26 เมษายน 2567, 11:13:03
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 3 ... 7 [ทั้งหมด]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรียนมาเพื่อทราบ ให้สุขภาพแข็งแรง  (อ่าน 261386 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 11:40:41 »

อันตรายจากข้าวมันไก่

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา



บัณฑิตวิทยาศาสตร์การอาหารตรวจพบเชื้อแบคทีเรียในปริมาณที่เกินมาตรฐานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในจานข้าวมันไก่ที่วางรอขายนานเกิน 4 ชั่วโมง เตือนผู้ซื้อควรร้องขอให้ผู้ขายลวกเนื้อไก่ซ้ำก่อนซื้อหรือกิน เพื่อป้องกันและควบคุมอันตรายจากโรคทางเดินอาหาร

จากการสุ่มตรวจข้าวมันไก่ซึ่งนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย และมีขายอยู่มากตามริมบาทวิถีทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยนางสาวปรารถนา เกิดบัว บัณฑิตวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่าข้าวมันไก่เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีการปนเปื้อนจากเชื้อจุลินทรีย์สูงแม้ว่าจะผ่านการปรุงสุกแล้วก็ตาม โดยไก่ต้มตัวสุดท้ายถูกแขวนไว้รอขายนาน 8-9 ชั่วโมงจนกว่าจะปิดร้าน

ขณะที่ FAD Food Code แนะนำว่า เวลาในการรอเสิร์ฟไม่ควรเกิน 4 ชั่วโมงนับตั้งแต่การปรุงสุก สำหรับแบคทีเรียที่ตรวจพบในข้าวมันไก่ คือ S.aureus, C.perfringens, Salmonella โดยเฉพาะเนื้อไก่ที่ปรุงทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนานเกิน 5 ชั่วโมง เชื้อจะเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นมาก และพบเชื้อ E.coli ในแตงกวาปอกเปลือกทุกชิ้นที่เป็นเครื่องเคียงกินกับข้าวมันไก่ คาดว่าติดมากับใบมีด เขียง และมือที่ไม่สะอาด โดยจุลินทรีย์ที่พบสามารถก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดท้อง มีไข้หนาวสั่นและอ่อนเพลีย แต่ความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างไปตามปริมาณ และชนิดของเชื้อที่บริโภคเข้าไป


ผู้วิจัยเสนอแนะว่า มาตรการควบคุมจำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมดให้อยู่ในเกณฑ์คุณภาพคือ ควรจำกัดเวลาขายไม่เกิน 4 ชั่วโมง โดยนับเวลาตั้งแต่ต้มไก่สุก  จนกระทั่งขายหมด
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 11:57:16 »

ตัววัดต่าง ๆ ของผลการตรวจเลือด

A/G RATIO (Albumin/Globulin Ratio) เป็นอัตราส่วนของโปรตีน 2 ชนิด คือ Albumin ต่อ Globulin
• ค่าที่ต่ำพบได้ในโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ ไต และการติดเชื้อ
• ถ้าสูงเกินไปไม่มีความสำคัญมากนัก
Range: 0.8 - 2.0


ALBUMIN เป็นรูปแบบของโปรตีนส่วนใหญ่ที่พบในเลือด ถูกสร้างโดยตับจากกรดอมิโนที่ได้รับจากอาหาร
• ค่าที่ต่ำแสดงถึง ภาวะขาดอาหาร ท้องเสีย ไข้ ติดเชื้อ โรคตับ ขาดสารอาหารประเภทเหล็ก
Range: 3.2 - 5.0 g/dl


ALKALINE PHOSPHATASE เป็นสารเอ็นไซม์ที่สร้างจากตับและกระดูก
• ค่าสูงขึ้นเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะโรคของตับ หรือ กระดูก สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ถึงมะเร็งได้
• ค่าที่ต่ำกว่าปกติเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะขาดโปรตีน ขาดอาหาร ขาดวิตามิน
Range: 20 - 125 U/L


BILIRUBIN ถูกผลิตภายในร่างกายจากการสลายฮีโมโกลบินและเม็ดเลือดแดงเนื่องจากหมดอายุหรือเม็ดเลือดแดงแตกสลาย ตับจะขับสารนี้ออกจากเลือดไปทางน้ำดี Bilirubin เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีให้ทราบถึงภาวะการทำงานของตับ
• การเพิ่มขึ้นของ Bilirubin เป็นเพราะ ตับอักเสบ ภาวะตับล้มเหลว ท่อน้ำดีอุดตัน ภาวะเลือดถูกทำลายมากเกินไป
Range: 0 - 1.3 mg/dl


BLOOD UREA NITROGEN (BUN) เป็นของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญโปรตีน ถูกขับถ่ายโดยไต
• ค่าที่สูงบ่งชี้ว่า ไตทำงานไม่ดี ทานอาหารประเภทโปรตีนมากเกินไป ยาบางชนิด ดื่มน้ำน้อยไป เลือดออกในลำไส้เล็ก
• ค่าที่ต่ำบ่งชี้ว่าขาดอาหาร การดูดซึมอาหารไม่ดี ตับเสีย
Range: 7 - 25 mg/dl


CO2 (Carbon Dioxide) ระดับของคาร์บอนไดออกไซด์มีความสัมพันธ์กับการฟอกเลือดเพื่อแลกเปลี่ยนอากาศที่ปอด
• ค่านี้ใช้ประกอบกับการตรวจสารประเภทเกลือแร่ต่างๆภายในร่างกายเพื่อเป็นประโยชน์ในการบ่งชี้ภาวะความเป็นกรด-ด่างภายในร่างกาย
Range: 22 - 32 mEq/L


CALCIUM เป็นเกลือแร่ที่มีมากที่สุดภายในร่างกาย ระดับภายในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ในช่วงแคบๆ มีความสำคัญมากกับการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ การแข็งตัวของเลือด และอื่นๆ
• ค่าที่สูงบ่งชี้ถึง ภาวะการทำงานมากเกินของฮอร์โมนพาราธัยรอยด์ โรคกระดูก ทานอาหารที่มีแคลเช๊ยมมากเกินไป ยาบางชนิด
• ภาวะที่แคลเซี่ยมต่ำอาจทำให้เกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ มีสาเหตุจาก การทำงานน้อยกว่าปกติของต่อมพาราธัยรอยด์ โรคไต ภาวะพร่องวิตามิน D
Range: 8.5 - 10.3 mEq/dl


CHOLESTEROL เป็นสารประเภทไขมันที่สำคัญมากในร่างกาย เป็นวัตถุดิบของสารจำเป็นมากมาย ถูกสังเคราะห์ภายในร่างกายโดยตับ และได้รับจากอาหาร เมื่ออยู่ในเลือดจะจับรวมกับโปรตีนเรียกว่า Lipoprotein ซึ่งมี 2 รูปแบบที่สำคัญคือ LDL, HDL ดังนั้นค่า Cholesterol ที่ตรวจวัดได้จึงเป็นค่าที่รวมกันของ LDL, HDL
• ค่าที่สูง จะเพิ่มความเสียงต่อการเป็นโรคหัวใจ โดยเกิดการหนา แข็งตัวของเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ
• ค่าที่ต่ำ พบได้ในภาวะขาดอาหาร ตับทำงานไม่ดี โลหิตจาง
Range: 120 - 240 mg/dl


CHLORIDE เป็นเกลือแร่ที่สำคัญตัวหนึ่งที่สำคัญในการดำรงอยู่ของเซลล์
• ค่าสูง สัมพันธ์กับภาวะความเป็นกรดของเลือด
• ค่าต่ำ ร่วมกับค่า Albumin ที่ต่ำลง หมายถึงภาวะบวมน้ำ
Range: 95 - 112 mEq/L


CREATININE เป็นของเสียที่เกิดจากกล้ามเนื้อ และเป็นค่าบ่งชี้ภาวะการทำงานของไต
• ค่าสูง โดยเฉพาะถ้า BUN สูงด้วย หมายถึง โรคไต
• ค่าต่ำ พบได้ใน โรคไต โรคตับ
Range: 0.7 - 1.4 mg/dl


FERRITIN คือโปรตีนที่มีส่วนประกอบของแร่เหล็กด้วย พบในเซลล์ และในเลือด เป็นค่าบ่งชี้สถานะของแร่เหล็กภายในร่างกาย
• ค่าสูง พบได้ในสภาวะหลายๆอย่างได้แก่ การอักเสบทั้งชนิดที่ติดเชื้อ และไม่ติดเชื้อ โรคตับ Hemochromatosis
GGT (Gamma-Glutamyl Transpeptidase) เกี่ยวข้องในชบวนการขนส่งกรดอมิโนเข้าสู่เซลล์ พบได้มากในตับ ดังนั้นจึงใช้เป็นตัวบ่งชี้ได้ดีถึงการดื่มแอลกอฮอล์
• ค่าสูงพบได้ในผู้ติดเหล้า โรคตับ ท่อน้ำดีอุดตัน
Range: 0 - 65 U/L


GLOBULIN เป็นชื่อของกลุ่มโปรตีนกลุ่มหนึ่งนอกเหนือจาก Albumin ค่านี้ได้จากการนำค่า Total Protein ลบด้วยค่า Albumin
• ค่าสูง พบในภาวะอักเสบติดเชื้อเรื้อรัง โรคตับ โรคข้ออักเสบ Rheumatoid arthritis และ Lupus
• ค่าต่ำพบได้ในภาวะโรคไตบางชนิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง อื่นๆ
Range: 2.2 - 4.2 g/dl


GLUCOSE เป็นผลผลิตจากการย่อยคาร์โบไฮเดรต และไกลโคเจนที่ตับ เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย
• ค่าสูง พบในโรคเบาหวาน โรคตับ ตับอ่อนอักเสบ
• ค่าต่ำ พบในโรคตับ ภาวะอินซูลินมากเกินไป ธัยรอยด์ทำงานน้อยผิดปกติ
Range: 60 - 115 mg/dl


HDL (High-Density Lipoprotein)
• ค่าสูงเป็นสัญญาณที่แสดงถึงภาวะการเผาผลาญอาหารที่ดี เนื่องจาก HDL ช่วยหยุดยั้งการดูดจับ LDL ของเซลล์ และเป็นตัวพาหะนำคลอเรสเตอรอลจากอวัยวะส่วนต่างๆนำกลับไปสู่ตับซึ่งจะถูกกำจัดออกไป
Range: 35 - 135 mg/dl


HEMATOCRIT (HCT) วัดความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในเลือด ปกติเท่ากับ 45 % โดยทั่วไปผู้หญิงจะต่ำกว่าผู้ชาย
• ค่าสูง คือ ภาวะขาดน้ำ
• ค่าต่ำ คือ โลหิตจาง
Range: 37 - 54 %


HEMOGLOBIN (HGB) เป็นสารสีแดงที่สำคัญในเม็ดเลือดแดง กล่าวคือทำหน้าที่นำออกซิเจนไปสู่เซลล์ นำคาร์บอนไดออกไซด์กลับไปขับออกที่ปอด พบในเม็ดเลือดแดงมากถึง 1 ใน 3 ของเม็ดเลือดแดง
• ค่าต่ำ หมายถึง ขาดอาหาร เสียเลือดมาก
Range: 14 - 18 %


IRON เหล็กมีความจำเป็นในการสร้าง โปรตีน ฮีโมโกลบิน Cytochrome & Myoglobin
• ค่าสูง พบใน ตับเสื่อมเสียหาย , Pernicious anemia, Hemolytic anemia, Hemochromitosis
• ค่าต่ำ พบในโลหิตจาง ขาดแร่ธาตุทองแดง ทานวิตามินซีน้อย โรคตับ การติดเชื้อเรื้อรัง ทานแคลเซียมมากไป หญิงมีรอบเดือนมาก
Range: 30 - 170 mcg/dl


LAH (Lactic Acid Dehydrogenase) เป็นเอ็นไซม์พบที่ไต หัวใจ กล้ามเนื้อ สมอง ตับ ปอด
• ค่าสูง พบใน ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย กล้ามเนื้อปอดตาย
Range: 0 - 250 u/L


LDH (Lactate Dehydrogenase) เป็นเอ็นไซม์ในเซลล์ส่วนใหญ่ทั่วร่างกาย ดังนั้นถ้าเซลล์ตาย LDH จะถูกปลดปล่อยออกมา
• ค่าสูงเพิ่มเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ค่าอื่นที่เกี่ยวข้องไม่เกี่ยวข้อง ไม่ถือว่าผิดปกติอะไร
LDL ตรงข้ามกับ HDL ยิ่งมากยิ่งไม่ดี
• ค่าสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเส้นเลือดแข็ง
Range: 62 - 130 mg/dl


LYMPHOCYTES เป็นเม็ดเลือดขาวที่ต่อต้านกับเชื้อโรคโดยเฉพาะไวรัส เช่น หัด หัดเยอรมัน อีสุกอีใส
• ค่าสูง จึงมักหมายถึงการติดเชื้อไวรัส
• ค่าต่ำ หมายถึง ภาวะภูมิคุ้มกันไม่ดี ขณะเดียวกัน ถ้า Neutrophil สูงขึ้นหมายถึงภาวะมีการติดเชื้อ
Range: 18 - 48 %


MCHC (Mean Corpuscular Hemoglobin Concentration) ตรวจวัดค่าความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง มีประโยชน์ในการประเมินผลการรักษาโรคโลหิตจาง
• ค่าสูง พบได้ใน Spherocytosis
• ค่าต่ำ พบได้ใน ภาวะขาดเหล็ก, สูญเสียเลือด, ธาลัสซีเมีย
Range: 32 - 36 %


MONOCYTES เป็นเซลล์ที่มีประโยชน์ในการต่อสู้กับเชื้อจุลินทรีย์ในการติดเชื้อ เป็นเซลล์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบการไหลเวียนโลหิต
• ค่าสูง หมายถึง การอักเสบเรื้อรัง, มะเร็ง, ลิวคีเมีย
• ค่าต่ำ แสดงถึงภาวะสุขภาพไม่ดี
Range: 0 - 9 %


PHOSPHORUS เป็นแร่ธาตุที่มีมากในร่างกาย ( แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุด ) อาหารที่รับประทานมีผลต่อ Phosphorus ในเลือดมาก ตัวนี้จะต้องดูควบคู่ไปกับระดับแคลเซียมในเลือด เป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญในการเคลื่อนย้ายของแคลเซียม และ รักษาความเป็นกรดด่างภายในร่างกาย
Range : 2.5 - 4.5 mEq/dl


POTASSIUM เป็นแร่ธาตุ พบมากภายในตัวเซลล์มากกว่าในเลือดถึง 25 เท่า มีความสำคัญมากในการทำงานของเซลล์ การทำงานของกล้ามเนื้อ และหัวใจ ถือเป็นตัวที่มีความสำคัญมาก
• ค่าต่ำ พบได้ในกรณี อาเจียนอย่างรุนแรง ท้องร่วง โรคไต ได้รับยาขับปัสสาวะบางตัว
Range: 3.5 - 5.5 mEq/L


PLATELETS เป็นชิ้นส่วนของเม็ดเลือดแดง มีขนาดเล็กกว่าเม็ดเลือดแดงมาก ในเลือด 1 หยด จะมีเม็ดเลือดแดง 5,000,000 เซลล์ มีเกล็ดเลือดประมาณ 140,000 - 450,000 มีความสำคัญในการแข็งตัวของเลือดเมื่อมีแผลเพื่อป้องกันการเสียเลือดมากเกินไป
• ค่าสูง ได้แก่ โรคของไขกระดูกซึ่งเป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด
• ค่าต่ำ อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกัน และอีกหลายๆโรค
Range : 130 - 400 thous


PROTEIN โปรตีนมีความสำคัญมาก เป็นเอ็นไซม์ต่างๆ ฮอร์โมน ภูมิคุ้มกัน ปรับรักษาระดับความเป็นกรด ด่างในร่างกาย เป็นอาหาร แหล่งพลังงาน มีโปรตีนที่สำคัญหลายชนิด ที่น่าสนใจได้แก่ Albumin และ Globulin
• ค่าสูง พบได้ใน Lupus, โรคตับ, การอักเสบเรื้อรัง, ลิวคีเมีย, อื่นๆ
• ค่าต่ำ พบใน ขาดอาหาร, โรคตับ , การดูดซึมอาหารไม่ดี
Range : 6.0 - 8.5 g/dl


RED BLOOD CELL COUNT (RBC) เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่นำพาออกซิเจนไปตามเลือดไปให้เซลล์ต่างๆและขนคาร์บอนไดออกไซด์กลับไปทิ้งที่ปอด
ในเลือดหยดหนึ่ง มีเม็ดเลือดแดงมากถึงประมาณ 5 ล้านเซลล์ ถูกผลิตจากไขกระดูก
Range : 4.2 - 5.6 mill/mcl


RETICULOCYTE COUNT คือเม็ดเลือดแดงที่ยังอ่อนอยู่ ซึ่งไม่ควรมีมากนักในเลือด
SODIUM เป็นแร่ธาตุ เป็น 1 ใน 4 ของแร่ธาตุที่พบมากในร่างกาย มีความสำคัญต่อความสมดุลย์ของเกลือและน้ำ การนำกระแสประสาท
• ค่าสูง พบใน สูญเสียน้ำมากเกินไป
• ค่าต่ำ พบใน ท้องร่วง, โรคไต
Range: 135 - 146 mEq/L


TRANSAMINASE SGOT (AST) Serum Glutamic Oxalocetic Transaminase คือเอ็นไซม์ที่พบได้ใน หัวใจ, ตับ, กล้ามเนื้อ
• ค่าสูง พบใน ภายหลังภาวะ Heart Attack , โรคตับ, โรคการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ
Range: 0 - 42 U/L


TRANSAMINASE SGPT (ALT) Serum Glutamic Pyruvic Transaminase เป็นเอ็นไซม์ที่พบได้ใน ตับเป็นหลัก ในกล้ามเนื้อพบได้บ้าง ดังนั้นค่านี้จึงจำเพาะเจาะจงถึงโรคตับมากกว่า SGOT หรือ AST
• ค่าสูง พบใน โรคตับ
Range: 0 - 48 U/L


TRIGLYCERIDES คือรูปแบบของไขมันที่พบได้ในธรรมชาติ และรูปแบบของไขมันที่ถูกเก็บในร่างกายซึ่งจะถูกเก็บในเซลล์ไขมัน (Adipose Tissue) มีหน้าที่หลักคือ เป็นแหล่งของพลังงาน ระดับภายในร่างกายเปลี่ยนแปลงตามอาหารที่ทาน และอัตราการกำจัดออก
• ค่าสูง พบได้ใน Artherosclerosis, Hypothyroidism, โรคตับ, ตับอ่อนอักเสบ, Myocardial Infarction, Metabolic disorders, Toxemia, Nephrotic Syndrome
• ค่าต่ำ พบได้ใน Chronic obstructive pulmonary disease, Brain infarction, hyperthyroidism, malnutrition, malabsorption
Range : 0 - 200 mg/dl


URIC ACID เป็นของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญ ( metabolism ) ซึ่งจะถูกขับถ่ายโดยไต
• ค่าสูง พบได้ใน ทานอาหารมากเกินไป โดยเฉพาะประเภทเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ , โรคเก๊าท์ , โรคไต, เบาหวาน, กำลังทานยาขับปัสสาวะบางชนิด
• ค่าต่ำ พบใน โรคไต, Malabsorption, poor diet, liver damage
Range : 3.5 - 7.5 mg/dl


WHITE BLOOD CELL COUNT (WBC) เม็ดเลือดขาวมีหลายชนิด มีหน้าทีในการต่อสู้กับเชื้อโรคที่มารุกราน
• ค่าสูง พบใน การติดเชื้อ , การบาดเจ็ล , หลังผ่าตัด
• ค่าต่ำ พบใน ภาวะบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน
Range : 3.8 - 10.8 thous/mcl


PLASMA THROMBIN TIME (THROMBIN CLOTTING TIME) ตรวจสอบสภาพของ Fibrinogen เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เป็นตัวช่วยในการวินิจฉัยโรคตับ
Range : 10 - 15 วินาที


PLASMA AMMONIA ตรวจสภาพตับ วัดผลการรักษาโรคตับว่าอาการทรุด หรือ ฟื้นได้ดีเพียงใด ถ้าค่ายิ่งสูงจะหมายถึงสภาวะโคม่าของตับ

TOTAL PROTEIN TEST
ค่าสูง พบใน Polyclonal or monoclonal gammopathies, marked dehydration, ยาบางชนิด ได้แก่ Anabolic steroids, Androgens, Corticosteroids, Epinephrine
ค่าต่ำ พบใน Protein-losing gastroenteropathis, acute burns, nephrotic syndrome, severe dietary protein deficiency, chronic liver disease, malabsorption syndrome, agammaglobulinemia
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 12:07:39 »

ออกกำลังกาย ตอนเช้า หรือตอนเย็น ดี ?



บทความจากสภากาชาดไทย : โดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสก อักษรานุเคราะห์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภากาชาดไทย

สมมุติว่า ตัวเราเป็นรถยนต์ เครื่องยนต์ของเราคือกล้ามเนื้อ แขน ขา ที่จะทำให้เราเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ รถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน คนเราก็ต้องการอาหารเป็นพลังงานให้ร่างกาย เคลื่อนไหว ไปไหนมาไหนได้ โดยเฉพาะใช้ออกกำลังกาย

ตื่นนอนเช้า รถยนต์และร่างกายเราไม่มีน้ำมัน ไม่มีพลังงานจำเป็นต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินอาหารก่อน รถยนต์จะได้มีพลังงานวิ่งไปได้ คนเราจะได้มีพลังงานให้กล้ามเนื้อแขน ขา ทำให้เราไปไหน มาไหนได้ รถยนต์ต่างกับร่างกายเรา ตรงที่พอเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว สามารถขับรถไปได้ทันที แต่คนเราหลังกินอาหารอิ่มเต็มที่ยังไปออกกำลังกายไม่ได้ เพราะหลังกินอาหาร 2 ช.ม. จะมีเลือดมารอรับอาหารที่จะถูกย่อยที่กระเพาะและลำไส้เป็นจำนวนมากหลังจากอาหารถูกดูดซึมเข้ามาในเลือดแล้ว เลือดจะพาสารอาหารแจกจ่ายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าออกกำลังกายหนัก ๆ ตอนนี้ เช่น วิ่งออกกำลังซึ่งต้องการเลือดมาเลี้ยงที่ขาที่ใช้วิ่ง 20 เท่าตัวของสภาวะปกติ เมื่อเลือดมากองอยู่ที่กระเพาะเป็นจำนวนมาก บวกกับมาเลี้ยงที่ขาอีก 20 เท่าดังกล่าว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้หน้ามืดเป็นลม หรือถ้าทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ เท่ากับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ถึงชีวิตได้ จึงห้ามเด็ดขาด ห้ามออกกำลังหลังกินอาหาร 2 ช.ม. เมื่ออาหารย่อยหมดแล้ว ดูดซึมเข้าเลือดหมดแล้ว (2 ช.ม.) เลือดที่มารออยู่ที่ กระเพาะก็จะกระจายไปหมด ถึงตอนนี้จะวิ่งก็ปลอดภัย

ทีนี้คนตื่นนอนตอนเช้าแล้วมาออกกำลัง เพราะตอนเช้าอากาศสดชื่น มลพิษก็น้อย อากาศเย็น ร่างกายยังสดชื่นเพราะได้พักมาทั้งคืน แต่คงไม่มีใครกินอาหารก่อนออกกำลังแน่ เท่ากับรถยนต์ไม่ได้เติม น้ำมันรถยนต์จะวิ่งได้อย่างไร แต่คนออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องกินอาหาร เพราะตอนเย็นกินอาหาร เสร็จเข้านอน ไม่ได้ใช้พลังงานขณะที่นอนหลับ ตับจะปรับเปลี่ยนสารอาหาร เช่น น้ำตาลเปลี่ยน เป็นไกลโคเจน ไตรกรีเซอร์ไรด์ ไขมันเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โปรตีนเปลี่ยนเป็นฟอสฟาเจน เป็นต้น แล้วนำไปเก็บไว้ในอวัยวะต่าง ๆ เมื่อตื่นนอนจึงไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่ในเลือด เท่ากับ รถยนต์น้ำมันแห้งถัง สภาพนี้คนออกกำลังได้โดยตับจะดึงสารอาหารที่ปรับเปลี่ยนไปเก็บไว้ในที่ต่าง ๆ ตอนนอนหลับ ให้กลับเป็นสารพลังงานในเลือดใหม่ จึงสามารถออกกำลังกายได้

มาลองคิดดู ตอนนอนตับทำงานหนักมาก เพื่อเอาสารอาหารไปเก็บ ตื่นตอนเช้าไปออกกำลังกายทันที ตับต้องดึงสารอาหารที่เอาไปเก็บไว้เมื่อคืน ออกมาใช้ใหม่ ทำอย่างนี้บ่อย ๆ ทุกวัน ๆ ตับจะต้องทำงานหนักแค่ไหน จะทนสภาพนี้ได้นานเท่าไร เพราะไม่ได้พักเลย เหมือนคนกินเหล้าแล้วไม่กินอาหาร ตับต้องไปดึงสารอาหารจากที่ต่าง ๆ มาให้แอลกอฮอลเผาผลาญ มาก ๆ เข้านาน ๆ เข้า ในตับมีแต่ไขมัน กลายเป็นตับแข็ง ทีนี้ถ้าจะทำให้ถูกต้องก็ต้องกินอาหารเสียก่อน แต่ต้องรอถึง 2 ช.ม. จึงจะไปออกกำลังได้ เช่น กินอาหาร ตี 5 เจ็ดโมงเช้าจึงจะออกกำลังกายได้ จะมีใครทำอย่างนี้บ้าง ฉะนั้นฝรั่งจึงมีแต่คำว่า morning walk ไม่เคยได้ยิน morning jogging เลย นั่นคือออกกำลังกายเบา ๆ ได้ เช่น เดิน ก่อนเดินก็กินอาหารเบา ๆ เช่น แซนวิช 1 ชิ้น กับโอวันติน 1 ถ้วย ซึ่งจะใช้เวลาย่อยอาหารสัก 1/2 -1 ช.ม. ก็พอ ก็จะไปเดินออกกำลังกายได้ กินเล็กน้อยออกกำลังกายเบา ๆ ก็ใช้พลังงานน้อย ที่กินมาแค่นี้ก็พอไหว

ลองพิจารณาการออกกำลังตอนเย็นบ้าง เรากินอาหารเช้า อาหารกลางวัน ตกเย็นรับรองว่าพลังงานยังเหลือเฟือ ขณะทำงานใช้ไปไม่หมด สามารถออกกำลังกายได้เลย เหมือนกับรถยนต์ น้ำมันยังไม่แห้งถัง แต่จะให้ดีอาจเติมอาหารเหมือนตอนเช้าอีกสักเล็กน้อย ก่อนไปออกกำลัง จะทำให้ไม่รู้สึกระโหย ความจริงไม่ต้องไปกินอะไรเลยก็ได้ ข้อสำคัญ เมื่อออกกำลังตอนเย็นเสร็จแล้ว ให้ดื่มน้ำโดยค่อย ๆ ดื่มจนรู้สึกอิ่ม กลับถึงบ้านท่านจะไม่รู้สึกหิวและไม่อยากกินอะไรอีก และหลังออกกำลังกายตอนเย็นนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาเข้านอน จะเหลือสารอาหารน้อยที่สุด ตับไม่ต้องทำงานมากสารอาหารไม่มีไปเก็บตามที่ต่าง ๆ จึงไม่ทำให้อ้วน และไม่มีสารอาหารเหลือค้างในหลอดเลือดโดย เฉพาะไขมัน จึงเป็นวิธีที่จะลดไขมันในเลือดได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องกินยา ถ้าพิจารณาตรงนี้ ออกกำลังกายตอนเช้า หรือตอนเย็นจะเป็นการออกกำลังที่ทำให้สุขภาพทั่ว ๆ ไปดี (แอโรบิก) เท่า ๆ กันทั้งคู่ แต่การออกกำลังกายตอนเย็นโดยไม่ไปกินอาหารภายหลัง ยังจะช่วยให้สารอาหารที่เหลือจากการกินตอนเช้าและตอนเที่ยงน้อยลงจนไม่สามารถทำร้ายร่างกายได้ด้วย การออกกำลังกายตอนเย็นจึงได้ 2 ต่อ

จากงานวิจัยต่างประเทศ เร็ว ๆ นี้ พบว่า การออกกำลังกายตอนเช้านั้น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลง และการออกกำลังกายตอนเย็น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้น ดูในแง่นี้ถ้าไข้หวัดระบาด การออกกำลังกายตอนเย็นจะได้ 3 ต่อ มีกรณีเดียวที่ออกกำลังกายตอนเช้าได้ประโยชน์ คือ พวกที่มีภูมิต้านทานมากไป เช่นโรคภูมิแพ้ได้แก่ หอบหืด แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือโรคพุ่มพวงดวงจันทร์ ออกกำลังกายตอนเช้าช่วยลดภูมิต้านทาน จึงเท่ากับช่วยให้คน ๆ นั้น กินยาลดภูมิต้านทานน้อยลงได้

สรุปมาถึงแค่นี้ ท่านคงทราบแล้วนะครับว่า ออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นดี มีข้อเสนออีกข้อหนึ่งคือ ออกกำลังกายแบบแอโรบิกก่อนนอน เช่น เดินบนสายพาน หรือขี่จักรยาน 30 นาที– 60 นาที ไม่ต้องกลัวว่าจะนอนไม่หลับ เพราะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก 30 นาที ขึ้นไปนี้ ร่างกายจะหลั่ง “ เอนดอร์ฟีน ” ออกมาซึ่งมีฤทธิ์คล้าย ๆ มอร์ฟีน ที่ใช้ฉีดให้คนไข้หลังผ่าตัด จะทำให้ง่วงนอนคลายความเจ็บปวด คลายเครียด ฉะนั้นออกกำลังกายเสร็จ อาบน้ำแล้ว เข้านอนเลย ท่านจะนอนหลับสนิทชนิดไม่ฝัน การนอนหลับสนิทนี้ท่านต้องการการนอนเพียง 5 ช.ม. ก็เพียงพอ จะทราบได้คือตอนทำงานกลางวันจะไม่เพลีย ไม่ง่วง แสดงว่านอนหลับสนิท 5 ช.ม. เพียงพอแล้ว นอกจากนี้มีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมาพบว่า คนนอน 5 ช.ม. มีอุบัติการโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันน้อยกว่าพวกนอน 7-8 ช.ม.

ฉะนั้น การออกกำลังกายตอนเย็น หรือก่อนนอนดีกว่าออกกำลังกายตอนเช้า

บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 12:14:50 »

10 สัญญานเตือนเรื่องสุขภาพ

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

1. ปวดหัวเป็นประจำ
อาการปวดหัว เป็นสัญญาณเบื้องต้นที่ฟ้องว่าร่างกายคุณกำลังอยู่ในภาวะไม่ปกติ สาเหตุหลักมาจากความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออาจเกิดจากการดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์มากเกินไป

การนวดศีรษะทุกวันก่อนเข้านอนจะช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น โดยใช้นิ้วชี้กดที่หัวคิ้ว นวดคลึง และกดไปตามคิ้วจนถึงขมับ จากนั้นใช้นิ้วทั้งสิบนิ้วกด และนวดคลึงหนังศีรษะให้ทั่ว

บางครั้งอาการปวดศีรษะอาจเกิดจากไมเกรน ที่เส้นเลือดส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ คุณจึงควรบริหารร่างกายด้วยการก้มศีรษะให้คางจรดหน้าอก ค่อยๆ หมุนเป็นวงกลมจนกลับมาที่เดิม แล้วเวียนกลับอีกทางหนึ่ง เพื่อให้เลือดไหลเวียนจากต้นคอ หนังศีรษะ และสมองได้อย่างทั่วถึง แต่หากมีอาการปวดรุนแรงพร้อมกับมีไข้ อาเจียน หรือไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน ควรรีบพบแพทย์เพราะอาจเป็นอาการทางสมอง


2. ปวดต้นคอ
มักเป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากความเครียด หรืออาจเกิดจากการเคลื่อนไหวไม่ถูกต้อง เช่น นั่งขับรถนานๆ โดยไม่มีหมอนรองต้นคอ นอนหลับบนที่นอนนุ่มเกินไป ยกของหนักเกินไป

การนวดต้นคอและไหล่จะช่วยบรรเทาอาการปวดให้ดีขึ้น แต่ควรทำร่วมกับการปรับท่านั่งและนอนให้ถูกต้องด้วย ที่นอนที่ดีต้องแข็ง นอนแล้วไม่ยุบเป็นแอ่ง หรือหากที่นอนมีความนุ่ม ให้เลือกใช้หมอนใบเล็กหนุนหลังเอาไว้ และมีหมอนข้างสำหรับวางขาเพื่อรักษาแนวกระดูกสันหลังเอาไว้ให้ตรงเป็นแนวเดียวกัน

ส่วนเก้าอี้ที่ดีจะต่างจากที่นอน คือยิ่งนุ่มมากเท่าไรจะยิ่งดีมากเท่านั้น เพราะความนุ่มจะช่วยให้น้ำหนักกระจายไปได้ทั่ว ไม่ตกอยู่เฉพาะบริเวณสะโพกที่เดียว หากเป็นไปได้ ควรเลือกเก้าอี้ให้เหมาะกับรูปร่างของแต่ละคน และมีพนักพิงเพื่อใช้เอนหลังพักผ่อนสำหรับลดอาการปวดเกร็งที่ต้นคอ


3. ปวดหลัง
อาจเกิดได้จากการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง เช่น นอนคว่ำ นั่งท่าเดียวนานๆ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงเพราะขาดการออกกำลังกาย รวมทั้งน้ำหนักตัวมากขึ้นเพราะความอ้วนหรือการตั้งครรภ์ การนั่ง ยืน นอนให้ถูกต้องจะช่วยป้องกันอาการปวดหลังได้มาก

หากต้องทำงานในอิริยาบถเดิมๆ ทั้งวัน ให้หมั่นเคลื่อนไหวร่างกายทุกๆ 30 นาที หากอาการปวดหลังของคุณเกิดจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไปก็ต้องเพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้น หรือเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังด้วยการซิทอัพวันละประมาณ 15 นาที แต่ถ้าคุณมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการชาตามแขนขา ให้รีบพบแพทย์


4. นอนไม่หลับ
การนอนไม่หลับอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ ความเครียด การดื่มกาแฟ และแอลกอฮอล์มากเกินไป การรับประทานอาหารรสจัด การออกกำลังกายก่อนเข้านอน

หากมีอาการนอนไม่หลับ ให้นวดบริเวณต้นคอเรื่อยไปจนถึงปลายแขนทั้งสองข้าง เพื่อให้เกิดการผ่อนคลาย แช่น้ำอุ่น หรือดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆก่อนนอน
แต่ถ้าคุณนอนไม่เต็มอิ่มจากปัญหาเรื่องสุขภาพ ให้งีบหลับตอนกลางวันประมาณครึ่งชั่วโมง ( หากนานกว่านั้นอาจทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืน )

แต่ถ้าอาการนอนไม่หลับของคุณเกิดขึ้นเป็นเวลานาน ร่วมกับอาการกระสับกระส่าย หัวใจเต้นแรง หรือลุกไปปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยๆ ให้รีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของไทรอยด์ผิดปกติ เบาหวาน ฯลฯ


5. น้ำหนักเพิ่มหรือลดผิดปกติ
การลดน้ำหนักที่ดีไม่ควรเกินกว่า 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ หากมีการลดมากกว่านั้นในระยะเวลา 6 เดือน ควรต้องระวังเป็นพิเศษ การมีน้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่องอาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ สำไส้อักเสบหรือโรคมะเร็ง

ส่วนการมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้พิจารณาว่ามาจากความอ้วนหรือไม่ ถ้าใช่ ให้ควบคุมเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย แต่ถ้าน้ำหนักเพิ่มขึ้นร่วมกับอาการบวมน้ำ คือ ตัวบวม หายใจหอบถี่ต้องลุกไปปัสสาวะบ่อยๆตอนกลางคืน อาจต้องรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคหัวใจ ไตวาย ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ


6. เหนื่อยง่าย
โดยปกติแล้วคนเราอาจจะเดินขึ้นบันได 3 ชั้น หรือออกแรงทำงานต่อเนื่องกัน 1 ชั่วโมงได้โดยไม่เหนื่อย แต่ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยหอบ นี่คือสัญญาณบอกว่าหัวใจไม่แข็งแรง หรือหลอดเลือดอุดตันด้วยไขมัน ดังนั้นคุณต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น เริ่มต้นจากชนิดกีฬาที่ออกแรงเบาๆ ก็ได้ ทำให้ได้เป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที


7. หน้ามืด
อาการหน้ามืดเกิดจากการที่สมองขาดเลือด และออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงชั่วคราว อาจเกิดจากลุกขึ้นยืนเร็วเกินไป การพักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย กินยาหรือดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์กดประสาท

การแก้ไขที่ดีที่สุดคือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานดีขึ้น แต่หากยังคงมีอาการต่อเนื่องกัน 2-3 วัน ให้รีบไปพบแพทย์ เพราะอาจมีปัญหาเรื่องความดันดลหิตต่ำหรือโลหิตจาง


8. ท้องผูก
อาการท้องผูก หมายถึงการถ่ายอุจจาระได้น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เนื่องจากมีปัจจัยบางอย่างขัดขวางการทำงานของลำไส้ ทำให้กากอาหารผ่านลำไส้ใหญ่ได้ช้าลง อาจเกิดจากความเครียด การดื่มน้ำน้อย รับประทานอาหารเหลวหรือไม่มีกากใย ไม่ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา และไม่ออกกำลังกาย

เราสามารถหลีกเลี่ยงอาการท้องผูกได้ด้วยการกินอาหารที่มีเส้นใยสูง ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และสร้างนิสัยการขับถ่ายให้ตนเอง ทำให้เป็นกิจวัตรในเวลานั้นๆ

อาการท้องผูกเรื้อรัง ( นานกว่า 3 สัปดาห์ ) อาจสร้างความเสี่ยงโรคริดสีดวงทวารหนัก โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรืออาการไตวายได้เช่นกัน


9. ตัวเหลืองตาเหลือง
อาจเกิดขึ้นได้จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเกิดจากปัญหาสุขภาพตับ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือมีนิ่วอุดตันในท่อน้ำดี ทำให้เกิดอาการดีซ่าน คือ ร่างกายมีสารสีเหลือง ( ชื่อบิลิรูบินซึ่งเกิดจากการทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ ) ตกค้างอยู่ในกระแสเลือด

หากเริ่มต้นมีอาการ ตัวเหลือง-ตาเหลือง ควรปรับเปลี่ยนอาหารโดยงดอาหารกลางวันรสจัด และแอลกอฮอล์ รวมทั้งรับประทานอาหารรสจืด คาร์โบไฮเดรต และธัญพืชให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้ตับฟื้นตัวเร็วขึ้น เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน อาการตับอักเสบอาจลุกลามกลายเป็นมะเร็งตับได้


10. ขี้ลืมมากกว่าทุกๆ วัน
การเรียกใช้ข้อมูลในสมอง ร่างกายจะต้องทำงานผ่านเซลล์ประสาทนับหมื่นล้านตัว เซลล์เหล่านี้จะลดลงเรื่อยๆตามอายุที่มากขึ้น แต่ถ้าอายุยังน้อย แต่มีอาการขี้หลงขี้ลืม อาจเป็นได้จากความเครียด วิตกกังวล หรืออาจเกิดจากการขาดสารอาหารที่ใช้บำรุงสมองให้ทำงานฉับไวยิ่งขึ้น ได้แก่ โปรตีนจากปลาทะเล การทำสมาธิก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้สมองจัดระเบียบลิ้นชักความคิดเป็นระบบ ช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น ดังนั้น ควรแบ่งเวลาทำสมาธิให้เป็นประจำ วันละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย


อาการเหล่านี้แม้จะเป็นอาการเล็กน้อยที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่คุณก็ต้องหมั่นสังเกตระดับความรุนแรงและความถี่ที่เกิดขึ้น หากมีความผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที!!! เพราะคำว่า “ ไม่เป็นไร ” ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 10 กันยายน 2550, 00:11:44 »

Health Helpful Informations

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

LONG but helpful informations ... Very Useful Health Tips ...

1. Lungs & Big Intestines share the system . If one or the other is infected or sick , the other will also be sick.

2. When the Liver is in pain, there is not much signs or symptoms to be detected. Before many cancers happen, usually the Liver will be the first to get sick.

3. Liver filters out the poisons and it attacks all other viruses in the body.

4. 99% Chinese have weak livers as they eat a lot of meat, and high fatty foods.

5. The Liver 's repair time is effective from 11 pm - 3 am. Therefore, sleeping late after 11pm & Having late night supper 2 hours before sleep especially high cholesterol and high fat foods weakens the liver as it does not have sufficient time to rest and regenerate. Even when one sleeps in later in the morning to replace loss sleep will not help.

6. If you get very hungry just before bedtime, eat some fruits & vegetables which is easy to digest. Meat takes about 4 hours to digest before it goes into the intestines. Meat cooked in oil takes about 12 hours before going into the intestines. This will provoke the Liver & the digestive tract to overwork in filtering the toxins thus you will tend to feel very tired when you wake up in the morning.

7. Oil is the main culprit that will weaken the functions of the Liver and damage it. Medication cannot cure Liver problem and it will damage it even further.

8. Cold-pressed Olive oil , carrot, cucumber, raw chili, garlic, onion, little bamboo salt/sea-salt, radish, pumpkin and small fish are good for the body. Sesame oil is ok.

9. Food-preservatives , Food colourings , Bee Hoon is processed with Aluminium (causes Dementia) , Bleach, syrup, Pesticides are bad for Liver health. Wrong medication can shrink and damage the Liver badly. Radiation from Microwave oven destroys all nutrients in the food.

10. Western medication is bad for the Liver. Chinese medication is bad for Kidney. White radish will disable the effects of the Chinese medication.

11. Sleeping late for children is unhealthy as it weakens memory and intelligence.

12. Best Healthy times to sleep is 9pm especially so for people who are sick or recovering from it and do not sleep later than 11pm. Lots of rest is good for the Liver to recover. When using eye-cover during bed-time ,use only pure-cotton and do not use Rubber, latex material.

13. A Detoxification Diet helps the Liver & Intestines to recover fast. Natural fresh foods are best for the Liver and overall well being. Do not rely on packed, bottled or canned health foods/ vitamins as they lack a lot of natural and essential vitamins which can only be derived from pure, unprocessed natural foods.

14. A balance of mental/emotional state of mind is very important to the total well-being. Too much Stress of all kinds, loud noises/music, anger, irritation suppressed for too long, pessimism, depressive moods, no goals in life, feeling life has no value or blaming the World & Everyone else for his life will further weaken the body system. When the Liver is unhealthy,the person usually has a bad temper and gets easily angry or
irritated.


15. Giving out Gas, perspiration and urine are ways of purging out the toxins from the body. Do not use too much of air-conditioners as they suppress the body from perspiration. This natural way of purging helps to
reduce the load of the Liver. Open the windows for fresh air.


16. Give Warm to any part of the body that is in pain will help ease it or soaking in a bathtub of warm water up to waist level will also help. Be careful if you have heart problems, do not soak up to heart level or else
you might feel uncomfortable as your heart might get too stimulated.


17. Brown rice , wheat, oats, potatoes, sweet potatoes, yam and maize but we must be careful when buying these foods as they contain great amount of Pesticides. Maize and Brown rice contains B complex vitamin but be careful as Maize these days, has a lot of Pesticides in them too. Organic foods are better alternatives but they are more costly.

18. Blood A type has higher chances of Cancer diseases.

19. Blood O type has higher chances of Liver diseases.

20. Women Live Longer because they are more even-tempered due to their menstration cycle expels the anger suppressed inside. It is better not to talk when a person is feeling very angry at that point of time. Breathe very slowly for 7 times and just smile.

22. Gastric problem is also associated with ingesting too much meat and high fat foods.

23. Heart & Uterus are linked together. Drinking 3,000 cc - 4,000 cc of good filtered water with a healthy detoxifcation diet will help keep them healthy too.

24. There is no need to go for unnecessary check up. X-rays, CT scans(radiation is 5x-6x higher) are bad for the body as it kills thousands of cells and thus weakens the body further. Cancers & diseases are sometimes quite hard to detect in your Yearly Health checkups or blood tests. By the time they are detected, that particular part of the body has already been quite damaged. Always get a second opinion from another doctor before proceeding with the recommended surgery. If it is Liver disease, medication will destroy it further. Go on a proper detoxification diet and sleep by 9pm daily will help the Liver to recover much faster.

25. Vegetables and Fruits are high in Vitamin C which will help detoxify the poisons in the body, thus helping the organs to recover during the detoxification. Drinking lots of water 2000cc - 3000cc will help the Liver as Urine is one way of detoxification.

26. Morning hours between 5am - 7am is the best time for Bowel movement otherwise the intestines might absorb the poisons from the digested matter to be distributed to the rest of the body and thus slow poisoning of the body will occur. This will result in the body getting sick.

27. Using Kelp Powder mix in water can help to stop itchy scalp.

28. Stones in gall-bladder, liver, brain, etc.. are usually poisons accumulated from animal protein and oily foods.

29. Minerals - calcium, iron strengthen the kidney/ bladder.

30. A Person having Mild Liver or Kidney problems can eat Fish & Beans. Only after 4 months of detoxification diet.

31. If the whites of the eyes are Yellow means You might have Liver & Gall Bladder problem.

32. Red vegetables or fruits are good for the Brain and the Heart.

33. Yellow vegetable or fruits are good for Digestion. Be careful when choosing. Cabbage and Banana are good but they may have lots of pesticides.

34. Low Blood pressure is ok as long as the individual feels fine and healthy.

35. Having Pimples may mean that the toxins in the blood cannot be purged out.

36. Exercise in preferably done in the morning as there are lots of oxygen from the trees and plants. Night time is not advisable as there are lots of carbon dioxide coming from the trees and plants. Afternoon is too hot. After 40 years old, try to do light exercises like long distance walking and not to do heavy exercises.

37. Having Headaches may mean weak pump of blood/energy from the Heart shows lack of oxygen.

38. Black under eyes means Liver & Kidney are weak.

39. For Arthritis problem, eat High vitamin C , kelp and detoxification diet.

40. People with Breast or Uterine cancer must not eat sea-cucumber or salty foods.

41. High-water content fruits are easier to digest.

42. Exercise is good for the heart.

43. Use as few electrical appliances and household items in your homes. In the long term, they can cause radiation exposure and ruin your health especially your Television set, radio, huge sound system. Don't place them in your bedroom otherwise, you might find difficulty in sleeping thus feeling very tired in the morning. Also, try not to watch too much TV or surf the computer for a long time especially children otherwise in the long run, the radiation from the TV & computer might cause loss of memory and intelligence. Do not switch on the lights in your home or else too much of light exposure overhead might also be damaging to your body especially if you have not been very fit or healthy in your lifestyle.

44. If you want to take a bigger step to a truly healthier lifestyle, please use only stainless, ceramic (without lead), glass for your cooking, eating utensils. In the long run, Aluminium materials will give U dementia. Also get rid of your non-stick pans and cooking utensils as the coating will eventually fade into your food which cause poisoning. Use water to cook your food lightly. Overcooking your food will cause it to loose most if not all of its nutrients.
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 14 กันยายน 2550, 23:45:29 »

นอนให้สวย

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

" นอนสวย " กับ " นอนให้สวย " รู้มั้ย ... ต่างกันอย่างไร ?



นอนสวยนั้นอาจเป็นภาพที่ดูสวย แต่ไม่ช่วยคนนอนเท่าไรนักในด้านเสริมความงาม นอนให้สวยคือ การนอนให้ถูกอนามัย

ประการแรกอย่าไปเชื่อที่เขาว่าคนเราต้องนอนให้ได้ครบวันละ 8 ชั่วโมง

8 ชั่วโมงเป็นเวลานอนเต็มตาของคนส่วนมาก แต่ไม่ทุกคน คุณอาจไม่รวมอยู่ในประเภท 8 ชั่วโมงก็ได้ ตามสถิตินั้น

62% ต้องการเวลานอน 8 ชั่วโมง หรืออย่างน้อยก็ 7 ชั่วโมง

15% ต้องการเวลานอน 5-6 ชั่วโมง

13% ต้องการนอน 9-10 ชั่วโมง

8% ต้องการนอน 5 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า

2% นอนมากกว่า 10 ชั่วโมง

ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนประเภทนอน 5-6 ชั่วโมงก็เต็มตา อย่าได้ดันทุรังจะนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง เพราะห่วงจะไม่สวยเลย คนเราหน้าตาจะแจ่มใสและผิวพรรณดีเพราะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มตา เพราะฉะนั้นนอน 5 ชั่วโมงก็พอ อย่าอดนอนก็แล้วกัน

พยายามนอนให้ตรงเวลาทุกวัน ระบบร่างกายจะได้เคยและเริ่มง่วงเมื่อถึงเวลานอน คนที่หลับยากควรเก็บเตียงไว้เป็นที่นอนโดยเฉพาะ อย่าใช้เป็นที่นอนอ่านหนังสือหรือดูทีวี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ถ้าใช้เตียงเพื่อนอนอย่างเดียว พอหลังแตะฟูกก็อยากจะหลับแล้ว




วิธีนอนให้ถูกอนามัย

คือนอนหงายเหยียดยาวในชุดที่ไม่รัด ใช้หมอนใบเล็กรองใต้คอแทนหนุนใต้ศีรษะได้ยิ่งดี เหยียดแขนออกห่างตัว หรือไม่ก็งอศอกไว้เหนือศีรษะ จะได้ไม่กีดขวางระบบทางเดินหายใจหรือสูบฉีดโลหิต กระดูกสันหลังที่เหยียดตรงช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และท่าหงายเต็มตัวทำให้อวัยวะในช่องท้องอยู่ในที่ทางของมันตามสบายไม่เรรวน หรือเลื่อนเบียดกัน

ควรนอนที่นอนแข็งหนา ( นอนกับพื้นกระดานเขาว่ายิ่งถูกอนามัย แต่คนส่วนมากไม่ชอบเพราะว่าแข็งไป ) เพราะถ้านุ่มหยุ่นไปหลังจะโค้งงอ ทำให้ปวดหลัง นอนคว่ำไม่ดี หายใจไม่สะดวก ลดปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายควรได้รับ กล้ามเนื้อส่วนท้องและเชิงกรานถูกบีบ มีความกดดันหัวใจและสันหลัง ส่งเสริมรอยย่นตามแก้มและคอ นอนตะแคงคู้เข่าก็ไม่ดี กดรอยย่นลงไปบนใบหน้า คอ และกลางตัว ( บริเวณเอว ) อาจทำให้หลังโกงด้วย ระบบหมุนเวียนของโลหิตไม่สะดวก

คนขี้หนาวที่ชอบนอนคลุมโปงก็อันตราย เพราะจะสูดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ตัวหายใจออกมากลับเข้าไปใหม่ ระบบหัวใจที่ดีนั้นต้องการออกซิเจน แต่มีคนร้อยละ 10 พยายามตัดออกซิเจนโดยไม่รู้ตัวแบบนี้ พยายามเลิกคลุมโปงเสียที ถ้าเป็นหวัดคัดจมูก หายใจไม่สะดวก ต้องนอนยกอกและไหล่ขึ้นสูงหน่อย จะให้ดีใช้หนังสือหรือท่อนไม้ขนาดหนาสัก 6 นิ้ว สอดใต้หัวเตียงให้หัวเตียงยกสูงจะช่วยให้ศีรษะตั้งสูงเวลานอน นอนได้สบายขึ้น

คนที่ชอบเป็นรอยดำใต้ตา หรือตาบวม ก็อย่าโทษว่าเป็นเพราะอดนอน ( คนนอน 10 ชั่วโมงบางคนก็อาจเป็นได้ ) ส่วนมากรอยดำใต้ตานั้นเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์มากกว่า ( เว้นแต่คุณจะอดนอนทุกคืนเป็นเวลาหลายคืนติดต่อกัน ) ตาบวมนั้นเป็นเพราะมีของเหลวจากเยื่อใต้ตาไหลมาสะสมไว้ระหว่างการนอนหลับ ตื่นมาสัก 1 ชั่วโมงก็หาย

ไม่ควรเล่นกายบริหารก่อนนอน กายบริหารเหมาะสำหรับเวลาเช้า เพราะจะช่วยกระตุ้นให้กระปรี้กระเปร่าตื่นตาเต็มที่ บริหารก่อนนอนไม่เป็นไร เช่น บริหารคอไม่หนักแรง แต่ช่วยคลายความเครียดได้เป็นอย่างดี นั่งขัดสมาธิ มือขวาตรงขาขัดสบายๆ อย่าเกร็งร่างกายทุกส่วน ปล่อยไหล่สบายๆ คือไม่ต้องยึดให้ตึงแต่อย่าหย่อนจนไหล่ห่อ ค่อยๆ ก้มศีรษะลงจรดอก รู้สึกว่าตึงท้ายทอยแล้วค่อยหมุนศีรษะช้าๆ ไปข้างๆ หมุนเป็นครึ่งวงกลมไปข้างหนึ่งแล้วก็อีกข้างหนึ่ง ทำสลับกันอีก 3-4 ครั้งก่อนจะหมุนเวียนให้ครบรูปวงกลมเลย แล้วจะนอนสบายหายเมื่อยทั้งคืน

เมื่อลงนอนหายใจเข้าลึกๆ ทางจมูกเพื่อให้ลมเข้าเต็มปอด แล้วหายใจออกช้าๆ เมื่อลมเข้าหน้าท้องควรพองออก พอลมออกหน้าท้องจะยุบ คนส่วนมากหายใจผิด เพราะพอลมหายใจเข้าก็แขม่วท้อง พอหายใจออกท้องก็โป่งตาม หัดเสียใหม่จะช่วยให้ทรวดทรงงามขึ้น
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6 เมื่อ: 15 กันยายน 2550, 00:15:08 »

Good night ka,
sleeppppp....welllll
nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 18 กันยายน 2550, 21:40:23 »

ดื่มน้ำมากๆ ... ดีมั้ยหมอ ?

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

ผมดื่มน้ำเยอะนะหมอ ... ทำไมยังป่วยอีก

“ ดื่มน้ำมากๆ ดีไหมหมอ ” คุณสมชายถามผมด้วยความสงสัย
“ แล้วคุณดื่มแค่ไหนล่ะ ที่ว่ามากน่ะ ” ผมถามกลับ
“ ก็วันละเกือบ 3 ลิตร หิวน้ำขึ้นมาก็ดื่ม ครั้งละ 1-2 แก้วแล้วแต่ว่าจะหิวแค่ไหน ตอนกินข้าวผมจะดื่มน้ำมาก เพราะอยากลดความอ้วนก็เลยดื่มน้ำมากๆจะได้อิ่ม ไม่ต้องกินอาหารมากๆ อย่างนี้ผมทำถูกต้องไหมหมอ ” คุณสมชายบรรยายให้ผมฟังถึงพฤติกรรมการดื่มน้ำ
“ แล้วรู้สึกอึดอัด แน่นท้องบ้างไหม กระหายน้ำมากไหม ดื่มน้ำเย็นหรือน้ำธรรมดา ” ผมซักถามคุณสมชายต่อ ...
“ ผมดื่มน้ำเย็นจากตู้เย็นหรือถ้าไปกินอาหารข้างนอก ก็จะดื่มน้ำใส่น้ำแข็งเย็นๆ เพราะมันชื่นใจดีดับร้อน ดับกระหายได้ดี น้ำธรรมดามันไม่ชื่นใจ ดื่มแล้วคอมันร้อนๆ ” คุณสมชายบอกผม


คนส่วนใหญ่รู้ดีกันอยู่แล้วว่าดื่มน้ำมากๆ แล้วดี ผู้ที่รักสุขภาพก็พยายามดื่มน้ำกันบาง ตำราบอกว่าตื่นตอนเช้าให้ดื่มน้ำมากๆ ดื่มเป็นลิตรเลยยิ่งดีถ้าดื่มก่อนแปรงฟันได้ก็ยิ่งดีใหญ่ แต่หลายท่านยิ่งดื่มน้ำมาก กลับยิ่งป่วย ที่ตั้งใจว่าจะดื่มน้ำเยอะๆ ลดความอ้วน ความอ้วนก็ไม่ลดลง กลับอ้วนขึ้นๆ แถมยังท้องผูกถ่ายไม่ออกเสียอีก หลายท่านต่างงุนงงสงสัย ไหนบอกว่าดื่มน้ำมากๆ แล้วดี ความอ้วนก็ไม่ลด ถ่ายก็ไม่ออก แถมบางคนยังมีอาการตัวร้อนเป็นไฟอีก เหงื่อออกมากกว่าคนอื่น ทำอะไรนิดหน่อยก็เหงื่อออกเต็มหน้า เต็มหลัง เช็ดเหงื่อกันทั้งวันผ้าเช็ดหน้าไม่พอ ต้องใช้ผ้าเช็ดตัวถึงจะพอ

น้ำนั้นทำให้เรือลอยก็ได้ จมเรือก็ได้ ก็หมายความว่าทำให้สุขภาพเราดีก็ได้หรือทำให้สุขภาพเสียก็ได้เช่นกัน น้ำเป็นยาวิเศษที่หาง่าย และราคาถูกมากปัญหามีอยู่ว่า “ เราจะใช้น้ำได้ถูกต้องถูกกาลเวลาไหม ”

ลองปฏิบัติตามวิธีของผมดูบ้าง ถือเสียว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้ท่านแล้วกัน ถ้าปฏิบัติตามแล้วรู้สึกดีขึ้น ก็ขอให้ปฏิบัติกันต่อไป แต่ถ้ารู้สึกไม่เข้าท่า ไม่มีอะไรดีขึ้น จะหันหาวิธีอื่นๆก็ไม่ว่ากัน

ปริมาณน้ำที่ดื่มควรให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัว อาศัยความสมดุลของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่ว่าน้ำหนัก 60 กิโลกรัมดื่มน้ำเข้าไป 3-4 ลิตร นั่นก็มากเกินไป น้ำเยอะไป ดินก็พังทลาย เหมือนปัญหาน้ำท่วมที่ประเทศไทยประสบอยู่ในขณะนี้ ทั้งภูเขา สะพาน เขื่อน พังหมด เพราะน้ำมาก คิดดูสิครับ ขนาดสิ่งก่อสร้างที่แข็งแรงอย่างเขื่อนยังพังทลายได้เพราะน้ำ แล้วร่างกายคนเราล่ะ ก็ย่อมมีโอกาสพังได้เหมือนกัน

สูตรการดื่มน้ำคือ ให้เอาน้ำหนักตัวของเรา เป็นกิโลกรัม คูณด้วย 2.2 เอาผลลัพธ์มาหารด้วย 2 แล้วคูณด้วย 30 ก็จะได้ปริมาณน้ำที่เราควรดื่มเป็นหน่วยมิลลิลิตร ตัวอย่างเช่น น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ( 60 X 2.2 X 30 ) / 2 = 1980 มิลลิลิตรหรือเท่ากับ 2 ลิตร / 1 ลิตรเท่ากับน้ำ 5 แก้ว ดังนั้นต้องดื่มน้ำประมาณ 10 แก้วต่อวัน

ร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำเกือบ70 เปอร์เซ็นต์ ในเลือดประกอบด้วยน้ำ 90 เปอร์เซ็นต์ จึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ มิฉะนั้นเลือดก็จะข้น จะหนืด การไหลเวียนก็จะไม่สะดวก อุดตันอยู่ในเส้นเลือด

“ มีคนบอกว่าดื่มน้ำมากๆ ไตจะทำงานหนักจริงไหมหมอ ” คุณสมชายถามผมต่อ

“ ไตกำหนดน้ำ ” ไตมีส่วนสัมพันธ์กับน้ำในร่างกาย เกี่ยวข้องกับการสร้างน้ำปัสสาวะ และทำหน้าที่เหมือนเขื่อนคอยปิด-เปิด หรือคอยกักเก็บ หรือปล่อยออก ถ้าน้ำมากไปก็ล้นเขื่อน แล้วเขื่อนก็จะพัง น้ำน้อยไปเขื่อนก็จะแห้ง ผนังเขื่อนก็อาจแตกร้าวเพราะถูกแดดเผา ดังนั้นเราต้องยึดหลักความสมดุลของธาตุทั้ง 4 เป็นหลัก และถ้าหากว่า“ ไต ” เสียสมดุลขึ้นมา ก็จะเกี่ยวพันไปถึงระบบสืบพันธุ์ทั้งระบบ ไม่ว่าปัญหาที่เกิดกับมดลูก รังไข่ อวัยวะเพศ และสมรรถภาพทางเพศก็จะรวนไปหมด อีกทั้งทำให้กระดูดบาง ผุกร่อนได้ง่าย เพราะ“ ไต ” ที่คุมกระดูกนั้นพังไปแล้ว

เพราะฉะนั้นเราจึงควรดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของเรา และดื่มให้ถูกต้องตามกาลเวลา ร่างกายท่านก็จะไม่มีปัญหา แต่วิธีการดื่มน้ำที่ถูกต้องตามหลักธรรมชาติบำบัดยังไม่หมดเท่านี้ฉบับหน้าผมจะมาพูดต่อว่าควรดื่มน้ำอะไร และจะดื่มให้ถูกกาลเวลาทำอย่างไร ติดตามได้ในฉบับหน้าครับ


ดื่มน้ำอะไรดี ? ดื่มตอนไหน ?

คุณสมศรี หน้าตาแดง คอแห้ง ลิ้นเป็นฝ้าเหลือง เหงื่อออกมากทำอะไรนิดหน่อยก็เหงื่อออก จุกแน่นลิ้นปี่ ลมแน่นท้อง เรอบ่อยพอนวดก็เรอออกแล้ว
เธอเล่าให้ฟังว่า “ ฉันดื่มน้ำเยอะนะหมอ ตื่นเช้าก่อนแปรงฟันก็ 5 แก้วแล้ว กินข้าวก็ดื่มน้ำ3-4 แก้ว ก่อนนอนก็ดื่มน้ำอีกเป็นลิตร รวมๆ แล้ววันหนึ่ง 2 ลิตรกว่าน่าจะพอนะหมอ ” เธอบอกผม
“ แล้วดื่มน้ำอะไรล่ะ น้ำเย็นใช่ไหม ” ผมถามดักคอไว้ก่อน เพราะดูจากรูปร่างลักษณะที่อ้วนฉุอย่างนี้ น่าจะมาจากการชอบดื่มน้ำเย็นเป็นหลัก
“ ต้องน้ำเย็นๆ จึงจะดื่มได้ ดื่มแล้วจะรู้สึกเย็นคอ เย็นชื่นใจดี น้ำธรรมดามันไม่ชื่นใจ ถ้าแช่ช่องฟรีซให้เย็นเป็นวุ้นยิ่งสุดยอด ยิ่งถ้าได้น้ำอัดลมสักขวดยิ่งดีใหญ่ ”
หลายท่านมีความเข้าใจว่า “ ดื่มน้ำได้พอเพียงแล้ว ” ร่างกายก็น่าจะดี แต่ทำไมยังเจ็บป่วย ตัวร้อนขาดน้ำอีก แล้วน้ำที่ดื่มเข้าไปมันไปไหนหมด ถึงขาดน้ำได้


ฉบับที่แล้วผมได้ยกตัวอย่างคนที่น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัมเมื่อคำนวณปริมาณน้ำที่ควรดื่มแล้ว ควรดื่มน้ำ 2 ลิตรต่อวัน ซึ่งเท่ากับ10 แก้ว แต่ 10 แก้วที่ว่านี้ไม่ใช่ดื่มทีเดียวหมด ควรแบ่งดื่มทั้งวัน โดยตอนเช้าดื่มก่อนแปรงฟันได้ก็ดี ดื่มสัก 2-5 แก้ว เพื่อเป็นการชำระของเสียออกจากร่างกาย โดยการเอาอุจจาระ ปัสสาวะออก เหตุที่ให้ดื่มน้ำก่อนแปรงฟันนั้น ก็เพื่อให้การดื่มน้ำเว้นระยะเวลาจากการทานอาหารเช้าให้มากๆ จะทำให้อาหารได้ย่อยเสียก่อน จะได้อุจจาระ หรือปัสสาวะก่อนที่จะออกไปทำงาน ถ้าไม่รีบๆ ดื่มน้ำเสียก่อน เดี๋ยวก็ต้องแวะถ่ายกลางทาง คงไม่สนุกแน่ ยิ่งถ้าใครอั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้ ยิ่งแย่ไปกันใหญ่

ถ้าเราแปรงฟันก่อนดื่มน้ำก็อาจจะเลยเถิดทำธุระอย่างอื่น อาบน้ำอาบท่า แต่งตัว เตรียมไปทำงาน จนอาจจะลืมดื่มน้ำ ทีนี้จะดื่มมากๆ ไม่ได้แล้วก็จะไม่มีน้ำที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย ของเสียก็ถูกดูดซืมเข้าไปใหม่ น้ำส่วนที่เหลือก็ทยอยดื่มบ่อยๆ ครั้งละ 2-3 อึก หรือไม่เกินครึ่งแก้วต่อครั้งอย่ารอให้หิวแล้วค่อยดื่ม และอย่าดื่มครั้งละมากๆ เป็นแก้วหรือเป็นขวดเพราะน้ำจะไหลลงอย่างรวดเร็ว ลำไส้ดูดซึมไม่ทัน แถมไตยังต้องทำงานหนักในการขับน้ำออกเป็นปัสสาวะ ถ้าไตทำงานหนักก็อาจจะเสื่อมได้ แถมจะทำให้ร่างกายขาดน้ำอีก

15 นาทีก่อนรับประทานอาหาร ระหว่างรับประทานอาหาร หลังรับประทานอาหารหรืออิ่มใหม่ๆ อย่าดื่มน้ำมากนัก ควรดื่มไม่เกิน 1 แก้ว เพื่อมิให้น้ำนั้นเข้าไปดับ “ ไฟสำหรับย่อยอาหาร ” ที่อยู่ในกระเพาะ ทานเสร็จแล้ว 40 นาที จึงค่อยดื่มน้ำ และน้ำที่ดื่มก็ไม่ควรดื่มน้ำเย็น ผู้ป่วยมากมายที่ป่วยเพราะดื่มน้ำมากช่วงรับประทานอาหาร อาหารก็ไม่ย่อย น้ำหนักก็เพิ่ม อึดอัด แน่นท้อง เรอ ปวดศีรษะ ไมเกรน และอีกมากมายหลายโรคที่เป็นสาเหตุมาจากอาหารไม่ย่อย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะคาดไม่ถึงว่า “ การดื่มน้ำมากๆ ช่วงรับประทานอาหาร จะทำให้เขาป่วยได้ ” เหมือนเส้นผมบังภูเขา เป็นเรื่องธรรมชาติที่เรามองข้ามกันไป

และมีหลายท่านถามว่า “ ดื่มน้ำต้มสุกดีไหม ” น้ำต้มสุกเป็นน้ำที่ตายแล้ว แร่ธาตุก็พากันตกตะกอนหมด เลี้ยงปลา ปลาก็ตายเพราะขาดสารอาหาร ดื่มน้ำที่กรองแล้วก็พอ หรือถ้าให้ดีขึ้น ดื่มน้ำอุ่นก็จะดีมาก เพราะอุณหภูมิจะใกล้เคียงกับอุณหภูมิของร่างกาย คนเราทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำได้ดี

ช่วงก่อนนอน เป็นอีกช่วงที่ไม่ควรดื่มน้ำมากนัก เพราะเวลานี้ไตต้องการพักผ่อน ให้เขาได้พักผ่อนบ้าง การดื่มน้ำก่อนนอนมากๆ แล้วต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะกลางดึกนั้นคงไม่ถูกต้องแน่ ไม่ต้องหลับต้องนอนกันพอดี ดื่มน้ำพอประมาณเพื่อไม่ให้เราต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะ

หลายท่านดื่มน้ำปริมาณพอเพียง แต่ดื่มตอนเช้า 5 แก้ว เย็น 5 แก้ว รวมแล้ว 2 ลิตรพอดี บอกว่า “ ไม่ค่อยมีเวลาดื่มน้ำ เลยดื่มทีเดียวให้หมดภาระไปเลย จะได้ไม่เสียเวลาทำมาหากิน ” ผลก็คือท่านนั้นเลือดข้นหนืด เข้าไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อเส้นเอ็นไม่ได้ จึงมีอาการกล้ามเนื้อแข็งตึงไปหมด ก้าวขาแทบจะไม่ออก หลังเหมือนแผ่นกระดาน กดนวดไม่ลง หมอนวดเจอแล้วแทบวิ่งหนี ( ถ้าหนีได้ ) นวดท่านนี้ท่านเดียวก็หมดแรงแล้ว กดเท่าไรก็เข้าไม่ถึงเส้นสุดท้ายกลายเป็นหมอนวดเดี้ยงเสียเอง อย่าทรมานหมอนวดอย่างนี้เลยนะครับ สงสารพรรคพวกผมบ้าง.
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #8 เมื่อ: 18 กันยายน 2550, 22:58:18 »

P.Jiab ka,
I drink drinking water direct from the tap...herr,herr...no gas,not freeze,anytime I like..economy too...ohlala
nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 22 กันยายน 2550, 14:33:28 »

การโภชนาการ และการพักผ่อนที่ดี

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

ด้วยมีสมาชิกชมรมฯ ได้ไปฟังการบรรยายพิเศษของ คุณหมอพันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ เห็นว่าดีมีประโยชน์ จึงสรุปส่งเนื้อหามาให้ผู้เขียนอ่าน ผู้เขียน ( คุณมงคล กริชติทายาวุธ - ประธานชมรมศาสนาและการกุศล ) เห็นว่า น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ผู้เขียนจึงเรียบเรียงเนื้อหาให้กระชับชัดเจนมากขึ้น ขอเชิญท่านหาความรู้จากบทความเรื่องนี้ได้ครับ

1. ดุลยภาพแห่งชีวิต คือ ความสมดุลของชีวิต ย่อมมีทั้งชีวิตการงาน ชีวิตส่วนตัว ชีวิตในสังคม ชีวิตครอบครัว และสุขภาพ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ สุขภาพ ถ้าสุขภาพเสียทุกสิ่งก็สูญสลาย

2. การแพทย์วิถีธรรมชาติ อาจารย์หมอพันธ์ศักดิ์ฯ ในอดีตต้องทำงานหนักทั้งงานราชการ คลีนิค และครอบครัว ต้องตื่นตีห้าและเข้านอนห้าทุ่มล่วงเลยไปแล้ว ส่งผลให้เกิดโรคเครียด โรคกระเพาะอาหาร โรคภูมิแพ้ และความจำไม่ดี พออายุ 40 ปี จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ แล้วไปเรียนการแพทย์วิถีธรรมชาติจากออสเตรเลีย นับจากนั้นมา อาจารย์หมอพันธ์ศักดิ์ฯ ไม่เคยเจ็บป่วยอีกเลย ปัจจุบันอาจารย์มีความสุขมาก ๆ และหน้าตาดูดีกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาก

3. ทำอย่างไรให้สุขภาพดีไม่เจ็บป่วย

3.1 สุขภาพ คือภาพแห่งความสุข ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใสเบิกบาน อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

3.2 อาหาร คือแหล่งพลังงานของชีวิต การรับประทานอาหารที่ทำให้สุขภาพดี ไม่เจ็บป่วยและอายุยืน จะต้อง กินอาหารเช้าอย่างราชา อาหารกลางวันอย่างคนธรรมดาและอาหารเย็นอย่างยาจก ดังนั้น อาหารเช้าจึงเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด

3.3 อนุมูลอิสระ ( Free radical ) การรับประทานอาหารจะเกิดของเสียที่เรียกว่า อนุมูลอิสระหรือเรียกว่าประจุวิ่งหารัก หรือประจุขาดรัก วิ่งไปทั่วร่างกาย อวัยวะที่เล็กที่สุดในร่างกาย คือ เซล ( cell )

เซลประกอบด้วย ผนังห้อง และแกนกลางเรียกว่า นิวเคลียส หรือ DNA นิวเคลียสเป็นพิมพ์เขียวที่ทำหน้าที่สร้างเซลใหม่ ส่วนอนุมูลอิสระจะเป็นตัวทำลายผนังห้องและนิวเคลียส ทำให้เซลเนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงไป แต่ร่างกายเราจะมีระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าไม่ดูแลสุขภาพให้ดี ภูมิคุ้มกันจะถูกทำลาย ทำให้เกิดมะเร็งและโรคต่างๆ เกิดขึ้นได้โดยง่าย

3.4 อาหารเช้า ควรรับประทาน คาร์โบไฮเดรท วิตามินบี และซี ถ้าไม่กินมื้อเช้า ชีวิตจะเริ่มต้นด้วยความเป็นกรด ( แลคติกแอซิค ) ยกเว้นเรามียาวิเศษคือ การหัวเราะ เพราะขณะหัวเราะร่างกายจะเปลี่ยนเป็นด่าง หัวเราะ 1 ครั้ง อายุยืน 5 นาที อาหารเช้าที่ต่อต้านความเครียดในการทำงานได้แก่ วิตามินบี และซี ซึ่งไม่มีการเก็บสะสม เพราะละลายในน้ำได้หมด มื้อเช้าที่เร็วและง่าย คือ กล้วยหอม 1 ลูก+ส้ม 1 ลูก + นม 1 กล่อง ( หรือ HOT CHOCOLATE ) ในกล้วยหอมมีแมกนีเซียม และโปตัสเซียม ในส้มมีวิตามินซี โดยเฉพาะกากส้มขาว ๆ มีเส้นใยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายในน้ำ ที่สามารถช่วยดูดซึมพิษในร่างกายและขับออกไป กากส้มมีวิตามินซีมากกว่าน้ำส้ม ในนมมีสารทริบโตเฟน ทำให้กระปรี้กระเปร่า และ อารมณ์ดี

3.5 อาหารกลางวัน กินอะไรก็ได้ที่ชอบ เช่น แกงเขียวหวาน ขาหมู ก๋วยเตี๋ยว แต่ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ คือ น้ำตาล และน้ำมัน ที่จะต้องพยายามหลีกเลี่ยง

3.6 อาหารเย็น ต้องกินพืชผักและผลไม้ เพื่อให้ได้ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความแก่ มื้อเย็นง่าย ๆ เช่น ผัดผัก 1 จาน + ส้มตำ 1 จาน + น้ำผลไม้ 1 แก้ว กินผักผลไม้วันละ ½ กก. จะทำให้แก่ช้า หรือดื่มน้ำผลไม้สดวันละ 3 แก้ว 3 สี แก้วละสี หรือผสมกันก็ได้ สุขภาพจะดีขึ้นมาก

คาร์โบไฮเดรท ทำหน้าที่ให้พลังงาน มีมากในแป้ง ข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว วิธีกินคาร์โบไฮเดรทไม่ให้อ้วน คือกินช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด กินพออิ่ม ที่เหลือเก็บไว้กินในมื้อต่อไป หรือ พยายามกินเพียง 3 ใน 4 ส่วน ที่อยู่ในจาน แล้วหยุดกิน

วิตามินบี มีมากในธัญญพืช ลูกเดือย ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง ถั่วแดง เต้าหู้

โปรตีน มีมากในเนื้อสัตว์ ถ้าอายุเกิน 35 ปีแล้ว ควรรับประทานโปรตีนแต่พอประมาณ ถ้ามากจะทำให้ดูดซึมแคลเซียมไม่ดี เกิดโรคกระดูกผุ สัตว์ใหญ่ก่อนตายจะหลั่งสารแอดรีนาลิน ( สารทุกข์ ) ผสมเข้าไปในกระแสเลือด จึงไม่ควรกินเลือดสัตว์อย่างยิ่ง อันตรายมาก ให้เปลี่ยนไปกินปลาแทน เพราะย่อยง่าย และมีไขมันชั้นดี ทำให้การไหลเวียนของเลือดดี ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด แก้มปลามีแคลเซียมมากกว่าส่วนอื่น ควรกินปลาสัปดาห์ละ 3 มื้อ ก็เพียงพอแล้ว อย่ากินทุกมื้อ เพราะจะทำให้เลือดออกไม่หยุด ชาวเอสกิโมโดนมีดบาดเลือดจะออกไม่หยุดเพราะกินปลาทุกมื้อ หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรกิน Fish oil เพราะอาจทำให้ตกเลือด

แคลเซียม ในวัยทองต้องการแคลเซียมวันละ 1,200-1,500 มก. และควรกินปลาเล็กปลาน้อยเพื่อให้ได้แคลเซียมเพียงพอ

ผักขมฝรั่ง ( spinach ) มีธาตุสังกะสี เหล็ก และสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้นไม้ที่มีเปลือกจะมีสารต่อต้านสิ่งแวดล้อมภายนอก เพราะต้นไม้อยู่กับที่ วิ่งหนีมลพิษไม่ได้ จึงมีเปลือกเพื่อป้องกันมลพิษ

น้ำตาล ต้องไม่ขัดสี เช่นน้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลกรวด น้ำตาลทรายขาวมีสารขัดขาวซึ่งเป็นสารเร่งความเครียด ทำให้เครียดง่าย และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ น้ำตาลเทียมดีกว่าน้ำตาลขัดสี แต่รสชาดไม่ดีเท่านั้น


ความจำเป็นในการกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ

ถ้าวัยหนุ่มสาว ควรกินให้ครบ 3 มื้อ แต่วัย 35 ปีขึ้นไป และวัยทอง ควรมีอาหารว่าง ( snack ) ที่ให้พลังงานไม่มากเป็นมื้อที่ 4 กินหลายมื้อได้ แต่ครั้งละน้อย ๆ และเลือกอาหารที่ย่อยง่าย

ข้อควรคำนึงคือ กินอย่างอารมณ์ดี เช่นกินกับคนที่เรารัก กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียดนึกถึงแต่ความสุข ถ้ากินมื้อละ 15 นาที 3 มื้อ ก็เท่ากับเรามีความสุข 45 นาทีแล้ว และกินอย่างมีน้ำใจ นึกถึงชาวนาอย่ากินทิ้งกินขว้าง กินพอประมาณ อิ่มแล้วเลิก หรือจวนอิ่มแล้วหยุด


วิธีดื่มกาแฟ

- ต้องไม่ใช้ครีมเทียม เพราะครีมเทียมคือน้ำมันมะพร้าว ทำให้มันจุกอกตาย กาแฟ 3 อิน 1 ไม่ดี เพราะผสมครีมเทียม กาแฟดำมีอะโรมา ดื่มแล้วอารมณ์ดี การไหลเวียนของเลือดดี

วิธีชงกาแฟ ใส่กาแฟ 1 ช้อนชา เติมนมอุ่น ( Low fat ) ½ แก้ว และน้ำตาล

วิธีดื่มกาแฟที่ดีที่สุด ต้องไม่ใส่อะไรเลย กาแฟเอสเปรสโซ่ อย่าดื่มรวดเดียวหมด จะหวานกว่าถ้าจิบทีละนิด ดื่มกาแฟวันละไม่เกิน 3 แก้ว ถ้าเกินจะดึงแคลเซียมจากไต ทำให้เป็นโรคกระดูกบาง มีอันตรายต่อสุขภาพ


การพักผ่อน หลักการพักผ่อนที่ดี มีหลายแบบ อาทิ

1. หนีความจำเจซ้ำซาก เช่น เที่ยวทุก 1 เดือน หรือเปลี่ยนทรงผมใหม่ มีคำกล่าวว่า เปลี่ยนที่ ( สถานที่ ) ได้ห้า เปลี่ยนหน้า ( ใบหน้า - ทรงผม ) ได้สิบ อาจทำให้สบายใจมากขึ้น

2. มองโลกในแง่ดี เช่น เห็นน้ำอยู่ ½ แก้ว ต้องมองว่ายังเหลือน้ำอีกตั้ง ½ แก้ว ไม่ใช่น้ำหมดไปแล้วตั้ง ½ แก้ว ยกตัวอย่างเช่น ภรรยาของอาจารย์จะไม่ให้ความสำคัญที่จะต้องทราบว่าในแต่ละวัน อาจารย์จะอยู่ที่ไหน อาจารย์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายจะต้องทราบว่าภรรยาอยู่ที่ไหน เพื่อจะกลับมาทำหน้าที่เทคแคร์ภรรยาให้ทัน กรณีนี้ภรรยาจะไม่เกิดความทุกข์กังวลในการสอดส่องสามีว่า ไปทำอะไรลับหลังภรรยา

3. Second job นอกจากงานหลักเพื่อเลี้ยงชีวิตและครอบครัวแล้ว ควรมีงานรองอย่างที่ 2 ที่เราชอบ ที่เราไม่คิดว่าเป็นงาน แต่ทำแล้วมีความสุข เช่น เขียนหนังสือ สอนหนังสือ หรือบรรยาย

การนอนหลับสนิท จะทำให้เกิดสารเมลาโทนินซึ่งเป็นสาร antioxidant ทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน ปัจจุบันเมลาโทนินที่มีขายอยู่ในท้องตลาด จะออกฤทธิ์เพียง 6 นาทีเท่านั้น แต่ร่างกายเราต้องการ 6 ชม. การนอนหลับสนิทจึงได้คุณประโยชน์มากกว่า

การพักผ่อนที่ดีที่สุด บางครั้งได้แก่ การอยู่เฉย ๆ อยู่กับตัวเอง อย่าให้งานและสังคมมายุ่งเกี่ยว ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง จิบชา ล่องเรือ ฟิตเนส หรือสปา การออกกำลังกายที่รักที่ชอบ ก็เป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง


ตอบคำถามจากผู้ฟัง

1. นม กับ น้ำเต้าหู้ อะไรดีกว่ากัน

คนไทยประมาณ 1/3 หรือ 30% ไม่มีนำย่อย ย่อยน้ำตาลในนม จึงดื่มนมแล้วท้องเสีย ถ้าดื่มนมไม่ได้ ให้กินโยเกิร์ตแทนเพราะมีประโยชน์ โดยเฉพาะผู้หญิง ใช้ทาหน้าทำให้หน้าตึง และมี Lactobacillus เข้าไปอยู่ในทางเดินอาหารและช่องคลอด ช่วยย่อยและไม่ติดเชื้อราที่ช่องคลอด น้ำเต้าหู้สกัดจากถั่วเหลือง มีฮอร์โมน Phyto-estrogen ยับยั้งการเกิดมะเร็งเต้านมและมดลูก แต่น้ำเต้าหู้ไม่มีแคลเซียม ต้องกินเต้าหู้แข็งจึงจะได้แคลเซียม เต้าหู้ยิ่งแข็งยิ่งมีแคลเซียมสูง


2. ผลไม้แก้วมังกร ทำให้เป็นมะเร็งหรือไม่

ไม่น่าจะเป็น ยังไม่เคยอ่านเจอ แก้วมังกรมาจากเวียดนาม มีไฟเบอร์สูง แคลอรี่ต่ำ ควรฟังหูไว้หู อย่าตระหนกเกินกว่าเหตุ วิธีแก้กินแก้วมังกรน้อยลง เพิ่มฝรั่ง และแอปเปิ้ลแทน


3. ฮอร์โมนเพศหญิงในวัยทอง ทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่

เป็นเพียงผลงานวิจัยของอเมริกาเท่านั้น โดยทำการทดลองกับกลุ่มหญิงที่เป็นโรคหัวใจ อ้วน และหน้าอกโต ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอยู่แล้ว โดยการให้ฮอร์โมนอยู่ชนิดเดียว ขนาดเดียว เกิน 5 ปี พบว่าปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 0.25%


4. โยเกิร์ต และสมูทตี้

หลักการของสมูทตี้ คือต้องการไฟเบอร์ไปช่วยดูดพิษ แต่โยเกิร์ตมี Lactobacillus อย่างเดียว ไม่มีไฟเบอร์ วิธีเพิ่มคุณค่าให้โยเกิร์ต ทำง่าย ๆ คือ โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง + กล้วยหอม


5. การนอนให้ได้ประโยชน์

ควรนอนก่อน 4 ทุ่ม ในห้องที่ตกแต่งสวยงาม สะดวกสบายตกเหมือนโรงแรม มีม่าน 2 ชั้น เพื่อป้องกันแสง ควรตื่นเมื่อถึงเวลาตื่น ไม่ใช่ตื่นเพราะแสงแดดแยงตา ควรนอนในห้องที่มืด ระบบฮอร์โมนจะทำงานปกติ การนอนในห้องที่มีแสงไฟสวางจ้า ไม่ดี เพราะฮอร์โมนจะสร้างในความมืด ในขณะที่เรานอนหลับสนิท การงีบในตอนบ่าย จะทำให้ตื่นขึ้นมาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


6. ออกกำลังกายตอนไหนดี

เวลาไหนก็ได้ที่เหมาะสมกับเราที่สุด อย่ายึดมั่นถือมั่น แล้วเราจะมีความสุข
ตัวเราเองรู้เองว่า ออกกำลังกายตอนไหนก็ได้

ออกกำลังกายตอนเช้า ได้แสงแดดตอนเช้า ได้วิตามินดี กระดูกหนาขึ้น อาหารเช้าจะต้านสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการออกกำลังกายได้ พอหายเหนื่อยให้อาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะทำให้กล้ามเนื้อกระฉับกระเฉง ทำงานได้ดี

ออกกำลังกายตอนเย็น โดยมีอุปกรณ์ เช่น ใช้ไม้พลองประกอบ ทำให้กระดูกแขนไม่บาง ไม่โดนแสงแดด แต่การออกกำลังกายทำให้เกิดอนุมูลอิสระ วิธีแก้คือดื่มน้ำผลไม้สด 1 แก้ว ก่อนและหลังออกกำลังกาย จะต้านอนุมูลอิสระได้ การออกกำลังกายทำให้ร่างกายตื่นตัว จึงควรอาบน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น จะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และจะทำให้นอนหลับสบาย


7. น้ำมันประกอบอาหารชนิดไหนดี

น้ำมันมีกรดไขมันอยู่ 2 ชนิด คือ กรดไขมันอิ่มตัว เช่น ในน้ำมันหมู วัว ไม่ควรกินเพราะไขมันจะไปอุดตามเส้นเลือด และกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ในน้ำมันมะกอก ( ทนความร้อนได้ดีที่สุด ) ทานตะวัน ข้าวโพด ฟักทอง ถั่วเหลือง ถ้าอยากให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน เมื่อปรุงอาหารเสร็จ ปิดเตาแก๊ส แล้วค่อยใส่น้ำมันงา เพราะเป็นน้ำมันที่ไหม้ง่าย


8. น้ำนมพืช กับ นมจากสัตว์ อย่างไหนมีธาตุเหล็กมากกว่า

นมจากสัตว์ มีธาตุเหล็กมากกว่า นมแพะ นมจามรี ดีกว่านมวัวเพราะไขมันน้อยแต่ไม่ค่อยอร่อย นมวัวอร่อย แต่มีไขมันมากที่สุด วิธีแก้ดื่มนมวัวแบบพร่องมันเนยแทน


9. การทำดีท็อกซ์

หลักการคือ นำกากอาหารใส่ในลำไส้ เช่น กาแฟ เพื่อทำให้ขับสารพิษออกมา เสียเงินและทรมาน ควรทำดีท็อกซ์แบบชาวบ้านคือ กินมังสวิรัติสัปดาห์ละ 1 วัน อาจารย์จะดีท็อกซ์ทุกวันเสาร์โดยไม่กินเนื้อสัตว์ แต่จะต้มจับฉ่ายใส่เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ และเห็ดหลาย ๆ ชนิด ใส่ผักขม คะน้า ไชเท้า กวางตุ้ง ใส่น้ำมันงา และพริกไทยดำ โดยกินให้หมดภายใน 1 วัน


10. กินกาแฟแล้วนอนไม่หลับ

วิธีแก้ คือ กินกาแฟ และนมอุ่น ๆ หรือกินกาแฟ + กล้วยหอม + เนยมาการีน หรือกินกาแฟดีคาเฟอีน ( กาแฟที่มีแต่กลิ่นไม่มีสารคาเฟอีน ) เพราะเราติดที่กลิ่น


11. นมเย็น กับนมอุ่น อย่างไหนดีกว่ากัน

สารอาหารเท่ากัน แต่นมอุ่นดีกว่า ( 55 องศา C ) เพราะแตกตัวได้ทริบโตเฟน ทำให้อารมณ์ดี นมเย็นจะไม่แตกตัว วิธีอุ่นนม ให้เอาน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปเข้าไมโครเวฟจนร้อน แล้วค่อยตั้งแก้วนมเย็นในน้ำร้อนอีกที


12. ผัก-ผลไม้สด กับ น้ำผัก-ผลไม้คั้น

ดีทั้ง 2 อย่าง แต่ถ้าผักผลไม้สดต้องกินเป็นจำนวนมากเป็นกิโลๆ ถึงจะได้สารอาหารเพียงพอ แต่ถ้าคั้นเป็นน้ำ ดื่มเป็นแก้วพอไหว


13. อาหารรักษาโรคข้อ

ใช้ เซลารี่ 4 ก้านใหญ่ + แอปเปิ้ล หรือฝรั่ง + แครอท นำมาคั้นแบบแยกกากออก ดื่มวันละ 1 แก้ว ทุกวัน จะแก้โรคข้อ เข่าจะไม่เจ็บไม่ปวด หรือนำเซลารี่ไปผัดกับกุ้ง แต่ต้องกินให้ได้ 4 ก้านใหญ่ จึงจะเพียงพอ ดังนั้นนำไปแยกกากดีกว่า เซลารี่จะมีสรรพคุณแก้ปวดบวม แอปเปิ้ล หรือฝรั่งมีวิตามีซีช่วยเรื่องน้ำในข้อ ส่วนแครอทช่วยในเรื่องเยื่อเมือก


14. น้ำผลไม้แบบกล่อง

แทบจะไม่ได้สารอาหาร นอกจากกลูโคส ควรคั้น ( แบบแยกกาก ) เองสด ๆ ดีที่สุด แล้วดื่มทันทีจะได้คุณค่ามาก หากต้องการดื่มแบบเย็น ให้นำน้ำแข็งใส่กาละมัง ใส่น้ำ แล้วนำผลไม้ลงไปล้างแล้วค่อยมาคั้น หรือนำแก้วเปล่า และผลไม้ไปแช่เย็นก่อน นำมาคั้นก็ได้


15. วิธีทานกล้วยหอม ไม่ให้ท้องอืด-แน่นท้อง

ให้กินกล้วยห่าม ๆ จะไม่หวาน และได้คาร์โบไฮเดรท ถ้ากล้วยสุกเกินไปจะได้แต่น้ำตาล


16. การปั่น กับ การแยกกาก ( คั้น )

การปั่น เป็นการตีให้แตก จะทำให้สารอนุมูลอิสระออกมา ไม่ดี แต่การแยกกาก เป็นการแยกน้ำและแยกกากออกจากัน ได้คุณค่ามากกว่า แต่การแยกกากจะไม่ได้ไฟเบอร์ ถ้าต้องการไฟเบอร์ ให้ตักกากมากินก็ได้ หรือเอากากมาปั้นเป็นก้อนกินชดเชยได้


17. น้ำโซดา ล้างท้องได้หรือไม่

โซดาเป็นน้ำด่าง มีข้อดีคือ ถ้าในท้องมีกรดมาก โซดาจะทำให้เกิดความสมดุลและสบายท้อง แต่ถ้าท้องมีแก๊ส โซดาจะทำให้ท้องอืด ถ้ากินแล้วสบายดีก็กินต่อไปได้


18. อาหารที่กินแล้วผมไม่หงอก

ไม่มี ถ้าอยากหายต้องใส่วิก ผมหงอกเกิดจากกรรมพันธุ์ และความเครียด อาหาร และแร่ธาตุที่ช่วยให้ผมหงอกช้า ได้แก่ วิตามินบี และซี สังกะสี ( zinc ) แต่ควรกิน zinc อะมิโน ครีเรท อย่ากินzinc ซัลเฟรด เพราะกัดกระเพาะ หรือกินอาหารเสริม เช่น เซ็นทรัม แบลคมอร์ จะช่วยให้เส้นผมดำขึ้น


19. การย้อมผมกับมะเร็ง

การย้อมผมทำให้บุคลิกดีขึ้น มีความสุข เลือกใช้ยาย้อมผมที่ไม่มีสารโลหะหนักผสม เช่น ตะกั่ว ถ้าไม่มีสารตะกั่วก็ไม่เป็นไร เวลาย้อมให้ปิดตาและจมูกให้ดี อาจใช้แบบสเปรย์ก็ได้


20. ประโยชน์ของน้ำสมุนไพร ( Herb )

คือ พืชผักผลไม้ จึงมีคุณค่าทางยาแล้วแต่ชนิด เช่น เครนเบอรี่ หรือ กระเจี๊ยบ จะมีสรรพคุณทางยาช่วยเรื่องการอักเสบในกระเพาะปัสสาวะ หรือนิ่วในไต เป็นต้น


21. ตำราอาหารสำหรับผู้ชาย

กินกล้วย + น้ำผึ้ง + พริกไทยดำ จะทำให้หลับสบาย ถ่ายสะดวก วิธีทำ ใช้กล้วยน้ำว้าหรือกล้วยหักมุกผึ่งแดดเดียว แล้วโรยน้ำผึ้ง และพริกไทยดำ รับประทานบ่อยๆ สุขภาพจะดี
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 25 กันยายน 2550, 20:33:01 »

กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน กด 1669



เมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉิน นอกจากช่วยเหลือตนเองแล้ว ขณะนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดระบบช่วยเหลือผู้ประสบภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินดังกล่าวนี้ เพียงกดโทรศัพท์ไปที่ หมายเลข 1669 จะมีคำแนะนำให้ และหากจำเป็น จะมีหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินไปช่วยเหลือคุณถึงที่เกิดเหตุ ( ฟรี ) ซึ่งขณะนี้เราจัดได้เกือบทุกที่ทั่วประเทศไทย ตลอด ๒๔ ชั่วโมงทั้งวันทำการ และวันหยุดแล้ว

ป่วยฉุกเฉินโทรหมายเลข 1669

ส่งต่อไปให้ทราบทั่วๆ กันด้วยครับ จักเป็นพระคุณยิ่ง
นพ. สุรจิต สุนทรธรรม
ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ  สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 25 กันยายน 2550, 23:45:38 »

ปริมาณน้ำตาลในผัก และผลไม้


บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2550, 11:28:45 »

อัพเดท ป่วยฉุกเฉินเรียกหมายเลข 1669 เปลี่ยนเป็น 1646 เฉพาะ กทม.

