28 เมษายน 2567, 15:52:07
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อคิด คำคม ปรุงผสมเป็น " ยาใจ "  (อ่าน 227677 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #150 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2553, 00:04:09 »

พี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน ทีเป็นแฟนคลับกระทู้นี้

       หลังจากที่พี่แก้ว-ปรีชา10  ได้อ่านเรื่อง " ความสุขที่ถุกมองข้าม " ในหน้า 5  แล้ว  ก็ได้ฝากธรรมะอันประเสริฐ มาทางหลังไมค์  ให้เจี๊ยบช่วยนำมาเล่าให้ชาวซีมะโด่งฟังด้วย  เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ...

       เนื้อหาของเรื่อง " ความสุขที่ถูกมองข้าม " ในหน้า 5 ที่พรชัย16 ส่งเมลมาให้  มีดังนี้ ...

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 07 มีนาคม 2553, 01:24:45
ความสุขที่ถูกมองข้าม

โดย ... พระไพศาล วิสาโล

พรชัย - นิติ 16 ... ส่งมา

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า  ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น  ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์  แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง  ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง  มิใช่เพิ่มมากขึ้น  ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี  ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ  เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า  เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต  เขาพูดถึงตัวเองว่า " ชีวิต ( ของผม ) เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ " ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย  เขาเคยพูดว่า " ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง "  เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข  เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้  ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี  ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่นๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป  ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้

คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?  คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป  เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า  ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที  ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล  ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด  แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้  ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า  ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น  ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว  ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียที  ทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่  แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น  บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด  ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น  บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ  มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย  แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน

ใช่หรือไม่ว่า  สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้น ไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่  มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่  มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่  ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคาร  ก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน  พูดอีกอย่างก็คือ  คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้มากกว่าความสุขจากการมี  มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่  เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม  บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน  แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่  ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา  จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิด  ไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น  ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา  หมาก็จะวิ่งไปคาบ  แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้  มันจะรีบคายของเก่า  และคาบชิ้นใหม่แทน  ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน  ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม  ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา  ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ  เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี  แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า  และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป  ผลก็คือกลับมารู้สึก " เฉย ๆ " เหมือนเดิม  และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก  เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม  แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม  เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ

น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?  เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย  ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง  ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ  ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้  ไม่ให้ใครมาแย่งไป  แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า  ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน  ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว  ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลง และโปร่งเบามากขึ้น  อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก  แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว  และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่  หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น  เมื่อเห็นเขามีของใหม่  ก็อยากมีบ้าง  คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น  การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน  นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น  ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี  ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย  เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดารา หรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา  การมองแบบนี้ทำให้ " ขาดทุน " สองสถาน  คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว  ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก  พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน  แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง

ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมาคาบเนื้อ  คงจำได้ว่า  มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา  ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน  มันมองลงมาที่ลำธาร  เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง ( ซึ่งก็คือตัวมันเอง ) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่  เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ ( และหลง )  มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่  เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ  ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ  ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป  มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่ และเนื้อที่เห็นในน้ำ  บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว  เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น  เมื่อใดที่เรามีความทุกข์  แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว  ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่  ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น  ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม  รู้จักมอง  และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น  แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้  ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี  หรือจากสิ่งที่ มี  ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้  กล่าวคือยิ่งให้ความสุข  ก็ยิ่งได้รับความสุข  สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม  และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดี และทำให้ชีวิตมีความหมาย

จากจุดนั้นแหละ  ก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี  นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง  ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี  และเพราะเหตุนั้น  แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป  ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้  เกิดมาทั้งที  น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้  และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็น และยั่งยืนอย่างแท้จริง




สวัสดีครับเจี๊ยบ

         ได้เข้าไปอ่านในห้อง " ข้อคิด คำคม ปรุงผสมเป็น ยาใจ " คำตอบที่ 110

  วันที่ 7 มี.ค. 53  เรื่อง "ความสุขที่ถูกมองข้าม " ข้อความนั้นคล้ายข้อความคำเทศนา

  ของท่านเจ้าประคุณพระธรรมปิฏก และพุทธทาสภิกขุ ที่ผมได้เคยอ่านพบ  จึง

  ขอคัดลอกส่งมาให้  เผื่ออาจจะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องชาว cmadong บ้าง


                 " หลักธรรมในการดำรงชีวิต และครอบครัวให้พอดีมีสุข "

      " จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ และเป็นอยู่  ความสุขมันอยู่ไกล้เพียงแค่ปลายจมูกของ

  เรา  แค่หลับตากำหนดลมหายใจก็มีความสุขได้แล้ว  แต่ถ้าเราเผลอไปคิดถึงไป

  ฝันถึงเงิน ทอง ทรัพย์สมบัติ ฝันอยากมั่งอยากมีเช่นเดียวกับที่คนอื่นมี  เท่ากับเป็น

  การจุดไฟเผาผลาญตัวเองให้เร่าร้อน  ร้อนรน  ต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้มา  ก่อให้เกิด

  เป็นความทุกข์สุมร้อนอยู่ในตัวโดยไม่รู้ตัว  เราลืมไปว่าความสุขที่แท้จริงแล้วอยู่

  ที่ปลายจมูก  ถ้าเรามีสติอยู่กับมัน  ถ้าเราทำหน้าที่ของเราอย่างมีสติ  อย่างสงบ  เรา

  เราก็ค้นหาความสุขที่มีอยู่ได้ "  

                                                    เจ้าพระคุณพระธรรมปิฏก


           " มนุษย์เราเข้าใจผิดคิดว่าการมีเงินทองมากๆ มีสมบัติ มียศ มีตำแหน่งคือ

  การมีความสุขที่แท้จริง  จึงดิ้นรนขวนขวายแก่งแย่ง ทนทำงานหนัก เพื่อให้ได้มา ทั้ง

  ที่มีอยู่ก็พอมีพอกิน พอใช้ พอให้ร่างกาย และครอบครัวอยู่สุขสบายอยู่แล้ว  เมื่อไม่รู้

  จักพอ  ก็เบื่อชีวิต  ท้อแท้  อยู่เฉยไม่ได้ต้องดิ้นรนทุรนทุรายไปหามา  เป็นการทำลาย

  สุขภาพร่างกาย  จิตใจ  เสมือนเป็นไฟสุมอยู่ในตัวทำให้คนเป็นทุกข์เป็นบ้าไป  ชีวิต

  มนุษย์เรานี้แสนสั้น  ถ้าชีวิตนี้เพียงแต่รักษาจิตให้สงบให้ปกติไว้ในขณะสัมผัส  พร้อม

  กับการสำรวมความพอดีพอใจในสิ่งที่มี  รู้จักตัวเองบำรุงร่างกายให้รอดได้  เวลาที่

  เหลือพักผ่อนเสวยวิมุติสุข  อย่าทำตัวเป็นเทวดาผู้มี " พหุกิจโจ พหุกรณีโย "  มีกิจ

  มาก  มีทุกข์มาก  แต่จงเป็นภิกษุ  เป็นบัณฑิตผู้มี " อัปปกิจโจ อัปปกรณีโย " มีกิจน้อย

  มีเรื่องน้อย  มีทุกข์น้อย ชีวิตก็จะมีแต่ความสุข

                                                                  พุทธทาสภิกขุ
      บันทึกการเข้า
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #151 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2553, 08:17:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 29 ตุลาคม 2553, 02:08:40
น้องหนุน

        ดีใจครับที่แวะเข้ามาทักทายกัน ... เมื่อวัน " ซีมะโด่งเสวนา ครั้งที่ 2 "  พี่เจี๊ยบแอบปลื้ม !  " เฮ้ !  หนุนเค้าเป็น ' น้องคนโปรด - น้องคนสนิท ' ของ ดร. แมว คนเก่ง นี่นา  ... อ๋อ !  wave lenght ตรงกันนี่เอง  มิน่า  คุณภาพคับแก้วทั้งคู่เลย "

        ปลื้ม ครับ ปลื้ม ...


ขอบคุณมากครับพี่เจี๊ยบ
เข้ามาตามอ่านเรื่องดีๆอีกแล้วครับ

ถ้าเราเป็นนายสุธี...
แล้วกระทำบางอย่างคล้ายๆนายเด่น
เราน่าจะมีความสุขในปั้นปลายชีวิตได้มั๊ยครับนี่


 บ่ฮู้บ่หัน บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #152 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2553, 11:20:51 »

หนุน ครับ ... นายสุธี กับนายเด่น ต่างก็มีเงื่อนไข และองค์ประกอบของชีวิตที่แตกต่างกัน  ถ้าหนุนเป็นนายสุธี แต่เตือนตัวเองให้มีวิถีชิวิตบางเรื่อง ที่เรียบง่ายแบบนายเด่น  ก็ถือว่าเป็นสมดุลย์ของชีวิตที่น่าสนใจมาก  เชื่อว่าใครๆ อีกหลายคนคงจะเลือก " วิถีชีวิตแบบลูกผสม " อย่างหนุน ไม่น้อยเหมือนกัน  ส่วนจะมีความสุขในบั้นปลายของชีวิต รึเปล่า ?  ก็ต้องลอง " แก่ " ดู  ...  อิ๊  อิ๊  !   ตอบ กวน จัง แฮ !


สูตรแห่งความสุข ... ตำราชีวิตประจำวัน ... D D D‏

โดย สุทธิชัย  หยุ่น

สุชาดา - เศรษฐศาสตร์ 16 ... ส่งมา

พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้ ... บอกว่าเป็น “ สูตรแห่งชีวิตประจำวัน ” ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใย และต้องการให้เขา หรือเธอมีความสุขทั้งกาย และใจ ... ทำนองเดียวกันกับที่ชาวชีวจิต มีความห่วงหาอาทรต่อกัน อย่างไม่ลดละ

เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ ตำราแห่งชีวิต ”  ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง

ทั้งง่าย และตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้, เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน ... สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กัน และกันอย่างยิ่ง

สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้

๑.   ดื่มน้ำให้มาก  

๒.   กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชาย  และเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน ( แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลางๆ ตอนเที่ยง และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน ... สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ )

๓.  กินอาหารที่โตบนต้น และบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน

๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ

๕.  หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ

๖.   เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย

๗.  อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา

๘.  นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้

๙.   นอนวันละ 7 ชั่วโมง

๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน

๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกาย และใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส, แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียด ด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้

วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้

แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไป  ไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเอง  ที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพ  มีอย่างนี้ครับ

๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้  แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลัง และพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้ ... รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก  เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

๕. อย่าเสียเวลา และพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ .... นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ

๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าๆ ... คิดให้ดีก็จะรู้ว่า คุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย  และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ ... อีกฝ่ายหนึ่งเลย  เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร ... จงอย่าเกลียดคนอื่น

๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง

๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน  คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ... ซึ่งมาแล้วก็หายไป ... เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต ... แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต

๑๓. จงยิ้ม และหัวเราะมากขึ้น

๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก ... บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้ ...เ ห็นพ้องที่จะเห็นต่าง ก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร


แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไร ต่อชุมชน และคนรอบข้างเราล่ะ ?

