28 เมษายน 2567, 01:59:12
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 3 ... 8 [ทั้งหมด]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อคิด คำคม ปรุงผสมเป็น " ยาใจ "  (อ่าน 227661 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« เมื่อ: 24 สิงหาคม 2550, 19:40:48 »

บางข้อคิด  คำคม ( ที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องธรรมะ ... สาธุ ) ที่ forward มาจากเพื่อนฝูง  ญาติโยม ทั้งหลาย  บางทีก็สามารถกระตุก " ต่อมฉุกคิด " ของเราได้ฉมังดีแท้  ว่ามั้ย ?

เจี๊ยบเอามาเผื่อทุกท่านด้วยล่ะ ... ที่ link นี้ ( มี 3 หน้าแล้วนา )   พี่ๆ น้องๆ อ่านจบแล้ว  เจ้าของกระทู้ก็หวังว่า  ท่านคงจะมี ข้อคิด  คำคม  ดีๆ  เจ๋งๆ  มาแบ่งปันกันอีกเพียบเลย  ใช่มั้ยคะ ?


http://www.cu2516.com/phpBB/viewtopic.php?t=31

*********************
บันทึกการเข้า
Junphen Juntana
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 403

เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2550, 23:47:43 »

จะสะกดรอย ตามต้อยๆ ไปอ่านนะคะพี่เจี๊ยบ Cheesy

บันทึกการเข้า

เพ็ญ อักษร: รหัส 36 & ซีมะโด่ง 76

เว็บไซต์: http://www.tpa.or.th/writer/author_des.php?passTo=98900ed085c9084a2b01bdbd15fa8470&authorID=429

http://www.facebook.com/penfriend

ทำใจให้ดี ทำดีให้ใจ
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2550, 10:23:59 »

ตำนานของมหาวิทยาลัย Harvard & Standford

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

สุภาพสตรีในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายเรียบๆ  กับสามีของเธอในชุดสูทเนื้อผ้าธรรมดาๆ  ก้าวลงจากรถไฟในชานชาลาสถานีเมืองบอสตัน  ทั้งคู่ยืนรออย่างสงบอยู่หน้าสำนักงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  เลขานุการสาวดูออกในแว่บเดียวว่า  สามีภรรยาซอมซ่อคู่นี้มาจากบ้านนอก  และไม่น่ามีธุระอะไรในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแห่งนี้ได้  หล่อนขมวดคิ้ว
" เราต้องการพบท่านอธิการบดี "  สามีกล่าวนุ่มนวล
" ท่านติดนัดตลอดทั้งวัน "  เลขาฯสะบัดเสียงเล็กน้อย
" งั้นเราจะรอ "  ภรรยาตอบ

เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่เลขานุการทำเป็นไม่สนใจ  โดยประมาณว่าทั้งคู่คงทนไม่ได้  และกลับไปเอง  แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่  เลขาฯสาวเริ่มไม่แน่ใจจึงต้องรบกวนเวลาท่านอธิการบดี
" พวกเขาคงแค่อยากพบท่านครู่เดียวก็กลับ "  หล่อนอธิบาย
 
ท่านอธิการบดีถอนใจด้วยความเบื่อหน่าย  แล้วก็พยักหน้าเสียไม่ได้  จริงๆ แล้วคนสำคัญระดับท่านอธิการจะมีเวลาพบคนระดับนี้ได้อย่างไร ?  แต่นั่นเถอะนะ  ท่านคิด  ดีกว่าปล่อยให้คู่สามีภรรยาบ้านนอกป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ให้ใครต่อใครมาเห็น  ท่านเชิดหน้าอย่างทรงเกียรติใส่ทั้งคู่

ภรรยากล่าวขึ้น " ลูกชายของเราเคยเรียนในฮาร์วาร์ด1 ปี  เขารักฮาร์วาร์ดมาก  และเขาก็มีความสุขที่นี่อย่างยิ่ง  แต่เมื่อปีที่แล้วเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต  สามีและดิฉันก็เลยอยากทำอะไรสักอย่างไว้เป็นที่ระลึกถึงเขา  ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ "

ท่านอธิการไม่รู้สึกร่วมแต่อย่างใด  เพียงแต่ช็อคเล็กน้อย
" คุณผู้หญิง  เราไม่สามารถสร้างรูปปั้นให้กับทุกคนที่เคยเรียนฮาร์วาร์ด  แล้วก็ตายหรอกนะ  ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น  ที่นี่คงดูไม่ต่างไปจากสุสานแน่ "
" โอ ... ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ  ท่านอธิการบดี " ภรรยารีบอธิบาย
" เราไม่ได้ต้องการจะสร้างรูปปั้น  เราคิดว่าเราจะสร้างตึกให้ฮาร์วาร์ดต่างหาก "

ท่านอธิการกรอกตาไปมา  เขามองไปที่ชุดผ้าฝ้ายกับสูทบ้านนอก " สร้างตึก !  พวกคุณรู้ไหมว่าใช้เงินเท่าไรในการสร้างตึกสักหลังหนึ่ง  เราใช้เงินไปมากกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์  แค่ตอนเริ่มก่อตั้งฮาร์วาร์ดนี่ "  เป็นครู่ที่สุภาพสตรีเงียบกริบ  ท่านอธิการรู้สึกโล่งอก  ในที่สุดสามีภรรยาคู่นี้ก็ถูกกำจัดไปได้เสียที

ภรรยาก็หันมาพูดกับสามีเบาๆ ว่า " ใช้เงินแค่นั้นเองน่ะหรือ  ในการสร้างมหาวิทยาลัย ? แล้วทำไมเราไม่สร้างของเราเองสักแห่งหนึ่งล่ะ ? " สามีผงกศีรษะ

สีหน้าท่านอธิการเต็มไปด้วยความงงงวยสุดขีด  แล้วนาย และนาง ลีแลนด์ สแตนฟอร์ด ก็เดินทางไปยังพาโลอัลโตในแคลิฟอร์เนีย  ที่ๆ พวกเขาก่อตั้งมหาวิทยาลัยภายใต้นามสกุลของครอบครัว  เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ลูกชายที่ฮาร์วาร์ดไม่เคยเห็นคุณค่า


เรื่องนี้ดีมากเลย  มันเป็นเรื่องประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัย Standford ในสหรัฐฯ  ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดัง  คู่แข่งกับมหาวิทยาลัย Harvard  แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของคนที่ชอบตัดสินคนอื่นจากเปลือกนอก  และอเมริกา-ประเทศที่เราอยากจะเอาตามอย่างเขาเหลือเกิน
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #3 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2550, 14:37:58 »

This story is great ka pee Jiab.Thank you for giving me something to think about it.
nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 01 กันยายน 2550, 00:26:18 »

เริ่มต้นที่ตอนจบ

จิ๋ม-จงรักษ์ เชื้อแก้ว - อักษร 16 ... ส่งมา

บทความ ของ วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ ปริญญาโท จากฮาร์วาร์ด

มีคนชอบถามหนูดีว่า จะใช้สมองอย่างไรถึงจะคุ้มค่า จะใช้ชีวิต ใช้เวลาอย่างไรถึงจะถือว่าสมองของเราไม่ได้สูญเปล่า ด้วยความที่หนูดีเรียนมาด้านสมองและทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ จึงถูกถามในเรื่องนี้เป็นประจำ และก็เป็นคำถามที่ทำให้หนูดีสนุกมากที่จะตอบเสมอ เพราะคำถามชนิดนี้ มีคำตอบได้มากมาย ไม่เคยตายตัว ใครตอบก็ไม่มีวันซ้ำกัน

วันนี้ลองมาฟังนักวิจัยด้านสมองตอบคำถามนี้ดูกันเล่น ๆ ไหมคะ

สมัยที่หนูดีเรียนอยู่ที่อเมริกา เคยถูกให้ทำแบบฝึกหัดหนึ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตหนูดีไปตลอดกาลเลย คือ เกม “ เริ่มต้นที่ตอนจบ ” โดยเกมนี้เล่นไม่ยาก แต่ใช้เวลาพอสมควร หนูดีเคยนำมาฝึกกับลูกศิษย์ของหนูดีบ่อย ๆ มีคนนั่งหลับตาไป ร้องไห้ไป มาหลายคนแล้ว เพราะเป็นเกมที่ทำให้เราได้ย้อนหลังกลับไปมองชีวิต ไม่ใช่แต่ต้นจนอวสาน แต่ว่ามองจากอวสาน มาตอนต้น ถ้าพูดเปรียบเทียบเป็นภาษานักธุรกิจก็ต้องบอกว่า Begin with the end in mind ก็คือการเริ่มต้นมาจากการมองเห็นภาพตอนจบ หรือสัมฤทธิผลของเรื่อง


เกมนี้เริ่มที่ หนูดีจะขอให้ผู้อ่านลองหาเวลาเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองในตอนที่เราไม่มีเรื่องรีบร้อนอันใดต้องไปทำ แล้วให้นั่งลง หลับตาจินตนาการภาพตัวเรา ตอนอายุสักแปดสิบ โดยให้สมมติว่า เราจะต้องตายตอนอายุสักแปดสิบ และตอนนั้น เราเจ็บป่วย นอนอยู่บนเตียง หลังจากนั้นให้เราลองจินตนาการย้อนกลับไปมองทั้งชีวิตของเราว่า ที่ผ่านมาเราได้ใช้มันไปอย่างไรบ้าง เราใช้เวลาของเราทำอะไรไป เราวิ่งตามอะไร เราวุ่นวายกับอะไร เรารักใคร เราไม่รักใคร ความสุข ความทุกข์ของเราเป็นผลจากอะไร

แต่สองคำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ เราจะเสียดายที่สุด หากเราตายไปโดยไม่ได้ทำอะไร ... เราจะเสียดายที่สุด หากเราไม่ได้ใช้เวลากับใคร หากเราตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างกระจ่างชัด ก็จะมีเวลาบางช่วงที่เราจะไม่ใช้ไปอย่างที่เราใช้อยู่ จะมีกิจการบางกิจการ ที่เราไม่เลือกจะก่อตั้ง มีเพื่อนบางคนที่เราอาจจะเลิกคบ มีเงินบางก้อนที่เราจะปฏิเสธไม่รับ สารพัดของสิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าเรามีเวลาถอยออกมาจากชีวิต แล้วย้อนกลับไปมองเหมือนกับว่า เรากำลังดูหนังวิดิโอชีวิตของคนอื่นอยู่ แล้วก็วิจารณ์ว่าเขาคนนั้นตอนยังมีชีวิตอยู่ น่าจะทำอะไรที่ควรทำ

ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคที่ง่ายดายและลึกซึ้ง เมื่อหนูดีลองทำแล้ว เป็นประโยชน์อย่างยิ่งถึงขั้นหนูดีเปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนชีวิต เพราะจากที่เคยคิดอย่างเด็กอายุยี่สิบ หนูดีกระโดดข้ามไปคิดแบบแปดสิบได้ ตอนนี้เลยเหมือนย้อนกลับมาใช้ชีวิตรอบสอง โดยอายุยังไม่ครบสามสิบเลย เหมือนมีสองชีวิตเลยค่ะ

เมื่อก่อนหนูดีเคยคิดว่า ความสำเร็จในชีวิตก็เหมือนกับการหาของใส่กล่อง คนเก่งกว่าก็ใช้เวลาเป็น ใช้ชีวิตคุ้ม ก็หาของมาใส่กล่องได้เร็วและมากกว่าคนอื่น แต่อีกปัจจัยที่ทำให้กล่องเต็มได้ ที่หนูดีไม่เคยคิดมาก่อนจะเล่นเกมนี้ก็คือ แค่เราเปลี่ยนขนาดกล่องให้เล็กลงซะ มันก็เต็มได้โดยไม่ยากเย็นเลย

ดังนั้นการใช้สมองให้เต็มที่ คุ้มค่า เพื่อให้ชีวิตมีสุขได้ครบด้านและง่ายดาย น่าจะอยู่ที่ศักยภาพในการถอยออกมาแล้วมองชีวิตจากมุมห่างออกไปอีกหน่อย มองย้อนกลับจากวันสุดท้ายของชีวิต ก็เป็นความท้าทายที่น่าสนุกอีกแบบหนึ่ง มันเปลี่ยนชีวิตหนูดีมาแล้ว ในทางที่ดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์ ด้วยคำถามง่าย ๆ ไม่กี่คำถาม

แล้ววันนี้ ท่านผู้อ่านของหนูดีคิดว่า " ชีวิตนี้ ไม่ได้ทำอะไรแล้วจะเสียดายที่สุดคะ และไม่ได้ใช้เวลากับใครแล้วจะเสียดายที่สุดคะ "
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 13 กันยายน 2550, 21:09:52 »

บางครั้ง ความสุขก็ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้ามา

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

บางครั้งมันอาจจะจะอยู่ใกล้ๆตัวคุณก็ได้ ...  ลองอ่านดูเผื่อคุณจะพบความสุขในไม่ช้านี้...

1. นึกไว้เสมอว่า การโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณนาน 3 ชั่วโมง

2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก  รับรองว่าเขาต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้ง

3. ลองปลูกต้นไม้เองซักต้น  การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้

4. หลับตานิ่งๆ สัก 3 นาที  เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้า มันช่างยากเย็นเหลือเกิน

5. ระหว่างแปรงฟัน ฮัมเพลงไปด้วยจนจบ  จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นเป็น 2 เท่า

6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง  จากรสชาติที่ธรรมดา  ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย

7. ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหน  ก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด

8. การขึ้น-ลงบันไดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย  คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไร

9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวยมากๆ  ทันทีที่คุณถามเขาว่า “ ให้ช่วยพาข้ามถนนไหมคะ ”

10. เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน  ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก

11. ควรหัดพูดคำว่า " ไม่เป็นไร " ให้เคยปาก  มากกว่าจะพูดคำว่า " จะเอายังไง "

12. ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที  รับรองว่าจะไม่ไปสายเหมือนเมื่อก่อน

13. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง  ดังนั้นเรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้  จึงเล่าให้มันฟังได้

14. อาหารที่จะไม่ชอบกินตอนเด็กลองตักเข้าปากอีกสักที  เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

15. เขียนชื่อคนที่คุณเกลียดใส่กระดาษ  แล้วฉีกทิ้ง ( หรือแปะไว้ใต้รองเท้าแล้วใส่รองเท้านั้นไปเดินเล่นสักพัก )  ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ

16. ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องเช็ด  เมื่อน้ำตาแห้ง  จะดูแทบไม่ออกเลยว่าเพิ่งร้องไห้

17. ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ  จะทำให้เรายิ้มออกเสมอ  เมื่อได้เห็นมันอีกครั้ง

18. ก่อนซื้ออะไรก็ตาม  ต้องคิดหาประโยชน์ของมัน ทำให้ได้ 3 ข้อก่อน

19. ถึงเสื้อและกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย  แต่ถ้าใสสลับกันไปเรื่อยๆ  ก็จะดูเหมือนมีเยอะขึ้น

20. ซาลาเปา 1 ลูก กินได้ 2 คน  ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน  ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง

21. เลือกให้ของขวั­ญแก่คนที่ไม่เคยได้   ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะ  จนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด

22. ในวันที่รู้สึกเศร้าหรือเหงาๆ  เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอก  ก็จะดีขึ้น

23. แอบรักใครสักคน ... ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่า " ความรู้สึกรัก " มันเป็นอย่างไร

24. ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน  แต่ก็ไม่ได้หมายความจะแต่งตัว สวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่

25. ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง   ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน

26. ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้  ทำไมถึงจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้

27. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบ  มันอาจจะไม่สนุก  แต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่

28. วันที่ตื่นเช้าให้บิดขี้เกียจให้นานที่สุด  เท่าที่จะนานได้  ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย

29. แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน  ก็เป็นการทำบุ­ญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว

30. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน  แม่จะได้มีค่าขนมให้คุณเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท
บันทึกการเข้า
อ้อย 14
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,055

« ตอบ #6 เมื่อ: 15 กันยายน 2550, 15:07:17 »

น้องเจี๊ยบขา
                    :lol:  :arrow:  พี่พยายามให้ตาหมออิ้ดโทรให้หนูโทรกลับมาหาพี่  อย่างไร  ช่วยติดต่อมาที่ 086-6408229 ก่อนวันประชุมหอด้วยนะคะ
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #7 เมื่อ: 15 กันยายน 2550, 15:11:05 »

psst,P.Oy ka,
may I call??
nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 15 กันยายน 2550, 17:27:23 »

:cry:  อ๊าว !  เจี๊ยบมีแต่เบอร์เก่าของพี่อ้อย  081-954-0746  มิน่าล่ะ  โทร.ไปแล้ว  เค้าบอกว่ายังไม่ได้เปิดให้บริการในระบบ GSM Advance ค่ะ ... กำลังมึนอยู่ว่า  แล้วจะได้คุยกับพี่อ้อยมั้ยเนี่ย ?
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9 เมื่อ: 16 กันยายน 2550, 03:16:35 »

psst,P.Jiab ka,
as khun pee still confused about the right number...nungning ,she did it already...herr,herr...mouthtaek across the Atlantic...direct to Khonkaen,wow! incredible to talk to P.Oy14...
nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 16 กันยายน 2550, 17:05:16 »

คำสอนดี ๆ

แต๋ม - อริสา - ครุ 16 ... ส่งมา

บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #11 เมื่อ: 16 กันยายน 2550, 17:19:31 »

I love it so much( then hold her lipstick and make it up a little bit more)
thank you ka P.Jiab kon soey jing!
nungning jing jing na
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 18 กันยายน 2550, 20:48:05 »

Do not ever lose the hope.

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 22 กันยายน 2550, 15:54:25 »

มีทำไม ?

ต๊อก-ฤทธิ์ณรงค์ - วิทยา 16 ... ส่งมา

บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 25 กันยายน 2550, 10:15:12 »

ข้อคิดดีๆ

นายสัตวแพทย์ สากล ... ส่งมา




บันทึกการเข้า
krongon2513
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,490

« ตอบ #15 เมื่อ: 25 กันยายน 2550, 21:22:13 »

ขอบคุณน้องเจี๊ยบนะคะ
พี่ชอบมากค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกดี..ดีจังเลย
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 26 กันยายน 2550, 02:35:59 »

:oops: ขอบคุณค่ะ  ที่พี่อ้อยให้กำลังใจคนโพสต์
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2550, 14:03:38 »

สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ ... คืออะไร ?

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

กาลครั้งหนึ่งนานานมาแล้ว ... อาเธอร์ถูกจับ และจะถูกประหารชีวิตแต่ กษัตริย์เสนอให้เขาเป็นอิสระ ถ้าหากเขาสามารถตอบปัญหาแสนยากข้อหนึ่งได้ถูกต้อง อาเธอร์มีเวลาหาคำตอบ 1 ปีเต็ม ถ้าเขาตอบไม่ได้เขาก็จะถูกประหารชีวิต

คำถามนั้นคือ ... สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ นั้น ... คืออะไร ?

ปัญหานี้ช่างแสนยากเย็น จนแม้นักปราชญ์ที่ชาญฉลาด ก็ยังงุนงง เขากลับไปยังอาณาจักรของเขา และเริ่มหาคำตอบจากทุกผู้คน แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่น่าพอใจได้ คนส่วนมากจะแนะนำให้เขาไปปรึกษาเรื่องนี้กับยายแม่มดแก่ ซึ่งน่าจะเป็นผู้เดียวที่รู้คำตอบ แต่ราคาค่าปรึกษาคงจะแสนแพง แล้ววันสิ้นปีก็มาถึง อาเธอร์ไม่มีทางเลือกอื่น ... แม่มดตกลงจะให้คำตอบ แต่อาเธอร์ต้องยอมรับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนก่อน นังแม่มดต้องการแต่งงานกับกาเวน-อัศวินผู้ทรงเกียรติสูงสุดของเหล่าอัศวินโต้ะกลม และเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของอาเธอร์ อาเธอร์หนุ่มถึงกับสยองขวัญ เพราะยายแก่หลังโก่ง เหม็นก็เหม็น มีฟันเหลือซี่เดียว ตัวเหม็นเหมือนถังส้วม ชอบทำเสียงประหลาดน่ารังเกียจ

เขาปฎิเสธที่จะให้เพื่อนรักแต่งงานกับหล่อน ฝ่ายกาเวนพอได้รับทราบถึงข้อเสนอนั้น เขายอมแต่งงานเพื่อชีวิตของอาเธอร์ และให้สมาชิกอัศวินโต้ะกลมยังคงอยู่ครบ ยายแม่มดก็ให้คำตอบแก่อาเธอร์ว่า สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ ก็คือ " การเป็นตัวของตัวเอง "

ทุกคนทราบได้ทันทีว่าแม่มดได้กล่าวอมตะวาจาอันยิ่งใหญ่ ทำให้อาเธอร์จะรอดพ้นจากการโดนประหารแน่นอน และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ทว่า ... งานแต่งงานของแม่มดกับกาเวนช่างเหลือรับจริงๆ


กาเวนนั้นสง่าผ่าเผยเช่นปกติ ทั้งยังสุภาพอ่อนน้อมส่วน ฝ่ายนังแม่มดเฒ่านั้น ออกลายนิสัยเลวสุดขีด ทั้งกินมูมมามด้วยสองมือ ทั้งเรอ ทั้งตด ผู้คนต่างรู้สึกอึดอัด และแล้วคำคืนของวันส่งตัวก็มาถึง กาเวนได้แต่ปลอบใจตนเอง และพร้อมรับคำคืนสยอง เขาก้าวเข้าสู่ห้องวิวาห์ ... แล้วก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง .... หญิงสาวแสนสวยที่สุดที่เคยพานพบ นอนรออยู่เบื้องหน้า

กาเวนงุนงง ... สาวแสนสวยเฉลยว่าเพราะกาเวนช่างแสนดีกับหล่อน ( เมื่อยามเป็นแม่มด ) ดังนั้นครึ่งหนึ่งของวัน เธอจะอยู่ในสภาพพิกลพิการน่ารังเกียจ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของวันเธอจะอยู่ในร่างแสนสวยนี้ ... ตอนกลางวันเขาอยากให้เป็นแบบไหน ... นับว่าเป็นคำถามที่ช่างโหดร้าย ...

กาเวนเริ่มคิดไตร่ตรอง หญิงสาวสวยยามกลางวัน เพื่ออวดต่อเพื่อนฝูง แต่กลางคืน เมื่ออยู่กันสองต่อสองเป็นแม่มด หรือว่าเขาควรจะเลือกยายแม่มดตอนกลางวัน แล้วเลือกสาวสวยเพื่อเริงระบำยามคำคืนดี ... เป็นคุณล่ะ จะเลือกอย่างไร ?


กรุณาหยุดคิด ... สักนิดแล้วค่อยดูบรรทัดต่อไป ....

OK. เมื่อได้คำตอบของคุณแล้ว ... อ่านคำตอบของกาเวนที่อยู่ข้างล่างนี้

กาเวนตอบว่า " ข้าขอมอบให้เธอเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเอง " เมื่อเธอได้ยินดังนั้นเธอจึงประกาศก้องว่า เธอจะสวยตลอดเวลา เพราะเขาได้ให้ความเคารพ และให้เธอเป็นตัวของตัวเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...


1. ผู้หญิงไม่ว่าจะสวย หรือน่าเกลียด ลึกๆ ข้างในเธอคือ แม่มด

2. ผู้หญิงจะกลายร่างเป็นแม่มด หรือเป็นสาวแสนสวยเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับความประพฤติของผู้ชาย
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2550, 14:31:45 »

แก่นแท้ของชีวิต

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

ที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของสยามประเทศ บรรดาศิษย์เก่าที่จบจากสถาบันนี้ แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพมีชื่อเสียงในวงการสังคมต่างๆ มากมาย มีทั้งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และที่กระท่อนกระแท่นยังดิ้นรนอยู่ในหน้าที่การงานก็เยอะ

เนื่องในวาระที่อาจารย์พ่อ ซึ่งเป็นที่เคารพของศิษย์เก่าทุกคนเกษียณอายุ บรรดาศิษย์เก่าจึงถือเป็นโอกาสดีที่จะกลับไปเยี่ยมสถาบัน เพื่อเลี้ยงสังสรรค์และรำลึกถึงอาจารย์พ่อ

หลังจากกินเลี้ยงกันมาได้พักใหญ่ วงสนทนาก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นการบ่นพร่ำเกี่ยวกับความเครียดในการทำงาน และปัญหาชีวิต แต่ละคนมีปัญหาแตกต่างกันออกไปมากบ้างน้อยบ้าง อาจารย์พ่อฟังปัญหาของลูกศิษย์ทุกคน
อย่างตั้งใจ รับฟังโดยไม่มีคำวิจารณ์ หรือนำเสนอความเห็นของอาจารย์เลยแม้แต่น้อย เมื่อฟังปัญหาของลูกศิษย์จบทุกคน อาจารย์พ่อเสนอเลี้ยงกาแฟกลุ่มลูกศิษย์เก่า ท่านเดินเข้าไปในครัว และออกมาพร้อมกับกาแฟเหยือกโต และถ้วยกาแฟแบบต่างๆ บ้างเป็นถ้วยกระเบื้อง บ้างเป็นถ้วยพลาสติก และบ้างทำด้วยแก้ว มีถ้วยกาแฟหลายใบที่เป็นแบบพื้นๆ ธรรมดา บางใบ สวยวิจิตรสูงค่า

" อาจารย์ชงกาแฟใส่เหยือกมาให้แล้ว พวกเธอจัดการรินใส่แก้วดื่มกันเองนะ " บรรดาลูกศิษย์มองถ้วยกาแฟหลากหลายด้วยความสนใจ แล้วพากันเลือกถ้วยกาแฟพร้อมๆ กับรินกาแฟออกมาจากเหยือกใส่ถ้วยต่างกันออก
ไป เมื่อลูกศิษย์ทุกคนต่างมีถ้วยกาแฟในมือกันทุกคนแล้ว อาจารย์พ่อจึงกล่าวว่า


" ลองดูถ้วยกาแฟในมือของพวกเธอ กับถ้วยกาแฟที่เหลืออยู่ในถาดซึ่งไม่มีคนเลือกสิ สังเกตุกันรึเปล่า ... ถ้วยสวย ๆ แพง ๆ ถูกเลือกไปหมด เหลือไว้แต่ถ้วยแบบธรรมดาราคาถูก เป็นเรื่องปกติ ... ที่พวกเรามักจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด โดยลืมคิดถึงความต้องการที่แท้จริงของเรา และนี่คือที่มาของความเครียด และปัญหาทั้งหลายในชีวิต "

" ความจริงวันนี้ สิ่งที่พวกเราต้องการแท้จริงคือกาแฟ ไม่ใช่ถ้วยกาแฟ แต่จิตสำนึกกลับนำพาเราไปเลือกที่ถ้วย มิหนำซ้ำยังคอยชำเลืองมองถ้วยของคนอื่นๆ อีกด้วย หากชีวิตคือกาแฟ หน้าที่การงาน ตำแหน่งต่างๆ ในสังคม ก็คือถ้วยกาแฟ มันเป็นเพียงเครื่องมือ อุปกรณ์ช่วยหยิบจับ หรือประคองชีวิตของเรา มันไม่ได้ทำให้เนื้อหาจริงๆ ของชีวิต บางครั้ง .... การมัวเพ่งที่ถ้วยใส่กาแฟ มันก็จะทำให้เราลืมใส่ใจกับรสชาติของตัวกาแฟ "

" ถ้ารู้จักชีวิตที่แท้จริง ... ของ หรือตำแหน่งหน้าที่ มันก็แค่ส่วนเคลือบ ไม่ใช่เนื้อหา หรือแก่นแท้ที่สำคัญของชีวิต "
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #19 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2550, 20:01:25 »

Great.
nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #20 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2550, 12:47:15 »

คำคม จากวัดหลวงปู่ชา  จ.อุบลราชธานี

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา








บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: 08 ตุลาคม 2550, 22:53:53 »

เพราะถือ ... จึงหนัก

พูลศรี Algaier - ครุ 16 ... ส่งมา

นาวาเอกผู้หนึ่งได้เข้าไปกราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งเคยเป็นพระอุปัชฌาย์เขาเมื่อครั้งบวชที่วัดบวรนิเวศ หน้าตาของนาวาเอกดูหม่นหมองและอิดโรย ท่าทางอมทุกข์ สมเด็จฯ จึงรับสั่งถามว่า " เป็นไงมั่งพักนี้ ? "
" หนักครับ " เขาทูล " ช่วงนี้แย่มากเลยครับ "
" หนักอะไร " สมเด็จฯ ถาม


แล้วนาวาเอกก็ทูลเล่าถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ประดังประเดเข้ามาทั้งเรื่องชีวิต เรื่องการงาน เขาบอกว่าตอนนี้จวนจะแบกไม่ไหวแล้ว จึงมาเฝ้าสมเด็จฯ ขอบารมีเป็นที่พึ่ง สมเด็จฯ นั่งสักพัก ก็รับสั่งให้เขานั่งคุกเข่า และยื่นมือทั้งสองออกมาข้างหน้า แล้วพระองค์ก็หยิบกระดาษชิ้นหนึ่งมาวางบนฝ่ามือทั้งสองของนาวาเอก จากนั้นพระองค์ก็เสด็จออกไปจากที่ประทับ พร้อมกับรับสั่งว่า " นั่งอยู่นี่แหล่ะ อย่าขยับหรือไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา จะเข้าไปข้างในสักประเดี๋ยว " แล้วจึงเสด็จเข้าไป

นาวาเอกนั่งอยู่ในท่าคุกเข่า และประคองกระดาษทั้งสองมืออยู่เป็นเวลานาน ๑๐ นาทีก็แล้ว ๒๐ นาทีก็แล้ว สมเด็จฯ ก็ยังไม่ออกมา เขาเริ่มเหนื่อย แขนก็เริ่มเมื่อยล้า กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งเบาหวิวดูจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนเหงื่อเริ่มออก ในที่สุดสมเด็จฯ ก็เสด็จเข้ามาประทับที่เดิม ทำทีเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักก็มองกระดาษที่มือนาวาเอก แล้วทรงถามว่า " เป็นไง ? "
" หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว "
" อ้าว ทำไม ไม่วางมันลงเสียล่ะ ? " สมเด็จฯ รับสั่ง " ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่อย่างนั้นนะสิ มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง "


กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ที่เบาหวิว หากถือไปนาน ๆ เข้า ก็ย่อมกลายเป็นของหนัก ตรงกันข้าม ก้อนหินก้อนใหญ่ ถ้าไม่ไปแบกหรืออุ้มมัน ก็ไม่รู้สึกหนัก ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ชีวิต หรือจิตใจหนักอึ้ง ควรรู้จักปล่อยวางเสียบ้าง

แม้แต่ของที่มีประโยชน์ เราควรยึดถือก็ต่อเมื่อถึงเวลาใช้งาน เมื่อใช้เสร็จ ก็ควรวางลงเสีย นับประสาอะไรกับของที่ไร้ประโยชน์
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #22 เมื่อ: 14 ตุลาคม 2550, 16:34:17 »

Something Nice to Share

อริสา - ครุ 16 ... ส่งมา





บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #23 เมื่อ: 16 ตุลาคม 2550, 04:08:28 »

Colored

ประภาพรรณ - ครุ 16 ... ส่งมา

This poem was nominated by UN as the best poem of 2006, written by an African Kid.

When I born, I black
When I grow up, I black
When I go in Sun, I black
When I scared, I black
When I sick, I black
And when I die, I still black


And you white fellow
When you born, you pink
When you grow up, you white
When you go in sun, you red
When you cold, you blue
When you scared, you yel low
When you sick, you green
And when you die, you grey


And you calling me colored ? ?
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2550, 12:03:51 »

An elderly Chinese woman ...

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

An elderly Chinese woman had two large pots, each hung on the ends of a pole which she carried across her neck.

One of the pots had a crack in it while the other pot was perfect and always delivered a full portion of water.

At the end of the long walks from the stream to the house, the cracked pot arrived only half full.

For a full two years this went on daily, with the woman bringing home only one and a half pots of water.

Of course, the perfect pot was proud of its accomplishments.

But the poor cracked pot was ashamed of its own imperfection, and miserable that it could only do half of what it had been made to do.

After two years of what it perceived to be bitter failure, it spoke to the woman one day by the stream.
" I am ashamed of myself, because this crack in my side causes water to leak out all the way back to your house. "

The old woman smiled, " Did you notice that there are flowers on your side of the path, but not on the other pot's side ? "

" That's because I have always known about your flaw, so I planted flower seeds on your side of the path, and every day while we walk back, you water them. "

" For two years I have been able to pick these beautiful flowers to decorate the table."

Without you being just the way you are, there would not be this beauty to grace the house."


Each of us has our own unique flaw. But it's the cracks and flaws we each have that make our lives together so very interesting and rewarding.

You've just got to take each person for what they are and look for the good in them.

SO, to all of my crackpot friends, have a great day and remember to smell the flowers on your side of the path!
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #25 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2550, 13:02:15 »

ธรรมะ ... จากหลวงพ่อคูณ

กิตติกรณ์  พูลสิน - วิศวะ RCU16 ... ส่งมา



บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #26 เมื่อ: 03 มกราคม 2551, 22:37:19 »

เรื่องดีๆ ที่อยากแบ่งปัน

พี่วิภาดา - บัญชี 15 และหนุงหนิง 27 ... ส่งมา

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน  แต่ละวัน  พ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ  ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน  อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
 
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน  จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง  พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง  โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

" ใครขโมยเงินไป " พ่อตวาด  ฉันกลัวมาก  ไม่กล้าพูดอะไรออกไป  น้องชายฉันก็เช่นกัน  พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า " ก็ได้  ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ  ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ "  พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น  ทันใดนั้นน้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้ .... แล้วพูดว่า " ผมขโมยเองครับ "

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง  พ่อโกรธมาก  พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด  จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย  พ่อนั่งลงบนเก้าอี้  และด่าว่าน้องชายของฉัน

" ของคนในบ้านแกเอง  แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก  แกน่าจะโดนตีให้ตาย  ไอ้หัวขโมย "  คืนนั้นฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้  หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด  แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย  กลางดึกคืนนั้นฉันนอนร้องไห้เสียงดัง  และนานมาก  น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้  แล้วพูดว่า

" พี่ครับ  ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว "  ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้  ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
.
.
หลายปีผ่านไป  แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง  ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย  ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี  ส่วนฉันอายุ 11 ปี

...  เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบชั้นมัธยมต้น  เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนมัธยมปลายว่าเขาสอบเข้าได้  ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบมัธยมปลาย  ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน  คืนนั้น  พ่อนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน  ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ " แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อพูดว่า
" แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน "  ทันใดนั้น  น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ  แล้วพูดว่า
" ผมไม่ต้องการเรียนต่อ  ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว "  พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้  ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน  พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้ " คืนนั้นทั้งคืน  พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน .... เพื่อขอยืมเงิน  ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า  " ต้องให้น้องได้เรียนต่อ  ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้ "  แต่ในขณะเดียวกัน  ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้  ใครจะรู้ได้  .......

วันต่อมา  ในตอนเช้ามืดน้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น  และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว  ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน  ขณะฉันกำลังหลับ  " พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้  ไม่ใช่ง่ายๆ นะ .... ผมจะไปหางานทำ ... แล้วจะส่งเงินมาให้พี่ "  ฉันนั่งอยู่บนเตียง  อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป  ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี  ส่วนฉันอายุ 20 ปี

..... ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน  รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......  ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3  วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก  เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า " มีชาวบ้านมาหาเธอ ... อยู่ข้างนอกแน่ะ "  ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ Huh?   ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่  ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูน  และทรายจากงานก่อสร้าง  ฉันถามเขาว่า
" ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่า  เป็นน้องชายพี่ล่ะ "  น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า
" ก็ดูผมสิ  สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ ... ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่  เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี "  ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง  และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆ ในลำคอ
" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง  เธอเป็นน้องของพี่  ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม "  จากนั้น
น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง  เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ  เขาติดกิ๊บให้ฉัน  แล้วพูดว่า
" ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน  ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง "  ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด  ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอด และร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเวลานาน  ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี  ส่วนฉันอายุ 23 ปี

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก  ฉันสังเกตเห็นว่า  หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป  ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว  เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก  หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป  ฉันพูดกับแม่ว่า
" แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก  เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ "  แม่ยิ้ม  แล้วพูดว่า
" แม่ไม่ได้จ้างหรอก ... น้องชายลูกต่างหาก  วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็ว  เพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน  ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ  น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ "  ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา  ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ  ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด
" เจ็บมากไหม "  ฉันถาม
" ไม่เจ็บสักหน่อย  พี่ก็รู้นี่  ผมทำงานก่อสร้างนะ  วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด  แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ  และ ...... " น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค  แต่ก็ต้องหยุดพูด  เพราะฉันหันหน้าหนีเขา  น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
" เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ " ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี  ส่วนฉันอายุ 26 ปี

... หลังจากนั้น  ฉันก็ได้แต่งงาน  และย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง  หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน ... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ  ท่านบอกว่า  ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง  แต่เมื่อออกไปแล้ว  ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี  จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม  น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วย  กับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ... เขาบอกกับฉันว่า " พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ  ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง "

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว  เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท  แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้  เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง  น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล  และตกลงมา  เพราะโดนไฟดูด  เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล  ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล  น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา  ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการหา !!!  ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้  ดูตัวเองซิ ... เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว  ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง "  คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด  ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
" พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ  พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน  ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ  ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ  คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด "  น้ำตาปริ่มดวงตาของฉัน  รวมทั้งสามีของฉันด้วย ..... ฉันบอกกับน้องว่า
" แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่ ... "
" ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ "  น้องชายของฉันจับมือฉันไว้  ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี  ส่วนฉันอายุ 29 ปี ...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี  เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน  ในงานแต่งงาน
ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้ "  น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล
" พี่สาวของผมครับ " ....  และเขาก็เล่าเรื่องราว  ที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
" ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม  โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง  เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง
2 ชม.  เพื่อเดินไปเรียน ... และเดินกลับบ้าน  วันหนึ่ง  ในวันที่หิมะตกหนัก  ผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง  พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง  และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้าง  เดียวเดินเป็นระยะทางไกล  เมื่อเรากลับถึงบ้าน  มือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว  เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ..... นับจากวันนั้น  ผมสาบานกับตัวเอง  ว่าตลอดชีวิตของผม  ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี  และจะทำดีกับเธอ " เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว  สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน  คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......
" ในโลกใบนี้  คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด  คือน้องชายของฉันค่ะ "

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้  น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง ...


จงรัก  และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วัน  ในชีวิตของคุณและเขา  คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ  แต่สำหรับคนคนนั้น  อาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง ... ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ  พ่อ  แม่  พี่  น้อง  ญาติ  คนรัก  เพื่อน  หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จักก็ตาม

จบบริบูรณ์ ....
[/size]

ปล. ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนได  และในเครือกว่า 20 บริษัท

ส่วนน้องชายอายุ 83 ปี  เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า " ซัมซุง "


และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คน  กำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์  โดยดาราเล็กๆ 2 คนคือ ซอง เฮ เคียว  และ ลี ดอง ฮุค

บู  มิง ฮอง ... เล่าเรื่อง
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 08 มกราคม 2551, 23:55:50 »

ไปตลาด " บางรัก "










บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #28 เมื่อ: 28 มกราคม 2551, 15:00:54 »

คนโง่ vs คนฉลาด

นายสัตวแพทย์ สากล ... ส่งมา

เคยได้ยินชื่อ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ไหมครับ ? เขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน เคยได้รับรางวัลงานวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลกเกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่น แต่ตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ

1.อยากดูแลพ่อแม่
2.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา
3.อยากเที่ยว และ
4.ชอบกินอาหารอร่อย

เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง ผมประทับใจบทสัมภาษณ์ของ ดร.วรภัทรใน " เสาร์สวัสดี " ของ " กรุงเทพธุรกิจ " เมื่อประมาณ 1-2 เดือนก่อนมาก คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า ความคิดก็กวนเหลือหลาย

ตอนที่เขาเป็นอาจารย์ วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น " ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา " เขาบอก เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ เรียนไป และดูนิสิตสาว ๆ ว่ายน้ำไปด้วย คาดว่าคงไปเรียนเรื่อง " คลื่น " ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ คลื่นที่เกิดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากัน ระหว่างชุดทูพีซ กับวันพีซ แรงเสียดทานของน้ำ ชุดไหนจะมากกว่ากัน ... แนวการศึกษา จะออกไปในทำนองนี้


แต่ที่ชอบที่สุดคือ ตอนที่เขาออกข้อสอบ ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก ... " จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย " โห ! ... เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่ายๆ เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้งสมกับที่เรียนมาทั้งเทอม เหตุผลที่ ดร.วรภัทร ออกข้อสอบด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเอง เป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก " ชีวิตคนเรา จะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดแล้วอาจารย์จะปรับให้ "

เขามองว่าเด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ ไม่รู้จักคิดเอง " ถ้ารอ และตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง แต่พวกคุณแย่กว่า เพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือรออาหารที่คนอื่นป้อนให้ " โหย ... เจ็บ ผมเชื่อมานานแล้วว่าชีวิตของคนเราเป็นข้อสอบอัตนัย ที่ต้องตั้งโจทย์เอง และตอบเอง ไม่ใช่ข้อสอบปรนัยที่มีคนตั้งโจทย์ และมีคำตอบเป็นทางเลือก ก-ข-ค-ง ถ้าใครที่คุ้นกับ " ชีวิตปรนัย " ที่มีคนตั้งโจทย์ให้ และเสนอทางเลือก 1-2-3-4 คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา ติดกับ " กรอบ " ที่คนอื่นสร้างให้ ไม่เหมือนกับคนที่รู้จักคิด และตั้งคำถามเอง เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าลืมว่าเพราะมี " คำถาม " จึงมี " คำตอบ " เมื่อมี " คำตอบ " เราจึงเลือกเดิน


พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม ผมนึกถึง โสเครติส เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลก ที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ สร้างองค์ความรู้จาก " คำถาม " กลยุทธ์ของโสเครติสในการสอนคือไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของนักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้ โสเครติสเชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน " ความไม่รู้ " ของตนเอง เขาจะเริ่มต้นแสวงหา " ความรู้ " แต่ถ้าเด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี " ความรู้ " เขาก็จะไม่แสวงหา " ความรู้ "

การตั้งคำถามของโสเครติสจึงมีเป้าหมายโจมตี และทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน เป็นกลยุทธ์เท " น้ำ " ให้หมดจากแก้ว เมื่อแก้วไม่มีน้ำแล้ว จึงเริ่มให้เขาเท " น้ำ " ใหม่ใส่แก้วด้วยมือของเขาเอง " น้ำ " ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเอง มาจาก " คำตอบ " ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง " คำตอบ " จาก " คำถาม " ของโสเครติส

โสเครติสนิยามความหมายของคำว่า " คนฉลาด " และ "คนโง่" ได้อย่างน่าสนใจ " คนฉลาด " ในมุมมองของโสเครติสนั้น ไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่อง แต่ " คนฉลาด " คือคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ ส่วน " คนโง่ " นั้น คือคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้

ไม่น่าเชื่อว่า ก่อนหน้านี้ผมยังมีความภาคภูมิใจใน " ความรู้ " ของตนเอง
แต่พออ่านถึงบรรทัดนี้ ทำไมผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย .....
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2551, 00:19:22 »

สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ ของ " โน๊ต- อุดม "

พี่วิวิธ - วิศวะ 07... ส่งมา

โน๊ต - อุดม แต้พานิช ดาราชื่อดังจะมาบอกถึงสิ่งที่เขาเรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้



1. มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี

2. เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ

3. ถ้าแอบรักใคร อย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า

4. เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักที ให้พูดว่า " ไม่เอาแล้วนะ " จะได้เร็ว

5. ถ้าเรียกเก็บเงินแล้ว ไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที

6. ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้าน ไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย

7. ระวังคนขายโรตีที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่มไม้, ซอกตึก อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ

8. ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ

9. ระวังคนที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ

10. อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง

11. หนังสือดี คือหนังสือที่เราชอบอ่าน หนังดีคือ หนังที่เราชอบดู

12. อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่า " อย่าบอกใครนะ "

13. อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก

14. เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ

15. อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ

16. รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมัน ไม่อยู่ขวาเสมอไป

17. ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน ไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมีอยู่แล้ว

18. ตลาด อ.ต.ก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา

19. เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระบอกน้ำของเราน้ำอยู่ด้านไหน

20. ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป

21. คนไม่กินเนื้อ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป

22. เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีนออกจากปาก ให้หลับตาด้วย

23. ปูอัด มันทำมาจากปลา

24. กินก๋วยเตี๋ยวด้วยตะเกียบไม้ ... อร่อยกว่า

25. อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ

26. ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักเราอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2 ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่า " ปกติดีนี่ ไปทำอะไรมา "

27. คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถ มิใช่เพราะบ้านเค้าไม่มีตู้ เค้าไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร

28. คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆ ตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา

29. คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ

30. ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน

31. จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา

32. เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดู หน้าที่ตัวเองพูดถึงมักจะหาไม่เจอ

33. ขนม และน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก

34. ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต, ห้องน้ำผู้ชาย ผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน

35. เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ

36. ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก

37. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า " นี่เพื่อนฉัน " หมายความว่า " แฟนฉัน "

38. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า " นี่แฟนฉัน " หมายความว่า " ผัว / เมียฉัน "


ปล. เจี๊ยบท่าจะ post ผิดกระทู้นะ น่าจะไปอยู่ใน " หาเรื่องมาหัวเราะกันหน่อย น่า นะ " มากกว่า ... ha ha ha !
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2551, 18:08:36 »

สุนัข กับ เจ้านาย

พี่วิวิธ - วิศวะ 07 ... ส่งมา



เจ้าของร้านขายเนื้อสดคนหนึ่งรู้สึกประหลาดใจที่หมาตัวหนึ่งมาที่ร้าน โดยในปากมันคาบแบงก์10 ดอลลาร์ และกระดาษเขียนข้อความว่า " ขอซื้อไส้กรอก 12 ชิ้นกับขาแกะ 1 ขาครับ " เขารู้สึกประทับใจความแสนรู้ของมัน ดังนั้นหลังจากเก็บเงิน 10 ดอลลาร์ และเอาไส้กรอกและขาแกะใส่ถุงแขวนที่ปากให้มันคาบไปแล้ว เขาจึงตัดสินใจปิดร้านสะกดรอยตามมันไป หมาตัวนั้นเดินไปตามถนนจนถึงทางม้าลาย มันก็วางถุงที่คาบไว้ลงแล้วยืนด้วยขาหลัง และยกขาหน้ากดปุ่มไฟสำหรับคนข้ามถนน แล้วก็คาบถุงต่อ รอจนไฟคนข้ามเขียว มันจึงข้ามไปยังป้ายรถเมล์อีกฝั่งหนึ่ง มันจ้องมองตารางเวลาเดินรถ แล้วนั่งลงตรงที่นั่งรอ

สักพักมีรถเมล์คันหนึ่งมา มันเดินไปดูหมายเลขที่หน้ารถแล้ว ก็กลับมานั่งรอต่อ อีกสักเดี๋ยวก็มีรถเมล์มาอีกคัน มันเดินไปดูหมายเลขรถอีก เมื่อเห็นว่าเป็นสายที่มันรออยู่ มันจึงขึ้นรถเมล์คันนั้น คนขายเนื้อถึงกับอ้าปากค้างทึ่งในความแสนรู้ของมัน แล้วรีบตามมันขึ้นรถคันนั้นไป

หลังจากรถวิ่งผ่านกลางเมืองออกไปยังชานเมือง เจ้าหมาแสนรู้ก็ลุกจากที่นั่งเดินไปหน้ารถ มันยืนด้วยขาหลังแล้วเอาขาหน้ากดกริ่งบนรถ เมื่อรถจอดมันก็ลง และเดินไปตามถนนจนถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง เลี้ยวเข้าไป คนขายเนื้อยังสะกดรอยตามมันอยู่ห่างๆ เช่นเดิม เมื่อมาถึงประตูบ้านที่ปิดอยู่ มันก็วางถุงไส้กรอกที่คาบไว้ลง แล้วถอยหลังมาตั้งหลักประมาณ 2-3 เมตร จากนั้นก็วิ่งเข้าชนประตูเต็มแรง มันพยายามอยู่ 2-3 ครั้ง แต่ประตูก็ยังเปิดไม่ออก มันเลยเดินอ้อมตัวบ้านไปที่หน้าต่างบานหนึ่งที่ปิดอยู่ และเอาหัวโขกที่หน้าต่างหลายครั้ง แล้วก็เดินกลับมารอที่ประตู

สักพักประตูบ้านก็ถูกเปิดโดยเจ้าของหมาเป็นผู้ชายหุ่นล่ำบึ้ก ซึ่งพอเปิดประตูเสร็จ เขาก็เริ่มเตะต่อย และตะโกนด่าเจ้าหมาแสนรู้ตัวนั้นทันที ถึงตอนนี้คนขายเนื้ออดรนทนไม่ไหว เขารีบวิ่งเข้าไปห้ามเจ้าของหมา พร้อมกับถามว่า คุณเตะมันทำไมกัน มันเป็นหมาสุดอัจฉริยะเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย ถ้าไปออกทีวีต้องดังแน่ เจ้าของหมาตอบสวนทันทีว่า " คุณว่ามันฉลาดนักเหรอ เชอะ ! รู้มั้ยว่านี่เป็นครั้งที่สองในรอบสัปดาห์นี้นะ ที่มันลืมเอากุญแจบ้านติดตัวไปด้วย "

คติสอนใจจากเรื่องนี้คือ เราอาจทำงานได้เกินความคาดหมายในสายตาผู้อื่น แต่ก็ยังทำงานได้ต่ำกว่าเป้าหมายในสายตาของนายเราเสมอ
บันทึกการเข้า
yanee-14
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #31 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2551, 06:23:19 »

jeab
 i like every colum u post in web. so many thing that we never know
and we know it now

the dog is an animal , he is very good, he try to do everything for
his owner but that guy he a human who have no me-tar for his dog
what a human he is

when we read please look at ourseft
are we like him or not?
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2551, 10:36:12 »

Cheesy ขอบคุณพี่หน่าที่ให้กำลังใจคน post นะคะ ... เจี๊ยบมักจะได้รับ mail ดีๆ จากเพื่อนๆ  พี่ๆ  น้องๆ  ญาติโยม  มากมาย  ก็อยากเอา mail ดีๆ มาแบ่งปันกัน ...  ตอนนี้ใน mail box ก็อัดแน่น  ปาเข้าไปเกือบจะ 1,000 mail แล้ว  ต้องหาเวลาสะสางค่ะ

รูปหมาขนยาวที่นำมาประกอบเรื่องนี้  เจี๊ยบถ่ายที่เมือง Erfurt, Germany  เจ้าของติดกิ๊บสีชมพูให้เจ้าหมาแสนรักซะด้วย ... ไม่ใช่หมาใน " เรื่องเล่า อุปมาอุปไมย " ที่มีเจ้าของใจร้าย-ไร้ความเมตตา หรอกนะคะ

พี่หน่าจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ?  พวกเราจะได้หาเรื่องไปร่วมวงกินข้าว-ต้อนรับพี่หน่ากันไง !
บันทึกการเข้า
yanee-14
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #33 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2551, 10:48:56 »

jeab   on my ticket i be back on 15 jun 2008  full term of my VISA
   maybe before  it not sure
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #34 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2551, 20:22:04 »

:roll:  จ๊าก ... อีกตั้ง 4 เดือนแน่ะ  คุณยายหน่าจะเลี้ยง Big Max จนโตเป็นหนุ่มเลยเหรอคะเนี่ย ?
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #35 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2551, 12:16:00 »

Wise Man Says ...

Emile ... ส่งมาจาก Netherland







บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #36 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2551, 23:53:07 »

น่าเสียดาย

บทความโดย ท่าน ว.วชิรเมธี คอลัมน์ Dhamma Intrend

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ

น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง

น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป

น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ / รัฐประหาร มาแล้ว 14 ครั้ง

น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวง บวงสรวงเทพยดา

น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา

น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่ ! เรากลับเก่งการลอกเลียนแบบเป็นที่สุด

น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมาย ไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า

น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา

น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุด คือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด

น่าเสียดาย ที่เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊

น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า

น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา

น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล

น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก

น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #37 เมื่อ: 01 มีนาคม 2551, 01:16:11 »

สิ่งธรรมดา คือ สิ่งพิเศษ

โดย วนิษา เรซ ... คัดลอกจาก Post Today

พี่วิภาดา - บัญชี 15 ... ส่งมา

บางครั้งในชีวิตประจำวัน เรารู้สึกว่ามีหน้าที่หลายอย่างที่เรา “ ต้อง ” ทำ ทั้งๆ ที่ขี้เกียจแสนขี้เกียจ หรือเหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วจากการทำงาน เช่น การล้างจาน การท่องหนังสือ การจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แถมพ่อแม่หลายท่านในปัจจุบัน นอกจากทำงานเหนื่อยแล้ว ยังต้องมานั่งรับส่งลูกเรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์อีก ... เวลานั่งรอ บางครั้งก็เหนื่อยจนลืมชื่นใจความเก่งความน่ารักของลูก

สิ่งเหล่านี้ดูธรรมดา และดูเหมือนเป็น “ หน้าที่ ” ที่เราต้องกระทำ ทั้งๆ ที่บางครั้งทำให้เราหงุดหงิดพอควรเลย ... ตัวหนูดีเป็นคนเกลียดการล้างจานมาก เพราะไม่ชอบความเหนอะของคราบอาหาร และความสากมือหลังจากล้างจานเสร็จ ถึงขนาดมีกฎประจำใจเลยว่า ผู้ชายคนไหนจะมาขอหนูดีแต่งงาน หนูดีจะให้ล้างจานให้ดูก่อน ... แถมอาจมีการเซ็นสัญญากันว่า หนูดียินดีทำอาหารทุกชนิด แต่ฝ่ายชายต้องรับอาสาเป็นผู้ล้างจาน ...

จนกระทั่งวันหนึ่งหนูดีได้ไปปฏิบัติธรรมในวิถีเซน การไปอยู่วัดครั้งนั้นทุกคนต้องล้างจานเอง ... พระสอนว่า เวลาล้างจานเราต้องการอะไรจากการล้างจาน ... คำตอบของพวกหนูดี คือ เราต้องการให้จานสะอาด ( แหม ถามอะไรตอบง่ายอย่างนี้ ก็มันชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหมคะ ) ... แต่ท่านบอกว่า ตอบผิดค่ะ ... อ้าว ! ถ้าไม่อยากให้จานสะอาด แล้วจะล้างไปทำไมคะ หนูดีงงมาก ... ท่านตอบว่า จากนี้ไป ขอให้ล้างจานเพื่อล้างจานได้ไหม ...

ทำไมต้อง “ ล้างจานเพื่อล้างจาน ” กว่าหนูดีจะเข้าใจ และทำได้ก็ผ่านไปจากนั้นนานแสนนาน และทุกวันนี้หนูดีก็ยังฝึกเป็นประจำ ... เคล็ดอยู่ตรงนี้เองค่ะ หากเราล้างจานเพื่อต้องการให้จานสะอาด ก็เหมือนกับเราโยนทิ้งปัจจุบัน แล้วรอให้ความสุขเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปัจจุบันคือความทุกข์ที่ต้องอยู่กับจานสกปรก เราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อจานสะอาดแล้วเท่านั้น ...สรุปว่าใช้ชีวิตแค่กับเป้าหมาย รอให้เป้าหมายเป็นผลแล้วค่อยยอมปล่อยใจให้เป็นสุข แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นทำใจให้สุขกับปัจจุบัน ในขณะล้างจาน จิตจดจ่ออยู่กับน้ำ ฟองน้ำ และจาน ... เป็นสุขอยู่ตรงนั้น ซึ่งหลังจากครั้งแรก พระท่านก็สอนที่สูงขึ้นไปอีกว่า จินตนาการดูสิว่า จานเป็นพระพุทธรูป และเรากำลังชำระล้างท่านให้สะอาดอยู่ ... ไม่เห็นต้องรอวันสงกรานต์แล้วค่อยสรงน้ำพระ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ความสุขเล็กๆ ก็เกิดขึ้นได้ตลอดวัน ( การคิดในแง่บวก คิดสิ่งดีๆ )

ในการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย และมีความสุข ... หนูดีคิดว่า เราต้อง " แยกให้ออกระหว่าง ... วิถี ... และ ... เป้าหมาย " เสียก่อน คนส่วนใหญ่มักเอาความสุขไปผูกไว้กับ “ เป้าหมาย ” แต่ ... หลงลืมว่า เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตอยู่ที่ “ วิถี ” ในการไปถึงเป้าหมายนั้น เหมือนเมื่อก่อนหนูดีตั้งเป้าไว้ว่า จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ ให้ได้เกียรตินิยม ... และระหว่างภาคเรียนจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน หนูดีไม่มีหวั่น เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก ...พอสอบเสร็จโล่งอกสบายใจ ได้เกรดดีๆ ก็ดีใจอยู่แผล็บเดียว เดี๋ยวก็เปิดเทอมอีกแล้ว ... จะเป็นจะตายต่อไปอีกเทอม ... พอมาดูจริงๆ แล้วเรียนปริญญาตรีเราจะได้เห็นเกรดตัวเองหลักๆ ก็ 8 ครั้ง โอ้โห เวลา 4 ปี จะยอมให้ตัวเองมีความสุขใหญ่ๆ แค่ 8 ครั้ง ก็ดูเป็นชีวิตที่เศร้าสร้อยไปหน่อยนะคะ

ดังนั้น การกลับมาปรับ “ วิถี ” ให้เรามีสุขขึ้นในระหว่างทาง กลับทำให้ดัชนีความสุขมวลรวมของชีวิตเราพุ่งสูงขึ้นอีกมาก เมื่อหารเฉลี่ยแล้วทั้งชีวิตเราน่าจะมีความสุขขึ้นอีกมากนะคะ ... เดี๋ยวนี้หนูดีเลยมีกฎในการใช้ชีวิตว่า “ วิถี คือ เป้าหมาย ” พูดง่ายๆ ว่า การทำใจให้เป็นสุขเป็นประจำวัน มีสุขในทุกวิถี นั่นแหละคือเป้าหมาย ส่วนเป้าหมายใหญ่ๆ ภายนอกก็ยังมีอยู่ค่ะ ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน หนูดียังคงวางแผนชีวิต และมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม ... อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวหนูดีคนเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่ยังรวมคนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาอีกด้วย และหนูดีไม่รอให้ “ เป้าหมายสำเร็จ ” แล้วค่อยเป็นสุข ... ไม่มีกฎอะไรกำหนดนี่คะว่าต้องรอ ก็เลยขอเป็นสุขเรื่อยๆ ดีกว่า

ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมาก ... หนูดีเอามาเขียนเตือนใจตัวเองหน้าหนังสือ “ ขอบคุณสรรพสิ่ง ” ที่เขียนก่อนนอนเลยค่ะว่า “ ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์ คือ การเดินอยู่บนผืนดิน และมีความสุขในทุกย่างก้าว ” หนูดีเห็นด้วยอย่างมาก เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง “ ธรรมดา ” เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยา หรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ ... หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ ... ใช่ค่ะ เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น

แต่ถ้าความ “ ธรรมดา ” นี้หมดไปล่ะคะ เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ... เรื่องก็จะ “ ไม่ธรรมดา ” ไปในทันที และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ “ ธรรมดา ” จนใจแทบจะขาด ... หนูดีไม่ได้พูดเอง เออเองนะคะ แต่เพราะหนูดีอยู่ในอาชีพที่ได้เห็นความพลัดพราก สูญเสียในครอบครัวมาเยอะมาก จนเกิดเป็นกฎประจำใจเลยว่า ให้เรารีบชื่นชมกับความ “ ธรรมดา ” ที่เรามี และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือ สิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือสิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ

วันนี้หนูดีขอชวนทุกๆ คนลองมองหาสิ่งธรรมดาๆ สักสองสามสิ่งที่เรามองข้ามไป แล้วลองคิดขอบคุณเขาไหมดีคะ เช่น วันนี้เราไม่ปวดฟันเลย ขอบคุณฟันที่อยู่อย่างปกติ หรือวันนี้ลูกของเรายังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เรามีความสุขจัง หรือแม้แต่วันนี้รถของเรายังไม่ถูกชน โชคดีจังเลย ... เรื่องสุดท้ายนี่หนูดีคิดเป็นประจำเลยค่ะ เพราะในโลกนี้ หนูดีเป็นหนึ่งในคนที่รถชอบโดนชนประจำ ขนาดขับช้าเหมือนเต่าคลาน ดังนั้นหากวันไหนรถหนูดีอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แค่ได้มองเห็น ก็เป็นสุขแล้วค่ะ

... สุขสันต์วันธรรมดาๆ อีกวันหนึ่งนะคะ ขอให้ทำงานอย่างเป็นสุขค่ะ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #38 เมื่อ: 02 มีนาคม 2551, 16:29:05 »

เหตุผลที่เราควรรักแม่ มากกว่ารักแฟน

โดย วุฒิกร มโนมัยวิบูลย์ - webmaster Chula-Alumni

แม่ ... ไม่เคยหลอกให้เราหลงรัก เพราะเราเต็มใจรักแม่ โดยไม่ต้องหลง

แม่ ... อาจเคยตีเราให้เจ็บ แต่ไม่เคยทำให้เราเจ็บหัวใจ

แม่ ... ส่งเสียเรา แต่เราต้องไปส่งเสียแฟน

แม่ ... ไม่เคยบอกเลิก

แม่ ... เป็นแบงค์ส่วนตัวที่เวลากู้ไม่เคยคิดดอกเบี้ย และไม่ค่อยทวงคืน

แม่ ... เห็นเราเดินแก้ผ้าตั้งแต่เล็ก โดยไม่เคยติเรื่องรูปร่าง

แม่ ... เป็นคนที่เห็นเราดีกว่าแฟนของแม่เสมอ ขอหอมแก้มแม่ไม่ยากเท่าขอหอมแก้มแฟน

แม่ ... ยอมตัดสายสะดือตัวเอง เพื่อให้เราเกิดมา

แม่ ... สอนให้เราพูดได้ เพื่อจะไปบอกรักแฟนตอนโต

แม่ ... ยอมเป็นใยอ้วนลงพุงตั้ง 9 เดือน เพื่อให้เราอาศัยอยู่ข้างใน และในประเทศนี้ไม่มี ... “ วันแฟนแห่งชาติ ” เหมือนวันแม่ ใช่มั้ย เมื่อรู้ว่าความรักของแม่ยิ่งใหญ่กว่าแฟนแล้ว ... พรุ่งนี้ !! คุณอยากบอกแม่ว่าอะไรดี ... ? อย่ารอโอกาส หรือรอเวลาบอกรักแม่เฉพาะ “ วันแม่ ” เท่านั้น ... เพราะวันเวลาอาจทำให้คุณไม่มีโอกาสบอกรักแม่ก็เป็นได้
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: 02 มีนาคม 2551, 19:36:10 »

จัดระเบียบความตาย

พี่พิกุล - วทยา 14 ... ส่งมา

โดย อรศรี งามวิทยาพงศ์ เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนา และสังคมไทย www.budnet.info

นิทานเซนเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีคหบดีคนหนึ่งพร้อมบุตรหลานไปทำบุญที่วัดในวันขึ้นปีใหม่ เสร็จแล้วก็ขอพรจากหลวงพ่อเจ้าอาวาส พระท่านก็เขียนคำอวยพรให้ว่า " พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย " คหบดีเห็นเข้าก็โกรธ ต่อว่าหลวงพ่อว่าเหตุใดจึงมาแช่งกันในวันมงคลเช่นนั้น หลวงพ่อตอบคหบดีว่า การตายตามลำดับอายุขัยเป็นพรอย่างยิ่งแล้ว เพราะลองคิดดูว่าหากหลานตายก่อนปู่ หรือลูกตายก่อนพ่อ ตายอย่างไม่เป็นไปตามธรรมดา ธรรมชาติ เขาจะมิยิ่งโศกเศร้าหรอกหรือ คหบดีได้ฟังเช่นนั้นก็เข้าใจในธรรมที่หลวงพ่อให้ จึงขออภัย และคำนับขอบพระคุณด้วยความซาบซึ้งในธรรมที่ได้รับในวันขึ้นปีใหม่

ในวิถีแห่งพุทธนั้น" ความตาย " เป็นของธรรมดาอย่างยิ่ง เป็นสัจธรรมหาใช่ความอัปมงคล ต้องวิ่งหนีแต่อย่างไร กระนั้นก็ตามความเป็นธรรมดานี้ ก็มิใช่จะเป็นสิ่งที่มนุษย์ปุถุชนจะยอมรับกันได้โดยง่าย เพราะเราทุกคนย่อมมีสัญชาติญาณแห่งการเอาชีวิตรอดด้วย ในด้านหนึ่งความ " กลัวตาย " จึงเป็นสิ่งธรรมดาอีกเช่นกัน ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้เพื่อขัดเกลาธรรมชาติอย่างหลัง เพื่อให้คนเรายอมรับสัจธรรมแห่งชีวิต คือความตายนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เราสามารถจัดระเบียบกับความตายในชีวิตของเราได้อย่างเหมาะสม ด้วยความตระหนักรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ( แม้จะไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน และจะมาเมื่อไร ) การสั่งสมการเรียนรู้เพื่อให้ยอมรับว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จึงเป็นสิ่งจำเป็นทั้งในยามที่เรายังเป็นหนุ่มสาว และเป็นไม้ใกล้ฝั่ง มิใช่เฉพาะเมื่อเราอายุมากขึ้น หรือเมื่อถูกคุกคามด้วยโรคร้ายที่ไม่อาจรักษา ในวัฒนธรรมของชาวพุทธการหมั่นเจริญมรณานุสติ คือวิถีหนึ่งที่ช่วยเราไม่ให้ประมาทในชีวิต ไม่ผลัดวันประกันพรุ่งในการพัฒนาตนเอง ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัวตายอย่างทุรนทุราย เสมือนคนวิ่งหนีเงาตนเอง แต่ก็มิใช่ยอมจำนนกับอุปสรรคของชีวิต ด้วยการเอาความตายเป็นทางออก โดยไม่พัฒนาตนเองขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เผชิญนั้น ในทางตรงข้าม ผู้มีสติซึ่งตระหนักรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่จะมาถึงเองในวันหนึ่งข้างหน้า จึงควรอดทนต่อสู้ให้อุปสรรคผ่านพ้นไปตราบที่ยังมีลมหายใจ

กระบวนการเรียนรู้เพื่อจัดระเบียบความตาย จึงเป็นสิ่งที่บุคคลควรได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาในวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิต ในสมัยเดิมนั้น การที่ครอบครัวอยู่ร่วมกันหลายช่วงอายุ การเปลี่ยนแปลงของกายสังขาร การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง โดยเฉพาะธรรมเนียมการเตรียมตัวตายของผู้สูงอายุ การตั้งศพ - เก็บศพที่บ้าน เพื่อให้ความตาย-คนตายเป็นสิ่งธรรมดา ประเพณีพิธีกรรมของการตายเป็นเครื่องมือสำคัญของการส่งผ่าน " สัจธรรมแห่งการตาย " ให้แก่ผู้อยู่ใกล้ชิดได้เรียนรู้ ไม่ว่าบทสวดต่าง ๆ ของพระ ซึ่งมุ่งให้เห็นความเป็นธรรมดาของความตาย ประเพณีการอุทิศส่วนกุศล พิธีตัดทางกล้วยเพื่อแยกภพระหว่างผู้อยู่และผู้วายชนม์ ฯลฯ ล้วนส่งผ่านความเชื่อว่าความตายมิใช่่ " การสิ้นสุด " หรือจบสิ้น จึงไม่ต้องเศร้าโศกฟูมฟายจนเกินไป โดยเฉพาะธรรมเนียมการเก็บศพแล้วเปิดโลงก่อนเผา เพื่อให้ญาติพี่น้องคลายความเศร้าโศก เพราะศพสภาพเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดน่ากลัว เกิดความปลงสังเวชตัดอาลัยในรูปกาย รำลึกถึงแต่คุณงามความดีของผู้ล่วงลับ การเรียนรู้นี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในครอบครัวผู้ตายเท่านั้น หากยังเป็นบทเรียนมรณานุสติแก่คนทั้งชุมชนด้วย จากการมาร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ ได้ร่วมแบ่งปันทั้งความรู้สึกเอื้ออาทร และทรัพยากรที่ตนเองมี เพื่อช่วยจัดการศพ มีการขอขมา และการให้อโหสิกรรมเพื่อละวางความอาฆาตจองเวร และตระหนักรู้ว่ามนุษย์ทำผิดพลาดกันได้ ควรให้อภัยแก่กันและกัน และในขั้นตอนสุดท้ายคือการเผาศพ ก็เป็นโอกาสให้คนในชุมชนทั้งหมดมาร่วมกัน เฝ้าดูการสิ้นสุดแห่งรูปกายที่มิอาจพกพาสิ่งใดไปได้ เกิดการปล่อยวางความโลภ ความโกรธ และความหลง ประเพณีเกี่ยวกับความตายจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ให้ดีขึ้นอย่างสำคัญ

สังคมสมัยใหม่ได้ทำให้สาระของประเพณีพิธีกรรม ซึ่งทำหน้าที่ส่งผ่านค่านิยมความเชื่อ ในเรื่องเกี่ยวกับความตายเลือนหายไป ชีวิตสมัยใหม่จึงอยู่กันแบบไม่มีกระบวนการเรียนรู้ ทั้งในระดับชีวิตและระดับสังคม ทุกวันนี้ผู้คนไปงานศพตามมารยาทมากกว่าอย่างอื่น คนยุคใหม่จึงมีชีวิตอยู่โดยลืมนึกไปว่าตัวเองต้องตาย จะมานึกถึงต่อเมื่อความตายเข้ามาสะกิดตนเองโดยตรงแล้วเท่านั้น คนสมัยใหม่ปฏิเสธพิธีกรรมว่างมงาย " ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ " โดยไม่เข้าใจว่า ค่านิยมความเชื่อในทางนามธรรม ไม่อาจส่งผ่านให้สืบเนื่องได้โดยอาศัยการสอนการพูดเพียงประการเดียว หากจะต้องมีรูปแบบ หรือโครงสร้างแห่งการเรียนรู้ ที่ช่วยให้บุคคลได้เข้ามาสัมผัสเรียนรู้ จนเกิดความ " ประจักษ์แก่ใจ " ในสัจธรรมร่วมกัน ไม่ว่าชีวิตหลังความตายจะมีหรือไม่ก็ตาม แต่การคิดเผื่อไว้ว่า ชีวิตเป็นวัฏฏะยังมีการเดินทางต่อหลังการตาย ได้ช่วยเอื้อให้มนุษย์รู้จักใช้ชีวิตในปัจจุบันด้วยความไม่ประมาท ไม่เบียดเบียนกัน มีความขวนขวายที่จะสะสมความดีงามที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ผู้อื่น และโลก เพื่อไม่ให้เสียแรงที่เกิดมาใช้ทรัพยากรของผู้อื่นเปล่าๆ ไม่ว่าของมนุษย์ด้วยกันเอง, สังคม, โลก สันติสุขย่อมเกิดขึ้นแก่สรรพชีวิตในภพปัจจุบันอย่างทันตาเห็นมิใช่หรือ

อย่างน้อยที่สุด วิธีคิดดังกล่าว ย่อมดีกว่า มีประโยชน์มากกว่า การคิดว่าชีวิตปิดบัญชีเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว ไม่รู้จะทำความดีไปทำไม ทำความชั่วดีกว่า ทำสิ่งที่ตนเองพอใจ อยากมี อยากเป็นให้สุด ๆ ไปเลย ใครจะหายนะอย่างไรไม่เป็นไร ทรัพยากรหมดโลกก็ช่าง ( ใครอยู่ก่อนได้ใช้ก่อน ) แต่ขณะเดียวกันตนเองก็ถูกบีบคั้นจากความทุกข์ ที่พยายามจะต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต้องการ และทุรนทุรายจากความพยายามที่จะทำให้ชีวิตหนึ่งเดียวนี้แก่ช้าที่สุด อยู่นานมากที่สุด โลกทัศน์ของมนุษย์ที่มีต่อความตาย จึงทำให้โลกนี้เป็นได้ทั้งนรก และสวรรค์ในเวลาเดียว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตั้งท่าทีต่อความตายอย่างไร การจัดระเบียบความตายให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความคิด และการใช้ชีวิตในสังคม จึงเป็นสิ่งที่เราอาจจะต้องช่วยกันคิดช่วยกันสร้างให้เกิดมีขึ้นมากกว่านี้

บางทีการได้เจริญมรณานุสติ อาจช่วยให้บุคคลตระหนักรู้ว่า ได้มา ๔๐๐ เสียง หรือ ๕๐๐ เสียง ตายแล้วก็เอาอำนาจไปไม่ได้อยู่ดี ทิ้งไว้ข้างหลังไม่ทันข้ามวันก็สิ้นสลาย แต่หากทิ้งความดีงามไว้ แม้เอาไปไม่ได้เช่นกัน แต่ก็ไม่สิ้นสูญในชั่วข้ามคืน หากจะอยู่เป็นมรดกที่ยั่งยืนแก่ลูกหลาน และมนุษยชาติไปเนิ่นนาน ข้ามภพข้ามชาติได้จริงทีเดียว

--------------------------------------------------------------------------------

บทความเนื่องในโอกาสครบรอบ ๙ ปี แห่งการฌาปนกิจศพท่านพุทธทาสมหาเถระ วันขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๑๐ ( ปีนี้ตรงกับวันที่ ๑๙ กันยายน ) วันดังกล่าวในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จะถือเป็นวันแสดงอาจาริยบูชาประจำปีแด่ท่านอาจารย์ด้วย


โลงศพของอาตมาก็คือ ความดีที่ทำไว้ในโลกด้วยการเผยแผ่พระธรรม ป่าช้าสำหรับอาตมาก็คือ บรรดาประโยชน์ และคุณทั้งหลาย ที่ทำไว้ในโลกเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ และขอชักชวนให้ท่านทั้งหลาย ถือหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันว่า โลงศพของเราก็คือ ความดีที่ทำไว้ในโลก ป่าช้าของเราก็คือ ประโยชน์ทั้งหลายที่เราได้ช่วยกันทำไว้ เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์

พุทธทาส อินฺทปญฺโญ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #40 เมื่อ: 06 มีนาคม 2551, 02:43:29 »

เมื่อแฟนผมยอมให้ผมไปออกเดทกับผู้หญิงอื่น

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

หลังจากที่แต่งงานมาได้ 21 ปี ผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ เพราะวันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า ผมต้องไปออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง มันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ

" ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ " ภรรยาผมว่า
" แต่ผมรักคุณนี่ " ผมเถียง
" ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน "

ผู้หญิงคนที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ แม่ของผมเอง ซึ่งเป็นหม้ายมา 19 ปีแล้ว เนื่องจากงานที่รัดตัว และต้องดูแลลูก ๆ ทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น วันที่ผมโทร.ไปหาแม่เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็น และดูหนังด้วยกัน แม่ถามว่า " มีอะไรหรือ ? ลูกสบายดีรึเปล่า ? "

แม่ผมเป็นผู้หญิงประเภทที่คิดว่า การที่คนโทร.มาหากลางดึก หรือเชิญอย่างกระทันหัน หมายความว่ามีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น ผมตอบแม่ว่า " ผมว่าดีออก ถ้าเราได้ใช้เวลากันตามลำพังสองคนแม่-ลูกบ้าง " แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า " แม่ยินดีมากเลยจ้ะ "

เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็สังเกตได้ว่าแม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แม่สวมเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว แม่ม้วนผม แล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้าย พลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์

" แม่บอกเพื่อนๆ ว่า แม่จะออกไปเที่ยวกับลูกชาย พวกเขาประทับใจกันใหญ่ " แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ " พวกเขารอฟังแม่เล่า แทบไม่ไหวเลย "

เราไปภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยม และบรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ แม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง หลังจากที่เรานั่งลงเรียบร้อยแล้ว ผมต้องเป็นฝ่ายอ่านเมนูอาหาร เพราะสายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น เมื่อผมอ่านเมนูอาหารไปได้เพียงครึ่งเดียว ผมเงยขึ้นมอง เห็นแม่กำลังมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลัง

" ตอนที่ลูกยังเล็กๆ แม่ต้องเป็นคนอ่านเมนูให้ลูกฟัง " แม่ว่า
" งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบายๆ บ้าง " ผมตอบ

ในระหว่างมื้ออาหาร เราคุยกันอย่างถูกคอ ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร เพียงแต่สลับกันถามว่าชีวิตของเราเป็นยังไง ทำอะไร ที่ไหนมาบ้าง เราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่พูดว่า " แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ " ผมตอบตกลง

" ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง ? " ภรรยาถาม เมื่อผมกลับถึงบ้าน
" ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย " ผมตอบ

ไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน มันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลย หลายวันต่อมาผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไป มีโน๊ตเล็กๆ แนบมาด้วยว่า

" แม่จ่ายค่าอาหารมื้อหน้าของเราเรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือลูกกับภรรยา ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่ไหน , รักลูกจ้ะ "


วินาทีนั้น ผมเข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า " รัก " ต่อคนที่เรารัก ในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมัน ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณ จงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้

บางคนบอกว่า หลังจากที่คุณคลอดบุตรแล้วต้องใช้เวลาราว 6 สัปดาห์ จึงจะคืนสู่สภาพเดิม คนนั้นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณได้เป็นแม่คนแล้ว ไม่มีคำว่า " คนเดิม " อีกต่อไป

บางคนบอกว่า คนเราเรียนรู้การเป็นแม่ได้เองตามสัญชาติญาณ คนนั้นไม่เคยพาลูกสามขวบไปซูเปอร์มาร์เกต

บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นน่าเบื่อ คนนั้นไม่เคยนั่งรถที่ลูกวัยรุ่นขับหลังจากที่ได้ใบขับขี่มาหมาดๆ

บางคนบอกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี ลูกออกมาก็จะดีเอง คนนั้นนึกว่าเด็กคลอดออกมาพร้อมกับคู่มือการใช้ และใบรับประกัน

บางคนบอกว่า แม่ที่ดีไม่ควรขึ้นเสียงกับลูก คนนั้นไม่เคยเปิดประตูหลังบ้านออกมาทันได้เห็นลูกหวดลูกกอล์ฟเข้าใส่หน้าต่างครัวของเพื่อนบ้าน พอดิบพอดี

บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นไม่ต้องมีการศึกษาก็ได้ คนนั้นไม่เคยช่วยลูกประถมสี่ทำการบ้านเลข

บางคนบอกว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการเป็นแม่ คือตอนเลี้ยง และตอนคลอด คนนั้นไม่เคยยืนดูลูกขึ้นรถเมล ์ ไปโรงเรียนอนุบาลวันแรก

บางคนบอกว่า แม่เลิกกังวลได้แล้ว หลังจากที่ลูกแต่งงานออกเรือนไป คนนั้นไม่รู้ว่าการแต่งงาน คือ การนำลูกชาย หรือลูกสาวคนใหม่เข้ามาอยู่ในสายใยใจของแม่

บางคนบอกว่า แม่รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณรักท่าน เพราะงั้นไม่ต้องบอกท่านก็ได้ คนนั้นไม่เคยเป็นแม่คน
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: 07 มีนาคม 2551, 12:47:38 »

เรื่องที่คาดไม่ถึง

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

มีคู่รักคู่หนึ่งนั่งรถเมล์ที่กำลังตรงไปในเมืองในหุบเขา ทั้งคู่ได้ลงรถกลางทาง หลังจากนั้นรถเมล์ก็วิ่งต่อไป แต่เพียงไม่นานก็มีหินก้อนขนาดมหึมาตกลงมาจากที่สูงมาก และทับรถเมล์คันนั้นพังยับเยิน ทุกคนที่อยู่ในรถในเวลานั้นเสียชีวิตทั้งหมด คู่รักคู่นั้นเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็พูดขึ้นว่า " ถ้าพวกเรายังอยู่ในรถคันนั้นก็ดีน่ะซิ ! " คนส่วนใหญ่น่าจะคิดว่า " ยังดีนะที่เราลงจากรถก่อน ! " แต่คู่รักคู่นี้กลับพูดสิ่งที่ต่างจากคนส่วนใหญ่ คุณคิดว่าเพราะอะไร ? ? ?