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

จากเมล์เดิมที่เคยส่งกันมาให้ หมายเลขโทรศัพท์ 1669 บริการ ๒๔ ชั่วโมง ซึ่งควรบันทึกไว้ใน memory ของโทรศัพท์มือถือ ไว้เรียกใช้ยามฉุกเฉิน
 
ซึ่งต้องขอขอบคุณคุณหมอมากครับที่ได้ส่งเรื่องนี้มาให้ แต่ตอนนี้ ข่าวล่าสุด ( 1 กันยายน 2550 ) ทาง กทม. ได้ปรับเปลี่ยนการให้บริการ โดยแยกส่วนออกมาเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ทางศูนย์ฯ เอราวัณ ได้มารับผิดชอบการรับเรื่องแจ้งเหตุ ป่วยฉุกเฉิน และได้เปลี่ยนเลขหมายใหม่ จาก 1669 เป็น 1646 ซึ่งจะรับเรื่องเฉพาะใน กทม. เท่านั้นครับ จึงขอแจ้งเพื่อเป็นประโยชน์กับทุกท่าน ( 24 ชั่วโมง )


ปล. อีกอย่างคือ ขอให้ทุกท่าน ( ย้ำว่าทุกท่าน ) หากไม่ได้เก็บเบอร์นี้ไว้ และเจออุบัติเหตุฉุกเฉิน สามารถแจ้งกับทาง 191 ได้ด้วยครับ

( จากพนักงานบริษัทฯ เอกชนที่ ทำงานร่วมกับรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง )
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2550, 12:02:14 »

วันละ 150 วินาที เพื่อห่างไกลโรคปวดหลัง

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

ผู้เขียนมีโรคประจำตัวคือ โรคปวดหลัง ซึ่งมีสาเหตุจากหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท และเป็นต่อเนื่องมานานร่วม 20 ปี, ผ่าตัดมาแล้ว 2 ครั้ง, นอนรอคิวผ่าตัดครั้งที่ 3 มาแล้ว 3 วันที่โรงพยาบาลเลิดสิน ก่อนคณะแพทย์มีความเห็นว่าไม่ควรผ่าตัดเพราะอาการไม่รุนแรงถึงขั้นดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก ทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี ได้รับการรักษา และคำแนะนำจากแพทย์หลายท่านที่มากไปด้วยประสบการณ์ รวมทั้งที่ชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งอาการปวดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวได้ จนวันนี้มีอาการดีขึ้น จึงอยากสรุปความเห็นเผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่นๆ

อาการเริ่มต้นครั้งแรกเกิดจากก้มตัวลงยกของอย่างไม่ถูกท่าทาง มีอาการแปล๊บขึ้นที่กระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอว ขณะนั้นขยับขาทั้งสองข้างต่อไม่ได้ รอไม่ถึงห้านาทีเริ่มทุเลา จึงค่อยๆ ขึ้นรถขับไปหาหมอด้วยตนเอง แต่ยังคงเดินแบบลากขาอย่างช้าๆ หมอที่คลินิคให้ความเห็นว่ากล้ามเนื้อคงอักเสบ จึงฉีดยาแก้ปวดและอักเสบให้ กลับไปบ้าน ต้องหยุดงานเพราะเดินไม่สะดวกไป 3 วัน

หลังจากนั้นอาการแปล๊บๆ ข้างต้นก็จะเกิดกับผมปีละ 2-3 ครั้งอยู่หลายปี ทุกครั้งต้องหยุดพักผ่อนอย่างน้อย 3-4 วัน เพราะลุกเดินไม่ไหว จนไปพบแพทย์ Orthopidics เฉพาะทาง ซึ่งนับเป็นกระบี่มือหนึ่งของจังหวัด รักษากันอยู่นานเป็นปี โดยเริ่มจาก ยากิน ยาฉีด และเอ็กซเรย์แบบคอมพิวเตอร์ติดตามดูอาการ จนสุดท้ายหมอสั่งให้ไปทำเอ็กซเรย์ MRI ที่รพ.บำรุงราษฎร์ กทม. ซึ่งขณะนั้นมีอยู่แห่งเดียวในประเทศไทย ภาพจากฟิล์มฟ้องว่าหมอนรองกระดูกสันหลังมันปลิ้นออกมาขวาง และดันไขสันหลัง และเส้นประสาทจนเกิดอาการชาไปถึงหลังเท้า หมอตัดสินใจผ่าตัด เพื่อขูดเอาหมอนรองกระดูกที่แตกออก โดยเปิดแผลคืบนึงที่หน้าท้อง พร้อมทั้งตัดกระดูกเชิงกรานมาแว่นนึงขนาดเท่ากับหมอนรองกระดูกที่ขูดออก อัดเข้าไปรับช่องว่างข้อกระดูกสันหลังแทน ซึ่งแน่นอนมันจะส่งผลให้ข้อต่อส่วนนี้ไม่มีการยืดหยุ่นอีกต่อไป เวลาผ่านไประยะนึง มันก็จะเชื่อมข้อบนและข้อล่างให้ต่อเป็นชิ้นเดียวกัน งานนี้ต้องหยุดพักรักษาแผลไปร่วมเดือน

หลังผ่าตัด ก็ยังคงพบแพทย์เพื่อติดตามอาการเป็นระยะๆ จากสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี แต่อาการดูเหมือนมันยังไม่หายขาด แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าเก่ามาก สุดท้ายหมอขอแก้ตัวอีกครั้งโดยการผ่าตัดจากด้านหลัง เปิดแผลช่วงกระดูกสันหลังที่มีปัญหา พร้อมยึดโยงข้อกระดูกสันหลังบน และล่างด้วยโลหะ เพื่อเสริมความแข็งแรงไม่ให้เกิดการเสียดสีหรือกดทับเส้นประสาทอีก งานนี้ต้องพักรักษาแผลไปเกือบ 3 อาทิตย์ แต่ก็พบว่าอาการที่ยังคงชาอยู่ที่หลังเท้าไม่ได้หายขาดไป เลยรู้สึกปลงๆ และไม่สนใจอะไรมากมายอีก นานๆ เป็นปีถึงจะเจ็บหนักๆ สักครั้งนึง ก็ถือโอกาสยอมรับว่ามันคงเป็นอย่างนี้แหละ จนเวลาล่วงเลยไปอีกหลายปี

ประมาณปี 2544 ก็เริ่มเกิดอาการปวดระดับต้องนอนพักถี่ขึ้น ไปพบแพทย์ที่รพ.กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นแพทย์ประจำรพ.เลิดสิน เชี่ยวชาญเรื่องกระดูก เอ็กซเรย์ไปหลายครั้งทั้งธรรมดา และแบบสแกนคอมพิวเตอร์ แต่ก็เห็นไม่ชัดเลยต้องลองทำ MRI อีกครั้ง ปรากฏว่าภาพเกิดแสงสะท้อนมากจนดูไม่รู้เรื่องเพราะมีโลหะอยู่ข้างใน สุดท้ายคุณหมอขอฉีดสีเข้าไขสันหลังเพื่อให้ภาพเอ็กซเรย์ธรรมดาชัดเจนมากขึ้น ช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำ ครั้งนี้พบว่ามีหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทเพิ่มอีกสองตำแหน่ง คือ ข้อบน และข้อล่างของข้อที่เคยมีปัญหามาก่อน ซึ่งคุณหมอบอกว่าเกิดจากข้อที่เสียไปไม่ยืดหยุ่น จึงไปเพิ่มภาระให้กับข้อบนและล่างมากกว่าปกติ ... เฮ้อ ! .. เวรกรรม ไม่รู้เพราะตอนเด็กไปตีงูหลังหักไปหลายตัวจนตาย รึไง กรรมเลยตามสนองในชาตินี้เลย หรือเปล่า ?

สุดท้ายหมอนัดให้ไปนอนรอที่โรงพยาบาลเลิดสินเพื่อผ่าตัด นอนรออยู่ 3 วัน คณะแพทย์ของรพ.เลิดสิน มาแจ้งผลว่ายกเลิกนัดที่จะผ่าตัด เพราะไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะผ่าตัดจุดเดิมซ้ำซากหลายๆ ครั้ง ผมเลยจำใจอดทนรับการเจ็บปวดปีละหลายครั้งต่อไป จนกระทั่งปี 46 ต้องโยกย้ายไปช่วยงานที่เมืองจีน 3 ปี ระหว่างอยู่ที่นั่นก็นับว่าโชคดีที่เกิดการปวดรุนแรงไม่บ่อยมาก ส่วนใหญ่พอเริ่มมีอาการเพียงเล็กน้อยก็จะรีบกินยากันไว้ และระวังท่าทางการเคลื่อนไหวไม่ให้เสี่ยงเจ็บเป็นกรณีพิเศษ ทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทย ต้องแวะหาหมอเพื่อตรวจอาการ และขอยาไปสำรองไว้ครั้งละร่วมหมื่นบาท มีอยู่หลายครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้าน ได้รับคำแนะนำให้ไปหาหมอคนนั้น คนนี้ ซึ่งแต่ละท่านมีชื่อเสียงระดับประเทศ ก็ลองไปขอคำปรึกษามาแล้วทั้งนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่าช่วงทำงานในจีนจะไม่เกิดปัญหาบาดเจ็บรุนแรงจนเสียการเสียงาน

มีคุณหมอท่านหนึ่งของโรงพยาบาลจุฬาฯ สรุปอย่างตรงประเด็นให้ฟังว่า โรคนี้น่ะ มันรักษาไม่หายขาดหรอก หากเจ็บบ่อยหรือชาลงขามากก็ผ่าตัดสถานเดียว และถ้าเจ็บจุดอื่นต่อไปก็ต้องผ่าตัดไปเรื่อยๆ แต่มีทางช่วยป้องกันและลดโอกาสการเจ็บปวดได้ โดยต้องบริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงเพื่อยึดโยงกระดูกสันหลังให้มั่นคง ซึ่งฟังดูแล้วก็เห็นคล้อยตามทีหมอบอกเลยว่าจริง แต่หมอสอนท่าบริหารกล้ามเนื้อหลังมาให้หลายท่า ซึ่งใช้เวลาต่อครั้งเกินชั่วโมงและไม่เหมาะกับคนขี้เกียจบริหารตัวเอง และคงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าบริหารอย่างไร เพราะผมเองทำอยู่ได้ไม่กี่วันก็ยอมแพ้ เอาเป็นว่าตอนนี้เริ่ม get แล้วว่าหัวใจของปัญหาอยู่ที่กล้ามเนื้อหลัง

หลังจากย้ายกลับจากจีน เพราะสุขภาพโดยรวมไม่เอื้ออำนวยให้ลุยงานที่ต้องสมบุกสมบันที่นั่น เมื่อเกิดอาการปวดอีก ก็เลยไปพบคุณหมอสมศักดิ์ที่มักจะหาอยู่เป็นประจำที่รพ.กรุงเทพฯ คุณหมอเองก็พยายามจะบอกว่า ฟังประวัติการรักษาที่ผ่านมา ถ้าท่านเป็นผู้ผ่าตัดตั้งแต่ครั้งแรกๆ ท่านจะต้องบังคับให้ทำกายภาพบำบัดด้วยตนเอง หลังแผลหายดีแล้ว ซึ่งหากทำมาตั้งแต่แรกก็คงจะช่วยทำให้ไม่ต้องมาพบหมออีกเหมือนในตอนนี้ เพราะกายภาพบำบัดโดยบริหารกล้ามเนื้อหลัง จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากอีกต่อไป เพียงแต่เราต้องไม่หลีกเลี่ยงบริหารเป็นประจำทุกวัน ซึ่งหลังจากคุณหมอได้อธิบายให้ฟังวิธีการบริหารแล้วรู้สึกได้เลยว่าหมูมาก และใช้เวลาน้อยมากๆ ต่อวัน จึงเริ่มทำต่อเนื่องมาได้สองสามเดือนแล้ว รู้สึกว่าแผ่นหลังแข็งแรงขึ้น พร้อมกับหน้าท้องก็เฟิร์มขึ้น ที่สำคัญอาการเจ็บแปล๊บๆ ที่เป็นบ่อยแต่ไม่รุนแรงหลายเดือนก่อนหน้า หายขาดไปเลย ทั้งที่ช่วงต้นปีเป็นต้นมาชักเริ่มมีปัญหาถี่มาก จนคุณหมอเองยังออกปากว่าถ้าลองบริหารแล้วไม่ดีขึ้นก็คงต้องผ่าตัดแน่นอน ด้วยก่อนหน้านี้อัดไปทั้งยาฉีด, ยารักษา, ยาบำรุงเต็มพิกัดแล้ว เมื่อผลออกมาว่าอาการปวดหายเหมือนปลิดทิ้งอย่างนี้ เลยต้องยกเครดิตให้การบริหารกล้ามเนื้อหลังเป็นพระเอกตัวจริง อยากรู้แล้วใช่มั้ยครับ ว่าทำยังไง

เอ้าฟังนะ ..... ตื่นเช้าทุกวัน ให้บริหารกล้ามเนื้อหลังดังนี้

- นอนหงายยืดเท้าตรงแนบชิดกัน
- ยกปลายเท้าลอยสูงขึ้นประมาณ 1 ฟุต ( ไม่ควรยกให้สูงกว่านี้ )
- ฝืนค้างไว้พร้อมนับสิบวินาที
- ครบแล้วลดปลายเท้าวางลงพักห้าวินาที ... ดังนี้คือ 1 เซ็ท
- ทำติดต่อกันรวม 10 เซ็ท นั่นหมายถึงใช้เวลาไปรวม 150 วินาทีต่อวันเท่านั้น เห็นแล้วยังครับ ว่ามันง่ายมากจริงๆ
- แต่ละสัปดาห์ให้เพิ่มน้ำหนัก 500 กรัมถ่วงไว้ ( อาจใช้ถุงทรายที่มีขายทั่วไป )
- น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะค่อยๆ สร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อหลัง เพื่อแก้ปัญหาที่เหตุ
- น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะสิ้นสุดที่เท่าใดเหรอครับ คุณหมอบอกว่าจนกว่ายกไม่ไหว ... แต่ น้ำหนักขั้นต่ำ ที่แต่ละคนต้องยกให้ได้ มีวิธีคำนวณดังนี้ครับ

น้ำหนักขั้นต่ำที่ต้องยกได้ = น้ำหนักตัว – น้ำหนักท่อนขาสองข้าง / 10

โดยปกติน้ำหนักท่อนขาสองข้างประมาณ 10 กิโลกรัม ถ้าอ้วนหรือผอมกว่าปกติก็ปรับเพิ่ม หรือลดเอาตามความเหมาะสม ( อย่าบอกนะว่า ขาสองข้างหนัก 50 โล )


หวังว่าวิทยาทานในการบริหารด้วยตนเองวันละ 150 วินาทีนี้ จะช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคปวดหลังคลายทุกข์ได้ในเร็ววันนี้นะครับ และขอให้ผลบุญที่ช่วยให้ผู้อื่นคลายทุกข์ จงอย่าได้มีอาการปวดหลังมากล้ำกลายข้าพเจ้าอีกต่อไปเลย

ส่งต่อมากๆ ก็ได้บุญอีกมากๆ นะครับ โดย ... วิวัฒน์ อัครวิเนค
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2550, 19:40:14 »

สิ่งที่มากับ ... ปลาดิบ

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

ปัจจุบันคนไทยนิยมรับประทานปลาดิบกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารญี่ปุ่น ด้วยรสชาติ และหน้าตาของอาหารที่ดูสะดุดตาชวนให้น่ารับประทาน ทำให้แทบจะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่เคยลิ้มลองอาหารจำพวกข้าวปั้น ซูชิ ซาซิมิที่มีปลาดิบเป็นส่วนประกอบ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าในปลาดิบนี้มีพยาธิ ... พิษภัยที่หลายคนคาดไม่ถึง

ดังนั้นเพื่อให้เพื่อนพนักงานทุกท่านได้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว ส่วนการแพทย์ จึงขอนำเสนอบทความเรื่อง " สิ่งที่มากับ...ปลาดิบ " ดังรายละเอียดใน File ที่แนบ

นพ.ปัญญา อัจฉริยวิวิธ

ผู้จัดการส่วนการแพทย์


สิ่งที่มากับปลาดิบ

● ปลาดิบ
ปลาดิบที่เรานำมาบริโภคนั้น มี 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ ปลาดิบน้ำจืด และปลาดิบน้ำเค็ม ( ปลาดิบทะเล ) ซึ่งปลาดิบทั้ง 2 ชนิด มีเชื้อโรคที่แอบแฝงมาแตกต่างกัน ปลาดิบน้ำจืดจะพบพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิตัวจี๊ด พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิใบไม้ลำไส้ ฯลฯ สำหรับปลาดิบน้ำเค็มนั้น คนส่วนมากมักคิดว่าไม่มีพยาธิ แต่ความจริงแล้ว ปลาน้ำเค็มอาจพบตัวอ่อนของพยาธิ อะนิซาคิส ซิมเพล็ก ( Anisakis simplex ) ซึ่งปลาดิบน้ำเค็มที่เรานำมาประกอบอาหารนั้น อาจมีการปนเปื้อนของพยาธิชนิดนี้


● รู้จักพยาธิอะนิซาคิส ซิมเพล็ก
พยาธิอะนิซาคิส ซิมเพล็ก ( Anisakis simplex ) เป็นพยาธิที่พบในปลาทะเลเขตอบอุ่นและเขตร้อน ในประเทศไทยตรวจพบตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ในปลามากกว่า 20 ชนิด เช่น ปลาดาบเงิน ปลาตาหวาน ปลาสีกุน ปลาทูแขก ปลากุเลากล้วย ปลาลัง เป็นต้น ส่วนในต่างประเทศจะพบในปลาจำพวก ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาเฮอริ่ง ระยะตัวอ่อนที่ติดต่อสู่คนจะอยู่ในอวัยวะภายในช่องท้องของปลาทะเล มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ขนาดยาวประมาณ 1-2 ซม. กว้างประมาณ 0.3-0.5 มม. สีขาวใส มีลายตามขวาง บริเวณส่วนปากจะมีหนามขนาดเล็ก บริเวณปลายหางจะมีส่วนแหลมยื่นออกมา พยาธิชนิดนี้จะใช้ปากที่เป็นหนามขนาดเล็กบริเวณหัวในการไชผ่านเนื้อเยื่อต่างๆ อีกทั้งยังสามารถคงทนต่อน้ำ เกลือ และแอลกอฮอล์ได้เป็นอย่างดี


● อาการผิดปกติ
เนื่องจากพยาธิชนิดนี้ขณะเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อสู่คน บริเวณปากของพยาธิจะมีหนามขนาดเล็ก ขณะเคลื่อนที่จะไชในกระเพาะอาหาร และลำไส้ของคน ทำให้เกิดแผลขนาดเล็ก และอาจทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ ส่งผลให้ผู้ที่มีพยาธิชนิดนี้ในกระเพาะอาหาร และลำไส้ มีอาการปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ ท้องอืด อาการมักไม่เฉพาะเจาะจงคล้ายกับอาการของโรคกระเพาะอาหาร บางรายอาจท้องเสีย หรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ถ้ามีแผลในกระเพาะขนาดใหญ่ อาการมักจะเริ่มเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารที่มีพยาธิชนิดนี้เป็นชั่วโมง หรืออาจเป็นวันก็ได้ และถ้าหากพยาธิชนิดนี้ฝังตัวอยู่ในทางเดินอาหารนานๆ จะทำให้เกิดลักษณะของก้อนทูมขึ้นในทางเดินอาหารได้ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายคนเราต่อพยาธิ


● การวินิจฉัยและการรักษา
การวินิจฉัยโรคอาศัยประวัติการรับประทานปลาดิบทะเล ร่วมกับอาการผิดปกติที่กล่าวข้างต้น และยืนยันการวินิจฉัยและการรักษาโดยการส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร หากพบตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ แพทย์จะใช้กล้องส่องทางเดินอาหารคีบตัวพยาธิออก เนื่องจากพยาธิชนิดนี้ไม่สามารถตรวจพบได้ในอุจจาระ มันจะเกาะติดแน่นกับกระเพาะอาหาร และลำไส้ ระยะที่พบในทางเดินอาหารนั้น เป็นระยะตัวอ่อนซึ่งไม่ออกไข่ปนออกมากับอุจจาระ

ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาพยาธิชนิดนี้ แต่จากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น โดยหัวหน้าทีมวิจัย โตชิโอะ ลิยามา พบว่า วาซาบิมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิชนิดนี้ได้ แต่รายละเอียด ขนาด และปริมาณการใช้วาซาบิเพื่อฆ่าพยาธิ ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา


● รับประทานปลาดิบอย่างไรไม่เป็นพยาธิ
ก่อนอื่นต้องแน่ใจว่าปลาดิบที่นำมาทำอาหารนั้นเป็นปลาทะเล เพราะบางครั้งผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์นำปลาน้ำจืดหลายชนิดมาทำอาหาร ทำให้เกิดโรคพยาธิตัวจี๊ด พยาธิใบไม้ในตับ หรือพยาธิใบไม้ลำไส้ ซึ่งมีความรุนแรงเช่นเดียวกับการติดโรคพยาธิอะนิซาคิส ซิมเพล็ก

การแช่แข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า -35 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 15 ชั่วโมง หรือต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 7 วัน หรือผ่านความร้อนมากกว่า 60 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 5 นาที ก่อนการประกอบอาหารจะทำให้พยาธิชนิดนี้ตายได้


นอกจากพยาธิบางชนิดที่พบในปลาดิบแล้ว ยังพบแบคทีเรียบางชนิด และเชื้อไวรัสตับอักเสบเอในอาหารดิบด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสุขอนามัยและความสะอาดของขั้นตอนการเตรียมอาหาร ดังนั้นถ้าคิดจะรับประทานปลาดิบ ควรดูให้แน่ใจก่อนว่าขั้นตอนการประกอบอาหารสะอาด ถูกหลักอนามัยหรือไม่ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อหลายชนิดจากปลาดิบ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2550, 00:34:51 »

อันตรายกลืนเมล็ด " กระท้อน " เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ไส้ทะลุ

นุชน้อย - อักษร ... ส่งมา



น.พ.นพวัชร์ สมานคติวัฒน์ ศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี รายงานว่า " เมื่อเร็วๆ นี้มีคนไข้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงมารักษา ที่โรงพยาบาล ซักประวัติได้ความว่า กลืนเม็ดกระท้อนลงไป ตอนกลืนก็ไม่มีอาการผิดปกติอะไร แต่วันรุ่งขึ้นมีอาการปวดท้อง และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีไข้สูง หน้าท้องแข็งเกร็ง ซึ่งเป็นอาการของเยื่อบุช่องท้องอักเสบจึงตัดสินใจผ่าตัดให้ พบว่ามีเม็ดกระท้อนอยู่ในช่องท้อง และพบรูทะลุบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร มีอุจจาระรั่วเข้ามาในช่องท้อง ทำให้มีเยื่อบุช่องท้องอักเสบรุนแรง จึงได้เย็บรูทะลุ แล้วก็เอาลำไส้ส่วนเหนือต่อรูทะลุมาเปิดหน้าท้องให้

นอกจากนี้คนไข้ยังติดเชื้อในกระแสเลือด ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ นอนดูอาการในห้องไอซียูอีก 10 วัน จึงดีขึ้น ตอนนี้คนไข้กลับบ้านได้แล้ว กรณีนี้เป็นข้อเตือนว่า การกลืนเม็ดผลไม้เป็นอันตรายมาก ถ้ากลืนลงไปแล้วเม็ดผลไม้นั้นผ่านหลอดอาหาร กระเพาะอาหารได้ตามปกติก็ถือว่าโชคดีไป เพราะร่างกายจะขับถ่ายออกไปได้โดยที่ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นวัตถุมีคมอาจทะลุทางเดินอาหารที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในช่องท้องได้ ... โดยเฉพาะเม็ดกระท้อน ถ้าสังเกตให้ดีจะมีปลายด้านหนึ่งแหลมกว่าอีกด้านหนึ่ง และเวลาที่เรากลืนมันจะลื่นๆ เนื่องจากมีส่วนเนื้อติดอยู่ แต่พอผ่านการย่อยและดูดซึม จะเหลือเฉพาะตัวเม็ดที่ค่อนข้างคม จึงตำทะลุลำไส้ออกมาได้ การกลืนเม็ดกระท้อนลงไปจึงถือว่าเป็นการเสี่ยงต่อการเกิดลำไส้ทะลุได้ เมื่อกัดกินเนื้อหมดแล้วควรคายเม็ดทิ้งไปเลย ไม่ต้องเสียดาย "

จากมติชน รายวัน ฉบับวันที่ 13 ก.ค. 44
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2550, 03:30:15 »

การฆ่าเชื้อในฟองนำล้างจาน

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 11:11:50 »

ไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้น ? ... " กลิ่นไม่พึงประสงค์ " น่ะซี

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

คุณรู้หรือไม่ว่า ช่วงเวลา 05.00-07.00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระแล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 07.00 - 09.00 น. ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร แล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออกจะถูกบีบตัวขึ้นมาจากลำไส้ใหญ่ ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร ก็จะถูกดูดซึมอีกครั้ง

ในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสียแล้ว เกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายซึ่งมีความร้อน 37 องศาตลอดเวลา ไม่เหมือนกับตู้เย็นที่เก็บได้นานกว่า เพระฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด


ถ้าเลือดไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ไหลผ่านสมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย

-ก่อนเที่ยงถึงบ่าย ง่วงนอนเพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงหัวใจ ๆ ก็จะอ่อนล้า ไม่สดชื่น

- มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ก็มาจากเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับออกทางผิวหนังและลมหายใจ ตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่น แต่คนอื่นได้กลิ่น

-ถ้าปล่อยไว้ไม่ขับถ่ายในช่วงเวลา 05.00 - 07.00 น. นาน ๆ เข้าเป็นระยะเวลาหลาย ๆ ปี เลือดที่ไม่สะอาดไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง และไม่กินอาหารมื้อเช้าช่วงเวลา 07.00-09.00 น. สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวความจำก็จะเสื่อมเร็ว


วิธีแก้ : พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น. ถ้าไม่ขับถ่ายให้กินขมิ้นชันเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่ และควรกินข้าวเช้าทุกวันระหว่างเวลา 07.00 - 09.00 น.
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 14 ตุลาคม 2550, 16:05:59 »

ยิ่งกินเยอะ ... น้ำหนักยิ่งลด




บันทึกการเข้า
webmaster
Administrator
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 852

« ตอบ #19 เมื่อ: 14 ตุลาคม 2550, 21:00:54 »

Oh hoo พี่เจี๊ยบขา ขอบพระคุณมากค่ะ อ่านจนจบแล้วตาลายเลยค่ะ
สงสัยไผ่จะต้องแอบมานั่งคัดหัวข้อที่น่าสนใจมากๆ ออกจากน่าสนใจธรรมดาแล้วล่ะค่ะ
เพื่อให้ผู้อ่านเข้าถึงมากขึ้นค่ะ เพราะว่าแต่ละเรื่องน่าสนใจและมีประโยชน์จริงๆ เลยค่ะ
บันทึกการเข้า

ORKS BEHIND THE SCENE
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #20 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2550, 14:34:18 »

Cheesy จ้า !   สงสัยไผ่คงสนใจเรื่องล่าสุดนี้ มากที่สุด แหงเลย ! ... มา มะ  มาต่อกันอีกซักเรื่อง ...

เดิน-วิ่งการกุศล ในเขาดิน

เหล่น-ประภาพรรณ - ครุ 16 ... ส่งมา

ชวนเดิน-วิ่ง การกุศล 80 พรรษาในหลวง ... เคเอฟซี เพื่อเขาดิน วันอาทิตย์ 4 พย. 6 โมงเช้า ที่สวนสัตว์ดุสิต จัดโดย เคเอฟซี ร่วมกับ เขาดิน สมาพันธ์ชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพไทยและ กทม. เพื่อนำรายได้ไปช่วยเขาดิน ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็กและครอบครัวไทยมา 70 ปี และแบ่งปันน้ำใจช่วยสัตว์น้อยใหญ่ ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมที่ดี ในวโรกาสมหามงคล

จุดสตาร์ท - ในเขาดิน ใกล้ร้านเคเอฟซี

ค่าสมัคร - 200 บาท จะได้เสื้อโปโลลายสิงสาราสัตว์ 1 ตัว ,และเมื่อเข้าเส้นชัยจะได้เหรียญที่ระลึก เลี้ยงอาหาร เครื่องดื่ม ฟรีที่เส้นชัย

ประเภท - ๐ มินิมาราธอน 10 กม. ตามเส้นทางที่กำหนด ... ๐ เดินเพื่อสุขภาพ 3 กม. ภายในสวนสัตว์

ติดต่อรับใบสมัคร - ร้านเคเอฟซี ทุกสาขาใน กทม. หรือสอบถาม โทร 02- 655-3131


เพื่อนๆ และครอบครัวมาร่วมออกกำลังกาย และได้กุศลด้วยกันนะ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2550, 10:37:43 »

รายละเอียดเพิ่มเติม การเดิน-วิ่งการกุศล จากเหล่นค่ะ

ปฏิทินกิจกรรม

เดิน–วิ่ง เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา... KFC เพื่อเขาดิน แบ่งปันน้ำใจให้สัตว์โลกผู้น่ารัก 4 พ.ย. 2550 ณ.สวนสัตว์ดุสิต ตั้งแต่วันนี้ – 4 พ.ย. 50

เคเอฟซี โดย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมกับ สวนสัตว์ดุสิตและสมาพันธ์ชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพไทย, จัดงาน เดิน–วิ่ง เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา... KFCเพื่อเขาดิน ในวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน เวลา 6.00 น. ณ สวนสัตว์ดุสิต รางวัลรวมกว่าหนึ่งแสนบาท เพื่อเชิญชวนประชาชนร่วมกันทำความดีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษาในปีนี้ และรายได้ทั้งหมดนำไปปรับปรุงป้ายกรงสัตว์ ซ่อมแซมสวนสัตว์และพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของสรรพสัตว์น้อยใหญ่

การแข่งขันในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.มินิมาราธอน กลุ่มอายุ ระยะทาง 10.5 กม. แบ่งเป็น
ชาย 7 กลุ่มอายุ ประกอบด้วยอายุต่ำกว่า 15 ปี, 16 - 29 ปี, 30 - 39 ปี, 40 - 49 ปี, 50 - 59 ปี, 60 - 69 ปี, 70 ปีขึ้นไป
ส่วนหญิงแบ่งเป็น 6 กลุ่มอายุ ประกอบด้วยอายุต่ำกว่า 15 ปี, 16 - 29 ปี, 30 - 39 ปี, 40 - 49 ปี, 50 - 59 ปี, 60 ปีขึ้นไป
เส้นทางของการแข่งขันมินิ มาราธอน ระยะ 10.5 กิโลเมตร เริ่มต้นจากสวนสัตว์ดุสิตเลี้ยวซ้ายไปตามถนนราชวิถี, เลี้ยวขวาถนนพิชัยและถนนสุโขทัย เลี้ยวซ้ายตรงโรงพยาบาลวชิระ ตรงไปสู่ถนนสี่เสาเทเวศร์ ถนนสามเสน เลี้ยวซ้ายสี่แยกบางลำพูมุ่งหน้าถนนพระสุเมรุ เลี้ยวซ้ายถนนราชดำเนินนอก เลี้ยวขวาผ่านหน้าวัดเบญจ มบพิตร เลี้ยวซ้ายถนนสวรรคโลก เลี้ยวซ้ายวกกลับเข้าเส้นชัย ณ สวนสัตว์ดุสิต และ

2.เดินเพื่อสุขภาพ (Fun Run) ไม่มีการแข่งขัน ระยะ 3 กิโลเมตร ภายในสวนสัตว์ดุสิต

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและขอรับใบสมัคร ได้ที่ร้านเคเอฟซีทุกสาขาในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จุดรับสมัคร ได้แก่ สมาพันธ์ชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพไทย, บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เบรนเอเซีย จำกัด, หรือสามารถสมัครที่หน้างานวันที่ 3 – 4 พ.ย. ใกล้ร้านเคเอฟซีในเขาดิน โดยครั้งนี้มีเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่าหนึ่งแสนบาท หรือสอบถามโทร.02-655-3131 คุณอภิสรา 081-422-2178 , www.kfc.co.th

-------------------------------------------------

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท เบรนเอเซีย จำกัด
โทร. 02-655-3131, โทรสาร. 02-655-3124
รัตติยา โทร. 086-973-9863, อภิสรา โทร. 081-422-2178
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #22 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2550, 17:14:44 »

Strawberry อันตรายมาก

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา


บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #23 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2550, 17:17:35 »

อันตรายจากแบตเตอรี่ .... เพราะไฟแช็กอันเดียว

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

สาเหตุมาจากน้องผมขับรถอยู่แล้วเครื่องดับ ก็เลยลงไปเปิดฝากระโปรงรถดู แต่ด้วยความซวย มันมืดครับ มองไม่เห็นก็เลยนำไฟแช็กมาจุดดู และแล้วน้องผมก็สงสัยว่าน้ำกลั่นหมดหรือเปล่า เลยเปิดฝาน้ำกลั่นดู เท่านั้นแหละครับ ตูมเลย แบตระเบิดออกทางด้านข้างปรากฏว่าน้องผมถูกน้ำกรดกระเด็นเข้าตาทั้ง 2 ข้าง ส่วนเพื่อนก็โดนเข้า 1 ข้าง ตอนนี้รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลกรุงไทย แถวๆ ปากเกร็ด ซึ่งบาดแผลตอนนี้แพทย์ยังไม่สามารถบอกได้ว่าตาจะบอดหรือไม่ จึงอยากจะเตือนเพื่อนๆว่ามันเป็นอะไรที่คิดไม่ถึง ที่จริงไม่น่าเลยครับ

เหตุที่แบตระเบิดเพราะว่า เวลาเราปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปในสารละลายในแบตเตอรี่ มันจะเกิดก๊าซ ไฮโดรเจนภายในแบต เมื่อเปิดฝาน้ำกลั่นและมีประกายไฟก็จะติดไฟ ระเบิดทันที


ดังนั้นห้ามก่อให้เกิดประกายไฟในห้องเครื่องรถยนต์ เวลาจะดู ต้องใช้ไฟฉายเท่านั้น
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2550, 17:20:21 »

ภัยอันตราย ! ที่คาดไม่ถึง แต่เกิดขึ้นจริง กับพนักงานโตโยต้า

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

ผู้ประสบเหตุชื่อ นางเขมกร เหลืองวิสุทธิ์ศิริ
แผนก / รหัสพนักงาน VL - G/W / 2907
เบอร์ติดต่อ 4390 หรือ 71017 หรือ 081-805 9812
วันที่เกิดเหตุ ศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2550 เวลาประมาณ 18.00 น.
สถานที่เกิดเหตุ บริเวณ ศูนย์การค้าตะวันออก Complex จ. ฉะเชิงเทรา
บุคคลอ้างอิง นายศุภชัย บุญสวน เป็นพนักงาน VL-G/W ( เป็นผู้ที่ดิฉันโทรขอความช่วยเหลือ เนื่องจากอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากที่สุด )


เมื่อเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ของวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2550 หลังเลิกงาน ดิฉันก็เดินทางไปที่ Complex เพื่อไปซื้อของ แถวๆ บริเวณตลาด Complex ( ซึ่งปกติก็ไปอยู่เป็นประจำ ) ขณะที่เดินดูของ ก็ปรากฎว่า มีคนมาจับแขน เมื่อหันกลับไปดู ก็พบว่าเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งไม่รู้จัก ดิฉันก็ได้สะบัดแขนออกอย่างเร็ว แล้วก็พบว่าเป็นผู้หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมๆ เค้าก็ถามว่า ...

ผู้หญิงแปลกหน้า " คุณอยู่โตโยต้า ใช่ไหม ? " ก็ดิฉันใส่เสื้อยึด มีโลโก้ TOYOTA
ดิฉัน " ค่ะ "
ผู้หญิงแปลกหน้า " ขอถามทางหน่อย จะไปวังน้ำเย็น ต้องนั่งรถอะไรไป "
ดิฉัน " ไม่ทราบค่ะ ลองถามแม่ค้าดีกว่าค่ะ "

แล้วดิฉันก็หันหลังเดินจากมา ประมาณ ไม่เกิน 5 วินาที ก็มีอาการเหมือนคนจะเป็นลม แต่มันรุนแรงตรงที่่เหมือนหัวหมุนๆ แล้วรู้สึกหมดแรง จะล้มให้ได้ และก็มีอาการอาเจียนตามมาอีก ดิฉันก็ได้นั่งลงและอาเจียน ในขณะนั้น ผู้หญิงคนนั้นมองดูเราอยู่ ดิฉันพยายามจะเรียกให้ น้องๆ ผู้ชายโตโยต้า 2 คน ที่เดินผ่านหน้าไป แต่ไม่มีแรงจะเรียก ก็พยายามประคองตัวเองเดินมานั่ง ที่ศาลารอรถโดยสารหน้า Complex

เบื้องต้น ได้โทรหาแฟน แต่เค้ายังอยู่ที่ทำงาน คงอีกนานกว่าจะมาถึง จึงได้โทรหาน้องที่ทำงานแผนกเดีียวกับดิฉัน คือนายศุภชัย บุญสวน ซึ่งเลิกงานมาพร้อมกัน และกำลังขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้าน ให้รีบมาหาดิฉันด่วน ! เพราะดิฉันไม่ไหวแล้ว ไม่มีแรงจะล้มให้ได้ อาการเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้นมีคนรอบๆ ตัวมากมาย แต่ดิฉัน ไม่กล้าไว้ใจใคร ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงมองอยู่ จนกระทั่งนายศุภชัย มาถึง และดิฉันบอกให้พาดิฉันออกไปจากตรงนั้นโดยเร็ว โดยตรงไปยังปั้มน้ำมันที่ใกล้ที่สุด

พอไปถึงปั้มน้ำมัน ดิฉันก็ไป อาเจียนอีก 2-3 ครั้ง และได้ใช้น้ำล้างหน้า และล้างแขน ก็ปรากฎว่าตรงบริเวณข้อพับแขน ที่ผู้หญิงคนนั้นจับ เป็นผื่นๆ เม็ดเล็กๆ บริเวณที่โดนจับ .... ในที่สุด ดิฉันก็ปลอดภัย เพราะความรวดเร็วในการมาช่วยเหลือของนายศุภชัย ต้องขอขอบคุณ
นายศุภชัย บุญสวน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ( ทางครอบครัว ก็ได้ฝาก คำขอบคุณ ... มาด้วย )


ดิฉันอยากจะเตือน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เป็นผู้หญิง ที่ไปไหนมาไหนคนเดียว ให้ระมัดระวังตัวด้วย รวมถึงไปบอก ภรรยา ลูกสาว น้องสาว พี่สาว ฯลฯ อย่าให้คนแปลกหน้ามาจับแขน หรืออย่าไปพูดคุยกับคนที่เราไม่รู้จัก อย่าไว้ใจใคร ภัยอันตรายมีรอบตัวเรา ... ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ กับทุกๆ คน พวกคุณ ... คงไม่โชคดี เหมือนดิฉัน ในครั้งนี้
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #25 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 00:23:44 »

4 เรื่องสุขภาพ ..... เอามาฝากด้วยความปรารถนาดี
 
พี่วิวิธ  ดวงรัตน์ - วิศวะ 07 ... ส่งมา

1. ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน

คำตอบคือกินสายกลาง  กินสายกลางคือกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง  งดมื้อเย็น  เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์   ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า  รถจึงจะวิ่งได้   ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด   เติมอีกครั้ง    ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมด ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า  มื้อเที่ยง  จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน   ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก   เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ   โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก   การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก   ทำให้อ้วน   และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ  จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด   รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน   เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง   อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน   เช่นถ้าตันที่สมอง  จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก   ถ้าอุดตันที่ไต  ต้องล้างไต  เปลี่ยนไต   ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ   ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร    ฉะนั้นการกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย  เป็นมื้อตายผ่อนส่ง   ยิ่งกินมื้อเย็นมาก  ยิ่งผ่อนส่งมาก  ตายเร็ว  ถ้าไม่กินมื้อเย็น  ก็จะแก่ช้า  เสื่อมช้า  อายุยืน การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก  ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส  สุขภาพดี   อายุยืน   และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง  ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ  แต่ท่านต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน    วิธีฝึกมี 4 วิธี
 
1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น  ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน  เหลือ1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน  โดยมีข้อแม้ว่าหลังอาหาร เย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน  ต่อไปครึ่งจาน  ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ  ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น

2. ร่นเวลากินอาหารเย็น  เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม  ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น  5 โมงเย็น  4 โมงเย็น  3 โมงเย็น
 
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น  ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที   ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว
 
4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น  การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ  ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้  ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม.  กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า  มื้อเที่ยงได้ทัน  ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น  จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด  ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน
             
 
2. โรค Attention Deficit Trait ดย ผศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์     pasu@acc.chula.ac.th
 
ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับ ?  คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลาย ๆ อย่างไปในขณะเดียวกัน เช่นในขณะที่กำลังเช็คอีเมลทางคอมพิวเตอร์ ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า  ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด  แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่า การทำงานในลักษณะ Multitasking นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน ที่เราเรียก Attention Deficit Trait หรือ ADT โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้น ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพักท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่?
 
ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548 ในบทความชื่อ
Why Smart People Underperform เขียนโดย Edward M. Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้งหลาย คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit Disorder หรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น
 
ผู้เขียนบทความนี้เขาพบว่า ในช่วงหลังๆ เริ่มมีผู้ใหญ่เข้ามารับการรักษาในอาการที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้นกันมากขึ้น แต่เมื่อวินิจฉัยดูก็ไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น แต่เป็นโรคอีกชนิดหนึ่งที่มีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น คุณหมอท่านนี้เลยตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น Attention Deficit Trait หรือ ADT โดยสาเหตุของ ADT จะต่างจากโรคสมาธิสั้น เนื่องจากโรคสมาธิสั้นจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและสภาวะแวดล้อม แต่ ADT นั้น จะมาจากสภาวะแวดล้อมเป็นหลัก
 
ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ ก็จะถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน (แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น) ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา
 
โรค ADT นี้ มักจะเริ่มก่อเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่มีความรู้สึกว่ามีงานด่วน หรือสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น เราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้งๆ ที่กำลังความสามารถ และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา  ดังนั้น เมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลา พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็ว
 
การทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง (Unfocused) แต่ในขณะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
 
ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น? ง่ายๆ ก็คือ ทำให้สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง จะส่งผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น
 
โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบัน ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ (เรามักจะคิดว่าในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า)
 
ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์ ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด ปุ่มนั้นก็คือปุ่ม "ปิดประตู" เนื่องเพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง
 
***ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเป็นโรค ADT กันบ้างไหมครับ ผมลองสังเกตตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนกันครับ ทั้งสาเหตุและอาการก็เหมือนกับที่คุณหมอเขาเขียนไว้ในบทความของเขาเลยครับ เพียงแต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจนะครับ ถ้ารู้สึกว่าตนเองเป็น ADT เนื่องจากคนแต่ละคนจะมีวิธีการในการบริหารและจัดการกับโรค ADT ที่ต่างกัน (เนื่องจากสมองของคนแต่ละคนต่างกัน)***

 
3.  ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง
  
ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์   กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซนต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด
 
เลือดเราจะข้นหนืด  ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง
 
จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตุได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้   และก็ฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน   รอให้เส้นเลือดอุดตันได้เลย
 
ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตก และไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติ ร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด  
 
ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
 
1. ไต   ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่   ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด   ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง  ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน   ขับออกมาทางประจำเดือน


4. เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง - เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy
 
วิธีวินิจฉัยอาการ  แพทย์แนะว่า  คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ
 
 โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนีh

 S:  (smile) ให้ผู้ป่วยยิ้ม
 T:  (talk) ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์  เช่น  วันนี้อากาศสดใสดีจัง
 R:  (raise) ให้ผู้ป่วยชูแขนสองข้าง
 
อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง  ใช่แล้ว ส่ออาการอันตราย !!!
 
ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง  ให้รีบติดต่อแพทย์ ส่ง ร.พ.โดยด่วน
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #26 เมื่อ: 08 มกราคม 2551, 11:30:39 »

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็ง ชนิดต่าง ๆ

สุรีย์ เลิศไพชัยยนต์ - ครุ 16 ... ส่งมา

อาการผิดปกติ ที่อาจจะบ่งชี้ถึงการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

1. มะเร็งปากมดลูก

อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวด และมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

2. มะเร็งในมดลูก

อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อ หรือมีอาการบวมในช่องท้อง

3. มะเร็งรังไข่

อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ มีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย )

อาการ เหนื่อยง่าย และมีร่งกายซีดเซียวกว่าปกติ มักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่าย โดยไม่ทราบสาเหตุ และมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกาย บางครั้งจะท้องอืด และเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

5. มะเร็งปอด

อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออก และมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอก และหายใจลำบาก หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ

อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาและผิวเป็นสีออกเหลือง และเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง

อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียน หรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน เช่น มีอาการชา และเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษ หากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก

อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานาน มีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน


10. มะเร็งในลำคอ


อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับ และรู้สึกได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร

อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาเจียนออกมาเป็นเลือด ท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งเต้านม

อาการ มีเลือด หรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนม บวม หรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น มีก้อนบวมจนจับได้ เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่ม หรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานาน ควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คน จะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อน ว่าคืออะไรกันแน่

13. มะเร็งลำไส้

อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดท้องอย่างมาก และระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ

*** ซึ่งมีวิธีสังเกตเปรียบเทียบกับผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้ว คือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้ว เลือดมีสีแดงสด นั่นคืออาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำ นั่นคืออาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

อาการ มีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้ หรือใต้ขาหนีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย

15. มะเร็งผิวหนัง

อาการ  มีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน ตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้น และมีการเปลี่ยนสี หรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระ จุดด่าง หรือไฝ ถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกาย หรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อน คุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 09 มกราคม 2551, 00:59:11 »

เราไปหาของอร่อยๆ กินกันดีกว่า !

โดยปกติ  คนเราจะใช้พลังงานวันละ 2,100 กิโลแคลอรี่  ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักควรจะรับประทานอาหาร วันละ 1,100 กิโลแคลอรี่ ( ที่มา ... ศูนย์ลดความอ้วน  โรงพยาบาลยันฮี  จรัญสนิทวงศ์ 96 )

โห !  ... แล้วจะเหลืออะไรให้เรากินได้ มั่งล่ะเนี่ย ?














ร่อยจังฮู้ !
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #28 เมื่อ: 14 มกราคม 2551, 13:03:55 »

Mission Banana !

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่วมา



กล้วยหอมมีน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด  คือ  ซูโครส ( sucrose )  ฟรุคโตส ( fructose )  และกลูโคส ( glucose )  รวมทั้งเส้นใยอาหาร  มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที  เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบ ให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที  ไม่ต้องสงสัยเลยว่านักกีฬาระดับโลกมักกินกล้วยหอมกัน ( เคยเห็นในสนามเทนนิส .... พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอมมากัดกินสัก 2-3 คำ )  ยังไม่หมดนะ .... เจ้ากล้วยหอมยังมีคุณอนันต์  ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆ ของร่างกายได้อีกด้วย  อาทิ

โรคเศร้าซึม  จากการสำรวจ  และวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม  พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม  เพราะว่ามี tryptophan   ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง  ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin  ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย   อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

Pms  (  prem enstrual syndrome )   สำหรับสุภาพสตรี   ก่อนที่จะมีประจำเดือน  อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย  ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย ... เช่นปวดท้อง  ปวดหัว ...ฯลฯ  กินกล้วยหอมแล้ว  ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย  มันสามารถป้องกันได้อย่างดี

โรคโลหิตจาง   (Anemia )  ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถกระตุ้นร่างกายให้ผลิต Hemoglobin ในกระแสโลหิต  ช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้

ความดันโลหิต   (Blood Pressure )  กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ  เป็นตัวช่วยความดันเลือด  แม้แต่
US Food and Drug Administration  ยังได้อนุมัติให้กล้วยหอมเป็นยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง

เสริมสร้างพลังสมอง  ( Brain Power )   ในแค้วน Middlesex  ประเทศอังกฤษ  มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school  อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า  รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยตอนมื้อเที่ยง   เพื่อทำให้สมองสดชื่น   เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ

อาการท้องผูก  ( Constipation )  เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดี

เมาค้าง ( Hangovers ) วิธีแก้เมาค้างที่เร็ว และดีอีกวิธีหนึ่ง  ก็คือกินกล้วยหอมปั่น banana milkshake  โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย   ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้ง  และสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด  และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น ......

จุกเสียดแน่นท้อง  ( Heartburn )  กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่  ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว

Morning Sickness  หญิงตั้งครรภ์มักจะมีอาการวิงเวียนศีรษะในตอนตื่นนอน  และก่อนจะลุกจากเตียง  เนื่องจากการแพ้ท้อง   ถ้าได้กินกล้วยหอมสักคำสองคำ  มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด  และแก้อาการดังกล่าวได้

บรรเทาแผลยุงกัด  ก่อนที่จะใช้ยาทา   ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด  จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้

ระบบประสาท  ( Nerves )  วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียดอ่อนล้าได้

อ้วนจากทำงานมากเกินไป  ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า   ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ต  และโปเตโต้ชิปส์มากเกินไป  ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น   ถ้าเปลี่ยนมากินกล้วยหอมสักเล็กๆ น้อยๆ ประมาณทุกๆ 2 ชม.  มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด  และลดการอยากกินของจุกจิกลงได้

แผลในลำไส้  และกระเพาะอาหาร  รวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล ( Ulcers )  สารอาหาร  และเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เ ล็กดีขึ้น   รวมทั้งกรดต่างๆ ที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ  ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้

ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย ( Temperature Control ) ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน  ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกัน  และเชื่อว่ามันเป็นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง   อย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล้วยหอมเป็นประจำ  เพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล  เป็นต้น....so cool....

ลดความอยากสูบบุหรี่  สำหรับคนที่ต้องการเลิกบุหรี่  กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12  โปแตสเซียมและแม็กนีเซียมที่มีอยู่มาก  จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน  เห็นไหมครับว่ากล้วยหอมนั้นเป็นยอดผลไม้จริงๆ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 24 มกราคม 2551, 23:57:20 »

ผู้หญิงพึงระวังภัยจากเครื่องสำอางค์

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

เรื่องนี้สำหรับสาวๆ โดยเฉพาะ เพราะนักวิทยาศาสตร์ในประเทศอังกฤษ เตรียมออกโรง เตือนสาวรักสวยรักงามทั้งหลาย ให้ระวังสารเคมีชนิดใหม่ ที่เป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม



ซึ่งสารที่ว่านี้มันเป็นส่วนประกอบที่ปนอยู่ในเครื่องสำอางแวววาว อาทิเช่น ลิปสติก ลิปกรอส และ ยาทาเคลือบเงาเล็บ ซึ่งสารดังกล่าวที่ว่านี้มีชื่อว่า สาร BBP (butyl benzyl phthalate) โดยนักวิจัยได้ทำการค้นคว้าจนรู้ว่า สาร BBP นั้น มีฤทธิ์เข้าไปรบกวนการพัฒนาระบบเนื้อเยื่อของเต้านม มีนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหลายคน ได้ออกมาประท้วงห้ามอุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั้งหลายว่าให้หยุดผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้เกิดเงา

ขณะนี้ ได้มีทีมงานนักวิทยาศาสตร์ของทางศูนย์มะเร็งThe Fox Chase Cancer Centre ในเมืองฟีลาเดเฟีย ระบุว่า " สาร BBP เป็นสารที่สะสมอยู่ในเซลล์ไขมันของมนุษย์ทุกคน ถ้าเมื่อใดที่ไขมันเพิ่มขึ้น สาร BBP มันก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อนั้นความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมก็จะเพิ่มขึ้นตามมานั่นเอง "

ทีมงานของ The online journal BMC Genomics ได้เปิดเผยถึงผลการทดลองของนักวิจัยที่ได้ทำการทดลองในหนู โดยการเติมสาร BBP เข้าไปในอาหารของแม่หนู จากนั้นปล่อยให้แม่หนูได้ให้นมลูกหนูตามปกติ ปรากฏว่าระดับของสารเคมี BBP ในลูกหนูได้เพิ่มปริมาณขึ้นเป็นลำดับ จนลูกหนูนั้นมีปริมาณของสาร BBP ในร่างกาย มากกว่าแม่หนูหรือเกือบจะสมดุลกับสาร BBP ที่ร่างกายมนุษย์ได้รับ กล่าวได้ว่า สาร BBP ตัวนี้ สามารถส่งผ่านได้ทางน้ำนม จากแม่หนูสู่ลูกหนูที่มีฤทธิ์ในการดัดแปลงเซลล์พันธุกรรมในต่อมน้ำนมของลูกหนูเพศเมียได้อย่างเป็นอย่างดี

นักวิทยาศาสตร์ ยังกล่าวอีกว่า " ถึงแม้ว่า ในการทดลองผสมสาร BBP ลงไปในอาหารของแม่หนูแต่ละครั้ง จะทำในปริมาณที่น้อยนิด แต่การเปลี่ยนแปลงช้าๆนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและเซลล์ต่างๆในร่างกาย ของลูกหนูในระยะยาวเลยทีเดียว "

นอกจากนี้ สาร BBP ยังประกอบอยู่ในชั้นบรรยากาศในสภาพแวดล้อมที่คงที่ ถ้าใครได้รับมันผ่านการสูดดมเข้าไปในปริมาณมากๆ หรือได้รับมันผ่านเข้าไปทางระบบย่อยอาหาร สารชนิดนี้จะแผ่ขยายไปยังอวัยวะอื่นๆในร่างกาย ซึ่งรวมไปถึงเต้านมอีกด้วย

ผลการวิจัยนี้ สามารถประมาณการณ์ได้ว่า กลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้ง่ายที่สุด นั่นคือ กลุ่มเด็กสาว ที่มีพัฒนาการเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นที่เร็วกกว่าคนปกติการพัฒนาของเซลล์พันธุกรรม และเต้านมที่เจริญเติบโตได้ดีกว่าเด็กสาววัยรุ่นธรรมดา หรือที่เรียกว่าเป็นสาวเร็วนั่นเอง.
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: 28 มกราคม 2551, 15:13:55 »

ตะคริว

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

ตะคริวนี้มักเกิดขึ้นในตอนเช้ามืด เป็นระยะเวลาสั้นๆ บางคนจึงใช้วิธีนอนนิ่งๆ ทนปวด ค่อยๆยืดขา ดัดปลายเท้า บีบนวดสักพักใหญ่ๆก็หาย แต่เมื่อเร็วๆ นี้ มีหมอประจำทีมนักกีฬาโอลิมปิกของอเมริกาได้พบตำรับเคล็ดลับแก้อาการเป็นตะคริว ได้ผลชะงัดมาก เพียงแต่ให้เอานิ้วหัวแม่มือ กับนิ้วชี้ หนีบริมฝีปากบนไว้ไม่เกิน 1 นาที ตะคริวจะหายได้อย่างมหัศจรรย์ บอกไม่ได้ว่าทำไมจึงหาย * แต่บอก ได้ว่าได้ผลเกิน 80% เป็นตะคริวคราวหน้า ก็ลองทำดูนะจ๊ะ *
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #31 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2551, 14:08:25 »

สุขภาพดี เริ่มต้นที่ลำไส้

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

เมื่อคืนนี้ดิฉันมีอาการนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่ปกติเป็นคนที่หัวถึงหมอนก็หลับได้ทันที พลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบว่าวันนี้เราไปทำอะไรมาบ้าง ก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เรามีชีวิตที่รีบเร่งจนลืมทำธุระสำคัญยิ่ง นั่นคือการขจัดเอาของเสียออกจากร่างกาย เพราะรีบออกจากบ้านตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืดมิด ไปว่ายน้ำแล้วเจอะเจอเพื่อนที่ไม่ได้พบกันนาน คุยกันตั้งแต่ในสระน้ำจนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ แล้วก็ต้องรีบไปทำธุระทีนัดไว้ กว่าจะเสร็จเอาช่วงบ่ายก็รีบกลับบ้านที่เขาใหญ่ เมื่อมาถึงก็มัวติดพันอยู่กับธุระในครัว จนอาบน้ำเสร็จมารู้ตัวอีกทีก็นอนตาไม่หลับเสียแล้ว เมื่อนึกได้ดังนี้ดิฉันจึงรู้สาเหตุของการนอนไม่หลับ รีบลุกขึ้นมาบริหารท่าโยคะที่ช่วยให้ลำไส้บีบตัว ดื่มน้ำอีกทางหนึ่ง ปรากฏว่าไม่ถึง 10 นาทีก็ต้องรีบเข้าห้องน้ำจัดการกับการถ่วงหนักในลำไส้ไปเสียได้ จึงได้นอนตาหลับเสียที

บางคนอาจจะคิดว่าสุขภาพที่ดีต้องเริ่มต้นที่การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือออกกำลังการสม่ำเสมอ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับดิฉันแล้วคิดว่าสุขภาพดีเริ่มต้นที่การขจัดเอาขยะในร่างกายเราทิ้งไปเสียก่อน

ประเทศสหรัฐอเมริกาได้หาข้อมูลเมื่อหลายๆ ปีมาแล้วว่า ผู้ชายอเมริกันขนาดมาตรฐานคนหนึ่งๆ นั้นจะมีขยะที่ร่างกายไม่ต้องการตกค้างอยู่ในลำไส้ถึงคนละ 5 กิโลกรัม ( จนถึงปัจจุบันนี้อาจจะมากกว่า 5 กิโลกรัมก็ได้เพราะลองพิจารณาดูหุ่นของคนอเมริกันดูก็แล้วกัน ) ฟังแล้วอาจจะนึกว่าคนเรานี่สามารถเก็บของเสียของเน่าไว้ในร่างกายมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ คนเรากินอาหารเฉลี่ยกันวันละ 3 มื้อ แล้วบางคนยังกินจุกกินจิบระหว่างมื้ออีก ถ้าลองเอาอาหารที่กินใน 1 วันวางกองเข้าไวในถาดคงจะได้กองโตอยู่ อาหารพวกนี้ ถ้าเราค่อยๆ บรรจงเคี้ยวให้ละเอียดเนียนดีก่อนกลืนมัน ก็คงจะซึมไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้มาก ได้ดี และคงจะซึมซับไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้มาก ได้ดี แต่ถ้าเคี้ยวแบบกลัวใครจะมาแย่งกิน ก็คงจะหยาบ ร่างกายย่อยยาก ย่อยไม่ได้ ก็ส่งผลไปถึงลำไส้ใหญ่ที่จะบีบคั้นออกมาเป็นของเสียให้เราขับออกทางทวาร มีใครลองเทียบกันไหมว่าเจ้าของเสียที่ออกมากับอาหารกองโตที่เรากินเข้าไปนั้น มันจะพอๆ กันหรือเปล่า หรือมากน้อยกว่ากันเท่าไร

มีข้อมูลที่ได้จากการวิจัยอันน่าสนใจว่า สำหรับคนที่ชอบกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันและเนื้อสัตว์สูงนั้น จะถ่ายอุจจาระประมาณวันละ 3-4 ออนซ์เท่านั้น และใช้เวลาให้อาหารเดินทางนับตั้งแต่ใส่เข้าปาก จนออกมาทางทวารนั้นถึง 2-3 วันทีเดียว ยิ่งในรายผู้สูงอายุหน่อยที่ระบบอะไรต่อมิอะไรมันชักจะด้อยประสิทธิภาพลง ก็อาจใช้เวลามากกว่า 1 อาทิตย์ ( ฟังแล้วน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่กำลังจะสูงอายุเช่นดิฉัน ) ส่วนคนที่ชอบกินผักผลไม้มากๆ คือชอบอาหารประเภทเส้นใย จะถ่ายอุจจาระวันละประมาณ 13-17 ออนซ์ และใช้เวลาให้อาหารเดินทางกว่าจะออกมา เป็นเวลาประมาณ 20-30 ชั่วโมง

นั่นแปลว่า อะไรต่อมิอะไรที่ใส่เข้าไปทางปากทั้งหมดนั้นไม่ได้ออกมาหมดหรอกนะ ต้องมีที่ตกค้างบูดเน่าอยู่ในท้องในไส้เราเป็นแน่ มีนักเรียนที่มาเรียนทำอาหารสุขภาพกับดิฉันท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เธอเป็นโรคท้องผูกแบบคลาสสิกมาก ผูกเป็นปกติ ไม่ไล่ไม่ออก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอปวดท้องมากจนทนไม่ไหว จึงเอาน้ำสบู่ฉีดสวนเข้าไปอย่างแรง และก็พลันมีก้อนแข็งๆ เท่าลูกบอลลูกเล็กลูกหนึ่งหล่นพรวดออกมา ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร มันอัดกันกลม แข็ง แน่น เหนียว อย่างน่าสยดสยองที่เดียว

อาการเกี่ยวกับการมีของบูดเน่าค้างเป็นขยะอยู่ในร่างกายเรานี้ แสดงออกมาได้หลายอย่าง เป็นต้นว่า ท้องอืดแน่น เรอเหม็นเปรี้ยว มีลมในท้อง ท้องผูก ท้องเสีย หรืออาการถ่ายไม่ปกติ บางทีอาจปวดหัว หรือนอนไม่หลับ อาจผิวพรรณไม่ผุดผ่อง หรือมีผื่นคัน เป็นต้น สิ่งสำคัญก็คือ ขืนเรายังทำตัวเป็นนักอนุรักษ์ของเก่าไว้ในร่างกายเรา นานๆ เข้าร่างกายเราก็ดูดซับเอาของเสียนี้กลับมาเลี้ยงร่างกายต่อไป เป็นบ่อเกิดของโรคภัยต่างๆ ได้

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราก็ควรทำลำไส้ของเราให้สะอาด อย่าให้มีของเน่าตกค้างอยู่มากมาย พยายามกำจัดมันเสีย ก่อนอื่นเรามาดูกันว่าลำไส้ของเรานั้นมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง

อันลำไส้ใหญ่นี้ อยู่ในช่องท้องด้านล่าง ถัดจากทวารขึ้นไปยาวประมาณ 5 ฟุตกว่า มีหน้าที่รับเอาเจ้ากากอาหารที่เหลือขั้นสุดท้าย ที่ร่างกายย่อยไม่ได้แล้ว มาจัดการบีบ รีดเอาน้ำและสารอาหารพวกวิตามิน เกลือแร่ออกมาให้หมดเป็นครั้งสุดท้าย รีดของดีๆ ออกมาได้เท่าไรก็ส่งกลับผ่านตับไปเลี้ยงร่างกายต่อไป ส่วนกากที่เหลือ ลำไส้ก็จะขยับรัดตัวไล่ให้กากนี้เลื่อนเคลื่อนตัวออกไปให้พ้นจากร่างกาย ผ่านทางทวาร ถ้าหากมีอะไรที่ไม่ดี เป็นอันตรายต่อผนังลำไส้ที่มีหน้าที่ดูดซับผ่านมา ลำไส้ก็จะป้องกันตัวเองด้วยการผลิตเมือกปิดกั้นผนังไว้ไม่ระคายเคืองได้ ถ้าขืนเรายังใส่ของไม่ดีให้ร่างกายต่อไป ร่างกายก็จะสร้างเมือกนี้ไปเรื่อยๆ มากขึ้นๆ จนอาจเหลือทางให้กากอาหารเดินผ่านแคบลงๆ และยังอาจทำให้ระคายเคือง ผนังลำไส้ก็จะปูดออกตรงโน้นตรงนี้ เกิดเป็นอาการลำไส้อักเสบได้ และเมื่ออักเสบมากขึ้นก็ย่อมเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้

คราวนี้ในลำไส้ของเราก็จะต้องมีแบคทีเรียอยู่ 2 ชนิด คือ ตัวดี และตัวเลว ลำไส้ที่แข็งแรงมีประสิทธิภาพจะต้องมีแบคทีเรียชนิดดีมากๆ และมีชนิดเลวน้อยๆ บางทีเราอาจจะนึกไม่ถึงว่าเราเองนั้น เป็นผู้สะสมเลี้ยงดูเจ้าแบคทีเรียชนิดเลวไว้อย่างมากมายในลำไส้ของเราเองนี้ แบคทีเรียชนิดเลวอาจเกิดจากการบูดเน่าสะสมของเสียในลำไส้ หรือการกินของที่ทำให้เกิดการบูดเน่า เช่น มีการวิจัยว่าการกินเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดจากการบูดเน่าในลำไส้ได้ ส่วนแบคทีเรียชนิดดีนั้น ก็อาจมาจากการกินอาหารที่ดี การไม่สะสมของบูดเน่าไว้ในลำไส้ ของหมักดองบางชนิดที่เกิดจากการหมักดองด้วยวิธีธรรมชาติ จะทำให้เกิดแบคทีเรียที่ดีได้ เช่น โยเกิร์ต หรือเต้าเจียวที่เกิดจากการหมักจากธรรมชาติ เป็นต้น และการกินยาประเภทยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะ ( Antibiotics ) จะเป็นการทำลายแบคทีเรียชนิดดีให้ล้มตายระเนระนาดเลยทีเดียว ข้อนี้ต้องระวังกันให้มากเพราะเห็นคนไทยเรานี้ อึกอักก็กินยาปฏิชีวนะกันเป็นว่าเล่น แม้แต่เด็กเล็กๆ

แบคทีเรียชนิดที่ดีจะทำหน้าที่ควบคุมชนิดเลวไว้ว่าไม่ให้กำเริบโอหัง จงอยู่อย่างสงบ มันจึงทำหน้าที่ควบคุมอาการท้องร่วง ท้องผูก ช่วยลดคลอเรสเตอรอล และช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารได้ดีขึ้นอีกด้วย

คราวนี้มาถึงวิธีที่เราควรจะดูแลลำไส้ใหญ่ของเราให้มีสุขภาพดี ที่ทำได้ด้วยการใส่ใจในเรื่องต่างๆ ดังนี้

• เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน อย่าทำตัวเป็นเด็กวัด หรือเด็กนักเรียนประจำที่กลัวว่าจะอดกิน ให้หัดให้เป็นนิสัยที่จะค่อยๆ เคี้ยว ค่อยๆ กลืน แล้วก็อย่าพูดมากเวลากินอาหาร

• เลือกอาหารที่กิน รู้ว่าอะไรไม่ดีจะไปบูดไปเน่าหรือย่อยยาก ไขมันเยอะ ของทอด ของเสียก็หลีกเลี่ยงเสีย นึกเสียว่านี่เราจะดันทุรังกลืนเอาของเน่าเข้าไปทำไม หัดกินของที่มีเส้นใยมากขึ้น

ดูแลเรื่องขับถ่ายในชีวิตประจำวันให้สม่ำเสมอ หมั่นสังเกตว่าการขับถ่ายของเราเป็นอย่างไร ที่ออกมานั้นสุขภาพดีไหม นุ่มนวล สีสวย ไม่แข็งโป๊กหรือลีบเล็ก กะปริดกะปรอย หรือเป็นเม็ดขนุน เรื่องขับถ่ายนี่เป็นเรื่องที่ปล่อยปละละเลยไม่ได้ที่เดียว หัดสังเกตว่าเรากินอะไรท้องจะผูก วันไหนของเสียยังไม่ออกมา ก็อย่ารื่นเริงไปกินเลี้ยงเอาขยะใส่เพิ่มพูนเข้าไปอีก

• เพื่อให้ระบบของลำไส้ดีขึ้น ก็ต้องหมั่นออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นให้ลำไส้ได้เคลื่อนไหว ทำงานมีประสิทธิภาพ เราจะเห็นว่าคนสมัยใหม่นี้ท้องผูกกันมากขึ้น เพราะกินแต่แป้งขัดขาวกับน้ำตาล และไขมัน มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร้านเบเกอรี่เปิดกันทุกหัวมุมถนน แถมยังไม่ทำสวนทำไร่ กวาดบ้านถูเรือน ได้แต่นั่งกินนอนกิน ก็เห็นจะจบลงด้วยโรคภัยนี่เอง

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก นิตยสาร ผู้หญิงวันนี้
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2551, 16:28:36 »

For your good health

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

ใช่ว่าจะกินแต่แคลเซียม แล้วจะทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ไม่เป็นสาวกระดูกเปราะ หลังโก่ง เมื่อเป็นคุณยาย เพราะทุกวันนี้คุณอาจเผลอกินอาหารที่ทำลายกระดูกแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้

อาหารที่ลดความหนาแน่นของกระดูก

1. ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 2 ถ้วย มีงานวิจัยล่าสุดจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุว่า กาแฟแค่ 2 ถ้วยก็มากพอที่จะทำให้กระดูกเปราะบางได้ เนื่องจากคาเฟอีนในกาแฟจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ ว่าแล้วสาวๆ ที่ติดกาแฟ ก็ดื่มน้อย ๆ ลงจะดีกว่านะ

2. น้ำอัดลม มีงานวิจัยล่าสุดพบว่าเครื่องดืมเย็นซ่าชื่นใจชนิดนี้มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะกระดูกหักง่ายค่ะ โดยผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำจะมีโอกาสเกิดกระดูกพรุนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 3-4 เท่าทีเดียวล่ะ อยากให้กระดูกแข็งแรง ดื่มให้น้อยลง จะดีกว่านะ

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของกระดูก ผู้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปีแล้ว ความหนาแน่นของกระดูก นอกจากจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเริ่มลดลงด้วย หากช่วงก่อนหน้านี้ คุณไม่ได้บำรุงกระดูกให้แข็งแรงเต็มที่ ก็อาจทำให้คุณกลายเป็นยายแก่ที่กระดูกเปราะบาง และแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพก ซึ่งจะเจ็บปวดและทรมานมาก นอกจากนี้ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงราว ๆ 2 เปอร์เซ็นต์ทุก 1 ปี ในขณะที่การกินแคลเซียมเมื่ออายุมากขึ้น ไม่ได้ช่วยความเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูกแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยชะลอการสูเสียปริมาตรของกระดูกลง มาเริ่มต้นสร้างความแข็งแรงให้กระดูกตั้งแต่วัยสาว ๆ หน้ายังใสดีกว่า


วิธีเสริมความแข็งแรงให้กระดูก

นอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายความหนาแน่นของกระดูกแล้ว ควรหาวิธีปกป้องและเสริมความแข็งแรงให้กระดูกกันตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า

1. ออกกำลังกาย เป็นวิธีที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรงค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง แอโรบิค เล่นเทนนิส ยกเวท กระโดดเชือก ช่วยเสริมความหนาแน่นให้กระดูกได้ ยกเว้นการว่ายน้ำที่กลับไม่ได้ผลดีนัก

2. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม แคลเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัที่สุดสำหรับกระดูกและฟัน โดยเฉพาะแคลเซียมในนม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต เนยแข็งเป็นแคลเซียมที่ดูดซึมได้ดี แต่ก็มักได้ไขมันเป็นของแถม หากเลือกเป็นนมพร่องมันเนย ก็น่าจะปลอดภัยกว่า นอกจากนี้อาหารพื้นบ้านเช่นปลากรอบ กุ้งแห้ง กะปิ ผักใบเขียว เต้าหู้แผ่น และถั่วเหลือง ก็เป็นเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูงเช่นกัน โดยเฉพาะถั่วเหลืองนั้น นอกจากช่วยชะลอความเสื่อมของกระดูกแล้ว ยังลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมอีกด้วย

3. ควบคุมน้ำหนักตัว การที่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไป จะทำให้คุณเสี่ยงกับการเป็นโรคกระดูกผุได้

4. เลิกสูบบุหรี่ สาวๆ ที่ติดบุหรี่ มักมีปัหาโรคกระดูกผุก่อนเวลาได้ เนื่องจากบุหรี่จะขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้

5. วิตามินดี วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ ช่วยเพิ่มปริมาตรของกระดูกได้ โดยเฉพาะนม มีทั้งแคลเซียม และวิตามินดีสูง แต่การซื้อวิตามินดีมารับประทาน จะทำให้เกิดการสะสมในร่างกายมากเกินไป
และเกิดอันตรายได้


********************

พลังมหัศจรรย์ในอาหาร เป็นยาขนานวิเศษที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ไร้โรคภัยมาเบียดเบียน ...

