24 เมษายน 2567, 12:21:58
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 [ทั้งหมด]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: โลกมนุษย์  (อ่าน 26994 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 11:22:51 »

"โลกร้อน"พาโลกมนุษย์ ย้อนกลับสู่ยุคไดโนเสาร์!

 

         คริส โทมัส นักวิทยาศาสตร์สังกัดมหาวิทยาลัยยอร์ก กล่าวในที่ประชุมสมาคมเพื่อความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ ประเทศอังกฤษ ว่า สภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง หรือ "ภาวะโลกร้อน" จะทำให้อุณหภูมิของโลกภายในห้วงระยะเวลาอีกประมาณ 100 ปีข้างหน้า หรือปี ค.ศ.2100 (พ.ศ.2643) เพิ่มสูงขึ้นกว่าปัจจุบันอีก 2-6 องศาเซลเซียส

           ขณะเดียวกันคาดว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ก็จะพุ่งขึ้นไปอยู่ในระดับที่สุดที่สุดในรอบ 24 ปีเช่นกัน "ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ส่วนใหญ่ถูกปล่อยออกมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงานและยานพาหนะ จะกลายเป็นตาข่ายดักไม่ให้ความร้อนหลุดออกจากชั้นบรรยากาศโลก" โทมัสกล่าว

           โทมัสระบุด้วยว่า สภาพโลกร้อนใน 100 ปีข้างหน้าจะทำให้อุณหภูมิของโลกย้อนกลับไปสู่ยุคที่ "ไดโนเสาร์" ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนั้นยังจะส่งผลให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ กว่าครึ่งหนึ่งที่อยู่ในโลกเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

             ล่าสุดมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตบางส่วนเริ่มอพยพหนีจากถิ่นที่อยู่เดิมของตน เพราะผลกระทบจากโลกร้อน
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #1 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 11:33:53 »

10 ปรากฎการณ์ประหลาด ผลกระทบวิกฤต"โลกร้อน!"

สารภูมิแพ้แพร่ระบาด

ปรากฎการณ์ประหลาดขึ้นทุกๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ประชาชนไอ จาม ป็นภูมิแพ้ และหอบหืดกันง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ พบว่า วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปกับสภาพมลพิษในอากาศ เป็นสาเหตุสำคัญของอาการดังกล่าว

ชี้ให้เห็นว่า วิกฤตอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นและมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมากขึ้น ปริมาณละอองเกสรที่ฟุ้งกระจายไปตามอากาศก็มากขึ้น คนที่เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืดเมื่อสูดละอองเหล่านี้เข้าไปมากๆ อาการจึงกำเริบง่าย

สัตว์อพยพไร้ที่อยู่

ผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน ทำให้สัตว์บางชนิด เช่น กระรอก ตัวชิปมังก์ หรือแม้กระทั่งหนู ต้องอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนที่สูงขึ้น

สัตว์ที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ได้แก่ "หมีขั้วโลก" ที่ในอนาคตอาจมีชีวิตอยู่ในถิ่นฐานเดิมแถบอาร์กติก ขั้วโลกเหนือไม่ได้ เนื่องจากธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว

"พืช"ขั้วโลกคืนชีพ

ช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผลจากภาวะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพราะโลกร้อน ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพืชและสัตว์จำนวนมาก

ตามปกติ พืชแถบอาร์กติกจะถูกปกคลุมอยู่ในน้ำแข็งตลอดทั้งปี

แต่ปัจจุบัน เมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิต จึงทำให้พืชที่เคยถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งกลายเป็นอิสระ สามารถเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงและกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้ง

กลายเป็นอีก 1 ปรากฎการณ์ใหม่ของพื้นที่ขั้วโลกเหนือ

ทะเลสาบหายสาบสูญ

เรื่องประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นในเขตอาร์กติก หรือ ขั้วโลกเหนือยังไม่หมดแค่นั้น

มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา "ทะเลสาบ" ประมาณ 125 แห่งได้หายสาบสูญไปจากเขตอาร์กติก เป็นสัญญาณหนึ่งที่ช่วยให้เห็นว่า ภัยโลกร้อนส่งผลกระทบเร็วมากต่อสภาพแวดล้อมแถบขั้วโลก

สาเหตุที่ทะเลสาบหายไปก็เพราะ "เพอร์มาฟรอส" ที่เป็นน้ำแข็งแข็งตัวอยู่ใต้พื้นทะเลสาบนั้นละลายหมดสิ้นไป ดังนั้น น้ำในทะเลสาบจึงซึมเข้าสู่พื้นดินข้างใต้ได้ เหมือนกับเวลาเราดึงจุกปิดน้ำออกจากอ่างอาบน้ำแล้วน้ำจึงไหลหมดไปจากอ่างนั่นเอง

นอกจากนี้ การที่ทะเลสาบขั้วโลกหายวับไป ยังส่งผลลูกโซ่ปั่นป่วนไปถึงระบบนิเวศในพื้นที่ที่พึ่งพิงน้ำจากทะเลสาบอีกด้วย

น้ำแข็งใต้พื้นโลกละลาย

ภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงแค่ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

แต่ยังส่งผลให้ชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอยู่ใต้พื้นผิวโลกค่อยๆ ละลายลดปริมาณลงไปเช่นกัน

ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็คือ จุดใต้พื้นโลก ซึ่งเคยเป็นน้ำแข็งหายไปจนเกิดเป็น "รูรั่ว" ใต้ดินขึ้นมา

เมื่อเป็นเช่นนี้สภาพทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่ย่อมเปลี่ยนไป

สิ่งปลูกสร้าง หรือ สิ่งก่อสร้างของมนุษย์ เช่น ทางรถไฟ ถนน บ้านเรือน ฯลฯ ซึ่งตั้งอยู่เหนือจุดดังกล่าวมีโอกาสได้รับความเสียหายตามไปด้วย

ถ้าปรากฎการณ์น้ำแข็งละลายเกิดขึ้นบนที่สูง เช่น ภูเขา จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติตามมา อาทิ หินถล่มและโคลนถล่ม เป็นต้น

ชนวนเกิดไฟป่า

นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันตรงกันทั่วโลก ว่า

ภัยโลกร้อนเป็นสาเหตุให้ธารน้ำแข็งละลายและพายุก่อตัวบ่อยและรุนแรงขึ้นกว่าในอดีต

ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด "ไฟป่า" ได้ง่ายขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

และชาติเมืองหนาวในซีกโลกตะวันตก ซึ่งตามปกติไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟป่า ก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้กันแล้ว

เหตุเพราะสภาพป่าแห้งกว่าเดิม จึงเป็นเชื้อไฟอย่างดี

ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอด

โลกร้อนส่งผลให้หน้าหนาวหดสั้นลง และหน้าร้อนมาถึงเร็วขึ้น

บรรดา "นกอพยพ" หลายสายพันธุ์ต่างมึนงง ปรับ "นาฬิกาชีวภาพ" ในตัวของมันให้เข้ากับสภาพความผันแปรของฤดูกาลที่บิดเบี้ยวไปไม่ทัน

สัตว์ที่จะเอาชีวิตรอดจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนในทุกวันนี้ได้ต้องเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น

ในที่สุดสัตว์ที่อยู่รอดจะต้อง "กลายพันธุ์" หรือปรับพันธุกรรมในตัวมันเสียใหม่ เพื่อรับมือภัยโลกร้อนให้ได้ และมีสัตว์หลายชนิดกำลังวิวัฒนาการตัวเองเช่นนั้นอยู่

ดาวเทียมโคจรเร็วกว่าเดิม

การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน ยวดยานพาหนะ ฯลฯ คือ ตัวการสำคัญของวิกฤตโลกร้อน

ล่าสุดพบว่า เจ้าก๊าซตัวเดียวกันนี้เองที่ขึ้นไปสะสมมากขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก ได้กลายเป็นต้นเหตุทำให้ "ดาวเทียม" ที่อยู่ในวงโคจรโลกเคลื่อนที่เร็วกว่าเดิม

ตามปกติ อากาศในบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกจะเบาบาง แต่โมเลกุลของอากาศจะยังคงมีแรงดึงดูดมากพอในการทำให้ดาวเทียมโคจรช้าๆ ดังนั้น เราอาจเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่า ผู้ควบคุมต้องจึดระเบิดดาวเทียมเป็นระยะๆ เพื่อให้ดาวเทียมโคจรต่อไปอย่างถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ลอยไปสะสมในบรรยากาศชั้นล่างมากไป จะทำแรงดึงดูดของบรรยากาศชั้นนอกสุดลดกำลังลง ดาวเทียมจึงโคจรเร็วกว่าปกติ

ภูเขากระเด้งตัวเหนือพื้นโลก

ภูเขาและเทือกเขาสูงหลายแห่งทั่วโลกกำลังขยายตัว "สูง" ขึ้น เพราะผลจากโลกร้อน!

