเหตุที่ได้กระทำแล้วก็ตาม  แต่ผลทั้งหลายย่อมเกิดแน่  แม้เหตุได้กระทำแล้ว

   เมื่อมีเหตุย่อมมีผล  เมื่อทำเหตุย่อมได้รับผลและผลย่อมตรงตามเหตุเสมอ
ผู้ใดทำผู้นั้นจักเป็นผู้ได้รับผลเที่ยงแท้แน่นอน  เมื่อใดกำลังมีความสุข
ไม่ว่าผู้กำลังมีความสุขนั้นจะเป็นเราหรือเขา  เมื่อนั้นพึงรู้ความจริงว่าเหตุดี
ที่ได้ทำไว้แน่กำลังให้ผล  ผู้ทำเหตุดีนั้นกำลังเสวยผลแห่งเหตุนั้นอยู่

   แม้ปุถุชนจะไม่สามารถหยั่งรู้ให้เห็นแจ้งได้  ว่าทำเหตุดีหรือกรรมดีใดไว้
แต่ก็พึงรู้  พึงมั่นใจว่า  เหตุแห่งความสุขที่กำลังได้เสวยผลอยู่เป็นเหตุดีแน่
เป็นกรรมดีแน่  ผลดีเกิดแต่เหตุดีเท่านั้น  ผลดี...ไม่มีเกิดแต่เหตุไม่ดีได้เลย

   เมื่อใดกำลังมีความทุกข์ความเดือนร้อน  ไม่ว่าผู้กำลังมีความทุกข์ความเดือด
ร้อนนั้น  จะเป็นเราหรือเป็นเขา  เมื่อนั้นพึงรู้ความจริง  ว่าเหตุไม่ดีที่ได้ทำไว้แน่
กำลังให้ผล  ผู้ทำเหตุไม่ดีกำลังเสวยผลแห่งเหตุนั้นอยู่  

   แม้ปุถุชนจะไม่สามารถหยั่งรู้ให้เห็นแจ้งได้  ว่าทำเหตุไม่ดีหรือกรรมไม่ดีใดไว้
แต่ก็พึงรู้พึงมั่นใจว่าเหตุแห่งความทุกข์ความเดือนร้อนที่กำลังได้เสวยอยู่
เป็นเหตุไม่ดีแน่  เป็นกรรมไม่ดีแน่  ผลไม่ดีเกิดแต่เหตุไม่ดีเท่านั้น   ผลไม่ดี
ไม่มีเกิดแต่เหตุดีได้เลย

   เมื่อใดมีความคิดว่าเราไม่ดีไม่ได้ดี  หรือเขาทำดีไม่ได้ดี  ก็พึงรู้ว่าเมื่อนั้นกำลัง
หลงคิดผิดจากความจริง  กำลังเข้าใจผิดจากความจริง...ทำดีต้องได้ดีเสมอ
ไม่มียกเว้นด้วยเหตุผลใดทั้งสิ้น

   เมื่อใดมีความคิดว่าเราทำไม่ดีแต่กลับได้ดี  หรือเขาทำไม่ดีแต่กลับได้ดี  ก็พึงรู้
ว่าเมื่อนั้นกำลังหลงคิดผิดจากความจริง  กำลังเข้าใจผิดจากความจริง...ทำไม่ดี
ต้องได้ไม่ดีเสมอ  ไม่มียกเว้นด้วยเหตุผลใดทั้งสิ้น

   ชีวิตในชาตินี้ชาติเดียวย่อมน้อยนัก  เมื่อเปรียบกับชีวิตในอดีตชาติ  ซึ่งนับจำนวน
ชาติหาถ้วนไม่  ดังนั้นกรรม...คือ  การกระทำที่ทำในชีวิตนี้ในชาตินี้ชาติเดียวจึงน้อย
นัก  เมื่อเปรียบกับกรรมหรือการกระทำที่ทำไว้แล้วในอดีตชาติ  อันนับจำนวนชาติไม่ถ้วน

   การเขียนหนังสือด้วยปากกาหรือดินสอ  ลงบนกระดาษแผ่นเดียวนั้น  เขียนลงครั้ง
แรกก็ย่อมอ่านออกง่าย  อ่านเข้าใจง่าย  แต่ยิ่งเขียนทับเขียนซ้ำลงไปบนกระดาษแผ่น
เดียวกันนั้น  ตัวหนังสือย่อมจะทับกันยิ่งขึ้นทุกที  การอ่านก็จะยิ่งอ่านยากขึ้นทุกที
จนถึงอ่านไม่ออกเลย  ไม่เห็นเลยว่าเป็นตัวหนังสือ  จะเห็นแต่รอยหมึกหรือรอยดินสอ
ทับกันไปมาเป็นสีสันเท่านั้น  ให้เพียงรู้เท่านั้นว่าได้มีการเขียนลงบนกระดาษแผ่นนั้น
หาอ่านรู้เรื่องไม่  และหาอาจรู้ได้ว่าเขียนอะไรก่อนเขียนอะไรหลัง  นี้ฉันใด  การทำกรรม
หรือการทำดีทำชั่วก็ฉันนั้น  ต่างได้ทำกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน  ทับถมกันมายิ่งกว่า
ตัวหนังสือที่อ่านไม่ออก   หารู้ไม่ว่าได้เขียนอะไรก่อน  อะไรหลัง  ทำกรรมใดไว้ก็
ไม่รู้ไม่เห็นแยกไม่ออกว่าทำกรรมใดก่อน  ทำกรรมใดหลัง  ทำดีอะไรไว้บ้าง  
ทำไม่ดีอะไรไว้บ้าง  มากน้อยหนักเบากว่ากันอย่างไร  มาถึงชาตินี้ไม่รู้ด้วยกันทั้งสิ้น
เป็นความซับซ้อนของกรรมที่แยกไม่ออก  เช่นเดียวกับความซับซ้อนของตัวหนังสือ
ที่เขียนทับกันไปทับกันมา

#####################################################

   นี่เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ ' ชีวิตนี้สำคัญนัก '  เทศนาโดยสมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก


และตอนนี้ได้มี CD แผ่นที่ 19 ของหลวงพ่อปราโมทย์(พระอริยสงฆ์)ล่าสุดและมี CD ประวัติและแนวทางปฏิบัติธรรม ของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต วัดเทพสิรินทราวาส
ซึ่งแขก ได้ให้ต้นฉบับมา เราได้นำมาไรท์ไว้พร้อมแจก...สำหรับพี่น้องเพื่อนฝูงที่สนใจนะคะ
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #36 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2550, 23:32:11 »

P.Jimsy ka,
I am sure that those text must be adventage for me more or less...but it is too long....I need an hour to read it...let me read a little bit a day,can I??
nn.
บันทึกการเข้า


jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #37 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2550, 11:42:56 »

หนุงหนิงขา... Cheesy

   หนูมีเวลาว่างตั้งเยอะและเคยคิดไหมว่าเหตุผลที่หนุงหนิงมีเวลาว่าง ๆ มีเวลาว่าง ๆ เอาไว้ทำไม.....ไว้ให้....ทำใจว่าง ๆ .....

ค่อย ๆ ตั้งใจอ่าน...เวลาอ่านให้ทำใจให้สบาย   ค่อย ๆ ผ่อนลมหายเบา ๆ อ่านไปใจสงบ  มีสติ..


ขอมุมนี้ของพี่เป็นที่ตั้งของสติ...อย่าหลุดใจไปอยู่กับคอมฯมากนัก...อย่าทิ้งลมหายใจขณะอ่าน...


สิ่งที่พี่ให้ถ้าคิดแบบโลก ๆ คือยาขม...คนมักคิดว่าเรายังไม่ป่วยจะกินยาทำไม....แต่สิ่งเหล่านี้เป็นวัคซีนป้องกันอาการของโรคทุกข์ที่จะต้องประสพ...อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทุกคน....



การเกิดเป็นคนนั้นยากนัก...เกิดแล้วจะต้องรู้เป้าหมายแห่งการเกิดให้ถ่องแท้...ว่าเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่....


พยายามเอาสาระประโยชน์จากสิ่งที่พี่เอามาฝากให้มากที่สุด...เพราะเป็นสาระสำคัญในการเกิดของทุกคนนะจ๊ะ  Cheesy  Cheesy
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #38 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2550, 20:17:13 »

Hohh,p.Jimsy ka,
breathing I have to do it every moment...but free time is a luxurious resouce naka...not everybody could have this privilege...
nn.
บันทึกการเข้า


jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #39 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2550, 16:29:04 »

ใครอยากร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก ก็ลองอ่านดูนะถ้าอยากรวยอย่างมีเหตุผลของกรรมดี ๆ ที่ดันชีวิตเราขึ้นมาได้...พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า...เหตุบังเอิญไม่มีในโลก....เหตุดี...ผลย่อมดี.... Cheesy  Cheesy


ถาม – เศรษฐีระดับโลกหลายคนเคยยากจนมาก่อน และไม่ใช่ยากจนธรรมดา บางคนเช่นวอร์เรน บัฟเฟต์ถูกบีบให้ออกมาทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัวตั้งแต่สิบขวบ แล้วจึงใช้ความสามารถเฉพาะตัวสร้างความร่ำรวยให้ตนเองในภายหลัง อย่างนี้พวกเขามีกรรมแต่หนหลังแบบไหนที่ทำให้ต้องยากจนข้นแค้นในวัยเด็ก แล้วกลับร่ำรวยเมื่อเติบโตขึ้นมาได้? หากความเชื่อแบบพุทธที่ว่าการให้ทานมีผลเป็นความร่ำรวย เหล่ามหาเศรษฐีก็น่าจะเคยให้ทานมามากมิใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็สมควรมั่งคั่งมาตั้งแต่เด็กจึงจะถูกสิ

ความหมายแบบเผินๆของคำว่า ‘รวย’ คือได้มาก หรือมีมาก ส่วนความหมายเผินๆของคำว่า ‘จน’ คืออัตคัด ขาดแคลน ฝืดเคือง มีไม่พอกินพอใช้ สำหรับคำตอบต่อไปนี้ ผมจะเล็งเฉพาะสุดโต่งสองขั้ว คือกรรมที่ทำให้จนมากกับรวยมาก เพื่อจะได้ตอบอย่างตรงประเด็นว่าทำไมบางคนจึง ‘สุดอัตคัดขัดสน’ แล้วแปรเป็น ‘มั่งคั่งอย่างยั่งยืน’ ได้ภายในชาติเดียว



กรรมที่ให้ผลเกี่ยวกับความยากดีมีจนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด ไม่ใช่ให้นิดให้หน่อยแล้วรวยแน่ และสำคัญคือไม่ใช่แค่กรรมเก่าที่มีส่วนกำหนด วิธีใช้ชีวิตทั้งหมดมีส่วนให้ผลกับฐานะได้ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม เวลาพูดถึงกรรมหลักที่เคยทำไว้ในอดีต ก็อาจต้องแยกแยะกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ว่าทำอะไรมากๆแล้วจึงให้ผลเป็นการไปเกิดในภพแห่งความอัตคัด หรือภพแห่งความมั่งคั่ง เมื่อแจกแจงอดีตกรรมแล้ว ก็จะค่อยลงรายละเอียดปัจจุบันกรรมเป็นลำดับต่อไป
กรรมหลักๆที่ทำให้ ‘ยากจนมาก’ ได้แก่



๑) ความตระหนี่ถี่เหนียว คือให้ได้ก็ไม่ให้ หรือแม้สมควรให้ก็หวงไว้ ยื้อไว้ เช่นหนี้ของตัวเองแท้ๆ สมควรต้องใช้แต่ก็เสียดาย อยากดองไว้เป็นของตนเอง อย่าว่าแต่จะคิดถึงเรื่องแบ่งปันหรือเจือจาน ทั้งชีวิตกลัวแต่ว่าใครจะมาเอาเปรียบตน หรือกลัวแต่ว่าตนจะไม่ได้เปรียบใคร ผลแห่งการตระหนี่เกินเหตุ คือการเป็นผู้อัตคัดเกินเหตุเช่นกัน แล้งน้ำใจในกาลนี้ จะให้ผลเป็นความแล้งทรัพย์ในชาติถัดไป