1. เต้าหู้ ... คุณภาพคับก้อน จากเมล็ดถั่วเหลืองซึ่งจัดว่าเป็นยอดขุนพลของพืชตระกูลถั่ว ถูกแปลงโฉมมาเป็นเต้าหู้หลากหลายรูปแบบ มีทั้งชนิดก้อน ชนิดหลอด จะเลือกแบบแข็งหรือแบบนิ่มก็ยังได้ เลือกได้ตามใจชอบกัน ราคาก็ไม่แพง หาซื้อได้ง่าย แต่ให้คุณค่าสูงอุดมด้วยโปรตีน เหล็กและแคลเซียม แต่ปลอดคลอเรสเตอรอล

ดร.แอนเดอร์สันแห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกีระบุว่า การกินเต้าหู้เป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และยังช่วยป้องกันการผิดปกติของฮอร์โมนที่จะก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำใส้ สำหรับสาวๆ ที่ต้องการมีผิวพรรณที่สดใสผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรรับประทานเต้าหู้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง จัดเมนูอาหารเต้าหู้ไว้บนโต๊ะอาหารทุกวัน นอกจากสุขภาพจะดีแล้ว ผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอีกด้วยเห็นไหมคะ คุณภาพคับก้อนจริงๆค่ะ

2. มะเขือเทศ ..... พระเอกตัวจริงของอาหารอิตาลี ผลไม้สีสันสดใสชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก ต่อมาได้นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในยุโรป แต่กลายมาเป็นพระเอกตัวจริงในอิตาลี ชาวอิตาลีจัดได้ว่าเป็นนักบริโภคมะเขือเทศตัวยง อาหารยอดฮิตของอิตาลีล้วนมีมะเขือเทศเป็นส่วนผสมสำคัญ เคล็ดลับความอร่อยของอาหารอิตาลีจึงอยู่ที่ซอสมะเขือเทศนี่แหล่ะค่ะ

ผลสรุปของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า การบริโภคมะเขือเทศ และผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศในปริมาณสูง สามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งหลายชนิดได้ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งในช่องท้อง เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคพีน ( Lycopene ) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้วิตามินเอ และซีในมะเขือเทศก็ยังช่วยให้สุขภาพผิวสดใส ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงกันเลยทีเดียว

3. กินกระเทียมให้เป็นยา จะไม่ต้องพึ่งใบสั่งแพทย์ คงจะคุ้นเคยกันดีสำหรับพืชสมุนไพรชนิดนี้ เพราะแทบทุกครัวเรือนต่างมีไว้คู่ครัว ถ้าศึกษาจากผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแล้ว เราอาจจะต้องเก็บกระเทียมไว้เคียงคู่กับตู้ยาก็เป็นได้

ดร.วาร์โรอี. ไทเลอร์ ที่ปรึกษาคณะเภสัชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเพอดู เวส ลาฟาเยต พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเสมือนยาแอส-ไพริน คือทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น สารอัลลิซินในกระเทียม จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
ช่วยให้ระบบการย่อยอาหาร และการขับถ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การกินกระเทียมเป็นประจำทุกวัน โรคหัวใจก็ไม่ถามหากันง่าย ๆ เพราะกระเทียมเป็นตัวช่วยลดปริมาณคลอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี

ยังไม่หมดนะค่ะ สำหรับสรรพคุณของกระเทียม หากเราย้อนประวัติศาสตร์ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กระเทียมเป็นผู้ช่วยตัวเอกในการรักษาบาดแผลของทหาร เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อโรคสารพัดชนิด ทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ก่อนจะหยิบอาหารเข้าปากในมื้อต่อไป อย่าลืมกระเทียมสดๆสัก 2 ช้อนชา รับประทานคู่กับอาหารมื้ออร่อยของคุณนะคะ คุณจะได้สารอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยาทีเดียว

4. แก้นิสัยโกรธง่ายด้วยโยเกิร์ต ดร.เม็ทชนิคอฟแห่งสถาบันปาสเตอร์ ในฝรั่งเศส ได้สรุปผลงานของเขาไว้ว่า การกินโยเกิร์ตทุกวัน จะทำให้สุขภาพดีและอายุยืน จุลินทรีย์แลคโตแบคซิลัสในโยเกิร์ต จะช่วยสร้างยาปฎิชีวนะในลำใส้ ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบททีเรียต่างๆ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลำใส้ ป้องกันกระเพาะจากการเป็นแผล ลดไขมันในเส้นเลือด และยังช่วยไม่ให้ฟุ้งซ่านและโกรธง่ายอีกด้วย


*****************

6 อัศวินสำหรับร่างกาย

ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจวายแน่นอน อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดีเยี่ยม 6 อัศวินตัวสำคัญนั้น คือ มะเขือต่างๆ หอมหัวใหญ่ กระเทียม ถั่วเหลือง แอปเปิ้ล และโยเกิร์ต

วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน เช่น เมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเปราะ หรือมะเขือพวงมากๆ

เมื่อรับประทานไข่มากๆ ซึ่งเป็นตัวเพิ่มคอเลสเตอรอลที่น่ากลัวนัก คุณก็ควรรับประทานหอมหัวใหญ่ร่วมกับไข่เจียว หรือไข่ดาวด้วย หรือรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ผลทุกๆ วัน หรือโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วยทุกๆ วัน รับประทานกระเทียมสดๆ เล็กน้อยกับอาหารจานยำ จานคาวต่างๆ เพื่อขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย อันเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายกว่าการเลิกรับประทานอาหารมันๆ ทุกจานโดยสิ้นเชิง คุณยังสามารถรับประทานเนยแฮม เบคอน ขาหมู ไข่ หรือ อาหารไขมันสูงจานต่างๆได้ในบางมื้อบางวัน หากเพียงคุณรู้จักรับประทานอาหารอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว อาหาร 6 อย่างนี้ยังมีคุณค่าของสารอาหารและแร่ธาตุสำคัญที่จะนำประโยชน์สู่ร่างกายของคุณอย่างมากมายในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น แอปเปิล หอมใหญ่ และโยเกิร์ต ช่วยให้คุณขับถ่ายดี ผิวพรรณสวยงาม เป็นต้น


************

เรื่องกล้วยๆ

การกินกล้วยหอมหนึ่งผล ไม่เพียงแต่ทำให้อิ่มท้องเท่ากับข้าวหนึ่งจานเท่านั้น แต่กล้วยยังให้ผลทางยา และสมุนไพรที่ข้าวไม่มี คือสามารถดูแลและรักษากระเพาะอาหารของเราได้ ดร.จีนคาร์เพอร์ นักโภชนาการ แจ้งว่า กล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในกระเพาะ ( dyspepsia ) ได้เป็นอย่างดี การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง ปัญหาจากกรดในกระเพาะจะลดลง ผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น นอกจากนี้กล้วยยังมีฤทธิ์ทางปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อได้อีกด้วย จากการศึกษาผู้ป่วย 46คน ที่มีอาการปวดในกระเพาะ โดยไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร โดยจัดให้ผู้ป่วยจำนวน 23 รายได้รับกล้วยผงบรรจุแคปซูลทุกวัน ส่วนอีก 23 ราย ให้รับแคปซูลของยาหลอกที่บรรจุแป้งธรรมดา พบว่าผ่านไปได้ 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ได้รับผงกล้วย ร้อยละ 50 ไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย และร้อยละ 25 มีอาการดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน ร้อยละ 20 เท่านั้นที่บอกว่ามีอาการค่อยยังชั่วขึ้น แสดงให้เห็นว่าการรับประทานกล้วย แม้ว่าจะอยู่ในรูปของกล้วยผงก็สามารถช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #33 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2551, 22:40:52 »

Take care of your eyes : ตรวจจอประสาทตา

พี่วิวิธ - วิศวะ 07... ส่งมา

ผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน เคยไปตรวจประสาทตามั้ยครับ ? ตรวจประสาทตาที่โรงพยาบาล หรือจักษุคลีนิคนะครับ ไม่ใช่ตรวจสายตาที่ร้านขายแว่นตา ถ้าไม่เคย ผมขอแนะนำว่าให้รีบไปทำทันที ผมย้ำคำว่ารีบก็เพราะว่า ถ้าไม่รีบเราก็จะผลัดผ่อนไปเรื่อยๆ แล้วคุณก็อาจจะประสบเคราะห์กรรมเหมือนอย่างที่ผม และน้องชายผมเคยโดนมาแล้ว ผมสายตาสั้นมาก เกือบยี่สิบปีก่อน เมื่อตอนอายุ 40 ต้นๆ ผมไปตรวจประสาทตาเพื่อใส่คอนแทคเลนส์ จักษุแพทย์ผู้ตรวจได้แนะนำว่า อีก 4 เดือน ขอให้ผมมาตรวจประสาทตาอีกครั้งหนึ่ง เพราะประสาทตาที่เป็นจอรับภาพ ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกกันว่า เรตินา (Retina ) ของผมมีความบางมาก อาจฉีกขาดได้ การป้องกันทำได้ง่ายๆ ด้วยการยิงเลเซอร์ปิดผนึกประสาทจอรับภาพ

ความที่คนเราชอบผลัดวะนประกันพรุ่ง ยิ่งถ้าเรากลับมาทำงาน และยุ่งกับงานมากๆ เราก็จะลืมนึกถึงสุขภาพของเรา ผมปล่อยปละละเลยจนถึงเดือนที่ 7 วันนึงกำลังจะอ่าน memo ฉบับหนึ่งที่ค่อนข้างยาว ผมพบว่าข้อความแต่ละบรรทัดมีฝุ่นผงเป็นแผงดำเต็มไปหมด ผมไม่สามารถอ่านข้อความได้เลย นาทีนั้นผมนึกถึงคำพูดของจักษุแพทย์ท่านนั้น ผมรีบตรงไปหาจักษุแพทย์ที่อยู่ใกล้ที่ทำงานที่สุด แล้วสิ่งที่ผมหวั่นก็เกิดขึ้นจริงๆ ประสาทตาของจอรับภาพของผมฉีกขาดอย่างรุนแรง ผมต้องไปนอนรับการผ่าตัด เย็บประสาทตาจอรับภาพ และนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเดือน นี่คือผลของการปล่อยปละละเลย หรือการผลัดผ่อนสุขภาพของเรา ซึ่งมีราคาแพงมาก

ส่วนน้องชายผม สายตาสั้น และใส่แว่นตาเหมือนผม ไม่เคยไปตรวจประสาทตาเลย แล้ววันนึงน้องชายผมก็พบว่าตัวเองตาบอดไปหนึ่งข้าง โดยไม่มีอาการ หรือสัญญาณบอกเหตุใดๆทั้งสิ้น เขายังคงมองเห็นทุกอย่างเป็นปกติด้วยด้วยตาข้างเดียว เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า คนเราพออายุเริ่มวัยกลางคน อวัยวะทุกอย่างที่เคยเต่งตึงก็จะเริ่มหย่อนยาน ( ยกเว้นหูที่จะตึงมากขึ้น ) ประสาทตาของคนเราก็เช่นกัน มันจะเริ่มเสื่อม และไม่อยากทำงาน ถ้าเราตรวจพบแต่แรกๆ ก็จะมีวิธีรักษา ต้องไปเข้าคลีนิคฝึกประสาทตา หรือกระตุ้นให้ประสาทตาทำงานใหม่ แต่ถ้าเราไม่ไปตรวจประสาทตา หรือพบช้าเกินไป จนประสาทตาไม่ทำงานเป็นเวลานานแล้ว ตาข้างนั้นก็จะบอดสนิท ไม่สามารถเยียวยาได้ แต่เราจะไม่รู้สึกผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้อย่างสดใส ชัดเจนเหมือนเดิมด้วยตาข้างเดียว

แพทย์ยังบอกอีกว่า มีคนในสังคมที่ตาบอดข้างเดียวอยู่เยอะ การป้องกันอาการตาบอดข้างเดียวไม่มีวิธีอื่น นอกจากการไปตรวจประสาทตาทุกๆ 6 เดือน ผู้ที่จะไปตรวจประสาทตา ควรมีใครมาเป็นเพื่อนพากลับบ้าน ประสาทตาจะอยู่ข้างหลังแก้วตา ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเพราะมีม่านตากั้นไว้ ผู้ตรวจจะต้องถูกหยอดยาขยายม่านตา แล้วจักษุแพทย์จะใช้ทั้งแว่นขยาย และกล้องจุลทรรศน์ส่องเข้าไปตรวจดูประสาทตา หลังการตรวจ ผู้ตรวจจะสายตาพร่ามัวไปเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง ชนิดว่าขับรถไม่ได้ เดินข้ามถนนก็ยังอันตราย เพราะจะมองเห็นทัศนวิสัยใกล้เพียงแค่ไม่กี่เมตรข้างหน้า

ถ้าคุณมีจักษุแพทย์ประจำ และเคยตรวจประสาทตามาแล้วก็ดีครับ แต่ควรตรวจเป็นประจำทุก 6 เดือน แต่ถ้าไม่มีหรือไม่รู้จักจักษุแพทย์ที่ไหน ผมขอแนะนำที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ค่าตรวจประสาทตาครั้งละ 800 บาท ถูกมากครับเมื่อเทียบกับดวงตาที่มีค่าของคุณ

คงกฤช อนันต์วิโรจน์
บันทึกการเข้า
webmaster
Administrator
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 852

« ตอบ #34 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2551, 08:31:16 »

ขอบคุณพี่เจี๊ยบค่ะ
เข้ามาห้องนี้ทีไร เหมือนเดินเข้าศูนย์บำบัดหรือศูนย์สุขภาพทุกทีค่ะ
บันทึกการเข้า

ORKS BEHIND THE SCENE
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #35 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2551, 22:24:49 »

George Carlin's Views on Aging

พี่วิภาดา - บัญชี 15 ... ส่งมา



Do you realize that the only time in our lives when we like to get old is when we're kids ?

If you're less than 10 years old, you'r e so excited about aging that you think in fractions.

" How old are you ? " 'I'm four and a half ! " You're never thirty-six and a half. You're four and a half, going on five ! That's the key.

You get into your teens, now they can't hold you back. You jump to the next number, or even a few ahead.

" How old are you ? " " I'm gonna be 16 ! " You could be 13, but hey, you're gonna be 16 ! And then the greatest day of your life ... You become 21. Even the words sound like a ceremony . YOU BECOME 21. YESSSS !!!

But then you turn 30. Oooohh, what happened there ? Makes you sound like bad milk ! He TURNED; we had to throw him out. There's no fun now, you're Just a sour-dumpling.

What's wrong ? What's changed ?

You BECOME 21, you TURN 30, then you're PUSHING 40. Wow ! Put on the brakes, it's all slipping away. Before you know it, you REACH 50 and your dreams are gone.

But wait !!! You MAKE it to 60. You didn't think you would !

So you BECOME 21, TURN 30, PUSH 40, REACH 50 and MAKE it to 60.

You've built up so much speed that you HIT 70 ! After that it's a day-by-daything; you HIT Wednesday !

You get into your 80's and every day is a complete cycle; you HIT lunch; you TURN 4:30 ; you REACH bedtime. And it doesn't end there. Into the 90s, you start going backwards; " I Was JUST 92."

Then a strange thing happens. If you make it over 100, you become a little kid again. " I'm 100 and a half ! " May you all make it to a healthy 100 and a half !!


HOW TO STAY YOUNG

1. Throw out nonessential numbers. This includes age, weight and height. Let the doctors worry about them. That is why you pay " them. "

2. Keep only cheerful friends. The grouches pull you down.

3. Keep learning. Learn more about the computer, crafts, gardening, whatever. Never let the brain idle. " An idle mind is the devil's workshop. " And the devil's name is Alzheimer's.

4. Enjoy the simple things.

5. Laugh often, long and loud. Laugh until you gasp for breath.

6. The tears happen. Endure, grieve, and move on. The only person, who is with us our entire life, is ourselves. Be ALIVE while you are alive.

7. Surround yourself with what you love , whether it's family, pets, keep sakes, music, plants, hobbies, whatever. Your home is your refuge.

8. Cherish your health : If it is good, preserve it. If it is unstable, improveit. If it is beyond what you can improve, get help.

9. Don't take guilt trips. Take a trip to the mall, even to the next county; to a foreign country but NOT to where the guilt is.

10. Tell the people you love that you love them, at every opportunity.


AND ALWAYS REMEMBER :

Life is not measured by the number of breaths we take, but by the moments that take our breath away.
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #36 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2551, 11:41:18 »

คุณเคยบริหารสมอง บ้างมั้ย ?





บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #37 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2551, 12:11:33 »

ผลไม้ 7 ขนิด  พิชิตความชรา

น้องเล็ก-เข็มพร - เศรษฐ 22 ... ส่งมา





บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #38 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2551, 18:26:23 »

TIPS for Long Life

เพลินจันทร์ - อักษร 16 ... ส่งมา

1. ร่างกายประกอบไปด้วยน้ำถึง 60 % ( คิดจากน้ำหนัก ) และจะสูญเสียน้ำวันละประมาณ 2 ลิตร จากเหงื่อ , ปัสสาวะ และการหายใจ ….นี่แค่อยู่เฉยๆ นะ ถ้าต้องออกกำลังด้วย ก็ต้องคิดเพิ่มต่างหาก ดังนั้นควรดื่มน้ำเข้าไปทดแทนอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และถ้าเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายก็ควร( ต้อง ) ดื่มเพิ่มขึ้นอีกชั่วโมงละ 1 ลิตร ( 4 แก้ว )

2. ถ้ารู้สึกปวดหัว หรือเวียนหัว ลองดื่มน้ำเข้าไปสักแก้วสองแก้วก่อนจะไปหายาแก้ปวด เพราะเนื้อสมองนั้นประกอบด้วยน้ำถึง 85 % ดังนั้นร่างกายขาดน้ำไปแค่หน่อยเดียว อาการปวดหัวก็จะถามหาเอาง่ายๆั

3. แม้จะรู้ ๆ กันว่าต้องดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่ก็มีแค่ 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่จะทำได้ ลองหมั่นสังเกตปัสสาวะที่มีสีเข้มๆ หรือลองดึงหลังมือดู ถ้าเนื้อเด้งกลับอย่างช้าๆ ก็แปลว่าร่างกายขาดน้ำแล้วล่ะ

4. เลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมทุกชนิด เพราะฟองก๊าซที่ผสมอยู่นั้นมีสภาพเป็นกรด ซึ่งนอกจากจะไม่ดีต่อกระเพาะแล้ว ยังทำให้เรอออกมาด้วย

5. น้ำแร่สำหรับดื่ม แต่ละยี่ห้อนั้นจะมีส่วนผสมของแร่ธาตุต่างๆ ไม่เท่ากัน แต่ถ้าชอบจริงๆ ก็พยายามเลือกยี่ห้อที่มีโซเดียมผสมอยู่น้อยที่สุด

6. เลือกรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบเยอะๆ เช่น นม มะเขือเทศ แตงกวา ฟัก ฯลฯ

7. เลี่ยงการอาบน้ำอุ่น ( จัด ) ในตอนเช้าำ เพราะการอาบ หรือแช่น้ำที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ( ขึ้นไป ) นานกว่า 5 นาที จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้ … เก็บน้ำอุ่นไว้อาบตอนเย็นหลังเลิกงาน หรือก่อนเข้านอนจะดีกว่ากันเยอะ

8. งดดื่มน้ำก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ไตขับน้ำลงไปอยู่ในกระเพาะปัสสาวะทั้งหมดเสียก่อน จะได้เข้าห้องน้ำทีเดียวก่อนเข้านอน ไม่ต้องลุกขึ้นมากลางดึกให้เสียอารมณ์

9. เดินวันละ 30 นาทีเป็นประจำ จะทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

10. แปรงฟันแบบแห้ง ๆ ด้วยแปรงนุ่มๆ จากนั้นก็บ้วนน้ำทิ้งเสียรอบนึง ตามด้วยการแปรงฟันด้วยยาสีฟันตามปกติ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นอีก 60 % แถมลดอาการเลือดออกตามไรฟันได้อีก 50 %

11. ทดสอบประสิทธิภาพของปอดได้ง่ายๆ ด้วยการถือเทียนที่จุดไฟติดแล้วไว้ห่างจากปาก 15 ซม. อ้าปากหายใจเข้าให้เต็มที่แล้วเป่าลม " ฮ่อ " ออกมาจากปากโดยไม่ห่อปาก ถ้าเปลวไฟดับได้ ก็แปลว่าปอดคุณยังแจ๋วอยู่

12. ทดสอบการได้ยินของหู ด้วยการเข้าไปอยู่ในห้องเงียบๆ ยื่นแขนออกไปด้านข้างให้สุด แล้วใช้นิ้วโป้ง กับนิ้วชี้ถูกันไปมา หดแขนเข้ามาหาตัวช้าๆ เมื่อหูสามารถได้ยินเสียงถูนิ้ว ก็ให้วัดระยะจากหูถึงนิ้วไว้ แล้วทดสอบกับหูอีกข้าง ผู้ที่มีความปกติจะได้ยินเสียงถูนิ้วในระยะห่าง 15-20 ซ.ม.

13. งีบกลางวันสัก 20 นาที ทุกๆ วัน จะช่วยคลายเครียด และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น แต่อย่างีบนานกว่านั้น เพราะจะทำให้ง่วงตลอดบ่ายแทน และเวลาเหมาะสมคือ ถ้าคุณตื่นนอนตอนเช้าเวลา 6 โมง ก็ควรงีบตอนบ่ายสอง

14. การออกกำลังกาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ เพราะอาหาร และออกซิเจนสามารถไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น แถมยังทำให้อารมณ์แจ่มใสด้วย

15. ผู้สูงอายุทั้งหลายอย่าอยู่โดดเดี่ยว การวิจัยจากทั่วโลกยืนยันตรงกันว่าการเข้าสังคม หรือมีเพื่อนฝูงตลอดเวลาสามารถยืดอายุคนไปได้อีกไม่ต่ำกว่า 5 ปีเชียวนะ

16. ชีวิตสมรสที่ไม่ราบรื่น จะเพิ่มอัตราการเจ็บป่วย ( ด้วยโรคภัย ) ขึ้นมากถึง 35 % และทำให้อายุสั้นลงอีกถึง 4 ปี นี่เป็นตัวเลขโดยเฉลี่ยนะจ๊ะ เพราะถ้ารวมตัวเลขโหดๆ ประเภทอัตราบาดเจ็บจากการทำร้ายร่างกายกันและกันเข้าไปด้วย เดี๋ยวจะอยู่เป็นโสดกันทั้งเมือง

17. เพศชายเป็นนักสร้างสรรค์ ดังนั้นถ้าอยากมีสุขภาพจิตดี ต้องหมั่นตั้งเป้าหมาย หรือสร้างฝันอยู่ตลอดเวลา แล้วก็พยายามสร้าง หรือไขว่คว้ามาให้ได้ด้วย แต่ก็อย่าจริงจังจนกลายเป็นโรคเครียดแทนล่ะ

18. การนอนหลับวันละ 7-9 ชั่วโมง เป็นสิ่งสำคัญตลอดชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นเพื่อให้นอนหลับอย่างมประสิทธิภาพ ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน ( กาแฟ ) และนิโคติน ( บุหรี่ ) ตลอดช่วงบ่ายยาวจนถึงเข้านอน เข้านอนให้เป็นเวลาทุกคืน อย่าดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หรือทานของกินบนที่นอน เพราะที่นอนนั้นเอาไว้นอนหลับ กับทำอะไรนอนๆ เท่านั้น และถ้านอนไม่หลับภายในครึ่งชั่วโมง ก็จงลุกออกไปหาอะไรที่ผ่อนคลายทำไปก่อน ( เช่น อ่านหนังสือ ) จนกว่าจะรู้สึกง่วง ค่อยกลับขึ้นเตียงอีกครั้ง

19. อาการนอนกรนเกิดขึ้นเฉพาะเวลานอนหงายเท่านั้น ดังนั้นการแก้ไขง่ายๆ คือหาวิธีไม่ให้นอนหงาย ด้วยการสวมเสื้อยืดที่มีกระเป๋าเสื้ออยู่ด้านหลังหลัง แล้วเอาลูกกอล์ฟใส่ไว้ในกระเป๋านั้น ให้เป็นเครื่องปลุกเวลาพลิกตัวนอนหงาย ก่อนที่จะโดนคนข้างๆ ตัวปลุกแบบไม่สุนทรี

20. หยุดอาการสะอึกได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ก้อนน้ำแข็งโป๊ะบริเวณลูกกระเดือก เพราะความเย็นจะไปชะลอสัญญาณกระตุ้นจากสมอง ที่จะไปยังกระบังลมให้ช้าลง

21. อาการปวดหลังเมื่อขับรถนานๆ เกิดจากการนั่งหลังโก่ง แก้ไขง่ายๆ ด้วยการปรับกระจกมองหลังให้เงยขึ้น ซึ่งจะช่วยบังคับให้ต้องนั่งตัวตรงโดยธรรมชาติ

22. ลดความเครียดด้วยการทานกล้วยหอมวันละใบ เพราะสารโปรแตสเซียมในกล้วย ช่วยลดความดันโลหิตได้

23. น้ำส้มคั้นสามารถแก้อาการเมาค้างได้เป็นอย่างดี เพราะปริมาณฟรุคโตสมากๆ จะเร่งให้ร่างกายเผาผลาญแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นอีก 25 %

24. มีมะเร็งร้ายที่ถ่ายทอดโดยพันธุ์กรรมเพียง 10 % เท่านั้น ที่เหลือเป็นผลจากสิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ดี การทานผักผลไม้ให้มากๆ ในแต่ละวัน จะลดอัตราการเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในทางเดินอาหารได้มากถึง 70 %

25. สารเมลาโทนินที่มีมากในผลเชอรี่ ช่วยทำให้นอนหลับง่ายขึ้น

26. จากการวิจัยพบว่า แค่ทานซอสมะเขือเทศบ่อยๆ เป็นประจำ ก็สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในอัณฑะได้ถึง 34 % และจะได้ผลมากขึ้นถ้าทานมะเขือเทศสดๆ เป็นประจำ แต่ถ้าไม่ชอบรสชาดก็ให้หันไปทานแตงโมแทน ก็จะได้ผลเหมือนกัน

27. ทานปลาแซลมอนแค่สัปดาห์ละมื้อ เป็นประจำ ก็ลดอัตราการเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ถึง 50 % เพราะปลาแซลมอนมีกรดไขมันที่เรียกว่า โอเมก้าทรี ( Omega-3 ) อย่างมาก กว่าปลาชนิดอื่น ซึ่งนอกจากมีประโยชน์ต่อหัวใจแล้ว ยังช่วยลดอาการไขข้ออักเสบต่างๆ ได้อีกด้วย แต่รายงานไม่ได้บอกว่ากิน " ปลาทู " แทนจะได้หรือป่าว ?

28. ผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด มันฮ่อ ฯลฯ มีวิตามิน E อยู่เยอะ ซึ่งช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี และจากการวิจัยยังพบว่าผู้ที่ทานผลไม้เปลือกแข็งเหล่านี้ ยังมีอัตราการเป็นโรคหัวใจต่ำมาก

29. กระเทียมมีสารต้านไวรัสอยู่เยอะแยะ และยังกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกายได้อย่างดี จึงเป็นอาหารต้านหวัดหมายเลขหนึ่ง ที่ยังไม่มีใครแย่งตำแหน่งไปได้

30. แก้ปัญหาขอบตาคล้ำ ด้วยการทานสัปปะรด กับมะละกอเยอะๆ เพราะเอนไซม์ที่มีมากในผลไม้ทั้งสองอย่างนี้ ช่วยทำให้เนื้อเยื่อดูดซับเลือดที่จับตั วแข็งเป็นก้อนๆ ทั้งหลายได้ดี

31. ลดน้ำหนักง่ายๆ โดยไม่ต้องอดอาหาร ด้วยการเหลืออาหารไว้ 1 ใน 5 ของปริมาณที่คุณทานตามปกติ รอสัก 20 นาทีก็จะรู้สึกอิ่มได้เองเหมือนๆ กับการโซ้ยจนหมดจาน ทั้งนี้เพราะกว่าร่างกายจะย่อยอาหาร และซึมซับสารต่างๆ เข้าสู่กระแสเลือดนั้น ต้องใช้เวลาพอสมควร ก็ราวๆ 20 นาที ที่ให้รอนั่นแหละ


หมายเหตุ คัดลอกมาจากนิตยาสาร MBT ประจำเดือน ตุลาคม 2546 ฉบับที่ 63
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2551, 22:24:10 »

น้ำแข็ง ช่วยแก้ปวดได้สารพัดอย่าง

อาริสา - ครุ 16 ... ส่งมา



ปวดแบบนี้ น้ำแข็งช่วยได้ ใช้บรรเทาอาการปวดต่างๆ ได้ ทั้งใช้ง่าย ปลอดภัย ประหยัด เพราะหาได้จากช่องแช่แข็งในตู้เย็นของบ้านคุณเอง คุณสมบัติพื้นฐานของน้ำแข็งก็คือ ความเย็น ที่ช่วยลดความปวดบวมอักเสบได้ ซึ่งหัวใจหลักของการบำบัดแบบนี้คือ การประคบบริเวณที่ปวดบวมหรือบาดเจ็บทันที เพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการลดการทำลายของเนื้อเยื่อก่อนที่อาการเจ็บปวดจะรุนแรงขึ้น โดยนำผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งประคบตรงบริเวณที่มีอาการต่างๆ ดังนี้

ปวดหลัง

อาการนี้เป็นปัญหาส่วนใหญ่ของผู้หญิง จากการทำงานบ้าน หรือทำสวน ความเย็นช่วยลดความปวดได้ โดยให้ประคบน้ำแข็งทันที หลังจากทำงานที่ต้องก้มๆ เงยๆ หรือยกของหนักๆ มา


ปวดไมเกรน

คุณผู้หญิงเกือบทุกคนมักจะประสบกับการปวดหัวตุบๆ โดยเฉพาะช่วงมีรอบเดือน ซึ่งผู้ที่เคยใช้วิธีนี้รับรองว่าสามารถลดอาการปวดได้จริง โดยนอนราบบนพื้นประมาณ 5-10 นาที แล้วประคบผ้าห่อน้ำแข็งบริเวณด้านหลังลำคอ หน้าผาก หรือขมับ ความเย็นจะช่วยลดอาการบวม และอาการมึนลงได้ ทั้งยังลดผลข้างเคียงอื่นๆ จากไมเกรน โดยที่ไม่ต้องกินยาอีกด้วย


ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เคล็ด ตึง

นักกรีฑาจำนวนไม่น้อยเลือกใช้น้ำแข็งป้องกันอาการที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ หลังจากออกกำลัง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าน้ำแข็งทำให้รู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ตึงเครียด เพราะช่วยลดการขยายตัวของหลอดเลือด


มีของดีใกล้ตัวแบบนี้ ... ก็เบาใจได้แล้วค่ะว่า คุณจะสามารถรับมือกับอาการปวดต่างๆ เหล่านี้ได้ในเบื้องต้น
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #40 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2551, 11:52:51 »

อาหารที่ทำลายกระดูก

วันนี้เกร็ดความรู้ มีอาหารที่ทำลายกระดูกมาฝากกัน ...

1. ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 2 ถ้วย จากงานวิจัยจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุว่า กาแฟแค่ 2 ถ้วย ก็มากพอที่จะทำให้กระดูกเปราะบางได้ เนื่องจากคาเฟอีนในกาแฟจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ

2. น้ำอัดลม ทำให้เกิดภาวะกระดูกหักง่าย โดยผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำจะมีโอกาสเกิดกระดูกพรุนมากกว่า ผู้ที่ไม่ดื่ม 3-4 เท่า

ผู้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปีแล้ว ความหนาแน่นของกระดูก นอกจากจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเริ่มลดลงด้วย หากช่วงก่อนหน้านี้ไม่ได้บำรุงกระดูกให้แข็งแรงเต็มที่ ก็อาจทำให้กระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพก ซึ่งจะเจ็บปวด และทรมานมาก

ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงราว ๆ 2 เปอร์เซ็นต์ ทุก 1 ปี ในขณะที่การกินแคลเซียมเมื่ออายุมากขึ้น ไม่ได้ช่วยความเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูกแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยชะลอการสูญเสียปริมาตรของกระดูกลง

รู้อย่างนี้แล้ว มาดูแลกระดูกกันดีกว่า เพราะจะได้มีกระดูกที่แข็งแรง และไม่เปราะง่าย

www.dailynews.co.th
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2551, 01:38:12 »

ล้างพิษใน 1 วัน...ที่คุณทำเองได้

พี่วิวิธ - วิศวะ 07... ส่งมา

คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่า การล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพ และรักษาโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย

หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลกรัม เพื่อให้ระบบย่อย และตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้ และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้น จะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้ว ต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ลส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่างคือ ทุเรียน และสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไป และย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวัน ท้องก็จะอืดได้

2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละสุก หรือส้มตำ ( มะละกอดิบ ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

3. พอมาถึงมื้อกลางวัน ก็ทานมะละกออีกแต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อย เพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป


วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว

อุปกรณ์
ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด
มะนาว 4 ลูก
เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน

วิธีทำ
ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวด จากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน

มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนัก เพื่อขับอุจจาระ หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่นคือาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มทานอาหารได้


กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 สัปดาห์ ต่อหนึ่งครั้ง

ที่มาจาก http://www.pooyingnaka.com
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #42 เมื่อ: 27 กุมภาพันธ์ 2551, 01:29:51 »

บอกต่อ ... วิธีง่ายๆ ต่อสู้กับมะเร็ง

เพลินจันทร์ - อักษร 16 ... ส่งมา

พ่อเลี้ยงวรรณฯ เจ้าของ " รวมเกษตรฟาร์ม " มาบรรยายวิธีรักษามะเร็งเมื่อเดือนที่แล้ว ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงนำมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆ ฟัง ดังนี้

พ่อเลี้ยงวรรณฯ อายุ 60 ปี เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่กระดูกสันหลัง คุณหมอทั้งไทยและเยอรมัน ไม่รับรองว่าจะรักษาหาย จึงไปทำการรักษาที่เกาหลีเหนือเป็นเวลา 1 เดือน ก็หายจากโรค กลับมาเมืองไทย จึงตั้งเป็น " มูลนิธิวรรณ " รับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งฟรี ! ปัจจุบันมีผู้มารับการรักษา 100 กว่าคน อยู่ที่ อ.แม่สอด ห่างจาก จ.ตาก 100 กม.

วิธีการรักษามะเร็ง แบบธรรมชาติง่ายๆ 4 ข้อ มีดังนี้

1.จิตใจ ต้องสู้

2.อาหาร งดเว้นเนื้อสัตว์ ( รับประทานปลาได้ ) แล้วหันมารับประทานอาหารที่ไม่ส่งเสริมการเติบโตของเซลมะเร็ง ซึ่งมี 15 ชนิด ดังนี้

2.1 ธัญพืช 5 ชนิด คือ ข้าวกล้อง, ข้าวม้ง, ข้าวบาเล่ย์, ข้าวสาลี, และลูกเดือย นำมาหุงด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้า

2.2 ผักผลไม้ 10 ชนิด ได้แก่ หอมหัวใหญ่, มันฝรั่ง หรือมันเทศ, กล้วยน้ำว้าสุก 8 ผล / วัน, ฟักทอง, ข้าวโพดหวาน, ยอดแค, ถั่วพู ( 2 ชนิดนี้ห้ามขาด ), บลอคโคลี่ หรือดอกกะหล่ำ, ถั่วหวาน และคะน้าฮ่องกง ( ผักผลไม้ 5 ชนิด แรกให้ปรุงโดยวิธีนึ่ง ) นำทั้ง 10 ชนิด หั่นเป็นชิ้นๆ นำมาเข้าเครื่องปั่นแบบไม่ต้องละเอียดมาก เพื่อให้กระเพาะอาหารทำหน้าที่ย่อย จากนั้นนำมารับประทานหนัก 1 กก. / วัน กับธัญพืช


3. อาบน้ำร้อนสลับน้ำเย็น หรือน้ำเย็นสลับน้ำร้อนอย่างละ 2 นาที รวมเวลา 10 นาที 1 ครั้ง / วัน เตรียมน้ำร้อน โดยใช้เครื่องทำน้ำร้อน เตรียมน้ำเย็นโดยหาถังน้ำใส่น้ำแข็ง แล้วอาบร้อนจัด และเย็นจัด เท่าที่ร่างกายทนได้ ภูมิต้านทานโรคทั้ง 2 จำพวก จะถูกกระตุ้นขึ้นมาทำหน้าที่อย่างแข็งขัน

4.การออกกำลังกาย เดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ประมาณ 45 นาที / วัน

ง่ายไหมครับ ... ถ้าเพื่อนสนใจ สามารถเขียนจดหมายติดต่อขอรับธัญพืช ปลอดสารพิษจากไร่ที่ อ.แม่สอด ได้ฟรี ! ตามที่อยู่นี้ :

“ มูลนิธิวรรณ ” เลขที่ 3 / 681 ประชานิเวศน์ ถ.เทศบาลนิมิตเหนือ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. โทรศัพท์มือถือ พ่อเลี้ยงวรรณ 086-788-6222
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #43 เมื่อ: 07 มีนาคม 2551, 20:08:17 »

อันตรายจากก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก และเส้นหมี่

เพลินจันทร์ - อักษร 16 ... ส่งมา

ถ้ารับประทานมากๆ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตับ และโรคไตสูง ผลวิจัยชี้เส้นก๋วยเตี๋ยวมหาภัยเติมสารกันบูดเกินมาตรฐานอื้อ โดยเฉพาะเส้นเล็ก และเส้นหมีี่ เสีี่ยงตับไตพัง เผยบะหมีี่เหลือง-วุ้นเส้นปลอดภัยกว่า่ แนะผู้ประกอบการอย่าโลภผลิตขายข้ามจังหวัด จนต้องใส่สารกันบูดจำนวนมาก

ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่คนไทยนิยมบริโภค และเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด ทำให้มีการแข่งขันทางการตลาดสูง เส้นก๋วยเตี๋ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นเส้นสดที่ค้างหลายวันไม่ได้ ผู้ประกอบการมีการเติมสารกับูด หรือสารกันเสียเพื่อยืดอายุเส้นก๋วยเตี๋ยว ทำให้ยืดระยะเวลาการจำหน่าย ซึ่งสารกันบูดที่นิยมใช้คือ กรดเบนโซอิก และกรดซอร์บิก ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสูง เป็นเวลานาน จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง

ดังนั้นคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล ( Codex ) ได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ผลการตรวจวิเคราะห์พบปริมาณกรดเบนโซอิกตั้งแต่ 1,079-17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และเมื่อเทียบกับปริมาณที่กำหนดกรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวตามมาตรฐานสากลโดย :

ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
เส้นหมี่ 7,825 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ก๋วยจั๊บเส้นใหญ่ 7,358 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ก๋วยจั๊บเส้นเล็ก 6,305 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
บะหมี่โซบะ 4,593 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 4,230 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานีกล่าวว่า จากผลวิจัยดังกล่าวทำให้ความเชื่อเดิมที่คิดว่าเส้นหมี่ซึ่งมีลักษณะแห้ง จะมีวัตถุกันเสียน้อย แต่จะพบมากในเส้นใหญ่ที่มีความชื้นสูงนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่ากลับมีการใส่วัตถุกันเสียมากเป็นอันดับ 2 รองจากเส้นเล็ก ส่วนเส้นที่ไม่พบสารเลยคือ เส้นบะหมี่เหลือง เพราะผลิตจากแป้งสาลี ส่วนเส้นอื่นๆ จะผลิตจากแป้งข้าวเจ้าที่มีความชื้นสูง ทำให้ราขึ้นง่าย จึงมีการใส่วัตถุกันเสีย ขณะที่วุ้นเส้นไม่มีปัญหาเช่นกัน


ที่มา : นสพ. คมชัดลึก 28 สิงหาคม 2550
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #44 เมื่อ: 15 มีนาคม 2551, 06:26:14 »

วิ ธี ก า ร กำ จั ด แ ม ล ง ส า บ แ บ บ บ้ า น ๆ ... ( เน้นประหยัด และง่าย )

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

สืบเนื่องจากที่ผมเพิ่งล้างป่าช้าแมลงสาบไปเมื่อวันก่อน วิธีการง่ายมากๆ เลยอยากเอามาแชร์ไห้เพื่อนๆ ได้ทราบวิธีการกันครับ เผื่อใครจะอยากลองนำวิธีนี้ไปใช้บ้าง

อุปกรณ์ที่ต้องใช้
1. ขวดเฮลส์บลูบอยที่หมดแล้ว 1 - 2 ขวด
2. น้ำมันหมู

วิธีทำ
1. เทน้ำมันหมูลงในขวดเฮลส์บลูบอย แล้วเอียงขวดไปมา ให้น้ำมันหมูเกาะทั่วขวด
2. เอาน้ำมันหมูป้ายขอบในคอขวด กะให้กำลังลื่นพองาม
3. เอาไปตั้งไว้กลางห้องครัว หรือ แหล่งชุมนุมแมงสาบ ( เฉพาะจุดที่พบบ่อยๆ )
4. ทิ้งเอาไว้ประมาณ 8 ชม. แนะนำให้ตั้งไว้ก่อนนอน
5. ตื่นมาตอนเช้า อย่าตกใจนะ แมลงสาบจะยั่วเยี๊ยไปทั้งขวด แต่ออกมาไม่ได้ เด็กและสตรีที่กลัวแมลงสาบไม่ควรทำ เพราะอาจจะตกใจตายได้
6. เอาฝาเฮลส์บลูบอยปิดไว้ แล้วฝากให้รถขยะพาแมงสาบไปเที่ยว

1 - 2 สัปดาห์ต่อครั้ง ผมล้างป่าช้าได้ทีละเกือบ 30 ตัว ม่ายรู้จะโหดไปป่าวนะ ... แต่ได้ผลกว่าพวกยาอันตรายทั่วไปอ่ะครับ

หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับคนที่ไม่อยากเลี้ยงแมงสาบแล้ว แต่จะเอาไปปล่อยวัดก็ไม่ได้ ( ไล่จับไม่ทัน )


CREDIT : คุณ ircthai จาก www.maplehack
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #45 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2551, 15:02:27 »

เคล็ดลับความงาม ทำให้ดูสาว และสวยตลอดไป

จิ๋ม-จงรักษ์ - อักษร 16 ... ส่งมา

เมื่อเร็วๆ นี้มีคุณยายท่านหนึ่ง ถ้าดูตามอายุต้องเรียกท่านว่า " คุณยาย " เพราะอายุท่านเกิน 70 ปีแล้ว แต่ถ้าดูหน้าตา ผิวพรรณ อยากเรียกท่านว่า " คุณพี่ " มากกว่า เพราะดูยังไงก็ไม่เกิน 50 ปีค่ะ ท่านมาทำฟันที่คลินิกทันตกรรมพาณิชย์ธน ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 13

หลังจากทำฟันเสร็จแล้ว ได้สนทนากับท่านเพราะหมอสงสัยมากว่า ทำไมอายุท่านมากแล้ว แต่ดูไม่แก่ตามวัย ท่านบอกหมอว่า ให้นอนเอาศีรษะห้อยลงเล็กน้อยวันละ 10 นาทีทุกวัน เพื่อให้เลือดมาหล่อเลี้ยงศีรษะ และใบหน้า วิธีการ ( ไม่ได้นอนเอาหัวห้อยแบบค้างคาวนะคะ ) แต่นอนราบบนเตียง ไม่หนุนหมอน แล้วยื่นศีรษะให้เลยขอบเตียง ให้ห้อยจากขอบเตียงเล็กน้อย ทำทุกวันอย่าให้เกิน 10 นาที

หมอฟังคำแนะนำจากท่านแล้ว เห็นว่ามีเหตุมีผล เพราะถ้าเรานอนห้อยศีรษะนิดๆ จะทำให้เลือดมาเลี้ยงใบหน้า ทำให้ผิวพรรณที่ใบหน้าเต่งตึง ไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น และสมองก็ได้เลือดมาเลี้ยงด้วย โอกาสเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาติ ก็ไม่มีค่ะ

คุณยาย ( อยากเรียก คุณพี่ มากกว่า ) ยังแนะนำต่อว่า ให้ทานผัก และ ผลไม้เป็นประจำด้วย ตอนนี้หมอได้นำเคล็ดลับของคุณยายมาปฎิบัติแล้วค่ะ ก่อนนอนทุกคืน หมอจะทำอย่างที่คุณยายแนะนำ คือนอนราบไม่หนุนหมอน และห้อยศีรษะเล็กน้อยไม่เกิน10 นาที เท่าที่ปฎิบัติมาเกือบเดือน รู้สีกว่าหน้าตา ผิวพรรณดีขึ้นมากค่ะ เจอเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันยังทักว่า ทำไมหมอดูสวยจัง
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #46 เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2551, 00:25:02 »

น้ำมันพืช

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา



น้ำมันพืช คือ ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่สกัดได้จากพืช ส่วนใหญ่นำมาใช้ประกอบอาหาร มี 2 ประเภทหลัก ๆ

1. น้ำมันพืช ทุกชนิดไม่มีคลอเลสเตอรอล
2. น้ำมันจากไขมันสัตว์ มีคลอเลสเตอรอล

น้ำมันที่ดี : ได้แก่น้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัว ( unsaturated fatty acid ) สูง หรือมีไขมันอิ่มตัว ( saturated fatty acid ) ต่ำ เช่น น้ำมันข้าวโพด คาโนลา มะกอก ถั่วเหลือง ทานตะวัน ฯลฯ

น้ำมันกลุ่มดีพิเศษ : น้ำมันพืชที่มีไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว ( monounsaturated fatty acid / MUFA ) สูงจัดเป็นน้ำมันชนิด " ดีพิเศษ ( especially good ) " เช่น น้ำมันคาโนลา น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว ( peanut oil ) ฯลฯ น้ำมันเหล่านี้ช่วยลดโคเลสเตอรอลชนิดร้าย ( LDL ) ซึ่งนำขยะ ( คราบไขมัน ) ไปทิ้งไว้ตามผนังเส้นเลือด และเพิ่มโคเลสเตอรอลชนิดดี ( HDL ) ซึ่งช่วยทำความสะอาด หรือเก็บขยะ ( คราบไขมัน ) จากผนังเส้นเลือด

น้ำมันกลุ่มดีปานกลาง : น้ำมันพืชที่มีไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ( polyunsaturated fatty acid / PUFA ) สูงจัดเป็นน้ำมันชนิด " ดีปานกลาง ( generally healthful ) " เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง ฯลฯ ถ้าใช้น้ำมันกลุ่มนี้แต่น้อยละลดโคเลสเตอรอลชนิดร้าย ( LDL ) แต่ถ้าใช้มากจะลดโคเลสเตอรอลทั้งชนิดดี ( HDL ) และชนิดร้าย ( LDL ) จึงควรใช้แต่น้อย

น้ำมันกลุ่มร้าย : " กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง ( oil to avoid ) " ได้แก่ น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัว ( saturated fatty acid / SFA ) หรือไขมันทรานส์ ( transfatty acid / TFA ) สูง เนื่องจากทำให้โคเลสเตอรอลชนิดร้าย ( LDL ) เพิ่มขึ้น และทำให้โคเลสเตอรอลชนิดดี ( HDL ) ลดลง ตัวอย่างเช่น น้ำมันจากสัตว์ที่ไม่ใช่ปลา น้ำมันปาล์ม กะทิ ไขมันนม เนยแข็ง ช็อทเทนนิ่ง ( shortening ) หรือเนยเทียมที่ใช้ผสมในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่หรือขนมปัง ครีมเทียม ( เช่น คอฟฟี่เมต ฯลฯ )

สรุป น้ำมันพืชที่ดีส่วนใหญ่เป็นน้ำมันพืชที่ไม่ใช่น้ำมันปาล์ม และกะทิ ควรกินปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ได้น้ำมันปลาซึ่งเป็นน้ำมันที่ดีมากเป็นพิเศษ แนะนำให้กินนม โยเกิร์ต และนมเปรี้ยวชนิดไม่มีไขมัน ( nonfat ) หรือไขมันต่ำ ( low fat ) แทนชนิดไขมันเต็มส่วน ( full cream milk ) เนื่องจากนมชนิดไขมันเต็มส่วนหรือนมจืดมีไขมันอิ่มตัวสูงมาก การใช้น้ำมันให้ได้ผลดีควรเลือกชนิดที่มี่ไขมันอิ่มตัวต่ำ และควรใช้แต่น้อย


ปัจจุบันน้ำมันพืชมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันมาก เนื่องจากคุณแม่บ้านส่วนใหญ่เลือกใช้น้ำมันพืชเป็นหลักในการประกอบอาหาร เนื่องจากหาซื้อได้สะดวกกว่าน้ำมันหมู ที่เคยใช้รับประทานมาแต่เก่าก่อน และยังมีคุณค่ามากกว่า ท่านผู้อ่านอาจจะเคยทราบว่าน้ำมันพืชมีประโยชน์กว่าน้ำมันหมู แต่ท่านจะทราบหรือไม่ว่า น้ำมันพืชนั้นมีอยู่หลายชนิด แต่ละชนิด มีข้อดี ข้อเสียต่างกัน หากเราเลือกใช้อย่างเหมาะสม ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง คือได้ทั้งอาหารที่อร่อย ปลอดภัย และป้องกันโรคได้ด้วย

น้ำมันพืชที่มีขายในท้องตลาด มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่เป็นไข เมื่อนำไปแช่ตู้เย็น หรือ เมื่ออากาศเย็น ชนิดที่ไม่เป็นไขในที่เย็น ทั้ง 2 ชนิดนี้มีข้อดี ข้อเสียต่างกัน และควรจะเลือกใช้ต่างกันดังนี้

น้ำมันพืชชนิดที่เป็นไข จะประกอบไปด้วยไขมันชนิดอิ่มตัว อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งไขมันชนิดอิ่มตัว เป็นไขมันที่อยู่ในไขมันสัตว์, ไขมันจากมะพร้าว และน้ำมันปาลม์ มีคุณสมบัติที่เป็นไขได้ง่าย ย่อยยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กทารก จะย่อยได้ไม่ดีนัก นอกจากนี้ยังทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูง แต่ก็มีข้อดี คือ น้ำมันชนิดนี้จะทนต่อความร้อน ความชื้นและออกซิเจน ไม่เหม็นหืน และเวลาที่ใช้ทอดอาหาร จะทำให้อาหารกรอบอร่อย น่ารับประทาน สามารถทอดอาหารได้นานๆ เพราะน้ำมันจะไม่ค่อยเสีย

น้ำมันชนิดที่ไม่เป็นไข ประกอบด้วย ไขมันชนิดไม่อิ่มตัวอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่สูง ไขมันชนิดนี้ ย่อยง่าย ร่างกายนำไปใช้สร้างเซลต่างๆ จึงเหมาะสมกับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต และยังช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด ผู้ที่มีปัญหาโคเลสเตอรอลในเลือดสูงจึงควรเลือกใช้น้ำมันชนิดนี้ แต่ข้อเสียของน้ำมันชนิดนี้คือ เมื่อถูกทำลายจะกลายเป็นสารโพลาร์ ซึ่งทำให้น้ำมันเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และมีกลิ่นเหม็นหืน ซึ่งสารโพลาร์เหล่านี้ อาจทำให้เกิดโรคหัวใจจากเส้นเลือดหัวใจตีบตัน อาจจะทำให้เป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร ทำให้ตับเสื่อมได้ อย่างไรก็ตามผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เป็นเพียงผลที่เกิดในสัตว์ทดลอง ส่วนในคนยังไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าสารโพลาร์จากไขมันไม่อิ่มตัวที่ถูกความร้อนสูง จะทำให้เกิดโรคเหมือนในสัตว์ทดลองเลย

ดังนั้นการเลือกใช้น้ำมันจึงขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร ซึ่งถ้าเป็นอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูงอยู่นานๆ เช่นการทอดปลาทั้งตัว, ไก่, หมู หรือเนื้อชิ้นใหญ่ๆ ที่ต้องใช้เวลานาน ควรเลือกน้ำมันชนิดเป็นไข เพื่อให้ได้อาหารที่รสชาติดี กรอบอร่อย ส่วนการผัด หรือทอดเนื้อชนิดบางๆ เช่นหมูแฮม ควรใช้น้ำมันชนิดไม่เป็นไข เพราะร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี นอกจากนี้น้ำมันที่ใช้ทอดอาหารไม่ควรใช้ซ้ำบ่อยๆ เพราะน้ำมันที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลมักจะมีสารโพลาร์อยู่มาก อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ สำหรับทารก และเด็กในวัยที่กำลังเจริญเติบโต ควรประกอบอาหารโดยใช้น้ำมันชนิดไม่เป็นไข ซึ่งช่วยทำให้เด็กเจริญเติบโตได้ดี

การเก็บน้ำมันชนิดที่ไม่เป็นไขให้ใช้ได้นานๆ โดยไม่เหม็นหืนนั้น ควรเก็บในที่มืด และเย็น หากตั้งไว้ในที่ๆ ถูกแสงแดดน้ำมันจะเสียเร็ว


สรุป : การเลือกใช้น้ำมันขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร และผู้รับประทาน ถ้าชนิดของอาหารเป็นชนิดที่ต้องใช้เวลาทอดนาน ควรเลือกน้ำมันที่เป็นไข แต่ถ้าเป็นอาหารที่ใช้เวลาทอดไม่นาน ควรใช้น้ำมันชนิดไม่เป็นไข สำหรับผู้รับประทาน ถ้าเป็นเด็ก ควรใช้น้ำมันที่ไม่เป็นไขเพื่อช่วยการเจริญเติบโต ส่วนผู้ใหญ่ที่ไม่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง เลือกใช้น้ำมันชนิดใดก็ได้ ส่วนผู้ใหญ่ที่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูง ควรใช้น้ำมันชนิดที่ไม่เป็นไข หากต้องการรับประทานอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันที่เป็นไข ต้องรับประทานในปริมาณที่น้อยๆ จึงจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ข้อมูลจาก : โรงพยาบาลรามคำแหง


ประเภทน้ำมัน

ความแตกต่างของน้ำมันแต่ละประเภท ควรเลือกซื้อเพื่อนำไปใช้ให้ได้ประโยชน์ และถูกต้องตามความต้องการ

น้ำมันมะกอก ( Olive Oil ) เป็นน้ำมันที่อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินเอ เบตา-แคโรทีน และสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้ผลดีต่อร่างกายหลายประการ เช่น ช่วยป้องกันการเกิดของหลอดเลือดแดงแข็งตัว ช่วยให้การหมุนเวียนของโลหืตดีขึ้น อีกทั้งยังป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย เส้นเลือดในสมองแตก นอกจากนี้ยังช่วยมห้ระบบการทำงานของส่วนต่างๆ ในร่างกายดีขึ้น ทั้งกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ ตับ และถุงน้ำดี ส่วนวิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกจะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ป้องกันโรคผิวหนัง และลดริ้วรอยเหี่ยวย่น สำหรับผู้สูงอายุที่มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก หากรับประทานน้ำมันมะกอกเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน และช่วยให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุ และแคงเซียมได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีกรดไขมันที่ช่วยต่อต้านการก่อตัวของติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ ที่เรียกว่ามะเร็งได้อีกด้วย แต่ในเรื่องของราคานั้น น้ำมันมะกอกจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าน้ำมันทั่วๆ ไป ซึ่งจะขายกันอยู่ที่ 150-400 บาท ต่อ 1,000 มิลลิลิตร

น้ำมันงา ( Sesame Oil ) เป็นน้ำมันพืชที่หลายเป็นเทศนิยมนำมาใช้ในการปรุงอาหาร โดยเฉพาะชาวจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี จะใช้น้ำมันงาเป็นส่วนผสมของอาหาร น้ำมันงาบริสุทธิ์จะมีรสฝาดร้อนแต่ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน เนื่องจากมีสาร " เซซามอล " ( Sesamol ) ซึ่งเป็นสารกันหืนอยู่ในตัวมันเอง ในทางการแพทย์จึงใช้สารชนิดนี้ไปเป็นส่วนประกอบของยาเพื่อลดความดันโลหิต ชะลอความแก่ และลดการแพร่กระจายของเซลมะเร็ง นอกจากสารเซซามอลแล้ว ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงเมื่อเทียบกับน้ำมันชนิดอื่นๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัวอันเป็ยเหตุของโรคหัวใจขาดเลือดแล้ว ยังมีกรดไขมันไลโนเลอิกที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต ช่วยควบคุม และลดคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันการเป็นโรคหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดบาชนิด ทั้งยังให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ส่วนเรื่องราคานั้นน้ำมันงาจะขายอยู่ที่ราคาประมาณ 50-250 บาท ต่อ 1,000 มิลลิกรัม

น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน ( Sunflower Oil ) ในเมล็ดดอกทานตะวันนั้นอุดมไปด้วยน้ำมัน และวิตามินอี น้ำมันที่ได้จากเมล็ดทานตะวันจะมีกรดไลโนเลอิกสูงถึง 44-75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีความจำเป็นต่อร่างกาย สามารถป้องกันการแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือด ป้องกันโรคฆลอดเลือดหัวใจ ส่วนวิตามินอีจะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คอยดักจับ และทำลายของเสียที่จะมาทำลายเซลล์ต่างๆ ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ลดไขมันในเส้นเลือ ป้องกันการเกิดมะเร็ง บำรุงสายตา ป้องกันการเป็นหมัน การแท้ง และป้องกันเนื้อเยื่อปอดถูกทำลายจากอากาศ นอกจากนี้ยังมีกรดไขมัน CLA ( Conjugated Acid ) คือกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ มีประโยชน์ในการเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเพิ่มโฮโมนที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่ข่วยในการเผาผลาญไขมันสะสมมาใข้เป็นพลังงานอย่างเต็มที่ พร้องทั้งลดปริมาณการเกิดไขมันสะสมที่จะเกิดใหม่ด้วย ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 40-50 บาท ต่อ 1,000 มิลลิกรัม

น้ำมันรำข้าว ( Ricec Bran Oil ) มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี๋ยวสูงถึง 44 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณกรดไขมันทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี และด้วยปริมาณกรดไขมันที่สมดุลนี้เอง องค์การอนามัยโลก สมาคมโดรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา และองค์การอาหารและเกษตรแห่สหประชาชาติจึงแนะนำว่า เป็นน้ำมันที่เหมาะต่อการบริโภค นอกจากกรดไขมันแลวยังมีวิตามิน และสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายอีกหลายชนิด ทั้งวิตามินอี โอรีซานอล โทโคไตรอีนอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายอีกด้วย น้ำมันรำข้าวนั้นสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ราคาอยู่ที่ 30-40 บาท ต่อขวด ( 1,000 มิลลิลิตร )

น้ำมันดอกคำฝอย ( Safflower Oil ) ประกอบด้วยเบตา-แคโทรีน กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายชนิดในปริมาณสูง ( ประมาณร้อยละ 74 ) เช่น กรดไลโนเลอิก กรดไลโนลิก ( Linolic Acid ) และกรดโอเลอิก เป็นต้น จึงทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำลง จากผลการวิจัยพบว่า น้ำมันดอกคำฝอยช่วยให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดลดลงได้จริง ทั้งนี้เป็นเพราะกรดไลโนเลอิกทำปฏิกิริยากับคอเลสเตอรอลในเลือด กลายเป็นคอเลสเตอรอลไลโนเลเอท ( Linoleate Choloesterol ) และยังทำให้ฤทธิ์ของเอนไซม์ที่ใช้ในการสังเคราะห์กราดไขมันลดลงอีกด้วย และบางผลการวิจัยยังพบว่าน้ำมันดอกคำฝอยช่วยลดการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด และป้องกันการอุดตันในเลือดได้ นำมันดอกคำฝอยหาซื้อได้ตามซูเปอร์มาเก็ต ราคาขวดละ 250-300 บาท ต่อ 1,000 มิลลิลิตร

น้ำมันถั่วเหลือง ( Soybean Oil ) น้ำมันถั่วเหลืองนับว่ามีความสำคัญ เพราะเป็นน้ำมันที่คุณภาพดี มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งช่วยลดคอเสเตอรอลไม่ดีได้ ยิ่งกว่านั้นในเมล็ดถั่วเหลืองยังมีโปรตีนสูง นิยมใช้ในการปรุงอาหาร ทำน้ำมันสกัด และเนยเทียม หาซื้อได้ทั่วไปราคาถูก ขวดละ 35-40 บาท

น้ำมันปาล์ม ( Palm Oil ) สกัดจากเปลือกเมล็ดปาล์ม จากนั้นนำมาผ่านกระบวนการการแยกกรดไขมันอิ่มตัวออกบางส่วน น้ำมันที่ได้จึงมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีประโยชน์สูง กรดไขมันอิ่มตัว 48 เปอร์เซ็นต์ กรดไขมันไม่อิ่มตัว 38 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันชนิดนี้เหมาะกับการทอดอาหารสำเร็จรูป ปรุงอาหาร และผลิตมาการีน ราคาขวดละ 25-30 บาท

น้ำมันถั่วลิสง ( Peanut Oil ) มีกลิ่นถั่ว ( Nutty Flavour ) กรดโอเลอิก และไลโนเลอิกสูงถึงร้อยละ 50-55 ของกรดไขมันทั้งหมด ในบ้านเราหาซื้อยาก เพราะไม่เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการประกอบอาหารเนื่องจากมีกลิ่น แต่มักใช้ในการปรุงอาหารจีน อาหารอินเดีย เรื่องราคานั้นค่อนข้างสูง เพราะต้องนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตโดยตรง

การเลือกน้ำมันมาใช้ปรุงอาหารให้เหมาะสม มีหลักการง่ายๆ ถ้าเป็นน้ำมันมะกอกชนิดรสอ่อน ( Mild ) เหมาะที่จะใช้รับประทานสดๆ หรือใช้ทำสลัด ทอดไข่ ทำมายองเนส และอบอาหารต่างๆ ส่วนน้ำมันมะกอกรสกลางๆ ( Medium Fruity-Flavoured ) จะช่วยเพิ่มรสชาติของสลัดให้น่ากินยิ่งขึ้น ส่วนน้ำมันมะกอกรสเข้ม ( Strong Fruity-Flavoured ) เหมาะสำหรับทอด ผัด เคี่ยว ตุ๋น และน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ( Extra Virgin Olive Oil ) เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปรุงสลัด และทาขนมปัง

หากจะใช้น้ำมันเป็นส่วนผสมของน้ำสลัดต้องเลือกน้ำมันที่ไม่แข็งตัวในอุณหภูมิต่ำ ( ประมาณ5-10 องศาเซลเซียส ) โดยเลือกน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด หากต้องการทอดอาหารโดยใช้น้ำมันน้อยๆ ให้ใช้น้ำมันพืชชนิดใดก็ได้ แต่ถ้าต้องการทอดอาหารที่ต้องใช้น้ำมันปริมาณมากๆ ใช้ความร้อนสูง ( Deep Frying ) เช่น การทอดไก่ กล้วยแขก โดนัท ไม่ควรใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงนัก แต่ควรใช้น้ำมันปาล์ม เพราะให้ความร้อนเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ และที่สำคัญในการทอดอาหารนั้น ไม่ควรนำน้ำมันที่ผ่านการทอดมาแล้วกลับมาใช้ใหม่ เพราะน้ำมันที่ผ่านการทอดแล้วนั้นจะมีกรดไขมันอิสระเพิ่มขึ้น และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงเกินไป ทำให้มีควันมาก เหม็นหืน มีความหนืดมากขึ้น และทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพในภายหลังได้


การเลือกน้ำมันเพื่อนำมาใช้ในการปรุงอาหารให้ถูกประเภทนั้น นอกจากจะทำให้รสชาติของอาหารอร่อยแล้ว แถมสุขภาพยังดีในเวลาเดียวกันอีกด้วย
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #47 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2551, 04:05:39 »

ทุเรียน พันธุ์หมอนทอง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระดีกว่า

นายสัตวแพทย์ สากล  16... ส่งมา

ทุเรียน พันธุ์หมอนทอง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระดีกว่า ชะนี และ ก้านยาว

ขณะนี้มีเรื่องที่น่ายินดีที่จะทำให้คนที่บริโภคทุเรียนได้สบายใจขึ้น เพราะทุเรียนไม่ได้มีแต่เพียงความอร่อยอย่างเดียว รศ.ดร.ระติพร หาเรือนกิจ , รศ.ดร.สุมิตรา ภู่วโรดม จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับ Professor Dr.Shela Gorinstein จากมหาวิทยาลัยฮิบบรู และคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยการเกษตรวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ได้ทำการศึกษาเชิงลึกของประโยชน์จากทุเรียน พบว่ามีส่วนในการลดไขมันในเส้นเลือดในห้องปฏิบัติการ และเมื่อทดลองกับหนูพบว่าทุเรียนมีสารโพลีฟีนอล และสารฟลาโวนอยด์ ในปริมาณสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น โดยสารทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ จากงานทดลองพบว่า ทุเรียนที่มีความสุกพอดีจะมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าทุเรียนดิบ หรือทุเรียนที่สุกเกินไป ( ที่เรียกกันทั่วไปว่าทุเรียนปลาร้า ) และยังพบว่าทุเรียน พันธุ์หมอนทอง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระดีกว่า พันธุ์ชะนี และ พันธุ์ก้านยาว นอกจากนั้นเมื่อมีการตรวจวิเคราะห์ แร่ธาตุอาหารที่มีอยู่ในเนื้อทุเรียน อ.สุมิตรา บอกว่า ทุเรียนมีปริมาณเส้นใยอาหาร และธาตุเหล็กสูงมาก ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เมื่อมีการเปรียบเทียบทุเรียนพันธุ์หมอนทองกับผลไม้เมืองร้อนชนิดอื่น พบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าสละ , มังคุด , ลิ้นจี่ , ฝรั่ง และมะม่วงสุก ตามลำดับ

คณะผู้วิจัยยังได้นำทุเรียนไปเลี้ยงหนูทดลอง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่พิสูจน์ว่าทุเรียนมีดีจริงไม่ใช่ เพียงข้อมูลในห้องปฏิบัติการเท่านั้น จากการเลี้ยงหนูทดลองด้วยอาหารที่ผสมทุเรียนกับคอเลสเตอรอล พบว่าหนูทดลองที่ได้รับทุเรียนหมอนทองในอาหาร สามารถลดสารคอเลสเตอรอลทั้งหมดได้ 16% และลด LDL คอเรสเตอรอลได้ถึง 31.3% เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับอาหารที่มีคอเลสเตอรอลผสมอย่างเดียว จากการทดลองในครั้งนี้ทำให้พบว่า ถึงแม้ว่าในเนื้อทุเรียนจะมีปริมาณไขมันมากแต่ส่วนใหญ่เป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

งานทดลองในครั้งนี้ทำให้เห็นว่าทุเรียนจัดเป็นผลไม้ไทยอีกชนิดหนึ่งทีสามารถบริโภคเป็นอาหาร และยา จัดเป็นผลไม้สุขภาพอีกชนิดหนึ่งของไทยแต่ควรจะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ


ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่น

ถ้ากินตามเทคนิคของปู่ย่าตายายที่ตกทอดกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาล่ะก็รับรองผอมแน่ค่ะ ! นั่นคือให้กินทุเรียนแบบถือว่าเป็นยาถ่ายพยาธิ ไม่ใช่กินเอาอร่อยอย่างที่เรากินๆ กัน ตื่นนอนให้เช้าๆ หน่อย สักประมาณตี 5 ( เป็นเวลาที่ธาตุของเราเริ่มทำงาน ) หลังจากแปรงฟันล้างหน้าแล้วก็ทานทุเรียนได้เลย จะเลือกพันธุ์ไหนก็ได้ตามรสนิยม ให้ทานได้ประมาณครึ่งลูก คนอ้วนจะทานได้มากกว่านี้นิดหน่อย หลังจากทานแล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตามลง ไปด้วย หลังจากทานทุเรียนแล้ว ควรงดอาหารเช้าของวันนั้น ทานติดต่อกัน 2 วัน เส้นใย และความร้อนจากสารกำมะถันในทุเรียนจะไปชะล้างพยาธิ และสิ่งสกปรกต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย


ทุเรียนมีดีรอบด้าน ถึงกินแล้วจะร้อนในไปหน่อย แต่ความดีอย่างอื่นของทุเรียยนก็ยังมี แถมมีตั่งแต่ต้นจรดรากซะด้วยสิ ! ...

เนื้อ : เนื้อทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรคผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย

เปลือก : ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียนไปเผาแล้วบดเป็นผง เอามาผสมกับน้ำมันงา หรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพองที่คาง คางทูมก็จะยุบ

ใบทุเรียน : เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้

ราก :ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้ และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี

แต่ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามแล้วละก็ คุณอาจจะไม่เคยคิดเลยว่า ทุเรียนจะสามารถทำให้คุณสวยได้ .... วิธีการไม่ยากเลยเพียงแค่ .... นำเนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น

สรรพคุณมากมายอย่างนี้ คนที่ไม่ชอบทุเรียนอาจจะต้องหันกลับมาสนใจทุเรียนมากขึ้นแล้วล่ะ เพราะทุเรียนมีดีกว่าที่คิด จริงไหม !!! ....
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #48 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2551, 22:07:08 »

โรควุ้นในลูกตาเสื่อม ... คนเล่นคอมพ์ต้องอ่าน

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

คนที่เล่นคอมพ์เกือบทุกคน เป็นโรค " วุ้นในลูกตาเสื่อม " ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรคนี้ถึง 14 ล้านคนแล้ว จากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์ ( นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้ คนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นจะมากขนาดไหน ? )



อาการก็คือ คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนหยากไย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจก จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก็คือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ( น่ากลัวมากๆ ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่ ?

สาเหตุของโรคนี้คือ " การใช้สายตามากเกินไป " ( เล่นคอมิวเตอร์ ) แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือคนที่มีอาชีพใช้ที่สายตามากๆ เช่น ช่างเจียระไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมาก เพราะเล่นเนต หรือ เล่นคอมพ์ ( คุณฟังไม่ผิดหรอก เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมาก เพราะเล่นคอมพ์นี่แหละ )

ถามว่าทำไมคนเล่นเนต เล่นคอมพ์ ถึงเป็นกันมาก ? ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต, เล่นเกมส์, อ่านไดอารี่, อ่านบทความ, อ่านหนังสือหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนแต่ทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น เพราะว่าถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ " ระยะห่างระหว่างลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอน เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อ และประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่ แต่ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส ( เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป จอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติดอยู่ที่ผิวบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ ) การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน

บวกกับ ลักษณะการอ่านหนังสือในคอมพ์นั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อที่จะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก็ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษ ที่แขนกับคอเราจะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ ( คุณสังเกตุดูได้ ) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะจะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับการพิมพ์ตัวหนังสือนั้น บางทีคุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้นพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามากๆ ตัวอย่างเช่นกรณีเด็กนักศึกษาเร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ติดต่อกันข้ามคืน สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ

รวมทั้งเวลาการเปิดใช้โปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือ มักจะมีสีพื้นที่เป็นสีขาวสว่าง ( ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาว ) สีพื้นที่สว่างจ้านี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็คนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อย ๆ มักจะมีการปรับแสงสว่าง เพราะเวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ




ภาพแสดงจอประสาทตาที่หลุดลอกออกมา แยกชั้นออกจากส่วนหลังของลูกตา

สรุปก็คือ

1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก ทำให้สายตาเสีย

2. การเลื่อนตัวหนังสือ และแถบบรรทัดในจอคอมพ์ มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย

3. การก้มๆ เงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอมพ์ กลับไปกลับมา ทำให้สายตาเสีย

4. การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้ามากเกินไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้สายตาเสีย ( คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียนั่นเอง )

5. การใช้จอคอมพ์ที่มีความกว้างมากเกินไป จอคอมพ์กว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ เพราะสายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต ( 12นิ้ว ) แต่จอคอมสมัยใหม่กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกิน
ระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่อีกขอบหนึ่ง ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา

ถามกลับไปว่า ทำไมกระดาษเอกสารที่ใช้ในการอ่านการเขียนทั่วไปจึงมีขนาด A4 ? คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดีกับการกวาดสายตามอง และเป็นคำตอบเดียวกับที่ว่า ทำไมขนาดของจอคอมพ์ที่คุณใช้ จึงไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง

ส่วนมากคนทั่วไปมักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมพ์ทุกวันนั้น จะเป็นสาเหตุใหญ่ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิดอาการรุนแรง เพราะกว่าจะรู้ตัวแล้วไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่าคุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น


******************
อ้างอิงจาก
http://www.fwdder.com/topic/9673

จัดทำโดย กลุ่มเผยแพร่และพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยี สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สพฐ.
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #49 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2551, 00:15:14 »

อันตรายถึงชีวิต ถ้าคิดบดยากิน

พี่วิวิธ - วิศวะ 07 ... ส่งมา

วันนี้มาว่ากันด้วยเรื่องการกินยาอีกครั้ง หลายคนคงเคยเจอปัญหาว่ายาเม็ดโตเกินไป จะเคี้ยวจะกลืนแต่ละทีก็แสนลำบาก อย่ากระนั้นเลย บดเสียก่อนกินน่าจะสะดวก แต่หารู้ไม่ว่าความสะดวกนั้นอาจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เพราะมันมีผลต่อฤทธิ์ในการปล่อยยาสู่ร่างกาย

รายละเอียดของเรื่องนี้มาจากข่าวต่างประเทศที่ผู้เชี่ยวชาญในอังกฤษกล่าวเตือนว่า การบดยาเม็ดเพื่อให้ทานง่ายขึ้นอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะไปทำลายสารเคลือบเม็ดยาที่มีผลต่อการปล่อยยาในร่างกาย เภสัชกร และทนายความที่โน่นเปิดเผยว่า คนชราร้อยละ 60 มีปัญหาในการกลืนยา และมีงานวิจัยพบว่า พยาบาลตามสถานพยาบาลถึงร้อยละ 80 ใช้วิธีบดเม็ดยาเพื่อช่วยให้คนชรากลืนยาง่ายขึ้น

แต่ละปีมียาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ และเกิดผลข้างเคียงทางลบประมาณ 75 ล้านชุด ยาที่ไม่ควรบด ได้แก่ ทาม็อกซิเฟน ที่ใช้รักษามะเร็งเต้านม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีมีครรภ์ ในขณะที่มอร์ฟีนไม่ควรบด เพราะอาจทำให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเร็วถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต ส่วนไนเฟดิพีน ที่ใช้รักษา
ความดันโลหิตสูง หากบดจะทำให้มึนงง ปวดศีรษะ เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ หรือหลอดเลือดสมองได้

นอกจากนี้ ยาเม็ดยังมีสารเคลือบพิเศษที่ช่วยให้ยาถูกดูดซึมในเวลาที่นานขึ้น ผู้ป่วยจึงกินยาเพียงวันละ 1 เม็ด ไม่ต้องกินวันละหลายครั้ง หากยาถูกบดก็จะถูกดูดซึมเร็วกว่าที่ต้องการ ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนด้วยว่า แพทย์และพยาบาลจะถูกดำเนินคดี และตั้งข้อหาประมาทเลินเล่อ หากแนะนำให้ผู้ป่วยบดเม็ดยา หรือแกะแคปซูลที่หุ้มยาไว้ พร้อมแนะนำว่าแพทย์ควรสอบถามผู้ป่วยก่อนสั่งจ่ายยาว่า มีปัญหาในการกินยาเม็ดหรือไม่ เพื่อสั่งจ่ายยาในรูปแบบอื่นแทน เช่น ยาน้ำ แผ่นแปะ หรือยาที่ใช้สูดดม

สำหรับในเมืองไทย แม้ยังไม่มีข้อกำหนดเรื่องการดำเนินคดีเกี่ยวกับการบดเม็ดยาอย่างเมืองนอก ทางที่ดีผู้ป่วยควรใช้ความระมัดระวัง อย่าเสี่ยงบดยากินเอง เป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุดต่อชีวิตเราเอง
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #50 เมื่อ: 05 สิงหาคม 2551, 01:58:49 »

แป้งโรยตัว

พี่พิกุล - วิทยา 14 ... ส่งมา

หลายคนนิยมทาแป้งโรยตัว  เพราะทาแล้วรู้สึกว่าผิวเนียน  เนื้อนวล  แถมมีกลิ่นกลุ่นหอมละมุนอีกต่างหาก  ใครๆ ก็เลยนิยมใช้แป้งกันอย่างแพร่หลาย  ใช้กับทุกส่วนของร่างกาย  ตั้งแต่หน้าจนถึงฝ่าเท้า  ไม่เว้นกระทั่งก้น  และจุดซ่อนเร้น  ซึ่งผู้หญิงส่วนมากให้ความเห็นว่าช่วยให้แห้งสบายจากความชื้น  โดยเฉพาะเมื่อใช้แผ่นอนามัยรองซึมซับกันเปื้อน  ใช้กันตั้งแต่เด็กแบเบาะจนแก่เฒ่า   แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการใช้ชีวิตเลยก็ได้

แต่ใช้กันมากขนาดนี้  ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม ?  ก่อนอื่นมาดูกันว่าแป้งโรยตัวทำมาจากอะไร ?  คำว่า “ แป้งฝุ่น “ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Talc  มันคือแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นหินที่มีอยู่ในธรรมชาติ  มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า soapstone หรือ steatite  ส่วนประกอบทางเคมีก็คือ  hydrate magnesium silicate  แต่มันอาจมีสารอื่น  เช่น  คลอไรต์ ( chlorite )  ร่วมด้วย  เรารู้จักแป้งกันดีเมื่อมันถูกนำมาใช้งานในรูปของผงฝุ่นแป้ง  และเพราะคุณสมบัติของแป้งที่ดีในเรื่องของการทนไฟทนกรด  ต้านทานต่อการนำไฟฟ้า  ช่วยการผสมผสาน  และดูดซึมซับความชื้น  ทำให้พื้นผิวที่มันเคลือบอยู่แห้ง  เนียน  ลื่น  ไม่ดูดติดกัน  เป็นสิ่งที่ทำให้มันถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทุกวงการทั้งในภาคอุตสาหกรรม  ไม่ว่าจะทำสี  ทำสารหล่อลื่น  เซรามิคกันไฟ  แก้ว  ยาขัดล้างทำความสะอาด  กระดาษ  ยาง  ฯลฯ  จนถึงยา  และเครื่องสำอาง  ตั้งแต่แป้งฝุ่นทาหน้า  แป้งเด็ก  สบู่  ครีมทาผิว  น้ำยาดับกลิ่นตัว ฯลฯ

เมื่อใช้แป้งกันมากมายในชีวิตประจำวันแล้ว  จะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้หรือไม่ ?  อันตรายต่อสุขภาพปอด  เวลาทาแป้งตอนโรยแป้ง  ผงแป้งจะลอยละล่องในอากาศ  และถ้าผงฝุ่นแป้งถูกสูดเข้าทางเดินหายใจทีละเล็กทีละน้อยเป็นเวลานานๆ มันก็อาจจะสะสมอยู่ในปอด  โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน   เราเรียกภาวะนี้ว่า pneumoconiosis  ทำให้มีปัญหากับการหายใจ  และถ้าสูดเข้าครั้งละมากๆ  เช่น  การสำลักผงแป้งเข้าไป  ก็มีรายงานหลายชิ้นบอกว่า  มีเด็กทารกที่ปอดอักเสบ  และตายจากสาเหตุนี้  สรุปว่าแป้งอาจทำให้ปอดมีปัญหาได้
 แป้งไม่ทำให้เกิดมะเร็งที่ปอด  เว้นแต่ว่าแป้งนั้นจะมีใยหินแอสเบสตอส ( Asbestos Fibers ) ผสมอยู่ด้วย  แป้งที่ใช้ทั่วไปไม่มีแอสเบสตอส  และแป้งที่มีแอสเบสตอสอยู่ก็มีจากแห่งเดียวในแหล่งแป้งของอเมริกา  ซึ่งทำเหมืองในกิจการของการค้นคว้าวิจัยเท่านั้น  ไม่เอามาใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ  เป็นอันตรายต่อสุขภาพรังไข่  เพราะการใช้แป้งที่ก้น  กับอวัยวะเพศมีมากจนเป็นแฟชั่นฮิตอีกอย่างหนึ่ง

ในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1970  มีการสงสัยว่าแป้งทำให้เกิดมะเร็งที่รังไข่ได้หรือไม่ ?  ก็มีคนทำการค้นคว้า  และย้อนถามพบว่า  คนที่เป็นมะเร็งรังไข่ 43% ใช้แป้งอย่างมากมายกับอวัยวะเพศ  แต่พวกที่ไม่ได้เป็นมะเร็งรังไข่ 28%  ก็มีการใช้แป้งกับอวัยวะเพศเช่นกัน  มันทำให้อัตราเสี่ยงมีมากถึงเกือบ 2 เท่า  และมีอีกมากมายกว่า 30 รายการค้นคว้าที่ได้ผลแบบเดียวกันนี้  บางรายงานสรุปความเสี่ยงมากถึง 2.5 เท่า

หลังจากปี ค.ศ. 1973  ในสหรัฐอเมริกาก็ออกกฎหมายบังคับให้แป้งที่ใช้ทาตัว  และเครื่องสำอางต้องปราศจากแอสเบสตอส ( เพราะคิดว่าอาจเป็นเพราะแอสเบสตอสทำให้เกิดมะเร็งที่ปอด และมะเร็งที่เยื่อบุในช่อง  ปอด  และช่องท้อง )  แต่ก็ยังมีรายงานในปีถัดมาเรื่อยๆ ว่ามีโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งที่รังไข่สูงขึ้น 33%  ในพวกที่ใช้แป้งกับอวัยวะสืบพันธุ์  และมีรายงานหนึ่งที่พบว่าต่อมน้ำเหลืองที่อุ้งเชิงกรานของคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ของรังไข่แบบ papillary serous  มีเจ้า talc อยู่ในนั้น

สรุปว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องของการใช้แป้งที่บริเวณอวัยวะเพศ  และทำให้เกิดมะเร็งของรังไข่แบบเซลล์บุพื้นผิว ( epithelial cancer ) โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกาย  ผ่านช่องคลอด  มดลูก  และท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง  และด้วยความเชื่อที่ว่า talc เป็นอินออร์แกนิค ( สารอนินทรีย์ )  จึงไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน  ขณะนี้แป้งที่ใช้โรยตัว  และเครื่องสำอางในอเมริกาไม่ได้ใช้  talc แล้ว  แต่เปลี่ยนมาใช้แป้งข้าวโพด ( corn starch ) ซี่งเป็นสารออร์แกนิค ( สารอินทรีย์ )  สามารถย่อยสลายตัวในคนได้  ซึ่งคาดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า  ถึงตอนนึ้ยังไม่มีรายงานว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้แป้งข้าวโพดกับการเกิดมะเร็งที่รังไข่

แป้งไทยมีส่วนผสมต่างจากแป้งเมืองนอกหรือไม่ ?  แป้งโรยตัว  และเครื่องสำอางที่เมืองไทยทำจาก talc  เชื่อว่าไม่น่าจะมีใยหินหรือแอสเบสตอสปนเปื้อน  แต่เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีอันตรายต่อสุขภาพ  โดยเฉพาะเรื่องของมะเร็งรังไข่  ตามรายงานทางการแพทย์

ดังนั้นแม้แต่แป้งในอเมริกาที่เปลี่ยนไปใช้แป้งข้าวโพดแล้วก็ตาม  กุมารแพทย์  และสูตินรีแพทย์จึงแนะนำว่า  ไม่ควรใช้แป้ง  หรือโลชั่นกับอวัยวะสืบพันธุ์   โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ต้องใส่ผ้าอ้อม  สาวๆ  ที่ใช้ผ้าอนามัยยามมีประจำเดือน  หรือหญิงวัยทองที่มักเคยชิน  ทาแป้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อยู่เสมอนั้น  ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็น  และไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป
การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้นก็คือ  การล้างด้วยสบู่อ่อน  แล้วล้างน้ำให้หมดสบู่   ตามด้วยการซับให้แห้งก่อนใส่ผ้าอนามัยชิ้นใหม่  และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อม  และผ้าอนามัยบ่อยๆ จะได้ไม่เหนอะตัว  ถ้ารู้สึกว่ามีอาการแสบคันบริเวณก้น  หรืออวัยวะเพศ  ให้สังเกต  และดูแลเรื่องของความชื้น  หรือการแพ้ผ้าอนามัย  หรือการใช้สบู่ที่มีความเป็นกรด  หรือด่างมากเกินไป  หรืออาจมีการติดเชื้อก็ได้

เมื่อรู้สึกอยากจะใช้แป้งกับอวัยวะเพศ  ก็ให้นึกว่าควรใช้แต่น้อยๆ  ถ้ารู้สึกไม่สบาย  และอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้น  ถ้าไม่มีประจำเดือนก็ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อน  เพราะพบได้บ่อยๆ ว่ามีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อย

สำหรับการทาแป้งให้เด็กๆ  คุณแม่ที่ชอบเทแป้งใส่อุ้งมือ  และทาไปยังบริเวณก้น  และอวัยวะเพศของเด็กทีละมากๆ  ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง  ถ้าจะใช้แป้งทาที่อื่นๆ ในร่างกายก็เทแป้งครั้งละน้อย  และพยายามอย่าให้ฟุ้งในอากาศ

ไม่ควรให้เด็กถือกระป๋องแป้งเขย่าเล่น  เพราะอาจหกใส่  และสำลักหายใจเอาแป้งเข้าปอด  และปอดอักเสบ  ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงมีโอกาสถึงตายได้ค่ะ

ดังนั้นทุกครั้งที่ทาแป้ง  ก็ควรใช้ทีละน้อยๆ  และทาในบริเวณที่เหมาะสมนะคะ  จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ  และที่สำคัญช่วยประหยัดเงินในการซื้อแป้งเป็นโหลๆ อีกต่างหาก


โดย ... พญ.นิศานาถ ธนะภูมิ - สูตินรีแพทย์
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #51 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2551, 20:22:07 »

หัวเราะบำบัด

พี่พิกุล - วิทยา 14 ... ส่งมา

คนเราเมื่ออารมณ์ดีทำให้ความคิดสร้างสรรค์ ในทางกลับกันถ้าเคร่งเครียด หรือแม้แต่การมุ่งมั่นมากเกินไป จะทำให้สมองไม่แล่น ดังนั้นมาปรับให้มีอารมณ์ดีด้วยการใช้เสียงหัวเราะสร้างอารมณ์ดีที่เรียกว่า หัวเราะบำบัด กันดีกว่า แล้วจะพบว่าตัวเรามีศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง



หัวเราะ ดีอย่างไร ?

มีงานวิจัยมากมายชี้ให้เห็นว่า การหัวเราะทำให้ฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล อะดรีนาลีน ลดลง และช่วยเพิ่มสาร" เอ็นดอร์ฟิน " หรือสารความสุขให้เรารู้สึกผ่อนคลาย การหัวเราะดีกับระบบการทำงานของร่างกายมากมาย อาทิ

ระบบสมองดี การหัวเราะจะไปกระตุ้นระบบทำงานของสมอง ให้หลั่งสารความสุข หรือเอ็นดอร์ฟิน เมื่อสมองถูกกระตุ้น ทำให้มีความคิดทางบวกสร้างสรรค์ มีผลให้ร่างกาย และจิตใจพื้นฟูอย่างเร็ว

ระบบหายใจดี ระหว่างหัวเราะจะเกิดจังหวะการหายใจ การกลั้นหายใจ และการหายใจยาว ๆ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น มีการฟอกเลือดดี ช่วยฆ่าเชื้อโรค และป้องกันโรคทางเดินหายใจ โรคความดันโรคหัวใจ และโรคปอดได้อีกด้วย

ระบบย่อย และขับถ่ายดี หัวเราะเป็นการออกกำลังอวัยวะส่วนท้อง กระเพาะ ลำไส้ ได้เป็นอย่างดี หัวเราะเป็นการออกกำลังอวัยวะอย่างเป็นจังหวะทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตดีขึ้น

ระบบพักผ่อน และผิวพรรณดี หัวเราะช่วยคลายเครียด เส้นประสาทกล้ามเนื้อบนใบหน้ายืดหยุ่น ช่วยให้หลับสนิท

ระบบภูมิคุ้มกันดี การหัวเราะช่วยให้ร่างกายทำงานเป็นระบบ ช่วยทำลายอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการสำคัญของการผิดปกติในเซลล์ของร่างกาย นักวิจัยพบว่าเสียงหัวเราะสร้างความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้เป็นอย่างดี


ฝึกหัวเราะบำบัด ทำเองได้ ... ง่ายจัง

ฝึกหัวเราะด้วยตนเองนั้นไม่ยาก ขั้นแรกหาสิ่งกระตุ้นต่อมฮาเสียก่อน อาจอาศัยรายการตลกแบบสร้างสรรค์ไปพลาง ๆ หรือไม่เช่นนั้น ก็ลองนึกถึงกิริยาขำ ๆ ของเด็ก ๆ หรือสัตว์โลกผู้น่ารัก เช่น เจมกับปังคุง เมื่อค้นพบวิธีเรียกต่อมฮาได้แล้ว ครานี้ให้แยกอารมณ์ขัน ออกจากการหัวเราะ ทำใจให้ได้ว่าการหัวเราะไม่จำเป็นต้องมาจากความรู้สึก " ตลก " เสมอไป ฝึกให้สามารถหัวเราะได้โดยไม่มีเหตุผล ( ถ้าเป็นสมัยก่อนคงจะว่า " บ้า " แต่สมัยนี้ตรงกันข้ามเพราะถ้าไม่ฝึกหัวเราะด้วยตนเอง จะเครียดจนเป็นบ้าได้เลยทีเดียว )



หัวเราะบำบัด ที่ไหนดี ?