๑. อย่าลืมโทรฯ หาครอบครัวบ่อยๆ

๒. จงหาอะไรดีๆ ให้คนอื่นทุกวัน

๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง

๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ

๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน

๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณ  ไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย

๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก  แต่ครอบครัว และเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ .... ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้

๑. ทำสิ่งที่ควรทำ

๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้งไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?

๓. เวลา และศาสนา ... ย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้

๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน

๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย ... get up, dress up and show up ! ...

๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง ...

๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือด้วย

๘. เชื่อเถอะว่า ส่วนลึกๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ ... .ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า ? ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #153 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2553, 12:13:40 »

ลดลง = มากขึ้น

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

      บันทึกการเข้า
ti2521
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #154 เมื่อ: 01 มกราคม 2554, 11:32:04 »


.....ในเทศกาลปีใหม่ 2554  ผมขออัญเชิญ เพลงพระราชนิพนธ์ พรปีใหม่ มาให้ พี่เจี๊ยบ  รับฟัง ครับ.....


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=iJdjgr76-cA" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=iJdjgr76-cA</a>
                             
      บันทึกการเข้า

เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ
สำหรับผม
อย่างไรก็ได้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #155 เมื่อ: 01 มกราคม 2554, 12:14:51 »


ขอบคุณน้องตี๋มากครับ สำหรับเพลงพระราชนิพนธ์ " พรปีใหม่ " ที่อุตส่าห์หามาให้ฟัง ไพเราะ และทรงคุณค่ายิ่ง

ทวินันท์-นางเอก MV ในสมัยนั้น ยังสาว สวย และมีกิริยาแช่มช้อยมากนะคะ  ดู-ฟังเพลงแล้วสดชื่น มีความสุข ... ซึ้งน้ำใจ " คนแปะเพลง " มาก  ขอให้น้องตี๋ และครอบครัว ประสบแต่ความสุข-สมหวัง ตลอดปีใหม่ 2554 นี้ นะคะ
      บันทึกการเข้า
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #156 เมื่อ: 06 มกราคม 2554, 08:02:57 »


เข้ามาสวัสดีปีใหม่พี่เจี๊ยบครับ
เข้ามาช้าจัง มัวแต่ไปฉลองปีใหม่เพลินอยู่ครับพี่
พี่เจี๊ยบคงมีความสุขตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา
และคงมีความสุขตลอดไปครับ


 รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #157 เมื่อ: 18 มกราคม 2554, 00:46:45 »


สวัสดีปีใหม่ครับ น้องหนุน ... พีไม่ต้องอวยพร  หนุน กับครอบครัวก็มีความสุขเหลือเฟือ แบบน่าอิจฉาอยู่แล้ว ใครๆ ก็รู้อ่ะครับ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #158 เมื่อ: 18 มกราคม 2554, 01:03:52 »


" การตาย และงานศพของฉัน " โดย อาจารย์ประทุมพร วัชรเสถียร‏

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

   







      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #159 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2554, 01:13:01 »


พี่แก้ว-ปรีชา 10 ยินดีให้เจ้าของกระทู้นี้ copy ข้อความจาก PM ที่พี่แก้วส่งมาคุยด้วย มาลงต่อจากเรื่องราวของอาจารย์ประทุมพร ข้างบนนี้ ...

Preecha2510
Cmadong Member


 ออฟไลน์

กระทู้: 392

   ( ไม่มีหัวข้อ )
« ส่งให้: Jiab16 เมื่อ: 20 มกราคม 2554, 23:51:06 »
« คุณได้ตอบส่งต่อหรือตอบข้อความนี้ »

สวัสดีครับเจี๊ยบ

      .........................

      วันนี้ได้เข้าไปอ่านในห้อง " ข้อคิด คำคม ปรุงผสมเป็น ยาใจ " ที่เจี๊ยบโพสต์ข้อ

 ความของอาจารย์ประทุมพร วัชรเสถียร ที่ท่านได้เขียนสั่งเสียก่อนที่ท่านจากโลกนี้ไป

 ก็รู้สึกเศร้า และเสียดายคนเก่งที่มีความรู้ดีมากคนหนึ่ง ต้องมาจากไปก่อนเวลาอันควร

 ผมไม่เคยเป็นลูกศิษย์ได้เรียนกับท่าน แต่ก็เคยพบเห็นท่านในจุฬาสมัยผมเป็นนิสิต

       ผมชอบติดตามดูการวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ, และงานเขียนของท่านหลายๆ

 เรื่องโดยเฉพาะเรื่องการสิ้นสุดราชวงศ์โรมาน๊อฟ และเรื่องเกี่ยวกับเมืองจีน ฯลฯ  ใน

 ความเห็นของผม  ท่านเป็นนักเล่าเรื่องทั้งภาษาพูด และภาษาเขียนได้เก่งมากที่สุดคน

 หนึ่ง รองๆ ลงมาจาก ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมท และอาจารย์พิชัย วาสนาส่งเลยทีีเดียว

       ขอไว้อาลัยโดยหาเพลงที่ท่านชอบ ซึ่งท่านได้เอ่ยถึงในข้อความสุดท้ายของข้อ 2 ของ

 ท่านมาเปิด และขอให้ท่านได้หลับพักผ่อนด้วยความสุข และสงบตลอดไป


          <a href="http://www.youtube.com/watch?v=BGx2gRuhKTo" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=BGx2gRuhKTo</a>

          <a href="http://www.youtube.com/watch?v=9b208OVHDr0" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=9b208OVHDr0</a>

      
      ขอบพระคุณพี่แก้วเป็นอย่างยิ่งค่ะ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #160 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2554, 01:30:45 »


เสียงไวโอลินที่ไม่มีใครได้ยิน ... บทความดีๆ ของ " วินทร์ "

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

เช้าวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2550 ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ลองต์ฟองต์ พลาซา ในกรุงวอชิงตัน ดี. ซี. นักไวโอลินคนหนึ่งกำลังเล่นดนตรี บนพื้นเบื้องหน้าของเขาวางกระเป๋าไวโอลินที่เปิดอ้าอยู่เพื่อให้คนผ่านทางบริจาคเงิน เป็นภาพปกติของพื้นที่สาธารณะซึ่งมีวณิพกนักดนตรีแวะเวียนมาเล่นหาเศษเงิน

ระดับปรอทยามเช้าในเดือนแรกของปีอยู่ที่ 4 องศาเซลเซียส จัดว่าหนาวเอาการ แต่บรรยากาศดูร้อนรน ในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ ชาวเมืองกำลังรีบไปทำงาน สถานีนี้อยู่ในพื้นที่ซึ่งประกอบด้วยศูนย์การค้า โรงแรม อาคารธุรกิจ และราชการ แต่ละนาทีมีคนผ่านไปมาหลายร้อยคน

เสียงไวโอลินแผ่วพลิ้วสดใสกังวาน มันเป็นเพลงของบาค เพลงคลาสสิคกลืนหายไปกับเสียงจอแจของรถและผู้คน กระนั้นมันก็เป็นดนตรีไพเราะเสนาะจิต ฝีมือของวณิพกรายนี้ไม่เลวเลย

คนหลายคนเดินผ่านคนสีไวโอลินไปโดยไม่สนใจ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหยุดดูแวบหนึ่งแล้วเดินต่อไป ผู้หญิงคนหนึ่งโยนเงินหนึ่งเหรียญลงในกระเป๋าบนพื้น แล้วจ้ำต่อไป อีกไม่กี่นาทีถัดมา มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งหยุดดูเขาเล่นดนตรี แล้วก็เดินต่อไปเพื่อไปทำงาน

ชั่วขณะนั้น เด็กชายคนหนึ่งหยุดฟังเสียงไวโอลินที่เขาบรรเลงอย่างจดจ่อ ทว่าอึดใจต่อมา แม่ของเด็กดึงเขาออกไป เด็กชายยังหันกลับมามองเขาเล่น เด็กอีกหลายคนก็มีปฏิกิริยาต่อเสียงดนตรีคล้ายกัน แต่พ่อแม่ของเด็กทุกคนก็ลากเด็กจากไป

ผ่านไป 45 นาทีกับบาค 6 เพลง นักดนตรีก็ยุติการแสดง เก็บไวโอลินใส่กระเป๋า นักไวโอลินเดินจากมุมนั้นของซับเวย์ไปเงียบๆ ไม่มีใครปรบมือชื่นชมวณิพก สี่สิบห้านาทีนั้นมีเพียง 6-7 คนที่หยุดฟังเขาเล่นดนตรีเพียงครู่สั้นๆ ยี่สิบคนให้เงินแต่ไม่หยุดฟัง นักไวโอลินเก็บเงินบริจาคได้ 32.17 ดอลลาร์จากผู้ผ่านทาง 27 คน

มันคงเป็นเช้าวันหนึ่งที่เหมือนกับทุกๆ เช้าในสถานีรถไฟใต้ดิน ผู้คนเดินผ่านมาแล้วผ่านไป ต่างแต่ว่าเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นถูกบันทึกไว้ในกล้องวิดีโอที่ซ่อนอยู่

มันคงเป็นการแสดงของนักดนตรีไส้แห้งคนหนึ่งในซับเวย์ที่ไม่มีคนสนใจเช่นทุกวัน ต่างแต่ว่านักไวโอลินผู้นี้มิใช่วณิพกยากไร้ หรือนักดนตรีฝึกหัด นามของเขาคือ โจชัว เบลล์ นักไวโอลินมือหนึ่งของโลก เครื่องดนตรีในมือของเขาคือ สตราดิแวเรียส ปี ค.ศ. 1713 ราคา 3.5 ล้านดอลลาร์

สองวันก่อนหน้านั้น โจชัว เบลล์ เล่นไวโอลินที่ซิมโฟนี ฮอลล์ เมืองบอสตัน ราคาค่าตั๋วเฉลี่ยหนึ่งร้อยดอลลาร์ คนดูเต็มโรง !