๒) ละโมบโลภมากขั้นรุนแรง คือโลภจัดขนาดผิดศีลข้อที่ว่าด้วยการลักทรัพย์ได้ หรือฉ้อโกงทรัพย์ได้โดยปราศจากความละอาย ผู้ทำความวิบัติฉิบหายให้แก่ทรัพย์ของคนอื่น ย่อมรับผลเป็นความพินาศแห่งทรัพย์ของตนเช่นกัน แม้การให้ทานในอดีตจะได้บันดาลทรัพย์ไว้มาก ทรัพย์นั้นย่อมถึงความวิบัติ อาจจะในระดับให้เกิดความเจ็บใจรุนแรง หรืออาจจะในระดับให้ตกยากแบบฉับพลันทันที ขึ้นอยู่กับความหนักเบาแห่งกรรมของอทินนาทานอันเป็นตัวต้นเหตุ



นอกจากนี้ ยังมีกรรมปลีกย่อยที่ทำให้ยากจนได้อีกมากมายนับไม่ถ้วน ยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพชัดๆ เช่น ในภาวะสงครามที่ต้องคิดทำลายล้างศัตรู บางทีใช้วิธีล้อมเมือง ตัดข้าวตัดน้ำคนทั้งเมือง เพื่อบีบให้เจ้าเมืองยอมจำนน หากทำอย่างนี้สักสองสามหนโดยไม่เห็นใจลูกเด็กเล็กแดงเลย ก็มีสิทธิ์ไปเกิดในถิ่นฐานกันดาร หรือทรมานกว่านั้นคือเกิดในถิ่นฐานอุดมสมบูรณ์ ทว่าไม่มีสิทธิ์กิน ไม่มีสิทธิ์ใช้ อัตคัดเหลือจะทานทน


ส่วนกรรมหลักๆที่ทำให้ ‘ร่ำรวยมาก’ ได้แก่
๑) ความมีนิสัยใจคอเผื่อแผ่ คือเอาแต่คิดให้ ผูกใจอยู่กับการให้ เคยชินกับการเป็นผู้ให้ ขนาดไม่มีให้ก็ขวนขวายกระวนกระวายอยากหามาช่วยเหลือคนกำลังตกทุกข์ได้ยาก ตลอดชีวิตมีแต่ใจอยากเจือจาน กลัวแต่ว่าคนอื่นจะมีไม่พอ กระทั่งลืมๆว่าตัวเองจะมีพอไหม ผลแห่งการใจดีเกินธรรมดา คือการเป็นผู้มีทรัพย์มากเกินกว่าชาวโลกทั่วไปเขา
๒) การละอายต่อบาปอย่างยิ่งยวด คือขนาดยอมอดตายดีกว่าคิดคดโกง ผู้ไม่คิดเพ่งเล็งเอาทรัพย์ผู้อื่นโดยมิชอบ ย่อมรับผลเป็นความสวัสดีแห่งทรัพย์ แม้ความตระหนี่ในอดีตอาจก่อให้เกิดทรัพย์เพียงน้อย ทว่าทรัพย์นั้นก็จะอยู่ทน ไม่วิบัติไปด้วยภัยธรรมชาติหรือภัยจากมือโจร



นอกจากนี้ ยังมีกรรมปลีกย่อยที่ทำให้ร่ำรวยได้อีกมากมายนับไม่ถ้วน ยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพชัดๆ เช่น ชี้ช่องคนอื่นรู้จักทำมาหากิน ช่วยให้เขาเป็นผู้ฉลาดในธุรกิจ กับทั้งมีใจใหญ่คิดเผื่อแผ่กลยุทธ์ให้กับคนทั้งประเทศ หรือทั้งโลก หากการเผื่อแผ่ของเขาเป็นไปโดยบริสุทธิ์และปรารถนาให้คนทั้งแผ่นดินอยู่ดีกินดี มีชีวิตที่เป็นสุขขึ้น บุญที่ทำนี้ก็มีสิทธิ์นำให้ไปเกิดในถิ่นฐานอุดมสมบูรณ์ หรืออย่างน้อยแม้เกิดในถิ่นฐานแห้งแล้งด้วยบาปบางประการ เขาก็จะมีกินมีใช้เหนือกว่าคนที่อยู่แวดล้อมทั้งหมดตั้งแต่เกิด กับทั้งฉลาดในการหา ฉลาดในการเก็บ และฉลาดในการใช้เป็นอย่างยิ่ง


เมื่อแยกให้เห็นเป็นเรื่องๆเช่นนี้ คุณคงพอมองออกว่าในชีวิตเดียว คนเราอาจสร้างทั้งเหตุที่ทำให้ยากจน และเหตุที่ทำให้ร่ำรวยได้ ไม่ใช่ว่าทำทานมากแล้วเป็นประกันว่าเกิดใหม่จะได้สบายตั้งแต่ต้น ต้องดูด้วยว่าทุ่มเททำแค่ไหน ตลอดไปหรือเปล่า และเคยก่อบาปไว้ถ่วงความเจริญเพียงใดด้วย