หัวเราะบำบัดด้วยการเปล่งเสียงเป็น สระ โอ อา อู เอ โดยปรับจากหลักการของศาสตร์ตะวันออก เสียงโอ คือ ท้องหัวเราะ เสียงอา คือ อกหัวเราะ เสียงอู คือ คอหัวเราะ เสียงเอ คือ หน้าหัวเราะ

ท้องหัวเราะ เริ่มด้วย

ท่าที่ 1) สูดลมเข้าเต็มปอดกักไว้ ทำอารมณ์ให้สนุก แจ่มใส ยิ้มเข้าไว้
ท่าที่ 2) เปล่งเสียง โอ๊ะ โอะ ๆ ๆ ให้ลมออกจากท้องเหมือนหัวเราะจริง เป็นจังหวะไปเรื่อยจนเสียงหายเข้าไปในลำคอ และลมที่กักไว้หมดพอดี

อกหัวเราะ

ท่าที่ 1) และท่าที่ 2) เช่นเดียวกันแต่ออกเสียง อา อา ๆ ๆ อ้าปากให้ลมออกมาจากบริเวณหน้าอกเป็นจังหวะไปเรื่อยจนเสียงหายเข้าไปในลำคอ และลมที่กักไว้หมดเช่นกัน

คอหัวเราะ ทำเช่นเดียวกัน แต่ออกเสียง อู เป็นจังหวะให้ออกจากลำคออย่าลืมสร้างอารมณ์ให้ยิ้มแย้ม ทำเสียงเหมือนหัวเราะจริง จนเสียงหายเข้าไปในลำคอ และลมที่กักไว้หมดเช่นกัน

หน้าหัวเราะ ทำเช่นเดียวกับท่าอื่นที่กล่าวมา แต่เปลี่ยนเป็นเสียง เอ เป็นจังหวะจะทำให้หน้าอ่อนใส

นอกจากนี้ยังมีท่าหัวเราะบำบัด

จมูกหัวเราะ ย่นจมูกขึ้นทำเสียง " ฮึๆ ... " ในจมูกให้ลมออกจากจมูก ท่านี้จะช่วยไล่สิ่งสกปรกในจมูกออกมา บำบัดภูมิแพ้ ไซนัส หวัด โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจ ท่านี้จะช่วยให้จมูกโล่ง

สมองหัวเราะ โดยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเครียดมักจะปิดปาก เป็นเหตุให้ความดันขึ้นสมอง ท่านี้จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว
- เริ่มต้นโดยการหายใจเข้าให้เต็มปอด เก็บลมไว้
- ปิดปากแล้วเปล่งเสียง อื่อ ... อย่างต่อเนื่อง จนลมหมดแล้วเริ่มใหม่ เช่นเดียวกับการเล่นตี่จับของเด็กไทยสมัยก่อน เป็นการนวดสมองอย่างชาญฉลาดน่าจะฟื้นฟูขึ้นในหมู่เด็ก ๆ สมัยนี้ เสียงที่เปล่งออกอย่างต่อเนื่องจะดันให้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นไปนวดสมอง และยังนวดกระบอกตาอีกด้วย ถ้าทำไประยะหนึ่งจะสังเกตว่าสายตาดีขึ้น และยังรู้สึกสมองโล่ง โปร่งสบายอีกด้วย

หัวเราะเสียงละ 3 ครั้ง ทุก ๆ วัน เวลาไหนด็ได้ตามสะดวก นอกจากนี้เรายังสามารถเปล่งเสียงต่าง ๆ เหล่านี้ได้ในขณะขับรถ ออกกำลังกาย ทำกายบริหารอื่น ๆ หรือที่ใด ๆ ที่เราคิดว่าเหมาะสมไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น แล้วจะรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นอย่างแน่นอน




หากวันนี้ยังหาวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเองไม่ได้ ลองชวนคนในครอบครัวมาหัวเราะเคลื่อนไหวร่างกายด้วยกัน นอกจากได้ออกกำลังแล้ว ยังสร้างรอยยิ้มในครอบครัวได้อีกด้วย .... อา อา อา อา

ที่มา : โครงการวิจัยสุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #52 เมื่อ: 12 กันยายน 2551, 23:55:50 »

Health Tip

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา




บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #53 เมื่อ: 12 กันยายน 2551, 23:58:32 »

ภูมิใจไทย : ข้าวกล้องงอก ( GABA Rice ) ... ช่วยป้องกันอัลไซเมอร์

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07 ... ส่งมา



บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #54 เมื่อ: 13 กันยายน 2551, 09:50:59 »

อาหารสมอง ... สำหรับผู้ที่ขี้หลงขี้ลืม

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา



อาหารสมอง

คุณมีอาการเช่นนี้บ่อยแค่ไหน จำไม่ได้ว่าวันนี้จอดรถชั้นไหนนะ เอ .. ผู้ชายที่ส่งยิ้มให้เมื่อกี๊หน้าตาคุ้นๆ ชื่ออะไรนะ ว่าแต่ว่าเมื่อเช้ากินยาก่อนอาหารแล้วหรือยัง จำได้ว่าจดไว้ในสมุดโน้ตกันลืมทั้งชั้นจอดรถ และเวลากินยา แต่เอาสมุดเล่มที่ว่าไปวางไว้ที่ไหนล่ะเนี่ย ?
 
ความจำหายไปไหน

อาจารย์ศัลยา คงสมบูรณ์เวช Nutrition Consultant จาก Vital Life ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบายว่า โดยธรรมชาติแล้วเซลล์สมองเฉพาะส่วนจะตายไปตามวัย ทำให้คนเรามีปัญหาในเรื่องของความจำ หรือความสามารถในการจำลดลง และหลงลืมบ่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น " โดยปกติแล้วความจำช่วงที่ดีที่สุดจะอยู่ในตอนที่คนเราอายุ 20 ปี หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลงทีละน้อยๆ จนเห็นชัดเจนตอนอายุ 50 ปี "

คนทำงานในวัยสามสิบขึ้นไป แม้วัยยังห่างไกลห้าสิบ อาจสงสัยว่าทำมั้ยตนจึงมีอาการความจำตกๆ หล่นๆ สมาธิน้อยลง หลงลืมเป็นประจำ แถมบางครั้งยังรู้สึกเครียด หดหู่ อยู่บ่อยๆ สาเหตุอาจไม่ใช่เพราะ " ความแก่ " มาเยือน อาจารย์ศัลยา วิเคราะห์ว่า เป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม และการใช้ชีวิตของแต่ละคน รวมไปถึงระดับ " น้ำตาล " ในเลือดด้วย

เนื่องจากน้ำตาลเป็นหนึ่งในสารจำเป็นซึ่งส่งผลต่อการทำหน้าที่ของเซลล์สมอง ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป การทำหน้าที่ของเซลล์สมองก็จะผิดปกติได้ ดังนั้นการมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สม่ำเสมอ จึงมีผลดีต่อสมอง

 
อาหารเรียกความจำ

" คุณกินอะไร ก็จะเป็นอย่างนั้น " ประโยคสั้นๆ ที่เป็นความจริงแท้แน่นอน นักวิจัยอธิบายต่อว่า อาหารที่เรารับประทานในแต่ละคำยังส่งผลถึงสมาธิ ความจำ รวมไปถึงความเฉลียวฉลาดด้วย สิ่งที่เราไม่รู้และควรรู้ก็คือ เซลล์สมองของคนเรามีจำนวนมากถึงร้อยพันล้านเซลล์ แต่ละเซลล์ก็มีความต้องการอาหารที่มีสารอาหารในการเสริมสร้างการทำงานของเซลล์ประสาท การขาดสารอาหารเพียงบางชนิดแม้ในจำนวนเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ความจำลดลงได้ก่อนที่ร่างกายจะแสดงอาการออกมา

ในการทำงานของเซลล์สมองทุกๆ ตัว จะมีสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อสมอง ซึ่งช่วยสื่อสารจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งต่อๆ กันไป ระบบการไหลเวียนของเลือดจะนำเอาออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ซึ่งการทำงานจะเป็นไปได้ด้วยดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ามีสารอาหารไปเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอสม่ำเสมอ พอที่จะทำให้สมองทำงานได้ดีตลอดชีวิตหรือไม่

อาหารดีมีประโยชน์สำหรับสมอง ช่วยให้เราคิดดี ทำดี มีความจำดี มีอะไรบ้าง แล้วเราต้องปฏิบัติตนอย่างไร

 
สารบำรุงสมอง

สมองต้องการอะไรบ้าง เริ่มต้นกันที่ วิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 ไนอะซิน บี 6 บี 12 แพนโธทีนิค และกรดโฟลิค ช่วยป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน อาหารที่มีวิตามินบีสูง เช่น ผลิตภัณฑ์นมพร่องหรือขาดไขมัน กล้วย อาหารทะเล ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้

ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง การขาดธาตุเหล็กจะทำให้สมาธิสั้น ไอคิวลดลง การเสริมธาตุเหล็กสำหรับผู้ที่ขาดธาตุเหล็ก จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ ใช้ความคิด เพิ่มทักษะในการใช้คำพูด อาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล

โคลีน ชื่อนี้ควรจำไว้ให้ดีเพราะเป็นองค์ประกอบที่พบในเยื่อหุ้มเซลล์สมองและสารเคมีในเซลล์สมองที่ชื่อว่า อะเซทิลโคลีน ซึ่งควบคุมความจำ อาหารที่มีโคลีนสูง คือ ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บรูเออส์ยีส ส่วนที่มีในปริมาณเล็กน้อยได้แก่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ ขนมปังโฮลวีท นม ส้ม ดอกกะหล่ำ และแตงกวา

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระซึ่ง ทำให้เซลล์สมองเสื่อม ส่งผลให้ความจำเสื่อม มีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พบว่า ผู้ที่บริโภควิตามินซีสูงมีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุด พืชที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องการสมองเสื่อม ได้แก่ สารโอพีซีสกัดจากเมล็ดองุ่น สารสกัดจากใบแปะก้วย กรดไลโปอิคและสารฟลาโวนอยด์ในผัก ผลไม้ เช่น องุ่น ผลไม้ประเภทเบอร์รี ชาเขียว

น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันความจำเสื่อม ปลาที่มีโอเมก้า 3 มาก ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาค้อด ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารแนะนำให้บริโภคเนื้อปลาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

 
กินดี สมองดี

หลักง่ายๆ ในการเลือกรับประทานอาหารให้ได้ครบสูตรในแต่ละมื้อ โดยไม่ต้องมานั่งนับแคลอรีให้ปวดหัว อาจารย์ศัลยา แนะให้แบ่งจานอาหารออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน ประกอบไปด้วย ผัก ผลไม้ ข้าวธัญพืช และโปรตีน

อาหารเช้า

" สำคัญที่สุดคือ ต้องกินอาหารเช้า เนื่องจากสมองคนเราต้องการน้ำตาลกลูโคสเพื่อใช้เป็นพลังงาน ถ้าเราไม่รับประทานอาหารก็จะทำให้สมองขาดเชื้อเพลิงในการทำงาน "

อาจารย์ศัลยา กล่าวถึงผลวิจัยที่พบว่า คนที่รับประทานอาหารเช้าจะขาดโรงเรียนหรือขาดงานน้อยกว่า รวมไปถึงการทดสอบทางคณิตศาสตร์ สมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ ความรวดเร็วในการแก้ปัญหา การรำลึกความจำ ความแม่นยำในการทำงานดีขึ้น แถมยังมีอารมณ์ดีกว่าคนไม่กินข้าวเช้าอีกด้วย

คราวนี้เรามาดูกันสิว่า อาหารเช้าแบบไหนที่เป็นของ 'ต้องการ' หรือ 'ต้องห้าม'

อาหารเช้าที่ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำ ได้แก่ ซีเรียลผสมนมพร่องมันเนย หรือนมถั่วเหลือง ผลไม้ 1 ชนิด และน้ำผลไม้ (ไม่ผสมน้ำเชื่อม) 1 แก้วเล็ก

ถ้าอยากรับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ขอแนะนำเป็น ไข่ดาว ขนมปังโฮลวีททาเนยถั่ว งดไส้กรอก แฮม เพราะมีไขมันสูง กาแฟ 1 ถ้วย อนุญาตให้เติมน้ำตาล 1 ช้อนชาพอ

อาหารเช้าแบบไทยๆ แนะนำให้รับประทานข้าวต้มเครื่อง ข้าวต้มปลา เสริมผัดผัก 1 จาน หรือข้าวโพด 1 ฝัก นมถั่วเหลือง 1 แก้ว น้ำส้มสด 1 แก้วเล็ก มะละกอ 1 เสี้ยว นี่คือตัวอย่างของอาหารเช้า คุณภาพดี


อาหารกลางวัน

อาหารไขมันสูงหรือน้ำตาลสูง นอกจากจะทำให้ง่วงนอนแล้ว สมองก็ไม่แล่นอีกด้วย ฉะนั้น มื้อเที่ยงจึงไม่ควรเป็นมื้อหนัก มีโปรตีนเล็กน้อย ธัญพืชไม่ขัดสีมากหน่อย จะช่วยให้สมองตื่นตัวตลอดเวลา อาหารแนะนำได้แก่ แซนด์วิชทูน่าขนมปังโฮลวีท สลัด (น้ำสลัดไขมันต่ำ) 1 จาน น้ำผลไม้ และผลไม้สด หรือก๋วยเตี๋ยวน่องไก่ใส่เส้นน้อยๆ ผักเยอะๆ ไม่ใส่กระเทียมเจียว ไม่รับประทานหนังไก่ หรือถ้าอยากรับประทานสปาเกตตีสักจานก็ขอให้เพิ่มสลัดอีก 1 จาน

ไม่แนะนำ ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว เพราะมีไขมันมาก เปลี่ยนเป็นราดหน้าจะดีกว่า โดยเปลี่ยนจากเส้นใหญ่ เป็นเส้นหมี่ วุ้นเส้น หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้


ชวนสมองออกกำลังกาย

การออกกำลังกายควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่สมองต้องการเป็นสิ่งที่จำเป็น วิธีการออกกำลังกายแบบแอโรบิกและโยคะ เป็นวิธีที่อาจารย์ศัลยาแนะนำ รวมไปถึงการออกกำลังกายสมอง ด้วยการท้าทาย ในการทำสิ่งใหม่ๆ ดูบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเกมที่ใช้ความคิด ลองหัดวาดรูป หรือเรียนดนตรี อย่าลืมว่า" ไม่มีใครแก่เกินเรียน "
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #55 เมื่อ: 13 กันยายน 2551, 10:22:12 »

อันตราย ! ฝาครอบแก้วชาไข่มุก ... หยุดลมหายใจ

พิเชษฐ์ - เภสัช 16 ... ส่งมา

โปรดอ่าน สำคัญมาก โดยเฉพาะผู้นิยมทานน้ำปั่นใส่ถ้วยพลาสติด ที่มีฝาครอบพลาสติดและใช้หลอดดูด เตือนลูก-หลานถึงอันตรายด้วย

... ปุ๊ ! เสียงหลอดกาแฟอันโตกระแทกเจาะฝาครอบแก้วชาไข่มุก เศษฝาพลาสติกแผ่นกลมขนาดเท่าปลายหลอดตกลงสู่ก้นแก้ว ฉันดูดเครื่องดื่มสุดโปรดอย่างหิวกระหาย และกระดกแก้วกินน้ำแข็งจนเกลี้ยงตามความเคยชิน เมื่อจะทิ้งแก้วลงถังขยะ ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นเศษฝาพลาสติกอยู่ในแก้วเหมือนทุกคราว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก สักพัก รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ ติดอยู่ในคอ แม้จะพยายามล้วง และดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้อาเจียน แต่สิ่งนั้นก็ไม่ยอมหลุดออกมา ฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เริ่มติดขัด อาจารย์และเพื่อน ๆ จึงรีบพาส่งโรงพยาบาล

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หลังจากรอหมออย ู่เกือบสองชั่วโมง หมอก็ให้ลองกลืนน้ำดู ปรากฎว่ามีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่จริง ตามด้วยการเอกซเรย์ ซึ่งสูญเปล่า เพราะไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมนั้นเลย จึงตัดสินใจให้วางยาสลบเพื่อส่องกล้องตรวจหาต้นเหตุ ระหว่างนั้นฉันยังรู้สึกตัวดีอยู่ทุกอย่าง จนกระทั่งหลังวางยาสลบ ท่อส่องทางเดินอาหารขนาดใหญ่ประมาณท่อประปาขนาดเล็ก สอดจากปากผ่านลงไปตามทางเดินอาหาร แต่ไม่รู้ด้วยโชคร้ายของฉัน หรือด้วยความประมาทเลินเล่อของใคร แทนที่เจ้าท่อนี้จะเป็นอุปกรณ์ในการตรวจเพื่อช่วยชีวิตฉัน หลังการตรวจมันกลับทำให้ฉันรู้สึกปวดแน่นหน้าอก และหลังอย่างสุดจะบรรยาย เมื่อฟื้นจากยาสลบ แม่บอกว่าฉันปากซีด ตัวเขียว และไข้ขึ้น ผิดกับเมื่อตอนก่อนส่องกล้องราวกับคนละคน จนแม่ใจหาย รีบตามหมอกลางดึก

การกลืนแป้งเพื่อเอกซเรย์เริ่มขึ้น ผลปรากฎว่าหลอดอาหารทะลุ ต้องผ่าตัดด่วน แต่แม่ไม่มีเงิน อย่าว่าแต่ค่าผ่าตัดที่สูงลิบลิ่วของโรงพยาบาลเอกชนเลย แม้แต่ค่าตรวจทั้งหลายก่อนหน้านี้ ที่เกินวงเงินการประกันอุบัติเหตุของนักศึกษา เพียงไม่กี่พันบาท แม่ก็ไม่มี ทางโรงพยาบาลจึงขอยึดบัตรประชาชนของแม่ไว้ เพื่อเป็นหลักประกันให้แม่หาเงินส่วนเกินมาชำระในภายหลัง หมอที่ส่องกล้องแนะนำให้ย้ายฉันไปโรงพยาบาลรัฐบาลที่เขาประจำอยู่ แต่แม้จะเป็นโรงพยาบาลรัฐบาลก็ต้องคุยกันเรื่องค่าใช้จ่ายเช่นกัน แม่จึงวิ่งวุ่นติดต่อเรื่องใช้สวัสดิการบัตรประกันสุขภาพ 30 บาท กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็เกือบเที่ยง นั่นแหละฉันจึงได้รับการผ่าตัด

การผ่าตัดใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง เพราะรอยทะลุที่หลอดอาหารอยู่ใกล้ปอด น้ำย่อยจะไหลเข้าไปในปอดซึ่งอันตรายมาก หมอต้องผ่าตัดเปิดซี่โครงจากราวนมด้านซ้ายไปจนถึงสันหลังอีกข้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถซ่อมแผลได้หมด เพราะแผลในทางเดินอาหารเป็นทางยาว จากต้นคอถึงกระเพาะ ยาวถึง 30 เซนติเมตร

สามวันหลังผ่าตัด ฉันลืมตาขึ้นมาพร้อมสายระโยงระยางเต็มตัว สายจากจมูกทั้งสองข้างเพื่อเอาน้ำย่อยในกระเพาะออกมา สายที่ไว้ดูด น้ำมูก น้ำลาย สายที่ต่อจากบริเวณซี่โครงที่ผ่าตัดเพื่อเอาเลือดจากแผลออกมา สายให้เลือด สายน้ำเกลือ สิบเอ็ดวันที่อยู่โรงพยาบาลเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กินอาหารไม่ได้อยู่เป็นอาทิตย์ ยิ่งเวลานอนจะรู้สึกทรมาน เพราะเจ็บที่บริเวณแผลผ่าตัดเป็นที่สุด หมอที่ส่องกล้อง ซึ่งช่วยหาหมอผ่าตัดให้ มาสารภาพในภายหลังว่า ... แผลในทางเดินอาหารที่ยาวเหยียด เกิดจากการส่องกล้องไปดันเอาเศษแผ่นพลาสติก ซึ่งติดอยู่ที่ระหว่างหลอดลม และหลอดอาหารให้ครูดบาดไปตลอดทางเดินอาหาร แต่อย่างไรเขาก็ติดต่อหาหมอผ่าตัดที่เชี่ยวชาญให้ และเป็นความผิดพลาดที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะมองไม่เห็นแผ่นพลาสติกแก้วที่ติดอยู่ที่หลอดลม / หลอดอาหาร

กรุณาช่วยส่งต่อเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เพื่อเตือนภัยคนที่เรารัก และเป็นห่วงนะคะ กินชาไข่มุกแก้วต่อไป ระวังนะคะ แผ่นพลาสติกที่เจาะทะลุจากตัวแก้ว ... อันตรายถึงชีวิตได้ บอกลูกหลานด้วย โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ชอบซื้อเครื่องดื่มทานเองค่ะ ฝาครอบแก้วที่ต้องเจาะรู ... ผู้ปกครองควรช่วยดูแล

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2551 / 09:08
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #56 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2551, 01:59:23 »

ภาวะสมองเสื่อม ... กับไข่ไก่

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

หากใครได้ดูรายการ " ข้อเท็จจริง .. วันนี้ " ทางช่องยูบีซี 7 ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.น.พ.รุ่งธรรม ลัดพลี เกี่ยวกับเรื่อง " ภาวะสมองเสื่อม ... กับไข่ไก่ " เรื่องที่สนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ... จากค่านิยมเดิมๆ ที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวันนั้น จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด คุณหมอบอกว่าอยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย แต่มากด้วยคุณค่า และเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด การที่หลายๆ คนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง คุณหมอยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น หากทานไข่แล้ว มันไปเพิ่มอีกเพียง 20 แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่มีมากกว่าไอ้ส่วนที่ไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด



คุณหมอบอกว่า โรคอัลไซเมอร์นั้น ผลการวิจัยล่าสุด ระบุว่า เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อย หรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การรับประทานไข่ทุกวันๆ ละ อย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก คุณหมอยังอ้างถึง และพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น ไม่มีปัญหาดังที่เราๆ เข้าใจกันแบบผิดๆ คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆ คนที่มาให้การรักษาในหลายๆ โรค ขนาดอายุ 80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง ผลก็คืออาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากที่เดินไม่ค่อยได้ ก็กลับมาเดินได้ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆ ชนิด แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น อยู่ที่จุดๆหนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆ ไว้ ( หากไม่เคยสังเกต ก็ลองเตาะไข่ดิบดู ) พร้อมกันนี้ก็ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่า ประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียงใด ปรากฎว่าต่ำกว่าหลายๆ ประเทศที่เจริญแล้ว โดยประเทศที่บริโภคไข่ต่อคนสูงสุด ก็คือญี่ปุ่น รองๆ ลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวันยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล ... การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่ คุณหมอยังเสริมว่าภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ ในแต่ละวัน
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #57 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 00:51:13 »

7 วิธีล้างมือแบบมือโปรฯ‏

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา  

เป็นที่ทราบกันดีว่า การล้างมือด้วยสบู่เป็นวิธีที่ช่วยลดการแพร่โรคติดเชื้อในโรงพยาบาลได้ดีที่สุดวิธีหนึ่ง  นอกจากนั้นการล้างมือยังช่วยลดการแพร่โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจได้มากมาย เช่น โรคหวัด ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หวัดลงกระเพาะฯ หรือลำไส้ ( viral gastroenteritis ) ฯลฯ และลดโอกาสติดพยาธิ เช่น หลังเล่นกับน้องหมา น้องแมว ฯลฯ โดยเฉพาะคนที่ตั้งครรภ์ ต้องล้างมือให้ดี เนื่องจากพยาธิหมา-แมว ( toxoplasmosis ) อาจทำให้แท้งลูกได้

ทีนี้จุดอ่อนของการล้างมือมีตรงไหนบ้าง กรมอนามัยได้จัดทำหนังสือเรื่อง " เด็กไทยทำได้ ในโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ " เพื่อกำจัดจุดอ่อนของการล้างมือแล้วยังไม่สะอาด  กล่าวกันว่า การล้างมือแบบ " มืออาชีพ " หรือ " มือโปรฯ ( professional = มืออาชีพ ) " นั้น เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่า ใครโปรฯ ใครไม่โปรฯ  ยิ่งถ้าเป็นพยาบาล หมอ หรือหมอฟันแล้ว ... ถ้าให้ล้างมือ  จะรู้ได้ทันทีเลยว่า หมอคนไหนเป็นตัวจริง หมอคนไหนเป็นตัวปลอม


ต่อไปจะขอนำการล้างมือแบบมือโปรฯ มาเล่าสู่กันฟังครับ

ภาพที่ 1 บริเวณที่มักจะยังหลงเหลือเชื้อโรคหลังการล้างมือแบบธรรมดาๆ



* การล้างมือด้วยสบู่แบบธรรมดาๆ มักจะถูบริเวณปลายนิ้วมือ ง่ามนิ้วมือ(โคนนิ้วมือ) ร่องลายมือ โคนนิ้วหัวแม่มือ และหลังมือได้ไม่หมด
* การล้างมือแบบ " ไม่ธรรมดา " หรือล้างแบบ " มืออาชีพ ( มือโปรฯ / professional = มืออาชีพ ) " จึงจะสะอาดจริง

ภาพที่ 2  วิธีล้างมือแบบ " ไม่ธรรมดา "




โปรดสังเกตว่า การล้างมือแบบมืออาชีพ มือโปรฯ  หรือการล้างแบบ " ไม่ธรรมดา " จะเน้นการกำจัดจุดอ่อน หรือบริเวณที่ล้างมือไม่ค่อยหมด เช่น ปลายนิ้วมือ หลังมือ โคนนิ้วหัวแม่มือ ร่องลายนิ้วมือ ฯลฯ

ทีนี้ข้อควรระวังของการล้างมือที่สำคัญมีอะไรบ้าง คำตอบได้แก่

(1). ฝึกล้างอย่างเป็นระบบ

การล้างมืออย่างเป็นระบบ ( systematic ) ให้ครบทุกขั้นตอนทั้ง 7 ขั้นตอนข้างต้น  จะช่วยให้ล้างได้ครบทุกส่วน ( completeness / thoroughness คล้ายๆ กับการแปรงฟันให้ถูกวิธี )

(2). ใช้สบู่

การล้างมือให้ถูกวิธีจำเป็นต้องใช้สบู่ เพื่อช่วยกำจัดคราบไขมันจากต่อมไขมัน เศษผิวหนัง และสิ่งสกปรกออก  จะใช้สบู่อะไรก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดี ... ควรเป็นสบู่เหลว หรือสบู่แห้งที่ไม่แช่น้ำ สบู่ที่แช่น้ำหรือมีน้ำขังอาจเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้ จึงควรวางสบู่ให้น้ำไหลออก หรือ " สะเด็ด " น้ำออกได้ และควรวางไว้ในที่ที่มีการระบายอากาศดี เพื่อให้สบู่มีโอกาสแห้งบ้าง  สบู่ยาหรือสบู่ผสมยาฆ่าเชื้อ  ไม่ได้ช่วยให้การล้างมือสะอาดขึ้น ทว่า ... เวลาล้างมือที่นานพอมีความสำคัญมากกว่า

(3). ล้างก๊อกน้ำ

ถ้าล้างมืออย่างเดียวโดยไม่ล้างก๊อกน้ำ ... เชื้อโรคอาจจะไปสะสม หรือหลบซ่อนอยู่ที่ก๊อกน้ำ และกลับมาติดมือหลังล้างมือเสร็จอีกต่อหนึ่ง

(4). ล้างก่อน

ล้างมือก่อนกินอาหาร ก่อนดื่มน้ำ ก่อนทำกับข้าวหรือเตรียมอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีคนที่มีภูมิต้านทานต่ำอยู่ที่บ้าน เช่น คนสูงอายุ ( เกิน 60 ปี ) เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี  คนที่ปลูกถ่ายอวัยวะ คนไข้มะเร็ง คนไข้เอดส์ ฯลฯ  ถ้าออกไปนอกบ้าน ... พวกเราอาจจะติดเชื้อ เช่น เสมหะคนเป็นหวัดอาจจะติดที่ลูกบิดประตู บันไดรถเมล์ ฯลฯ และอาจพาเชื้อเข้าบ้าน  ทางที่ดีคือ ล้างมือด้วยสบู่ก่อนเข้าบ้านทุกครั้ง  ถ้าชอบอ่านหนังสือ หรือหนังสือพิมพ์ ... จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องล้างมือก่อนกินอาหาร หรือดื่มน้ำ เพื่อลดการได้รับโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ฯลฯ ในหมึกพิมพ์

(5). ล้างหลัง

ล้างมือด้วยสบู่หลังออกจากห้องน้ำหรือห้องส้วมทุกครั้ง เพื่อลดการแพร่เชื้อโรคทางเดินอาหาร  ถ้าเป็นหวัด ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ ... พวกเรามีส่วนช่วยชาติได้ โดยการล้างมือด้วยสบู่หลังไอ จาม หรือเขี่ยจมูก ( เวลาคันจมูก ) ทุกครั้ง เพื่อลดการแพร่เชื้อโรคผ่านเสมหะติดมือไปยังคนอื่น

(6). ตัดเล็บ

ตัดเล็บมือให้สั้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคที่เล็บ  การตัดเล็บมือให้ตัดเป็นรูปโค้งตามรูปปลายนิ้วมือ แต่ถ้าจะตัดเล็บเท้า ... อย่าตัดเป็นรูปโค้ง ให้ตัดเป็นรูปตรงหรือรูปคล้ายปลายจอบ  การตัดเล็บเท้ารูปโค้งอาจทำให้เกิดโรคเล็บขบ ทำให้เกิดอาการเจ็บ การอักเสบ หรือแผลที่จมูกเล็บ ( ด้านข้างเล็บ ) ได้

(7). ล้างให้นานพอ

กล่าวกันว่า ถ้าจะล้างมือให้สะอาด และครบทุกส่วน คงต้องใช้เวลาพอๆ กับการแปรงฟันคือ 2-3 นาที ระยะเวลานาน 2-3 นาทีนี้ ... อาจารย์หมอฝรั่งท่านแนะนำว่า นานพอๆ กับการร้องเพลง " จิงเกิลเบล ( jingle bells ) " 2 จบ  ระยะเวลาดังกล่าวน่าจะเทียบกับเพลงชาติไทย ลอยกระทง หรือ " ช้าง ๆ ๆ ( เพลงสุดฮิตสำหรับคนที่ร้องเพลงอะไรแทบไม่เป็นเลย ) " ประมาณ 1 จบ

เรียนเสนอให้พวกเราหันมาช่วยกันล้างมือด้วยสบู่ให้ถูกวิธี เพื่อสุขภาพจะได้ดีไปนานๆ ครับ

บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #58 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 14:45:20 »

ดูแลหลอดตะเกียบให้ดี ก่อนที่มันจะออกลาย

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา



ด้วยภาวะที่โลกของเราตอนนี้ร้อนเหลือหลาย จึงทำให้เกิดกระแสรักษ์โลกขึ้น ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ถูกรณรงค์ให้คนทั่ว ๆ ช่วยกัน คือการเปลี่ยนมาใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ ทั้งนี้เนื่องจากหลอดตะเกียบนั้นช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่าหลอดไส้หลายขุมนัก และเป็นสิ่งที่ประชาชนคนทั่วไปสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วย

แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้สำนักงานสิ่งแวดล้อมของสหรัฐได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับหลอดตะเกียบว่า เจ้าหลอดตะเกียบเหล่านี้ เมื่อมันถูกทำลายให้แตกแล้วจะปล่อยสารปรอทออกมามากมาย  จนถึงขั้นทำลายประสาทส่วนกลางของเราได้ทีเดียวแม้เพียงไอเล็ก ๆ ของมันก็สามารถทำลายสุขภาพต่อเด็กและสตรีมีครรภ์ได้แล้ว

นอกจากนี้สำนักงานสิ่งแวดล้อมของสหรัฐยังแนะนำด้วยว่า หากหลอดตะเกียบภายในบ้านของคุณแตก ให้รีบเปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศให้ถ่ายเทได้สะดวก และรีบเกณฑ์เด็ก ๆ สตรีมีครรภ์ และสัตว์เลี้ยงออกจากบริเวณนั้นทันที  ส่วนการเก็บกวาดนั้น แนะนำว่าควรใช้เทปกาวแปะที่บริเวณที่หลอดแตกแล้วลอกออกแทน การใช้ไม้กวาด หรือเครื่องดูดฝุ่น เพราะว่าสามารถเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า และไม่ทำให้สารตกค้างฟุ้งกระจายด้วย

ถือได้ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้ามเลยนะคะ เพราะฉะนั้นเพื่อน ๆ ที่นี่อย่าลืมบอกต่อ ๆ คนที่รู้จักด้วยนะคะ เผื่อมีใครที่ไม่ทราบวิธีจัดการที่ถูกต้อง เพราะว่าสารปรอทนั้นอันตรายต่อร่างกายของเราจริง ๆ ค่ะ
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #59 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 18:18:38 »

พี่เจี๊ยบขา,
อ่านเรื่องล้างมือ 7ขั้นตอนแล้วแปลกใจ!
ทำไมไม่มีขั้นที่ 8 ที่สำคัญพอๆกัน??
ทา hand creamคะ!
ล้างวันละกี่ครั้งไม่รู้...มือแห้งแย่-
nn.(soft hand)
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #60 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 18:59:36 »

NN ... นั่นต้องไปเขียนเรื่องต่างหาก ได้อีกหลายหน้า ... " การบำรุงรักษามือ และเล็บให้เนียนนุ่ม ไม่ฟ้องวัย " น้าจ๊า

" ข้าว " ความลับแห่งสุขภาพ และความงาม

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

โดย Uncle fat 11 กันยายน 2551 08:21 น.



ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 5 “ ข้าว ชีวิตไทย ชีวิตโลก ” ที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ นอกจากจะยกโขยงความรู้เกี่ยวกับข้าว และสมุนไพรนานาชนิดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คนให้ความสนใจไม่น้อย คือ เรื่องความงาม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ทำมาจากข้าว ... หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ข้าวนอกจากจะเป็นอาหารหลักของคนไทยที่มีคุณค่าทางอาหาร และโภชนาการสารพัดแล้ว ข้าวยังสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องประทินผิว และความงามได้อีกด้วย

ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลอภัยภูเบศร บอกเล่าเก้าสิบเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของข้าวในเรื่องความสวยงามไว้ในหนังสือ “ ข้าว ความลับของ ... สุขภาพ และความงาม ” ว่า ในอดีตคนไทยโบราณมีการใช้ “ น้ำซาวข้าว ” มาสระผม ซึ่งจะช่วยบำรุงเส้นผมให้นุ่มลื่น ไม่เป็นรังแค และมีกลิ่นหอมของน้ำซาวข้าว

นอกจากนี้ ถ้าจะให้ดีให้ใช้น้ำซาวข้าวที่เก็บไว้หลายวันหรือที่เรียกว่า “ น้ำมวกส้ม ” ซึ่งเมื่อนำมาสระผมจะทำให้ผมเป็นเงางามกว่าน้ำซาวข้าวธรรมดา และยังใช้สระผมร่วมกับสมุนไพรตัวอื่นได้อีกหลายตำรับ ไม่ว่าจะเป็นยาสระผมน้ำซาวข้าวใบหมี่ ตำรับยาสระผมมะกรูด และน้ำข้าวกล้องปั่น ตำรับของสาวภูไท นอกจากนี้รำข้าวยังช่วยปลูกผมได้อีกด้วย ซึ่งเหล่านี้เป็นภูมิปัญญาที่ช่วยให้คนพึ่งตัวเองได้

แต่ปัญหาก็คือในยุคสมัยนี้ การจะใช้น้ำซาวข้าวมาสระผม คงเป็นเรื่องยากลำบากเต็มที




ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ให้คำแนะนำพร้อมอธิบายว่า ปัจจุบันคนเราใช้แชมพูสระผมแทนสารทำความสะอาดจากธรรมชาติ เช่น น้ำข้าวมวก ฝักส้มป่อย เครือเขามวก ซึ่งแชมพูมีความสามารถในการชะล้างได้สูงกว่าสารจากธรรมชาติ ดังนั้นปัญหาของผม และหนังศีรษะของคนยุคนี้คือ สารธรรมชาติที่เคลือบหนังศีรษะ ถูกชะล้างออกมาเกินไป ทำให้เกิดการระคายเคือง เส้นผม และหนังศีรษะจึงแห้ง แตกปลาย หรือบางครั้งการระคายเคือง ก็ไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากเกินไป ทำให้ผมมันเยิ้ม ซึ่งในแชมพูทุกยี่ห้อจะมีคุณสมบัติไม่แตกต่างกันมาก แต่ว่าเราหลีกเลี่ยงการใช้แชมพูไม่ได้

ด้วยเหตุดังกล่าว ทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยคืนความชุมชื้นให้เส้นผมคือ การใช้น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก หมักผม ร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ เช่น ว่านหางจระเข้ ไข่แดง มะขามป้อม รำข้าว หรือใช้แชมพูทั่วไปสระผมสลับการใช้น้ำขาวสระผมบางครั้งก็ได้

อย่างไรก็ตาม นอกจากจะข้าวนำมาใช้เพื่อความงามของผมแล้ว ยังสามารถนำข้าวมาบำรุงผิว ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ เปล่งปลั่ง ช่วยแก้สิว แก้ฝ้าได้อีกด้วย ภญ.ดร.สุภาภรณ์เล่าว่า สาวไทยสมัยก่อนใช้น้ำซาวข้าวมาล้างหน้า ด้วยเชื่อว่า จะทำให้ผิวหน้าเปล่งปลั่งเป็นนวลใยไร้สิวฝ้า แป้งข้าวจ้าวใช้กล่อมผิว ให้ผิวสวย ไร้ผดผื่นคัน จึงถือเป็นความชาญฉลาดของผู้คนในอดีต เนื่องจากปัจจุบันพบว่า องค์ประกอบต่างๆ ของข้าว ล้วนมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ “ รำข้าว มีแร่ธาตุ วิตามินต่างๆ และกรดไขมัน โดยเฉพาะวิตามินอี และแกมมาโอไรซานอลในปริมาณสูง ซึ่งแกมมาโอไรซานอลเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบของผิวหนัง ทำให้ผิวขาวขึ้น ส่วนเอนไซม์ที่ได้จากข้าว และร ข้าวสามารถยับยั้งการสร้างเมลานิน และการเกิดเม็ดสีจากรังสียูวี ช่วยลดริ้วรอย และทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนหรือโปรตีนที่ทำให้หน้ายืดหยุ่น หรือหน้าเด้ง ” ภญ.ดร.สุภาภรณ์ แจกแจง

นอกจากนี้ สารสกัดจากรำข้าวยังทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น น้ำมันจากจมูกข้าวช่วยเคลือบผิวไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น เพื่อปกป้องการระคายเคืองของผิวหนัง ส่วนแป้งข้าวเจ้าก็มีคุณสมบัติลดอาการระคายเคืองและดูดซับ เหมาะที่จะใช้ทำแป้งฝุ่น ผลิตภัณฑ์จากข้าวจึงเหมาะที่จะนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิวพรรณและปกป้องผิว




ภญ.ดร.สุภาภรณ์ บอกต่อว่า ในส่วนของโรงพยาบาลอภัยภูเบศร ก็ได้มีการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้มานานกว่า 10 ปีแล้ว จึงนำไปสู่การผลิตเป็นสบู่รำข้าว และผลิตภัณฑ์หลากหลาย โดยครีมบำรุงผิวผลิตจากรำข้าวและมะขามป้อม จะช่วยบำรุงบริเวณผิดหนังที่ย่น ด้าน เช่น บริเวณข้อศอก หัวเข่า และครีมหมักผมจากรำข้าว และมะขามป้อม ที่ช่วยบำรุงเข้มข้นเส้นผม และหนังศีรษะให้มีความยืดหยุ่น ถือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่มีการนำมาจำหน่ายเป็นครั้งแรก

นอกจากนี้ก็ยังมีสบู่จากรำข้าว สบู่สระผมจากรำข้าว รวมถึงโลชันรำข้าวเพื่อการทำความสะอาดหน้าที่ผลิตจากสารสกัดจากรำข้า ซึ่งกำลังพัฒนาเพื่อการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น ส่วนผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาร่วมกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ คือเซรั่มนาโนจากน้ำมันรำข้าว เพื่อใช้ในการกระตุ้นการงอกของเส้นผมในผู้มีปัญหาผมบาง และครีมพริกนาโนที่ใช้สรรพคุณวิเศษของพริกช่วยลดอาการปวดเมื่อย โดยสกัดความเผ็ดร้อนออกไปด้วยนาโนเทคโนโลยี

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ข้าวมีคุณประโยชน์มากมายสารพัด ครอบคลุมทั้งการใช้เป็นอาหารสุขภาพ การใช้เป็นยา และเสริมความงาม ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้มิให้สูญหายไป โดยเฉพาะความรู้พื้นบ้านที่เกี่ยวข้องกับข้าว




ข้าวพื้นบ้าน คุณค่าแห่งโภชนาการ

การพัฒนาพันธุ์ข้าวของไทย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ยุคปฏิวัติเขียวเมื่อประมาณกว่า 4 ทศวรรษ ที่ผ่านมานั้น เน้นการพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อเพิ่มผลผลิต มากกว่าจะคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการของพันธุ์ข้าว ระบบการส่งเสริมการปลูกข้าวสมัยใหม่ที่เน้นการปลูกข้าวเชิงเดี่ยว โดยใช้สายพันธุ์ข้าวหลักๆ เพียงไม่กี่สายพันธุ์ ได้ทำให้พันธุ์ข้าวพื้นบ้านเป็นจำนวนมากหายไปจากผืนนา ทั้งๆที่พันธุ์ข้าวพื้นบ้านนั้น มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าพันธุ์ข้าวทั่วไปที่เรารู้จักหลายเท่า

ทั้งนี้ จากการอนุรักษ์ และพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นเมืองมากกว่า 200 สายพันธุ์ ร่วมกับชุมชนชาวนาในจังหวัดอุบลราชธานี กาฬสินธุ์ สุรินทร์ ยโสธร มหาสารคาม พัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราช เพื่อนำไปวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงศักยภาพในการป้องกันและรักษาโรค โดยความร่วมมือของสถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล ผลการวิเคราะห์พบว่า พันธุ์ข้าวพื้นบ้านหลายสายพันธุ์มีคุณค่าทางโภชนาการที่น่ามหัศจรรย์ ดังต่อไปนี้


วิตามินอี

วิตามินอีเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด สมอง หัวใจ บำรุงตับ ช่วยระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ตามปกติ ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดริ้วรอย และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น เป็นต้น

ข้าวเจ้าหน่วยเขือสูงมีวิตามินอีสูงถึง 26.2 เท่า หอมมะลิแดง และมะลิดั้งเดิมสูง 11-12 เท่า ข้าวหนียวเล้าแตกสูง 10.3 เท่า ข้าวเหนียวก่ำเปลือกดำ 6.5 เท่า และข้าวช่อขิง 6 เท่า ของข้าวกล้องทั่วไป

 
ลูทีน

ลูทีนเป็นสารธรรมชาติจัดอยุ่ในกลุ่มของสารรงควัตถุที่มีสีในตระกูลของสารแคโรที-นอยด์ แต่มีความแตกต่างจากคาโรทีนอยด์ชนิดอื่นตรงที่จะไม่เปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอ มีหน้าที่ที่สำคัญในการช่วยป้องกันโรคต้อกระจกที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ

ข้าวเหนียวก่ำเปลือกดำมีลูทีนสูงถึง 25 เท่าของข้าวหอมมะลิ


เบต้าแคโรทีน

เบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ กล่าวคือ สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอหลังจากถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ การรับประทานอาหารประเภทที่มีเบต้าแคโรทีนสูง จะช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง สร้างความต้านทานให้ระบบหายใจ

ในข้าวเหนียวก่ำเปลือกดำ มีสารเบต้าแคโรทีนสูงถึง 3.81 เท่า ข้าวหน่วยเขือ 1.68 เท่า และข้าวเล้าแตก 1.58 เท่า ของข้าวเจ้ากล้องทั่วไป การบริโภคข้าวก่ำร่วมกับผักพื้นบ้าน เช่น ยอดแค ตำลึง ชะอม ขี้เหล็ก กระถิน จะช่วยเพิ่มวิตามินเอให้กับร่างกาย


ธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการสร้างเม็ดเลือดแดง จากการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการพบว่า ในข้าวหน่วยเขือ หอมมะลิแดง หอมมะลิทั่วไป เหนียวก่ำเปลือกดำ เหนียวเล้าแตก และช่อขิง มีธาตุเหล็กสูง 2.9-1.9 เท่าของข้าวเจ้ากล้องทั่วไป

สารทองแดง

ทองแดงเป็นสารอาหารที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง เนื่องจากเป็นส่วนประกอบในเอนไซม์หลายตัวในร่างกาย เช่น การสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย การกำจัดอนุมูลอิสระ การสร้างความยืดหยุ่นของผิวหนัง การขาดทองแดงก่อให้เกิดภาวะซีดจากโลหิตจาง เม็ดเลือดขาวมีมากเม็ดเลือดแดงลดลง โคเลสเตอรอลในเลือดสูงและการเต้นของหัวใจผิดปกติ

ข้าวหน่วยเขือ หอมมะลิแดง เหนียวหอมทุ่ง มีทองแดงสูง 5-3.8 เท่าของข้าวกล้องทั่วไป


ข้าวหอมมะลิแดงกับศักยภาพในการป้องกัน และบรรเทาโรคเบาหวาน

จากการทดสอบพบว่า ข้าวหอมมะลิแดงที่หุงสุกแล้วมีการเพิ่มขึ้นของระดับของน้ำตาลกลูโคสในช่วงเวลา 20 นาทีแรกค่อนข้างช้า คือ 10.60 กรัมต่อ 100 กรัม และปริมาณน้ำตาลกลูโคสหลังจากย่อยผ่านไป 120 นาที มีค่าเพียง 8.59 กรัมต่อ 100 กรัม แสดงให้เห็นว่าข้าวหอมมะลิแดงน่าจะเป็นข้าวพื้นเมืองที่มีดัชนีน้ำตาลที่เหมาะกับการส่งเสริมให้ผู้บริโภคที่อยู่ในภาวะปกติ หรือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 รับประทาน เพราะเมื่อรับประทานข้าวชนิดนี้เข้าไปแล้ว ร่างกายจะมีปริมาณน้ำตาลกลูโคสเพิ่มสูงขึ้นช้ากว่าข้าวเจ้าทั่วไป



ข้าวพื้นบ้านมีสารแอนติออกซิแดนท์มากกว่าข้าวทั่วไป

แอนติออกซิแดนท์ คือ สารที่สามารถขจัดอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย ในข้าวพื้นบ้านมีสารทองแดง สังกะสี เบต้าแคโรทีน วิตามินอี ซึ่งมีความสามารถดังกล่าว การบริโภคอาหารที่มีแอนตี้ออกซิแดนท์จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง ลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคความจำเสื่อม โรคไขข้ออักเสบ แก่เร็ว เป็นต้น

เรื่องโดย .... แผนงานฐานทรัพยากรอาหาร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส. )

บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #61 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 19:45:41 »

พี่เจี๊ยบ,
หนิงหาเรื่องโจรขโมยรถไม่เจอคะ!
ที่พี่postภาพกุญแจรถค่ะ...อยู่ไหนคะ?
nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #62 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2551, 05:24:21 »

NN ... อยู่ที่กระทู้ " ภัยรายวัน " จ้า  พี่ตามไปดูรูปกุญแจรถคันใหม่ของหนิงมาแล้วด้วย

5 โรคฮิต รุมเร้าหนุ่มสาวออฟฟิศ

พี่วิวิธ - วิศวะ 07... ส่งมา  
  
5 อันดับโรคยอดฮิต เกาะติดชีวิตคนเมือง ได้แก่

1. ไมเกรน โรคปวดศีรษะเรื้อรัง

เวลานั่งทำงานเครียดๆ เราจะรู้สึกปวดหัวตึบ..ตึบ..บริเวณขมับ ด้านหน้าศีรษะ หรือหลังต้นคอ นั่นคือสัญญาณเตือนสภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไมเกรน

สาเหตุหลักเกิดจากการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ จนจับตัวเป็นก้อนที่เรียกว่า จุดกดเจ็บ (Trigger Point)

จุดดังกล่าวไปกดทับบริเวณเส้นเลือดที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงศีรษะ ทำให้เส้นเลือดหลังจุด Trigger Point เกิดการขยายตัวผิดปกติ ส่งผลให้เลือด และออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอ  จึงทำให้เกิดอาการปวด ศีรษะขึ้น  นอกจากนี้แสงแดด ความร้อน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และการขาดฮอร์โมนบางชนิด ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้เช่นกัน

ไมเกรน มักจะพบในช่วงอายุ 10-50 ปี อัตราเฉลี่ยเพศหญิง ร้อยละ 18 เพศชาย ร้อยละ 6

วิธีการดูแลให้ห่างไกลจากไมเกรน ทำได้ง่ายๆ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่อากาศถ่ายเทไม่ร้อนจนเกินไป บริหารกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอให้มีการยืดหยุ่นอยู่เสมอเพื่อเลี่ยงการ เกร็งตัวของกล้ามเนื้อ เปลี่ยนอิริยาบถในการนั่งทำงานเพื่อลดการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อ หรือปรึกษาแพทย์อายุรเวท ( แผนไทยประยุกต์ ) เพื่อทำการกดจุดสลาย Trigger Point บริเวณกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย


2. สภาวะเสียสมดุล

ปกติร่างกายของมนุษย์ถูกออกแบบขึ้นเพื่อรองรับภาวะรบกวนต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม  พร้อมขจัด และปรับระบบให้ทำงานได้อย่างปกติมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีสมองเป็นจุดศูนย์รวมการทำงานของร่างกาย

สมองทำหน้าที่ออกคำสั่ง และส่งคำสั่งนั้นไปตามเส้นประสาทเพื่อไปควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายทุกระบบ รวมทั้งกล้ามเนื้อ และข้อต่อต่างๆ  ระบบรากประสาททั้งหมดออกมาตามแนวกระดูกสันหลัง แต่หากแนวกระดูกสันหลังเสียสมดุล ไม่อยู่ในแนวความโค้งที่ปกติ ( เช่น ค่อม งอ คด แอ่น ) โดยมีสาเหตุหลักมาจากการนั่งทำงานในออฟฟิศผิดวิธี หรือทำงานในลักษณะซ้ำๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้กล้ามเนื้อทานไม่ไหว ร่างกายจะฟ้องออกมาในรูปแบบความเจ็บปวดต่างๆ เช่น ปวดหลังเรื้อรัง ปวดคอ ชา หรือแขนขาไม่มีแรง ในระยะแรกอาจไม่แสดงผลชัดเจน แต่ถ้าละเลยอาจรุนแรงถึงขั้นทับเส้นประสาท อาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ หรือแม้แต่ส่งผลให้เป็นโรคภัย ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ผิดปกติได้ด้วย

การดูแลและป้องกัน มีวิธีง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเองทุกวัน โดยคืนความสมดุลให้กับโครงสร้างร่างกาย เช่น การยืดหยุ่นร่างกาย ไม่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป เพื่อลดอัตราการเกร็งกล้ามเนื้อ หรือไม่ทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากเกินไป หรือเพิ่มการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลัง ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ เพราะกล้ามเนื้อเป็นตัวยึดให้กระดูกอยู่ในแนวปกติถือเป็นการคงสภาพให้โครงสร้างร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุล เป็นต้น  นอกจากนี้ยังสามารถปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อปรับโครงสร้างร่างกาย  พร้อมปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินไลฟ์สไตล์ใหม่ได้เช่นกัน


3. กระดูกสันหลังคดงอ อาการปวดหลังเรื้อรัง

หนุ่มสาวชาวออฟฟิศสมัยใหม่ที่ทำงานนั่งอยู่กับโต๊ะ ใช้ชีวิตคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบวันละ 8 ชั่วโมง ใส่รองเท้าส้นสูงบ่อยๆ  เคยลองสังเกตไหมว่าร่างกายสะสมความอ่อนเพลีย และเมื่อยล้าไว้มากขนาดไหน  และรู้หรือเปล่าว่านั่นคือสาเหตุเริ่มต้นของโรคปวดหลังเรื้อรัง โดยค่าเฉลี่ยร้อยละ 80 มักจะเคยมีอาการปวดหลังสักครั้งในชีวิต และกว่าร้อยละ 20 พบว่ามีอาการปวดหลังเรื้อรังมาจาก " กระดูกสันหลังคดงอ "

วิธีการรักษาที่นิยมทำกันโดยทั่วไปในปัจจุบันมี 2 วิธี คือ การรักษาด้วยการให้ยา และกายภาพบำบัดแบบ Passive ช่วยลดอาการปวดได้ดี แต่ไม่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างพอเพียงที่จะป้องกันอาการปวดซ้ำซากในอนาคตได้  ส่วนวิธีการรักษาแบบ Active Rehabilitation เป็นแนวทางใหม่ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เป็นที่ยอมรับกันว่าสามารถระงับปัญหาอาการปวดเรื้อรังได้ถาวร  ดีกว่าการรักษาแบบเดิมๆ  และการออกกำลังกายที่เน้นตรงกล้ามเนื้อในส่วนที่มีปัญหา โดยออกแบบโปรแกรมให้เข้ากับเฉพาะตัวบุคคล และมีผู้ดูแลควบคุมใกล้ชิดจะได้ผลดีกว่าการออกกำลังกายตามลำพังตัวคนเดียวอย่างชัดเจน


4. ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ

อีกโรคที่คุกคามอย่างเงียบๆ คงจะหนีไม่พ้นปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ หรือ Carpal Tunnel Syndrome ( CTS ) ที่กำลังขยายวงกว้างในกลุ่มคนที่ต้องนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ

สาเหตุหลักเกิดจากการใช้ข้อมือในการยึดจับสิ่งของ หรือเมาส์คอมพิวเตอร์ในท่าเดิมๆ เป็นระยะเวลานาน  ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาท และเส้นเอ็นจนอักเสบ  เกิดพังผืดยึดจับบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก หรืออาจเกิดจากการทำงานของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณผ่านท่อนแขนจากข้อศอกไปยังบริเวณข้อมือ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ทำให้เกิดอาการปวดของปลายประสาท หรือเส้นเอ็นบริเวณต้นคอเกิดการอักเสบซึ่งมาจากสาเหตุเดียวกัน

อยากห่างไกลความเสี่ยง เลือกวิธีปฏิบัติง่ายๆ ในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณมือ และข้อมือทุก 15-20 นาที  หรือปรึกษานักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการรักษาแบบ Manual Therapy  หรือการบำบัดด้วยวิธีการใช้มือเป็นหลัก ผสานเข้ากับการใช้เครื่องมือบำบัดเฉพาะทาง  เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่ในกรณีที่มีอาการอักเสบรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะการบาดเจ็บที่รุนแรง และลดอัตราการผ่าตัดลง


5. หูดับ โรคประสาทหูเสื่อม

อีกหนึ่งภัยคุกคามที่คนเมืองควรรู้กับปัญหา " หูดับ " หรือโรคประสาทหูเสื่อม  ส่วนมากเกิดจากปัจจัยหลายสาเหตุ อาทิ กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด หรือปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เป็นต้น ส่งผลให้ระดับการได้ยินลดลง โดยปกติประสาทหูจะเริ่มเสื่อมทีละน้อยๆ ในช่วงอายุประมาณ 30-50 ปีขึ้นไป  แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในไลฟ์สไตล์ของคนเมืองมากขึ้น  สังเกตได้จากค่านิยมในการใช้มิวสิคโฟนผ่านทางมือถือ และเครื่อง MP3 การใช้โทรศัพท์มือถือนานๆ ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมได้

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าประสาทหูเสื่อมสภาพ ในขั้นต้นหากรู้สึกว่าได้ยินเสียงลดลง ได้ยินเสียงไม่ชัดเจนต้องตั้งใจฟังหรือให้คู่สนทนาต้องพูดซ้ำบ่อยๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อตรวจหาสาเหตุความบกพร่องทางการได้ยินพร้อมรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ  หรือปรึกษาศูนย์บริการด้านการได้ยิน เพื่อตรวจวัดระดับการได้ยินพร้อมรับคำปรึกษาและแนวทางฟื้นฟูการฟัง เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ


นี่เป็นเพียง 5 อันดับโรคยอดฮิตเรียกน้ำย่อยสำหรับคนเมืองยุคนี้  แต่ความเป็นจริงยังมีโรคภัยอีกมากมายที่คืบคลานเข้ามาหาตัวเรา  ถ้าเรายังเลือกทำแต่งาน  แล้วมองข้ามสุขภาพตัวเอง ... ใส่ใจตัวเองสักนิด หาความสมดุลให้กับชีวิต แล้วจะรู้ว่าชีวีตที่มีสุขเป็นอย่างไร
 
 
 
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #63 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2551, 18:40:46 »

อาหารเสริมสำหรับผู้ชาย และผู้หญิง‏

วณิชย์ - วิศวะ 16 ... ส่งมาจาก USA
  
10 อาหารเสริมน่ารู้ สำหรับผู้ชาย  
  
เกร็ดความรู้ สาระน่ารู้ เพื่อ สุขภาพ การจะเลือกซื้อ อาหารเสริม ให้กับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ชายหลายคนคิดจะสรรหา วิตามิน นับร้อยมากิน โดยเชื่อว่าวิตามินหรืออาหารเสริม จะช่วยป้องกันโรคและทำให้ สุขภาพ แข็งแรง แต่นั่นอาจเป็นความเชื่อที่ผิดได้  วันนี้เราจึงมี เกร็ดความรู้ เรื่อง 10 อาหารเสริมน่ารู้สำหรับคุณผู้ชายมาแนะนำกันค่ะ  หากคุณเป็นคนรักสุขภาพ ก็ไม่ควรพลาดกับ เกร็ดความรู้ เรื่องนี้




        การจะเลือกซื้ออาหารเสริมให้กับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ชายหลายคนคิดจะสรรหาวิตามินนับร้อยมากินคู่กับอาหารมื้อหลัd  เพื่อชดเชยสภาวะขาดแคลนปริมาณสารอาหาร  คนหนุ่มอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าวิตามิน หรืออาหารเสริมจะช่วยป้องกันโรคบางอย่า'  ไม่ต่างกับการสร้างภูมิต้านทาน

         ถ้าการมุ่งหน้าไปร้านขายยาเพื่อซื้ออาหารเสริมเพียงแค่ 1-2 ชนิด  ทำให้คุณต้องวุ่นวายกับข้อมูลจำนวนมากจนไม่สามารถจัดการกับข้อมูล หรืออาหารเสริมที่ต้องการได้  การสอบถามจากคนรอบตัว และการหาข้อมูลเพิ่มเติมจะช่วยคุณได้มากในขั้นตอนของการตัดสินใจว่าอะไรคืออาหารเสริมที่คุณต้องการจริงๆ


           1. กรดโฟลิก ( Folic Acid ) : มีคุณสมบัติช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลัน และอาการเส้นเลือดในสมองแตกในผู้ชาย คุณจึงควรหันมาให้ความสนใจกินอาหารที่มีกรดโฟลิก ซึ่งมีอยู่มากในผักใบเขียวทุกชนิด หรือหากต้องการบริโภคอาหารเสริมประเภทกรดโฟลิก การกินอาหารเสริมประเภทนี้ตามคำแนะนำของแพทย์จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

          2. กระเทียม ( Garlic ) : ช่วยลดความดันเลือด ลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย และช่วยในเรื่องการไหลเวียนของเลือดได้ นอกจากนี้การบริโภคกระเทียมเป็นประจำจะให้ผลต้านไวรัส ช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องเส้นเลือดสมองแตก และลดความเสี่ยงของการเกิดอาการหัวใจวาย และหากกินกระเทียมชนิดสดหรือกระเทียมที่นำไปปรุงอาหารเป็นประจำได้ จะเป็นการดีกว่า  อาหารเสริมประเภทกระเทียมควรจะเป็นทางที่สองสำหรับคุณ

            3. สังกะสี ( Zinc ) : คุณอาจไม่ทราบว่าผู้ชายเป็นเพศที่สูญเสียปริมาณสังกะสีในร่างกายได้ง่าย  เพราะทุกครั้งที่มีการหลั่งน้ำอสุจิ  สังกะสีปริมาณ 5 มิลลิกรัมซึ่งเป็นปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณสังกะสีที่ร่างกายต้องการต่อวัน จะถูกขับออกจากร่างกาย  ดังนั้นผลเสียที่ตามมาจากการที่ร่างกายขาดสังกะสีก็คือ ความต้องการทางเพศลดลง และโอกาสที่จะเป็นหมันสูง รวมทั้งสูญเสียประสิทธิภาพในการดมกลิ่น และรับรส  แหล่งที่มาของอาหารเสริมชนิดนี้ ได้แก่ อาหารทะเลจำพวกหอยนางรม ถั่ว เมล็ดพืช ธัญพืช และเนื้อสัตว์  ส่วนข้อควรระวังสำหรับการกินแร่ธาตุประเภทสังกะสีก็คือ ในกรณีที่คุณบริโภคสังกะสีมากกว่าวันละ 25มิลลิกรัม เป็นประจำอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และท้องผูกตามมา

           4. โสม ( Ginseng ) : มีประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูพลังงานทั้งร่างกายและสภาวะจิตใจ เมื่อคุณอยู่ในอาการที่เคร่งเครียด โสมจะช่วยให้ระดับกลูโคสอยู่ในระดับเป็นปกติ ทำให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย ช่วยให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น จากการวิจัยโสมยังช่วยยืดอายุเซลล์ และมีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเพศชายได้เป็นอย่างดี
 
           5. น้ำมันปลา ( Omega 3 ) : จากการศึกษาพบว่า โอเมก้า 3 มีกรดไขมันที่สำคัญหลายชนิดสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันเลือดสูง มีผลในการรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย  แหล่งที่มาของสารอาหารประเภทน้ำมันปลาตามธรรมชาติ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาแมคคอเรล ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาซาร์ดีน และปลาที่มีไขมันต่ำ แต่หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป  น้ำมันปลาก็จะเข้าไปเพิ่มระดับน้ำตาล  ซึ่งเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน

           6. กลูโคซามีน ซัลเฟต ( Glucosamine Sulfate ) : มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของไขข้อ การสร้างกระดูกอ่อน มีประสิทธิภาพในการป้องกันข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย  สามารถช่วยซ่อมแซมไขข้อ กระดูกอ่อน บรรเทาอาการเอ็นยึด และอาการกระดูกสันหลังเคลื่อน  มีประโยชน์อย่างมากเมื่อใช้ในผู้ชายที่มีอาการปวดหลัง ข้ออักเสบ หรือบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
 
          7. สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ซอว์ พาลเม็ตโต ( Saw Palmetto ) : สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ช่วยบรรเทาอาการต่อมลูกหมากโตชนิดไม่รุนแรง และช่วยกระตุ้นการหดตัวของต่อมลูกหมาก แต่ข้อเสียของสารสกัดชนิดนี้คือ  ผลข้างเคียงที่จะทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น นอกจากนี้หากยังไม่แน่ใจในวิธีการเลือกรับประทาน คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะซื้อหามาบริโภคด้วยตนเอง

          8. แคตส์ คลอว์ ( Cats Claw ) : เป็นสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่ง พบในอเมริกาใต้ ช่วเพิ่ม ภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และกำจัดเซลล์ผิดปกติ  แถมยังป้องกันการอักเสบการติดเชื้อไวรัส ป้องกันมะเร็งและช่วยให้การทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวดีขึ้น

          9. มิลค์ ทิสเซิล ( Milk Thistle ) : เป็นของเหลวจากพืชชนิดหนึ่ง ช่วยป้องกันตับเป็นพิษจากปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป รวมทั้งช่วยสร้างเซลล์ตับขึ้นมาใหม่ จากการที่ตับถูกทำร้ายด้วยไวรัสหรือตับเป็นพิษ ดังนั้น การกินมิลค์ ทิสเซิล มันน่าจะเหมาะสำหรับผู้ชายที่ชอบดื่มหนักเป็นประจำ

           10. อาหารเสริมกลุ่มแอนติออกซิแดนท์ ( Antioxidants ) : อาหารเสริมกลุ่มนี้มีคุณสมบัติช่วยต้านหรือลดการทำงานของอนุมูลอิสระ ไม่ให้เกิดการเผาผลาญหรือไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมากเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่ม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งมลพิษต่างๆ ในสภาวะแวดล้อมที่คุณต้องเผชิญ อาหารเสริมที่มีความจำเป็นในการใช้เพื่อต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี และซีลีเนียม

         นอกจากนี้ ผลการวิจัยจากหลายสถาบันยังกล่าวด้วยว่า ผู้ชายที่กินซีลีเนียมวันละ 200 มิลลิกรัมเป็นประจำ มีโอกาสเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ลำไส้ ปอด รวมทั้งมะเร็งอื่นๆ น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กินซีลีเนียมเป็นประจำกว่าร้อยละ 50  
 
สุขภาพสำหรับผู้หญิง วัย 40 ปีขึ้นไป



      วิตามิน และสารอาหารสำหรับดูแลสุขภาพผู้หญิงวัย 40  ปีขึ้นไป ... ถ้าผู้หญิงเรามีสุขภาพดีทั้งกายและใจ จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และความแข็งแกร่ง ในการทำหน้าที่ตามบทบาทต่าง ๆ ที่มีในชีวิตประจำวัน  และในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความสุขกับผู้คนรอบตัว โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทำงาน  มีภาระความรับผิดชอบด้านการงานและครอบครัวเพิ่มมากขึ้น  ก่อให้เกิดความเครียดการพักผ่อนน้อยและไม่มีเวลาดูแลตัวเอง

      ผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไปจะเริ่มมีภาวะขาดฮอร์โมนเพศหญิง ส่งผลกระทบต่อสมอง จิตใจ อารมณ์ มีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต อาการต่าง ๆ ที่จะสังเกตทราบได้มี

      1. ประจำเดือนไม่แน่นอน บางทีมาถี่ ๆ บางทีก็ทิ้งช่วงหลายเดือนสลับกับการมาสม่ำเสมออยู่ระยะหนึ่ง บางคนจะมีเลือดประจำเดือนออกแบบแปลก ๆ เช่น เลือดประจำเดือนมากกว่าปกติ หรือมาทุก 2-3 สัปดาห์

      2. อาการร้อนวูบวาบ ราว ๆ 3 ใน 4 ของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะมีอาการดังนี้ อาการร้อนวูบวาบจะรำคาญมากที่สุดใน 2-3 ปีแรกที่ประจำเดือนหมด โดยมีความรุนแรงและความถี่ หรือระยะเวลาเป็นสั้นยาว ต่าง ๆ กันไป ในผู้หญิงแต่ละคน แต่โดยมากจะบรรเทาเบาบาลงใน 1-2 ปี

      3. อาการนอนไม่หลับ ไม่ว่าจะเป็นความลำบากในการหลับหรือตื่นบ่อย ๆ กลางดึก หรือตื่นเช้ากว่าปกติ

      4. อารมณ์แปรปรวน เกิดอาการซึมเศร้า หรือหงุดหงิด

      5. ปัญหาของช่องคลอด  ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อของผนังช่องคลอดบางลง ความยืดหยุ่น และความหล่อลื่นลดลง ทำให้การร่วมเพศไม่สะดวกราบรื่น

      6. การเจริญพันธุ์น้อยลง เนื่องจากการตกไข่ไม่แน่นอนทำให้โอกาสตั้งครรภ์ลดลง แต่ก็อาจตั้งท้องได้ทุกเมื่อ จนกว่าประจำเดือนหยุดมาเป็นเวลา 1 ปีเต็ม

      7. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง ความเต่งตึงและความชุ่มชื้นของผิวหนัง มีผลจากการที่ร่างกาย สร้างสารคอลลาเจน เมื่อฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนลดลง การผลิตสารคอลลาเจนก็จะลดลงด้วย ผิวหนังของหญิงวัยหมดประจำเดือน จะเริ่มบางลง มีความยืดหยุ่นลดลง แห้ง และเหยี่ยวย่นง่ายขึ้น


อะไรจะเกิดขึ้นหลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ?

      นอกจากอาการต่าง ๆ ที่กล่าวถึงแล้ว ผลระยะยาวที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะเมื่อประจำเดือนหยุดมาอีกหลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนมีผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ เช่น



ภาวะกระดูกพรุน ( Osteoporosis )

      ซึ่งเป็นโรคของกระดูกที่เกิดจากกระดูกบอบบางลง มีรูพรุนมากขึ้น เพราะฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนทดแทนกระดูกเก่าที่สลายไป โดยกระบวนการดังกล่าวจะถึงจุดสูงสุดเมื่อผู้หญิงมีอายุ 25-30 ปี  เมื่อระดับเอสโตรเจนเริ่มลดลง ร่างกายสูญเสียกระดูกเร็วขึ้นกว่าการสร้างชดเชย  อันตรายที่ตามมาคือเวลาหกล้มจะพบว่ากระดูกหักง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสันหลัง และกระดูกสะโพก



โรคหัวใจขาดเลือด
 
      วงการแพทย์พบว่า  เอสโตรเจนช่วยปกป้องคุ้มครองไม่ให้ผู้หญิงเป็นโรคหัวใจ โดยช่วยเพิ่มระดับของไขมันโคเลสเตอรอลชนิดดี ( HDL ) และช่วยลดไขมันชนิดเลว ( LDL )  นอกจากนี้ยังทำให้เส้นเลือดแดงมีความยืดหยุ่น ทำให้เกล็ดเลือดไม่เกาะกลุ่มกัน เสริมความแข็งแรงของหัวใจ เมื่อให้เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเสริมแก่หญิงวัยหมดประจำเดือนทุกราย กลับปรากฏว่าผู้หญิงบางคน เมื่อได้เอสโตรเจนแล้ว เลือดในเส้นเลือดดำคั่งแข็งตัวง่ายขึ้น ดังนั้นการตัดสินใจจะใช้ฮอร์โมนเสริมหรือไม่  อย่างไรจึงต้องให้แพทย์พิจารณาตัดสินใจร่วมกับท่าน



ปัญหาทางเดินปัสสาวะ

ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อบุท่อปัสสาวะบางลง และความแข็งแรงของกระเพาะปัสสาวะลดลง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือทางเดินปัสสาวะติดเชื้อได้ง่าย

น้ำหนักขึ้น อัตราการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายหญิงวัยหมดประจำเดือนจะลดลง ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว ( อ้วนแบบลงพุง )



ผลกระทบในระยะยาวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในผู้หญิงสูงวัย 40 ปีขึ้นไป  ข้อมูลของโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่พบบ่อยในผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไปจำนวน 10 อันดับแรก ได้แก่
 
ไขมันในเส้นเลือดสูง ( ร้อยละ 79 )
กลุ่มอาการของสตรีวัยหมดประจำเดือน ( ร้อยละ 54 )
กระดูกบาง ( ร้อยละ 29 )
ความดันโลหิตสูง ( ร้อยละ 35 )
โรคเต้านม ที่ไม่ใช่มะเร็งเต้านม ( ร้อยละ 30 )
กรดยูริคในเลือดสูง ( ร้อยละ 29 )
โรคอ้วน ( ร้อยละ29 )
โรคกระดูกพรุน ( ร้อยละ 29 )
ข้ออักเสบ ( ร้อยละ 20 )
เบาหวาน ( ร้อยละ 6 )
 
ปัญหาทุพโภชนาการ ( ขาดสารอาหาร ) เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งปัญหาดงกล่าวเป็นผลมาจากความเสื่อมทางด้านสรีระ โดยเฉพาะระบบการย่อย และดูดซึมสารอาหาร  ภาวะการเปลี่ยนแปลงทางการดำรงชีวิต เช่น สภาพทางเศรษฐกิจ กิจกรรมในชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่ง ปัญหาการเบื่ออาหาร การรับประทานอาหารโดยไม่คำนึงถึงประเภทที่หลากหลาย และครบถ้วนของสารอาหาร ทำให้มีโอกาสขาดวิตามิน และแร่ธาตุสูง  ดังนั้นการดูแลสารอาหารที่ควรได้รับจึงมีความสำคัญ และต้องมีความครบถ้วนอย่างพอดี  ต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้น




สารอาหารที่จำเป็นต่อผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป

      สารอาหารที่ช่วยปรับสมดุลระบบฮอร์โมน เช่น ไฟโตเอสโตรเจน จากาถั่วเหลือง เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้หญิงวัยนี้โดยไฟโตเอสโตรเจนจะมีบทบาทเป็นฮอร์โมนทดแทน แบบธรรมชาติ ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน ลดระดับไขมันในเลือดซึ่งจะก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตามมา ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม และป้องกันกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน การรับประทานสารอาหารที่ให้ไฟโตเอสโตรเจน จะมีความปลอดภัยกว่าการรับประทานฮอร์โมนทดแทนเนื่องจากการรับประทานฮอร์โมนทดแทน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม โรคหัวใจและหลอดเลือด



สารอาหารบำรุงกระดูก
 
      แคลเซี่ยม ช่วยเพิ่มมวลกระดูกสูงไม่เพียงพอ ทำให้กระดูกแตกหักได้ง่าย แม้จะได้รับการกระแทกเพียงเล็กน้อย ในผู้หญิงวัยนี้การเสริมแคลเซี่ยมจึงมีความจำเป็นอย่างมาก
 
วิตามินดี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซี่ยมได้ดีขึ้น  เพื่อความมั่นใจว่าร่างกายจะได้รับแคลเซี่ยมได้อย่างเต็มที่



 
สารอาหารบำรุงสมอง
 
สารสกัดจากใบแปะก๊วย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง ทำให้ผนังหลอดเลือด มีความยืดหยุ่นและแข็งแรงอีกทั้งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคความจำเสื่อม และยังมีคุณสมบัติช่วยลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะอุดตันในหลอดเลือดสมอง



สารอาหารบำรุงสายตา
 
     วิตามิน เอ มีหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็นโดยเฉพาะในการที่มีแสงสว่างน้อย ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน (Night bllndness)
 
      ลูติน สารประกอบกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากที่สุดบริเวณจุดศูนย์กลางของเรตินา ช่วยดูดซับแสงสีน้ำเงินก่อนจะมีผลเสียต่อดวงตา มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเรตินา และเลนส์ตา




สารอาหารบำรุงระบบประสาท ช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหาร และบำรุงโลหิต

      เมื่ออายุมากขึ้น การทำงานของระบบประสาทจะต้องด้อยลง การดูดซึมสารอาหาร และประสิทธิภาพในการเผลผลาญอาหารก็ลดลงด้วย ส่งผลให้ผู้หญิงวัยนี้มีโอกาสขาดวิตามินได้แทบทุกตัว กลุ่มวิตามินที่บทบาทสำคัญในการบำรุงระบบประสาท ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญสารอาหารได้ดีคือ กลุ่มวิตามินบี ซึ่งยังมีความสำคัญต่อขบวนการสร้างเม็ดเลือด เพื่อให้สามารถนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ได้อย่างทั่วถึง  ทำให้ร่างกายพร้อมเผชิญกับภารกิจได้ตลอดวัน

สารอาหารต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความชรา

อนุมูลอิสระ เป็นสารพิษที่เกิดขึ้นตลอดเวลาภายในร่างกาย  ปกติร่างกายเราสามารถกำจัดได้เองระดับหนึ่ง  แต่เมื่อคนเราสูงวัยขึ้น ประสิทธิภาพการกำจัดจะลดลง ทำให้เกิดความเสื่อมของร่างกาย  ผลของความเสื่อมที่เราเห็นคือ ผิวขาดความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอย  ขณะเดียวกันก็เกิดความเสื่อมของอวัยวะภายในร่างกาย ทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ความจำเสื่อม มะเร็ง ฯลฯ ดังนั้น จึงควรได้รับสารต้านอนุมูลอิสระที่มีปริมาณมากพอ และมีความหลากหลายที่จะช่วยเสริมฤทธิ์กัน เพื่อชะลอความเสื่อมและการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี โคแอนไซม์ คิวเทน กรดอัลฟา ไลโปอิก รูติน และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น สังกะสี ซิลิเนียม


กลุ่มแร่ธาตุที่จำเป็น

      แร่ธาตุที่มีความจำเป็นในกระบวนการเผาผลาญ  เพื่อให้ได้พลังงานของร่างกายในการใช้ชีวิตประจำวัน ช่วยเรื่องต้านความเครียด และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย  เสริมสร้างสุขภาพที่ดี ได้แค่ ธาตุเหล็ก สังกะสี แมกนิเชี่ยม โครเมียม

คำแนะนำในการเลือกซื้อ

     ในปัจจุบัน มีสูตรวิตามินและสารอาหารต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้นผ่านการคัดสรรทั้งชนิด และปริมาณที่เพียงพอ บรรจุในแคปซูลนิ่ม เพื่อความสะดวกในการดูแลสุขภาพผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไปโดยเฉพาะ ดังนี้

ประโยขน์ต่อสุขภาพ   :   วิตามิน/สารอาหาร

ปรับสมดุลระบบฮอร์โมน  :  สารสกัดจากจมูกถั่วเหลือง
บำรุงกระดูก  :  แคลเซี่ยม วิตามินดี 3
บำรุงสมอง  :  สารสกัดจากไบแป๊ะก๊วย
บำรุงสายตา  :  วิตามิน เอ, ลูติน
บำรุงระบบประสาท / ช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหาร บำรุงโลหิต :  กลุ่มวิตามินบี  ได้แก่ บี1 , บี2 , นิโคตินาไมด์ แคลเซี่ยม แพนโทธีเนต , บี6 , บี12 , กรดโฟลิก , ไบโอติน , ไอโนซิทอล
ต้านอนุมูลอิสระ และชลอความชรา  :  วิตามิน อี , วิตามิน ซี , ซิลีเนี่ยม , โครเอ็นไซม์คิวเทน, กรดอัลฟา ไลโปอีก, รูติน , ไบโอฟลาโวนอยด์
แร่ธาตุที่จ่ำเป็นต่อสุขภาพ  :  ธาตุเหล็ก , ธาตุสังกะสี , แมกนิเซี่ยม , โครเมี
ยม
  
7 สุดยอดอาหารสำหรับผู้หญิง

กีวี
เป็นผลไม้ที่ มีระดับของ วิตามินซีสูงที่สุดชนิดหนึ่ง เรียกว่าเกือบ 2 เท่าของ วิตามินซี ที่จะได้จากส้ม 1 ผล เลยทีเดียว วิตามินซีเป็นตัวช่วยให้ ร่างกายดูดซับ ธาตุเหล็ก และโฟเลตอันเป็นสารอาหาร ที่ผู้หญิงต้องการ มากที่สุดได้ดีขึ้น โดยปริมาณของกีวีที่ผู้หญิงต้องการ ในแต่ละวันนั้นก็เพียง ครึ่งผลเท่านั้น จะให้พลังงานเพียง 46 แคลอรี่  

เต้าหู้ถั่วเหลือง
      เต้าหู้ถั่วเหลือง 1 ชิ้นจะให้ปริมาณโปรตีนสูง ยิ่งกว่านั้นในเต้าหู้ถั่ว เหลือง ยังมีสารที่เรียกว่า ฟีโตฮอร์โมน เป็นสารที่จะช่วย ให้การทำงาน ของฮอร์โมนเอสโตรเจน และพวกต่อมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการมีประจำเดือน ของผู้หญิงทำงานอย่างเป็นปกติ ต่อไปนี้ คุณคงจะต้องเพิ่มเต้าหู้ถั่วเหลือง ในมื้อใด มื้อหนึ่งของวันซะแล้วล่ะคะ  

ถั่วลิสง
      เป็นอาหารอีกชนิดที่อุดมไปด้วยโปรตีน ซึ่งนอกจากประกอบไปด้วย ใยอาหารจำนวนมาก ที่จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหาร ของคุณทำงาน อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การรับประทานถั่วลิสง ยังให้ประโยชน์สูงสุด ในหนึ่งมื้อ ควรจะรับประทานถั่วลิสงให้มากกว่า 7-8 กรัมขึ้นไป เพราะร่างกาย นั้นต้องการ ไฟเบอร์ถึง 25-30 กรัม ต่อหนึ่งวัน  

ข้าวกล้อง
      ข้าวกล้องให้ สารอาหารอันเป็น ประโยชน์แก่ร่างกาย มากกว่าข้าวขาวถึงเท่าตัว โดยเฉพาะ วิตามิน บี อี รวมไปถึงโฟเลต ที่เป็นสารอาหารสำคัญ ที่จะปกป้องคุณ จากการเป็น โรคหัวใจ ที่สำคัญ วิตามิน อี ในข้าวกล้อง ยังมีประโยชน์ ต่อการทำงาน ของร่างกาย หลายๆ ส่วน รวมไปถึงเรื่อง สมรรถภาพทางเพศอีกด้วย
 
กะหล่ำ
      หรือที่รู้จักกันว่าเป็นผักต้านมะเร็ง ซึ่งนอกจากต้านมะเร็งแล้ว สารอาหาร ในกะหล่ำ ยังมีคุณสมบัติ ช่วยฟื้นฟูเซลล์ ภายในร่างกายอีกด้วย ที่สำคัญผักกะหล่ำ สามารถให้ผู้หญิง นำไปทำได้หลายเมนูไม่มีเบื่อ
 
มันฝรั่ง
      แค่มันฝรั่งผลขนาดพอเหมาะ ก็สามารถให้วิตามินเอ คุณได้อย่างเพียงพอ วิตามินเอที่มากับ มันฝรั่งนี้เอง จะช่วยคุณ ในเรื่องของ สุขภาพตา สุขภาพของ เส้นผม รวมไปถึงสุขภาพฟันให้แข็งแรง

แซลมอน
      นอกจากจะเป็นอาหารที่มีไขมัน และแคลอรี่ต่ำแล้ว แซลมอนยัง มีสารอาหารสำคัญอย่าง โอเมก้า 3 อีกด้วย นอกจากนี้ก้างปลาอ่อนๆ ของแซลมอนยังเป็น แหล่งแคลเซียม ที่สำคัญสำหรับผู้หญิง เพื่อป้องกันการเป็น โรคกระดูกพรุน ที่อาจจะเกิดขึ้น ในอนาคต

 
      อาหารทั้ง 7 อย่างเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของอาหารอีกหลากชนิดที่มีให้เราเลือกทาน แต่ก็นับว่าเป็นอาหารสำคัญ สำหรับผู้หญิงในการดูแลสุขภาพตัวเอง  ดังนั้นการบริโภคของที่มีประโยชน์บ้างก็จะดีมาก แล้วก็ตามใจปากตัวเอง ให้น้อยลงสักหน่อย เท่านี้คำว่า สวยสุขภาพดี จะไปไหนเสีย
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #64 เมื่อ: 03 มกราคม 2552, 02:16:51 »

บุหรี่ไฟฟ้า สำหรับคนอยากเลิกบุหรี่

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07... ส่งมา

ผมเชื่อว่า กระทู้นี้น่าจะเป็นกระทู้ที่เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่ผมเคยตั้งหรือเขียนมา แม้จะสำหรับคนบางคน หรือบางกลุ่มก็ตาม  แต่คนที่ไม่อยู่ในกลุ่มที่ผมจะพูดถึงก็ควรอ่านครับ ( อย่างน้อยก็เพื่อคนที่คุณรัก ) ... ก่อนอื่น ผมจำเป็นต้องสารภาพความจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ในโลกไซเบอร์คุณไม่มีทางรู้ว่าคนที่คุณคุยด้วยเป็นคนอย่างไร  อย่าตกใจจะครับ ผมไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร แต่ผมเป็นคนที่ติดบุหรี่ครับ สูบตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือจนถึงปัจจุบัน รวมแล้วก็เกิน 20 ปีครับ ถ้าไม่เข้าโรงพยาบาลก็ไม่เคยหยุดสูบแม้แต่วันเดียว จากวันละไม่กี่มวน จนเป็นเฉลี่ยวันละ 1-2 ซอง