นี่เป็นการทดลองศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในเมืองใหญ่ ริเริ่มโดยหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ เป็นการวิจัยเรื่องการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น รสนิยมของคน และการจัดลำดับความสำคัญของคน ใกล้ๆ จุดที่นักดนตรีเล่นไวโอลิน กล้องวิดีโอที่ซ่อนอยู่เก็บภาพทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้นในช่วงสี่สิบห้านาทีนั้น

คำถามที่ผู้ทำวิจัยตั้งไว้คือ มนุษย์เรามีความสามารถในการรับรู้ความงามหรือไม่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เราจะหยุดเพื่อซึมซับความงามนั้นหรือไม่ เรามีความสามารถในการพบ ‘เพชรเม็ดงาม’ ในสภาพแวดล้อมที่คาดไม่ถึงหรือไม่

ในจำนวนคน 1,097 ที่เดินผ่านจุดนั้น มีเพียงเจ็ดคนที่หยุดฟังเสียงดนตรี และเพียงคนเดียวที่จดจำนักดนตรีได้

มันตั้งคำถามกับเราว่า เราสูญเสียโอกาสที่จะรับสิ่งที่ดีและงดงามไปมากมายเท่าไรแล้ว จากพฤติกรรมแสนเร่งรีบของเรา ?

คิดดูก็น่าขัน คนส่วนมากใช้ชีวิตแบบรีบร้อนจนไม่มีเวลาใช้ชีวิต !  เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงผ่านไปทีละรอบ เหมือนๆ กันทุกวันจนทุกอย่างกลายเป็นเครื่องจักร และหลายคนกลายเป็นหุ่นยนต์

การทดลองยังบอกเราว่า เราอาจจมอยู่ในสังคมที่มองโลกแบบฉาบฉวย คนจำนวนมากเห็นคุณค่าของคนหรือสิ่งของเมื่อเขาหรือมันอยู่ในสภาพแวดล้อมบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เพชรในร้านหรูดูแพงกว่าเพชรแบบเดียวกันที่ร้านในตรอกสกปรก, อาหารจีนปรุงโดยพ่อครัวชาวจีนน่าจะอร่อยกว่าที่ทำโดยพ่อครัวชาวอิรัก, นักดนตรีที่แสดงในศูนย์วัฒนธรรมดูเก่งกว่านักดนตรีริมถนน, หนังสือที่เขียนโดยนักเขียนมีชื่อเสียงน่าจะดีกว่าโดยนักเขียนมือใหม่, ภาพเขียนโดยศิลปินระดับโลกดีกว่าภาพโดยจิตรกรท้องถิ่น ฯลฯ นี่เองที่ทำให้เราพลาดโอกาสใหญ่มากมายซึ่งซ่อนรูปในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง

ชีวิตคนเรานั้นไม่ยาวนัก เป้าหมายของแต่ละคนก็ไม่น้อย ดังนั้นบางคนจึงเลือกที่จะรีบเพื่อไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด

แต่การใช้ชีวิตมิได้จำเป็นต้องไปให้ถึงที่หมายอย่างเดียว มันคือการชมดูความงามของสองข้างทางชีวิตไปด้วย

เนื้อหาของนวนิยายแห่งชีวิตของเราแต่ละคนอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าบทสุดท้ายเป็นแฮปปี้ เอนดิ้ง หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าบทส่วนใหญ่มีความสุขหรือไม่ต่างหาก เพราะหากบทส่วนมากเป็นเรื่องโศกเศร้าหมองหม่น ต่อให้บทสุดท้ายจบด้วยดี มันก็ถือว่าเป็นชีวิตที่เศร้า

บทจบจึงไม่สำคัญเท่าบทอื่นๆ ทั้งเรื่อง

จุดหมายอาจไม่สำคัญเท่าสองข้างทาง

บางครั้งเราอาจต้องวิ่ง บางครั้งก็ควรเดิน แต่ถ้าต้องวิ่งตลอดทางก็คงไม่ใช่ชีวิตที่สนุกนัก


หมายเหตุ : บทความเกี่ยวกับการทดลองนี้ทำให้ผู้เขียน จีน ไวน์การ์เตน หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ได้รางวัลพูลิตเซอร์ในปี พ.ศ. 2551

วินทร์ เลียววาริณ
11 กันยายน 2553


คมคำคนคม

All life is an experiment. The more experiments you make the better.

ชีวิตทั้งชีวิตก็คือการทดลอง ยิ่งทดลองมากเท่าไรก็ยิ่งดี

Ralph Waldo Emerson
      บันทึกการเข้า
ti2521
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #161 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2554, 06:48:48 »


.....สวัสดีครับ พี่เจี๊ยบ.....

     .....พี่เอมอร 15   ฝากมาครับ.....









































      บันทึกการเข้า

เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ
สำหรับผม
อย่างไรก็ได้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #162 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2554, 11:59:05 »


         ขอบคุณพี่เอมอร-ผู้ฝาก และน้องตี๋-บุรุษไปรษณีย์ มากๆ ค่ะ ... ดอก cactus สวยสดใส  คำโปรยก็โดนใจจริงๆ ...  ขอเชิญชวนให้นำเรื่องราวดีๆ มาแบ่งปันกันอีกนะคะ
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #163 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2554, 10:55:31 »

ผมขอแบ่งปันเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นนะครับ
ขอบคุณมากครับ
      บันทึกการเข้า
ti2521
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #164 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2554, 18:28:03 »


.....สวัสดีครับ พี่เจี๊ยบ.....

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=K1hYCnIDdZk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=K1hYCnIDdZk</a>

      บันทึกการเข้า

เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ
สำหรับผม
อย่างไรก็ได้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #165 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2554, 11:48:05 »

ยินดีอย่างยิ่งค่ะ คุณ jitwang และน้องตี๋


ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

ยายยิ้ม หญิงชราร่างเล็ก หลังงุ้ม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสมชื่อ
อาศัยในบ้านไม้ที่เกือบเสร็จท่ามกลางป่าเขา
จ.พิษณุโลก อยู่ลำพังอย่างเดียวดาย  ห่างไกลผู้คน และเงียบสงัด



เมื่อ 20 ปี ก่อน ยายมีบ้านอยู่ที่อำเภอพรหมพิราม พร้อมลูกหลาน
ตอนนั้นลูกชายคนเล็กตั้งใจจะมาบุกเบิก ทำมาหากินบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน
แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง ความไกล ไข้ป่า และความลำบาก
ส่งผลให้ลูกชายของยายเลือกที่จะไปขับ รถแท๊กซี่ใน กทม.

และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ และการไม่อยากเป็นภาระลูกหลานหรืออื่นๆ
ยายยิ้มจึงตัดสินครั้งสำคัญ อาศัยอยู่ที่บ้านในป่าผืนนั้น เป็นต้นมา

ลูกหลานขอร้องให้ยายกลับมาอยู่บ้านแต่ ยายไม่กลับ
ลูกหลานจึงได้แต่มาเยี่ยมยายเป็นระยะ รวมถึงการนำเสื้อผ้าผ้าห่ม
ข้าวสารอาหารแห้งมาให้ยาย ลูกชายคนที่ยังอยู่ในอำเภอพรหมพิรามบอกว่า
" แม่เขาจะบอกว่า ไม่ต้องเอามาให้มากนะ  ในชีวิตเขา แม่เขาไม่เคยอยากได้อะไรเลย
เคยถามเขาก็บอกว่า เขาพอแล้ว  สมัยยังเด็กบ้านเราจนกันมาก
พ่อก็ตายตอนที่เรายังเล็ก ๆ แต่แม่คนเดียวก็หา
เลี้ยงลูกได้ มานึกดูแกต้องทำงานหนักมาก แม่ถึงเน้นสอนให้เข้มแข็ง
หนักเอาเบาสู้ไม่เลือกงาน "
 
ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางขุนเขา ยายไม่มีนาฬิกา
แต่ทุกเวลาล้วนมีคุณค่า การมีชีวิตอยู่ของยายหมดไปกับการปลูกต้นไม้
ทำฝายเล็ก ๆ ที่ยายได้อาศัยในยามหน้าแล้งและยังเป็นสายธาร
หล่อเลี้ยงบรรดาสัตว์ และต้นไม้บนผืนแผ่นดินนี้
และตั้งใจถวายในหลวงและพระราชินี ยายรักในหลวงและพระราชินีมาก
กิจวัตรประจำวัน ตื่นแต่เช้า จุดธูปไหว้พระ เก็บมุ้ง กระย่องกระแย่งมาจุดฟืนหุงข้าว
ตักข้าวสุกแรกเก็บไว้ ตักข้าวกินกับน้ำพริก หรือ ปลาแห้งที่เก็บไว้
ลงมากวาดลานบ้าน ซักผ้า หาบน้ำที่ลำห้วย ออกไปหาฟืนหาไม้ มาเก็บไว้


ก่อนจะคดข้าวใส่กล่อง น้ำพริก ใส่ย่าม สวมที่ขาดวิ่น ใช้พร้าแทนไม้เท้าเวลาเดิน
ข้ามห้วย ข้ามหนอง เข้าไปในป่าลึก ผ่านฝายเล็กๆ หรือคันนาที่ยายทำไว้ 11 ฝาย
เป็นคันดินที่ยายใช้ "จอบกับใจ" ค่อยๆขุดขึ้นมา กลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆกักเก็บน้ำ
พอให้สัตว์เล็กได้มาอาศัย ต้นไม้ชุ่ม ชื่น ระหว่างนั้นก็เอาข้าวมาโปรยให้สัตว์
ในแอ่งดินกันทำคันดินนี้เสร็จ ก็เข้าไปลึกเรื่อยๆ ที่ละฝาย ทีละฝาย
เวลาแต่ละวันผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เหนื่อยก็พัก แล้วก็เดิน กลับบ้าน
ชีวิตยาย เป็นไปอย่างเรียบง่าย

ทุก ๆ วันพระ ยายจะเดินลงมาจากเขา ด้วยระยะทางเกือบ 8 กิโล
บวกกับวัยชราของยาย จึงทำให้ยายใช้เวลาใน การเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของยายเสื่อม ถอยลง ลำพังคนหนุ่มสาว
จะให้เดินขึ้นลงเขา สัก 7-8 กิโลเมตร ยังเ ล่นเอาเหงื่อตก
แต่สำหรับยายยิ้มถือเป็นกิจวัตรสม่ำ เสมอทุกวันโกน วันพระเพราะไม่ว่าฝนจะตก
ฟ้าจะร้อง ยายก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด


ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่อง ขรุขระ ยายยิ้ม
จะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหนื่อยก็พัก ถึงวัดกี่โมงไม่รู้
รู้แต่ เมื่อถึงวัดก็เปลี่ยนชุดชาว สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทำความสะอาดวัด
ทำบุญ เมื่อกลับจากวัด แกก็จะมานับวันหลังจากนั้นไปถึงวันโกนวันพระอีกที
ก่อนที่เดินกลับบ้านในป่า ยายเลือกใช้ชีวิตเพียงลำพัง
และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอย่างมีความ สุขอีกครั้ง

เราขาดในสิ่งที่ยายยิ้มมี นั่นคือ ความพอเพียง ความศรัทธา ความไม่โลภ  
เรามีในสิ่งที่ยายขาด นั่นคือ ความทุกข์


พิธีกร :   ข้าวสารอาหารแห้งเอามาจากไหน
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ เขาเอามาให้ก็ต้องกิน
             เขาจะได้บุญและก็ต้องกินอย่างประหยัดๆ ไม่ฟุ่มเฟือย

พิธีกร :   ฝนตกเปียกไหม
ยายยิ้ม : ก็หลบๆเอา ไม่ลำบาก อย่าคิดว่ามันลำบาก

พิธีกร :   เสื้อผ้า ขาดแล้วยังใส่อยู่
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ ใส่ไว้เขาจะได้บุญ

พิธีกร : ลูกหลานอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน
ยายยิ้ม : ไม่ใช่ว่าจะไม่พึ่ง แต่ให้หมดค่าก่อนค่อยพึ่ง ป่วยไม่สบายไม่มีแรงค่อยพึ่งเขา

พิธีกร :   ทำฝายไปให้ใคร
ยายยิ้ม : ให้ในหลวงพระราชินี ท่านเป็นถึงเจ้าแผ่นดินยังทำงาน เราก็ต้องทำให้ท่านบ้าง..
            ส่วนสิ่งที่ทำในหลวงไม่เห็นผีสางเทวดาก็เห็น

พิธีกร :   ได้ประโยชน์อะไรจากฝาย
ยายยิ้ม : ในหลวงบอกมีฝายมีน้ำ มีป่า มีปลาเล็กเป็นอาหารนกอีกทีรวมถึงได้ใช้ยามหน้าแล้ง

พิธีกร :   กลัวล้มไหมเวลาเดินไปไหน
ยายยิ้ม : กลัวแต่ก็ต้องทำ ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร :   เหนื่อยไหมที่ทำมา
ยายยิ้ม : เหนื่อย แต่ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร :   เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

พิธีกร :   สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายยิ้ม : คนอื่นว่าลำบากแต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสวรรค์มันก็ไม่ลำบาก

พิธีกร :   ยายมาทำบุญทุกวันพระไหม
ชาวบ้าน : ยายมาประจำแหละ ยายแกชอบทำบุญ ได้เบี้ยเดือน 500 แกยังทำบุญหมด เลย


พระ ( กางมุ้งให้ยายนอนในศาลาวัด ) : ไม่บาปหรอกยาย ช่วยๆกัน ดูแลกัน
ยาย ( นั่งยิ้มด้วยความจำนน )
ยาย เอาเงินที่เก็บๆรวมถึงเงินที่ชาวบ้านให้ไว้มาทำบุญ
ยาย อวยพรให้และภาวนาให้คนที่ทำบุญด้วย
พิธีกร :   ยายรู้จักเขาเหรอ
ยายยิ้ม : ( ยิ้ม ) ไม่รู้จักหรอก เห็นบอกว่าจะบวชก็เลยทำบุญ
           ให้ยายทำ บุญนะ ( สงสัยคงจะเป็นเงินที่ทางรายการให้ )
พิธีกร : ทำเถอะยาย ไม่ว่าอะไรหรอก

พิธีกร :   ยายมีของแค่นี้เหรอ ( หยิบกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า หยูกยาที่จำเป็น บัตรประชาชน )
ยายยิ้ม : แค่นี้แหละเตรียมไว้ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา เอาไปใบเดียว คนอื่นจะได้ไม่ลำบากหา

พิธีกร :   จะไม่เป็นการแช่งตัวเองหรือ
ยายยิ้ม : ยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องพึ่งตัวเอง ยิ่งต้องเตรียมตัว

พิธีกร :   เวลายายไปตัดไม้ไผ่ ทำฝายไม่เกินกำลังเหรอ เอาแรงมาจากไหน
ยายยิ้ม : หัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า มันเกินกำลังอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมีความพยายามยายบอกวันนี้หมดแรง นอนพัก พรุ่งนี้แรงก็มาใหม่

พิธีกร :   ยายยังขาดอะไรอีกในชีวิต
ยายยิ้ม : ยายยิ้มสมกับชื่อ แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ขาดความทุกข์

      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #166 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2554, 20:14:20 »

รักนั้นออกแบบไม่ได้ แต่ทุกข์นั้นออกแบบได้แน่นอน รัก/โลภ/โกรธ/หลง/อยากทุกข์เรื่องไหนก็เลือกเอา
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #167 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2554, 22:12:12 »

ทำอย่างไรจะหายโกรธ




ความโกรธเป็นศัตรูที่คอยขัดขวางไม่ให้ความดีเกิดขึ้น คนบางคน เป็นผู้มักโกรธ พอโกรธขึ้นมาแล้วก็ต้องทำอะไรรุนแรงออกไป ทำ ให้เกิดความเสียหาย ถ้าทำอะไรไม่ได้ ก็หงุดหงิดงุ่นง่านทรมานใจ ตัวเอง ในเวลานั้นเมตตาหลบหาย ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ไม่ยอมปรากฏให้เห็น ส่วนความโกรธ ทั้งที่ไม่ต้องการแต่ก็ไม่ยอม หนีไป บางทีจนปัญญา ไม่รู้จะขับไล่หรือกำจัดให้หมดไปได้อย่างไร





โบราณท่านรู้ใจและเห็นใจคนขี้โกรธ จึงพยายามช่วยเหลือ โดยสอนวิธีการต่างๆ สำหรับระงับความโกรธ วิธีการเหล่านี้มี ประโยชน์ไม่เฉพาะสำหรับคนมักโกรธเท่านั้น แต่เป็นคคิแก่ทุกคน ช่วยให้เห็นโทษของความโกรธ และมั่นในคุณของเมตตายิ่งขึ้น จึง ขอนำมาเสนอพิจารณากันดู วิธีเหล่านั้นท่านสอนไว้เป็นขั้นๆ ดังนี้



ขั้นที่ ๑ นึกถึงผลเสียของความเป็นคนมักโกรธ



ขั้นที่ ๒ พิจารณาโทษของความโกรธ



ขั้นที่ ๓ นึกถึงความดีของคนที่เราโกรธ



ขั้นที่ ๔ พิจารณาว่า ความโกรธ คือการสร้างทุกข์ให้ตัวเอง และ เป็นการลงโทษตัวเองให้สมใจศัตรู



ขั้นที่ ๕ พิจารณาความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน



ขั้นที่ ๖ พิจารณาพระจริยาวัตรในปางก่อนของพระพุทธเจ้า (ข้อนี้ใครนับถือศาสนาอื่น จะพิจารณาดูก็ไม่เสียหาย)



ขั้นที่ ๗ พิจารณาความเคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏฏะ



ขั้นที่ ๘ พิจารณาอานิสงส์ของเมตตา



ขั้นที่ ๙ พิจารณาโดยวิธีแยกธาตุ



ขั้นที่ ๑๐ ปฏิบัติทาน คือ การให้หรือแบ่งปันสิ่งของ






 
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #168 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2554, 20:15:47 »

"พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"

พุทธโอวาทก่อนปรินิพพานนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานแก่พระอานนท์ผู้เป็นพระอุปัฏฐากและพระภิกษุคราที่ทรงปรงพระชนมายุสังขารออกเดินทางด้วยพระบาทเปล่าจากปาวาลเจดีย์ไปยังกรุงกุสินาราสถานที่ปรินิพพานตลอดพระชนมชีพ พระพุทธเจ้าหาได้ทรงท้อแท้หรือเหน็ดเหนื่อยต่อการเผยแพร่ธรรมไม่ยังทรงประกาศพระธรรมอันประเสริฐที่ทรงค้นพบด้วยพระองค์เองแก่พุทธบริษัท 4ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้คราเมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงปาวาลเจดีย์ ได้ประทับอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีเงาครึ้มต้นหนึ่งโดยมีพระอานนท์หมอบลงที่พระบาทมูลแล้วทูลว่า

“ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์อาศัยความกรุณาแก่ข้าและหมู่สัตว์จงดำรงพระชนมชีพต่อไปอีกเถิดอย่าเพิ่งด่วนปรินิพพานเลย ”กราบทูลเท่านี้แล้วพระอานนท์ก็ไม่ทูลอะไรต่อไปอีกเพราะโศกาดูรท่วมท้นหทัย“

อานนท์เอ๋ย ” พระศาสดาตรัสพร้อมทอดทัศนาการไปเบื้องหน้าอย่างสุดไกลลีลาอันเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและพระพักตร์ “เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตถาคตกลับใจตถาคตจะต้องปรินิพพานในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ อีกสามเดือนข้างหน้านี้ อานนท์เราได้แสดงนิมิตโอภาสอย่างแจ่มแจ้งแก่เธอพอเป็นนัยมาไม่น้อยกว่า 16 ครั้งแล้วว่าคนอย่างเรานี้มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้อบรมมาด้วยดีถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัปป์หรือมากกว่านั้นก็พออยู่ได้ แต่เธอหาเฉลียวใจไม่ได้ทูลอะไรเราเลยเราตั้งใจไว้ว่าในคราวก่อนๆนั้นถ้าเธอทูลให้เราอยู่ต่อไปเราจะห้ามเสียสองครั้งพอเธอทูลครั้งที่สามเราจะรับอาราธนาของเธอแต่บัดนี้ช้าเสียแล้ว เรามิอาจกลับใจได้อีก”