เพื่อให้เห็นชัดเจน ขอแยกแยะ ‘บุญที่ทำให้รวย’ เป็นข้อๆดังนี้
บุญเก่าที่ส่งไปเข้าท้องคนรวย
๑) เคยงดเว้นบาปชนิดที่ให้ผลเป็นความอัตคัดขณะเกิด เช่นชาติใกล้ไม่เผาบ้านไล่ที่ใคร ทั้งที่มีสิทธิ์ทำด้วยอำนาจบาตรใหญ่
๒) เคยผูกพันกับพ่อแม่ที่กำลังอยู่ในฐานะร่ำรวย เช่นชาติใกล้ให้การอุปถัมภ์และมีความเอ็นดูกันมา แต่ก็อาจเคยเป็นศัตรูกันมาก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเคยสาปแช่งอาฆาตว่าจะจองเวรกันอย่างเหนียวแน่น พอมาเกิดเป็นลูก ก็เป็นลูกทรพี เหี้ยมเกรียมขนาดจ้างฆ่าพ่อแม่เพื่อแย่งสมบัติได้
๓) มีบุญพอจะเสวยสุขล้นหลามตั้งแต่แรกเกิด เช่นเป็นผู้ให้ก่อนโดยผู้รับไม่จำเป็นต้องเคยมีบุญคุณกับตน เป็นผู้คิดอุปถัมภ์สมณะซึ่งไม่อยู่ในฐานะเลี้ยงดูตนเองได้ ผลที่ได้ตอบแทนจากธรรมชาติ จึงเป็นการมีผู้เลี้ยงดูอย่างดี เมื่ออยู่ในฐานะที่ไม่อาจเลี้ยงดูตนเองได้เช่นกัน
บุญเก่าที่ทำให้ได้รับมรดกมาก
๑) เคยเป็นผู้ยกผลประโยชน์ใหญ่ของตนให้คนอื่นด้วยน้ำใจการุณย์ ไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ
๒) เคยเป็นผู้เคยมอบสมบัติให้แก่ผู้สมควรได้รับ หรือมอบวัตถุอย่างใหญ่ มอบที่ดินให้เป็นประโยชน์แด่สงฆ์ ขอให้คำนึงว่าสงฆ์เป็นนาบุญอันยิ่ง เมื่อมอบให้สงฆ์จึงสมควรแก่การรับมรดกใหญ่ในอนาคตเช่นกัน



บุญเก่าที่ทำให้ได้ลาภก้อนใหญ่
๑) เคยเป็นผู้ให้ลาภลอยแก่คนอื่น โดยที่เขาไม่คาดฝัน หรือโดยที่ตนเองก็ไม่ได้คาดหมายไว้ก่อน เมื่อพบเห็นใครน่าช่วยเหลือก็ช่วยเลยทันที เมื่อทำให้คนอื่นได้รับลาภ ก็ย่อมสมควรแก่การเป็นผู้รับลาภในอนาคต ลาภที่ให้ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องมากมาย แต่อย่างน้อยต้องทำให้เขายินดีปรีดา หรือทำให้เขารอดจากภาวะยากลำบากแบบฉับพลันทันที (ลาภที่ได้รับอาจมาจากหลายทางโดยไม่คาดฝัน อย่าแค่ไปคิดถึงการถูกล็อตเตอรี่อย่างเดียวนะครับ ประเภทอยู่ดีๆมีเงินโอนเข้าบัญชีหลายแสนแบบสืบหาต้นตอไม่ได้ แจ้งธนาคารตรวจสอบแล้วก็ไม่รู้ความเป็นมา อันนี้เคยเกิดกรณีพิลึกพรรค์นี้มาแล้วจริงๆ)
๒) เคยเป็นผู้ตั้งใจให้คนอื่นดีใจกับการได้รับของขวัญ ของกำนัลโดยไม่คาดฝัน มีมากครับพวกชอบเซอร์ไพรส์ชาวบ้านโดยไม่เปิดโอกาสให้รู้เนื้อรู้ตัว หวังจะเห็นเขาตื่นเต้นยินดีสุดขีด ความหวังชนิดนั้น ถ้าทำสำเร็จก็ให้ผลเป็นลาภลอยก้อนใหญ่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้ว่าใครอยากได้อะไรมานาน รู้ว่าชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปในทางดีขึ้นหากได้สิ่งนั้น นั่นแหละตรงเป้าอย่างจังทีเดียว



บุญเก่าที่ทำให้ค้าขายได้กำไรเสมอ
๑) เคยให้ความหวังแก่สมณะว่าจะถวายสิ่งโน้นสิ่งนี้ ตกปากรับคำแล้วภายหลังนำมาถวายตามสัญญาเสมอ แต่ให้ยิ่งขึ้นกว่านั้นคือท่านต้องการเพียงหนึ่ง แต่นำของที่ท่านประสงค์มาถวายเป็นสิบ อย่างนี้ถ้าเก็งไว้ว่าจะทำยอดให้ถึงเป้าสักล้าน ก็อาจพุ่งพรวดทะลุเป้าไปเป็นหลายสิบล้าน เป็นต้น พูดง่ายๆคือโชคช่วยตลอด แม้ฝีมือไม่ได้ดี เล่ห์เหลี่ยมธุรกิจไม่ได้มากกว่าพ่อค้าใกล้ละแวกก็ตาม ข้อนี้พระพุทธเจ้าเคยตรัสแนะนำไว้เป็นกรณีพิเศษ จะทดลองก็ไม่เสียหาย สำหรับหลายคนที่ไม่มีบาปเก่ามาเป็นอุปสรรค ก็น่าจะได้เห็นผลทันตาในชาตินี้ได้
๒) เคยเป็นผู้คืนกำไรให้กับสังคม คือเมื่อสังคมช่วยให้ตนรวยแล้ว ก็แบ่งความรวยนั้นให้สังคมได้ประโยชน์สุขบ้าง พวกบริษัทใหญ่ๆที่คิดโครงการเพื่อสาธารณประโยชน์นั้นมาถูกทางแล้ว หากใจไม่เล็งอยู่แต่ว่าจะได้มีส่วนลดหย่อนภาษี ก็จะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เห็นผลอย่างรวดเร็วแทบไม่ต้องรอเกิดชาติหน้า เพราะการทำคุณกับมหาชน จะให้ผลขยายใหญ่ เห็นง่าย เห็นเร็วกว่าการทำคุณแบบเจาะจงกับกลุ่มคนเล็กๆ