ลูกสาวพยายามขอร้องให้ผมเลิก ทั้งขู่ ทั้งอ้อนวอน ( ด้วยแววตาที่คุณสามารถให้ทุกอย่างในโลกได้ ) ผมก็พยายามให้สัญญา แต่คนที่ติดบุหรี่แถมต้องทำงานใช้สมองคงหาโอกาสเลิกได้ยากครับ  ยอมรับว่าบางครั้งน้ำตาร่วงเวลาลูกขอร้องให้เลิก  เรื่องอุปกรณ์ช่วยเลิกบุหรี่ เช่น หมากฝรั่ง แผ่นติด ฯลฯ ผมลองมาแทบทุกอย่าง ที่จริงหมากฝรั่งผมได้รับจากหมอสมัยเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ( ตอนนั้นก็ตั้งใจจะเลิก ) แต่ก็ไม่สำเร็จครับ ( ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ) ล่าสุดลูกสาวบอกผมว่า นอนฝันร้ายทุกคืนเพราะผมสูบบุหรี่ ต้องเป็นมะเร็งตาย ( หรือเป็นโรคตามรูปบนซองบุหรี่ )  ซึ่งบังเอิญว่าในวันเดียวกันนั้น ผมได้อ่านข่าวผู้จัดการเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ( หรือ E-Cigarrete ) หลังจากนั้น พยายามศึกษาและในที่สุดก็ลองสั่งมา  ตอนที่สั่งค่อนข้างมั่นใจในผลของมันครับ คือคิดว่าแทนที่บุหรี่จริงได้ 100% หรือหากไม่ได้ ผมก็ตัดสินใจว่าจะใช้มันครับ เพราะอะไร? เพราะ E-Cigarette เป็นเทคโนโลยี่ที่จะสร้างความรู้สึกเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ แต่ไม่มีสารพิษใดๆ ที่ทำให้เกิดโรคร้ายทั้งหมด ( ซึ่งสิ่งอันตรายทั้งหมด มาจากใบยาสูบ เช่น สารหนู น้ำมันดินหรือทาร์ ฯลฯ ) ตั้งแต่มะเร็งปอด มะเร็งคอ หลอดลม ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจ และอีกมากมาย ฯลฯ ไม่มีคาร์บอนมอนนอกไซต์ ( ที่เกิดจากการเผาใหม้ ) หมายความว่า ควันที่ออกมาไม่เป็นอันตรายต่อคนรอบข้าง (ที่จริง ไม่ใช่ควันครับ เป็นละอองน้ำหรือไอน้ำ ที่ภาษาฝรั่งเขาเรียก Vapor ไม่ใช่ Smoke ) สามารถสูบในห้องได้


 
สิ่งที่ผู้สูบเจ้าบูหรี่ไฟฟ้าจะได้รับมีอย่างเดียวก็คือ นิโคติน ครับ เหมือนกับที่เคี้ยวหมากฝรั่งเลิกบุหรี่ทุกประการ  นิโคติน หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม  ก็ช่วยให้ผ่อนคลาย  แต่ข้อเสียของมันเลวร้ายเหลือคณานับก็คือ " มันเสพติด " ครับ  ใครได้ลอง ( ในปริมาณ  และระยะเวลาหนึ่ง ) แล้วจะขาดมันไม่ได้ ( นิโคติน มีอยู่ในมะเขือเทศ แต่ผมเข้าใจว่ามีปริมาณน้อย )
 
ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด เป็นเหตุผลที่ผมบอกว่า แม้เจ้าบุหรี่ไฟฟ้าที่สั่งไปจะยังส่งมาไม่ถึง และยังไม่ได้ลองว่าเป็นอย่างไร แต่ผมก็ตัดสินใจจะสูบมันแน่นอนครับ ต่อให้มันจะไม่เหมือนบุหรี่จริงก็ตาม  แต่ถ้าช่วยให้ผมไม่สูบบุหรี่จริงได้ผมก็ยอมครับ ( คิดถึงแต่ลูก อ้อ ... และภรรยาด้วย ที่จริงก็คนรอบข้างผมทั้งหมดครับ ทุกคนขอร้องมานาน ) และในที่สุด วันที่ผมรอคอยก็มาถึง กล่องพัสดุวางอยู่ข้างหน้า ผมแกะเจ้าบุหรี่ไฟฟ้าออกมาและทดลองในทันที ผลหรือครับ บอกได้คำเดียวว่า " มันยอดเยี่ยมมากๆ " ครับ ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับบุหรี่จริง

ทุกวันนี้ ผมไม่ได้สูบบุหรี่จริงอีกเลย ( ประมาณ 2 อาทิตย์ ) ร่างกายดีขึ้น หายใจสะดวกขึ้น เหนื่อยน้อยลง และที่สำคัญ ไม่รู้สึกว่าขาดบุหรี่เลยครับ ในขณะที่ยังเลิกไม่ได้ ผมสามารถสูบบุหรี่ได้โดยไม่เป็นอันตรายและไม่เสี่ยงกับโรคร้าย และสามารถลดปริมาณนิโคตินลงได้ ( เขามีใส้ที่บรรจุนิโคตินขนาดต่างๆ ตั้งแต่มากสุด คือ 16-24 mg จนถึงไม่มีเลย คือ 0 mg ) แม้จะเป็นขนาดมากที่สุด แต่ก็เป็นปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
 
ที่ผมเขียนมาทั้งหมด เพื่อจะยืนยันว่า บุหรี่ไฟฟ้า ใช้ได้จริง ผมไม่ได้มาโฆษณา ( และจะไม่บอกว่าผมใช้ยี่ห้ออะไรหรือซื้อที่ไหน ) แต่ผมอยาก "แนะนำ" ให้คนที่ติดบุหรี่ เปลี่ยนมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทนครับ ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่กำลังสนใจแต่ไม่แน่ใจว่ามันจะเวิร์คหรือไม่ ผมรับประกันว่าเวิร์คครับ  สำหรับน้องๆ ที่มีคุณพ่อสูบบุหรี่  รีบไปซื้อมาโดยด่วนครับ  ให้ของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตให้ท่าน ท่านจะได้อยู่กับเรานานๆ และไม่เกิดโรคร้าย


  
สำหรับราคา ( ผมไม่แน่ใจว่าที่จริงมีโรงงานผลิตแห่งเดียวหรือเปล่า และเป็น OEM ให้กับหลายยี่ห้อ ข้อมูลผมอาจไม่ 100% แต่บุหรี่ไฟฟ้าเป็นของจีน โดยทุนในการวิจัยและพัฒนาได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลจีน  เพราะคนจีนสูบบุหรี่กันมากและสูบมันทุกที่ ใครที่เคยไปจีนจะทราบว่า ที่นั่นคือสวรรค์ของพวกขี้ยา ) มีตั้งแต่ $30 ไปจนถึง $300 เหรียญ หรือแบบเดียวกัน  คล้ายกันทุกอย่าง แต่ขายราคาต่างกัน ตั้งแต่ $30-$200 ดังนั้น เลือกให้ดีครับ ไม่จำเป็นต้องซื้อของแพง ผมมีเว็บที่จะแนะนำ 1-2 แห่งครับ แต่อาจจะมีที่อื่น ลองค่อยๆ ศึกษาดูครับ ( ค่าส่งมาเมืองไทย เริ่มต้นประมาณ $20-$25 )
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #65 เมื่อ: 03 มกราคม 2552, 22:04:54 »

อึ้ง ! ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่เสี่ยงโรคไต-กระดูก-มะเร็ง-ประสาท

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07... ส่งมา



เตือนเส้นก๋วยเตี๋ยว ยิ่งนุ่ม เหนียว อยู่ได้นาน ยิ่งอันตราย โดยเฉพาะเส้นใหญ่อันตรายที่สุด แฉโรงงานผลิตกว่าร้อยละ 50 ไม่ได้มาตรฐาน ชี้กระบวนการผลิตมีวัตถุกันเสียปนเปื้อนอื้อ แถมใช้น้ำมันเก่าผสมน้ำมันพืช มีสารก่อมะเร็ง สารส้ม ก่อให้เกิดโรคประสาท ไตอักเสบ ระบบกระดูก และโรคมะเร็ง

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ที่อาคารเอส เอ็ม ทาวเวอร์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ( สกว. ) แถลงข่าว " แกะซอง มองเส้น มหันตภัยร้ายแฝงเร้นในก๋วยเตี๋ยว " โดยมี ผศ.ดร.บัณฑิต อินณวงศ์ ผู้ประสานงานชุดโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ( เอสเอ็มอี ) ฝ่ายอุตสาหกรรมกล่าวว่า ได้ออกสำรวจโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเส้นก๋วยเตี๋ยว ตั้งแต่ปี 2549-2551 พบว่าโรงงานส่วนใหญ่มีปัญหาตั้งแต่วัตถุดิบ กระบวนการผลิต การจัดการตัวผลิตภัณฑ์ การขนส่งตัวแทนจำหน่าย และร้านค้าที่ผลิตเมนูก๋วยเตี๋ยว เกี่ยวกับการผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวอย่างถูกวิธี รวมไปถึงผู้บริโภคที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริโภคก๋วยเตี๋ยวอย่างถูกต้อง เพราะคนซื้อไม่ได้มีความรู้ในการเลือกซื้อเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ถูกสุขลักษณะ อีกทั้งคนกินก็ไม่เคยทราบว่า เส้นก๋วยเตี๋ยวที่กินเข้าไปนั้น ผลิตอย่างไร จึงทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากการรับประทานเส้นก๋วยเตี๋ยวโดยไม่รู้ตัว

ผศ.ดร.บัณฑิตกล่าวอีกว่า จากการสำรวจโรงงาน 10 แห่ง ปี 2551 พบว่า โรงงานทั้ง 10 แห่ง เกิน 50% ใช้สารที่ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าปลอดภัยต่อร่างกายหรือไม่ เนื่องจากทุกโรงงานต่างใช้น้ำมันหัวเชื้อที่ยังไม่มีผลวิจัยสรุปได้ว่าน้ำมันหัวเชื้อซึ่งเมื่อผสมกับน้ำ มีลักษณะคล้ายน้ำนมนั้น มีสารเคมีชนิดใดผสมอยู่บ้าง เพราะ 80% จากการตรวจสอบยังไม่พบสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แต่ 20% ที่เหลือยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีอันตรายหรือไม่

ทั้งนี้การผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยว ยังเติมสารวัตถุกันเสียหลายชนิดเพื่อให้เส้นก๋วยเตี๋ยวเหนียว นุ่ม อยู่ได้นานตามความต้องการของผู้บริโภค หรือพ่อค้า แม่ค้า แต่ในความเป็นจริง เส้นก๋วยเตี๋ยวหากไม่ใส่วัตถุกันเสีย โดยเฉพาะเส้นใหญ่ที่มีสารวัตถุกันเสียมากปนเปื้อนมากกว่าเส้นเล็ก เส้นบะหมี่ หรือเส้นหมี่ เพราะเป็นเส้นที่เสียเร็วที่สุด เก็บไว้ได้เพียง 2-3 วันเท่านั้น ดังนั้นเส้นก๋วยเตี๋ยวที่โรงงานผลิตเพื่อจัดจำหน่ายอยู่ในขณะนี้ เก็บได้ถึง 7 วัน แสดงว่าใช้วัตถุกันเสียเยอะมาก

ส่วนวัตถุกันเสียที่ใช้มาก ได้แก่ สารส้ม หรือแอมโอเนียม อะลูมินัม ซัลเฟต ที่พบมาก และปริมาณที่ใช้เกินกว่าที่กำหนดไว้ตามมาตรฐาน น้ำดื่มบรรจุขวดไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ในเส้นก๋วยเตี๋ยวมีปริมาณอะลูมินัม อยู่ 620 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หมายความว่า หากรับประทานก๋วยเตี๋ยว 1 ชามต่อวัน มีเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามประมาณ 100 กรัม แสดงว่าได้รับอะลูมินัมประมาณ 64 มิลลิกรัมต่อ 1 ชาม หากรับประทานตลอดทั้งวัน คือ 3 มื้อจะได้รับอะลูมินัม 184 มิลลิกรัม

และหากรับประทานก๋วยเตี๋ยวสัปดาห์ละ 7 มื้อ ก็จะได้รับ 22.32 กรัมต่อปี ซึ่งจากงานวิจัยในต่างประเทศ หากคนเราได้รับอะลูมินัมต่ำกว่า 5 มิลลิกรัมต่อวัน จะไม่ส่งผลต่อสุขภาพ แต่เมื่อร่างกายได้รับตั้งแต่ 50-200 ไมโครกรัมต่อลิตร จะทำให้เกิดผลต่อระบบการทำงานของระบบประสาท การทำงานของไต และกรวยไตต้องทำงานหนักมากกว่าปกติก่อให้เกิดการอักเสบ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #66 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2552, 11:22:18 »

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

จากการอบรม เรื่องเกี่ยวกับการทำ GMP ของโรงงานผลิตอาหารต่างๆ  วิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้าน Clean food มีเกร็ดต่างๆมาเล่าให้ฟัง เลยสรุปมาเล่าสู่กันฟัง พอเป็นสังเขป จริงๆ มีมากกว่านี้

1. พวกขนมปังปี๊บ กระบวนการผลิตบางแห่งไม่ดี ไส้สับปะรด เป็นมันแกวหรือพืชอื่น ๆ กวนใส่น้ำตาล  และใส่กลิ่นกับแกนสัปปะรดไปนิดหน่อย

2. เชอรี่บนขนมเค้กราคาถูกตามตลาดสด คือ มะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น  แล้วย้อมสีแดง ( ผงฟอกสีทำให้เป็นโรคไต )  พวกที่ใช้สารฟอกสีอื่นๆ เช่น มะม่วงกวน ( แผ่นใส ๆ )  ยอดมะพร้าวขาว ๆ

3. ซูชิ ในตลาดนัดที่อากาศร้อน  แบคทีเรียจะเจริญเติบโตเร็ว  ชูชิต้องเสริฟเย็นเท่านั้น

4. เอแคลร์ กับลูกชุบ หรือขนมอะไรที่ต้องมีการปั้น ๆ ถู ๆ  ต้องพึงระวังสุขอนามัย ควรซื้อกับร้านค้าที่รู้จัก  หรือมีชื่อเสียงเท่านั้น

5. ลูกอมสีอื่น ๆ เช่น ฟ้า เขียว ม่วง เป็นสีที่ขาย ไม่ดี ไม่ควรซื้อเพราะใช้สีที่เก็บไว้นาน  ทานลูกอมสีแดง ขาว ได้

6. ปลายหน้าร้อนต่อต้นหน้าฝน  ไม่ควรกินอาหารทะเล  เพราะฝนเริ่มตกจะชะฝุ่นบนพื้นดินลงทะเล  และสัตว์ทะเลจะกินเข้าไป จะมีแต่ไวรัส แบคทีเรีย โอกาสท้องเสียมีสูง

7. พวกอาหาร Pack สำเร็จมา wave ที่บ้าน  wave ได้ครั้งเดียวเท่านั้น  ไม่ควรล้าง Package มาใส่อาหารแล้ว wave ซ้ำ  เพราะสารพิษจะออกมา

8. โยเกริ์ตต่างๆ จะมีแป้งผสมอยู่ประมาณ 20% ควรทานโยเกริ์ต Home made ถ้วยเล็ก ๆ  ( ลองหยดไอโอดีนพิสูจน์ดูก็ได้  ถ้ามีแป้งผสมอยู่  จะพบว่าโยเกริ์ตเป็นสีน้ำเงิน )

9. น้ำปลาเปิดขวดแล้ว ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน

10. ระวังเชื้อราตามคอขวดน้ำจิ้มต่างๆ ที่เปิดใช้แล้ว

11. กระดาษหนังสือพิมพ์  อย่าเอามาห่อผักแช่ตู้เย็น ( มีสารพิษจากหมึก )

12. อาหารกระป๋องถ้าใช้ไม่หมด  ควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่น  แช่ตู้เย็น

13. ฟองน้ำล้างจานที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้ ( เป็นน้ำๆ )  ทิ้งไว้ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง  แบคทีเรียจะเติบโต  ควรเททิ้งไป

14. อาหารหมักดองต้องระวังมีไวรัสที่ทำลายกล้ามเนื้อ  ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง  ผักกาดดองตามท้องตลาด  ในโรงงานบางแห่งจะมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด ( ใช้คนลงไปในอ่างดอง  เราไม่แน่ใจว่าคนนั้นๆ มีโรคหรือไม่ )  ควรใช้ผักกาดดองกระป๋องที่เชื่อถือได้

15. เบียร์สดจะไม่ถูกกรองยีสต์ที่ตายแล้วออก  เราจะกินศพยีสต์เข้าไปด้วย ( เบียร์ขวดจะถูกกรองไปแล้ว )  แต่กินได้ ไม่เป็นไร

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #67 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2552, 22:07:11 »

หมอยัน " น้ำผลไม้ให้โทษมากกว่าให้คุณ "

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา
 
ขอให้ช่วยกันรณรงค์ให้เลิกนำน้ำผลไม้กล่องถวายพระ  โดยเฉพาะหลวงปู่ และพระสูงอายุองค์อื่นๆ  เพราะเป็นการทำบาป ถวายยาพิษให้พระ โดยไม่รู้ตัว  ช่วยบอกต่อกันหน่อยนะ


  
แฟนของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐท่านหนึ่งใช้นามแฝงว่า นายเกษตร ระยอง เขียนจดหมายเข้ามาสอบถามข้อเท็จจริงของน้ำผลไม้ผ่านคอลัมน์สารพันปัญหา ของอ๊อด เทอร์โบ ฉบับวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 ... ข้อสงสัยหลักใหญ่ใจความก็คือ  น้ำผลไม้ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือไม่ ?


 
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรรณี นิธิยานันท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาต่อมไร้ท่อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์  ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า ในปัจจุบันสังคมไทยเน้นไปในเรื่องของอาหารเพื่อสุขภาพ  อะไรก็ตามที่มีนัยแสดงว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ  คนก็จะนิยมบริโภค  ทั้งๆ ที่บางครั้งสินค้าตัวนั้นก็แทบจะไม่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพเลย  คุณหมอวรรณีบอกว่าถ้านำน้ำหวานกับน้ำผลไม้มาเปรียบเทียบกัน น้ำผลไม้ก็ยังมีประโยชน์ มากกว่าน้ำหวาน  เพราะยังมีสารอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายอยู่บ้าง
 
" แต่น้ำผลไม้ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายนั้น จะต้องเป็นน้ำผลไม้คั้นสด ย้ำว่าคั้นสดๆ  และต้องไม่ผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหาร เพราะถ้าผ่านกระบวนการผลิตแล้ว สารอาหารทั้งหมดของน้ำผลไม้ก็จะหายไปทันที แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากนำน้ำผลไม้ทุกรูปแบบมาเปรียบเทียบกับผลไม้สดทั้งผลแล้ว  น้ำผลไม้ก็แทบจะไม่ให้ประโยชน์ อะไรต่อร่างกาย "

นี่คือความจริง ... ของน้ำผลไม้ที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้ว  คุณหมอวรรณีบอกว่า ตอนนี้เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพของคนไทยมาแรง  หันไปทางไหนมีแต่คนต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ  แต่มักจะขาดความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพอย่างถูกต้อง

ผู้บริโภคจำนวนมากต่างสนับสนุนให้คนที่ตนรักดื่มน้ำผลไม้  เพราะเชื่อว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย  แต่ในมุมกลับกันหากน้ำผลไม้ที่นำมาดื่ม  ไม่ได้เป็นน้ำผลไม้คั้นสดแล้ว  ร่างกายของคนที่คุณรักก็จะได้แค่น้ำตาล  บวกกับกลิ่นของผลไม้ และตัวน้ำเท่านั้น  ร่างกายไม่ได้ประโยชน์จากสารอาหารในน้ำผลไม้อย่างที่คาดหวังเลย  เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป  โรคอ้วนก็เข้ามาทำความรู้จัก  แล้วก็พาไปสู่โรคอื่นๆ อีกมากมาย  ยิ่งถ้าเป็นผู้ป่วยเบาหวานแล้ว  ก็จะทำให้น้ำตาลขึ้นมาก  ส่งผลร้ายแทรกซ้อนตามมา

คุณหมอวรรณีขอแนะนำว่า  ถ้าอยากจะดื่มน้ำผลไม้  ให้ดื่มน้ำเปล่า  แล้วทานผลไม้ทั้งลูก  เพราะร่างกายจะได้สารอาหารที่แท้จริง  รวมไปถึงกากใยอาหารเพื่อไปดูดซับไขมัน  และ ช่วยในระบบขับถ่าย
 


นายแพทย์ฆนัท ครุธกูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ และโภชนวิทยาคลินิก ศูนย์หัวใจหลอดเลือด และเมแทบอลิซึม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี  มหาวิทยาลัยมหิดล ขอตั้งคำถามว่าเราจะดื่มน้ำผลไม้ไปเพื่ออะไร ?  
 
ความเข้าใจแรกที่ว่า ดื่มน้ำผลไม้แล้ว ผิวพรรณจะสวย เรื่องนี้ก็ยังไม่มีงานวิจัย ทางการแพทย์ออกมายอมรับ   ส่วนความเข้าใจที่ว่า ดื่มน้ำผลไม้แล้วร่างกายจะได้ประโยชน์  งานวิจัยทางการแพทย์ก็ยืนยันว่า  ในภาวะของคนที่มีร่างกายปกติ  เน้นคำว่า ปกติ  ไม่มีข้อมูลยืนยันว่า การดื่มน้ำผลไม้  แล้วจะส่งผลดีต่อสุขภาพ  แต่งานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่าน้ำผลไม้จะส่งผลดี  เฉพาะคนป่วยที่ขาดวิตามินเท่านั้น  เช่น  คนป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด  เป็นต้น

คุณหมอฆนัทบอกว่า  นอกจากน้ำผลไม้จะให้ประโยชน์กับคนป่วยที่เป็นโรคขาดวิตามินแล้ว  คนสูงอายุที่ไม่มีฟันที่จะเคี้ยวอาหาร  ก็มีความจำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำผลไม้สด  แต่หมอขอแนะ ให้เป็นผลไม้สดปั่นจนเป็นน้ำจะดีกว่า เพราะร่างกายจะได้กากใยอาหารด้วย
 
ประการสำคัญ ต้องให้ผู้สูงอายุทานในระดับที่พอดี  ส่วนความเชื่อที่ว่าน้ำผลไม้  ยิ่งดื่มมากยิ่งได้ประโยชน์นั้น  คุณหมอฆนัทขอทำความเข้าใจอีกครั้งว่า ในชีวิตประจำวันหากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  กินอาหารครบ 5 หมู่  ดื่มน้ำสะอาด  ร่างกายก็ได้รับสารอาหาร ในจำนวนที่เพียงพอแล้ว  แทบไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำผลไม้เพิ่มเลย  หมอขอย้ำว่า ร่างกายต้องการสารอาหารในระดับพอดี อย่าไปเชื่อว่า ยิ่งได้รับมากยิ่งดี
 
มีคนไข้ของหมอรายหนึ่งป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง  จากประวัติของคนไข้มาพบหมออย่างสม่ำเสมอ  แต่วันร้ายคืนร้ายก็ถูกหามมาส่งที่โรงพยาบาล  แพทย์เวรก็รับเข้าห้องไอซียูทันที  สอบถามญาติก็รู้ว่าก่อนหน้าที่จะมาโรงพยาบาล  คนไข้ดื่มน้ำผลไม้ปั่นไป 2 แก้ว  จากการดื่มน้ำผลไม้ 2 แก้วนี้เอง  จึงส่งผลให้โปแตสเซียมในเลือดขึ้นสูง  หัวใจจึงเต้นผิดจังหวะ  แต่โชคดีที่คนไข้มาถึงโรงพยาบาลได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นโอกาสคงรอดน้อยเต็มที
 
กรณีตัวอย่างของคนไข้รายนี้  ชัดเจนว่าร่างกายต้องการสารอาหารในระดับที่พอดี  ถ้าได้รับมากเกินไป ก็จะเกิดปัญหา '" ในภาวะคนที่ไม่ปกติ  เช่น  ผู้ที่ ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง  การบริโภคน้ำผลไม้มากเกินไปก็อาจจะมีอันตรายถึงชีวิต "  นอกจากนี้ การบริโภคน้ำผลไม้มาก ก็อาจส่งผลให้คนปกติกลายเป็นโรคอ้วน  มีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด  เช่น  โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง

ส่วนความเข้าใจเรื่องสุดท้าย ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า น้ำผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระ  ต่อต้านเซลล์มะเร็งนั้น หมอขอบอกว่า " ยังไม่มีงานวิจัยมายืนยันว่า  สารต้านอนุมูลอิสระจากน้ำผลไม้จะต่อต้านมะเร็งในคนได้ " เพราะฉะนั้นหมออยากให้คนนิยมดื่มน้ำผลไม้นั้น  ลองตอบคำถามว่า  คุณจะดื่มไปเพื่ออะไร ?


 
งานวิจัยเรื่อง " การวิเคราะห์คุณสมบัติการต่อต้านอนุมูลอิสระและปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ของประเทศไทย " ปี พ.ศ.2549 ของปาจรีย์ อับดุลลากาซิม นักศึกษาปริญญาโท สาขาโภชนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี  ม.มหิดล กรุงเทพมหานคร พบว่า เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีคุณสมบัติของสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้น  ต้องเป็นเครื่องดื่มที่ยังไม่ผ่านกระบวนการในการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหารในทุกรูปแบบ  ไม่ว่าจะเป็นทั้งพาสเจอไรส์  และสเตอริไรส์
 
ปาจรีย์ นำเครื่องดื่มที่โฆษณาว่าเพื่อสุขภาพ 10 ชนิด มาเข้าห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์  พบว่าเครื่องดื่มที่ได้ผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหารมาแล้ว  จะทำให้สารต้านอนุมูลอิสระหายไปมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์  และมีเครื่องดื่มบางชนิดที่ไม่เหลือสารต้านอนุมูลอิสระให้เห็นเลย  สิ่งที่คงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงในเครื่องดื่มที่โฆษณาว่าเพื่อสุขภาพก็คือ 'น้ำตาล'  เพราะฉะนั้นการโฆษณาของน้ำผลไม้บางพวกที่บอกว่า ในน้ำผลไม้จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ  คงจะขัดแย้งกับงานวิจัยฉบับนี้

วันนี้ ปาจรีย์ เรียนจบปริญญาโทแล้ว เธอได้เข้ามาทำงานเป็นนักวิจัยทางโภชนาการให้กับเครือข่าย 'คนไทยไร้พุง' ของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย  ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส. )

ปาจรีย์บอกว่า น้ำผลไม้ที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาดนั้น  จะมี 3 แบบ
 
แบบที่ 1  เรียกว่า น้ำผลไม้คั้นสด
 
แบบที่ 2  เรียกว่า น้ำผลไม้เข้มข้น

แบบที่ 3  เรียกว่า น้ำผลไม้แบบผสม

วิธีการทำน้ำผลไม้ที่เธอเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ  น้ำผลไม้เข้มข้น  และน้ำผลไม้แบบผสม  ขั้นตอนการทำน้ำผลไม้ทั้ง 2 แบบนี้จะทำให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหายไป

สิ่งที่น่าเป็นห่วงต่อมา น้ำผลไม้บางยี่ห้อโฆษณาว่ามีเนื้อผลไม้อยู่ในกล่อง  แต่ข้อมูลที่ปาจรีย์ได้รับกลับตรงกันข้าม  เนื้อผลไม้ในกล่องของน้ำผลไม้ส่วนใหญ่  ไม่ได้เป็นเนื้อผลไม้ที่มาจากธรรมชาติที่แท้จริง  แต่มาจากการใส่สารเติมแต่ง เช่น แป้งแปลงรูป ( Modified starch )  ซึ่งจะทำให้เกิดเนื้อผลไม้เทียม ( Pulp ) ขึ้นมา

นอกจากนั้น ในกระบวนการผลิตน้ำผลไม้  ยังมีการใส่สารแขวนลอย ( Stabilizer ) สารเติมแต่ง ( Additives ) วัตถุเจือปนอาหาร ( Food Additives ) น้ำ, น้ำตาล, กรด  รวมไปถึงการปรุงแต่งกลิ่นรสให้ถูกปากของผู้บริโภค  ปาจรีย์บอกว่าข้อมูลการทำน้ำผลไม้แบบนี้  ไม่ใช่เธอคนเดียวที่รับรู้  นักศึกษาที่เรียนด้านโภชนศาสตร์ และด้านเทคโนโลยีอาหารในทุกระดับ ต่างรับรู้กันหมด

แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย  ที่ผู้นิยมดื่มน้ำผลไม้ส่วนใหญ่  ไม่ได้มีโอกาสที่จะรับรู้ข้อมูลเหล่านี้
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #68 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2552, 15:55:08 »

" อึ " กับ " ใบหน้า " ใกล้กันยิ่งกว่าที่คิด

สุชาดา - เศรษฐศาสตร์ 16 ... ส่งมา

   

       ใครเคยอึแล้วหันกลับไปมองมันอย่างพินิจพิจารณาบ้าง ?  ไม่มี !  ยิ่งทุกวันนี้เครื่องสุขภัณฑ์หรูหราทันสมัย  อึก็ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่ถูกทำให้ " ห่างเหิน " จากเจ้าของมันมากขึ้น  ทั้งๆ ที่อึนั่นแหละคือ " สัญญาณ " ที่ดีของระบบสุขภาพคนเรา  เพราะมันจะสะท้อนว่าเรากินอะไรเข้าไป  และร่างกายซึมซับได้มากน้อยแค่ไหน  ซึ่งสัญญาณเหล่านี้สุดท้ายก็ส่งผลต่อความอ่อนวัยของใบหน้าคนเราด้วย  " อึ " จึงสัมพันธ์กับ " ใบหน้า " อย่างใกล้ชิด !!

         เพื่อเป็นการเปลี่ยนทัศนคติใหม่เกี่ยวกับอึให้ทุกคน  เราจึงนำเรื่องราวดีๆ จากงานเสวนาหัวข้อ " อึ ดั๊นลอยฟ่อง เพราะกินของดี ดีท็อกซ์ เดลี หน้าใสนะคะ " ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1  โดยมีนักโภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งสาวๆ หน้าใสมาเป็นผู้ให้รายละเอียด

         เริ่มจาก อัจฉรา พรไพศาลสกุล นักโภชนาการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท อธิบายให้เห็นภาพการเดินทางของอาหาร หลังจากผ่านเข้าสู่ปาก แล้วถูกย่อยด้วยกระเพาะอาหาร  ก่อนจะส่งต่อไปยังลำไส้เล็กจนถึงลำไส้ใหญ่ " อาหารจะตกอยู่ในลำไส้ประมาณ 60-100 ชั่วโมง " แต่เนื่องจากว่าระบบการย่อยของคนเราถูกสร้างขึ้นมาสำหรับสัตว์กินพืช  ลำไส้จึงไม่เชี่ยวชาญในการย่อยเนื้อ  จึงทำให้เกิดคราบตกค้างตามซอกของลำไส้  ซึ่งนานวันมันก็จะเกิดการสะสมและเป็นสาเหตุของอาการท้องผูก

         ดังนั้น เราต้องกินผักซึ่งเป็นไม้กวาดลำไส้  ซึ่งจะอยู่ในลำไส้ไม่เกิน 1 วัน  จะช่วยชะล้างคราบเหล่านั้นออกไปพร้อมกันด้วย  ควรรับประทานผักอย่างน้อย 1 ถ้วยต่อวัน  เพื่อทำให้ขนาดของอึพอดีกับลำไส้  และขับเคลื่อนผ่านไปได้สะดวก

        อึ สามารถบอกได้ว่าใครสุขภาพดีทั้งร่ายกาย และใบหน้าอย่างไร   พ.ญ. เรขา กลลดาเรืองไกร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 ได้วิเคราะห์ลักษณะของอึในแต่ละรูปแบบว่า เจ้าของอึเลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้องหรือไม่  พร้อมอยากให้ทุกคนได้เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ โดยหันหลังกลับไปดูสิ่งที่ขับถ่ายออกไป ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อจะได้เข้าใจสุขภาพของตัวเองได้ถูกต้อง

       " อึ " ที่ลอยฟ่อง เป็นก้อนแตกกระจาย ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่เป็นก้อนยาวๆ ถ่ายได้ง่ายโดยไม่ต้องเบ่ง สีเขียวขี้ม้า หรือเหลืองทอง บ่งบอกว่าลำไส้ใหญ่สะอาด ไม่มีคราบตะกอนหมักหมม  ถือเป็นคนที่เลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้อง และมีสุขภาพดี

        ส่วนถ้าใคร " อึ " เป็นก้อน จมน้ำ แต่ไม่ถึงกับเหม็นมาก สีค่อนข้างคล้ำ แสดงว่า กินเนื้อสัตว์เยอะกว่าผัก ถือว่า เป็นคนสุขภาพปานกลาง ซึ่งควรจะต้องรับประทานผักให้มากกว่านี้

        แต่ถ้าสังเกตดูแล้วเห็นว่า " อึ " ติดชักโครกเป็นคราบเหนียวหนึบหนับ  จับเป็นก้อน  มีกลิ่นเหม็นตลบอบอวล สีออกน้ำตาลดำ เข้าขั้นน่าเป็นห่วง เพราะบ่งบอกว่า สุขภาพย่ำแย่  เนื่องจากกินแต่เนื้อสัตว์ ไขมัน แป้งขัดขาว หรือข้าวขาวที่ไม่มีเส้นใย และที่สำคัญไม่ได้มีผักในอาหารแต่ละมื้อเลย

        " อึ " ที่เข้าข่ายวิกฤติ และต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน  เพราะอาจก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ได้ คือ อึที่ เหนียวข้น สีดำเข้ม มีเลือดออกมากับอุจจาระ  มีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูกบ่อยๆ น้ำหนักตัวลดเร็ว และเบื่ออาหาร  ควรแก้ไขโดยการกิน ผักผลไม้เยอะๆ  รวมถึงธัญพืชที่มีไฟเบอร์สูง ซึ่งจะช่วยดูดซึมและขนถ่ายโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไปใช้ประโยชน์มากขึ้น  ช่วยเพิ่มเนื้ออุจจาระ ทำให้ขนาดพอเหมาะกับการบิดตัวของลำไส้ใหญ่  ลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็ง และท้องจะไม่ผูกอีกต่อไป

        การดื่มน้ำเยอะๆ วันละ 6-8 แก้ว กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกาย และขับถ่ายเป็นเวลา จะทำให้สุขภาพดีและมีใบหน้าที่สดใส อ่อนกว่าวัย  ... เชื่อ ไม่เชื่อ ก็ต้องลองนำไปใช้กันดู  พร้อมทั้งอย่าลืมพิสูจน์ " อึ " ของตัวเองหลังปล่อยออกมาทุกครั้ง เป็นวิถีทางที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบสุขภาพของตัวเอง


แถมอีกเรื่องละกันนะ

" ตะลึง "... คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่าเวลาผ่าศพ  จะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ  บางศพมีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 โล ... แล้วเป็นเพราะอะไร ? ? ?

เค้าว่า " อุจจาระตกค้าง " เนื่องมาจาก

1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
2. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า

หากถ่ายอุจจาระหลังเวลา 7 โมงเช้า  ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน  เวลาถ่ายจะถ่ายไม่หมด  แต่ไม่รู้ตัว  ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวมาจ่อปลายทวาร  ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึ  หลัง 7 โมงเช้าลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ  บีบอุจจาระให้ขาดช่วงเวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว  เราก็หยุด  แต่ความจริงอุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออกแต่มันถูกดันกลับขึ้นไป  ไม่มาจ่อปลายทวารทำให้เราไม่ปวดอึ  เราก็นึกว่าหมดแล้ว  อุจจาระที่ค้างไว้นี้ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้  พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่ามันก็แซงหน้าไปก่อน  แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้  พวกที่ค้างแข็งไว้ก็เกาะติดแน่น

ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย  มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลว  ส่วนที่เหลือก็เกาะไปเรื่อย ๆ  อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่างๆ ในกระเพาะ  และกดทับกระดูกหลัง  ทำให้เกิดอาการมากมายเช่นท้องอืด  ปวดหลังปวดขา  ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก  เวียนหัว  อ่อนเพลีย  นอนไม่หลับ  เป็นฝ้า ไมเกรน และอื่น ๆ

การนำอุจจาระตกค้างออก  จึงจำเป็นต้องหาว่าเป็นที่สาเหตุใดใน 5 สาเหตุข้างต้น  แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่มก็จะรู้ได้  สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาให้ตรวจ  ก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน  แล้วลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้

1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้30 นาที  ดื่มก่อนนอน  เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวันหรือ
3-4 วันต่อสัปดาห์  แล้วแต่จะชอบ

2. นมสด 2 กล่อง ( รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร )  และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก  ทานก่อน 6 โมงเช้า  ช่วงแรกควรทานติดกัน 3 วัน  หากถ่ายก่อน 7 โมงเช้าเป็นปกติได้แล้ว  ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ ตามที่เห็นสมควร

3. ทานผักบุ้ง 2 กำมือ  ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ  ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา


ด้วยความปรารถนาดี

กัญญนัท เวชศรีชนา

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #69 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2552, 07:36:04 »

19 ways to refresh your eyes

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา



1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลง อย่าให้ลมเย็นพ่นเข่าตาโดยตรง เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้

2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆ และหาซื้อได้ไม่ยากเลย  แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหารแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว

3. อย่ามองข้ามมันเทศ ของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย  วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด

4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วยป้องกันต้อหินให้คุณ

5. อย่าขี้เกียจเดิน  เพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้ง  จะช่วยลดความดันในกระบอกตา ทำให้สายตาเป็นปกติ

6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา

7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัด  อาหารพวกนี้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ  รวมทั้งสายตาของคุณด้วย

8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอ เพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา

9. ตรวจวัดความดันโลติตเป็นประจำทุกเดือน  ความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก  จึงไม่ควรมองข้ามการวัดความดัน  ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที

10. สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดดอย่างเดียว  อาจจะสู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว  หมวกปีกกว้างจึงเป็นอุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้  เพื่อป้องกันรังสียูวีที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด

11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างเครื่องสำอางค์ทุกคืน  เพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะเหลือตกค้างอยู่เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวงตาจนเกิดการติดเชื้อ

12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน  ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวมของสารลูเทอิน และซีอาแซนธินที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคต้อกระจกและยิ่งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย ( คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยนะ )

13. ผักบีตสดๆ เป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้  ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในกระบอกตา  ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์  ทำให้ตาคุณสวยและใส

14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัด  เพราะคนที่ติดรสเค็มจะมีโอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด

15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ  เพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณสะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร  เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่

16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลลา หรือเปปเปอร์มินต์ มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมอง ซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง  ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดีขึ้นได้แล้ว  ว้าว ! ! ง่ายจัง

17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป แม้การอ่านหนังสือก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆทุกๆ 30 นาที  เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลียหรือล้าถาวร

18.กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง  ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท

19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือน  ทุกครั้งที่มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ  จะต้องมีความสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ติดมาด้วย  เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป  มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคไปโดยปริยาย

 
 
 
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #70 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2552, 19:24:32 »

ลมชัก เรื่องใกล้ตัว

โดย : บุษกร ภู่แส น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ วันเสาร์ ที่ 26 ธันวาคม 2552

                      

         นพ.ช่อเพียว เตโชฬาร ผู้เชี่ยวชาญประสาทศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย

         คนทั่วไปมักคิดว่าอาการชักกระตุกเกร็งและหมดสติเท่านั้นถึงจะเป็นโรคลมชัก แต่แท้จริงแล้วการชักมีหลายรูปแบบ บางรูปแบบอาการคล้ายคนไข้จิตเวช 5-6 ปีก่อน ป้าใจ เจ้าของร้านของของชำถูกคนมองว่า เธอเป็นโรคจิต ขณะที่ลูกค้ากำลังซื้อของในร้าน ป้าใจหันหลังกลับเดินขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขื้น

         อาการเบลอ เหมือนลืมตัวใจลอยไปชั่วครู่ของป้าใจ ใครต่อใครต่างลงความเห็นว่า  เธอเข้าข่ายจิตเวช แต่หลังจากพบแพทย์ถึงรู้ว่าแท้จริงแล้วอาการดังกล่าวเป็นอาการของโรค

         "ลมชัก"

         ผศ.นพ.ช่อเพียว เตโชฬาร  ผู้เชี่ยวชาญประสาทศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ความกระจ่างว่า  คนทั่วไปมักคิดว่าอาการชักกระตุกเกร็งและหมดสติเท่านั้นถึงจะเป็นโรคลมชัก แต่แท้จริงแล้วการชักมีหลายรูปแบบ อาการชักบางรูปแบบอาการคล้ายคนไข้จิตเวช เช่น อยู่ๆ หัวเราะขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

         แพทย์ที่ศึกษาเรื่องลมชักสามารถบอกได้เลยว่า อาการหัวเราะแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเป็นลมชักแบบพิเศษชนิดที่เรียกว่า  " Gelastic epilepsy "  สามารถผ่าตัดรักษาได้  นอกจากนี้คนไข้บางคนยังมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น ขโมยของโดยไม่รู้สึกตัว  บางรายมีอาการงง  เบลอ  นิ่งเหม่อบ่อย ไม่ค่อยรู้ตัว

         คุณหมอเล่ากรณีตัวอย่างให้ฟังว่า มีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนหนังสือหน้าชั้นเรียนอยู่ดีๆ  แล้วเกิดอาการยื่นนิ่งไปเฉยๆ เหมือนเรากดปุ่ม pause ของเครื่องวีดิโอ  สักพักก็สอนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  หลังสังเกตดูอาการก็พบว่าเป็นอาการของโรคลมชัก

         การวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โรคลมชักทั้งหลายอาศัยการวินิจฉัยจากประวัติ และอาการที่ผู้ป่วยหรือญาติเล่าให้ฟัง เพราะขณะมาพบแพทย์ผู้ป่วยส่วนใหญ่หยุดชักแล้ว  ผู้ป่วยลมชักอาจมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง  ต้องแยกให้ได้ว่านี่เป็นอาการทางจิตเวช หรือมีโรคของสมองกันแน่

         " ผมเคยพบคนไข้ที่รักษาอาการทางจิตเวช  จนกระทั่งวันหนึ่งปวดหัวอาเจียนหมดสติ  พอตรวจอย่างละเอียดแล้วพบว่ามีเนื้องอกขนาดใหญ่ในสมอง " อาจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

         ผศ.นพ.ช่อเพียว เสริมว่า อาการชักอาจเป็นเพียงอาการอย่างหนึ่งของโรคบางอย่าง ( Epileptic seizure ) หรืออาจจะเป็นโรคลมชักที่มีการชักเป็นอาการหลัก ( Epilepsy )  สามารถแบ่งอาการชักดังนี้

         ชักแบบมี "จุดกำเนิด " ที่บอกได้ชัดเจนว่าเริ่มที่จุดใดจุดหนึ่งในสมองจะมีอาการชักกระตุกหรือเกร็งเฉพาะที่  ผู้ป่วยลักษณะนี้จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุอย่างจริงจัง  เมื่อตรวจภาพของสมองด้วยคอมพิวเตอร์แล้ว  มีโอกาสสูงที่จะพบเนื้องอกในสมอง  กลุ่มหลอดเลือดผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดในสมอง  หรือตัวอ่อนพยาธิขึ้นสมองและอื่นๆ  หากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคที่เป็นเหตุให้ชัก  อาจรุกลามทำให้สมองเสียหาย

         ต่อมาชักแบบ " ไม่มี " ความชัดเจนว่าจุดที่ปล่อยไฟฟ้าออกมารบกวนนั้นเริ่มที่จุดใด  อาจมีหลายจุดเกิดขึ้นพร้อมกันทำให้รบกวนสมองทั่วไปในวงกว้าง  หรือมักมีต้นกำเนิดอยู่ลึกบริเวณแกนกลางสมอง  จึงมักเป็นอาการหมดสติ เกร็งแล้วจึงแขนขาและหน้ากระตุกที่บางคนเรียกว่า " ลมบ้าหมู "   การรักษาก็มักเป็นการใช้ยากิน หรือฉีดเพื่อควบคุม และป้องกันตลอดชีวิต

         และสุดท้ายการชักแบบที่มีอาการหลายๆ อย่าง ( complex partial seizure )  อาจจะออกมาในรูปของการกระทำเป็นการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างซับซ้อน  เหมือนคนกำลังทำกิจกรรมหรือแสดงพฤติกรรมบางอย่าง  ไม่ใช่เป็นการกระตุกของกล้ามเนื้อ

         " ความจริงการชักพวกนี้เป็นการชักที่เจอบ่อย  แต่คนมักไม่คิดว่าเป็นอาการชัก  ทำให้คนไข้ไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง  และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง  ทั้งที่ความจริงการชักมียารักษาควบคุม  ยกเว้นถ้ายาช่วยไม่ได้ สามารถรักษาด้วยการผ่าตัด "

        ผู้เชี่ยวชาญประสาทศัลยแพทย์บอกว่า  อันตรายจากอาการชัก ก็คือผู้ป่วยจะควบคุมตนเองไม่ได้  นอกจากการชักเกร็งหมดสติแล้ว ยังอันตรายหากอยู่ในระหว่างการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ ขับรถ ว่ายน้ำ อยู่หน้ากองไฟ  ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคลมชัก มีโอกาสทำให้เสียชีวิตได้

        ขณะเดียวกัน หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสมองโดยรวม หรือเฉพาะจุดมากขึ้นเรื่อยๆ  เริ่มจากเสียหน้าที่ชั่วคราวแต่ระยะยาวจะเสียหายอย่างถาวร  ทำให้สมองเสื่อม  ความสามารถในการทำงานลดลงในอัตราที่เร็วกว่าคนทั่วไป  จนบางครั้งถึงกับช่วยตัวเองไม่ได้

        สำหรับวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยลมชัก  ปกติผู้ป่วยที่ชักมักจะหยุดชักได้เองในที่สุด  แต่หากระหว่างการชักได้รับการดูแลไม่ถูกต้อง  อาจมีผลให้สมองขาดออกซิเจน  สำลัก กระดูกหักได้  อย่าเอาสิ่งของใดๆ ไปงัดปากหรือใส่ปาก  ให้จับผู้ป่วยนอนตะแคงหน้าข้างให้น้ำลายไหลออก  ให้อยู่ในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเท

        หากผู้ป่วยชักเกิน 2 ครั้งใน 5 นาที  หรือ ชักนานเกิน 15นาที  ให้รีบพาผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลใกล้เคียง  เพื่อฉีดยาให้หยุดชักโดยทันที และดูแลในระยะแรกจนพ้นอันตรายแล้ว  จึงส่งมาตรวจหาสาเหตุเบื้องลึกต่อไป

        “ จริงๆ แล้ว การรักษาโรคลมชัก สำคัญที่สุดอยู่ที่ต้องวินิจฉัยให้ได้ก่อน  หากแพทย์ที่รักษาคนไข้สามารถวินิจฉัย และส่งต่อได้เร็ว  นั่นหมายถึงโอกาสการรักษาให้หายขาดก็มีมากขึ้น  ส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น  คนใกล้ชิดผู้ป่วยเองก็ต้องช่วยสังเกตอาการเพื่อนำส่งแพทย์เพื่อรักษาตรงกับสาเหตุ  การให้ความรู้ในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่อยากรณรงค์ให้คนทั่วไปได้ทราบ  เพื่อการสังเกต และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับคนใกล้ชิด ”

นำมาเพื่อให้พวกเราได้ทราบ จาก

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20091226/92708/%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7.html

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #71 เมื่อ: 27 ธันวาคม 2552, 12:57:17 »

โรคพิษสุนัขบ้า

ข่าวด่วน เนชั่นทันข่าว วันอาทิตย์ ที่ 27 ธ.ค. 2552  เวลา 11:18 น.

                            

         นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยเกี่ยวกับสถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้า ว่า
        
         จากการประเมินในปี 2552 พบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 ถึงขณะนี้ทั่วประเทศพบผู้ป่วย 24 รายใน 10 จังหวัด ได้แก่

         กาญจนบุรี 4 ราย ราชบุรี 2 ราย สุพรรณบุรี 2 ราย ระยอง 2 ราย นนทบุรี ปราจีนบุรี สมุทรสาคร ตาก จังหวัดละ 1 ราย กรุงเทพมหานคร 7 ราย สงขลา 3 ราย เนื่องจากไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันหลังถูกกัด

         ขณะที่ปี 2551 มีผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้า 9 ราย ทั้งนี้ประชาชนบางส่วนเข้าใจผิดว่าโรคพิษสุนัขบ้าเกิดในฤดูร้อนเท่านั้น แท้จริงแล้วพบได้ทุกฤดูกาล โดยเฉพาะฤดูหนาวที่เป็นฤดูผสมพันธุ์ของสุนัข โดยสุนัขตัวผู้จะได้รับเชื้อจากการต่อสู้แย่งชิงตัวเมีย คนติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าจะแสดงอาการป่วยประมาณ 4 วัน จนถึง 3-4 ปีก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1 ปี และ เสียชีวิตทุกราย เพราะไม่มียารักษา

        ได้สั่งการให้ สสจ.ทั่วประเทศเผยแพร่ความรู้โรคพิษสุนัขบ้าให้ประชาชนทราบ เพื่อป้องกันการเสียชีวิต ด้าน นายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า

        โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดต่อจากสัตว์มาสู่คนที่มีความรุนแรงมาก อาการคือมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว คันบริเวณรอยแผลที่ถูกสัตว์กัด อาการคันลามไปที่อื่น ต่อมาจะหงุดหงิด น้ำลายไหลมาก กล้ามเนื้อคอกระตุกเกร็ง บางรายอาจมีอาการแขนขาอ่อนแรง มักป่วยประมาณ 2-6 วัน และเสียชีวิตทุกราย

            ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

        การป้องกันที่ได้ผลที่สุด คือ

1.เลี้ยงสุนัขอย่างรับผิดชอบ นำไปรับการฉีดวัคซีน

2.ลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการถูกสุนัขกัด

3.หากถูกกัดให้กักสุนัขไว้เพื่อสังเกตอาการ รีบล้างแผลใส่ยา และ

4.พบแพทย์ทันที เพื่อฉีดวัคซีนจนครบ การรักษาเมื่อเกิดอาการโรคแล้วไม่มี มีแต่

การฉีดวัคซีนป้องกันไม่ให้เป็นเท่านั้น ที่จะช่วยชีวิตผู้ถูกสุนัขบ้ากัดได้

         โดยมีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเฉลี่ยปีละกว่า 400,000 ราย

         ทั้งนี้สุนัขทุกวัยมีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ในลูกสุนัขจะได้รับเชื้อมาจากแม่ขณะเลียปากลูก สุนัขที่เป็นโรคนี้จะมีอาการทั้งชนิดซึมและชนิดดุร้าย ชนิดซึมสุนัขมักซุกตัวในมุมมืด ถ้าถูกรบกวนอาจจะกัด บางตัวอาจมีอาการคล้ายมีกระดูกติดคอ เจ้าของจึงเข้าใจผิดพยายามใช้มือล้วงปากสุนัขเพื่อหาเศษกระดูก ทำให้ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าได้ ส่วนชนิดดุร้าย สุนัขจะมีอาการทางประสาท กระวนกระวาย หงุดหงิด ดุร้าย กัดทุกสิ่งที่ขวางหน้า ในระยะสุดท้ายสุนัขจะมีขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อย น้ำลายไหล วิ่งไม่มีจุดหมาย เป็นอัมพาต และตายในที่สุด

นำมาจาก

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=423815&lang=&cat=

            ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #72 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552, 07:44:02 »


                

         อาจารย์ทองใบ ทองเปาด์

เรื่อง

สิทธิของคนไข้

ตามข้างล่างนี้

          

       เมื่อผู้ป่วยมีสิทธิดังกล่าว ก็ต้องมีหน้าที่ดุแลสุขภาพให้แข็งแรง

ถ้าไม่ทำหน้าที่ ควรร่วมจ่ายบ้างบางส่วน เพื่อกระตุ้นให้ดูแลสุขภาพ

จะได้สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย ทำให้ค่ารักษาพยาบาลลดลง และ
เป็นการกระตุ้นให้ ร่วม  รักนะ สร้างสุขภาพ แทน ซ่อมสุขภาพ

เพราะไม่อยากเสียเงิน ดีไหมพวกเรา ดูกระทู้ไม่ดูแลสุขภาพควรให้

ร่วมจ่ายบ้าง เป็นด้านที่ 3 ของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ด้วย

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3947.0.html


          ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #73 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2552, 10:08:05 »

น้องหมอ สำเริงคะ

โอโฮ หมอช่อเพียว ดูต่างกับตอน 30ปีที่แล้วชนิดที่จำไม่ได้เลยค่ะ คุณหมอเป็นน้องที่พี่หาญรักมาก

พี่แอ๊ะ ก็เป็นโรคลมชักในสมองค่ะ

มีอาการวูบ แบบฝันไป ชั่วขณะ ในเวลาไม่หลับนะคะ แต่พอรู้สึกตัว ก็ไม่ทราบว่า ฝันเรื่องอะไร

พี่แอ๊ะรีบไปทำ ecg  เข้าเครื่อง ดู สมองตลอด24 ชั่วโมง

ตอนเเรกเข้าเครื่อง ชั่วโมงเดียว หาไม่เจอค่ะ

เลย admit เข้าเครื่อง 24 ชั่วโมง จึงพบลมชักในสมอง

และทำ mri ต่อ

ตอนนี้ต้องทานยา 3-5 ปี ค่ะ อยู่ในความดูแลของคุณหมอ ......โรคลมชัก ร.พ กรุงเทพ ค่ะ จำชื่อไม่ได้แล้วค่ะ สงสัยเป็นอัลไซเมอร์แล้วเราอิๆๆๆๆ


น้องติ๊บเรียนจบรับปริญญาแล้วค่ะ

ขอบคุณน้องสำเริงมากที่ช่วยดูแล ตอนไปฝึกงานที่ พนมสารคาม นะคะ


ส่งรูปมาให้ดูผลิตผลของร.พ พนมสารคามนะคะ ขอบคุณ ขอบคุณ





      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #74 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2552, 12:20:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 29 ธันวาคม 2552, 10:08:05
น้องหมอ สำเริงคะ

โอโฮ หมอช่อเพียว ดูต่างกับตอน 30ปีที่แล้วชนิดที่จำไม่ได้เลยค่ะ คุณหมอเป็นน้องที่พี่หาญรักมาก

พี่แอ๊ะ ก็เป็นโรคลมชักในสมองค่ะ

มีอาการวูบ แบบฝันไป ชั่วขณะ ในเวลาไม่หลับนะคะ แต่พอรู้สึกตัว ก็ไม่ทราบว่า ฝันเรื่องอะไร

พี่แอ๊ะรีบไปทำ ecg  เข้าเครื่อง ดู สมองตลอด24 ชั่วโมง

ตอนเเรกเข้าเครื่อง ชั่วโมงเดียว หาไม่เจอค่ะ

เลย admit เข้าเครื่อง 24 ชั่วโมง จึงพบลมชักในสมอง

และทำ mri ต่อ

ตอนนี้ต้องทานยา 3-5 ปี ค่ะ อยู่ในความดูแลของคุณหมอ ......โรคลมชัก ร.พ กรุงเทพ ค่ะ จำชื่อไม่ได้แล้วค่ะ สงสัยเป็นอัลไซเมอร์แล้วเราอิๆๆๆๆ


น้องติ๊บเรียนจบรับปริญญาแล้วค่ะ

ขอบคุณน้องสำเริงมากที่ช่วยดูแล ตอนไปฝึกงานที่ พนมสารคาม นะคะ


ส่งรูปมาให้ดูผลิตผลของร.พ พนมสารคามนะคะ ขอบคุณ ขอบคุณ

สวัสดีครับพี่แอ๊ะ

         ขอร่วมแสดงความยินดี กับ หมอกระติ๊บด้วย และ ได้นำไปโพสต์บอกชาวร.พ.พนมฯ

ทางเวบบอร์ด ร.พ.แล้วที่

http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=thecrow&id=1741

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #75 เมื่อ: 31 มกราคม 2553, 11:37:54 »

พี่แอ๊ะ ขา ... เจี๊ยบปลื้มอกปลื้มใจกับพี่แอ๊ะด้วยนะคะ  ที่น้องหมอติ๊บ คนสวย เรียนจบแล้ว  คุณหมอคนสวยยิ้ม ม ม ม ทีเดียว  คนไข้หายป่วย โดยไม่ต้องรักษาเลยค่ะ

ขอเล่าเรื่อสุขภาพต่อนะคะ

วิธีป้องกันโรคสมอง / ความจำเสื่อม

สุชาดา - เศรษฐศาสตร์ 16 ... ส่งมา

DEMENTIA - HOW TO AVOID IT

To help ward off dementia, train your brain : The minute you said you are retired, Dementia starts ! !

Timing is everything, comedians say. It's also important when it comes to taking care of your brain. Yet most of us start worrying about dementia after retirement - and that may be too little, too late. Experts say that if you really want to ward off dementia, you need to start taking care of your brain in your 30s and or even earlier.

" More and more research is suggesting that lifestyle is very important to your brain's health, " says Dr. Paul Nussbaum,  a neuropsychologist and an adjunct associate professor at the University of Pittsburgh School of Medicine  " If you want to live a long, healthy life, then many of us need to start as early as we can. "
 
" So what can you do to beef up your brain and  possibly ward off dementia ?

Dr Nussbaum, who recently gave a speech on the topic for the Winter Park ( Fla. ) Health Foundation, offers 20 tips that may help.

1. * Join clubs or organizations that need volunteers *.
 
       If you start volunteering now, you won't feel lost and unneeded after you retire.

2. * Develop a hobby or two *.
 
       Hobbies help you develop a robust brain because you're trying something new and complex.

3.* Practice writing with your non-dominant hand several minutes every day *.
 
      This will exercise the opposite side of your brain and fire up those neurons.

4.* Take dance lessons *.
 
      In a study of nearly 500 people, dancing was the only regular physical activity associated with a significant decrease in the incidence of dementia, including Alzheimer's disease. The people who danced three or four times a week showed 76% less incidence of dementia than those who danced only once a week or not at all.

5. Need a hobby ?  * Start gardening *.
 
    Researchers in New Zealand found that, of 1,000 people, those who gardened regularly were less likely to suffer from dementia. Not only does gardening reduce stress, but gardeners use their brains to plan garden they use visual and spatial reasoning to lay out a garden.

6. * Buy a pedometer and walk 10,000 steps a day *.
  
       Walking daily can reduce the risk of dementia because cardio vascular health is important to maintain blood flow to the brain.

7. * Read and write daily *.
 
       Reading stimulates a wide variety of brain areas that process and store information. Likewise, writing ( not copying ) stimulates many areas of the brain as well.

8. * Start knitting *.
       Using both hands works both sides of your brain. And it's a stress reducer...

9. * Learn a new language *.
 
       Whether it's a foreign language or sign language, you are working your brain by making it go back and forth between one language and the other. A researcher  in England found that being bilingual seemed to delay symptoms of Alzheimer's disease for four years. ( And some research suggests that the earlier a child learns sign language, the higher his IQ - and people with high IQs are less likely to have dementia. So start them early. )

10. * Play board games such as Scrabble and Monopoly *.  
 
         Not only are you taxing your brain, you're socializing too. ( Playing solo games, such as solitaire or online computer brain games can be helpful, but Dr Nussbaum prefers games that encourage you to socialize too. ) *  MAHJONG IS GOOD ! * besides which there is the incentive of $$$.

11. * Take classes throughout your lifetime *.
 
         Learning produces structural and chemical changes in the brain, and education appears to help people live longer. Brain researchers have found that people with advanced degrees live longer - and if they do have Alzheimer's, it often becomes apparent only in the very later stages of the disease.

12. * Listen to classical music *.
 
        A growing volume of research suggests that music may hardwire the brain, building links between the two hemispheres.  Any kind of music may work, but there's some research that shows positive effects for classical music, though researchers don't understand why.

13. * Learn a musical instrument *.
 
         It may be harder than it was when you were a kid, but you'll be developing a dormant part of your brain.

14. * Travel. *
  
         When you travel ( whether it's to a distant vacation spot or on a different route across town ), you're forcing your brain to navigate a new and complex environment. A study of London taxi drivers found experienced drivers had larger brains because they have to store lots of  information about locations and how to navigate there.

15. * Pray *.
 
        Daily prayer appears to help your immune system. And people who attend a formal worship service regularly live longer and report happier, healthier lives.

16. * Learn to meditate *.
 
         It's important for your brain that you learn to shut out the stresses of everyday life.

17. * Get enough sleep *.
 
         Studies have shown a link between interrupted sleep and dementia.

18. * Eat more foods containing omega-3 fatty acids *
 
         Salmon, sardines, tuna, ocean trout, mackerel or herring, plus walnuts ( which are higher in omega 3s than salmon ) and flaxseed. Flaxseed oil, cod liver oil and walnut oil are good sources too.

19. * Eat more fruits and vegetables *.
 
         Antioxidants in fruits and vegetables mop up some of the damage caused by free radicals, one of the leading killers of brain cells.

20. * Eat at least one meal a day with family and friends *.
 
        You'll slow down, socialize, and research shows you'll eat healthier food than if you ate alone or on the go
.
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #76 เมื่อ: 31 มกราคม 2553, 15:21:59 »

ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน

โดย : นพ.กฤษดา ศิรามพุช

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ16 ... ส่งมา

 
          หากคุณมั่นใจว่าผู้ป่วยเลือดจาง  ต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มาก  " คุณคิดผิด " หมอกฤษดาแจกแจงคู่ยา " มิตร-ศัตรู " ให้เข้าใจกันชัด ๆ

         " Good things come in pair " ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ  อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้  ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า  กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา  และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้  มีสุขแล้วก็มีทุกข์  มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา  มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น

         ดังนั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน  ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้าย  คล้ายเทวากับซาตาน  ซึ่งเคยมีกรณีที่ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว  ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก " ความไม่รู้ " ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่  โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝดครับ

แฝดที่ดี

         เสมือนคู่บุญ  ยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพ  หรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น  และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วย  เพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำงานร่วมกัน  โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้ครับ

         1) วิตามินซีกับคอลลาเจน   จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊ง ไม่เหี่ยวหย่อนย้อย

         2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี  กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้  ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น  ต้องกินคู่กัน  อย่างเช่น  ถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มีวิตามินซีสูง เช่น ใบตำลึง  ก็จะดีไม่น้อยครับ

         3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม   แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ ตัวช่วย ” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วย  ซึ่งอยู่ในแสงแดด และผักเขียวจัดตามลำดับ

         4) วิตามินเอ, ซี และอี  พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี  หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียว  ส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้า และถั่วลิสง  สักวันละกำมือ

         5) น้ำมันปลา ( ไม่ใช่น้ำมันตับปลา )  ขอให้เลือกชนิดที่มีดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ  ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า  ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน  โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมอง  ต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น  แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก  เช่น  ข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงด้วยครับ
 
แฝดที่ร้าย

         แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ “ ตัวแม่ ” ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ  เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาต  หรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้  จึงอยากชวนให้ท่านที่รัก  มาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้ครับ

         1) น้ำมันปลากับแอสไพริน  คู่ร้ายอันดับแรก  โดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว  ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือ  ช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน  เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด  แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้  ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ

         2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส  มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่า  มีคนแนะให้กินวิตามินอี  แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี  จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอ  เพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น  ซึ่งถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน

         3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด  ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ  หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีด  ก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว  ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก  จะทำให้แคลเซียมเกิน และไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็งได้

         4) กาแฟกับแคลเซียม  ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟ  เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม  นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย

         5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย  เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว  ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก  ไม่เสมอไปครับ  หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมีย  แล้วไปกินธาตุเหล็กเสริม  จะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจ และตับตัวเองครับ
 
         ทั้งแฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมาก  ซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้ว  และก็ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อย ๆ เป็นตอนต่อไปในคอลัมน์นี้  แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยครับ  และท่านจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที

         เมื่อถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบยาออกมาสังคายนา  แยกวางเป็นชนิดไปบนโต๊ะ  แล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหน  แล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียวว่า  กินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด  แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันให้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก

         ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มาก  เมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย  เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี  แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไว  ถ้ารู้สึกว่า " ไม่ใช่ " แล้วก็ให้รีบเร่งบอก  อย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลยครับ


จาก นสพ. กรุงเทพธุรกิจ
 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #77 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2553, 11:23:24 »

คุณประโยชน์ต่างๆ ของผัก

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา



1. สะเดา ( Neem tree ) มีเบต้าแคโรทีนสูง  บำรุงสายตา  เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้นอนหลับ
 
2. ผักกาดขาว ( Chinese white cabbage ) ช่วยระบบย่อยอาหาร  ขับปัสสาวะ  แก้ไอ  มีโฟเลทสูง บำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์
 
3. ต้นหอม ( Shallot ) มีน้ำมันหอมระเหย  บรรเทาอาการหวัด  มีสารฟลาโวนอยด์ต้านมะเร็ง
 
4. แครอท ( Carrot ) เบต้าแคโรทีนป้องกันโรคมะเร็ง  มีแคลเซียม  แพคเตท  ลดระดับ คลอเลสเตอรอลได้
 
5. หอมหัวใหญ่ ( Onion ) มีสารฟลาโวนอยด์  ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ  ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
 
6. คะน้า ( Chinese kale ) มีแคลเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระสูง  ป้องกันโรคกระดูกพรุน และมะเร็ง
 
7. พริก ( Chilli ) มีแคปไซซินกระตุ้นการขยายตัวของหลอดเลือด  ช่วยให้เจริญอาหาร  ขับเหงื่อ
 
8. กระเจี๊ยบเขียว ( Okra ) ลดความดันโลหิต  บำรุงสมอง  ลดอาการกระเพาะ หรือลำไส้อักเสบ
 
9. ผักกระเฉด ( Water mimosa ) ดับพิษไข้  กากใยช่วยระบบขับของเสีย  เพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร
 
10. ตำลึง ( Ivy gourd ) มีวิตามินเอสูง  ดีต่อดวงตา  เส้นใยจับไนเตรต  ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร
 
11. มะระ ( Chinese bitter cucumber ) มีแคลเซียม  ฟอสฟอรัส  เป็นยาระบายอ่อน ๆ  น้ำคั้นลดระดับน้ำตาลในเลือด
 
12. ผักบุ้ง ( Water spinach ) บรรเทาอาการร้อนใน  มีวิตามินเอบำรุงสายตา  ธาตุเหล็กบำรุงเลือด
 
13. ขึ้นฉ่าย ( Celery ) กลิ่นหอม  ช่วยเจริญอาหาร  มีวิตามินเอ  บี  และซี  บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด
 
14. เห็ด ( Mushroom ) แคลอรีน้อย  ไขมันต่ำ  มีวิตามินดีสูง  ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม  เสริมกระดูก และฟัน
 
15. บัวบก ( Indian pennywort ) มีวิตามินบีสูง  ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย  บำรุงสมอง และความจำ  บำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ
 
16. สะระแหน่ ( Kitchen mint ) กลิ่นหอมเย็นของใบให้ความสดชื่น  ทำให้ความคิดแจ่มใส  แก้ปวดหัว
 
17. ชะพลู ( Cha-plu ) รสชาติเผ็ดเล็กน้อย  แก้จุกเสียด  ขับเสมหะ  มีแคลเซียมสูง
 
18. ชะอม ( Cha-om ) ช่วยลดความร้อนในร่างกาย  ขับลมในลำไส้  มีเส้นใยคอยจับอนุมูลอิสระ
 
19. หัวปลี ( Banana flower ) รสฝาด  แก้ร้อนใน  กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนม  มีกากใย  โปรตีน และวิตามินซีสูง
 
20. กระเทียม ( Garlic ) ลดไขมันในเลือด  ป้องกันหัวใจขาดเลือด ใบกระเทียมมีโฟเลท เหล็ก วิตามินซีสูง
 
21. โหระพา ( Sweet basil ) น้ำมันหอมระเหยทำให้โล่งจมูก  ช่วยระบายลม  มีเบต้าแคโรทีน  แคลเซียม
 
22. ขิง ( Ginger ) บรรเทาอาการหวัดเย็น  ลดอาการคัดจมูก  รสเผ็ดร้อน  แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ
 
23. ข่า ( Galangal ) น้ำมันหอมระเหย  ช่วยระบบย่อยอาหารขับลม  มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา
 
24. กระชาย ( Wild ginger ) บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ  บำรุงธาตุ  มีวิตามินเอ และแคลเซียม
 
25. ถั่วพู ( Winged bean ) ให้คุณค่าทางอาหารสูง  มีโปรตีน  แคลเซียม  ฟอสฟอรัส  และสารช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว
 
26. ดอกขจร ( Cowslip creeper ) กระตุ้นให้รู้รสอาหาร  ให้พลังงานสูง  ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต  โปรตีน  ไขมัน
 
27. ถั่วฝักยาว ( Long bean ) มีเส้นใย  ช่วยลดคอเลสเตอรอล  มีวิตามินซี  ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก  บำรุงเลือด
 
28. มะเขือเทศ ( Tomato ) มีวิตามินเอสูง  วิตามินซี  รสเปรี้ยว  ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย  และแก้อาการคอแห้ง
 
29. กะหล่ำปลี ( White cabbage ) มีกลูโคซิโนเลท  เมื่อแตกตัวจะเป็นสารต้านมะเร็ง และมีวิตามินซีสูง
 
30. มะเขือพวง ( Plate brush eggplant ) ช่วยให้เจริญอาหาร และช่วยลดความดันเลือด  มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส
 
31. ผักชี ( Chinese paraley ) ขับลม  บำรุงธาตุ  ช่วยย่อยอาหาร  มีน้ำมันหอมระเหย  แก้หวัด  มีวิตามินเอ และซีสูง
 
32. กุยช่าย ( Flowering chives ) มีกากใยช่วยระบายของเสีย  มีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
 
33. ผักกาดหัว ( Chinese radish ) แก้ไอ  ขับเสมหะ  เพิ่มภูมิต้านทางโรค  มีสารช่วยให้กระเพาะอาหาร และลำไส้บีบตัวได้ดี
 
34. กะเพรา ( Holy basil ) แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง  มีเบต้าแคโรทีนสูง  ป้องกันโรคมะเร็ง  และโรคหัวใจขาดเลือดได้
 
35. แมงลัก ( Hairy basil ) ช่วยย่อยอาหาร  ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน  ขับลม  ขับเหงื่อ
 
36. ดอกแค ( Sesbania ) กินแก้ไขช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง  เป็นยาระบายอ่อน ๆ  มีวิตามินเอสูง  บำรุงสายตา
  
37. หญ้าอ่อน ( Young grass ) กินเพื่อเพิ่มความคึกคักให้ Old oxes  ทำให้กระชุ่มกระช่วย  หัวใจสูบฉีดเลือดดี ... ha  ha  ha !
 
 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #78 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553, 20:34:12 »

อาหารสมอง ... สำหรับผู้ที่ขี้หลงขี้ลืม

สุชาดา - เศรษฐศาสตร์ 16 ... ส่งมา

คุณมีอาการเช่นนี้บ่อยแค่ไหน  จำไม่ได้ว่าวันนี้จอดรถชั้นไหนนะ  เอ..ผู้ชายที่ส่งยิ้มให้เมื่อกี๊หน้าตาคุ้นๆ ชื่ออะไรนะ  ว่าแต่ว่าเมื่อเช้ากินยาก่อนอาหารแล้วหรือยัง  จำได้ว่าจดไว้ในสมุดโน้ตกันลืมทั้งชั้นจอดรถ และเวลากินยา  แต่เอาสมุดเล่มที่ว่าไปวางไว้ที่ไหนล่ะเนี่ย

ความจำหายไปไหน ?

อาจารย์ศัลยา คงสมบูรณ์เวช Nutrition Consultant จาก Vital Life ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบายว่า  โดยธรรมชาติแล้วเซลล์สมองเฉพาะส่วนจะตายไปตามวัย  ทำให้คนเรามีปัญหาในเรื่องของความจำ  หรือความสามารถในการจำลดลง และหลงลืมบ่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น

' โดยปกติแล้วความจำช่วงที่ดีที่สุด  จะอยู่ในตอนที่คนเราอายุ 20 ปี  หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลงทีละน้อยๆ  จนเห็นชัดเจนตอนอายุ 50 ปี '

คนทำงานในวัยสามสิบขึ้นไป  แม้วัยยังห่างไกลห้าสิบ  อาจสงสัยว่าทำมั้ยตนจึงมีอาการความจำตกๆ หล่นๆ  สมาธิน้อยลง  หลงลืมเป็นประจำ  แถมบางครั้งยังรู้สึกเครียด  หดหู่อยู่บ่อยๆ  สาเหตุอาจไม่ใช่เพราะ ' ความแก่ ' มาเยือน  อาจารย์ศัลยาวิเคราะห์ว่าเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม  และการใช้ชีวิตของแต่ละคน  รวมไปถึงระดับ ' น้ำตาล ' ในเลือดด้วย  เนื่องจากน้ำตาลเป็นหนึ่งในสารจำเป็นซึ่งส่งผลต่อการทำหน้าที่ของเซลล์สมอง  ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป  การทำหน้าที่ของเซลล์สมองก็จะผิดปกติได้  ดังนั้นการมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สม่ำเสมอ  จึงมีผลดีต่อสมอง

อาหารเรียกความจำ

คุณกินอะไร  ก็จะเป็นอย่างนั้น  ประโยคสั้นๆ ที่เป็นความจริงแท้แน่นอน  นักวิจัยอธิบายต่อว่าอาหารที่เรารับประทานในแต่ละคำ  ยังส่งผลถึงสมาธิ ความจำ  รวมไปถึงความเฉลียวฉลาดด้วย  สิ่งที่เราไม่รู้ และควรรู้ก็คือ  เซลล์สมองของคนเรามีจำนวนมากถึงร้อยพันล้านเซลล์  แต่ละเซลล์ก็มีความต้องการอาหารที่มีสารอาหารในการเสริมสร้างการทำงานของเซลล์ประสาท  การขาดสารอาหารเพียงบางชนิดแม้ในจำนวนเล็กๆ น้อยๆ  ก็ทำให้ความจำลดลงได้ก่อนที่ร่างกายจะแสดงอาการออกมา

ในการทำงานของเซลล์สมองทุกๆ ตัว  จะมีสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อสมอง ซึ่งช่วยสื่อสารจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งต่อๆ กันไป  ระบบการไหลเวียนของเลือดจะนำเอาออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง  ซึ่งการทำงานจะเป็นไปได้ด้วยดีหรือไม่นั้น  ขึ้นอยู่กับว่ามีสารอาหารไปเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอสม่ำเสมอ  พอที่จะทำให้สมองทำงานได้ดีตลอดชีวิตหรือไม่

อาหารดีมีประโยชน์สำหรับสมอง  ช่วยให้เราคิดดี ทำดี  มีความจำดี มีอะไรบ้าง แล้วเราต้องปฏิบัติตนอย่างไร

สารบำรุงสมอง

สมองต้องการอะไรบ้าง  เริ่มต้นกันที่ วิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี 1  บี 2  ไนอะซิน  บี 6  บี 12  แพนโธทีนิค  และกรดโฟลิค  ช่วยป้องกันสมองเสื่อม  ความจำเลอะเลือน  อาหารที่มีวิตามินบีสูง เช่น ผลิตภัณฑ์นมพร่องหรือขาดไขมัน กล้วย อาหารทะเล ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้

ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง  การขาดธาตุเหล็กจะทำให้สมาธิสั้น  ไอคิวลดลง  การเสริมธาตุเหล็กสำหรับผู้ที่ขาดธาตุเหล็ก  จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย  ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์  ใช้ความคิด  เพิ่มทักษะในการใช้คำพูด  อาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล

โคลีน  ชื่อนี้ควรจำไว้ให้ดีเพราะเป็นองค์ประกอบที่พบในเยื่อหุ้มเซลล์สมอง และสารเคมีในเซลล์สมองที่ชื่อว่า อะเซทิลโคลีน  ซึ่งควบคุมความจำ อาหารที่มีโคลีนสูง คือ ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บรูเออส์ยีส  ส่วนที่มีในปริมาณเล็กน้อยได้แก่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ ขนมปังโฮลวีท นม ส้ม ดอกกะหล่ำ และแตงกวา

สารแอนตี้ออกซิแดนท์  เช่น วิตามินซี  วิตามินอี  และ เบต้าแคโรทีน  ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระซึ่งทำให้เซลล์สมองเสื่อม  ส่งผลให้ความจำเสื่อม  มีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์  ประเทศออสเตรเลีย  พบว่าผู้ที่บริโภควิตามินซีสูงมีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุด  พืชที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ  ช่วยป้องการสมองเสื่อม ได้แก่ สารโอพีซีสกัดจากเมล็ดองุ่น  สารสกัดจากใบแปะก้วย  กรดไลโปอิคและสารฟลาโวนอยด์ในผัก ผลไม้ เช่น องุ่น ผลไม้ประเภทเบอร์รี  ชาเขียว

น้ำมันปลา  หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันความจำเสื่อม  ปลาที่มีโอเมก้า 3 มาก ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาค้อด ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล  ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารแนะนำให้บริโภคเนื้อปลาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

กินดี สมองดี

หลักง่ายๆ ในการเลือกรับประทานอาหารให้ได้ครบสูตรในแต่ละมื้อ  โดยไม่ต้องมานั่งนับแคลอรีให้ปวดหัว  อาจารย์ศัลยาแนะให้แบ่งจานอาหารออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน  ประกอบไปด้วย ผัก ผลไม้ ข้าวธัญพืช และโปรตีน

อาหารเช้า
 
' สำคัญที่สุดคือ ต้องกินอาหารเช้า  เนื่องจากสมองคนเราต้องการน้ำตาลกลูโคสเพื่อใช้เป็นพลังงาน  ถ้าเราไม่รับประทานอาหารก็จะทำให้สมองขาดเชื้อเพลิงในการทำงาน '

อาจารย์ศัลยา กล่าวถึงผลวิจัยที่พบว่า  คนที่รับประทานอาหารเช้า  จะขาดโรงเรียนหรือขาดงานน้อยกว่า  รวมไปถึงการทดสอบทางคณิตศาสตร์ สมาธิ  ความคิดสร้างสรรค์  ความรวดเร็วในการแก้ปัญหา  การรำลึกความจำ  ความแม่นยำในการทำงานดีขึ้น  แถมยังมีอารมณ์ดีกว่าคนไม่กินข้าวเช้าอีกด้วย

คราวนี้เรามาดูกันสิว่า  อาหารเช้าแบบไหนที่เป็นของ ' ต้องการ ' หรือ ' ต้องห้าม '

อาหารเช้าที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ได้แก่  ซีเรียลผสมนมพร่องมันเนย  หรือนมถั่วเหลือง ผลไม้ 1 ชนิด และน้ำผลไม้ ( ไม่ผสมน้ำเชื่อม)  1 แก้วเล็ก

ถ้าอยากรับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน  ขอแนะนำเป็น ไข่ดาว ขนมปังโฮลวีททาเนยถั่ว  งดไส้กรอก แฮม เพราะมีไขมันสูง  กาแฟ 1 ถ้วย อนุญาตให้เติมน้ำตาล 1 ช้อนชาพอ

อาหารเช้าแบบไทยๆ  แนะนำให้รับประทานข้าวต้มเครื่อง ข้าวต้มปลา เสริมผัดผัก 1 จาน หรือข้าวโพด 1 ฝัก นมถั่วเหลือง 1 แก้ว น้ำส้มสด 1 แก้วเล็ก มะละกอ 1 เสี้ยว นี่คือตัวอย่างของอาหารเช้า คุณภาพดี

อาหารกลางวัน  อาหารไขมันสูง หรือน้ำตาลสูง  นอกจากจะทำให้ง่วงนอนแล้ว  สมองก็ไม่แล่นอีกด้วย  ฉะนั้นมื้อเที่ยงจึงไม่ควรเป็นมื้อหนัก  มีโปรตีนเล็กน้อย  ธัญพืชไม่ขัดสีมากหน่อย  จะช่วยให้สมองตื่นตัวตลอดเวลา  อาหารแนะนำ ได้แก่  แซนด์วิชทูน่าขนมปังโฮลวีท  สลัด ( น้ำสลัดไขมันต่ำ ) 1 จาน  น้ำผลไม้  และผลไม้สด  หรือก๋วยเตี๋ยวน่องไก่ใส่เส้นน้อยๆ ผักเยอะๆ  ไม่ใส่กระเทียมเจียว  ไม่รับประทานหนังไก่  หรือถ้าอยากรับประทานสปาเกตตีสักจานก็ขอให้เพิ่มสลัดอีก 1 จาน

ไม่แนะนำ ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว เพราะมีไขมันมาก เปลี่ยนเป็นราดหน้าจะดีกว่า โดยเปลี่ยนจากเส้นใหญ่ เป็นเส้นหมี่ วุ้นเส้น หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้

ชวนสมองออกกำลังกาย

การออกกำลังกายควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่สมองต้องการ เป็นสิ่งที่จำเป็น  วิธีการออกกำลังกายแบบแอโรบิก และโยคะ  เป็นวิธีที่อาจารย์ศัลยาแนะนำ  รวมไปถึงการออกกำลังกายสมองด้วยการท้าทายในการทำสิ่งใหม่ๆ ดูบ้าง  ไม่ว่าจะเป็นเกมที่ใช้ความคิด  ลองหัดวาดรูป  หรือเรียนดนตรี  อย่าลืมว่าไม่มี อะไรแก่เกินเรียน

เมื่อสมองได้รับการท้าทายแล้ว  ก็จะไม่เครียด  สมอง  ความคิดก็จะปลอดโปร่ง  หากปฏิบัติตามคำแนะนำ  ทั้งหมดของผู้เชี่ยวชาญได้แล้ว  คราวนี้ คุณคงจะไม่ต้องไปยืนทำสมาธิอยู่หน้าลิฟต์อาคารจอดรถเพื่อนึกว่า  จอดรถไว้ที่ชั้นไหน  ยามหนุ่มยิ้มให้ก็ไม่ต้องงงว่า  เขาเป็นใคร อีกต่อไป

สมูทตี้สูตรสดชื่น

ส่วนผสม  : แครอท 4 หัว  แอปเปิล 1 ผล  ขิงเล็กน้อย  พริกหวานสีแดง 1/2 เม็ด  ผิวมะนาวเล็กน้อย  ซอสโทบาสโก้นิดหน่อย

วิธีทำ - นำมาปั่นรวมกัน  รินใส่แก้วรับประทานทันที  ไม่ควรทิ้งไว้

เมนูบำรุงสมอง  :  ซุปถั่ว ซุปมันฝรั่ง ซุปฟักทอง แกงกะหรี่ผักอินเดีย ต้มยำปลา ต้มยำกุ้ง เต้าหู้ผัดผัก หลายๆ สี ผัดเปรี้ยวหวานไก่

เคล็ดลับเพิ่มความจำระยะสั้น  ท่องหนังสือ  ก่อนเข้าประชุม กินน้ำตาลปริมาณ 1 ช้อนชา จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่น ในขณะเดียวกัน  หากร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปจะก่อให้เกิดอาการซึมเศร้า  ขาดความกระตือรือร้น /  กาแฟ วันละ 1 ถ้วย น้ำตาล 1 ช้อนชา เท่านั้นพอ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #79 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2553, 23:27:22 »

สารต้านมะเร็ง TNF ในกล้วย‏

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

BANANAS with dark patches on yellow skin. ...
กล้วยที่มีจุดดำๆ บนผิว





The fully ripe banana produces a substance called TNF ( Tumor Necrosis Factor ) which has the ability to combat abnormal cells.
กล้วยที่สุกเต็มที่จะสร้างสารที่เรียกว่า TNF ( Tumor Necrosis Factor )  ซึ่งสามารถต่อต้านเซลล์ที่ผิดปกติได้

As the banana ripens, it develops dark spots or patches on the skin.
ยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่  ก็จะยิ่งเกิดจุดสีดำที่เปลือกมากขึ้น
  
The more dark patches it has, the higher will be its' immunity enhancement quality.
ยิ่งมีจุดดำนี้มากขึ้น  ก็จะยิ่งมีคุณสมบัติในการสร้างภูมิต้านทานได้มากขึ้น

According to a Japanese scientific research, banana contains TNF which has anti-cancer properties. The degree of anti-cancer effect corresponds to the degree of ripeness of the fruit, i.e. the riper the banana, the better the anti-cancer quality..
จากงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น  กล้วยจะมี TNF ซึ่งมีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็ง  ยิ่งกล้วยสุกมาก  ก็จะยิ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็งได้มาก

In an animal experiment carried out by a professor in Tokyo University comparing the various health benefits of different fruits, using banana, grape, apple, water melon, pineapple, pear and persimmon, it was found that banana gave the best results. It increased the number of white blood cells, enhanced the immunity of the body and produced anti-cancer substance TNF.
ศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นผู้หนึ่ง แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวได้ทำการทดลองในสัตว์  เพื่อเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากผลไม้ต่างๆ  โดยใช้กล้วย  องุ่น แอปเปิล  แตงโม  สับปะรด  แพร์  พลับ  พบว่ากล้วยทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นได้มากที่สุด  จึงเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย และสร้างสารต้านมะเร็ง TNFได้มากที่สุด

The recommendation is to eat 1 to 2 banana a day to increase your body immunity to diseases like cold, flu and others.
คำแนะนำคือให้กินกล้วยวันละ 1-2 ผล  เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานโรคต่างๆ  เช่น หวัด  ไข้หวัดใหญ่ และอื่นๆ

According to the Japanese professor, yellow skin bananas with dark spots on it are 8 times more effective in enhancing the property of white blood cells than the green skin version
ศาสตราจารย์ญี่ปุ่นพบว่า  กล้วยทีมีเปลือกสีเหลือง และมีจุดดำๆ หลายๆ แห่งจะมีคุณสมบัติในการเพิ่มเม็ดเลือดขาวได้มากกว่ากล้วยที่มีเปลือกสีเขียวถึง 8 เท่า



บทความนี้เป็นความจริงครับ ... Necrosis แปลว่า การเปื่อยเน่าเปื่อยของเซลล์  ดังนั้น TNF ( Tumor Necrosis Factor ) ก็คือสารที่จะไปทำให้เซลล์มะเร็งตายได้  

กลไกการทำงานของ TNF คือ

1. เมื่อสาร TNF ไปจับตัวกับเซลมะเร็งจะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ  ทำให้เซลมะเร็งไม่สามารถสร้างเอ็นไซม์ Superoxide Dismutase ได้  ( ซึ่งในเซลล์ปกติจะมีเอ็นไซม์ Superoxide Dismutase ต่อต้านฤทธิ์อนุมูลอิสระได้ )  นอกจากนี้ยังไปทำลายโครงสร้างโปรตีนของเซลล์มะเร็ง
 
2. TNF จะทำให้เส้นเลือดอุดตัน  ก้อนมะเร็งจึงขาดเลือดไปเลี้ยง

อย่างไรก็ตาม TNF ก็ไม่ได้มีประโยชน์สำหรับทุกคน  เพราะTNF ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ  ก็ย่อมจะทำให้เซลเกิดอาการอักเสบได้เช่นกัน  เช่นในผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ-รูมาตอยด์  ถ้าได้รับสาร TNF มาก  ก็จะยิ่งทำให้ข้ออักเสบมากขึ้น  ต้องใช้ยาที่มาต้าน TNF เพื่อลดอาการอักเสบอีกต่อ


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #80 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2553, 00:16:55 »

ข้าวเหนียว ลืมผัว

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา



ศูนย์วิจัยข้าว จ. พิษณุโลกประสบความสำเร็จในการคัดเลือกพันธุ์ข้าวเหนียวดำ ชื่อ ลืมผัว

นามนี้ดึงดูดใจพอสมควร  หลังจากชุดโครงการวิจัยข้าวนาน้ำฝนคัดเลือกได้สายพันธุ์บริสุทธิ์  จึงนำไปขึ้นทะเบียนรับรองจากกรมวิชาการเกษตร  ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สถาบันค้นคว้า และพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กับศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานีวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ  และได้รับการการันตีว่า มีคุณค่าสูงเหมาะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ



คุณสำลี บุญญาวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการข้าว แจงข้อมูลดั้งเดิมว่า  ข้าวเหนียวดำพันธุ์ลืมผัวเป็นข้าวนาปีพื้นเมือง  เดิมปลูกในสภาพไร่บนภูเขาที่อำเภอพบพระ  จังหวัดตาก  ต้นสูงประมาณ 137 เซนติเมตร  ออกดอกประมาณวันที่ 15 กันยายน  เมล็ดค่อนข้างอ้วน  จำนวนเมล็ดดีต่อรวง  เฉลี่ย 130 เมล็ด  น้ำหนักข้าวเปลือก 1,000 เมล็ดประมาณ 37.9 กรัม  สถิติผลผลิตสูงสุดเมื่อปลูกสภาพไร่ และอากาศที่เหมาะสม 490 กิโลกรัมต่อไร่  เมื่อ นำมาปลูกในพื้นราบจะได้อยู่ราวๆ 200 ถึง 350 กิโลกรัมต่อไร่  การปลูกต้องดูแลอย่างใกล้ชิด  เนื่องจากค่อนข้างอ่อนแอต่อโรค และแมลงศัตรูข้าว



เหนียวดำ ลืมผัว  จะมีกลิ่นหอม  รสชาติอร่อย  เมื่อเคี้ยวจะรู้สึกมัน และนุ่ม แบบหนุบๆ ( คงจะมาจากประเด็นนี้  แม่บ้านได้เปิบแล้วอร่อยจนลืมผัว )  นอกจากจะรับประทานแบบข้าวเหนียวนึ่งโดยทั่วไปแล้ว  ยังแปรรูปได้หลายชนิด  เช่น  ผสมกับข้าวขาว  ต้มเป็นสีม่วงอ่อน  ทำข้าวเหนียวเปียก  ชาข้าวคั่วแบบ pearl barley  หรือเครื่องดื่มทั้งมีแอลกอฮอล์ และปราศจากแอลกอฮอล์  ซึ่งจะมีสีคล้ายทับทิมสวยงามชวนดื่ม



รองอธิบดีกรมการข้าวยังอธิบายถึงคุณค่าทางอาหาร และโอสถสารของข้าวเหนียวลืมผัวว่ามี

 - สารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) โดยมีปริมาณสูงถึง 833.77 มิลลิกรัม

 - กรดแอสคอร์บิก ต่อ 100 กรัม

 - วิตามินอี ( อัลฟ่า-โทโคฟีรอล ) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ  และช่วยลดคอเลสเทอรอล 16.83 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

 - กรดช่วยบำรุงสมอง  ป้องกันภาวะเสื่อม และช่วยความจำ ได้แก่

1. โอเมก้า-3 ปริมาณ 33.94 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม

2. โอเมก้า-6 ( ช่วยบรรเทาอาการขาดภาวะเอสโตรเจนของวัยทอง และช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ) 1,160.08 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม

3. โอเมก้า-9 ซึ่งช่วยลดคอเลสเทอรอลในเส้นเลือด  ทำให้เส้นเลือดไม่อุดตัน  ไม่เป็นโรคหัวใจ  โรคพากินสันส์ และช่วยลดความอ้วน 1,146.41 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม

นอกจากนี้ยังมี

 - แอนโทไซยานิน 46.56 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม

 - โปรตีน 10.63%

 - ธาตุเหล็กสูงมากถึง 84.18 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

 - แคลเซียม สังกะสี และ แมงกานีส 169.75 / 23.60 และ 35.38 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามลำดับ

 - แกมม่า โอไรซานอล ซึ่งช่วยลดคอเลสเทอรอล และไตรกลีเซอไรด์  ตลอดจนช่วยลดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ปริมาณ 508.09 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

เฉพาะปัจจัยตัวหลัง คุณผู้ชายวัยทองอย่าให้พลาด  เพราะอาจเป็นอย่างชื่อข้าว ... ! !  คนภาคเหนือ  โดยเฉพาะภาคเหนือตอนล่าง  จะรู้จักข้าวเหนียว " ลืมผัว " เป็นอย่างดี  คนโบราณตั้งชื่อว่าข้าวเหนียวดำ " ลืมผัว " นั้นมีการบอกเล่าจากคนเก่าคนแก่ว่า เป็นคำเปรียบเทียบ  หรืออุปมาอุปไมย  บอกถึงความอร่อยของรสชาติ  มีกลิ่นหอม  เวลาเคี้ยวจะรู้สึกมันและ นุ่มละมุนปากแบบนุบๆ  กินแล้วหลงใหลในรสชาติจนลืมสามีนั่นเอง


ที่มา  http://www.oknation.net/blog/print.php

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #81 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2553, 20:34:34 »

เทคนิคการวิ่ง ไม่ให้ปวดเข่า

จาก :  เดลินิวส์ออนไลน์  วันเสาร์ ที่ 22 พฤษภาคม 2553  เวลา 0:00 น.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=67055
  
การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย  แต่บางครั้งอาจเกิดอาการปวดเข่า นั่นเป็นเพราะออกกำลังกายไม่ถูกวิธี วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเทคนิคการวิ่งไม่ให้ปวดเข่ามาบอก ...