นั่นเป็นเพราะ ตามธรรมชาติที่ผ่านๆ มานับพันปี ยอดภูเขาในเขตหนาวเย็นโดยทั่วไปจะมี "น้ำแข็ง" ปกคลุมอยู่ ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับตุ้มน้ำหนักที่คอยกดทับให้ฐานล่างของภูเขาทรุดต่ำลงไปใต้พื้นผิว

เมื่อน้ำแข็งบนยอดเขามลายสูญสิ้นไป ส่วนฐานล่างที่เคยถูกกดจมดินลงไปจะค่อยๆ กระเด้งคืนตัวกลับมาเหนือผิวโลกอีกครั้ง

โบราณสถานเสียหาย

โบราณสถาน เมืองเก่าแก่ ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ อันเป็นสิ่งแสดงถึงวัฒนธรรมอันรุ่งเรื่องของมนุษย์ในอดีตได้รับผลกระทบจากโลกร้อน

เหตุเพราะโลกร้อนทำให้อากาศทั่วโลกแปรปรวน ทั้งเกิดพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และล้วนแต่ยิ่งสร้างความเสียหายให้กับมรดกตกทอดทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมอยู่แล้ว

โบราณสถานอายุ 600 ปีในจังหวัดสุโขทัยของประเทศไทยเรา ก็เคยเสียหายอย่างหนักเพราะภัยน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากภัยโลกร้อน มาแล้วเช่นกัน
บันทึกการเข้า
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 12:00:53 »

โห อ้ายป้อ
บันทึกการเข้า
Max
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,435

« ตอบ #3 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 12:03:58 »

สงสัยช่วงนี้ ป้อมันคงนึกอะไรออกน่ะพี่

ว่าต้องพิมพ์อะไรยาวๆ บ้างอ่ะ Cheesy
บันทึกการเข้า
gamo
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 621

« ตอบ #4 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 13:08:14 »

เพิ่งเคยเห็นป้อพิมพ์ยาวเกิน สองบรรทัดอ่ะ

แถมไม่มีตัวตาโปนด้วย  

อิอิ แซวๆๆๆ
บันทึกการเข้า
ป๋าบอล
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 196

« ตอบ #5 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 13:39:54 »

:shock:
บันทึกการเข้า
Max
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,435

« ตอบ #6 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 13:45:21 »

เข้ามาซ้ำเติมครับ

 :shock:  :shock:
บันทึกการเข้า
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 14:15:27 »

copy มา ชัวร์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!  :twisted:
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

jviruch-78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,601

« ตอบ #8 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 16:49:55 »

ถูก ก๊อบมาแน่ๆๆๆๆ


ยิ่งกว่าเดิมอีก อันนี้ไม่ได้เขียนเองซักตัว
บันทึกการเข้า
Imm
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 237

« ตอบ #9 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2550, 18:15:10 »

:shock:   Oh GOSH!!!!  น้องป้อมาแบบยาวๆ  นึกว่าน้องจะฝักใฝ่แต่ของสั้นๆซะแระ  อิอิ



เอ้า  เข้าเรื่องๆ  ตอนนี้ Global Warming เป็นปัญหาร่วมกันของพลโลกทุกคนเลยนะ

อยากให้ได้ดูสารคดีรางวัลออสการ์ของ Al Gore เรื่อง An Inconvenient Truth จริงๆ
ดูแล้วต้องตั้งคำถามกับตัวเองอ่ะ  ว่าวันนี้เราเริ่มทำอะไรเพื่อทำให้ปัญหาโลกร้อนนี้บรรเทาเบาบางลงรึยัง

http://www.climatecrisis.net

Act now people!
บันทึกการเข้า
ป.ปลา
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,100

เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 01:56:08 »

เปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อโลกของเรา  Cheesy  Cheesy
บันทึกการเข้า
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 10:11:38 »

แต่ละคนชอบป้อทั้งนั้น
บันทึกการเข้า
wara_thip
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 79

« ตอบ #12 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 12:48:20 »

เพราะโลกร้อนนี่เอง หมู่นี้เลยรู้สึกใจร้อนกว่าที่เคย(เกี่ยวกันไหมหว่า?) :twisted:
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #13 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 12:57:22 »

“ภาวะโลกร้อน” ความจริงช็อกโลก!!!


          ขณะที่บ้านเราเจอภาวะฝนตกน้ำท่วม ไม่มีฤดูหนาว หรือแม้กระทั่งแผ่นดินไหวที่ จ.เชียงใหม่ อีกด้านในซีกโลกตะวันตก ผู้คนกำลังเผชิญหน้ากับภาวะโลกร้อน ร้อนจนร่างกายทนไม่ไหว ทำให้คนในยุโรปเสียชีวิตถึง 30,000 ศพ และในอินเดีย มีผู้เสียชีวิตไป 1,500 ศพ เมื่อปี 2003 ที่ผ่านมา

          เหตุที่เกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ในทางวิทยาศาสตร์ ระบุว่า เป็น “ภาวะโลกร้อน” อันเป็นผลจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซ อื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติดักจับความร้อนออกไปยังบรรยากาศของโลก ก๊าซเหล่านี้จะรวมตัวกันจนกลายเป็นผ้าห่มหนา ๆ ดักจับความร้อนของดวงอาทิตย์ และทำให้โลกมีอุณหภูมิร้อนขึ้น ยิ่งก๊าซเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น ความร้อนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

          ซึ่งเมื่อเกิดปรากฎการณ์เหล่านี้อาจส่งผลให้บางพื้นที่กลายเป็นทะเลทราย สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถปรับตัวได้ก็จะสูญพันธ์ บางพื้นที่อาจประสบปัญหาน้ำท่วม น้ำแข็งขั้วโลกและบนยอดเขาสูงละลาย ทำให้ปริมาณ น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น พื้นที่ชายฝั่งทะเลได้รับผลกระทบ บางพื้นที่อาจจมหายไปอย่างถาวร และประชาชนอาจจะเจอคลื่นความร้อนที่มีอำนาจทำลายล้างแรงกว่าที่เคยพบมา

          เหตุการภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกำลังเตือนภัยอะไรเราชาวโลก ซึ่งหากเรายังปล่อยให้เกิด "ภาวะโลกร้อน" อยู่เช่นนี้ เชื่อได้ว่า อาจเกิดปรากฎการณ์ความจริง ช็อกหัวใจชาวโลกขึ้นอีกครั้งแน่นอน ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือ ทุกคนต้องลดใช้พลังงาน อันเป็นบ่อเกิดของมลพิษเพื่อให้โลกได้ปรับสมดุล และช่วยกันปลูกป่า เพื่อให้ธรรมชาติกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด ไม่งั้น หากเกิน 10 ปี โลกเราอาจเข้าสู่จุดที่ไม่ สามารถกลับตัวได้
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #14 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 12:58:19 »

:lol: กทม.ปีนี้ ร้อนทะลุ 40 องศา

          ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์เครือข่ายวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ภัยร้อนเริ่มรุนแรง โดยคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าแดดเริ่มร้อนจัดตั้งแต่ช่วงสายของแต่ละวันและรู้สึกร้อนอบอ้าวมาก ซึ่งสาเหตุมาจากอากาศนิ่งและความชื้นในอากาศสูง จนรู้สึกร้อนกว่าผิดปกติ เนื่องจากการระบายความร้อนของคนระบายด้วยไอน้ำระเหยจากผิวหนัง ถ้าอากาศร้อนก็ระบายได้น้อยจึงเกิดความร้อนสะสมทำให้รู้สึกว่าร้อนมาก

          ดร.อานนท์กล่าวต่อว่า แต่อย่างไรก็ตามช่วงที่จะร้อนมากที่สุดคือเดือน เม.ย.คาดว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะสูงขึ้นราว 1-2 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะเขต กทม. ซึ่งปกติหน้าร้อนก็มีอุณหภูมิเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 38-39 องศา แต่ปีนี้มีแนวโน้มโอกาสจะเกิน 40 องศาอย่างแน่นอน รองลงมาคือภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

          ทั้งนี้ ถึงแม้จะมีความร้อนสูงขึ้น แต่ไม่ต้องห่วงว่าคนไทยจะเผชิญกับปรากฏการณ์คลื่นความร้อนเหมือนในแถบประเทศยุโรปและอเมริกา เพราะคลื่นความร้อนจะเกิดในเขตละติจูดสูงกว่าบ้านเราซึ่งจะมีระบบลมมรสุมจากทะเลพัดเข้ามา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คงต้องติดตามระดับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนต่อไป เพราะถึงแม้เส้นดัชนีจะลดต่ำลงมาแล้ว แต่ผลสืบเนื่องตามมาจากปรากฏการณ์นี้คือช่วงฤดูร้อนจะร้อนและแล้ง แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะอาจจะมีฝนตกมากกว่าเกณฑ์ปกติในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. ปีนี้เช่นกัน
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #15 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 13:05:15 »

ไทยเราเองมีเอี่ยวทำโลกร้อน ติดอันดับ 9 โลกปล่อยก๊าซสูงสุด...นะครับ

          รศ.ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร ประธานสายสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) กล่าวว่า ประเทศไทยติดอันดับ 9 ของโลก ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ข้อมูลการวิจัยเมื่อปี 2543 ระบุว่า คนไทย 1 คนปล่อยก๊าซโลกร้อนมากถึงปีละ 2.18 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.8% เมื่อเทียบกับประชากรทั่วโลก

          ขณะที่คนญี่ปุ่นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 9.41 ตันต่อคน ส่วนยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐ มีส่วนในการสร้างภาวะโลกร้อนคนละ 19.68 ตันต่อปี หากเมื่อพิจารณาตามภาคอุตสาหกรรมสำคัญ พบว่าก๊าซโลกร้อนมาจากกิจกรรมของภาคการผลิตไฟฟ้า 43% ภาคการขนส่ง 32% และภาคอุตสาหกรรม 25%
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #16 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 14:17:05 »

‘ก๊าซเรือนกระจก’ ประกอบด้วยอะไรบ้าง ? มาๆๆรู้จักกัน

มาจาก www.climatecrisis.net และนิตยสารสารคดี ปีที่ 23 ฉบับที่ 265 มีนาคม 2550/ www.sarakadee.com  นะครับลองเข้าไปดูได้นะ

นอกจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว ก๊าซเรือนกระจกยังประกอบด้วยอะไรบ้าง ก๊าซเรือนกระจกประกอบด้วยก๊าซที่สำคัญ คือ

53 % ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (380 ppm)

ทุกวันนี้ในชั้นบรรยากาศมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 380 โมเลกุลในทุกๆ 1 ล้านโมเลกุลของมวลอากาศ หรือ 380 ppm (parts per million) และมีการเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 1% เมื่อเทียบกับราว 100 ปีก่อน ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ระดับความเข้มของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศอยู่ที่ประมาณ 280 ppm นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าในอีก 100 ปีข้างหน้า ถ้าไม่มีการแก้ไขหรือชะลอการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1,000 ppm ซึ่งเป็นการเพิ่มในอัตราที่เร็วกว่าที่ผ่านมาอย่างมาก!