________________________________

ตอบมาก่อนนะ ... เดี๋ยวค่อยเฉลย



( เจี๊ยบถ่ายรูปประกอบเรื่อง  เป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ในเส้นทางไปอุทยานแห่งชาติ " หวงหลง " ประเทศจีน )

เฉลยล่ะ

ถ้าพวกเขาไม่ได้ลงจากรถ รถเมล์คันนั้นก็จะไม่ต้องจอดเพื่อส่งเขาลง แต่จะขับเลยตำแหน่งที่หินถล่มลงมา !!


ในชีวิตของพวกเรานั้น ให้ลองมองด้วยมุมมองที่ต่างจากของตัวเอง พยายามเข้าใจ และช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น อย่าได้ใช้ชีวิตอย่างขาดสติและเฉยเมย ทำเพื่อตัวเองอีกต่อไปเลย คุณตอบปริศนาข้างบนถูกมั้ยครับ ?

ถ้าคุณตอบถูก ( โดยไม่เคยอ่านที่อื่นมาก่อนนะ ) แปลว่าผมตาถึงมากที่ได้คุณมาเป็นเพื่อน แต่ถ้าคุณตอบผิด ก็ยินดีกับคุณด้วยที่เป็นเหมือนผม
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #42 เมื่อ: 07 มีนาคม 2551, 13:00:01 »

What love means to a 4-8 years old child ?

พี่วิภาดา - บัญชี 15 ... ส่งมา

Slow down for three minutes to read this. It is so worth it. Touching words from the mouths of babes. A group of professional people posed this question to a group of 4 to 8 years-old. " What does love mean ? " The answers they got were broader and deeper than anyone could have imagined. See what you think :



( เจี๊ยบถ่ายรูปประกอบเรื่อง ... เด็กๆ ในเมือง Langensalza, Germany มาร่วมกิจกรรมสนุกสนานในเทศกาล Easter ที่ park ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง )

" When my grandmother got arthritis, she couldn't bend over and paint her toenails anymore. So my grandfather does it for her all the time, even when his hands got arthritis too. That's love. " ... Rebecca - age 8

" When someone loves you, the way they say your name is different. You just know that your name is safe in their mouth. " ... Billy - age 4

" Love is when a girl puts on perfume and a boy puts on shaving cologne and they go out and smell each other. " ... Karl - age 5

" Love is when you go out to eat and give somebody most of your French fries without making them give you any of theirs. " ... Chrissy - age 6

" Love is what makes you smile when you're tired. " ... Terri - age 4

" Love is when my mommy makes coffee for my daddy and she takes a sip before giving it to him, to make sure the taste is OK. " ... Danny - age 7

" Love is when you kiss all the time. Then when you get tired of kissing, you still want to be together and you talk more. My Mommy and Daddy are like that. They look gross when they kiss. " ... Emily - age 8

" Love is what's in the room with you at Christmas if you stop opening presents and listen. " ... Bobby - age 7 ( Wow ! )

" If you want to learn to love better, you should start with a friend who you hate. " ... Nikka - age 6 ( We need a few millions more Nikka's on this planet. )

" Love is when you tell a guy you like his shirt, then he wears it everyday. " ... Noelle - age 7

" Love is like a little old woman and a little old man who are still friends even after they know each other so well. " ... Tommy - age 6

" During my piano recital, I was on a stage and I was scared. I looked at all the people watching me and saw my daddy waving and smiling. He was the only one doing that. I wasn't scared anymore. " ... Cindy - age 8

" My mommy loves me more than anybody. You don't see anyone else kissing me to sleep at night. " ... Clare - age 6

" Love is when Mommy gives Daddy the best piece of chicken. " ... Elaine - age 5

" Love is when Mommy sees Daddy smelly and sweaty and still says he is handsomer than Robert Redford. " ... Chris - age 7

" Love is when your puppy licks your face even after you left him alone all day. " ... Marry Ann - age 4

" I know my older sister loves me because she gives me all her old clothes and has to go out and buy new ones. " ... Lauren - age 4

" When you love somebody, your eyelashes go up and down and little stars come out of you. " ( what an image this one ) ... Karen - age 7


" Love is when Mommy sees Daddy on the toilet and she doesn't think it's gross. " ... Mark - age 6


" You really shouldn't say " I love you " unless you mean it. But if you mean it, you should say it a lot. People forget easily " ... Jessica - age 8

And the final one :

The winner was a 4 yearsa old child whose next door neighbor was an elderly gentleman who had recently lost his wife. Upon seeing the man cry, the little boy went into the old gentleman's yard, climbed onto his lap, and just sat there. When his mother asked what he had said to the neighbor, the little boy said
" Nothing, I just helped him cry. "
บันทึกการเข้า
ปุจฉา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 69

« ตอบ #43 เมื่อ: 31 มีนาคม 2551, 12:38:53 »

this interesting story should be re-telled.

THE SEED - Very good story

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มแก่ตัวลง และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ
แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือ ลูกของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่แตกต่างออกไปเขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆ ในบริษัทของเขา มารวมกัน และพูดว่า " ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วหล่ะ" " และฉันก็จะตัดสินใจเลือกคนหนึ่งในพวกคุณเนี่ยะแหละ" พวกหนุ่มต่างรู้สึกช๊อก กันใหญ่   เขาพูดต่ออีกว่า "วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ดเป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ  นับจากวันนี้ไปอีก 1 ปี กลับมา และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบขึ้น  ที่พวกคุณนำมาให้ผม  คนที่ผมเลือกจะได้เป็น  CEO คนต่อไป"

นักบริหารหนุ่ม คนหนึ่ง ชื่อ จิม  เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มๆ ที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น  เขาได้รับเมล็ดมา 1 อัน และกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น  เขาบอกภรรยาและช่วยกันเตรียมกระถาง  ดินและปุ๋ยเพื่อเตรียมปลูกต้นไม้  พวกเขาดูแล รดน้ำมาตลอดผ่านไปสามสัปดาห์  พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่นได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพื่ชที่เขาได้รับ และเริ่มเจริญเติบโต . แต่จิม ก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา  3 สับดาห์ ผ่านไป  4 สับดาห์ ผ่านไป
-  5  สับดาห์ ผ่านไป ก็ยังไม่เห็นอะไรในกระถาง  ตอนนี้หนุ่ม ๆได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว  แต่จิม
ไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่เห็นต้นไม้ของเขา  เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว  ผ่านไป 6 เดือน ก็ยังไม่
มีอะไรงอกขึ้นมา  เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ดนั้นไปซะแล้ว

ตอนนี้ทุก ๆ คนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิม ที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน แต่เขาก็ยังเฝ้าดูแล รดน้ำ มันมาตลอดเวลา   ผ่านไปครบ 1 ปี  ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ ไปให้ CEO ได้ตัดสิน  
แต่จิมพูดกับภรรยาว่า " ผมจะไม่เอากระถางเปล่าๆ ใบนี้ไปแน่"
แล้วภรรยาบอกเขาว่า ให้พูดความจริงออกไป ว่ามันเป็นยังไง  จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด
เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต  แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก   ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆเข้าไปในห้องทีได้นัดหมายกันไว้  
เมื่อจิมมาถึง  เขาแปลกใจมากว่า ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรงกันหมดทุกคน  เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม  ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ  มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ

เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆ คน แต่จิมก็แอบหลบอยู่ข้างหลัง  "โอ ทำไม ต้นไม้
ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน  เอาละ หนึ่งในพวกคนจะได้เลื่อนเป็น CEO กันวันนี้แหละ"  แต่พอท่านประธานเห็นกระถางของ จิม ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิม ขึ้นมาข้างหน้า  จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก
เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และ เขาอาจจะถูกไล่ออก    เมื่อจิมเดินมาหน้าห้อง  ท่านประธานก็ถามว่า "เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ"  จิมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง   แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลงยกเว้นจิมท่านมองมาที่จิมและก็ประกาศว่า        " CEO คนต่อไปก็คือ....... จิม" จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเองเพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO  ได้อย่างไร

และท่านประธานก็พูดว่า
"เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคน ให้พวกคุณดูแล รดน้ำมันทุกๆ วัน   แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้วดังนั้น มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร  พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม   นำต้นไม้ที่ สวย งาม มาให้ผมนี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่า เมล็ดมันไม่งอกพวกคุณก็ เอาเมล็ดอื่น ปลูกแทนน่ะสิ   จิมเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้ มาให้ผม "  " ดังนั้นผมจึงแต่งตั้งจิม ให้เป็น CEOคนต่อไป "

คติธรรม ที่ได้
เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดละออ
เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี
ดังนั้น  ตรองดูซักนิด ว่า คุณจะปลูกอะไร  คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้
บันทึกการเข้า

คนที่เข้มแข็งที่สุดก็ยังมีนาทีที่น้ำตาไหลริน
ปุจฉา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 69

« ตอบ #44 เมื่อ: 31 มีนาคม 2551, 12:56:04 »

มีข่าวจากเล่าต่อๆกันมาจากผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่งว่าได้ยินกับหูตนเอง

หนังสือ 7 habits ครั้งแรกที่เริ่มโด่งดัง ฝรั่งผู้แต่งหนังสือได้มาประเทศไทยครั้งแรกในงานแนะนำหนังสือหรือมาบรรยาย เพื่อเปิดการอบรม  ขณะที่นั่งคุยนอกรอบในสาระเรื่องราวของหนังสือ ก็มีผู้ใหญ่ของไทยที่รับรองอยู่ อธิบายเพิ่มเติมโดยอ้างหลักธรรมของพุทธศาสนา ...ฝรั่งผู้แต่งหนังสือ ก็งง จึงสนใจและถามเพิ่มพร้อมกับขอคำสอนของพระไตรปิฎกไปศึกษา พร้อมกับบอกว่าสิ่งที่เขาคิดค้นนี้ไม่น่าเชื่อที่มีศาสนาทางตะวันออกได้พูดและสอนไว้ นานมา ถึง ๒๕๐๐ กว่าปี

โปรดสังเกตุว่า เวอร์ชั่นหลังๆ ข้อคิดในสาระ 7 habits เน้น หรือมีอะไรเพิ่มเติมบ้าง

เราเองก็ยังไม่ไดตามเปรียบเทียบ
บันทึกการเข้า

คนที่เข้มแข็งที่สุดก็ยังมีนาทีที่น้ำตาไหลริน
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #45 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2551, 02:44:17 »

ขอขอบคุณ อ. แจ่มใส นะคะ ที่ส่งเรื่องดีๆ มาร่วมแบ่งปันกัน ... topic นี้ " จำศีล " ไปเกือบ 2 เดือน  ได้ฤกษ์มา " ซึ้ง " กันต่อแล้วค่ะ ...

ซึ้ง อ่ะ !

มานิต - รัฐศาสตร์ 16 ... ส่งมา

เรื่องมีอยู่ว่า .....

ชายคนหนึ่งเคยลงโทษลูกสาววัย 5 ขวบของเขา  เพราะนำเงินไปซื้อกระดาษห่อของขวัญสีทองม้วนหนึ่งซึ่งมีราคาแพง  ในขณะที่การเงินที่บ้านฝืดเคือง  และเค้าก็อารมณ์เสียอีกครั้งเมื่อลูกสาวนำกระดาษสีทองราคาแพงนั้นมาห่อกล่องของขวัญเพียง  เพื่อตกแต่งไว้ใต้ต้นคริสต์มาส   แต่กระนั้น ... ลูกสาวตัวน้อยก็ได้มอบกล่องของขวัญนั้นให้พ่อของเธอในเช้าวันรุ่งขึ้น  และพูดว่า " นี่สำหรับพ่อค่ะ "
   
พ่อของเธอกระอักกระอ่วนกับอาการที่ได้แสดงออกไปก่อนหน้านี้  แต่แล้วความโกรธก็ได้พุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง  เมื่อเขาพบว่ามันเป็นเพียงกล่องเปล่า  เขาพูดด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดว่า " ลูกไม่รู้จริงๆ หรือว่า  การจะให้ของขวัญใคร  มันจะต้องมีอะไรอยู่ในกล่องของขวัญด้วย ? "  เด็กน้อยมองไปที่พ่อของเธอด้วยน้ำตา  และพูดว่า  " โอ ... พ่อจ๋า  มันไม่ใช่กล่องเปล่าเลย  หนูเป่าจูบเข้าไปจนเต็ม "
   
ชายคนนั้นสะอึก  ตัวชาด้วยความเสียใจ  เขาทรุดตัวลงแล้วโอบกอดลูกสาวไว้แน่น  เขาขอให้ลูกสาวยกโทษให้เขา  ที่โกรธเกรี้ยวจนเกินเหตุ .... ต่อมาไม่นานอุบัติเหตุก็ได้คร่าชีวิตลูกสาวของชายคนนั้นไป  และว่ากันว่าเขาเก็บกล่องของขวัญสีทองล้ำค่านั้นไว้ที่ข้างเตียง  ตลอดชีวิตของเขาเลยทีเดียว  และเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกท้อแท้ใจ  หรือต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากเย็นแสนเข็ญ  เขาจะเปิดกล่องใบนี้  เพื่อหยิบจูบในจินตนาการขึ้นมาหนึ่งจูบ  แล้วรำลึกถึงความรักของลูกน้อย  ที่ได้ใส่จูบนั้นไว้ให้เขา

   
ในความเป็นจริง  ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง  พวกเราทุกคนล้วนได้รับกล่องของขวัญสีทองซึ่งบรรจุด้วยความรัก  ที่ปราศจากเงื่อนไข  และรอยจูบจากลูกๆ , ครอบครัว และ เพื่อนๆ
   
ไม่มีสมบัติใดล้ำค่าไปกว่านี้อีกแล้ว ... เพื่อนคือของขวัญ  ผู้ซึ่งพยุงให้เรายืนขึ้นด้วยเท้า  เมื่อปีกของเราไม่รู้ว่าจะบินอย่างไร

   
มองโลกในแง่ดี  และปฏิบัติดี

ฉันขอขอบคุณสำหรับ ....
   
สำหรับสามีที่นอนกรนทั้งคืน  เพราะนั่นหมายถึงเขากำลังหลับอยู่ที่บ้านกับฉัน  ไม่ใช่กับผู้หญิงอื่น
   
สำหรับลูกสาววัยรุ่นที่กำลังบ่นเรื่องล้างจานอยู่  เพราะนั่นหมายถึงเธออยู่บ้าน ไม่ใช่ที่ถนน
   
สำหรับภาษีที่ต้องเสีย  เพราะนั่นหมายถึงฉันมีงานทำ
   
สำหรับข้าวของต่างๆ ที่ต้องคอยเก็บหลังงานปาร์ตี้  เพราะนั่นหมายถึงฉันถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูง
   
สำหรับเสื้อผ้าที่พอดีจนเกือบจะคับเกินไป  เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีกิน
   
สำหรับเงาที่คอยมองดูฉันทำงาน  เพราะนั่นหมายถึงฉันกำลังได้รับแสงแดด
   
สำหรับพื้นที่ต้องคอยขัดถู  และหน้าต่างที่ต้องทำความสะอาด  เพราะนั่นบ้านถึงฉันมีบ้านให้ดูแลรักษา
   
สำหรับคำบ่นต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาล  เพราะนั่นหมายถึงเรามีอิสระในการที่จะแสดงความคิดเห็น
   
สำหรับที่จอดรถที่อยู่ไกลสุดของลานจอดรถ  เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถเดินได้   และฉันมีรถ
   
สำหรับผ้ากองโตที่รอการซักรีด  เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเสื้อผ้าสวมใส่
   
สำหรับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทุกสิ้นวัน  เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถทำงานหนักได้
   
สำหรับเสียงปลุกในทุกๆ เช้า  เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีชีวิตอยู่
   
และสุดท้าย .......
 
สำหรับอีเมล์ที่ส่งมาหาฉันมากมาย  เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเพื่อนๆ  
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #46 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2551, 01:25:53 »

Hold My Hand

ศรัญญา - เภสัช 16 ... ส่งมา



Here is a short story with a beautiful message ....
นี่คือเรื่องสั้นที่เป็นข้อความที่สวยงาม ….

Little girl and her father were crossing a bridge.
เด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งและพ่อของเธอกำลังเดินข้ามสะพาน

The father was kind of scared so he asked his little daughter,
คุณพ่อของเธอมีท่าทีห่วงใย และพูดกับลูกสาวตัวน้อยของเขาว่า

" Sweetheart, please hold my hand so that you don't fall into the river."
" ที่รักของพ่อ จับมือพ่อไว้นะ ลูกจะได้ไม่ตกลงไปในน้ำ "

The little girl said, " No, Dad. You hold my hand. "
เด็กหญิงจึงพูดว่า " ไม่ค่ะพ่อ พ่อจับมือหนูดีกว่า "

" What's the difference ? " Asked the puzzled father.
พ่อจึงถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า " แล้วมันต่างกันยังไงล่ะจ๊ะลูก "

"There's a big difference, " replied the little girl.
เด็กน้อยตอบว่า " มันต่างกันมากเลยค่ะพ่อ "

" If I hold your hand and something happens to me,
chances are that I may let your hand go.
" ถ้าหนูจับมือพ่อไว้ และมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับหนู หนูอาจปล่อยมือพ่อหลุดไปก็ได้

But if you hold my hand, I know for sure that no matter what happens, you will never let my hand go."
แต่ถ้าพ่อจับมือหนูไว้ หนูมั่นใจว่าแม้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม พ่อจะไม่ยอมปล่อยมือหนูหลุดไปแน่ "


In any relationship, the essence of trust is not in its bind, but in its bond.
ในสัมพันธภาพใด ๆ ก็ตาม ความเชื่อใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการผูกมัด แต่ขึ้นอยู่กับความผูกพัน

So hold the hand of the person who loves you rather than expecting them to hold yours ...
ดังนั้นจับมือคนที่คุณรักไว้ โดยไม่ต้องคาดหวังหรือรอให้เขาเป็นฝ่ายจับมือคุณ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #47 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2551, 09:46:10 »

มุมมองต่างชาติกับการทำงานแบบไทย

วณิชย์ - วิศวะ 16 ... ส่งมาจาก LA , USA

บ้านเราเดี๋ยวนี้มีคนต่างชาติเข้ามาทำงานหลายพันชีวิต พอฝรั่งกับไทยมาเจอกัน ความอลเวงก็เลยเกิดขึ้น เพราะนอกจากภาษา และความเคยชินจะต่างกันชนิดฟ้ากับเหวแล้ว นิสัยการทำงานก็ยังไม่เหมือนกันอีกด้วย ฝรั่งจะนินทาคนไทยว่ายังไรบ้าง มาแอบฟังกันดีกว่า ....

เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำงานในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทยๆ เราก็ได้คำตอบว่า :


1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง

คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมืออย่างเต็มที่ หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี

- เจฟฟรีย์ บาร์น


2. การโต้แย้ง

เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า " ขี้เกรงใจ " แต่สำหรับฝรั่งแล้วนิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร

- ทานากะ โรบิน ( จูเนียร์ ) ฟูจิฮาระ


3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด

เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม่แพ้ฝรั่งเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้รู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้ว เลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร

- ไมเคิล วิดฟิล์ค


4. ความรับผิดชอบ

1. ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า ทั้งๆทีงานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนาน ก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร

2. ไม่ค่อยยอมผูกพัน และรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำ คนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก

- สเตฟานี จอห์นสัน


5. วิธีแก้ไขปัญหา

คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับ เวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า หลายคั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่งลงมาก่อน แล้วค่อยทำตามถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด

- ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก


6. บอกแต่ข่าวดี

คนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ

1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา

2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริง หรือถ้าหากเจ้านายถามว่าจะทำงานเสร็จทันเวลาไหม ก็จะบอกว่าทัน ( เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้ ) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย

- โจนาธาน ธอมพ์สัน


7. คำว่า " ไม่เป็นไร "

เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วย เพราะเกรงใจกัน แต่จะใช้คำว่า " ไม่เป็นไร " มาแก้ปัญญหาแทน

- เจนิส อิกนาโรห์


8. ทักษะในการทำงาน

1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกัน บางคนขยัน แต่บางคนไม่ทำอะไรเลย บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกัน จนผลงานไม่คืบหน้า

2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด

3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก และไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม

- เดวิด กิลเบิร์ก


9. ความซื่อสัตย์

พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย ขาดงาน โดยอ้างว่าป่วย
ออกไปข้างนอกในเวลางาน

- เฮเบิร์ก โอ ลิสส์


10. ระบบพวกพ้อง

คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #48 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2551, 01:37:51 »

What I saw when I jumped

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา














บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #49 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2551, 21:37:29 »

อย่าเปลี่ยนฉัน

ลัลลนา - ครุ 16 ... ส่งมา

คน 1 คน ... การที่เราจะคบหาหรือรู้จักใครสักคน ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ควรท่องควรจำไว้อยู่เสมอก็คือ " คน " เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ อยู่ในนั้น

อย่าตั้งใจกับคน 1 คนมากเกินไป

เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว

อย่าคาดหวังกับ คน 1 คนมากเกินไป

เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอย่างที่ทุกคนอยากให้เป็น

อย่าให้เวลากับคน 1 คนมากเกินไป

เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีช่วงเวลาของความเป็นส่วนตัว ... คนเดียว ....

อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคน 1 คนมากเกินไป

เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง

อย่าควบคุมชีวิตคน 1 คนมากเกินไป

เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด

อย่าบีบบังคับคน 1 คนมากไปกว่านี้

เพราะถ้าคนๆ นั้น หลุดจากภาวะบีบบังคับมาได้ คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหันหลังให้ในทันที

เธอ ... ลองมองดูฉันดีๆ ฉันมีลมหายใจ ไม่ใช่ภาพวาดที่จะสวยงามอยู่ตลอดเวลา ฉันเองก็เป็น " คน " เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 ด้านเช่นกัน


... อยากรู้จักใครสักคน ต้องหัดเรียนรู้ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง ...
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #50 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2551, 21:59:47 »

The philosophy of Charles Schultz

พี่วิวิธ - วิศวะ 07 ... ส่งมา

The following is the philosophy of Charles Schultz, the creator of the " Peanuts " comic strip. You don't have to actually answer the questions. Just read the e-mail straight through, and you'll get the point.

1. Name the five wealthiest people in the world.
2. Name the last five Heisman trophy winners.
3. Name the last five winners of the Miss America.
4. Name ten people who have won the Nobel or Pulitzer Prize.
5. Name the last half dozen Academy Award winner for best actor and actress.
6. Name the last decade's worth of World Series winners
.

How did you do ?

The point is, none of us remember the headliners of yesterday. These are no second-rate achievers. They are the best in their fields. But the applause dies. Awards tarnish. Achievements are forgotten. Accolades and certificates are buried with their owners .


Here's another quiz. See how you do on this one :

1. List a few teachers who aided your journey through school.
2. Name three friends who have helped you through a difficult time.
3. Name five people who have taught you something worthwhile.
4. Think of a few people who have made you feel appreciated and special.
5. Think of five people you enjoy spending time with .

Easier ?


The lesson : The people who make a difference in your life are not the ones with the most credentials, the most money, or the most awards. They are the ones that care .

" Don't worry about the world coming to an end today. It's already tomorrow in Australia. " ... ( Charles Schultz )
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #51 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2551, 20:10:58 »

นิทานสอนใจ " อย่านึกว่าธุระไม่ใช่ "

วณิชย์ - วิศวะ 16 ... ส่งมาจาก LA , USA

วันหนึ่ง หนูน้อยตัวหนึ่งมองผ่านทางรูฝาผนังบ้านเห็นภรรยาของชาวนากำลังตั้งกับดักหนู ด้วยความตื่นเต้นตกใจ เจ้าหนูน้อยกระโจนออกไปกลางลาน พร้อมตะโกนด้วยความตกอกตกใจกลัวภัยอันตรายที่จะเข้ามาใกล้ตัว “ กับดักหนูอยู่ในบ้าน กับดักหนูอยู่ในบ้าน ” แม่ไก่ได้ยินเข้ามองหนูอย่างเยาะหยันพร้อมยักไหล่อย่างไม่แยแส “ เจ้าหนูน้อย ข้าได้ยินแล้วว่าภัยใกล้ตัวเจ้า แต่นั่นมันเป็นเรื่องของเจ้า กับดักหนูไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะสนใจอะไร มันไม่ธุระของข้า ” ว่าแล้วก็คุยเขี่ยหาอาหารอย่างทองไม่รู้ร้อนต่อไป

เจ้าหนูน้อยวิ่งหน้าตั้งไปยังหมูซึ่งกำลังใช้จมูกขุดคุยอาหาร “ หมู หมู นายรู้หรือเปล่าว่า มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน ” หมูได้ยินพยักหน้ารับ พร้อมบอกว่า “ เจ้าหนูน้อย ข้ารู้สึกสงสารแกจริง ๆ แต่ข้าไม่สามารถจะช่วยอะไรเจ้าได้หรอก นอกจากจะสวดมนต์ภาวนาให้เจ้าปลอดภัยเท่านั้น ข้าจะสวดมนต์ภาวนาให้เจ้าทุก ๆ ครั้งก่อนนอน ”

ด้วยความหมดอาลัยตายอยาก เจ้าหนูวิ่งโร่ไปหาวัวซึ่งกำลังเล็มหญ้าอยู่ข้างๆ บ้าน “ นาย นาย มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน ” เจ้าหนูน้อยตะโกนบอกวัวด้วยเสียงระทึกกลัว วัวหันมายิ้มกับหนูน้อย พร้อม “ โม โม ! เออ ! จริงหรือ ? น่ากลัวนะสำหรับเจ้า แต่ขอโทษทีเถอะสำหรับข้าไม่ได้สะเทือนซางเลย กับ กับดักหนูเล็ก ๆ แค่นั้น ”

ด้วยความหมดหวัง เจ้าหนูน้อยเดินคอตกกลับไปเผชิญชะตากรรมในบ้านอย่างโดดเดี่ยวหลังมืดสนิทคืนนั้น เสียงกับดักหนูงับดังสนั่น ภรรยาชาวนาลงมาดูหวังจะได้หนู แต่ในความมืดภรรยาชาวนามองไม่เห็นว่ากับดักหนูงับติดหางงูเห่าตัวใหญ่อยู่ในความมืด งูเห่ากัดภรรยาชาวนา ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล และกลับมารักษาที่บ้าน แต่ปรากฏว่าภรรยาชาวนามีไข้ขึ้นสูง ชาวนาทุกคนรู้ยาแก้ไขนั้น ต้องให้คนไข้ทานซุ๊บไก่ ดังนั้นชาวก็ฆ่าไก่มาต้มซุ๊บให้ภรรยาทาน แต่อย่างไรเสียอาการป่วยของภรรยาไม่ดีขึ้น มีเพื่อนฝูงเกือบทั้งหมู่บ้านมาเยี่ยมเฝ้าไข้กันเนื่องแน่น ชาวนาก็ต้องฆ่าหมูเพื่อทำอาหารเลี้ยงเพื่อนๆ ที่มาปรนวิบัติภรรยาตัวเอง เวลาผ่านไปภรรยาชาวนาก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็ตายไป หลังจากนั้นก็มีงานศพใหญ่โต มีเพื่อนฝูงมาร่วมงานมากมาย ชาวนาก็ต้องเชือดวัวทำอาหารเลี้ยงแขกในงาน ….

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ได้เล็ดลอดจากสายตาของเจ้าหนูน้อยตัวนั้นแม้แต่นิด เพราะเจ้าหนูน้อยได้เฝ้าสังเกตการณ์จากรูฝาผนังด้วยหัวใจที่แสนเศร้าสลดตลอดมา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า " หากได้ยินภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่งในสังคม จงคิดเอาใจใส่หาทางช่วยเหลือ อย่าคิดว่าธุระไม่ใช่ จงจำไว้ว่าวันหนึ่งภัยเล็กน้อยนั้น จะลามใหญ่เป็นภัยถึงตัวได้ ฉะนั้นเราต้องเป็นหูเป็นตาให้แก่กัน อย่านึกว่าธุระไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้น ในที่สุดก็ต้องตายเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องของตน ดั่งเช่น ไก่, หมู และวัว ในนิทานนี้แล …..
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #52 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2551, 22:48:29 »

ขยะ ... ที่อยู่ในใจ

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ ... คำตอบง่ายมาก เพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะ หรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจ เวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปน ความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่

ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น " ถังขยะ " ล่ะ คำตอบก็คือ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอกว่า เราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเอง หรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราไม่หมั่นสำรวจ บางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้


อะไรบ้างที่เป็นขยะหัวใจ

1. ความไม่พอใจ

มีหลายเรื่องเลยนะ ในชีวิต ที่เราไม่พึงพอใจ ถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพ สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเอง ไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของคน ย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อน และได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง

ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีเกิน มีขาด จนกว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ฉะนั้นเราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้ว ความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์กว่าการจับผิดกัน แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ


2. ความผิดหวัง

2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก คือหวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมา กับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการ อดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม ดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติ ให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาส และความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้ และวันข้างหน้า ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น

ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมด แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร กระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจ และปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะรกอารมณ์


3. ความอิจฉาริษยา

ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุดก็คือ ความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยไม่ทันเฉลียวว่าทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตาม ความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วย เพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้น ย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดี หรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน

จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่าการที่คนอื่นได้ดี หรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดี ควรยินดีกับเขา และปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขามีจนเราอิจฉา


4. ความยึดมั่นถือมั่น

ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อ รุงรัง ให้ใจได้เป็นอย่างดีอีกประการหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น คิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉัน ตำแหน่งของฉัน ฯลฯ จนไม่สามารถปล่อยวาง ‘ สิ่งนอกตัว ’ เหล่านั้นลงได้

ส่วนใหญ่พบว่า จิตจะปรุงแต่งไปเองว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้ พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจ และปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่า ฉันนี้แสนทุกข์ระทม

ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหมว่า อะไรๆ ในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตาย ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศ สรรเสริญทั้งปวง


5. ความกลัว

ใจหลายคนรุงรังไปด้วยความกลัว กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่า กลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ กลัวไปทำไม เรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้า กลัวจนประสาทเสีย

จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคน และทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น และจงขจัดความกลัวออกไปจากใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรี เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม


6. ความอยาก

จง " อยาก " ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่าย แล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต

ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับ รถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆ ก็นิ่งอยู่กับที่ แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิต ฉะนั้นใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยาก ขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้


ทำอย่างไรให้ใจสะอาด

เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนัก แล้วอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่อยู่กับเรา เป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วย นั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้ง การอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆ ให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีก เพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน

ใจ ... แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเอง แต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆ มาปะพอก จนใจนั้นหมดสภาพ ฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลาย แล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจ เต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง


อย่าไปบงการหัวใจมาก เพราะแทนที่จะเป็นหัวใจ มันจะกลายเป็นถังขยะแทน
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #53 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2551, 20:02:04 »

คนที่มีความสุขที่สุดในโลก

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ร่ำรวย ... คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ ... แต่คนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ คนที่มีความสบายใจเท่านั้นเอง ... และความหมายของความสบายใจ คือ

หนึ่ง เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เชื่อว่าคุณมีดี คุณน่าคบหา และคุณทำได้

สอง รู้จักตัวเอง ยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเอง และพร้อมจะปรับปรุงเสมอ

สาม ไม่ดื้อดึง ถ้าวันวานคุณเคยทำผิดพลาด คุณก็ยินยอมเปลี่ยนแปลงและรับฟังคนอื่น

สี่ เห็นค่าของตัวเอง คุณไม่คิดว่าตัวเองช่างไร้ค่า คุณจึงมีความสุขในใจเสมอ

ห้า วิ่งหนีความทุกข์ เมื่อรู้ตัวว่าตกลงไปในความทุกข์ คุณก็รีบหาทางหลุดพ้น ไม่จมอยู่กับมัน

หก กล้าหาญเสมอ คุณกล้าเปลี่ยนแปลง และกล้ารับมือกับสิ่งแปลกใหม่ หรือปัญหาต่างๆ

เจ็ด มีความฝันใฝ่ เมื่อชีวิตมีจุดหมาย คุณก็จะเดินไปบนถนนชีวิตอย่างมีความหวัง ไม่เลื่อนลอย

แปด มีน้ำใจอาทร คุณพบความสุขในใจเสมอถ้าเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

เก้า นับถือตัวเอง ไม่ดูถูกตัวเองด้วยการลดคุณค่า และทำในสิ่งที่เสื่อมเสียต่อตัวเอง

สิบ เติมสีสัน สร้างรอยยิ้มให้ชีวิตของคุณ และคนรอบข้าง รู้จักหยอกล้อคนอื่น ๆ และตัวเองด้วย


ความสุขนั้น คือ พอใจกับวิถีชีวิตของตัวเอง และวางฝันของตัวเองตามกำลังที่ตนทำได้ การได้รับวัตถุ และความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทำให้คุณพึงพอใจ และยกระดับฐานะของคุณเท่านั้น เป็นการสร้างเสริมความสุขเพียงภายนอก และมันมิได้อยู่กับคุณอย่างมั่นคงถาวรตลอดไป เพราะคนเรานั้นย่อมมีความต้องการเพิ่มขึ้นเสมอ ไม่มีวันหยุดนิ่ง

ความสุขที่แท้จริงเกิดจากข้างในจิตใจของคนเรา และถ้าจิตใจของคุณไม่ว่าง เต็มไปด้วยอารมณ์อันตรายต่าง ๆ ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง เพราะความสุขนั้นมักเกิดขึ้นท่ามกลางความสงบเสมอ

ชีวิตของคนเรานั้นไม่ยืนยาวนัก คุณสามารถหาความสุขให้ตัวเองได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องมุ่งหวังว่ายามแก่เฒ่าค่อยอยู่อย่างสงบสุข อย่างที่หลายคนเชื่อกัน เชื่อเถอะ เราจะสามารถมีความสุขที่สุดในโลกได้ในตอนนี้ ถ้าเราเริ่มจากตัวเราเอง !!!
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #54 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2551, 20:28:49 »

วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

ถ้าเรารู้สึกไม่ชอบหน้าใครสักคนหนึ่ง แต่จำเป็นต้องอยู่ทำงานด้วยกันในที่ทำงานเดียวกันทุกๆ วัน ผมควรจะวางตัวอย่างไรดีครับ มันอึดอัดไปหมด ไม่มีความสุขเลยตลอดเวลาที่อยู่ในสำนักงานร่วมกันคนคนนี้

==========================

วิสัชนา โดย ว.วชิรเมธี

รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่ง ก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านาย ใส่ไคล้ลูกน้อง ปกป้องภาพลักษณ์ ( อัตตา ) กด ( หัว)

คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง คิดดูเถิดว่าเราจะขาดทุนขนาดไหน ท่านอังคาร กัลยาณ พงศ์ เขียน บทกวีไว้ว่า

'' น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ ร้างอย่างความฝัน ฆ่าชีวาคือพร่าค่ำคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด ''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลส ก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ

นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้ เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า

บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคือง และอารมณ์เสีย วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย


ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมอง โลกเสียใหม่ดีกว่า คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อม หรือเลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิด ปล่อยวางเสียบ้าง ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า '' การกลับมาอยู่กับตัวเอง '' กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับความรู้สึกแย่ๆ ไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา '' มองด้านใน '' แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดี หรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่ำักับเราทุกขณะ

__________________

" จงยังชีวิตด้วยความไม่ประมาทเทอญ "
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #55 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2551, 16:26:36 »

ทำเถอะ ... ถ้าอยากจะทำ

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน ( วันที่ตึกเวิรด์เทรดถล่ม ) หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย .... อยากให้ทุกคนได้อ่านข้อความนี้ มีความหมายดีนะ

ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่าแค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น .... เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพแย่ลง ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น … จากนี้ไป ... ขอให้พวกเราอย่าเก็บของดี ๆ ไว้ โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ …… โอกาสที่พิเศษสุด …… แล้ว จงแสวงหาการหยั่งรู้ จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ … อยาก … จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น … กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป ชีวิตคือห่วงโซ่ของนาทีแห่งความสุข ไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้ เอาคำพูดที่ว่า …. สักวันหนึ่ง ... ออกไปเสียจากพจนานุกรม บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน อย่าผลัดวันประกันพรุ่งที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง …. และเวลานี้ …. ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้ไปให้คนที่คุณรักอ่าน … แล้วคิดว่า …. สักวันหนึ่ง …. ค่อยส่ง ... จงอย่าลืมคิดว่า …. สักวันหนึ่ง ….. วันนั้นคุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้เพื่อทำอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #56 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2551, 16:28:31 »

กฎทอง 10 ข้อ ของคนที่รักกัน

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

กฎทองข้อที่ 1 เราจะไม่โกรธพร้อมกันทั้งสองคน อย่างที่คนโบราณเค้าว่า ถ้า ... เขาร้อนเป็นไฟ คุณก็ต้องเย็นเป็นน้ำ ( น้ำเปล่านะ ไม่ใช้น้ำมัน )

กฎทองข้อที่ 2 เราจะไม่ตะโกนใส่กันเด็ดขาด ยกเว้นตอนเกิดไฟไหม้บ้านกระทันหัน

กฎทองข้อที่ 3 จำไว้ว่าไม่มีใครชอบคำติ หากจะคุยถึงสิ่งที่คุณไม่ชอบให้เขาทำ อย่าลืมพูดให้หวานๆ เข้าไว้ ( ไม่ใช่พูดว่า น้ำตาล ๆ ๆ ๆ นะ )

กฎทองข้อที่ 4 เราจะไม่มารื้อฟื้นเรื่องบาดหมางในอดีต ถ้าจะคุยเรื่องเก่าๆ เลือกเรื่องหวานๆ ของสองเราจะดีกว่า

กฎทองข้อที่ 5 ทำให้เขารู้สึกว่าเขาสำคัญสำหรับคุณเสมอ

กฎทองข้อที่ 6 สัญญากันนะว่า เราจะ ไม่โกรธกันข้ามคืน เพราะคุณนั่นแหละจะนอนไม่หลับ คุยกันให้เข้าใจกันก่อน ดีกว่าหันหลังให้กัน

กฎทองข้อที่ 7 คุยกันให้มากหน่อย จะช่วยให้ความรักระหว่างเราเข้าใจกันมากขึ้น จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่คุณเจอะเจอ เรื่องงานของคุณ หนังสือที่คุณเพิ่งงอ่านจบ ลองเล่าสู่กันฟัง แล้วคุณจะรู้สึกได้เลยว่าผูกพันกันมากขึ้นกว่าเดิม

กฎทองข้อที่ 8 ถ้ารู้ตัวว่าทำผิด ก็ขอโทษซะ ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียฟอร์มหรอก

กฎทองข้อที่ 9 อย่าเข้าใจผิดว่า การอยู่ด้วยกันตลอดเวลา หมายถึงความเอาใจใส่อย่างแท้จริง เพราะการเอาใจใส่ คือ การให้ความสนใจเต็มร้อยเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่คุณนั่งฟังเขาพูด แต่ดูทีวีไปด้วย

กฎทองข้อที่ 10 อย่าลืมทำให้เขารู้ว่า เรายังรักกันเสมอ


กฎข้อพิเศษ

สำหรับใครบางคน การที่จะได้รู้จักใครซักคนเป็นเรื่องที่วิเศษ อย่าให้เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยชั่วไม่กี่นาที ตัดสินใจทำลายความสัมพันธ์ที่มีมา .... มันคุ้มกันแล้วเหรอ .... เพียงคำว่าอภัย และปรับตัวเข้าหากันใหม่ สิ่งดีๆ อาจมีขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว ปัญหาเกิดเพราะไม่คุย ปัญหาเกิดเพราะไม่คิดแก้ไขปัญหาเกิดเพราะทิฐิ ปัญหาเกิดเพราะคิดว่าไม่รู้จะทำไปทำไม ปัญหาเกิดขึ้นเพราะนึกถึงแต่ตัวเอง คิดว่าทำอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว ... อีกฝ่ายเค้าจะคิดแบบเดียวกันกับคุณหรือเปล่า สุดท้ายก็มีแต่ความเสียใจ ....

คุณเลือกที่จะยอมรับในสิ่งที่เค้าทำ แล้วรักษาสิ่งดีๆ ต่อไป หรือเลือกที่จะทำลาย แล้วคุณก็จะไม่ได้มา ซึ่งสิ่งที่คุณต้องการอยู่ดี ....
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #57 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2551, 16:30:38 »

ปณิธานจุฬา ฯ

ลัลลนา - ครุ 16 ... ส่งมา

ประการหนึ่งในการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรของบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดูจะเป็นประเพณีที่มีสืบต่อกันมายาวนาน ซึ่งข้าพเจ้า ( ผู้เขียน ) ไม่เคยทราบมาก่อน คือ หลังจากทุกคนเข้านั่งประจำที่เรียบร้อย จะมีนิสิตจำนวนหนึ่งออกมาขับร้องเพลงประสานเสียงประจำมหาวิทยาลัย 4 เพลง ซึ่งมีความหมายยิ่ง โดยเฉพาะกับบัณฑิตที่สวมครุยบัณฑิตจุฬาฯ ซึ่งนั่งรอเวลาเพื่อรับเสด็จฯ และรับพระราชทานปริญญาบัตรจามสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

เพลงที่ขับร้องก่อนพระราชพิธีพระราชทานปริญญาบัตรเป็นเพลงแรกคือ มหาจุฬาลงกรณ์ ที่ชาวจุฬาฯ ทุกคนต้องยืนขึ้นและเปล่งเสียงร้องพร้อมเพรียงกัน จากนั้นนักร้องประสานเสียงของจุฬาฯ จึงเริ่มร้องเพลงประสานเสียงติดต่อกันอีก 4 เพลง ซึ่งเป็นเพลงที่มีความหมายของชาวจุฬาฯ โดยแท้ คือเพลงลาแล้วจามจุรี เพลงจุฬาบัณฑิต เพลงร่มจามจุรี และเพลง จากจุฬาฯ ข้าพเจ้าเชื่อว่าบัณฑิตทุกคน และผู้เข้าร่วมพิธีคงจะซาบซึ่งถึงจิตใจเพราะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการเป็นนิสิตและบัณฑิตแห่งจุฬามหาวิทยาลัย ก่อนออกจากสถาบันแห่งสีชมพูไปปฏิบัติหน้าที่การงานของตน

ที่ข้าพเจ้าประทับใจหลังจาการขับร้องประสานเสียงจบลง คือ การที่อธิการบดี ( คนก่อน ) ศาสตราจารย์คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ ได้ยืน ณ หน้าบริเวณระหว่างเวทีและที่นั่งของบัณฑิตแล้วกล่าวเป็นปัจฉิมโอวาทแก่บัณฑิตใหม่ การกล่าวปัจฉิมโอวาทแก่บัณฑิตใหม่ของอธิการบดีในครั้งนั้น เป็นการกล่าวทุกรอบในการเข้ารับพระราชทานปริญญา ซึ่งข้าพเจ้า ( ผู้เขียน ) ไม่เคยเห็นว่ามีมหาวิทยาลัยใด ( เท่าที่ข้าพเจ้าเคยเข้าร่วมในพิธี ) ปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน

ข้าพเจ้าไม่สามารถนำความโดยละเอียดทุกประโยคในการกล่าวปัจฉิมโอวาทมานำเสนอ ณ ที่นี้ แต่ได้ขอให้อาจารย์เกษม จันทร์น้อย อดีตผู้เชี่ยวชาญฝ่ายประชาสัมพันธ์ของจุฬาฯ ซึ่งเกษียณราชการเมื่อปีก่อน ( ปัจจุบันเป็นคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเซีย ) จัดหามาให้ความโดยสรุปมีว่า


คณาจารย์ และบุคลากรชาวจุฬาฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในวาระที่บัณฑิตจุฬาฯ จบการศึกษาออกไปทำงานเพื่อประเทศชาติ ซึ่งเป็นของขวัญล้ำค่าที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมอบให้กับสังคมไทย และแผ่นดินไทย

นับแต่วาระแรกที่ท่านทั้งหลายก้าวเข้าสู่จุฬาฯ ในฐานะสมาชิกใหม่ ซึ่งได้มีการมอบ " พระเกี้ยว " ให้แก่นิสิตใหม่ทุกคนไว้ประดับใจ ได้มองเห็นพัฒนาการของนิสิตในการแสวงหาความรู้ การพัฒนาทักษะด้านต่างๆ จนประสบผลสำเร็จทางการศึกษาเป็นบัณฑิตรุ่นใหม่ในวันนี้ที่ใฝ่รู้ สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ตลอดชีวิต

บัณฑิตจุฬาฯ ยังมีคุณลักษณะเด่น คือ การมีทักษะต่างๆ ที่ทำให้มีความสามารถในการเป็นผู้นำรู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบสามารถนำพาประเทศชาติให้พัฒนาต่อไป

นอกจากนั้น อธิการบดียังฝากข้อคิดให้แก่บัณฑิตใหม่ว่า หลังรับพระราชทานปริญญาบัตร ขอให้บัณฑิตทุกคนตั้งจิตอธิฐานกล่าวปฏิญาณด้วยความตั้งใจจริงว่า วาจาที่กล่าวมานั้นจะผูกพันบัณฑิตทุกคนตลอดไป และขอให้ปฏบัติตามปณิธานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีพันธกิจในการสร้างคนที่เป็นหลักของแผ่นดิน ซึ่งก็คือบัณฑิตทั้งหลาย ไม่ว่าจะทำงานในหน้าที่ใด ขอให้ระลึกเสมอว่า ท่านคือตัวแทนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจะมีพระเกี้ยวติดตัวอยู่ตลอดเวลา ขอให้มีพลังในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดี ประเทศชาติต้องการคนที่รู้รักและสามัคคี ขอฝากประเทศไทยไว้ในมือของบัณฑิตทุกคน

ในส่วนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคงทำหน้าที่อย่างดีที่สุดด้วยพันธกิจในการเป็นมหาวิทยาลัยหลักของประเทศ ที่ทำหน้าที่สร้างองค์ความรู้ และเป็นแหล่งอ้างอิงของแผ่นดิน

" ขอเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดอำนวยพรให้บัณฑิตทุกท่าน สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างดีที่สุดรักษาปณิธานของมหาวิทยาลัย และประสบสิ่งที่ดีงามในชีวิต "


.............................................................................

" โลกสองวัย " โดยบางกอกเกี้ยน ในหนังสือพิมพ์มติชน 10 กรกฎาคม 2551
บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #58 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2551, 20:57:35 »

ขอบคุณน้องเจี๊ยบมากนะคะ จะเป็นแฟนประจำติดตามอ่านนะคะ เขียนมาให้กำลังใจคะ พี่เอมอร คะ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #59 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2551, 19:48:11 »

ดีใจจัง ! ... ได้พี่เอมอรเป็นแฟนประจำเพิ่มอีกคนนึงแล้ว ... อย่างนี้ post แล้วไม่เหนื่อยแน่นอนค่ะ

ทุก ๆ เช้าก่อนออกจากบ้าน ... อย่าลืมคิดถึงสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันเหล่านี้

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

1. เครื่องประดับที่สวยที่สุดบนเรือนร่าง คือ ... รอยยิ้ม ...

2. งานที่ทำแล้วพอใจที่สุด คือ ... การช่วยเหลือผู้อื่น ...

3. ความสุขที่สุด คือ ... การให้ ...

4. อาวุธร้ายแรงที่ต้องระมัดระวัง และเก็บรักษาให้ดีที่สุด คือ ... คำพูดทำร้ายผู้อื่น ...

5. พลังยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ทุกอย่างสำเร็จ คือ ... ความรัก ...

6. ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ... การทำร้ายตัวเอง ...

7. ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่จะต้องเอาชนะให้ได้ คือ ... ความกลัว ...

8. ยานอนหลับที่ให้ผลดีที่สุด คือ ... ความสงบภายในใจ ...
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #60 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2551, 22:06:07 »

บทลงโทษด้วยความรัก

ศรัญญา - เภสัช 16 ... ส่งมา

วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคาแพงของพ่อ แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง แอนดี้ก็ก้มหน้างุด และทำท่ากระสับกระส่าย เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิด แม้จากระยะไกล ฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองพ่อ ตาโตด้วยความหวาดหวั่น รอคอยที่จะถูกทำโทษ พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ

หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก หนังสือคือความรู้ และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้ หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน พ่อกลับนั่งลงหยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้ แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง ... พ่อเขียนที่ข้างๆ ลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า
" ภาษาของแอนดี้ เมื่ออายุสองขวบ "

ต่อไปนี้ ไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ ที่น่ารัก และดวงตาที่สดใสของลูก และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้ มาให้ขีดเขียนบนหนังสือแสนหวงของพ่อ ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย เหมือนกับที่พี่ๆ ของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อเหมือนกัน

ว้าว ! ... ฉันคิด นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ ? นานๆ ครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น พ่อได้สอนให้ฉันรู้ว่า อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นก็คือ คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ


ลองมองย้อนดูตัวคุณเอง ในแต่ละวันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อยู่เสมอ เช่น คุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ และคุณก็ทำสีหน้าตำหนิเธอ และคำพูดที่บอกว่า " เดี๋ยวผมเทเองก็ได้ " นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก น้ำตาใสๆ ก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน และอาหารมื้อนั้นไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว

แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า " ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ และจะได้คิดถึงทุกครั้งว่า ภรรยารัก และเอาใจใส่ผมมากเท่าใด อยากปรนนิบัติเอาใจ ( จนเทซอสหกใส่ผม ) แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณมั้งล่ะ ( ทีนี้ตาผมมั่ง ) " ... รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบิน แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้ว


สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่นาฬิกาเรือนละแสน หรือเนคไทเส้นละหลายๆ พัน แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่งเฝ้ารัก เฝ้าถนอม เฝ้าห่วงใย และคอยแคร์ความรู้สึกคุณอยู่ ตลอดเวลาต่างหาก แล้วคุณล่ะ เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือเปล่า ?

ขอมอบบทความนี้ให้กับผู้มีหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วย " ความรัก " ทุกท่าน และอย่าพยายามทำร้ายหัวใจใครอีกเลย ไม่ว่าจะด้วยเจตนา หรือไม่ก็ตาม
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #61 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2551, 21:30:55 »

วันนี้คุณคิดถึงผู้หญิงคนนี้ หรือยัง ?

พี่วิวิธ - วิศวะ 07 และพี่พิกุล - วิทยา 14 ... ส่งมา








บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #62 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2551, 09:34:53 »

นิทานสอนใจ

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

นิทานเรื่อง " ตะเกียงวิเศษ " โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
 

 
กาลครั้งหนึ่ง มีชายหนุ่มคนหนึ่งขุดพบตะเกียงเก่าแก่อันหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังทำสวนอยู่ พอเขาเอามือถูตะเกียง ก็ปรากฏว่ามีควันออกมาจากตะเกียง แล้วกลายเป็นยักษ์ตัวใหญ่ ยักษ์ตนนั้นพูดกับชายหนุ่มว่า

" ขอบใจที่ได้ช่วยให้ฉันเป็นอิสระ ฉันจะตอบแทนท่านโดยรับใช้ท่าน ท่านจะใช้อะไรฉันก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อไรที่ท่านหยุดใช้ฉัน ฉันก็จะกินท่าน "

ชายหนุ่มก็ตกลงเพราะเขาเห็นว่าการมีคนรับใช้เป็นเรื่องที่ดี และเขาก็มั่นใจว่าเขาจะใช้ยักษ์ตนนี้ให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลาได้ ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง ยักษ์นั้นจึงถามว่า " นายต้องการให้ฉันรับใช้เรื่องใดบ้าง แต่อย่าลืมนะถ้านายหยุดใช้ฉันเมื่อใด ฉันก็จะกินนาย " ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า " ฉันต้องการวังหลังหนึ่ง เพื่อฉันจะได้เข้าไปอยู่ "

ทันใดนั้นยักษ์ก็เนรมิตวังหลังหนึ่งได้ ชายหนุ่มตกใจเพราะเขานึกว่า ยักษ์คงใช้เวลาสักปีกว่าจะสร้างวังเสร็จ ทีนี้เขาต้องคิดอย่างรวดเร็วว่าจะขอให้ยักษ์ทำอะไรต่อไปดี เขาบอกยักษ์ให้ " สร้างถนนกว้างๆ ไปถึงหน้าวัง " ทันใดนั้นถนนก็ปรากฏอยู่ต่อสายตาเขา " ฉันต้องการสวนล้อมรอบวัง " เขาสั่งต่อไป

ทันทีความต้องการของเขาก็ปรากฏต่อหน้าเขา " ฉันต้องการ..... " เขาก็ขอไปเรื่อยๆ แต่เขาเริ่มต้นวิตกว่าอีกไม่ช้าเขาก็จะขอจนหมดแล้ว และอีกอย่างเขาคงเข้าไปอยู่ในวังอย่างผาสุกไม่ได้ เพราะเขาต้องคอยมานั่งสั่งยักษ์ให้ทำงานตลอดเวลา

ในที่สุดเขาก็คิดหาทางออกได้ เขาขอให้ยักษ์สร้างเสาต้นหนึ่งให้สูงสุด ซึ่งยักษ์ก็เนรมิตให้ทันทีทันใด เขาขอให้ยักษ์ปีนเสาต้นนี้ช้าๆ ไปถึงยอดแล้วให้ปีนลงมาช้าๆ เช่นกัน พอถึงพื้นก็ให้ปีนขึ้นไปบนยอดใหม่อีกครั้ง แล้วให้ปีนขึ้นปีนลงเช่นนี้ตลอดเวลาไม่ให้หยุดเลย ยักษ์ตนนั้นก็เลยต้องปีนขึ้นปีนลงตลอดเวลาตามคำสั่งของนาย ชายหนุ่มจึงเริ่มหายใจได้ทั่วท้อง ขณะนี้เขาปลอดภัยแล้ว ชายหนุ่มมีเวลาที่จะเข้าไปอยู่ในวังอย่างมีความสุขตั้งแต่นั้นมา

ยักษ์ตนนี้เปรียบเสมือนความคิด และจิตใจของเรา ถ้าเรารู้จักใช้ความคิดของเรา และควบคุมความคิดของเราให้ดี เราจะได้รับผลดีจากความคิดของเรา

ถ้าเราต้องการจะทำอะไรให้ดีให้ถูกต้อง เราต้องควบคุมจิตใจของเราให้สงบเหมือนกับชายหนุ่มในนิทานที่สามารถควบคุมยักษ์ตนนั้นได้ และสามารถทำให้ความต้องการของเขาลุล่วงสำเร็จได้

ถ้าเราควบคุมความคิดของเราไม่ได้ มันจะสร้างปัญหาให้กับเรา เราจะเริ่มต้นนั่งคิดว่าจะไปซื้ออะไร จะไปกินอะไรดี หรือจะไปเที่ยวไหนดี ฯลฯ ความต้องการจะครอบคลุมจิตใจของเรา ครอบคลุมอารมณ์ของเรา เราจะหวั่นไหวต่อความโลภ ความโกรธ และความอิจฉา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นถ้าเราไม่รู้จักควบคุมความคิดของเรา เช่นเดียวกับยักษ์ตนนั้นที่ข่มขู่ชายหนุ่มตลอดเวลา

เราต้องควบคุมความคิดของเราตลอดเวลา ชายหนุ่มคนนี้ใช้ให้ยักษ์ปีนขึ้นลงที่เสาสูงต้นนั้น เราก็สามารถใช้ลมหายใจเข้าออกของเราซึ่งอยู่กับเราตลอดเวลานั้นเป็นเสาสูงแทน

หมายเหตุ : นิทานเรื่องตะเกียงวิเศษนี้ คัดมาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ของการฝึกจิตของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


เรื่องที่ 2

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์ และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ เขาได้ประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่สามารถรักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้ หลายคนรวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างก็มาเสนอแนะวิธีรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้นี้ แต่ไม่มีใครสามารถทำให้เขาดีขึ้นได้

อยู่มาวันหนึ่ง มีฤาษีคนหนึ่งมาเยี่ยมท่านเศรษฐี เศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้ฤาษีทราบ ฤาษีจึงบอกกับท่านเศรษฐีว่า " โธ่เอ๊ย วิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียว นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลาแล้วอาการโรคของเจ้าจะหายไป "

เศรษฐีดีใจมาก และคิดว่าสิ่งที่ฤาษีแนะนำเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก
วันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีจึงจ้างช่างทาสีหลายร้อยคนมาช่วยกันทาสีของหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด นอกจากนี้ด้วยความที่รวยมาก ยังซื้อเสื้อผ้าให้กับคนในหมู่บ้านทุกคนใส่ ในตอนนี้ไม่ว่าท่านเศรษฐีมองไปทางใดก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลาตามคำแนะนำของฤาษี อาการปวดศีรษะของเขาก็เริ่มดีขึ้นๆ เขาเริ่มเป็นคนยิ้มง่าย และมีความสุขมากขึ้น

สองสามเดือนถัดมา ท่านฤาษีได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ต้องเผชิญกับช่างทาสีคนหนึ่งซึ่งร้องตะโกนว่า
" หยุด หยุด ท่านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ในชุดนี้ไม่ได้ เดี๋ยวผมจะทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน " ฤาษีก็รีบวิ่ง และหนีเข้าไปในบ้านของเศรษฐีได้ในที่สุด ฤาษีได้พบกับเศรษฐีในบ้านและตำหนิว่า
" ทำไมเจ้าถึงเสียเงินทองและ เวลามากมาย เพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆรอบตัวเจ้าเล่า เราไม่ได้บอกให้เจ้าไปเที่ยวทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย เจ้าเพียงแค่สวมแว่นตาสีเขียวเท่านั้น เจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว "

หากเราต้องการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกคนหรือทุกอย่าง เราเพียงแต่เปลี่ยนตัวของเราเองก่อน แล้วเราจะพบว่าทุกสิ่งรอบตัวของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

เรื่องจาก การพัฒนาศักยภาพอย่างสมบูรณ์ โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


เรื่องที่ 3

หาความสุขได้ที่ไหน

ในตอนกลางดึกมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังคลำหาอะไรอยู่สักอย่างรอบๆ เสาไฟฟ้าข้างถนน สักครู่หนึ่งมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาเห็นหญิงชราผู้นั้นกำลังคลำหาอะไรอยู่เลยถามขึ้นว่า
"ยาย ... ยาย ยายกำลังหาอะไรอยู่ ? " หญิงชราผู้นั้นตอบว่า
" ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่ ยายทำตกหายไป ช่วยยายหาหน่อยซิ " พวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจึงช่วยกันหาทั่วไปหมด แต่ก็หาไม่เจอ ในที่สุดพวกเขาก็สงสัยจึงถามยาย
" ยาย ... ยาย ... ยายทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายที่ไหนล่ะ " ยายตอบว่า
" ยายกำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องยาย แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไป แต่ห้องยายมันมืด ยายมองไม่ค่อยเห็น ยายก็เลยออกมาที่ถนนเพราะมีแสงสว่างจากไฟฟ้า " ... พอพวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ยินเช่นนั้นก็เลยหัวเราะ แล้วเดินหนีไป

เมื่อเราทำของหาย เราก็ต้องไปหาในที่ๆ เราทำหาย มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปหาที่อื่น เช่นเดียวกัน เมื่อเราแสวงหาความสุข เราก็ต้องหาในจุดที่เราได้สูญเสียความสุขไป มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะหาความสุขที่ไนท์คลับ หรือสถานเริงรมย์ต่างๆ หรือไปหาที่ประเทศนั้นประเทศนี้ หรือไปหาที่คนอื่น

ความสุขของเราได้สูญหายไปจากตรงไหน ? คำตอบก็คือ เราได้ทำหายไปจากใจของเรา ได้สูญเสียความสุขจากตัวเรา จากใจเรา ดังนั้นเราก็ต้องแสวงหาความสุขที่จุดนั้น คือ ในตัวเรา

แหล่งที่มา : จาก " แนวทางสู่ความสุข " โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


เรื่องที่ 4

มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทุกๆ เช้า ภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบน และวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง
" เพื่อนบ้านเรานี่ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน ไม่รู้ใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซักยังไง " สามีก็ตอบว่า
" อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน " แต่ภรรยาก็แอบไปดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างข้างบนบ้าน และวิ่งกลับมางานสามีทุกเช้า
" เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว "

อยู่มาวันหนึ่ง ภรรยาวิ่งลงมารายงานสามีด้วยความแปลกประหลาดใจ
" ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาด อยากรู้เหลือเกินว่าเขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกอะไร หรือใช้วิธีอะไรซักผ้า " สามีหัวเราะแล้วกล่าวว่า
" นี่ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน เมื่อเช้านี้ฉันตื่นแต่เช้ามืด และไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้สะอาด ก่อนหน้านี้กระจกมันสกปรก เธอมองออกไปก็เห็นแต่ความสกปรก "

'ทุกข์' หรือ 'สุข' นั้น จิตใจเป็นตัวกำหนด แต่ถึงอย่างนั้น ผิด ชอบ ชั่ว ดี ก็ยังถือเป็นภาระทางจริยธรรมของเราอยู่มิใช่หรือ

ที่สำคัญ ... ( ถ้าจำไม่ผิด ) หากเช็ดหน้าต่างแล้วนะคะ ถึงจะไม่สะอาดเอี่ยม แต่ก็เพียงพอที่แสงจะลอดผ่าน เพื่อประโยชน์แก่การ 'มอง' และ 'เห็น

โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #63 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2551, 09:43:10 »

ทำงานฉลาด และสบายขึ้น " แค่เปลี่ยนตัวเองสักหน่อย "

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

ขึ้นต้นจั่วหัวมาอย่างนี้ หนุ่มสาวออฟฟิศทั้งหลายฟังแล้วอาจกระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง “ แค่เปลี่ยนตัวเองสักหน่อย ” ด้วยวิธีฉลาดๆ จะทำให้สบายขึ้นได้จริงแน่หรือ

อภิชาติ สิริผาติ ผู้เขียนพ็อกเกตบุ๊กเรื่อง “ เงินเดือนนิดเดียว ต้องเหนื่อยให้น้อยที่สุด ” ไว้ได้อย่างน่าสนใจ เขานำประสบการณ์สมัยอยู่กับกิจการเอสเอ็มอีมาตั้งแต่เด็กๆ เริ่มจากโรงงานเม็ดพลาสติกของครอบครัว และหลังจากจบปริญญาตรีรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และปริญญาโท MBA University of New Haven จากสหรัฐอเมริกา อภิชาติมีประสบการณ์การทำงานในบริษัทต่างๆ เช่น บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ และปัจจุบันในบริษัท Busy-Day Publishing มาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานเขียนหนังสือแนะนำ 66 วิธีเหนื่อยน้อยลง แต่การันตีความก้าวหน้ามากขึ้น

เมื่อพลิกหน้าแรกก็มีประโยคคมๆ ว่า ... เป็นหนังสือสำหรับลูกน้องที่นายควรซื้อให้อ่าน !!! ... ด้วยเหตุผลที่ผู้เขียนอธิบายว่า ทุกวันนี้ดูเหมือนพวกเราหลายคนทำงานกันหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับว่า วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงก็ยังไม่ค่อยพอ แถมเหนื่อยก็เหนื่อย มาร่วมเรียนรู้เทคนิคที่จะช่วยให้เราขี้เกียจกันได้ ! แต่ยังได้ผลงานที่เหมือนเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิม !!! กับเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยเติมพลังให้กับการทำงานในแต่ละวัน หลายๆ เทคนิคเป็นสิ่งที่นำมาใช้ได้อย่างง่ายแสนง่าย แต่เราอาจมองข้ามไป เช่น การรู้จดบันทึก การรู้จักหาคนช่วยคิด การพูดซ้ำให้คนอื่นเข้าใจ และอื่นๆ อีกมาก โดยเฉพาะในบทที่ 5 ที่พูดถึงเรื่อง “ เปลี่ยนตัวเองสักหน่อย ” เป็นอีกวิธีการทำงานที่เริ่มต้น ( เปลี่ยนแปลง ) ได้ด้วยตัวเราเองอย่างง่ายดายที่สุด


ทบทวนตัวเองวันละ 10 นาที

อภิชาติบอกว่า หลังเลิกงานทุกวัน เพียงคุณหาเวลาสัก 10 นาที ลองทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าถึงเย็น วิเคราะห์ดูว่ามีงานหรือวิธีการทำงานใดที่ทำไปในวันนี้ แล้วมีวิธีทำให้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เหนื่อยน้อยลงหรือเปล่า ? ลองตั้งคำถามที่ขัดกับสิ่งที่เป็นอยู่ เช่น ทำไมต้องกรอกแบบฟอร์ม 2 แบบฟอร์ม เหลือแค่ฟอร์มเดียวได้หรือเปล่า ? ทำไมคนมาสมัครงานต้องกรอกใบสมัครที่บางทีเราก็อ่านลายมือไม่ค่อยออก ต้องนำมาใส่แฟ้มหนาเป็นตั้งๆ ค้นหาอีกทีก็ยาก มีเครื่องคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมที่ให้คนสมัครงานคีย์ข้อมูลตัวเองเข้าไปได้เลยหรือไม่ ? และอื่นๆ ที่ทำให้เราทำงานง่ายขึ้น สบายขึ้น และทุกคนดีขึ้น ( ลูกค้าบริษัท ) ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่ช่วยให้เราทำงานสบายขึ้น เสร็จงานเร็วขึ้น เราจะมีเวลาพักมากขึ้น ซึ่งอาจนั่งเฉยๆ แล้วทำเป็นคิดงานก็ยังทำได้ เพราะงานที่ต้องทำเสร็จหมดแล้ว

ทบทวนตัวเองสัปดาห์ละ 30 นาที

ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน ลองทบทวนตัวเองดูว่า เวลาของตัวเองที่เกี่ยวกับการทำงานหมดไปกับเรื่องอะไรบ้าง ? การประชุม การโทรศัพท์ งานเอกสาร การอิจฉาคิดร้ายคนอื่น หรืออื่นๆ และดูว่าสิ่งนั้นทำให้เกิดผลผลิตหรือเปล่า ? ทำอย่างไรให้เหนื่อยน้อยลง แต่ได้งานเหมือนเดิมหรือมากขึ้น กิจกรรมใดควรตัดออกไปบ้าง ?