บุญเก่าที่ทำให้ได้ผลตอบแทนคุ้มกับความรู้ความสามารถหรือฝีไม้ลายมือ
๑) เคยให้ผลประโยชน์กับคนอื่นอย่างตรงไปตรงมา สมน้ำสมเนื้อแล้วกับความรู้ความสามารถของพวกเขา อันนี้ต้องขอแสดงความเสียใจกับชาวไทยจำนวนหนึ่ง ที่นิยมซื้อซอฟต์แวร์เถื่อนเป็นประจำ ไม่เห็นแก่ค่าสมอง ค่าแรงงานของคนทำบ้างเลย กรรมนี้ต่อไปก็ยากจะเป็นผู้ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า แต่ถ้ามีเงินซื้อของจริงแล้วยอมจ่าย โดยคิดว่าเงินจะได้ไปเข้ากระเป๋าคนผลิตตัวจริง ถ้าทำเป็นประจำก็ส่งผลให้อนาคตเป็นผู้รับค่าตอบแทนคุ้มกับงาน ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือถูกกดค่าผลงาน
๒) เคยเป็นผู้ทำงานโดยเล็งประโยชน์สุขแก่คนอื่น คือตั้งต้นไม่ได้คิดเรื่องกำไรหรือรายได้เป็นหลัก เช่นอยากทำยาสีฟัน ก็เฝ้าครุ่นคิด หรือให้ทุนนักวิจัยว่าทำอย่างไรจะได้ยาสีฟันดีๆ มีคุณภาพสูง รักษาเหงือกและฟันได้จริง กับทั้งมีราคาไม่แพงเกินกำลังผู้บริโภคส่วนใหญ่ เรียกว่ามอบสินค้าที่เกินคุ้มให้กับสังคม ประโยชน์สุขของผู้บริโภคจะย้อนกลับมาเป็นกำลังหนุนให้ได้รับผลตอบแทนเกินกว่าที่คาดฝันเช่นกัน




มีอนาคตเรืองรองจากที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด แม้ยังไม่ตอบคำถามของคุณตรงๆ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เริ่มเห็นได้ว่าการเป็นคนรวยล้นฟ้านั้น แน่นอนว่าจะต้องมีทานในอดีตเป็นบุญเก่าหนุนส่งอยู่ แต่ยังต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายต่อหลายข้อประกอบร่วมเข้าไปด้วย
คราวนี้วกเข้าเรื่อง ทำไมเคยอัตคัดขัดสนขนาดถูกบีบให้ออกจากโรงเรียนมาทำงาน แล้วภายหลังจึงกลายเป็นเศรษฐีระดับซื้อโลกสักครึ่งใบได้?


มามองในมุมใหม่ดีไหม มันอาจจะเป็นเหตุเป็นผลกันก็ได้นะครับ การที่เขาถูกบีบให้ต้องทำงานตั้งแต่เด็กนั่นแหละ คือเงื่อนไขสำคัญในการสร้างเศรษฐีระดับโลกขึ้นมาคนหนึ่ง!
คนจะเป็นอภิมหาคนรวยได้ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง? เอาแบบเห็นชัดๆที่สุดเลยก็แล้วกัน คืออย่างน้อยที่สุด คนๆนั้นจะต้องมีความเป็นเจ้านาย ไม่ใช่ลูกจ้าง
เจ้านายสร้างขึ้นมาจากอะไร? แน่นอนว่าไม่ใช่เด็กอัจฉริยะที่เกิดมาพร้อมกับความสามารถชี้นิ้วสั่งงาน แม้ไมเคิล เคียร์นีย์ (Michael Kearney) ที่เข้ามหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่ ๖ ขวบก็คงไม่อาจชี้นิ้วสั่งงานหรือออกปากสั่งคนให้ทำตามที่ตนต้องการได้ ความเป็นเจ้านายต้องสร้างขึ้นด้วยบารมี
บารมีเจ้านายมาจากไหน เอาสั้นๆแค่ ๓ ข้อ แบบที่ดิ้นไปเป็นอื่นไม่ได้



๑) เคยเป็นลูกจ้างที่ ‘เต็มใจ’ ทำงานหนักกว่าลูกจ้างอื่น
๒) เคยเป็นลูกจ้างที่ ‘มีหัวคิด’ ก้าวหน้ามากกว่าลูกจ้างอื่น
๓) เคยเป็นลูกจ้างที่ ‘ไม่อยาก’ เป็นลูกจ้างตลอดไปเหมือนลูกจ้างอื่น
กล่าวโดยย่นย่อที่สุด เจ้านายสร้างขึ้นมาจากลูกจ้างที่ยินดีดิ้นรนปรับฐานะตัวเองให้เป็นนาย!
ถ้าคุณเป็นลูกจ้างตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ แปลว่าคุณมีเวลาสร้างศักยภาพแห่งความเป็นนายมากกว่าคนอื่นราวๆสิบปี… ถูกไหม?


คนยากจนมีแรงบีบคั้นให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาเหมือนๆกัน แต่คนยากจนที่สุดขีดนั้น เขามีบุญเก่าหนุนใจให้ไม่ยอมแพ้กับวาสนาในช่วงต้นชีวิต ตรงข้ามจะยินดีอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการหาช่องทางสร้างความก้าวหน้าให้ตนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพบ เขาทำให้มันเป็นวัตถุดิบสร้างวันใหม่ได้ทั้งสิ้น และวิบากด้านดีแต่หนหลังของเขา ก็จะอำนวยโอกาสให้ไต่เต้าขึ้นมาได้ภายในเวลาไม่นานเกินอายุขัยของเขา


มีนักพูดระดับโลกคนหนึ่งชื่อ จิม รอห์น (Jim Rohn) ให้วาทะเด็ดไว้ว่า ‘กำไรดีกว่าค่าจ้าง เพราะค่าจ้างทำให้เลี้ยงตัวได้แค่รอด ในขณะที่กำไรจะทำให้เป็นเศรษฐี’
ข้อเท็จจริงนี้เกี่ยวข้องกับกรรมวิบากโดยตรง นั่นคือ ต่อให้คุณมีบุญเก่าหนุนหลังเท่าภูเขา คุณก็ไม่มีวันเป็นเศรษฐีระดับโลกขึ้นมาได้จากการเป็นลูกจ้าง