17 % ก๊าซมีเทน (1.8 ppm)

เป็นก๊าซที่เกิดจากปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์ และการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล แม้ว่าก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศจะมีเพียงเล็กน้อย แต่โมเลกุลของก๊าซมีเทนสามารถดูดกลืนรังสีความร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า

13 % ก๊าซโอโซนระดับผิวโลก (0.03 ppm)

เมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศสูงๆ ก๊าซโอโซนจะช่วยปกป้องโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลต แต่โอโซนที่อยู่ในระดับผิวโลกจะทำหน้าที่เป็นสารออกซิแดนท์ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต ถือได้ว่าเป็นก๊าซโอโซนที่แม้จะอยู่ในบรรยากาศของโลกเพียงเล็กน้อย แต่มีความสามารถในการดูดกลืนรังสีอินฟราเรด ทำให้โลกอบอุ่นขึ้นด้วย

12 % ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (0.3 ppm)

โรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตเส้นใยไนลอน อุตสาหกรรมเคมีและพลาสติก ใช้กรดไนตริกในกระบวนการผลิต จะปลดปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ รวมไปถึงปุ๋ยไนโตรเจนที่ใช้ในการทำการเกษตร และแม้ว่าในธรรมชาติจะมีการปล่อยก๊าซชนิดนี้ออกมา แต่ก๊าซไนตรัสออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรมมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความร้อนในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น

5 % ก๊าซซีเอฟซี (1 ppm)

ก๊าซชนิดนี้เป็นก๊าซที่มีสารประกอบคลอโรฟลูออโรคาร์บอน มีใช้อยู่ในเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น สเปรย์ น้ำยาดับเพลิง ฯลฯ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดรูโหว่ของโอโซนในชั้นบรรยากาศ ทำให้รังสีอัลตราไวโอเลตส่องลงมาถึงพื้นโลกได้มากขึ้น แม้ว่าปัจจุบันทั่วโลกได้รณรงค์ลดการปล่อยก๊าซซีเอฟซีลงได้ถึง 40 % แต่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในชั้นบรรยากาศก็มีส่วนในการดูดกลืนรังสีอินฟราเรด จนเกิดความร้อนสะสมขึ้นประมาณ 0.28 วัตต์/ตารางเมตร
บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #17 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2550, 20:14:20 »

จะบอกว่า..ผมรู้เรื่องโลกร้อนตั้งแต่ ป.6..

เป็นห่วง..ตั้งแต่ตอนนี้น..แต่จนป่านนี้..ไม่เห็นมีใครทำอะไร..

สนธืสัญญาที่ลงนามกัน..มันจะลดก๊าซ CO2 ลงครึ่งหนึ่ง..ในอีกประมาณ 50 ปีข้างหน้ามั้ง..

ตายครับพี่น้อง..
บันทึกการเข้า
Dr.Poot
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,330

« ตอบ #18 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2550, 14:59:47 »

ช่วงนี้ ป้อเป็นคนมีสาระจังเลยนะ
บันทึกการเข้า
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2550, 17:44:35 »

น่ากลัวว่า ลูกหลานของเราจะเป็นอย่างไร

อาจจะอยู่เหมือนเรื่อง Water World
บันทึกการเข้า
MahDee
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,081

« ตอบ #20 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2550, 18:05:25 »

เป็นไปได้ครับ เมื่อวานดู National geographic รู้สึกจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกในอีกไม่กี่ล้านปีข้างหน้า ได้เห็นภาพจำลองแล้ว ขนลุกจริง ๆ ครับ  :lol:  :lol:
บันทึกการเข้า

RCU 2541>> ปะกาโด่ง 81
----------------------------
http://www.facebook.com/MrMahD
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #21 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2550, 08:35:17 »

ขนาดประเทศใหญ่ๆ อย่างอเมริกามันยังไม่กล้าเซ็นสนธิสัญญาลดการปล่องก๊าซเรือนกระจกเลย
ไอ้คุณบุชอยู่มาจะครบ 8 ปี ไม่ยอมเซ็น
แต่พอจะพ้นตำแหน่ง ทำเป็นขยับตัวว่าอยากเซ็นต์ขึ้นมา แหม๊ ทำไปได้

ส่วนจีน บอกว่าที่ประเทศตัวเองปล่อยเยอะอ่ะ
เพราะ ประเทศอื่นๆ มาว่าจ้างให้จีนผลิตเยอะไง
ต้องโทษประเทศที่ว่าจ้างเค้าด้วยนะ
และก้อถ้าหารจำนวนก๊าซที่ปล่อยต่อจำนวนประชากรที่มี ถือว่าไม่เยอะนา

ครับ โทษกันไปโทษกันมา โยนกันไปโยนกันมา
เริ่มกันซะที

ถ้าคิดอะไรไม่ออก มาปลูกต้นไม้คนละต้นละกัน

ตาแคม  :wink:
บันทึกการเข้า
gamo
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 621

« ตอบ #22 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2550, 10:06:09 »

อ้างจาก: "apirat"
ขนาดประเทศใหญ่ๆ อย่างอเมริกามันยังไม่กล้าเซ็นสนธิสัญญาลดการปล่องก๊าซเรือนกระจกเลย
ไอ้คุณบุชอยู่มาจะครบ 8 ปี ไม่ยอมเซ็น
แต่พอจะพ้นตำแหน่ง ทำเป็นขยับตัวว่าอยากเซ็นต์ขึ้นมา แหม๊ ทำไปได้

ส่วนจีน บอกว่าที่ประเทศตัวเองปล่อยเยอะอ่ะ
เพราะ ประเทศอื่นๆ มาว่าจ้างให้จีนผลิตเยอะไง
ต้องโทษประเทศที่ว่าจ้างเค้าด้วยนะ
และก้อถ้าหารจำนวนก๊าซที่ปล่อยต่อจำนวนประชากรที่มี ถือว่าไม่เยอะนา

ครับ โทษกันไปโทษกันมา โยนกันไปโยนกันมา
เริ่มกันซะที

ถ้าคิดอะไรไม่ออก มาปลูกต้นไม้คนละต้นละกัน

ตาแคม  :wink:



เน้าะ ปลูกต้นไม้กันคนละต้น น่าจะเป็นวิธีที่ดีและง่ายที่สุดในตอนนี้

ว่าแต่ ตาแคมปลูกต้นอะไรอ่ะ อิอิ
บันทึกการเข้า
yungying
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #23 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2550, 12:06:08 »

อ้างจาก: "apirat"
ขนาดประเทศใหญ่ๆ อย่างอเมริกามันยังไม่กล้าเซ็นสนธิสัญญาลดการปล่องก๊าซเรือนกระจกเลย
ไอ้คุณบุชอยู่มาจะครบ 8 ปี ไม่ยอมเซ็น
แต่พอจะพ้นตำแหน่ง ทำเป็นขยับตัวว่าอยากเซ็นต์ขึ้นมา แหม๊ ทำไปได้

ส่วนจีน บอกว่าที่ประเทศตัวเองปล่อยเยอะอ่ะ
เพราะ ประเทศอื่นๆ มาว่าจ้างให้จีนผลิตเยอะไง
ต้องโทษประเทศที่ว่าจ้างเค้าด้วยนะ
และก้อถ้าหารจำนวนก๊าซที่ปล่อยต่อจำนวนประชากรที่มี ถือว่าไม่เยอะนา

ครับ โทษกันไปโทษกันมา โยนกันไปโยนกันมา
เริ่มกันซะที

ถ้าคิดอะไรไม่ออก มาปลูกต้นไม้คนละต้นละกัน
ตาแคม  :wink:


ปลูกต้นรักช่วยได้ไม่พี่...ถ้าช่วยได้จะได้ปลูกที่ละหลายๆต้น  Cool  Cool
บันทึกการเข้า

ttp://dekhorcu.multiply.com/
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2550, 12:41:28 »

อ้างจาก: "gamo"
อ้างจาก: "apirat"
ขนาดประเทศใหญ่ๆ อย่างอเมริกามันยังไม่กล้าเซ็นสนธิสัญญาลดการปล่องก๊าซเรือนกระจกเลย
ไอ้คุณบุชอยู่มาจะครบ 8 ปี ไม่ยอมเซ็น
แต่พอจะพ้นตำแหน่ง ทำเป็นขยับตัวว่าอยากเซ็นต์ขึ้นมา แหม๊ ทำไปได้

ส่วนจีน บอกว่าที่ประเทศตัวเองปล่อยเยอะอ่ะ
เพราะ ประเทศอื่นๆ มาว่าจ้างให้จีนผลิตเยอะไง
ต้องโทษประเทศที่ว่าจ้างเค้าด้วยนะ
และก้อถ้าหารจำนวนก๊าซที่ปล่อยต่อจำนวนประชากรที่มี ถือว่าไม่เยอะนา

ครับ โทษกันไปโทษกันมา โยนกันไปโยนกันมา
เริ่มกันซะที

ถ้าคิดอะไรไม่ออก มาปลูกต้นไม้คนละต้นละกัน

ตาแคม  :wink:



เน้าะ ปลูกต้นไม้กันคนละต้น น่าจะเป็นวิธีที่ดีและง่ายที่สุดในตอนนี้

ว่าแต่ ตาแคมปลูกต้นอะไรอ่ะ อิอิ



ตาแคมเค้าชอบปลูก ต้นรัก
บันทึกการเข้า
Max
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,435

« ตอบ #25 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2550, 13:26:24 »

Cheesy
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #26 เมื่อ: 27 มิถุนายน 2550, 23:45:59 »

การเกิดแผ่นดินไหว

“แผ่นดินไหว” เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของพื้นดิน อันเนื่องมาจากการปลดปล่อยพลังงานเพื่อระบายความเครียดที่สะสมไว้ภายในโลกออกมาอย่างฉับพลันเพื่อปรับสมดุลย์ของเปลือกโลกให้คงที่ สาเหตุ ของการเกิดแผ่นดินไหวนั้นจัดแบ่งได้ 2 ชนิด ชนิดที่หนึ่ง เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ได้แก่ การทดลองระเบิดปรมาณู การกักเก็บน้ำในเขื่อนและแรงระเบิดของการทำเหมืองแร่ เป็นต้น ชนิดที่สองเป็นแผ่นดินไหวจากธรรมชาติ ซึ่งมีทฤษฎีกลไกการเกิดแผ่นดินไหวอันเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบัน 2 ทฤษฎี คือ