เลิกเคยชินซะบ้าง

พวกเรามักใช้ชีวิตกันตามความเคยชินเป็นหลัก จนหลายสิ่งที่เราทำกลายเป็นสัญชาตญาณ และไม่เคยนึกหรือถามตัวเองว่ามีวิธีที่ดี หรือเหนื่อยน้อยกว่านั้นหรือไม่ เช่น เราเคยชินกับการทำงานที่ต้องมีโต๊ะทำงาน ซึ่งเสียทั้งเงินและค่าโต๊ะและพื้นที่ แต่ปัจจุบันเราสามารถออกแบบสำนักงาน จัดระบบงานให้หลายตำแหน่งทำงานที่บ้าน หรือใช้โต๊ะทำงานร่วมกันได้ หรือหลายคนยังชินกับการรับส่งเอกสารทางแฟกซ์ ซึ่งสามารถทดแทนได้โดยใช้อีเมล
ฉะนั้น อย่าชินกับสิ่งที่ทำกันอยู่ทุกวัน แต่มองหาวิธีที่ง่ายกว่า ประหยัดกว่า หรือเหนื่อยน้อยกว่า


ทำตัวมีเสน่ห์

อภิชาติแนะว่า ความมีเสน่ห์จะช่วยให้การทำงานราบรื่น เหนื่อยน้อยลง มีคนให้ความร่วมมือในการทำงานมากขึ้น ใครคิดว่าตัวเองยังไม่มีเสน่ห์ “ ลองหัด ” เติมเสน่ห์ให้ตัวเองสักนิด วิธีเริ่มต้นง่ายๆ เช่น พูดจาดี ยิ้มเก่ง มีถ้วยทอฟฟี่เล็กๆ บนโต๊ะที่ใครก็หยิบได้ รู้จักชมผู้อื่น ( มีกฎว่าวันหนึ่งคุณควรชม ( อย่างจริงใจนะ ) เพื่อนร่วมงานอย่างน้อยสัก 3 คน ) การรู้จักรักษาความสัมพันธ์ติดต่อกับผู้อื่นอยู่เสมอ อาจทำได้ง่ายๆ ด้วยการใช้อีเมลในการส่งเรื่องที่น่าสนใจต่างๆ ให้เป็นระยะทำให้เมื่อต้องติดต่อ หรือขอความร่วมมือ จะติดต่อง่ายขึ้นด้วย

ไม่เห็นด้วยต้องพูดดังๆ

หลายคนเหนื่อยฟรี ! เพราะต้องทำงาน 2-3 รอบ โดยเฉพาะเมื่อทำงานกับคนที่มีตำแหน่งใหญ่กว่า เนื่องจากการไม่กล้าแสดงความคิดเห็น หรือโต้แย้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่างานนั้นควรทำอย่างไร หรือรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำไปจะทำให้เกิดปัญหาต้องมาตามแก้ ฉะนั้นหากไม่เห็นด้วย มีความเห็นอย่างไรควรพูดออกไป ซึ่งจะเป็นข้อมูลให้คนอื่นมองเห็นหลายๆ ด้าน โดยถึงแม้จะเปลี่ยนคำสั่งไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราจะได้แสดงความสามารถของเรา และไม่โดนตำหนิภายหลังว่ารู้แล้วทำไมไม่พูด

ลำดับความสำคัญ

การรู้ว่าควรต้องทำงานไหนก่อน งานไหนทำหลัง ทำให้เหนื่อยน้อยลงได้มาก เพราะการไม่ทำงานสำคัญก่อน และต้องมาเร่งทำแข่งกับเวลาจะเป็นสิ่งที่สร้างความเครียด ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กลัวเสร็จไม่ทัน และอาจต้องอยู่ทำงานดึกได้

ทำอะไร ทำให้เสร็จ

การทำงานอย่างละนิดละหน่อย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จะทำให้ไม่มีความต่อเนื่อง ลืมบางสิ่งบางอย่างและอาจรู้สึกเบื่อได้ เพราะจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเสร็จสักอย่าง และมักทำให้ต้องเหนื่อยมากกว่าเดิมจากความไม่มีประสิทธิภาพ ฉะนั้นหากเริ่มงานสิ่งใดพยายามทำให้เสร็จไปเป็นอย่างๆ

ตั้งเป้าประจำวัน และทำให้เสร็จ

การที่จะทำงานเสร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ต้องมาเร่งให้เหนื่อย ทำได้ด้วยการพยายามตั้งเป้าให้ตัวเองทุกวันว่าวันนี้เรามีงานอะไรจะทำให้เสร็จบ้าง โดยจดเป็นเช็กลิสต์ไว้และอาจผสมงานยากงานง่าย งานที่สามารถทำให้เสร็จได้ในวันเดียวไว้ด้วยกัน และมุ่งมั่นทำให้ได้ตามนั้น การที่สามารถทำอะไรให้เสร็จได้ทุกวัน จะทำให้รู้สึกมีความคืบหน้าทุกวันและความเหนื่อยน้อยลง

ไม่พูดแบบนักการเมือง

ความหมายนี้ก็คือ พยายามฝึกพูดให้สั้น ตรงประเด็น เข้าใจง่าย มีการสรุปสาระสำคัญความต้องการ โดยสามารถสื่อให้คนฟังเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าต้องทำอะไร เราคาดหวังอะไร การพูดที่คลุมเครือ เข้าใจยาก นอกจากต้องเสียเวลาพูดคุยกันนานแล้ว ฝ่ายตรงข้ามยังอาจตีความผิด และทำให้ต้องแก้ไขงานกันในภายหลังอีกด้วย ซึ่งเป็นการเหนื่อยฟรีกันทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นสรุปความคิดของตัวเองให้ชัดเจน ตกผลึกก่อนที่จะถ่ายทอดให้คนอื่น เพราะถ้าตัวเองยังไม่ชัดเจน ย่อมถ่ายทอดความไม่ชัดเจนออกไปด้วย

ลองใส่ " วันใหม่ๆ " ลงไปในปฏิทินของคุณ

ข้อสุดท้ายของการลอง " ปรับ-เปลี่ยนแปลงตัวเอง ” อภิชาติแนะนำให้ใช้วิธีเขียนวันใหม่ๆ ใส่ลงไปในปฏิทิน ซึ่งหมายความถึง “ วันเก็บโต๊ะทำงาน ” โดยใช้ปากกาเน้นแถบสีสดๆ ไว้บนปฏิทินวันพฤหัสบดี และวันศุกร์ ... “ วันเคลียร์ไฟล์ในคอมพ์ฯ ” สำหรับวันอังคาร และวันพุธ ... “ วันทบทวนระบบทำงาน ” ในวันจันทร์ และวันอังคารของสัปดาห์ต่อไป ส่วนวันศุกร์กันไว้ให้เป็น “ วันเคลียร์เอกสารที่ไม่ใช้ ” สัปดาห์ต่อไปอาจไม่มีวันใหม่ๆ แต่ก็อย่าลืม !!! “ วันทบทวนตัวเอง ” ไว้สักวันในอาทิตย์ก่อนที่เดือนนี้จะสิ้นสุดลง

เรื่องโดย : ชุติมา สุวรรณเพิ่ม
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #64 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2551, 22:53:27 »

วาสนา

พี่พิกุล - วิทยา 14 ... ส่งมา

มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน ... ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่าคู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ ไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆ ผ่านมา เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่าเป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า " อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว " เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้ง แต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่า " อยากเข้ามา ก็เข้ามา "

เมื่อหลวงตาเข้าไปที่ห้องนอนก็พบว่า ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเ ตียงของชายคนนั้น หลวงตายิ้มแล้วพูดว่า " อาการหนักเลยนะ " ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า " โทรมมากเลยนะ " ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆ จางหายไป กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา ขณะที่ชายผู้ป่วยมองภาพในกระจกด้วยความสนใจอยู่นั้น เขาพบว่ามีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพ นึกสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป

พักใหญ่ๆ อีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่าเป็นศพ ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆ กอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด


^_^ คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง , ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่

ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #65 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2551, 22:57:27 »

ริบบิ้นสีฟ้า ... มีความรู้สึกดีๆ มาให้

อารียา - ครุ 16 ... ส่งมา

ครูคนหนึ่งที่นิวยอร์คตกลงใจจะแสดงความชื่นชมนักเรียนไฮสคูลชั้นปีสุดท้ายที่เธอสอนด้วยการบอกเขาเหล่านั้นว่า แต่ละคนมีคุณค่าพิเศษต่างจากคนอื่นอย่างไรบ้าง

เธอเรียกนักเรียนทุกคนไปหน้าชั้นทีละคน แรกสุดเธอบอกแต่ละคนว่าพวกเขามีคุณค่าเพียงใดทั้งต่อตัวครู และต่อเพื่อนร่วมห้อง จากนั้นเธอก็มอบริบบิ้นสีฟ้าพิมพ์ด้วยตัวหนังสือสีทองเป็นของขวัญให้ ข้อความบนริบบิ้นมีว่า " ฉันเป็นคนมีคุณค่า " ... จากนั้นครูให้นักเรียนทำงานกลุ่มของชั้นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อดูว่าการแสดงความชื่นชมยกย่องผู้อื่นส่งผลอย่างไรต่อคนในชุมชน เธอมอบริบบิ้นแก่นักเรียนคนละสามเส้น ให้นักเรียนเผยแพร่การรับรู้ และชื่นชมคุณค่าผู้อื่นในวงกว้างออกไป จากนั้นนักเรียนจะต้องติดตามผล และดูว่าใครยกย่องใครบ้าง แล้วนำกลับมารายงานในห้องภายในหนึ่งสัปดาห์

นักเรียนชายคนหนึ่งเข้าพบผู้บริหารระดับรองที่ทำงานในบริษัทใกล้ๆ เพื่อยกย่องที่ชายผู้นี้เคยช่วยเขาวางแผนอาชีพในอนาคต แล้วมอบริบบิ้นติดให้บนเสื้อเชิ้ต จากนั้นก็มอบริบบิ้นอีกสองเส้นที่เหลือพร้อมกับกล่าวว่า " เรากำลังทำงานกลุ่มของชั้นเรียนเกี่ยวกับเรื่องการแสดงความยกย่องชื่นชมผู้อื่นครับ ผมอยากขอให้คุณช่วยหาใครสักคนที่คุณต้องการยกย่อง แล้วให้ริบบิ้นเขา ส่วนอีกเส้นก็ให้เขาไว้สำหรับมอบให้คนต่อไปเพื่อเผยแพร่การยกย่องชื่นชมนี้ให้กระจายต่อไป แล้วช่วยกลับมาบอกผมด้วยครับว่าผลเป็นยังไงบ้าง "

ต่อมาในวันเดียวกันผู้บริหารท่านนี้เข้าพบเจ้านายเขา ซึ่งเป็นคนที่ใครๆ รู้กันดีว่าเกรี้ยวกราดอารมณ์ร้าย เขานั่งลงคุยกับเจ้านาย บอกเจ้านายว่าลึกๆ เขายกย่องชื่นชมเจ้านายว่าเป็นผู้มีหัวคิดสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ ดูเหมือนเจ้านายเขาจะประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาถามเจ้านายว่าจะยินดีรับริบบิ้นสีฟ้าเป็นของขวัญแสดงความชื่นชม และอนุญาตให้เขาติดริบบิ้นให้ได้หรือไม่ เจ้านายผู้ประหลาดใจตอบว่าได้ เขาจึงติดริบบิ้นสีฟ้าเส้นนั้นบนปกเสื้อนอก บริเวณเหนือหัวใจ

เมื่อเขามอบริบบิ้นเส้นสุดท้ายแก่เจ้านาย เขาบอกเจ้านายว่า ช่วยอะไรผมสักอย่างได้ไหมครับ ผมอยากให้เจ้านายช่วยส่งต่อริบบิ้นเส้นสุดท้ายนี่ด้วยการยกย่องชื่นชมใครสักคน พ่อหนุ่มที่ให้ริบบิ้นผมมาเป็นคนแรกกำลังทำงานกลุ่มของชั้นอยู่ เขาอยากให้ช่วยกระจายการยกย่องชื่นชมนี้ให้เผยแพร่ในวงกว้างออกไป แล้วดูว่าการทำแบบนี้ส่งผลต่อใครๆ ยังไงบ้าง

ค่ำวันนั้นชายผู้เป็นเจ้านายกลับบ้านไปหาลูกชายวัยรุ่นอายุสิบสี่ เขาเรียกลูกชายให้นั่งลงแล้วกล่าวว่า วันนี้เกิดเรื่องเหลือเชื่อที่สุดกับพ่อ ตอนอยู่ห้องทำงาน ลูกน้องคนหนึ่งเข้ามาบอกว่าเขาชื่นชมพ่อ แล้วให้ริบบิ้นเส้นหนึ่งเป็นการยกย่องว่าพ่อเป็นอัจริยะเรื่องความมีหัวคิดสร้างสรรค์ ลองนึกดูเขาคิดว่าพ่อมีหัวคิดสร้างสรรค์เข้าขั้นอัจฉริยะเชียวนะ แล้วเขาก็เอาริบบิ้นเส้นนี้ที่เขียนว่าฉันเป็นคนมีคุณค่าติดให้บนปกเสื้อนอกตรงหัวใจนี่ แล้วยังให้ริบบิ้นพ่อมาอีกเส้นให้พ่อมองหาใครสักคนที่จะยกย่องชื่นชมต่อ

ระหว่างที่พ่อขับรถกลับบ้าน ก็คิดว่าริบบิ้นเส้นนี้จะให้ใครดี แล้วพ่อก็นึกถึงแก พ่ออยากชื่นชมแกนะ วันๆ พ่อทำงานยุ่งเหยิงมากพอกลับมาบ้านก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจแกสักเท่าไร บางทียังอาละวาดอีกเรื่องแกเรียนได้เกรดไม่ดี เรื่องทำห้องนอนรก แต่ยังไงไม่รู้สิ วันนี้พ่อกลับอยากนั่งลงตรงนี้กับแกอยากบอกว่าแกมีค่ากับพ่อมากแค่ไหน นอกจากแม่แกแล้ว ก็มีแกนี่แหละที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตพ่อ แกเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมเลยแหละ แล้วพ่อก็รักแกนะ ... เด็กหนุ่มผู้ตื่นตะลึงเริ่มสะอื้น แล้วก็สะอื้น เขาไม่อาจหยุดร้องไห้ ร่างสั่นเทาไปทั้งตัว เขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อแล้วกล่าวทั้งน้ำตา
" พ่อครับเมื่อตอนเย็นผมอยู่บนห้อง นั่งเขียนจดหมายถึงพ่อกับแม่ เพื่ออธิบายว่าทำไมผมถึงฆ่าตัวตาย แล้วก็ขอให้พ่อยกโทษให้ผม ผมตั้งใจจะฆ่าตัวตายคืนนี้ตอนพ่อหลับ ผมคิดว่าพ่อไม่เคยแคร์ผมเลย จดหมายอยู่บนห้องครับแต่ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องการมันแล้วล่ะ " พ่อของเด็กหนุ่มเดินขึ้นไปบนห้อง พบจดหมายข้อความสะเทือนใจบรรยายถึงความเจ็บปวด และทุกข์ทรมานจดหมายฉบับนั้น จ่าหน้าถึงพ่อกับแม่


ชายผู้เป็นเจ้านายกลับไปที่ทำงานอย่างเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาเลิกเป็นคนขี้โมโห แต่จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้พนักงานใต้บังคับบัญชารู้ว่า พวกเขามีค่าอย่างไรบ้าง ส่วนชายผู้เป็นนักบริหารระดับรองก็ช่วยให้คำแนะนำเด็กหนุ่มอื่นๆ ต่อมาอีกหลายคน เรื่องการวางแผนอาชีพในอนาคตแล้วก็ไม่เคยลืมบอกเด็กเหล่านั้นว่า แต่ละคนมีคุณค่าต่อชีวิตเขาอย่างไรบ้าง หนึ่งในนั้นก็คือเด็กหนุ่มลูกชายเจ้านายเขา

ส่วนเด็กหนุ่มกับเพื่อนร่วมชั้นก็ได้เรียนรู้บทเรียนที่มีค่าเรื่องหนึ่ง นั่นคือเราต่างเป็นคนที่มีคุณค่าด้วยกันทั้งนั้น
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #66 เมื่อ: 12 กันยายน 2551, 23:45:15 »

วิธีอยู่เหนือดวงชะตา

สุรีย์ - ครุ 16 ... ส่งมา

( โดยเฉพาะเวลาดวงตก หรือ ป่วยใกล้หมดอายุ )

๑. รักษาศีล ๕ ตลอดชีวิต ( หาโอกาสถือศีล ๘ หรือ ศีลอุโบสถบ้างในวันพระ )

๒. ถวายสังฆทานเป็นประจำ หรือบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าดวงกำลังต หรือมีเคราะห์หนัก ภายใน ๓ วัน ต้องไม่ต่ำกว่า ๗ วัด ถ้าได้ ๙ วัด จะยิ่งดี ถ้า ได้มากกว่านั้นจะดีเลิศ

๓. ปล่อย โค กระบือ นก ปลา เต่า หอยขม หอยโข่ง หรือสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า ฯลฯ โดยด่วน

๔. ทำบุญ ใส่บาตรพระ ทุกวัน อย่างน้อยวันละ ๑ รูป หรือถ้าได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี

๕. นั่งสมาธิให้ได้ก่อนนอนทุกคืน สวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น เป็นประจำ สม่ำเสมอ

๖. ตอบแทนบุญคุณพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และผู้มีพระคุณ ให้ท่านชื่นใจทุกวิถีทางเท่าที่สามารถจะกระทำได้ เพราะทำบุญกับท่านเหล่านี้จะให้ผลมาก

๗. สงเคราะห์คนชราที่เร่ร่อน ขาดคนอุปถัมภ์เลี้ยงดู เด็กกำพร้า เด็กพิการ ผู้ด้อยโอกาส ฯลฯ สม่ำเสมอ

๘. สงเคราะห์ญาติมิตรที่ลำบาก คนยากจน คนตกงานโดยเต็มใจ และเมตตา อย่างจริงใจ และฝึกการเป็นผู้ให้จนติดเป็นนิสัย

๙. มีความจริงใจ บริสุทธิ์ใจกับทุกๆ คน ให้อภัยผู้อื่นเสมอ ให้มองหาแต่ความผิดความบกพร่องของตนเอง และพยายามแก้ ( ข้อนี้สำคัญที่สุด ) คนเลว คนชั่วจะมองหาแต่ความผิดความเลวของผู้อื่น

๑๐. ไม่นินทาว่าร้าย อิจฉาริษยาผู้อื่น เมื่อเขาผิดพลาด หรือได้ดีกว่าตน มองแต่ความผิดพลาดของตนเอง และพยายามแก้ไข

๑๑ การกล่าวโทษว่าร้ายผู้อื่น ถ้าแม้จะจริงก็ตาม เราก็จะได้รับผลตามที่ติเตียน หรือกล่าวร้ายเขา หนักยิ่งกว่าหลายเท่า

๑๒. ไม่ถือสา โกรธเคืองผู้ใด หรือผูกอาฆาต พยาบาท จองเวรใคร เพราะผู้ที่ทำให้เราโกรธ หรือไม่พอใจนั้น เขาได้ทำบาปทำผิดอยู่แล้วที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น ถ้าเราโกรธตอบ แสดงว่าเราก็เช่นเดียวกับเขา และแย่ยิ่งกว่าเขา สองเท่า เพราะรู้แล้วยังทำ ให้แผ่เมตตาหรือทำเฉยๆ เสีย อย่าเอาใจใส่

๑๓. ให้พยายามทำใจให้รัก และเมตตาสงสารคน และสัตว์ทุกๆ คน เพราะเขาเกิดมาก็เป็นทุกข์เช่นเดียวกับเรา คือทุกข์เพราะการเกิด ความแก่ ความเจ็บป่วย ความตาย ความพรัดพรากจากของรัก ความไม่สมหวังในสิ่งทีปรารถนา ( ได้มาแล้ว ย่อมเสียไป ) เป็นเช่นนั้นทุกๆ สรรพสิ่งในโลก

๑๔. ทุกครั้งที่ทำความดี จะรู้สึกมีความสุข อิ่มใจ สดชื่น แจ่มใส ขณะนั้นบุญกุศลเกิดเต็มเปี่ยม จงแบ่งความสุขเหล่านั้นคือผลบุญที่ทำให้เจ้ากรรมนายเวร โดยการไม่ลืมอุทิศผลบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกๆ ครั้งด้วย และแถมท้ายด้วยการขออโหสิกรรมกับเขาด้วย เสร็จแล้วแผ่เมตตาอุทิศผลบุญกุศลให้กับพ่อ แม่ ผู้ที่มีพระคุณต่อเราทุกๆ คนด้วย บุญของเราก็จะแผ่ไพศาลกว้างไกล อยู่เหนือดวงชะตาในที่สุด

ขออานิสงส์ของการเผยแพร่บทความนี้จงส่งผลให้ผู้ที่เผยแพร่ทั้งหลาย โชคดี มีความเจริญ คิดสิ่งใดที่ดีงามขอให้สมหวังดังปรารถนาทุกประการ มีดวงตาเห็นธรรม ในการที่จะดำเนินชีวิตที่มีความสุขกาย สุขใจ ประสบแต่สิ่งที่ดีงาม เพื่อสังคม เพื่อประเทศไทย ... เพื่อโลกจะได้มีสันติสุข
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #67 เมื่อ: 20 กันยายน 2551, 20:50:54 »

ทอนเท่าไหร่ ?

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า " ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร? " เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า " 7 บาท " แต่มีเด็ก 2คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น คนหนึ่งตอบว่า " 2 บาท " อีกคนหนึ่งตอบว่า " ไม่ต้องทอน "

ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน 2 บาท คำตอบที่ได้ก็คือ ภาพในใจของเขาสำหรับเงิน 10 บาท คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้นจึงได้เงินทอน 2 บาท

ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย คำตอบก็คือ เด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ เพราะฉะนั้นคนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา

โชคดีที่เป็นการถาม-ตอบในห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่

การสร้างโจทย์ที่ " เสมือนจริง " จินตนาการของ " ครู " อาจถูกจำกัดเพียงแค่ " ตัวเลข " แต่สำหรับเด็ก จินตนาการของเขาไร้กรอบ ... 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาทก็ได้ เดี๋ยวนี้เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก 1 คำตอบ คือได้เงินทอน 1 บาท

โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ


" อย่ารีบตัดสินความผิดถูกของคนๆ หนึ่ง เพียงแค่ คำตอบ ของเรา "

" อย่าหยุดความคิดสร้างสรรค์ของคนๆ หนึ่ง ด้วยกรอบความคิดของเรา "
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #68 เมื่อ: 29 กันยายน 2551, 23:27:33 »

เมื่อขงเบ้งสอนเล่าปี่เกี่ยวกับ " เทคนิคการบริหารเวลา "

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07 ... ส่งมา

ทุกวันทุกคนบนโลกใบนี้มีเวลาเท่าเทียมกันคือ 24 ชั่งโมง  อย่างไรก็ดี  มองจากแง่มุมของเศรษฐศาสตร์ เวลาของทุกคนมีคุณค่าไม่เท่ากัน การบริหารเวลาของแต่ละคนจึงหมายถึงความแตกต่างระหว่างความสำเร็จกับความพ่ายแพ้  ค่าของเวลาเกี่ยวข้องกับสมรรถภาพ ซึ่งในแง่ธุรกิจคือต้นทุน ฉะนั้นสถาบันศึกษาทุกแห่งที่สอนวิชาการบริหารธุรกิจจึงมีหลักสูตรเกี่ยวกับการบริหารเวลา


                 
ครั้งหนึ่ง เล่าปี่ขอขงเบ้งให้แนะนำวิธีสร้างตนเป็นอภิมหาเศรษฐีแห่งดินแดน  ขงเบ้งว่างานใหญ่เช่นนี้ต้องวางแผน  และรู้จักบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

เล่าปี่ กล่าวว่า " ข้าพเจ้า ( ข้าฯ ) เห็นด้วยในหลักการแต่ทว่าข้าฯ มีงานมากมายที่ต้องทำทุกวัน  จนเวียนเกล้าเวียนศีรษะ ไม่เคยมีเวลาพอที่จะจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างได้เลย " ขงเบ้งบอกให้ลูกน้องไปเตรียมก้อนหิน ก้อนกรวด ก้อนทราย และน้ำจำนวนหนึ่ง  พร้อมถังเหล็กใหญ่หนึ่งใบ  เล่าปี่ถามด้วยความแปลกใจ " ท่านเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร ? "

ขงเบ้งยิ้มอย่างมีเลศนัย พร้อมกับตอบด้วยคำถามว่า " ท่านบริหารเวลาด้วยวิธีใด ? "  เล่าปี่ตอบว่า " ข้าฯ   เคยคิดว่าข้าฯ มีเทคนิคที่ดีอยู่แล้ว  คือใช้วิธีมอบหมาย  ข้าฯ มีผู้ช่วยอยู่รอบด้านตั้งแต่กวนอู  เตียวหุย  เจ้าหยุน ฯลฯ  ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ด้านต่างๆ  แต่งานทั้งหลายก็ยังพันกันอีรุงตุงนัง  ไม่สามารถปรับให้ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลดีขึ้นได้  เดิมข้าฯ คิดว่าคือแมลงวันไม่มีหัวอยู่ตัวเดียว แต่หลังการใช้ระบบมอบหมายงาน  กลับกลายเป็นว่าปัจจุบันบริษัทมีแมลงวันหัวขาดเป็นฝูง !! "



ขงเบ้งฟังแล้วจึงเริ่มอธิบายว่า " เทคนิคการบริหารเวลาสามารถแบ่งเป็น สูง กลาง และต่ำ สามขั้น ขั้นต่ำเน้นการใช้เศษกระดาษบันทึก ขั้นกลาง เน้นการใช้แผนดำเนินงาน และตารางโปรแกรมประจำวันซึ่งสะท้อนความสำคัญของการวางแผน ส่วนขั้นสูง เน้นการจัดการโดยแบ่งแยกประเภทของหน้าที่การงานตามดีกรีความสำคัญของงานเพื่อพิจารณาลำดับความเร่งด่วนในการจัดการงานดังกล่าว ทั้งสามขั้นอันดับต่างมีเรื่องการมอบหมายงานเกี่ยวข้องอยู่ด้วยตามความต้องการของปริมาณและลักษณะเฉพาะของงานแต่ละชิ้น   
                                                                 
เล่าปี่สารภาพว่า " หากพิจารณาตามการแบ่งขั้นของเทคนิคการบริหารเวลาแล้ว  ข้าฯ ยอมรับว่าวิธีของข้าฯ อยู่ที่ขั้นต่ำ  เพราะใช้แค่การส่งใบ slip บันทึก " ขงเบ้งชี้ไปที่ถังเหล็กกับกองวัสดุที่ผู้ช่วยได้เตรียมเสร็จไว้มุมห้องพร้อมกล่าวว่า  " คำตอบของการบริหารขั้นสูงอยู่ในถังเหล็กใบใหญ่นี้แหละ !  ความจุของถังนี้เปรียบเสมือนขีดความสามารถของคนๆ หนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง  ก้อนกรวดเปรียบได้กับงานที่สำคัญ และเร่งด่วน  ก้อนหินคือภาระที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน  เม็ดทรายเปรียบได้กับภาระที่เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ  และน้ำคือหน้าที่ที่ไม่สำคัญ และไม่เร่งด่วน "



ขงเบ้งอธิบายพรางวาดผังประกอบคำอธิบาย ดังในตารางประกอบ



" ปกติท่านเน้นงานประเภทใด ? " ขงเบ้งถาม

" ก็ต้องเป็นประเภท ก." เล่าปี่ตอบอย่างไม่ลังเล  แล้วงานประเภท ข. ล่ะ ? ขงเบ้งถามต่อไป  เล่าปี่ตอบว่า " ข้าฯ ตระหนักถึงความสำคัญของงานประเภท ข. แต่ก็ไม่มีเวลาพอที่สนใจมัน "

 "เป็นอย่างนี้ใช่ไหม "  ขงเบ้งถาม  พรางใส่กรวดลงไปในถังเหล็กจนเต็มแล้วพยายามใส่ก้อนหินเข้าไปซึ่งใส่ไม่ได้ เล่าปี่ตอบว่า'ใช่ ! "

" และหากเปลี่ยนวิธีบรรจุใหม่ล่ะ ? " ขงเบ้งถามต่อ  พลางใส่ก้อนหินทีละก้อนเข้าไปในถังก่อน  จนใส่ไม่ได้ แล้วจึงถามเล่าปี่อีกว่า " ตอนนี้ถังเหล็กเต็มแล้วจะใส่อะไรลงไปอีกไม่ได้ใช่ไหม ? " ซึ่งเล่าปี่ตอบว่า " ใช่ "

" จริงหรือ ? " ขงเบ้งถาม  แล้วหยิบก้อนกรวดใส่เข้าไปข้างบนถัง  แล้วเขย่าให้ก้อนกรวดตกลงไปในถังจนหมด  " บัดนี้ถังเหล็กใบนี้ใส่อะไรลงไปอีกได้หรือไม่ ? " ขงเบ้งพูดพรางเทเม็ดทรายลงไปอีกจนหมด

" แล้วทีนี้ล่ะ ? ใส่อะไรลงไปอีกได้ไหม ? " ขงเบ้งถามต่อไป

แต่ก่อนที่เล่าปี่มีโอกาสตอบ  ขงเบ้งก็ตักน้ำที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในถังเหล็กอีกจนหมด " ตอนนี้ท่านเข้าใจความหมายของการทดลองนี้แล้วหรือยัง ? "



เล่าปี่ตอบว่า " เข้าใจแล้ว  นี่คือสิ่งที่ท่านกล่าวถึงเมื่อสักครู่  เกี่ยวกับการจัดการแบบแยกประเภท และเลือกการจัดการก่อนหลังใช่ไหม ? "

ขงเบ้งตอบว่า " ใช่แล้ว  การทดลองชี้ให้เห็นว่า  หากถังเหล็กตั้งแต่แรกก็เติมเต็มไปด้วยก้อนกรวด ทราย และน้ำ ก็คงไม่มีโอกาสใส่ก้อนหินลงไปได้  แต่ถ้าใส่ก้อนหินลงไปก่อนในถังยังมีเนื้อที่ที่จะใส่สิ่งอื่นๆ เข้าไปได้อีก  ดังนั้นการบริหารเวลาที่ได้ผลต้องดูว่า อะไรคือก้อนหิน อะไรคือก้อนกรวด เม็ดทราย และน้ำ ฯลฯ และไม่ว่าจะเป็นประการใดก็ต้องใส่ก้อนหินลงไปในถังเป็นอันดับแรก "

เล่าปี่ยังถามว่า " แล้วการวิเคราะห์แยกแยะเรื่องต่างๆ ออกเป็นสี่หมวดนี้มีผลอย่างไรล่ะ ? "

ขงเบ้งตอบว่า " บุคคลจำพวกที่ว่าวุ่นอยู่กับเรื่องราวประเภทก้อนกรวด  ย่อมมีความรู้สึกถูกเวลากดดัน  และวนเวียนอยู่ในแดนวิกฤตจนอ่อนล้า  พวกที่เน้นเรื่องประเภทเม็ดทรายจะขาดพลังสร้างสรรค์  ชอบฟังคำพูดเพราะหู  คบคนแบบผิวเผิน  พวกที่นิยมเรื่องราวประเภทน้ำมักบกพร่องเรื่องสำนึกรับผิดชอบ  แม้กระทั่งเรื่องสารทุกข์สุกดิบของตนเอง "

เล่าปี่ถามว่า " เป็นไปได้ไหมที่ว่าถ้าเน้นก้อนหินมากเกินไปจะมองข้ามก้อนกรวด  เพราะก้อนกรวดมากับความเร่งด่วน ? "

" ท่านทราบไหมว่าก้อนกรวดมาจากไหน ?  ก็มาจากก้อนหินที่แตกสลายไง ! "  ขงเบ้งตอบ " คนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องประเภทก้อนหิน  จะมีก้อนกรวดน้อย  คนที่เน้นก้อนกรวด  ก็จะมีก้อนกรวดเยอะตลอด "

ขงเบ้งสอนต่อไปว่า " คนที่อิงเรื่องประเภทก้อนหินเป็นคนมีประสิทธิภาพ  เพราะเขาจะเก่งในการวิเคราะห์สถานการณ์  เวลา  และสิ่งแวดล้อม  สามารถจับประเด็นหลักของปัญหา  สามารถจัดการกับเรื่องเร่งด่วน และควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกินกว่าเหตุ  กล้าฟันธง และใช้มาตรการป้องปราม  บุคคลจำพวกนี้จะมีวิสัยทัศน์  มีอุดมการณ์  เคารพระเบียบ  สามารถควบคุมตัวเอง  ดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย  และสามารถทำงานชิ้นใหญ่ได้ "
 
เล่าปี่ชื่นชอบทฤษฎี " วัตถุในถัง " ของขงเบ้งเป็นอย่างมาก  พร้อมกับสารภาพว่า " มาวันนี้ข้าฯ ถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า  การต่อสู้ของข้าฯ ทำไมจึงยังลุ่มๆ ดอนๆ  เพราะแม้ว่าข้าฯ มีขุนพลเก่งๆ  เช่น  กวนอู และเตียวหุย  แต่พวกเขาจะก้าวหน้าได้อย่างไร  ตราบใดที่คนที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างพวกเขาจมปลักอยู่กับเรื่องจิ๊บจ๊อย  กับทำงานลักษณะ " เก็บเม็ดงาแต่ทิ้งแตงโม " ( เจี่ยนเลอจือหมา ติวเลอซีกวา ) ขืนดำเนินตามวิธีนี้ต่อไป  ความพยายามของข้าฯ ที่จะเป็นอภิมหาเศรษฐีนัมเบอร์วันในแผ่นดินก็คงเป็นได้แค่ความฝัน ! "


เกี่ยวกับผู้เขียน : เป็นดอกเตอร์ทางด้านประวัติศาสตร์ และภาษาเอเชียตะวันออก จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  และเคยรับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ ตำแหน่งสุดท้ายคือรองปลัดกระทรวง  ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร  เครือเจริญโภคภัณฑ์ "

คอลัมน์ คลื่นความคิด โดย สารสิน วีระผล มติชนรายวัน วันที่ 04 เมษายน พ.ศ. 2548 ปีที่28 ฉบับที่ 9886


บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #69 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2551, 22:02:22 »

มองที่ปัญหา หรือ มองที่ทางออก

สุขวสา - บัญชี 16 ... ส่งมา

เคยได้รับเมล์ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย ขอถ่ายทอดมาให้อ่านกันบ้าง

เรื่องแรก

อเมริกาส่งนักบินไปในอวกาศ เจอปัญหาปากกาเขียนไม่ออก นักวิทยาศาสตร์จึงระดมปัญญาเพื่อประดิษฐ์ปากกาที่สามารถเขียนในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงได้ ต้องทุ่มเงินหลายร้อยล้านเหรียญ และใช้เวลาไปหลายปี ในที่สุดก็ได้ปากกาที่สามารถเขียนได้ทุกพื้นผิว แม้ใต้น้ำก็เขียนได้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง

แต่นักบินอวกาศรัสเซีย ที่ประสบปัญหาเดียวกัน ใช้ดินสอเขียนแทนปากกา

 
*******************************

เรื่องที่สอง

โรงงานผลิตสบู่ในญี่ปุ่นประสบปัญหา เมื่อส่งสินค้าไปแล้วลูกค้าบ่นเรื่องบางกล่องไม่มีสบู่ เป็นกล่องเปล่าๆ ทางโรงงานติดตั้งเครื่อง X-Ray เพื่อตรวจสอบ ใช้เงินลงทุนไปหลายล้านเยน กล่องไหนไม่มีสบู่ก็ตรวจจับได้ ทำให้สามารถส่งสบู่ที่ไม่มีกล่องเปล่าอีก

แต่โรงงานเล็กๆ อีกโรงประสบที่ปัญหาเดียวกัน ช่างคุมงานใช้พัดลมตัวใหญ่ๆ เป่าลมบนสายพาน กล่องเปล่าก็ปลิวออกไป


******************************

คนเราเวลาประสบปัญหา ส่วนมากมักคิดแต่จะแก้ปัญหา ทุ่มกำลังสติปัญญา และทุ่มเทเวลาเพื่อแก้ปัญหานั้น แต่ถ้าคุณเปลี่ยนเป็นมองที่ทางออก ปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายก็ดูจะกลายเป็นเรื่องจ้อยไปเลย

******************************

เมื่อคุณเจอปัญหา ลองเปลี่ยนวิธีคิด แล้วคุณจะประหลาดใจ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #70 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2551, 22:46:37 »

Welcome to the " Stock " Market

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

Once upon a time in a village, a man announced to the villagers that he would buy monkeys for $10. The villagers seeing there were many monkeys around, went out to the forest and started catching them. The man bought thousands at $10 and as supply started to diminish, the villagers stopped their effort.

He further announced that he would now buy at $20. This renewed the efforts of the villagers and they started catching monkeys again. Soon the supply diminished even further and people started going back to their farms. The offer rate increased to $25 and the supply of monkeys became so little that it was an effort to even see a monkey, let alone catch it !

The man now announced that he would buy monkeys at $50 ! However, since he had to go to the city on some business, his assistant would now buy on behalf of him.

In the absence of the man, the assistant told the villagers. " Look at all these monkeys in the big cage that the man has collected. I will sell them to you at $35 and when the man returns from the city, you can sell to him for $50."

The villagers squeezed up with all their savings and bought all the monkeys. Then they never saw the man nor his assistant, only monkeys everywhere ! ! !

 
Welcome to the " Stock " Market ! ! ! ! !
บันทึกการเข้า
Junphen Juntana
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 403

เว็บไซต์
« ตอบ #71 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2551, 19:01:59 »

วันก่อน ได้ฟ้งท่าน ว. วชิรเมธีบรรยายที่หอประชุม SCB  ได้ข้อคิดกับชีวิตและสังคม ดีมากๆ เลยค่ะ

บันทึกการเข้า

เพ็ญ อักษร: รหัส 36 & ซีมะโด่ง 76

เว็บไซต์: http://www.tpa.or.th/writer/author_des.php?passTo=98900ed085c9084a2b01bdbd15fa8470&authorID=429

http://www.facebook.com/penfriend

ทำใจให้ดี ทำดีให้ใจ
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #72 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2551, 18:39:52 »

พี่เจี๊ยบ16 ครับ
มีคนอ่านอยู่เสมอ ในกระทู้นี้
เพียงแต่ไม่ได้โพสต์มาทักทายเท่านั้น
ผมชอบเกือบทุกบทความ รักนะ


บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #73 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2551, 11:25:12 »

ขอบคุณครับ สมชาย 17 ที่ส่งเสียงเข้ามาทักทายกัน  ไม่งั้นก็จะเห็นเพียงแต่ตัวเลขจำนวนผู้อ่านที่เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอเท่านั้น ... พี่เล่าต่อเลยล่ะนะ ...

คนเราสามารถเป็นคนดี โดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ?

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

ปู่อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ค เคยเขียนไว้ว่า " โศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์คือ  การที่ศีลธรรมถูกศาสนาแย่งชิง ไม่ว่ามันจะมีค่า หรือจำเป็นเพียงใดต่อการบังคับให้คนในยุคโบราณทำดี การรวมของสองสิ่งนี้กลับให้ผลตรงข้าม และในช่วงเวลาที่สองสิ่งนี้ควรถูกแยกออกจากกัน คนโง่ที่คิดว่าตนเองมีศีลธรรมแก่กล้ากว่า  กลับเรียกร้องให้ผู้คนหวนคืนสู่ศีลธรรมด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติ "

สำหรับชาวเราที่โตมากับการเรียนวิชาศีลธรรมในโรงเรียน หรือคนที่เข้าโบสถ์ทุกอาทิตย์ อาจรู้สึกว่านี่เป็นคำกล่าวที่ผูกกับระเบิดลูกใหญ่  ความคิดใดๆ ที่แย้งกับสิ่งที่ได้รับการปลูกฝัง มักยอมรับกันได้ยาก คุยเรื่องนี้แล้วอาจถูกตีหัว หรือถูกหาว่าเป็นมารศาสนาได้ง่ายๆ

ทว่าในฐานะของชาวพุทธที่ได้รับการสอนเรื่องกาลามสูตร  นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะไตร่ตรองดูว่า มีความจริงมากน้อยแค่ไหนในคำกล่าวข้างต้น  บางทีมันอาจเป็นโอกาสให้เราปัด " ฝุ่น " ที่เกาะใจเรามาโดยที่ไม่รู้ตัว  ที่สำคัญคือหากเราจะเข้าใจตัวเอง และชีวิตมนุษย์บนโลกดีขึ้น  ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องกล้าตั้งคำถาม  และวิเคราะห์ข้อคิดแย้งใดๆ ให้ถึงแก่น

มนุษย์แทบทุกมุมโลกถูกสั่งสอนมาแต่เด็กให้เชื่อมคำว่า " ศีลธรรม " " การทำดี " เข้ากับคำว่า " ศาสนา "  การเป็น atheist ( คนที่ไม่มีศาสนา, คนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ) หรือ free thinker ในโลกนี้จึงมักถูกเข้าใจผิดเสมอ หลายคนฝังใจว่าการไร้ศาสนา คือการไร้ศีลธรรม

ทว่าการ " ไร้ศาสนา " กับ  " ไร้ศีลธรรม " เป็นคนละเรื่องกัน  แน่ละ  คนไร้ศาสนาจำนวนมากกระทำเรื่องชั่วร้าย แต่ประวัติศาสตร์โลกเราก็บันทึกตัวอย่างมากมายของการกระทำชั่วโดยคนที่มีศาสนา  ตั้งแต่ฮิตเลอร์ไปจนถึงผู้นำชาติมหาอำนาจที่ก่อสงครามเป็นว่าเล่น  ล้วนแต่เป็นคนที่เข้าโบสถ์สม่ำเสมอ  ดังนั้นการเชื่อมโยง " ไร้ศาสนา " กับ " ไร้ศีลธรรม " ก็เช่นการบอกว่า สุนัขทุกตัวที่ไม่ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า ต้องเป็นสุนัขบ้า

คนเราสามารถเป็นคนดีโดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ?  อาจต้องเริ่มที่การตั้งคำถามว่า อะไรคือความดี ? เราวัดความดีอย่างไร ? ช่วยจูงคนแก่ข้ามถนน ? ไม่เป็นเด็กแว๊น เด็กสก๊อย ? อะไรคือศาสนา ?  มันคือการไม่ฆ่าคน ? ไม่โกหก ? ไม่ขโมย ? ไม่ประพฤติผิดในกาม ? มีเมตตาเกื้อกูลเพื่อนร่วมโลก ? ความดีเป็นสิ่งที่เกิดมากับจักรวาลหรือไม่?  หรือว่ามันเกิดขึ้นหลังจากมนุษย์ปรากฏขึ้นบนโลก ? มันเกี่ยวกับการที่เราอยู่กันเป็นสังคมหรือไม่ ?  ทำไมศาสนาเพิ่งถือกำเนิดมาในโลกนานหลังจากมนุษย์สร้างอารยธรรม ? สัตว์มีศาสนาหรือไม่ ?

ถ้าเราใช้ข้อปฏิบัติตามที่บัญญัติในศาสนาเป็นเครื่องวัดความดี  เราก็อาจต้องถามต่อไปว่า ปลาวาฬปลาโลมาที่ช่วยชีวิตคนที่ประสบภัยกลางทะเลก็รู้จักทำดี ?  ลิงบางสายพันธุ์ที่ช่วยกันดูแลลิงที่เจ็บป่วยก็มีศีลธรรม ?

การมองว่าสัตว์ก็สามารถพัฒนา " ศีลธรรม " ได้ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล  หลักฐานทางวิทยาศาสตร์คล้อยไปในทิศทางว่า  สายสัมพันธ์ในสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคม  มีความเอื้ออาทรแบบเป็นพ่อแม่ลูก  เมื่อพัฒนาสติปัญญาถึงระดับหนึ่ง ก็มักจะเกิดความรู้สึกทางศีลธรรม หรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีโดยเลี่ยงไม่พ้น  เห็นชัดว่ารากฐานของศีลธรรมนั้นเริ่มจากการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ( empathy )

ลองสมมุติว่าคุณเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในโลกที่ไร้สัตว์  มีแต่ธรรมชาติ  คุณยังจะต้อง " ทำดี " หรือไม่ ?  เมื่อวัดด้วยมาตรศีลธรรมของทุกศาสนาในโลก  คำตอบก็คือ ไม่ !  คุณฆ่าคน และสัตว์ไม่ได้เพราะไม่มีอะไรให้คุณฆ่า  คุณโกหกไม่ได้ เพราะไม่มีใครให้คุณโกหก  คุณขโมยของไม่ได้เพราะไม่มีอะไรให้ขโมย ฯลฯ  นี่อาจหมายความว่าการทำดี และศีลธรรม ไปจนถึงศาสนาเป็นผลผลิตของสัตว์สังคม  เป็นวิวัฒนาการทางธรรมชาติของสัตว์ชั้นสูงที่พัฒนาระบบประสาทถึงระดับหนึ่ง  มองในมุมของหลักวิวัฒนาการ  การกำเนิดของศาสนาในโลกเป็นกลไกที่จำเป็น  เป็นระบบที่ทำให้สังคมอยู่รอดได้  เพราะสังคมที่ผู้คนเกื้อกูลกัน  ย่อมมีโอกาสอยู่รอดสูงกว่าสังคมที่คนทะเลาะกัน  เช่นเดียวกับสัตว์หลายชนิดที่อยู่เป็นฝูง  เตือนภัยให้กันเมื่อศัตรูมา  หากพวกมันทะเลาะกัน  ย่อมจะตกเป็นอาหารของสัตว์อื่นจนหมดสิ้นเผ่าพันธุ์

เช่นนั้น  เราสรุปได้ไหมว่า ความดีความเลวเป็นผลผลิตของมนุษยชาติ  รากฐานของการเกิดความดีความชั่วมาจากการกำเนิดสังคม ? และหากก้าวไปไกลอีกขั้น ความดีความเลวเป็นเพียงสิ่งสมมุติที่เราสร้างขึ้นมา ?

หากถามชาวพุทธทั่วไปที่เรียนวิชาศีลธรรมในห้องเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า  อะไรเป็นหัวใจของพุทธศาสนา  คำตอบที่ได้รับส่วนใหญ่คืออริยสัจจ์ 4 ( ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค ) หรือโอวาทปาติโมกข์ ( ไม่ทำชั่ว-ทำดี-ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ) หรือมัชฌิมาปฏิปทา ( ทางสายกลาง ) น้อยคนเหลือเกินจะตอบว่าคือ อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท  บ้างบอกว่าไม่เคยได้ยินคำนี้เลย  ทั้งที่มันเป็นสาระหลักที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใต้ร่มศรีมหาโพธิ์ในคืนวิสาขบูชา

อิทัปปัจจยตามองว่าโลกเป็นเพียงการไหลต่อเนื่องของเหตุ และผล ( cause-effect )  โลกไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีแพ้ ไม่มีชนะ ไม่มีได้ ไม่มีเสีย ไม่มีเทวดา ไม่มีสัตว์นรก ไม่มีอะไรมีอยู่จริง  หรือไม่มีอยู่จริง  การมี หรือไม่มี  ถือเป็นทิฏฐิทั้งคู่  ทั้งนี้เพราะสรรพสิ่งเป็นปัจจัยต่อเนื่องกัน  เหตุทำให้เกิดผล  ผลนั้นทำให้เกิดเหตุ  ซึ่งทำให้เกิดผลและเหตุต่อไปไม่สิ้นสุด การไปหลงติดกับความเป็นคู่เป็นความเขลาอย่างหนึ่งเพราะมันเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น

หากใช้คำของพุทธทาสภิกขุที่เขียนไว้ในหนังสือ อิทัปปัจจยตา  ก็คือ " หลักอิทัปปัจจยตา  มุ่งที่จะขจัดความเห็นผิดสำคัญผิดว่ามีตัวตน  สัตว์  บุคคล  ตามที่คนเรารู้สึกกันได้เองตามสัญชาตญาณ  หรือที่ยิ่งไปว่านั้นอีกก็คือ  มุ่งแสดงให้เห็นว่า ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีการได้ ไม่มีการเสีย และอื่นๆ  ที่เป็นคู่ตรงกันข้าม  เพราะนั่นมนุษย์บัญญัติขึ้นเอง ตามความรู้สึกของมนุษย์ โดยที่แท้แล้วทั้งหมดทุกๆ คู่ ล้วนเป็นเพียงกระแสแห่งอิทัปปัจจยตาเสมอกันหมด "

พูดง่ายๆ คือ สิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์นี้เป็นเพียงสิ่งที่เราสมมุติขึ้นมาเอง

บางคนอาจแย้งว่า ถ้ามนุษย์เห็นว่าโลกนี้ไม่มีบุญ ไม่มีบาป จะมิพากันทำความชั่วทั้งหมดหรือ  นี่เป็นการจับความไม่ครบเหมือนตาบอดคลำช้าง  ไม่มีบุญ ไม่มีบาป " บอกเราว่า ระวังอย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งสมมุติ  มิได้แปลว่าคุณต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น  เพราะอิทัปปัจจยตา คือการไหลต่อเนื่องของเหตุและผล ( cause-effect ) ทุกการกระทำ ( action ) ย่อมมีผลต่อเนื่อง ( consequence ) เสมอ  และหลายผลต่อเนื่องที่ตามมาก็คือ " กรรมตามสนอง " นั่นเอง

ในโลกยุคที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนขยายตัวจนแทบล้นโลก  ศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือในเรื่องต่างๆ  กระทั่งใช้เป็นเครื่องมือทำสงคราม  จนหลายคนสับสนบทบาทของศาสนา  แต่นั่นมิได้หมายความว่าศาสนาไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป  มันเพียงบอกเราว่า  ศาสนาก็เช่นระบบอื่นๆ ในโลก  จำต้องผ่านการ " รีเอ็นจิเนียริง " ( สังคายนา ) เป็นระยะ  เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย

หากจุดหมายของศาสนายังคงเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ  เราใช้ตาชั่งใดมาวัดว่า  การยอมรับความแตกต่างของเพื่อนมนุษย์  การเคารพความจริง  ความรักธรรมชาติ  การดูแลโลกที่กำลังบาดเจ็บจากมลพิษ  การต่อต้านสงคราม  ความรักสันติภาพ  เหล่านี้ใช้แทนศาสนาไม่ได้  บางทีสิ่งเหล่านี้อาจทำหน้าที่ได้เหมาะสมกว่าบทบาทของศาสนาเมื่อหลายพันปีก่อน  เมื่อครั้งพลเมืองโลกมีเพียงไม่กี่ล้านคน ไม่ได้เชื่อมต่อแนบสนิทกันเช่นปัจจุบัน  และโลกยังไม่ถูกข่มขืนทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์เช่นวันนี้

ร่ม ไม่ว่าจะติดยี่ห้อใดก็ใช้กันฝนได้ทั้งนั้น  แต่ร่มมิใช่เครื่องมือเดียวที่ใช้กันฝน  ซึ่งอาจจะเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์  ถุงพลาสติก หรือวัสดุที่หาได้ในท้องที่นั้นๆ

การประนามคนไร้ศาสนาว่าไร้ศีลธรรม  ก็เท่ากับการลืมบทบาทของศาสนานั่นเอง  ไม่ต่างจากการพร่ำบ่นว่า การทำดีคือการไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ ขณะที่ยังฆ่าสัตว์มากินทุกวัน

สรรพสิ่งคือการเปลี่ยนแปลง  และวิวัฒนาการตามกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา  บทบาทของศาสนาก็เช่นกัน

มองไปในอนาคต  บทบาทของศาสนาเพียงเพื่อแค่ให้มนุษย์อยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสันติอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ  ศาสนาในอนาคต ( อันใกล้ ? ) อาจต้องรวมถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิต ไปจนถึงสิ่งไร้ชีวิตอื่นๆ และจักรวาล

วินทร์ เลียววาริณ
www.winbookclub.com
12 เมษายน 2551


คมคำคนคม

When I do good, I feel good ; when I do bad, I feel bad, and that is my religion.

เมื่อข้าพเจ้าทำดี ข้าพเจ้ารู้สึกดี  เมื่อข้าพเจ้าทำเรื่องแย่ ข้าพเจ้ารู้สึกแย่  และนั่นคือศาสนาของข้าพเจ้า

Abraham Lincoln
อับราแฮม ลินคอล์น
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #74 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 13:53:12 »

ทำไม " น้ำตก " ถึงสวย ?

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา
 
พ่อ : รู้มั้ยลูก  ทำไมน้ำตกถึงสวย ?
ลูก : ก็เพราะมันเป็นน้ำตก ไงคะพ่อ
พ่อ : ไม่ใช่หรอกลูก ที่น้ำตกสวยน่ะ เพราะน้ำตกไม่ยอมเก็บน้ำไว้ในชั้นของตัวเองต่างหาก
ลูก : หมายความว่าไงคะพ่อ ?
พ่อ : ลูกสังเกตไหมล่ะว่า  เวลาที่น้ำตกลงมาจากชั้นหนึ่งแล้ว  มันจะถูกส่งต่อลงไปยังชั้นล่างทันที  เพราะน้ำตกไม่เห็นแก่ตัว  แต่ยอมส่งน้ำที่ตกมาจากชั้นบนต่อกันไปเรื่อยๆ  อย่างนี้จึงทำให้น้ำตกสวย  และมีเสน่ห์ ...ไงล่ะ  ข้อคิดจากเรื่องนี้  อย่าลืมนะลูก
  ถ้าลูกอยากให้ตัวเองเป็นคนที่น่ารัก  ลูกควรจะเป็นอย่างน้ำตก  หากมีสิ่งดี ๆ ตกมาถึงตัวลูก  อย่าเก็บสิ่งดี ๆ นั้นไว้คนเดียว  ลูกต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งปันออกไปให้มากที่สุด  มีก็แต่คนที่ " ให้ " ออกไปเท่านั้นแหละ  จึงจะเป็นคนที่ " ได้รับ " อย่างแท้จริง ...

ที่มา : ธรรมะคลายใจ ... ท่าน ว. วชิรเมธี

บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #75 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2551, 22:56:43 »

รักแต่ละที ไม่เคยมีบังเอิญ

ที่มา ... คิดจากความว่าง เล่ม 4 โดยดังตฤณ

รักที่เกิดจากการสบตาครั้งแรก เป็นรักที่ลึกลับที่สุด และอาจทำให้มนุษย์เจ้าเหตุผลหลายคนจำต้องคิดถึงสิ่งไร้เหตุผลต้นปลาย หรือไม่ก็จำนนให้กับความเชื่อเรื่อง " ต้นเหตุที่ถูกลืม " เช่นอดีตชาติ เพราะความรักชนิดนี้อาจพาไปสู่การร่วมอยู่กินตลอดชีวิต เพียงด้วยความรู้สึกตั้งแต่แรกพบว่า " คนนี้คู่เรา " และพบในนาทีสุดท้ายยามตายจากกันว่า " อย่างนี้ก็มีจริง " น้ำตาอาลัย และความมั่นใจว่าจะได้พบกันอีก คือบทสรุปที่ทำให้รักลึกลับชนิดนี้เป็นที่กระจ่างขึ้น



รักที่เกิดจากการเกื้อกูลกันและกัน เป็นรักที่เริ่มจากความปรองดอง มีความรู้สึกแสนดี อบอุ่น และสุขสบายภายในรัศมีสายตาของอีกฝ่าย อย่างรู้ว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน มีความเสมอกัน รักชนิดนี้เป็นสิ่งมีที่มาที่ไป และชวนให้เห็นว่าความรักหาใช่สิ่งมหัศจรรย์เกินความเข้าใจ ปัญหาก็คือ ชั่วชีวิตคนๆ หนึ่ง อาจไม่พบใครที่เต็มใจให้ความร่วมมือ เกื้อกูลกันมากพอเลยสักครั้งเดียว

รักที่เกิดจากความใกล้ชิด เป็นรักที่อาศัยการอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ใกล้กระแสกาย กระแสใจของอีกฝ่ายแล้ว ไม่รู้สึกขัดแย้ง ไม่เกิดความรังเกียจ หญิงชายที่เข้าข่ายดังกล่าว จะพบว่าเพียงใกล้กาย ธรรมชาติระหว่างเพศก็ทำงานแล้ว ดึงดูดให้อยากประกบติดกันได้แล้ว รักชนิดนี้อาจดูเป็นจริงเป็นจัง และมีตัวตนจับต้องได้ ต่อเมื่อลองพยายามจับต้องให้มั่นมือ จึงรู้ว่าจริงหรือเก๊ แข็งหรือเหลว คงทนหรือละลายเร็วกันแน่

รักที่เกิดจากการคุยถูกคอ เป็นรักที่นับว่ามีพื้นฐานดีระดับหนึ่ง เพราะการคุยกันถูกคอมักหมายถึงการพูดกันรู้เรื่อง รวมทั้งมีเรื่องที่สื่อสารแลกเปลี่ยนกันได้ แต่การพูดคุยมิใช่ทั้งหมดของการอยู่ร่วมกัน หากความแตกต่างด้านอื่นชวนให้ไม่สนุก เกิดความสนุกจากการคุยอย่างเดียว ในระยะยาวจะคุยแล้วสนุกน้อยลงเรื่อยๆ หรือกระทั่งยิ่งคุยยิ่งเป็นทุกข์ อยากเมินหนีออกไปทุกที

รักที่เกิดจากการคุยแบบไม่เคยเจอตัว เป็นรักที่มีเสน่ห์วาบหวาม เพราะอาจไม่ต้องยืนพื้นอยู่บน " โลกความจริง " ใดๆ อาศัยเพียงจินตนาการอันเกิดจากลีลาเจรจาท่าเดียวพอ ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตกลายเป็น " อีกโลกความจริงหนึ่ง " ที่รักชนิดนี้เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่ และอาจพังลงด้วยความหนาวเย็นเพียงเมื่อปรากฏ " ที่สุดของความจริง " ยามเจอตัวกัน น้อยนักที่ความจริงกับเรื่องเหนือจริงในจินตนาการ จะประจบกันได้สนิท

รักที่เกิดจากความเห็นใจ เป็นรักที่น่าสับสน เพราะคนเรามักแยกไม่ออกว่า ‘ความรัก’ กับความ ‘สงสารมาก’ ต่างกันตรงไหน คนบางคนสมควรได้รับการสงสาร ไม่ใช่เพราะเรียกร้องความสงสาร แต่เพราะเหมือนเป็นคนดีตกยาก เหมือนลูกหมาลูกแมวน่ารักที่ตุหรัดตุเหร่หาคนเลี้ยงดู เมื่อตรงมาทางเราแล้วปฏิเสธ ก็เหมือนใจไม้ไส้ระกำจนชวนให้รู้สึกผิดรุนแรง ไม่อาจทนดูดาย รักที่มีแต่ความสงสารและเห็นใจอย่างเดียว อาจจบลงด้วยโศกนาฏกรรมในทางใดทางหนึ่ง ไม่ทางกายก็ทางจิตวิญญาณ เพราะในระยะยาวมนุษย์ทุกคนต้องเห็นใจตัวเองก่อนคนอื่น ไม่อาจทนเสียสละให้กับความน่าสงสารของคนอื่น แล้วปล่อยให้ทั้งชีวิตของตนเต็มไปด้วยความน่าสงสารนานัปการไหว

รักที่เกิดจากความคิดอยากตอบแทน เป็นรักที่มาพร้อมกับความรู้สึกถูกรู้สึกผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตระหนักว่าทางเดียวที่จะตอบแทน คือการมอบความรัก ความพิศวาสใหักับผู้ทรงพระคุณซึ่งมาสนใจตน ภาคหนึ่งของความรู้สึกจะถูกต้อง ในขณะที่อีกภาคจะบาดใจและเต็มไปด้วยความ ‘ผิดปกติ’ รักชนิดนี้เหมือนการหลอกตัวเอง หลอกคนอื่น กระทั่งนานถึงจุดหนึ่งจะรู้ซึ้งว่ารักหลอกเป็นอย่างไร ทรมานใจได้แค่ไหน

รักที่เกิดจากการได้รับความเอาใจใส่ยิ่งยวด เป็นรักที่อีกฝ่ายยอมตนเป็นข้าทาส ปล่อยให้ตนเอาแต่ใจได้ทุกอย่าง รักชนิดนี้เป็นอารมณ์ใจอ่อน และไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่า หรือรู้สึกผิดเกินกว่าจะหลอกใช้โดยไม่ให้อะไรตอบแทน ก้ำกึ่งอยู่ในระหว่างการเห็นค่า กับการไม่เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว รู้เพียงถ้ามีอีกฝ่ายอยู่ ตนจะได้ทุกสิ่งราวเจ้าชายหรือเจ้าหญิง แต่ก็พร้อมจะเย็นชา หรือเมินหน้าหนีเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพบตัวเลือกอื่นที่คุณสมบัติพร้อมกว่ากัน

รักที่เกิดจากความหลงรูปสมบัติภายนอก เป็นรักที่ปล่อยให้อิทธิพลของรูปร่างหน้าตา น้ำเสียง หรือลักษณะทางกายภาพอื่นๆเ ข้าครอบงำ รักชนิดนี้ไม่มีหลักค้ำ ไม่มีฐานยืน เลื่อนลอย และต้องออกแรงจนเลือดตาแทบกระเด็น เพื่อหาเหตุผลสนับสนุนว่าเป็นรักที่สมควรแล้ว ซึ่งเพียงไม่กี่วันก็อาจพบว่ามันไร้เหตุผลสิ้นดีกับการรักษาความรักไว้ เพื่อความเหนื่อยเปล่า

รักที่เกิดจากความติดใจคุณสมบัติเด่น เป็นรักที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูด และความตรึงใจ อาจจะจากการฟังลีลาการพูด หรือการเห็นความสามารถในทางใดทางหนึ่ง หรือการพลอยปีติแรงไปกับความสำเร็จรุ่งเรือง ส่งกลิ่นหอมหวนขจรขจายของอีกฝ่าย รักชนิดนี้มักขาดๆ เกินๆ เต็มไปด้วยก้าวกระโดด แบบกระโดดมาแล้วกระโดดไป ไม่ค่อยยืนอยู่บนความเข้ากันได้ หลายปีผ่านไปอาจต้องตระหนักว่า ความเด่นเป็นแค่เครื่องล่อความสนใจในระยะแรก หาใช่องค์ประกอบแห่งรักในระยะยาวไม่

รักที่เกิดจากการหลงภาพลวงตา เป็นรักที่ยืนอยู่บนมายา ฝ่ายหนึ่งอาจหวังผล จึงสร้างนิสัยน่ารักน่าใคร่ขึ้นมาล่อตาล่อใจให้หลงติด รักชนิดนี้อาจเรียกแรงทะยานได้ขนาดถูกฉุดให้หัวปักหัวปำ ยิ่งถลำลึกลงไปในกับดัก หรือเหยื่อล่อมากขึ้นเพียงใด หูตาก็ยิ่งมืดมัว เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวมากขึ้นเท่านั้น รู้ทั้งรู้อยู่ในส่วนลึกว่าถูกหลอกใช้ แต่ความคิดก็ถูกดึงให้ปักใจศรัทธาในเรื่องหลอก ขอให้ได้บอกตัวเองว่าอีกฝ่ายรักตน แคร์ตนเท่านั้นพอ จะยอมบุกน้ำลุยไฟ หรือกระทั่งตกนรกทั้งเป็นก็ยังไหว

รักที่เกิดจากความเกลียด เป็นรักที่ซับซ้อน อาจเริ่มมาจากความเหนื่อยล้า เคยแค้นมาก จ้องจับผิดมาก ด่ามาก กระทั่งใจผูกอยู่กับอีกฝ่ายอย่างเหนียวแน่น และบีบให้ต้องรู้รายละเอียดของอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องยอมรับข้อดี แล้วเกิดแรงดันของความอยากขออภัย หรืออยากให้อภัย หรืออยากญาติดีกัน นั่นเองพลังความเกลียดหรือความแค้นเก่าๆ จึงแปรตัวเป็นราคะ เพราะไฟโทสะเป็นญาติสนิทกับไฟราคะ ต่างก็เป็นไฟมืดด้วยกัน มีกิจเป็นการเผาผลาญให้ใจเกิดความร้อนรุ่มเหมือนๆกัน เคยเกลียดแรงแค่ไหนก็กลายเป็นราคะแรงแค่นั้น รักชนิดนี้อาจเต็มไปด้วยความไม่ได้อย่างใจ ระหองระแหง กลับไปกลับมาระหว่างเห็นข้อดี และจับผิดเพ่งโทษ

รักยังมีเหตุอีกมาก แต่บางความรักก็ไม่ใช่ความรัก เช่น รักความรวยนั้น เป็นคนละเรื่องกันกับรักคนรวย ความรวยอย่างเดียวไม่มีทางเป็นเหตุแห่ง ‘ความรู้สึกรักคน’ ได้เลย

รักระหว่างหญิงชายจะเกิดจากเหตุอันใด ยืนพื้นอยู่บนบุญบาปแบบไหนก็ตาม ท้ายสุดก็มีฤทธิ์ผูกใจไว้ ไม่ให้ได้เป็นไทในตนเอง จนกว่าใครจะแสวงหา ‘ความรักอิสรภาพทางใจ’ และพบกับรักชนิดนั้นจริง จึงยุติการสร้างเหตุแห่งทุกข์รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งลงเสียได้อย่างถาวร


ถ้ายังไม่มีความรัก

เรารู้แน่ว่าจะต้องทุกข์แบบเหงา

แต่ถ้าจะฝืนมีความรักให้จงได้

เราไม่รู้เลยว่าจะต้องทุกข์แบบไหนแน่
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #76 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2551, 23:00:29 »

รักไร้ตัวตน ... แต่มีน้ำหนัก

บันทึกการเข้า
phraisohn
บักสน
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


บักสนแคมโบ้
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu89 (ปี 2549)
คณะ: วิทยาศาสตร์
กระทู้: 9,557

เว็บไซต์
« ตอบ #77 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2551, 23:03:00 »

พี่เจี๊ยบนำเรื่องราวดีๆมาฝากเยอะมากครับ ขอบคุณมากครับผม กำลังทยอยอ่านคับ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #78 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2551, 09:05:27 »

ด้วยความยินดีครับ ...

นี่แหละความรักใน " ชีวิตคู่ "

พี่วิวิธ - วิศวะ 07... ส่งมา



มีชาย-หญิงคู่นึงแต่งงานอยู่ด้วยกันกระทั่งถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ... ฝ่ายหญิงมีกล่องเก็บของอยู่ใบหนึ่งวางในตู้เสื้อผ้า และกำชับแกมขอร้องสามีว่าอย่าได้เปิดดู หรือถามใดใดทั้งสิ้น ฝ่ายสามีก็รู้สึกโกรธ ทำไมต้องมีความลับกันด้วย แต่ก้อไม่เคยปริปากถามเรื่องกล่องใบนั้นอีกเลย

วันเวลาผ่านไปหลายสิบปี อยู่มาวันหนึ่งฝ่ายหญิงป่วยมาก หมอลงความเห็นว่าเธอคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นาน เธอจึงวานให้สามีช่วยไปหยิบกล่องใบนั้นจากตู้เสื้อผ้า หลังจากที่ฝ่ายชายกลับมาพร้อมกับยื่นกล่องให้เธอ เธอเปิดฝากล่องขึ้นมาพบว่ามี ตุ๊กตาถักไหมพรม กับเงินอีกจำนวนหนึ่ง ( ประมาณว่า 1,000,000 บาท ) บรรจุอยู่ข้างใน ฝ่ายหญิงเริ่มเอ่ย " ในวันแต่งงานของเรา คุณย่าของฉันได้ให้บทเรียนสอนใจ ท่านว่าการมีครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
หนักนิดเบาหน่อยต้องให้อภัย และอดทน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไว้เนื้อเชื่อใจ มีความรักให้แก่กัน และที่สำคัญคือมีความเข้าใจกัน "

เธอหยุดพูด พร้อมกับยื่นมืออันแทบจะไร้เรี่ยวแรงลูบตุ๊กตาไหมพรมไปมา คุณย่าได้แนะเคล็ดลับให้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ความรู้สึกไม่พอใจเกิดขึ้น หรือรู้สึกโกรธมากๆ ขึ้นมา ให้ถักตุ๊กตาไหมพรมเก็บไว้ 1 ตัวเสมอ ฝ่ายชายเหลือบมองเข้าไปในกล่อง มีตุ๊กตาไหมพรม 2 ตัววางอยู่ เขาเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อหลบหยดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ เขารู้สึกซาบซึ้งน้ำใจของภรรยามีต่อเขาเป็นยิ่งนัก ชีวิตสมรสที่ยาวนานกว่า 50 ปี มีตุ๊กตาไหมพรมเพียง 2 ตัวเท่านั้น แทนจำนวนครั้งที่ภรรยาได้โกรธเคืองเขา แค่สองครั้งเองเหรอ

ณ ขณะนั้น เหมือนถูกกระแสน้ำโหมพัดเข้ามาตรงแผ่นหลัง และมันกระแทกเสียงเสียดแทงเข้ามาถึงใจกลางของหัวใจ มันช่างเจ็ดปวดอะไรเช่นนี้ พร้อมกับปาดคราบน้ำตาแล้ว หันกลับมาหาเธออีกครั้ง " ผมขอบคุณมากสำหรับความดีที่คุณมีแต่ผม แม้ผมจะทำให้คุณต้องร้องไห้มาตลอด ผมไม่ดีเอง ผมเข้าใจแล้ว ผมขอโทษ แล้วเขาก็ประคองแกล้มภรรยาทั้งสองข้าง ซึ่งตอนนี้มีแต่น้ำตาไหลลงมาเป็นทาง เขาบรรจงจูบเธอตรงหน้าผาก แล้วดึงเธอขึ้นมากอด พร้อมกระซิบข้างหูเธอว่า " ผมรักคุณนะ "

ฝ่ายภรรยา ตอนนี้มีแต่เสียงสะอื้นพร้อมกับน้ำตาไหลมากขึ้น แต่ถ้ามองให้ดี เธอแอบอมยิ้ม ดีใจ " นี่มันนานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้กอดเราแบบนี้ มันช่างนานเหลือเกิน นานจนไม่รู้ว่าความอบอุ่นของคนที่เรารัก มันช่างอบอุ่นอะไรเช่นนี้ " เธอปาดน้ำตาแล้วพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ ... " คุณคงแปลกใจกับเงินก้อนนี้สินะ ฝ่ายหญิงหยิบมันขึ้นมาวางไว้บนมือทั้งสองข้าง แล้วพูดต่อว่า นี่มันเป็นเงินที่ได้มาจากการทยอยขายตุ๊กตาไปทีละตัว
ตัวละบาท ค่ะ "
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #79 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2551, 20:01:50 »

คำพูดดี ๆ ที่อยากมอบให้ ... by วรินทร์ เลียววาริณ

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07 ... ส่งมา















บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #80 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2551, 20:06:33 »

อ้าว !  คนโพสต์เขียนชื่อ " กวี " เกินมา 1 ตัวอักษรค่ะ  ที่จริงคือ " วินทร์ เลียววาริณ " นะคะ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #81 เมื่อ: 04 มกราคม 2552, 23:39:19 »

The Wooden Bowl

รวิวรรณ - ถาปัด 16 ... ส่งมา

I guarantee you will remember the tale of the Wooden Bowl tomorrow, a week from now, a month from now, a year from now.
 
A frail old man went to live with his son, daughter-in-law, and four-year-old grandson. The old man's hands trembled, his eyesight was blurred, and his step faltered.

The family ate together at the table. But the elderly grandfather's shaky hands and failing sight made eating difficult. Peas rolled off his spoon onto the floor. When he grasped the glass, milk spilled on the table cloth. The son and daughter-in-law became irritated with the mess.
" We must do something about father," said the son.
" I've had enough of his spilled milk, noisy eating, and food on the floor. "

So the husband and wife set a small table in the corner. There, Grandfather ate alone while the rest of the family enjoyed dinner. Since Grandfather had broken a dish or two, his food was served in a wooden bowl. When the family glanced in Grandfather's direction, sometimes he had a tear in his eye as he sat alone. Still, the only words the couple had for him were sharp admonitions when he dropped a fork or spilled food. The four-year-old watched it all in silence.