                          

- ควรอบอุ่นร่างกาย และยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอ  โดยเริ่มจากการเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ก่อนที่จะวิ่งเต็มที่  รวมทั้งควรยืดกล้ามเนื้อรอบเข่า และข้อเท้าทุกครั้ง  เพื่อให้มีการปรับตัวของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการออกกำลังกาย  โดยการเหยียดเข่าตรง และเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาค้างไว้ 5 วินาทีต่อครั้ง  ทำประมาณ 10-20 ครั้งต่อวัน

- เลือกซื้อรองเท้าวิ่งให้เหมาะสม  รองเท้าที่ใช้ควรมีพื้นกันแรงกระแทกที่เพียงพอ และมีความกระชับพอดีกับเท้า

- ควรตรวจดูลักษณะเท้าว่าผิดปกติหรือไม่  ส่วนใหญ่ที่พบคือ ภาวะเท้าแบน  เวลาวิ่งนานๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดเข่า และข้อเท้าได้

- ไม่ควรวิ่งก้าวเท้ายาวเกินไป หรือยกเข่าสูงเกินไป  เพราะทำให้ข้อเข่าต้องงอมากเกินความจำเป็น  อาจทำให้เกิดปัญหาปวดเข่าได้ง่ายขึ้น

- ควรวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ส้นเท้า  การวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ปลายเท้านานๆ  จะทำให้เกิดแรงกระชากพังผืดฝ่าเท้า  ปวดกล้ามเนื้อน่อง  และยังเกิดแนวแรงที่ผิดปกติที่ผ่านต่อข้อเข่า  ทำให้ต้องงอเข่ามากขึ้นขณะวิ่ง  และอาจทำให้เกิดการปวดเข่าด้านหน้าได้

เพียงเท่านี้ก็สามารถออกกำลังกายโดยการวิ่งได้อย่างไม่ปวดเข่าแล้วค่ะ

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #82 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2553, 21:16:47 »

Salt Cave Bangkok แห่งแรกในเอเซีย

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

ภูมิแพ้  หมดห่วง  ถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพช่วยได้ ! ... เปิดแล้ว ใจกลางกรุงเทพ ที่แรกในเอเชีย

จากสถิติของคนไทยที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี  ด้วยเพราะสภาวะอากาศ  และมลพิษที่เกิดขึ้นมากมาย  การรักษาทางการแพทย์ที่คนส่วนใหญ่มีอาการดังกล่าวนั้น  ต้องใช้ยาเพื่อการบำบัดรักษา  รวมทั้งการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ  และบางคนเป็นขั้นรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต



Salt Cave Bangkok at The Manor 39  หรือถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพแห่งแรกในประเทศไทย ในซอยสุขุมวิท 39  และแห่งแรกในเอเชีย  อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้  หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ  อาทิเช่น  หอบหืด , หลอดเลือดอักเสบเรื้อรัง , หลอดลมตีบ , ถุงลมโป่งพอง , อาการไอที่เกิดจากการสูบบุหรี่  ทั้งสูบโดยตรงและได้รับควันจากผู้อื่น , คออักเสบ , ไซนัสอักเสบ , อาการแพ้ฝุ่นและละอองเกสร , อาการเครียดและอ่อนเพลียเรื้อรัง , หายใจขาดลม แน่นหน้าอก ฯลฯ

จากแนวความคิดของผู้บริหาร The Manor 39 ที่เล็งเห็นถึงคุณสมบัติของเกลือ “ Pharma Salt  “ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยา  ในเรื่องของการฆ่าเชื้อและลดการอักเสบ  ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย  และส่งผลดีต่อผู้ที่มีปัญหาทางด้านระบบทางเดินหายใจ  อีกทั้งข้อมูลจากการวิจัยของต่างประเทศผ่านทาง CNN และ BBC ในเรื่องของถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพที่เกิดขึ้นแล้วในรัสเซีย , โปแลนด์ , อังกฤษ ประกอบกับแหล่งกำเนิดเหมืองเกลือ ในประเทศโปแลนด์  ที่วิจัยมาแล้วว่าผู้ที่ทำงานในเหมืองเกลือ และได้รับอณูเกลือนั้นไม่เป็นโรคภูมิแพ้  หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ



ถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพ “ Salt Cave ” จึงเกิดขึ้นในประเทศไทย  โดยผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้  และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ  สามารถเข้าไปใช้บริการในถ้ำเกลือ  แล้วสูดไอเกลือ “ Pharma Salt ” ที่มีอณูเกลืออยู่ภายในถ้ำ  เพียงแค่ 45 นาที  เสมือนเราไปนั่งอยู่ริมทะเล 3 วัน  และภายในถ้ำเกลือนอกจากอณูเกลือที่ลอยอยู่ในบรรยากาศแล้ว  ส่วนผนัง และพื้น ก็เต็มไปด้วยเกลือสินเธาว์บริสุทธิ์  ส่งผลให้มีประจุลบช่วยในเรื่องการดูดซึมแบคทีเรีย หรือเชื้อโรคที่มีอยู่ในระบบทางเดินหายใจ  และประจุลบยังส่งผลช่วยทำให้ผ่อนคลายอีกด้วย



“ Pharma Salt “ เป็นเกลือแห้งที่มีความบริสุทธิ์ 100 % ไม่มีส่วนผสมของไอโอดีน และแป้งมัน  ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยา  ผู้ที่ใช้บริการจะรู้สึกดีขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งแรก  และจะรู้สึกว่าอาการของโรคภูมิแพ้ หรือโรคระบบทางเดินหายใจทุเลาต้องใช้บริการอย่างน้อย 5 ครั้งขึ้นไป  สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 02-662-5519 ทุกวัน หรือ www.saltcavebangkok.com



สอบถามมาแล้วครั้งละ 600 บาท ...
  
แหล่งที่มา  :  Media Thai Post   2009-11-04  18:03:59
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #83 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2553, 22:29:03 »

ข้าวโพดต้ม

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

พวกเราหลายคนคงชื่นชอบการกินข้าวโพดต้ม  แต่จะรู้หรือไม่ว่าในข้าวโพดหวานสามารถต้านโรคมะเร็ง และมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้อื่น ....



นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า  ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด  ผลการวิจัยนี้จรงกันข้ามกับที่เราเคยเชื่อกันมาก่อนว่า  ผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารไป  สู้กินดิบๆ ไม่ได้  แต่ข้าวโพดหวานยังคงเก็บสารอาหารที่เป็นตัวล้างพิษไว้ได้  แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป

การต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส  ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที  พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารที่เป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษ  ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของอวัยวะต่างๆ แก่ชรา  เช่น  เกิดต้อกระจก  และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย

คณะนักวิจัยพบว่าข้าวโพดหวานที่ต้ม หรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับร่างกายยิ่งมากขึ้น  เมื่อถูกความร้อนสูงขึ้น หรือต้มนานขึ้น  กรดเฟรุลิกเป็นพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก  แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดต้ม  การต้มข้าวพดให้สุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น



เคล็ดลับในการต้มข้าวโพดให้หวาน มัน เค็ม เมล็ดเต่งตึง หอม อร่อย ก็คือ  ในขณะที่ต้มนอกจากจะใส่นำสะอาดแล้ว  ก็ให้เหยาะเกลือ  เติมนมข้นจืดและเนยสด  ลงไปด้วย ... โอ๊ย !  อยากกินแล้วล่ะ  คลิกดูรูปวิธีต้มข้าวโพดให้อร่อยได้ ตรงนี้เลยค่ะ

http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:Dr771XVucxUJ:www.bloggang.com/viewdiary.php%3Fid%3Djeabguru%26month%3D07-2009%26date%3D29%26group%3D5%26gblog%3D60+%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%A1&cd=7&hl=th&ct=clnk&gl=th
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #84 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2553, 15:43:41 »


Note the #s on the Fruit Label  
 
รู้ไว้ใช่ว่า :   ฉลากบนผลไม้

    


Conventional Fruit Labels  - Four digits starting with 4    
 
ฉลากผลไม้ทั่วไป - มีตัวเลขสี่หลัก ขึ้นต้นด้วย 4   เช่น 4 xxx

Organic Fruit Labels - Five digits and starts with number 9    

ฉลากผลไม้ Organic ( ผลไม้ที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี)  - มีตัวเลขห้าหลัก ขึ้นต้นด้วย   9   เช่น 9 xxxx

Genetically Modified Fruits (GMO) -Start with the digit 8

ฉลากผลไม้  GMO ( ผลไม้ที่ปลูกโดยใช้พันธ์ที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม)  

- มีตัวเลขห้าหลัก ขึ้นต้นด้วย  8  เช่น 8xxxx

So next time you go shopping, remember these critical numbers and know how to avoid purchasing inorganic and GMO fruits. Shop

Safe : This is good to know because stores aren't obligated to tell you if a fruit has been genetically modified .  

ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณจะเลือกซื้อผลไม้ จำไว้ว่าตัวเลขสำคัญที่คุณควรรู้ เพื่อจะหลีกเลี่ยงการซื้อผลไม้ที่มีสารเคมีและผลไม้ GMO

So if you come across an apple in the store and it's label is 4922, it's a conventional apple grown with herbicides and harmful fertilizers.

ดังนั้น ถ้าคุณเห็นแอปเปิ้ล ที่มีรหัส 4922 แปลว่า แอปเปิ้ลนี้เป็นแอปเปิ้ลทั่วๆไป ที่ปลูกด้วยการใส่ปุ๋ยปกติ  

If it has a sticker 99222, it's organic and safe to eat.

ถ้าแอปเปิ้ลติดสติ๊กเกอร์ มีรหัส 99222 แสดงว่าเป็นแอปเปิ้ลที่ปลูกโดยวิธีปลอดสารเคมี และปลอดภัย  

If it says 89222, then do not buy!!!!  It has been genetically modified (GMO).

ถ้าแอปเปิ้ลติดสติ๊กเกอร์ มีรหัส 89222 อย่าซื้อ!!!

แสดงว่าเป็นแอปเปิ้ลที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม( GMO)
 

ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #85 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2553, 16:14:00 »

โรคปลายประสาทอักเสบ และการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันโรคปวดหลัง

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา









      บันทึกการเข้า
Kittiwit Pk
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 281

« ตอบ #86 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2553, 16:38:10 »

I like saltcave.
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #87 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2553, 02:34:39 »

คุณน้อง kitty-wit เป็นโรคภูมิแพ้ อยู่รึเปล่าคร้าบ บ บ บ บ   น่าลองไปใช้บริการ  แล้วนำมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ

คนเป็นไมเกรน ไม่ควรกินตับไก่

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #88 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553, 15:55:09 »

Can we eat to starve cancer ? - Must Watch ! !

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

Every one must watch this video ! !
 
http://www.ted.com/talks/william_li.html

ถึงคุณ William Li จะบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ  แต่ก็เราสามารถคลิกเลือก Subtitle เป็น English เสริมได้อีกนะคะ ... ฟังแล้วจะรักผัก-ผลไม้มากขึ้นอีกจมหูเลยล่ะ



      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #89 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2553, 09:52:55 »

8 นาที กับโยคะบนที่นอน

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

การออกกำลังกาย  นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแล้ว  ยังทำให้เรามีสุขภาพดีอีกด้วย  วันนี้เรามี เทคนิค วิธีการ ออกกำลังกาย เพื่อ สุขภาพ 8 นาที กับ โยคะ บนที่นอน มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย
 
ปกติแล้วการออกกำลังกายก่อนนอนจะทำให้ร่างกายตื่นตัว และนอนไม่หลับ  แต่ Exercise Issue ฉบับนี้  ขอประเดิมการกลับมาอีกครั้งด้วยโยคะ 5 ท่า  เพื่อการนอนหลับสนิทแสนสบาย  ทำง่ายในเวลาเพียง 8 นาที  ที่สำคัญคือทำบนเตียงนอนก็ได้  ทำเสร็จก็หลับปุ๋ยไปได้เลยค่ะ



นาทีที่ 1-2  ด้วยการนอนยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น ขยับตัวให้ขาและสะโพกแนบชิดกับผนัง หงายฝ่ามือขึ้น อยู่ในท่านี้จนรู้สึกว่าขาและแผ่นหลังเริ่มตึง

นาทีที่ 3 ด้วยการนั่งขัดสมาธิบนที่นอน วางมือขวาไว้บนหัวเข่าซ้าย หันหน้าและบิดลำตัวไปพร้อมๆ กับวาดมือซ้ายไปท้าวไว้ด้านหลังสะโพก แขนเหยียดตรง ทอดสายตามองข้ามหัวไหล่ หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก ทำสลับอีกข้าง
 
นาทีที่ 4 - 5 เริ่มต้นจากท่าศพ คือ นอนหงาย กางขาออกช่วงห่างประมาณความกว้างของไหล่ กางแขนออกจากลำตัวเล็กน้อย หงายฝ่ามือขึ้น ปล่อยตัวตามสบาย จากนั้นงอเข่าเข้ามาเล็กน้อยจนฝ่าเท้าประกบกันได้ หากรู้สึกเมื่อยขาให้นำหมอนมารองใต้เข่าทั้งสองข้าง
 
นาทีที่ 6 - 7 นั่งบนฝ่าเท้า ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ ค่อยๆ โน้มตัวลงจนหน้าผากจรดที่นอน ให้หน้าอกชิดกับหัวเข่ามากที่สุด แขนทั้งสองเหยียดตรง หายใจเข้าและออกช้าๆ
 
นาทีที่ 8 นอนหงาย ปลายเท้าชิด งอเข่าทั้งสองข้างขึ้นให้ปลายเท้าไขว้เข้าหากัน เอามือกอดเข่าดึงให้เข้ามาชิดหน้าอกมากที่สุด พยายามเกร็งตัวขึ้น แล้วโยกตัวไปมาเพื่อนวดกระดูกสันหลัง ทำต่อเนื่องจนครบนาที จากนั้นนอนลงแล้วค่อยๆ กางแขนขาออกอยู่ในท่าศพ ผ่อนลมหายใจจนกระทั่งหลับไป

โยคะ 8 นาทีนี้ นอกจากจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายแล้ว การหายใจเข้าและออกเป็นจังหวะช้าๆ ยังช่วยขจัดความคิดฟุ้งซ่านและปรับสภาพจิตใจให้เกิดสมดุล คุณจึงนอนหลับสนิทได้ทั้งตลอดคืนค่ะ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #90 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553, 21:32:19 »

บริโภค แกงเลียง / แกงเหลือง ต้านโรคได้

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

ใครชอบกิน แกงเหลือง แกงเลียง แกงป่า แกงส้ม  ( ของดี ... ราคาถูก )
ขอแสดงความยินดีด้วยคับ ... คุณมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยมาก ...

โรคภัยที่คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกมาเป็นอันดับหนึ่งนั้นคือ โรคหัวใจ และหลอดเลือด  โรคมะเร็งตามมาอยู่อันดับสอง  หลายสิบปีมาแล้วที่วงการแพทย์ทั่วโลกพยายามหาสาเหตุของโรคมะเร็งแต่ละอวัยวะ  เพื่อหาแนวทางป้องกัน และแก้ไข  เพื่อสรุปให้ได้ความชัดเจนเสียทีว่าการบริโภคหรือระบบโภชนาการของมนุษย์โลก เป็นสาเหตุของมะเร็งแต่ละชนิดได้แค่ไหน  ล่าสุดหน่วยงาน เวิลด์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช ฟัน ( World Cancer Research Fund ) ร่วมกับ อเมริกัน อินสติติว ฟอร์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช ( American Institue for Cancer Research ) ได้ตัดสิน และสรุปงานวิจัยกว่า 7,000 เรื่องที่ศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ของอาหาร  การออกกำลังกาย  ภาวะน้ำหนักเกิน  และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก



ชนิพรรณ บุตรยี่ นักวิชาการจากสถาบัน โภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำงานวิจัยนี้มาบรรยายในงานประชุมเรื่อง “ ความท้าทายทางพิษวิทยาในศตวรรษที่ 21 ” ว่า งานวิจัยใช้ระยะเวลาสรุปผล 5 ปี  โดยนำงานวิจัยขนาดใหญ่ ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างมากสุดถึง 100,000 คน และบางชิ้นมีการเก็บข้อมูลนานนับ 10 ปี  ใช้เงินทำวิจัยมหาศาล  จึงจัดเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ และยึดเป็นข้อมูลทางวิชาการได้  ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่ชัดแล้ว  โดยเน้นเรื่องการกิน และการออกกำลังกายเป็นหลัก แบ่งเป็น 3 ระดับ

ข้อสรุปลำดับแรก

เป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอน เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอาหาร  วิถีชีวิต  การออกกำลังกาย  สิ่งแวดล้อม  โดยพบว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม  ทั้งวัยหมดประจำเดือน และก่อนมีประจำเดือน  มะเร็งช่องปาก คอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก ( เฉพาะผู้ชาย ) มีไขมันในร่างกายเกินจากค่าดัชนีมวลกายหลังจากอายุ 21 ปีไปแล้ว  เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม  หลังหมดประจำเดือน  มะเร็งหลอดอาหาร  มะเร็งตับอ่อน  มะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก  มะเร็งไต  และเนื้อเยื่อบุมดลูก  นอกจากระดับไขมันที่เป็นส่วนเกิน  แล้วยังแยกย่อยออกมาอีกว่า  คนที่อ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้ และทวารหนัก

สำหรับอาหารที่คลางแคลงใจกันมานานพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ  ในงานวิจัยนี้ฟันธงออกมาอย่างแน่ชัดแล้วว่าการบริโภคเนื้อแดง  ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว  แกะ แพะ  ในปริมาณที่สูงเกิน  จะก่อมะเร็งลำไส้  มีคำแนะนำให้บริโภคเพียงสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม  ควรหันมาบริโภคเนื้อสีขาว  อย่างเนื้อไก่  หมู  หรือปลา  รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง  ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก  แฮม  เบคอน  อาหารเหล่านี้ต้องรมควัน  บางครั้งต้องปรุงรส  ใช้เคมีเพื่อให้สี รสชาติ และมวลของอาหารอยู่ครบ  เป็นอาหารที่กินแล้วก่อมะเร็งเช่นกัน  ที่น่าตกใจพบว่าการบริโภคเบต้าแคโรทีนในรูปแบบอาหารเสริม  จะเร่งให้เกิดมะเร็ง  แต่เบต้าแคโรทีนจะให้ผลต่อร่างกายสูงสุด เมื่อบริโภคผักผลไม้สดๆ ที่มีสารเหล่านี้  ประเภทผลไม้สีเหลือง  เช่น  มะละกอ มะ ม่วง แครอท
 
ขณะเดียวกันเมื่อมนุษย์ขึ้นสู่วัยหนุ่มสาวออกกำลังกายแบบแอโรบิก  ที่ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาที  จนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ  จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก  มะเร็งเต้านม ( โดยเฉพาะหญิงวัยหมดประจำเดือน )  และมะเร็งเนื้อเยื่อบุมดลูก  นอกจากนี้ผลวิจัยเป็นที่แน่นอนแล้วว่า  แม่ควรให้นมลูก  และเด็กทารกควรจะได้รับน้ำนมแม่  สามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมทั้งก่อน และหลังหมดประจำเดือน  ทั้งนี้ควรให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 6 เดือนโดยไม่มีการให้อาหาร หรือเครื่องดื่มใด ๆ เลย รวมทั้งน้ำด้วย

ข้อสรุปลำดับที่ 2

เรียกว่าเป็นที่แน่นอนบ่งชัดเจน  หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ในข้อนี้ 80 เปอร์เซ็นต์  ขณะที่ในข้อแรกเชื่อได้ 90 เปอร์เซ็นต์  ในข้อนี้เน้นหนักด้านอาหาร  พบว่าการบริโภคผักใบ ลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร  มะเร็งช่องปากคอหอย  กล่องเสียง  หลอดอาหาร  ผักกลุ่ม " หอม " ป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร  การบริโภคผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร  มะเร็งปอด  ช่องปาก  คอหอย  กล่องเสียง  มะเร็งหลอดอาหาร

ข้อสรุปลำดับที่ 3
 
ลดหลั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ลงมาภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือ  ความสัมพันธ์ของอาหารกับวิถีชีวิต  ในข้อนี้เรียกว่ามีความเป็นไปได้  พบว่าการบริโภคอาหารที่มีไลโคปีน  ซึ่งมีมากในมะเขือเทศ  ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก

นักวิชาการคนเดิมจากสถาบันโภชนาการ  ม. มหดิล บอกอีกว่า  แม้สารไลโคปีนจะมีมากในมะเขือเทศ  แต่ถ้าไม่ทำให้มะเขือป่นละเอียด  บริโภคไปร่างกายก็ไม่ได้รับสารไลโคปีนอยู่ดี  ดังนั้นการบริโภคมะเขือเทศสด  แบบชิ้น ๆ  กับการบริโภคซอสมะเขือเทศ  อย่างหลังได้รับไลโคปีนมากกว่า  นอกจากในงานวิจัยเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง  นักวิชาการทั่วโลกแนะนำว่าไม่ควรบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง  เว้นแต่เจ็บป่วยหรือมีภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง

ปัจจุบันพฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยเปลี่ยนไป  โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก และคนวัยหนุ่มสาวบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น  ที่เห็นได้ชัดจากวัฒนธรรมการกินอาหารบุฟเฟ่ต์  ร้านเนื้อย่างหมูกระทะต่างๆ  สอดคล้องกับงานวิจัยนี้  ข้อแนะนำของการกินเพื่อต้านมะเร็งในแบบไทย  ซึ่งแม้งานวิจัยยังไม่ได้ถูกเลือกจากนักวิชาการ  เพราะเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก  ตามอัตภาพของทุนที่มี  แต่น่าชื่อถือ และนำไปใช้ได้



ในงานประชุมดังกล่าวข้างต้น  ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล นักวิชาการจากสถาบันเดียวกัน ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง “ ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย ”

ดร.สมศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่างๆ  ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด ได้แก่
 
- น้ำพริกแกงป่า
 
- แกงเลียง
 
- แกงส้ม
 
- แกงเหลือง และ

- น้ำต้มยำ
 
นำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว  พบว่า น้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง และน้ำแกงส้มมีศักยภาพทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติ  ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในร่างกาย ได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์  ขณะที่แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่าเมื่อเทียบกัน  ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า  สมุนไพรสำคัญในเครื่องแกงน่าจะมาจากกระเทียม และพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่น ๆ

จากงานวิจัยนี้สรุปได้ว่าการบริโภคอาหารที่เป็นสำรับแบบไทย  อาทิ  แกงเลียงกุ้งสด  ห่อหมกใบยอ  ไก่ผัดเม็ดมะม่วง  ข้าวสวย  หรือ สำรับข้าวเหนียว  ส้มตำใส่แครอท  ไก่ทอดสมุนไพร  ต้มยำ  จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง  สอดรับกับงานวิจัยระดับโลกที่ว่า " อาหารการกินเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนห่างไกลมะเร็ง " ได้อยู่
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #91 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553, 23:20:09 »

 สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ  เข้ามาอ่านเรื่องดีๆ ค่ะ  ยังไม่ครบทีค่ะ  พรุ่งนี้อ่านใหม่ค่ะ  คืนนี้หลับฝันดีนะคะ  sleep
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #92 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553, 23:31:37 »


        ราตรีสวัสดิ์ จ้า น้องอ้อย ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #93 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2553, 20:37:52 »

การบริหารกาย-แกว่งแขน

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

คุยเฟื่อง เรื่องแกว่งแขน ... โดย เสริมพงษ์  คุณาวงศ์

    

ทุกวันนี้คนเรามีความสนใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น  อาจเป็นเพราะวิถีชีวิตการกินการอยู่ และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป  ทำให้เราต้องสนใจที่จะปรับตัว  เพื่อมีชีวิตที่มีคุณภาพ  เป็นความจริงที่ว่า “ แม้รวยล้นฟ้า  ถ้าร่างกายไม่ดีก็หาความสุขได้ยาก ”  ยิ่งโลกเราในวันนี้มีโรคภัยใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง  การสร้างความแข็งแรง และภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง ยิ่งจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  สำหรับพ่อค้าแม่ขาย  คนทำงานกินเงินเดือน  อาจไม่สะดวกที่จะไปออกกำลังกายตามสวนสาธารณะยามเช้า ซึ่งถ้าทำได้ประจำจะดีมาก โอกาสนี้จะขอเสนอการบริหารกายที่ฝึกง่าย ได้ผลแน่นอน ไม่ต้องใช้ทุนทรัพย์ใดๆ  และสามารถบำบัดรักษาป้องกันโรคได้มากมายหลายโรค  การบริหารนี้คือ  การแกว่งแขน

การแกว่งแขน เป็นการบริหารกายที่เผยแพร่ครั้งแรกที่ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน  เป็นศาสตร์ที่พัฒนามาจากคัมภีร์ปรับเปลี่ยนเส้นเอ็น ( ตั๊กม้ออี้จินเก็ง ) ของพระโพธิธรรม ( ตั๊กม้อโจวซือ ) แห่งวัดเส้าหลิน ( เสียวลิ้มยี่ )  มีคนศรัทธาปฏิบัติจนเห็นผลเป็นจำนวนมาก  จนแพร่หลายมาหลายสิบปี  ผมสนใจการแกว่งแขน  เพราะสนใจฝึกรำมวยไทเก็กมาสิบกว่าปีแล้ว  ทราบว่ามวยไทเก็ก  ท่านปราจารย์จางซันเฟิง ( เตียซำฮง ) คิดค้นมวยไท่จี๋ฉวน หรือมวยไทเก็ก จากคัมภีร์วัดเส้าหลิน กับคัมภีร์โบราณอี้จิน และปรัชญาลัทธิเต๋า  ประกอบกับการสอบถามผู้รู้ยืนยันว่า การแกว่งแขนมีผลดีต่อการหมุนเวียนของเลือดลมจริง  และทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี  ฟื้นฟูร่างกายที่เพิ่งหายป่วยได้  ตลอดจนเสริมการบำบัดรักษาโรคได้เป็นอย่างดี

ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การบริหารกายเกิดผลดีก็คือ  ต้องเชื่อมั่นฝึกฝนต่อเนื่อง  หมั่นสังเกตพิจารณา  ปรับปรุงการฝึกให้ถูกต้อง  และสำรวจผลที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ  หัวใจสำคัญคือการผ่อนคลายร่างกาย  เลือดลมจะหมุนเวียนได้สะดวก  ถ้าใจรับรู้การเกร็งได้ก็ให้คลายลง  รู้อาการตึงหย่อนขณะแกว่งได้ยิ่งดี

การเตรียมตัว  ก่อนการฝึกให้ขับถ่ายหนักเบาให้เรียบร้อยก่อน  ไม่ควรหิว หรืออิ่มเกินไป  ถ้ารับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ ให้เว้นเวลาอย่างน้อย  ๑ ชั่วโมง  ถ้าเหนื่อย หรือเพลียควรพัก และอาบน้ำหรือเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้สบายก่อนฝึกจะได้ผลดีกว่า  การฝึก ถ้าเปลือยเท้าเปล่าได้ดีมาก  ข้อควรระวังถ้ายืนฝึกบนพื้นปูนต้องมีผ้าหรือพรมรอง  เพราะพื้นปูนจะถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกายอาจทำให้ป่วยได้  และควรทดสอบให้แน่ใจว่าไม่ลื่นด้วย     สถานที่ฝึก ต้องมีอากาศถ่ายเท ไม่มีฝุ่นควันกลิ่นเหม็นอับ  ถ้าเปลือยเท้ายืนบนพื้นหญ้า ยามเช้าในสวนสาธารณะ หรืออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ได้จะดีที่สุด

วิธีการแกว่งแขน  มีหลักการสำคัญดังนี้

๑. ยืนตรง  กางขากว้างเท่าช่วงไหล่  หย่อนก้นเล็กน้อยเข่าไม่ตึง  การวางเท้า ปกติจะวางปลายเท้าออกข้าง  ถ้าไม่มีปัญหาการทรงตัวอยากเสนอให้ยืนให้ส้นเท้า และปลายเท้าทั้งสองข้างขนานกัน  หรือบิดปลายเท้าทั้งสองให้เข้าหากันเล็กน้อย จะส่งผลดีมากขึ้น  ลำตัวให้ตั้งตรงศีรษะเหมือนถูกแขวนลอย  รู้สึกเหมือนลำคอยืดขึ้นเล็กน้อย เก็บคางเล็กน้อย หน้าไม่ก้ม  ลำตัว  ลำคอ  ศีรษะ  ผ่อนคลายไม่เกร็ง

๒. ผ่อนจม  ผ่อนน้ำหนักตัวจมผ่านเท้าทั้งสอง ให้ความรู้สึกตั้งแต่ศีรษะ บ่า อก ลำตัว ถึงเอว เบาสบาย  ให้ความรู้สึกตั้งแต่สะโพก  ท่อนขา ถึงเท้า หนักแน่นมั่นคง
 
๓. นิ้วเท้าจิกแน่น  นิ้วเท้างอจิกลงพื้น  ส้นเท้ากดแน่น  แต่ไม่เกร็ง  น้ำหนักตัวส่งผ่านเท้าจมสู่พื้นดิน

๔. แขนปล่อยข้างตัวสบายๆ  ไหล่ลู่ลง  หัวไหล่เบาสบาย   ฝ่ามือหันไปด้านหลัง  นิ้วมือปล่อยสบายๆเป็นธรรมชาติ  ขณะแกว่งแขนไหล่ผ่อนเบาไม่ฝืดฝืน  ศอกหนักถ่วง  ข้อมือนิ้วมือทุกข้อเคลื่อนไหวอย่างอิสระ

๕. ปล่อยวางว่างเบา  ก่อนเริ่มแกว่งแขน ปล่อยวางความคิดคำนึงมาอยู่กับการรู้เนื้อรู้ตัว สายตาหลบต่ำ  หรือมองที่จุดใดจุดหนึ่งเพื่อสำรวมใจไม่ให้วอกแวก

๖. เหวี่ยงหลังปล่อยหน้า  เหวี่ยงแขนไปด้านหลังตรงๆ สบายๆ  เน้นเหวี่ยงไกลมากกว่าเหวี่ยงแรง  ให้เป็นไปตามธรรมชาติตามกำลัง ห้ามฝืน  และควรเริ่มอย่างเบาๆ ก่อน  เมื่อเหวี่ยงไปหลัง แล้วปล่อยให้แขนแกว่งออกหน้าด้วยแรงเฉื่อย  หากแกว่งแขนชำนาญแล้วสุดจังหวะเหวี่ยงออกหน้า ให้สปริงนิ้วเหยียดออก  จังหวะเหวี่ยงหลังเพิ่มแรงเหวี่ยงไกล  ศอกถ่วง  ข้อมือปล่อยอิสระ  หัวไหล่เป็นเพียงจุดหมุน

๗. หย่อนก้นขมิบฝีเย็บ  จังหวะเหวี่ยงแขนไปหลัง  ให้เก็บก้น  หรือหย่อนก้นเหมือนจะเริ่มนั่ง ( ไม่ต้องหย่อนมาก )   การปฏิบัติมักจะผิด  เพราะงอเข่าก่อน  ให้หย่อนก้นหงาย  เชิงกรานเข่าจะงอไปข้างหน้าเอง  ไม่จำเป็นย่อต่ำ  เมื่อทำถูกจะรู้สึกกดแน่นที่ฝ่าเท้าให้หาตำแหน่งกายที่นำหนักตัวตกผ่านกลางฝ่าเท้า  เมื่อยืนได้เข้าที่แล้ว  กล้ามเนื้อขาไม่ควรเกร็ง  ในจังหวะแกว่งแขนไปด้านหลัง ให้หดท้องน้อยพร้อมๆกับขมิบฝีเย็บ ( ส่วนที่อยู่ระหว่างทวารหนักกับอวัยวะเพศ )  สะโพกหมุนช้อนไปข้างหน้า ทั้งหมดนี้อาจต้องใช้เวลาฝึกสักหน่อยก็จะทำได้  ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะเหมือนกับตอนที่วาดพายขณะพายเรือ  สะโพกจะไปข้างหน้าในจังหวะที่พายไปข้างหลัง

๘. แกว่งในจำนวนครั้งที่ให้ผลอย่างสม่ำเสมอ  แม้ว่าการทำให้ถูกวิธีจะสำคัญ  สิ่งที่สำคัญที่สุดกลับเป็นการแกว่งแขนที่มากพอ และทำโดยสม่ำเสมอ  ควรเริ่มที่ ๒๐๐ – ๓๐๐ ครั้ง  สังเกตตัวเองว่ารู้สึกสบายดี  ไม่เหนื่อยไป  แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มจำนวนครั้งที่ให้ผลดีสำหรับคนทั่วไปจะอยู่ที่ ๑,๕๐๐ – ๒,๐๐๐ ครั้งต่อรอบ  เราอาจทำ ๒ -๓ รอบต่อวันตามกำลัง  อย่าลืมนะครับ  อย่าฝืน  อย่ารีบเพิ่ม  ให้ค่อยๆ ทำอย่างสบายๆ  จะได้ผลที่ดีจริงนะครับ  โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อาจต้องการให้ได้ผลเร็วจนอาจฝืนตัวเอง  ควรมีคนคอยช่วยสังเกตว่า ควรทำมากเท่าไรจะช่วยให้ปลอดภัย และได้ผลดีขึ้น

เมื่อแกว่งแขนเสร็จไม่ควรนั่งทันที  ควรยืนหรือเดินสักครู่  ให้ร่างกายได้ปรับการหมุนเวียนเลือดลมก่อน  แต่ถ้ารู้สึกเหนื่อยยืนไม่ไหว  ให้นอนราบจนหายเหนื่อย  การนอนบนพื้นปูน พื้นหินที่เย็นต้องมีผ้า หรือที่นอนแข็งรอง  เพื่อไม่ให้ร่างกายที่ร้อนจากการบริหารกายกระทบความเย็นกระทันหัน  อาจทำให้ป่วยได้

อยากเชิญชวนอากง  อาม่า  อาเจ็ก  อาแปะ  อาเฮีย  อาแจ้  อาซ่อ  และเพื่อนพ้องน้องพี่  ทุกชาติทุกภาษา  ทุกๆ ท่านมาออกกำลังกายเพื่อความสุขสบายของเราเอง  จะชอบอย่างไหนก็ดีทั้งนั้น  ขอให้ทำให้สม่ำเสมอเถอะครับ  สวัสดีครับ

ปรับปรุงล่าสุด  ๒๘ มิ.ย. ๒๕๕๓

หนังสืออ่านเพิ่มเติม

๑. กายบริหารบำบัด ด้วยวิธีแกว่งแขน  ศักดิ์  อนุสรณ์  สนพ. สุขภาพใจ

๒. กายบริหารแกว่งแขนบำบัดโรค  คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของพระโพธิธรรม ( ต๋าโม๋อี้จินจิง )  รัศมีธรรม เรียบเรียง

๓   ชี่กง พลังสร้างสุข  นพ.เทอดศักดิ์  เดชคง  บ. อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #94 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2553, 23:18:20 »

 ขอบคุณพี่เจี๊ยบค่ะ  การแกว่งแขนดีจังค่ะ  น้ำอ้อยก็แกว่งค่ะ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #95 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2553, 09:04:28 »

จ้า ... น้องอ้อยออกกำลังกายด้วยวิธีไหนบ้าง ?  เล่าสู่กันฟังมั่งซี่ !

มะเร็ง คีโม และการดำรงชีวิต

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา


 
หลังจากหลายปี ที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง  ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำทางเลือกอื่นๆ อีก  ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์ ...

1. ทุกๆ คนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย  เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน  จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล  เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว  มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้  เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ  จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นได้ 6 ครั้ง ถึงมากกว่า 10 ครั้ง ในช่วงอายุของคนๆ หนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ  เซลมะเรงจะถูกทำลาย และป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัว และกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง  มันกำลังบอกว่าคนๆ นั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ  ซึ่งอาจเกิดจากยีน  สิ่งแวดล้อม  อาหารและ ปัจจัยอื่นๆ ในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ  การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหาร  รวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโม คือ การให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว  แต่ขณะเดียวกันมันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก  ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ  และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การฉายรังสี แม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง  แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้  เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสี มักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ  อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆ  พบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโม หรือการฉายรังสีมากเกินไป  ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้ หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง  ดังนั้นคนๆ นั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิด และทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโม และการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย  การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหาร เพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว 

อะไร คืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง ?

a. น้ำตาล คืออาหารของมะเร็ง  การตัดน้ำตาล คือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง  สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ  ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน  ซึ่งเป็นอันตราย  สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือ น้ำผึ้งมานูคา ( จากนิวซีแลนด์ ) หรือน้ำอ้อย  แต่ในปริมาณน้อยๆ เท่านั้น  เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว  ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หร อเกลือทะเลแทน

b. นม เป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก  โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร  เซลมะเร็งจะไ้ด้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก  การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม  จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดีในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด  อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น  ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด  รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู  ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ  ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์  และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่  ซึ่งล้วนเป็นอันตราย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้  พืชจำพวกหัว  เมล็ด  ถั่วเปลือกแข็ง  และผลไม้จำนวนเล็กน้อย  จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง  อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว  น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่าย และซึมซาบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที  เพื่อบำรุงร่างกาย และส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี  เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี  ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่  รวมทั้งถั่วที่มีหน่อ หรือต้นอ่อน)  และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน  เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C )
 
e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ  น้ำชา  และช๊อกโกแลต  ซึ่งมีคาเฟอีนสูง  ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดี และมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง  น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์  หรือที่ผ่านการกรอง  เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซิน และโลหะหนักในน้ำประปา  น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง


12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย  เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่า และมีความเป็นพิษมากขึ้น

13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้  การงด หรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง  จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง  และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [ inositol hexaphosphate หรือ phytic acid ], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ )  เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น  สารอาหารอื่นๆเ ช่น  วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล  หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล  ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ  หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ  ร่างกาย  และจิตวิญญาณ  การป้องกันเชิงรุก และการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง .... ความโกรธ  การไม่รู้จักให้อภัย  และความขมขื่นใจ  จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียด และมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น  ให้เรียนรู้ที่จะมีความรัก และจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย  เรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย และมีความสุขกับชีวิต

16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก  การออกกำลังกายทุกวัน  และการหายใจลึกๆ  จะช่วยให้่ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้น ลงไปจนระดับเซล  การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ท
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #96 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2553, 22:50:19 »

สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ ...

พี่เจี๊ยบขราาาา  น้ำอ้อยออกกำลังกายคือ เดินค่ะประมาณ 4 กิโลค่ะ  โยคะ ( ทำบางวันค่ะ )  ว่ายน้ำ
แกว่งแขน 500 ครั้งค่ะ ... ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ทำค่ะ  เพราะเจ็บขาค่ะ  ก่อนหน้านี้ตกบันไดค่ะ เลยหยุดการออกกำลังกายสักพักค่ะ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #97 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2553, 10:25:38 »


น้องอ้อยเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย และได้ปฏิบัติจริงๆ ด้วย  ดีจังค่ะ
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #98 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2553, 21:44:36 »

พี่เจีียบไม่อยู่หลายวันแล้วนะคะ...
 ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #99 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2553, 12:43:32 »

มาแล้วจ้า ... มีเรื่องกายบริหารเพื่อให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง สำหรับคนเป็นโรคปวดหลัง มาฝากด้วยนะคะ ...

วันละ 150 วินาที เพื่อห่างไกลโรคปวดหลัง

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา
 

          ผู้เขียนมีโรคประจำตัวคือ โรคปวดหลัง  ซึ่งมีสาเหตุจากหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท  และเป็นต่อเนื่องมานานร่วมยี่สิบปี  ผ่าตัดมาแล้วสองครั้ง  นอนรอคิวผ่าตัดครั้งที่สามมาแล้วสามวันที่โรงพยาบาลเลิดสิน  ก่อนคณะแพทย์มีความเห็นว่าไม่ควรผ่าตัดเพราะอาการไม่รุนแรงถึงขั้นดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก  ทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี  ได้รับการรักษา และคำแนะนำจากแพทย์หลายท่านที่มากไปด้วยประสพการณ์  รวมทั้งที่ชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ  แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งอาการปวดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวได้  จนวันนี้มีอาการดีขึ้นจึงอยากสรุปความเห็นเผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ร่วม ชะตากรรมคนอื่นๆ
         
          อาการเริ่มต้นครั้งแรก เกิดจากก้มตัวลงยกของอย่างไม่ถูกท่าทาง  มีอาการแปล๊บขึ้นที่กระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอว  ขณะนั้นขยับขาทั้งสองข้างต่อไม่ได้  รอไม่ถึงห้านาทีเริ่มทุเลา  จึงค่อยๆ ขึ้นรถขับไปหาหมอด้วยตนเอง  แต่ยังคงเดินแบบลากขาอย่างช้าๆ  หมอที่คลินิคให้ความเห็นว่ากล้ามเนื้อคงอักเสบ  จึงฉีดยาแก้ปวดและอักเสบให้  กลับไปบ้านต้องหยุดงาน  เพราะเดินไม่สะดวกไปสามวัน

          หลังจากนั้นอาการแปล๊บๆ ข้างต้นก็จะเกิดกับตนเองปีละสองสามครั้งอยู่หลายปี  ทุกครั้งต้องหยุดพักผ่อนอย่างน้อยสามถึงสี่วัน  เพราะลุกเดินไม่ไหว  จนไปพบแพทย์ออร์โธปีดิคเฉพาะทางซึ่งนับเป็นกระบี่มือหนึ่งของจังหวัด  รักษากันอยู่นานเป็นปี  โดยเริ่มจากยากิน ยาฉีด และเอ็กซเรย์แบบคอมพิวเตอร์  ติดตามดูอาการ  จนสุดท้ายหมอสั่งให้ไปทำเอ็กซเรย์ MRI ที่ รพ.บำรุงราษฎร์ กทม.  ซึ่งขณะนั้นมีอยู่แห่งเดียวในประเทศไทย  ภาพจากฟิล์มฟ้องว่าหมอนรองกระดูกสันหลังมันปลิ้นออกมาขวาง และดันไขสันหลัง  และเส้นประสาทจนเกิดอาการชาไปถึงหลังเท้า  หมอตัดสินใจผ่าตัด เพื่อขูดเอาหมอนรองกระดูกที่แตกออก  โดยเปิดแผลคืบนึงที่หน้าท้อง พร้อมทั้งตัดกระดูกเชิงกรานมาแว่นนึงขนาดเท่ากับหมอนรองกระดูกที่ขูดออก อัดเข้าไปรับช่องว่างข้อกระดูกสันหลังแทน  ซึ่งแน่นอนมันจะส่งผลให้ข้อต่อส่วนนี้ไม่มีการยืดหยุ่นอีกต่อไป  เวลาผ่านไประยะนึงมันก็จะเชื่อมข้อบนและข้อล่างให้ต่อเป็นชิ้นเดียวกัน  งานนี้ต้องหยุดพักรักษาแผลไปร่วมเดือน

          หลังผ่าตัดก็ยังคงพบแพทย์เพื่อติดตามอาการเป็นระยะๆ  จากสัปดาห์  เป็นเดือน  เป็นปี  แต่อาการดูเหมือนมันยังไม่หายขาด  แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าเก่ามาก  สุดท้ายหมอขอแก้ตัวอีกครั้งโดยการผ่าตัดจากด้านหลัง  เปิดแผลช่วงกระดูกสันหลังที่มีปัญหา  พร้อมยึดโยงข้อกระดูกสันหลังบน และล่างด้วยโลหะ  เพื่อเสริมความแข็งแรงไม่ให้เกิดการเสียดสี หรือกดทับเส้นประสาทอีก  งานนี้ต้องพักรักษาแผลไปเกือบสามอาทิตย์  แต่ก็พบว่าอาการที่ยังคงชาอยู่ที่หลังเท้าไม่ได้หายขาดไป  เลยรู้สึกปลงๆ และไม่สนใจอะไรมากมายอีก  นานๆ เป็นปีถึงจะเจ็บหนักๆ สักครั้งนึง เลยถือโอกาสยอมรับว่ามันคงเป็นอย่างนี้แหละจนเวลาล่วงเลยไปไปอีกหลายปี

          ประมาณปี 2544  ก็เริ่มเกิดอาการปวดระดับต้องนอนพักถี่ขึ้น  ไปพบแพทย์ที่รพ.กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นแพทย์ประจำรพ.เลิดสิน  เชี่ยวชาญเรื่องกระดูก  เอ็กซเรย์ไปหลายครั้งทั้งธรรมดา และแบบสแกนคอมพิวเตอร์  แต่ก็เห็นไม่ชัด  เลยต้องลองทำ MRI อีกครั้ง  ปรากฏว่าภาพเกิดแสงสะท้อนมากจนดูไม่รู้เรื่อง  เพราะมีโลหะอยู่ข้างใน  สุดท้ายคุณหมอขอฉีดสีเข้าไขสันหลังเพื่อให้ภาพเอ็กซเรย์ธรรมดาชัดเจนมากขึ้น  ช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำ  ครั้งนี้พบว่ามีหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทเพิ่มอีกสองตำแหน่ง คือ ข้อบน และข้อล่างของข้อที่เคยมีปัญหามาก่อน  ซึ่งคุณหมอบอกว่าเกิดจากข้อที่เสียไปไม่ยืดหยุ่น  จึงไปเพิ่มภาระให้กับข้อบน และล่างมากกว่าปกติ ... เฮ้อ !  ... เวรกรรม  ไม่รู้เพราะตอนเด็กไปตีงูหลังหักไปหลายตัวจนตาย  กรรมเลยตามสนองในชาตินี้เลยหรือปล่าว ...

          สุดท้ายหมอนัดให้ไปนอนรอที่ รพ.เลิดสิน เพื่อผ่าตัด  นอนรออยู่สามวันคณะแพทย์ของรพ.เลิดสิน มาแจ้งผลว่ายกเลิกนัดที่จะผ่าตัด  เพราะไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะผ่าตัดจุดเดิมซ้ำซากหลายๆ ครั้ง  เลยจำใจอดทนรับการเจ็บปวดปีละหลายครั้งต่อไป  จนกระทั่งปี 2546 ต้องโยกย้ายไปช่วยงานที่เมืองจีนสามปี  ระหว่างอยู่ที่นั่นก็นับว่าโชคดีที่เกิดการปวดรุนแรงไม่บ่อยมาก  ส่วนใหญ่พอเริ่มมีอาการเพียงเล็กน้อยก็จะรีบกินยากันไว้  และระวังท่าทางการเคลื่อนไหวไม่ให้เสี่ยงเจ็บเป็นกรณีพิเศษ  ทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทย  ต้องแวะหาหมอเพื่อตรวจอาการ  และขอยาไปสำรองไว้ครั้งละร่วมหมื่น  มีอยู่หลายครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้านได้รับคำแนะนำให้ไปหาหมอคนนั้น คนนี้  ซึ่งแต่ละท่านมีชื่อเสียงระดับประเทศ  ก็ลองไปขอคำปรึกษามาแล้วทั้งนั้น  เพื่อสร้างความมั่นใจว่าช่วงทำงานในจีนจะไม่เกิดปัญหาบาดเจ็บรุนแรงจนเสียการเสียงาน

          มีคุณหมอท่านหนึ่งของโรงพยาบาลจุฬาฯ สรุปอย่างตรงประเด็นให้ฟังว่า  โรคนี้น่ะมันรักษาไม่หายขาดหรอก  หากเจ็บบ่อย หรือชาลงขามากก็ผ่าตัดสถานเดียว  และถ้าเจ็บจุดอื่นต่อไปก็ต้องผ่าตัดไปเรื่อยๆ  แต่มีทางช่วยป้องกัน และลดโอกาสการเจ็บปวดได้  โดยต้องบริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรง  เพื่อยึดโยงกระดูกสันหลังให้มั่นคง  ซึ่งฟังดูแล้วก็เห็นคล้อยตามที่หมอบอกเลยว่าจริง  แต่หมอสอนท่าบริหารกล้ามเนื้อหลังมาให้หลายท่า ซึ่งใช้เวลาต่อครั้งเกินชั่วโมง และไม่เหมาะกับคนขี้เกียจบริหารตัวเอง  และคงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าบริหารอย่างไร  เพราะผมเองทำอยู่ได้ไม่กี่วันก็ยอมแพ้ เอาเป็นว่าตอนนี้เริ่มเก็ทแล้วว่าหัวใจของปัญหาอยู่ที่กล้ามเนื้อหลัง

          หลังจากย้ายกลับจากจีน เพราะสุขภาพโดยรวมไม่เอื้ออำนวยให้ลุยงานที่ต้องสมบุกสมบันที่นั่น  เมื่อเกิดอาการปวดอีกก็เลยไปพบคุณหมอสมศักดิ์ที่มักจะหาอยู่เป็นประจำที่ รพ.กรุงเทพฯ  คุณหมอเองก็พยายามจะบอกว่า  ฟังประวัติการรักษาที่ผ่านมา  ถ้าท่านเป็นผู้ผ่าตัดตั้งแต่ครั้งแรกๆ  ท่านจะต้องบังคับให้ทำกายภาพบำบัดด้วยตนเอง  หลังแผลหายดีแล้ว  ซึ่งหากทำมาตั้งแต่แรกก็คงจะช่วยทำให้ไม่ต้องมาพบหมออีกเหมือนในตอนนี้  เพราะกายภาพบำบัดโดยบริหารกล้ามเนื้อหลังจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากอีกต่อไป  เพียงแต่เราต้องไม่หลีกเลี่ยงบริหารเป็นประจำทุกวัน  ซึ่งหลังจากคุณหมอได้อธิบายวิธีการบริหารแล้ว  รู้สึกได้เลยว่าหมูมาก  และใช้เวลาน้อยมากๆ ต่อวัน  จึงเริ่มทำต่อเนื่องมาได้สองสามเดือนแล้ว  รู้สึกว่าแผ่นหลังแข็งแรงขึ้น  พร้อมกับหน้าท้องก็เฟิร์มขึ้น  ที่สำคัญอาการเจ็บแปล๊บๆ ที่เป็นบ่อย แต่ไม่รุนแรงหลายเดือนก่อนหน้าหายขาดไปเลย  ทั้งที่ช่วงต้นปีเป็นต้นมาชักเริ่มมีปัญหาถี่มาก  จนคุณหมอเองยังออกปากว่าถ้าลองบริหารแล้วไม่ดีขึ้น  ก็คงต้องผ่าตัดแน่นอน  ด้วยก่อนหน้านี้อัดไปทั้งยาฉีด, ยารักษา, ยาบำรุงเต็มพิกัดแล้ว  เมื่อผลออกมาว่าอาการปวดหายเหมือนปลิดทิ้งอย่างนี้  เลยต้องยกเครดิตให้การบริหารกล้ามเนื้อหลังเป็นพระเอกตัวจริง  อยากรู้แล้วใช่มั้ยครับว่าทำยังไง ?

          เอ้าฟังนะ ... ตื่นเช้าทุก วันให้บริหารกล้ามเนื้อหลังดังนี้

*  นอนหงายยืดเท้าตรงแนบชิด กัน

*  ยกปลายเท้าลอยสูงขึ้น ประมาณหนึ่งฟุต ( ไม่ควรยกให้สูงกว่านี้ )

*  ฝืนค้างไว้พร้อมนับสิบ วินาที

*  ครบแล้วลดปลายเท้าวางลงพัก  ห้าวินาที ... ดังนี้คือหนึ่งเซ็ท

*  ทำติดต่อกันรวมสิบเซ็ท  นั่นหมายถึงใช้เวลาไปรวม 150 วินาทีต่อวันเท่านั้น


เห็น แล้วยังครับ ว่ามันง่ายมากจริงๆ

@ แต่ละสัปดาห์ให้เพิ่ม น้ำหนัก 500 กรัมถ่วงไว้ ( อาจใช้ถุงทรายที่มีขายทั่วไป )

@ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะ  ค่อยๆ สร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อหลังเพื่อแก้ปัญหาที่เหตุ

@ น้ำหนักถ่วงที่เพิ่มขึ้น  จะสิ้นสุดที่เท่าใดเหรอครับ  คุณหมอบอกว่าจนกว่ายกไม่ไหว ... แต่น้ำหนักขั้นต่ำที่แต่ละคนต้องยกให้ได้  มีวิธีคำนวณดังนี้ครับ


น้ำหนักขั้นต่ำที่ต้องยกได้ = น้ำหนักตัว – น้ำหนักท่อนขาสองข้าง / 10


โดยปรกติน้ำหนักท่อนขาสองข้างประมาณ 10 กิโลกรัม  ถ้าอ้วนหรือผอมกว่าปกติ  ก็ปรับเพิ่ม หรือลดเอาตามความเหมาะสม ( อย่าบอกว่าขาสองข้างหนัก 50 โลนะ )  หวังว่าวิทยาทานในการบริหารด้วยตนเองวันละ 150 วินาที  จะช่วยให้ผู้เป็นโรคปวดหลังคลายทุกข์ได้ในเร็ววันนี้นะครับ  และขอให้ผลบุญที่ช่วยให้ผู้อื่นคลายทุกข์  จงอย่าได้มีอาการปวดหลังมากล้ำกลายข้าพเจ้าอีกต่อไปเลย  ส่งต่อมากๆก็ได้บุญอีกมากๆ นะครับ

วิวัฒน์  อัครวิเนค
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #100 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2553, 13:21:40 »

หมอนรองกระดูกกับอาการปวดหลังจากการทำงาน

ผศ.ดร.วรรธนะ  ชลายนเดชะ

จาก  :  http://www.doctor.or.th/node/1523

การบาดเจ็บจากการทำงาน  ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บแบบเฉียบพลัน และแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้นป้องกันได้  ความรู้ และความเข้าใจของคนทำงานมีส่วนสำคัญอย่างมาก  เพื่อป้องกันตัวเองมิให้บาดเจ็บจากการทำงาน

คนทำงานมักพบอาการปวดหลังได้บ่อย  คนทั่วไปประมาณ ๑ ใน ๖ เคยมีอาการปวดหลังที่ต้องนอนพักอย่างน้อย ๑ ครั้งในชีวิต  อาการปวดหลังส่วนใหญ่เกิดจากการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน  การเรียนรู้เรื่องของหลัง ( back school ) ทำให้คนทำงานตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อหลัง เข้าใจกลไกการบาดเจ็บ  และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน  เนื่องจากอาการปวดหลังส่วนหนึ่งมาจากหมอนรองกระดูก  ครั้งนี้จึงนำเสนอเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกสันหลัง และวิธีป้องกันไม่ให้ปวดหลังจากการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกสันหลัง

การเรียงตัวของกระดูกสันหลัง

กระดูกสันหลังมีทั้งหมด ๒๖ ชิ้น เรียงตัวกันเป็นส่วนโค้ง ๓ ส่วน โดยกระดูกสันหลังส่วนคอจะโค้งไปทางด้านหน้า ส่วนอกจะโค้งไปด้านหลัง ส่วนเอวหรือหลังส่วนล่างจะโค้งไปทางด้านหน้า ( lordotic curve ) ดังรูปที่ ๑  การเรียงตัวของกระดูกสันหลังเป็นส่วนโค้ง  แทนที่จะเป็นแท่งตรงเหมือนลำไม้ไผ่  เพื่อที่จะลดแรงกระแทกจากพื้นมาสู่ศีรษะเวลาเดิน  คล้ายกับสปริง หรือแหนบกันกระเทือนในรถยนต์  ส่วนโค้งแต่ละช่วงมีความสำคัญ  ถ้าแอ่นมากขึ้นหรือมีความโค้งน้อยลงอยู่นานๆ  จะส่งผลทำให้เกิดอาการปวดได้  กระดูกสันหลังต่อเรียงกันด้วยหมอนรองกระดูกทางด้านหน้า และข้อสันหลัง ๒ ข้อทางด้านหลัง  ข้อดีของการมีหลายข้อต่อเรียงกันเป็นกระดูกสันหลังคือ  เราสามารถจะเคลื่อนไหวส่วนของหลังได้หลายทิศทางตั้งแต่ก้ม-เงย หมุนซ้าย-ขวา เอียงซ้าย-ขวา  รวมทั้งหลายทิศทางพร้อมกัน  เช่น การก้มหลังพร้อมกับการบิดและเอียงตัวในเวลาเดียวกัน  แต่ข้อเสียของการเคลื่อนไหวได้หลายทิศทางคือส่วนของหลังจะมีความมั่นคงน้อยลง และจะบาดเจ็บได้ง่าย



หมอนรองกระดูก

หมอนรองกระดูกเป็นโครงสร้างที่ช่วยรับน้ำหนัก และลดแรงกระแทกคล้ายกับระบบกันกระเทือนของรถยนต์  ถ้าจะเปรียบเทียบกับลักษณะของหมอนรองกระดูกจะคล้ายกับขนมเด็กที่เป็นเยลลี่รูปสัตว์  ด้านนอกจะเหนียวขณะที่ด้านในเป็นน้ำ  การบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง  ตัวหมอนรองกระดูกเองมีเส้นประสาทมาเลี้ยงน้อยมาก  เมื่อแตกหรือปลิ้นจะไม่เจ็บที่ตัวหมอน  แต่อาจอักเสบหรือกดทับเอ็น กระดูกและเส้นประสาทที่อยู่ใกล้  ทำให้มีอาการปวดบริเวณหลังส่วนล่างรวมทั้งมีอาการปวดที่ขาได้  อาการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกไม่จำเป็นต้องมีอาการปวดทันทีเสมอไป  ถ้าหมอนรองกระดูกแตก และปลิ้นจะเกิดอาการอักเสบ บวม และจะค่อยๆ มีอาการปวดน้อยๆ  จนกระทั่งปวดมากในชั่วโมงที่ ๘ ถึง ๑๒  เพราะอาการอักเสบนั้นไปรบกวนเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียง

การแตกและปลิ้นของหมอนรองกระดูก

การบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกจะสัมพันธ์กับกรณีต่อไปนี้

๑. การก้มหลังจนสุด

๒. การนั่งเป็นเวลานาน

๓. ช่วงเวลาในแต่ละวัน  ตอนเช้าจะมีความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บมากกว่า

๔. การก้ม บิด เอียง ซ้ำๆ กันหลายครั้ง จนกระทั่งเนื้อเยื่อหมอนล้า และการแตก

๕. คนอายุน้อย  พบว่าคนในวัยทำงานจะมีสารน้ำในหมอนรองกระดูกมากกว่าคนสูงอายุ  จึงมีแรงดันในหมอนสูง โอกาสที่จะแตกจะง่ายกว่า

การก้มตัว

การก้มตัวทำได้ ๒ แบบ คือ การงอที่สะโพก ( รูปที่ ๒ ) และการงอที่หลังส่วนล่าง ( รูปที่ ๓)   จะเห็นว่าการงอที่สะโพกจะยังมีส่วนโค้งของหลังอยู่  ส่วนการงอที่หลังทำให้โค้งกลับไปทางด้านหลัง ( reverse lordotic curve ) การงอหลังแบบนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้หมอนรองกระดูก สันหลังบาดเจ็บได้ง่าย

การนั่ง

การนั่งจะทำให้ส่วนโค้งของหลังน้อยลงหรือกลับทิศ ( reverse lordotic curve ) ดังรูปที่ ๔  การโค้งกลับทิศในลักษณะนี้ร่วมกับแรงกดจากน้ำหนักตัวส่วนบน  จะทำให้หมอนรองกระดูกมีโอกาสปลิ้นออกทางด้านหลังได้ง่าย  การนั่งนานจะทำให้แรงกดที่หมอนรองกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งมีค่ามาก

ช่วงเวลาในแต่ละวัน

เมื่อนอนลงจะมีการดึงน้ำไปอยู่ในตัวหมอนรองกระดูก การที่มีน้ำเข้าไปอยู่ในหมอนรองกระดูกมาก  ทำให้หมอนรองกระดูกบาดเจ็บได้ง่าย  ขณะตื่นนอนใหม่จึงมีความเสี่ยงที่จะมีการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกมากกว่าช่วงเย็น



การป้องกันไม่ให้ปวดหลังจากหมอนรองกระดูก

จากความรู้ข้างต้นนำมาสู่คำแนะนำที่จะช่วยป้องกันไม่ให้มีอาการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกได้ ดังนี้

๑. อย่างอหลัง เมื่อยกวัตถุ  ให้พยายามรักษาส่วนโค้งของหลังให้คงอยู่ขณะยกวัตถุให้งอที่สะโพก

๒. อย่านั่งนานเกิน ๒ ชั่วโมง ให้ลุกเดินเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ

๓. เปลี่ยนท่านั่งบ่อยๆ เช่น นั่งหลังตรง นั่งพิงหลัง นั่งเอามือเท้าโต๊ะ สลับกัน

๔. ถ้าจำเป็นต้องนั่งนาน เช่น นั่งขับรถ ให้แอ่นหลัง พิงพนัก ๕ วินาที เพื่อลดแรงกดที่หมอนรองกระดูก

๕. ผู้ที่นั่งนาน และต้องลุกมายกวัตถุทันที เช่น พนักงานขับรถส่งของต้องพยายามแอ่นหลังบ่อยๆ  ขณะขับรถหรือหาหมอนมาหนุนหลังส่วนล่างในขณะขับรถ  ถ้ามีเวลาพอ  เมื่อลงจากรถให้ยืนแอ่นหลังประมาณ ๕ วินาที จึงเริ่มยกวัตถุ

๖. หลังตื่นนอนหลีกเลี่ยงการก้มหลัง หรือการออกกำลังกายที่ต้องก้มหลัง งอหลัง การยกวัตถุหนัก อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง

๗. ไม่ออกกำลังกายกล้ามเนื้อหน้าท้องแบบมีแรงต้านในท่านั่ง  เพราะเป็นการงอหลังซ้ำๆ หลายครั้ง  ขณะที่มีแรงดันในหมอนรองกระดูกสูง  มีโอกาสบาดเจ็บสูง

๘. ออกแบบสภาพงานให้เหมาะสม เช่น ไม่ให้ยกวัตถุหนักจากที่ต่ำ บิดหรือเอียงตัว ยกวัตถุห่างตัว และยกวัตถุที่หนักเกินกำลัง

อาการปวดหลังนั้นไม่จำเป็นต้องมาจากหมอนรองกระดูกเสมอไป  ยังมีเนื้อเยื่ออื่นๆ ที่อาจบาดเจ็บได้ เช่น กล้ามเนื้อ หรือเอ็นที่อยู่บริเวณนั้น หรือมาจากสาเหตุอื่น  เช่น การอักเสบของอวัยวะภายใน มะเร็งของกระดูก ตัวหมอนรองกระดูกนั้นเสื่อมสภาพตามวัยเหมือนกระดูก  คนประมาณร้อยละ ๓๐ ที่ไม่เคยปวดหลัง  มีหมอนรองกระดูกปลิ้น บางครั้งชัดเจนมากแต่ไม่มีอาการ

อย่าลืมว่าคนทำงานไม่งอหลังขณะยกวัตถุ ไม่นั่งนาน  ไม่ก้มหลังหรือยกวัตถุเมื่อตื่นนอนใหม่ๆ  ไม่ยกวัตถุหนักเกินกำลัง  ปรับสภาพงานให้เหมาะสม ทำเช่นนี้ท่านจะห่างไกลอาการปวดหลังจากการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูก
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #101 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2553, 17:55:38 »

พลังบำบัดจาก " น้ำมะพร้าว "

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา
 
เดี๋ยวนี้มีน้ำผลไม้ให้เราเลือกดื่มมากมาย  แต่รู้ไหมว่า น้ำมะพร้าวราคาถูกแสนถูกนี่แหละค่ะ  ถือเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง  เพราะนอกจากจะมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการแล้ว  ยังมีประโยชน์ในการขับสารพิษ และชำระล้างร่างกายด้วย  ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิว หรือมีปัญหาประจำเดือนไม่ปรกติ  น้ำมะพร้าวจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียออกมา  ทำให้ร่างกายมีความสมดุลขึ้น



มะพร้าวมีลำต้นสูง  ทำให้ธาตุอาหารต่างๆ ในดินที่ต้นมะพร้าวดูดขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้น และผล  ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงผลที่อยู่ข้างบน  น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก  น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย  นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง  สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป  หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง  บำรุงเส้นเอ็น  ใช้รักษาโรคกระดูกได้  ส่วนคนจีนเชื่อว่า มะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง  มีสรรพคุณในการขับพยาธิ

สำหรับคนไข้ที่อาเจียน และท้องร่วงในเวลาเดียวกัน  สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้

น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน  ทุกเพศทุกวัย  เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ  ทำให้ร่างกายสดชื่น  ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม  อย่างไรก็ตาม  คนเป็นโรคไต และโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม  เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน  ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว

หากเปิดลูกมะพร้าว  แล้วควรดื่มน้ำเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน  ในส่วนของเนื้อก็ไม่ควรทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง ( แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม )  ควรกินให้หมดทีเดียว

ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าว  ควรระวังเรื่องสารฟอกขาว  หากเป็นไปได้ควรซื้อมะพร้าวเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง  ค่อยๆ ตัดทีละลูกจากทะลายเมื่อต้องการดื่มน้ำ  มะพร้าวบริสุทธิ์ที่มาจากธรรมชาติแท้ๆ  มีประโยชน์กว่าน้ำอัดลม  น้ำหวาน  หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง  เพราะไม่ทำให้เกิดพิษ หรือท็อกซินขึ้นในร่างกาย  วันนี้คุณดื่มน้ำมะพร้าวหรือยังคะ ?

เพิ่มเติมจาก  :  http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=5567.0;prev_next=prev

งานวิจัยชั้นเยี่ยม จากดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่าน้ำมะพร้าวอ่อนช่วยชะลอเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้  เนื่องจากมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง  
  
          ข้อสรุปนี้ได้จากการทดลองกับหนูขาวเพศเมีย 2 กลุ่ม ที่ตัดรังไข่ออกเพื่อเป็นตัวแทนสตรีวัยทอง  เพราะเชื่อกันว่าผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่าผู้ชาย  เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน  และปัจจัยด้านอายุที่ผู้หญิงมักมีอายุยืนกว่าผู้ชาย ( จึงมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่า )

          ผลการวิจัย พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับน้ำมะพร้าวเป็นเวลา 5 สัปดาห์  มีอาการของโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าหนูกลุ่มที่ไม่ได้รับน้ำมะพร้าวอ่อน  ซึ่งผู้วิจัยจะพัฒนาน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นอาหารเสริม และยา  เพื่อชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ต่อไป  นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าน้ำมะพร้าวอ่อนช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้น  และไม่มีแผลเป็นด้วย  ซึ่งอาจมีการสกัดน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นยาสมานแผลและเครื่องสำอางต่อไปในอนาคต


เพิ่มเติมจาก  :   http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:DhNG_pOBghYJ:ku30.songchai.net/%3Fp%3D1626+%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99&cd=2&hl=th&ct=clnk&gl=th

มากินน้ำมะพร้าวอ่อนกันเถอะ

โดย สมหมาย คณานิตย์  และภรรยา  บ้านสุขภาพดี  คลินิกแพทย์แผนไทย  นนทบุรี

เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง ประกอบด้วยโพแทสเซียม  รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลีย เนื่องจากอาการท้องเสีย หรือท้องร่วงได้  จึงจัดเป็น “ สปอร์ต ดริ๊งค์ ” สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย  และยังมีคุณสมบัติ ปลอดเชื้อโรค  เป็นสารละลาย ไอโซโทนิก ( สารละลายที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายในเซลล์ )  สามารถลดอาการขาดน้ำได้ดี ลดอาการเมาหลังดื่มแอลกอฮอล์

- การดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นประจำยัง ช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น เนื่องจากกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี
          
- มีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์  หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง
                                  
- ยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกายจึงช่วย  ให้ผิวพรรณ ผ่องใส

- สำหรับสตรีวัยทอง หรือกำลังเข้าสู่วัยทอง ควรดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน สัปดาห์ละ 2-3 ลูก จะช่วยทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายสมดุล ทำให้แก่ช้าลง และไม่ต้องทานฮอร์โมนเสริม

ไฟโตเอสโตรเจน  ( Phyto-estrogen ) เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า  เพราะมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับเอสโตรเจนในคนแต่ฤทธิ์อ่อนกว่า  มีหน้าที่ เข้าไปจับกับตัวรับเอสโตรเจนที่เซลล์ และหยุดยั้งปฏิกริยาของเซลล์ที่มีต่อฮอร์โมนที่รุนแรงกว่าตัวมัน  เป็นผลให้ทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้งเอสโตรเจน เพื่อไม่ให้ร่างกายผลิตมากเกินไปได้  และการทำงานของไฟโตเอสโตรเจนนี้ก็จะปรับไปตามระดับเอสโตรเจน ที่คนเรามีอยู่ในร่างกาย  ซึ่งหากอยู่ในช่วงที่ประจำเดือนมาปกติ  ร่างกายก็จะขับออกไปได้เองกับปัสสาวะ  แต่ถ้าเป็นช่วงวัยหมดประจำเดือน  ร่างกายผลิตเอสโตรเจนเองได้น้อย ไฟโตเอสโตรเจนก็จะเข้าไปทำหน้าที่แทน
 
    ดังนั้น…สตรีที่เข้าสู่วัยทองหรือกำลังจะเข้าสู่วัยทองสามารถรับประทานน้ำมะพร้าวอ่อนได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกลัวเรื่องเอสโตรเจนเกิน จะเป็นผลให้เกิดมะเร็งเต้านมอีกต่อไป
 
ข้อดีของน้ำมะพร้าวอ่อน…

      *ช่วยลดอาการก่อนมีรอบเดือน ของสตรีวัยเจริญพันธุ์เช่นอาการปวดศีรษะ  ปวดท้องน้อย
 
      *ถ้าทานน้ำมะพร้าว พร้อมกับเนื้อ ร่างกายจะได้ทั้งเอสโตรเจน และโปรเจสติน ซึ่งจะไปออกฤทธิ์ ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน ทำให้สิวลดลง ผิวพรรณเรียบเนียน แลดูสุขภาพผิวดีขึ้น  เหมาะสำหรับวัยรุ่นที่เป็นสิว
 
      *ช่วยตับทำลาย “ เอสโทรน ” ( estrone ) ซึ่งเป็นสารที่ถูกเปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน ให้กลายเป็นสาร  “ เอสไทรออล ” ( estriol ) ซึ่งถือว่าเป็นรูปเอสโตรเจนที่ปลอดภัยที่สุด  คนที่รับประทานน้ำมะพร้าวอ่อนสามารถป้องกันมะเร็งเต้านมได้  เพราะทานน้ำมะพร้าวอ่อนจะช่วยรักษาสมดุลเอสโตรเจนได้

      *ลดอาการ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน ในสตรีวัยหมดประจำเดือน

      *นอกจากนี้  น้ำมะพร้าวยังเอาไว้ล้างหน้าที่สดใสเปล่งปลั่งได้  เนื่องจากน้ำมะพร้าวประกอบไปด้วยเกลือแร่  และยังเป็นกรดอ่อนๆ  ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้สดใสอยู่เสมอ

       *สำหรับสาวๆ ที่ชอบสปา อาบน้ำแร่  หันมาอาบน้ำมะพร้าวก็ได้นะ  เพราะน้ำมะพร้าวอ่อนมีฮอร์โมน แถมยังซึมเข้าสู่ผิวได้ดีอีกด้วย  อาบบ่อยๆ ผิวพรรณจะเต่งตึง สวยเหมือนสาวยุค 2010

ข้อควรระวัง …

สำหรับวัยรุ่น  ถ้าจะทานน้ำมะพร้าวอ่อน  ไม่ควรรับประทานขณะมีประจำเดือน  เพราะอาจทำให้มีไข้  เนื่องจากน้ำมะพร้าวเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูง  และจะทำให้ประจำเดือนมานานวันเพิ่มขึ้น  ควรงดก่อนมีประจำเดือนสัก 5 วัน

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #102 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2553, 00:13:38 »

ไขมันในเลือดสูง High Cholesterol‏

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ...ส่งมา

ภาวะไขมันคลอเลสเตอรอลในเลือดสูง  รวมทั้ง HDL ในเลือดต่ำ  เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ



อะไรคือ  คลอเลสเตอรอล ?  อะไรคือ  HDL ?  อะไรคือไขมันอิ่มตัว  ไม่อิ่มตัว  ทุกวันนี้ไม่รู้ ไม่ทราบ ก็จะไม่ทันสมัย  ถ้าจะไม่ได้แล้ว  เพราะมีความเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอย่างใกล้ชิด
 
คลอเลสเตอรอล  เป็นชื่อเรียกสารประกอบไขมันชนิดหนึ่ง ซึ่งสังเคราะห์จากตับของสิ่งมีชีวิต ( มนุษย์ หรือสัตว์เท่านั้น ) ... คงไม่ผิดถ้าน้ำมันพืชชนิดหนึ่งจะโฆษณาว่า " ไม่มีคลอเลสเตอรอล " เพราะในตัวพืชไม่มีคลอเลสเตอรอล นั่นเอง

สำหรับคนเรา  ที่มาของคลอเลสเตอรอลในเลือดจึงอาจมาได้ 2 ทางคือ  การสังเคราะห์ขึ้นเองจากตับ  และรับเข้าไปจากการบริโภคอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูง ก็คือ ผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อสัตว์ต่างๆ  ยกเว้น ปลา  รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม และไข่แดง  ถ้าอยากให้คลอเลสเตอรอลในเลือดลด  แค่ลดอาหารที่มีคลอเลสเตอรอลสูง  ก็เท่านั้นเอง

บางคนอ่านแล้วก็บอกว่า ฟังดูง่าย แต่ทำ ( ใจ ) ยาก  โดยเฉพาะบุคคลประเภทที่นิยมภาษิตที่ว่า “ อย่าปล่อยให้ขาหมูลอยนวล ”   ของสุดอร่อย  แค่คิดต่อมน้ำลายก็เริ่มทำงานแล้ว  ที่มักจะเลี่ยงไปว่า  “ เอาเถอะน่า  นาน ๆ ที ” หรือ “ ถ้าหนังมีมันมาก ก็ลอกหนังออกทานแต่เนื้อแดงก็แล้วกัน ”  แต่หารู้ไม่ว่าในเนื้อแดงนั้นมีไขมันแทรกอยู่ถึง  30-40%  ทีเดียว

ถึงตรงนี้ถ้าใครที่อดไม่ได้จริง ๆ ก็อย่าเพิ่งท้อ  เพราะอย่างที่ตกลงกันตั้งแต่แรก คือ ทางสายกลาง หรือความพอดี  กินกันให้พอดีพอประมาณอย่างมีสติ  จะได้ไม่เกิดโทษภัยจากการกิน ( โอฐภัย )  อดไม่ได้ ทนไม่ได้ ก็ไม่ว่ากัน

กินไข่ ดี หรือไม่ดี ?