1. ทฤษฎีที่ว่าด้วยการขยายตัวของเปลือกโลก (Dilation source theory) อันเชื่อว่าแผ่นดินไหวเกิดจากการที่เปลือกโลกเกิดการคดโค้งโก่งงออย่างฉับพลัน และเมื่อวัตถุขาดออกจากกันจึงปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปคลื่นแผ่นดินไหว

2. ทฤษฎีที่ว่าด้วยการคืนตัวของวัตถุ (Elastic rebound theory) เชื่อว่าแผ่นดินไหวเกิดจากการสั่นสะเทือนอันเป็นเหตุผลมาจากการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อน (Fault) ดังนั้นเมื่อเกิดการเคลื่อนที่ถึงจุดหนึ่งวัตถุจึงขาดออกจากกัน และเสียรูปอย่างมากพร้อมกับการปลดปล่อยพลังงานออกมา และหลังจากนั้นวัตถุก็คืนตัวกลับสู่รูปเดิม ทฤษฎีนี้สนับสนุนแนวความคิดที่เชื่อว่า แผ่นดินไหวมีกลไกการกำเนิดเกี่ยวข้องโดยตรง และใกล้ชิดกับแนวรอยเลื่อนมีพลัง (Active Fault) ที่เกิดขึ้นจากผลพวงของการแปรสัณฐานของเปลือกโลก (Plate tectonics) เปลือกโลกของเราประกอบด้วยแผ่นเปลือกโลก จำนวนประมาณ 12 แผ่นใหญ่ ทั้งที่เป็นแผ่นมหาสมุทรและแผ่นทวีป ซึ่งมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลาต่อให้บางแผ่นมีการเคลื่อนแยกออกจากกัน บางแผ่นเคลื่อนเข้าหาและมุดซ้อนเกยกัน และบางแผ่นเคลื่อนเฉียดกัน อันเป็นบ่อเกิดของแรงเครียดที่สะสมไว้ภายในเปลือกโลกนั้นเอง
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #27 เมื่อ: 27 มิถุนายน 2550, 23:47:12 »

แผ่นดินไหวในประเทศไทย

เขตรอยเลื่อนที่สำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกิดแผ่นดินไหว และมีผลกระทบต่อประเทศไทย ได้แก่ รอยเลื่อนในเขตตะวันตกของประเทศไทย-ตะวันออกของประเทศพม่า ซึ่งได้แก่ เขตรอยเลื่อนสะแกง เขตรอยเลื่อนพานหลวง รอยเลื่อนทั้งสองนี้มีแนวแยกต่อเนื่องมาทางตะวันตกของประเทศไทย ไล่จากทางตอนบนลงมาตอนล่าง อันได้แก่ เขตรอยเลื่อนเมย-วังเจ้า เขตรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และเขตรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ ตามลำดับ ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย มีเขตรอยเลื่อนแม่ทา, เขตรอยเลื่อนแพร่-เถิน รอยเลื่อนแม่จัน ซึ่งยังคงมีการเคลื่อนไหวอยู่ และรอยเลื่อนอุตรดิตถ์ (น้ำปาด) เป็นต้น แนวทางและโอกาสการเกิดแผ่นดินไหวในย่านประเทศไทย และประเทศโดยรอบข้างเคียง ศึกษาได้จากการแบ่งขอบเขตแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว (Seismic Source Zone) ซึ่งปริญญา นุตาลัย และคณะ (1985) เป็นผู้ทำการวิจัยและศึกษาไว้โดยสามารถแบ่งเขตต่าง ๆ ในบริเวณประเทศไทย และประเทศไทยใกล้เคียง ออกได้ 12 เขต ทั้งนี้อาศัยสภาพลักษณะทางเทคโทนิก (tectonic setting) และโครงสร้างทางเทคโทนิก (tectonic structure) ประกอบกับประวัติการเกิดแผ่นดินไหวที่บันทึกได้เป็นบรรทัดฐาน โดยเฉพาะอาศัยแผนที่ธรณีวิทยา แผ่นดินไหว (seismotectonic map) ที่สร้างขึ้นจากข้อมูล เหล่านั้นด้วย

สำหรับประเทศไทยแหล่งที่จะมีกำเนิดแผ่นดินไหวน่าจะตกอยู่ในเขตภาคตะวันตกของประเทศไทย ซึ่งเป็นเขตต่อเนื่องมาจากเขตแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวแนวตะนาวศรี (เขต F) และเขตภาคเหนือของประเทศไทย (เขต G) การเกิดแผ่นดินไหวซ้ำและผลกระทบต่อประเทศไทย สามารถศึกษาได้จากสถิติและข้อมูลต่างๆ อันได้แก่ จำนวนครั้งที่เกิด ขนาด ความรุนแรงที่รู้สึกได้ และประเภทที่เกิดตามระดับความลึก ตามรายงานใน series of seismology ซึ่งพิมพ์เผยแพร่โดย ปริญญา นุตาลัย และคณะ (1985) นอกจากนั้นการศึกษาข้อมูลและสถิติต่างๆ จากการเผยแพร่ของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่าแผ่นดินไหวที่มีขนาด 7 ริคเตอร์หรือมากกว่ามักจะเกิดอยู่นอกประเทศไทย ส่วนใหญ่เกิดอยู่ในเขตพรมแดนจีน-พม่า, ประเทศพม่า, ประเทศจีนตอนใต้ ในทะเลอันดามันและ หมู่เกาะสุมาตราตอนเหนือ ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของแนวเกิดแผ่นดินไหวภูเขาแอลป์-หิมาลัย (Alpine-Himalayan Belt) และอยู่ในเขตแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว (seismic source zone) อื่น ๆ นอกเหนือจากเขตตะวันตกและเหนือของประเทศไทย ส่วนใหญ่รู้สึกสั่นไหวได้ในประเทศไทยได้ แต่ไม่มีผลกระทบเสียหายรุนแรง และในบางครั้งสามารถรู้สึกสั่นสะเทือนได้ที่กรุงเทพฯ สำหรับที่เกิดในบริเวณเขตพรมแดนไทย-พม่า, ไทย-ลาว, ภาคเหนือ และตะวันตกของประเทศไทย (คือ เขตแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว เขต F และ เขต G) มักจะมีขนาดเล็กถึงขนาดปานกลาง และสามารถรู้สึกสั่นไหวได้ในเขตภาคเหนือ ภาคตะวันตก และบางครั้งที่ กรุงเทพฯ ด้วย ส่วนประเทศไทยด้านตะวันออกเฉียงเหนือ จัดอยู่ในเขตที่มีเสถียรภาพทางเทคโทนิก ค่อนข้างปลอดจาก แผ่นดินไหวกล่าวโดยสรุป ประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่อาจเรียกได้ว่าค่อนข้างสงบ ไม่มีแผ่นดินไหวรุนแรงนัก น่าจะอยู่อันดับ เขตเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวต่ำ (low seismic risk zone) ถึงเขตเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวปานกลาง (intermediate seismic risk zone)
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #28 เมื่อ: 27 มิถุนายน 2550, 23:50:25 »

แผ่นดินไหวพรมแดนลาว-พม่า ขนาด 6.1 ริกเตอร์ เวลา 15.57 น. ห่างจากเชียงราย 57 กิโลเมตร ความลึกจากระดับผิวดิน 10 กิโลเมตร สะเทือนถึง กทม. หลายตึกใหญ่รับแรงสั่นสะเทือน สั่งเคลื่อนย้ายผู้คนออกจากตัวอาคาร

เมื่อเวลาประมาณ 15.57 น. ของวันที่ 16 พฤษภาคม 2550 กรมอุตุนิยมวิทยาตรวจพบการเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 6.1 ริกเตอร์ มีศูนย์กลางอยู่บริเวณพรมแดนลาว-พม่า ห่างจาก จ.เชียงราย ประมาณ 95 กิโลเมตร หรือละติจูดที่ 21.1 องศาเหนือ ลองจิจูดที่ 100.32 องศาตะวันออก มีรายงานความรู้สึกสั่นไหวที่หลายจังหวัดทางภาคเหนือ และบนอาคารสูงในกรุงเทพมหานคร เบื้องต้นไม่มีรายงานความเสียหาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ตึก SM ทาวเวอร์ ถ.พหลโยธิน เวลาประมาณ 16.00 น. ได้เกิดแผ่นดินไหว ทำให้ผู้ที่อยู่บนอาคารรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่นาที เจ้าหน้าที่ฝ่ายอาคารได้แจ้งให้ทุกสำนักงานภายในตึก ขนย้ายคนออกจากตัวอาคาร ทำให้อาคารสำนักงานต่างๆ ภายในตึกต้องเลิกทำการอย่างกะทันหัน เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งนี้สามารถสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนได้ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อตัวโครงสร้างอาคารระดับสูง

อย่างไรก็ตาม การออกจากตัวอาคารของประชาชนเป็นไปอย่างเรียบร้อยท่ามกลางการจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากประเทศไทยไม่ค่อยประสบกับปัญหาดังกล่าวบ่อยครั้งนัก

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ด้านอาคารวิทยาลัยการจัดการมหิดล (CMMU) ริมถนนวิภาวดีรังสิต เยื้องแฟลตดินแดง เวลาประมาณ 16.00 น ก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเช่นกัน โดยทุกคนที่ทำงานในตัวอาคารได้เกิดอาการเหมือนกันคือเวียนศรีษะ เนื่องจากรู้สึกว่าอาคารสั่นอย่างแรง ผ้าม่านปลิว และมีตัวอาคารเริ่มสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยอาคารดังกล่าวมีความสูง 25 ชั้น ซึ่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดในย่านนี้ หลังเกิดเหตุการณ์ทุกคนต่างทยอยกันออกจากตัวอาคารทันที