One evening before supper, the father noticed his son playing with wood scraps on the floor. He asked the child sweetly, " What are you making ? " Just as sweetly, the boy responded,
" Oh, I am making a little bowl for you and Mama to eat your food in when I grow up. " The four-year-old smiled and  went back to work. The words so struck the parents so that they were speechless. Then tears started to stream down their cheeks. Though no word was spoken, both knew what must be done.

That evening the husband took Grandfather's hand and gently led him back to the family table. For the remainder of his days he ate every meal with the family. And for some reason, neither husband nor wife seemed to care any longer when a fork was dropped, milk spilled, or the tablecloth soiled.


On a positive note, I've learned that, no matter what happens, how bad it seems today, life does go on, and it will be better tomorrow.

I've learned that you can tell a lot about a person by the way he/she handles four things : a rainy day, the elderly, lost luggage, and tangled Christmas tree lights.

I've learned that, regardless of your relationship with your parents, you'll miss them when they're gone from your life.

I've learned that making a " living " is not the same thing as making a " life "

I've learned that life sometimes gives you a second chance.

I've learned that you shouldn't go through life with a catcher's mitt on both hands. You need to be able to throw something back.

I've learned that if you pursue happiness, it will elude you. But, if you focus on your family, your friends, the needs of others, your work and doing the very best you can, happiness will find you.

I've learned that whenever I decide something with an open heart, I usually make the right decision.

I've learned that even when I have pains, I don't have to be one.

I've learned that every day, you should reach out and touch someone. People love that human touch : holding hands, a warm hug, or just a friendly pat on the back.

I've learned that I still have a lot to learn.


บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #82 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 03:11:16 »

ความสุข ๒ ชั้น ( ธรรมะเดลิเวอรี่ )

พรชัย - นิติ 16 ... ส่งมา



โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย


เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
ช้า ก็หาว่าอืดอาด
โง่ ก็ถูกตวาด
พอฉลาด ก็ถูกระแวง
ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด
เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน


ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน  ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มีความสุข  ก็มีปัจจัยมากมาย  เช่น  ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ
 
โดยจะว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือนกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ

อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก  เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า

' ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ' ( แล้วไป )

อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข ( แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก )  ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า

 
ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ


เพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน !  ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น

อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก ( ป.อ.ประยุตฺโต ) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า

งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน  ผลตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง

หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย

เจริญพร ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #83 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 03:39:34 »

Good Story : หลงลืม‏




















      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #84 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2552, 09:38:28 »

วิธีดับทุกข์

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา









      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #85 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2552, 20:14:31 »

ชีวิตที่พอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก : วอร์เรน บัพเฟตต์ ( Warren Buffet )



มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์วอร์เรน บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก ( รองจากบิล เกตส์ )  ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศลถึง 31,000 ล้านดอลล่าร์ ( เป็นเงินไทยก็ราวๆ 1,000,000,000,000 อ่านว่า 1 ล้าน ล้านบาท  โอ้แม่เจ้า ! )
 
ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา :

 
1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป !
 
2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์

3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม

4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน
 
5) เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก
 
6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท เขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปี เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ
 
7) เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ
   กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย
   กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1
 
Cool เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ  การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน  คือทำข้าวโพดคั่วกิน และดูโทรทัศน์
 
9) บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน  บิล เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบบัฟเฟตต์จริงๆ  ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง  และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน บัพเฟตต์
 
10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน
 
11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า : จงหลีกห่างจากบัตรเครดิต และลงทุนในตัวคุณเอง

 
ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย ๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง

มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม 1 มื้อ เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #86 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2552, 14:04:24 »

" วิทยาทาน กับ ธรรมทาน แตกต่างกันอย่างไร "  By Dungtrin

ถาม - วิทยาทานกับธรรมทานต่างกันอย่างไรครับ ?  ขอตัวอย่างที่ทำให้เห็นผลต่างชัดๆในชาตินี้  ไม่ต้องรอชาติหน้าด้วย

ทานคือการให้ การแบ่งปัน การเสียสละส่วนของตนให้เป็นสิทธิ์ของคนอื่น โดยมุ่งหวังประโยชน์สุขหรือประโยชน์ใช้สอยของเขา

เมื่อคุณคิดให้อะไรเป็นทาน  ทานก็ได้ชื่อตามชื่อของสิ่งนั้น เช่น ให้ทรัพย์แก่ผู้อื่น ก็เรียกว่าทรัพยทาน บริจาคอวัยวะแก่ผู้อื่น ก็เรียกว่าอวัยวทาน ( แม้ไปลงชื่อไว้เฉยๆว่าหลังคุณตายค่อยเอาไปใช้ ก็จัดเป็นอวัยวทานแล้วด้วยเจตนาที่ตั้งใจจะยกให้ตามนั้นจริงๆ )

การให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้อื่น เพื่อให้เขามีความสามารถประกอบกิจกรรมแบบโลกๆ เช่น สอนคณิตศาสตร์ สอนกฎหมาย สอนเล่นเปียโน ล้วนแล้วแต่เป็น ‘ วิทยาทาน ’ ( วิทยาแปลว่าความรู้ )

แต่ถ้าให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้อื่น เพื่อให้เขาคิดได้ เพื่อให้เขารู้จักบาปบุญคุณโทษ สำนึกผิด ละอายต่อบาป และเกิดแรงบันดาลใจในการทำดี ถางทางให้ตัวเองพ้นทุกข์ระยะสั้น พ้นทุกข์ระยะยาว และพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาดถาวร เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็น ‘ ธรรมทาน ’ ( ธรรมในที่นี้หมายเอาสัจจะความจริง ความดีงาม ความถูกต้อง และความประพฤติชอบ )

เมื่อทราบนิยามของทานทั้งสองชนิดแล้ว  ผมก็จะกล่าวแยกให้เห็นถึงความต่างในเชิงอานิสงส์  ดังนี้

๑) วิทยาทาน ให้ผลคับแคบ กล่าวคือจะทำให้เกิดความฉลาดเฉพาะเรื่อง หรือมีความชอบใจเฉพาะด้าน เช่น ในชาตินี้ยิ่งสอนเรื่องเครื่องจักรกลมากขึ้นเท่าไร ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องจักรกลก็ยิ่งแม่นขึ้นเท่านั้น ใครถามอะไรตอบได้หมด จะศึกษาวิทยาการจักรกลชั้นสูงก็รู้สึกเหมือนขนม แต่พอให้เรียนภาษาต่างประเทศกลับอึ้ง ให้พูดกับฝรั่งอาจใบ้กิน ความรู้ความฉลาดที่เคยมีหายไปหมด เหลือแต่ความรู้สึกทึบๆทื่อๆ นั่นเพราะอานิสงส์ของวิทยาทานเฉพาะด้านไม่ได้ประกันว่าจะเกิดแสงสว่างกว้างรอบ วิทยาทานเพียงกำจัดความทึบบางส่วน และจุดแสงปัญญาขึ้นมาบางด้านเท่านั้น

ผู้ที่ให้วิทยาเป็นทานด้วยความกระตือรือร้นอยากสร้างคนไปตลอดชีวิต จะเกิดใหม่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่บีบให้ชอบใจในเรื่องเดิมๆ กับทั้งมีความสามารถพิเศษเหนือคนวัยเดียวกัน ดังที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘พรสวรรค์’ เพราะสำคัญว่าสวรรค์เบื้องบนประทานความสามารถมาฟรีๆกับใครบางคนนั่นเอง


๒) ธรรมทาน จะให้ผลกว้างขวาง กล่าวคือจะทำให้เกิดความฉลาดทั่วไป ไม่จำกัดว่าเป็นไปในทางใดทางหนึ่งโดยเฉพาะ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะธรรมทานมีอำนาจกำจัดหมอกมัวคลุมจิตของผู้อื่น จึงย้อนมากำจัดหมอกมัวคลุมจิตของตนเอง และธรรมทานที่จุดแสงปัญญาให้ผู้อื่น ย่อมย้อนมาเพิ่มความสว่างไสวให้ปัญญาตนเองด้วย พอจิตฉลาด ปราศจากหมอกมัว ก็คิดอ่านได้แจ่มใสทะลุปรุโปร่งไปทุกเรื่องเป็นธรรมดา

ผู้ที่ให้ธรรมะเป็นทานด้วยความปรารถนาจะให้ผู้อื่นบรรเทาทุกข์หรือพ้นทุกข์พ้นร้อน ไม่หลงเข้ารกเข้าพง จะมีความฉลาดในการเอาตนเองออกจากทุกข์ทางใจ และฉลาดในการพัฒนาตนเองทุกๆด้านไปจนกว่าจะเข้าถึงนิพพาน

เท่าที่เห็นกับตามาจริงๆ ความเจริญรุ่งเรืองของผู้ให้ธรรมะเป็นทานจะยิ่งใหญ่พิสดารเหลือเชื่อ จาระไนให้ละเอียดแล้วเหมือนโกหกกัน  ฉะนั้นผมขอยกเอาเฉพาะประเด็นสำคัญ  ที่ช่วยให้คุณเกิดข้อสังเกตในการทดลองด้วยตนเอง  ดังนี้

๑) หากเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจธรรมะอย่างถูกต้องเสียก่อน ธรรมทานของคุณจะถูกฝาถูกตัว คือถูกกาล ถูกบุคคล อานิสงส์ย่อมเป็นผู้สามารถจับจุดถูกได้ทุกเรื่อง เมื่อคุณสามารถจับจุดได้ถูกก็ทำให้ไม่สับสน เมื่อไม่สับสนก็มีสมาธิอยู่กับเรื่องตรงหน้า เมื่อมีสมาธิอยู่กับเรื่องตรงหน้าก็หูตากว้างขวาง เห็นสถานการณ์ตามจริง เห็นทางออกให้กับทุกทางตัน หรือเกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆให้กับวิธีล้าสมัยทั้งหลาย

๒) หากให้ธรรมทานโดยใจไม่เล็งโลภอยากได้สิ่งตอบแทน มีแต่ความปรารถนาประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง อานิสงส์คือลดความมืดแห่งความตระหนี่และความโลภลง แล้วเพิ่มแสงสว่างแห่งความสละออกและความเอื้อเฟื้อ เมื่อใดคุณเสียสละและเอื้อเฟื้อ เมื่อนั้นใจคุณจะเปิดกว้าง เมื่อใดใจคุณเปิดกว้าง คุณจะไม่หมกมุ่นปิดประตูรับรู้สิ่งใหม่ อะไรเข้ามาก็รับได้หมด ทำความรู้จักคุ้นเคยได้หมด

๓) หากคุณทุ่มแรงกายแรงใจด้วยความแน่วแน่ ในอันที่จะทำให้ผู้อื่นสนใจธรรมะ เข้าใจธรรมะ ตลอดจนยอมรับธรรมะมาเป็นแนวดำเนินชีวิตและแนวแก้ปัญหาชีวิต อานิสงส์คือคุณจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการใช้ปัญญาและความคิดอ่าน เมื่อคุณรู้สึกว่าตนเองมีบุญหนุนให้คิดสำเร็จทำสำเร็จ ก็ย่อมเชื่อมั่นในสติปัญญาว่าจะคลี่คลายเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ หรือกำจัดอุปสรรคให้เป็นทางโล่งได้เสมอ หรือสร้างสิ่งใหม่ที่ดีกว่าขึ้นมาแทนสิ่งเก่าที่เสื่อมแล้วได้เสมอ

สำหรับข้อ ๓ นั้น ชัดเจนว่ามีความแตกต่างกับวิทยาทานเป็นพิเศษ เพราะการให้วิทยาทานนั้น บางเรื่องแทนที่จะให้ทางออกกับชีวิตคนอื่น กลับกลายเป็นสร้างปมกับชีวิตเขาก็มี เช่น ถ้าคุณสอนให้เขามีความสามารถยิงปืนได้แม่น ก็คงไม่หวังให้เขาใช้ความรู้นั้นไปเจรจากับสามีหรือภรรยาที่บ้านด้วยสันติวิธีเป็นแน่

เมื่อกล่าวถึงด้านที่ควรชื่นชม ก็ควรกล่าวถึงด้านที่ควรระมัดระวังไว้ให้สมบูรณ์ เพราะตามธรรมชาติแล้ว สิ่งใดมีคุณใหญ่ เมื่อพลิกกลับด้านก็ย่อมให้โทษหนักเช่นกัน


คุณเคยสงสัยไหม ทำไมบางคนทั้งโง่ทั้งฉลาดปนเปราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน ?  ทำไมบางคนเงียบๆ  ดูหน้าตาท่าทางฉลาด  แต่พูดประโยคเดียวรู้เลยว่าสมองกลวง ?  ทำไมบางคนคิดอย่างอัจฉริยะ  แต่กลับลงมือทำเหมือนคนปัญญาอ่อน ? ฯลฯ  การมีอยู่จริงของคนเหล่านี้แหละ คือผลของกรรมอันยอกย้อนหรือขัดแย้งกันเป็นตรงข้าม

ขอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยๆ พอให้เห็นภาพนะครับ


๑) ครูบางคนให้วิทยาทานเต็มกำลัง นักเรียนได้รับความรู้และเกิดความฉลาดคิดฉลาดทำมากมาย แต่ระหว่างสอนอยู่หน้าชั้น ครูคนนั้นก็อาจให้คำแนะนำในทางที่ผิดบ่อยๆ เช่น ส่งเสริมนักเรียนไปมั่วอบายมุข สนับสนุนการมีฟรีเซ็กซ์ตั้งแต่วัยเรียน ซึ่งนักเรียนก็หลงเชื่อ เพราะอาศัยอำนาจเลื่อมใสในครูผู้เก่งกล้า

ครูชนิดนี้นับว่าให้วิทยาทานจนประกันความฉลาดคิด ฉลาดเรียนรู้ในชาติถัดมา แต่ขณะเดียวกันก็ประกันความโง่ในการใช้ชีวิต หรือในการตัดสินใจอันมีผลสำคัญกับความสุขความทุกข์


๒) อาจารย์บางท่านถ่ายทอดได้ดี ฟังเข้าใจง่าย แต่ไม่ค่อยคำนึงว่าเนื้อหาที่ตนสอนไปนั้นตรงหรือไม่ตรง ใช่หรือไม่ใช่กันแน่ บางทีก็เกิดจากความขี้เกียจค้นคว้า บางทีก็เกิดจากการหลงลืมแล้วไม่พยายามตรวจสอบให้แน่ใจ บางทีก็เกิดจากอคติส่วนตัว สรุปคือเอาง่ายหรือเอาแต่ใจตัวเข้าว่า ไม่สนใจว่านักศึกษาจะรับการถ่ายทอดไปผิดๆอย่างไร

อาจารย์แบบนี้นับว่าสร้างอัธยาศัยทางการสอน ผลย่อมเป็นคนพูดเก่ง พูดชัด พูดเข้าใจง่ายด้วยวิธีที่ชาญฉลาด ทว่าเมื่อใช้ความฉลาดในการออกแบบหรือคิดสร้างสรรค์ใดๆ ก็มักเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด อาจหยุมหยิม หรืออาจใหญ่โต ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับที่เคยสอนแบบไม่รอบคอบนั้น มีผลให้เกิดความเข้าใจผิดร้ายแรงแค่ไหน

๓) ผู้เข้าใจธรรมะมักอยากให้ใครๆเห็นว่าตนมีภูมิรู้ภูมิธรรม มีความรอบรู้ และเป็นผู้อยู่บนทางถูก ทางตรง ทางประเสริฐ พูดง่ายๆว่าอยากเป็นที่ยอมรับนับถือ ไม่เป็นผู้มีความผิดติดตัว คนประเภทนี้จึงอาจอยากแสดงธรรมเอาหน้า สอนคนเพื่อให้ได้หน้า และจะยอมเสียหน้าไม่ได้ด้วยประการใดๆ เช่น สอนผิดแล้วคนอื่นทักท้วงก็โมโหและพยายามโจมตีกลับ หรือพยายามเถียงข้างๆคูๆหน้าดำหน้าแดง ยอมยืนกรานว่าพระพุทธเจ้าพูดผิดดีกว่าตนกล่าวผิด สรุปคือไม่ได้ให้ธรรมะเป็นทานด้วยความปรารถนาประโยชน์ต่อผู้อื่น จะเอาดีเข้าตัวท่าเดียว

บุคคลเยี่ยงนี้นับว่าเป็นผู้ให้ธรรมเป็นทานด้วยจิตที่เจือความโลภและความโกรธ เมื่อน้ำหนักของเหตุเอียงไปในข้างกิเลสแล้ว น้ำหนักของผลก็ย่อมออกไปในทางร้ายมากกว่าทางดีไปด้วย เช่นผิวนอกอาจเหมือนฉลาด ด้วยผลแห่งบุญที่ชอบสอนธรรมะ แต่เอาเข้าจริงพอใครให้แสดงความรู้ความสามารถ ก็กลับไปไม่รอด เข้าตำราท่าดีทีเหลว เผลอๆกลายเป็นตัวตลกอวดขี้เท่อให้คนหัวเราะเยาะกันใหญ่ อันนี้ก็ด้วยผลแห่งบาปที่ปล่อยให้ความโลภและความโกรธล้ำหน้าธรรมะนั่นเอง


๔) นักเทศน์บางท่านมีศิลปะการพูดดีเลิศ คำสอนอาจเหนี่ยวนำให้คนอื่นอยากคิดดี อยากพูดดี และอยากทำดี แต่ตัวของนักเทศน์เองกลับไม่ทำในสิ่งที่ตนสอน เช่น พร่ำบอกว่าการโกหกพกลมเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ท่องตำราให้คนฟังเป็นคุ้งเป็นแควว่าผลของการมุสาจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ปกติตนเองสามารถปั้นน้ำเป็นตัวได้โดยปราศจากความละอาย ทำไปทำมาพวกนี้จะรู้สึกเหมือนหลอกคนอื่นได้สำเร็จ และสำคัญผิดว่าตนยิ่งใหญ่เหนือใครๆ หรือกระทั่งเหนือกรรมวิบาก เพราะไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ตนสั่งให้คนอื่นทำ

นักเทศน์ประเภทนี้นับว่าตีสองหน้า ให้ธรรมทานด้วยวาทะแบบดาราขึ้นเวที หาใช่คิดให้ด้วยใจจริง ในภายหลังใจของเขาจึงเข้าถึงธรรมยาก เห็นตามจริงยาก หรือแม้จะทำความเข้าใจตนเองก็ยังยาก ผลที่เกิดในชาติถัดไปคืออาจเป็นพวกฉลาดล้ำทำงานไม่พลาด โดยมีข้อแม้ว่าผลประโยชน์ต้องตกอยู่กับผู้อื่น แต่เมื่อคิดทำเพื่อเอาประโยชน์เข้าตัวเองแล้วล่ะก็ จะกลับโง่ลงถนัดใจ คิดผิดตัดสินใจพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากนั้นแม้ปราดเปรื่องเรื่องงานปานใด ก็อาจทึบตันเมื่อเผชิญกับปัญหาส่วนตัว ที่สำคัญคือหูเบา โดนต้มตุ๋นง่าย  ใครๆเห็นหน้าแล้ว  อยากลองว่าจะทันคน หรือหัวอ่อน


กล่าวสรุปก็คือ  แค่เป็นครูยืนอยู่หน้าชั้นเรียนไม่พอ ยังมี ‘ รายละเอียดความเป็นครู ’ ของแต่ละคนอีกมากมายที่จะถูกนำมาเป็นตัวชี้ ว่าใครจะได้รับอานิสงส์จากการให้วิทยาทานและธรรมทานเพียงใด

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #87 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2552, 18:58:36 »

ปล่อยสัตว์อย่างไรให้ได้บุญ ... โดย ท่าน ว. วชิรเมธี

Poomping Praison - ส่งมา

การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์  ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่  เราจะต้องทำด้วยจิตมุ่งเป็นกุศลจริง ๆ  หมายความว่าเราอยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลสัตว์จริงๆ  แต่ว่าถ้าเราเอาสัตว์มาปล่อย  แล้วเราก็อธิษฐานว่า " สาธุ  ขอให้การปล่อยนี้นะทำให้ฉันอายุยืนหน่อยเถอะ  ขอให้ถูกเลขหน่อยเถอะ  ขอให้หายซวยหน่อยเถอะ " ... สิ่งนี้ถือว่าไม่เข้าเกณฑ์  เพราะว่าเจตนาไม่เป็นกุศล

เจตนาเป็นกุศลก็หมายความว่า  เราเห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก  แล้วต้องการจะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก  โดยที่ไม่ได้ร้องผลตอบแทนอะไรเลย  เมื่อเจตนาเราเป็นกุศลมันจึงจะเป็นบุญ  แต่ถ้าเรามีเจตนาเคลือบแฝง  เช่น  ปล่อยเขาเพื่ออยากให้เราดีขึ้น  เพื่ออยากให้เราหายทุกข์หายโศก  หายซวย  อย่างนี้มันไม่ใช่การทำบุญ  แต่เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง  เพราะเจตนาของเราจริง ๆ เราไม่ได้ต้องการช่วยเขาหรอกนะ  ต้องการช่วยตัวเองต่างหาก  แต่ยืมเขามาเป็นเครื่องมือ

ถ้าท่านเมตตาจริง ๆ นะ  ปล่อยให้นกอยู่บนฟ้า  ปล่อยให้ปลาอยู่ในน้ำ  นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด  ปล่อยให้สัตว์ได้อยู่อย่างสัตว์  นั่นแหละคือการปล่อยนก ปล่อยปลา ที่แท้จริง.
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #88 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2552, 23:47:19 »

หากหัวใจคล้ายห้องว่าง โดย ท่าน ว. วชิรเมธี

Poomping Praison - ส่งมา

       คำว่า “ ชีวิต ” ประกอบขึ้นมาจาก “ กาย ” กับ “ ใจ ” เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ รูป ” กับ “ นาม ” องค์ประกอบทั้งสองของชีวิตนี้  “ ใจ ” มีความสำคัญมากกว่า “ กาย ” เพราะ “ ใจ ” เป็นอย่างไร “ กาย ” จะเป็นอย่างนั้น

       ความสำคัญของใจที่มีผลเหนือกายนั้นมีตัวอย่างมากมาย  อภิปรายกันไม่รู้จบ  เช่น  วันหนึ่งเมื่อมีนักข่าวสัมภาษณ์ว่า ไทเกอร์ วู้ด มีเคล็ดลับในการตีกอล์ฟอย่างไร ?  จึงตีได้แม่นเหมือนจับวางทุกครั้ง  เขาตอบสั้นๆ ว่า  “ ผมจินตนาการเห็นลูกกอล์ฟ ลอยละลิ่วลงหลุม ก่อนที่ผมจะเริ่มตีมันเสียอีก ” ... คำตอบของนักกอล์ฟอัจฉริยะสะท้อนว่า ใจของเขานั้นไม่ได้สั่งได้เฉพาะกายคือมือของเขาเท่านั้น  แม้แต้ไม้ตีกอล์ฟเอง ก็หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา  เข้าทำนอง “ กระบี่อยู่ที่ใจ ใจอยู่ในกระบี่ ” โดยแท้

       ครั้งหนึ่งมีการทดลองกันในทางจิตวิทยาว่า ใจสำคัญต่อกายจริงหรือไม่ นักจิตวิทยาร่วมมือกับนายแพทย์ท่านหนึ่ง  ไปตรวจร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักถึงโรงยิม เมื่อไปถึงนายแพทย์ก็ตรวจวัดร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักคนหนึ่ง ซึ่งมีร่างกายที่แข็งแรงมาก เขากำลังฝึกยกน้ำหนักอยู่พอดี  เมื่อไปถึงนายแพทย์ใช้ปรอทวัดไข้อยู่สักพักหนึ่ง  รอไม่กี่นาที  ท่านก็รายงานด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า นักกีฬาคนนี้กำลังมีปัญหาใหญ่  เพราะตรวจพบ “ บางอย่าง ” ในร่างกาย  ขอให้งดการฝึกซ้อมเอาไว้ก่อน  พอนายแพทย์พูดจบ นักกีฬาร่างล่ำบึ้ก  มีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขายกน้ำหนักต่อไปไม่ไหว  ยกอย่างไรก็เป็นที่พอใจ  อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด เขาจึงขออนุญาตลากลับไปพักหลายวัน  ต่อมานายแพทย์และนักจิตวิทยา จึงขอโทษนักกีฬาคนนั้นพร้อมทั้งบอกความจริงว่า ผลการตรวจสุขภาพไม่เป็นอันตรายอย่างที่เป็นกังวลสักนิด ที่แจ้งผลไปก่อนหน้านั้น เป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งทั้งครูฝึกนักจิตวิทยา และนายแพทย์ร่วมมือกันและรู้กันมาแต่ต้นอยู่แล้ว  ทันทีที่ทราบผลว่า ตนไม่เป็นอะไร วันรุ่งขึ้นนักกีฬาคนนั้นก็มาฝึกซ้อมต่อ และคราวนี้เขาสดชื่นรื่นเริงอย่างเห็นได้ชัด

        การทดลองคราวนี้  ก็สะท้อนหลักการที่ว่า “ ใจเป็นอย่างไร ร่างกายเป็นอย่างนั้น ” จริงๆ

        ความจริง ในชีวิตของคนเรานั้น  หากสังเกตให้ดีเราจะพบว่า พฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงผลออกมาทางกายนั้น ล้วนได้รับอิทธิพลของใจทั้งสิ้น

        คนที่มีสีหน้าสดชื่น ผ่องใส ใจเย็นโดยธรรมชาติ ( ไม่ใช่ใสเพราะฝีมือหมอ )   ก็เพราะลึกๆ แล้ว  เขาไม่มีความเครียดเจือปนอยู่ในใจ   คนที่หงุดหงิดงุ่นง่าน ก็เพราะในใจเขา  เต็มไปด้วยความกังวล  คนที่มีพฤติกรรมฉ้อฉล คอรัปชั่น ก็เพราะใจเขามี “ ไถยจิต ” ซึ่งแปลว่า “ จิตที่มีธาตุแห่งความเป็นหัวขโมย ” แฝงอยู่  คนที่สู้ชีวิต  ก็เพราะใจเขาเปี่ยมด้วย “ ปรักกมธาตุ ” ซึ่งแปลว่า “ ใจนักสู้ ” อยู่ข้างใน  ส่วนคนที่เต็มไปด้วยความอิจฉาตาร้อน  ก็เพราะข้างในของเขา หมักหมมอยู่ด้วยไฟริษยานั่นเอง

         นอกเป็นอย่างไร  ก็สะท้อนว่าใจเป็นอย่างนั้น

         กาย จึงเป็นเหมือน เงาสะท้อนของใจ

         ใจของเรานั้น  ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้นสถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที  เป็นต้นว่า  เรามีห้องว่างเปล่าอยู่ห้องหนึ่ง  เมื่อ - -


            เราใส่น้ำเข้าไป                            ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ

            เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป               ก็จะกลายเป็นห้องพระ

            เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป    ก็จะกลายเป็นห้องครัว

            เราใส่เครื่องนอนเข้าไป                 ก็จะกลายเป็นห้องนอน

            เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป                  ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก

            เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป             ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี

            ห้องแห่งหัวใจของเรา ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ  ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน

            เราใส่ความเมตตาเข้าไป              ก็จะกลายเป็นคนใจดี

            เราใส่ธรรมะเข้าไป                       ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ

            เราใส่ความโกรธเข้าไป                 ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน

            เราใส่ความเลวเข้าไป                   ก็จะกลายเป็นคนใจทราม

            เราใส่ความกลัวเข้าไป                  ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ

            เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป            ก็จะกลายเป็นคนใจสู้

            เราใส่ความขาดสติเข้าไป             ก็จะกลายเป็นคนใจลอย


            เห็นด้วยกับผู้เขียนหรือไม่ว่า  ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้

            พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า
 
            “ ใจเป็นนาย  ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์.. .” หรือ บางทีก็ตรัสว่า “จิตฺเตน  นียติ   โลโก ” แปลว่า “ โลกหมุนไปตามใจสั่งการ ”  โลกในที่นี้ หมายถึง  ชีวิตของเรานั่นเอง  โลกคือชีวิตจะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น

            ใจของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า  เราบรรจุอะไรลงไป  ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น  ทุกวันนี้  เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า  เราบรรจุอะไรลงไปในห้องแห่งหัวใจของเราบ้าง   ความรู้  ความงมงาย  ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความโลภ  ความดี ความชั่ว ความริษยา ความหน้าด้าน  ความสะอาด สว่าง  สงบ  หรือความตื่นรู้


            ชีวิตจะเป็นอย่างไร  รุ่งโรจน์หรือร่วงโรย  ขึ้นสูงหรือลงต่ำ  สำคัญที่เราบรรจุอะไรลงไปในใจของเราเอง !
 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #89 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2552, 00:22:49 »

ความงามของความว่าง โดย ท่าน ว. วชิรเมธี

Poomping Praison - ส่งมา



“ ความว่าง ” แตกต่างจาก “ ความมี ”

       ความว่าง คือ ภาวะปลอดโปร่งไร้ตัวตน เป็นสูญญากาศ
 
       ความมี คือ ภาวะอัดแน่นเต็ม ไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับบรรจุอะไรได้อีก
 
       แม้ “ ความว่าง ” และ “ ความมี ” แตกต่างกัน แต่ก็อาศัยกันและกันอย่างแยกไม่ออก เพราะหากปราศจากความว่างก็เกิดความมีไม่ได้ หรือความมีจำดำรงอยู่โดยปราศจากความว่างก็ไม่ได้ 
 
       แก้วบรรจุน้ำได้เพราะข้างในนั้นว่างเปล่า ถนนมีรถวิ่งได้เพราะท้องถนนว่าง  โบสถ์วิหาร อาคารเรือนมีคนอาศัยอยู่ได้เพราะมีห้องโถงอันว่างโล่งในอากาศมีความว่าง นก ผีเสื้อ แมลง หรือแม้แต่อากาศยานจึงโบยบินได้อย่างเสรี  “ ความว่าง ” จึงนับว่ามีคุณต่อ “ ความมี”  อย่างสูง  และความมีก็ขับเน้นให้คุณค่าของความว่างนั้นให้โดดเด่นขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

       มหากวีคาลิล ยิบารน เคยนิพนธ์ไว้ว่า เสาของโบสถ์วิหารนั้นไม่ได้อยู่ชิดกัน  แต่เพราะการอยู่ห่างกันนั่นเอง จึงสามารถรองรับตัวโบสถ์วิหารเอาไว้ได้  ส่วนสายพิณนั้นก็แยกกันอยู่ ทว่าเพราะแยกกันอยู่นั่นเอง จึงก่อเกิดสำเนียงเสียงอันไพเราะเสนาะซึ้งต่อโสตสัมผัส
 

 
       คนสองคนที่อยู่ชิดติดกันเกินไป จนหา “ พื้นที่ว่าง ” ระหว่างความสัมพันธ์ไม่พบ ก็จะก่อให้เกิดความอึดอัดทุรนทุราย คนรักที่รักกันมากเกินไป จนรักนั้นกลายเป็นความยึดติดครอบครองอย่างคลั่งไคล้ใหลหลง  ย่อมทำให้อีกฝ่ายหนึ่งสูญเสียอิสรภาพ หรือบางทีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงของในครอบครองของอีกฝ่าย  ส่วนคู่รักที่อยู่ห่างเหินเกินไป  จนไม่อาจเชื่อมต่อถึงกันและกันได้เลย  ก็ก่อให้เกิดภาวะห่างเหิน  และอาจเจือจางความสัมพันธ์จนกลายเป็นความชินชา และเลิกร้างจากกันไปอย่างไม่ไยดี

       ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนรัก  จำเป็นต้องมี “ ดุลยภาพ ” ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ ความว่างระหว่างความสัมพันธ์ ” ความว่างอันเป็นธรรมะชั้นสูงที่เรียกว่า “สุญตา ”  มีประโยชน์อย่างมหาศาลเมื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตคู่  เพราะการที่คนสองคนเรียนรู้ที่จะเปิดพื้นที่ว่างให้แก่กันและกันบ้างนั้น  ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่นในกันและกันเพิ่มขึ้น   
 
       ในทางกลับกัน  หากไม่เว้นช่องว่างเอาไว้เสียเลย  ภาวะเผด็จการหัวใจ  เผด็จการทางความรู้สึก เผด็จการเหนือชีวิตและทรัพย์สินก็จะเกิดขึ้นได้
 
       มนุษย์มีธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่ง  ต้องการความเป็นตัวของตัวเอง ต้องการอิสรภาพ ต้องการความเบาสบายของจิตใจ และต้องการความเชื่อมั่นว่าตัวตนของตนยังคงเป็นไทอยู่เต็มเปี่ยม   
 
       เมื่อใดก็ตามที่ความสัมพันธ์ก่อให้เกิดความอึดอัด และปวดปร่าเหมือนหายใจอยู่ใต้น้ำ  เมื่อนั้นเอง  รอยร้าวแห่งความสัมพันธ์จะเริ่มเผยตัวตนของมันออกมา  หากเรารู้ไม่ทัน   จากรอยร้าวอาจถูกขยายกลายเป็นรอยปริแยก  และแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ในที่สุด

       อย่าลืมว่า  รูปแบบหนึ่งของความรัก  คือ  การเคารพต่อศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยใจบริสุทธิ์  การที่คนรักกันยอมให้ใครอีกคนหนึ่งมี “ อาณาจักรส่วนตัว ” บนวิถีแห่งความสัมพันธ์ของคนสองคนบ้างนั้น  จึงเป็นการแสดงความเคารพต่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของเขาอย่างละมุนละไม   
 
       เมื่อได้รับการเคารพ  เมื่อได้รับการให้คุณค่า  ก็ย่อมประทับใจ  ความประทับใจนั้นจะงอกงามเป็นความรักที่มาพร้อมกับความปลอดโปร่งหัวใจ  และความแช่มชื่นเบิกบาน ว่าตัวเองเลือกคนไม่ผิด
 
        ความรักที่มีส่วนผสมของความปีติเบิกบาน  เพราะตระหนักรู้ว่าในความรักตนยังมีอิสรภาพพอสมควร  มีโอกาสจะกลายเป็นรักแท้ที่หนักแน่นดังแผ่นผา  มากกว่าความรักที่มุ่งแต่จะครอบครองอยู่เพียงฝ่ายเดียว  ซึ่งรังแต่จะนำไปสู่ความพยายามขัดขืนและดิ้นรนหาทางสลัดออกจากความสัมพันธ์

        ความว่างระหว่างคนสองคนจึงมีความจำเป็นไม่น้อยไปกว่าการที่คนสอ งคน “ มี ” กันและกัน ฉะนั้น “ ความมี ”  หากปราศจาก “ ความว่าง ” จะมีความเหินห่างรออยู่ตรงปลายทาง  แต่หากใน “ ความมี ” มีความว่างเป็นส่วนผสม  กลับมีความมั่นคงเป็นกำไร

 
        คู่รักที่รู้จักบริหารความว่าง และความมีอย่างลงตัว  คือ คู่รักที่มีโอกาสกลายเป็นคู่แท้ของกัน และกันตลอดไป


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #90 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2552, 00:41:46 »

ชีวิตจะเป็นสุข ...เมื่อมองทุกข์อย่างเข้าใจ

Poomping Praison - ส่งมา



" หากใจคิดว่าทำไม่ได้  แค่เอื้อมมือไปเด็ดใบไม้สักใบก็ยังยาก  หากแต่ใจคิดว่าทำได้  แม้งานขุดเขาถมทะเลที่แสนยาก  ก็จะทำให้สำเร็จให้จงได้ " ... มล.จิตติ นพวงศ์

ภาระที่ดูเหมือนหนัก-เหนื่อย  หากคำนึงถึงคุณค่าที่ได้ทำ  กำลังใจย่อมเต็มเปี่ยม  แม้กายล้า  ยังสู้ไม่ถอย

ที่ใครว่าทุกข์ … เราไม่ทุกข์  ที่ใครเห็นว่าท้ อ… เราไม่ถอยถอนใจ

กำลังใจสู้ไม่ถอย  ล้วนได้มาจากมุมมองของใจ ( ทัศนคติ ) ทั้งสิ้น

มีโอกาสทำดี อย่าให้เสียโอกาส  มีโอกาสเรียน  ทำให้เต็มที่  และทำให้ดีในทุกโอกาส

บางคนรอโอกาสมาทั้งชีวิต  แต่ก็ไม่มีโอกาสเช่นเรา ๆ ท่าน ๆ  ประโยชน์อะไรที่จะล้า

มองชีวิต มองทุกข์อย่างเข้าใจ  กำลังใจก็หาได้ไม่ยากหรอก …จริงไหม …



***********************************

การที่เราจะมีความสุขในชีวิตหรือไม่นั้น  สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่จิตใจ และความคิดของตนเอง  หากคิดแต่เรื่องดีๆ  ชีวิตก็มีความสุขและมีความทุกข์อย่างเข้าใจ  ... ถ้าหากกำลังมีทุกข์  ขออย่าคิดว่าทุกข์ของตนเองมากมายกว่าผู้อื่น  ให้เพียรพยายามคิดว่าผู้อื่นก็มีทุกข์ไม่น้อยไปกว่า  หรืออาจจะหนักหนาสาหัสกว่าเสียอีก  หากนำความทุกข์ไปเปรียบกับผู้ที่แย่กว่า  จะช่วยให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้น  และรู้สึกว่ายังโชคดีกว่าอีกหลายๆ คน

ดังเช่นที่นักปราชญ์เคยกล่าวเอาไว้ว่า " ในขณะที่ท่านกำลังร้องห่มร้องไห้เพราะไม่มีรองเท้าใส่  ท่านควรคิดถึงคนที่เขาไม่มีแม้กระทั่งเท้า  หรือหากท่านเสียใจที่ไม่มีเท้า  แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีทั้งเท้าและทั้งแขน "

หรือหากทำงาน และธุรกิจล้มเหลวก็ขอให้คิดว่า  ความผิดพลาดและล้มเหลว  คือบทเรียนเริ่มต้นของความสำเร็จ  เหมือนคำกล่าวที่ว่า

" บทเรียนชีวิตที่ดีที่สุด  ล้วนได้มาจากความผิดพลาดล้มเหลวของตนเอง  ความโง่เขลาเบาปัญญาและความผิดพลาดในอดีต  จะกลายเป็นสติปัญญา และความสำเร็จในอนาคต "


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #91 เมื่อ: 23 กันยายน 2552, 02:34:27 »

ไร้กรอบ

อรรถกฤต - ครุ 16 ... ส่งมา






      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #92 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2552, 00:02:21 »

11 การทำงานแบบไทย  ในมุมมองของชาวต่างชาติ

























      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #93 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2552, 10:37:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 04 ตุลาคม 2552, 00:02:21
11 การทำงานแบบไทย  ในมุมมองของชาวต่างชาติ

จะแก้ไขการทำงานแบบไทย ที่ต่างชาติว่าไม่ดี

ซึ่งที่จริงไม่ใช่เฉพาะไทย ทุกชาติมีปัญหาำทั้งสิ้น แต่เขามีวิธีการแก้ โดย

ใช้วงจรคุณภาพ และ มีองค์กรภายนอกเข้ามา รับจ้างพัฒนาและให้ใบรับรอง

ประกาศให้ผู้มาใช้บริการได้รับรู้




ผล จะทำให้ทุกคนถูกเอกสารคุณภาพที่เขียนขึ้นเองที่องค์กรฯรับรอง

บังคับให้ทำตาม โดยมีกรรมการตรวจสอบคอยกำกับ จะแก้การทำงานแบบไทยได้

ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกคนมีนิสัยดี

แต่การปล่อยให้เกิดขึ้นตามใจแต่ละคนจะทำหรือไม่ก็ไม่มีบทลงโทษ

โอกาศเกิดขึ้นจะเกิดยากมาก เกือบไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย

ต้องใช้สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ทั้ง 3 ด้าน ของสามเหลี่ยม

ด้านที่ 1 การให้ความรู้

ด้านที่ 2 การรวมตัวกันของผู้ได้รับความรู้นำมาสร้างวัฒนธรรม

ใครไม่ปฏิบัติถูกสังคมประณาม แต่ถ้าขาดด้าน ที่ 3

เป็นด้านที่สำคัญที่สุด คือ

ด้านที่ 3 ด้านการออกกฏระเบียบบังคับไม่ปฏิบัติถูกลงโทษ

  gek gek gek  

การใช้วงจรคุณภาพ Plan Do Check Act นั้น

มีการเขียนแผน ทำตามแผน กำกับการกระทำ

และ แก้ไข ให้เป็นไปตามเป้าหมายของแผน

การนำมาใช้ด้วยการ

ให้มีองค์กรภายนอก มาทำหน้าที่พัฒนา และ ให้ใบรับรอง

ตามที่ ทุกหน่วยงานจะต้องมีใบรับรองให้ผู้ใช้บริการได้มั่นใจในคุณภาพ

หน่วยงานใดไม่มี ก็จะไม่มีคนไปใช้บริการ ทำให้ทุกหน่วยงาน

ต้องจ้างองค์กรที่มีชื่อเสียงมาพัฒนาและให้ป้ายรับรอง

 งง งง งง งง งง งง   

ในการเป็นสถานบริการคุณภาพจะมีตัวชี้วัดที่สำคัญ คือ

ต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้บริการด้วย

ดังนั้น ผู้ใช้บริการต้องเขียนความคิดเห็นให้สถานบริการทราบเพื่อแก้ไข

ถ้าไม่แก้ ก็จะไม่สามารถได้รับการต่อการให้ป้ายรับรองคุณภาพได้

สรุป ว่า เมื่อมีการให้สถานบริการมีใบรับรองคุณภาพ

ซึ่งจะทำให้มีผู้มาใช้บริการมากกว่าไม่มี

ผลทำให้สถานบริการ จะรักษาคุณภาพป้ายรับรองไว้ตลอดการดำเนินกิจการ

ซึ่งจะต้องมีการบังคับให้ทุกคนในหน่วยงานมีนิสัยดี

ถ้านิสััยไม่ดีจะถูกเขียนแสดงความคิดเห็น และ ถูกบังคับให้มีนิสัยดีได้

ถ้าไม่ทำก็ถูกออกไป 
เตือน เตือน เตือน

นำมาจากกระทู้ สำคัญกว่าจับปรับ คือ แก้นิสัยแจ้าหน้าที่ด้วยดีไหม

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3904.0.html

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

   

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #94 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 17:27:05 »

Today before you complain about life ....

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

There was a blind girl who hated herself because she was blind. She hated everyone, except her loving boyfriend. He was always
there for her. She told her boyfriend,  " If I could only see the world, I will marry you."

One day, someone donated a pair of eyes to her. When the bandages came off, she was able to see everything, including her
boyfriend.
 
He asked her, " Now that you can see the world, will you marry me ? "
The girl looked at her boyfriend and saw that he was blind. The sight of his closed eyelids shocked her. She hadn't expected
that. The thought of looking at them the rest of her life led her to refuse to marry him.

Her boyfriend left in tears and days later wrote a note to her saying : " Take good care of your eyes, my dear, for before they were yours, they were mine. "

This is how the human brain often works when our status changes. Only a very few remember what life was like before, and who was always by their side in the most painful situations.

Life Is a Gift

Today, before you say an unkind word - Think of someone who can't speak.

Before you complain about the taste of your food - Think of someone who has nothing to eat.

Before you complain about your husband or wife - Think of someone who's crying out to GOD for a companion.

Today, before you complain about life - Think of someone who died too early on this earth.

Before you complain about your children - Think of someone who desires children but they're barren.

Before you argue about your dirty house someone didn't clean or sweep - Think of the people who are living in the streets.

Before whining about the distance you drive Think of someone who walks the same distance with their feet.

And when you are tired and complain about your job - Think of the unemployed, the disabled, and those who wish they had your job.

But before you think of pointing the finger or condemning another - Remember that not one of us is without sin.

And when depressing thoughts seem to get you down - Put a smile on your face and think: you're alive and still around
.

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #95 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 18:20:34 »

Good Thoughts‏

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา




















      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #96 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 18:52:23 »

เดินจังหวะลูก

อารียา - ครุ 16 ... ส่งมา
 
รายงานโดย : ธนา  เธียรอัจฉริยะ  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น : วันพุธที่ 12 สิงหาคม  พ.ศ. 2552
 
ผมมีลูกสาวตัวเล็กๆ น่ารักสองคน คนโตชื่อ โมเนต์ อายุห้าขวบกว่าๆ   คนเล็กชื่อ เมนิ อายุสี่ขวบ  กำลังอยู่ในวัยอ้อนพ่ออ้อนแม่  ไม่รู้ว่าใครติดใครกันแน่  รู้แต่ว่าผมต้องพยายามกลับบ้านให้ทัน  ก่อนสองสาวนอนหลับเกือบทุกวัน  เสาร์อาทิตย์ก็ตัวติดกันตลอด
 
คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็มักจะนึกถึงแต่ว่าจะสอนลูกให้เป็นคนยังไง  ให้มีน้ำใจ ไหว้สวย ไม่งอแง นึกอะไรออกก็พยายามสอน  ก็ไม่ค่อยได้นึกว่าจะเรียนรู้อะไรจากลูกได้  เพราะลูกยังเด็กยังเล็กอยู่  แต่ด้วยความที่อยู่ด้วยกันตลอด  มีบ่อยครั้งที่ลูกผมพูด หรือแสดงท่าทีอะไรที่ทำให้ผมต้องหยุดคิด  และทบทวนตัวเองเป็นประจำ
 
เมื่อไม่นานมานี้  ผมพาเด็กๆ กับภรรยาไปเที่ยวอเมริกา  ไปอยู่หลายเมือง สองอาทิตย์ที่ไปเที่ยว เป็นสองอาทิตย์ที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตผม  ได้มีโอกาสตะลอนๆ ไปทั้งครอบครัว ได้ผจญภัยเล็กๆ ตามที่ต่างๆ  มีอุปสรรคบ้างนิดหน่อยพอเป็นน้ำจิ้ม  ได้เห็นตัวเล็กทั้งสองสนุกสนานกับของเล่นบ้าง  ทิวทัศน์รอบทางบ้าง เป็นความสุขเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่  ระหว่างทางในหลายๆ  ครั้ง  ผมกับภรรยาก็จะเดินดูโน่นดูนี่เป็นปกติ  ในจังหวะก้าวย่างของเราก็จะได้ยินเสียงเมนิ ลูกสาวคนเล็กบ่นปวดขา เดินไม่ทัน เหนื่อย  เวลาไปเดินในที่ที่คนเยอะ ก็มีเผลอไปจับมือคนอื่น  คิดว่าเป็นพ่อแม่บ้าง  เราก็ได้แต่ขำๆ ในตอนแรก  แต่พอใช้ชีวิตด้วยกันตลอดเวลา มีจังหวะหนึ่งที่ลูกผมบ่นว่า เดินไม่ทันซึ่งปกติผมก็คงไม่ได้สนใจอะไร  แต่จังหวะนั้นผมบอกลูกว่า  เดี๋ยวจะลองเดินก้าวช้าๆ เท่าลูกดู
 
ผมก็เลยลองเดินช้าๆ  ช้ามาก  เพราะลูกผมยังเล็ก  ก้าวได้สั้นๆ และไม่ไกล  ผมพยายามเดินในจังหวะของลูก  ช่วงแรกๆ ก็อึดอัดนิดหน่อย ต้องก้าวเท้าถี่ๆ  สั้นๆ  แต่พอลองบ่อยๆ เข้า  ผมก็เริ่มมองเห็นมุมของเขาว่า  ทำไมเขาถึงเดินไม่ทัน  ปวดขา หรือเหนื่อย เวลาเดินจังหวะผู้ใหญ่  พอเริ่มเห็นมุมแปลกๆ ของเด็ก  ผมก็เลยลองพยายามย่อตัวลงให้เท่าลูก  ในมุมที่เรามองเงยหน้าขึ้นไป ทำให้รู้สึกว่าผู้ใหญ่ในสายตาเขาเหมือนยักษ์ที่อยู่สูง  มองไม่ค่อยถนัด  ถึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงจับมือคนผิดอยู่เรื่อยเวลาคนเยอะๆ
 
หลังจากนั้น  ผมก็พยายามเดินช้าลงให้ได้จังหวะของเขา  พยายามย่อตัวเวลาคุยกับลูก ลูกผมก็ดูจะสนุกขึ้น  อารมณ์ดีขึ้น และชอบมากเวลาพ่อย่อตัวคุยด้วย  ลูกผมสอนให้ผมรู้จักสนใจจังหวะของคนอื่น  ลองใช้จังหวะของคนอื่นในการดำเนินชีวิตบ้าง  ชีวิตของคนทำงาน  หลายๆ ครั้งก็พยายามบงการให้คนอื่นเดินจังหวะเรา  ไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา

พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไร  ก็จะพยายามลองสังเกตจังหวะคนอื่นดูทุกที  ที่ดิสนีย์แลนด์ ช่วงเที่ยงๆ ผมกับโมเนต์  ลูกสาวคนโตไปต่อคิวยาวเหยียดเพื่อซื้ออาหารกลางวัน  รอตั้งสิบกว่านาที อยู่ดีๆ  ก็มีแม่ลูกตัวอ้วนๆ คู่นึงทำเนียนมาแซงคิวเอาโค้งสุดท้ายข้างหน้าผม  คงเห็นว่าเราหน้าเอเชียดูใจดี  ก็เลยเบียดซะอย่างนั้น  ผมก็เลือดขึ้นหน้า  โมโหสุดๆ กำลังจะโวยวายด้วยความฉุน  ก่อนจะโวย ก็บอกโมเนต์  เพื่อให้ลูกเข้าใจว่าพ่อจะต้องโกรธเพราะอะไร  โมเนต์สะกิดแขนผม  แล้วทำหน้าชิลล์มากๆ  บอกผมว่า " พ่อขา เขาอาจจะรีบก็ได้นะพ่อนะ "
 
ผมอึ้งไปพักใหญ่  ในหัวหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง  ดีใจที่ลูกมองโลกในแง่ดีแบบนี้  แถมรู้สึกตัวเองแย่มากๆ ที่ต้องให้ลูกสอนการมองโลก  การให้อภัยระหว่างรอแถว  ผมนึกถึงเพลงอื่นๆ  อีกมากมายของวงเฉลียงอยู่ในหัว
 
  เด็กหนีไม่ยอมเรียน
  โดดเรียนเพราะเหตุใด
  ใครตอบได้ไหม
  เด็กไปเพราะใจเบ่ง
  แม่ให้ไปขายของ
  ครูสอนไม่ดีเอง
  เด็กรักเป็นนักเลง
  อื่นๆ อีกมากมาย
 
เมื่อวานก่อน  ผมพาเด็กหญิงสองคนไปทำฟัน  คุณหมอตรวจเจอว่าโมเนต์ฟันผุ  ต้องอุดฟันน้ำนม  คุณหมอก็เลยทำการอุดให้  เราก็คอยบอกโมเนต์ว่าถ้าเจ็บให้ยกมือขึ้น  เพราะอุดฟันเด็กห้าขวบ โดนเหงือก โดนปาก  เด็กคงต้องเจ็บน่าดู  ตลอดการอุดฟัน  ผมก็ถามเป็นระยะว่าเจ็บรึเปล่า  โมเนต์ไม่ยกมือว่าเจ็บเลยซักครั้ง  ผมก็นึกว่าคงไม่เป็นไร  อุดเสร็จเรียบร้อยก็กลับบ้าน  ระหว่างทางกลับบ้าน  ผมก็ถามลูกว่า  อุดฟันเจ็บมั้ย  โมเนต์บอกว่า  เจ็บมากเพราะโดนเหงือก  ผมก็ถามต่อด้วย  ความสงสัยว่าทำไมไม่ยกมือ  หรือร้องล่ะ
 
โมเนต์บอกสั้นๆ ยิ้มอายๆ " หนูอดทน อยากให้พ่อดีใจ "

 
หนูสอนพ่อเยอะเหลือเกิน ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #97 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 19:05:25 »

สิ่งที่พระพยอม เสียใจ ที่สุดในชีวิต

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

โยมพ่อของอาตมาเป็นคนขี้เหล้า ... หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็กินเหล้าหมด  พอเมาก็ดุด่าโยมแม่กับอาตมา อาตมาไม่ชอบพ่อมาก ....

วันหนึ่ง โยมพ่อเมากลับบ้านไม่ได้  มีคนให้อาตมาพายเรือไปรับ  ตอนนั้นอาตมายังเป็นวัยรุ่น  ทำงานมาทั้งวันก็อยากจะนอน .... อยากพักผ่อน ....

อาตมารู้สึกโมโหมาก  พอพายเรือกลับบ้าน ก็ทิ้งโยมพ่อไว้ในเรือ  แต่พ่อเมามากลุกไม่ไหว ตะโกนเรียก ....

“ ไอ้ยอม ... ไอ้ยอม ... มาอุ้มกรูขึ้นบ้านหน่อย ... กรูขึ้นไม่ไหว ”

ไอ้เราก็ทนรำคาญไม่ไหว เดินกระทืบเท้า ตึง.. ตึง.. ตึง.. กระชากร่างพ่ออุ้ม ในขณะที่อุ้ม .. ความรู้สึกเจ็บแค้นที่พ่อทำให้เราลำบาก  ชอบด่าว่าเราเจ็บๆ  พออุ้มพ่อขึ้นมาจากเรือ ... ถึงหัวสะพาน  จับร่างพ่อกระแทกกับหัวสะพาน ก้นพ่อกระแทกกับ พื้นไม้อย่างแรง  เสียงดังโครม....

พ่อแกร้องไห้ .... แล้วพูดว่า

“ ไอ้ยอมน ะ... ไอ้ยอม .. กรูอุ้มมรึงมาแต่เล็กแต่น้อย .... กรูนอนหลับ .. แต่มรึงไม่ยอมนอน ... ร้องไห้กวน .. กรูต้องลุกมาอุ้มมรึง ... ร้องเพลงกล่อมให้มรึงนอน  จะไปไหนมรึงไม่ไหว ... มรึงเหนื่อย ... กูก็ต้องอุ้มมรึง ... ทั้งที่กรูก็เหนื่อย  กรูอุ้มมรึง.. มรึงทั้งขี้..ทั้งเยี่ยว.. ใส่กรู  แต่กรูไม่เคยทุ่มมรึงลงกับพื้นเลย ... เพราะกรูรักมรึง ...วันนี้ ... มรึงอุ้มกรู เหล้ากรูไม่ได้หกโดนมรึงสักนิด  มรึงทุ่มกรูลงพื้นทำไม ...”

พอพ่อพูดจบ  น้ำตาไม่รู้มาจากไหน  มันไหลพรูลงมาอาบสองแก้ม  อาตมาเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน  ก้มลงกราบพ่อ แล้วพูดว่า

“ พ่อครับ ต่อจากนี้ไป ... ผมจะอุ้มพ่อตลอดชีวิต  โดยไม่บ่นและทุ่มพ่อ ลงพื้นอีกแล้วละครับ ”

หลังจากนั้น อาตมาทำงานอย่างหนักเพื่อมาให้พ่อ หวังให้พ่อสบายขึ้น  แต่เมื่อถึงวันนั้น มันก็สายไปแล้ว  โยมพ่อได้จากอาตมาไปแล้ว  คิดแล้วมันทรมานใจเหลือเกิน  อาตมาทำผิดพลาดไปแล้ว  และแก้ไขไม่ได้  จึงอยากเตือนทุกคนเอาไว้ ไม่อยากให้เสียใจไปตลอดชีวิต

แล้วคุณล่ะ  เคยทำอะไรให้พ่อเสียใจบ้างหรือเปล่า  บางครั้งเราอาจเข้าใจท่านผิด  บางครั้งท่านเฉย  เราก็คิดว่าท่านไม่สนใจ  แต่พอเราโตเราก็จะรู้เองว่า  สิ่งที่ท่านทํากับเรามันเป็นสิ่งที่ท่านหวังดีกับเราเสมอ

ขอให้รู้จักค้นหาหัวใจตัวเองให้ทันเวลา  ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป ....


---------------------------------------------

สำหรับบางคน ......

บางสิ่งบางอย่าง ลำบ๊าก ลำบาก แต่เราสามารถ มุมานะทำเพื่อแฟนหรือคนรักของเรา

แต่บางสิ่งง่ายๆ  สำหรับพ่อแม่ของเรา  เรากลับไม่ค่อยอยากทำให้ท่าน

ทั้งๆ ที่ท่านลำบากเลี้ยงเรามา  มาคิดได้เมื่อสายไปแล้ว


เคยได้ยินมาว่า....

ข้าวร้อนๆกับปลาเค็ม 1 ชิ้น ตอนพ่อมีชีวิตอยู่

มีค่ามากกว่า "เนื้อมังกร...หน้าศพ" ตอนพ่อตาย...


      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #98 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 19:06:29 »


...
ไม่ต้องอ่านปรัชญาในรูปข้างบนก็ได้ครับ ผมเล่าเลยก็ได้...เป็นคำคมจิตวิทยา เรื่องน้ำครึ่งแก้วที่เราเห็นกันบ่อยๆ
ผมพบในหนังสือธรรมะ DIY เล่มเล็กๆเล่มหนึ่ง แต่ที่น่าสนใจคือชื่อเจ้าของพารากราฟข้างบนนี้ ลงชื่อไว้ว่า
Natalie Glebova....ไอ้ผมก็สงสัย Natalie Glebova นี่มันใคร? เป็นแชมป์ยิมนาสติคโอลิมปิคเมื่อปีไหน?
หรือแชมป์เทนนิส grand slam รายการไหนหว่า? คิดอยู่นานกว่าจะนึกได้? ใครโชคร้ายผ่านมาอ่าน ก็งงกันเองนะครับ !!!
สะใจได้แกล้งคน...
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #99 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 20:49:02 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 25 ตุลาคม 2552, 19:06:29

...
ไม่ต้องอ่านปรัชญาในรูปข้างบนก็ได้ครับ ผมเล่าเลยก็ได้...เป็นคำคมจิตวิทยา เรื่องน้ำครึ่งแก้วที่เราเห็นกันบ่อยๆ
ผมพบในหนังสือธรรมะ DIY เล่มเล็กๆเล่มหนึ่ง แต่ที่น่าสนใจคือชื่อเจ้าของพารากราฟข้างบนนี้ ลงชื่อไว้ว่า
Natalie Glebova....ไอ้ผมก็สงสัย Natalie Glebova นี่มันใคร? เป็นแชมป์ยิมนาสติคโอลิมปิคเมื่อปีไหน?
หรือแชมป์เทนนิส grand slam รายการไหนหว่า? คิดอยู่นานกว่าจะนึกได้? ใครโชคร้ายผ่านมาอ่าน ก็งงกันเองนะครับ !!!
สะใจได้แกล้งคน...




สวัสดีครับ พี่่ป๋อง

ไปถามลุงกูเกิ้ล ลุงให้ภาพนี้มา ดูแล้ว คงรู้ว่าเป็นใคร

 เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ



      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #100 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 22:40:30 »

จริงด้วยครับ พี่ป๋องก็คอยจะลืมอยู่เรื่อยว่า ถามอะไร ลุงกูเกิ้ลแกตอบได้หมด
ขอบคุณมากครับคุณหมอที่มาช่วยรับมุขให้พี่ป๋อง
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #101 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2552, 12:38:21 »

ทำไมยางลบต้องอยู่บนดินสอ ...

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา



      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #102 เมื่อ: 04 มกราคม 2553, 08:20:32 »

What is Peace ?

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

A long time ago a king who offered a prize to the artist who would paint the best picture of peace. Many artists entered the contest. The king looked at all the pictures. But there were only two he really liked.

( เจี๊ยบ ไปเสาะแสวงหาภาพมาประกอบเรื่อง จ้า )


One picture was of a calm lake. The lake was a perfect mirror for peaceful towering mountains all around it. Overhead was a blue sky with fluffy white clouds. All who saw this picture thought that it was a perfect picture of peace.

The other picture had mountains, too. But these were rugged and bare. Above was an angry sky, from which rain fell and in which lightning played. Down the side of the mountain tumbled a foaming waterfall. This did not look peaceful at all. But when the king looked closely, he saw behind the waterfall a tiny bush growing in a crack in the rock. In the bush a mother bird had built her nest. There, in the midst of the rush of angry water, sat the mother bird on her nest - in perfect peace.


The king chose the second picture. Do you know why ?

" Because, " explained the king," peace does not mean to be in a place where there is no noise, trouble, or hard work. Peace means to be in the midst of all those things and still be calm in your heart. That is the real meaning of peace. "

This is Rex Barker, reminding us that we were not put in the world to hide in a cave, but to create a life amidst the chaos of the universe and to refine the world in the process, therefore creating true peace
.


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #103 เมื่อ: 05 มกราคม 2553, 11:20:19 »

Best e-mail of 2009 ... good thoughts to keep in mind‏

Harald ... ส่งมา



HOW TO STAY YOUNG

1. Throw out nonessential numbers. This includes age, weight and height. Let the doctors worry about them. That is why you pay 'them'

2. Keep only cheerful friends. The grouches pull you down.

3. Keep learning. Learn more about the computer, crafts, gardening, whatever. Never let the brain idle. 'An idle mind is the devil's workshop.'

4. Enjoy the simple things.

5. Laugh often, long and loud. Laugh until you gasp for breath.

6. The tears happen. Endure, grieve, and move on. The only person, who is with us our entire life, is ourselves. Be ALIVE while you are alive.

7. Surround yourself with what you love , whether it's family, pets, keepsakes, music, plants, hobbies, whatever.Your home is your refuge.

8. Cherish your health: If it is good, preserve it. If it is unstable, improve it. If it is beyond what you can improve, get help.

9. Don't take guilt trips. Take a trip to the mall, even to the next county; to a foreign country but NOT to where the guilt is.

10. Tell the people you love that you love them, at every opportunity.


AND ALWAYS REMEMBER :  Life is not measured by the number of breaths we take, but  by the moments that take our breath away.
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #104 เมื่อ: 17 มกราคม 2553, 07:32:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 04 มกราคม 2553, 08:20:32
What is Peace ?

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

A long time ago a king who offered a prize to the artist who would paint the best picture of peace. Many artists entered the contest. The king looked at all the pictures. But there were only two he really liked.

( เจี๊ยบ ไปเสาะแสวงหาภาพมาประกอบเรื่อง จ้า )


One picture was of a calm lake. The lake was a perfect mirror for peaceful towering mountains all around it. Overhead was a blue sky with fluffy white clouds. All who saw this picture thought that it was a perfect picture of peace.

The other picture had mountains, too. But these were rugged and bare. Above was an angry sky, from which rain fell and in which lightning played. Down the side of the mountain tumbled a foaming waterfall. This did not look peaceful at all. But when the king looked closely, he saw behind the waterfall a tiny bush growing in a crack in the rock. In the bush a mother bird had built her nest. There, in the midst of the rush of angry water, sat the mother bird on her nest - in perfect peace.


The king chose the second picture. Do you know why ?

" Because, " explained the king," peace does not mean to be in a place where there is no noise, trouble, or hard work. Peace means to be in the midst of all those things and still be calm in your heart. That is the real meaning of peace. "

This is Rex Barker, reminding us that we were not put in the world to hide in a cave, but to create a life amidst the chaos of the universe and to refine the world in the process, therefore creating true peace
.


                         

         The king chose the second picture. Do you know why ?

         " Because, " explained the king," peace does not mean to be in a place where there is no noise, trouble, or hard work. Peace means to be in the midst of all those things and still be calm in your heart. That is the real meaning of peace. "

         This is Rex Barker, reminding us that we were not put in the world to hide in a cave, but to create a life amidst the chaos of the universe and to refine the world in the process, therefore creating true peace.

         win win win




      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #105 เมื่อ: 17 มกราคม 2553, 13:17:58 »

ก่อนจะซื้อ "สังฆทานสำเร็จรูป" ทำบุญครั้งต่อไป ...ลองแวะอ่านก่อน มีไอเดียดีๆ มาแนะนำ ! ! !

" การทำบุญ คือ การสละอย่างฉลาด ไม่ใช่การซื้ออย่างตะบี้ตะบัน "

เมื่อเราจะทำบุญกันทั้งที อยากให้มีสติกันสักนิด หากจะเลือกการทำทานที่เรียกว่า "สังฆทาน" ขอให้ช่วยพิจารณาชุดสังฆทานและชุดไทยธรรม
ที่เราไปลองหาซื้อกันมาจำนวน 15 ชุดเสียก่อน แล้วค่อยลองดูว่า ถ้าจะถวายสังฆทานครั้งต่อไป จะยังเลือกซื้อสังฆทานสำเร็จรูปกันอีกหรือไม่
 
จากการสำรวจชุดสังฆทานสำเร็จรูป ที่ซื้อมาพบว่า สิ่งของส่วนใหญ่ประกอบด้วย 5 หมวดหลัก ได้แก่

1.ภาชนะบรรจุ ส่วนใหญ่มักเป็นถังพลาสติดสีเหลือง กล่อง ตะกร้าพลาสติก กล่องกระดาษ แต่ที่แนวที่สุดในการสำรวจคือ ย่ามพระ

2. ผลิตภัณฑ์อาหาร ได้แก่ ใบชา เครื่องดื่มขิง เครื่องสมุนไพร น้ำดื่ม น้ำรสผลไม้ เครื่องดื่มมอลต์ นมพร้อมดื่ม นมถั่วเหลือง นมข้นหวาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ข้าวสาร ขนมอบ กาแฟและครีมเทียม

3. ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ ได้แก่ สบู่ กล่องสบู่ ขัน แก้วน้ำ ถาด ตะกร้า ไม้ขีดไฟ แปรงสีฟัน ไม้จิ้มฟัน ผ้าขนหนู มีโกน เข็มด้าย ธูปเทียน กระดาษทิชชู กรรไกรตัดเล็บ แหนบ ผงซักฟอก ก้านสำลี สมุด ปากกา ยากันยุง น้ำยาล้างจาน ฟองน้ำล้างจาน ร่ม ผ้าขนหนูขนาดเล็ก

4. ยารักษาโรค ได้แก่ ยาหอม ยาอม ยาหม่อง ยาลดกรดในกระเพาะ ยาธาตุน้ำแดง ยาแก้ปวดลดไข้

5. เครื่องไช้สำหรับพระ ได้แก่ ผ้าอาบน้ำ ผ้าอังสะ ผ้ากราบ

ข้าวของเครื่องใช้ข้างต้น ซึ่งสำรวจเมื่อปลายปี 2552  พบว่าแทบไม่แตกต่างจากการสำรวจเมื่อปี 2546  จึงขอเสนอทางเลือกให้จัดสังฆทานกันเอง  เพราะข้าวของส่วนใหญ่ในสังฆทานสำเร็จรูป  พระไม่ค่อยได้ใช้  หรือมักเป็นของไม่มีคุณภาพ  รวมไปถึงพวกถังเหลือง  กล่องสบู่  และขันน้ำที่ถูกนำไปกองทับถมอยู่ล้นวัด

เพราะจากการลองนำรายการสินค้าข้างต้นไปสำรวจสอบถามความเห็นจากพระสงฆ์ พบว่ามีแต่ของที่ไม่จำเป็นและมีประโยชน์น้อย โดย 10 อันดับรายการสินค้าที่ไม่จำเป็นที่สุด คือ

1. ใบชา   เพราะพระไม่ค่อยฉันท์แล้ว ควรเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้แท้ (ไม่ใช่น้ำรสผลไม้) เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพและไม่หวานเกินไป

2. ขิงผงสำเร็จรูป เป็นเครื่องดื่มที่ไม่ค่อยนิยม แค่คนกลับชอบถวาย

3. ยาจุดกันยุง สำหรับพระเมืองสินค้านี้ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ขณะที่อาจจำเป็นสำหรับพระป่า

4. นมข้นหวาน เพราะพระไม่ทราบว่าจะได้ใช้ตอนไหน เนื่องจากถือว่าเป็นอาหาร ไม่สามารถฉันท์ได้หลังเวลาเพล

5. กาแฟ เพราะพระไม่ทราบว่าจะได้ฉันท์ตอนไหนเช่นกัน

6. ถัง กล่องสบู่ ขวดน้ำ ขัน เพราะมีล้นวัด

7. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถือเป็นของไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้ พระฉันท์เพียง 2 มื้อเท่านั้น และมักหมดสภาพตั้งแต่อยู่ในถังสังฆทานแล้ว
 
8. น้ำดื่มบรรจุขวด เพราะมีสภาพไม่น่าดื่ม และแต่ละวัดมีระบะน้ำดื่มที่ดีกว่า

9. ขนมอบ เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ

10. ธูปเทียน ไม้ขีดไฟ เพราะมีจำนวนมากเกินไปและอยู่ในสภาพไม่เหมาะกับการใช้งาน

ขณะที่สิ่งของ 10 อันดับที่ควรถวายในชุดสังฆทาน แต่เรานึกไม่ถึง ได้แก่

1. ยาสระผม แค่คงไม่ถึงขั้นต้องถวายครีมนวดด้วย เพราะพระใช้เพียงเพื่อให้โกนศรีษะได้ง่ายขึ้น และยังใช้ดูแลหนังศรีษะบ้างเท่านั้น

2. มีดโกน เพราะเป็นของจำเป็น พระต้องใช้บ่อยแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย

3. เครื่องครัว เช่น จาน กระทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำที่คุณภาพดี เพราะแม้พระไม่ได้ใช่เอง แต่ชาวบ้านที่มาจัดงานบุญจะได้ใช้เสมอ

4. อุปกรณ์งานช่าง เช่น ค้อน ตะปู ไขควง สว่าน เพราะพระ โดยเฉพาะพระนอกเมืองคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะสามารถนำไปดูแลศาสนสถานภายในวัดได้

5. อุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดทางมะพร้าว ที่โกยขยะ เพราะจำเป็นต่อการรักษาความสะอาดภายในวัด

6. ข้าวสารและอาหารแห้ง แต่สินค้าที่ถูกบรรจุในสังฆทานมักไม่ได้คุณภาพ แต่หากเราเลือกของคุณภาพดี พระสามารถรวมไปบริจาคหรือดูแลคนด้อยโอกาสที่วัดอุปการะอยู่ได้

7. เครื่องเขียน เช่น สมุด ปากกา ดินสอ เพราะพระสามารถทำไปใช้ประโยชน์ในกิจการงานบุญได้

8. หนังสือธรรมะ หนังสือดูแลสุขภาพกายและใจ หนังสือที่น่าสนใจต่างๆ
 
9. สบง จีวร ผ้าอาบน้ำ แต่ควรเลือกที่มีคุณภาพดี แม้ราคาจะแพง  เพราะสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายปี อนึ่งการเลือกสี ขนาดและเนื้อผ้าควรศึกษาก่อนซื้อ เพราะแต่ละวัดมีระเบียบในการครองผ้าแตกต่างกัน

10. ยารักษาโรค ควรเลือกแบบที่คุณภาพดี พร้อมกับคู่มือการใช้งาน


**********************
ที่มา นิตยสาร "ฉลาดซื้อ" ฉบับที่ 105 เขียนโดย กองบรรณาธิการ
( ติดต่อ " ฉลาดซื้อ " ได้ที่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 4/2 ซ.วัฒนโยธิน แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400 โทรศัพท์ 0-2248-3734-7 โทรสาร 0-2248-3733  อีเมล webmaster@consumerthai.org )

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1263629480&grpid=01&catid=
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #106 เมื่อ: 23 มกราคม 2553, 12:00:07 »

... แม่...

นายสัตวแพทย์สากล 16 ... ส่งมา

เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้  แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก  คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้

เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ  คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง
 
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน  คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา
 
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก  คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น

เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ  คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน
 
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ ( หรือหล่อๆ ) ให้คุณไปเที่ยว  คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน
 
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่โรงเรียน  คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า ' ไม่ไป ... ไม่ไป ... ไม่ไป ... ''
 
เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ  คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว
 
เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ  คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก
 
เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน  คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม
 
เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษ และพาไปงานวันเกิดเพื่อน  คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง
 
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง  คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว ( หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู )

 เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี  คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ
 
เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม  คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า " แม่นี่ ...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู ( ผม ) หรอก "

เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ  คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ
 
เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด  คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง
 
เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ  คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไปเที่ยว
 
เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา  คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน

เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม  คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า
 
เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ  คุณขอบคุณแม่ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น
 
เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง  คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า ' แม่อย่ามายุ่งกะหนู ( ผม ) เลย '

เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ  คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนู ( ผม ) ไม่อยากเป็นอย่างแม่ '

เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา  คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ
 
เมื่อคุณอายุ 23 ปี แม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ  คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆ ลับหลังว่า ' มันช่างเชย และน่าเกลียดเสียนี่กระไร
 
เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่  เมื่อคุณพามา  แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร  คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า ' แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย '
 
เมื่อคุณอายุ 25 ปี ( สำหรับผู้ชาย ) แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ  และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน  คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' อายคนอื่นเขาน่า แม่ '

( สำหรับผู้หญิง ) แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ  และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน  คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟน โดยไม่มีแม่ '

เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก  คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า ' สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่ '

เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ  คุณขอบคุณแม่และญาติว่า ' ตอนนี้ไม่ว่างเลย '

เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชรา และไม่สบาย  อยากให้คุณดูแล  คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า ' มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ '
 
และแล้ววันหนึ่ง  แม่จากคุณไปอย่างสงบ  และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน  จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ

โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่ ' แม่ '

ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้  แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด  หรือเห็นด้วยกับคุณ  แต่ก็คือ ' แม่ ' ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ  รับฟังความกังวลของคุณ
 
ลองถามตัวเองดู  คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า  ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน  จากงานบ้าน  หรือจากงานในครัวของแม่ไหม  คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม
 
รักแม่ให้มาก  แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ  เพราะเมื่อแม่จากไป  จะเหลือเพียงความเสียใจ และความทรงจำเท่านั้น

อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด  รัก ' แม่ ' ให้มากกว่ารักตัวเอง  แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็ ' รัก ' ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ ' รูป ' ของแม่เท่านั้น
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #107 เมื่อ: 29 มกราคม 2553, 11:16:43 »

" 51 สิ่ง ที่ผมเรียนรู้เมื่ออายุ 51 "

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

For those who are 50 up ka.