“ อานนท์เอ๋ย ” บัดนี้สังขารอันเป็นเหมือนเกวียนชำรุดนี้เราได้สละแล้วเรื่องที่จะดึงกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้นไม่ใช่วิสัยแห่งตถาคต....บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงไม่ได้ อานนท์เอ๋ย ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุดสิ่งทั้งหลายมีความแตกดับไปสลายไปเป็นธรรมดาจะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปเคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวทุกขณะ ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลเป็นพื้นฐานที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ประหนึ่งแผ่นดินเป็นสิ่งที่รองรับและตั้งลงแห่งสิ่งทั้งหลาย เป็นต้นว่าพฤกษาลดาวัลย์มหาสิงขรและสัตว์จตุบททวิบาทนานาชนิด บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้นใจย่อมอยู่สบายมีความปลอดโปร่งเหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเรือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือ ความสงบใจ สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้นเป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก บุคคลผู้มีสมาธิย่อมอยู่อย่างสงบ เหมือนเรือนที่มีฝาผนังมีประตูหน้าต่างปิดเปิดเรียบร้อย มีหลังคาป้องกันลม แดดและฝน ผู้อยู่ในเรือนเช่นนี้ ฝนตกก็ไม่เปียกแดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิก็ฉันนั้น ย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวายเมื่อลม แดดและฝนกล่าวคือโลกธรรมแผดเผา กระพือพัดซัดสาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าสมาธิอย่างนี้ย่อมก่อให้เกิดปัญญาในการฟาดฟันย่ำยี และเชือดเฉือนกิเลสอาสวะให้เบาบางและหมดสิ้นไป ”

“ อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ แต่เศร้าหมองไปเพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด ศีลสมาธิและปัญญา เป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวสะอาดดังเดิม จิตที่ฟอกด้วยศีล สมาธิและปัญญาย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาทางทั้งหลาย มรรคมีองค์ 8 ประเสริฐที่สุด บรรดาบททั้งหลายบท 4 คืออริยสัจประเสริฐที่สุด บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะ คือ การปราศจากความกำหนัดยินดี ประเสริฐที่สุดบรรดาสัตว์สองเท้า พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐที่สุด มรรคมีองค์ 8นี่แลเป็นไปเพื่อทัศนะอันบริสุทธิ์ หาใช่ทางอื่นไม่ เธอทั้งหลายจงเดินไปตามทางมรรคมีองค์ 8 นี้อันเป็นทางที่ทำมารให้หลงติดตามมิได้ เธอทั้งหลายจงตั้งใจปฏิบัติเพื่อทำทุกข์ให้สิ้นไปตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น เมื่อปฏิบัติดังนี้พวกเธอจักพ้นจากมารและบ่วงแห่งมาร

”--------------------------------------------

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฐิ คือความยึดมั่นเรื่องของตนเสีย ด้วยประการฉะนี้เธอจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวลไม่มีความสุขใดยิ่งกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ด้วยตัวเรานี้เองตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลยมนุษย์ได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นไว้เพื่อให้ตัวเองวิ่งตามแต่ก็ตามไม่เคยทันการแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้นเป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อยเหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็ก ๆ เพียงตัวเดียวมนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติ จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ่ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรนเรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา เรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้ภาระที่ต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้วในหมู่ชนที่เพ่งแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตาเขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อมๆกันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง”

“ ภายในอาคารมหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์ มีลมพัดเย็นสบายแต่สถานที่เหล่านั้นมักบรรจุไปด้วยคนที่มีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมากภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบที่อยู่โคนไม้ได้อย่างไร ”

“ ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่าแน่นอนทีเดียวคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้มิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุขสงบเยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลกที่น้อยคนนักจะสละละวางได้ จึงแย่งลาภและยศกันอยู่เสมอเหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกิน แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วยหรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกัน จิกตีกัน ทำลายกันจนพินาศกันทั้งสองฝ่าย น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนักถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง มีการเผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี ถ้าเขาลดโทสะลง มีความเห็นอกเห็นใจกันมีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง ไม่หลงงมงาย ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและดำเนินชีวิตโลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก แต่ช่างเขาเถิดหน้าที่โดยตรงและเร่งด่วนของเธอ คือ ลดความโลภความโกรธและความหลงของเธอเองให้น้อยลง แล้วจะประสบความสุขเยือกเย็นขึ้นมาก เหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใดความสบายกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ยิ่งเจริญก็ดูเหมือนจะมีเสรีภาพน้อยลงทั้งทางกายและทางใจดูแล้วความสะดวกสบายและเสรีภาพของมนุษย์ยังสู้สัตว์เดรัจฉานบางประเภทไม่ได้ที่มันมีเสรีภาพที่จะทำอะไรตามใจชอบอยู่เสมอ ดูอย่างเช่น ฝูงวิหกนกกา มนุษย์เราเจริญกว่าสัตว์ตามที่มนุษย์เราเองชอบพูดกันแต่ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขน้อยกว่าสัตว์ ภาระใหญ่จะที่ต้องแบกไว้ คือ เรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติ สัตว์เดรัจฉานตัดไปได้อย่างหนึ่งคือเรื่องเกียรติ คงเหลือแต่เรื่องกามและเรื่องกินนักพรตอย่างพวกเธอนี้ตัดไปได้อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องกาม คงเหลือแต่เรื่องกินอย่างเดียวแต่การกินอย่างนักพรตกับการกินของผู้บริโภคกามก็ดูเหมือนจะบริโภคแตกต่างกันอยู่ผู้บริโภคกามและยังหนาแน่นอยู่ด้วยโลกียวิสัย บริโภคเพื่อยุกามให้กำเริบจะต้องกินให้มีเกียรติกินให้สมเกียรติ มิได้กินเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้อย่างสมณะความจริงร่างกายคนเราไม่ได้ต้องการอาหารอะไรมากนัก เมื่อหิวก็ต้องการอาหารบำบัดความหิวเท่านั้นแต่เมื่อมีเกียรติเข้ามาบวกด้วย จึงกลายเป็นเรื่องกินอย่างเกียรติยศ และแล้วก็มีภาระตามมาอย่างหนักหน่วงคนจำนวนมากเบื่อเรื่องนี้แต่จำเป็นต้องทำ เหมือนโคหรือควายซึ่งเหนื่อยหน่ายต่อแอกและไถแต่จำใจต้องลากมันไป อนิจจา ”

------------------------------------------

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็กหรือโซ่ตรวนใดๆเราไม่กล่าวว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำ คือ บุตรภรรยาและทรัพย์สมบัตินี่แลตรึงมัดรัดผูกสัตว์ให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆคือ บุตร ภรรยาและทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะเป็นเหยื่อของโลกเมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นดอกไม้กลิ่นจันทน์ไม่สามารถหอมหวนทวนลมได้แต่กลิ่นแห่งเกียรติคุณความดีงามของสัตบุรุษนั้นแล สามารถจะหอมไปได้ทั้งตามลมและทวนลมคนดีย่อมมีเกียรติคุณฟุ้งขจรไปได้ทั่วทุกทิศ กลิ่นจันทน์แดง กลิ่นอุบล กลิ่นดอกมะลิจัดว่าเป็นดอกไม้กลิ่นหอม แต่ยังสู้กลิ่นศีลไม่ได้ กลิ่นศีลยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งมวลถ้าภิกษุหวังจะให้เป็นที่รักที่เคารพ เป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจารีแล้วพึงเป็นผู้ทำตนให้สมบูรณ์ด้วยศีลเถิด ”

“ สัตว์โลกเมื่อเกิดมาย่อมนำความทุกข์ติดตัวมาด้วย ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออกความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่ ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมันพวกเธอจงเอาสติเป็นขอเหนียวรั้งช้าง คือจิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดและควรแก่การสรรเสริญนั้นคือผู้ที่สามารถเอาชนะตนของตนเองไว้ในอำนาจได้สามารถเอาชนะตนเองได้ ผู้ชนะตนได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม เธอทั้งหลายจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิดอย่าเป็นผู้แพ้เลย ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัวอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตนได้ เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด ผู้มีความอดทน มีเมตตาย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกเราก็ร้องไห้พร้อมกำมือไว้แน่นเป็นสัญลักษณ์ว่าเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ แต่เมื่อจะหลับตาลาโลกนั้นทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึกและเป็นพยานว่าเขามิได้เอาอะไรไปด้วยเลย ”

“ เมื่อหัวใจยึดไว้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า แต่ทุกครั้งที่เราหวังความผิดหวังก็จะรอเราอยู่ ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาว่าไม้จันทน์แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น อัศวินก้าวลงสู่สนามก็ไม่ทิ้งลีลาอ้อยแม้เข้าสู่เครื่องยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน บัณฑิตแม้ประสบความทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ลาภเป็นความโง่เขลา เหมือนชาวนาที่ตระหนี่ไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนาข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ดย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้นย่อมมีผลมากผลไพศาล คนดีมีทรัพย์แล้วย่อมบำรุงมารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ให้เป็นสุขบำรุงสมณะพรหมาจารย์ให้เป็นสุข เปรียบเสมือนสระโบกขรณีอันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหรือนิคม มีท่าลงเรียบร้อยสะอาดเยือกเย็น น่ารื่นรมย์ มหาชนย่อมได้อาศัย นำไปอาบดื่มและใช้สอยตามต้องการโภคทรัพย์ของคนดีย่อมเป็นดังนี้ หาอยู่โดยเปล่าประโยชน์ไม่ ”

“ การเสียสละนั้น คือการได้มาซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไรย่อมไม่ได้อะไร จงดูเถิดมนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคนแต่ต้นไม้นั้นย่อมให้ผลที่ปลาย ”

“ บุคคลไม่ควรประมาทว่าบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยจะไม่ให้ผลหยาดน้ำที่ไหลลงทีละหยดยังทำให้แม่น้ำเต็มได้ฉันใด การสั่งสมบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้นผู้สั่งสมบุญย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยบุญ ผู้สั่งสมบาปย่อมเพียบแปล้ไปด้วยบาป ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันร่างกายนี้สะสมแต่ของสกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้งเก้ามีช่องหูช่องจมูก เป็นต้น เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งโรคเป็นที่เก็บโรค อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆเข้าไว้แล้วซึมออกมาเสมอๆเจ้าของกายจึงต้องชำระล้าง ขัดถูวันละหลายๆครั้ง เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือสองวันกลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจ เป็นของน่าขยะแขยง ”

“ ดูกรอานนท์ บิณฑบาตทานที่มีอานิสงส์มาก มีผลไพศาล คือ เมื่อนางสุชาดาถวายเราก่อนตรัสรู้ครั้งหนึ่งและอีกครั้งหนึ่งที่จุนทะถวายนี้ ครั้งแรกเสวยอาหารของสุชาดาแล้วตถาคตก็ถึงซึ่งกิเลสนิพพานครั้งหลังนี้เสวยอาหารของจุนทะบุตรนายช่างทอง แล้วเราก็นิพพานด้วยขันธ-นิพพาน คือ ดับขันธ์อันเป็นวิบากที่ยังเหลืออยู่ ถ้าใครๆจะพึงตำหนิจุนทะ เธอพึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามนี้ถ้าจุนทะพึงจะเดือดร้อนใจ เธอพึงกล่าวปลอบให้เขาหายกังวลใจเสียอาหารของจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา ”

“ อานนท์เอ๋ย พึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้วขอให้ธรรมวินัยอันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่าสิ่งทั้งปวงมีเสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด ”

ย่างเข้าปัจฉิมยาม ณ ใต้ต้นสาละคู่แห่งกุสินารานครมีพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงปรินิพพานอยู่ในที่นั้นและพรั่งพร้อมด้วยพุทธบริษัทเนืองแน่นเป็นปริมณฑลทอดไกลสุดสายตา พระธรรมที่พระองค์ทรงพร่ำสอนมาตลอดพระชนมชีพว่าสัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุดนั้น เป็นสัจธรรมที่ไม่ยกเว้นแม้แต่พระองค์เอง

 

..................