ผู้สื่อข่าวในพื้นที่ จ.เชียงราย รายงานว่า แผ่นดินไหวเกิดขึ้นเป็นเวลา 35 วินาที ทำให้อาคารสำนักงานและตึกสูงได้รับความสั่นสะเทือนเป็นอย่างมาก เจ้าหน้าที่และผู้ที่อยู่ภายในอาคารต่างๆ วิ่งหนีออกมาภายนอก ขณะเดียวกันได้มีฝนตกลงมาปรอยๆ ฟ้าร้องเป็นระยะๆ และอีกประมาณ 5 นาทีต่อมาก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นอีกเล็กน้อย จากนั้นได้สอบถามไปยัง อ.แม่ฟ้าหลวง ซึ่งอยู่บนดอยสูง ทราบว่าครั้งนี้เกิดแรงสั่นสะเทือนมากกว่าทุกครั้งที่เคยเกิดแผ่นดินไหว

ด้านนายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า เหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทางกทม.จะต้องตรวจสอบข้อมูลทางวิชาการจากกรมอุตุนิยมวิทยา ว่าแรงสั่นสะเทือนที่ถึง กทม. มากน้อยแค่ไหน ส่วนความรู้สึกที่ประชาชนใน กทม.ได้รับจากอาคารสูง มีรายงานเข้ามาถึงทุกย่าน อาทิ สีลม คลองเตย เพชรบุรี เพลินจิตร ซึ่งขอย้ำให้ประชาชนมั่นใจและอย่าตื่นตระหนัก สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ของ กทม. กระจายอยู่ทั่ว กทม.ทั้ง 50 เขต ซึ่งมีเจ้าหน้าที่พร้อมออกปฏิบัติการช่วยเหลือ หากเกิดกรณีอัคคีภัย หรือสิ่งของเสียหายอันเนื่องมาจากเหตุแผ่นดินไหว หรือช่วยชีวิต
ทั้งนี้ มีข้อปฏิบัติสำหรับผู้ที่อยู่บนตึกสูง หากเกิดแผ่นดินไหว ให้หลีกให้ไกลจากวัสดุของมีคม หากมีท่อแก๊สหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับไอระเหยต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดการติดไฟได้ ให้ปิดวาล์วทันที หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้สายไฟฟ้าที่อาจจะพาดผ่านถึง และรีบออกจากอาคารให้เร็วที่สุด อีกทั้งไม่ควรอยู่ใกล้บริเวณที่มีกระจก ซึ่งอาจจะแตกร้าวใส่ตัวได้
ส่วนตึกไหนบ้างที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษ นายวัลลภ กล่าวว่า ไม่มีตึกไหนเป็นพิเศษ แต่ตึกสูงและบ้านเรือนประชาชนก็ต้องเฝ้าระวังเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในย่านสีลม ซึ่งเป็นย่านธุรกิจมีอาคารสูงจำนวนมาก พนักงานรู้สึกถึงแรงสั่นไหวในครั้งนี้ และหลายรายมีอาการเวียนหัว ขณะที่ทางบริษัทได้รีบแจ้งให้พนักงานทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอนุญาตให้กลับบ้านทันที
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #29 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2550, 07:44:22 »

อ้างจาก: "telek_kritsada"

ตาแคมเค้าชอบปลูก ต้นรัก


ขอเป็นต้นฟักแทนได้ไหม๊
อ๊ะ อ๊ะ อย่างคิดไปแนวทางอกุศล
ฟัก จริงๆ ครับพ่อแม่พี่น้อง
เวลามีลูกจะได้กินได้ด้วย
ทำน้ำซุปนะ
ซดคล่องคอเชียว
หุหุ

ตาแคม  :lol:
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #30 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2550, 21:20:57 »

:lol: เกาะติดสถานการณ์.....
บันทึกการเข้า
audit
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 136

« ตอบ #31 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2550, 17:36:48 »

พี่แคมเค้าไม่ค่อยปลูกต้นไม้หรอกค่ะ

เค้าทำน้องแองจี้ (ต้นกุหลาบนางฟ้า) ตายไปหลายรอบแล้ว

 :cry:

 :wink:
บันทึกการเข้า
ลูกพิ้ง
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,287

« ตอบ #32 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2550, 17:46:30 »

Cool เห็นพูดเรื่องปลูกต้นไม้กัน....ทำไมอดคิดถึงเพลงนี้ไม่ได้ก้อไม่รู๊....

มันเกี่ยวกันไหมค่ะ :roll:  :roll:  :roll:

แปลกใจใครมาเปรียบรักเป็นแก้วบาง
ต้องระวังมิให้บิ่นให้ช้ำ
เฝ้าประคองมิให้เสียน้ำคำ
ด้วยกลัวทำให้แก้วหมอง

หากคราใดแก้วหล่นทิ้งลงพื้นไป
แตกกระจายไม่สมดั่งใจหวัง
ต่ออย่างไรคงไม่เหมือนดัง
แก้วคงยังร้าวรอยอยู่

แต่รักฉันเปรียบดังต้นไม้งอกงาม
ต้องเลี้ยงต้องดูให้น้ำ
แม้นปลิดใบกิ่งเสียหักลง
งอกเสริมเติบโต รักเป็นดั่งต้นไม้

หมั่นเพียรดูแลต้นไม้ของเรา
ไม่เปรียบเอารักเป็นแก้วบางใส
แตกหักลงคงด้วยพลั้งไป
ยังออกกิ่งใบเติบโตสูงงาม


รักเป็นดั่งต้นไม้ - หนุ่มเสก
คำร้อง...ประภาส ชลศรานนท์...
 :wink:
บันทึกการเข้า
Max
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,435

« ตอบ #33 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2550, 18:04:31 »

อ้างจาก: "audit"
น้องแองจี้ (ต้นกุหลาบนางฟ้า)



เป็นสายพันธุ์ กุหลาบ เหรอคะ น้องออดิท
บันทึกการเข้า
audit
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 136

« ตอบ #34 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2550, 18:19:40 »

อ้างจาก: "Max"
อ้างจาก: "audit"
น้องแองจี้ (ต้นกุหลาบนางฟ้า)



เป็นสายพันธุ์ กุหลาบ เหรอคะ น้องออดิท


ช่ายค่ะ เป็นกุหลาบแบบมีขนนิ่มๆที่ใบกะดอก

แต่ตอนนี้มันไม่มีดอกแล้น T_T

 :wink:
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #35 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2550, 00:34:39 »

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า หากยังไม่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่บรรยากาศ และบรรเทาภาวะโลกร้อน ภายใน 1,000 ปีข้างหน้า แผ่นน้ำแข็งบนเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งมีความหนากว่า 3 กม. จะละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 7 เมตร และส่งผลให้บังกลาเทศ และบางส่วนของรัฐฟลอริดา รวมถึงพื้นที่ชายฝั่งและเกาะแก่งต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกต้องจมอยู่ใต้น้ำ
นายโจนาธาน เกรกอรี ผู้เชี่ยวชาญด้านอากาศ มหาวิทยาลัยรีดดิงของอังกฤษกล่าวว่า พื้นที่ใดที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลไม่ถึง 7 เมตร จะกลายเป็นเมืองใต้บาดาลทันที นายเกรกอรีกล่าวว่า จากการคำนวณของนักวิจัยพบว่าอุณหภูมิโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ปีละ 3 องศาเซลเซียส ซึ่งอุ่นพอที่จะทำให้แผ่นน้ำแข็งบนเกาะดังกล่าวละลาย มีการ คาดการณ์ว่า ราวปี 2993 หรือเกือบ 500 ปีข้างหน้า อุณหภูมิโลกจะร้อนขึ้นถึง 8 องศาเซลเซียส และสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นมา จากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศนั่นเอง

รายงานระบุภายใต้ปฏิญญาเกียวโต ระหว่างปี 2551-2555 สหภาพยุโรป (อียู) จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงปี 2533 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย อียูจะเริ่มดำเนินมาตรการต่างๆในปีหน้า เช่น การควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของโรงงานทั้งหลาย ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าพืชและสัตว์พันธุ์หายากกว่า 300 ชนิดบนโลก โดยเฉพาะในแถบอเมริกากลาง ทะเลแคริบเบียน แอฟริกา อินเดีย พม่า และภูมิภาคแปซิฟิก กำลังตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์.
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #36 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2550, 00:43:01 »

:shock: *****พุทธทำนาย โลกพินาศ คำทำนายนอสตราดามุส*****
ข้อความ :

คณะธรรมทูตผู้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระศรีมหาโพธิ์ที่ประเทศอินเดีย เมื่อ พ.ศ.2484 ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายจากศิลาจารึกเขตวิหารในสวนมฤคทายวัน

แปลได้ดังนี้

ดูกรอานนท์ สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดมาล้วนแต่ลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติที่หมุนเวียนของโลก โลกหมุนไปใกล้ความแตกทำลายจนถึงสมัยที่อาตมานิพพานไปแล้วได้ 5000ปี เมื่อโลกไปใกล้กึ่งจำนวนที่อาตมาทำนายไว้ ( 2500 ) ปี มุษย์และสัตว์จะได้รับภัยภิบัติสารพัดทิศเสียครึ่งหนึ่งในระยะ 30 ปี สิ่งที่ศาสนิกชนไม่เคยพบเห็น
ภัยจะทวีความรุนแรงขึ้น มนุษย์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันกันถึงนองเลือดนองแผ่นดิน ทั้งในน้ำ ในอากาศ ไฟจะลุกไหม้ลุกลามเผาผลาญมนุษย์ไม่ขาดระยะต่างฝ่ายต่างทำลายกันให้ย่อยยับและตายกันจึงเลิกลา

บุคคลเจริญด้วยเมตตา กรุณา ไม่เบียดเบียนข่มเหงอิจฉาพยาบาทและไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม

คำทำนายของอาตมานี้ยังให้สัตว์ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

ผู้ใดรู้แล้วเชื่อ หรือไม่เชื่อ ไม่บอกเล่าให้ผู้ใดรู้กันต่อ ๆ ไป นับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ต่างสิ้นสุดกันตามเวลา

หากผู้ใดต้องการจะมีความสุขของชีวิต ให้รักษาศีลห้า ยำเกรงบิดามารดา รู้จักบุญคุณท่าน ให้เจริญภาวนาในพรมไตรคาถาว่าดังนี้
พุทธิทุกขํ อนิจจํ อนตตา มโนสพพราชา ขตติโย ปารมิตา ตึสา อิติ สพพญญุมาคตา อิติ โพธิ มนุปปตโต อิติปิโส จ เต นโม

ปี ค .ศ.1999 เป็นปีโลกาพินาศ ตามคำทำนายของนอสตราดามุสและนอสตราดาโต

ภัยธรรมชาติจะเกิดในปี พ.ศ.2540-2542 นอสตราดามุสพยากรณ์ว่า จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ในปี ค.ศ 1999 และภัยธรรมชาติน้ำจะท่วมโลกเหตุการณ์จะรุนแรงตั้งแต่ปี พ.ศ 2542-2544

ก่อนเกิดเหตุจะเกิดสุริยุปราคาขึ้นก่อนเมื่อดวงจันทร์โคจรเข้าแนวเส้นตรงเดียวกับโลกมนุษย์ และดวงอาทิตย์ในเวลาเดียกัน จะเป็นจุดเริ่มต้นของภัยธรรมชาติ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรง แผ่นดินจะไหวทั่วโลก นานถึง 8-9 ชั่วโมง ถ้ารุนแรงมากอาจถึง 8-9 วัน

โลกมนุษย์จะรอดได้อีกนานเท่าที่จะนานได้ แต่ต้องปลุกระดมให้มนุษย์ทั่วโลกสวดมนต์ภาวนา และช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ปลูกป่าให้มาก ไม่ทำลายป่าจะมีโอกาสรอดได้มากกว่านี้

นอกจากนี้ในช่วงภัยภิบัตินั้นขอให้ผู้ที่มีปัจจัยสี่ แบ่งปันช่วยเหลือผู้ที่อดอยากขาดแคลน

เนื่องจากเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เร็วหรือช้า ย่อมขึ้นอยู่กับมนุษย์โลกนี้เท่านั้น ฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับมนุษย์ต่อมนุษย์

ท่านที่ไม่เชื่อก็ขอให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
ไม่มีใครรับรองได้ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะเป็นเรื่องของดินฟ้าอากาศและมนุษย์เท่านั้น

ทุกคนมีพลัง ขอให้ชาวโลกใช้พลังในทางที่ถูก อย่าแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นทำลายกัน ธรรมชาติกำลังธรรมลายเราอยู่แล้ว ขอให้มนุษย์โลกจงมีเมตตาและสามัคคีกัน

เมื่อท่านได้อ่านคำบอกเล่านี้แล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง
บันทึกการเข้า
yungying
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #37 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2550, 00:54:05 »

มาเกาะติดสถานการณ์มั้ง... :lol:  :lol:
บันทึกการเข้า

ttp://dekhorcu.multiply.com/
Platongkoh
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 344

« ตอบ #38 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2550, 01:05:53 »

กระทู้นี้มีสาระ  สมควรเผยแพร่....
ปลาทองโก๋ของให้ 5 ยิ้ม
 Cheesy  Cheesy  Cheesy  Cheesy  Cheesy
บันทึกการเข้า

ttp://platongkohphoto.multiply.com/
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #39 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2550, 01:09:41 »

กระทู้นี้ทำให้รู้ตัวเองเลยว่า อะไรที่มีสาระ ... จะข้ามมา reply ที่หน้าสุดท้ายเลย ... Shocked
บันทึกการเข้า
yungying
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #40 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2550, 09:07:23 »

อ้างจาก: "Platongkoh"
กระทู้นี้มีสาระ  สมควรเผยแพร่....
ปลาทองโก๋ของให้ 5 ยิ้ม
 Cheesy  Cheesy  Cheesy  Cheesy  Cheesy


แล้วเข้าไปดูกระทู้ที่มีสาระที่บอร์ด 85 รึยังพี่โก๋...รอคำตอบอยู่นะ

 Cheesy  Cheesy
บันทึกการเข้า

ttp://dekhorcu.multiply.com/
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #41 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2550, 08:35:43 »

อ้างจาก: "audit"

แต่ตอนนี้มันไม่มีดอกแล้น T_T
 :wink:


หุหุ อย่างน้อยมันก้อตายแล้วฟื้นมา 4  รอบแล้วน่า
เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ตาแคม  :oops:  :oops:
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #42 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 19:08:33 »

:lol:
โลกแตก อุบัติเหตุแผ่นดินไหวเกิดได้ทุกเมื่อถึงกับมีนักวิทยาศาสตร์ ได้คาดเดาว่าโลกอาจจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ หากเกิดแผ่นดินไหวตรงบริเวณจุดอ่อนของโลก ตามสถิติในทศวรรษที่ผ่านมาผู้เสียชีวิตด้วยแผ่นดินไหวเป็นตัวเลขที่สูงมาก เช่น ในปี ค.ศ. 1556 เกิดแผ่นดินไหวในประเทศจีนมีผู้เสียชีวิตถึง 830,000 คน ชีวิตมนุษย์ 140,000 คน ในโปรตุเกสก็ต้องถูกแผ่นดินกลืนไป ในปี ค.ศ. 1755 ประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวมากที่สุดเห็นจะเป็นประเทศญี่ปุ่น ในแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นจะนำพาชีวิต มนุษย์ไปเป็นแสน แต่ในปัจจุบันนับได้ว่า ญี่ปุ่นมีระบบป้องกันอันตรายที่เกิดจากแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดได้ดีมาก ความเสียหายในการเกิดแผ่นดินไหว ไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้
สถิติการเกิดแผ่นดินไหวแต่ละปีนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก คือ 500,000 ครั้งแต่หาใช่ว่าทุกครั้งที่เกิดจะทำลายชีวิตมนุษย์และทรัพย์สิน มีเพียง 1,000 ครั้งเท่านั้นที่สามารถทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตมนุษย์ได้ และ 100,000 ครั้งที่ทำให้เรารู้สึกว่าแผ่นดินไหว นอกนั้นมักจะเกิดในบริเวณมหาสมุทรต่างจะไปส่งผลกระทบโดยตรง แต่จะทำให้เกิดคลื่นพายุลมแรงจัด จะเป็นอันตรายต่อชาวประมง
การสำรวจการเกิดแผ่นดินไหว เห็นจะเป็นหน้าที่ของนักธรณีวิทยาการตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ สำคัญมาก เพราะทุกอย่างหมายถึงความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ทุกครั้งที่จะเกิดแผ่นดินไหว จะมีการแจ้งให้ประชาชนทราบอย่างช้าที่สุดประมาณ 7 วัน แต่นั่นก็ไม่แคล้วที่จะเกิดความเสียหายอย่างมากมาย ทั้งนั้นทั้งนี้ก็ยังไม่สามารถป้องกันภัยธรรมชาตินี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเคลื่อนที่ของชั้นดินและหินของเปลือกโลกชั้นนอกสุด (ลึกประมาณ 60 กิโลเมตร) นักวิทยาศาสตร์ได้สัณนิษฐานเหตุนี้มีส่วนทำให้เกิดแผ่นดินไหว การเคลื่อนตัวของชั้นหินในเปลือกโลกเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะการเคลื่อนตัวอย่างนี้ต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาล ในแต่ละปีการเคลื่อนตัวของผิวโลกจะเกิดประมาณ 2-3 ซม. ชั้นหินและดินที่เคลื่อนตัวหากเคลื่อนตัวตามกันมักจะไม่มีปัญหาเท่าไร แต่ถ้าเคลื่อนตัวสวนกันแล้ว ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวก็จะเกิดขึ้นเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นใน แคลิฟอร์เนีย เปลือกโลกชื่อแปซิฟิคเคลื่อนที่สวนกับเปลือกโลกชื่อ อเมริกันเคลื่อนตัวสวนกันทำให้เห็นเป็นรอยแยกของผิวโลกอย่างชัดเจนการเคลื่อนตัวของเปลือกบางครั้งมีการเคลื่อนตัวเข้าหากันจึงทำให้เกิดการโค้งงอของเปลือกโลก
"ไซโมกราฟ" เครื่องมือวัดการสั่นสะเทือนของผิวโลก ที่เกิดจากแผ่นดินไหว เครื่องไซโมกราฟอย่างง่าย ๆ ประกอบด้วย กระบอกทรงกลมหมุนได้ ตั้งอยู่บนพื้นราบพื้นสม่ำเสมอ ขณะที่กระบอกกลมหมุนไป ปากกาจะบันทึกเส้นลงบนผิวของกระบอกทรงกลมนั้น ปัจจุบันการบันทึกข้อมูลจะใช้ออสซิโลสโคป
ได้มีผู้เสนอแนวทางแก้ไขการเกิดแผ่นดินไหวจากหนักให้เบาได้ โดยการสูบน้ำเข้าไปในบริเวณที่คิดว่าจะเกิดแผ่นดินไหวฉะนั้นการเคลื่อนตัวของชั้นหินภายในจะได้เคลื่อนที่เป็นอิสระจะเปลือกโลกภายนอก ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนน้อยลงที่พื้นผิวหรือสูบน้ำออกจากชั้นหินที่กำลังเคลื่อนที่สวนกัน หรือเคลื่อนเข้าหากันเพราะไม่ให้มีการชนกันของชั้นหินใต้ผิวโลก
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #43 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 19:17:12 »