เพื่อนๆ ที่รัก

          ในโอกาสวันขึ้นปี พ.ศ. 2551 ที่มาถึง ผมมีโอกาสนั่งอยู่กับตัวเอง  ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น  แล้วเลยเขียนออกมาให้อ่านกันเล่นๆ  ถือเป็นของขำวันปีใหม่ ให้เพื่อนๆทุกคนนะครับ

' 51 สิ่งที่ผมเรียนรู้เมื่ออายุ 51 '
  
1. ตอนขึ้นปีใหม่นี้  ไม่มีเรื่องอะไรที่ผมต้องกลุ้มใจมากนัก เพราะชักจะจำเรื่องราวเหล่านั้นไม่ค่อยได้ซะแล้ว
 
2. เมื่อคืน  วันส่งท้ายปีเก่าก็ไม่เมา  เพราะไม่มีใครเค้าคิดจะโทรมาชวนออกไปเที่ยวต่อ แถมยังต้องเข้านอนเร็วขึ้นกว่าคืนอื่นด้วย เพราะว่ามีคนชวนไปทำบุญที่วัดเมื่อตอนเช้าวันนี้

3. ไม่รู้สึกเจ็บกระดูกข้อเท้าอันเกิดจากการวิ่งอีกต่อไป  เพราะออกไปวิ่งไม่ไหว

4. ตอนนี้เวลาคนเรียกว่า ลุง ก็ไม่โกรธ
  
5. ดู music video เพลงรักซึ้งล่าสุดของ อัสนี-วสันต์แล้ว ไม่นั่งเหม่อลอยมองท้องฟ้า หรือต้อง  รีบร้อน message หาใครซักคนเหมือนเคย
 
6. โฆษณากางเกงยีนส์ Armani ลดราคาหน่ะไม่ได้กินเงินผมอีกต่อไปหรอก แต่ถ้า กางเกงชาวเล ลดราคาล่ะก็ ... ไม่แน่
 
7. ตัวแทนบริษัทของประกันไม่ค่อยโทร.มาตื้อแล้ว  หรือไม่ก็เป็นฝ่ายขอวางสายเอง เมื่อทราบอายุ
 
8. มีเงินซื้อ Viagra มาเก็บไว้ดูเล่นเยอะๆ ได้
 
9. ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในช่วงนี้ คุณภาพ น่าจะสำคัญกว่า ปริมาณ
 
10. มีเส้นผมสีขาวแซมรอบศรีษะบ้าง  ก็ดูเท่ดี

11. เริ่มจะเข้าใจแล้วว่า  หากเราหัดทำใจให้กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเก่า  ความเป็นทุกข์จะน้อยลง
  
12. รู้ว่าคนเราควรกินอาหารแต่พอดี  หากใส่เข้าไปมากเกินไป  ตอนจะเอาออกไปให้เหลือสมดุลย์นั้น ยากกว่า ตอนเอาเข้าไป ราวๆ 10 เท่า
 
13. เพิ่งทราบว่า หายใจไม่ถูกวิธีมาตลอดห้าสิบปี  ตอนนี้กำลังฝึกหายใจใหม่ - อย่างมีสติ และเป็นสุข แบบที่ท่านติช นัท ฮันห์ สอนเอาไว้ ( ขอแนะนำว่าทุกคนควรลองหัดนะ ขณะที่ยังสามารถหายใจได้อยู่ )
 
14. ประหยัดค่าไอศครีม hot fudge sundae ราดหน้าวิปครีมไปเยอะเพราะหมอประจำตัวบอกว่า  จะสั่งแบบแพงพิเศษยังไงก็ไม่ว่ากัน  ดูได้  แต่ห้ามกิน
 
15. รู้จักปลูกกล้วยกินเอง
 
16. กินผักหรือผลไม้มื้อเย็นทุกวันก็อิ่มได้  เป็นประโยชน์ และชักจะขาดไม่ได้ซะแล้ว  ส่วนละครทีวี หรือเกมส์โชว์ไม่ได้ดูมาร่วมสิบปีแล้ว  ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ - โดยไม่รู้สึกว่าขาดอะไร

17. ภรรยา เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของชีวิต  และจะอยู่กันจนกว่าจะตายกันไปข้างนึง  ดังนั้นควรทะนุถนอมด้วยความรักอย่าให้บอบช้ำ  หรือโดนกระทบกระเทือนแรงๆ  ไม่ว่าจากเรื่องใดก็ตาม
 
18. สามีที่เป็นสถาปนิกส่วนใหญ่  ก็เปราะบาง และช้ำง่าย  ควรได้รับการเอ็นดูทะนุถนอมจากภรรยาไม่แพ้กัน

19. ลูก ผมไม่มี  แต่หากมี  เค้าก็น่าจะเลือกสิ่งที่เค้าชอบเอง -กล้าตัดสินใจเอง จ ะผิดหรือถูก  ก็เป็นเสี้ยวหนึ่งของชีวิตการเรียนรู้  ควรส่งเสริมและให้กำลังใจ
 
20. ไม่มีใครไม่เคยพลาดหรอก  แต่ขอให้ทำสำเร็จมากกว่าทำพลาด  ก็เพียงพอแล้ว
 
21. ผมบอกหลานๆว่า ขอให้ชำนาญเพียงสามอย่าง หนึ่งภาษาอังกฤษ  สองว่ายน้ำ และสามศิลปะการป้องกันตัว  เพราะเค้าต้องอยู่ในโลกแห่งการต่อสู้นี้อีกนาน
 
22. ควรทำให้คนในบ้าน และคนรอบข้างมีความสุข  ก่อนที่จะเดินทางไปทำบุญทำทานที่ไหนไกลๆ
 
23. ไม่เห็นจะต้องขับรถเร็วมากเหมือนเคยเลย  ปลอดภัยกว่า ถึงที่หมายเหมือนกัน  แถมประหยัดน้ำมันอีกด้วย  แล้วรถยนต์จะยี่ห้ออะไรก็ชักดูคล้ายคลึงกันหมด  ขอให้มันสตาร์ทติดแอร์เย็น  มีลมยาง  และวิ่งได้เถอะ
 
24. เครื่องออกกำลังกาย  ไม่ว่ารุ่นวิเศษแค่ไหน  ถ้าซื้อมาเกินสามเดือนจะกลายเป็นที่พาดผ้าของทุกๆ คนในบ้าน  และถ้าเลยเจ็ดเดือนแล้ว  มันจะถูกย้ายไปอยู่ในห้องเก็บของรวมกับเครื่องอื่นที่เคยซื้อมา

25. 'ทำ ' ดีกว่า ' คิดว่าจะทำ ' - ประมาณ 51 เท่า !
 
26. ข้อดีของการมีอายุมากขึ้นก็คือ ไม่พลาดอย่างที่เคย  ถูกหลอกน้อยลง  เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น  มั่นคงขึ้น และมีเสรีมากขึ้น, ข้อเสีย -ไม่มีหรอกน่า - มองให้มันดีก็แล้วกัน !
 
27. ทัศนคติในปัจจุบัน  น่าจะเป็นผลรวมของบทเรียนดีๆ ที่ผ่านเข้า  มาบวกกับทบทวนความผิดพลาดที่เคยทำไป  ลบด้วยเรื่องที่ควรจะลืมได้แล้ว
  
28. พอเข้าใจโครงสร้างของประเทศไทยของเราได้ดีขึ้น  และก็เรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันท่ามกลางระบอบอันหลากหลาย
 
29. เปิดประตูรับคำสั่งสอนทางศาสนาเข้ามาในชีวิต  เป็นเหยื่อน้อยลงมีความเป็นเจ้าของน้อยลง  กลัวน้อยลง  และเพิ่มเวลาทำใจภาวนาสู่สมาธิ

30. เคยสะสมนาฬิกาดีๆ อยู่เยอะมาก  แต่ตอนนั้นมีเวลาน้อย  ตอนนี้เปลี่ยนใจขายไปแทบหมด  เหลือนาฬิกาอยู่น้อยมาก  แต่ขอสะสมเวลาดีๆ เยอะๆ
 
31. รู้เลยว่าขณะนี้ ชีวิตในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยเหมาะกับผมซะแล้วไม่ถึงกับอยู่ไม่ได้  เพียงแต่ต้องการเดินช้าลง  ในที่กว้างๆ  เงียบๆ  ต้นไม้เยอะๆ  เห็นเส้นขอบฟ้าชัดๆ ได้มองดาวเต็มตาทุกคืน  และอากาศสะอาด
 
32. ผมอยู่ในใจกลางเหตุการณ์สึนามิ  เมื่อสามปีก่อนธรรมชาติและคลื่นยักษ์เหล่านั้น  ได้สอนให้ผมได้รู้จักจุดเปลี่ยนผ่านของชีวิต  ที่ไม่อาจฝืนต้านทานหรือต่อรองใดๆได้  ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม  และรู้จักความงดงามระหว่างเพื่อนมนุษย์  ท่ามกลางโศกนาฏกรรม
 
33. ถ้าอยากได้เพื่อนใหม่ๆ ที่ดี  ก็น่าจะทำสิ่งดีๆ กับเค้าก่อน
 
34. หัวเราะมากๆ  ออกกำลังกาย  และกำหนดลมหายใจ ทุกๆวัน - ทั้งหมอและพระบอกว่า ช่วยรักษาโรคได้สารพัด
 
35. Golf ไม่ใช่กีฬาที่เล่นเพื่อคิดจะชนะใคร  แค่ตกลงกับตัวเองให้ครบทุกอิริยาบถ  ยังทำได้ไม่ทุกครั้งที่ตี
 
36. หนังสือดีๆ ของไทย  ราคาไม่แพงเอาเลย  เมื่อเทียบกับเหล้าขวดนึง
  
37. หากตื่นเช้ามาแล้วกระตือรือล้นอยากทำอะไรแบบนั้นบ่อยๆ  นั่นแหละ ... น่าจะเลือกเป็น อาชีพของคนๆ นั้น  ในทางกลับกัน  หากตื่นเช้าขึ้นมาทุกวันแล้วไม่อยากทำเอาซะเลย  ก็น่าจะเลิกได้แล้ว
 
38. หากเกลียดใครมากๆ  จงยุให้เค้าทำร้านอาหารที่เริ่มต้นขายตั้งแต่เช้า  และให้ขายเหล้าทุกชนิดด้วย  ผมเคยทำแล้ว  รู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์จริงๆตอนที่มีคนมาขอซื้อกิจการต่อ  ก่อนหน้านั้นตกนรกล้วนๆ ทุกคืน  โดยเฉพาะตอนที่นั่งรอคนเมาคนสุดท้ายกลับบ้าน  ช่วงอารมณ์แบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเกลี้ยกล่อมใคร  ที่เหลือสามัญสำนึกน้อยมาก  ให้สำเร็จได้ง่ายๆ
 
39. ผมเองก็เคยเป็นคนเมาคนสุดท้ายที่เพื่อนพาออกจากร้านอาหารบ่อยๆ  โดยที่เจ้าของนั่งรอคอยอยู่  ก็คงต้องเชื่อแล้วล่ะว่า  กรรมสนองมีจริง
 
40. ยิ้ม ช่วยคนไทยได้เสมอ  ในทุกอย่าง  ทุกสถานการณ์
 
41. แคมป์คนงานก่อสร้าง  ตลาดนัดท้ายรถ  อู่ซ่อมมอเตอร์ไซค์  และคาราโอเกะที่เพิ่งมาปลูกอยู่รอบที่ดินผืนงามเชิงเขา  ที่เราหมายจะสร้างบ้านหลังใหม่ซึ่งบรรจงออกแบบตามความฝันมานานนับปี  ถือเป็นตัวแปรผันสำคัญที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย  ทั้งจากข้อมูลทางสถาปัตยกรรมเมืองร้อน  จากระบบสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง  การเข้าถึงอาคาร  ตำราฮวงจุ้ย และอื่นๆอย่างสุดวิสัย - ตอนนี้ ผมกำลังใช้เวลาส่วนใหญ่  ออกแบบป้ายประกาศขายที่ดินให้สวยงาม และน่าดึงดูดใจอยู่
 
42. ก็ตอนปีที่ซื้อมันไม่มีนี่หว่า !  และก็นึกไม่ถึงว่าครอบครัวเจ้าของที่ข้างๆ เค้าจะให้ใครเช่าง่ายๆ  แบบนี้ ! ที่จริงที่ดินก็ราคาแพง  แต่ทราบภายหลังว่าเค้าขายกันไม่ได  ้เพราะพินัยกรรมเขียนไว้ว่าห้ามซื้อขายภายในสิบห้าปีข้างหน้า  ตอนนี้ให้เก็บผลประโยชน์กินเท่านั้น - ผมหน่ะรอนานขนาดนั้นไม่ไหวหรอก  ถึงตอนนั้นอาจทำได้เพียง - เขียนพินัยกรรมเช่นกัน
 
43. ถ้าจะเรียกว่าซวยก็คงได้  แต่หากเรียกว่า ถือเป็นประสบการณ์ก็อาจช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง - เมียผมบอกยังงั้น ; คำสอนของท่านพุทธทาสฯเรียกว่า ' ตถาตา ' หรือ - มันเป็นเช่นนั้นเอง  ตอนนี้ผมกำลังฝึกใจให้ว่างสว่าง สงบ สลับกับดื่มเบียร์เย็นๆ  ดับอารมณ์อยู่ทุกคืน
 
44. ไม่ควรสบประมาทใครเลยทั้งนั้น  เพราะวันหนึ่ง  หากตั้งใจจริงขึ้นมา เค้าอาจจะทำสิ่งนั้นได้ดีกว่าเรามาก
 
45. ตอนที่ยังหนุ่ม และเพิ่งเริ่มต้นทำงาน  ผมเข้าใจว่า  เงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด บัดนี้ - อายุขนาดนี้  ผมและภรรยาเลือกที่จะมีชีวิตอย่างอิสระ  โดยไม่มีสวัสดิการใดๆรองรับ  และรับอุปการะหลานๆ เอาไว้อีก 5 คน ขอบอกว่า  เงินหน่ะ-สำคัญมากจริงๆ !
 
46. แต่คงไม่ที่สุด  เพราะชีวิตในทุกวันที่ผ่านไป  นอกเหนือจากปัจจัยสี่แล้ว  ยังมีความรู้สึกชื่นใจ  ภาคภูมิใจ  ความรัก  รอยยิ้ม  และสำนึกผิดชอบชั่วดี  ซึ่งยังเป็นส่วนที่เงินแลกไม่ได้ทั้งหมด  อีกทั้งการตัดสินใจที่คิดแต่เงินเท่านั้นเป็นศูนย์กลาง  ทำให้ทุกอย่างบิดเบี้ยวเอาได้ง่ายๆ
 
47. ความยังยั่งยืนของความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน  โดยไม่มีเงื่อนไข  คงยืนยันเรื่องเหล่านี้ได้เสมอ
 
48. ที่คุยกัน  ยิ้มกัน  ตลกกันอยู่เนี่ยะนะ  อีกแค่ไม่กี่ปีเอง  จะอายุ 60 กันหมดแล้ว
 
49. ตามสถิติที่เก็บเอาไว้ของกระทรวงสาธารณสุข  พวกเราน่าจะเหลือเวลาเดินไปเดินมา บนโลกนี้อีกไม่เกิน 21-22 ปี  ยกเว้นคนที่โชคดีกว่า
 
50. มาถึงปีนี้แล้ว ... ตอนนี้แล้ว ... ยังจะมีข้ออ้างอะไร ที่จะไม่เลือกทำในสิ่งที่อยากทำอีก ?
 
51. สุดท้าย ... ผมยังหวังที่จะเติบโต และเปลี่ยนแปลงต่อไป  ยังไม่ยอมแก่ง่ายๆ หร๊อก ....
 
       ขอให้สุขภาพกาย สุข ภาพใจ และความรักในครอบครัว แข็งแรง  รวมทั้งสุขแบบยั่งยืนกันทุกคน

 สวัสดีปีใหม่ครับ
 
 เก้า
 
 1 มกราคม 2551, ภูเก็ต
 
 
ป.ล. ที่จริง อยากเขียนให้ครบ 84 ข้อ เท่ากับจำนวนนิสิตในชั้นเรา  แต่ก็นึกได้เพียงเท่านี้  ใครนึกออก  ช่วยกันเติมให้ครบด้วยนะครับ
 
แล้วก็ขอฝากรูปยามเย็น ณ.หาดราไวย์  ที่แวะไปถ่ายมาให้เพื่อนๆ ได้ดูเล่นเย็นๆ ใจ  รับขวัญวันที่อายุมากขึ้นอีกปี








      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #108 เมื่อ: 30 มกราคม 2553, 21:58:56 »

BURNED Biscuit

เสรษฐวิทย์ -นิเทศ 16 ... ส่งมา
 
When I was a kid, my mom liked to make breakfast food for dinner every  now
and then. And I remember one night in particular when she had made  breakfast
after a long, hard day at work.
  
On that evening so long ago, my mom  placed a plate of eggs, sausages
and extremely burned biscuits in  front of my dad. Iremember waiting to
see if anyone noticed ! Yet all my dad  did was reach for his biscuit, smile
at my mom and ask me how my day was  at school.  I don't remember
what I told him that night, but I do  remember watching him smear
butter and jelly on that biscuit and eat every bite !

When I got up from the table that evening, I remember hearing my  mom
apologize to my dad for burning the biscuits.  And I'll never forget  what he
said : " Honey, I love burned biscuits. "

Later that night, I  went to kiss Daddy good night and I asked him if he
really liked his biscuits  burned. He wrapped me in his arms and said,
" Your Momma put in a hard day at  work today and she's real tired. And
besides - a little burnt biscuit never hurt anyone ! "


You know, life is full of imperfect things ..... and  imperfect people.
I'm not the best at hardly anything, and I forget birthdays  and
anniversaries just like everyone else.

What I've learned over the  years is that learning to accept each other's
faults - and choosing to  celebrate each other's differences - is one of
the most important keys to creating a healthy, growing, and lasting
relationship.

And that's my prayer for  you today. That you will learn to take the good,
the bad, and the ugly parts of your life.

We could extend this to any relationship.  In fact, understanding is the
base of any relationship, be it a husband-wife or parent-child or  friendship !

" Don't put the key to your happiness in  someone else's pocket - keep it in
your own. "

So please pass me a biscuit,  and yes, the burnt one will do  just
fine.!.!.!.!
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #109 เมื่อ: 28 กุมภาพันธ์ 2553, 19:35:58 »

ผีเสื้อ : วิกฤตคือโอกาส ( The Power of Failure โดย Charles C. Manz )

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

ในระหว่างทานข้าวกลางวัน  วนิดาซึ่งเป็น ซี อีโอ ถามกิตติผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งที่รายงานตรงต่อเธอว่า    

“ กิตติ พี่สังเกตว่าคุณไม่เคยปิดมือถือเลย  แม้กระทั่งเวลาประชุม  แล้วพี่ก็เห็นคุณขอตัว
ออกไปจากที่ประชุมกลางคันเพื่อรับโทรศัพท์  พี่อยากรู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของใครหรือ
ทำไมมันสำคัญขนาดรอจนจบประชุมไม่ได้  พี่เห็นเป็นประจำเลยนะ ”

กิตติมีท่าทีอึดอัด เขาตอบว่า “ ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องส่วนตัวนะครับ ผมขอโทษ ”
วนิดายิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี เธอเงียบไปสักครู่จึงพูดต่อ “ กิตติ เราสองคนทำงานด้วยกันมาพอสมควร
คิดว่าพี่เป็นพี่สาวของคุณก็ละกัน  เพราะพี่อายุมากกว่าคุณสองสามปี  มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังซิคะ
เผื่อว่าพี่อาจจะแนะนำอะไรให้ได้บ้าง ”  วนิดาเลือกใช้แนวทางพี่น้อง  แทนที่เธอจะตำหนิเขาโดยตรง
ในเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในที่ประชุม แบบเจ้านายกับลูกน้อง

วิธีนี้ได้ผล !  กิตติสารภาพออกมาแบบกระอักกระอ่วน “ ก็...คือว่า...พี่อย่าโกรธผมนะครับ
มันเป็นโทรศัพท์มาจากลูกสาวผมเอง  เธอเพิ่งไปเรียนไฮสคูลที่ออสเตรเลียเมื่อไม่กี่เดือน
โรงเรียนที่ลูกสาวผมเรียนนี้ค่อนข้างจะเข้มงวด แถมมีการบ้านจมเลย  ตอนลูกสาวผมเรียนที่นี่
ผมช่วยติวและทำการบ้านร่วมกับเธอบ่อยๆ  ลูกคนเดียวเธอคือดวงใจของผมเลยครับ
ผมบอกเธอว่าไปอยู่นั่น  ติดขัดเรื่องการบ้านละก็  โทร.มาหาผมได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะเป็นเวลาใด
ผมจะคอยช่วยเหลือเธอผมไม่ต้องการเห็นเธอล้มเหลว  ตอนค่ำเมื่อกลับบ้านผมก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน
แต่จะไปช่วยเธอทำการบ้านแล้วก็แฟ็กซ์ส่งไปเรื่องคณิตศาสตร์บ้าง  ภาษาอังกฤษบ้าง ผมอยากให้เธอประสบความสำเร็จ
ผมต้องขอโทษที่บริหารเวลาไม่ค่อยได้เรื่อง ”  กิตติจบเรื่องลงด้วยท่าทีละอายใจ  วนิดาแสดงความเห็นใจ

“ เรื่องของคุณมันฟังแล้วคุ้นๆ มากเลย  พี่พอจะจินตนาการออกถึงความลำบากใจของเธอ  พี่เองก็มีลูกสาวเรียนปริญญาโทอยู่ที่อเมริกา
พี่เคยทำแบบคุณเหมือนกัน  เพราะลูกสาวพี่จบตรีแล้วไปต่อโทเลย  จึงไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ดังนั้นพอทำกรณีศึกษาก็มักจะ
ไม่ทันเพื่อนเขา หรือไม่เข้าใจ แถมยังไม่กล้าถามอาจารย์อีก  พี่เลยต้องช่วยทำเคส  แล้วก็อีเมล์ไปให้เธอ
แต่ว่าตอนนี้พี่หยุดช่วยเธอแบบนั้นแล้วล่ะค่ะ ”
  
กิตติถามด้วยความประหลาดใจ “ ทำไมล่ะครับ พี่ไม่รักเธอแล้วหรือ  หรือว่าพี่เห็นว่างานมีความสำคัญกว่าครอบครัวครับ ”

วนิดาตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดีว่า “ พี่ยังรักลูก และเห็นคุณค่าของครอบครัว และงานเหมือนเดิม
พี่โชคดีที่มีเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่ง  เขาสังเกตเห็นวิธีที่พี่ช่วยลูกสาว  แล้ววันหนึ่งเขาก็ให้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ
The Power of Failure โดย  Charles C. Manz  และมีการแปลเป็นไทยในชื่อ  วิกฤติคือโอกาส โดยพสุมดี กุลมา
เรียบเรียงโดย นราทิป นัยนา  เพื่อนอเมริกันเขาคั่นเรื่องๆ หนึ่งให้พี่อ่านโดยเฉพาะเลย  พี่จะเล่าให้เธอฟัง ”

 .........

มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม  เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพัก  จนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ
ชายคนนั้นมองด้วยความสนใจ  เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป  ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะดิ้นรนต่อไป  แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเอง
ว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหม  ไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยตนเอง  ด้วยความหวังดี  เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น
ทำให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น  เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา  แต่เขาสังเกตว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ
ปีกเหี่ยวย่น  แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็มีลักษณะบวมผิดปกติ  กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกาย
เพื่อพยายามจะดันตัวมันออกจากรังไหมนั้น  เป็นกระบวนการธรรมชาติที่จะกระตุ้นให้ของเหลวชนิดหนึ่ง  ที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อ
เคลื่อนที่มาสู่ปีก  เพื่อทำให้ปีกแข็งแรงเพียงพอจะบินได้

ด้วยความปรารถนาดีของชายคนนั้น  ผีเสื้อตัวนี้ปีกจึงเหี่ยวย่นไม่แข็งแรงเพียงพอจะบินได้  แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ
เพราะของเหลวที่ควรจะอยู่ที่ปีก  ดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว  เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย
แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน

   .....

อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคน  ก็คล้ายๆกันกับสิ่งที่เจ้าผีเสื้อเผชิญ  ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้
ความก้าวหน้าในชีวิต  การพัฒนาทักษะ  ความกล้าหาญ  ความมุ่งมั่น  ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ
แต่จะได้คุณค่ามาก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี

เราจะคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต  โดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้

เมื่อเราเผชิญอุปสรรค แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน  เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญ
ในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน

กิตติฟังด้วยความสนใจ “ โอ้โฮ เรื่องนี้จุดประกายน่าดูครับ  แต่ผมกลัวว่าลูกผมจะเกลียดผมนะซีครับ ”

วนิดาเสริมต่อ “ มีคำพูดที่ว่า 'No pain No gain'  " ไม่เจ็บ ไม่ได้เรียนรู้"  ที่จริงพวกเรานะผิดเองที่ป้อนลูกๆ เรามากไป
สำหรับกรณีของพี่  พี่อธิบายให้ลูกเขาเข้าใจด้วยการเล่าเรื่องนี้แหละ  หลังจากนั้น พี่ก็ขอโทษสำหรับการให้ความช่วยเหลือลูก
แบบผิดๆในอดีต  ลูกๆ ของเราเขาฉลาดพอจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้นะ ...

กิตติ คุณลองมองไปรอบๆตัวเราสิ  เรามีพนักงานที่มีความรู้ มาจากครอบครัวที่มีฐานะ  หลายคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
พวกเขาไม่อดทนต่อปัญหาและอุปสรรค  คนที่ควรถูกตำหนิคือ  พ่อแม่ของเขา

คุณอยากถูกคนอื่นเขาต่อว่าแบบนี้ในอนาคตไหมล่ะ  แถมลูกๆ ของเรายังอ่อนแอไม่สามารถจะฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคได้ ..

... คุณมีสิทธิ์เลือกนะ … ”
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #110 เมื่อ: 07 มีนาคม 2553, 01:24:45 »

ความสุขที่ถูกมองข้าม

โดย ... พระไพศาล วิสาโล

พรชัย - นิติ 16 ... ส่งมา

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า  ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น  ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์  แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง  ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง  มิใช่เพิ่มมากขึ้น  ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี  ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ  เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า  เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต  เขาพูดถึงตัวเองว่า " ชีวิต ( ของผม ) เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ " ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย  เขาเคยพูดว่า " ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง "  เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข  เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้  ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี  ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่นๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป  ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้

คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?  คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป  เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า  ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที  ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล  ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด  แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้  ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า  ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น  ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว  ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียที  ทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่  แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น  บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด  ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น  บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ  มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย  แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน

ใช่หรือไม่ว่า  สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้น ไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่  มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่  มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่  ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคาร  ก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน  พูดอีกอย่างก็คือ  คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้มากกว่าความสุขจากการมี  มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่  เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม  บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน  แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่  ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา  จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิด  ไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น  ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา  หมาก็จะวิ่งไปคาบ  แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้  มันจะรีบคายของเก่า  และคาบชิ้นใหม่แทน  ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน  ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม  ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา  ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ  เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี  แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า  และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป  ผลก็คือกลับมารู้สึก " เฉย ๆ " เหมือนเดิม  และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก  เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม  แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม  เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ

น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?  เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย  ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง  ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ  ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้  ไม่ให้ใครมาแย่งไป  แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า  ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน  ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว  ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลง และโปร่งเบามากขึ้น  อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก  แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว  และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่  หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น  เมื่อเห็นเขามีของใหม่  ก็อยากมีบ้าง  คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น  การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน  นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น  ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี  ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย  เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดารา หรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา  การมองแบบนี้ทำให้ " ขาดทุน " สองสถาน  คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว  ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก  พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน  แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง

ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมาคาบเนื้อ  คงจำได้ว่า  มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา  ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน  มันมองลงมาที่ลำธาร  เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง ( ซึ่งก็คือตัวมันเอง ) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่  เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ ( และหลง )  มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่  เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ  ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ  ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป  มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่ และเนื้อที่เห็นในน้ำ  บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว  เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น  เมื่อใดที่เรามีความทุกข์  แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว  ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่  ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น  ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม  รู้จักมอง  และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น  แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้  ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี  หรือจากสิ่งที่ มี  ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้  กล่าวคือยิ่งให้ความสุข  ก็ยิ่งได้รับความสุข  สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม  และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดี และทำให้ชีวิตมีความหมาย

จากจุดนั้นแหละ  ก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี  นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง  ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี  และเพราะเหตุนั้น  แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป  ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้  เกิดมาทั้งที  น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้  และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็น และยั่งยืนอย่างแท้จริง

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #111 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 11:30:35 »

* วจนกฺขโม = อดทนต่อถ้อยคำล่วงเกินได้  ประเสริฐยิ่ง *

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา




เมื่อใดที่เราเป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ คำเสียดสี ... เราจะลด และบรรเทากรรมเวรที่ต้องตอบโต้กับผู้กล่าววาจาร้ายใส่เราได้

เป็นการฝึก ขันติ ( อดกลั้น ) ทมะ ( ข่มใจ ) รวมไปถึงอภัยทาน ( ทานที่ทำได้ยาก  เมื่อทำได้จะตัดเวรตัดกรรม ) แก่ผู้ที่มาทำร้ายทางวาจา

บางท่าน  ใครพูดทับถม หรือเสียดสีเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ร้อนใจ นอนไม่หลับ กินไม่ลง สายตาระทม ผิวพรรณหม่นหมอง  เพราะแรงฟุ้งเป็นกิเลสอย่างหนึ่งทำให้คิดหมุนวน  นี่เป็นผลของการเก็บเอาคำพูดของคนอื่นมาทิ่มแทง ใครล่ะที่ยินดีเก็บคำพูดของคนอื่นไว้  ถ้าไม่ใช่ใจท่านเอง

บางท่าน โดนด่า โดนพูดเสียด ตั้งแต่เดือนก่อน  แต่เก็บเอาคำพูดมาแทงตัวเองทุกๆ วัน  รู้หรือไม่ว่าคนที่ด่าท่าน  เขาลืมไปนานแล้ว  ท่านต่างหากที่ยังไม่ลืม  และใช้ใจตัวเองหมักหมมกับถ้อยคำไร้สาระ  เก็บไว้  ไม่ยอมสลัดทิ้ง

ท่านห้ามพระอาทิตย์ไม่ให้ส่องแสงได้  ท่านคงสามารถห้ามคนนินทาได้

ธรรมดา ... ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำกล่าวโทษ  เพ่งโทษ

ธรรมดา ... ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำเสียดสี  เหน็บแนม

ธรรมดา ... ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำด่าทอ  ผรุสวาท

* แต่อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งสมมุติ  ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป  ในที่สุด

ถ้อยคำล่วงเกินต่าง ๆ มันได้ " ดับ " ไปนานแล้ว  ตั้งแต่ที่คน ๆ นั้นเขาพูดเสร็จ  แต่ท่านเองกลับทำให้ถ้อยคำเหล่านั้น " เกิดใหม่ " ทุกๆ วัน  ด้วยการเก็บเอามาคิดแค้นใจ น้อยใจ เสียใจ ไม่หยุดหย่อน *

( * ข้อความจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า * )
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #112 เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2553, 12:02:45 »

มายาการแห่งหลอดด้าย  โดยท่าน ว. วชิรเมธี

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนจาริกปฏิบัติศาสนกิจในฐานะพระธรรมทูตอยู่ที่มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งหลังจบการเสวนาธรรม สตรีสูงอายุคนหนึ่งขอโอกาสเข้ามานั่งคุยกับผู้เขียน ระหว่างการสนทนา ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า น้ำตาเธอคลอหน่วย เมื่อสอบถามถึงสาเหตุเธอจึงตอบว่า ที่น้ำตาคลอหน่วย เพราะรู้สึกดีใจที่ได้มาฟังธรรม แต่พร้อมกันนั้นก็เสียใจจนสะเทือนใจ ที่สะเทือนใจก็เพราะเธอรู้สึกว่า ตนเองได้พบกับธรรมะเมื่ออายุมากแล้ว จึงรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เธอเล่าว่า

" ชีวิตของคนเราก็เหมือนกับเส้นด้าย ที่ถูกดึงออกมาจากหลอดด้ายทีละนิดๆ ขณะที่ดึงด้ายออกมาจากหลอดด้ายนั้น บางทีเราก็รู้สึกกระหยิ่มว่า ยังมีด้ายเหลืออยู่อีกมากมาย จึงชะล่าใจจึงด้ายออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพื่อที่จะพบว่า แท้ที่จริงแล้ว มีด้ายอยู่เพียงนิดเดียว เย็บผ้าได้เพียงนิดหน่อยก็หมด หากแต่ที่เราเห็นว่า ยังคงมีด้ายเหลืออยู่เยอะแยะนั่นเป็นเพราะว่า แกนด้ายมันใหญ่ต่างหาก...แกนด้ายมันหลอกตาให้เราพลอยชะล่าใจ ... "

พลันที่เธอเล่าจบ  ผู้เขียนก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในใจ  ผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ได้มาฟังเทศน์เสียแล้ว  แต่เธอมาเทศน์ต่างหาก  เธอกำลังเทศน์เรื่อง " ความสำคัญของเวลา " และ " คุณค่าของชีวิต "
 
เคยได้ยินคำพูดในทำนองนี้บ่อยๆ ว่า เรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเท่ากัน  ทว่าเราได้ประโยชน์จากเวลาไม่เคยเท่ากัน  สำหรับบางคนเวลา ๒๔ ชั่วโมงช่างแสนสั้น  แต่สำหรับบางคน ๒๔ ชั่วโมง ช่างเป็นเวลายาวนานเหลือแสน  ผู้หญิงคนนี้เธอบอกว่า เธอเสียดายที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก อยากจะปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด  ก็เกรงว่าเวลาจะมีไม่พอ

ผู้เขียนจึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่สำคัญที่เวลา แต่สำคัญที่ " ปัญญา " สำหรับคนมีปัญญากล้าแข็ง อย่าว่าเป็นวันเลย บางที นาทีเดียวก็บรรลุธรรมได้ สำหรับคนเขลา ต่อให้ภาวนาทั้งชีวิต บางทีก็ยังไม่เห็นผล คนที่อยู่ในวัยสนธยา จึงไม่ควรน้อยใจว่า เรามีเวลาไม่พอ แต่ควรจะบอกตัวเองว่า เรายัง " พอมีเวลา " ต่างหาก

แต่คนที่คิดว่าเรายัง " พอมีเวลา " ก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีการคิดด้วยท่าทีที่เป็นบวกอย่างนี้ ก็ทำให้ประมาท และเป็นเหตุให้พลาดโอกาสที่จะเร่งรัดทำสิ่งดีๆ

ดังนั้น นอกจากจะคิดว่ายังพอมีเวลาแล้ว ก็ควรจะคิดเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า " วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต " ด้วย เพราะหากเราคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่ต้องทำแข่งกับเวลา และนั่นจะทำให้เวลา กลายเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดของชีวิตได้ในทุกๆ วัน

เราเคยได้ยินพระท่านสอนอยู่บ่อยๆ ว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า การฆ่าเวลาต่างหากที่เป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า เพราะเมื่อคุณฆ่าสัตว์ หากสำนึกได้ คุณก็อาจจะไปหาสัตว์มาปล่อยเอาบุญ แต่หากคุณฆ่าเวลาด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงแม้คุณจะสำนึกผิด กลับมาเห็นคุณค่าของเวลา ทว่าก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่ผ่านไปแล้วให้หวนคืนกลับมาได้อีก เราทุกคนต่างก็มีเวลาที่ไม่อาจรีไซเคิล ไม่ว่าคุณจะมีเงินมหาศาลสักกี่ล้านล้านดอลล่าร์ก็ตามที  สำหรับเวลานั้น ผ่านแล้ว ผ่านเลยนิรันดร์

ครั้งหนึ่งลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนปริศนาธรรมไว้ว่า
" ใคร คือ คนสำคัญที่สุด
งานใด คือ งานที่สำคัญที่สุด
เวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด"

ตอลสตอยตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็เฉลยว่า

" คนสำคัญที่สุด ก็คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา
งานสำคัญที่สุด ก็คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้
เวลาที่ดีที่สุด ก็คือ เวลาปัจจุบันขณะ "


ทำไมคนที่อยู่เบื้องหน้าเราจึงสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า ในชั่วชีวิตอันแสนสั้นนี้ เรากับเขาอาจมีโอกาสพบกันได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้น เราจึงควรทำให้การพบกันทุกครั้ง เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองอันแสนวิเศษที่ต่างฝ่ายต่างควรสร้างความทรงจำแสนงามไว้ให้แก่กันและกันตลอดไป

เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น รู้เกลียดยาวนานกว่ารู้รัก  หากการพบกันครั้งแรกนำมาซึ่งความรัก และหากเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียวของชีวิตในอนันตจักรวาล นั่นก็นับว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดแล้วสำหรับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน

ทำไมงานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ จึงเป็นงานสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ  เพราะทันทีที่คุณปล่อยให้งานหลุดจากมือคุณไป งานก็จะกลายเป็นของสาธารณ์ หากคุณทำงานดี มันก็คือ อนุสาวรีย์แห่งชีวิต และหากคุณทำงานไม่ดี มันก็คือ ความอัปรีย์แห่งชีวิต

ตอนแรกคุณเป็นผู้สร้างงาน แต่เมื่อปล่อยงานหลุดจากมือไปแล้ว งานมันจะเป็นผู้ย้อนกลับมาสร้างคุณ

ทำไมเวลาที่ดีที่สุด จึงควรเป็นปัจจุบันขณะ คำตอบก็คือ เพราะเวลาทุกวินาทีจะไหลผ่านชีวิตเราเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าคุณจะหวงแหนเวลาขนาดไหน มีเงินมากเพียงไร ก็ไม่มีใครสามารถรื้อฟื้นเวลาที่ล่วงไปแล้วให้คืนกลับมาได้

ทุกครั้งที่เวลาไหลผ่านเราไป หากเราไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชีวิตของคุณก็พร่องไปแล้วจากปวงประโยชน์มากมายที่คุณควรได้จากห้วงเวลา

เวลาไม่มีตัวตน แต่หากเรามีปัญญา ก็สามารถสร้างคุณค่าที่เป็นรูปธรรมจากเวลาได้อเนกอนันต์ คน - - แม้มีตัวตนเห็นกันอยู่ชัดๆ  แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต่อเวลา  ถึงมีตัวตนเป็นคนอยู่แท้ๆ  แต่ชีวิตก็อาจว่างเปล่ายิ่งกว่าเวลา
 
ทุกวันนี้ เราทุกคนกำลังสาวด้ายแห่งเวลาในชีวิตออกมาใช้กันอยู่ทุกขณะจิต  เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า  เส้นดายแห่งเวลาในชีวิตของเราเหลือกันอยู่สักกี่มากน้อย  เราถนัดแต่สาวด้ายออกมาใช้ หรือว่าเราใช้เส้นดายแห่งเวลาอย่างมีคุณค่าที่สุดแล้ว ?
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #113 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2553, 13:20:09 »

 สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ....เข้ามาอ่านข้อคิดคำคมค่ะเป็นกำลังใจให้ชีวิตจริงๆค่ะ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #114 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553, 01:12:55 »

ยินดีค่ะน้องอ้อย ... ถ้ามีเรื่องที่ให้ข้อคิดดีๆ  ก็เอามาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ

Mother Monkey‏

เศรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

Two blind people wanted to drink water at the RagiGudda temple, Bangalore. When they were unable to operate the tap, this mother monkey opened the tap for them, allowed them to drink water, drank some water herself and then closed the tap before leaving the scene.



It is proof that humanity does exist - even if we humans have forgotten it ourselves ...

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #115 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2553, 00:21:51 »

Beautiful Sentiments and Photos

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

We never get what we want,

We never want what we get,

We never have what we like,

We never like what we have.

And still we live & love.

That's life...



The best kind of friends,

Is the kind you can sit on a porch and swing with,

Never say a word,

And then walk away feeling like it was the best conversation you've ever had.



It's true that we don't know

What we've got until it's gone,

But it's also true that we don't know

What we've been missing until it arrives.



Giving someone all your love is never an assurance that they'll love you back!

Don't expect love in return;

Just wait for it to grow in their heart,

But if it doesn't, be content it grew in yours.



It takes only a minute to develop a crush on someone,

An hour to like someone,

And a day to love someone,

But it takes a lifetime to forget someone..



Don't go for looks; they can deceive.

Don't go for wealth; even that fades away.

Go for someone who makes you smile,

Because it takes only a smile to

Make a dark day seems bright.

Find the one that makes your heart smile!



May you have

Enough happiness to make you sweet,

Enough trials to make you strong,

Enough sorrow to keep you human,

And enough hope to make you happy.



Always put yourself in others' shoes.

If you feel that it hurts you,

It probably hurts the other person, too.



The happiest of people

Don't necessarily have the best of everything;

They just make the most of everything that comes along their way.



Happiness lies for

Those who cry,

Those who hurt,

Those who have searched,

And those who have tried,

For only they can appreciate the importance of people

Who have touched their lives.



When you were born, you were crying

And everyone around you was smiling.

Live your life so that when you die,

You're the one who is smiling

And everyone around you is crying.



Please send this message

To those people who mean something to you,

To those who have touched your life in one way or another,

To those who make you smile when you really need it,

To those that make you see the brighter side of things when you are really down,

To those who you want to know

That you appreciate their friendship.

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #116 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2553, 12:32:34 »

ปรัชญาความพอเพียง เศรษฐีกับชาวนา‏

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา














      บันทึกการเข้า
ภาณุ ปาตานี
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,254

« ตอบ #117 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2553, 21:23:36 »

สวัสดีครับพี่เจี๊ยบ

แวะมาเยี่ยมครับ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #118 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2553, 21:41:17 »

สวัสดีครับ น้องYA ... มาเยี่ยมอย่างเดียวเหรอครับ ?  อ่านซักนิด อ่านซักหน่อยน่า ...

ใบลาออกจากความทุกข์

ดร.นัยนา - ครุ 17 ... ส่งมาจาก USA















      บันทึกการเข้า
ภาณุ ปาตานี
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,254

« ตอบ #119 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2553, 23:27:42 »

อ่านแล้วครับพี่เจี๊ยบ

ท่าทางใบลาออก..จะไม่ได้รับการอนุมัติครับ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #120 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2553, 00:52:28 »

ha  ha  ha !   แปลว่าน้อง YA ก็ยังทุกข์อยู่สินะ ... งั้นอ่านเรื่องนี้ต่อเลยคร้าบ บ บ บ บ


ตำราแห่งชีวิต

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้ ... บอกว่าเป็น " สูตรแห่งชีวิตประจำวัน " ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก , ห่วงใย และต้องการให้เขา หรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ ...

ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ  เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น " ตำราแห่งชีวิต " ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา  และคำแนะนำก็น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา , ใครจะทำก็ได้ , ไม่ทำก็ได้ , เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล , ไม่บังคับยัดเยียดกัน , ไม่ต่อว่าต่อขานกัน , แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง , ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน  สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กัน และกันอย่างยิ่ง

สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้

๑. ดื่มน้ำให้มาก

๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา , รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชาย  และเมื่อถึงอาหารเย็น  ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน  แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า , และกลาง ๆ ตอนเที่ยง และตกเย็นแล้ว  ทำตัวเป็นยาจก ไม่มีอะไรจะกิน ... สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ

๓. กินอาหารที่โตบนต้น และบนดิน , พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน

๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E... นั่นคือ energy หรือพลังงาน , enthusiasm หรือกระตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ

๕. หาเวลาทำสมาธิ หรือสวดมนต์เสมอ

๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง , อย่าเครียดกันนักเลย

๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น ... ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา

๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้

๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง

๑๐. เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที , แล้วแต่จะสะดวก  ไม่ต้องเครียดกับมัน  วันไหนไม่ได้เดิน  ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน

๑๑. ระหว่างเดิน  อย่าลืมยิ้ม

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกาย และใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ  หากทำเป็นกิจวัตร   ชีวิตก็จะแจ่มใส แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิด  ถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้  วันนี้ทำไม่ได้  พรุ่งนี้ทำก็ได้  แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง  ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเอง ที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพ มีอย่างนี้ครับ

๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น  คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้น  เขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุม หรือกำหนดไม่ได้  แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย  ก็ทุ่มเทกำลัง และพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้ ... รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก  เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

๕. อย่าเสียเวลา และพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ .... นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ

๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ๆ ... คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย  และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย  เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร ... จงอย่าเกลียดคนอื่น

๑๐. ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น  จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

๑๑. ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง

๑๒. จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน  คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร  ซึ่งมาแล้วก็หายไป ... เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต ... แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต

๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกเถียงกับคนอื่นหรอก ... บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้ ... เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร

แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชน และคนรอบข้างเราล่ะ ?

๑. อย่าลืมโทรฯ หาครอบครัวบ่อย ๆ

๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน

๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง

๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ

๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน

๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณ  ไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย

๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก  แต่ครอบครัว และเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ  ดังนั้นอย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด  

และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้ , ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้

๑. ทำสิ่งที่ควรทำ

๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ , ไม่สวย , ไม่น่ารื่นรมย์ , จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม ?

๓. เวลา และพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้

๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด , เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน

๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน , จงลุกจากเตียง, แต่งตัว และปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย ... get up, dress up and show up.

๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง

๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้ , อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย

๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ ... ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า ?
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #121 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2553, 22:30:28 »

สุดมือสอย ก็ปล่อยมันไป

เศรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

ไม่มีใครทำให้คนทุกคนรักเราได้
อาจจะมีคนชอบในตัวเรา 10 คน  แต่ก็มีคนเกลียดเรา 100 คน
แคร์คนที่แคร์เรา ไม่แคร์คนที่ไม่แคร์เรา
มีมิตรแท้เพียงหนึ่ง ดีกว่ามีเพื่อนกินเป็นร้อย

 

เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ ปล่อยมันไป ”

ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด  แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป  เพราะหากเรามัวแต่จะ “ นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่ ( มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง )  

ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้  เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ ปล่อยมันไป ”

เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว ... อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด ... แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ

เรามีเวลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้  ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า  พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด  อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเอง  เพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์  แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #122 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2553, 22:58:03 »

ทำไมคนที่ฉลาดเท่ากัน ถึงมีบั้นปลายชีวิตที่แตกต่างกัน‏ ?

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

       เคยนึกบ้างไหมว่าในอนาคตคุณน่าจะเป็นคนที่ล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ ? ... แน่นอนว่าเราทุกคนต่างก็มีความฝัน  แต่มีสักกี่คนที่ทำได้ดั่งที่ใจฝันไว้  มีคนจำนวนไม่น้อยที่ละทิ้งความฝันเพียงเพราะเจออุปสรรค  จึงทำให้โอกาสดีๆ ในชีวิตหลุดลอยไป  และนี่คือสิ่งที่ทำให้แต่ละคนมีบั้นปลายชีวิตที่แตกต่างกัน


          ความแตกต่างระหว่างคนที่ล้มเหลว และคนที่ประสบความสำเร็จคือ " แนวคิดในการใช้ชีวิต และการเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น "  คนที่ประสบความสำเร็จ มักจะเป็นคนที่มีมุมมองที่ไม่เหมือนคนทั่วไป " วิธีคิด และมุมมอง  ทำให้ชีวิตของคุณประสบความสำเร็จ และแตกต่างจากคนอื่น "

         สิ่งที่คุณคิด และมุมมองของคุณที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันจะเป็นตัวบ่งชี้อนาคตของคุณในภายภาคหน้า  บางคนเมื่อวัยเด็กเป็นคนฉลาด เรียนรู้เร็ว มีความคล่องแคล่ว ว่องไว กล้าพูดกล้าทำ หัวสมองดีจดจำตำราได้แม่นยำ  แต่ปัจจุบันเขาเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือน  ในขณะที่อีกคนก็มีลักษณะไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่นัก  แต่กลับเป็นเศรษฐีพันล้าน

         สาเหตุที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ และความล้มเหลวคืออะไร ? ... ความจริงแล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ตัวเราเองคือผู้กำหนด  เห็นได้จากสิ่งที่กระทำในปัจจุบันจะส่งผลโดยตรงต่ออนาคต  คนที่รู้จักอดออม  ในภายภาคหน้าก็จะมีเงินทอง ไม่ขัดสน  ส่วนบางคนมีเงินเยอะ  แต่ใช้ฟุ่มเฟือย  ในอนาคตอาจจะหมดตัว ไม่เหลืออะไรเลย

         วันนี้เราลองมองดูตัวเองสิว่า  ปัจจุบันเราทำอะไรอยู่  และในอนาคตเราจะเป็นอย่างไร  เปิดใจให้กว้าง  ประเมินตัวเองอย่างตรงไปตรงมา  มนุษย์เราทุกคนเกิดมาก็มีอะไรไม่แตกต่างกัน ( ยกเว้นคนพิการ )  การที่เราจะประสบความสำเร็จในชีวิต  ก็ต้องเห็นโอกาสก่อนคนอื่น  ต้องรู้จักคิดวางแผนชีวิต  และกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน  เวลาผ่านไปรวดเร็ว  อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง  รีบวางแผนชีวิตเสีย  ตั้งแต่วันนี้เพื่ออนาคตที่ดีในวันข้างหน้า

คนที่ประสบความสำเร็จ  ส่วนใหญ่มักจะมีลักษณะเด่น  ดังนี้

         ชอบคิด  แต่ไม่ใช่การคิดในลักษณะที่เพ้อฝัน  ให้คิดในสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้  “ มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ”  นี่คือเคล็ดลับเศรษฐีร้อยล้าน

        มีทัศนคติที่ดี และเชื่อว่าสามารถเป็นไปได้  ความเชื่อจะทำให้ทุกสิ่งเป็นจริงและเป็นไปได้

        ไม่ตีกรอบตัวเองให้อยู่จุดเดิม  รู้จักมองโลกให้กว้างขึ้น  หาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต  เพื่อโอกาสที่ดีกว่า

        มีจุดมุ่งหมายชัดเจน  และเดินหน้าตามแผนที่ตั้งไว้อย่างจริงจัง  ไม่เห็นปัญหาเป็นเรื่องใหญ่  เพราะปัญหามีไว้ให้แก้  และหากทำได้ก็คือ " เราอยู่เหนือปัญหา "

         หมั่นสำรวจตัวเองอยู่เสมอ  รู้จุดอ่อน และจุดแข็งของตัวเอง  จะทำให้เรามองเห็นจุดบกพร่องที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จได้อย่างชัดเจน

         มีความกระตือรือร้น หรือความมุ่งมั่นในสิ่งที่จะทำ  เห็นคุณค่า และรักในงานที่ทำ  สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีความกระตือรืนร้นที่จะทำให้สำเร็จ

         บุคลิกดีดูมีชีวิตชีวา  หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส  ใครเห็นก็อยากคบหาสมาคมด้วย  เป็นการสร้างโอกาสในสังคมให้แก่ตัวเองได้เป็นอย่างดี

         มีพลังแห่งการตัดสินใจ  เราต่างมีพลังมหาศาลที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวกันอยู่แล้ว  โดยต้องเกิดจากการตัดสินใจก่อนที่จะมีการลงมือทำ  สิ่งที่เราประสบต่างเป็นผลจากการตัดสินใจของเราเอง  การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นกับชีวิต

         พัฒนาตัวเอง  ต้องทำตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสที่จะผ่านเข้ามา  เพราะโอกาสอาจไม่เกิดขึ้นอีก  หากไม่รู้จักเตรียมตัวให้พร้อม  โอกาสอาจหลุดลอยไปอย่างรวดเร็ว  รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่อยู่รอบข้าง  อาจมีทั้งความคิดเห็นในแง่บวก และลบ  ซึ่งความคิดเห็นทั้งสองลักษณะล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น  บางครั้งความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ  ก็อาจนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้

         คิดบวก  การที่จะล้มเหลวหรือประสบผลสำเร็จนั้น  วัดกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการคิด  เลือกคิดบวกเริ่มต้นคุยถึงสิ่ง ดีๆ  เลือกรับข้อมูลที่สร้างสรรค์  ที่จะช่วยกระตุ้น หรือสร้างแรงบันดาลใจในทางที่ดี  นอกจากนี้แล้วการอยู่ในสังคมที่คิดบวก  ก็จะเป็นคนที่คิดทางบวก  มากกว่าคนที่คิดทางลบ

         ยอมรับสิ่งใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลง  คนที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่ " หยุดนิ่ง "  มีความยืดหยุ่นสูง  สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามสถานการณ์ปัจจุบัน

         รู้จักบริหารเวลา  ผู้ที่ประสบความสำเร็จต้องรู้จักบริหารเวลาของตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ

         " บางครั้งการฉุกคิดได้  ก็อาจนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ "

         แนวคิดในการใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสม  จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จในชีวิตได้  คำถามที่ว่านั้นปลายของชีวิตคุณจะเป็นเช่นไร  คำตอบจึงขึ้นอยู่กับแนวความคิด และมุมมองของคุณนั่นเอง


         เอิ่ม ม ม ม !  สำนวนแบบนี้  คลับคล้ายคลับคลาว่า  น่าจะต่อด้วย " คุณควรเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาธุรกิจขายตรง ยี่ห้อ XXXXX  เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แบบยั่งยืน " ... ว่าแล้ว up line ก็จะชวนคุณไปฟังแผนธุรกิจ เป็นอันดับต่อไป  ยังไงยังงั้นเลย !   ha   ha   ha !   ( ... ผู้โพสต์เมนต์เองแหละจ้า ... )
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #123 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2553, 17:04:43 »

ความจริงหลังแต่งงาน‏

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

กิจกรรม                                  คู่รักที่เพิ่งรักกัน                 ที่อยู่กันมาได้สักพักหรือนานมากแล้ว

นั่งดูทีวีรายการซูเปอร์โมเดลเดินแฟชั่น ฝ่ายชายบอกฝ่ายหญิง ถ้าน้องใส่ชุดนั้น คงสวยกว่านางแบบอีก  ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรฝ่ายหญิงคิดอยากได้ชุดมาใส่ ส่วนฝ่ายชายภาวนาอยากได้คนใส่มาสวมแทนที่ฝ่ายหญิง
 
ไปจ่ายตลาดซูเปอร์มาร์เก็ต  ฝ่ายชายถือตะกร้าเดินตามฝ่ายหญิง และชี้ชวนให้ดูโน่นดูนี่อย่างไม่รู้เบื่อ   ฝ่ายชายนั่งอยู่ที่รถ และแถมยังกำชับว่าให้ซื้อเร็วๆ และอย่าลืมซื้อบุหรี่มาให้ด้วย

ไปดูภาพยนตร์  ต่างฝ่ายต่างชวนกันดูหนังเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่ตลอด  ไม่ได้ดูด้วยกันนานแล้ว

เพศสัมพันธ์    แค่ถูกตัวกันนิดเดียว ก็วูบวาบแล้ว    ขนาดแก้ผ้าเดินชนกันก็ยังไม่รู้สึกอะไร

ลูก    ผมอยากมีลูกกับคุณ น้องอยากมีลูกกับพี่    มันลูกฉันคนเดียวเหรอ หัดดูแลมันบ้างซี่

กินข้าว    กินไปดูหน้ากันไปอย่างอร่อยหวานชื่น    ก้มหน้าก้มตากินไปให้เสร็จๆ

ไปเที่ยวกลางคืน    ฝ่ายชายยืนยันให้ฝ่ายหญิงไปด้วย เพราะเพื่อนๆ อยากรู้จัก    ฝ่ายชายยืนยันว่า อย่าไปเลย เพราะเพื่อนๆ จะคุยธุระกัน

การเงิน    ใช้กระปุกหมูน่ารักใบเดียวกัน    ฝ่ายชายใจกว้าง ( กับคนนอกบ้าน ) ส่วนฝ่ายหญิงก็ขยันหาเงิน ( จากกระเป๋าตังค์ผัว )

แต่งงาน    อยากแต่งเร็วๆ เห็นสวรรค์อยู่รำไร     นรกมีจริง !

ไปเที่ยวต่างจังหวัด    คิดหาทางตลอดเวลา    คิดหาทางเหมือนกัน แต่ต่างคนต่างไป

ไปทำงานต่างจังหวัด    ไม่อยากไปเลย    ถึงนายไม่สั่ง ก็จะหาทางไป

ฮันนีมูน    เราต้องไปทุกปี (นะ)    มูนแมนอะไร ไม่รู้จัก ( โว้ย)  

ดนตรี    ทำไมชอบเพลงและศิลปินคนเดียวกันเลย    คุณชอบมันไปได้ยังไง ไม่เห็นได้เรื่อง

กีฬา    หาทางเล่นด้วยกัน    ถ้าต้องเล่นด้วยกัน ไม่เล่นเสียดีกว่า

อาบน้ำ    อาบด้วยกันนะ จะได้ผลัดกันถูหลังให้    อย่าเลย เสียเวลา อาบเองสะอาดกว่า

ตา    มองอะไรก็สวยไปหมด    มองอะไรก็มืดมนไปหมด

หู    ฟังอะไรก็ให้คล้ายเสียงนกไนติงเกล    ฟังเสียงมันทีไร แน่นหน้าอกทุกที

คอ    หมายถึงซอก มีไว้จูบ    หมายถึงก้าน มีไว้เตะ

จมูก    เอาไว้ใช้หอมกัน    เอาไว้ใช้พิสูจน์กลิ่นน้ำหอมแปลกปลอม

ปาก    เอาไว้จูบกัน    เอาไว้จวกกัน

ที่นอน    เอาไว้เล่นกายกรรมด้วยกัน    ใช้นอนจริงๆ ( ต่างคนต่างนอน )

บ้าน    คือวิมานของเรา    คือวิมานของตู ( เวลามันไม่อยู่ )

ลืมของ    กุลีกุจอช่วยหา    แค่นี้ทำไมต้องลืม ( เรื่องของมึง)  

ของโปรด    ประเคนให้กันสม่ำเสมอ    เคยซื้อให้ ก็ไม่เห็นตื่นเต้น เลยไม่ซื้อแล้ว

สิ่งศักดิ์สิทธิ์    เจ้าประคุณ ขอให้สมรักด้วยเถิด    ถ้าให้มันตายไปวันนี้พรุ่งนี้ จะเอาหัวหมูกี่หัวก็ยอม

ชี้นก    ขนาดบอกว่าไม้ ยังเชื่อ    นกมันก็คือนก แล้วทำไม (วะ)

น้ำต้มผัก    ยังสามารถบอกว่าหวาน    ไม่รู้จะทำกับข้าวอะไรแดกแล้วหรือไง (วะ)

ไม่อาบน้ำ    ยังบอกว่าหอมตามธรรมชาติ    ขนาดอาบแล้ว (+ใส่น้ำหอมด้วย ) ยังไม่อยากเข้าใกล้

วันเกิด    เตรียมหาของฉลองล่วงหน้าเป็นเดือน    ฟ้าให้ข้าเกิด ทำไมต้องให้มันมาเกิดด้วย

แก่    แก่แค่ไหนก็จะรักเสมอ    ( อี/ไอ้ ) แก่เอ้ย

ก่อนนอน    กอดกันกลมดิก    ไหว้พระสวดมนต์ทำใจ

ตื่นนอน    อยากเห็นหน้าเธอ    ผวาทุกเช้า เมื่อหันมาเจอ

เจ็บป่วย    เธอเจ็บ ฉันก็เจ็บด้วย    แค่นี้ ไม่เห็นเป็นไร ไปเอาพาราฯมากินซะ แล้วอย่าวุ่นวาย

วันตาย    เราจะตายด้วยกัน    แกก่อน ฉันทีหลัง

หมอดู    ดวงเราสมพงษ์กันใช่ไหม ?    ไอ้หมอดูระยำ ! อย่าให้เจออีกนะมึง

ชาติก่อน    เราคงเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ    กูคงทำกรรมมามากแน่ๆ

ชาติหน้า    ชาติหน้ามีจริงขอให้เป็นเนื้อคู่กันอีก    ชาติหน้ามีจริงขออย่าได้เจอกันอีก



 
 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #124 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2553, 21:02:40 »

วิธีอยู่กับคนที่เรารูสึกไม่ดี ... โดย ว.วชิรเมธี

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

 รู้ไหมว่า  เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี ?

 ชีวิตนั้น สั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก  จะตายวัน ตายพรุ่ง ก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า

 ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง

 หมั่นไส้คนนั้น  ปลาบปลื้มคนนี้  ริษยาเจ้านาย  ใส่ไคล้ลูกน้อง

 ปกป้องภาพลักษณ์ ( อัตตา )  กด ( หัว ) คนรุ่นใหม่  หลงใหลเปลือกของชีวิต
  
 โดยลืมไปเลยว่า  อะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง

 คิดดูเถิดว่า  เราจะขาดทุนขนาดไหน  

 ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า  

 '' น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง  ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน

 ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน  จะกำนัลโลกนี้มีงานใด ''
  
 คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ

 ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก

 เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส  กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ

 กิเลสไม่เคยเหนื่อย  แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า  

 ควรคิดเสียใหม่ว่า  

 เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร

 หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง

 แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้  

 เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ  

 เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า

 ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร  มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ

 นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า

 เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง

 คนทุกคนนั้น ต่างก็มีดี มีเสียอยู่ในตัวเอง

 ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา

 จิตใจของเราก็เร่าร้อน  หม่นไหม้

 เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น  

 ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า  

 บางที่คนที่เราลอบมอง  ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น

 เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย

 เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคือง และอารมณ์เสีย

 วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย
  
 ลองเปลี่ยนวิธีคิด  วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

 คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อม  

 หรือเลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก

 เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี

 ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว

 มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม  

 อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิด ปล่อยวางเสียบ้าง

 ความโกรธ  ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย

 มุ่งไปข้างหน้า  ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า  

 วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น  นักภาวนาเรียกว่า '' การกลับมาอยู่กับตัวเอง ''

 กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก

 แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆ ไปตลอด  

 ก็ควรหันกลับเข้ามา '' มองด้านใน ''

 แก้ไขที่ตัวเอง  อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น

 เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น  ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห

 ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด

 สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

 วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดี หรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ

 การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่ที่เราทุกขณะ

 หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด

 อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์  

 ปราชญ์จีนบอกว่า  

 '' ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า  อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา  แต่จงย้ายตัวเอง ''  

 ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างใน  หรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก ?  
 
 
 
      บันทึกการเข้า
Kittiwit Pk
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 281

« ตอบ #125 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2553, 21:32:19 »

Ummh Good topic and I want to stay young.
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #126 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2553, 21:31:30 »

True Friends Are Hard to Come by .....

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07 ... ส่งมา

After losing his parents, this 3 year old orangutan was so depressed he wouldn't eat and didn't respond to any medical treatments. The veteranarians thought he would surely die from sadness. The zoo keepers found an old sick dog on the grounds in the park at the zoo where the orangutan lived and took the dog to the animal treatment center. The dog arrived at the same time the orangutan was there being treated. The 2 lost souls met and have been inseparable ever since.

 

The orangutang found a new reason to live and each always tries his best to be a good companion to his new found friend. They are together 24 hours a day in all their activities.

 

They live in Northern California where swimming is their favorite past time, although Roscoe ( the orangutan ) is a little afraid of the water and needs his friend's help to swim.

 

Together they have discovered the joy and laughter in life and the value of friendship.


 
They have found more than a friendly shoulder to lean on.



Long Live Friendship ! ! ! ! ! ! !  

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #127 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553, 23:40:19 »

คนขายสุนัข และลูกสุนัข 7 ตัว

สุภัทรา - เภสัช 16 ... ส่งมา

ร้านค้าแห่งหนึ่งติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว  เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็กๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น  มาชมลูกสุนัขทุกวัน  แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ  เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี  มีราคาค่อนข้างแพง



วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน  เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่งก็มากระตุกชายเสื้อเขา  เขาก้มลงมอง  และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่

" เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย  ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว  พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว  ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ ? " เด็กบอกอย่างสุภาพ

" อ๋อ  ได้สิหนู  พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ " เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี  แล้วผิวปากเรียกสุนักทั้งเจ็ดออกมา

เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งต้วมเตี้ยมออกมาทีละตัว  เขานับ ... แต่ก็มีแค่ 6 ตัวเท่านั้น
" ไหนว่ามีเจ็ดตัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ ? " เด็กชายถาม  เจ้าของร้านตอบว่า
" อ๋อ เปล่าหรอกหนู  ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว  เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี  มันก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ๆ ของมันไม่ได้ "

สิ้นคำเจ้าของร้าน  ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา  ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว  มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน  ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ดๆ  เห็นได้ชัดว่ามันพยายามคลานมาหาเขา  หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ตลอดเวลา  มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย  ท่าทางจะชอบเขามาก  เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา  ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า

" หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ ? "

" ปกติ  อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ " เจ้าของร้านตอบ  เด็กชายนิ่งอึ้งไป ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ  เขามีเงินอยู่เพียง 450 บาทเท่านั้น

" ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้ " เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ  เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า
 " โอ๊ะ ! หนู  ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ  ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก  อายกให้หนูฟรีๆ ไปเลย " เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป  ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า

" ทำไมครับ  ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้ ? "

" ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ  ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อมๆ พี่ๆ น้องๆ ของมัน  และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว  เพราะมันพิการ  วิ่งก็ไม่ได้  กระโดดก็ไม่ได้  ความจริงอาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ  ลองดูตัวอื่นดีไหม ? " เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า

" คุณอาดูอะไรนี่สิครับ " ว่าแล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น  เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่าขาของเด็กชายคนนี้ เล็กลีบ  เช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข  แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้  ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้

" คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน  ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ  วิ่งก็ไม่ได้  กระโดดก็ไม่ได้  อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ ? " เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป  ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา  เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า
 
" ผมจะซื้อหมาตัวนี้ในราคา 2,000 บาท  เท่ากับลูกหมาตัวอื่นๆ  แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ  ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอาขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้  เดือนละ 100 บาท ทุกเดือน จนครบ 2,000 บาท  คุณอาจะว่าอย่างไรครับ ? "

เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน  ทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กชาย และกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ  พลางกล่าวขอโทษขอโพย  ในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป  เขาบอกว่าไม่ขัดข้อง  ที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้  และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย  พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก

.....................
      
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  อย่าตัดสินคุณค่า จากรูปลักษณ์ภายนอก

ที่มา : นิทานสีขาว
เล่าโดย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา  
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #128 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2553, 16:14:49 »

ความสุข เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึง

จาก คุณบุญพา JobBkk

คุณบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงาน และมีลูก ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น
แต่เมื่อมีลูก และลูกของคุณยังเล็กอยู่  คุณก็เกิดความรู้สึกว่า  เมื่อเขาโตขึ้นเราคงมีความสุข และสบายขึ้น

แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น  จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น  คุณกลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง
และเมื่อลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้  คุณคิดว่า คุณจะมีความสุขมากขึ้น
แต่คุณกลับบอกกับตัวเองอีกว่า  จะรอให้ลูกๆ จัดการกับตัวของเค้าเองให้เรียบร้อยดีเสียก่อน

บางครั้งคุณคิดว่า ถ้าคุณมีบ้าน มีรถ  มีวันหยุดพักร้อนนานๆ
และเมื่อถึงวันเกษียณอายุการทำงาน  ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากที่สุด
แต่เมื่อเกษียนแล้วก็จริง  แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขสักที

ความสุขของชีวิตอยู่ที่ไหนกัน ?
แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต
เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบัน

ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา  ทั้งอุปสรรคต่างๆ หรือบททดสอบชีวิตอันยากเข็ญ
แต่ในที่สุดเราก็จะต้องก้าวผ่านไป  อุปสรรคกับชีวิตเป็นของคู่กัน
ดังนั้นเป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องความสุข และความพึงพอใจจากการเดินทางบนถนนแห่งชีวิตนี้
ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่าที่จะรอให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน  แล้วถึงจะมีความสุขได้

เริ่มหยุดพูดกับตัวเองเสียทีว่า
ถ้าฉันลดน้ำหนักได้สัก 5 กิโล  ฉันถึงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้แต่งงาน  ฉันถึงจะมีความสุข
ถ้าผมได้ซื้อบ้าน  ผมถึงจะมีความสุข
ถ้าผมได้เกิดเป็นลูกคนรวย  ผมถึงจะมีความสุข
ถ้าคุณหยุดพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้  ชีวิตของคุณก็จะมีความสุข และคุณจะรู้สึกพึงพอใจกับชีวิต

ตอบคำถาม ต่อไปนี้
1. บอกชื่อคน 3 คน ที่รวยที่สุดในโลก
2. บอกชื่อนางงามจักรวาล 3 คนล่าสุด
3. บอกชื่อ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 3 คนล่าสุด
4. บอกชื่อนักแสดงนำชาย 3 คนล่าสุด ที่ได้รับรางวัลออสการ์

นึกไม่ออกใช่ไหม ? ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่มีใครหรอกที่จะจดจำคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด
คนที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ  ก็ล้วนล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา
รางวัลต่างๆ  เมื่อวางไว้นาน  ก็จะถูกฝุ่นจับ  แม้แต่ผู้ชนะก็จะถูกลืมในไม่ช้า

ตอบคำถาม ต่อไปนี้
1. บอกชื่ออาจารย์ 3 ท่าน ที่เคยช่วยเหลือคุณในเรื่องการเรียน
2. บอกชื่อเพื่อน 3 คน ที่ช่วยเหลือคุณในยามที่คุณต้องการ
3. นึกถึงคน 3 คน ที่ทำให้คุณรู้สึกว่า คุณได้เป็นคนพิเศษ
4. บอกชื่อคน 3 คน ที่คุณอยากใช้เวลาด้วย

นึกออกง่ายกว่าใช่ไหม ? นั่นเป็นเพราะว่า
คนที่มีความหมายต่อชีวิตคุณ  ไม่ได้เป็นคนที่ต้องเป็นที่สุด ไม่ได้มีเงินมากที่สุด ไม่ต้องได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะยังมีคนใกล้ตัวคุณอีกหลายคนที่ห่วงใยคุณ  คอยให้การดูแลคุณ
และเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น  ก็จะคอยอยู่เคียงข้างคุณ

... ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะมีความสุข มากกว่าช่วงเวลา ณ ปัจจุบันนี้  ..ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับช่วงเวลาปัจจุบัน

************************


ปรัชญาแง่คิดดีๆ อีกแล้ว  ความสุขนั้นเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางของเส้นทางของแห่งชีวิต  คนส่วนมากจะตั้งเป้าเมื่อแก่แล้ว  หรือเป้าหมายใดๆ เป้าหมายหนึ่ง  ซึ่งจะต้องรอคอย และใช้เวลา  ที่จริงแล้วความสุข อยู่กับปัจจุบัน  ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด  ความสุขที่ต้องการนั้นสอดแทรกอยู่ในปัจจุบันที่มีเสมอ  ทุกข์-สุขอยู่ที่ใจ  สุขได้ถ้าใจไม่ยึด

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #129 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2553, 17:06:45 »

บอยเจ้าพ่อเพลงรัก ... ในวันที่รู้ว่าตัวเองเป็นโรค " เส้นเลือดในสมองตีบ "

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

ผมได้อ่านนิตยสาร Secret เล่มล่าสุด เมื่อวานนี้  เหตุผลที่ซื้อก็เพราะหน้าปกเป็นรูปคุณบอย โกสิยพงษ์  นักร้องนักแต่งเพลงที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ

มีเพลงรัก และเพลงชีวิต หลาย ๆ เพลง ที่เขาแต่งได้โดนใจมาก ๆ เช่น เพลง Seasons Change ฤดูที่แตกต่าง , แพ้บ้างก็ได้ , รักผมแค่นี้เองเหรอ , ฟังลูกเดียว , RSVP และเพลงที่ได้ยินเมื่อไหร่ ก็ได้กำลังใจ ให้สู้ชีวิตต่อไปทุกที อย่าง " Live & Learn "

ผมชอบเนื้อหาของเพลง Live & Learn มาก ๆ  ทุกคนคงพอจะจำเพลงนี้ได้นะครับ  บทเพลงนี้บอกเราเตือนสติเราว่า ... คนเราต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่มีอยู่  กับความเป็นจริง  ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน  และจงทำวันนั้น วันที่มีอยู่ ... ให้ดีที่สุด



เมื่อวานนี้  ตอนที่เห็นข้อความบนหน้าปกนิตยสาร พิมพ์ว่า " โลกที่หมุนด้วยความรัก ของ บอย โกสิยพงษ์ " ก็นึกว่าคงเป็นบทสัมภาษณ์ที่พูดถึงเรื่องราวชีวิตแบบสบาย ๆ สไตล์บอย โกสิยพงษ์

แต่พอเปิดเข้าไปอ่านด้านใน  ผิดคลาดเลย  ผมก็เพิ่งรู้จากนิตยสารเล่มนี้แหละครับว่า  บอย โกสิยพงษ์ นักแต่งเพลง นักร้อง ที่เคยทำงานหนักมาตลอด  ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนแปลงชีวิต  ลดเวลาการทำงานลงเหลือเพียง 3 วันต่อสัปดาห์  ทำงานเฉพาะวันจันทร์ พุธ และพฤหัสฯ เท่านั้น

เขา ให้สัมภาษณ์ไว้ ตอนหนึ่งว่า ...

“ ... เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่อาทิตย์มานี่เอง  ผมพบว่าตัวเองเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ  เวลาพูดจะติด ๆ ขัด ๆ ตลอดเวลา  รู้สึกว่าโลกโคลงเคลงไปหมด  ไม่รู้เราเป็นอะไร  ผมเลยไปหาหมอ  หมอบอกว่าเส้นเลือดในสมองตีบ  แต่ว่าเพิ่งอยู่ในระยะเริ่มต้น

... นี่แสดงว่าพระเจ้าเตือนแล้วว่า  ให้เราใช้ชีวิตที่เหลือนี้ให้ดี  จากที่สมัยก่อนเราไม่ค่อยสนใจออกกำลังกาย  สนุกแต่การทำงาน  ตอนนี้เริ่มมองว่ามีเวลาเหลืออยู่อีกนิดเดียวเอง  ผมอายุ 42 ปีแล้ว ...

ดังนั้นช่วงเวลานี้เรายังตั้งเป้าหมายใหม่ทันนะ  หลังจากนั้นผมก็คิดได้ว่า  ยิ่งมีชื่อเสียง หรือความสำเร็จ  ยิ่งมีสาระสำหรับชีวิตน้อยลงเรื่อย ๆ  เลยหันมาให้เวลากับครอบครัว  รวมทั้งศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้น ...  “

เมื่อถูกถามว่าลูก และภรรยาของคุณบอยรู้สึกอย่างไร  ที่เขาตัดสินใจลดเวลาการทำงานลง ...

“ เขาดีใจกันมาก ( ที่ผมจะหยุดทำงานหนัก )  ตอนแรกที่รู้ว่าผมเป็นโรคนี้ ... ผมเห็นลูกร้องไห้ ... เมียร้องไห้ ... เลยรู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว  เราต้องดูแลตัวเองดี ๆ “

ทุกวันนี้เขาเปลี่ยนตารางชีวิตใหม่  ทุกวันอังคาร กับวันศุกร์  เขาไม่ทำงานแล้ว  ทำแค่วันจันทร์ พุธ พฤหัสฯ

วันอังคารหยุดไปเที่ยวพักผ่อนกับภรรยา  และวันศุกร์ก็อยู่กับลูก ไปเที่ยวกับลูก ...

เขาพูดถึงการทำงานสมัยก่อน ( ก่อนที่จะเป็นโรคนี้ ) ของตัวเองว่า ...

“ ... คือสมัยก่อน  ผมเป็นคนมีไอเดีย  อยากทำโน่นทำนี่ตลอดเวลา  แล้วผมก็มักมีโอกาส  มีประตูเปิดให้ทำหลาย ๆ อย่าง  ได้มาตลอด  แต่ตอนนี้เห็นประตูก็เมินแล้ว  ให้คนอื่นทำแล้ว  ไม่อยากทำแล้ว ”

อ่านแล้วก็ได้ข้อคิดเตือนใจ  เตือนตัวเอง และหลาย ๆ คน  เรื่องการดำเนินชีวิต  การทำงาน  ในที่สุดแล้วคนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร  ทุกคนอยากมีความสุข  แล้วความสุขอยู่ที่ไหนล่ะ ! !

เรื่องราวชีวิตช่วงนี้กับบอย โกสิยพงษ์ คงบอกอะไรบางอย่างกับพวกเรา  ... ตัวเขาเองก็กำลังเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในวัย 42 ปี อย่างมีความสุข  สุขกับสิ่งที่มี..ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน..และเขากำลังทำวันนั้นที่มีอยู่ให้ดีที่สุด.. ผมว่านี่แหละ.. Live & Learn ของจริง !!!

บทสัมภาษณ์จริง ๆ มีเนื้อหาสาระมากกว่านี้  มีคำพูด  มีเรื่องราวที่ได้เรียนรู้มากมายจากชีวิตของบอย โกสิยพงษ์  ท่านใดที่สนใจ ก็ไปหานิตยสารซีเคร็ตฉบับนี้มาอ่านต่อกันเองนะครับ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #130 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2553, 01:44:02 »

คลิป แม่กบช่วยลูกกบ

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา


http://www.boonniyom.net/vdoclip-1416-0-0.html

Mother ...

แด่แม่ทุกตัว / ทุกคน บนโลกใบนี้  ผู้ประเสริฐในการเป็นผู้ให้กำเนิด  ดูวีดีโอแล้วกลับไปเหลียวมองหาแม่บ้าง  ถ้าคุณยังมีแม่อยู่ด้วย โชคดีจัง
 

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #131 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2553, 22:17:42 »

The Chairs of Life  人一生的椅子 เก้าอี้แห่งชีวิต

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา




唉~沒有人能例外,爭什麼 ? !
 
ไม่มีใครไม่ผ่านเก้าอี้เหล่านี้  แล้วเราจะช่วงชิงกัน เพื่ออะไร ?

Everyone has to pass all these chairs. Why and what for do we still trying to compete one another ?
 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #132 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2553, 22:55:06 »

สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจ ก่อนเสียชีวิต

โดย :  รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์  pasu@acc.chula.ac.th  จาก กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 9 สิงหาคม 2553 15:26

สัปดาห์นี้เปลี่ยนอารมณ์หน่อยนะครับ  เพราะพอดีไปเจอบทความเรื่องหนึ่ง โดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นนักเขียนอิสระอยู่ที่ออสเตรเลีย  โดยนักเขียนผู้นี้เคยทำงานดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าจะเสียชีวิต  และกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย  เธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสาม ถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต  โดยในช่วงเวลาดังกล่าว  เธอได้มีโอกาสพูดคุย  และรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้  เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ถ้าทำได้อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น  เธอพบว่ามีอยู่ 5 ประเด็นที่มักจะพบในผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่ครับ

ประเด็นแรก คือ ผู้ป่วยเหล่านี้อยากจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองอยาก หรือต้องการจะเป็น  ไม่ใช่ดำรงชีวิตตามความต้องการ หรือความคาดหวังของผู้อื่น  ซึ่งพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยอยากจะเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครับ  เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยพบว่า ชีวิตตนเองกำลังจะสูญเสียไป  และมีโอกาสมองย้อนกลับไปในอดีตนั้น  จะพบว่ามีความฝันหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำหรือยังไม่บรรลุ  และเมื่อใกล้จะเสียชีวิตก็จะพบว่าความฝันของตนเองนั้นจะไม่มีวันบรรลุ  และส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งนึกเสียใจ  เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้นั้น  เป็นเพราะตัวเองเลือกที่จะไม่ทำเอง  ตัวเองเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ผู้อื่นขีดเส้นทางให้เดิน  ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆ ท่านนะครับ ที่ในช่วงชีวิตหนึ่ง  ถ้ามีโอกาสและเลือกได้ก็ควรจะเดินตามความฝันของตัวท่านเอง  เพราะคนเราหนีไม่พ้น เกิด  แก่  เจ็บ ตาย  และเมื่อวันนั้นมาถึง  เราก็คงจะไม่มีแรงที่จะเดินตามความฝันที่เราต้องการแล้ว

การมีสุขภาพที่ดี จะช่วยทำให้ท่านเดินตามความฝันได้  แต่เมื่อใดก็ตามที่สุขภาพท่านเริ่มแย่แล้ว  อิสระในการเดินตามฝันก็ท่านก็จะลดน้อยลง

ประเด็นที่สอง คือ ผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตเหล่านั้นคิดเสียใจว่า ในอดีตจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา  ซึ่งเหตุการณ์นี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยชายเกือบทุกคนเลยครับ  คุณผู้ชายเหล่านี้มักจะเสียใจว่าในอดีตที่ผ่านมา  ไม่ค่อยได้มีเวลาในการดูแลลูกๆ ของตนเท่าที่ควร  รวมทั้งไม่ได้อยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากภรรยาเท่าที่ควร  ผู้ป่วยที่เป็นชายเกือบทุกคนจะรู้สึกเสียดายว่าในอดีตใช้ และให้เวลากับงานมากเกินไป

ข้อสังเกตนี้ก็น่าคิดนะครับ  ว่าในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับการทำงานมากเกินไปหรือไม่  เราต้องการแสวงหารายได้  ชื่อเสียง  เกียรติยศมากเกินไปหรือไม่  สุดท้ายเมื่อเราใกล้ตาย  เราจะสำนึกเสียใจว่าเราได้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมาหรือไม่  การมีรายได้ที่พอเพียงอาจจะเป็นทางออกสำหรับทุกท่านนะครับ  อีกทั้งการมีที่ว่างในตารางเวลา และชีวิต ที่ไม่ใช่เรื่องของการทำงานเพียงอย่างเดียว  จะทำให้เรามีความสุขขึ้น  และเมื่อเราใกล้เสียชีวิต  จะไม่มานั่งย้อนนึกเสียใจในสิ่งที่เราพลาดไป

ประเด็นที่สาม คือ ผู้ป่วยอยากจะกล้าที่จะแสดงอารมณ์ และความรู้สึกที่แท้จริงของตน  เนื่องจากคนจำนวนมากจะปิดกั้นอารมณ์ และความรู้สึกที่แท้จริงของตน  เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบ และสันติ  ทำให้สุดท้ายแต่ละคนรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองถูกเก็บกด  และไม่สามารถเป็นตัวตนที่แท้จริง

ประเด็นที่สี่ คือ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตนั้น  มักจะเสียใจที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆ  เนื่องจากเรามักจะไม่ค่อยเห็นถึงคุณค่าของเพื่อนเก่าๆ  จนกระทั่งใกล้เสียชีวิต  คนจำนวนมากจะมัวแต่ยุ่ง และวุ่นวายกับชีวิตประจำวัน  จนละเลยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง  ทำให้เรามักจะไม่ค่อยให้ความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงต่างๆ  จนกระทั่งใกล้จะเสียชีวิต  ก็จะเริ่มนึกถึงเพื่อนฝูงขึ้นมา

ดูเหมือนว่าเมื่อคนใกล้จะเสียชีวิต  เกียรติยศ เงินทอง หรือสถานะทางสังคมต่างๆ  กลับดูไปจะด้อยหรือไร้ความหมายนะครับ  สุดท้ายดูเหมือนว่า  เรื่องของความรัก  ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยที่กำลังใกล้ตายนึกถึง

ประเด็นสุดท้าย ซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยเหล่านี้กลับสำนึกเสียใจว่าไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของตนเองมีความสุขเท่าที่ควร  ผู้ป่วยหลายคนจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนนะครับว่าตนเองสามารถที่จะเลือกที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้  คนจำนวนมากเลือกที่จะอยู่ และปฏิบัติในสิ่งที่คุ้นเคย  ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง  ทำให้คนเรามักจะหลอกตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสุข  ซึ่งจริงๆ แล้วกลับไม่ใช่

ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับว่า  เมื่อคนเราใกล้จะตายนั้น  เรามักจะนึกย้อนกลับไปถึงอดีต  และเริ่มสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำ หรือไม่ได้ทำมาในอดีต  และเราจะพบว่าเมื่อเราใกล้ตายแล้ว  เงินทอง  ชื่อเสียง  สถานะ  เกียรติยศต่างๆ กลับไม่มีความหมาย  สิ่งที่มีความหมายเมื่อใกล้ตาย คือ เรื่องของความรัก และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล  ซึ่งหลายครั้งกลับกลายเป็นสิ่งที่เราละเลย หรือไม่สนใจในขณะที่เรามีชีวิตอยู่

นอกจากนี้  เมื่อใกล้ตาย  คนเราจะพบว่าชีวิตในอดีตที่ผ่านมานั้นเรามีสิทธิที่จะเลือก  แต่เราดันเลือกในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข  หรือเลือกในสิ่งที่ทำให้เราต้องมาย้อนสำนึกเสียใจ  เมื่อเราใกล้ตาย

ดังนั้น ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ และยังแข็งแรง  เราจะต้องเลือกอย่างมีสติ  เลือกอย่างฉลาด  เลือกในสิ่งที่ถูก  และเลือกในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนะครับ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #133 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2553, 02:25:45 »

True Love

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

It was a busy morning, about 8:30, when an elderly gentleman in his 80's arrived to have stitches removed from his thumb. He said he was in a hurry as he had an appointment at 9:00 am.

I took his vital signs and had him take a seat, knowing it would be over an hour before someone would to able to see him. I saw him looking at his watch and decided, since I was not busy with another patient, I would evaluate his wound. On exam, it was well healed, so I talked to one of the doctors, got the needed supplies to remove his sutures and redress his wound.

While taking care of his wound, I asked him if he had another doctor's appointment this morning, as he was in such a hurry.

The gentleman told me no, that he needed to go to the nursing home to eat breakfast with his wife. I inquired as to her health.

He told me that she had been there for a while and that she was a victim of Alzheimer's Disease. As we talked, I asked if she would be upset if he was a bit late. He replied that she no longer knew who he was, that she had not recognized him in five years now.

I was surprised, and asked him, " And you still go every morning, even though she doesn't know who you are ? "

He smiled as he patted my hand and said, " She doesn't know me, but I still know who she is. "

I had to hold back tears as he left, I had goose bumps on my arm, and thought, " That is the kind of love I want in my life. "

True love is neither physical, nor romantic. True love is an acceptance of all that is, has been, will be, and will not be.

With all the jokes and fun that are in e-mails, sometimes there is one that comes along that has an important message.. This one I thought I could share with you.

The happiest people don't necessarily have the best of everything; they just make the best of everything they have.

" Life isn't about how to survive the storm, But how to dance in the rain. "

We are all getting Older. Tomorrow may be our turn.
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #134 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2553, 21:46:34 »

ชีวิตจะรุ่งโรจน์ หรือร่วงโรย อยู่ที่บรรจุอะไรลงไปใน “ ใจ ” ของเรา ...โดย ว.วชิรเมธี

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

ใจ ของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า

เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น  สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที

เป็นต้น ว่าเรามีห้องว่างเปล่าอยู่ห้องหนึ่ง ....

เมื่อ ....

เราใส่ น้ำ เข้าไป                         ก็จะกลายเป็น ห้องน้ำ

เราใส่ พระพุทธรูป เข้าไป             ก็จะกลายเป็น ห้องพระ

เราใส่ เครื่องมือปรุงอาหาร เข้าไป  ก็จะกลายเป็น ห้องครัว

เราใส่ เครื่องนอน เข้าไป              ก็จะกลายเป็น ห้องนอน

เราใส่ ชุดรับแขก เข้าไป               ก็จะกลายเป็น ห้องรับแขก

เราใส่ บุคคลสำคัญ เข้าไป            ก็จะกลายเป็น ห้องวีไอพี

ห้องแห่งหัวใจของเรา  ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้น นั้นเลย



ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปใน " ใจ "  ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพไป เช่นกัน

เราใส่ ความเมตตา เข้าไป         ก็จะกลายเป็น คนใจดี

เราใส่ ธรรมะ เข้าไป                 ก็จะกลายเป็น คนใจบุญ

เราใส่ ความโกรธ เข้าไป           ก็จะกลายเป็น คนใจร้อน

เราใส่ ความเลว เข้าไป             ก็จะกลายเป็น คนใจทราม

เราใส่ ความกลัว เข้าไป            ก็จะกลายเป็น คนใจเสาะ

เราใส่ ความเป็นนักสู้ เข้าไป      ก็จะกลายเป็น คนใจสู้

เราใส่ ความขาดสติ เข้าไป        ก็จะกลายเป็น คนใจลอย

เห็นด้วยหรือไม่ว่า

" ใจ " ของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย  เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้  พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า

ใจ เป็นนาย

ใจ เป็นผู้นำ

ใจ เป็นผู้สร้างสรรค์ ......


หรือบางทีก็ตรัสว่า " จิตฺเตน นียติ โลโก " แปลว่า โลกหมุนไปตามใจสั่งการ

โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง โลกคือชีวิต จะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุน ตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง ทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น  ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น

" ใจ " ของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า  เราบรรจุอะไรลงไป  ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น

ทุกวันนี้  เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า  เราบรรจุอะไรลงไปใน ห้องแห่งหัวใจ ของเราบ้าง

ความรู้ ความงมงาย ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความดี ความชั่ว ความ ริษยา ความหน้าด้าน ความสะอาด สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้

ชีวิตจะ เป็นอย่างไร ?

รุ่งโรจน์ หรือร่วงโรย

ขึ้นสูง หรือลงต่ำ

สำคัญที่เราบรรจุอะไรลงไปใน “ ใจ ” ของเราเอง ...

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #135 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 03:07:16 »

ชีวิตนกอินทรีย์

ชนิดา - รัฐศาสตร์ 16 ... ส่งมา



















      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #136 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 03:46:41 »

ความสำคัญของ "กระดุมเม็ดแรก"...วินทร์ เลียววาริณ

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา



เคยไหม ที่คุณตื่นนอนยามเช้า ครึ่งหลับครึ่งตื่น สวมเสื้อราวกับคนไร้วิญญาณ  เมื่อกลัดกระดุมเสร็จแล้วก็พบว่า ชายเสื้อทั้งสองข้างไม่เท่ากัน คุณกลัดกระดุมผิดทั้งแถว !

มันเริ่มจากการที่คุณไม่รู้ว่า คุณกลัดเม็ดแรกผิด แล้วกลัดต่อไปทีละเม็ดอย่างถูกต้อง  เมื่อกลัดกระดุมเสร็จสิ้น ก็ผิดทั้งหมด

ในตัวอย่างนี้ ความไม่รู้ ทำให้คุณ ' กลัดกระดุม ' ผิดทั้งแถว !

เคยไหมที่คุณเก็บเนื้อในตู้เย็นนานข้ามปี จนเนื้อหมดอายุ แต่ไม่ยอมทิ้ง  เพราะเป็นเนื้อจากต่างประเทศ ราคาแพง  คุณปรุงอาหารจนเสร็จ เมื่อกินแล้วไม่อร่อยหรืออาหารเป็นพิษ

ในตัวอย่างนี้ ความเสียดายทำให้คุณ ' กลัดกระดุม ' ต่อไป ทั้งที่รู้ว่าเม็ดแรกผิดรู !

เคยไหมที่คุณสมัครเรียนสายวิชาที่คุณไม่ชอบ ไม่ว่าเพราะพ่อแม่บังคับ  หรือไม่รู้จะเรียนอะไรนอกเหนือจากสายนั้น คุณสอบได้ ลงทะเบียน เรียนผ่านไปทีละเทอม  ทีละปี  จนจบ  คุณได้รับปริญญาบัตร  หางานที่เกี่ยวข้องกับสายวิชาที่ร่ำเรียนมา  แล้วทำงานไปทีละวันๆ  ทีละเดือนๆ  ทีละปีๆ  จนวันหนึ่งคุณก็หมดแรง และยอมรับว่าคุณ ' กลัดกระดุม ' ผิดมาตั้งแต่เม็ดแรก

ในตัวอย่างนี้ ความละเลยทำให้คุณดันทุรัง ' กลัดกระดุม ' เม็ดต่อไปทั้งที่รู้ดีว่ากลัดเม็ดแรกผิด



กระดุมเม็ดแรกสำคัญอย่างยิ่ง  มันเป็นรากฐานของกระดุมเม็ดที่สอง  สาม  สี่ ... กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็ผิดหมดทั้งแถว ผิดทั้งยวง และอาจจะผิดทั้งชีวิต !

ตึกรามบ้านช่อง ไม่ว่าจะออกแบบสวยงามเพียงไร  หากคำนวณฐานรากไม่ถูกต้อง  วันหนึ่งก็เอียงล้ม

เด็กไม่ว่าฉลาดเพียงไร  หากเอาแต่เล่นเกม  ดูแต่หนังรุนแรง  เอาแต่ใจตัวเอง  โตขึ้นก็อาจเป็นปัญหาภาระที่สังคมต้องแบกรับ

ซื้อรองเท้ายี่ห้อดังมาแล้ว  ถึงคับก็ทนสวม  ไม่นานก็ต้องแก้ปัญหาเรื่องเท้าเจ็บ

เพื่อนให้ขนมเค้กจากร้านที่มีชื่อเสียง  จะให้คนอื่นก็เสียดาย  จึงฝืนกินเข้าไปทั้งที่อ้วนอยู่แล้ว  ผลที่ตามมาคือร่างกายเสียหาย

คุณอาจยอมปล่อยบางปัญหาไป  หลับตาข้างหนึ่งแล้วหวังว่า  ปัญหานั้นจะละลายหายไปเอง  แต่ท้ายที่สุดก็ต้องแก้ปัญหานั้นอยู่ดี  ทั้งยังต้องจ่ายราคาค่าแก้ปัญหามากกว่าเดิม

ไม่ว่าจะเป็นระดับปัจเจก เช่น การใช้ชีวิต การศึกษา การทำงาน ความรัก  ไปจนถึงระดับมหภาคเช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง  ไม่ว่าจะด้วยความไม่รู้ ความปล่อยปละละเลย  หรือความเสียดาย  หรือเหตุผลใดก็ตาม  หากกลัด ' กระดุม ' เม็ดแรกผิด  ทุกสิ่งที่ทำถูกต้องหลังจากนั้นจะกลายเป็นผิดไป !

การแก้ปัญหาของการ ' กลัดกระดุมผิดเม็ด ' นี้มีทางเดียว คือ ปลด ' กระดุม ' ทั้งหมดออกมาก่อน  แล้วกลัดใหม่

การไม่รู้เป็นเรื่องหนึ่ง  การรู้แล้วยังทำต่อไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หลายคนทำงานตามคำสั่ง ทั้งที่รู้ว่า ' กระดุมเม็ดแรก '  ไม่ตรงรูกระดุมของมัน  กว่าจะรู้ตัว  ก็กลายเป็นปัญหาลูกโซ่

หลายๆ ระบบในสังคม เช่น  ระบบการเมือง การศึกษา ฯลฯ  ดำเนินมานานปี ทั้งที่เรามองเห็นปัญหา แต่ก็ดำเนินต่อไปทั้งด้วยความไม่รู้  ความเขลา ความปล่อยปละละเลย  ด้วยความเชื่ออย่างนกกระจอกเทศว่า มุดหัวลงดินสักพัก  เดี๋ยวปัญหาก็หายไป  แต่ปัญหาไม่เคยหายไป  มีแต่สะสมด้วดอกเบี้ยทบต้น  ยิ่งแก้ไขช้า  ราคาแก้ไขยิ่งแพง  บางครั้งการตัดใจเข้าห้องผ่าตัด  ปฏิรูปตัวเอง ก็เป็นทางแก้ที่ถูกต้อง

ยอมตัดใจตัดวงจรเดิมนั้นทิ้ง  แล้วเริ่มต้นใหม่  เพราะความเสียหายในระยะยาวน้อยกว่า ประหยัดเวลาโดยรวมมากกว่า

ทุกๆ หลายก้าวที่เดินหน้า เราควรหยุดและทบทวนดู ' กระดุม ' ของเรา  หรือของสังคมว่า กลัดถูกรูไหม  ถ้าไม่ก็อย่ารอช้า ปลด ' กระดุม ' ทั้งหมดออกมาก่อน  แล้วกลัดใหม่

วินทร์ เลียววาริณ ... 22 พฤษภาคม 2533
 

ผู้ทำผิดแล้วไม่แก้ไข  กำลังทำผิดอีกครั้งหนึ่ง ... ขงจื๊อ
 

เรียนแล้วไม่คิด  เสียเวลา

คิดโดยไม่เรียน  อันตราย
 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #137 เมื่อ: 17 กันยายน 2553, 13:12:12 »

ธรรมะของท่านติช นัท ฮันท์

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา


สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ " ขอบคุณสรรพสิ่ง "

" ปาฏิหารย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ  แต่ปาฏิหารย์คือ  การเดินอยู่บนผืนดิน และมีความสุขในทุกย่างก้าว "

ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง " ธรรมดา " เช่น ตื่นมา อาบน้ำ แปรงฟัน  ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ  ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยา หรือสามีคนเดิมๆ  ใส่ชุดธรรมดาๆ  หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ

... เราส่วนใหญ่แล้ว  ก็เป็นคนธรรมดาๆ  มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น  แต่ถ้าความ " ธรรมดา " นี้หมดไปล่ะ  เช่น  อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็ง  ไปมีเรื่องนอกบ้าน  ติดยา  คบเพื่อนไม่ดี  หรือสามีเราตาย  ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม  หรือเราถูกไล่ออกจากงาน ...

เรื่องก็จะ " ไม่ธรรมดา " ไปในทันที  และในเวลานั้นเอง  เราจะหวนมาคิดเสียดายความ " ธรรมดา " จนใจแทบจะขาด ...

ให้เรารีบชื่นชมกับความ " ธรรมดา " ที่เรามี  และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า  สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล  เพราะสิ่งธรรมดาๆ  แท้จริงแล้วคือ  สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว  สำหรับมนุษย์อย่างเรา
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #138 เมื่อ: 24 กันยายน 2553, 23:32:43 »

เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา


... ความสุข คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนใฝ่หา แต่ใช่ว่าทุกคนจะค้นพบได้ ... วรัตดา ภัทโรดม คือ ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และมีชื่อเสียงในแวดวงการตลาดตั้งแต่อายุยังน้อย  แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสุขในความหมายของการเป็นมนุษย์ เธอจึงพาชีวิตเดินทางไปพบ " การเกิดครั้งที่สอง " จนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

เธอได้กลายเป็นคนใหม่ที่มีความสุข กับโลก ผู้คน และสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว

สัมผัสเรื่องการเดินทางของผู้หญิงคนนี้ได้ในหนังสือ " เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน " แล้วคุณจะรู้ว่า การพาตัวเองไปสู่ความสุข ที่แท้ไม่ใช่เรื่องยาก  ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะใจไปโรงเรียน  เหมียวเดินออกมาจากห้องปฏิบัติธรรม ที่ธรรมอาภา ด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดหลังจากการแผ่เมตตา วันนั้นเป็นวันแรกใน 10 วันของการปฏิบัติที่เราพูดได้ พอเดินลงบันได เจอหน้าพี่ต้อย พี่ปิ๋มปุ๊บ คำแรกที่พูดออกไปคือ "เหมียวเกิดใหม่แล้วพี่ เกิดใหม่แล้ว " น้ำตาไหลไม่หยุด เหมียวคนใหม่ค่อยๆ เปลี่ยนไป เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น มีความสุขที่แท้จริงมากขึ้น โกรธน้อยลง ทุกข์น้อยลง ยิ้มมากขึ้น ฟังมากขึ้น หน้าไม่แก่เหมือนตอนเป็น " meow, the bitch "  พวกเราส่วนมากส่งแต่สมองไปโรงเรียน (12 ปี + 4 ปี + 2 ปี) ไม่ค่อยเคยส่งจิตไปโรงเรียน เหมียวก็เหมือนกัน เรียนหนังสือเยอะ แต่ศึกษาตัวเองและธรรมชาติของชีวิตน้อย ตอนโตขึ้นเลยหลุด หลงไปนึกว่า ถ้าตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน หาเงิน มีบ้าน มีรถ เป็นคนดี ไม่โกง ไม่ฆ่า ทำบุญวันเกิด ทำสังฆทาน ทำทาน ช่วยคน ช่วยสัตว์ แล้วจะมีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์  นึกว่าพอค่ะ

หารู้ไม่ว่า มีอะไร อะไรอีกมากมายมหาศาลที่ไม่รู้ ไม่เคยฝึกหัด และสิ่งเหล่านี้สำคัญเหลือเกินสำหรับเรา  ที่จะมีความสุข ความสงบมากขึ้น และทุกข์ให้น้อยลงอีกนิด โมโหให้น้อยลงอีกหน่อย  ความรู้ที่ได้จากการเรียนวิชาต่างๆ ไม่มีประโยชน์เลย  ถ้าเราไม่มีความสุข  แถมยังสาดความทุกข์ใส่คนรอบตัว  ทั้งที่รู้จัก และไม่รู้จักอีก  เรื่องราวต่างๆ ที่เหมียวนำมาเขียนเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก่อนและหลังที่ได้พบกับธรรมะ

ถ้าไม่ได้พบกับธรรมะที่บริสุทธิ์ ไม่ได้ฝึกหัดดูตัวเอง ไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีปัญญา  ป่านนี้คงมีแต่ความทุกข์ที่สะสมใส่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว  นิสัยคงแย่ หน้าแก่เหี่ยว เพราะขี้โมโห

... ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุข มีความสงบ และได้พบกับธรรมะที่บริสุทธิ์ ...
ในวันที่เปลี่ยนแปลงของผู้หญิงคนหนึ่งตอนเด็กเป็นลูกคนโตที่ซน  และไฮเปอร์ฯที่สุด  และจะไม่ยอมทำตามกฎที่มองไม่เห็นเหตุผล

จบปริญญาโทด้านไดเรกมาร์เกตติ้งจากอเมริกา คนแรกของประเทศไทยอายุ 25 ปี ได้เงินเดือนเป็นแสน
เงินเดือนหลัก 3 แสน ตอนอายุน้อยกว่า 30 ปี

เป็นกูรูทางด้าน CRM ( Customer Relationship Management ) เป็นซีอีโอของบริษัท ...

แต่อีโก้ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน จนถึงจุดที่ทำร้ายตนเอง  จนเมื่อปฏิบัติธรรม  ก็พบทางออกของชีวิต

*****************

มนุษย์ทุกคนในโลกล้วนต้องการความสุขในชีวิต  ธรรมะ คือ ธรรมชาติ เด็กทุกคนควรได้สัมผัส และเข้าใจตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาออกมาดูโลก

แต่เราหลายคนยังเข้าใจว่า  เวลาที่เหมาะในการเข้าหาธรรมะคือเวลาที่เราเข้าสู่วัยสูงอายุ .. หรือ เมื่อเรามีความทุกข์

ซึ่งหลายครั้งมันก็สายเกินไปเสียแล้ว  เพราะมันทุกข์เกินหรือแก่เกินที่จะเข้าใจ  และยอมรับในความจริงของกฎธรรมชาติเหล่านี้ได้


*****************

หัวข้อที่เธอเขียน

สิ่งที่ได้จากการเดินทาง ( บางส่วน )
พระพุทธเจ้าบอกว่าการเกิด การเลือกชีวิต เราเป็น Master ของ Future เราอาจไม่ได้เป็น Master ของอดีต เพราะว่ามันผ่านไปแล้ว

แต่เราเป็น Master ของปัจจุบัน และเราเป็น Master ของอนาคตแน่ๆ

*****************

ให้ ( บางส่วน )  การให้นั้นเราต้องทำตัวเหมือนเมฆ ซึ่งให้ฝนกับแผ่นดิน โดยไม่เคยถามแผ่นดินเลยว่า ...ได้ฝนไปกี่เม็ด

การให้เป็น One Way Street เป็นการเดินทางทางเดียว คือ ให้ออกไปอย่างเดียว ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์จริงๆ


*****************

คนขี้โมโห ( บางส่วน )  เหมียวเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่ายมาตั้งแต่วัยรุ่น เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ตัวเลย

ทั้ง พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนๆ ต่างก็บอกว่า เราโมโหแรงขึ้นทุกวันๆ แต่เราก็ไม่เข้าใจ … คิดแต่ว่าเรายังเหมือนเดิม

จนวันหนึ่งไปซื้อนาฬิกาที่ห้าง บอกคนขายว่า "ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ"คนขายไม่ฟัง เพราะมัวแต่คุยกัน
" ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ " ก็ยังไม่ฟังอีก

ทีนี้เหมียวเลยขึ้นเสียงแบบดังมากๆ ว่า " ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ "

คนขายมองหน้า แล้วก็หยิบนาฬิกาสีเขียวมาให้

คราวนี้โกรธมากเลย  เพราะพูด 3 ครั้งไม่ฟัง ... พอหยิบแล้วยังหยิบผิดอีกก็ว่าเลย " คุณตาบอดสีหรือยังไง  บอกให้หยิบสีฟ้า  หยิบสีเขียวมาทำไม " ดุเค้าเสียงดังเพราะว่า โกรธ !

แต่วันนั้นเป็นวันที่โชคดีมาก … เพราะพอทำอย่างนั้นไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงตัวเองนึกในใจว่า ... เขาแค่หยิบนาฬิกามาผิดสี ทำไมต้องว่า ต้องโกรธเขาขนาดนั้นด้วย

พอคิดได้อย่างนั้นก็ยกมือไหว้เขาแล้วขอโทษ  ขึ้นรถได้ก็ร้องไห้เลย ...

แล้วคำพูดของคนที่เคยเตือนเราก็ประดังเข้ามา  มองหน้าตัวเองในกระจกแล้วถามว่า ..
คนที่เห็นในกระจกเป็นใคร ? เราไม่รู้จัก เหมียวคนเดิม ไม่ใช่เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้นปัญหาใหญ่ที่สุดของเหมียว คือ เรื่องของความโกรธ

จนกระทั่งได้ปฏิบัติธรรมครั้งหนึ่ง ครั้งสองเหมียวจึงเข้าใจได้ว่า เพราะการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ช่วยให้เราถอนรากถอนโคนโทสะ กิเลสต่างๆ ออกไปได้

เชื้อความโกรธมันน้อยลง  พอเชื้อความโกรธ โทสะกิเลส มันน้อยลงๆ  กว่าคนจะทำให้เราโกรธได้นี่ ก็ต้องทำเยอะหน่อย ต้องเอาน้ำมันสัก 3 ตัน ราดแล้วจุดไฟเผา จึงจะเริ่มโกรธ

ถ้าเป็นเมื่อก่อน  สะกิดนิดเดียวเราก็โกรธแล้ว

เพราะฉะนั้นจากที่เคยโกรธวันละ 9 ครั้ง ก็เหลือ 8 ครั้งจากโกรธทีละชั่วโมงก็เหลือห้าสิบนาที ก็ยังดี

ตอนนี้เดือนหนึ่งอาจโกรธสักครั้ง อาจจะโกรธอยู่ 2 – 3 นาที

และพอเลิกขี้โมโห อาการเหนื่อยโทรม ก็ไม่มีแล้วค่ะ เลยได้รู้ว่าอารมณ์โกรธ มันรีดพลังจากร่างกายไปหมด  เลยทำให้เราเหนื่อยง่าย

*****************

เครื่องดับโมโห ( บางส่วน )

การดับความโกรธมีหลายอย่างด้วยกัน คือต้องมีทั้งความอดทน ความเมตตา ความเข้าใจเรื่องอัตตา มีหลายๆ มุมมอง มีปัญญา และก็มีสัมมาสติ

อีกอย่างที่ต้องมี คือ การให้อภัย

เขาทำให้เราโกรธนาทีเดียว  แต่เราโกรธไป 3 ชั่วโมง  เราก็ทุกข์ไป 3 ชั่วโมง


*****************

ให้อภัย ทำไมทำได้ยากเย็น ( บางส่วน )

ประโยชน์ของการให้อภัยอย่างเบาะๆ เอาแค่ว่าเราสามารถตัดสินใจในการเดินไปข้างหน้า ใช้ชีวิตต่อไป และละทิ้งความเสียใจหรือความเจ็บปวดไว้ข้างหลังได้ ... แค่นี้เหมียวว่าเจ๋งแล้ว ...

สิ่งที่เราน่าจะทำมากกว่านั้นคือ ให้โอกาสตัวเองในการปลดปล่อยความรู้สึกทางลบออกจากใจ ให้อิสระกับตัวเอง

การให้อภัยไม่เสียอะไรเลย แถมได้สิ่งมีค่ามากกว่า คือ อิสระ

อิสระจากความขี้โมโหทั้งปวง  อิสระจากความเครียด  อิสระจากความทุกข์  อิสระจากความแค้น  อิสระจากไฟที่ไหม้ตัวเองอยู่ข้างใน
อิสระจากความทุกข์ที่เราก่อขึ้นมาเอง

พบความสุขที่แท้จริง  และใจที่มีความเมตตามากขึ้นเรื่อยๆ

      บันทึกการเข้า
mek
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2540
คณะ: Vet 61
กระทู้: 627

« ตอบ #139 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553, 10:05:05 »



อ้างอิง : http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9767778/I9767778.html


รู้อะไรไม่สู้เท่า " รู้งี้ "
      บันทึกการเข้า

Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #140 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553, 11:20:03 »


รู้งี้ ..... คลิกเข้ามาอ่านตั้งนานแล้ว

น้องเมฆ ว่ามะ ?


 
เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า
mek
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2540
คณะ: Vet 61
กระทู้: 627

« ตอบ #141 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553, 13:46:09 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 05 ตุลาคม 2553, 11:20:03

รู้งี้ ..... คลิกเข้ามาอ่านตั้งนานแล้ว

น้องเมฆ ว่ามะ ?


 
เหอๆๆ

เห็นด้วยครับ 5555
      บันทึกการเข้า

Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #142 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2553, 20:16:02 »

Coca-Cola CEO Speech

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #143 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 21:13:05 »

เมื่อเรากลายเป็น “ ของมัน ”

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

เคยสังเกตไหมว่า เวลาเพื่อนทำกระเป๋าเงินหาย
เราสามารถสรรหาเหตุผลมาได้มากมายเพื่อช่วยให้เธอทำใจ
( ยังดีที่ไม่เสียมากกว่านี้ , ถือว่าใช้กรรมก็แล้วกัน , เงินทองเป็นของนอกกาย ฯลฯ )
ในทำนองเดียวกัน  เวลา เพื่อนอกหัก ถูกแฟนทิ้ง
เราก็รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรเพื่อให้เธอปล่อยวาง
แต่เวลาเราประสบเหตุอย่างเดียวกัน กลับทำใจไม่ได้
เอาแต่เศร้าซึมจ่อมจมอยู่กับความสูญเสีย
คำแนะนำดีๆ ที่ให้กับเพื่อน กลับเอามาใช้กับตัวเองไม่ได้
บ่อยครั้งก็นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าควรจะทำใจอย่างไร
ใช่หรือไม่ว่า สาเหตุที่เราสามารถแนะนำเพื่อนได้อย่างฉาดฉาน
ก็เพราะเงินของเพื่อน ไม่ใช่เงินของฉัน แฟนของเพื่อน ไม่ใช่แฟนของฉัน
เราจึงไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเท่าใดนัก ปัญญาจึงทำงานได้เต็มที่
แต่เมื่อใดที่เหตุร้ายเกิดกับเงินของฉัน หรือกับแฟนของฉัน
อารมณ์จะท่วมท้นใจจนนึกอะไรไม่ออก

ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังเท่ากับคำว่า “ ของฉัน ”
ไม่ว่าความวิบัติจะรุนแรงเพียงใดก็ตาม หากมันไม่เกี่ยวข้องกับ “ ของฉัน ”
เราก็ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาด้วย แต่ทันทีที่มีอะไรมากระทบกับ “ ของฉัน ”
แม้เล็กน้อยเพียงใด มันกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที

หลายคนดูข่าวแผ่นดินไหวในอิหร่านที่มีคนตายนับแสนคนด้วยความรู้สึกเฉย ๆ
แต่จะขุ่นเคืองไปทั้งวันเมื่อพบว่ารถของตนมีรอยขีดข่วนที่ตัวถัง
สาเหตุที่ผู้คนยอมเหนื่อยยากทำงานตัวเป็นเกลียวก็เพื่อรักษาและเพิ่มพูน “ ของฉัน ” ให้มากที่สุด
ความยึดอยากให้ทุกอย่างเป็น “ ของฉัน ” ทำงานอยู่ในส่วนลึกของจิตใจตลอดเวลา
แม้เก้าอี้ในโรงหนังที่เพิ่งมานั่งได้ไม่กี่นาที เราก็เรียกว่า “ เก้าอี้ของฉัน ” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

แต่เราเคยสังเกตไหมว่า ทันทีที่ยึดอะไรก็ตามว่าเป็น “ ของฉัน ”
เรากลายเป็น “ ของมัน ” ไปทันที เราจะยอมทุกข์เพื่อมัน
ถ้าใครวิจารณ์เสื้อของฉัน ตำหนิรถของฉัน เราจะโกรธและจะแก้ต่างให้มัน
บางครั้งถึงกับแก้แค้นแทนมันด้วยซ้ำ ถ้าเงินของฉันถูกขโมย
เราจะทุกข์ข้ามวันข้ามคืนทีเดียว
คนจำนวนไม่น้อยยอมตายเพื่อรักษาสร้อยเพชรไว้ไม่ให้ใครกระชากเอาไป
บางคนยอมเสี่ยงชีวิตฝ่าเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้บ้านเพราะกลัวอัญมณีจะถูกทำลายวายวอด
ฉะนี้แล้วควรจะเรียกว่ามันเป็น “ ของฉัน ” หรือฉันต่างหากที่เป็น “ ของมัน ”
 
เป็นเพราะหลงคิดว่ามันเป็น “ ของฉัน ”
ผู้คนทั้งโลกจึงกลายเป็น “ ของมัน ” ไปโดยไม่รู้ตัว มีชีวิตอยู่ก็เพื่อมัน
ยอมทุกข์ก็เพื่อมัน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่ามีเวลาอยู่ในโลกนี้จำกัด
แต่ก็ใช้เวลาไปอย่างไม่เสียดายก็เพื่อมัน
ซ้ำร้ายกว่านั้นหลายคนยอมทำชั่ว อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณก็เพื่อมัน

ยิ่งยึดมั่นว่าทรัพย์สมบัติเป็นของฉัน เรากลับกลายเป็นทาสของมัน
จิตใจนี้อุทิศให้มันสถานเดียว
เศรษฐินีเงินกู้คนหนึ่ง เป็นโรคอัลไซเมอร์ในวัยชรา จำลูกหลานไม่ได้แล้ว
แต่สิ่งเดียวที่จำได้แม่นก็คือสมุดจดบันทึกทรัพย์สิน ทุกวันจะหยิบสมุดเล่มนี้มาพลิกดูไม่รู้เบื่อ
แม้ลูกหลานจะชวนสวดมนต์หรือฟังเทปธรรมะ ผู้เฒ่าก็ไม่สนใจ
จิตใจนั้นรับรู้ปักตรึงอยู่กับเงินทองเท่านั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อสิ้นลมผู้เฒ่าจะนึกถึงอะไรและจะไปสุคติได้หรือไม่

ไม่ว่าจะมีเงินทองมากมายเพียงใด เมื่อตายไปก็ไม่มีใครเอาไปได้แม้แต่อย่างเดียว
นั่นเป็นข่าวร้ายสำหรับผู้ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเพื่อทรัพย์สมบัติ
แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ หากหวงแหนติดยึดมันแม้กระทั่งในยามสิ้นลม
มันก็สามารถฉุดลงอบายได้

ถ้าไม่อยากเป็น “ ของมัน ” ก็ควรถอนความสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็น “ ของฉัน ”
การให้ทานเป็นวิธีการเบื้องต้นในการฝึกจิตให้ถอนความสำคัญมั่นหมายดังกล่าว
ถ้าให้ทานอย่างถูกวิธี ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับเท่านั้น
หากยังเป็นประโยชน์แก่ผู้ให้ ประโยชน์ประการหลังมิไดหมายถึง
ความมั่งมีศรีสุขในอนาคตเท่านั้น
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือช่วยลดความยึดติดในทรัพย์ “ ของฉัน ”
แต่อานิสงส์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราให้โดยไม่ได้หวังอะไรกลับคืนมา
หากให้เพื่อมุ่งประโยชน์แก่ผู้รับเป็นสำคัญ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นพระหรือไม่ก็ตาม
และเมื่อให้ไปแล้วก็ให้ไปเลย โดยไม่คิดว่าของนั้นยังเป็นของฉันอยู่

การให้ทานและเอื้อเฟื้อเจือจานเป็นการสร้างภูมิต้านทานให้แก่จิตใจ
ทำให้ไม่ทุกข์เมื่อประสบความสูญเสีย ในทางตรงข้ามคนที่ตระหนี่
แม้จะมีความสุขจากเงินทองที่พอกพูน
แต่หารู้ไม่ว่าจิตใจนั้นพร้อมที่จะถูกกระทบกระแทกในยามเสียทรัพย์ แม้จะเป็นเรื่องที่จำเป็นก็ตา


ชาวอินเดียผู้หนึ่งเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก
วันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากภรรยาว่าเธอปวดท้องและปวดศีรษะมากจนต้องเข้าโรงพยาบาล
หมอจึงสั่งตรวจเลือดและทำอุลตร้าซาวด์ เพราะเกรงว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ
พอรู้เช่นนี้เขาจึงสั่งให้ภรรยารีบหนีออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งสิ้น
แล้วเขาก็โทรศัพท์ไปด่าหมอว่าเห็นแก่เงิน
สั่งตรวจเลือดและทำอุลตร้าซาวด์โดยไม่จำเป็น
หมอพยายามอธิบายอย่างไรเขาไม่ยอมเข้าใจ.......
ต่อมาเขามีเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลเดียวกันนั้นเพื่อผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี
เขาต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหลายวันเนื่องจากมีการติดเชื้อ
ค่าใช้จ่ายจึงเป็นจำนวนมาก วันสุดท้ายที่เขาอยู่โรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินได้มาเก็บเงินจากคนไข้ถึงในห้อง
ทันที่เขาเห็นตัวเลขค่าใช้จ่าย ก็เกิดอาการช็อคและสิ้นลมคาเตียง

เงินนั้นมีไว้ใช้ แต่เมื่อใดที่เผลอใจกลายเป็น ของมัน ไป
มันก็สามารถทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตได้


นิตยสารซีเครท : Vol.2 No.50 26 July 2010
Joyful Life & Peaceful Death เมื่อเรากลายเป็น “ ของมัน ”

พระไพศาล วิสาโล

.....................................................

พึงชนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #144 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 21:40:05 »

THE SHOEBOX

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา



A man and woman had been married for more than 60 years.
They had shared everything. They had talked about everything.
They had kept no secrets from each other except that the little
Old woman had a shoe box in the top of her closet that she had
Cautioned her husband never to open or ask her about.



For all of these years, he had never thought about the box, but
One day the little old woman got very sick and the doctor said
She would not recover.

In trying to sort out their affairs, the little old man took
Down the shoe box and took it to his wife's bedside.
She agreed that it was time that he should know what was
In the box. When he opened it, he found two crocheted dolls
And a stack of money totaling $95,000.

He asked her about the contents.

' When we were to be married, ' she said, ' my grandmother told me
The secret of a happy marriage was to never argue. She told me that
If I ever got angry with you, I should just keep quiet and crochet a doll. '

The little old man was so moved; he had to fight back tears. Only two
Precious dolls were in the box. She had only been angry with him two
Times in all those years of living and loving. He almost burst with
Happiness.

' Honey, ' he said, ' that explains the doll, but what about all of this money ?
Where did it come from ? '

' Oh, ' she said, ' that's the money I made from selling the dolls. '




A Prayer........
Dear Lord, I pray for Wisdom to understand my man;
Love to forgive him; And Patience for his moods;
Because Lord, if I pray for Strength, I'll beat him to death,
Because I don't have time to crochet.

      บันทึกการเข้า
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #145 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 17:00:30 »



สวัสดีครับพี่เจี๊ยบ
ไม่ได้เข้ามาอ่านนานแล้วครับ
วันนี้เลยใช้เวลาอ่านอย่างเพลิดเพลิน
ประเทืองปัญญามากๆเลยครับ
ต้องขอบคุณพี่เจี๊ยบมากๆ
ที่รวบรวมเรื่องดีๆมาให้ได้อ่านกัน


 sorry sorry
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
ti2521
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #146 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2553, 00:05:17 »

..... สวัสดีครับพี่เจี๊ยบ ที่นับถือ

     ผมถือโอกาสชวนลูกชาย ลูกสาว เข้ามาห้องพี่ เป็นอะไรที่ชอบมาก +สุดเจ๋ง เลยครับ
     ร่นเวลาชีวิตในการรับรู้เรื่องราว  ข้อคิด  คำคม  หล่อหลอม ปรับใช้ในชีวิตได้บางส่วน ( ผมก็ดีใจแล้วครับ )
     ผมดีใจ สำหรับคำ   รู้งี้   อย่างน้อยลูกผมได้เริ่มใช้มันตอนนี้
     ณ ขณะนี้ ลูกสาวผม ถึงกับคลั่งไคล้ ป้าเจี๊ยบของหลาน มากมายเลยครับ  ขอบคุณครับพี่เจี๊ยบ .....
    
      บันทึกการเข้า

เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ
สำหรับผม
อย่างไรก็ได้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #147 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2553, 01:57:01 »

น้องตี๋ ครับ

       พออ่านจบ  ให้เกิดอาการ " อึ้ง กิม กี่ "  ควานหาทิชชู่  น้องขวัญแอบเห็นจนได้ ... " แม่อ่านเวปซีมะโด่งแล้ว มีเรื่องให้ร้องไห้ด้วยเหรอ ? "  แม่ก็ยังอึ้งต่ออีก ... เพราะซาบซึ้งใจ จนพูดไม่ออก บอกไม่ถูก ...

       เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ ค่ะ  ที่ได้รู้ว่า " คุณพ่อตี๋ชักชวนลูกๆ ให้เข้ามาอ่านด้วย "  เป็นครอบครัวที่น่ารักเหลือเกิน ...

       พี่เจี๊ยบยังไม่ลืมอาหารมื้อเย็นแสนเอร็ดอร่อย ( เพราะหิวกันจนหน้ามืดตาลาย ) ที่น้องตี๋จัดมาบริการถึงสถานีรถไฟลำปาง  ตอนที่ชาวซีมะโด่งไปทัวร์งานพืชสวนโลก ที่เชียงใหม่ เมื่อหลายปีก่อนโน้น

       ... ถ้าน้องอ่านเจอเรื่องดีๆ ที่ไหน  ก็อย่าลืมนำมาแบ่งปันกันบ้างนะคะ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #148 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2553, 02:08:40 »

น้องหนุน

        ดีใจครับที่แวะเข้ามาทักทายกัน ... เมื่อวัน " ซีมะโด่งเสวนา ครั้งที่ 2 "  พี่เจี๊ยบแอบปลื้ม !  " เฮ้ !  หนุนเค้าเป็น ' น้องคนโปรด - น้องคนสนิท ' ของ ดร. แมว คนเก่ง นี่นา  ... อ๋อ !  wave lenght ตรงกันนี่เอง  มิน่า  คุณภาพคับแก้วทั้งคู่เลย "

        ปลื้ม ครับ ปลื้ม ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #149 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2553, 12:58:54 »

ใคร จะมีความสุขมากกว่ากัน ?

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา



      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #150 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2553, 00:04:09 »

พี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน ทีเป็นแฟนคลับกระทู้นี้

       หลังจากที่พี่แก้ว-ปรีชา10  ได้อ่านเรื่อง " ความสุขที่ถุกมองข้าม " ในหน้า 5  แล้ว  ก็ได้ฝากธรรมะอันประเสริฐ มาทางหลังไมค์  ให้เจี๊ยบช่วยนำมาเล่าให้ชาวซีมะโด่งฟังด้วย  เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ...

       เนื้อหาของเรื่อง " ความสุขที่ถูกมองข้าม " ในหน้า 5 ที่พรชัย16 ส่งเมลมาให้  มีดังนี้ ...

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 07 มีนาคม 2553, 01:24:45
ความสุขที่ถูกมองข้าม

โดย ... พระไพศาล วิสาโล

พรชัย - นิติ 16 ... ส่งมา

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า  ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น  ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์  แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง  ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง  มิใช่เพิ่มมากขึ้น  ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี  ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ  เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า  เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต  เขาพูดถึงตัวเองว่า " ชีวิต ( ของผม ) เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ " ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย  เขาเคยพูดว่า " ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง "  เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข  เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้  ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี  ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่นๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป  ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้

คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?  คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป  เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า  ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที  ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล  ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด  แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้  ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า  ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น  ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว  ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียที  ทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่  แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น  บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด  ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น  บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ  มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย  แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน

ใช่หรือไม่ว่า  สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้น ไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่  มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่  มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่  ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคาร  ก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน  พูดอีกอย่างก็คือ  คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้มากกว่าความสุขจากการมี  มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่  เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม  บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน  แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่  ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา  จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิด  ไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น  ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา  หมาก็จะวิ่งไปคาบ  แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้  มันจะรีบคายของเก่า  และคาบชิ้นใหม่แทน  ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน  ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม  ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา  ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ  เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี  แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า  และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป  ผลก็คือกลับมารู้สึก " เฉย ๆ " เหมือนเดิม  และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก  เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม  แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม  เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ

น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?  เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย  ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง  ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ  ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้  ไม่ให้ใครมาแย่งไป  แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า  ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน  ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว  ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลง และโปร่งเบามากขึ้น  อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก  แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว  และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่  หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น  เมื่อเห็นเขามีของใหม่  ก็อยากมีบ้าง  คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น  การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน  นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น  ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี  ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย  เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดารา หรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา  การมองแบบนี้ทำให้ " ขาดทุน " สองสถาน  คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว  ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก  พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน  แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง

ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมาคาบเนื้อ  คงจำได้ว่า  มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา  ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน  มันมองลงมาที่ลำธาร  เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง ( ซึ่งก็คือตัวมันเอง ) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่  เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ ( และหลง )  มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่  เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ  ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ  ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป  มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่ และเนื้อที่เห็นในน้ำ  บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว  เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น  เมื่อใดที่เรามีความทุกข์  แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว  ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่  ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น  ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม  รู้จักมอง  และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น  แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้  ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี  หรือจากสิ่งที่ มี  ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้  กล่าวคือยิ่งให้ความสุข  ก็ยิ่งได้รับความสุข  สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม  และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดี และทำให้ชีวิตมีความหมาย

จากจุดนั้นแหละ  ก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี  นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง  ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี  และเพราะเหตุนั้น  แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป  ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้  เกิดมาทั้งที  น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้  และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็น และยั่งยืนอย่างแท้จริง




สวัสดีครับเจี๊ยบ

         ได้เข้าไปอ่านในห้อง " ข้อคิด คำคม ปรุงผสมเป็น ยาใจ " คำตอบที่ 110

  วันที่ 7 มี.ค. 53  เรื่อง "ความสุขที่ถูกมองข้าม " ข้อความนั้นคล้ายข้อความคำเทศนา

  ของท่านเจ้าประคุณพระธรรมปิฏก และพุทธทาสภิกขุ ที่ผมได้เคยอ่านพบ  จึง

  ขอคัดลอกส่งมาให้  เผื่ออาจจะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องชาว cmadong บ้าง


                 " หลักธรรมในการดำรงชีวิต และครอบครัวให้พอดีมีสุข "

      " จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ และเป็นอยู่  ความสุขมันอยู่ไกล้เพียงแค่ปลายจมูกของ

  เรา  แค่หลับตากำหนดลมหายใจก็มีความสุขได้แล้ว  แต่ถ้าเราเผลอไปคิดถึงไป

  ฝันถึงเงิน ทอง ทรัพย์สมบัติ ฝันอยากมั่งอยากมีเช่นเดียวกับที่คนอื่นมี  เท่ากับเป็น

  การจุดไฟเผาผลาญตัวเองให้เร่าร้อน  ร้อนรน  ต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้มา  ก่อให้เกิด

  เป็นความทุกข์สุมร้อนอยู่ในตัวโดยไม่รู้ตัว  เราลืมไปว่าความสุขที่แท้จริงแล้วอยู่

  ที่ปลายจมูก  ถ้าเรามีสติอยู่กับมัน  ถ้าเราทำหน้าที่ของเราอย่างมีสติ  อย่างสงบ  เรา

  เราก็ค้นหาความสุขที่มีอยู่ได้ "  

                                                    เจ้าพระคุณพระธรรมปิฏก


           " มนุษย์เราเข้าใจผิดคิดว่าการมีเงินทองมากๆ มีสมบัติ มียศ มีตำแหน่งคือ

  การมีความสุขที่แท้จริง  จึงดิ้นรนขวนขวายแก่งแย่ง ทนทำงานหนัก เพื่อให้ได้มา ทั้ง

  ที่มีอยู่ก็พอมีพอกิน พอใช้ พอให้ร่างกาย และครอบครัวอยู่สุขสบายอยู่แล้ว  เมื่อไม่รู้

  จักพอ  ก็เบื่อชีวิต  ท้อแท้  อยู่เฉยไม่ได้ต้องดิ้นรนทุรนทุรายไปหามา  เป็นการทำลาย

  สุขภาพร่างกาย  จิตใจ  เสมือนเป็นไฟสุมอยู่ในตัวทำให้คนเป็นทุกข์เป็นบ้าไป  ชีวิต

  มนุษย์เรานี้แสนสั้น  ถ้าชีวิตนี้เพียงแต่รักษาจิตให้สงบให้ปกติไว้ในขณะสัมผัส  พร้อม

  กับการสำรวมความพอดีพอใจในสิ่งที่มี  รู้จักตัวเองบำรุงร่างกายให้รอดได้  เวลาที่

  เหลือพักผ่อนเสวยวิมุติสุข  อย่าทำตัวเป็นเทวดาผู้มี " พหุกิจโจ พหุกรณีโย "  มีกิจ

  มาก  มีทุกข์มาก  แต่จงเป็นภิกษุ  เป็นบัณฑิตผู้มี " อัปปกิจโจ อัปปกรณีโย " มีกิจน้อย

  มีเรื่องน้อย  มีทุกข์น้อย ชีวิตก็จะมีแต่ความสุข

                                                                  พุทธทาสภิกขุ
      บันทึกการเข้า
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #151 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2553, 08:17:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 29 ตุลาคม 2553, 02:08:40
น้องหนุน

        ดีใจครับที่แวะเข้ามาทักทายกัน ... เมื่อวัน " ซีมะโด่งเสวนา ครั้งที่ 2 "  พี่เจี๊ยบแอบปลื้ม !  " เฮ้ !  หนุนเค้าเป็น ' น้องคนโปรด - น้องคนสนิท ' ของ ดร. แมว คนเก่ง นี่นา  ... อ๋อ !  wave lenght ตรงกันนี่เอง  มิน่า  คุณภาพคับแก้วทั้งคู่เลย "

        ปลื้ม ครับ ปลื้ม ...


ขอบคุณมากครับพี่เจี๊ยบ
เข้ามาตามอ่านเรื่องดีๆอีกแล้วครับ

ถ้าเราเป็นนายสุธี...
แล้วกระทำบางอย่างคล้ายๆนายเด่น
เราน่าจะมีความสุขในปั้นปลายชีวิตได้มั๊ยครับนี่


 บ่ฮู้บ่หัน บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #152 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2553, 11:20:51 »

หนุน ครับ ... นายสุธี กับนายเด่น ต่างก็มีเงื่อนไข และองค์ประกอบของชีวิตที่แตกต่างกัน  ถ้าหนุนเป็นนายสุธี แต่เตือนตัวเองให้มีวิถีชิวิตบางเรื่อง ที่เรียบง่ายแบบนายเด่น  ก็ถือว่าเป็นสมดุลย์ของชีวิตที่น่าสนใจมาก  เชื่อว่าใครๆ อีกหลายคนคงจะเลือก " วิถีชีวิตแบบลูกผสม " อย่างหนุน ไม่น้อยเหมือนกัน  ส่วนจะมีความสุขในบั้นปลายของชีวิต รึเปล่า ?  ก็ต้องลอง " แก่ " ดู  ...  อิ๊  อิ๊  !   ตอบ กวน จัง แฮ !


สูตรแห่งความสุข ... ตำราชีวิตประจำวัน ... D D D‏

โดย สุทธิชัย  หยุ่น

สุชาดา - เศรษฐศาสตร์ 16 ... ส่งมา

พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้ ... บอกว่าเป็น “ สูตรแห่งชีวิตประจำวัน ” ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใย และต้องการให้เขา หรือเธอมีความสุขทั้งกาย และใจ ... ทำนองเดียวกันกับที่ชาวชีวจิต มีความห่วงหาอาทรต่อกัน อย่างไม่ลดละ

เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ ตำราแห่งชีวิต ”  ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง

ทั้งง่าย และตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้, เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน ... สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กัน และกันอย่างยิ่ง

สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้

๑.   ดื่มน้ำให้มาก  

๒.   กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชาย  และเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน ( แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลางๆ ตอนเที่ยง และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน ... สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ )

๓.  กินอาหารที่โตบนต้น และบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน

๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ

๕.  หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ

๖.   เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย

๗.  อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา

๘.  นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้

๙.   นอนวันละ 7 ชั่วโมง

๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน

๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกาย และใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส, แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียด ด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้

วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้

แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไป  ไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเอง  ที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพ  มีอย่างนี้ครับ

๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้  แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลัง และพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้ ... รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก  เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

๕. อย่าเสียเวลา และพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ .... นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ

๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าๆ ... คิดให้ดีก็จะรู้ว่า คุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย  และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ ... อีกฝ่ายหนึ่งเลย  เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร ... จงอย่าเกลียดคนอื่น

๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง

๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน  คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ... ซึ่งมาแล้วก็หายไป ... เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต ... แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต

๑๓. จงยิ้ม และหัวเราะมากขึ้น

๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก ... บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้ ...เ ห็นพ้องที่จะเห็นต่าง ก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร


แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไร ต่อชุมชน และคนรอบข้างเราล่ะ ?

๑. อย่าลืมโทรฯ หาครอบครัวบ่อยๆ

๒. จงหาอะไรดีๆ ให้คนอื่นทุกวัน

๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง

๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ

๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน

๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณ  ไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย

๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก  แต่ครอบครัว และเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ .... ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้

๑. ทำสิ่งที่ควรทำ

๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้งไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?

๓. เวลา และศาสนา ... ย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้

๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน

๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย ... get up, dress up and show up ! ...

๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง ...

๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือด้วย

๘. เชื่อเถอะว่า ส่วนลึกๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ ... .ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า ? ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #153 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2553, 12:13:40 »

ลดลง = มากขึ้น

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

      บันทึกการเข้า
ti2521
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #154 เมื่อ: 01 มกราคม 2554, 11:32:04 »


.....ในเทศกาลปีใหม่ 2554  ผมขออัญเชิญ เพลงพระราชนิพนธ์ พรปีใหม่ มาให้ พี่เจี๊ยบ  รับฟัง ครับ.....


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=iJdjgr76-cA" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=iJdjgr76-cA</a>
                             
      บันทึกการเข้า

เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ
สำหรับผม
อย่างไรก็ได้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #155 เมื่อ: 01 มกราคม 2554, 12:14:51 »


ขอบคุณน้องตี๋มากครับ สำหรับเพลงพระราชนิพนธ์ " พรปีใหม่ " ที่อุตส่าห์หามาให้ฟัง ไพเราะ และทรงคุณค่ายิ่ง

ทวินันท์-นางเอก MV ในสมัยนั้น ยังสาว สวย และมีกิริยาแช่มช้อยมากนะคะ  ดู-ฟังเพลงแล้วสดชื่น มีความสุข ... ซึ้งน้ำใจ " คนแปะเพลง " มาก  ขอให้น้องตี๋ และครอบครัว ประสบแต่ความสุข-สมหวัง ตลอดปีใหม่ 2554 นี้ นะคะ
      บันทึกการเข้า
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #156 เมื่อ: 06 มกราคม 2554, 08:02:57 »


เข้ามาสวัสดีปีใหม่พี่เจี๊ยบครับ
เข้ามาช้าจัง มัวแต่ไปฉลองปีใหม่เพลินอยู่ครับพี่
พี่เจี๊ยบคงมีความสุขตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา
และคงมีความสุขตลอดไปครับ


 รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #157 เมื่อ: 18 มกราคม 2554, 00:46:45 »


สวัสดีปีใหม่ครับ น้องหนุน ... พีไม่ต้องอวยพร  หนุน กับครอบครัวก็มีความสุขเหลือเฟือ แบบน่าอิจฉาอยู่แล้ว ใครๆ ก็รู้อ่ะครับ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #158 เมื่อ: 18 มกราคม 2554, 01:03:52 »


" การตาย และงานศพของฉัน " โดย อาจารย์ประทุมพร วัชรเสถียร‏

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

   







      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #159 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2554, 01:13:01 »


พี่แก้ว-ปรีชา 10 ยินดีให้เจ้าของกระทู้นี้ copy ข้อความจาก PM ที่พี่แก้วส่งมาคุยด้วย มาลงต่อจากเรื่องราวของอาจารย์ประทุมพร ข้างบนนี้ ...

Preecha2510
Cmadong Member


 ออฟไลน์

กระทู้: 392

   ( ไม่มีหัวข้อ )
« ส่งให้: Jiab16 เมื่อ: 20 มกราคม 2554, 23:51:06 »
« คุณได้ตอบส่งต่อหรือตอบข้อความนี้ »

สวัสดีครับเจี๊ยบ

      .........................

      วันนี้ได้เข้าไปอ่านในห้อง " ข้อคิด คำคม ปรุงผสมเป็น ยาใจ " ที่เจี๊ยบโพสต์ข้อ

 ความของอาจารย์ประทุมพร วัชรเสถียร ที่ท่านได้เขียนสั่งเสียก่อนที่ท่านจากโลกนี้ไป

 ก็รู้สึกเศร้า และเสียดายคนเก่งที่มีความรู้ดีมากคนหนึ่ง ต้องมาจากไปก่อนเวลาอันควร

 ผมไม่เคยเป็นลูกศิษย์ได้เรียนกับท่าน แต่ก็เคยพบเห็นท่านในจุฬาสมัยผมเป็นนิสิต

       ผมชอบติดตามดูการวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ, และงานเขียนของท่านหลายๆ

 เรื่องโดยเฉพาะเรื่องการสิ้นสุดราชวงศ์โรมาน๊อฟ และเรื่องเกี่ยวกับเมืองจีน ฯลฯ  ใน

 ความเห็นของผม  ท่านเป็นนักเล่าเรื่องทั้งภาษาพูด และภาษาเขียนได้เก่งมากที่สุดคน

 หนึ่ง รองๆ ลงมาจาก ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมท และอาจารย์พิชัย วาสนาส่งเลยทีีเดียว

       ขอไว้อาลัยโดยหาเพลงที่ท่านชอบ ซึ่งท่านได้เอ่ยถึงในข้อความสุดท้ายของข้อ 2 ของ

 ท่านมาเปิด และขอให้ท่านได้หลับพักผ่อนด้วยความสุข และสงบตลอดไป


          <a href="http://www.youtube.com/watch?v=BGx2gRuhKTo" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=BGx2gRuhKTo</a>

          <a href="http://www.youtube.com/watch?v=9b208OVHDr0" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=9b208OVHDr0</a>

      
      ขอบพระคุณพี่แก้วเป็นอย่างยิ่งค่ะ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #160 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2554, 01:30:45 »


เสียงไวโอลินที่ไม่มีใครได้ยิน ... บทความดีๆ ของ " วินทร์ "

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

เช้าวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2550 ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ลองต์ฟองต์ พลาซา ในกรุงวอชิงตัน ดี. ซี. นักไวโอลินคนหนึ่งกำลังเล่นดนตรี บนพื้นเบื้องหน้าของเขาวางกระเป๋าไวโอลินที่เปิดอ้าอยู่เพื่อให้คนผ่านทางบริจาคเงิน เป็นภาพปกติของพื้นที่สาธารณะซึ่งมีวณิพกนักดนตรีแวะเวียนมาเล่นหาเศษเงิน

ระดับปรอทยามเช้าในเดือนแรกของปีอยู่ที่ 4 องศาเซลเซียส จัดว่าหนาวเอาการ แต่บรรยากาศดูร้อนรน ในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ ชาวเมืองกำลังรีบไปทำงาน สถานีนี้อยู่ในพื้นที่ซึ่งประกอบด้วยศูนย์การค้า โรงแรม อาคารธุรกิจ และราชการ แต่ละนาทีมีคนผ่านไปมาหลายร้อยคน

เสียงไวโอลินแผ่วพลิ้วสดใสกังวาน มันเป็นเพลงของบาค เพลงคลาสสิคกลืนหายไปกับเสียงจอแจของรถและผู้คน กระนั้นมันก็เป็นดนตรีไพเราะเสนาะจิต ฝีมือของวณิพกรายนี้ไม่เลวเลย

คนหลายคนเดินผ่านคนสีไวโอลินไปโดยไม่สนใจ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหยุดดูแวบหนึ่งแล้วเดินต่อไป ผู้หญิงคนหนึ่งโยนเงินหนึ่งเหรียญลงในกระเป๋าบนพื้น แล้วจ้ำต่อไป อีกไม่กี่นาทีถัดมา มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งหยุดดูเขาเล่นดนตรี แล้วก็เดินต่อไปเพื่อไปทำงาน

ชั่วขณะนั้น เด็กชายคนหนึ่งหยุดฟังเสียงไวโอลินที่เขาบรรเลงอย่างจดจ่อ ทว่าอึดใจต่อมา แม่ของเด็กดึงเขาออกไป เด็กชายยังหันกลับมามองเขาเล่น เด็กอีกหลายคนก็มีปฏิกิริยาต่อเสียงดนตรีคล้ายกัน แต่พ่อแม่ของเด็กทุกคนก็ลากเด็กจากไป

ผ่านไป 45 นาทีกับบาค 6 เพลง นักดนตรีก็ยุติการแสดง เก็บไวโอลินใส่กระเป๋า นักไวโอลินเดินจากมุมนั้นของซับเวย์ไปเงียบๆ ไม่มีใครปรบมือชื่นชมวณิพก สี่สิบห้านาทีนั้นมีเพียง 6-7 คนที่หยุดฟังเขาเล่นดนตรีเพียงครู่สั้นๆ ยี่สิบคนให้เงินแต่ไม่หยุดฟัง นักไวโอลินเก็บเงินบริจาคได้ 32.17 ดอลลาร์จากผู้ผ่านทาง 27 คน

มันคงเป็นเช้าวันหนึ่งที่เหมือนกับทุกๆ เช้าในสถานีรถไฟใต้ดิน ผู้คนเดินผ่านมาแล้วผ่านไป ต่างแต่ว่าเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นถูกบันทึกไว้ในกล้องวิดีโอที่ซ่อนอยู่

มันคงเป็นการแสดงของนักดนตรีไส้แห้งคนหนึ่งในซับเวย์ที่ไม่มีคนสนใจเช่นทุกวัน ต่างแต่ว่านักไวโอลินผู้นี้มิใช่วณิพกยากไร้ หรือนักดนตรีฝึกหัด นามของเขาคือ โจชัว เบลล์ นักไวโอลินมือหนึ่งของโลก เครื่องดนตรีในมือของเขาคือ สตราดิแวเรียส ปี ค.ศ. 1713 ราคา 3.5 ล้านดอลลาร์

สองวันก่อนหน้านั้น โจชัว เบลล์ เล่นไวโอลินที่ซิมโฟนี ฮอลล์ เมืองบอสตัน ราคาค่าตั๋วเฉลี่ยหนึ่งร้อยดอลลาร์ คนดูเต็มโรง !

นี่เป็นการทดลองศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในเมืองใหญ่ ริเริ่มโดยหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ เป็นการวิจัยเรื่องการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น รสนิยมของคน และการจัดลำดับความสำคัญของคน ใกล้ๆ จุดที่นักดนตรีเล่นไวโอลิน กล้องวิดีโอที่ซ่อนอยู่เก็บภาพทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้นในช่วงสี่สิบห้านาทีนั้น

คำถามที่ผู้ทำวิจัยตั้งไว้คือ มนุษย์เรามีความสามารถในการรับรู้ความงามหรือไม่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เราจะหยุดเพื่อซึมซับความงามนั้นหรือไม่ เรามีความสามารถในการพบ ‘เพชรเม็ดงาม’ ในสภาพแวดล้อมที่คาดไม่ถึงหรือไม่

ในจำนวนคน 1,097 ที่เดินผ่านจุดนั้น มีเพียงเจ็ดคนที่หยุดฟังเสียงดนตรี และเพียงคนเดียวที่จดจำนักดนตรีได้

มันตั้งคำถามกับเราว่า เราสูญเสียโอกาสที่จะรับสิ่งที่ดีและงดงามไปมากมายเท่าไรแล้ว จากพฤติกรรมแสนเร่งรีบของเรา ?