เรื่องของไข่ก็เช่นเดียวกัน  เป็นอาหารจานเด็ดทรงคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะไข่เจียวร้อน ๆ กับข้าวสวย  เหยาะพริกน้ำปลา แถมหอมซอยนิดหน่อย  อร่อยอย่าบอกใครเชียว

มีการศึกษาทีในอเมริกาให้อาสาสมัครที่ปกติ 2,000 คน  ซึ่งไม่มีภาวะไขมันในเลือดสูง  ทานไข่ไก่ 2 ฟอง ต่อวัน  ติดต่อกันเป็นเวลา 2 อาทิตย์  แล้วลองเจาะเลือดซ้ำ  พบว่าระดับไขมันในเลือดก่อน และหลัง  1  เดือน  ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ  คงเป็นข่าวที่ดีสำหรับสมาคมผู้เลี้ยงไก่  แต่ช้าก่อน ... ถ้าหากคุณมีภาวะไขมันในเลือดสูงอยู่แล้ว  จะต้องระมัดระวัง  เพราะไข่แดงนั้นมีคลอเลสเตอรอลสูงถึง 210  ม.ก./ ฟอง เลยทีเดียว  และทางการแพทย์แนะว่า คนที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด  ไม่ควรทานคลอเลสเตอรอลเกินกว่าวันละ 200 ม.ก.  และที่ยิ่งไปกว่านั้น  หากให้อาสาสมัครดังกล่าว  ทานไข่ ร่วมกับไขมันอิ่มตัว เช่น ไส้กรอก หรือ เบคอน ด้วยแล้ว จะทำให้ระดับของ คลอเลสเตอรอล เพิ่มขึ้นอย่างมาก

กล่าวถึงคลอเลสเตอรอล และอาหารต่าง ๆ มาเสียยืดยาว  เดี๋ยวผู้อ่านจะคิดไปได้ว่า เจ้าสารตัวนี้จะเป็นแต่วายร้าย ที่คอยไปอุดตันตามหลอดเลือด  จนก่อปัญหาหลอดเลือดอุดตัน

อันที่จริงคลอเลสเตอรอลก็เป็นสารที่ร่างกายจำเป็นต้องมีไว้ ( ในปริมาณที่เหมาะสม)   เพราะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่จะนำไปสร้างเยื่อบุผนังเซลล์  สร้างเป็นฮอร์โมนชนิดต่าง ๆ และที่สำคัญคือ  ไปสร้างเป็นน้ำดีไว้ย่อยไขมันในลำไส้  ฟังแล้วแปลกดี  ไขมันเอาไปย่อยไขมัน  น้ำดีที่ออกมาในลำไส้นี้ก็จะดูดซึมกลับไปยังตับอีก  วนเวียนเช่นนี้  นักวิทยาศาสตร์หัวใสเมื่อทราบดังนี้ก็ได้คิดผลิตยาชนิดหนึ่งซึ่งคอยจับกับน้ำดีในลำไส้  ชื่อว่า Choletyramine ให้น้ำดีถูกขับออกมาอย่างเดียวไม่ย้อนกลับไปยังตับ  คลอเลสเตอรอลก็จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำดีมากขึ้นๆ  ระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลงได้  แต่ที่เด็ดไปกว่านั้น  เมื่อเราทราบแล้วว่าคลอเลสเตอรอลสร้างจากตับ  ก็อาศัยยาที่ไปยับยั้งการสร้างคลอเลสเตอรอลจากตับเสียเลย  เราเรียกยากลุ่มนี้ว่า Statin ซึ่งเรื่องราคาค่อนข้างแพง  ราคาเม็ดหนึ่งประมาณ  20-50  บาท  จะทำอย่างไรได้ให้คุมอาหารก็ไม่ไหว  ให้ออกกำลังก็ไม่เอา  ก็คงต้องเสียเงินซื้อยาไปตามระเบียบ

มีรายงานทางการแพทย์  พบว่าผู้ที่มีระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดต่ำ  มีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้า ( Depression )  และมีโอกาสฆ่าตัวตายสูงกว่าปกติ !  อ่านแล้วก็อย่าเพิ่งตกใจเลิกคุมอาหาร  เลิกทานยา  เพราะคนที่ซึมเศร้าอยากฆ่าตัวตาย  คงไม่ค่อยมีกระจิตกระใจจะทานอาหาร  เลยทำให้ระดับไขมันต่ำ  ส่วนเราเป็นพวกอารมณ์ดีมีใจเบิกบาน  ก็เลยมีไขมันสูงเป็นธรรมดา


อะไรคือ ไขมันร้าย ไขมันดี ไตรกลีเซอไรด์

พูดถึงคลอเลสเตอรอลกันให้ละเอียดลึกซึ้ง  นอกจากจะมีทั้งประโยชน์ และโทษดังกล่าวแล้ว  แต่ถ้าพูดให้ชัดลงไปว่า  แล้วเจ้าตัวที่เป็นผู้ร้ายจริง ๆ คือตัวไหนกันแน่  เปรียบเหมือนพูดถึงรถยนต์บนท้องถนนทั้งหมด คือคลอเลสเตอรอลรวม  ก็มีรถที่คอยปล่อยควันดำ  ทิ้งขยะ  น้ำมันเครื่องลงบนท้องถนน  ซึ่งถูกเรียกว่า  ไขมันร้าย ( Bad cholesterol )  มีลักษณะโครงสร้างที่ใหญ่ และมีความหนาแน่นต่ำ  จึงเรียกเป็นศัพท์การแพทย์ว่า  Low  density  lipoprotein  ย่อว่า  LDL-Cholesterol ( LDL-C )



LDL-C  นี้เอง คือผู้ร้ายตัวจริง  ยิ่งมีมากก็ยิ่งก่อปัญหาหลอดเลือดอุดตัน  ในทางกลับกันคลอเลสเตอรอลอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีความหนาแน่นสูง เรียกว่า High density lipoprotein ( HDL )  เป็นพระเอกของร่างกายเรา หรือ ไขมันดี ( good cholesterol )  เปรียบเหมือนรถขนขยะของกทม. คอยเก็บของเสีย หรือไขมันส่วนเกินจากผนังหลอดเลือดกลับคืนสู่กระแสเลือด  และนำไปยังโรงงานแปรรูปกำจัดขยะ คือ ตับ  เพื่อเปลี่ยนสภาพจากไขมันคลอเลสเตอรอล  ให้กลายเป็นน้ำดีเพื่อใช้ย่อยไขมันต่อไป
 
ทำอย่างไรเราจึงจะทราบตัวเรานี้มีระดับ LDL และ HDL สูงมากน้อยเท่าไร  ก็ต้องหยิบกระดาษ ดินสอ มาบวกลบเลขกันสักเล็กน้อย

โดยปกติการเจาะเลือดนั้น  จะสามารถทราบระดับของคลอเลสเตอรอลรวม ( Total cholesterol )  ไตรกลีเซอไรด์ ( Triglyceride )  ซึ่งเป็นไขมันอีกชนิดหนึ่ง และ HDL ได้  และนำมาคำนวณโดยอาศัยสูตรดังนี้ คือ

LDL-C =  Total cholesterol – ( Triglyceride / 5 )-HDL

ค่าปกติของ LDL ไม่ควรเกิน  160 มก.%  ในคนปกติ และไม่เกิน  130 มก.% ในผู้ที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ  ส่วน HDL ที่ดีควรมีค่าเกินกว่า 45 มก.%

ถ้าต้องการจะลดระดับ LDL-C ในเลือด  นอกจากลดการบริโภคอาหารที่มีคลอเลสเตอรอลดังว่ามาแล้ว  พบว่าการลดอาหารที่มีระดับกรดไขมันอิ่มตัวสูงจะมีส่วนลดระดับ LDL ได้ด้วย  ซึ่งเจ้าไขมันที่อิ่มตัวที่ว่านี้  นอกจากจะพบในไขมันสัตว์แล้ว  ในน้ำมันพืชบางประเภท เช่น น้ำมันปาล์ม  น้ำมันมะพร้าว  กะทิ  จะมีไขมันประเภทนี้สูง  ที่น่าวิตกก็คือผลิตภัณฑ์อาหารส่วนใหญ่ที่เรา และลูกหลานของเรากำลังบริโภคกันอยู่อย่างเอร็ดอร่อย  ไม่ว่าจะเป็นไก่ทอด  มันทอด  แมคโดนัลด์  KFC  อาหารจานด่วน  ต่างก็ประกอบจากน้ำมันที่ว่านี้ทั้งนั้น  เพราะราคาถูก  แถมไม่ค่อยเหม็นหืนเสียอีกด้วย  มีการศึกษาที่พบว่าระดับ LDL-C ของคนในภูมิภาคเอเชีย  กำลังเพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตก  หลังจากร้านอาหารข้ามชาติผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด  และเป็นที่นิยมชื่นชอบของวัยรุ่น และคนทำงานทั่วไป  จนกลายเป็นวัฒนธรรมการบริโภคของคนยุคใหม่ไปแล้ว  จึงไม่น่าแปลกใจว่าโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันยิ่งเป็นกันมากขึ้น และยิ่งพบในคนอายุน้อยลงกว่าเมื่อสมัยก่อน

จะเลือกใช้น้ำมันอะไรดี ?

ถ้าคุณเลือกได้ ควรเลือกอาหารที่ปรุงจากไขมันชนิดที่ไม่อิ่มตัว ประเภทที่มีขายกันอยู่ทั่วไป และราคาไม่แพงมาก  เช่น  น้ำมันถั่วเหลือง  น้ำมันข้าวโพด  ทานตะวัน  น้ำมันงา  ประเภทนี้เรียกว่าไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน  อีกประเภทที่จะเรียกว่าดีที่สุดก็คือ  ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียวซึ่งพบมากใน น้ำมันมะกอก ( ไม่ใช่ที่เอาไว้ทาตัว หรือใส่ผม ) ซึ่งเป็นน้ำมันที่ต้องนำเข้า  มักมีที่มาจากยุโรป และอเมริกา  สนนราคาช่วงนี้คงจะแพงพอสมควร  ก็อาจจะใช้เป็นน้ำมันถั่วเหลืองทานตะวัน ฯลฯ  ที่มีขายกันอยู่ทั่วไปพวกนั้นจะเหมาะสมกว่า  สามารถช่วยลดระดับไขมันร้าย LDL ลงได้ประมาณ  12%

มีผลิตภัณฑ์อีกประเภทหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าน่าจะได้ประโยชน์กับคนที่อยากทานเนย  แต่กลัวไขมันสูง เลยทานเป็นรูปเนยเทียมหรือมาการีนแทน  ปรากฏว่ามีสารประเภทหนึ่งที่เรียกว่า Trans fatty acid ซึ่งเกิดจากกระบวนการแปรรูปไขมัน  ที่ต้องอาศัยความร้อนสูงมาก  และมีการเติมอะตอมของไฮโดรเจนเข้าไป ( Hydrogenation )  ทำให้จุดเดือดของไขมันสูงขึ้น  และสามารถจับเป็นก้อนที่อุณหภูมิห้อง  ผลิตภัณฑ์เหล่านี้นอกจากเนยเทียม  ยังพบในครีมขนมกรอบ  เวเฟอร์  เมื่อบริโภคเข้าไปจะทำให้ผลในการลด LDL เหลือเพียง 5%  แต่ที่สำคัญคือ อาจลดระดับของ HDL ซึ่งเป็นไขมันดีลงไปได้ด้วย

คราวนี้ต้องถึงคราวพระเอก HDL ของเราบ้าง  ทำอย่างไรเล่าจึงจะทำให้ HDL มีระดับเพิ่มขึ้น  คงไม่มีปัญหาในคนที่มีระดับ HDL สูงอยู่แล้ว  แต่ในคนที่ระดับต่ำ ( น้อยกว่า 35 มก.% )  จะทำอย่างไรกันดี


วิธีการที่จะช่วยเพื่ม HDL  ก่อนที่จะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรับยา มีดังต่อไปนี้

- หมั่นอออกกำลังกายแบบแอโรบิค 30-40 นาที อย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 วัน

- หยุดสูบบุหรี่  เพราะสารในบุหรี่ลดระดับ HDL

- บางรายงาน เครื่องดื่มประเภทไวน์วันหนึ่งไม่เกิน 1 แก้ว  จะสามารถเพิ่มระดับ HDL ได้  ซึ่งก็ต้องเป็นไวน์แดง  แต่ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัด และแพทย์ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะแนะนำให้ผู้ป่วยหันมาดื่มแอลกอฮอล์  เพราะส่วนมากมักจะเลยเถิด ( เกิน 1 แก้ว )  พลอยเป็นโรคตับแข็ง โรคความดันสูง ต่อไปอีก

มีข้อมูล จากวารสาร Circuiation พบว่าการบริโภคน้ำองุ่นแดงวันละประมาณ  600 ซีซี  ก็สามารถให้ผลที่น่าพอใจ  แม้จะมากไปหน่อย  ก็เทียบได้กับการดื่มไวน์เหมือนกัน  ซึ่งเรื่องนี้อันที่จริงมันไปเกี่ยวข้องกับสารประเภทหนึ่ง คือ  Flavonoids ซึ่งพบมากในผิวขององุ่นแดง  สารตัวนี้จะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant )  ซึ่งจะคอยป้องกันไม่ให้โมเลกุลของ LDL เข้าไปทำอันตรายต่อเยื่อบุชั้นในของหลอดเลือด  ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดหลอดเลือดแข็งตัวได้

บทความโดย น.พ.วรงค์ ลาภานันต์  
กองอายุรกรรม โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช
แพทย์ที่ปรึกษาศูนย์หัวใจ รพ.วิภาวดี

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #103 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 23:24:46 »

เห็ดหอม

โดย .. กฤษณะ ยะใจ

จาก  http://www.technoinhome.com/vspcite/front/board/show.php?tbl=tblwb03&gid=20&id=322&PHPSESSID=a1ccac43616fa1d11a31bbc1eed57e59



เห็ดหอม หรือ Shiitake mushroom มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Lentinula edodes  พบขึ้นเองตามธรรมชาติในที่มีอากาศหนาวเย็น เช่น ในประเทศจีน ญี่ปุ่น และบนพื้นที่สูงภาคเหนือของไทย  เป็นเห็ดที่รู้จัก และนิยมบริโภคกันมานานนับศตวรรษ ในหมู่ชาวจีน และญี่ปุ่น  ทั้งนี้นอกจากมีรสชาติดี และกลิ่นหอมแล้ว  ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีคุณสมบัติทางยาอีกด้วย



นอกจากเป็นอาหารแล้ว  คนจีนยังใช้เห็ดหอมเป็นยา ในศตวรรษที่ 14 มีบันทึกว่า  หมอจีนใช้เห็ดหอมเป็นยาอายุวัฒนะรักษาหวัด  ทำให้เลือดลมดี  แก้โรคหัวใจ  ต้านการเติบโตของเนื้อร้าย  และแก้พิษงู  นักวิจัยสมัยใหม่วิจัยพบสอดคล้องกันว่าเห็ดหอมช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ  ต้านโรคมะเร็ง และโรคร้ายต่างๆ จากเชื้อไวรัส

โฮ  ฮี้  โฮ ... หิว ว ว ว ว ว


ในเห็ดหอม 100 กรัม ( ประมาณ 3.5 ออนซ์ )  มีสารอาหารต่างๆ ดังนี้

                           พลังงาน             39 แคลอรี่
                           โปรตีน               15-35 %
                           ไขมัน                 น้อยกว่า 1 กรัม
                           คาร์โบไฮเดรต     7.3 กรัม
                           ใยอาหาร             0.8 กรัม
                           ไทอามีน              0.8 มล.กรัม
                           ไรโบฟลาวิน         0.5 มล.กรัม
                           ไนอาซีน              5.5 มล.กรัม
                           วิตามีน ดี2           50 %
                           วิตามีน บี 2 และ บี 12


นอกจากนี้  ยังมีสารสำคัญ 2 ชนิดคือ

1. Lentinula Edodes Mycelium " LEM " ซึ่งเป็น protein-bound polysaccharide ช่วยรักษาโรคตับอักเสบชนิดเรื้อรังในสัตว์ทดลอง  โดยทำให้เกิด antitumor activity ในคน และสัตว์  โดยกระตุ้นการสร้าง macrophage และ interleukin-1  ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันของร่างกาย

2. Lentinan ที่ช่วยยับยั้งการเจริญของ HIV virus  เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย  จากการศึกษาค้นคว้าระหว่างสถาบันมะเร็งแห่งชาติของญี่ปุ่น ร่วมกับมหาวิทยาลัยในรัฐเซาท์แคโรไลนา ของสหรัฐอเมริกา  พบว่าเห็ดหอมมีสารพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์หลายชนิด  เช่น  สารอีรีทาดีนิน ( Eritadenin )  และสารเอซี-ทูพี ( AC-2P ) ทำให้เห็ดหอมมีประสิทธิภาพในการต่อต้านมะเร็ง  ลดไขมันในเส้นเลือด   และต่อต้านเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น  ไข้หวัด  จึงทำให้ผู้บริโภคหันมารับประทานเห็ดหอมกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น

อันตรายจากน้ำแช่เห็ดหอม‏

โดย รศ. สุชาตา ชินะจิตร

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา



สารเคมีเกือบทุกชนิดมีผลต่อร่างกาย  ที่มีผู้แนะนำให้ทิ้งน้ำแช่เห็ดก็ดีแล้ว  แต่ยังมีอีกทางหนึ่งที่สำคัญคือ  ผู้ทำอาหารขาย  เพราะประชาชนส่วนใหญ่มักซื้ออาหารสำเร็จรูปมากิน  อย่าลืมช่วยกันให้ข้อมูลกับแม่ค้าและร้านอาหารด้วย

Look like the fresh one is much better and the price is now cheaper than the dry one.

ระวัง เห็ดหอมแห้ง ( dry mushroom )  โดยสรุป ... เขาชุบ  หรือพ่นคาร์บอนไดซัลไฟด์  ซึ่งมีมหันตภัยรอบด้าน  อย่านำน้ำแช่เห็ดหอมมาใช้ในการปรุงอาหาร  ให้เททิ้งทันที  อย่าเสียดาย  ซึ่งส่วนใหญ่เห็ดหอมที่ใช้กันนั้นนำเข้ามาจากจีนแผ่นดินใหญ่  เมื่อจะนำมาปรุงอาหารก็ต้องแช่น้ำให้นิ่มก่อน  ซึ่งน้ำที่แช่ให้เห็ดหอมนิ่มนั้น ( จะอุดมไปด้วยสารหนัก กรด เกลือกำมะถันต่าง ๆ  และอื่น ๆ  ซึ่งเราไม่ทราบว่าใช้อะไรบ้างกว่าจะถึงมือเรา  ซึ่งสารต่าง ๆ นั้น  ก็มาจากน้ำจากปุ๋ยที่เพาะเลี้ยงในฟาร์ม  หรือรม เพื่อกำจัด และป้องกันแมลง )  แต่ก่อนเรามักจะเก็บน้ำนั้นไว้ปรุงอาหาร  ให้หอมน่ากิน
จงเททิ้งไป .... ช่วยบอกต่อให้แม่ๆ  แม่บ้าน  แม่ครัว  ภรรยา  ลูกสาว  รวมทั้งพ่อบ้านที่ชอบทำอาหาร ฯ

ถึงว่าสิ  ตอนหลังซื้อมาเก็บได้นานๆ  ไม่มีแมลงใดๆ  มารบกวนเลย

คาร์บอนไดซัลไฟด์  มหันตภัยตัวร้าย

" คาร์บอนไดซัลไฟด์ " ชื่อนี้คนที่อยู่ในวงการอุตสาหกรรมผลิตเส้นใยเรยอน  แผ่นพลาสติกเชโลเฟน  ผลิตภัณฑ์ยางพารา  จะมีโอกาสสัมผัสคาร์บอนไดซัลไฟด์เป็นประจำ  จากคุณสมบัติในการละลายไขมันได้ดี  จึงมีการนำไปใช้ในการสกัดน้ำมัน  ใช้ในการชุบโลหะ  เป็นตัวล้างสนิมออกจากโลหะ  ในภาคการเกษตร  เคยมีการใช้เพื่อรมเมล็ดธัญพืชเพื่อกำจัดแมลง  ซึ่งเข้าใจว่าอาจจะเลิกใช้ไปแล้ว  ลักษณะของคาร์บอนไดซัลไฟด์เป็นของเหลวกลิ่นหอมคล้ายคลอโรฟอร์ม  ไอของมันหนักกว่าอากาศ 2 เท่า  ดังนั้นในที่อากาศนิ่งๆ คาร์บอนไดซัลไฟด์จะลอยต่ำเรี่ยๆ พื้น  ทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่คนจะสูดไอเข้าไป  ไอระเหยของมันเมื่อพบกับอากาศ  จะให้ไอผสมที่ระเบิด  และลุกติดไฟได้อย่างรวดเร็ว  จึงมีอันตรายมากเมื่อถูกความร้อน  เปลวไฟ  หรือประกายไฟ  ความร้อนของหลอดไฟฟ้าที่เปิดอยู่ก็ทำให้ไอของมันลุกติดไฟได้  และสลายเป็นควันของซัลเฟอร์ออกไซด์  ซึ่งเป็นอันตรายยิ่งขึ้น

ข้อควรระวังอย่างยิ่งคือ  อย่าเก็บคาร์บอนไดซัลไฟด์ไว้ใกล้กรดไนตริก  เพราะก๊าซที่ผสมกับไนตริกออกไซด์  จะระเบิดอย่างรุนแรง  ขนาดขวดแก้วแตกละเอียดเลยทีเดียว  ไม่ว่าจะสูดดมเข้าไป  หรือซึมเข้าไปทางผิวหนัง  หรือกลืนกิน  ผลคือระบบประสาทจะเกิดอาการตื่นเต้น  มึนเมา  ตามด้วยอาการง่วงซึม  กระสับกระส่าย  ระบบหายใจล้มเหลว  อาจถึงตายได้  แต่ถ้าเป็นการสัมผัสแบบระยะยาวทีละน้อย  อาการพิษเรื้อรังจะเริ่มด้วยอาการเจ็บหน้าอก  ปวดกล้ามเนื้อ  สายตาเริ่มมัว  ความจำเสื่อม  บุคลิกเปลี่ยนไปคล้ายคนเป็นโรคจิต  ที่เคยกล้าๆ อาจจะกลายเป็นคนขี้อายไปก็ได้

สารนี้ระคายผิว และตาอย่างรุนแรง  คาร์บอนไดซัลไฟด์เป็นสารอันตราย  จึงเป็นสารที่ถูกควบคุม  และในประกาศกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อม  ได้กำหนดค่าความเข้มข้นของสารเคมีในบรรยากาศตลอดระยะเวลาในการทำงาน  โดยเฉลี่ยห้ามเกิน 20 ส่วนในล้านส่วน  ที่ใดมีการใช้สารเคมีตัวนี้  ควรดูแลความปลอดภัยของคนงานให้ดี  อย่าให้มีไอระเหยในบรรยากาศของห้องทำงานเกินปริมาณที่กำหนด

อ้าว !  งั้นชาเห็ดหอม  ก็ต้องเทน้ำแช่เห็ดหอมทิ้งไป


ห้าม นำน้ำนั้นมาต้มต่อจนเป็นน้ำชา อ่ะดิ !

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #104 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 03:26:21 »

ประโยชน์ของเบียร์ ... วันนี้ ขอสักแก้วเถอะน่ะ‏

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

ดื่มเบียร์แทนไวน์ สักวันละแก้ว ( กระป๋อง ) ประหยัดกว่าเยอะ  แถมอาจมีประโยชน์ มากกว่าด้วย
 
ประโยชน์ของการดื่ม " เบียร์ "

เบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด  มีวิตามิน และเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง

สำหรับ ' คอเบียร์ ' คงหูผึ่งเมื่อมีคนบอกว่าเบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย  แต่ถึงอย่างไรก็ควรดื่มพอประมาณ  แล้วเหตุใดฝรั่งจึงบอกว่าเบียร์ดีมีประโยชน์  เหตุผลก็คือเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด  รวมทั้งวิตามิน และเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น

ป้องกันโรคหัวใจ  จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 - 60%  แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน

ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต  สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน  จึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต

ช่วยลดความดันโลหิต  แพทย์ชาวฮอลแลนด์ และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

ป้องกันเบาหวาน  ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน  เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิ ให้ความทรงจำดี  นักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์
  
ช่วยให้กระดูกแข็งแรง  เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูก  สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้  แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น

ช่วยให้อายุยืน  จากการศึกษามากกว่า 50 สำนักพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 - 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาว เนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ

ป้องกันท้องร่วง  โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนม และน้ำส้มสายชู  สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่เชื้อจนท้องเสีย

ต้านความเครียด  นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า  คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราว  มีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์

ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี และในไต  นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม  ซึ่งจะช่วยลด ความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%
 
ป้องกันโรคนอนม่หลับ  สารจากดอก Hops ในเบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย  ดังนั้นการดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ

ช่วยต้านมะเร็ง  เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง  โดยการดักจับอนุมูลอิสระตัวร้ายออกจากร่างกาย  สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol  ซึ่งมีข้อดีคือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง

ช่วยให้ผิวสวย  ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid  วิตามินบี 3  และไนอาซิน  ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่  ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี  ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม



ดีขนาดนี้จะช้าอยู่ทำไม  ไปหาเบียร์กินกันเถอะ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #105 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 10:36:31 »

...เพิ่งจะเข้ามาอ่านกระทู้นี้เรื่องเบียร์นี่หล่ะค่ะ...
...ถ้าประโยชน์ของมันมากอย่างนี้...ก็จำเป็นต้องหาเบียร์มาทานบ้างแล้วหล่ะ...
...แต่เสียอย่างเดียวค่ะ...คือพี่ตู่แพ้แอลกอฮอล์...ถ้าทานสักจิบสองจิบคงไม่เป็นไรมั้งคะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #106 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 12:06:58 »

...น้องเจี๊ยบคะ...
...ต้อย-ทัศนีย์  หายไปเลยเนอะ...สงสัยกำลังซ้อมส่งรูปอยู่นะคะ...
...ต้อยเค้าไปเที่ยวฝรั่งเศสมา...แล้วซื้อไวน์มาฝากพี่ตู่ 2 ขวด...
...ตอนนี้มันก็ยังแช่อยู่ในตู้เย็นเลยค่ะ...
...พอดีวันนั้นมัวแต่คุยกันเรื่องอื่น...เลยลืมถามต้อยไปว่าจะกินยังไงดีค่ะ...
...แบบว่าแพ้แอลกอฮอล์อยู่ด้วย...จะทานได้หรือเปล่า...
...แช่ไว้นานๆมันคงไม่เสียนะคะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #107 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 12:50:22 »

พี่ตู่ ขา ... แช่แบบนอนขวดลง  ไว้ชั้นล่างๆ ของตู้เย็น  ไวน์ยิ่งอยู่นานๆ ยิ่งดีค่ะ ... พี่ตู่ก็แค่แตะๆ ลิ้นพอรู้รสว่าอร่อยประมาณนี้  แล้วก็ยกให้ " คนที่ไม่แพ้ alcohol " ไปดื่มแทน  กลายเป็นส้มหล่นใส่เค้า สบายไปเลย  อิ  อิ !
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #108 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 14:05:27 »

...ขอบคุณค่ะ...น้องเจี๊ยบ...
...ต้อยเค้าหุ้มโฟมกันกระแทกมาอย่างดีเลย...ตั้งอยู่ในตู้เย็น...
...พี่จะไปจับมันนอนลงล่ะนะ...
...ว่างๆจะเปิดเอามาชิมแบบที่เจี๊ยบบอกค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #109 เมื่อ: 08 กันยายน 2553, 12:39:58 »

ค่ะ  พี่ตู่


วิธีกายภาพมือง่ายๆ ก่อน " นิ้วล็อค " ถาวร !

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา



มือเราเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งของ หรือใช้งานในกิจอื่นๆ  ทั้งเด็กที่จะต้องใช้มือเขียนหนังสือ  พ่อแม่คนทำงานที่ต้องใช้มือกับแป้นพิมพ์  เขียนงานเอกสาร  หรือใช้ในงานด้านต่างๆ  ตลอดจนแม่บ้านที่ต้องใช้มือในการหิ้วตะกร้าจ่ายกับข้าว ชอปปิ้ง บิดผ้า
      
เมื่อมือ เป็นอาวุธสำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่ใช้ทำงาน  บางครั้งอาจถูกใช้งานอย่างหนัก โดยไม่ได้พัก  หากเป็นเช่นนี้ ซ้ำๆ บ่อยๆ  ย่อมมีความเสี่ยงต่อการเจ็บปวดตามมา  สามารถนำพาไปสู่ภาวะนิ้วล็อค หรือ Trigger Finger ได้ในที่สุด
  
ในวันนี้ ทีมงาน Life and Family มีเกร็ดความรู้จากงาน " Banana Family in Love " จัดโดย Banana Family Park ภายใต้โครงการ Workshop กายภาพบำบัดสำหรับผู้สูงอายุ  ซึ่งได้มีการพูดคุยถึงภาวะนิ้วล็อค และวิธีการดูแลมือไว้อย่างน่าสนใจ  จึงนำมาฝากให้กับทุกครอบครัวไว้ปรับใช้ก่อนนิ้วล็อคถาวรกัน
      
หากพูดถึง ภาวะนิ้วล็อค ทีมงานได้รับความรู้ว่า เป็นกลุ่มอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่มีการใช้มือทำงานอย่างหนัก  ซึ่งจะมักมีอาการเจ็บร่วมกับมีเสียงดังกึก  ทำให้เส้นเอ็นไม่โก่งตัวออกเมื่องอนิ้ว  แต่เมื่อมีการอักเสบ  เส้นเอ็นจะบวม และหนาตัว  ทำให้ลอดผ่านห่วงลำบาก จึงรู้สึกเจ็บและเกิดอาการนิ้วล็อคตามมา

โดยส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิงอายุ 45 ปีขึ้นไป  โดยเฉพาะแม่บ้านที่ใช้มือทำงานอย่างหนัก เช่น หิ้วตะกร้าจ่ายกับข้าว ชอปปิ้ง บิดผ้า ส่วนในผู้ชายมักพบในอาชีพที่ใช้มือทำงานหนักๆ  มีการจับ ออกแรงบีบอุปกรณ์ซ้ำๆ เช่น คนทำสวนใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้  ช่างที่ใช้ไขควงหรือเลื่อย  พนักงานพิมพ์ดีด  นักกอล์ฟ เป็นต้น
      
นอกจากนี้ลักษณะการใช้งานของมือในแต่ละกิจกรรม  จะใช้งานแต่ละนิ้วไม่เหมือนกัน  ทำให้เกิดนิ้วล็อคที่ตำแหน่งนิ้วต่างกันด้วย เช่น พ่อแม่ที่เป็นครู หรือนักบริหาร  มักเป็นนิ้วล็อคที่นิ้วโป้งขวา เพราะใช้เขียนหนังสือมาก และใช้นิ้วโป้งกดปากกานานๆ  ขณะที่แม่บ้านซักบิดผ้า มักเป็นที่นิ้วชี้ซ้ายและขวา  แต่ทั้งนี้ภาวะดังกล่าวไม่มีอันตรายใดๆ เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด  เป็นโรคที่สามารถป้องกัน และรักษาให้หายได้ ถ้ารู้จักวิธีดูแลตนเองอย่างถูกต้อง
      
สำหรับอาการในระยะแรกจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ  กำมือไม่ถนัด  หรือกำได้ไม่เต็มที่  โดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน  พอใช้มือไปสักพักก็จะกำมือได้ดีขึ้น  เวลางอที่จะเหยียดนิ้วมือมักจะได้ยินเสียงดังกึก  ต่อมาจะมีอาการนิ้วล็อค คือ เวลางอนิ้วจะเหยียดขึ้นเองไม่ได้  มักเกิดกับมือข้างถนัดที่ใช้งาน  ซึ่งอาจเป็นเพียงนิ้วเดียว  หรือเป็นพร้อมกันหลายนิ้วก็ได้  บางรายอาจรุนแรงถึงนิ้วบวมชา ติดแข็งจนใช้งานไม่ได้
      
*** กายภาพมือง่ายๆ ก่อน "นิ้วล็อค" ถาวร !
 
 
 
       1. ยืดกล้ามเนื้อแขน มือ นิ้วมือ โดยยกแขนระดับไหล่  ใช้มือข้างหนึ่งดันให้ข้อมือกระดกขึ้น-ลง ปลายนิ้วเหยียดตรงค้างไว้  นับ 1-10 แล้วปล่อยทำ 6-10 ครั้ง/เซต
      
      2. บริหารการกำ-แบมือ โดยฝึกกำ-แบ  เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อนิ้วมือ และกำลังกล้ามเนื้อภายในมือ  หรืออาจถือลูกบอลในฝ่ามือก็ได้ โดยทำ 6-10 ครั้ง/เซต
      
      3. ท่าเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อที่ใช้งอ-เหยียดนิ้วมือ  โดยใช้ยางยืดช่วยต้าน แล้วใช้นิ้วมือเหยียดอ้านิ้วออก  ค้างไว้ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ ปล่อย ทำ 6-10 ครั้ง/เซต
 
      
*** วิธีระวังตัวง่ายๆ ลดเสี่ยง " นิ้วล็อค "
      
      1. ไม่หิ้วของหนักเกินไป  ถ้าจำเป็นต้องหิ้วให้ใช้ผ้าขนหนูรอง และหิ้วให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือ  อาจใช้วิธีการอุ้มประคอง หรือรถเข็นลากแทน  เพื่อลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือ
      
      2. ควรใส่ถุงมือ หรือห่อหุ้มด้ามจับเครื่องมือให้นุ่มขึ้น และจัดทำขนาดที่จับเหมาะแก่การใช้งาน  ขณะใช้เครื่องมือทุ่นแรง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ
      
      3. งานที่ต้องใช้เวลาทำงานนานต่อเนื่อง  ทำให้มือเมื่อยล้า หรือระบม  ควรพักมือเป็นระยะๆ และออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อมือบ้าง
      
      4. ไม่ขยับนิ้ว หรือดีดนิ้วเล่น  เพราะจะทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากยิ่งขึ้น
      
      5. ถ้ามีข้อฝืดตอนเช้า หรือมือเมื่อยล้า ให้แช่น้ำอุ่นร่วมกับการขยับมือกำแบเบาๆ ในน้ำ  จะทำให้ข้อฝืดลดลง
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #110 เมื่อ: 13 กันยายน 2553, 11:35:02 »

มะเร็งระยะสุดท้าย หายได้จาก " เมนูธรรมชาติ "

โดย อรชร ตั้งวงษ์เจริญ   จาก  :  http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:moV5d89cAZoJ:board.palungjit.com/f9/%E0%B8%94%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%8B-%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-213276.html+%E0%B8%94%E0%B8%A3.%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1+%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%8B&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th

และมนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

ชื่อเสียงเรียงนามของ " ดร.ทอม อู๋ " อาจจะแปร่ง แปลกไปจากหูของคนไทย



เพราะผู้ชายวัย 73 ปี ผู้นี้เกิดที่ประเทศจีน  เคยศึกษาวิชาชี่กง และตำรับ " ยาลับ " จากหมอชี่กงผู้เร้นกายท่านหนึ่ง  ต่อมาได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนตะวันตกพร้อมกับค้นคว้าวิชาแพทย์ทางเลือก  จนสำเร็จการศึกษาเป็นดอกเตอร์ด้านโภชนาการ และการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ จากสหรัฐอเมริกา

สามสิบปีก่อน ดร.ทอม อู๋ เคยป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 3 เข้ารับการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน  แต่อาการไม่ดีขึ้น  จึงได้รับคำแนะนำให้หยุดการรักษาและเปลี่ยนมากิน " อาหารอินทรีย์ " และรักษาด้วย " วิธีธรรมชาติ " ทำให้เขาหายขาดจากโรคมะเร็ง

จากนั้นเขาจึงตัดสินใจละทิ้งการแพทย์แบบเดิม  หันมาศึกษาการแพทย์แนวธรรมชาติ และโภชนาการอย่างจริงจัง  จนได้ปริญญาที่สหรัฐอเมริกา  เคยได้รับเชิญให้ไปแสดงปาฐกถาที่ประเทศต่างๆ มีลูกศิษย์ด้านการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติและการกินอาหารแบบอินทรีย์กระจายอยู่ทั่วโลก

ดร.ทอม อู๋ ย้อนความหลังให้ฟัง ว่าเมื่อรู้ว่าป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 3  ก็เข้ารับการรักษาจากหมอ  มีการแนะนำให้ผ่าตัดปอดข้างขวาสองกลีบบนทิ้งไป  ด้วยความอยากหายจึงตกลงผ่าตัดปอด  แต่เมื่ออยู่บนเตียงผ่าตัดเขาพบว่ามะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่นแล้ว  จึงต้องเย็บปิดแผล  แล้วหมอก็บอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่เดือน ... วิธีเดียวที่เหลืออยู่คือ การทำเคมีบำบัด  แต่ก็เป็นแค่การยืดชีวิตเท่านั้น

" ผมถามหมอไปว่าจะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหนแน่  หมอตอบว่า ไม่ทราบ  ตอนนั้นคิดในใจว่าคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง ก็เพราะในร่างกายมีสารพิษมากเกินไป  ดังนั้น การทำเคมีบำบัดจึงเท่ากับส่งพิษเข้าร่างกายมากยิ่งขึ้นเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งให้ตาย  ขณะเดียวกันก็ฆ่าเซลล์ปกติตายตามไปด้วย  ซึ่งอาจจะทำให้ทรมานยิ่งขึ้น  สู้ปล่อยให้ตนเองตายตามธรรมชาติ  ไม่ทรมานมาก ... จะดีกว่า "



ดังนั้น ดร.ทอม อู๋ จึงปฏิเสธไม่ทำเคมีบำบัดไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในสภาพท้อแท้และสิ้นหวังไร้หนทางอยู่นั้น  ดร.ทอม อู๋ หันไปยึดเอาพระเจ้าเป็นที่พึ่ง หวังจะได้รับความสงบทางจิตใจ  โดยหยิบคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมาสวดอ้อนวอน  แต่ปรากฏว่าคัมภีร์ในมือร่วงลงที่พื้น เปิดให้เห็นบทที่หนึ่งตอนที่ว่าด้วยการสร้างโลก ดร.ทอม อู๋หยิบขึ้นมาอ่านอย่างช้าๆ ตั้งใจ และอ่านกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ

" ความคิดของผมตอนนั้น คิดว่าพระเจ้าทรงต้องการให้กินผักที่ไร้รสชาติกับผลไม้รสเปรี้ยวบนต้น  จึงแคลงใจว่าแล้วจะทำให้ขาดสารอาหารหรือเปล่า  จะตายเร็วขึ้นหรือเปล่า  แต่เวลานั้นไม่มีเรี่ยวแรงเลยต้องกินเนื้อสัตว์มากๆ  เพื่อจะได้มีกำลังวังชา ผมสับสนในใจเลยต้องหันกลับไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับชี่กง และวิถีการมีอายุยืนยาวหลายเล่ม  ในที่สุด ก็ตัดสินใจกินอาหารตามที่พระเป็นเจ้าทรงชี้นำ "

ดร.ทอม อู๋ หันมากินผัก ผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด และอาบแดด 30 นาที เดินเร็ว 30 นาที  ฝึกชี่กง ฝึกหายใจเข้าออก พักผ่อนมากขึ้น เข้านอนเร็วและตื่นแต่เช้า โดยเฉพาะนอนตอนเที่ยงวันเป็นเวลาครึ่งชั่งโมง  อาบน้ำร้อนสลับน้ำเย็นทุกวัน

" หลังจากปรับเปลี่ยนความเคยชินในการกินอาหาร และใช้ชีวิตเพียง 6 เดือน  ก็รู้สึกจิตใจเบิกบาน  กำลังวังชาฟื้นฟูเหมือนตอนก่อนป่วย  ทำให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น  ว่าจะสามารถกลับมามีสุขภาพที่ดีได้  ผมจึงกินผักเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว กินผลไม้ โดยกินแบบดิบๆ ทั้งหมด  เนื่องจากกินอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงทุกวัน  จึงขับถ่ายวันละ 3-4 ครั้ง  แรกๆ ก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน  เพราะปกติคนเราถ่ายวันละครั้ง  ถือว่าปกติ  แต่หลังจากยืนหยัดทำอยู่ระยะหนึ่ง  ร่างกายค่อยๆ ผ่อนคลาย  จิตใจเบิกบาน  ผิวพรรณสดใส  จึงคลายกังวล  ปล่อยให้ร่างกายมีปฏิกิริยาเป็นไปตามธรรมชาติ "

ผ่านไป 9 เดือน ผลการตรวจสุขภาพของ ดร.ทอม อู๋  พบว่าร่างกายเป็นปกติทุกอย่าง ทุกรายการ ไม่มีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่เลย ! !

" ขอบคุณพระเจ้า ผมหายเป็นปกติแล้ว " ดังนั้น ทุกวันนี้ ดร.ทอม อู๋ ยังคงรับประทานอาหารดิบ ผักสด ผลไม้  และอุทิศตนเพื่อเผยแพร่วิธีการดูแลสุขภาพด้วยอาหารธรรมชาติเหล่านี้ ทั้งยังช่วยกำหนด " เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง " เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคลำไส้ คอเลสเตอรอล สูง โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคเก๊าต์ และโรคมะเร็ง  ซึ่งเมนูของเขาส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น อย่างชัดเจน ได้รับการยอมรับและยกย่องทั้งในสหรัฐ อเมริกา และทั่วโลก

ดร.ทอม อู๋ ยังได้รับรางวัลมากมายจากองค์กรสุขภาพ  อาทิ  รางวัลการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ ของมูลนิธิสันติภาพโลก  ของทะไลลามะ Gan Chen (NGO) แห่งสหประชาชาติ  รางวัลผู้อุทิศตนเพื่อโรคอัลไซเมอร์ จากโรงพยาบาลเมโย สหรัฐอเมริกา  รางวัลผู้อุทิศตนเพื่อการแพทย์แบบธรรมชาติของ มหาวิทยาลัยเปิดแห่งโลกในประเทศอินเดีย  รางวัลผู้อุทิศตนเพื่อมวลมนุษย์ ของสมาคมการแพทย์ที่รักษาด้วยการแทงเข็มของปากีสถาน  และรางวัลผู้อุทิศตนของสมาคมการแพทย์แนวธรรมชาติของสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบัน ดร.ทอม อู๋ ได้เขียนหนังสือเพื่อแนะนำการดูแลสุขภาพ ( แปลเป็นภาษาไทยแล้ว 2เล่ม ) คือ ธรรมชาติช่วยชีวิต, 100 คำถามเจาะลึกเพื่อสุขภาพ และได้รับเชิญไปบรรยาย และแสดงปาฐกถาที่ประ เทศต่างๆ  มีลูกศิษย์ด้านการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติและการกินอาหารแบบอินทรีย์กระจายอยู่ทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย ดร.ทอม อู๋ มีกำหนดเดินทางมาบรรยายเรื่อง " ธรรมชาติช่วยชีวิต พิชิตโรคร้ายด้วยผักและผลไม้ " วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา 09.00-16.00 น. ที่โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์

เรื่องที่ ดร.ทอม อู๋ ศึกษาและค้นพบนั้น  เป็นการดื่ม กิน น้ำผักและผลไม้ทั้งเปลือก แกน และเมล็ด เพื่อได้อินทรียสาร รักษามะเร็ง ที่เขาป่วยอยู่จนกระทั่งหายเป็นปกติเมื่อ 30 ปีก่อน


" อินทรียสาร " จากพืช ไม่ใช่สารอาหารตามนิยามของนักโภชนาการ  ไม่ใช่ทั้งเกลือแร่และวิตามิน  เนื่องจากการขาดสารเหล่านี้ไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยอย่างใด และไม่ส่งผลต่อการทำงานตามปกติของร่างกาย  แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่าอินทรียสารจากพืชหลายชนิดไม่เพียงช่วยต้านออกซิเดชั่น และต้านอนุมูลอิสระ  ยังช่วยให้วิตามินต่างๆ ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ทำให้เวลานี้อินทรียสารจากพืชที่แต่เดิมไม่เป็นที่สนใจ  กลายเป็นสารอาหารที่ผู้คนให้ความสนใจและขาดไม่ได้ในการเสริมสร้างสุขภาพ และต้านมะเร็ง

ในอาหารอย่างธัญพืช ผัก และผลไม้ นอกจากจะมีอินทรียสารแล้วยังมีสารประกอบของ ไซยาไนด์ ซึ่ง มีสรรพคุณชัดเจนในการยับยั้งเซลล์ปกติไม่ให้เปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง  ผลการวิจัยทางการแพทย์ในปี ค.ศ.1995  ได้ค้นพบความวิเศษของพืชและผักที่สามารถป้องกันโรค  รักษาโรค  และชะลอความชรา  นั้นแท้จริงอินทรียสารเหล่านี้ ซ่อนอยู่ในเส้นใยและเมล็ด

ดังนั้น อินทรียสารจากผัก และผลไม้จึงเป็นของขวัญที่เราได้รับจากธรรมชาติ เพื่อสร้างชีวิตที่ยืนยาว และสุขภาพที่แข็งแรง



ดื่มน้ำผิดวิธี... ...ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ

วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เวลา 11:37:38 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์   
 
อย่าละเลยเรื่องการดื่มน้ำ เพราะน้ำมีความสำคัญต่อร่างกายของเราอย่างมาก

ปกติร่างกายของมนุษย์ควรจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณ 70%  แต่ ดร.ทอม อู๋ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการที่สามารถเอาตัวรอดจากโรคมะเร็งได้ บอกว่า คนในปัจจุบันมีน้ำในร่างกายเพียง 60-65% เท่านั้น

เมื่อมีน้ำน้อยแล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเรา ?

มันจะทำให้เชลล์ในร่างกายอยู่ในภาพขาดน้ำ  เพราะเมื่อน้ำ ไม่เพียงพอ ก็ไม่สามารถขับพิษได้  นั่นหมายความว่าอาจทำให้เซลล์ตาย หรือกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้  และเมื่อเลือดข้นขึ้นจะทำให้ท้องผูก  ผิวหนังขาดน้ำทำให้เกิดฝ้าจุดด่างดำ  เหี่ยวย่น  แก่เร็ว  หรือว่าผมร่วง

รวมทั้งการดื่มบางอย่าง กลับทำให้สูญเสียน้ำในร่างกายไปด้วย  อย่างเช่นเ  มื่อคุณดื่มกาแฟ 1 แก้ว ทำให้สูญเสียน้ำที่สะสมในร่างกายถึง 3 แก้ว  ถ้าดื่มชา 1 แก้ว ก็จะสูญเสียน้ำไป 2 แก้ว  หรือว่าคุณดื่มน้ำอัดลมหรือไวน์แดง 1 แก้ว จะสูญเสียน้ำในร่างกายไปถึง 6 แก้วทีเดียวเชียว

ฉะนั้นควรจะต้องรู้ว่าดื่มน้ำอย่างไรจึงจะถูกต้อง  และวิธีการดื่มน้ำก็สำคัญมาก  ควรจิบทีละน้อย  เพื่อให้เซลล์ในร่างกายมีเวลาเพียงพอต่อการดูดซึมน้ำ  เพราะถ้าคุณดื่มทีเดียวรวดเดียวหมด  เซลล์จะดูดซึมไม่ทัน  น้ำทั้งหมดจะสูญไปกับการปัสสาวะออกมา

โดยเราควรจะรู้ด้วยว่าน้ำแต่ละประเภทที่เราดื่มเข้าไปนั้นมีข้อดี ข้อด้อยอย่างไร

น้ำกรองหรือน้ำประปาที่เราดื่มกัน  ก็เป็นเพียงการกรองเพื่อกรองโลหะหนักออกไป  แต่ว่ายังมีแบคทีเรีย และสารเคมีหลงเหลืออยู่

น้ำแร่นั้น กระทรวงเกษตรอเมริการายงานว่า น้ำแร่ที่ขายกันอยู่  มีโลหะหนักและสารอนินทรีย์เป็นปริมาณมาก  มีข้อเสียคือจะไปอุดตันช่องว่างระหว่างเซลล์  ทำให้อาหารเข้าไปในเซลล์ไม่ได้  เซลล์จึงค่อย ๆ แก่ตัวและตายไป  ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เรารู้สึกเพลียง่าย หรือแก่ก่อนวัย

เช่นเดียวกับเราไม่ควรดื่มน้ำที่เป็นด่างเป็นประจำ  เพราะจะทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย และขาดสารอาหาร

ดร.ทอม อู๋ แนะนำว่า หากดื่มน้ำกลั่นวันละ 8 แก้ว (แก้วละ 250 ซีซี) ก็จะทำให้ไตมีน้ำพอที่จะฟอกเลือดได้  นอกจากร่างกายต้องการน้ำวันละ 8 แก้วแล้ว  ร่างกายของเรายังต้องการอิเล็กโทรไลต์ และเกลือแร่ด้วย  โดยเฉพาะเกลือแร่ในผักผลไม้ที่เป็นสารอนินทรีย์ ขนาดเล็ก  ซึ่งเซลล์ของร่างกายสามารถดูดซึมได้  ดังนั้นจึงควรกินผักผลไม้มาก ๆ  เพื่อให้ได้รับเกลือแร่ที่มีประสิทธิภาพ  เพื่อนำไปเติมอาหารให้เซลล์นำไปใช้งาน

ดร.ทอม อู๋ ยังให้คำแนะนำด้วยว่า ปริมาณในการดื่มน้ำของแต่ละคนไม่เท่ากัน  คนที่นั่งอยู่ในห้องแอร์นาน ๆ ให้ดื่มน้ำวันละ 6 แก้วก็พอ  แต่ถ้าทำงานที่ต้องเดินไปมา  ควรจะต้องดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว  และถ้าหากทำงานตากแดดอยู่กลางแจ้ง หรือใช้แรงงานหนัก ควรดื่มน้ำวันละ 10-12 แก้ว ร่างกายจึงจะได้รับน้ำอย่างเพียงพอ

ฉะนั้นอย่าละเลยเรื่องการดื่มน้ำ  หากดื่มน้ำถูกวิธี ก็จะมีผลดีต่อร่างกาย  แต่ถ้าดื่มน้ำผิดวิธี  มันจะสูญเปล่าไปไม่น้อย
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #111 เมื่อ: 13 กันยายน 2553, 12:22:50 »

เนื้อสัตว์มีโทษ เสียแล้ว !

จาก  :  http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:moV5d89cAZoJ:board.palungjit.com/f9/%E0%B8%94%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%8B-%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-213276.html+%E0%B8%94%E0%B8%A3.%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1+%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%8B&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ Mr. ชารส์ ค้นพบว่าภายในเนื้อของสัตว์ มีสารพิษอยู่ชนิดหนึ่ง  ตอนที่สัตว์ได้รับความเจ็บปวดทรมาน  ก็จะเพิ่มสารพิษมากขึ้นเป็นลำดับ แล้วก็จะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ถ้าหากเรากินเนื้อชนิดนี้แล้ว ก็ได้รับอันตรายอย่างมาก

มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา ชื่อว่า ไอด์ มาไคร้ กล่าวว่าตอนที่ร่างกายคนเรามีอารมณ์เปลี่ยนแปลงขนาดหนักอยู่นั้น ก็จะมีสารหลายชนิดระบายออกจากร่างกาย เช่น ตอนที่มีโทสะโกรธอยู่นั้น เหงื่อที่ไหลออกมา ก็จะมีสีแตกต่างจากเหงื่อที่ไหลตอนที่ร่างกายกำลังโศกเศร้า  แม้แต่ลมหายใจที่เป่าออกจากร่างกายก็จะมีสารต่างๆ ออกมาด้วย

เขาเองได้ทดลองเป่าลมหายใจเข้าไปในหลอดแก้วที่แช่เย็น  แล้วสังเกตดูพบว่า  ตอนที่เขามีร่างกายปกติก็จะมีหยดน้ำที่ปราศจากสี  แต่ตอนที่กำลังโกรธจัดๆ หยดน้ำที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน  หลังจากเป่าลมเข้าไปในหลอดแก้วได้ 5 นาที หยดน้ำที่ได้จะมีสีและสารขุ่นๆ  นั่นก็แสดงว่า ตอนที่ร่างกายมีอารมณ์โกรธ  ก็จะมีสารบางชนิดเกิดขึ้น  เขาก็เลยใช้วิธีดังกล่าวทดลองสภาพของจิตต่างๆ ก็พบว่า  ตอนที่จิตใจโกรธก็จะมีสารสีฝ้ามัว  ในขณะเศร้าเสียใจร่างกายจะขับสารสีเทาขาว  และขณะเจ็บแค้น ร่างกายจะขับสีเขียวไผ่ออกมา

ต่อมาเขาก็ได้ทดลองต่อไปพบว่า  ถ้าเอาสารฝ้ามัวที่อารมณ์โกรธของ นาย ก. ฉีดเข้าไปให้ นาย ข.หรือสัตว์ทดลอง  นาย ข.จะมีอารมณ์โกรธขึ้นมา สัตว์ก็จะแสดงอารมณ์โกรธขึ้นมาทันทีเช่นกัน  เขาเอาสารที่เป่าออกจากคนที่มีอารมณ์เศร้าเสียใจฉีดเข้าไปให้หนูและหมู  ภายในไม่กี่นาทีสัตว์ทดลองก็ตายลง

จากการทดลองต่างๆ พอสรุปได้ดังนี้  ถ้าร่างกายมีอารมณ์เคียดแค้น  จะสูญเสียพลังงานไปมากที่เดียว  ถ้าสารพิษที่ปะปนกันยิ่งมีหลายชนิด  พิษร้ายก็ยิ่งมีมาก  ในขณะที่ทารกกำลังดูดนมมารดา ประเหมาะมารดาเกิดมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงภายหลังดูดนม  ทารกน้อยจะเกิดอาการไม่สบาย เจ็บป่วยลง  อันนี้ก็สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์  ร่างกายก็จะปล่อยพิษร้ายออกมาอย่างแน่นอน  ด้วยเหตุฉะนี้ เนื้อสัตว์ที่เรารับประทานเข้าไปในท้องทุกๆวัน  ซึ่งมีพิษร้ายอย่างแน่นอน  สัตว์ย่อมเกิดความเคียดแค้น และเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ย่อมมีสารพิษขึ้น และเจือปนอยู่ในเนื้ออย่างแน่นอน  กินเข้าไปแล้วจะมีโทษมากกว่าคุณ

ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ค้นพบว่าภายใต้กล้องจุลทรรศน์ที่ส่องลงบนเนื้อสัตว์  จะพบจุลชีพชนิดต่างๆ  จุลชีพร้ายเหล่านี้เมื่อเข้าไปในร่างกาย ก็มีผลไม่น้อยต่อร่างกายอย่างเบา ๆ  ก็ทำให้เกิดความเจ็บป่วยอย่างหนัก ๆ ก็ถึงแก่ชีวิต ในเนื้อหมูและเนื้อวัว มีเชื้อหนอนเป็นเส้นๆ อยู่ไม่น้อย

ดังนั้นจากการสำรวจของประเทศสหรัฐอเมริกา เชื้อหนอนเส้นของคนที่เป็น ได้ติดมาจากเนื้อหมูและเนื้อวัว 90% และยังตรวจพบว่าวัวควายที่เป็นโรคปอดมีกว่าครึ่ง และสาเหตุคนเป็นโรคปอดก็ติดมาจากเนื้อวัวเป็นส่วนใหญ่ในโรคท้องเสีย ( อหิวาต์ )  เชื้อนี้ได้รับจากเนื้อหมู ในประเทศอังกฤษมีโรคลม อาการปวดมาก  สมัยก่อนคิดว่ามาจากพิษเหล้า แต่ปัจจุบันพบแล้วว่ามาจากบริโภคเนื้อสัตว์มาก และยังพบอีกว่า พวกบริโภคเนื้อมักเป็นโรคเบาหวาน  การสูบฉีดของเลือดไม่ดี เป็นผลทำให้สมองผิดปกติ  ซึ่งทำให้เกิดการช็อคขึ้น เป็นลมหมดสติไป การบริโภคเนื้อได้ลดสารต่อต้านโรคมะเร็ง จึงเกิดเป็นมะเร็งกันมากบริโภคเนื้อดื่มเหล้ามากไป เกิดโรคไตอักเสบได้ง่าย  จึงไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิด

การกินเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อแดง  ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อแกะนั้น  จะทำให้เราได้รับสารอาหารจำพวกโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ  ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายได้อย่างมากมาย  แต่ถ้ากินอาหารจำพวกนี้มากเกินไป  ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน  โดยที่เราทราบกันดี ก็คือถ้ากินอาหารจำพวกนี้เป็นปริมาณมาก  ก็อาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคมะเร็งในตับ มะเร็งในทางเดินอาหาร และลำไส้ได้

ล่าสุดพบว่าอันตรายจากอาหารพวกนี้อาจมีมากกว่านั้น  โดยจากงานวิจัยของ Harvard Medical School พบว่า การกินเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อแดง โดยเฉพาะพวกที่ผ่านกระบวนการแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน หรือแฮม ในปริมาณมากเป็นประจำนั้น  สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานในสตรีวัยกลางคน และวัยสูงอายุได้  โดยในงานวิจัยนี้ได้เก็บข้อมูลในสตรีที่มีอายุมากกว่า 45 ปี กว่า 30,000 คน ที่ไม่มีประวัติของโรคหัวใจ มะเร็ง หรือเบาหวานชนิดที่ 2 มาก่อน เป็นเวลากว่า 8 ปี  พบว่าสตรีที่กินเนื้อแดงมากกว่าสัปดาห์ละ 5 มื้อ  มีโอกาสเกิดโรคเบาหวานถึง 29%  เมื่อเทียบกับสตรีที่กินเนื้อแดงน้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 มื้อ  ขณะที่สตรีที่กินผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์พวกไส้กรอก เบคอน หรือแฮม มากกว่าสัปดาห์ละ 5 มื้อ มีโอกาสเกิดโรคเบาหวานถึง 43%  เมื่อเทียบกับสตรีที่กินผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 มื้อ

นักวิจัยเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้ทั้งเนื้อแดง และผลิตภัณฑ์จากเนื้อแดงที่ผ่านกระบวนการแปรรูป  อย่างพวกไส้กรอก เบคอน หรือแฮม  เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานนั้น  อาจเนื่องมาจากอาหารพวกนี้อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก  ซึ่งถ้ากินเนื้อแดงจำนวนมากเป็นประจำ  อาจทำให้ธาตุเหล็กถูกสะสมในร่างกายมากเกิน  จนอาจมีผลลดการสร้างฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน และยังลดการตอบสนองของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายต่อฮอร์โมนอินซูลิน  ส่งผลให้กระบวนการในการนำน้ำตาลในเลือดไปใช้  หรือสะสมในเซลล์ผิดปกติไป  จึงเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือโรคเบาหวาน  ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่พบว่า การสะสมของธาตุเหล็กในร่างกายจากการกินเนื้อแดงเป็นประจำนั้น  สามารถเพิ่มโอกาสเกิดโรคเบาหวานได้
   
นอกจากนี้งานวิจัยนี้ยังพบว่ากินเนื้อแดงที่ผ่านกระบวนการแปรรูปไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก เบคอน หรือแฮมนั้น จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานมากกว่าการกินเนื้อแดงทั่วไป  ซึ่งอาจเป็นผลจากสารไนไตรต์และไนเตรต หรือดินประสิว  ที่เป็นสารกันบูดใช้ในการถนอมอาหารแปรรูปพวกนี้ให้เก็บได้นานขึ้น  และยังช่วยให้มีสีแดงชมพูดูน่ากิน  ถูกสะสมในร่างกายมากเกินไป  จนก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย  โดยสารไนเตรตในอาหารพวกนี้  เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนเป็นสารไนไตรต์  ซึ่งไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนชนิดหนึ่งในเนื้อสัตว์  แล้วก่อให้เกิดสารไนไตรซามีน  ที่เคยพิสูจน์แล้วว่าเป็นสารก่อมะเร็งในตับ หลอดอาหาร และลำไส้  รวมทั้งอาจไปทำลายเซลล์ตับอ่อนที่สร้างฮอร์โมนอินซูลิน  ทำให้สมดุลในการควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายบกพร่องไป  จนก่อให้เกิดโรคเบาหวานได้

อย่างไรก็ตาม การลดกินเนื้อแดงให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ  แล้วหันไปกินเนื้อสัตว์เล็ก จำพวกเนื้อไก่ หรือเนื้อปลาแทนนั้น  ก็สามารถให้ประโยชน์กับร่างกายได้ไม่น้อยเช่นกัน  แถมยังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากเนื้อแดงได้อีกด้วย

เอกสารอ้างอิง
1. Diabetes Care 2004; 27(9); 2108-15
2. Am J Clin Nutr 2004; 79: 70-5
3. DoctorNDTV ....for the better health of Indians

แหล่งอ้างอิง
วชิราวดี มาลากุล เรื่อง " เนื้อแดงกับเบาหวาน " HealthToday THAILAND ปีที่ 5 ฉบับที่ 49 เดือนเมษายน 2548 หน้า 16 (www.healthtodaythailand.com)


************************************************************

อันตรายอาหารเนื้อสัตว์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งร้ายหลาย ๆ ชนิด
 
ยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ และ ทีมคณะแพทย์ชื่อดังระดับโลกที่ทำการศึกษาวิจัยจากผู้ ป่วยกว่า 500,000 คนท่วโลก  ใช้เวลากว่า 7 ปี โดยทีมนักวิทยาศาสตร์  แพทย์  คาดว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่ ๆ เพิ่มอีกกว่า กว่า 12,000 คน  เนื้อสัตว์ เป็นบ่อเกิด ต้นตอของนานาโรคร้ายหลากหลายชนิด  เช่น  โรคมะเร็ง เต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง  และจากการวิจัยล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยแพทย์ ฮาวาด์ แห่งสหรัฐ  และมหาลัยแพทย์ ลีด แห่ง ประเทศอังกฤษ  พบว่าเนื้อสัตว์ ยังเป็นต้นเหตุหลัก ๆ ของมะเร็งต่อมลูกหมาก  และ มะเร็งรังไข่  รวมถึงโรคเบาหวานยอดฮิต เนื้องอก เลือดเป็นพิษ

ข้อมูลโดยมหาลัยแพทย์ชื่อดังระดับโลก

มหาลัยเทกซัส สหรัฐ
มหาลัยชิคาโก สหรัฐ
มหาลัยฮาวาย สหรัฐ
มหาลัยฮาววาด สหรัฐ
มหาลัยแพทย์ แห่งออสเตอเรีย
มหาลัยคิวเบค แห่งแคนาดา
มหาลัยออกฟอร์ด แห่งอังกฤษ
มหาลัยลีด แห่งอังกฤษ
มหาลัยแฟงค์เฟิต แห่งเยอรมัน
โดยการสนับสนุนสถาบันวิจัย โรคมะเร็ง แห่งสหรัฐ
National Cancer Research Institue - USA
สถาบันโรคมะเร็ง แห่ง WHO
The World Cancer Research Fund ( WCRF )
และวารสารสุขภาพชื่อดังระดับโลกกว่า 100 ฉบับรวมถึงเอกสารทางการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดัง


ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะตายหรือไม่ ( พุทธศาสตร์+วิทยาศาสตร์ )  มุมมองความเห็นจากพระสงฆ์ไทย  และจากพระ อาจารย์ พระฝรั่งชาวอังกฤษ  ได้ให้ข้อมูลว่า  ขณะนี้ประเทศอังกฤษ  ประชากรกว่า40% หรือเกือบ 30 ล้านคน  ได้ละเลิกการบริโภคเนื้อสัตว์  มาเป็นอาหารมังสะวิรัติ  ปลอดเนื้อสัตว์ เพื่อสุขภาพ  และหวั่นเกรงมหันตภัยโรคร้ายจากเนื้อสัตว์ที่เคยคุกคามฆ่าชีวิตชาวอังกฤษเป็นจำนวนมากจากโรคมะเ ร็ง ไขมันอุดตัน โรคหัวใจ ปีละจำนวนมากๆ  ต่อเนื่องด้วยโรควัวบ้าระบาด เมื่อ 6 ปีก่อน  และอีก 3 ปีถัดมาโรคไข้หวัดนกระบาด  ทำให้ชาวอังกฤษหวาดผวาภัยจากเนื ้อสัตว์
 
ข้อมูลที่น่าสนใจในเวปนี้  http://www.watisan.com/showdetail.asp?boardid=1080

เนื้อสัตว์ เลือดสัตว์ ต้นเหตุของโรคมะเร็งกว่า 10 ชนิด

โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ มะเร็งกะเพาะอาหาร มะเร็งเต้านม  จากงานศึกษาวิจัยโดยทีมคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งชื่อก้องโลก  โรคมะเร็งคร่าชีวิตชาวโลกปีละเกือบร้อยล้านคน  และตัวเลขกำลังทีวีพรุ่งสุงในทวีปเอเซีย

ข้อมูลจาก  ศูนย์โรคมะเร็งแห่งสหรัฐ  The Vancouver Sun, Canada

Red, processed meats linked to prostate cancer ... Reuters November 6, 2009


Men who eat a lot of red meat and processed meats have a higher risk of developing prostate cancer than those who limit such foods, a large study of U.S. men suggests.

Researchers at the National Cancer Institute found that among more than 575,000 men they followed for nine years, those who ate the most red and processed meats had heightened risks of developing any stage of prostate cancer, or advanced cancer in particular.

The findings, reported in the American Journal of Epidemiology, add to a conflicting body of research on meat intake and prostate cancer risk. Because studies over the years have come to different conclusions, experts generally consider the evidence linking red and processed meats to the disease to be limited and inconclusive.

These latest findings do not settle the question. But they do suggest that processed red meats and high-heat cooking methods -- namely, grilling and barbecuing -- may be particularly connected to prostate cancer risk, according to Dr. Rashmi Sinha and her colleagues at the NCI.

For the study, the researchers followed 575,343 U.S. men between the ages of 50 and 71 who were surveyed about their diets -- including how much and what type of meat they typically ate, as well as the cooking methods they used.

The researchers used that information to estimate the levels of certain potentially cancer-promoting chemicals in the men's diets. Over the next nine years, 150,313 study participants developed prostate cancer and 40,419 died from the disease.

Overall, the researchers found, the 30 percent of men with the highest intakes of red meat, which in this study included beef and pork, were 22 percent more likely than those who consumed the least to develop prostate cancer. That's after a range of other factors, like smoking, exercise habits and education, were taken into account.

There was a stronger connection to advanced prostate cancer -- with that risk being almost one-third higher among those who ate the most red meat versus those who ate the least. Similar findings were seen with processed meat. But when the researchers broke the men's diet information down further, they found that red processed meats -- like bacon and red-meat sausage and hot dogs -- were related to higher prostate cancer risk, while white processed meats, like poultry cold cuts, were not.

When it came to cooking methods, the only one that was linked to prostate cancer was grilling/barbecuing, Sinha's team found. The finding is in line with the theory that meats cooked at high temperatures may be particularly linked to cancer because the cooking process produces certain chemicals -- including polycyclic aromatic hydrocarbons (PAHs) and heterocyclic amines -- that are known to cause cancer in animals.

Giving further support to that idea, the researchers found that higher dietary levels of a PAH called benzo-alpha-pyrene were related to a higher risk of prostate cancer. A similar pattern emerged when the investigators looked at men's intake of nitrites and nitrates -- chemicals used to preserve and flavor processed and cured meats like ham, bacon and sausage.

In the body, nitrites and nitrates can promote the production of potentially cancer-promoting chemicals called nitrosamines. Taken together, Sinha's team writes, the findings point to potential mechanisms by which certain meats could promote prostate cancer. They also highlight the importance of studying the relationship between specific types of meat and prostate cancer risk, the researchers say.

Further studies, they conclude, are still needed to establish whether certain meats, and chemicals in those foods, are in fact risk factors for prostate cancer.

SOURCE: American Journal of Epidemiology, November 1, 2009. © Copyright (c) Reuters
 
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #112 เมื่อ: 13 กันยายน 2553, 23:32:08 »

 สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ...เข้ามาตามอ่านค่ะ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #113 เมื่อ: 17 กันยายน 2553, 12:33:26 »

จ้า น้องอ้อย ... ขอบคุณที่ติดตามสม่ำเสมอ นะคะ


พืชที่ชื่อ " ย่านาง "

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา











ประชาสัมพันธ์โดย
ER & CSR

 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #114 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 22:44:33 »

การดูแลหลัง และกระดูกสันหลัง ... ทำไม ? ไอ-จาม ห้ามก้มหลัง ! !

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

มนุษย์ทำงานที่่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิเตอร์ทั้งวัน  และผู้ที่ชอบการออกกำลังกาย  ทุกท่าน ... ต่อไปนี้จะเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ส่วนใหญ่คนเรามักละเลย หรือไม่เคยรู้มาก่อน โดยเป็นการบรรยายของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสก อักษรานุเคราะห์  ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู  สภากาชาดไทย เรื่อง การดูแลสุขภาพ : ห่างไกลโรคข้อ - ปวดคอ ปวดหลัง และการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน
 
ในสภาวะปกติ กระดูกคนเราจะมีทั้งการสร้าง และการทำลายเนื้อกระดูกพร้อมๆ กันไปตลอดเวลา โดยที่อัตราการสร้าง และการทำลายนี้จะมีพอ ๆ กัน จึงอยู่ในสมดุล และในสภาวะบางอย่างจะมีการกระตุ้นให้มีการทำลายเนื้อกระดูกมากขึ้น  โดยที่การสร้างจะน้อยลง  ก็จะเป็นปัจจัยให้กระดูกบาง  โดยเฉพาะในคนสูงอายุ  จนสุดท้ายกระดูกนั้นจะหักง่าย ๆ ทรุดง่าย ๆ  จุดที่พบได้บ่อยคือ  ที่ข้อมือ  สะโพก  และกระดูกสันหลัง

@ กระดูกสันหลัง ประกอบด้วย  กระดูกคอ  ทรวงอก  เอว  และก้นกบ เรียงต่อกันจากคอ ลงมาถึงก้นมีลักษณะแอ่น ( คอ )  โค้ง ( ทรวงอก )  แอ่น ( เอว )  โค้ง ( ก้นกบ )  ตามลำดับ  หักลบกันแล้วจะเป็นเส้นตรง
 
1. กระดูกคอ  เคลื่อนไหวได้ทุกทิศ  คือ ก้ม เงย ตะแคงซ้าย ขวา หมุนซ้าย ขวา  จึงทำให้สึกหรอ และปวดได้ง่ายกว่าที่อื่น  สาเหตุที่ทำให้คอสึก คือ  การนั่ง นอน ทำงาน ในท่าที่ไม่ถูกต้อง
 
2. กระดูกทรวงอก  เคลื่อนไหวก้มไม่ได้ ได้แต่เอนกับหมุนบิดซ้ายขวา  จึงไม่ค่อยเสื่อม
 
3. กระดูกเอว  เคลื่อนไหวได้มาก คือ ก้ม และ เงย

@ หมอนรองกระดูก   มีลักษณะประกบกันเฉยๆ โดยมีตัวยึด 4 จุด  ตัวที่ยึดนี้เรียกว่า ข้อ  ตรงกลางหมอนรองกระดูกเป็นศูนย์รวมประสาท  เส้นประสาทจะโผล่ออกมาตามข้อเพื่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  หมอนรองกระดูกจะสึกไปเรื่อยๆ ตามอายุ  ถ้าตลอดชีวิตสึก 4 ซม. ถือว่าปกติ  เช่นสูง 170 พอแก่อายุ 70-80 ปี  ความสูงลดลงเหลือ 166  ถือว่าเป็นไปตามธรรมชาติ  แต่ถ้าเตี้ยลงปีละ 1 ซม. ถือว่าเป็นโรคกระดูกผุ  หญิงวัย 55 ปีขึ้นไป กระดูกจะทรุดลงตามธรรมชาติ  ตัวก็จะเตี้ยลง และพุงยื่น

@ เส้นประสาทคอ  มี 8 คู่  ถ้าเกิดกระดูกคอเสื่อม  จะเป็นต้นเหตุของอาการปวดตามที่ต่างๆ  โดยคู่ที่ 1 จะไปที่หัว  คู่ที่ 2 หลังหู  กระบอกตา  ขมับ  คู่ที่ 3 ต้นคอ  คู่ที่ 4 สะบัก   คู่ที่ 5 บ่าและไหล่   คู่ที่ 6 ต้นแขน   คู่ที่ 7 ปลายแขน   และคู่ที่ 8 มือ

@ เส้นประสาทเอว  มี 5 คู่ คือ คู่ที่ 1 เอว  คู่ที่ 2 โคนขา   คูที่ 3 หัวเข่า  คู่ที่ 4 น่อง  และคู่ที่ 5 เท้า  การปรับปรุงท่าทางในกิจวัตรประจำวัน

ท่านอน  ต้องเหมือนกับคนยืนตรง  เวลานอนให้ใช้หมอนหนุนคอ  จงจำไว้หมอนมีไว้หนุนคอไม่ใช่หนุนหัว  หมอนที่ดีมีลักษณะตรงกลางบางกว่าซ้ายและขวา  หากไม่มีหมอนจะใช้ผ้าขนหนูม้วนเป็นแท่ง แล้วรองหนุนคอให้พอดีก็ได้

นอนหงาย  การนอนหงายจะทำให้หลังแอ่น  วิธีแก้ต้องงอสะโพกและเข่า โดยมีหมอนรองใต้โคนขา หลังจะแบนเรียบติดที่นอน

นอนตะแคง  เป็นท่านอนที่ดีที่สุด หลังจะตรง  นอนตะแคงข้างใดก็ได้โดยกอดหมอนข้างใบใหญ่  ขาล่างเหยียดตรง  ขาบนงอก่ายบนหมอนข้าง
  
นอนคว่ำ  เป็นท่านอนที่ไม่ดี ห้ามนอนท่านี้เด็ดขาด เพราะจะทำให้กระดูกสันหลังแอ่น  ทำให้ปวดหลังระดับเอวมากขึ้น  กระดูกเอว และคอเสื่อม  สำหรับเด็กถ้าต้องการให้หัวทุย ให้เด็กนอนคว่ำได้ 3 เดือน หลังจากนั้นค่อยหัดให้เด็กนอนหงาย  หัวก็ยังทุยอยู่

การลุกจากที่นอน และการเอนตัวลงนอน  ห้ามสปริงตัวลุกขึ้นมาตรงๆ เพราะหลังจะสึกมาก  ควรปฏิบัติดังนี้
 
" ถ้านอนหงายอยู่ให้งอเข่าขึ้นมาก่อน
 
" ตะแคงตัวในขณะเข่ายังงออยู่
 
" ใช้ข้อศอกและมือยันตัวขึ้นในขณะที่ห้อยเท้าทั้ง 2 ข้าง ลงจากเตียง
 
" ดันตัวขึ้นมาในท่านั่งตรงได้ โดยให้เท้าวางราบบนพื้น
 
" ในท่าลงนอนให้ทำสวนกับข้างบนนี้

การดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือ  ห้ามนอนดู TV หรือนอนอ่านหนังสือ เพราะจะทำให้หมอนรองกระดูกคอสึก  นั่งจะดีกว่า

การนั่ง
  
" ควรนั่งเข้าให้สุดที่รองก้น
 
" หลังพิงสนิทกับพนักพิง หลังจะตรง
 
" เท้าวางบนพื้นได้เต็มเท้า
 
" ส่วนสำคัญของเก้าอี้
         - สูงพอดีเท้าวางราบบนพื้นได้  
       -   ที่นั่ง รองรับจากก้นถึงใต้เข่า
         - พนักพิง เริ่มจากที่นั่งสูงถึงระดับสะบัก โดยทำมุม 110 องศากับที่นั่งรองก้น
          
โต๊ะทำงาน  ควรจะลาดเอียงเทเข้าหาตัวแบบโต๊ะสถาปนิก  คอจะได้ไม่ต้องก้มอ่านหนังสือ
 
ท่านั่งคอมพิวเตอร์ และพิมพ์ดีด จอคอมพิวเตอร์ควรตั้งอยู่ตรงระดับหน้าเหมือนที่ตั้งโน้ตดนตรี และอยู่สูงพอดี ระดับตา จะได้มองตรงๆ ได้ ห่างประมาณ 2-3 ฟุต   มีแผ่นกรองแสง คีย์บอร์ดควรอยู่ระดับเอว หรืออยู่เหนือตักเล็กน้อย  ไม่ควรวางคีย์บอร์ดบนโต๊ะเพราะต้องยกไหล่  ทำให้ปวดไหล่
 
ท่านั่งของผู้บริหาร  เก้าอี้ส่วนใหญ่ของผู้บริหารจะเอนไปข้างหลังได้  จึงจำเป็นต้องก้มคออยู่เสมอ ทำให้เหมือนกับนอนหมอนสูง วิธีแก้ ควรให้พนักพิงสูงขึ้นไปจนรองรับศรีษะได้ และควรจะให้บริเวณต้นคอนูนกว่าส่วนอื่น  เพื่อรองรับกระดูกต้นคอด้วย หรือมิฉะนั้นให้นั่งเก้าอี้ที่เอนไม่ได้จะดีกว่า ลุกจากที่นั่ง  ให้เขยิบก้นออกมาครึ่งหนึ่ง  ก้าวเท้าออกไป  มือยันที่ท้าวแขน  แล้วลุกขึ้น

นั่งขับรถยนต์
    
" เลื่อนที่นั่งให้ใกล้พวงมาลัย เมื่อเวลาเหยียบครัชเต็มที่ เข่าควรสูงกว่าสะโพก
 
" หลังควรมีหมอนรองถ้าที่นั่งลึกเกินไปและพนักพิงไม่ควรเอนเกิน 100 องศา
 
" ถ้าที่นั่งนุ่ม และนั่งแล้วก้นจมลงในเบาะ  ต้องมีเบาะเสริมก้นด้วย

" การเข้านั่งรถยนต์ ให้เปิดประตู หันหลังให้เบาะนั่ง ลงนั่งตรงๆ แล้วจึงค่อยๆ หมุนตัวไปข้างหน้า พร้อมยกเท้าเข้ามาในรถทีละข้าง
 
" การลงจากรถยนต์ ให้ทำย้อนทาง

การดันหรือผลักรถ  หันหลัง ใช้ก้นดัน

การฉุดลาก  หันหลังให้วัตถุที่จะฉุดลาก

ไอ-จาม  ห้ามก้มหลังขณะไอจามเด็ดขาด  เพราะเวลาไอจามจะมีแรงกระแทกมาก  ให้ยืดหลังให้ตรง ใช้มือหนึ่งกดหลังไว้  อีกมือหนึ่งปิดปาก แล้วค่อยไอ หรือจาม
 
แปรงฟัน  ให้นั่งแปรง  ห้ามก้มหลังแปรงฟัน

อาบน้ำ  ให้นั่งอาบ  เวลาจะถูขา ให้ยกขาขึ้นมาถู โดยไม่ต้องก้ม
 
การยืนนานๆ  ควรมีตั่งรองเท้า สูงประมาณครึ่งน่อง เพื่อยกเท้าขึ้นพักสลับข้างกัน ทั้งนี้เพราะเวลางอสะโพกและเข่า กระดูกสันหลังจะตั้งตรงไม่แอ่น   หรืองอ ทำให้ยืนได้นานโดยไม่ปวดหลัง และช่วยพักขาเวลาเมื่อยขา เปลี่ยนสลับขาบนตั่งได้
  
ท่าบริหาร  เป็นการป้องกันไม่ให้กระดูก เสื่อมเร็ว โดยมีหลักการคือทำอย่างไรให้กล้ามเนื้อทุกส่วนแข็งแรงเท่าๆ กัน  และออกแรงอย่างไรให้กล้ามเนื้อคลายตัว   ทำท่าละ 10 รอบ   ถ้าเกินจะทำให้กล้ามเนื้อเปลี้ย
  
มี 6 ท่า ดังนี้
 
1. กล้ามเนื้อหน้าท้อง
 
1.1   นอนหงาย   งอเข่า 2 ข้าง   มือสอดใต้คอ   ยกหัวนิดนึงพร้อมเหยียดขาตรง   นับ 1-5
1.2   นอนหงายขาซ้ายไขว่ห้าง   มือสอดใต้คอ   ยกข้อศอกและลำตัวขวาเข้าหาขาซ้ายที่
ไขว่ห้างอยู่   นับ 1-5   ทำทั้งซ้ายและขวา      -3-
1.3   ยกขาลอยเหยียดตรง 1 ข้าง   บิดสะโพก (ยักสะโพก)   นับ 1-5   ทำทั้ง 2 ข้าง
1.4   ขมิบก้น   นอนหงายกอดอก ขมิบก้นให้ก้นสูงขึ้นเล็กน้อย หลังแนบพื้น นับ 1-5
  
2. กล้ามเนื้อหลัง  นอนหงายงอเข่า 2 ข้าง มือสอดใต้เข่า  ดึงเข่าชิดหน้าอก  นับ 1-5
  
3. กล้ามเนื้องอสะโพก  ทำแบบท่ากล้ามเนื้อหลัง  แต่งอเข่าข้างเดียว  นับ 1-5  ทำทั้ง 2 ข้าง
 
4. กล้ามเนื้อเหยียดสะโพก  นอนหงาย  งอเข่าข้างหนึ่งไว้แล้วใช้ส้นเท้าอีกข้างหนึ่งกดเข่าที่งออยู่แล้วดันเอนมา  จนชิดพื้น นับ 1-5  ทำสลับกัน

5. กล้ามเนื้อโคนขา   นั่งกับพื้นงอเข่าข้างหนึ่ง ขาอีกข้างเหยียดตรง เอามือแตะปลายเท้าที่เหยียดตรง   นับ 1-5   ทำทั้ง 2 ข้าง
 
6. กล้ามเนื้อน่อง   ยืนหันหน้าเข้าหาโต๊ะ เอามือยันโต๊ะ งอเข่าหน้าไปข้างหน้า ขาหลังเหยียดตรง แอ่นตัวไปข้างหน้า นับ 1-5   ทำสลับข้าง

สรุปประเด็นสำคัญช่วงคำถาม-คำตอบ
 
ที่นอน  ควรนุ่มพอควร เวลานอนไม่จมมาก  จมแค่ 1-2 ซ.ม.  ควรเป็นที่นอนที่ใช้ใยกากมะพร้าวจะดีที่สุด  เพราะโปร่ง อากาศผ่านได้  ราคาแพงประมาณ 8,000-10,000 บาท  ยี่ห้อที่ดเช่น สายรุ้ง ของศรีมหาราชา ปัจจุบัน ปิดกิจการแล้ว
 
เก้าอี้เหล็กไฟฟ้า ตัวละแสน  เป็นกระแสแม่เหล็ก มีรังสีแม่เหล็ก เบต้า หรือแกรมม่า ทำให้เกิดมะเร็ง  ใช้นวดกล้ามเนื้อไม่ได้ผล เป็นการหลอกลวง
              
สายไฟฟ้าแรงสูง  คนที่อยู่ใต้ไฟฟ้าแรงสูงในรัศมี 60 เมตร มีสถิติเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดสูง  ต้องเกิน 100 เมตร ขึ้นไปจึงจะปลอดภัย
 
การเล่นกอล์ฟ  การบาดเจ็บจะเกิดจากการไดร์ฟ 99%   อีก 1% บาดเจ็บจากสนาม   การไดร์ฟกอล์ฟปกติไม่มีปัญหากับ  กระดูกสันหลัง  แต่ถ้าไดร์ฟ ติดต่อกันโดยไม่หยุด เชน  มีเครื่องตั้งกอล์ฟ  หรือบางรายตีโดนอิฐ ดิน ไหปลาร้าหักได้  คนที่ผ่าตัดกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทสามารถเล่นกอล์ฟได้โดยใส่เสื้อพิเศษ ป้องกัน  คนที่ผ่าตัดหมอนรองกระดูกที่ต้นคอโดยเอากระดูกเชิงกรานมาต่อ  ข้อกระดูกคอจะหายไป 1 ข้อ และเชื่อมกระดูกแล้ว สามารถออกกำลังกายได้

การเสื่อมของกระดูก  จะเกิดขึ้นมากในขณะที่เราอยู่เฉย ๆ เช่น นอน นั่ง เพราะกินเวลานาน  แต่ถ้าเคลื่อนไหวการเสื่อมจะน้อย กว่าเพราะกินเวลาน้อย
 
โยคะ  การฝึกโยคะมีผลดีต่อการฝึกลมหายใจ และได้สมาธิ  แต่ไม่ถือเป็นการออกกำลังกาย  และบางท่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่่เสี่ยงอันตรายต่อกระดูก เพราะเกินกว่าธรรมชาติ  เช่น  การทรงตัวบนพื้นด้วยศรีษะ  การแอ่นหลัง ทำให้กระดูกหลังเสื่อมมาก

ไท้เก๊ก  เป็นการออกกำลังกายที่ยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ  อาจารย์เคยทำวิจัยเกี่ยวกับ ชี่กง คือการออกกำลังกายตามมโนภาพ เช่น วาดมโนภาพว่ายกของหนัก  น้ำหนักเท่าไรก็ได้แล้วแต่จะนึก )  โดยใช้คน 30 คน เป็นเวลา 3 เดือน ได้ผลคือเหงื่อออก และกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นมาก  นอกจากนี้อาจารย์มีโครงการจะทำวิจัยกับคนกลุ่มใหญ่ขึ้น  โดยเน้นผลใน เรื่องหัวใจ ความดันโลหิต และชีพจร
 
เก้าอี้ไฟฟ้านวดทั้งตัว  ไม่มีประโยชน์เสียเงินเปล่า เพราะนวดทั้งตัว แต่เราต้องการเฉพาะจุด  และไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ แต่รักษาที่ปลายเหตุ  เช่นเดียวกับบริการของหมอนวด  นวดวันนี้สบาย  พรุ่งนี้ปวดอีกแล้ว  ควรรักษาที่ต้นเหตุด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
 
การดึงคอ  คือการดึงเอ็นที่ยึดอยู่ให้ห่างออก  คนที่ข้อต่อกระดูกหลังยุบ  รักษาโดยการดึงคอได้
  
การดึงคอ มีข้อห้าม 3 กรณีคือ กระดูกหัก กระดูกเชื่อมต่อกันหมด หรือเป็นโรครูมาตอยด์   ทั้งนี้ต้องให้แพทย์ผู้ชำนาญวินิจฉัยก่อนว่าไม่ได้เป็น 3 โรคที่กล่าว และควรกระทำโดยผู้ชำนาญการจึงจะปลอดภัย

จ็อกกิ้ง และเต้นแอโรบิค  เป็นการออกกำลังกายที่หนัก และมีผลต่อกระดูกมาก ทำให้ข้อเสื่อมได้ง่ายกว่าการเดิน  ยกตัวอย่าง การเดิน น้ำหนักขาที่เราวางบนพื้นเท่ากับน้ำหนักขา เช่น ขาหนัก 10 ก.ก. เวลาเดินจะเกิดแรงกระแทกเท่ากับ 10 ก.ก.  แต่ถ้าวิ่ง น้ำหนักตัว 60 ก.ก. วิ่ง 3 ก.ม./ช.ม.  ขณะวิ่งไปข้างหน้า 2 ขาจะลอยจากพื้นแรงกระแทกจะคูณ 3 เท่ากับ 180 ก.ก.