:lol: โลกวิกฤตในปี พ.ศ.2548

        ในช่วงเวลา 40 – 50 ปีที่ผ่านมาเป็นยุคของความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้มีการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้สนองความต้องการอย่างมากจนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมอย่างรุนแรงที่ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของโลกจนเกิดภาวะวิกฤตขึ้นมา สำหรับในปี พ.ศ.2548 ที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดภาวะวิกฤตของประชากรโลกที่สำคัญมากอยู่ 2 กรณี ได้แก่ พายุเฮอริเคนแคทรีนาพัดถล่มสหรัฐอเมริกาและการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในแถบเอเชียใต้
        1. พายุเฮอริเคนแคทรีนาในสหรัฐอเมริกา
        ในแต่ละปีสหรัฐอเมริกาจะมีพายุเฮอริเคนพัดผ่านและทำความเสียหายให้ตลอดมา แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายมากมายนัก แต่ในปี พ.ศ.2548 ได้มีพายุเฮอริเคนแคทรีนาเกิดขึ้นพายุนี้มีความเร็วลม 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้พัดถล่มพื้นที่ของมลรัฐที่อยู่บริเวณอ่าวเม็กซิโก มลรัฐที่ได้รับความเสียหายอย่างมากได้แก่ นิวออลีนส์ มิสซิสซิปปี้ อลาบามาและหลุยส์เซียนา โดยพื้นที่ประมาณร้อยละ 80 ของมลรัฐนิวออร์ลีนและหลุยส์เซียนาถูกน้ำท่วมขังอยู่ในภาวะจมอยู่ใต้น้ำ เนื่องจากเขื่อนกั้นน้ำบริเวณทะเลสาบพอนท์ชาร์เทรนได้แตกร้าวและกั้นน้ำที่ท่วมล้นไม่ได้ มีผู้เสียชีวิตประมาณ 500 คนและก่อความเสียหายอย่างรุนแรงแก่อาคารบ้านเรือนและฐานขุดเจาะน้ำมัน นับว่าเป็นพายุเฮอริเคนที่ก่อให้เกิดความหายนะต่อสหรัฐอเมริกามากที่สุดนับตั้งแต่ พ.ศ.2543 เป็นต้นมา
        2. แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในแถบเอเชียใต้
        เอเชียใต้เป็นภูมิภาคที่มีแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง แต่ในปี พ.ศ.2548 ได้มีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในวันที่ 8 ตุลาคม 2548 ศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ที่แคว้นแคชเมียร์ในส่วนปกครองของปากีสถานมีแรงสั่นสะเทือน 7.6 ริกเตอร์ มีผู้เสียชีวิตประมาณ 75,000 คนและไม่มีที่อยู่อาศัยประมาณ 3,500,000 คน ทำให้เมืองชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานถูกทำลายไปทั้งหมด โรงเรียนหลายแห่งพังทลายอย่างฉับพลันจึงทับนักเรียนเสียชีวิตหลายพันคน นอกจากนี้ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชนที่อาศัยในแคว้นแคชเมียร์ในส่วนปกครองของอินเดียด้วยเช่นกัน แผ่นดินไหวครั้งนี้นับว่ามีความรุนแรงมาที่สุดในรอบหนึ่งร้อยปีของบริเวณเอเชียใต้
        ภายหลังแผ่นดินไหวได้มีความช่วยเหลือจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเข้ามา แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการจนทำให้นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติต้องออกมารณรงค์ร้องขอความช่วยเหลือจากประเทศต่าง ๆ ด้วยตนเอง จึงสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ได้รับภัยพิบัติในครั้งนี้ไปได้
        ท่านผู้ฟังที่เคารพ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดภาวะโลกวิกฤตยังไม่ใช่มีเพียงเท่านี้ แต่นับวันจะรุนแรงยิ่งขึ้นเพราะมนุษย์ทั้งหลายได้ร่วมกันใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากมายและขาดความเอาใจใส่ต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม การแก้ไขวิกฤตเหล่านี้จะทำได้โดยทุกประเทศจะต้องให้ความร่วมมือกันอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และประชาชนในแต่ละประเทศจะต้องให้ความร่วมมือในการแก้ไขด้วยจึงจะทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมลดน้อยลงไปได้บ้าง เราทุกคนต้องพึงระลึกไว้เสมอมา ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาร่วมกันของสังคมและมนุษยชาติ ทุกคนจึงต้องร่วมกันแก้ไขจึงจะช่วยลดปัญหาผลกระทบที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงไปได้ด้วย
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #44 เมื่อ: 06 สิงหาคม 2550, 14:14:18 »

:oops: มหันตภัยของประเทศไทย
และหากท่านใดมาอ่านพบข้อความเหล่านี้กรุณาใช้วิจารณญาณในการรับรู้ให้ดี
อย่าเพิ่งเชื่อถือกับข้อความเหล่านี้ และอย่าตื่นตระหนกไปกับข้อความเหล่านี้
เพียงรับรู้ไว้เป็นข้อมูลอันหนึ่งเท่านั้น หรือรับรู้ว่าเป็นนิยายเพ้อเจ้อไร้สาระก็พอ

คัดลอกมาจากhttp://www.piupun.com/newage/
ศาสตร์แห่งอภิปรัชญา .. ศรัทธาใหม่ของโลก

ที่มา : การสื่อถ่ายทอดพระโอวาทจากพระบิดา
ที่อยู่นอกระบบเอกภพ ผ่านทางอาจารย์ปริญญา ตันสกุล ครั้งที่ 76

ในวันที่ 15 – 16 กันยายน 2545 ณ. ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติริ์


รายละเอียดของมหันตภัยที่จะเกิดขึ้น สถานที่แห่งแรกในประเทศไทย
ที่จะได้เผชิญกับลาวาร้อนจากไฟใต้โลก
จะเกิดขึ้นจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดแรกในภาคอีสาน

ตามรอยต่อของจังหวัดที่ติดกันเป็นแนวยาว เริ่มแรกจะมีลักษณะเป็นแนวแยกของแผ่นดินคดเคี้ยว ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ธารโลหะร้อนจะไหลลามแผ่ออกไปเป็นบริเวณกว้าง ข้ามวันข้ามคืนติดต่อกัน
จากนั้นพายุที่รุนแรงจะนำน้ำมาดับไฟ ก่อให้เกิดนำท่วมและโรคร้ายที่จะระบาดอย่างรุนแรง จนสุดที่จะเยียวยาได้
โดยเฉพาะอหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่ ที่มนุษย์เชื่อว่าได้กำจัดมันจนหมดไปจากโลกนี้แล้ว แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังฟักตัว
และจะมีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าตอนที่ถูกมนุษย์ปราบมันไปตอนนั้นเสียอีก
ซึ่งมันสามารถคร่าชีวิตผู้รับเชื้อได้ในระยะเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น

**********************************

ท้องฟ้ามืดมิด ฝนจะเริ่มตกหนักทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง น้ำจะเอ่อขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าท่วมแผ่นดินในหลายๆ พื้นที่ พายุไซโคลนจะพัดกระหน่ำ ซึ่งจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 160 กม./ชม. พัดผ่านกรุงเทพ ผ่านช่องแม่น้ำเจ้าพระยา ตึกแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่อยู่ใกล้กับสะพานกลางเก่ากลางใหม่ ในย่านฝั่งธนบุรีจะพังทลายลงมา จากการโหมกระหน่ำและความบ้าคลั่งของลมพายุ มีผู้เสียชีวิตในครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่า 600 คน ในเวลาหลังจากนั้นไม่นานนัก ตึกสีขาวที่อยู่ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามจะพังทลายตามลงมา ยอดตึกที่พังทลายจะแลเห็นโผล่เหนือน้ำ ให้เห็นเป็นอนุสรณ์ของคราบน้ำตา หลังคาบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียงจะปลิวว่อน เสาไฟฟ้าจะล้มระเนระนาด ด้วยความรุนแรงของลมพายุ

******************************
ตึกสูงย่านประตูน้ำ ในกรุงเทพมหานคร ผนังตึกส่วนหนึ่งจะรูดลงมากองกับพื้น
ด้วยความรุนแรงของลมพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
จะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียง อย่างเหลือที่จะคณานับ

*******************************

เทือกเขาตะนาวศรีในเขตจังหวัดราชบุรี จะพังทลายลงมา เนื่องจากแผ่นดินไหวที่รุนแรง ซึ่งจะเปิดเผยให้เห็นถึงภูเขาไฟที่ซุกซ่อนอยู่ หลังจากนั้นไม่นานภูเขาไฟลูกแรกในประเทศไทย จะระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง เสียงดังกึกก้องกัมปนาทดังมาถึงกรุงเทพ ธารลาวาจะไหลลงไปยังฝั่งพม่า ไม่นานนักระเบิดลูกที่สอง และลูกที่สามก็ตามมา ลูกที่สี่ จะรุนแรงอย่างถึงที่สุด ซึ่งจะสร้างความอำมหิตให้กับภาคเหนือและภาคอีสานต่อไป

********************************
ณ บ้านกุดฉิม อำเภอหนองเรือ จัดหวัดขอนแก่น จะเกิดภูเขาไฟแห่งที่สองระเบิดขึ้น มีผู้เสียชีวิตประมาณ 500 คน เกิดแผ่นดินไหว และมีลาวาร้อนจากภูเขาไฟ
ไหลเคลื่อนตัวทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ขึ้นที่บ้านโพธิ์ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย มีผู้เสียชีวิตร่วมพันคน