คิดดูก็น่าขัน คนส่วนมากใช้ชีวิตแบบรีบร้อนจนไม่มีเวลาใช้ชีวิต !  เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงผ่านไปทีละรอบ เหมือนๆ กันทุกวันจนทุกอย่างกลายเป็นเครื่องจักร และหลายคนกลายเป็นหุ่นยนต์

การทดลองยังบอกเราว่า เราอาจจมอยู่ในสังคมที่มองโลกแบบฉาบฉวย คนจำนวนมากเห็นคุณค่าของคนหรือสิ่งของเมื่อเขาหรือมันอยู่ในสภาพแวดล้อมบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เพชรในร้านหรูดูแพงกว่าเพชรแบบเดียวกันที่ร้านในตรอกสกปรก, อาหารจีนปรุงโดยพ่อครัวชาวจีนน่าจะอร่อยกว่าที่ทำโดยพ่อครัวชาวอิรัก, นักดนตรีที่แสดงในศูนย์วัฒนธรรมดูเก่งกว่านักดนตรีริมถนน, หนังสือที่เขียนโดยนักเขียนมีชื่อเสียงน่าจะดีกว่าโดยนักเขียนมือใหม่, ภาพเขียนโดยศิลปินระดับโลกดีกว่าภาพโดยจิตรกรท้องถิ่น ฯลฯ นี่เองที่ทำให้เราพลาดโอกาสใหญ่มากมายซึ่งซ่อนรูปในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง

ชีวิตคนเรานั้นไม่ยาวนัก เป้าหมายของแต่ละคนก็ไม่น้อย ดังนั้นบางคนจึงเลือกที่จะรีบเพื่อไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด

แต่การใช้ชีวิตมิได้จำเป็นต้องไปให้ถึงที่หมายอย่างเดียว มันคือการชมดูความงามของสองข้างทางชีวิตไปด้วย

เนื้อหาของนวนิยายแห่งชีวิตของเราแต่ละคนอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าบทสุดท้ายเป็นแฮปปี้ เอนดิ้ง หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าบทส่วนใหญ่มีความสุขหรือไม่ต่างหาก เพราะหากบทส่วนมากเป็นเรื่องโศกเศร้าหมองหม่น ต่อให้บทสุดท้ายจบด้วยดี มันก็ถือว่าเป็นชีวิตที่เศร้า

บทจบจึงไม่สำคัญเท่าบทอื่นๆ ทั้งเรื่อง

จุดหมายอาจไม่สำคัญเท่าสองข้างทาง

บางครั้งเราอาจต้องวิ่ง บางครั้งก็ควรเดิน แต่ถ้าต้องวิ่งตลอดทางก็คงไม่ใช่ชีวิตที่สนุกนัก


หมายเหตุ : บทความเกี่ยวกับการทดลองนี้ทำให้ผู้เขียน จีน ไวน์การ์เตน หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ได้รางวัลพูลิตเซอร์ในปี พ.ศ. 2551

วินทร์ เลียววาริณ
11 กันยายน 2553


คมคำคนคม

All life is an experiment. The more experiments you make the better.

ชีวิตทั้งชีวิตก็คือการทดลอง ยิ่งทดลองมากเท่าไรก็ยิ่งดี

Ralph Waldo Emerson
      บันทึกการเข้า
ti2521
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #161 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2554, 06:48:48 »


.....สวัสดีครับ พี่เจี๊ยบ.....

     .....พี่เอมอร 15   ฝากมาครับ.....









































      บันทึกการเข้า

เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ
สำหรับผม
อย่างไรก็ได้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #162 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2554, 11:59:05 »


         ขอบคุณพี่เอมอร-ผู้ฝาก และน้องตี๋-บุรุษไปรษณีย์ มากๆ ค่ะ ... ดอก cactus สวยสดใส  คำโปรยก็โดนใจจริงๆ ...  ขอเชิญชวนให้นำเรื่องราวดีๆ มาแบ่งปันกันอีกนะคะ
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #163 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2554, 10:55:31 »

ผมขอแบ่งปันเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นนะครับ
ขอบคุณมากครับ
      บันทึกการเข้า
ti2521
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #164 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2554, 18:28:03 »


.....สวัสดีครับ พี่เจี๊ยบ.....

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=K1hYCnIDdZk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=K1hYCnIDdZk</a>

      บันทึกการเข้า

เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ
สำหรับผม
อย่างไรก็ได้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #165 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2554, 11:48:05 »

ยินดีอย่างยิ่งค่ะ คุณ jitwang และน้องตี๋


ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

ยายยิ้ม หญิงชราร่างเล็ก หลังงุ้ม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสมชื่อ
อาศัยในบ้านไม้ที่เกือบเสร็จท่ามกลางป่าเขา
จ.พิษณุโลก อยู่ลำพังอย่างเดียวดาย  ห่างไกลผู้คน และเงียบสงัด



เมื่อ 20 ปี ก่อน ยายมีบ้านอยู่ที่อำเภอพรหมพิราม พร้อมลูกหลาน
ตอนนั้นลูกชายคนเล็กตั้งใจจะมาบุกเบิก ทำมาหากินบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน
แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง ความไกล ไข้ป่า และความลำบาก
ส่งผลให้ลูกชายของยายเลือกที่จะไปขับ รถแท๊กซี่ใน กทม.

และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ และการไม่อยากเป็นภาระลูกหลานหรืออื่นๆ
ยายยิ้มจึงตัดสินครั้งสำคัญ อาศัยอยู่ที่บ้านในป่าผืนนั้น เป็นต้นมา

ลูกหลานขอร้องให้ยายกลับมาอยู่บ้านแต่ ยายไม่กลับ
ลูกหลานจึงได้แต่มาเยี่ยมยายเป็นระยะ รวมถึงการนำเสื้อผ้าผ้าห่ม
ข้าวสารอาหารแห้งมาให้ยาย ลูกชายคนที่ยังอยู่ในอำเภอพรหมพิรามบอกว่า
" แม่เขาจะบอกว่า ไม่ต้องเอามาให้มากนะ  ในชีวิตเขา แม่เขาไม่เคยอยากได้อะไรเลย
เคยถามเขาก็บอกว่า เขาพอแล้ว  สมัยยังเด็กบ้านเราจนกันมาก
พ่อก็ตายตอนที่เรายังเล็ก ๆ แต่แม่คนเดียวก็หา
เลี้ยงลูกได้ มานึกดูแกต้องทำงานหนักมาก แม่ถึงเน้นสอนให้เข้มแข็ง
หนักเอาเบาสู้ไม่เลือกงาน "
 
ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางขุนเขา ยายไม่มีนาฬิกา
แต่ทุกเวลาล้วนมีคุณค่า การมีชีวิตอยู่ของยายหมดไปกับการปลูกต้นไม้
ทำฝายเล็ก ๆ ที่ยายได้อาศัยในยามหน้าแล้งและยังเป็นสายธาร
หล่อเลี้ยงบรรดาสัตว์ และต้นไม้บนผืนแผ่นดินนี้
และตั้งใจถวายในหลวงและพระราชินี ยายรักในหลวงและพระราชินีมาก
กิจวัตรประจำวัน ตื่นแต่เช้า จุดธูปไหว้พระ เก็บมุ้ง กระย่องกระแย่งมาจุดฟืนหุงข้าว
ตักข้าวสุกแรกเก็บไว้ ตักข้าวกินกับน้ำพริก หรือ ปลาแห้งที่เก็บไว้
ลงมากวาดลานบ้าน ซักผ้า หาบน้ำที่ลำห้วย ออกไปหาฟืนหาไม้ มาเก็บไว้


ก่อนจะคดข้าวใส่กล่อง น้ำพริก ใส่ย่าม สวมที่ขาดวิ่น ใช้พร้าแทนไม้เท้าเวลาเดิน
ข้ามห้วย ข้ามหนอง เข้าไปในป่าลึก ผ่านฝายเล็กๆ หรือคันนาที่ยายทำไว้ 11 ฝาย
เป็นคันดินที่ยายใช้ "จอบกับใจ" ค่อยๆขุดขึ้นมา กลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆกักเก็บน้ำ
พอให้สัตว์เล็กได้มาอาศัย ต้นไม้ชุ่ม ชื่น ระหว่างนั้นก็เอาข้าวมาโปรยให้สัตว์
ในแอ่งดินกันทำคันดินนี้เสร็จ ก็เข้าไปลึกเรื่อยๆ ที่ละฝาย ทีละฝาย
เวลาแต่ละวันผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เหนื่อยก็พัก แล้วก็เดิน กลับบ้าน
ชีวิตยาย เป็นไปอย่างเรียบง่าย

ทุก ๆ วันพระ ยายจะเดินลงมาจากเขา ด้วยระยะทางเกือบ 8 กิโล
บวกกับวัยชราของยาย จึงทำให้ยายใช้เวลาใน การเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของยายเสื่อม ถอยลง ลำพังคนหนุ่มสาว
จะให้เดินขึ้นลงเขา สัก 7-8 กิโลเมตร ยังเ ล่นเอาเหงื่อตก
แต่สำหรับยายยิ้มถือเป็นกิจวัตรสม่ำ เสมอทุกวันโกน วันพระเพราะไม่ว่าฝนจะตก
ฟ้าจะร้อง ยายก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด


ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่อง ขรุขระ ยายยิ้ม
จะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหนื่อยก็พัก ถึงวัดกี่โมงไม่รู้
รู้แต่ เมื่อถึงวัดก็เปลี่ยนชุดชาว สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทำความสะอาดวัด
ทำบุญ เมื่อกลับจากวัด แกก็จะมานับวันหลังจากนั้นไปถึงวันโกนวันพระอีกที
ก่อนที่เดินกลับบ้านในป่า ยายเลือกใช้ชีวิตเพียงลำพัง
และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอย่างมีความ สุขอีกครั้ง

เราขาดในสิ่งที่ยายยิ้มมี นั่นคือ ความพอเพียง ความศรัทธา ความไม่โลภ  
เรามีในสิ่งที่ยายขาด นั่นคือ ความทุกข์


พิธีกร :   ข้าวสารอาหารแห้งเอามาจากไหน
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ เขาเอามาให้ก็ต้องกิน
             เขาจะได้บุญและก็ต้องกินอย่างประหยัดๆ ไม่ฟุ่มเฟือย

พิธีกร :   ฝนตกเปียกไหม
ยายยิ้ม : ก็หลบๆเอา ไม่ลำบาก อย่าคิดว่ามันลำบาก

พิธีกร :   เสื้อผ้า ขาดแล้วยังใส่อยู่
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ ใส่ไว้เขาจะได้บุญ

พิธีกร : ลูกหลานอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน
ยายยิ้ม : ไม่ใช่ว่าจะไม่พึ่ง แต่ให้หมดค่าก่อนค่อยพึ่ง ป่วยไม่สบายไม่มีแรงค่อยพึ่งเขา

พิธีกร :   ทำฝายไปให้ใคร
ยายยิ้ม : ให้ในหลวงพระราชินี ท่านเป็นถึงเจ้าแผ่นดินยังทำงาน เราก็ต้องทำให้ท่านบ้าง..
            ส่วนสิ่งที่ทำในหลวงไม่เห็นผีสางเทวดาก็เห็น

พิธีกร :   ได้ประโยชน์อะไรจากฝาย
ยายยิ้ม : ในหลวงบอกมีฝายมีน้ำ มีป่า มีปลาเล็กเป็นอาหารนกอีกทีรวมถึงได้ใช้ยามหน้าแล้ง

พิธีกร :   กลัวล้มไหมเวลาเดินไปไหน
ยายยิ้ม : กลัวแต่ก็ต้องทำ ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร :   เหนื่อยไหมที่ทำมา
ยายยิ้ม : เหนื่อย แต่ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร :   เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

พิธีกร :   สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายยิ้ม : คนอื่นว่าลำบากแต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสวรรค์มันก็ไม่ลำบาก

พิธีกร :   ยายมาทำบุญทุกวันพระไหม
ชาวบ้าน : ยายมาประจำแหละ ยายแกชอบทำบุญ ได้เบี้ยเดือน 500 แกยังทำบุญหมด เลย


พระ ( กางมุ้งให้ยายนอนในศาลาวัด ) : ไม่บาปหรอกยาย ช่วยๆกัน ดูแลกัน
ยาย ( นั่งยิ้มด้วยความจำนน )
ยาย เอาเงินที่เก็บๆรวมถึงเงินที่ชาวบ้านให้ไว้มาทำบุญ
ยาย อวยพรให้และภาวนาให้คนที่ทำบุญด้วย
พิธีกร :   ยายรู้จักเขาเหรอ
ยายยิ้ม : ( ยิ้ม ) ไม่รู้จักหรอก เห็นบอกว่าจะบวชก็เลยทำบุญ
           ให้ยายทำ บุญนะ ( สงสัยคงจะเป็นเงินที่ทางรายการให้ )
พิธีกร : ทำเถอะยาย ไม่ว่าอะไรหรอก

พิธีกร :   ยายมีของแค่นี้เหรอ ( หยิบกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า หยูกยาที่จำเป็น บัตรประชาชน )
ยายยิ้ม : แค่นี้แหละเตรียมไว้ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา เอาไปใบเดียว คนอื่นจะได้ไม่ลำบากหา

พิธีกร :   จะไม่เป็นการแช่งตัวเองหรือ
ยายยิ้ม : ยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องพึ่งตัวเอง ยิ่งต้องเตรียมตัว

พิธีกร :   เวลายายไปตัดไม้ไผ่ ทำฝายไม่เกินกำลังเหรอ เอาแรงมาจากไหน
ยายยิ้ม : หัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า มันเกินกำลังอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมีความพยายามยายบอกวันนี้หมดแรง นอนพัก พรุ่งนี้แรงก็มาใหม่

พิธีกร :   ยายยังขาดอะไรอีกในชีวิต
ยายยิ้ม : ยายยิ้มสมกับชื่อ แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ขาดความทุกข์

      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #166 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2554, 20:14:20 »

รักนั้นออกแบบไม่ได้ แต่ทุกข์นั้นออกแบบได้แน่นอน รัก/โลภ/โกรธ/หลง/อยากทุกข์เรื่องไหนก็เลือกเอา
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #167 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2554, 22:12:12 »

ทำอย่างไรจะหายโกรธ




ความโกรธเป็นศัตรูที่คอยขัดขวางไม่ให้ความดีเกิดขึ้น คนบางคน เป็นผู้มักโกรธ พอโกรธขึ้นมาแล้วก็ต้องทำอะไรรุนแรงออกไป ทำ ให้เกิดความเสียหาย ถ้าทำอะไรไม่ได้ ก็หงุดหงิดงุ่นง่านทรมานใจ ตัวเอง ในเวลานั้นเมตตาหลบหาย ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ไม่ยอมปรากฏให้เห็น ส่วนความโกรธ ทั้งที่ไม่ต้องการแต่ก็ไม่ยอม หนีไป บางทีจนปัญญา ไม่รู้จะขับไล่หรือกำจัดให้หมดไปได้อย่างไร





โบราณท่านรู้ใจและเห็นใจคนขี้โกรธ จึงพยายามช่วยเหลือ โดยสอนวิธีการต่างๆ สำหรับระงับความโกรธ วิธีการเหล่านี้มี ประโยชน์ไม่เฉพาะสำหรับคนมักโกรธเท่านั้น แต่เป็นคคิแก่ทุกคน ช่วยให้เห็นโทษของความโกรธ และมั่นในคุณของเมตตายิ่งขึ้น จึง ขอนำมาเสนอพิจารณากันดู วิธีเหล่านั้นท่านสอนไว้เป็นขั้นๆ ดังนี้



ขั้นที่ ๑ นึกถึงผลเสียของความเป็นคนมักโกรธ



ขั้นที่ ๒ พิจารณาโทษของความโกรธ



ขั้นที่ ๓ นึกถึงความดีของคนที่เราโกรธ



ขั้นที่ ๔ พิจารณาว่า ความโกรธ คือการสร้างทุกข์ให้ตัวเอง และ เป็นการลงโทษตัวเองให้สมใจศัตรู



ขั้นที่ ๕ พิจารณาความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน



ขั้นที่ ๖ พิจารณาพระจริยาวัตรในปางก่อนของพระพุทธเจ้า (ข้อนี้ใครนับถือศาสนาอื่น จะพิจารณาดูก็ไม่เสียหาย)



ขั้นที่ ๗ พิจารณาความเคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏฏะ



ขั้นที่ ๘ พิจารณาอานิสงส์ของเมตตา



ขั้นที่ ๙ พิจารณาโดยวิธีแยกธาตุ



ขั้นที่ ๑๐ ปฏิบัติทาน คือ การให้หรือแบ่งปันสิ่งของ






 
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #168 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2554, 20:15:47 »

"พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"

พุทธโอวาทก่อนปรินิพพานนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานแก่พระอานนท์ผู้เป็นพระอุปัฏฐากและพระภิกษุคราที่ทรงปรงพระชนมายุสังขารออกเดินทางด้วยพระบาทเปล่าจากปาวาลเจดีย์ไปยังกรุงกุสินาราสถานที่ปรินิพพานตลอดพระชนมชีพ พระพุทธเจ้าหาได้ทรงท้อแท้หรือเหน็ดเหนื่อยต่อการเผยแพร่ธรรมไม่ยังทรงประกาศพระธรรมอันประเสริฐที่ทรงค้นพบด้วยพระองค์เองแก่พุทธบริษัท 4ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้คราเมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงปาวาลเจดีย์ ได้ประทับอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีเงาครึ้มต้นหนึ่งโดยมีพระอานนท์หมอบลงที่พระบาทมูลแล้วทูลว่า

“ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์อาศัยความกรุณาแก่ข้าและหมู่สัตว์จงดำรงพระชนมชีพต่อไปอีกเถิดอย่าเพิ่งด่วนปรินิพพานเลย ”กราบทูลเท่านี้แล้วพระอานนท์ก็ไม่ทูลอะไรต่อไปอีกเพราะโศกาดูรท่วมท้นหทัย“

อานนท์เอ๋ย ” พระศาสดาตรัสพร้อมทอดทัศนาการไปเบื้องหน้าอย่างสุดไกลลีลาอันเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและพระพักตร์ “เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตถาคตกลับใจตถาคตจะต้องปรินิพพานในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ อีกสามเดือนข้างหน้านี้ อานนท์เราได้แสดงนิมิตโอภาสอย่างแจ่มแจ้งแก่เธอพอเป็นนัยมาไม่น้อยกว่า 16 ครั้งแล้วว่าคนอย่างเรานี้มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้อบรมมาด้วยดีถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัปป์หรือมากกว่านั้นก็พออยู่ได้ แต่เธอหาเฉลียวใจไม่ได้ทูลอะไรเราเลยเราตั้งใจไว้ว่าในคราวก่อนๆนั้นถ้าเธอทูลให้เราอยู่ต่อไปเราจะห้ามเสียสองครั้งพอเธอทูลครั้งที่สามเราจะรับอาราธนาของเธอแต่บัดนี้ช้าเสียแล้ว เรามิอาจกลับใจได้อีก”

“ อานนท์เอ๋ย ” บัดนี้สังขารอันเป็นเหมือนเกวียนชำรุดนี้เราได้สละแล้วเรื่องที่จะดึงกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้นไม่ใช่วิสัยแห่งตถาคต....บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงไม่ได้ อานนท์เอ๋ย ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุดสิ่งทั้งหลายมีความแตกดับไปสลายไปเป็นธรรมดาจะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปเคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวทุกขณะ ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลเป็นพื้นฐานที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ประหนึ่งแผ่นดินเป็นสิ่งที่รองรับและตั้งลงแห่งสิ่งทั้งหลาย เป็นต้นว่าพฤกษาลดาวัลย์มหาสิงขรและสัตว์จตุบททวิบาทนานาชนิด บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้นใจย่อมอยู่สบายมีความปลอดโปร่งเหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเรือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือ ความสงบใจ สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้นเป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก บุคคลผู้มีสมาธิย่อมอยู่อย่างสงบ เหมือนเรือนที่มีฝาผนังมีประตูหน้าต่างปิดเปิดเรียบร้อย มีหลังคาป้องกันลม แดดและฝน ผู้อยู่ในเรือนเช่นนี้ ฝนตกก็ไม่เปียกแดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิก็ฉันนั้น ย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวายเมื่อลม แดดและฝนกล่าวคือโลกธรรมแผดเผา กระพือพัดซัดสาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าสมาธิอย่างนี้ย่อมก่อให้เกิดปัญญาในการฟาดฟันย่ำยี และเชือดเฉือนกิเลสอาสวะให้เบาบางและหมดสิ้นไป ”

“ อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ แต่เศร้าหมองไปเพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด ศีลสมาธิและปัญญา เป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวสะอาดดังเดิม จิตที่ฟอกด้วยศีล สมาธิและปัญญาย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาทางทั้งหลาย มรรคมีองค์ 8 ประเสริฐที่สุด บรรดาบททั้งหลายบท 4 คืออริยสัจประเสริฐที่สุด บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะ คือ การปราศจากความกำหนัดยินดี ประเสริฐที่สุดบรรดาสัตว์สองเท้า พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐที่สุด มรรคมีองค์ 8นี่แลเป็นไปเพื่อทัศนะอันบริสุทธิ์ หาใช่ทางอื่นไม่ เธอทั้งหลายจงเดินไปตามทางมรรคมีองค์ 8 นี้อันเป็นทางที่ทำมารให้หลงติดตามมิได้ เธอทั้งหลายจงตั้งใจปฏิบัติเพื่อทำทุกข์ให้สิ้นไปตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น เมื่อปฏิบัติดังนี้พวกเธอจักพ้นจากมารและบ่วงแห่งมาร

”--------------------------------------------

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฐิ คือความยึดมั่นเรื่องของตนเสีย ด้วยประการฉะนี้เธอจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวลไม่มีความสุขใดยิ่งกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ด้วยตัวเรานี้เองตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลยมนุษย์ได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นไว้เพื่อให้ตัวเองวิ่งตามแต่ก็ตามไม่เคยทันการแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้นเป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อยเหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็ก ๆ เพียงตัวเดียวมนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติ จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ่ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรนเรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา เรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้ภาระที่ต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้วในหมู่ชนที่เพ่งแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตาเขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อมๆกันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง”

“ ภายในอาคารมหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์ มีลมพัดเย็นสบายแต่สถานที่เหล่านั้นมักบรรจุไปด้วยคนที่มีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมากภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบที่อยู่โคนไม้ได้อย่างไร ”

“ ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่าแน่นอนทีเดียวคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้มิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุขสงบเยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลกที่น้อยคนนักจะสละละวางได้ จึงแย่งลาภและยศกันอยู่เสมอเหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกิน แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วยหรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกัน จิกตีกัน ทำลายกันจนพินาศกันทั้งสองฝ่าย น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนักถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง มีการเผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี ถ้าเขาลดโทสะลง มีความเห็นอกเห็นใจกันมีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง ไม่หลงงมงาย ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและดำเนินชีวิตโลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก แต่ช่างเขาเถิดหน้าที่โดยตรงและเร่งด่วนของเธอ คือ ลดความโลภความโกรธและความหลงของเธอเองให้น้อยลง แล้วจะประสบความสุขเยือกเย็นขึ้นมาก เหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใดความสบายกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ยิ่งเจริญก็ดูเหมือนจะมีเสรีภาพน้อยลงทั้งทางกายและทางใจดูแล้วความสะดวกสบายและเสรีภาพของมนุษย์ยังสู้สัตว์เดรัจฉานบางประเภทไม่ได้ที่มันมีเสรีภาพที่จะทำอะไรตามใจชอบอยู่เสมอ ดูอย่างเช่น ฝูงวิหกนกกา มนุษย์เราเจริญกว่าสัตว์ตามที่มนุษย์เราเองชอบพูดกันแต่ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขน้อยกว่าสัตว์ ภาระใหญ่จะที่ต้องแบกไว้ คือ เรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติ สัตว์เดรัจฉานตัดไปได้อย่างหนึ่งคือเรื่องเกียรติ คงเหลือแต่เรื่องกามและเรื่องกินนักพรตอย่างพวกเธอนี้ตัดไปได้อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องกาม คงเหลือแต่เรื่องกินอย่างเดียวแต่การกินอย่างนักพรตกับการกินของผู้บริโภคกามก็ดูเหมือนจะบริโภคแตกต่างกันอยู่ผู้บริโภคกามและยังหนาแน่นอยู่ด้วยโลกียวิสัย บริโภคเพื่อยุกามให้กำเริบจะต้องกินให้มีเกียรติกินให้สมเกียรติ มิได้กินเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้อย่างสมณะความจริงร่างกายคนเราไม่ได้ต้องการอาหารอะไรมากนัก เมื่อหิวก็ต้องการอาหารบำบัดความหิวเท่านั้นแต่เมื่อมีเกียรติเข้ามาบวกด้วย จึงกลายเป็นเรื่องกินอย่างเกียรติยศ และแล้วก็มีภาระตามมาอย่างหนักหน่วงคนจำนวนมากเบื่อเรื่องนี้แต่จำเป็นต้องทำ เหมือนโคหรือควายซึ่งเหนื่อยหน่ายต่อแอกและไถแต่จำใจต้องลากมันไป อนิจจา ”

------------------------------------------

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็กหรือโซ่ตรวนใดๆเราไม่กล่าวว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำ คือ บุตรภรรยาและทรัพย์สมบัตินี่แลตรึงมัดรัดผูกสัตว์ให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆคือ บุตร ภรรยาและทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะเป็นเหยื่อของโลกเมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นดอกไม้กลิ่นจันทน์ไม่สามารถหอมหวนทวนลมได้แต่กลิ่นแห่งเกียรติคุณความดีงามของสัตบุรุษนั้นแล สามารถจะหอมไปได้ทั้งตามลมและทวนลมคนดีย่อมมีเกียรติคุณฟุ้งขจรไปได้ทั่วทุกทิศ กลิ่นจันทน์แดง กลิ่นอุบล กลิ่นดอกมะลิจัดว่าเป็นดอกไม้กลิ่นหอม แต่ยังสู้กลิ่นศีลไม่ได้ กลิ่นศีลยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งมวลถ้าภิกษุหวังจะให้เป็นที่รักที่เคารพ เป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจารีแล้วพึงเป็นผู้ทำตนให้สมบูรณ์ด้วยศีลเถิด ”

“ สัตว์โลกเมื่อเกิดมาย่อมนำความทุกข์ติดตัวมาด้วย ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออกความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่ ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมันพวกเธอจงเอาสติเป็นขอเหนียวรั้งช้าง คือจิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดและควรแก่การสรรเสริญนั้นคือผู้ที่สามารถเอาชนะตนของตนเองไว้ในอำนาจได้สามารถเอาชนะตนเองได้ ผู้ชนะตนได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม เธอทั้งหลายจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิดอย่าเป็นผู้แพ้เลย ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัวอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตนได้ เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด ผู้มีความอดทน มีเมตตาย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกเราก็ร้องไห้พร้อมกำมือไว้แน่นเป็นสัญลักษณ์ว่าเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ แต่เมื่อจะหลับตาลาโลกนั้นทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึกและเป็นพยานว่าเขามิได้เอาอะไรไปด้วยเลย ”

“ เมื่อหัวใจยึดไว้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า แต่ทุกครั้งที่เราหวังความผิดหวังก็จะรอเราอยู่ ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาว่าไม้จันทน์แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น อัศวินก้าวลงสู่สนามก็ไม่ทิ้งลีลาอ้อยแม้เข้าสู่เครื่องยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน บัณฑิตแม้ประสบความทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ลาภเป็นความโง่เขลา เหมือนชาวนาที่ตระหนี่ไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนาข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ดย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้นย่อมมีผลมากผลไพศาล คนดีมีทรัพย์แล้วย่อมบำรุงมารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ให้เป็นสุขบำรุงสมณะพรหมาจารย์ให้เป็นสุข เปรียบเสมือนสระโบกขรณีอันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหรือนิคม มีท่าลงเรียบร้อยสะอาดเยือกเย็น น่ารื่นรมย์ มหาชนย่อมได้อาศัย นำไปอาบดื่มและใช้สอยตามต้องการโภคทรัพย์ของคนดีย่อมเป็นดังนี้ หาอยู่โดยเปล่าประโยชน์ไม่ ”

“ การเสียสละนั้น คือการได้มาซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไรย่อมไม่ได้อะไร จงดูเถิดมนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคนแต่ต้นไม้นั้นย่อมให้ผลที่ปลาย ”

“ บุคคลไม่ควรประมาทว่าบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยจะไม่ให้ผลหยาดน้ำที่ไหลลงทีละหยดยังทำให้แม่น้ำเต็มได้ฉันใด การสั่งสมบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้นผู้สั่งสมบุญย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยบุญ ผู้สั่งสมบาปย่อมเพียบแปล้ไปด้วยบาป ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันร่างกายนี้สะสมแต่ของสกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้งเก้ามีช่องหูช่องจมูก เป็นต้น เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งโรคเป็นที่เก็บโรค อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆเข้าไว้แล้วซึมออกมาเสมอๆเจ้าของกายจึงต้องชำระล้าง ขัดถูวันละหลายๆครั้ง เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือสองวันกลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจ เป็นของน่าขยะแขยง ”

“ ดูกรอานนท์ บิณฑบาตทานที่มีอานิสงส์มาก มีผลไพศาล คือ เมื่อนางสุชาดาถวายเราก่อนตรัสรู้ครั้งหนึ่งและอีกครั้งหนึ่งที่จุนทะถวายนี้ ครั้งแรกเสวยอาหารของสุชาดาแล้วตถาคตก็ถึงซึ่งกิเลสนิพพานครั้งหลังนี้เสวยอาหารของจุนทะบุตรนายช่างทอง แล้วเราก็นิพพานด้วยขันธ-นิพพาน คือ ดับขันธ์อันเป็นวิบากที่ยังเหลืออยู่ ถ้าใครๆจะพึงตำหนิจุนทะ เธอพึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามนี้ถ้าจุนทะพึงจะเดือดร้อนใจ เธอพึงกล่าวปลอบให้เขาหายกังวลใจเสียอาหารของจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา ”

“ อานนท์เอ๋ย พึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้วขอให้ธรรมวินัยอันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่าสิ่งทั้งปวงมีเสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด ”

ย่างเข้าปัจฉิมยาม ณ ใต้ต้นสาละคู่แห่งกุสินารานครมีพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงปรินิพพานอยู่ในที่นั้นและพรั่งพร้อมด้วยพุทธบริษัทเนืองแน่นเป็นปริมณฑลทอดไกลสุดสายตา พระธรรมที่พระองค์ทรงพร่ำสอนมาตลอดพระชนมชีพว่าสัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุดนั้น เป็นสัจธรรมที่ไม่ยกเว้นแม้แต่พระองค์เอง

 

..................

รับฟัง / ดาวน์โหลด ที่นี่ครับ

http://www.dhammathai.org/sounds/admonitionofbuddha.php

      บันทึกการเข้า
Preecha2510
Cmadong Member
Full Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2510
กระทู้: 788

« ตอบ #169 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2554, 14:25:09 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2554, 01:30:45

เสียงไวโอลินที่ไม่มีใครได้ยิน ... บทความดีๆ ของ " วินทร์ "

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

เช้าวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2550 ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ลองต์ฟองต์ พลาซา ในกรุงวอชิงตัน ดี. ซี. นักไวโอลินคนหนึ่งกำลังเล่นดนตรี บนพื้นเบื้องหน้าของเขาวางกระเป๋าไวโอลินที่เปิดอ้าอยู่เพื่อให้คนผ่านทางบริจาคเงิน เป็นภาพปกติของพื้นที่สาธารณะซึ่งมีวณิพกนักดนตรีแวะเวียนมาเล่นหาเศษเงิน

ระดับปรอทยามเช้าในเดือนแรกของปีอยู่ที่ 4 องศาเซลเซียส จัดว่าหนาวเอาการ แต่บรรยากาศดูร้อนรน ในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ ชาวเมืองกำลังรีบไปทำงาน สถานีนี้อยู่ในพื้นที่ซึ่งประกอบด้วยศูนย์การค้า โรงแรม อาคารธุรกิจ และราชการ แต่ละนาทีมีคนผ่านไปมาหลายร้อยคน

เสียงไวโอลินแผ่วพลิ้วสดใสกังวาน มันเป็นเพลงของบาค เพลงคลาสสิคกลืนหายไปกับเสียงจอแจของรถและผู้คน กระนั้นมันก็เป็นดนตรีไพเราะเสนาะจิต ฝีมือของวณิพกรายนี้ไม่เลวเลย

คนหลายคนเดินผ่านคนสีไวโอลินไปโดยไม่สนใจ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหยุดดูแวบหนึ่งแล้วเดินต่อไป ผู้หญิงคนหนึ่งโยนเงินหนึ่งเหรียญลงในกระเป๋าบนพื้น แล้วจ้ำต่อไป อีกไม่กี่นาทีถัดมา มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งหยุดดูเขาเล่นดนตรี แล้วก็เดินต่อไปเพื่อไปทำงาน

ชั่วขณะนั้น เด็กชายคนหนึ่งหยุดฟังเสียงไวโอลินที่เขาบรรเลงอย่างจดจ่อ ทว่าอึดใจต่อมา แม่ของเด็กดึงเขาออกไป เด็กชายยังหันกลับมามองเขาเล่น เด็กอีกหลายคนก็มีปฏิกิริยาต่อเสียงดนตรีคล้ายกัน แต่พ่อแม่ของเด็กทุกคนก็ลากเด็กจากไป

ผ่านไป 45 นาทีกับบาค 6 เพลง นักดนตรีก็ยุติการแสดง เก็บไวโอลินใส่กระเป๋า นักไวโอลินเดินจากมุมนั้นของซับเวย์ไปเงียบๆ ไม่มีใครปรบมือชื่นชมวณิพก สี่สิบห้านาทีนั้นมีเพียง 6-7 คนที่หยุดฟังเขาเล่นดนตรีเพียงครู่สั้นๆ ยี่สิบคนให้เงินแต่ไม่หยุดฟัง นักไวโอลินเก็บเงินบริจาคได้ 32.17 ดอลลาร์จากผู้ผ่านทาง 27 คน

มันคงเป็นเช้าวันหนึ่งที่เหมือนกับทุกๆ เช้าในสถานีรถไฟใต้ดิน ผู้คนเดินผ่านมาแล้วผ่านไป ต่างแต่ว่าเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นถูกบันทึกไว้ในกล้องวิดีโอที่ซ่อนอยู่

มันคงเป็นการแสดงของนักดนตรีไส้แห้งคนหนึ่งในซับเวย์ที่ไม่มีคนสนใจเช่นทุกวัน ต่างแต่ว่านักไวโอลินผู้นี้มิใช่วณิพกยากไร้ หรือนักดนตรีฝึกหัด นามของเขาคือ โจชัว เบลล์ นักไวโอลินมือหนึ่งของโลก เครื่องดนตรีในมือของเขาคือ สตราดิแวเรียส ปี ค.ศ. 1713 ราคา 3.5 ล้านดอลลาร์

สองวันก่อนหน้านั้น โจชัว เบลล์ เล่นไวโอลินที่ซิมโฟนี ฮอลล์ เมืองบอสตัน ราคาค่าตั๋วเฉลี่ยหนึ่งร้อยดอลลาร์ คนดูเต็มโรง !

นี่เป็นการทดลองศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในเมืองใหญ่ ริเริ่มโดยหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ เป็นการวิจัยเรื่องการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น รสนิยมของคน และการจัดลำดับความสำคัญของคน ใกล้ๆ จุดที่นักดนตรีเล่นไวโอลิน กล้องวิดีโอที่ซ่อนอยู่เก็บภาพทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้นในช่วงสี่สิบห้านาทีนั้น

คำถามที่ผู้ทำวิจัยตั้งไว้คือ มนุษย์เรามีความสามารถในการรับรู้ความงามหรือไม่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เราจะหยุดเพื่อซึมซับความงามนั้นหรือไม่ เรามีความสามารถในการพบ ‘เพชรเม็ดงาม’ ในสภาพแวดล้อมที่คาดไม่ถึงหรือไม่

ในจำนวนคน 1,097 ที่เดินผ่านจุดนั้น มีเพียงเจ็ดคนที่หยุดฟังเสียงดนตรี และเพียงคนเดียวที่จดจำนักดนตรีได้

มันตั้งคำถามกับเราว่า เราสูญเสียโอกาสที่จะรับสิ่งที่ดีและงดงามไปมากมายเท่าไรแล้ว จากพฤติกรรมแสนเร่งรีบของเรา ?

คิดดูก็น่าขัน คนส่วนมากใช้ชีวิตแบบรีบร้อนจนไม่มีเวลาใช้ชีวิต !  เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงผ่านไปทีละรอบ เหมือนๆ กันทุกวันจนทุกอย่างกลายเป็นเครื่องจักร และหลายคนกลายเป็นหุ่นยนต์

การทดลองยังบอกเราว่า เราอาจจมอยู่ในสังคมที่มองโลกแบบฉาบฉวย คนจำนวนมากเห็นคุณค่าของคนหรือสิ่งของเมื่อเขาหรือมันอยู่ในสภาพแวดล้อมบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เพชรในร้านหรูดูแพงกว่าเพชรแบบเดียวกันที่ร้านในตรอกสกปรก, อาหารจีนปรุงโดยพ่อครัวชาวจีนน่าจะอร่อยกว่าที่ทำโดยพ่อครัวชาวอิรัก, นักดนตรีที่แสดงในศูนย์วัฒนธรรมดูเก่งกว่านักดนตรีริมถนน, หนังสือที่เขียนโดยนักเขียนมีชื่อเสียงน่าจะดีกว่าโดยนักเขียนมือใหม่, ภาพเขียนโดยศิลปินระดับโลกดีกว่าภาพโดยจิตรกรท้องถิ่น ฯลฯ นี่เองที่ทำให้เราพลาดโอกาสใหญ่มากมายซึ่งซ่อนรูปในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง

ชีวิตคนเรานั้นไม่ยาวนัก เป้าหมายของแต่ละคนก็ไม่น้อย ดังนั้นบางคนจึงเลือกที่จะรีบเพื่อไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด

แต่การใช้ชีวิตมิได้จำเป็นต้องไปให้ถึงที่หมายอย่างเดียว มันคือการชมดูความงามของสองข้างทางชีวิตไปด้วย

เนื้อหาของนวนิยายแห่งชีวิตของเราแต่ละคนอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าบทสุดท้ายเป็นแฮปปี้ เอนดิ้ง หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าบทส่วนใหญ่มีความสุขหรือไม่ต่างหาก เพราะหากบทส่วนมากเป็นเรื่องโศกเศร้าหมองหม่น ต่อให้บทสุดท้ายจบด้วยดี มันก็ถือว่าเป็นชีวิตที่เศร้า

บทจบจึงไม่สำคัญเท่าบทอื่นๆ ทั้งเรื่อง

จุดหมายอาจไม่สำคัญเท่าสองข้างทาง

บางครั้งเราอาจต้องวิ่ง บางครั้งก็ควรเดิน แต่ถ้าต้องวิ่งตลอดทางก็คงไม่ใช่ชีวิตที่สนุกนัก


หมายเหตุ : บทความเกี่ยวกับการทดลองนี้ทำให้ผู้เขียน จีน ไวน์การ์เตน หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ได้รางวัลพูลิตเซอร์ในปี พ.ศ. 2551

วินทร์ เลียววาริณ
11 กันยายน 2553


คมคำคนคม

All life is an experiment. The more experiments you make the better.

ชีวิตทั้งชีวิตก็คือการทดลอง ยิ่งทดลองมากเท่าไรก็ยิ่งดี

Ralph Waldo Emerson


                     <a href="http://www.youtube.com/watch?v=hnOPu0_YWhw" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=hnOPu0_YWhw</a>


                   Will one of the nation's greatest Violinists be noticed in a D.C. Metro .



                                                                                                      Washington post
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #170 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2554, 18:35:38 »


พี่แก้ว ขา

      สรุปว่าการวิจัยภาคสนาม( Field Research ) ครั้งนี้  มีเพียงผู้หญิงคนเดียวในตอนท้ายของนาทีที่ 45 เท่านั้น ที่จำโจชัวร์ เบลล์ได้ และชมว่าเค้าเล่นไวโอลินได้ fantastic มาก

      คุณวินทร์ก็ช่างเก็บเอามาเล่า และให้ข้อ ' ฉุกคิด ' ที่ ' โดนใจ ' ดีแท้

      ขอบพระคุณพี่แก้วค่ะ ที่ทำให้จินตนาการของภาพ และเสียงของเรื่องเล่าเรื่องนี้แจ่มชัดได้อรรถรสมากขึ้นโขเลย ... เหนือความคาดหมายจริงๆ ...
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #171 เมื่อ: 02 มีนาคม 2554, 09:14:07 »

โอวาทของหลวงพ่อพุทธทาส
[/b][/color]

บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร
การทำให้บิดามารดาน้ำตาตกเป็นบาป
การเชื่อฟังบิดามารดาไม่มีทางเสียหาย
ไม่ดื้ออย่างเดียว ดีหมดทุกอย่าง
จงตอบแทนพระคุณท่านตั่งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่
รักผู้อื่น....
แก้ปัญหาของมนุษได้ทุกชนิด
การทำงานคือการปฏิบัติธรรม
ปัญหาของวัยรุ่นแก้ได้ด้วยการบังคับตนเอง
เมื่อบังคับตนเองได้ ก็นับถือตนเองได้
เมื่อนับถือตนเองได้ก็ยกมือไหว้ตนเองได้
[/b]
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #172 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 01:44:38 »


สิ่งที่ชาวญี่ปุ่นใช้รับมือกับภัยธรรมชาติร้ายแรงที่สุดในรอบศตวรรษ

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

ติดตามข่าวแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุน อย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันแรก ด้วยความรู้สึกตกตะลึง และตามมาด้วยความน่าสะพรึงกลัวต่อพลังมหาศาลของธรรมชาติ ด้วยความสงสาร และเห็นใจอย่างจับใจ ต่อทุกข์แสนสาหัส ที่ประชาชนญี่ปุ่นประสบอยู่ในปัจจุบัน
 
ในระหว่างติดตามดูข่าวทางโทรทัศน์ และอินเตอร์เนตเหล่านี้ ...  ท่ามกลางความโหดร้ายน่ากลัว เรากลับพบความดีงามที่ทำให้เรารู้สึกทึ่ง และชื่นชม  นั่นคือ ความสงบ นิ่งของชาวญี่ปุ่น

ภายหลังเหตุการณ์รุนแรงที่ทำลายชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีพ  เราไม่พบข่าวการบุกทุบร้านสะดวกซื้อ เพื่อแย่งชิงอาหาร น้ำ ฯลฯ  ทั้งที่ทุกแห่งต่างขาดแคลนอย่างสาหัส  แต่สิ่งที่เราพบเห็นตามข่าว ก็คือ “ วินัย ” ของชาวญี่ปุ่น ที่อดทน รอคอย และ ร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้รู้สึกว่าสิ่งนี้นั่นเองที่จะเป็น “ เคล็ดลับ ” สำคัญที่สุด ที่ชาวญี่ปุ่นใช้เพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติร้ายแรงในครั้งนี้
 
ลองจินตนาการดูนะคะว่า หากปราศจาก ความอดทน วินัย เช่นนี้ สถานการณ์ที่เลวร้ายในปัจจุบัน จะยิ่งเพิ่มความร้ายแรงมากขึ้นเพียงใด ? ? ?
 
วันนี้ OPEN UP ขอเผยแพร่เรื่องราวน่าประทับใจที่ได้ไปอ่านเจอ จากนักเรียนไทยในญี่ปุ่นที่เปิดเผยบรรยากาศหลังเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ และคลื่นยักษ์สึนามิถล่มใน Twitter ของเขา และมีคนนำมาแปลเป็นภาษาไทยค่ะ

เรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติการณ์ในประเทศญี่ปุ่น

( จาก Link http://prayforjapan.jp/tweet.html ศูนย์กลางข่าวสารแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น โดย สนญ. และ สนทญ. )
     
เรื่องที่หนึ่ง  ข้าพเจ้าได้เห็นเด็กน้อยพูดกับพนักงานรถไฟ “ ขอบคุณค่ะ/ครับ ที่เมื่อวานพยายามอย่างสุดชิวิตทำให้รถไฟเดินรถได้อีกครั้ง ”  พนักงานรถไฟร้องไห้  ส่วนข้าพเจ้าร้องไห้ฟูมฟายไปแล้ว ( คืนวันที่เกิดแผ่นดินไหว  รถไฟซึ่งเป็นการคมนาคมหลักของชาวญี่ปุ่นหยุดวิ่ง กว่าจะวิ่งได้ก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว )


 
เรื่องที่สอง   ที่ดิสนีย์แลนด์ คนติดอยู่ในสวนสนุก กลับบ้านไม่ได้จำนวนมาก และทางร้านขายของก็ได้เอาขนมมาแจกนักท่องเที่ยว ก็มีนักเรียนมัธยมปลายหญิงกลุ่มหนึ่งไปเอามาจำนวนมาก มากเกินพอ  แว้บแรกที่ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีคือ อะไรวะ เอาไปซะเยอะเลย !  แต่วินาทีต่อมากลายเป็นความรู้สึกตื้นตันใจ  เพราะเด็กกลุ่มนั้นเอาขนมไปให้เด็กๆ ซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถไปเอาเองได้เพราะต้องอยู่ดูแลลูกๆ


 
เรื่องที่สาม  ในซุปเปอร์มาร์ทแห่งหนึ่ง ของตกระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว  แต่คนซื้อก็เดินไปช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบส่วนที่ตนอยากซื้อไปต่อคิวจ่ายเงิน ในรถไฟที่เพิ่งเปิดให้ใช้บริการ และคนที่ตกค้างจำนวนมากกำลังเดินทางกลับ ก็ได้เห็นคนแก่คนหนึ่งลุกให้สตรีมีครรภ์นั่ง คนญี่ปุ่นแม้ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ ก็ยังมีน้ำใจ มีระเบียบ


 
เรื่องที่สี่  ในคืนแรกที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟไม่วิ่ง ทำให้คนจำนวนมากต้องเดินกลับบ้านแทนการนั่งรถไฟ  ขณะที่ข้าพเจ้าต้องเดินกลับจากมหาวิทยาลัยมายังที่พัก  ร้านรวงก็ปิดหมดแล้ว  ข้าพเจ้าได้ผ่านร้านขนมปังร้านหนึ่งซึ่งปิดไปแล้ว แต่คุณป้าเจ้าของร้านก็ได้เอาขนมปังมาแจกฟรีแก่คนที่กำลังเดินกลับบ้าน  ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ น้ำใจที่มีให้กันทำให้หัวใจข้าพเจ้าอบอุ่น ตื้นตัน


 
เรื่องที่ห้า  ในขณะที่รอรถไฟให้กลับมาวิ่งได้  ข้าพเจ้าก็ได้รออยู่ในอาคารสถานีอย่างเหน็บหนาว โฮมเลสก็ได้แบ่งปันแผ่นกล่องกระดาษให้ โฮมเลสที่ข้าพเจ้ามองด้วยหางตาทุกวันที่มาใช้สถานี  คืนนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด


 
เรื่องที่หก  ( เรื่องราวคืนรถไฟไม่วิ่งเยอะหน่อยนะครับ ) ด้วยระยะเวลาสี่ชั่วโมงที่ต้องเดินเท้ากลับบ้าน ก็ได้ผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่ง  สายตาก็พลันไปสะดุดกับแผ่นกระดาษที่เขียนว่า “ เชิญใช้ห้องน้ำได้ค่ะ ”  หญิงสาวคนหนึ่งได้เปิดบ้านตัวเองให้แก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านได้ใช้  ในวินาทีที่ได้เห็นแผ่นกระดาษนั้น  น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ... น้ำใจคนญี่ปุ่น
 
เรื่องที่เจ็ด  แม้ว่าไฟดับ ก็ยังมีคนที่สู้ทำงานให้ไฟกลับมาติด  น้ำไม่ไหลก็ยังมีคนไม่ยอมแพ้ทำให้น้ำกลับมาไหล  เกิดปัญหากับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีคนที่พร้อมจะเข้าพื้นที่เพื่อซ่อมมัน  ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้กลับมาสู่สภาพปกติด้วยตัวมันเอง  ขณะที่พวกเราอยู่ในบ้านอันอบอุ่นแล้วก็พร่ำบ่นว่าเมื่อไรไฟมันจะติด น้ำจะไหลซะทีน้อ  ก็มีคนที่อยู่ข้างนอกท่ามกลางความหนาวเหน็บกำลังพยายามสู้อยู่

เรื่องที่แปด  ในจังหวัดจิบะ คนลุงคนหนึ่งที่หลบภัยอยู่ก็ได้เปรยออกมาว่า ต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรน้า  เด็กหนุ่มมัธยมปลายก็ตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ต่อจากนี้ไป เมื่อเป็นผู้ใหญ่ พวกผมจะทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมแน่นอน ( ไม่เป็นไร พวกเรายังมีอนาคต ! ! ! )
 
เรื่องที่เก้า  ขณะที่กำลังได้รับความช่วยเหลือ หลังจากที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านมากว่า 42 ชั่วโมง  คุณลุงก็พูดว่า “ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ เคยมีประสบการณ์สึนามิที่ชิลีมาแล้ว  ต่อจากนี้ไปพวกเรามาช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันนะ ”  แกกล่าวด้วยรอยยิ้ม ( สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือ ต่อจากนี้ไปเราจะทำอะไรต่างหาก )

OPEN UP หวังว่าเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ จะสะท้อนใจให้เราเห็นถึงสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สถานการณ์ที่เลวร้ายคลี่คลาย และผ่านพ้นไป นั่นก็คือ น้ำใจ วินัย และสปิริต ค่ะ

สำหรับใครที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือชาวญี่ปุ่นในครั้งนี้  มีหลายหน่วยงานนะคะที่พวกเราจะสามารถไปร่วมบริจาคเงินหรือสิ่งของ ตลอดจนช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้เรามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือค่ะ  ถ้ามีกำลัง และโอกาส ... ก็ร่วมด้วยช่วยกันนะคะ
 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #173 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 12:42:59 »


สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ สมาชิกชาวเวป cmadong.com ทุกท่าน

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #174 เมื่อ: 17 เมษายน 2554, 04:07:16 »


ช้าลงสักนิด

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

มารดาของแก้วเป็นมะเร็งลำไส้ จึงเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล  หลังจากได้รับเคมีบำบัด ๑๐ ครั้ง ร่างกายก็ผ่ายผอม  วันหนึ่งแก้วจึงพาแม่ไปพักผ่อนกับครอบครัวที่เชียงใหม่ เที่ยวกันทั้งวัน ตกค่ำก็ไปกินอาหารหน้าโรงแรม แก้วสั่งข้าวต้มให้แม่ แต่แม่ไม่ยอมแตะข้าวต้มเลย เอาแต่อุ้มหลานเดินอยู่รอบโต๊ะ แก้วคะยั้นคะยอให้แม่ทานอาหาร แม่ก็ไม่สนใจ แก้วไม่พอใจจึงบ่นเสียงดังว่า แม่เอาใจยาก ป่วยขนาดนี้แล้ว ยังไม่สนใจดูแลรักษาตัวเองอีก
 
กลางดึกขณะที่นอนอยู่ แก้วก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ สงสัยว่าเป็นเสียงของใคร พลิกตัวกลับมาก็พบว่าแม่กำลังร้องไห้ จึงถามว่า แม่มีอะไรไม่สบายใจหรือ แม่ตอบว่า แม่น้อยใจลูกที่ต่อว่าแม่เรื่องข้าวต้มเมื่อหัวค่ำ แม่บอกว่า แม่กินข้าวต้มไม่ลงจริง ๆ รู้ไหมว่าแม่เกลียดข้าวต้มมาก เพราะอยู่ที่โรงพยาบาลแม่กินแต่ข้าวต้ม พอเห็นข้าวต้มใจก็หวนระลึกถึงความเจ็บปวด และทุกข์ทรมานเพราะฤทธิ์เคมีบำบัด พาลให้เกลียดพยาบาลทุกคนที่โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย แม่ทุกข์ทรมานมาก แต่แทนที่แก้วจะเห็นใจ หรือเข้าใจแม่ กลับต่อว่าแม่อีก

แก้วได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ กราบขอโทษแม่ที่พูดจาทำร้ายจิตใจแม่ แก้วไม่รู้เลยว่าแม่ทุกข์ถึงเพียงนี้ แล้วแก้วก็กอดแม่อยู่นาน เช้าวันรุ่งขึ้น แม่ก็คุยกับแก้วเป็นปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เหตุการณ์นี้ผ่านมานานหลายปี  บัดนี้แม่หาชีวิตไม่แล้ว นึกถึงเหตุการณ์นี้คราวใด แก้วอดรู้สึกใจหายวาบไม่ได้ ที่เผลอทำร้ายจิตใจแม่เพียงเพราะข้าวต้มจานเดียวเป็นเหตุ หากแก้วถามแม่สักคำว่าทำไมแม่ถึงไม่กินข้าวต้ม แทนที่จะด่วนต่อว่าแม่ แม่ก็คงไม่เสียน้ำตาเพราะลูก ยังดีที่แก้วรับรู้ความรู้สึกของแม่ในคืนนั้น จึงขอโทษแม่ได้ทัน หาไม่แล้ว แก้วคงจะเสียใจหากมารู้ความจริงเมื่อแม่จากไปแล้ว

ความผิดพลาดในชีวิตบ่อยครั้งเกิดจากการด่วนสรุป หรือผลีผลามตัดสิน โดยไม่สอบถาม หรือฟังผู้ที่เกี่ยวข้องเสียก่อน จริงอยู่คนเราเมื่อเห็นหรือได้ยินอะไร ก็อดไม่ได้ที่จะตีความหรือหาความหมายจากสิ่งนั้น รวมทั้งคาดเดาถึงที่มาที่ไปของมัน แต่หากเราตระหนักหรือระลึกว่านั่นเป็นแค่ “ ความคิด ” ซึ่งอาจผิดหรือถูกก็ได้ เราก็จะไม่ด่วนสรุปว่ามันเป็น “ ความจริง ” ทำให้พร้อมที่จะรับฟังข้อเท็จจริงหรือความเห็นที่ต่างออกไป
 
ปัญหาก็คือคนเรามักด่วนตัดสินโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่คิดนึกหรือคาดเดาอะไรขึ้นมาได้ก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่ามันเป็นความจริงหรือสิ่งที่ถูกต้อง จนไม่ยอมเปิดใจรับฟังอะไรที่ต่างจากความคิดนั้น ผลก็คือความคิดนั้นกลายเป็นนายเรา ควบคุมบงการให้เราพูดหรือทำตามมัน ดังที่บงการแก้วให้ต่อว่าแม่ด้วยความไม่พอใจ
 
การมีสติรู้ทันความคิดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราไม่ด่วนสรุป หรือหากเผลอด่วนสรุปไปแล้ว ก็รู้ตัว และวางมันไว้ก่อน ไม่ปล่อยให้มันบงการจิตใจ พร้อมเปิดใจรับฟังผู้อื่น หรือตามดูเหตุการณ์ให้แน่ใจ ซึ่งบ่อยครั้งช่วยให้ไม่เผลอทำสิ่งผิดพลาด ที่ทำให้ต้องเสียใจในภายหลัง


อังคณา มาศรังสรรค์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “ ผลัดใบชีวิต ” เล่าว่า วันหนึ่งเธอชวนลูกไปเดินเล่นในสวน ลูกชายทั้งสองเดินไปก็แหย่หยอกกันไป เธอเดินตามหลังลูก เห็นแล้วก็ลุ้นในใจว่า ลูกจะตีกันไหมหนอ สักพักก็เห็นคนพี่หันไปทำท่าเหมือนตีหัวน้อง เธอเกือบจะหลุดปากออกไปปรามลูกว่า “ เล่นกันดี ๆ ลูก ทำไมต้องตีหัวน้อง ” แต่แล้วก็ยั้งเอาไว้ เพราะเกรงว่าน้องจะรู้สึกมีพวก และหันมางอแงหาแม่ให้ช่วย

ครู่ต่อมาเธอเห็นคนพี่ตีหัวน้องอีกครั้ง คราวนี้เธอเห็นความโกรธพุ่งจี๊ดขึ้นมา แต่ไม่ทันจะทำอะไรไป ก็ได้ยินลูกคนโตพูดว่า “ เดี๋ยว ๆ ยังไม่ออกเลย มดตะนอยเกาะอยู่ เดี๋ยวโดนกัดหรอก ”

เธอได้ยินก็อมยิ้ม รู้สึกดีใจที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป หาไม่ลูกชายคงจะเสียใจมากกับคำพูดของแม่ที่เข้าใจลูกผิด

คงไม่มีอะไรที่ทำให้ลูกเสียใจมากเท่ากับถูกแม่ตำหนิทั้งๆ ที่ตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ผู้เป็นลูกมักหนีไม่พ้นที่ต้องเจอเรื่องทำนองนี้ โดยที่แม่ก็หารู้ไม่ว่าได้ทำอะไรลงไป เพราะคิดเสมอว่าแม่ย่อมรู้ดีกว่าลูก

หนังสือเล่มเดียวกันนี้เล่าถึงคุณแม่ผู้หนึ่ง เธอชอบพาลูกสาววัย ๕ ขวบเดินชมสวน เธออยากให้ลูกมีนิสัยรักธรรมชาติ ระหว่างที่เดินมักจะเตือนลูกไม่ให้เด็ดดอกไม้ แต่ลูกก็มักจะทำตรงข้าม เธอเห็นคราวใดก็ตีมือลูกเบา ๆ พร้อมกับพูดเสียงแข็ง “ แม่บอกหลายครั้งแล้วนะ ไม่ให้เด็ดดอกไม้”  บ่อยครั้งที่ลูกสาวมีอาการงอน เสียใจ ขณะที่เธอรู้สึกกังวลที่ลูกสาวเป็นคนดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟังแม่

มีช่วงหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้ช้าลงและไม่ด่วนสรุป เธอจึงอยากทดลองใช้กับตัวเองบ้าง วันหนึ่งขณะที่เดินเล่นกับลูกสาว เธอเห็นลูกน้อยเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ เธอรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาทันที แต่เตือนตนไม่ให้ผลีผลามทำอะไร นึกในใจว่า “ ลองช้าสิ ลองไม่ตัดสินสิ ดูก่อน ลูกจะเอาดอกไม้ไปทำอะไร ” ลูกเด็ดดอกไม้เสร็จเธอก็เดินตามลูกไป พอกลับถึงบ้านลูกถามหาชามเล็ก ๆ แม่ถามว่าจะเอาไปทำอะไร

“ ใส่ดอกไม้ค่ะ เวลาพ่อกินข้าว จะได้ดูดอกไม้สวยๆ ” ลูกตอบ

แม่น้ำตาคลอทันที คิดมาตลอดว่าลูกเป็นคนดื้อ หากเธอด่วนสรุปด่วนตำหนิเหมือนเคย ก็คงไม่รู้ว่าลูกสาวมีน้ำใจงดงามเช่นนี้

ความสัมพันธ์ในครอบครัวแม้เริ่มต้นด้วยความรัก แต่มักปริร้าวจนแตกแยกก็เพราะผู้คนไม่ค่อยฟังกัน แม้จะได้ยินด้วยหู เห็นด้วยตา แต่เมื่อมีข้อสรุปล่วงหน้าแล้ว ใจก็ปิดไม่ยอมรับรู้ความเห็นต่าง จึงยากที่จะเข้าใจกันได้ ทำให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง ความรักจึงกลายเป็นความมึนตึงและความเกลียดชังกันในที่สุด

อย่าเพิ่งด่วนสรุป ตัดสินช้าลงสักนิด พึงระลึกว่าความจริงนั้นเป็นมากกว่าสิ่งที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู หรืออาจตรงข้ามกับสิ่งที่คิดในใจก็ได้ แม้จะมีข้อสรุป ก็เผื่อใจไว้บ้างว่าความจริงอาจมิใช่เป็นอย่างที่คิด ลองสอบถามหรือดูต่อไปสักนิด เราอาจเห็นความจริงอีกด้านหนึ่งที่งดงามของคนที่เรารัก

 
ที่มา : http://www.visalo.org/article/sarakadee255402.htm
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #175 เมื่อ: 22 เมษายน 2554, 03:29:37 »


The Power of Words‏

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Hzgzim5m7oU" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=Hzgzim5m7oU</a>
      บันทึกการเข้า
eutronium
Newbie
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3

« ตอบ #176 เมื่อ: 24 เมษายน 2554, 13:50:44 »

ภาพเด็กๆน่ารักดี
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #177 เมื่อ: 25 เมษายน 2554, 23:25:25 »


อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 22 เมษายน 2554, 03:29:37

The Power of Words‏

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Hzgzim5m7oU" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=Hzgzim5m7oU</a>

Love it so much kah.  Thanks !
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #178 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 12:25:55 »


เหมือนกันค่ะ ติ๋ม ... คราวนี้มาอ่านข้อคิดดีๆ ที่โด่งส่งมาให้ บ้างนะคะ


จะเสียดายถ้าไม่ได้อ่าน

พรชัย - นิติ 16 ... ส่งมา

" เหลียงจี้จาง ” เป็นพิธีกรดังของ TVB ในฮ่องกง และเป็นนักเขียนด้วย  บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ " ลูก " ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้าง  นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่พ่อมีต่อลูกเฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆ ไป  มุมมองของเขาบางเรื่อง ( ในแบบสังคมฮ่องกง )  บางคนก็เคยประสบมาบ้างเหมือนกัน

อ่านแล้วก็ยังอดอึ้งไม่ได้

.................................................................

ลูกรัก ...

ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ

1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า

2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก

3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้  ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา  มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีก



ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้ดี

1. คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก  ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา  ยกเว้นพ่อกับแม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหน และขอบคุณเขาแล้ว  ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย  เพราะคนเราทุกคนทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์  เขาทำดีกับลูก  ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป  ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี  อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป
 
2. ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้  ถ้าเข้าใจจุดนี้ หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป  หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป  ลูกจะได้เข้าใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย
 
3. ชีวิตนี้แสนสั้น  หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า  พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น  ดังนั้นยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด  เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น  หาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน
 
4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล  ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ  โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา และอารมณ์  หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป  ขอให้รอคอยอย่างอดทน  ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆ ตกตะกอน  แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป ... อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ

5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยันเรียน แล้วจะได้ดี  ความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้ หากปราศจากอาวุธสู้ ...
 
6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ  เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน  เมื่อลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว  พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน  หลังจากนั้นไป  ลูกจะนั่งรถเมล์ หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์  จะกินหูฉลาม หรือจะกินบะหมี่ยำๆ  ต้องเลือกเอง

7. ต้องทำดีต่อผู้อื่น  แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา  เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร  มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน ... ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้  จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น
 
8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม  แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย  นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น  ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้องเสียตังค์ ( No free lunch )

9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว  ฉะนั้นจงหวนแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกัน และแสนมีค่านี้  เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร  ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #179 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 12:47:21 »


ความสุขเกิดขึ้นเมื่อใด

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

ความสุข เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง  ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึง

คุณบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงาน และมีลูก ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น

แต่เมื่อมีลูก และลูกของคุณยังเล็กอยู่  คุณก็เกิดความรู้สึกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเราคงมีความสุข และสบายขึ้น

แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น  คุณกลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง

และเมื่อลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้  คุณคิดว่า คุณจะมีความสุขมากขึ้น  แต่คุณกลับบอกกับตัวเองอีกว่า จะรอให้ลูกๆ  จัดการกับตัวของเค้าเองให้เรียบร้อยดีเสียก่อน

บางครั้งคุณคิดว่า ถ้าคุณมีบ้าน มีรถ มีวันหยุดพักร้อนนานๆ  และเมื่อถึงวันเกษียณอายุการทำงาน  ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากที่สุด

แต่เมื่อเกษียนแล้วก็จริง  แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขสักที

ความสุขของชีวิตอยู่ที่ไหนกัน ?

แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต
 
เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบัน

ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทั้งอุปสรรคต่างๆ หรือบททดสอบชีวิตอันยากเข็ญ  แต่ในที่สุดเราก็จะต้องก้าวผ่านไป อุปสรรคกับชีวิตเป็นของคู่กัน

ดังนั้น เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องหาความสุข และความพึงพอใจจากการเดินทางบนถนนแห่งชีวิตนี้ ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่าที่จะรอให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน  แล้วถึงจะมีความสุขได้


เริ่มหยุดพูดกับตัวเองเสียทีว่า

ถ้าฉันลดน้ำหนักได้สัก 5 กิโล ฉันถึงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้แต่งงาน ฉันถึงจะมีความสุข
ถ้าผมได้ซื้อบ้าน ผมถึงจะมีความสุข
ถ้าผมได้เกิดเป็นลูกคนรวย ผมถึงจะมีความสุข
ถ้าคุณหยุดพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้  ชีวิตของคุณก็จะมีความสุข  และคุณจะรู้สึกพึงพอใจกับชีวิต

ตอบคำถาม ต่อไปนี้

1. บอกชื่อคน 3 คน ที่รวยที่สุดในโลก
2. บอกชื่อนางงามจักรวาล 3 คนล่าสุด
3. บอกชื่อ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 3 คนล่าสุด
4. บอกชื่อนักแสดงนำชาย 3 คนล่าสุด ที่ได้รับรางวัลออสการ์

นึกไม่ออกใช่ไหม ? ไม่ใช่เรื่องแปลก  ไม่มีใครหรอกที่จะจดจำคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด  คนที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ก็ล้วนล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา  รางวัลต่างๆ เมื่อวางไว้นาน ก็จะถูกฝุ่นจับ แม้แต่ผู้ชนะก็จะถูกลืมในไม่ช้า

ตอบคำถาม ต่อไปนี้

1. บอกชื่ออาจารย์ 3 ท่านที่เคยช่วยเหลือคุณในเรื่องการเรียน
2. บอกชื่อเพื่อน 3 คนที่ช่วยเหลือคุณในยามที่คุณต้องการ
3. นึกถึงคน 3 คนที่ทำให้คุณรู้สึกว่า คุณได้เป็นคนพิเศษ
4. บอกชื่อคน 3 คนที่คุณอยากใช้เวลาด้วย

นึกออกง่ายกว่าใช่ไหม ?  นั่นเป็นเพราะว่า คนที่มีความหมายต่อชีวิตคุณ ไม่ได้เป็นคนที่ต้องเป็นที่สุด  ไม่ได้มีเงินมากที่สุด ไม่ต้องได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  เพราะยังมีคนใกล้ตัวคุณอีกหลายคนที่ห่วงใยคุณ  คอยให้การดูแลคุณ และเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะคอยอยู่เคียงข้างคุณ

... ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะมีความสุขมากกว่าช่วงเวลา ณ ปัจจุบันนี้ ... ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับช่วงเวลาปัจจุบัน

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเอง ที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพ มีอย่างนี้

           ๑.  อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น  คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขา  มีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
 
           ๒.   อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุม หรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลัง และพลังงานให้กับความคิด ทางบวก ณ ปัจจุบันเสียดีกว่า
 
          ๓.  อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้ ... รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

          ๔.  อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก  เพราะคนอื่นเขา ไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
 
          ๕.  อย่าเสียเวลา และพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิม หรือเรื่องซุบซิ ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณ ผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

          ๖.  จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
 
          ๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ ... คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

          ๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย  และอย่าได้เตือนสามี หรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย  เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

          ๙.  ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร ... จงอย่าเกลียดคนอื่น
 
          ๑๐ .ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
 
          ๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้ นอกจากคุณเอง
 
          ๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน  คุณมาเพื่อเรียน รู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป ... เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต ... แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
 
          ๑๓. จงยิ้ม และหัวเราะมากขึ้น
 
           ๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกเถียงกับคนอื่นหรอก ... บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้ ...เ ห็นพ้องที่จะเห็นต่าง ก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร


แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชน และคนรอบข้างเราล่ะ ?

           ๑.     อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อยๆ
 
           ๒ .    จงหาอะไรดีๆ ให้คนอื่นทุกวัน
 
           ๓.     จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
 
           ๔.     จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6ขวบ
 
           ๕ .    พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน

           ๖.     คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณ ไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย

          ๗.  งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก  แต่ครอบครัว และเพื่อนคุณต่างหากเล่า ที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ  ดังนั้น ,  อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำ ดังต่อไปนี้

๑.   ทำสิ่งที่ควรทำ
 
๒.   อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย , ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง ไปเสีย ... เก็บไว้ทำไม ?
         
๓ .   เวลา..ย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
         
๔.   ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
 
๕.  ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุก จากเตียง, แต่งตัว และ ปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงาน  ด้วย ... get up, dress up and show up.

๖.   สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
 
๗.   ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
 
๘.  เชื่อเถอะว่าส่วนลึกๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ ... ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณ จะทุกข์โศกไปทำไมเล่า
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #180 เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2554, 21:48:12 »

ดีจังค่ะเจี๊ยบ ขอบคุณมาก
คนมีความสุขในใจเสมอ จะสวยเสมอ อย่างเจี๊ยบไงคะ
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #181 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2554, 22:25:02 »


จ้าติ๋ม ... สมพรปาก เด้อ ค่ะ เด้อ !


ครึ่งวัน กับการไม่มีเงินติดตัวเลยซักบาท

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

ถ้าคุณต้องโดนทดสอบกับหลักสูตรแบบนี้  คุณคิดว่า คุณจะได้เรียนรู้อะไรจากหลักสูตรนี้บ้าง ?

ชื่อหลักสูตร " ลองใช้ชีวิตในเมืองใหญ่โดยไม่มีเงิน และไม่มีมือถือ " ระยะเวลา 8 ชั่วโมง ระหว่าง 09.00-17.00 น. ในวันเสาร์ต้นเดือน
 
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ประกอบด้วยคนทำงานออฟฟิศ หรือมนุษย์เงินเดือน 20 คน ซึ่งถูกกำหนดเงื่อนไขให้ได้เรียนรู้แบบแสบๆ คันๆ  หัวเราะไม่ออก  โดยขอให้ทุกคนโปรดงดอาหารเช้า  แล้วมาพบกันที่หน้าห้างใหญ่ ย่านสยามสแควร์  เงินทอง  บัตรเอทีเอ็ม  มือถือที่พกมา โปรดฝากไว้ที่อาจารย์  ตอนเย็นจะคืนให้ ... แต่ทุกคนต้องหาวิธีไปถึงจุดนัดพบ ที่หน้าห้างใหญ่ตรงแยกลาดพร้าวในเวลา 17.00 น.
                     