อีกประการหนึ่ง ต่อให้คุณมีบุญเก่า และต่อให้คุณยอมเหนื่อยเพื่อเป็นนาย คุณก็จะเป็นเศรษฐีระดับโลกไม่ได้ หากขาดความฉลาดในการทำธุรกิจให้มีกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
กรรมเก่าให้มือให้เท้าและความน่าจะเป็นมาแค่นี้ ที่เหลือเป็นเรื่องของคุณ ว่าจะใช้มือใช้เท้าปั้นดินให้เป็นดาวขึ้นมาได้ไหม เศรษฐีระดับโลกก็เช่นกัน เขาไม่ได้มีแต่บุญเก่า เขาใช้ทั้งชีวิตสร้างงานที่ตัวเองรัก เพื่อให้งานสร้างเงินกับเขาในภายหลัง
ช่วงต้นบุญเก่าจะมีส่วนสำคัญอยู่บ้าง ก็ตรงที่ให้ ‘สัญชาตญาณพ่อค้า’ ติดตัวเขามาอย่างดิบดี คือเป็นผู้รู้จักสินค้า เป็นผู้รู้จักลูกค้า และเป็นผู้กะเก็งสถานการณ์ถูก บางครั้งบุญเก่าก็มีส่วนก่อให้เกิดสังหรณ์ล่วงหน้า พูดง่ายๆคือ ‘เดาเก่ง’ และเป็นการเดาที่ฉีกกฎฉีกตำรากับสามัญสำนึกของคนทั่วไป เช่น นักลงทุนบางคนแค่เห็นทำเลสถานที่ ก็ผุดไอเดียสร้างที่พักริมทางซึ่งให้บริการครบวงจรขึ้นมา วาดบรรยากาศถูก เดาใจคนเดินทางผ่านไปผ่านมาถูก ว่าเห็นแล้วจะรู้สึกอยากแวะ ทั้งที่มองเผินๆไม่น่าจะเป็นแหล่งแวะ เป็นต้น


การตัดสินใจของเศรษฐีใหญ่ในหลายครั้งนั้น ถ้าคุณไปถามเหตุผลของพวกเขา พวกเขาอาจอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาบอกได้เพียง ‘ฉันรู้แต่ว่าต้องเลือกอย่างนี้ถึงจะรวย!’ คำตอบแบบนี้ถ้าแม่นยำนะครับ ก็สะท้อนให้เห็นว่าทำงานหนักอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีโอกาส แล้วก็ต้องมีสังหรณ์ดีด้วย สังหรณ์นั้นซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ซื้อไม่ได้ด้วยประสบการณ์ แต่จะซื้อได้ก็ด้วยบุญเก่าและบุญใหม่ผสมๆกัน


สรุปคำตอบในย่อหน้าเดียว คือที่วอร์เรน บัฟเฟต์ถูกวิบากบีบจนหน้าเขียวในวัยเด็กนั้นถูกต้องคล้องจองกันดีแล้วสำหรับเส้นทางความเป็นอภิมหาเศรษฐีของเขา หากเขารวยและปราศจากแรงบีบคั้น ก็ไม่มีสิ่งใดประกันว่าเขาจะโตขึ้นด้วยอาการดิ้นรนเพื่อหาทรัพย์มาเพิ่มแก่ตระกูลขนาดนี้


อีกประการหนึ่ง อย่างที่ส่วนใหญ่คงทราบกันแล้ว ในบั้นปลายชีวิตของ วอร์เรน บัฟเฟต์ ได้กลายเป็นผู้บริจาคทรัพย์สินให้แก่ชาวโลกเป็นจำนวน ๓๗ พันล้านเหรียญสหรัฐ (เกือบสองล้านล้านบาทไทย) ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจไว้นานแล้ว อันนี้ก็น่าจะสะท้อนได้ดีและไม่น่าแปลกใจ หากอนาคตชาติของเขาจะมั่งคั่งระดับโลกอีก ใจใหญ่ระดับช่วยโลกขนาดนี้ ก็สมควรได้รับการตอบแทนจากโลกสมน้ำสมเนื้อกัน
บันทึกการเข้า
krongon2513
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,490

« ตอบ #40 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2550, 21:27:56 »

:cry:  :cry:
น้องจิ๋มคะ
วันนี้พี่มีเรื่องไม่สบายใจ อยากขอคำปรึกษา
ตอนเช้าพี่ไปธุระ..ขับรถติดไฟแดง เหลือบเห็นสุนัขข้างถนนเดินอยู่..มันเขย่งด้วยขาสามข้าง
ขาอีกข้างตกห้อยและบวมอย่างน่ากลัว

ภาพนั้นรบกวนจิตใจพี่ทั้งวัน จนทนไม่ได้ต้องออกตามหาอีกครั้งตอนบ่าย
ได้พบมันนอนอยู่หน้าตึกแถว ในซอกเล็กๆ โชคดีที่มีผู้ใจบุญให้ข้าวให้น้ำ
จากนั้นไปคลินิคสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและหาทางช่วยเหลือ
คิดว่าคงช่วยมันได้อย่างเป็นรูปธรรมกว่านี้เมื่อกลับจากต่างจังหวัด

สิ่งที่อยากถามคือ
เราควรวาง..ใจ..ของเราอย่างไร ในกรณีนี้
มิฉนั้นเราจะทุกข์ไม่สิ้นสุด
พี่เคยขับรถตามรถบรรทุก วัว ควาย หมู ไก่ เป็ด
แน่นอน  เขาคงมิได้เอามันไปเลี้ยงหรอก
ทำได้เพียงแผ่เมตตา  แต่ใจก็เศร้าหมอง
พี่รู้ว่าเรา..แบก..ทุกอย่างไม่ไหวแน่
แต่จะจัดการกับใจของเรา  อย่างไรดี
อุเบกขา  หรือ  เข้าไปช่วย  หรือ  แผ่ส่วนบุญให้สัตว์เหล่านั้น
ขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #41 เมื่อ: 03 มกราคม 2551, 12:45:35 »

ก่อนอื่นต้องขอโทษพี่ด้วยค่ะที่มาตอบช้า...เพราะต้องใช้เวลาคุยกันนานหน่อย...