*******************************

เกิดภูเขาไฟระเบิดในจังหวัดกาฬสินธุ์ อย่างกระทันหัน จนยากที่ผู้คนในบริเวณนั้นจะตั้งตัวทัน และจะเกิดปรากฎการณ์ที่แปลกประหลาด มีจำนวนเด็กและผู้หญิงเสียชีวิตมากกว่าผู้ชาย
จังหวัดตรัง เกาะทุกเกาะจะจมหายไป เนื่องจากลมพายุที่รุนแรงและทะเลคลั่ง ที่กลบกลื่นหมู่เกาะให้หลับลึกไปอย่างรวดเร็ว
สมุทรปราการ จะจมหายลงไปในท้องทะเลครึ่งเมืองอย่างถาวร เนื่องมาจากลมพายุที่โหมกระหน่ำ บวกกับน้ำทะเลหนุนสูง น้ำจะท่วมอย่างรวดเร็ว และมีสายน้ำเปลี่ยนทิศไหลผ่าเมืองอย่างน่าหวาดกลัว ผู้ที่รับบาดเจ็บจากหายนะในครั้งนี้ จะถูกนำส่งยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านสำโรง ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้จะเป็นประตูต้นทาง ของกระแสน้ำที่ไหลเปลี่ยนทิศ แต่ก็เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดของเมืองสมุทรปราการ
เกาะสมุย จะถูกลบหายไปจากแผนที่โลก เนื่องจากแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
และเกิดพายุรวมทั้งคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ จนกระทั่งเกาะทั้งเกาะจมหายลงไปในท้องทะเล อย่างไม่มีวันหวนกลับคืน

****************************
เกิดแผ่นดินไหวที่ตัวเมืองบุรีรัมย์ เสียชีวิตทันที 53 คน ผู้บาดเจ็บที่เหลือจะเสียชีวิตอย่างมากมาย ในระหว่างทางไปโรงพยาบาล เกาะปันหยี จังหวัดพังงา เกิดน้ำท่วมสูง
และพายุที่รุนแรงโหมกระหน่ำ เกาะหายสาบสูญอย่างถาวร ผู้คนเสียชีวิตทั้งเกาะ
เขื่อนบางลาง จังหวัดนราธิวาส ถูกคลื่นจากทะเลซัดกระหน่ำ จนกระทั่งเขื่อนแตก น้ำไหลทะลักเข้าท่วมแผ่นดิน รวมทั้งน้ำทะเลที่ถาโถมเข้าใส่แผ่นดินอย่างบ้าคลั่ง
จนกระทั่งไม่มีนราธิวาส หลงเหลืออยู่ในแผนที่โลก
บ้านหาดเล็ก จังหวัดตราด ถูกคลื่นยักษ์ไซโคลนกระหน่ำ แผ่นดินหายไม่มีเหลือ
ยะลา ถูกทะเลคลั่งโหมกระหน่ำ น้ำทะเลสูง แผ่นดินหาย เหลือเพียงเกาะเล็กๆ เท่านั้น ที่จะมีชื่อเรียกใหม่ว่า“เกาะยะลา”

จังหวัดสงขลาน้ำท่วมสูง เกาะทุกเกาะจมหาย จะเหลือเพียงหาดใหญ่บางส่วนที่น้ำจะไม่ท่วมถาวร

*************************

ชลบุรี ชายฝั่งทะเลบางแสน ถูกคลื่นยักษ์ 4-5 เมตร ซัดกระหน่ำอย่างรุนแรงจนกระทั่งมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งพังพินาศ แต่น้ำทะเลจะไม่ท่วมถาวร
ฉะเชิงเทรา น้ำจะท่วมถึงสองฝั่งบางปะกง จนถึงฐานหลวงพ่อโสธร
กระบี่จะถูกพายุพัดกระหน่ำ ผืนดินทางด้านตะวันออกจะหายไป ชาวประมง ประมาณ 180 คนจะถูกกลืนหายไปในท้องทะเล
ชุมพร จะเผชิญพายุฝนที่รุนแรง คลื่นจัด น้ำท่วมสูง ศาลกรมหลวงชุมพรจะเหลือไว้เป็นอนุสรณ์ให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์
อุทยานภูริน นางย่อง สิมิลัน จังหวัดพังงา ถูกคลื่นยักษ์ซัดหาย

********************************

ภูเก็ต ถูกพายุถล่มอย่างบ้าคลั่ง จะกระทั่งเกาะทั้งเกาะหายไปจากแผนที่โลก
มีผู้เสียชีวิตทันทีประมาณ 40,000 – 60,000 คน

********************************

นครศรีธรรมราชน้ำท่วมใหญ่ มีผู้เสียชีวิตประมาณ 20,000 คน
พังงา น้ำท่วม แผ่นดินจะถูกกลืนจมหายลงไปในท้องทะเล
ปัตตานี ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมทั้งจังหวัด แต่ วัดช้างไห้ ของหลวงปู่ทวด จะปลอดภัย รูปปั้นหลวงปู่ทวดจะแสดงปาฎิหารย์ ลอยน้ำขวางกระแสน้ำเชี่ยว น้ำจะแห้ง วัดช้างไห้จะกลายเป็นเกาะกลางน้ำ
เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์จะพังหลาย กระแสน้ำที่เชี่ยวกราด จะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า มีผู้เสียชีวิตทันที่ประมาณ 200 คน
เกิดภูเขาไฟระเบิดอย่างกึกก้องกัมปนาถที่จังหวัดอุตรดิตถ์
กาญจนบุรี เขื่อนศรีนครินทร์จะมีปัญหา น้ำไหลอ้อมเขื่อนท่วมด้านล่างเสียหายบางส่วน รวมทั้งน้ำท่วมสูงแผ่นดินหายถาวรครึ่งจังหวัด

***************************

นครราชสีมา เกิดน้ำท่วมใหญ่เป็นประวัติการณ์ กระแสน้ำจะท่วมสูงจนถึงฐานของอนุเสาวรีย์ย่าโม
******************************

ทุกจังหวัดในประเทศไทยต่างก็ได้รับความบอบช้ำด้วยกันทั้งสิ้น จะมากน้อยต่างกันไป บริเวณใดที่มีผู้คนมีศีลธรรมอาศัยอยู่ อาจได้รับการปกป้อง บรรเทาภัยพิบัติให้เบาบางลงไปได้บ้าง
ข้อมูลทุกอย่างที่กล่าวมานี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ระดับความรุนแรงจะไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน ดังเช่นภูเขาไฟที่กล่าวว่าจะเกิดในสถานที่หลายแห่งนั้น อาจเกิดระเบิดกึกก้องกัมปนาถรวมกันในสถานที่แห่งเดียว แต่จะมีความรุนแรงมากกว่าปกติ
กล่าวคือ อาจมีลาวาจะพุ่งสู่ท้องฟ้าสูงเป็นพิเศษ ถึง 6 กิโลเมตร เป็นต้น

เหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมานั้น จะมีอยู่วันหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงที่สุด คลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายังโลก เป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุสุริยะ
อันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่ 11 มนุษย์ทุกคนบนโลก จะได้พบกับเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว
บรรยากาศช่วงแรกๆ จะรู้สึกหดหู่ เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกลหลังจากนั้นไม่นานนักลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงฟ้า เสียงลม จะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด
ตั้งแต่เกิดมาจะไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต มันเป็นเสียงของมัจจะราชที่จะพิพากษาโลกในด้านความเป็นมนุษย์ คนชั่วทุกคนจะถูกประหารชีวิต และจะตายอย่างทรมาน ม่เว้นแม้แต่ผู้นำสังคม ผู้นำเศรษฐกิจ ผู้นำลัทธิ ฯลฯ
ส่วนคนดีจะได้รับการยกเว้นเอาไว้ ให้ได้ทำความดีโดยไม่มีอุปสรรคต่อไป
บันทึกการเข้า
yungying
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #45 เมื่อ: 06 สิงหาคม 2550, 14:45:38 »

งั้นย้ายไปอยู่จังหวัดไหนดีอะ.....จะได้ปลอดภัย
บันทึกการเข้า

ttp://dekhorcu.multiply.com/
mmwindoo_79
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 254

« ตอบ #46 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 10:48:16 »

น่ากลัว พึงสังวร
โลกกำลังเยียวยาตัวเอง โดยมนุษย์ไม่มีสิทธิ์โต้แย้งใดๆ
เพราะแต่เดิม มนุษย์อยู่ร่วมกับโลกด้วยความเคารพ เสมือน เป็นแม่ (mother earth)
ลูกเกิดจากดิน ลูกก็กลับสู่ดิน  ลูกทำกินอยุ่บนร่างแม่ จึงต้องเซ่นสังเวยด้วยความเคารพ
เพราะเจ้าแม่ดินนั้น ต่อรองไม่ได้

ที่กล่าวมานี้ ไม่ได้เพราะองค์ลงนะครับ
ลองไปหาอ่านได้ใน "ฝรั่งคลั่งผี" งานกึ่งวิชาการของไมเคิล ไรท์ สำนักพิมพ์มติชน เพิ่งวางขายนะจ๊ะ


ว่าแต่ อ.ปริญญา ตันสกุล  แกเผลอกลืนน้ำยาบ้วนปากหรือเปล่าครับ
พระบิดาอยู่นอกเอกภพซะด้วย เมามาแต่ไกล
บันทึกการเข้า
หลิม 81
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,840

« ตอบ #47 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 12:34:20 »

ที่อ่านมาไม่เห็นมี จันทบุรี บ้านเรา..แสดงว่า..คนดีมีศีลธรรมอยู่เยอะ

ส่่วนคนบาป กำลังจะไปตรุกี..
บันทึกการเข้า

@ ปีนี้ปีของผม @
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #48 เมื่อ: 12 กันยายน 2550, 00:12:24 »

หนองบัวลำภูรอด  :lol:
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #49 เมื่อ: 30 กันยายน 2550, 11:38:41 »

:oops: ลักษณะอากาศทั่วไป   เมื่อเวลา 04:00 น.วันนี้  
 
ร่องความกดอากาศต่ำกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลาง พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกชุกกับมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยโดยเฉพาะจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ และเพชรบูรณ์ ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในระยะ 1-2 วันนี้ไว้ด้วย อนึ่ง เมื่อเวลา 04.00 น. พายุดีเปรสชั่นในทะเลจีนใต้ มีศูนย์กลางอยู่ที่ ละติจูด 16.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 117.0 องศาตะวันออก มีความเร็วสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 55 กม./ชม. กำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตก ด้วยความเร็ว 15 กม./ชม.
บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 2 [ทั้งหมด]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><