ทุกคนปฏิบัติการด้วยท้องที่หิว  ต่างนำพาตัวเองสู่จุดนัดหมาย ด้วยประสบการณ์เฉพาะตนที่ยากจะลืมเลือน           
 
แดง เล่าว่าเธอพยายามรวบรวมความกล้าไปขอเงินค่ารถเมล์ แต่ใจไม่กล้าพอ เพราะรูปร่างหน้าตาแบบเธอนี่ ใครเขาจะเชื่อว่าไม่มีเงินเลยสักบาท  แต่ด้วยความมุ่งมั่น แดงเดินจากสยามไปถึงแยกลาดพร้าว โดยไม่มีอาหารและน้ำ ตกถึงท้อง
แดง สรุปวีรกรรมของเธอว่าเป็นเรื่อง " ศักดิ์ศรี " ล้วนๆ  เพื่อนๆ จึงแถมด้วยว่า " ไม่ฉลาด " เพราะไม่รู้จักขึ้นรถเมล์ฟรีสำหรับประชาชน

 
ต้อย แก้โจทย์แรกทำอย่างไรจึงหายหิว  ต้อยเล็งแม่ค้าหมูปิ้งท่าทางมีเมตตา  ต้อยเริ่มบรรยายว่าเธอไม่ได้กินข้าวเช้า กำลังจะเป็นลมแล้ว  แม่ค้าสงสารยื่นหมูปิ้งให้สองไม้ แถมข้าวเหนียวอีกห่อ  ณ นาทีนั้น ต้อยสัญญากับตัวเองว่า ทันทีที่ภารกิจเสร็จ ได้กระเป๋าสตางค์ของตนคืน  จะมาเหมาหมูปิ้งหมดเลย  แต่พอถึงตอนเดินไปขอใช้โทรศัพท์มือถือ จากผู้ที่เดินผ่านไปมา  สายตาที่มองต้อยหัวจรดเท้า หรือท่าทีธุระไม่ใช่ของคนเหล่านี้
ต้อย  สรุปว่า น้ำใจแห้งแล้งกว่าแม่ค้าหมูปิ้งยิ่งนัก  ต้อยบากหน้าขอยืมมือถือกว่าสิบราย  แต่สุดท้ายมีหญิงวัยกลางคนให้เธอยืมมือถือมาโทรฯ ได้สำเร็จ                                           
ต้อยสัญญากับตัวเองเป็นคำรบสองว่าต่อจากนี้ไป ใครมาขอยืมใช้โทรศัพท์มือถือ  เธอจะเต็มใจให้ใช้โดยไม่เกี่ยงงอนใดๆ เลย  นี่คือ คำสัญญาจากต้อย         
                                                                   
เอก พยายามทดสอบน้ำใจผู้คน  แต่ไม่มีใครเชื่อว่าชายครบสามสิบสอง ไม่พิกลพิการจะมีหน้ามาแบมือขอเงิน  เอกต้องทนหิวถึงบ่ายแก่ๆ ไปขอเงินจากนักศึกษาสาวที่มองเอกอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินจากไป  ราวสิบนาทีต่อมา เธอยื่นถุงจากร้านสะดวกซื้อให้เอกโดยไม่พูดสักคำ  เอกรับมาเปิดดู  มีเครื่องดื่มเย็นๆ สองขวด  แซนวิช  และธนบัตรหนึ่งร้อยบาทในถุงนั้น  เอกเล่าว่าอยากจะวิ่งไปขอบคุณนักศึกษาสาวผู้นั้น  แต่เธอเดินลับหายไปในฝูงชน  บุญคุณครั้งนี้เอกจะไม่ลืม  เงินร้อยบาทที่ได้มาเป็นเงินที่มีค่ากว่าเงินเดือนหลายหมื่น ที่ฝ่ายการเงินโอนเข้าบัญชีของเอกทุกเดือนซะอีก
เอกกำลังคิดว่า ตนจะตอบแทนสังคมที่มีผู้มีน้ำใจได้อย่างไร
   
                                     
วิทยา เป็นวิทยากรกระบวนการหลักสูตรนี้  แต่ต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีเงิน และมือถือเช่นเดียวกันกับคนอื่น
วิทยาปล่อยวาง และเล่น " เกม " นี้อย่างไม่กดดันตัวเอง  แต่พยายามเข้าใจปฏิกิริยาของคนที่เขาไปขอเงิน และพยายามเชื่อมโยงเหตุผลที่ทำให้บางคน " มีน้ำใจ " กว่าคนอื่น  วิทยาได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ใส่ใจรับฟัง หรือจ้องมองดวงตาของวิทยา  แต่ผู้คนที่เร่งรีบ ไม่มีเวลาแม้แต่หยุดฟัง  มักเชิดหน้าผ่านไปพร้อมส่งสัญญาณอำมหิต แปลความได้ว่า ... ชีวิตใคร  ชีวิตมัน  อย่ามายุ่งกับข้า …     
                             
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้ง 20 คนมาถึงจุดนัดหมายด้วย " ตัวช่วย " ต่างกัน  แต่ทุกคนสรุปตรงกันว่า ต่อไปตนจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้อย่างเต็มใจเมื่อมีผู้ร้องขอ  เพราะถ้าเราไม่ให้  ไม่ช่วยคนในสังคมแล้ว  สังคมที่เราอยู่ร่วมกันนี้ก็คงไม่มีการให้  มีแต่ความเป็นตัวใคร ตัวมัน
               
หลักสูตรครึ่งวันนี้ได้ชี้ทางว่า เราควรใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร ?                                      
 
จาก หนังสือ สานพลัง สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ คอลัมน์ เล็กไปใหญ่ โดย นายแพทย์ ชาตรี  เจริญศิริ 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #182 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2554, 00:14:59 »


วิถีแห่งเซน ของสตีฟ จอบส์

รุจิตร - ครุ 16 ... ส่งมา


แม้จะเป็นนักธุรกิจร่ำรวยระดับแสนล้าน แต่ไม่ว่าจะปรากฏกาย ณ ที่แห่งใด หรือแม้แต่ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple  คนทั่วไปมักชินตากับภาพ สตีฟ จอบส์ ในชุดแต่งกายเรียบง่าย สวมเสื้อยืดคอเต่าแขนยาวสีดำ ยี่ห้อ St. Croix กางเกงยีนส์ลีวายส์ รุ่น 501 และสวมรองเท้ากีฬายี่ห้อ New Balance รุ่น 992 เป็นประจำ  จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขา

สตีฟ จอบส์ หรือสตีเฟน พอล จอบส์ ( Steven Paul Jobs ) เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน ซีอีโอใหญ่แห่งค่าย Apple Inc. ยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกของโลก  รวมทั้งเป็นผู้บริหารระดับสูงของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ ( Pixar Animation Studios )ด้วย

กว่าจะถึงวันนี้ ชีวิตของซีอีโอใหญ่ได้เผชิญปัญหามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วยหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนานิกายเซน ที่เขาได้ศึกษาเรียนรู้ ช่วยให้เขาก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงมาได้


• ชีวิตช่วงแรก ไม่ได้ปริญญา แต่ได้วิชา ... เริ่มสนใจศึกษาพุทธศาสนา

สตี เฟน พอล จอบส์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1955 ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรนอกสมรสของนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัย กับศาตราจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์ มารดาแท้ๆ ยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ครอบครัว “จอบส์” ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัวเป็นช่างเครื่อง โดยขอสัญญาว่า บุตรชายของเธอจะต้องได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย

เมื่อโตขึ้น จอบส์เข้าศึกษาต่อที่ Reed College ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ได้เพียง 6 เดือน ก็ลาพักเรียน เพราะไม่เห็นความน่าสนใจของสิ่งที่เขาเรียนอยู่ แต่เขาก็กลับเข้าศึกษาใหม่อีก 1 ปีครึ่ง โดยลงเรียนเฉพาะ คอร์สที่เขาสนใจ เช่น การประดิษฐ์ตัวอักษร (ซึ่งภายหลังเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ ในการออกแบบตัวพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ Macintosh) หลังจากนั้น เขาหยุดเรียนถาวรและไม่ได้ศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยตามที่มารดาแท้ๆ ของเขาหวังไว้

ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนี้เองที่จอบส์เริ่มหันมาศึกษา พุทธศาสนานิกาย เซน เขาสนใจอ่านวรรณกรรมทางพุทธศาสนาหลายเล่ม และหนังสือที่มีอิทธิพล สูงสุดกับเขาคือ Zen Mind, Beginner’s Mind ซึ่งเขียนโดยชุนริว ซูซุกิ กล่าวกันว่า หลังการศึกษาหลักธรรมของเซน จอบส์เริ่มมีความเชื่อว่า การหยั่งรู้โดยสัญชาตญาณนั้น ก่อให้เกิดปัญญา เขาจึงเริ่มฝึกสมาธิในห้องนอนแคบๆ ที่แชร์ร่วมกับ “แดเนียล คอตคี” เพื่อนสนิท ท่ามกลางกลิ่นธูป

• ออกแสวงหาตัวตนที่แท้จริง

ใน ปี 1974 จอบส์ ในวัย 19 ปี ได้ขอลาพักงานประจำ ที่เขาทำอยู่ในบริษัทเครื่องเล่นวิดีโอเกมส์ Atari เพื่อเดินทางไปอินเดีย เป็นเวลา 1 เดือน พร้อมกับเพื่อนรัก “แดเนียล คอตคี” เพื่อแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับการรู้แจ้งเห็นจริงด้านจิตวิญญาณ และเมื่อเดินทางกลับสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง เขาได้กลายเป็นพุทธศาสนิกชน สวมเสื้อผ้าแบบอินเดียโบราณและโกนศีรษะ

หลังจากนั้น เขาได้แวะเวียนไปที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส ในเมืองลอส อัลทอส รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นประจำ ที่นี่เขาเริ่มฝึกการบำบัดแบบกรีดร้องดังๆ และรับประทานผลไม้เป็นอาหาร และผลไม้ที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษก็คือ แอปเปิ้ล นั่นเอง




ในปี 1976 ขณะอายุ 21 ปี จอบส์ได้เข้าทำงานกับบริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด และเริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนอย่างจริงจังกับ “โกบุน ชิโนะ โอโตโกวะ” พระอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส (ซึ่งภายหลัง เมื่อจอบส์เข้าพิธีแต่งงานแบบเซน กับ “ลอรีน เพาเวล” ในวันที่ 18 มีนาคม 1991 พระอาจารย์โอโตโกวะได้มาเป็นประธานในพิธี)

• เริ่มก่อตั้งบริษัท Apple ดีไซน์สินค้าด้วยแนวคิดเซน

ใน ปี 1976 จอบส์และเพื่อนสมัยเรียนที่ชื่อ “สตีฟ วอซเนียก” ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Apple Computer ขึ้นที่โรงรถในบ้านของจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตา ได้แก่เครื่อง Apple I และเพียง 10 ปีให้หลัง Apple ก็เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ และพนักงานมากกว่า 4,000 คน!!



จอบส์เคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Wired ของอเมริกาว่า

มีคำคำหนึ่งในศาสนาพุทธ คือ จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น

ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียงให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความ ประหลาดใจ

ด้วยความเชื่อดังกล่าว สตีฟ จอบส์ จึงนำแนวคิดแบบเซนมาใช้กับบริษัท Apple Inc ของเขา ในการออกแบบรูปลักษณ์และการใช้งานของสินค้าให้มีแนวทางบริสุทธิ์ ครบถ้วนสมบูรณ์ และง่ายต่อการใช้งาน


 • พบมรสุมชีวิต แต่พิชิตด้วยความรักในงาน

เมื่อ จอบส์อายุ 30 ปี หลังจากเพิ่งเปิดตัว Macintosh เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดของตัวเองได้ปีเดียว เขาถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้ง หลังจากทะเลาะกับผู้บริหาร และกรรมการบริษัทก็เข้าข้างผู้บริหารคนนั้น

เรื่องนี้เป็นความสูญ เสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา จอบส์กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่ได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา ถึงกับคิดจะออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต เขาไม่ได้ทำอะไรหลังจากนั้นอีกหลายเดือน

แต่แล้วความรู้สึกอย่าง หนึ่งก็สว่าง ขึ้นข้างในตัวของจอบส์ ซึ่งเขาค้นพบว่า ตัวเองยังคงรักในสิ่งที่ทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วได้ ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาได้พบว่า การที่เขาถูกไล่ออกจาก Apple ได้กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะภาระอันหนักจากการประสบความสำเร็จในอดีตที่เขาแบกไว้นั้น ได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายในการเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ซึ่งช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ นั่นก็คือเขาได้ปล่อยวางความสำเร็จเก่านั้นลง และเริ่มต้นใหม่ด้วยใจที่เบาสบาย เบิกบาน เป็นจิตของผู้เริ่มต้นอย่างที่เขาเคยบอกไว้นั่นเอง

จอบส์กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว

หลัง จากนั้น เขาได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar ( ซึ่งขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ) ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story



ส่วน Apple ซึ่งไร้เงาของจอบส์นั้น ไม่ได้เฟื่องฟูขึ้นเลย ดังนั้นบริษัทฯ จึงได้หันมาซื้อบริษัท NeXT เพื่อทำให้จอบส์ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง รวมทั้งเทคโนโลยีที่เขาคิดค้นขึ้นที่ NeXT ก็ได้กลายเป็นหัวใจในยุคฟื้นฟูของ Apple

• ใช้การเจริญมรณสติทุกวัน เป็นเครื่องมือช่วยการตัดสินใจในชีวิต

เมื่อ อายุ 17 ปี จอบส์ประทับใจข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านจากหนังสือ ซึ่งสอนให้ทุกคนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่กำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ ไม่ ” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง

จอบส์เล่าว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมาย และความสำคัญที่แท้จริงเท่า นั้น

“ วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น ”

จอบส์พูดถึงความตายว่า กลางปี 2004  เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดรุนแรง และไม่มีทางรักษา เขาจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ที่รักษาแนะนำให้เขากลับบ้าน และจัดการสะสางภารกิจที่มีอยู่ให้เรียบ ร้อย ซึ่งความหมายก็คือให้ “ เตรียมตัวตาย ”

แต่แล้วในเย็นนั้นเมื่อ แพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อน ไปตรวจอย่างละเอียด ผลปรากฏว่า เขาเป็นมะเร็งตับอ่อน ชนิดที่พบเพียงแค่ 1 เปอร์เซนต์ของผู้ป่วย ซึ่งรักษาได้ด้วยการผ่าตัด  ในปี 2009 จอบส์เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี่ และกลับไปทำงานที่ Apple อีกครั้ง หลังลาหยุดเป็นเวลา 6 เดือน


ซีอี โอใหญ่ของ Apple กล่าวว่า นี่เป็นประสบการณ์เฉียดตายที่สุดของเขา ซึ่งทำให้เขาสามารถพูดได้เต็มปากยิ่งกว่า เมื่อตอนที่ใช้ความตายมาเตือนตัวเองเป็นมรณานุสติ และเมื่อผ่านห้วงเวลานั้นมาได้ เขาบอกว่าความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ ชีวิต ” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต เขาได้พูดถึงความตายไว้ว่า

“ ไม่มีใครอยากตาย แม้ว่าคนที่อยากขึ้นสวรรค์ ก็ไม่อยากตายเพื่อจะได้ไปที่นั่น แต่เราทุกคนต้องตาย ไม่มีใครรอดพ้นไปได้ ดังนั้นความตายก็คือตัวเปลี่ยนแปลงชีวิต มันจะกำจัดคนเก่าออกไป ( ตาย ) เพื่อเปิดทางให้คนใหม่ได้เข้ามา ( เกิด )  ตอนนี้คนใหม่ก็คือพวกคุณ แต่ในไม่ช้า พวกคุณก็จะค่อยๆแก่ และถูกกำจัดออกไป ( ตาย ) นี่คือหลักความจริง ”

จอบส์ ได้เตือนว่า “ เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะพาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่ คุณต้องการจะเป็นอะไร ”

ทุกวันนี้ จอบส์ในวัย 55 ปียังคงถือปฏิบัติตามแบบเซน ที่มีวิถีแห่งความเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก และเขามักอ้างคำพูดของอาจารย์เซนหลายๆ ท่าน และหลักปรัชญาเซน ในระหว่างการแสดงสุนทรพจน์ในที่ต่างๆ



9 บทเรียนทองของสตีฟ จอบส์

9 คำพูดที่ดีที่สุดที่คัดเลือกมานี้ จะช่วยให้คุณทำงานได้สำเร็จตามสไตล์ซีอีโอแสนล้าน

1. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างผู้นำ และผู้ตาม

นวัตกรรมหรือวิธีการใหม่ เป็นสิ่งไร้ขีดจำกัด มีเพียงจินตนาการเท่านั้นที่มีขอบเขต ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเริ่มคิดนอกกรอบ ถ้าคุณทำงานในภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต ต้องรู้จักคิดหาทางทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และอยากจะทำธุรกรรมด้วย แต่ถ้าคุณอยู่ในธุรกิจที่กำลังหดตัว ต้องรีบออกมาจากธุรกิจนั้นโดยเร็ว และเปลี่ยนแปลงก่อนที่คุณจะกลายเป็นคนตกยุค ตกงาน หรือธุรกิจล่มสลาย และต้องจำไว้เสมอว่า คุณจะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้

2. สตีฟ จอบส์ พูดว่า  “ จงเป็นคนที่มีคุณภาพสูง คนบางคนไม่เคยชินกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คาดหวังความเป็นเลิศ

ไม่ มีหนทางลัดสู่ความเป็นเลิศ คุณจะต้องตั้งใจและให้ความสำคัญ ใช้ความสามารถ ทักษะ และพรสวรรค์ที่มี พยายามทำให้มากกว่าคนอื่น มีมาตรฐานสูงกว่า และใส่ใจในรายละเอียดที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ความเป็นเลิศไม่ใช่เรื่องยาก แต่คุณต้องลงมือทำทันที แล้วคุณจะประหลาดใจในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต

3. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ วิธีเดียวที่จะทำงานให้ได้ผลดีเยี่ยม คือ คุณต้องรักในสิ่งที่ทำ ถ้าคุณยังไม่เจอสิ่งที่รักในตอนนี้ จงมองหาไปเรื่อยๆ อย่าด่วนสรุป เพราะมันเป็นเรื่องของหัวใจ คุณจะรู้ได้เอง เมื่อเจอสิ่งที่รัก

จงทำในสิ่งที่รัก มองหาอาชีพการงานที่ทำให้คุณมีจุดประสงค์ ทิศทาง และความพึงพอใจในชีวิต เมื่อคุณมีเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมาย ทิศทาง และความพอใจ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว แต่ยังจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นเมื่อต้องเผชิญอุปสรรค

4. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ คุณก็รู้ว่า อาหารส่วนใหญ่ที่เรากิน เราไม่ได้ผลิตด้วยตัวเราเอง เราสวมใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นผลิต เราพูดภาษาที่คนอื่นพัฒนาขึ้น เราใช้คณิตศาสตร์ที่คนอื่นค่อยๆปรับปรุงมาเรื่อยๆ ผมหมายถึงว่า เราเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น คงเป็นความรู้สึกที่น่าปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่เราสามารถสร้างสรรค์บางสิ่ง บางอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ

จงใช้ชีวิตตามหลักศีลธรรม พยายามทำให้เกิดความแตกต่างบนโลกใบนี้และมีส่วนร่วมให้เกิดสิ่งที่ดีงามยิ่ง ขึ้น คุณจะพบว่า มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นยาแก้ความเบื่อหน่ายที่ได้ผลดีอีกด้วย ลองมองไปรอบๆตัว แล้วคุณจะพบว่า มีสิ่งต่างๆให้คุณทำอยู่เสมอ และจงพูดคุยกับผู้อื่นถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ แต่อย่าพร่ำสอน หรือคิดว่าตัวเองถูกต้อง หรือหลงตัวเอง เพราะจะทำให้คนอื่นไม่อยากคุยด้วย ขณะเดียวกัน คุณต้องไม่กลัวที่จะทำตนเป็นตัวอย่าง และใช้โอกาสที่มี บอกเล่าถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ

5. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ มีคำพูดในพุทธศาสนาว่า จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น

ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความ เป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียง ให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความประหลาดใจ

6. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ เราคิดว่า โดยทั่วไปแล้ว คุณดูโทรทัศน์เพื่อพักสมอง และคุณใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการให้สมองทำงาน

ใน รอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีรายงานการศึกษาจำนวนมากที่ยืนยันหนักแน่นว่า การดูทีวีส่งผลเสียด้านจิตใจและมีอิทธิพลด้านศีลธรรม และคนที่ติดทีวีส่วนมาก แม้จะรู้ว่า มันทำให้ชินชาและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม ดังนั้น จงปิดทีวีซะ เพื่อถนอมเซลล์สมอง แต่ต้องระวัง เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ก็อาจเป็นการพักสมองได้เช่นกัน ลองเปลี่ยนมาเล่นเกมที่พัฒนาสติปัญญาดีกว่า

7. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ ผมสูญเงินไป 250 ล้านดอลลาร์ภายใน 1 ปี มันทำให้ผมรู้จักตนเองดีขึ้น

อย่า มองว่า การทำผิดกับความผิดเป็นเรื่องเท่าเทียมกัน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่เคยล้มเหลวหรือทำผิดเลยนั้น ไม่มีหรอก มีแต่คนที่ประสบความสำเร็จ เคยทำผิดพลาดและรู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อทำให้ถูกต้องในครั้งต่อไป พวกเขามองความผิดพลาดเป็นเครื่องเตือนสติ มากกว่าความสิ้นหวัง การไม่เคยทำผิดเลย แสดงว่า คนนั้นไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

8. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ ในโลกนี้ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด เราเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วก็ได้ทำสิ่งผิดพลาดเช่นกัน ไม่งั้นแล้ว เราจะเกิดมาทำไม

คุณรู้หรือไม่ว่า มีเรื่องใหญ่ๆหลายเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จในชีวิต และรู้หรือไม่ว่า เรื่องสำคัญเหล่านั้นจะถูกฝุ่นจับ เมื่อคุณใช้เวลามัวแต่นั่งคิดมากกว่าลงมือทำ เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมของขวัญชิ้นหนึ่งที่จะมอบให้กับชีวิตของเราเอง ของขวัญที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ความสนใจ ความหลงใหล และความอยากรู้อยากเห็น ของขวัญชิ้นนี้ แท้จริงแล้ว มันคือเป้าหมายของเรานั่นเอง และคุณตั้งเป้าหมายของคุณได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน ครู พ่อแม่ นักบวช หรือเจ้าหน้าที่ ก็ไม่อาจเลือกเป้าหมายให้คุณได้ คุณต้องหาจุดมุ่งหมายด้วยตัวคุณเอง

9. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ เวลาของคุณมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตตามแบบคนอื่น อย่าติดอยู่ในหลักความเชื่อ ซึ่งทำให้คุณใช้ชีวิตตามผลความคิดของผู้อื่น อย่ายอมให้เสียงความคิดของคนอื่น มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และทีสำคัญที่สุด คือ คุณต้องมีความกล้า ที่จะทำตามหัวใจปรารถนาและสัญชาติญาณ เพราะมันรู้ดีว่า จริงๆแล้ว คุณต้องการเป็นอะไร เรื่องอื่นๆกลายเป็นเรื่องรองไปโดยสิ้นเชิง ” 

คุณ เบื่อหรือเปล่าต่อการใช้ชีวิตตามความฝันของคนอื่น ไม่ต้องสงสัยเลย ก็มันเป็นชีวิตของคุณเอง คุณมีสิทธิใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องมีใครมาคอยขัดขวาง ลองให้โอกาสตัวเองฝึกความคิดริเริ่มในบรรยากาศที่ปราศจากความกลัวและแรงกด ดัน จงใช้ชีวิตตามแบบที่คุณเลือก และเป็นเจ้านายตัวเอง

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #183 เมื่อ: 23 สิงหาคม 2554, 03:24:08 »


ครูสอนดนตรี หัวใจสิงห์

ตะกี๊ได้ดูสารคดีสั้นๆ จาก TV ... เลยมาค้นจาก GOOgle ต่อค่ะ

อ.สมศักดิ์ สินธวานนท์ ผู้ทุ่มเท จากครูสอนดนตรี สู่เสียงเพลงบำบัดผู้ป่วย

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=QU1uAxt4tGA" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=QU1uAxt4tGA</a>


จิตอาสา ดนตรีบำบัด

“ นกน้อยคล้อยบินมาเดียวดาย คิดคิดมิวายกังวลให้หม่นฤทัยหมอง ...

   ... จวบจันทร์แจ่มฟ้านภาผ่อง เฝ้ามองให้เดือนชุบวิญญาณ์ สักวันบุญมาชะตาคงมี ”
 

   เสียงบทเพลงพระราชนิพนธ์ ผ่านเครื่องขยายเสียงขนาดเล็ก ดังพอดิบพอดีแว่วมา ...

   “ พี่ขอเพลงพรานทะเลครับ .. .”

   เสียงขอเพลงจากผู้ฟังท่านหนึ่งร้องเมื่อบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ ชะตาชีวิต ” จบลง

   และแล้วบทเพลงพรานทะเลตามคำขอก็บรรเลงขึ้น

   บทเพลงอันไพเราะจับใจนี้ มีเสียงร้องคลอไปกับเสียงดนตรีที่มีต้นกำเนิดจากกีต้าร์โปร่งเพียงตัวเดียว ที่บรรเลงในท่วงทำนองเพลงคลาสสิค จากคนร้อง และคนเล่นคนเดียวกัน

   บรรดาเสียงเพลงราวหนึ่งชั่วโมง มิใช่การเล่นหรือแสดงในแหล่งบันเทิงใด ๆ กระทั่งมิใช่การแสดงเปิดหมวกตามบาทวิถี แต่อยู่ในหอผู้ป่วยชาย ชั้นสองของตึกศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช

   ก่อนการแสดงดนตรีจะเริ่มต้นขึ้นไม่นานนัก ...

   หนึ่งหญิงหนึ่งชายช่วยกันประคับประคอง และเข็นรถผู้ป่วยลัดเลาะไปตามทางเดิน จากอาคารโน้นลัดเลาะมาอาคารนี้ จนกระทั่งเข้าไปถึงลิฟท์ในตึกศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์  รถเข็นนี้มิมีร่างผู้ป่วย มิมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่เป็นอุปกรณ์สำหรับการเล่นดนตรี ทั้งกีตาร์โปร่ง เครื่องขยายเสียงขนาดเล็ก แท่นวางโน้ตดนตรี ไมโครโฟน และขาตั้ง กระทั่งกระเป๋าใบโตที่บรรจุหนังสือ และโน้ตเพลงอยู่ภายใน

   ที่ว่างด้านในของหอผู้ป่วยชาย ถูดดัดแปลงเป็นสถานที่แสดงดนตรีย่อม ๆ เก้าอี้วางอยู่ติดผนัง ถัดออกมาเป็นขาตั้งไมโครโฟน ที่วางคู่อยู่กับแท่นวางโน้ตเพลง ด้านข้างเก้าอี้มีเครื่องขยายเสียงตั้งอยู่ มีสายไมค์และสายจากกีต้าร์เสียบอยู่

   “ รุ่งนภา ศรีดอกไม้ ” หญิงสาวร่างสะโอดสะองวัยกลางคนคนนั้น แต่งกายด้วยชุดฟอร์มสำหรับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เธอคือบุคลากรของโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ท่าทางทะมัดทะแมง ช่วยชายคนนั้นผู้ซึ่งเป็นคู่ชีวิตของเธอเข็นเตียงที่บรรจุอุปกรณ์ดนตรีไปยังจุดหมายอย่างขมักเขม้น

   ชายคู่ชีวิตของเธอคือ “ สมศักดิ์ สินธวานนท์ ” เจ้าของอุปกรณ์ดนตรีบนรถเข็น ซึ่งเขาถูกร้องขอจากพยาบาลท่านหนึ่งในกลุ่มงานศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ ให้ไปเล่นดนตรีให้ผู้ป่วยในตึกฟัง ทั้งหอผู้ป่วยหญิงและหอผู้ป่วยชายในช่วงบ่ายวันหนึ่ง หลังจากที่ได้เห็นสมศักดิ์ แสดงเดี่ยวดนตรีในสวนหย่อมที่อยู่ใจกลางโรงพยาบาล ให้ทั้งผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย เรื่อยไปจนถึงบุคลากรของโรงพยาบาล ฟังเพื่อความเพลิดเพลินผ่อนคลาย ในช่วงสายเรื่อยไปจนถึงเที่ยงของเกือบจะทุกวัน

   สมศักดิ์ เลือกเพลงฟังง่ายๆ สบายๆ ไม่อึกทึกมาเล่นในการแสดงวันนี้ เสียงเพลงไม่ดังมากนัก จึงไม่เป็นการรบกวนผู้ป่วยที่ต้องการพักผ่อน แต่ก็รื่นเริงบันเทิงใจไม่น้อย สำหรับผู้ป่วยอีกหลายคนที่ชื่นชอบเสียงเพลง  ผู้ป่วยบางคนที่ขยับกายลำบากก็ยังอุตสาห์พลิกตัวเพื่อชมหน้านักดนตรีและฟังเพลงไปพร้อมกัน และคนเดียวกันนี้ที่ร้องขอเพลงพรานทะเล  เขาส่งเสียงขอเพลงข้ามเตียงผู้ป่วยคนอื่น ๆ อีกหลายเตียงอย่างลืมเกรงใจ

   ผู้ได้ยินเสียงเพลงยามนี้ หากเป็นนักฟังเพลงหรือใครก็ตามอาจคาดคะเนได้ว่า สมศักดิ์ผู้ร้องและเล่นอยู่ในขณะเดียวกันนี้หากมิใช่นักดนตรีอาชีพ ก็อาจจะเป็นครูสอนดนตรี

   คำตอบที่คาดคะเนนั้นถูกต้องเพียงส่วนเดียว

   สมศักดิ์ สินธวานนท์ เติบโตมาในครอบครัวที่สนใจดนตรี ทุกคนเล่นดนตรี สำหรับเขาทุ่มเทให้กับดนตรีมากกว่าพื่น้องคนอื่นๆ ในบ้าน เขาเลือกเรียนดนตรีที่สยามกลการตั้งแต่วัยเด็ก และเมื่อเขาอายุยังมิทันจะครบยี่สิบ เขาก็เข้าเป็นครูสอนดนตรีของโรงเรียนดนตรีสยามกลการตามการทาบทามของโรงเรียน

   แม้ฝีไม้ลายมือทางด้านดนตรีของเขาที่เรียกได้ว่าชั้นครู แต่เขาก็มิได้ประกอบอาชีพทางด้านดนตรีนอกเหนือจากการสอนที่ได้รับการทาบทาม และเมื่อเขาเรียนจบก็เข้าทำงานในบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่รายหนึ่ง ไต่เต้าขึ้นมาจนกระทั่งเป็นผู้จัดการสาขา

   ประสบการณ์ทางด้านดนตรีของเขานับว่าน่าสนใจ เนื่องจากเคยร่วมเล่นกับนักดนตรีอาชีพที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศหลายครั้งหลายครา อีกทั้งยังเคยเล่นดนตรีร่วมกับนักดนตรีชาวฟิลิปปินส์ที่โรงแรมดุสิตธานีด้วย

   เขาใช้ชีวิตหลังลาออกจากงานประจำด้วยการเปิดร้านอาหารเพื่อสุขภาพ อยู่ที่หน้าโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช  ใช้ชีวิตคู่อยู่กับ “ รุ่งนภา ศรีดอกไม้ ” ผู้ประสานงานโครงการ SHA ของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นผู้ชักชวนเขาไปร่วมกิจกรรมจิตอาสากับทางโรงพยาบาลอย่างสม่ำเสมอ

   การร่วมกิจกรรมจิตอาสาของเขา ดำเนินการโดยใช้ความสามารถทางดนตรีของตนเอง  สมศักดิ์ เชื่อมั่นในศาสตร์ดนตรีว่า เป็นศาสตร์ที่ช่วยในการบำบัดเยียวยา ทั้งคนปกติธรรมดารวมไปถึงผู้ป่วย เขายืนยันความเชื่อมั่นนี้ว่ามาจากการผ่านชีวิตที่ได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา รวมทั้งประสบการณ์ชีวิตของตนเอง

   สมศักดิ์เล่าว่า ชีวิตในวัยหนุ่มของเขาค่อนข้างสำมะเลเทเมา ดื่มเหล้าแทบทุกวัน ผลจากพฤติกรรมแย่ ๆ เหล่านั้นส่งผลให้เขาเป็นโรคเบาหวาน ที่มีน้ำตาลในเลือดอยู่ในราว ๒๕๐ ไขมันไตรกลีเซอไรด์ขึ้นๆ ลงๆ เคยขึ้นถึงกว่า ๗๐๐ ก็มี เป็นเช่นนี้อยู่หลายปี

   “ ผมเป็นแบบนี้มาหลายปี ถ้าเป็นคอื่นป่านนี้น็อคไปแล้ว ... ”

   สมศักดิ์เอ่ย ... เขาบอกว่าที่เขายังยืนหยัดอยู่ได้ไม่ล้มหมอนนอนเสื่อ เพราะเขาเล่น และฟังดนตรี  ทุกๆ ครั้งที่เขาเล่นและฟังดนตรีเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมาก จึงเป็นที่มาหนึ่งที่สร้างความเชื่อมั่นว่า ดนตรีสามารถบำบัดและเยียวยาอาการเจ็บป่วยได้ และเป็นที่มาของการเข้าไปเล่นดนตรีให้ผู้คนในโรงพยาบาลได้ฟัง

   สมศักดิ์ เข้าไปเล่นดนตรีในสวนหย่อมของโรงพยาบาลในช่วงสายจนถึงเที่ยงแทบจะทุกวัน  หากเขาไม่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหรือเข้ากรุงเทพฯ  ร้านขายอาหารของเขาอยู่หน้าโรงพยาบาลมีผู้ดูแลชนิดที่เขาหมดห่วง  เขาจึงให้เวลาเกือบจะทั้งเช้าในการเล่นดนตรีสร้างความรื่นรมย์ให้กับคนทั่วไป  รวมทั้งการเยียวยาสำหรับผู้ต้องการ  ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะป่วยกาย หรือป่วยใจก็ตามที  แน่นอนว่าได้รับความสนใจเป็นจำนวนมากทั้งจากผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล

   หลังจากเขาเข้าไปใกล้ชิดกับโรงพยาบาล เริ่มจากกิจกรรมจิตอาสาของตัวเองแล้ว ก็มีส่วนรับรู้กิจกรรมจิตอาสาในลักษณะอื่นๆ ภายในโรงพยาบาล  เขาชื่นชมกิจกรรมของชมรมผู้สูงอายุเป็นพิเศษ จึงได้นำตัวเองไปสมัครเป็นสมาชิกชมรม เป็นเพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์เขาจึงได้เป็นสมาชิกวิสามัญ

   กิจกรรมที่เกิดจากความสามารถของสมศักดิ์ คือ การตั้งชมรมดนตรีโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ซึ่งริเริ่มโดยชมรมผู้สูงอายุ กิจกรรมเริ่มจากการเรียนการสอนดนตรี ทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล เขารับสอนดนตรีสากลทุกประเภท เท่าที่มีคนเรียน ตั้งแต่ ร้องเพลง กีตาร์ ไวโอลิน ไปจนถึงสอนอ่านโน้ตเพลง

   การสอนดนตรีสากลเพิ่งเริ่มต้นเมื่อไม่นานนี้ สมศักดิ์ ได้ชักชวนลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นนักศึกษาเทคนิคมาเป็นครูผู้ช่วยสอนด้วย เด็กหนุ่มเหล่านี้ราว ๔ คน มาร่วมเป็นครูผู้ช่วยด้วยจิตอาสาอย่างเต็มอกเต็มใจ เนื่องจากการร้องขอของครูของเขา

   สมศักดิ์พบเด็กคนหนึ่งในกลุ่มนี้ ในระหว่างการมาเยี่ยมญาติซึ่งนอนรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล ในขณะที่เด็กหนุ่มคนนี้มาฟังเพลงที่เขากำลังแสดง เด็กหนุ่มคนนี้มีพื้นฐานทางดนตรีมาบ้าง และได้ขอเป็นลูกศิษย์  ซึ่งเขาก็รับด้วยความเต็มใจ  วันต่อมาเด็กหนุ่มได้ชักชวนเพื่อนๆ อีกสองสามคนมาเรียนดนตรีกับ “ ครูสมศักดิ์ ” ที่ร้านค้าหน้าโรงพยาบาล วันดีคืนดีเด็กหนุ่มเหล่านี้ก็มาร่วมเล่นดนตรีกับเขาในสวนของโรงพยาบาลด้วย

   สมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ดนตรีช่วยบำบัดช่วยเยียวไม่เฉพาะคนเจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้น แต่ยังช่วยเยียวยาให้เป็นคนดีอีกด้วย สมศักดิ์ บอกว่า เด็กหนุ่มที่รับเป็นศิษย์ ก่อนหน้านั้นได้เริ่มถลำเข้าสู่วงจรยาเสพติดแล้ว แต่หลังจากที่มาเรียนดนตรีกับเขา เขาได้ชักชวนเพื่อนๆ ที่กำลังจะถลำเข้าสู่ยาเสพติดได้หลุดจากวงจรนั้นออกมา

   เด็กหนุ่มที่เกือบจะเสียผู้เสียคนกลายมาเป็นคนจิตอาสา ช่วยเหลือสังคม ควบคู่กับการใช้เวลาว่างในการฝึกฝนพัฒนาตนเองทางด้านดนตรีที่เป็นความสนใจของตนเอง เป็นผลพวงจาก “ ดนตรีบำบัด ” นั่นเอง

   และนี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวดีๆ จากโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช

ขอบคุณข้อมูลจาก  :  http://www.gotoknow.org/blog/kiat12/332083

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #184 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2554, 22:04:32 »


อริยสัจ 4 ของ ... ดร.โสรีช์  โพธิแก้ว

โดย : เรื่อง มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ ... ภาพ ฐานิส สุดโต

จาก  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20111023/415317/อริยสัจ-4-ของ...โสรีช์-โพธิแก้ว.html


คนเราส่วนใหญ่ทุกข์ แต่ไม่รู้ตัวว่าทุกข์ ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่า สาเหตุของความทุกข์นั้นมาจากไหน และจะจัดการกับความทุกข์เหล่านั้นได้อย่างไร

รศ.ดร. โสรีช์ โพธิแก้ว ผู้อำนวยการหลักสูตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้นำพุทธศาสตร์จากตะวันออกมาประยุกต์ในสาขาจิตวิทยาตะวันตก จนเกิดเป็นวิชาจิตวิทยาการปรึกษาแนวพุทธ ได้สร้างลูกศิษย์ออกมาไม่น้อยในการเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้คนในสังคมไทยมาตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ โดยอาศัยหลักอริยสัจสี่ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเมื่อสองพันกว่าปีก่อนมาเป็นหัวใจในการให้คำปรึกษา มีคำตอบ  

แต่กว่าจะพบคำตอบที่ลึกซึ้งที่นำมาเยียวยาผู้คนได้ อาจารย์เองก็ค้นพบด้วยตัวเองก่อน

บทเรียนแรกที่สวนโมกข์

อาจารย์โสรีช์เล่าให้ฟังว่า เมื่อปี พ.ศ. 2529 ลงไปสวนโมกข์ ไปพบท่านอาจารย์พุทธทาส ตอนนั้นความรู้ทางพุทธศาสนาทำให้มองตัวเองอย่างชัดเจนขึ้น

" เมื่อก่อนผมคิดว่า ความรู้ทางพุทธศาสนาอยู่ข้างนอก เรารู้จักมันทางตัวหนังสือ รู้มาก ก็ได้ประโยชน์มาก ท่องกันไป ว่ากันไป ใครจำได้มากก็ได้ประโยชน์มาก ครั้งแรกที่ผมมาหาท่านพุทธทาส ผมเข้าไปกราบท่าน ไปบอกท่านว่า มาถึงแล้วครับ คาดหวังให้ท่านทักเราบ้าง เหมือนกับท่านเป็นเจ้าของบ้านแล้วเราเป็นแขก ปรากฏว่า ท่านไม่ทักผมสักคำ ไปกราบท่านที่หน้ากุฏิ ที่ม้าหิน ผมก็นั่งคอยว่าท่านจะทักเมื่อไหร่ ท่านนั่งเงียบสนิท และตาจ้องออกไปข้างหน้า เหมือนกับไม่มีผมอยู่ในสายตา ช่วงนั้นผมรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ มีความโกรธ ไม่พอใจ ปั่นป่วนพึ่บพับขึ้นมาในใจอย่างเห็นได้ชัด เป็นอย่างนี้ได้ครู่หนึ่ง มันก็มีคำถามผุดขึ้นมาในใจของผมว่า โสรีช์ เอ็งเป็นอะไรน่ะ ตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มเห็นอะไรบางประการในใจผมที่เป็นตัวเรียกร้องให้ผู้อื่นสนใจ "

" เดิม ผมรู้สึกว่า ผมเป็นคนอ่อนน้อม ไม่ถือตัวถือตน แต่ที่ไหนได้ วันนั้น ต่อหน้าความเงียบที่หนักแน่นอยู่ต่อหน้าผมของท่านพุทธทาส  ทำให้ผมพบว่า จริงๆ เลย มันมีตัวตนที่เรียกร้องหาความชื่นชมยินดี ให้ความสำคัญอยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกเข้าใจอะไรบางประการขึ้น แล้วผมก็กราบท่าน วันนั้น ท่านเทศนาธรรมเรื่องความเห็นแก่ตัว ให้ลูกศิษย์ที่ผมพาไปด้วยฟังสัก 50 คน ผมเข้าใจแล้ว ที่เรียกว่า วิปัสสนา หรือ ความเห็นแจ้งที่ว่า ทุกข์ คือการกำหนดรู้ อย่างนี้เอง มันเป็นความแน่น จุก ร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อมันเกิดขึ้น เฝ้าดูมัน แล้วมันก็จางหายไปเอง วันนั้น มันเหมือนกับมีตาที่เห็นอะไรชัดเจนขึ้น "

เมื่อถูกถามกลับไปว่า หากวันนั้น ท่านพุทธทาสทักอาจารย์ล่ะ จะเป็นอย่างไร  

" ถ้าท่านทัก ผมคงจะเรียกว่า ยาพิษหวาน แต่ท่านไม่ทัก ทำให้ผมเห็นอะไรบางอย่าง เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมาก ในการศึกษาของผมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า เนื้อหาทางพุทธศาสนาอยู่ตรงนี้เอง ทำให้ผมเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าชัดเจนขึ้น เป็นสันทิฐิโก หมายถึง เป็นสิ่งที่ผู้รู้ ผู้ศึกษาจะเข้าใจด้วยตนเอง เรื่องลึกลับมันอยู่ในตัวเอง มันซ้อนกันอยู่ บางอย่างหยาบ บางอย่างละเอียด บางอย่างเราคิดว่าอยู่ข้างนอก แต่จริงๆ มันอยู่ในตัวเรา สิ่งเหล่านี้ เราต้องค่อยๆ สังเกต และทำความรู้จักมัน "

อาจารย์โสรีช์ เรียนจบปริญญาตรีทางด้านจิตวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2510 การเรียนจิตวิทยาสมัยนั้น อาจารย์เล่าว่า น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะจิตวิทยาทำให้เข้าใจชีวิต การได้พบกับงานของนักจิตวิทยาตะวันตก เช่น ซิกมุนด์ ฟรอยด์  คาร์ล จุง  และอีกหลายท่าน ช่างเป็นนักจิตวิทยารุ่นใหญ่เหลือเกิน

" แต่ผมก็สงสัยเล็กๆ ว่า นักจิตวิทยาไทยมีไหม คุณแม่ผม ที่ไม่ได้เรียนจิตวิทยา เลี้ยงผมด้วยหลักอะไร คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาตอนเรียนเสมอ พอไปเรียนปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหลักสูตรจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว คณะครุศาสตร์ ก็ตื่นตาตื่นใจกับเทคโนโลยีด้านนี้ทางด้านแบบวัดผลที่ทำการทดลองกับผู้คนประมาณ 1,800 คน ซึ่งเป็นแบบวัดที่น่าเชื่อถือได้ แต่ก็มีคำถามเล็กๆ เสมอ เวลานั่งรถเมล์ผ่านเยาวราช ผมมักคิดเล่นๆ ว่า จิตวิทยาที่เรียนมาจะไปใช้กับอาซิ้ม อาม้าที่กำลังแบกหามที่เขาไปไหว้ศาลเจ้าก็อธิษฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ให้การงานค้าขายดีได้อย่างไร ถ้าผมออกแบบวัดผลไปให้อาม้าทำ ผมจะโดนไม้คานตีไหม เพราะอาม้าอาจจะมีคำถามว่าถามไปทำไม แต่ผมก็ไม่ได้ไปแสวงหาคำตอบด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่าง "

" กระทั่งสอบได้ทุนฟูลไบรท์ ไปเรียนที่ มหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา สาขาเกี่ยวกับการเยียวยารักษาพัฒนาจิตใจของผู้ป่วย ( Ed.D. in Counselor Education ) ในอเมริกาทำให้ผมรู้สึกตัวของตัวเองชัดขึ้น เราแปลกหน้าสำหรับเขา แนวคิดของเขาก็สอดคล้องกับชีวิตเขา เหมือนกับเขาเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแนวคิดเหล่านี้ แล้วเราล่ะ มีอะไรไปอวดเขา ผมก็นึกถึงพุทธศาสนานี่แหละ ที่ผมเติบโตมากับสิ่งนี้ บ้านผมอยู่ที่เชียงใหม่ พ่อผมก็เคยบวชจนเป็นเจ้าอาวาสวัด ลาสิกขาออกมาก็แต่งงานกับแม่ ชีวิตก็ใกล้วัด พระสงฆ์ก็แวะมาที่บ้าน เวลาพระมาทีไรก็เกิดความอบอุ่น  พอจะเอาอะไรไปอวดเพื่อนชาวอเมริกันได้บ้าง แต่ตอนนั้น เรารู้ว่า เราไม่รู้อะไรเลย ถ้าจะอธิบายการตักบาตร และการทำบุญวันพระอย่างเดียว ก็ไม่น่าจะหนักแน่นพอที่จะเป็นวิชาการอะไรได้ เลยต้องเริ่มต้นศึกษาพระพุทธศาสนาแล้วตอนนี้ "

ด้วยความที่อาจารย์โสรีช์สนใจพุทธศาสนาอยู่บ้าง เคยอ่านหนังสือ "คู่มือมนุษย์ " ของท่านพุทธทาส และ "พุทธธรรม" ของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ ( ป.อ.ปยุตฺโต )  แล้วก็อ่านเรื่องพุทธศาสนาจากชาวต่างชาติ ตรงนี้ทำให้อาจารย์ยิ่งอึ้งว่า ชาวตะวันตกเขาสนใจพุทธศาสนามาเป็นร้อยปีแล้ว

" มีเล่มหนึ่งชื่อว่า จิตวิทยาทางพุทธศาสนา ( Buddhist Psychology )  เขียนโดย รีด เดวิท ( Rsys Davids ) ว่ากันว่าเป็นบาทหลวงคาทอลิก แล้วก็มาศึกษาพุทธศาสนาเพื่อจะเข้าใจพระพุทธศาสนาและหาจุดอ่อน ในที่สุดก็ปวารณาตัวเป็นพุทธศาสนิกชนด้วย เพราะแทบจะหาจุดบกพร่องไม่ได้เลย หนังสือเล่มนี้ ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2457 ผมก็ตื่นตะลึงไปกับเขาด้วย พอได้แนวคิดเบื้องต้นสำหรับปริญญาเอกของผมในเรื่อง การนำหลักอริยสัจสี่มาใช้ในกระบวนการรักษาจิตใจ จึงเกิดขึ้นและเป็นไปได้ อาจารย์ที่ดูแลวิทยานิพนธ์ท่านก็ดีมาก ให้กำลังใจ ท่านบอกกับผมว่า ชัดเจนแล้วนี่ว่า ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อในพระเจ้า แต่พุทธศาสนาเป็นเรื่องของสัจจะ ธรรมชาติ ไม่มีพระเจ้า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ อย่างเช่นคำว่า อิทัปปัจจยตา หมายถึง เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี อธิบายทุกอย่างครบถ้วน ต้องมีปัญญาในการเข้าใจในสิ่งที่ปิดกั้นปัญญาที่เราเรียกว่า อวิชชา ซะก่อน แล้วความจริงจะปรากฏ  ทำให้ผมเข้าใจว่า พุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องคิดเอา เดาเอา คาดคะเนเอาไม่ได้ "

" ครั้งหนึ่ง มีนักศึกษาถามผมว่า  ไม่มีตัวตน แล้วนี่คืออะไร เขาก็ชี้มาที่ผม แต่ผมตอบไม่ได้ นี่เป็นคำถามที่ท้าทายมาก  ผมก็ศึกษาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้พบคำตอบที่สวนโมกข์ ต่อหน้าท่านพุทธทาสนี่แหละ "

รากเหง้าของความทุกข์

จากนั้นอาจารย์ก็พัฒนาหลักสูตรการสอนมาเรื่อยๆ วิชาจิตวิทยาการให้คำปรึกษาแนวพุทธ ทำให้นักศึกษาที่จบไปนำไปช่วยเหลือผู้คนได้มาก กระทั่งปี พ.ศ. 2523 คุณแม่ของอาจารย์เสียชีวิต สองปีต่อมาคุณพ่อก็เสียชีวิตอีก

" ช่วงนั้นกระเทือนใจผมอย่างยิ่ง ก็เลยแปลหนังสือของท่านกฤษณมูรติ เรื่อง แห่งความเข้าใจชีวิตและการศึกษาที่แท้ หนังสือเล่มนี้เป็นคล้ายๆ ค้อน ช่วยทุบก้อนหินเรื่องพุทธศาสนาให้เข้าที่ เหมือนการศึกษาพุทธศาสนาของผมที่ผ่านมา รู้ระเกะระกะไม่รวมกัน การแปลหนังสือเล่มนี้ทำให้เนื้อพุทธศาสนาเป็นอันเดียวกัน ยิ่งเมื่อได้พบกับท่านพุทธทาสในเวลาต่อมา ก็ยิ่งทำให้ผมเข้าใจว่า ความเข้าใจเชิงหนังสือ ไม่เหมือนการเข้าใจตนเอง การเข้าใจตนเอง คือกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การค้นพบชีวิตที่แท้จริง "

หลักสูตร จิตวิทยาการปรึกษาแนวพุทธ ในระดับปริญญาเอกจึงเกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรง  

" ผมพยายามหาเอกลักษณ์ของการเรียนการสอนในประเด็นนี้ ที่น่าจะศึกษาร่วมกันและนำไปใช้ อย่างน้อยที่สุดก็นำไปใช้กับคนที่ไม่สบายใจได้ เราพยายามไม่ใช้คำผู้ที่มาหาเรา ว่าป่วยเป็นโรคจิตโรคประสาท แต่เราพยายามหาเรื่องที่เขาปั่นป่วนภายในใจ แล้วเดินเข้าไปในใจกับเขา หาต้นตอของโจทย์ ที่ทำให้ไม่สบายใจ ซึ่งเราหาเจอแล้วล่ะ ก็คือ ความยึดมั่น ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นแหละเป็นทุกข์ เป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความเครียด เหล่านี้มีที่มาจากความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ทั้งนั้น "

" สังเกตดู ส่วนใหญ่เรามักจะโกรธคนใกล้ชิดมากกว่าคนไกลตัว โกรธแล้ว บางทีแสดงออกไม่ได้ ความโกรธจะย้อนเข้าไปภายใน พลังงานเริ่มลดลง กลายเป็นความซึมเศร้า ทั้งหมด ก็เพราะมันไม่ได้เป็นไปอย่างใจตน ความคาดหวังคำเดียวทำให้คนไม่มีความสุข ทุกคนอยู่บนความคาดหวัง ถูกโจมตีละลอกแล้วละลอกเล่าของชีวิต แต่ไม่รู้ตัว"

เทคนิค กระบวนการสอนนักศึกษาก็เพื่อให้เรารู้ตัวว่าเรากำลังถูกความคาดหวังจู่โจมแล้วนะ และจะหาทางรู้ทันมันอย่างไร  

อาจารย์โสรีช์ให้โจทย์กับนิสิตนักศึกษาทุกคนก่อนจบไปทำงานว่า จะต้องรู้จักอริยสัจสี่ โดยการพิจารณาตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอด 1 ปี

" คือจะต้องรู้จักอริยสัจสี่ที่ตนเอง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ไม่ง่าย ผมสังเกต นิสิต มีแนวโน้มการศึกษาที่อยากจะจดจำเนื้อหา ท่องจำ มากกว่าที่จะนำหลักการสำคัญไปพิจารณาตนเอง ดูตนเอง เพื่อตนเอง ที่ให้บันทึกเรื่องนี้ ก็เพราะเรื่องสำคัญที่สุดที่จะช่วยแก้ทุกข์ให้เราได้คือ อริยสัจสี่ ผมยกตัวอย่างวันแล้ววันเล่า ในแง่มุมต่างๆ ตามประสบการณ์ผู้สอนที่จะนำพาไปได้ ยกตัวอย่างอาการความทุกข์ของคนที่เกิดขึ้นจากความคาดหวัง การถูกอวิชชาครอบงำ แต่เข้าใจได้ไม่ยาก ในระดับ  ในขั้นปฏิบัติการ เราให้เขาลงมือเลย เช่นว่า เมื่อมีคนแบกความทุกข์มาหาให้เราช่วยแก้ เราจะต้องรู้สึกร่วมไปกับเขาให้ได้ รับรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร โดยเอาตัวเราเข้าเชื่อมกับเขาด้วย ตัวเราในฐานะที่ติดตามโลกของเขาอยู่ ในเรื่องที่เขาเล่า แล้วเราก็เอกซเรย์ หาความคาดหวังที่เขาซ่อนอยู่ มันเหมือนกับว่า เราต้องคิดค้นหลักการบางประการโครงสร้างของกองขยะ "

" เราต้องมีการฟังเทปของผู้มาให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ที่จุฬาฯ เรามีให้นักศึกษาฝึกงานประมาณ 1 ปี ให้เขาทำงานเป็นทีม บางทีมต้องเข้าไปฝึกฟังผู้ต้องขัง ร่วมกันค้นหาเหตุแห่งความทุกข์ของเขา ไปจนถึงทำให้เขาค้นพบทางออกด้วยตนเอง หน้าที่ของเราคือ พาเขาเดินไปด้วยกันกับเรา เพราะถ้าเห็นเหตุของปัญหา คือความคาดหวัง แล้วไม่ได้ดั่งใจ ก็ไม่ยากแล้ว เพราะทุกคนต้องกลับมาอยู่กับความจริง ยอมรับความจริง และอยู่กับความจริงก็จะค่อยๆ พบทางออกเอง และจะเริ่มมีความมั่นใจในตัวเอง รู้ว่าชีวิตของตนเองมีค่า "

สำหรับอาจารย์โสรีช์เอง ก็เจอโจทย์ในเรื่องความคาดหวังกับลูกศิษย์ไม่น้อย  

" ผมพบว่า ไม่มีใครสักคนที่สามารถจะเท่าความคาดหวังของเราได้ ผมเลยเห็นว่า เมื่อเราปลูกต้นไม้ เอาใจใส่รดน้ำ พรวนดินแล้วให้เขาเติบโตของเขาเอง เรามีหน้าที่ทำสวน ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของต้นไม้ ไม่กลัวว่าจะต้องประสบกับอะไรในชีวิต เพราะทุกคนก็ต้องเจอ ความเคราะห์ร้าย สมหวัง ผิดหวังสลับกันไปเสมอ "

นี่คือ กุญแจดอกสำคัญที่จะไขปริศนาของชีวิต ที่เราต่างมีอยู่แล้ว  แต่มักจะมองหากุญแจที่อยู่ข้างนอกเสมอ

Tags : รศ.ดร. โสรีช์ โพธิแก้ว


      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #185 เมื่อ: 26 เมษายน 2556, 21:13:02 »

ขอโทษค่ะ ขอแซวเพื่อนก่อนอ่าน "อริยสัจ ๔ ของพุทธเจ้า" มิใช่หรือ แต่เดี๋ยวอ่านแล้วคงเข้าใจว่าชื่อเรื่องนี้เป็นมาอย่างไร ทำไมจึงเป็น อริยสัจ 4 ของ ... ดร.โสรีช์  โพธิแก้ว

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 23 ตุลาคม 2554, 22:04:32

อริยสัจ 4 ของ ... ดร.โสรีช์  โพธิแก้ว

โดย : เรื่อง มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ ... ภาพ ฐานิส สุดโต

จาก  http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20111023/415317/อริยสัจ-4-ของ...โสรีช์-โพธิแก้ว.html


คนเราส่วนใหญ่ทุกข์ แต่ไม่รู้ตัวว่าทุกข์ ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่า สาเหตุของความทุกข์นั้นมาจากไหน และจะจัดการกับความทุกข์เหล่านั้นได้อย่างไร

รศ.ดร. โสรีช์ โพธิแก้ว ผู้อำนวยการหลักสูตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้นำพุทธศาสตร์จากตะวันออกมาประยุกต์ในสาขาจิตวิทยาตะวันตก จนเกิดเป็นวิชาจิตวิทยาการปรึกษาแนวพุทธ ได้สร้างลูกศิษย์ออกมาไม่น้อยในการเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้คนในสังคมไทยมาตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ โดยอาศัยหลักอริยสัจสี่ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเมื่อสองพันกว่าปีก่อนมาเป็นหัวใจในการให้คำปรึกษา มีคำตอบ 

แต่กว่าจะพบคำตอบที่ลึกซึ้งที่นำมาเยียวยาผู้คนได้ อาจารย์เองก็ค้นพบด้วยตัวเองก่อน

บทเรียนแรกที่สวนโมกข์

อาจารย์โสรีช์เล่าให้ฟังว่า เมื่อปี พ.ศ. 2529 ลงไปสวนโมกข์ ไปพบท่านอาจารย์พุทธทาส ตอนนั้นความรู้ทางพุทธศาสนาทำให้มองตัวเองอย่างชัดเจนขึ้น

" เมื่อก่อนผมคิดว่า ความรู้ทางพุทธศาสนาอยู่ข้างนอก เรารู้จักมันทางตัวหนังสือ รู้มาก ก็ได้ประโยชน์มาก ท่องกันไป ว่ากันไป ใครจำได้มากก็ได้ประโยชน์มาก ครั้งแรกที่ผมมาหาท่านพุทธทาส ผมเข้าไปกราบท่าน ไปบอกท่านว่า มาถึงแล้วครับ คาดหวังให้ท่านทักเราบ้าง เหมือนกับท่านเป็นเจ้าของบ้านแล้วเราเป็นแขก ปรากฏว่า ท่านไม่ทักผมสักคำ ไปกราบท่านที่หน้ากุฏิ ที่ม้าหิน ผมก็นั่งคอยว่าท่านจะทักเมื่อไหร่ ท่านนั่งเงียบสนิท และตาจ้องออกไปข้างหน้า เหมือนกับไม่มีผมอยู่ในสายตา ช่วงนั้นผมรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ มีความโกรธ ไม่พอใจ ปั่นป่วนพึ่บพับขึ้นมาในใจอย่างเห็นได้ชัด เป็นอย่างนี้ได้ครู่หนึ่ง มันก็มีคำถามผุดขึ้นมาในใจของผมว่า โสรีช์ เอ็งเป็นอะไรน่ะ ตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มเห็นอะไรบางประการในใจผมที่เป็นตัวเรียกร้องให้ผู้อื่นสนใจ "

" เดิม ผมรู้สึกว่า ผมเป็นคนอ่อนน้อม ไม่ถือตัวถือตน แต่ที่ไหนได้ วันนั้น ต่อหน้าความเงียบที่หนักแน่นอยู่ต่อหน้าผมของท่านพุทธทาส  ทำให้ผมพบว่า จริงๆ เลย มันมีตัวตนที่เรียกร้องหาความชื่นชมยินดี ให้ความสำคัญอยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกเข้าใจอะไรบางประการขึ้น แล้วผมก็กราบท่าน วันนั้น ท่านเทศนาธรรมเรื่องความเห็นแก่ตัว ให้ลูกศิษย์ที่ผมพาไปด้วยฟังสัก 50 คน ผมเข้าใจแล้ว ที่เรียกว่า วิปัสสนา หรือ ความเห็นแจ้งที่ว่า ทุกข์ คือการกำหนดรู้ อย่างนี้เอง มันเป็นความแน่น จุก ร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อมันเกิดขึ้น เฝ้าดูมัน แล้วมันก็จางหายไปเอง วันนั้น มันเหมือนกับมีตาที่เห็นอะไรชัดเจนขึ้น "

เมื่อถูกถามกลับไปว่า หากวันนั้น ท่านพุทธทาสทักอาจารย์ล่ะ จะเป็นอย่างไร 

" ถ้าท่านทัก ผมคงจะเรียกว่า ยาพิษหวาน แต่ท่านไม่ทัก ทำให้ผมเห็นอะไรบางอย่าง เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมาก ในการศึกษาของผมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า เนื้อหาทางพุทธศาสนาอยู่ตรงนี้เอง ทำให้ผมเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าชัดเจนขึ้น เป็นสันทิฐิโก หมายถึง เป็นสิ่งที่ผู้รู้ ผู้ศึกษาจะเข้าใจด้วยตนเอง เรื่องลึกลับมันอยู่ในตัวเอง มันซ้อนกันอยู่ บางอย่างหยาบ บางอย่างละเอียด บางอย่างเราคิดว่าอยู่ข้างนอก แต่จริงๆ มันอยู่ในตัวเรา สิ่งเหล่านี้ เราต้องค่อยๆ สังเกต และทำความรู้จักมัน "

อาจารย์โสรีช์ เรียนจบปริญญาตรีทางด้านจิตวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2510 การเรียนจิตวิทยาสมัยนั้น อาจารย์เล่าว่า น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะจิตวิทยาทำให้เข้าใจชีวิต การได้พบกับงานของนักจิตวิทยาตะวันตก เช่น ซิกมุนด์ ฟรอยด์  คาร์ล จุง  และอีกหลายท่าน ช่างเป็นนักจิตวิทยารุ่นใหญ่เหลือเกิน

" แต่ผมก็สงสัยเล็กๆ ว่า นักจิตวิทยาไทยมีไหม คุณแม่ผม ที่ไม่ได้เรียนจิตวิทยา เลี้ยงผมด้วยหลักอะไร คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาตอนเรียนเสมอ พอไปเรียนปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหลักสูตรจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว คณะครุศาสตร์ ก็ตื่นตาตื่นใจกับเทคโนโลยีด้านนี้ทางด้านแบบวัดผลที่ทำการทดลองกับผู้คนประมาณ 1,800 คน ซึ่งเป็นแบบวัดที่น่าเชื่อถือได้ แต่ก็มีคำถามเล็กๆ เสมอ เวลานั่งรถเมล์ผ่านเยาวราช ผมมักคิดเล่นๆ ว่า จิตวิทยาที่เรียนมาจะไปใช้กับอาซิ้ม อาม้าที่กำลังแบกหามที่เขาไปไหว้ศาลเจ้าก็อธิษฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ให้การงานค้าขายดีได้อย่างไร ถ้าผมออกแบบวัดผลไปให้อาม้าทำ ผมจะโดนไม้คานตีไหม เพราะอาม้าอาจจะมีคำถามว่าถามไปทำไม แต่ผมก็ไม่ได้ไปแสวงหาคำตอบด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่าง "

" กระทั่งสอบได้ทุนฟูลไบรท์ ไปเรียนที่ มหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา สาขาเกี่ยวกับการเยียวยารักษาพัฒนาจิตใจของผู้ป่วย ( Ed.D. in Counselor Education ) ในอเมริกาทำให้ผมรู้สึกตัวของตัวเองชัดขึ้น เราแปลกหน้าสำหรับเขา แนวคิดของเขาก็สอดคล้องกับชีวิตเขา เหมือนกับเขาเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแนวคิดเหล่านี้ แล้วเราล่ะ มีอะไรไปอวดเขา ผมก็นึกถึงพุทธศาสนานี่แหละ ที่ผมเติบโตมากับสิ่งนี้ บ้านผมอยู่ที่เชียงใหม่ พ่อผมก็เคยบวชจนเป็นเจ้าอาวาสวัด ลาสิกขาออกมาก็แต่งงานกับแม่ ชีวิตก็ใกล้วัด พระสงฆ์ก็แวะมาที่บ้าน เวลาพระมาทีไรก็เกิดความอบอุ่น  พอจะเอาอะไรไปอวดเพื่อนชาวอเมริกันได้บ้าง แต่ตอนนั้น เรารู้ว่า เราไม่รู้อะไรเลย ถ้าจะอธิบายการตักบาตร และการทำบุญวันพระอย่างเดียว ก็ไม่น่าจะหนักแน่นพอที่จะเป็นวิชาการอะไรได้ เลยต้องเริ่มต้นศึกษาพระพุทธศาสนาแล้วตอนนี้ "

ด้วยความที่อาจารย์โสรีช์สนใจพุทธศาสนาอยู่บ้าง เคยอ่านหนังสือ "คู่มือมนุษย์ " ของท่านพุทธทาส และ "พุทธธรรม" ของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ ( ป.อ.ปยุตฺโต )  แล้วก็อ่านเรื่องพุทธศาสนาจากชาวต่างชาติ ตรงนี้ทำให้อาจารย์ยิ่งอึ้งว่า ชาวตะวันตกเขาสนใจพุทธศาสนามาเป็นร้อยปีแล้ว

" มีเล่มหนึ่งชื่อว่า จิตวิทยาทางพุทธศาสนา ( Buddhist Psychology )  เขียนโดย รีด เดวิท ( Rsys Davids ) ว่ากันว่าเป็นบาทหลวงคาทอลิก แล้วก็มาศึกษาพุทธศาสนาเพื่อจะเข้าใจพระพุทธศาสนาและหาจุดอ่อน ในที่สุดก็ปวารณาตัวเป็นพุทธศาสนิกชนด้วย เพราะแทบจะหาจุดบกพร่องไม่ได้เลย หนังสือเล่มนี้ ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2457 ผมก็ตื่นตะลึงไปกับเขาด้วย พอได้แนวคิดเบื้องต้นสำหรับปริญญาเอกของผมในเรื่อง การนำหลักอริยสัจสี่มาใช้ในกระบวนการรักษาจิตใจ จึงเกิดขึ้นและเป็นไปได้ อาจารย์ที่ดูแลวิทยานิพนธ์ท่านก็ดีมาก ให้กำลังใจ ท่านบอกกับผมว่า ชัดเจนแล้วนี่ว่า ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อในพระเจ้า แต่พุทธศาสนาเป็นเรื่องของสัจจะ ธรรมชาติ ไม่มีพระเจ้า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ อย่างเช่นคำว่า อิทัปปัจจยตา หมายถึง เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี อธิบายทุกอย่างครบถ้วน ต้องมีปัญญาในการเข้าใจในสิ่งที่ปิดกั้นปัญญาที่เราเรียกว่า อวิชชา ซะก่อน แล้วความจริงจะปรากฏ  ทำให้ผมเข้าใจว่า พุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องคิดเอา เดาเอา คาดคะเนเอาไม่ได้ "

" ครั้งหนึ่ง มีนักศึกษาถามผมว่า  ไม่มีตัวตน แล้วนี่คืออะไร เขาก็ชี้มาที่ผม แต่ผมตอบไม่ได้ นี่เป็นคำถามที่ท้าทายมาก  ผมก็ศึกษาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้พบคำตอบที่สวนโมกข์ ต่อหน้าท่านพุทธทาสนี่แหละ "

รากเหง้าของความทุกข์

จากนั้นอาจารย์ก็พัฒนาหลักสูตรการสอนมาเรื่อยๆ วิชาจิตวิทยาการให้คำปรึกษาแนวพุทธ ทำให้นักศึกษาที่จบไปนำไปช่วยเหลือผู้คนได้มาก กระทั่งปี พ.ศ. 2523 คุณแม่ของอาจารย์เสียชีวิต สองปีต่อมาคุณพ่อก็เสียชีวิตอีก

" ช่วงนั้นกระเทือนใจผมอย่างยิ่ง ก็เลยแปลหนังสือของท่านกฤษณมูรติ เรื่อง แห่งความเข้าใจชีวิตและการศึกษาที่แท้ หนังสือเล่มนี้เป็นคล้ายๆ ค้อน ช่วยทุบก้อนหินเรื่องพุทธศาสนาให้เข้าที่ เหมือนการศึกษาพุทธศาสนาของผมที่ผ่านมา รู้ระเกะระกะไม่รวมกัน การแปลหนังสือเล่มนี้ทำให้เนื้อพุทธศาสนาเป็นอันเดียวกัน ยิ่งเมื่อได้พบกับท่านพุทธทาสในเวลาต่อมา ก็ยิ่งทำให้ผมเข้าใจว่า ความเข้าใจเชิงหนังสือ ไม่เหมือนการเข้าใจตนเอง การเข้าใจตนเอง คือกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การค้นพบชีวิตที่แท้จริง "

หลักสูตร จิตวิทยาการปรึกษาแนวพุทธ ในระดับปริญญาเอกจึงเกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรง 

" ผมพยายามหาเอกลักษณ์ของการเรียนการสอนในประเด็นนี้ ที่น่าจะศึกษาร่วมกันและนำไปใช้ อย่างน้อยที่สุดก็นำไปใช้กับคนที่ไม่สบายใจได้ เราพยายามไม่ใช้คำผู้ที่มาหาเรา ว่าป่วยเป็นโรคจิตโรคประสาท แต่เราพยายามหาเรื่องที่เขาปั่นป่วนภายในใจ แล้วเดินเข้าไปในใจกับเขา หาต้นตอของโจทย์ ที่ทำให้ไม่สบายใจ ซึ่งเราหาเจอแล้วล่ะ ก็คือ ความยึดมั่น ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นแหละเป็นทุกข์ เป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความเครียด เหล่านี้มีที่มาจากความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ทั้งนั้น "

" สังเกตดู ส่วนใหญ่เรามักจะโกรธคนใกล้ชิดมากกว่าคนไกลตัว โกรธแล้ว บางทีแสดงออกไม่ได้ ความโกรธจะย้อนเข้าไปภายใน พลังงานเริ่มลดลง กลายเป็นความซึมเศร้า ทั้งหมด ก็เพราะมันไม่ได้เป็นไปอย่างใจตน ความคาดหวังคำเดียวทำให้คนไม่มีความสุข ทุกคนอยู่บนความคาดหวัง ถูกโจมตีละลอกแล้วละลอกเล่าของชีวิต แต่ไม่รู้ตัว"

เทคนิค กระบวนการสอนนักศึกษาก็เพื่อให้เรารู้ตัวว่าเรากำลังถูกความคาดหวังจู่โจมแล้วนะ และจะหาทางรู้ทันมันอย่างไร 

อาจารย์โสรีช์ให้โจทย์กับนิสิตนักศึกษาทุกคนก่อนจบไปทำงานว่า จะต้องรู้จักอริยสัจสี่ โดยการพิจารณาตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอด 1 ปี

" คือจะต้องรู้จักอริยสัจสี่ที่ตนเอง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ไม่ง่าย ผมสังเกต นิสิต มีแนวโน้มการศึกษาที่อยากจะจดจำเนื้อหา ท่องจำ มากกว่าที่จะนำหลักการสำคัญไปพิจารณาตนเอง ดูตนเอง เพื่อตนเอง ที่ให้บันทึกเรื่องนี้ ก็เพราะเรื่องสำคัญที่สุดที่จะช่วยแก้ทุกข์ให้เราได้คือ อริยสัจสี่ ผมยกตัวอย่างวันแล้ววันเล่า ในแง่มุมต่างๆ ตามประสบการณ์ผู้สอนที่จะนำพาไปได้ ยกตัวอย่างอาการความทุกข์ของคนที่เกิดขึ้นจากความคาดหวัง การถูกอวิชชาครอบงำ แต่เข้าใจได้ไม่ยาก ในระดับ  ในขั้นปฏิบัติการ เราให้เขาลงมือเลย เช่นว่า เมื่อมีคนแบกความทุกข์มาหาให้เราช่วยแก้ เราจะต้องรู้สึกร่วมไปกับเขาให้ได้ รับรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร โดยเอาตัวเราเข้าเชื่อมกับเขาด้วย ตัวเราในฐานะที่ติดตามโลกของเขาอยู่ ในเรื่องที่เขาเล่า แล้วเราก็เอกซเรย์ หาความคาดหวังที่เขาซ่อนอยู่ มันเหมือนกับว่า เราต้องคิดค้นหลักการบางประการโครงสร้างของกองขยะ "

" เราต้องมีการฟังเทปของผู้มาให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ที่จุฬาฯ เรามีให้นักศึกษาฝึกงานประมาณ 1 ปี ให้เขาทำงานเป็นทีม บางทีมต้องเข้าไปฝึกฟังผู้ต้องขัง ร่วมกันค้นหาเหตุแห่งความทุกข์ของเขา ไปจนถึงทำให้เขาค้นพบทางออกด้วยตนเอง หน้าที่ของเราคือ พาเขาเดินไปด้วยกันกับเรา เพราะถ้าเห็นเหตุของปัญหา คือความคาดหวัง แล้วไม่ได้ดั่งใจ ก็ไม่ยากแล้ว เพราะทุกคนต้องกลับมาอยู่กับความจริง ยอมรับความจริง และอยู่กับความจริงก็จะค่อยๆ พบทางออกเอง และจะเริ่มมีความมั่นใจในตัวเอง รู้ว่าชีวิตของตนเองมีค่า "

สำหรับอาจารย์โสรีช์เอง ก็เจอโจทย์ในเรื่องความคาดหวังกับลูกศิษย์ไม่น้อย 

" ผมพบว่า ไม่มีใครสักคนที่สามารถจะเท่าความคาดหวังของเราได้ ผมเลยเห็นว่า เมื่อเราปลูกต้นไม้ เอาใจใส่รดน้ำ พรวนดินแล้วให้เขาเติบโตของเขาเอง เรามีหน้าที่ทำสวน ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของต้นไม้ ไม่กลัวว่าจะต้องประสบกับอะไรในชีวิต เพราะทุกคนก็ต้องเจอ ความเคราะห์ร้าย สมหวัง ผิดหวังสลับกันไปเสมอ "

นี่คือ กุญแจดอกสำคัญที่จะไขปริศนาของชีวิต ที่เราต่างมีอยู่แล้ว  แต่มักจะมองหากุญแจที่อยู่ข้างนอกเสมอ

Tags : รศ.ดร. โสรีช์ โพธิแก้ว



      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #186 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2556, 12:04:07 »


เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ

อ้างถึง
ข้อความของ NickkY37 เมื่อ 11 พฤษภาคม 2556, 17:11:53
อ่านคำคมพวกนี้  ก็ช่วยให้เรามีสติมากขึ้นน่ะค่ะ   สะใจจัง
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
  หน้า: 1 2 3 ... 8 [ทั้งหมด]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><