จิ๋มขอโมทนาบุญกับพี่ด้วยเป็นอย่างมากเลยค่ะ....และขอกราบสวัสดีปีใหม่กับพี่ด้วย....
สิ่งที่พี่ได้ทำลงไปนั้นดีมากแล้วค่ะ....เราทำเท่าที่จะทำได้...ทำแล้วปล่อยวาง....จิ๋มเองเดินผ่านตลาดนัด...เห็นเขาทุบหัวปลาต่อหน้า...ได้แต่แผ่เมตตาให้เขา...ให้เขาได้ส่วนบุญที่เราได้กระทำมาแล้วทั้งหมด....เคยพิสูจน์มาแล้วขนาดยังปฏิบัติได้ไม่นาน...คือ

     มีอยู่ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว....จิ๋มเดินผ่านใต้สะพานลอยเห็นคนจรจัดนอนป่วยอยู่หลายวัน..
เพิ่งสิ้นใจ...จิ๋มขึ้นมาบนสะพานลอยสำรวมจิตอุทิศกุศลให้เขาทันที...เกิดอาการขนลุกที่แขนทั้ง 2 ข้าง...เลยมาถามเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเหมือนเขาปฏิบัติธรรมจนพอรู้อะไรอยู่บ้าง...เขาบอกว่าวิญญาณดวงนั้นคงได้รับส่วนบุญแล้ว...

    ในการที่ได้พบ..เห็น...สิ่งต่าง ๆ เราช่วยเท่าที่จะทำได้...หากทำไม่ได้ต้องวางใจ...เป็นอุเบกขา...แล้วคงได้แค่แผ่เมตตา...

แต่ที่เรามาเกิดความสงสาร...เก็บมาคิด...จนเกิดความทุกข์ใจเพราะใจเราไม่ได้อยู่ในปัจจุบันแล้วค่ะ...เราเอาสิ่งที่มากระทบตา...ถ้าสติเราไม่ทัน...มันจะพุ่งไปที่ใจแล้ว...คิดปรุงแต่งเพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ เผลอจมอยู่กับความคิดเรื่องนั้นไปเรื่อย ๆ ...โดยที่ไม่ได้เห็นความเกิดดับแต่ละขณะ...สิ่งที่เราจะทำได้คือต้องพยายามอยู่กับปัจจุบันขณะ...ไปแต่ละขณะ...

และขณะที่เรารู้ตัวทั่วพร้อม...มีสติ...ตื่นกับปัจจุบัน...ก็เป็นกุศลแล้ว....ยิ่งได้เห็นพระไตรลักษณ์...เห็นความไม่เที่ยงฯ...เราเอาบุญตรงที่เราตื่นแผ่ให้เขาได้อีกนะคะ...

หลวงพ่อปราโมทย์เคยบอกว่า...จิตที่มีความทุกข์คือ...จิตที่ไม่ได้อยู่กับปัจจุบันค่ะ...

ลองฟังCD หลวงพ่อฯที่ส่งไปให้(ล่าสุดที่พี่บอกว่าแตกจิ๋มส่งไปให้ใหม่ได้รับแล้วใช่ไหมค่ะ)
ฟังบ่อย ๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า...เราจะตื่นมากขึ้น...มีความสุข...เบิกบานมากขึ้นค่ะ...

จิ๋มตอบตามความรู้ที่ได้ฝึกมาและจากคำสอนของครูบาอาจารย์...ผิดถูกอย่างไร..ขอต้องขออภัยด้วยนะคะ....หากมีผู้รู้จะมาช่วยตอบเพิ่มเติมก็ยินดีค่ะ.....
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #42 เมื่อ: 03 มกราคม 2551, 13:36:56 »

พี่คะ...ขอเพิ่มให้อีกนิด...เป็นธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์..พี่คงรู้จักท่านแล้ว...


วิธีตกกระไดพลอยกระโจน ของพระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน
อยู่กับความไม่มีไม่เป็น
ว่าง สว่าง บริสุทธิ์
หยุดการปรุงแต่ง
หยุดการแสวงหา
หยุดกิริยาจิต
ไม่มีอะไรเลย
ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอก
จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม
มีสติอย่างสมบูรณ์เป็น วิหารธรรม
มีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่

วิธีทำ
หยุดคิด อย่าส่งจิตออกนอก
มีสติอย่างสมบูรณ์เป็นเครื่องอยู่



วิธีแผ่เมตตาแบบพรหมวิหาร (แผ่เมตตาด้วยจิต)

**การแผ่เมตตาคือการแผ่ความสุข ดังนั้นจึงต้องให้ตัวเองเป็นสุขก่อน**

นึกถึงความสุขแผ่ความสุขให้ตัวเอง
ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข
ขอให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง

นึกถึงความสุข แผ่ความสุขให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายมีความสุข
พ้นจากทุกข์ทั้งปวง
ขอพรหมทั้งหลายมีความสุข
ขอเทวดาทั้งหลายมีความสุข
มนุษย์ทั้งหลายมีความสุข
เปรตทั้งหลายมีความสุข
อสุรกายทั้งหลายมีความสุข
สัตว์นรกทั้งหลายมีความสุข

แผ่ความสุขให้ตัวเราเอง
แผ่ความสุขให้ผู้ที่เรารัก
แผ่ความสุขให้คนทั่วไปที่ไม่รักไม่ชัง
แผ่ความสุขให้เสมอกันเท่าเทียมกัน

แผ่ความสุขให้นึกถึงความสุข
แผ่ความสุขไปทางทิศเบื้องหน้า
แผ่ความสุขออกไปด้านหลัง
แผ่ความสุขออกไปด้านซ้าย
แผ่ความสุขออกไปทางด้านขวา
เฉียงหน้าทางซ้าย
เฉียงหน้าทางขวา
เฉียงหลังทางซ้าย
เฉียงหลังทางขวา
บนเหนือศีรษะเรา
ล่าง ข้างล่างเราไป
แผ่ทั่วทิศ แผ่ไปรอบ ๆ
เผื่อแผ่ความสุขไปทั่วโลก