รับฟัง / ดาวน์โหลด ที่นี่ครับ

http://www.dhammathai.org/sounds/admonitionofbuddha.php

      บันทึกการเข้า
Preecha2510
Cmadong Member
Full Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2510
กระทู้: 788

« ตอบ #169 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2554, 14:25:09 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2554, 01:30:45

เสียงไวโอลินที่ไม่มีใครได้ยิน ... บทความดีๆ ของ " วินทร์ "

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

เช้าวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2550 ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ลองต์ฟองต์ พลาซา ในกรุงวอชิงตัน ดี. ซี. นักไวโอลินคนหนึ่งกำลังเล่นดนตรี บนพื้นเบื้องหน้าของเขาวางกระเป๋าไวโอลินที่เปิดอ้าอยู่เพื่อให้คนผ่านทางบริจาคเงิน เป็นภาพปกติของพื้นที่สาธารณะซึ่งมีวณิพกนักดนตรีแวะเวียนมาเล่นหาเศษเงิน

ระดับปรอทยามเช้าในเดือนแรกของปีอยู่ที่ 4 องศาเซลเซียส จัดว่าหนาวเอาการ แต่บรรยากาศดูร้อนรน ในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ ชาวเมืองกำลังรีบไปทำงาน สถานีนี้อยู่ในพื้นที่ซึ่งประกอบด้วยศูนย์การค้า โรงแรม อาคารธุรกิจ และราชการ แต่ละนาทีมีคนผ่านไปมาหลายร้อยคน

เสียงไวโอลินแผ่วพลิ้วสดใสกังวาน มันเป็นเพลงของบาค เพลงคลาสสิคกลืนหายไปกับเสียงจอแจของรถและผู้คน กระนั้นมันก็เป็นดนตรีไพเราะเสนาะจิต ฝีมือของวณิพกรายนี้ไม่เลวเลย

คนหลายคนเดินผ่านคนสีไวโอลินไปโดยไม่สนใจ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหยุดดูแวบหนึ่งแล้วเดินต่อไป ผู้หญิงคนหนึ่งโยนเงินหนึ่งเหรียญลงในกระเป๋าบนพื้น แล้วจ้ำต่อไป อีกไม่กี่นาทีถัดมา มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งหยุดดูเขาเล่นดนตรี แล้วก็เดินต่อไปเพื่อไปทำงาน

ชั่วขณะนั้น เด็กชายคนหนึ่งหยุดฟังเสียงไวโอลินที่เขาบรรเลงอย่างจดจ่อ ทว่าอึดใจต่อมา แม่ของเด็กดึงเขาออกไป เด็กชายยังหันกลับมามองเขาเล่น เด็กอีกหลายคนก็มีปฏิกิริยาต่อเสียงดนตรีคล้ายกัน แต่พ่อแม่ของเด็กทุกคนก็ลากเด็กจากไป

ผ่านไป 45 นาทีกับบาค 6 เพลง นักดนตรีก็ยุติการแสดง เก็บไวโอลินใส่กระเป๋า นักไวโอลินเดินจากมุมนั้นของซับเวย์ไปเงียบๆ ไม่มีใครปรบมือชื่นชมวณิพก สี่สิบห้านาทีนั้นมีเพียง 6-7 คนที่หยุดฟังเขาเล่นดนตรีเพียงครู่สั้นๆ ยี่สิบคนให้เงินแต่ไม่หยุดฟัง นักไวโอลินเก็บเงินบริจาคได้ 32.17 ดอลลาร์จากผู้ผ่านทาง 27 คน

มันคงเป็นเช้าวันหนึ่งที่เหมือนกับทุกๆ เช้าในสถานีรถไฟใต้ดิน ผู้คนเดินผ่านมาแล้วผ่านไป ต่างแต่ว่าเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นถูกบันทึกไว้ในกล้องวิดีโอที่ซ่อนอยู่

มันคงเป็นการแสดงของนักดนตรีไส้แห้งคนหนึ่งในซับเวย์ที่ไม่มีคนสนใจเช่นทุกวัน ต่างแต่ว่านักไวโอลินผู้นี้มิใช่วณิพกยากไร้ หรือนักดนตรีฝึกหัด นามของเขาคือ โจชัว เบลล์ นักไวโอลินมือหนึ่งของโลก เครื่องดนตรีในมือของเขาคือ สตราดิแวเรียส ปี ค.ศ. 1713 ราคา 3.5 ล้านดอลลาร์

สองวันก่อนหน้านั้น โจชัว เบลล์ เล่นไวโอลินที่ซิมโฟนี ฮอลล์ เมืองบอสตัน ราคาค่าตั๋วเฉลี่ยหนึ่งร้อยดอลลาร์ คนดูเต็มโรง !

นี่เป็นการทดลองศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในเมืองใหญ่ ริเริ่มโดยหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ เป็นการวิจัยเรื่องการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น รสนิยมของคน และการจัดลำดับความสำคัญของคน ใกล้ๆ จุดที่นักดนตรีเล่นไวโอลิน กล้องวิดีโอที่ซ่อนอยู่เก็บภาพทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้นในช่วงสี่สิบห้านาทีนั้น

คำถามที่ผู้ทำวิจัยตั้งไว้คือ มนุษย์เรามีความสามารถในการรับรู้ความงามหรือไม่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เราจะหยุดเพื่อซึมซับความงามนั้นหรือไม่ เรามีความสามารถในการพบ ‘เพชรเม็ดงาม’ ในสภาพแวดล้อมที่คาดไม่ถึงหรือไม่

ในจำนวนคน 1,097 ที่เดินผ่านจุดนั้น มีเพียงเจ็ดคนที่หยุดฟังเสียงดนตรี และเพียงคนเดียวที่จดจำนักดนตรีได้

มันตั้งคำถามกับเราว่า เราสูญเสียโอกาสที่จะรับสิ่งที่ดีและงดงามไปมากมายเท่าไรแล้ว จากพฤติกรรมแสนเร่งรีบของเรา ?

คิดดูก็น่าขัน คนส่วนมากใช้ชีวิตแบบรีบร้อนจนไม่มีเวลาใช้ชีวิต !  เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงผ่านไปทีละรอบ เหมือนๆ กันทุกวันจนทุกอย่างกลายเป็นเครื่องจักร และหลายคนกลายเป็นหุ่นยนต์

การทดลองยังบอกเราว่า เราอาจจมอยู่ในสังคมที่มองโลกแบบฉาบฉวย คนจำนวนมากเห็นคุณค่าของคนหรือสิ่งของเมื่อเขาหรือมันอยู่ในสภาพแวดล้อมบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เพชรในร้านหรูดูแพงกว่าเพชรแบบเดียวกันที่ร้านในตรอกสกปรก, อาหารจีนปรุงโดยพ่อครัวชาวจีนน่าจะอร่อยกว่าที่ทำโดยพ่อครัวชาวอิรัก, นักดนตรีที่แสดงในศูนย์วัฒนธรรมดูเก่งกว่านักดนตรีริมถนน, หนังสือที่เขียนโดยนักเขียนมีชื่อเสียงน่าจะดีกว่าโดยนักเขียนมือใหม่, ภาพเขียนโดยศิลปินระดับโลกดีกว่าภาพโดยจิตรกรท้องถิ่น ฯลฯ นี่เองที่ทำให้เราพลาดโอกาสใหญ่มากมายซึ่งซ่อนรูปในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง

ชีวิตคนเรานั้นไม่ยาวนัก เป้าหมายของแต่ละคนก็ไม่น้อย ดังนั้นบางคนจึงเลือกที่จะรีบเพื่อไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด

แต่การใช้ชีวิตมิได้จำเป็นต้องไปให้ถึงที่หมายอย่างเดียว มันคือการชมดูความงามของสองข้างทางชีวิตไปด้วย

เนื้อหาของนวนิยายแห่งชีวิตของเราแต่ละคนอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าบทสุดท้ายเป็นแฮปปี้ เอนดิ้ง หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าบทส่วนใหญ่มีความสุขหรือไม่ต่างหาก เพราะหากบทส่วนมากเป็นเรื่องโศกเศร้าหมองหม่น ต่อให้บทสุดท้ายจบด้วยดี มันก็ถือว่าเป็นชีวิตที่เศร้า

บทจบจึงไม่สำคัญเท่าบทอื่นๆ ทั้งเรื่อง

จุดหมายอาจไม่สำคัญเท่าสองข้างทาง

บางครั้งเราอาจต้องวิ่ง บางครั้งก็ควรเดิน แต่ถ้าต้องวิ่งตลอดทางก็คงไม่ใช่ชีวิตที่สนุกนัก


หมายเหตุ : บทความเกี่ยวกับการทดลองนี้ทำให้ผู้เขียน จีน ไวน์การ์เตน หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ได้รางวัลพูลิตเซอร์ในปี พ.ศ. 2551

วินทร์ เลียววาริณ
11 กันยายน 2553


คมคำคนคม

All life is an experiment. The more experiments you make the better.

ชีวิตทั้งชีวิตก็คือการทดลอง ยิ่งทดลองมากเท่าไรก็ยิ่งดี

Ralph Waldo Emerson


                     <a href="http://www.youtube.com/watch?v=hnOPu0_YWhw" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=hnOPu0_YWhw</a>


                   Will one of the nation's greatest Violinists be noticed in a D.C. Metro .