เจริญในธรรมค่ะ
บันทึกการเข้า
krongon2513
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,490

« ตอบ #43 เมื่อ: 21 มกราคม 2551, 16:21:25 »

Cheesy  Cheesy
ขอบคุณน้องจิ๋มสำหรับคำตอบ..
ความทุกข์นี้ไม่เที่ยง..ตอนนี้สบายดีแล้ว

พี่รู้จักหลวงปู่ดูลย์ อตุโล..จากหนังสือ"หลวงปู่ฝากไว้"ค่ะ
ได้รับCD..แผ่นที่ไม่แตกแล้ว   ฟังไปเรื่อยๆ เพลินดี ขอบคุณนะคะ

เข้ามาเชิญน้องจิ๋มไปอ่านเรื่องของ..ด่าง..ที่ห้อง 13 กระทู้"ดีใจเอ๋ย..ดีใจจัง"อะค่ะ
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #44 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2551, 11:26:13 »

สวัสดีค่ะ..

           เพื่อน ๆ พี่น้องที่รักทุกคน...จาถึงวันวาเลนไทน์แล้ว...ขอส่งความรักอันไม่มีประมาณแก่ทุกท่านด้วย...และ.มีข้อคิดเรื่องความรักจากหนังสือดังตฤณวิสัชนาฉบับรู้จักรักมาเกริ่นเผื่อใครสนใจติดตามอ่านในเว็บไซด์ในธรรมะใกล้ตัวฉบับล่าสุดได้...




คำนำปก...


การมีคนรัก
ไม่ได้หมายความว่าคุณรู้จักรัก

ความรู้สึกแสนดี
การมีความประทับใจ
ได้ช่วยกันสานสายใยผูกพัน
เป็นเพียงเปลือกนอกของความรัก

เนื้อแท้ของความรัก
คือการมีกันและกันในยามยาก
แก่นสารของความรัก
คือการรู้ทางที่จะร่วมกอดคอ
เดินหน้าไปสู่ความดับทุกข์
ไม่เหลือแม้น้ำตาอาลัยกันในยามตาย



     คำนำผู้เขียน

ความรักอาจเป็นสิ่งงดงามที่สุดสำหรับเหล่ากวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพอใจจะปลูกผักปลูกผลไม้กินกันเองตอนกลางวัน แล้วไปนอนนับดาวร่วมกันตอนกลางคืน ก็ง่ายที่จะร่ายบทกวีอันไพเราะได้ประมาณว่า แค่มีรักเสียอย่างเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งอื่นใดเพิ่มเติมอีกแล้ว และถ้าไม่มีรักเสียอย่างเดียว ก็ไม่รู้จะมีอะไรที่กำลังมีไปทำไมอีก


ใช่แล้ว… ความรักเป็นสิ่งงดงาม ในคำว่ารักไม่มีความน่าเกลียดน่าชัง แต่การอยู่ร่วมกันของคู่รักอาจนำมาซึ่งความรู้สึกเกลียดชังได้ และหลังจากไม่อาจทนอยู่ร่วมกันจนต้องแยกทาง สิ่งเดียวที่หลายคู่ทิ้งไว้ให้แก่กันคือความรู้สึกแย่ๆและบาดแผลที่ไม่มีวันประสาน ถ้ารู้จักรัก ถ้าสร้างความรักเป็น และถ้าเข้าใจว่าจะแก้ปัญหาที่ความรักสร้างขึ้นได้อย่างไร คุณจะมีรักในอุดมคติ คือมีรักอย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องรอส่วนประกอบอันใดเพิ่มเติมให้กับชีวิตคู่อีก


แต่หากเป็นตรงข้าม… ความรักอาจทำให้คุณรู้สึกขาดไปทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอิสรภาพ ความเป็นตัวของตัวเอง ไปจนกระทั่งความดีงามเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง!

ดังตฤณ
มกราคม ๕๑



และขณะนี้เรามีหนังสือเล่มเล็ก ๆ น่าอ่านเล่มใหม่ออกก่อนเล่มบน   ของ ดังตฤณ ชื่อ ณ มรณา  คำนำปกหน้าเขียนว่า

 ....เกิดทั้งน้ำตาไม่น่าอาย...แต่อย่าตายทั้งน้ำตาก็แล้วกัน...

คำโปรยปกหลัง...

"รู้ไหมครับ วันพรุ่งนี้จะมีคนตายเพิ่มอีก 150,000 คน
     ในขณะที่ก่อนจบหลังเที่ยงคืนวันนี้ก็มีล่วงหน้าไปแล้ว
          เป็นจำนวนเฉลี่ยประมาณเดียวกัน
     นี่เป็นเรื่องที่พวกเราไม่รู้เห็นด้วยตาเปล่า
แต่เกิดขึ้นจริง และพวกเราก็ล้วนสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นหนึ่งในกลุ่มแสนห้า
          ที่ว่าวันใดวันหนึ่งด้วย!"

"ความตายมาถึงแน่ และมัจจุราชคงไม่อาจเอาใจเลือกวันละแสนห้าหมื่นวิธีดี ๆ
     ให้กับคนตายทุกคนไหว ประเด็นจึงไม่ใช่เลือกตายให้หรู
     แต่ควรเตรียมใจตายด้วยจิตที่เป็นกุศล เพื่อความอู่นใจ
เพื่อเป็นประกันว่าหลังความตายอันไม่อาจพยากรณ์วิธีและวันเวลานั้น
เราจะได้ไม่เป็นวิญญาณหวนมองย้อนกลับมาเสียดายศักยภาพ
          สร้างบุญสร้างบารมีของมนุษย์กัน"


ใครสนขอได้นะจ๊ะ....
และมีCD หลวงพ่อปราโมทย์ถึงแผ่นที่ 20 แล้ว...ขอได้เช่นกัน....
บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 2 [ทั้งหมด]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><