                                                                                                      Washington post
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #170 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2554, 18:35:38 »


พี่แก้ว ขา

      สรุปว่าการวิจัยภาคสนาม( Field Research ) ครั้งนี้  มีเพียงผู้หญิงคนเดียวในตอนท้ายของนาทีที่ 45 เท่านั้น ที่จำโจชัวร์ เบลล์ได้ และชมว่าเค้าเล่นไวโอลินได้ fantastic มาก

      คุณวินทร์ก็ช่างเก็บเอามาเล่า และให้ข้อ ' ฉุกคิด ' ที่ ' โดนใจ ' ดีแท้

      ขอบพระคุณพี่แก้วค่ะ ที่ทำให้จินตนาการของภาพ และเสียงของเรื่องเล่าเรื่องนี้แจ่มชัดได้อรรถรสมากขึ้นโขเลย ... เหนือความคาดหมายจริงๆ ...
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #171 เมื่อ: 02 มีนาคม 2554, 09:14:07 »

โอวาทของหลวงพ่อพุทธทาส
[/b][/color]

บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร
การทำให้บิดามารดาน้ำตาตกเป็นบาป
การเชื่อฟังบิดามารดาไม่มีทางเสียหาย
ไม่ดื้ออย่างเดียว ดีหมดทุกอย่าง
จงตอบแทนพระคุณท่านตั่งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่
รักผู้อื่น....
แก้ปัญหาของมนุษได้ทุกชนิด
การทำงานคือการปฏิบัติธรรม
ปัญหาของวัยรุ่นแก้ได้ด้วยการบังคับตนเอง
เมื่อบังคับตนเองได้ ก็นับถือตนเองได้
เมื่อนับถือตนเองได้ก็ยกมือไหว้ตนเองได้
[/b]
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #172 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 01:44:38 »


สิ่งที่ชาวญี่ปุ่นใช้รับมือกับภัยธรรมชาติร้ายแรงที่สุดในรอบศตวรรษ

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

ติดตามข่าวแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุน อย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันแรก ด้วยความรู้สึกตกตะลึง และตามมาด้วยความน่าสะพรึงกลัวต่อพลังมหาศาลของธรรมชาติ ด้วยความสงสาร และเห็นใจอย่างจับใจ ต่อทุกข์แสนสาหัส ที่ประชาชนญี่ปุ่นประสบอยู่ในปัจจุบัน
 
ในระหว่างติดตามดูข่าวทางโทรทัศน์ และอินเตอร์เนตเหล่านี้ ...  ท่ามกลางความโหดร้ายน่ากลัว เรากลับพบความดีงามที่ทำให้เรารู้สึกทึ่ง และชื่นชม  นั่นคือ ความสงบ นิ่งของชาวญี่ปุ่น

ภายหลังเหตุการณ์รุนแรงที่ทำลายชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีพ  เราไม่พบข่าวการบุกทุบร้านสะดวกซื้อ เพื่อแย่งชิงอาหาร น้ำ ฯลฯ  ทั้งที่ทุกแห่งต่างขาดแคลนอย่างสาหัส  แต่สิ่งที่เราพบเห็นตามข่าว ก็คือ “ วินัย ” ของชาวญี่ปุ่น ที่อดทน รอคอย และ ร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้รู้สึกว่าสิ่งนี้นั่นเองที่จะเป็น “ เคล็ดลับ ” สำคัญที่สุด ที่ชาวญี่ปุ่นใช้เพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติร้ายแรงในครั้งนี้
 
ลองจินตนาการดูนะคะว่า หากปราศจาก ความอดทน วินัย เช่นนี้ สถานการณ์ที่เลวร้ายในปัจจุบัน จะยิ่งเพิ่มความร้ายแรงมากขึ้นเพียงใด ? ? ?
 
วันนี้ OPEN UP ขอเผยแพร่เรื่องราวน่าประทับใจที่ได้ไปอ่านเจอ จากนักเรียนไทยในญี่ปุ่นที่เปิดเผยบรรยากาศหลังเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ และคลื่นยักษ์สึนามิถล่มใน Twitter ของเขา และมีคนนำมาแปลเป็นภาษาไทยค่ะ

เรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติการณ์ในประเทศญี่ปุ่น

( จาก Link http://prayforjapan.jp/tweet.html ศูนย์กลางข่าวสารแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น โดย สนญ. และ สนทญ. )
     
เรื่องที่หนึ่ง  ข้าพเจ้าได้เห็นเด็กน้อยพูดกับพนักงานรถไฟ “ ขอบคุณค่ะ/ครับ ที่เมื่อวานพยายามอย่างสุดชิวิตทำให้รถไฟเดินรถได้อีกครั้ง ”  พนักงานรถไฟร้องไห้  ส่วนข้าพเจ้าร้องไห้ฟูมฟายไปแล้ว ( คืนวันที่เกิดแผ่นดินไหว  รถไฟซึ่งเป็นการคมนาคมหลักของชาวญี่ปุ่นหยุดวิ่ง กว่าจะวิ่งได้ก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว )


 
เรื่องที่สอง   ที่ดิสนีย์แลนด์ คนติดอยู่ในสวนสนุก กลับบ้านไม่ได้จำนวนมาก และทางร้านขายของก็ได้เอาขนมมาแจกนักท่องเที่ยว ก็มีนักเรียนมัธยมปลายหญิงกลุ่มหนึ่งไปเอามาจำนวนมาก มากเกินพอ  แว้บแรกที่ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีคือ อะไรวะ เอาไปซะเยอะเลย !  แต่วินาทีต่อมากลายเป็นความรู้สึกตื้นตันใจ  เพราะเด็กกลุ่มนั้นเอาขนมไปให้เด็กๆ ซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถไปเอาเองได้เพราะต้องอยู่ดูแลลูกๆ


 
เรื่องที่สาม  ในซุปเปอร์มาร์ทแห่งหนึ่ง ของตกระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว  แต่คนซื้อก็เดินไปช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบส่วนที่ตนอยากซื้อไปต่อคิวจ่ายเงิน ในรถไฟที่เพิ่งเปิดให้ใช้บริการ และคนที่ตกค้างจำนวนมากกำลังเดินทางกลับ ก็ได้เห็นคนแก่คนหนึ่งลุกให้สตรีมีครรภ์นั่ง คนญี่ปุ่นแม้ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ ก็ยังมีน้ำใจ มีระเบียบ


 
เรื่องที่สี่  ในคืนแรกที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟไม่วิ่ง ทำให้คนจำนวนมากต้องเดินกลับบ้านแทนการนั่งรถไฟ  ขณะที่ข้าพเจ้าต้องเดินกลับจากมหาวิทยาลัยมายังที่พัก  ร้านรวงก็ปิดหมดแล้ว  ข้าพเจ้าได้ผ่านร้านขนมปังร้านหนึ่งซึ่งปิดไปแล้ว แต่คุณป้าเจ้าของร้านก็ได้เอาขนมปังมาแจกฟรีแก่คนที่กำลังเดินกลับบ้าน  ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ น้ำใจที่มีให้กันทำให้หัวใจข้าพเจ้าอบอุ่น ตื้นตัน


 
เรื่องที่ห้า  ในขณะที่รอรถไฟให้กลับมาวิ่งได้  ข้าพเจ้าก็ได้รออยู่ในอาคารสถานีอย่างเหน็บหนาว โฮมเลสก็ได้แบ่งปันแผ่นกล่องกระดาษให้ โฮมเลสที่ข้าพเจ้ามองด้วยหางตาทุกวันที่มาใช้สถานี  คืนนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด


 
เรื่องที่หก  ( เรื่องราวคืนรถไฟไม่วิ่งเยอะหน่อยนะครับ ) ด้วยระยะเวลาสี่ชั่วโมงที่ต้องเดินเท้ากลับบ้าน ก็ได้ผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่ง  สายตาก็พลันไปสะดุดกับแผ่นกระดาษที่เขียนว่า “ เชิญใช้ห้องน้ำได้ค่ะ ”  หญิงสาวคนหนึ่งได้เปิดบ้านตัวเองให้แก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านได้ใช้  ในวินาทีที่ได้เห็นแผ่นกระดาษนั้น  น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ... น้ำใจคนญี่ปุ่น
 
เรื่องที่เจ็ด  แม้ว่าไฟดับ ก็ยังมีคนที่สู้ทำงานให้ไฟกลับมาติด  น้ำไม่ไหลก็ยังมีคนไม่ยอมแพ้ทำให้น้ำกลับมาไหล  เกิดปัญหากับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีคนที่พร้อมจะเข้าพื้นที่เพื่อซ่อมมัน  ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้กลับมาสู่สภาพปกติด้วยตัวมันเอง  ขณะที่พวกเราอยู่ในบ้านอันอบอุ่นแล้วก็พร่ำบ่นว่าเมื่อไรไฟมันจะติด น้ำจะไหลซะทีน้อ  ก็มีคนที่อยู่ข้างนอกท่ามกลางความหนาวเหน็บกำลังพยายามสู้อยู่

เรื่องที่แปด  ในจังหวัดจิบะ คนลุงคนหนึ่งที่หลบภัยอยู่ก็ได้เปรยออกมาว่า ต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรน้า  เด็กหนุ่มมัธยมปลายก็ตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ต่อจากนี้ไป เมื่อเป็นผู้ใหญ่ พวกผมจะทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมแน่นอน ( ไม่เป็นไร พวกเรายังมีอนาคต ! ! ! )
 
เรื่องที่เก้า  ขณะที่กำลังได้รับความช่วยเหลือ หลังจากที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านมากว่า 42 ชั่วโมง  คุณลุงก็พูดว่า “ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ เคยมีประสบการณ์สึนามิที่ชิลีมาแล้ว  ต่อจากนี้ไปพวกเรามาช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันนะ ”  แกกล่าวด้วยรอยยิ้ม ( สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือ ต่อจากนี้ไปเราจะทำอะไรต่างหาก )

OPEN UP หวังว่าเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ จะสะท้อนใจให้เราเห็นถึงสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สถานการณ์ที่เลวร้ายคลี่คลาย และผ่านพ้นไป นั่นก็คือ น้ำใจ วินัย และสปิริต ค่ะ

สำหรับใครที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือชาวญี่ปุ่นในครั้งนี้  มีหลายหน่วยงานนะคะที่พวกเราจะสามารถไปร่วมบริจาคเงินหรือสิ่งของ ตลอดจนช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้เรามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือค่ะ  ถ้ามีกำลัง และโอกาส ... ก็ร่วมด้วยช่วยกันนะคะ
 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #173 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 12:42:59 »


สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ สมาชิกชาวเวป cmadong.com ทุกท่าน

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #174 เมื่อ: 17 เมษายน 2554, 04:07:16 »


ช้าลงสักนิด

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

มารดาของแก้วเป็นมะเร็งลำไส้ จึงเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล  หลังจากได้รับเคมีบำบัด ๑๐ ครั้ง ร่างกายก็ผ่ายผอม  วันหนึ่งแก้วจึงพาแม่ไปพักผ่อนกับครอบครัวที่เชียงใหม่ เที่ยวกันทั้งวัน ตกค่ำก็ไปกินอาหารหน้าโรงแรม แก้วสั่งข้าวต้มให้แม่ แต่แม่ไม่ยอมแตะข้าวต้มเลย เอาแต่อุ้มหลานเดินอยู่รอบโต๊ะ แก้วคะยั้นคะยอให้แม่ทานอาหาร แม่ก็ไม่สนใจ แก้วไม่พอใจจึงบ่นเสียงดังว่า แม่เอาใจยาก ป่วยขนาดนี้แล้ว ยังไม่สนใจดูแลรักษาตัวเองอีก
 
กลางดึกขณะที่นอนอยู่ แก้วก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ สงสัยว่าเป็นเสียงของใคร พลิกตัวกลับมาก็พบว่าแม่กำลังร้องไห้ จึงถามว่า แม่มีอะไรไม่สบายใจหรือ แม่ตอบว่า แม่น้อยใจลูกที่ต่อว่าแม่เรื่องข้าวต้มเมื่อหัวค่ำ แม่บอกว่า แม่กินข้าวต้มไม่ลงจริง ๆ รู้ไหมว่าแม่เกลียดข้าวต้มมาก เพราะอยู่ที่โรงพยาบาลแม่กินแต่ข้าวต้ม พอเห็นข้าวต้มใจก็หวนระลึกถึงความเจ็บปวด และทุกข์ทรมานเพราะฤทธิ์เคมีบำบัด พาลให้เกลียดพยาบาลทุกคนที่โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย แม่ทุกข์ทรมานมาก แต่แทนที่แก้วจะเห็นใจ หรือเข้าใจแม่ กลับต่อว่าแม่อีก

แก้วได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ กราบขอโทษแม่ที่พูดจาทำร้ายจิตใจแม่ แก้วไม่รู้เลยว่าแม่ทุกข์ถึงเพียงนี้ แล้วแก้วก็กอดแม่อยู่นาน เช้าวันรุ่งขึ้น แม่ก็คุยกับแก้วเป็นปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เหตุการณ์นี้ผ่านมานานหลายปี  บัดนี้แม่หาชีวิตไม่แล้ว นึกถึงเหตุการณ์นี้คราวใด แก้วอดรู้สึกใจหายวาบไม่ได้ ที่เผลอทำร้ายจิตใจแม่เพียงเพราะข้าวต้มจานเดียวเป็นเหตุ หากแก้วถามแม่สักคำว่าทำไมแม่ถึงไม่กินข้าวต้ม แทนที่จะด่วนต่อว่าแม่ แม่ก็คงไม่เสียน้ำตาเพราะลูก ยังดีที่แก้วรับรู้ความรู้สึกของแม่ในคืนนั้น จึงขอโทษแม่ได้ทัน หาไม่แล้ว แก้วคงจะเสียใจหากมารู้ความจริงเมื่อแม่จากไปแล้ว

ความผิดพลาดในชีวิตบ่อยครั้งเกิดจากการด่วนสรุป หรือผลีผลามตัดสิน โดยไม่สอบถาม หรือฟังผู้ที่เกี่ยวข้องเสียก่อน จริงอยู่คนเราเมื่อเห็นหรือได้ยินอะไร ก็อดไม่ได้ที่จะตีความหรือหาความหมายจากสิ่งนั้น รวมทั้งคาดเดาถึงที่มาที่ไปของมัน แต่หากเราตระหนักหรือระลึกว่านั่นเป็นแค่ “ ความคิด ” ซึ่งอาจผิดหรือถูกก็ได้ เราก็จะไม่ด่วนสรุปว่ามันเป็น “ ความจริง ” ทำให้พร้อมที่จะรับฟังข้อเท็จจริงหรือความเห็นที่ต่างออกไป
 
ปัญหาก็คือคนเรามักด่วนตัดสินโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่คิดนึกหรือคาดเดาอะไรขึ้นมาได้ก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่ามันเป็นความจริงหรือสิ่งที่ถูกต้อง จนไม่ยอมเปิดใจรับฟังอะไรที่ต่างจากความคิดนั้น ผลก็คือความคิดนั้นกลายเป็นนายเรา ควบคุมบงการให้เราพูดหรือทำตามมัน ดังที่บงการแก้วให้ต่อว่าแม่ด้วยความไม่พอใจ
 
การมีสติรู้ทันความคิดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราไม่ด่วนสรุป หรือหากเผลอด่วนสรุปไปแล้ว ก็รู้ตัว และวางมันไว้ก่อน ไม่ปล่อยให้มันบงการจิตใจ พร้อมเปิดใจรับฟังผู้อื่น หรือตามดูเหตุการณ์ให้แน่ใจ ซึ่งบ่อยครั้งช่วยให้ไม่เผลอทำสิ่งผิดพลาด ที่ทำให้ต้องเสียใจในภายหลัง


อังคณา มาศรังสรรค์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “ ผลัดใบชีวิต ” เล่าว่า วันหนึ่งเธอชวนลูกไปเดินเล่นในสวน ลูกชายทั้งสองเดินไปก็แหย่หยอกกันไป เธอเดินตามหลังลูก เห็นแล้วก็ลุ้นในใจว่า ลูกจะตีกันไหมหนอ สักพักก็เห็นคนพี่หันไปทำท่าเหมือนตีหัวน้อง เธอเกือบจะหลุดปากออกไปปรามลูกว่า “ เล่นกันดี ๆ ลูก ทำไมต้องตีหัวน้อง ” แต่แล้วก็ยั้งเอาไว้ เพราะเกรงว่าน้องจะรู้สึกมีพวก และหันมางอแงหาแม่ให้ช่วย

ครู่ต่อมาเธอเห็นคนพี่ตีหัวน้องอีกครั้ง คราวนี้เธอเห็นความโกรธพุ่งจี๊ดขึ้นมา แต่ไม่ทันจะทำอะไรไป ก็ได้ยินลูกคนโตพูดว่า “ เดี๋ยว ๆ ยังไม่ออกเลย มดตะนอยเกาะอยู่ เดี๋ยวโดนกัดหรอก ”

เธอได้ยินก็อมยิ้ม รู้สึกดีใจที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป หาไม่ลูกชายคงจะเสียใจมากกับคำพูดของแม่ที่เข้าใจลูกผิด

คงไม่มีอะไรที่ทำให้ลูกเสียใจมากเท่ากับถูกแม่ตำหนิทั้งๆ ที่ตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ผู้เป็นลูกมักหนีไม่พ้นที่ต้องเจอเรื่องทำนองนี้ โดยที่แม่ก็หารู้ไม่ว่าได้ทำอะไรลงไป เพราะคิดเสมอว่าแม่ย่อมรู้ดีกว่าลูก

หนังสือเล่มเดียวกันนี้เล่าถึงคุณแม่ผู้หนึ่ง เธอชอบพาลูกสาววัย ๕ ขวบเดินชมสวน เธออยากให้ลูกมีนิสัยรักธรรมชาติ ระหว่างที่เดินมักจะเตือนลูกไม่ให้เด็ดดอกไม้ แต่ลูกก็มักจะทำตรงข้าม เธอเห็นคราวใดก็ตีมือลูกเบา ๆ พร้อมกับพูดเสียงแข็ง “ แม่บอกหลายครั้งแล้วนะ ไม่ให้เด็ดดอกไม้”  บ่อยครั้งที่ลูกสาวมีอาการงอน เสียใจ ขณะที่เธอรู้สึกกังวลที่ลูกสาวเป็นคนดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟังแม่

มีช่วงหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้ช้าลงและไม่ด่วนสรุป เธอจึงอยากทดลองใช้กับตัวเองบ้าง วันหนึ่งขณะที่เดินเล่นกับลูกสาว เธอเห็นลูกน้อยเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ เธอรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาทันที แต่เตือนตนไม่ให้ผลีผลามทำอะไร นึกในใจว่า “ ลองช้าสิ ลองไม่ตัดสินสิ ดูก่อน ลูกจะเอาดอกไม้ไปทำอะไร ” ลูกเด็ดดอกไม้เสร็จเธอก็เดินตามลูกไป พอกลับถึงบ้านลูกถามหาชามเล็ก ๆ แม่ถามว่าจะเอาไปทำอะไร

“ ใส่ดอกไม้ค่ะ เวลาพ่อกินข้าว จะได้ดูดอกไม้สวยๆ ” ลูกตอบ

แม่น้ำตาคลอทันที คิดมาตลอดว่าลูกเป็นคนดื้อ หากเธอด่วนสรุปด่วนตำหนิเหมือนเคย ก็คงไม่รู้ว่าลูกสาวมีน้ำใจงดงามเช่นนี้

ความสัมพันธ์ในครอบครัวแม้เริ่มต้นด้วยความรัก แต่มักปริร้าวจนแตกแยกก็เพราะผู้คนไม่ค่อยฟังกัน แม้จะได้ยินด้วยหู เห็นด้วยตา แต่เมื่อมีข้อสรุปล่วงหน้าแล้ว ใจก็ปิดไม่ยอมรับรู้ความเห็นต่าง จึงยากที่จะเข้าใจกันได้ ทำให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง ความรักจึงกลายเป็นความมึนตึงและความเกลียดชังกันในที่สุด

อย่าเพิ่งด่วนสรุป ตัดสินช้าลงสักนิด พึงระลึกว่าความจริงนั้นเป็นมากกว่าสิ่งที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู หรืออาจตรงข้ามกับสิ่งที่คิดในใจก็ได้ แม้จะมีข้อสรุป ก็เผื่อใจไว้บ้างว่าความจริงอาจมิใช่เป็นอย่างที่คิด ลองสอบถามหรือดูต่อไปสักนิด เราอาจเห็นความจริงอีกด้านหนึ่งที่งดงามของคนที่เรารัก

 
ที่มา : http://www.visalo.org/article/sarakadee255402.htm
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><