การวิ่งทำให้กระดูกเสื่อมมากกว่าการเดิน  ถ้าอยากถนอมกระดูกและข้อให้เดินดีกว่า  การวิ่งมีข้อดีทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง  แต่มีข้อเสียคือขาพังเข่าพัง   ขณะวิ่งห้ามหยุดทันที  เพราะเลือดจะตกไปที่ขาทำให้หัวใจวายได้  แม้แต่บิดาแห่งจ็อคกิ้งก็ยังหัวใจวายคาที่  ดังนั้นในการออกกำลังกายต้องเลือกท่าบริหาร พื้นลู่วิ่งและรองเท้าที่เหมาะสม
 
การออกกำลังกาย  ต้องคำนึงถึงวัย และความเหมาะสมกับตัวเรา  ในวัยหนุ่มสาวออกกำลังกายโดยการวิ่งได้  แต่เมื่ออายุมากขึ้นๆ ต้องเปลี่ยนให้เบาลง เป็นว่ายน้ำ  เดิน   พออายุ 80-90 ปี แค่ยืนแกว่งแขน หรือรำมวยจีนก็พอ  ขอให้คำนึงถึงสายกลางเพื่อสุขภาพ
 
นั่งสมาธิ  ไม่จำเป็นต้องนั่งพับเพียบหรือขัดสมาธิ  นั่งอย่างไรก็ได้ที่ทำให้เกิดสมาธิดีที่สุด  ควรนั่งเก้าอี้ดีที่สุด
 
การรักษาโดยหมอแผนโบราณ ที่ดึงกระดูกปุ๊บแล้วเข้าที่  มีความเสี่ยงสูง และไม่มีใครรับรองผล  ที่ดึงแล้วหายก็มี  แต่ที่ดึงแล้วเป็นอัมพาต หรือกระดูกหักก็มี
 
ท่าออกกำลังกายโดยการก้มเอามือแตะเท้า  เป็นท่าที่อันตราย ทำให้กระดูกสันหลังเสื่อม
  
นิ้ว  ห้ามหักหรืองอ  ให้ดึงได้อย่างเดียวคือดึงตรงๆ  จะเกิดเสียงดังเป๊าะ  ในข้อนิ้ว  จะลดแรงกดดันทำให้สบายขึ้น

การนั่งซักผ้านานๆ  จะทำให้ปวดหลัง  ควรนั่งเก้าอี้ และวางกาละมังผ้าบนโต๊ะ  หรือยืนซัก  จะทำให้ไม่ปวดหลัง
  
การหยิบของที่พื้น  ห้ามก้มเด็ดขาด  ให้ย่อเข่าลงแล้วหยิบ  ถ้าของหนัก ให้ย่อเข่าแล้วหยิบของมาอุ้มไว้กับอก  แล้วลุกขึ้น
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #115 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2553, 22:46:59 »

8 วิธี เพิ่มอายุยืนยาวขึ้น 8 ปี

( จาก นิตยสารสุขภาพดี )  เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

คนเราอยากมีอายุยืนยาวด้วยกันทั้งนั้น  ผมเองก็อยากอยู่กับครอบครัว และคนที่ผมรักไปนานๆ  แล้วทำยังไงถึงจะมีชีวิตยืนยาว และมีคุณภาพที่ดี  ผมมีวิธีมาบอกครับ

1. อายุยืนยาวขึ้น 1 ปี ด้วยการกินดาร์กช็อกโกแลต

          การวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  สหรัฐอเมริกาบอกว่าถ้าเรากินดาร์กช็อกโกแลตบ่อยๆ หรืออย่างน้อยเดือนละ 3 ครั้ง  อาจจะช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้อีก 1 ปีเลย  เพราะว่าในดาร์กช็อกโกแลตมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยทำให้เลือดไม่ข้นหนืดจนเกินไป  เลือดเลยไหลได้สะดวก ไม่ไปติดหรือกระแทกหลอดเลือดมาก  จึงไม่เกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด  เส้นเลือดก็ไม่อุดตัน

2. อายุยืนยาวขึ้น 2 ปี ด้วยเพศสัมพันธ์ที่ดี

          มีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ แล้วดีครับ  ช่วยเพิ่มอายุได้ถึง 2 ปีเลยทีเดียว  มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย บอกว่าเป็นเพราะมันจะมีสารที่หลั่งออกมาหลังจากที่เราถึงจุดสุดยอด ที่ทำให้คลายเครียดได้ดีมาก  และจะทำให้เรารู้สึกสบายตัวร่างกาย และหัวใจเราก็ดีขึ้น  ฮอร์โมนคอร์ติโซนก็จะหลั่งออกมาน้อย  ผมเคยอ่านงานวิจัยอีกอันที่เขาศึกษากับคนออสเตรเลีย 2,338 คน  พบว่าการที่ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์ หรือช่วยตัวเองสัปดาห์ละ 10 ครั้ง สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 33 เปอร์เซ็นต์

3. อายุยืนยาวขึ้น 3 ปี ด้วยการกินถั่ว

          อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน  มหาวิทยาลัยโลม่าลินดาที่แคลิฟอร์เนีย วิจัยพบว่าในถั่วจะมีไขมันโอเมก้า3  สารต้านอนุมูลอิสระ  ใยอาหารเยอะไขมันอิ่มตัวน้อย  แคลอรีน้อย  ทำให้ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะกับหัวใจ แต่ต้องเลือกแบบไม่มีเกลือนะครับ

4. อายุยืนยาวขึ้น 4 ปี ด้วยการดื่มไวน์

          นักวิทยาศาสตร์ชาวดัชช์ ให้ดื่มไวน์วันละครึ่งแก้ว จะทำให้ชีวิตเรายืนยาวได้ถึง 4 ปี  เพราะในไวน์จะมีสารโพลิฟิโนลิคคอมพาวน์ส ( polyphenolic compounds )  ซึ่งสารนี้จะทำให้เลือดเราไม่มีการเติบโตของไขมัน  พอเยื่อไขมันไม่สามารถเติบโตได้  เส้นเลือดเราจะสะอาดใสอยู่ตลอดเวลา ไม่มีตะกอนตกค้าง หรือมีไขมันมาเกาะผนังหลอดเลือด

5. อายุยืนยาวขึ้น 5 ปี ด้วยการเล่นกอล์ฟ

          อาจจะมีหลายคนที่เล่นกอล์ฟกันอยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าทำไมเล่นกอล์ฟแล้วทำให้อายุเรายืนยาวขึ้นได้  นั่นเพราะการเล่นกอล์ฟทำให้เราเดินครับ  เล่นกอล์ฟ 18 หลุม จะทำให้เราต้องเดินถึง 6-10 กม. เลยครับ  แล้วการเดินทำให้ร่างกายเราเผาผลาญแคลอรีได้ดี  เป็นการออกกำลังกายแบบ Low intensity  คือการออกกำลังกายแบบไม่หนัก  แต่หัวใจเต้นเร็ว และใช้ออกซิเจนเยอะมาก  ซึ่งจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรง แล้วการตีกอล์ฟทำให้เราไม่เบื่อที่จะออกกำลังกายด้วย

6. อายุยืนยาวขึ้น 6 ปี ด้วยการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

            กินทุกๆ มื้อเลยนะครับ  ให้เรื่องการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นชีวิตประจำวัน  ไม่ใช่วันนี้พิเศษ ฉันจะไปกินอาหารเพื่อสุขภาพ  นานๆ กินทีแบบนั้นไม่ดีแน่ๆ  แล้วมีการวิจัยจากฮอลแลนด์บอกว่าการกินปลา เนื้อไม่ติดมัน น้ำมันมะกอก กระเทียม  คาร์โบไฮเดรตที่ดีอย่างข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต  เป็นประจำจะทำให้ไขมันในเลือดน้อยลง  สุขภาพร่างกายดีขึ้น โรคมะเร็งกับเบาหวานก็จะเกิดได้ยากขึ้น  แล้วถ้าไม่รู้ว่ามีอาหารอะไรอีกที่ดีต่อสุขภาพ ก็ดูจากสุขภาพดีนี้ก็ได้หาง่าย  ไม่แพงด้วย

7. อายุยืนยาวขึ้น 7 ปี ด้วยการควบคุมน้ำหนัก

          นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด  ศึกษาพบว่าถ้าคุณสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ตามเกณฑ์มาตรฐานได้โดยตลอด  คุณอาจจะเพิ่มชีวิตได้ถึง 7 ปีเลย  หรือหากตอนนี้ใครกำลังน้ำหนักตัวเกินอยู่ก็รีบลดเลยครับ  เพราะปล่อยให้น้ำหนักมากๆ ไม่ดี  กระดูก และไขข้อต้องรับน้ำหนักเยอะมากก็จะมีปัญหาได้  แล้วก็เสี่ยงกับการเกิดโรคหลายโรคด้วย  แต่ที่ต้องระวังด้วยคืออย่าดูแค่ตัวเลขของน้ำหนักเท่านั้น  ให้ดูไขมันด้วย เพราะคนผอมหลายคนเหมือนกันที่น้ำหนักน้อยแต่ไขมันเยอะ นั่นก็สุขภาพไม่ดีได้ง่ายเหมือนกัน

8. อายุยืนยาวขึ้น 8 ปี ด้วยการหัวเราะบ่อยๆ

           การที่เราหัวเราะ  ฮอร์โมนคอร์ติโซน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพจะหลั่งน้อยลง  ทำให้เรามีความสุข ผ่อนคลายไม่เครียด  เพราะสารเคมีที่ไม่ดีในร่างกายจะไม่หลั่งออกมาเลย  แล้วจะมีสารเคมีดี  เช่น เอ็นโดรฟิน อะดรีนาลีน หลั่งออกมาแทน ก็พยายามดูหนังตลก  อยู่กับเพื่อนให้เยอะๆ นะครับ จะได้หัวเราะ  แค่คุณหัวเราะวันละ 15 นาที  อาจจะทำให้คุณมีอายุยืนยาวขึ้นอีก 8 ปีเลยนะครับ

รู้วิธีแล้วก็ลองเอาไปทำกันดูนะครับ  ผมเองก็เริ่มทำแล้วเหมือนกัน
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #116 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2553, 23:29:42 »

 
ตามมาอ่านเรื่องดีๆ มีประโยชน์ค่ะ พี่เจี๊ยบ ...


 sleep
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #117 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2553, 21:42:24 »

จ้า ... น้องอ้อย อย่าลืมเอาเรื่องดีๆ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มาเล่าสู่กันฟังด้วยนะคะ


อาหาร แก้เครียด

Poomping Praison ...ส่งมา    
 
คนส่วนใหญ่มองว่า ' ความเครียด ' เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันอันแสนเร่งรีบ  แต่ที่จริงแล้วความเครียดก่อให้เกิดอาการป่วยมากมายนับไม่ถ้วน  ไล่มาตั้งแต่ ปวดหัว ปวดหลัง ปวดไหล่ ท้องไส้ปั่นป่วน อาหารไม่ย่อย ปวดกระเพาะ ท้องผูก นอนไม่หลับ ไปจนถึงโรคซึมเศร้า  และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ความเครียด ยังเป็นตัวการกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งด้วย
 
การจะทำใจให้ปลอดจากความเครียด ในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นทุกวันนี้ คงทำได้ยากเต็มที  แต่เชื่อไหมคะว่าเราสามารถลดความเครียดได้ด้วยการกิน ! !


 
ตามหลักโภชนาการบ่งชี้ว่า  เวลาเครียดระบบฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายจะเสียสมดุล  สารอาหาร และพลังงานที่สำรองไว้ถูกดึงมาใช้จนหมด  ฉะนั้น คนที่เครียดต้องการวิตามิน และเกลือแร่เสริม  ควรเลือกทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี  เพื่อเสริมระบบภูมิต้านทาน และระบบประสาทของร่างกาย  โดยเฉพาะวิตามินบี 6 จะช่วยผลิตสารเคมีในสมอง  พบมากในเมล็ดทานตะวัน ปลาทูน่า แซลมอน ข้าวกล้อง และกล้วย
 
นอกจากนี้เมื่อความเครียดมาเยือน  จะทำให้กล้ามเนื้อเครียดเกร็งอย่างไม่รู้ตัว  จึงควรบริโภคอาหารที่มีแคลเซียม และแมกนีเซียม  เพราะแร่ธาตุทั้งสองชนิดนี้จะร่วมกันควบคุมการทำงานของประสาท และช่วยให้กล้ามเนื้อหายเกร็ง  อาหารแคลเซียมสูง มีอาทิ ถั่วเหลือง เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย และโยเกิร์ต



คุณค่าทางโภชนาการจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน  ซึ่งพบได้ในอาหารปรุงแต่งน้อย  ที่ไม่ผ่านการแปรรูป  ช่วยป้องกันความเครียด และความกังวลใจได้เช่นกัน  ผลงานการวิจัยบางสำนักบ่งชี้ว่า  การทานอาหารมังสวิรัติ ช่วยลดระดับความเครียดลงได้  เช่นเดียวกับอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ หรือเส้นใยอาหาร  ก็ช่วยให้รู้สึกสบายท้อง และบรรเทาอาการท้องผูก  ลดความเครียดเกร็ง
 
ส่วนใครที่อยากปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นในเวลารวดเร็ว  ลองทานข้าวกล้อง  ผลิตภัณฑ์นม  กล้วย  สัตว์ปีก  และถั่ว  จะช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน  ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และหลับสบาย  ขณะเดียวกัน ควรทานผัก ผลไม้สดซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี อย่างเช่น บร็อกโคลี่ ส้ม ฝรั่ง และกะหล่ำปลี เพื่อชดเชยวิตามินซีที่สูญเสียไปอย่างรวดเร็วจากอาการเครียด
 
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน คือ กุญแจที่ช่วยให้ห่างไกลจากโรคเครียดถาวร  โดยนักโภชนาการทุกสำนักต่างเน้นย้ำว่า  อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด  ควรทานอาหารเช้าภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากตื่นนอน  คุณค่าของอาหารเช้า จะช่วยสตาร์ตกระบวนการเผาผลาญอาหารในแต่ละวัน แล้วส่งพลังงานไปเลี้ยงสมอง  ทำให้รู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง และมีสมาธิในการทำงาน  ไม่ควรเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟ  เพราะการดื่มกาแฟตอนท้องว่างอาจทำให้เฉื่อยชา  และง่วงนอนทั้งวัน
 
สำหรับสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเวลาเครียด คือ การดื่มกาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  รวมทั้งอาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทอด และของหมักดอง ซึ่งทำให้เกิดแก๊ส  เพราะความเครียดกระตุ้นให้มีแก๊สในกระเพาะอาหารมากขึ้นอยู่แล้ว  ไม่ควรซ้ำเติมร่างกายให้ย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #118 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2553, 23:50:27 »

มาออกกำลังกาย " บำรุงสมอง " กันดีกว่า

Poomping Praison ...ส่งมา

ออกกำลังกาย ช่วยกระตุ้นฮอร์โมน-กล้ามเนื้อประสาท ให้เติบโต


ออกกำลังกาย ใช่แต่จะดีต่อร่างกายเท่านั้น  แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อสมอง พัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ คลายความเครียด รักษาระดับฮอร์โมนให้คงที่ และช่วยชะลอความชราได้ด้วย

หลายคนพยายามออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที  สัปดาห์ละ 5 หนอยู่แล้ว  เพราะรู้ว่าช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็ง และเส้นเลือดสมองแตก  แต่ล่าสุดมีหลักฐานว่า ในการออกกำลังกายแต่ละนาทีนั้น  ยังได้ช่วยกระตุ้น และฟื้นฟูการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมองด้วย  ทำให้เราฉลาดขึ้น  มีความสุขขึ้น  อ่อนเยาว์ขึ้น และป้องกันไม่ให้สมองเกิดความเครียด และแก่ตัวลง

ในหนังสือเล่มใหม่ ดร.จอห์น เรทีย์ นักจิตเวชศาสตร์ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอกว่า  การออกกำลังกายต่างหาก  ไม่ใช่น้ำมันปลา หรือเกมโซโดกุ ที่ช่วยบำรุงสมองเหนือสิ่งอื่นใด  และยิ่งเราแข็งแรงขึ้นเท่าไร  สมองก็ยิ่งทำงานดีเท่านั้น

ผลวิจัยชี้ว่า การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยกระตุ้นสมอง  ทำให้เซลล์ประสาทมีการเชื่อมต่อกันดีขึ้น และแข็งแรงขึ้น  การออกกำลังกายช่วยปลดปล่อยสารเคมีหลายชนิดเข้าสู่กระแสเลือด  ซึ่งจะไปบำรุงเลี้ยงสมอง  สารเคมีเหล่านี้ เช่น  BNDF ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง เซลล์ประสาทในสมองมีการเชื่อมต่อกันคล้ายกิ่งก้านของต้นไม้  ทำให้กิ่งก้านเหล่านี้เติบโต  ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้


ประโยชน์ของสารดังกล่าวได้ลดน้อยถอยลง  เนื่องจากแรงกดดันของวิถีชีวิตสมัยใหม่  แต่การออกกำลังกายจะกระตุ้นการหลั่งสารเคมีชนิดนี้  และจะทำให้มีการผลิต " นักชำระล้าง " ภายในสมอง  ซึ่งก็คือเอ็นไซม์ และโปรตีนที่จะกำจัดของเสียที่อุดตัน  อันทำให้เกิดอาการคิดช้า และเหนี่ยวรั้งไม่ให้สมองทำงานอย่างเต็มที่


เมื่อเราแข็งแรงพอที่จะจ้ำได้เป็นครั้งคราว เช่น ว่ายน้ำอย่างเร็วในสระ หรือปั่นจักรยานอยู่กับที่นาน 30 วินาที  ต่อมพิทูอิทารีในสมองก็จะปล่อยฮอร์โมนสร้างความเติบโตที่ชื่อ HGH ออกมา  เจ้าฮอร์โมนนี้จะเผาผลาญไขมันหน้าท้อง  จัดระเบียบเส้นใยกล้ามเนื้อ และเพิ่มเนื้อสมอง  โดยทั่วไป HGH จะอยู่ในกระแสเลือดเป็นเวลาแค่ไม่กี่นาที  แต่ผลวิจัยชี้ว่าการจ้ำจะช่วยรักษาระดับของฮอร์โมนตัวนี้ไว้ได้นานถึง 4 ชั่วโมง

คุณหมอเรทีย์บอกว่า เราไม่ต้องทำถึงขนาดวิ่งมาราธอน  การออกกำลังกายของเราจะเลียนแบบการเคลื่อนไหวของบรรพบุรุษของเราซึ่งมีการออกกำลังกายตลอดเวลา เช่น เดินวันละ 12 ไมล์ทุกวัน

ถ้าใครอยากพัฒนาพลังสมองอย่างเต็มที่  สามารถทำได้โดยออกกำลังกายปานกลางวันละ 1 ชั่วโมง เช่น จ๊อกกิ้ง สัปดาห์ละ 4 วัน  หรือเล่นสควอช  หรือวิ่งสัปดาห์ละ 2 ครั้ง  คนที่ไม่แข็งแรงควรเริ่มแต่น้อยก่อน

ดร.เรทีย์ได้ให้คำแนะนำสำหรับคนแต่ละกลุ่ม  คนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปจะสูญเสียมวลของสมอง 5% ในทุกๆ 10 ปี  เนื่องจากจุดประสานประสาท  ซึ่งหมายถึงบริเวณระหว่างเซลล์สมองต่างๆ ที่มีการส่งผ่านข้อมูล จะเสื่อมสภาพ  ในที่สุดจุดประสานนี้ก็จะขาดออกจากกัน  หลอดเลือดฝอยซึ่งส่งเลือดไปเลี้ยงสมองก็หดตัวตามวัย  ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง  เป็นเหตุให้คนเราขี้หลงขี้ลืมเมื่อแก่ตัว


ดร.เรทีย์พบว่า การออกกำลังกายสามารถป้องกันผลกระทบของภาวะชราภาพต่อสมองได้  ยิ่งเริ่มออกกำลังกายเร็วเท่าไรยิ่งดี  เพราะหากเรามีสมองที่มีเส้นประสาทเชื่อมต่อกันดี ก่อนที่จะเข้าสู่วัยชรา  ก็จะสามารถป้องกันผลกระทบดังกล่าวได้


ดร.เรทีย์ แนะนำให้ออกกำลังกายในแบบใดแบบหนึ่งทุกวัน  เช่น  เต้นลีลาศ  ตัดหญ้าในสนาม  เล่นเทนนิส  หรือเล่นกับหลานๆ  แต่ถ้าต้องการชะลอความแก่  ขอแนะนำให้ทดลองวิธีการเหล่านี้

1. ทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย  เช่น  เดิน  เต้นรำ  ทำสวน  เป็นเวลา 30-60 นาที  สัปดาห์ละ 4 วัน

2. ออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก  หรือทำตามคำแนะนำในวิดีโอสอนการออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 2 ครั้ง  เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และความแข็งแรงของกระดูก  เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน

3. ออกกำลังกายจำพวกยืดหยุ่น หรือการทรงตัวสัปดาห์ละ 2 ครั้ง  เช่น  โยคะ  รำมวยจีน  หรือเล่นทรงตัวในลักษณะต่างๆ เป็นเวลา 30 นาที  เพื่อให้ร่างกายมีความว่องไว
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #119 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 12:02:18 »



        พี่เจี๊ยบ ขราาาา ... หม่ำเสร็จ  รอข้าวย่อย  จะรีบไปออกกำลังกายล่ะค่ะ  กลัวจะชราค่ะ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #120 เมื่อ: 16 ตุลาคม 2553, 21:35:10 »

สนับสนุนน้องอ้อยค่ะ

หมูยอ ใส่สารกันบูดแทบทุกยี่ห้อ

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

ตะลึง ! ! พบ" หมูยอ " แทบทุกยี่ห้อใส่ " สารกันบูด " เกินมาตรฐาน  ที่อ้างว่าขายหมดทุกวัน  ยิ่งต้องระวัง



ตรวจสอบพบ " หมูยอ " แทบทุกยี่ห้อใส่ " สารกันบูด " เกินมาตรฐาน  โดยเฉพาะที่อ้างขายหมดทุกวัน  ยิ่งต้องระวังให้หนัก  แนะนำให้ลวกก่อนทานทุกครั้ง  เพราะสามารถลดปริมาณสารกันบูดได้

" หมูยอ " นับเป็นอาหารพื้นบ้าน ซึ่งเป็นที่นิยมมากชนิดหนึ่ง  ในปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ง่าย  เพราะถูกพัฒนาให้กลายเป็นสินค้าที่สามารถส่งขายไปทั่วประเทศ  แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ต้องฝากฝังให้เพื่อนที่ไปเที่ยวภาคเหนือ หรืออีสานซื้อมาฝาก  ด้วยเหตุนี้ หมูยอจึงจำเป็นต้องผสม " สารกันบูด " เพราะมีส่วนผสมหลักเป็น " เนื้อหมู " ที่นำมาปั่นให้ละเอียด และนำไปผสมเครื่องปรุงตามสูตรใครสูตรมัน  ก่อนที่จะนำมาตีให้เหนียวจนสามารถปั้นเป็นแท่ง  จากนั้นจึงทำให้สุก



แม้จะสุกอยู่แล้ว  แต่อากาศบ้านเราที่มีอุณหภูมิเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์มาก  ดังนั้น จึงจำเป็นต้องผสมสารกันบูดลงไปอยู่ดี  โดยส่วนใหญ่นิยมใช้ " กรดเบนโซอิค " และ " กรดซอร์บิก " เพื่อถนอมไม่ให้หมูยอเน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค

การผสมสารกันบูด 2 ชนิดข้างต้นไม่ใช่เรื่องต้องห้าม  เพราะกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ทำได้  แต่ต้องไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม  เพราะถ้าใส่มากกว่านั้น  จะเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค  เราจึงไปเดินตลาด และซูเปอร์มาร์เก็ต  เพื่อซื้อหมูยอที่วางขายอยู่ทั่วไป 5 ยี่ห้อ ได้แก่ ยี่ห้อ เจ๊หงษ์ หมูยอ, เจ้าสัว เตียหงี่เฮียง, เวียงเหนือ หมูยอ, บ้านไผ่ หมูยอ และส.ขอนแก่น หมูยอ  นอกจากนี้ยังซื้อหมูยอจากตลาดดังเมืองเชียงใหม่มาอีก 3 ยี่ห้อ ได้แก่ ป้าย่น หมูยอตำรับจีนไหหลำ, วิมลรัตน์ หมูยอพริกไทยดำ และสมพัตร หมูยอ ตำรับอุดร  ซึ่งทั้ง 3 ยี่ห้อดังกล่าว ไม่ได้ระบุวันหมดอายุ เพราะแม่ค้าอ้างว่า " ขายหมดวันต่อวัน "



ผลการทดสอบปริมาณสารกันบูด

- พบสารกันบูดในหมูยอทุกยี่ห้อ

- หมูยอยี่ห้อ เจ๊หงษ์ หมูยอ, เจ้าสัว เตียหงี่เฮียง, ป้าย่น หมูยอตำรับจีนไหหลำ, วิมลรัตน์ หมูยอพริกไทยดำ และสมพัตร หมูยอ ตำรับอุดร มีปริมาณสารกันบูดมากเกินมาตรฐาน ตามรายละเอียด ดังนี้

1. วิมลรัตน์ หมูยอพริกไทยดำ พบกรดเบนโซอิค 3931.83 มก./ กก.
2. สมพัตร หมูยอ ตำรับอุดร พบกรดเบนโซอิค 2969.75 มก./กก.
3. เจ้าสัว เตียหงี่เฮียง พบกรดเบนโซอิค 2486.80 มก./กก.
4. เจ๊หงษ์ หมูยอ พบกรดเบนโซอิค 2511.17 มก./กก.
5. ป้าย่น หมูยอตำรับจีนไหหลำ พบกรดซอร์บิก 1000.84 มก./กก


- หมูยอยี่ห้อ เวียงเหนือ หมูยอ, บ้านไผ่ หมูยอ และส.ขอนแก่น หมูยอ พบสารกันบูดไม่เกินมาตรฐาน แต่ยี่ห้อเวียงเหนือ หมูยอ มีปริมาณฉิวเฉียด คือ 915.89 มก./กก.

กินหมูยออย่างไรให้ปลอดภัย

ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.นครราชสีมา เคยศึกษาหาวิธีเหมาะสมในการลดปริมาณกรดเบนโซอิคในหมูยอ ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน  โดยทดลองลวกหมูยอ  เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับหมูยอที่ยังไม่ได้ลวก  พบว่าหมูยอที่ถูกลวกในน้ำเดือดจะมีปริมาณกรดเบนโซอิคลดลง  ส่วนจะลดมาก หรือน้อยแค่ไหนนั้น  ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของน้ำที่ใช้ลวก กับหมูยอ

ดังนั้น การที่เราแกะหมูยอทานทันที โดยไม่ลวกเสียก่อน  จึงไม่ควรกระทำอีกต่อไป  แต่ควรเจียดเวลาสักนิด  ลวกหมูยอก่อนรับประทานทุกครั้ง

**********************************
 
ที่มา นิตยสาร " ฉลาดซื้อ " ฉบับที่ 95  เขียนโดย กองบรรณาธิการฉลาดซื้อ 
      บันทึกการเข้า
nobizero
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #121 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2553, 00:17:45 »

ขอบคุณมากๆครับ ที่นำบทความมีประโยชน์มาให้ทราบกัน
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #122 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 21:28:27 »


ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับคำชมเชย และความสนใจที่ได้แวะเวียนมาอ่าน ...


นมแคลเซียมสูง

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

' นมแคลเซียมสูง ' กำลังเป็นที่นิยมมาก โดยเฉพาะในวัยผู้สูงอายุ และมีราคาแพงกว่า ' นมแบบปกติ '  จึงเป็นที่มาของคำถามว่า  เราจำเป็นต้องจ่ายแพงเพื่อซื้อ ' นมแคลเซียมสูง ' จริงหรือ ?  พบ ' ความจริง ' ของการตลาด ' นมแคลเซียมสูง' ได้ที่นี่
 
นมวัว เป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญ เพราะในนมสด 1 แก้ว ( 200 มิลลิลิตร ) จะมีแคลเซียม 240 มิลลิกรัม  ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูง จึงมีคำถามที่ควรหาคำตอบว่า ... เหตุใดยังต้องมีนมแคลเซียมสูงออกมาวางขายอีก ? ! ?
 
ในปัจจุบันจะสังเกตได้ว่า บรรจุภัณฑ์ของนมแคลเซียมสูงมีลักษณะดึงดูดผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย  ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารประชาสัมพันธ์ได้ผลดี  แม้แต่นมถั่วเหลือง ที่ถูกโจมตีว่าแคลเซียมต่ำ  ก็หันมาเติมแคลเซียมเพื่อลดจุดอ่อนของผลิตภัณฑ์  เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันในตลาด  ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าเอะอะอะไร ก็ต้อง ' แคลเซียมสูง ' ไว้ก่อน  แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจจริงๆ ว่า  การที่นมมีแคลเซียมสูงนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการที่ ' ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ประโยชน์ '
 
จากการสำรวจซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่ง  เราได้เลือกหยิบนมพร้อมดื่ม และนมถั่วเหลืองพร้อมดื่ม  แบ่งเป็นนมโค 3 ยี่ห้อ ได้แก่ แอนลีน นูต้าแม็กซ์ ฟาร์มโชคชัย และโฟรโมสต์ แคลซีแม็กซ์, นมถั่ว เหลือง 4 ยี่ห้อ ได้แก่ แลคตาซอย ดีน่า ไวตามิลค์ และวีซอย ซึ่งล้วน อ้างว่ามี ' แคลเซียมสูง'  มาทดสอบหาปริมาณแคลเซียม

จากการทดสอบ พบว่า ...

- นมโค ยี่ห้อ แอ นลีนและโฟรโมสต์ แคลซีแม็กซ์ มีปริมาณ แคลเซียมสูงกว่านมธรรมดาจริง  ขณะที่ยี่ห้อ นูต้าแม็กซ์ ฟาร์มโชคชัย มีปริมาณแคลเซียมน้อยกว่านมโคธรรมดา

- ส่วนนมถั่ว เหลืองนั้น มีทั้งแบบที่มีแคลเซียม ' ต่ำกว่า ' ' สูงกว่า ' และ ' ใกล้เคียง ' กับนมโคธรรมดา  ทั้งนี้ยี่ห้อ วีซอย สูตรน้ำตาลน้อย มี แคลเซียมมากที่สุด ที่ 173 มก./ 100 มล.  ส่วน แลคตาซอย มี แคลเซียมน้อยที่สุด ที่ 66 มก./ 100 มล.
 
- ปริมาณแคลเซียมส่วนใหญ่มีความใกล้เคียงกับฉลากโภชนาการที่ระบุไว้ข้างกล่อง  ยกเว้น ยี่ห้อนูต้าแม็กซ์ ฟาร์มโชคชัย ทั้ง 2 สูตร ที่มีปริมาณ แคลเซียมที่แท้จริงน้อยกว่าปริมาณที่ระบุในฉลากค่อนข้างมาก  ส่วนนมถั่วเหลืองที่มีแคลเซียมน้อยกว่าที่ฉลากระบุ คือ ดีน่า สูตรผสมน้ำแครอท และวีซอย สูตรไม่มีน้ำตาล
 
แคลเซียมสูง ...ไม่สำคัญ เท่าการดูดซึม
 
จากการสอบถาม ผศ.ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ทราบว่า  การดื่มนม หรือนมถั่วเหลืองแคลเซียมสูง ไม่มีดีไปกว่าการดื่มนมธรรมดา  เพราะแม้นมจะมีปริมาณแคลเซียมสูงกว่าจริง  แต่ร่างกายของเราจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมไปใช้ได้ทั้งหมด  สืบเนื่องจากกระบวนการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย  ซึ่งหากบริโภคแคลเซียมปริมาณมากในครั้งเดียว  ร่างกายจะดูดซึมน้อย  แต่หากทยอยบริโภคทีละนิด  ร่างกายจะดูดซึมได้มากขึ้น
 
นอกจากนี้ กระบวนการดูดซึมแคลเซียมยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น การดื่มนมขณะท้องว่าง  ซึ่งร่างกายจะดูดนำไปใช้ได้น้อยกว่าตอนที่ท้องไม่ว่าง  รวมทั้งแคลเซียมไม่ได้มีแค่ในนมเท่านั้น  อาหารประเภทอื่นๆ ก็มีแคลเซียมเช่นกัน เช่น เต้าหู้แข็ง ถั่ว งา ปลาเล็กปลาน้อย ปลากรอบ ปลาป่น กะปิด กุ้งแห้ง ผักคะน้า และผักกวางตุ้ง
 
ความจริงเกี่ยวกับ ' แคลเซียม ' และความคลุมเครือในโฆษณา
 
- การระบุ แคลเซียม- 10 ที่มีขนาดเล็กกว่าแคลเซียมธรรมดา 10 เท่า  ซึ่งเรามัก เข้าใจว่าจะสามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้ดีกว่านั้น  ความจริงแล้วการดูดซึมของร่างกายจะเป็นไปตามกระบวนการที่ระบุไว้ข้างต้น  นอกจากนี้ ความจริงแล้วขนาด ของแคลเซียมมีเพียงขนาดเดียวเท่านั้น ! !
 
- การที่ ระบุว่า การบริโภคนมแคลเซียมสูงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ  แต่ ต้องบริโภค ' วิตามิน เค ' ให้สูงตามไปด้วย  โดยอ้างว่าวิตามิน เค อาจมีส่วนช่วยในการป้องกันการสลายตัวของแคลเซียมนั้น  ความจริงแล้วร่างกายเราสามารถผลิตวิตามิน เค ได้เอง  โดยไม่จำเป็นต้องบริโภคจากภายนอก

- การที่ ระบุว่า นมแคลเซียม 1 กล่องมีปริมาณแคลเซียมสูงกว่าปกติ 4 เท่านั้น เป็นความจริง  แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะประเด็ญสำคัญคือเรื่องการดูดซึมเข้าร่างกาย
 
- การที่ ระบุว่า มีการผสม ' โอลิโก ฟรุกโตส ' ในนมแคลเซียมสูง  โดยอ้างว่า ' โอลิโก ฟรุกโตส ' อาจช่วยเรื่องการดูดซึมแคลเซียมนั้น  ความจริงจากการวิจัยพบ ว่าเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน และจำเป็นต้องได้รับการวิจัยต่อไปอีกมาก

-------------------------------------------
 
ที่มา นิตยสาร ′ ฉลาดซื้อ ′ ฉบับที่ 90 โดย กองบรรณาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #123 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2553, 13:21:02 »

มหัศจรรย์ จาก ปลาทู

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสร์ 07 ... ส่งมา

" ปลาทู " ปลาทะเลที่ผู้คนคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร  ด้วยเป็นสัตว์ทะเลที่เป็นเหมือนเพื่อนสนิทกับสำรับกับข้าวคนไทยมานานเท่านาน


 
ปลาทูคลุกข้าวเคล้าน้ำปลา  น้ำพริกปลาทูอันเลื่องชื่อ  ต้มยำปลาทู  เมี่ยงปลาทู  ปลาทูต้มกะทิ ฯลฯ  ล้วนแต่เป็นอาหารอร่อยทรงคุณค่า เหมาะกับทุกเพศทุกวัย  ตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยรุ่น  วัยทำงาน  และคนชรา



นั่นเป็นเพราะคุณสมบัติอันเพียบพร้อมของปลาทูที่เปี่ยมไปด้วย " วิตามินดี " ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัสเข้าลำไส้  เพื่อนำไปสร้างเสริม และซ่อมแซมกระดูกและฟัน  ทั้งยังช่วยรักษาระบบประสาท และการทำงานของหัวใจให้อยู่ในสภาพที่ดีสม่ำเสมอ  และยังช่วยในเรื่องการแข็งตัวของเลือด  ช่วยควบคุมแคลเซียมไปยังส่วนต่างๆ อย่างเพียงพอ  ทั้งยังมีไอโอดีนส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมให้ร่างกายเจริญเติบโตตามปกติ

ปลาทูยังมีกรดอะมิโนโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายสูงกว่าปลาชนิดอื่น โดยเฉพาะไลซีน ที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ข้อ และทรีโอนีน ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตในวัยเด็ก

ที่สำคัญปลาเพื่อนรักตัวนี้  ยังมี " โอเมก้า 3 " ที่ทรงคุณค่ากับร่างกายมากมาย

ศ.น.พ.ปิติ พลังวชิรา ผอ.ศูนย์โรคผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ( มศว. ) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Antiaging Medicine กล่าวว่า " โอเมก้า 3 " เป็นกรดไขมันประเภทไม่อิ่มตัว  ซึ่งจากการวิจัย พบว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายที่มีอยู่ในปลานั้น จะมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์สร้างสมดุล ปรับระดับความข้นของเลือดให้อยู่ในภาวะปกติเป็นการช่วยลดอัตรา การเกิดโรคหัวใจ และยังช่วยบำรุงตับอ่อนเลี่ยงความเสี่ยงที่จะ ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้

นอกจากนี้มีการพบว่าการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3  ช่วยให้ระบบประสาทและสมองดีขึ้น ป้องกันและแก้ไขโรคความจำเสื่อม หรือโรคที่สมองไม่สั่งงาน  ช่วยเสริมสภาวะจิตใจ  สุขภาพสายตา  เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค  และช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด



คุณสมบัติอันเต็มเปี่ยมนี้  ส่วนใหญ่แล้วจะพบอยู่ใน " น้ำมันปลา " หรือน้ำมันที่สกัดจากปลาที่อยู่ในเขตหนาว  แซลมอน ปลาแมคเคอเรล หรือ ปลาทะเลน้ำลึก อย่างปลาโอ ปลาซาบะ ปลาทูน่า รวมไปถึงปลากะพง และ " ปลาทู " ยอดฮิตของเราด้วย

เนื้อปลาทู 100 กรัม  จะมีสารโอเมก้า 3 อยู่ประมาณ 2-3 กรัม ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่ต้องการได้รับโอเมก้า 3 ประมาณวันละ 3 กรัมเท่านั้น



" ผู้ที่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี  ควรจะหาอาหารที่ประกอบด้วยโอเมก้า 3 และหาน้ำมันปลารับประทานได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก  ซึ่งเป็นวัยแห่งการเจริญเติบโต  และที่สำคัญในวัยนี้โอเมก้า 3 จะช่วยบำรุงสมอง  จนถึงวัยสูงอายุที่ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ  โอเมก้า 3 ก็ช่วยปรับสมดุล ให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ "

หากผู้ที่ต้องการจะเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง โดยอาศัยประโยชน์จากปลาทะเลน้ำลึกแล้ว  ปลาทูถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

นี่คือ มหัศจรรย์ปลาทู เพื่อนสนิทคนไทย
      บันทึกการเข้า
Preecha2510
Cmadong Member
Full Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2510
กระทู้: 788

« ตอบ #124 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2553, 16:14:28 »

  
 
    เพื่อนนักเรียนเก่ารุ่นเดียวกับผมได้แฟ๊กส่งเรื่องเกี่ยวกับการปฎิบัติตัวเมื่อเกษียณงาน  ซึ่งเขียนโดย
  
ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่เคยเขียนไว้ในนิตยสาร ( จำชื่อไม่ได้ ) ฉบับหนึ่ง   เวียนส่งให้เพื่อนๆ รุ่นเดียว

 ได้อ่านเล่น  ผมเห็นว่าอาจจะมีประโยชน์กับชาว cmadong ( ชาย)  ที่ตอนนี้เริ่มทยอยเกษียณงานกันแล้ว

 จึงนำมาแบ่งกันอ่านเล่นบ้าง

        " เผลอเดี๋ยวเดียว คนรุ่นผมก็จะอายุ 65 ปีแล้ว  ตอนผมเด็กๆ ความแก่นั้นวัดกันที่อายุ 60 จะมีงานแซยิด

 ใครมีหลานๆ ก็จะมาร่วมอวยพร  แล้วมีการเชิญคนมามีการรดนํ้า  ซึ่งผมผ่านแซยิดมาแล้วโดยเพื่อนๆ และลูก

 ศิษย์จัดงานเลี้ยงให้

          พอเราแก่ลง  อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการมีสุขภาพดีทั้งกาย และใจ  คือร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้

 เจ็บและอารมณ์ดี  คนสูงอายุหลายคนต้องการอยู่ถึง 100 ปี  มีเรื่องตลกว่าคนคนหนึ่งร่างกายแข็งแรงมาก

 แต่พอแก่ตัวเข้าก็หลงลืมเป็นอัลไซเมอร์  สิ่งที่ " แข็ง " ก็ไม่มีประโยชน์  เพราะลืมไปว่ามีไว้เพื่อประโยชน์อันใด

        ผมมีอาจารย์ฝรั่งท่านหนึ่งท่านอายุมากแล้ว  ท่านสอนผมว่าอย่าดื่มวิสกี้ห่วยๆ, กินเศษเนื้อ ( ที่ใส่ในแฮม

เบอร์เกอร์ )  และต้องสวมรองเท้าดีๆ  อย่าทำงานมาก  แต่ควรมีงานต้องออกนอกบ้านสัปดาห์ละครั้งก็พอ

และควรเป็นงานที่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษา ซึ่งไม่ค่อยมีคนมาปรึกษา

        อาจารย์ผมอยู่บ้านหลังเบ้อเริ่ม และอยู่คนเดียว  แต่มีคนแวะซื้อของส่งมาให้อาทิตย์ละครั้ง  เวลาออกไป

นอกบ้านตอนกลางคืน  ก็จะมีไฟอัตโนมัติเปิดไว้ให้ขโมยนึกว่ามีคนอยู่บ้าน  อาจารย์ผมยังทำอาหารเองวันศุกร์

ก็จะปิ้งปลา  เวลาทำอาหารก็จะดื่มมอลส์วิสกี้ 2 เป๊ก  มีเนยชั้นดีแกล้ม  ท่านจะออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยาน

ทุกวัน  แล้วนั่งดูโอเปร่า และอ่านหนังสือ " ขนาดแก่ๆ อายุ 92 แล้วก็ยังจีบสาวอายุ 60 ได้ "

       พอผมแก่ลงสิ่งแรกที่ทำคือ ลดกิจกรรมทุกอย่างลง  แม้การอ่านหนังสือก็อ่านน้อยลงดูทีวีมากขึ้น  งานที่ทำ

ก็เลือกที่ไม่ซีเรียสมาก  ผมมีโรคประจำตัวคือเบาหวาน  แต่ก็มีช๊อคโกแล๊ต และขนมนานาชนิดสำหรับคนเบา

หวานกิน  ผมกินผลไม้ทุกวัน  การแก่อย่างมีความสุขคือ แก่โดยไม่เป็นภาระกับคนอื่น  และรู้จักหาความสุขมา

ใส่ตัว  ผมลองคิดดูว่า " แก่อย่างมีความสุข " นั้นทำอย่างไร

        1 ) ออกกำลังกายอย่างสมํ่าเสมอ และเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย  เช่น  เดิน และว่ายนํ้า เป็นต้น

นอกนั้นถ้าเล่นกอล์ฟได้อาทิตย์ละครั้งก็ดี  ผมเล่นกอล์ฟอาทิตย์ละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย  หากมีวันหยุดยาว

5-6 วันก็เล่นทุกวัน  เล่นคนเดียวก็ได้

        2 ) เลือกกินอาหารที่มีคุณภาพ  แม้จะแพงหน่อย เช่น ผักสดๆ  เนื้อดีๆ

        3 ) รู้จักนั่ง นอน เฉยๆ บ้าง  อย่างน้อยวันละ 2-3 ช.ม. ( ไม่นับเวลานอนหลับ )

        4 ) อยู่บ้านให้มากๆ  ทำบ้านให้น่าอยู่  อย่างผมลงทุนทำโรงหนังขนาดเล็กไว้ห้องใต้ดิน  ฟังเพลงก็ได้

ดูหนังก็ได้  การอยู่บ้านทำให้เราแต่งกายตามสบายได้

       5 ) เป็นคนลืมง่าย  โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ดี  เก็บไว้แต่เรื่องดีๆ

       6 ) รักษาอารมณ์อย่าโกรธง่าย  ปล่อยเลยตามเลยเสียบ้าง  ใครจะด่าว่าอย่างไรก็ไม่ถือสา

       7 ) คบคนให้น้อยลง  พบคนที่เรารักชอบจริงๆ เท่านั้น  เพราะเราเหลือเวลาน้อยแล้ว

       8 ) หลีกเลี่ยงการรับตำแหน่ง  หรืองานที่มีคนเชิญไป  ต้องใจแข็ง

       9 ) ให้มากกว่ารับ  เราแก่แล้ว  ควรเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ

      10 ) หาเวลาว่างไปที่ที่เราชอบ  อาจเป็นต่างจังหวัด หรือต่างประเทศก็ได้

      11 ) หาเวลาพบ  กินอาหาร  หรือเล่นกีฬากับเพื่อน และลูกบ้าง

      12 ) หากยังอยากให้ชีวิตมีการท้าทายอยู่  ก็ทำอะไรที่เป็นการแข่งขันกับตัวเอง  ไม่ใช่แข่งกับคนอื่น

 เช่น  ลดแต้มต่อกอล์ฟลง ( จะส่งผลให้กินเงินเพื่อนได้ 20-30 บาท )

       การเป็นคนแก่ที่ไม่แก่ได้นั้น  จะต้องรู้จักคบหาสมาคมกับคนกับคนอายุน้อยๆ บ้าง  ถ้ามีหลานก็

คุยกับหลานบ่อยๆ  จะได้ไม่เป็นคนขวางโลก

       ผมไม่ขออยู่ถึงร้อยปี  แค่ 80 ปีก็พอแล้ว  แต่ถ้าอายุ 80 ยังตีกอล์ฟได้ และฟันฟางยังดีอยู่ก็พอ

 ใจแล้ว  ...  # อ่านแล้ว  ทำได้มากน้อย เพียงใด  ก็ขอให้ทำบ้าง #



 

 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #125 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2553, 20:46:26 »

พี่แก้ว ขา ... พออ่านถึงตอน " ... อย่าทำงานมาก  แต่ควรมีงานต้องออกนอกบ้านสัปดาห์ละครั้งก็พอ  และควรเป็นงานที่เป็นกรรมการ หรือที่ปรึกษาซึ่งไม่ค่อยมีคนมาปรึกษา " ต้องยิ้มแบบอัตโนมัติเลยค่ะ

เจี๊ยบวางแผนไว้ว่า  ถ้าไม่ต้องทำงานแล้ว  ก็จะไปหากิจกรรมที่ทำแล้วสนุก ไม่เหงา กับกลุ่มคนที่มีรสนิยมเดียวกัน  เช่น  เต้นรำ  ร้องเพลง  ไปหา corse เรียนวาดรูป  ปักผ้า cross stitch รูปดอกไม้ รูปเด็ก - ลูกสัตว์ - สาวน้อยน่ารักๆ  วิวสวยๆ โรแมนติก ไปพลาง  ฟังเพลงไพเราะ หวานๆ แสนโรแมนติคจากเครื่องเสียงดีๆ ... ไม่รู้ว่าพอถึงตอนนั้น  สุขภาพร่างกายจะรู้เห็นเป็นใจด้วย รึเปล่า นะคะ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #126 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2553, 23:56:12 »

A simple message to all of us

Who are they ? ----- They are Doctors



Who is he ?  ------ He is an Actor



Who are these people ? They are farmers .....



Fine ... Very Good. What about these guys ? Who are they ? Guess ! ! ! !
 
!
!
!
!
!



Any Guess ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! !
 
!
!
!
 
Yeah...

They are SOFTWARE ENGINEERS, BANKERS , CONSULTANTS, OFFICE EXECUTIVES, PRESIDENTS, VICE PRESIDENTS, GENERAL MANAGERS WHO WORK FOR 15 HOURS A DAY, SITTING AT ONE PLACE …

Don't laugh. Be Aware. It is a global issue now. So, take care of yourself and your FAT.

To get to a good shape...try to adhere to the following 25 tips


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #127 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2553, 21:08:25 »

Trigger point ปวดเรื้อรัง : ภัยเงียบชาวออฟฟิศ

เสรษฐวิทย์ -นิเทศ 16 ... ส่งมา

ชีวิตคนทำงานยุคนี้ นับวันก็ยิ่งสะดวกสบายมากขึ้น เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ก็ทำประโยชน์ได้สารพัด แต่เพราะการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นนี้แหละ ทำให้โรคมาเข้าคิวรอพนักงานออฟฟิศกันเป็นแถวเช่นกัน และหนึ่งในอาการที่คนออฟฟิศเป็นกันบ่อยๆ ก็คือ โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ที่นำไปสู่ Trigger Point ( จุดกดเจ็บ ) ได้

          สงสัยกันไหมว่า Trigger Point คืออะไร แล้วคุณเป็น Trigger Point ด้วยหรือเปล่าล่ะ  มาตรวจสอบอาการกันเลย



          โดยปกติแล้ว คนทำงานออฟฟิศนั่งจ้องคอมพิวเตอร์นานๆ  มักมีอาการปวดกล้ามเนื้อส่วนบน ไล่มาตั้งแต่ คอ บ่า ไหล่ สะบัก หลัง ซึ่งเมื่อเกิดอาการเหล่านี้ขึ้น  เราก็มักจะใช้วิธีการนวด ทายาคลายกล้ามเนื้อ หรือรับประทานยา  รวมทั้งประคบด้วยความร้อน  เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวแล้วจะรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ช่วยได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น  เพราะ Trigger Point ( จุดกดเจ็บ ) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ จุดที่เรากดลงไปแล้วรู้สึกปวด เจ็บแปลบ ๆ เหมือนมีก้อนแข็งๆ เล็กๆ ยังคงไม่สลายไป

Trigger Point เกิดขึ้นได้อย่างไร

          คนทำงานออฟฟิศมักมีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ( MPS – Myofascial Pain Syndrome ) ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งสะสมต่อเนื่องกัน นาน ๆ เข้าจะเกิดเป็นก้อนเล็ก ๆ ขนาด 0.5-1 เซนติเมตร เรียกว่า Trigger Point หรือ จุดกดเจ็บจำนวนมากซ่อนอยู่ในกล้ามเนื้อหรือเยื่อพังพืด พอมีจุดกดเจ็บมากขึ้น ออกซิเจนและเลือดจะส่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นอ่อนแอ เกิดอาการปวด ส่งต่อไปยังบริเวณใกล้เคียงจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรังตามมา

อาการที่แสดงว่าเป็น Trigger Point

          หากเกิด Trigger Point ขึ้น จะมีอาการปวดร้าวลึกของกล้ามเนื้อ อาจจะปวดตลอดเวลา หรือปวดเฉพาะเวลานั่งทำงาน บางคนอาจเป็นหนักจนไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อส่วนนั้นได้ หรือบางคนอาจลามไปถึงปวดศีรษะ ไมเกรน นอนไม่หลับ มีอาการชาตามมือและแขน ต่อมาอาจส่งผลให้เกิดปัญหาโครงสร้างของร่างกาย เช่น ไหล่สูงต่ำไม่เท่ากัน หลังงอ ขาสั้นยาวไม่เท่ากัน นำไปสู่โรคภัยอีกเพียบ

ปัจจัยเสี่ยง โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง

          พฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการปวดเรื้อรัง และจุดกดเจ็บ ได้แก่

          1. ท่าทางการนั่งที่ไม่เหมาะสม

          2. ลักษณะงานที่ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวต่อเนื่อง เช่น การใช้คอมพิวเตอร์

          3. การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อซ้ำๆ

          4. การทำงานที่มีการใช้กล้ามเนื้อท่าเดียวกันซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง

          5. การทำงานของกล้ามเนื้อมากเกินไป ขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ

          6. ขาดการดูแลและบริหารกล้ามเนื้อ ออกกำลังกาย

          จะเห็นว่า ปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมาทั้งหมด มักเกิดกับหนุ่มสาวออฟฟิศเป็นส่วนใหญ่

จุดที่มักเป็น Trigger Point


จะรักษา Trigger Point ได้อย่างไร

          หลายคนเข้าใจว่า หากปล่อยอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อนี้ไว้ หรือนวดบ่อย ๆ น่าจะหายได้เอง แต่ความจริงแล้วเพียงแค่ช่วยบรรเทา หลังจากนั้นไม่นานอาการปวดเมื่อยสามารถกลับมาเป็นได้อีก เพราจุด Trigger Point ยังอยู่ ซึ่งจะกลายเป็นโรคเรื้อรัง และหากปล่อยไว้นาน ๆ โดยไม่รักษาจะทำให้ Trigger Point ใหญ่ขึ้นและแน่นขึ้น จนไปกดทับเส้นเลือด และเส้นประสาท อาจนำมาสู่อาการปวดศีรษะ ไมเกรน หากไปกดทับเส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง นอกจากนั้นยังอาจมีอาการชา ความดันโลหิตสูง นอนไม่หลับ ได้ด้วย เพราะเลือดไหลเวียนไม่สะดวก

แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ?

          คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ DOCTOR CARE ได้แนะนำวิธีรักษา Trigger Point โดยใช้วิธีการนวดกดจุด ที่เรียกว่า Trigger Point Therapy

          โดยหลักการรักษาแบบ Trigger Point Therapy จะทำเพื่อลดอาการปวดที่เกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ , สลาย Trigger Point ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการปวดเรื้อรัง และยังป้องกันการกลับมาของ Trigger Point ด้วยการให้คำแนะนำ และการดูแลกล้ามเนื้ออย่างถูกวิธี



ขั้นตอนการรักษา Trigger Point Therapy

          แพทย์จะเริ่มจากการสอบถามค้นหา Trigger Point ที่ซ่อนอยู่ในกล้ามเนื้อและเยื่อพังพืด แล้วทำการนวดบริเวณหนือ Trigger Point ที่มีการหดเกร็ง ให้คลายตัวลง มีเลือดไปหล่อเลี้ยง เพื่อลดอาการปวด เมื่อกล้ามเนื้อรอบบริเวณคลายตัวแล้ว จึงจะเริ่มกดไปยัง Trigger Point นั้นให้คลายตัว เพื่อให้เลือดและออกซิเจน สามารถมาหล่อเลี้ยงยังจุดที่มีปัญหาได้ ทำให้อาการปวดหายไป

          ด้วยการกดจุดต่อครั้งละประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละครั้ง ต่อเนื่อง  4 - 6 ครั้งด้วยวิธีรักษาตามโปรแกรม จะทำให้ Trigger Point คลายตัวลงเป็นกล้ามเนื้อปกติ และหายจากอาการปวดเรื้อรังได้ เพราะเป็นการรักษาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง

วิธีบริหารร่างกาย  เพื่อป้องกัน Trigger Point

          หากไม่ต้องการเป็นโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง จนเกิดเป็น Trigger Point ต้องมีการบริหารกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ เช่น ฝึกยืดกล้ามเนื้อบริเวณลำตัวบนต้นแขนและคอ โดยประสานมือเข้าด้วยกัน แล้วยืดมือออกไปด้านหน้า จากนั้นค่อยยกขึ้นด้านบน และโยกไปด้านซ้ายและขวา

          นอกจากนี้ ยังควรยืดกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัวหลังต้นขาและกล้ามเนื้องอ เช่น ประสานมือเข้าด้วยกัน แล้วยืดมือออกไปด้านบน จากนั้นค่อย ๆ โยกลำตัวไปด้านข้างจนเอวรู้สึกตึง สลับไปอีกข้าง

ชั้น 2 อาคารคิวเฮ้าส์ ลุมพินี ถนนสาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพฯ 02-6777552-3
 
http://www.drcareclinic.com/about/
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #128 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553, 02:46:49 »

ท่านผู้เฒ่า “ ลี ” สอนวิธี ' ชราอย่างมีคุณภาพ '

มนูญ - วิศวะ16 ... ส่งมา
 
เพราะเคยมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตผิดมานาน  เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น  อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์  ลี กวน ยู  จึงหยุดพฤติกรรมทำร้ายตัวเองทั้งหมด และหันมาออกกำลังกาย  พร้อมกับใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข และสุขภาพดี  ปัจจุบันท่านอายุ 87 ปีแล้ว
 
อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์  ลี กวน ยู  ปีนี้อายุ 87  แต่สุขภาพยังฟิตเปรี๊ยะ  เพราะดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเคร่งครัด  แกเล่าว่าครั้งหนึ่งตอนยังหนุ่มแน่น และเป็นนักการเมืองเต็มตัว  ก็เคยใช้ชีวิตที่เป็นโทษกับสุขภาพของตนอย่างยิ่งเช่นกัน  กินเหล้า  สูบบุหรี่ อย่างหนักหน่วงมาก่อน
          
ลีเล่าว่า ตอนอายุ 34 ต้องหาเสียงอย่างร้อนแรง  คืนที่ชนะเลือกตั้ง ทั้งสูบบุหรี่ ทั้งดื่มเบียร์เต็มอัตรา  พอจะขึ้นเวทีปราศรัยขอบคุณประชาชน ปรากฏว่าเสียงหาย  ได้เสียงมากพอที่จะชนะเลือกตั้ง  แต่เสียงจากลำคอแห้งเหือดไปหมด  เพราะบุหรี่และเหล้าตัวดี ( แปลว่าตัวร้าย ) นี่แหละ
“ ผมหลอกตัวเองด้วยการซื้อบุหรี่ซองละ 10 มวน ... แต่ผมต้องปราศรัย 3 แห่งในคืนเดียวกัน  ก็จึงสูบไป 30 มวนอยู่ดี ....” นายลีเล่าให้สมาคมผู้สูงอายุฟังเมื่อไม่นานมานี้
 
มาถึงจังหวะหนึ่งของชีวิต นายลีบอกว่าสุขภาพของเขาย่ำแย่ถึงขั้นที่เขาต้องตัดสินใจว่า จะเป็นนักการเมือง และทนายความที่ดีต่อไปได้หรือไม่  สองอาชีพนี้ต้องใช้เสียงด้วยกันทั้งนั้น
“ ผมบอกตัวเองว่า ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือทนาย ผมก็ต้องรักษาเสียงผมไว้ ผมจึงตัดสินใจเลิกบุหรี่ ...”
 
นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  เพราะลีสารภาพว่าเขาติดบุหรี่งอมแงม  บางคืนฝันร้ายว่ากลับไปสูบบุหรี่อีก  ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกก็บ่อย ๆ  แต่พลังของความเด็ดเดี่ยวที่จะต้องเลิกบุหรี่นั้น  มาจากการตอบคำถามตัวเองว่า  จะทำอาชีพของตัวเองให้ได้ดีต่อไปหรือไม่ ถ้าจะทำงานให้ดีต้องหยุดบุหรี่ และต้องหยุดอย่างเด็ดขาด ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้
 
ตอนนั้น  ลียังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งกับการสูบบุหรี่  จึงยังไม่มีความกลัวตายนัก  แต่แปลกมากที่หลังจากนั้น ลี ก็เกิดอาการแพ้ควันบุหรี่อย่างหนักหน่วง  เรียกว่าใครสูบบุหรี่ใกล้ๆ ไม่ได้เลย
“ ผมต้องขอให้รัฐมนตรีไม่สูบบุหรี่ในห้องประชุม  ถ้าจะสูบก็ขอให้ไปสูบนอกห้อง  เพราะผมแพ้มันจริง ...”
          
วันหนึ่ง ลี อยู่ที่บ้านของเพื่อนซี้ชื่อราชารัตนัม และกำลังพูดคุยกับนักข่าวต่างประเทศกลุ่มหนึ่งซึ่งรวมถึงนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ ลอนดอนไทมส์   พอถ่ายรูปร่วมกัน  ลี เห็นรูปของตัวเองพร้อมกับพุงที่ยื่นออกมาอย่างน่าเกลียด
“ ผมบอกตัวเองทันทีที่เห็นรูปนั้นว่า  ไม่ไหว  เพราะมันเป็นพุงที่ยื่นออกมาด้วยฤทธิ์ที่ดื่มเบียร์มากเกินไป ”

ลี กวน ยู ตัดสินใจปฏิบัติการ “ลดพุง ” ด้วยการหันไปเล่นกอล์ฟ ... เริ่มด้วยการหวดลูกกอล์ฟเป็นร้อย ๆ ครั้งต่อวัน  แต่พุงก็หาได้ลดลงไม่  แกจึงบอกตัวเองอีกรอบว่า  ถ้าจะให้หุ่นดี ต้องลดการบริโภค และต้องเผาผลาญจากร่างกายให้มากกว่านี้
 
วันหนึ่งหลังการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1976  ลี บอกว่ารู้สึกเหนื่อย  จึงไปยืนที่สนามของทำเนียบนายกฯ พยายามหายใจลึกๆ ยาวๆ  ลูกสาวลีคนหนึ่งที่เพิ่งจบวิชาแพทย์มาเห็นเข้าก็ถามว่า “ พ่อทำอะไรอยู่ ” แกตอบว่า “ พ่อพยายามจะสูดออกซิเจนเข้าไป ”
           ลูกสาวตอบสวนกลับมาทันทีว่า “ถ้างั้น พ่อต้องไม่เล่นกอล์ฟ ต้องหันไปวิ่ง ต้องออกกำลังกายแบบแอโรบิก...”
           ตอนแรก ลี ใช้วิธีเดินเร็ว ๆ ระหว่างหลุมกอล์ฟ ต่อมาก็วิ่งระหว่างหลุม รู้สึกร่างกายจะตอบสนองดี
           หลังจากนั้นไม่นาน ลี ก็ตัดสินใจออกกำลังกายด้วยการวิ่งหลังการตีกอล์ฟ
           อีกไม่กี่ปีต่อมา ลี ก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า การตีกอล์ฟกินเวลายาวนานเกินไป ออกกำลังกายด้วยการวิ่งกินเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น
           แกจึงเลิกตีกอล์ฟ หันมาวิ่งอย่างเดียว
           ลีบอกว่า ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะมีอายุถึง 84 หรือ 85  คุณแม่เสียตอนอายุ 74  แต่คุณพ่อจากไปตอน 94 เพราะคุณพ่อว่ายน้ำทุกวันและหาเรื่องทำตลอดเวลา
        “ดังนั้น ผมจึงคำนวณเอาเองว่า ผมควรจะมีอายุยาวนานถึงตรงกลางระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ “
           ตอนอายุ 73 ขณะที่ขี่จักรยาน ลี รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นไปถึงคอ วันรุ่งขึ้น ถีบจักรยานอีก อาการหนักขึ้นหลังจากเริ่มต้นได้ 5 นาที
           แกให้หมอตรวจก็พบว่า เส้นโลหิตบางเส้นตีบ ต้องใส่บอลลูนหัวใจ
“ถ้าผมไม่รีบไปให้หมอหัวใจตรวจ  สงสัยอาจจะม่องเท่งตอน 74 แล้วก็ได้ เหมือนแม่
ผม...”
           เส้นตายเส้นต่อไปคืออายุ 84 ซึ่งเป็นปีที่คุณพ่อหกล้มจนต้องนั่งรถเข็น
           “ผมต้องระวัง เพราะบางทีถ้าผมหมุนตัวเร็วไปหน่อย จะเกิดอาการเวียนหัว หน้ามืด จึงต้องทำอะไรช้าลง เพราะประสาทของคนวัยทองเริ่มจะเสื่อมถอยลง”
           ลี กวน ยู  แนะนำคนชราแห่งสิงคโปร์ว่า จะต้องไม่แยกตัวเองไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องการมีอะไรมากระตุ้นตลอดเวลา และต้องพบปะผู้คน ต้องคอยติดตามเรื่องราวของสังคมและโลก
           “ผมไม่ค่อยชอบเดินทางเท่าไร แต่ผมก็บังคับตัวเองให้ไปโน่นมานี่ในตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของหลายบริษัท เช่น ธนาคารและบริษัทน้ำมัน ผมไปจีน ไปอินเดีย...ได้พบปะ ได้ประชุม ได้ฟังคำบรรยายสรุป จะได้รู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว...มิฉะนั้น ผมว่าเราจะเหี่ยวเฉาแน่หากนั่งนอนอยู่กับบ้านและไม่คบหาผู้คน...”
           ลีบอกว่า ที่สำคัญสำหรับคนอายุมากขึ้นคือ ต้องมีความสนใจอะไรเป็นพิเศษ
           “ถ้าคุณอายุ 55 และบอกตัวเองว่าจะเกษียณเพื่ออ่านหนังสือ เล่นกอล์ฟ และดื่มไวน์ ผมว่าคุณเสร็จแน่ ๆ เพราะหลังจากสองสามเดือน คุณจะเริ่มเบื่อ ไม่มีอะไรทำ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต คุณจะเริ่มเหี่ยวทั้งร่างกายและหัวใจ...”
           ดังนั้น คำแนะนำจากท่านผู้อาวุโสของสิงคโปร์ก็คือ ต้องหาเรื่องที่ตนเองสนใจมาทำ และต้องหาอะไรท้าทายตัวเองตลอดเวลา
           “ทุกวันนี้ พอใครมาบอกผมว่า อายุ 60 แล้ว กำลังจะเกษียณ จะไม่ทำอะไรแล้ว ผมถามเขาว่า คุณอยากตายเร็วหรือไง”
           แกฝากบอก สว. หรือคนสูงวัยทั้งหลายว่า  “ถ้าคุณต้องการเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ คุณต้องหาเหตุผล ต้องมีอะไรมากระตุ้นให้คุณต้องการจะใช้ชีวิตที่สนุกสนานต่อไปเรื่อย ...ไม่ใช่พักผ่อนนอนหลับอย่างเดียว...
           อย่างนี้เท่ากับรอวันตายเท่านั้น
 
          ( โดย สุทธิชัย หยุ่น " ชีพจรสุขภาพ " นิตยสาร ชีวจิตรายปักษ์  1 ธันวาคม 2553 )
      บันทึกการเข้า
eyesurg
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #129 เมื่อ: 27 กุมภาพันธ์ 2554, 19:25:10 »

รับทราบค่ะ ขอบคุณมากค่ะ.
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #130 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 02:44:15 »


งีบกลางวัน ... ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

Posted by สุทธิชัย หยุ่น



คนสเปนเรียกมันว่า “ ซีเอสต้า ” และคนจีนบอกว่ามันคือ “ อู่เจี้ยว ” ส่วนคนไทยอาจจะเรียกมันว่า “ งีบกลางวัน ”

จะเรียกมันว่าอย่างไร, ผมว่านี่คือวัฒนธรรมที่น่าชื่นชม และส่งเสริมยิ่งนัก ( แม้หัวหน้างานคุณจะไม่ค่อยเห็นพ้องด้วยก็ตาม ... ฮา )

การ “ งีบกลางวัน ” นั้นเขาทำกันมาช้านานแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีน หรืออิตาลี หรือฝรั่งเศส ซึ่งต้องถือว่ามีอารยธรรมมายาวนาน ได้รับรู้ว่าการได้หลบไปนอนสั้นๆ ในช่วงกลางวันนั้น คือยาวิเศษที่ทำให้ร่างกาย และจิตใจสามารถกลับไปทำงานตอนบ่ายได้อีก อย่างสดชื่น และคึกคัก ( ไม่เกี่ยวกับการ “ กินข้าวต้มกลางวัน ” ซึ่งไม่ควรจะส่งเสริมนะครับ )

ที่ผมต้องยืนยันความดีงามของการ “ งีบกลางวัน ” เพราะเพิ่งมีการศึกษาวิจัยที่ประเทศกรีซ ที่ยืนยันว่าการได้งีบกลางวันเป็นประจำสม่ำเสมอนั้น  อาจจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจด้วยซ้ำ  โดยเฉพาะในหมู่ผู้ชายวัยหนุ่มที่มีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่แล้ว

เขาไม่ได้สรุปกับเล่นๆ ง่ายๆ เพราะเห็นว่าเรื่องแอบไปนอนพักกลางวันหลังอาหารเที่ยงนั้น ใครๆ ก็ชอบนะครับ ... แต่นี่เป็นผลการวิจัยยาวนานถึง ๖ ปี และวัดจากพฤติกรรมของชาย และหญิงวัยระหว่าง ๒๐ ถึง ๘๖ ทั้งหมด ๒๓,๖๘๑ คน

คนที่เข้ารับการวิจัยในโครงการนี้ล้วนแล้วแต่ตรวจสอบกันแล้วว่าไม่มีประวัติโรคหัวใจ หรือโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงอื่นๆ ใด

ผลการศึกษาครั้งนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสรุปอย่างน่าทึ่งว่า คนที่ได้งีบ ( siesta ) ครั้งละประมาณ ๓๐ นาที อย่างน้อย ๓ ครั้งต่อสัปดาห์ จะสามารถลดความเสี่ยงของการตายจากโรคหัวใจถึงร้อยละ ๓๗ ทีเดียว

เหตุผลก็เป็นอย่างที่เรารู้กันว่า การได้งีบตอนกลางวันทำให้ผ่อนคลาย และลดความเครียดไดอย่างดี ... และพอคนเราลดความเครียดแล้ว, โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายก็ย่อมจะลดลงตามไปด้วย

ความจริง, วงการแพทย์รู้กันมาก่อนหน้านี้แล้วว่าประเทศที่ประชาชนมีนิสัย “ ซีเอสต้า ” นั้น มักจะมีสถิติของการเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าประเทศอื่น

คนที่เข้าทำการทดลองครั้งนี้ถูกตรวจสอบว่า “ งีบหลังเที่ยง ” เป็นประจำหรือไม่ และบ่อยแค่ไหน อีกทั้งยังจะต้องถูกถามรายละเอียดเรื่องอาหารการกิน และกิจกรรมของการออกกำลังกายด้วยว่า ทำบ่อยแค่ไหน หรือไม่อย่างไร

นักวิจัยบอกว่าผลการวิเคราะห์อย่างละเอียดพบว่า คนที่งีบตอนบ่าย ( ไม่ว่าจะบ่อยแค่ไหน และแต่ละครั้งยาวเพียงใด)   มีความเสี่ยงที่จะตายด้วยโรคหัวใจลดลงร้อยละ ๓๔ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่นอนกลางวันเลย

ถ้างีบกลางวันมากกว่า ๓๐ นาทีต่อครั้ง และประมาณสัปดาห์ละ ๓ ถึง ๔ ครั้ง  ก็จะมีความเสี่ยงที่จะตายด้วยโรคหัวใจน้อยลงไปถึง ๓๗ เปอร์เซ็นต์

ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายทำงานด้วย, หากได้งีบกลางวันเป็นประจำ, ก็ยิ่งได้ประโยชน์ต่อร่างกายของตัวเอง  เพราะการวิจัยเดียวกันนี้พบว่าอัตราการเสียชีวิตประเภทนี้ มีอัตราตายน้อยกว่าผู้ชายที่ไม่ทำงานสูงถึงร้อยละ ๖๔ ด้วยซ้ำไป

คณะนักวิจัยนี้บอกว่า ผู้หญิงที่เข้าร่วมโครงการ ไม่มีจำนวนเสียชีวิตมากพอที่จะนำมาเปรียบเทียบเป็นสถิติให้เห็นภาพของความแตกต่างได้

หัวหน้าทีมวิจัยคณะนี้เป็นนายแพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชื่อดอกเตอร์ ดิมิทริอัส ตริโคพัวลัส ซึ่งยืนยันว่าประเทศที่มีอัตราคนตายจากโรคหัวใจต่ำนั้นส่วนใหญ่ผู้คนจะมีนิสัยการงีบกลางวัน  ซึ่งเท่ากับเป็นการยืนยันผลการวิจัยครั้งนี้ด้วยอีกทางหนึ่ง

เมื่อผลออกมาอย่างนี้, หัวหน้าคณะศึกษาบอกว่าควรจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมต่อไป  เพราะถ้าหากเอาไปศึกษาร่วมกับการทดลองอื่น ๆ, ก็อาจจะทำให้มีข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นอีกว่า “ ซีเอสต้า ” เป็นวิธีการที่น่าสนใจมาก ในการลดปัญหาโรคหัวใจ

เพราะวิธีนี้ไม่ต้องกินยา, ไม่ต้องเสียสตางค์, และไม่มีผลข้างเคียง

“ แต่ปัจจัยที่สำคัญคือ คนทั้งหลายต้องไม่ลดการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือออกกำลังกายในแต่ละวันด้วย ...” คือคำเตือนของหมอใหญ่คนนี้

เพราะถ้าใครตีความผลการวิจัยครั้งนี้เข้าข้างตัวเอง, ก็จะด่วนสรุปเองว่าต่อไปนี้งีบตอนกลางวันแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรอีก, เช่นเลิกออกกำลังกายเสียเลย ... ซึ่งก็จะเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์, และโรคหัวใจก็อาจจะมาถามหาอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดเอาไว้ก็ได้

เพราะเพียงแค่งีบกลางวันอย่างเดียว ไม่ได้รับรองว่าความเสี่ยงของโรคหัวใจจะลดลงอย่างที่ออกมาเป็นสถิติ

การจะให้ได้ผลอย่างจริงจังต่อสุขภาพนั้น, การออกกำลังกาย, การดูแลอาหารการกิน, และการลดความเครียดด้วย “ ซีเอสต้า ” เป็นประจำจะต้องทำควบคู่กันไปเสมอ, ไม่อาจจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งได้

คนเรานั้นพอเครียดเข้า, ก็อาจจะหันไปหาพฤติกรรมที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพของตัวเอง เช่น สูบบุหรี่, กินอาหารที่ไม่ควรกิน, กินเหล้าเมายา, และลดการออกกำลังกายอย่างที่ควรจะทำ ...

หากเป็นเช่นนี้, แม้จะนอนเท่าไหร่ก็คงจะไม่ช่วยให้ห่างจากโรคหัวใจหรือโรคร้ายอื่นๆ ... เพราะงานวิจัยอีกหลายชิ้นยืนยันตรงกันว่าคนนอนไม่พอนั้นจะมีปัญหาต่อสุขภาพกาย และใจมากเช่น  จะทำให้อ้วนขึ้น, เครียดง่าย ... เพราะเมื่อนอนไม่พอ, การสร้างเซลล์ในสมองก็จะน้อยลงไปด้วย, เป็นผลให้เกิดปัญหากับสุขภาพหลายๆ ด้านพร้อมๆ กัน

ฉะนั้น, “ งีบกลางวัน ” เสร็จแล้วอย่าลืมออกกำลังกายด้วย ... ทำได้อย่างนี้, ก็มีสิทธิ์ที่จะปึ๋งปั๋งแน่นอนครับ

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #131 เมื่อ: 14 มีนาคม 2554, 19:26:02 »


น้ำผึ้ง ยาอายุวัฒนะ หรือยาพิษ

โดย ดร. พรชัย ปรีชาปัญญา

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา
   
ปัจจุบันหลายคนมองน้ำผึ้งเป็นยาพิษ  ทั้งนี้เพราะว่าสังคมบ้านเรากลัวน้ำตาล  ไม่ว่าจะอ่านเอกสารเล่มไหน ก็บอกว่าน้ำผึ้งทำให้เป็นเบาหวาน  ความดัน  และมะเร็ง  เพราะมีน้ำตาล  แสดงว่าน้ำผึ้งเป็นยาพิษที่ทำลายสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง  ทั้งนี้เพราะว่าท่านซื้อน้ำผึ้งที่ผสมน้ำตาล  น้ำผึ้งที่ถูกอบด้วยความร้อนสูง หรือน้ำตาลที่ทำเป็นน้ำผึ้ง


น้ำตาลที่มากเกินที่เป็นน้ำตาลเชิงซ้อน ทำลายสุขภาพ เพราะว่าไปเพิ่มน้ำหนัก ไขมัน และสะสมในตับ  ทำให้ตับเสื่อม  ซึ่งเป็นโทษมากจริงๆ  แต่น้ำตาลก็ยังขายได้ดี  มีแนวโน้มจะขาดตลาดด้วยบางครั้ง  นี่คือ ‘ น้ำผึ้งอาบยาพิษ ’ โดยเฉพาะน้ำตาลที่ขัดสีจนขาว  ซึ่งต้องใช้สารไดออกซินฟอกขาว เป็นสารประกอบคลอไรค์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
  
น้ำผึ้งที่บริสุทธิ์คุณภาพสูง ให้ผลตรงข้ามกับน้ำผึ้งอาบยาพิษ  แต่เป็น ‘ ยาอายุวัฒนะ ’  แล้วจะเชื่อได้อย่างไร  รายละเอียดต่อจากนี้ไปจะเป็นข้อมูลให้พิจารณา ... ลองอ่านดูซิ

ตำราจีนเรื่องสุขภาพ 100 ปี บอกว่าควรรับประทานน้ำผึ้งที่ดีช่วงท้องว่าง  ช่วยรักษาอวัยวะทั้ง 5 ประกอบด้วย หัวใจ ปอด ม้าน ตับ และไต ให้ทำงานปกติ  ระงับความเจ็บปวด และแก้พิษ  ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว และช่วยให้อายุยืน

น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลหลายชนิด โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด  สีน้ำผึ้งยิ่งเข้ม  แร่ธาตุยิ่งมีมาก  ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้น  ป้องกันโรคโลหิตจาง โรคประสาทที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางอารมณ์ ตับ หัวใจ กระเพาะ และลำไส้  ไม่ควรรับประทานน้ำผึ้งกับน้ำที่ร้อนเกิน 60 องศา จะทำให้ไปโอแอคทีฟเอนไซม์ถูกทำลาย
 
น้ำผึ้งมีธาตุอาหารมากกว่า 60 ชนิด  มีความหลากหลาย และสมดุล แต่ละชนิดมีปริมาณเพียงเล็กน้อย  แต่เมื่ออยู่ร่วมกัน จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเป็นทวีคูณมหาศาล  เช่น  สังกะสี และซีลีเนียม หากทำงานร่วมกัน จะให้ประโยชน์เป็นมากเพิ่มเป็น 10 เท่า และปลอดภัยต่อร่างกาย ต่างจากอาหารเม็ด วิตามินเม็ด หรืออาหารเสริม ที่แยกส่วนมาเป็นอาหารเดียวๆ ที่รับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ร่างกายเสียสมดุล  ตัวอย่างหากรับประทานวิตามินซีมาก ทำให้ธาตุเหล็กในเลือดเพิ่มมากเกิน ในระดับที่เป็นพิษ  ทำให้เป็นโรคหัวใจ และมะเร็ง  บี 2 มากเกินทำให้เป็นต้อกระจก  หรือซีลีเนียมมากเกินทำให้ผมแห้งเปราะ ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ... เห็นหรือยังทุกอย่างต้องสมดุล และผสมผสานมากกว่าอย่างใดๆ อย่างหนึ่งมากเกิน และเดินสายกลางตามหลักพระพุทธองค์  พระวรกาย และดวงจิตของพระองค์เข็มแข็ง  เพราะว่าส่วนหนึ่งทรงบริโภคทุกวัน

น้ำผึ้งมีวิตามินบีเกือบทุกชนิดอาจกล่าวได้ว่าเป็นวิตามินบีรวมเลยที่เดียว  ไม่จำเป็นต้องใช้วิตามินบีรวมเม็ดอีกต่อไป  วิตามินบีรวมจากน้ำผึ้งช่วยบำรุงร่างกาย  เช่น

*  บี1 ลดการอยากน้ำตาล ป้องกันอัลไซเมอร์ ปลอกประสาทเสื่อม ประสาทอักเสบ อัมพาต  และร่วมกับกลูโคสช่วยทำให้สมาธิ และความจำดี

*  บี 2 ลดเชื้อราแคดิดาที่เป็นสาเหตุของเริม ต้อกระจก ตะคริวขณะตั้งครรภ์ รวมกับธาตุเหล็กทำให้โลหิตไม่จาง

*  บี 3 ช่วยลดการอักเสบของสิว การอยากสุรา ก้อนเหนียวที่ขวางทางเดินโลหิต และอาการหืด

* บี 5 ลดการเหนื่อยล้า อารมภ์ขุ่นมัว และนอนไม่หลับ การติดเชื้อทางเดินหายใจ การอักเสบของรูมาทอยด์ และร่วมกับวิตามินซี ช่วยทำให้ผิวหนังแข็งแรง และแผลหายเร็ว

*  บี 6 ลดอาการไม่สบายก่อนมีประจำเดือน การซึมเศร้า และอ่อนเพลีย

*  บี 12 ชลอปัญหาอาการประสาทส่วนปลายเสื่อมของคนเป็นเบาหวาน  ทำให้ตามองเห็นภาพชัดขึ้น และทำให้นอนหลับดี
 
วิตามินซีในน้ำผึ้งมีประโยชน์มาก  ช่วยสร้างคอนลาเจน  ลดฝ้า  ทำให้ผิวพรรณดี กระดูกแข็งแรง แผลที่เกิดจากเริม สมานแผล และการติดเชื้อ และโฟเลตที่พบในน้ำผึ้งช่วยลดกระดูกพรุน มะเร็งคอมดลูก โลหิตจาง และซึมเศร้า


น้ำผึ้งประกอบไปด้วยเกลือแร่หลากชนิด  อาทิ

*  แคลเซียม แน่นอนลดกระดูกพรุน ฟันผุ เพิ่มมวลกระดูก และตะคริวขา

*  สังกะสี ป้องกันต่อมลูกหมากโต เพิ่มอสุจิ ลดผื่น และทำให้แผลหายเร็ว

*  ซีลีเนียม ลดมะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ป้องสารอนุมูลอิสระทำลายผนังหลอดเลือด และการสร้างก้อนไขมัน

*  ทองแดง ลดภาวะกระดูกพรุน และข้ออักเสบ

*  เหล็ก ลดโลหิตจาง เพิ่มสมาธิ ลดการปวดประจำเดือน และอ่อนเพลีย

*  ไอโอดีน ลดมะเร็งเต้านม และลดน้ำหนัก

*  โพแทสเซียม ลดปัญหาหัวใจล้มเหลว ก้อนเนื้อในไต และลดความดัน

*  แมกนีเซียม ลดการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ และปัญหาปวดหัวก่อนมีประจำเดือน

*  แมงกานีส ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลมชัก เสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มความแข็งแรงของกระดูก

*  ฟอสฟอรัส เพิ่มมวลกระดูก ลดอาการติดสุราเรื้อรัง ระดับแคลเซียมในปัสสาวะ และประสานเนื้อกระดูก

*  ซิลิกอน ลดการเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และทำให้ผิวเนียน

*  กำมะถัน บรรเทาอาการปวดข้อ ฟอกพิษสุรา เล็บ และผมแข็งแรง และบรรเทาอาการภูมิแพ้

*  โครเมียม ลดระดับคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือด ต้อหิน และการอยากอาหาร


ในน้ำผึ้งมีกรดกลูโลนิคมากเพียงพอที่จะช่วยล้าง หรือทำลายสารพิษในตับ  เนื่องจากการกินยา การสะสมของสารเคมี  ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักถูกสั่งให้รับประทานยาจำนวนมาก  ผมพบผู้ป่วยท่านหนึ่ง เอายาให้ผมดูตั้ง 14 ชนิด  น่ากลัวมาก  กินมานานแล้ว  บางรายเชื่อว่าต้องกินตลอดไป  ไม่รู้เมื่อไรจะเลิก  เหมือนไม่มีความหวัง หรือแสงที่ปลายอุโมงค์เลย  ซึ่งในที่สุดตับก็เสื่อม ตับอักเสบ และเป็นมะเร็งตับในเวลาต่อมา  จำเป็นอย่างยิ่งต้องล้างตับบ้าง  หรือคนที่กินเหล้า หรืออาหารที่ปนเปื้อนจากสารเคมีมานาน ก็ควรล้างตับเป็นประจำ เช่นกัน

น้ำผึ้งมีกรดอะมิโน โปรลีนสูงมาก ( 210 มก.ต่อ 100 กรัม  ซึ่งสูงกว่าน้ำคอลลาเจนมากถึง 20 เท่า )  ซึ่งช่วยวิตามินซีในการสร้างคอลลาเจน ที่สร้างกล้ามเนื้อเรียบให้กับผิวหนัง มวลกระดูก ฟัน ข้อเข่าแข็งแรง เอ็น ความยืดหยุ่นของผิวหนัง และหลอดเลือดที่แข็งแรง  และอวัยวะภายใน เช่น พังผืด กระดูกอ่อน เส้นเอ็น ข้อต่อ กระดูก เยื่อกระจกตา และเลนส์ตา
 
สาร และแร่ธาตุหลายชนิดในน้ำผึ้ง เช่น ฟลาโวนอยด์ วิตามินบีรวม วิตามินซี ซีลีเนียม และสังกะสี ผสมผสานกันอย่างสมดุลในน้ำผึ้ง  มีบทบาทคล้ายสารสเตปโตไมซิล ที่ช่วยต้านทานการอักเสบ  และสารดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดการดื้อยา  เมื่อเปรียบเทียบกับยาแก้อักเสบทั่วไป

ในน้ำผึ้งมีสารมิวซินจากกระเพาะผึ้ง  เดกทริก และมอลโตสจากพืช  ช่วยหล่อลื่นผิวกระเพาะและลำไส้  ถ้ากินก่อนนอนจะถ่ายท้องได้ดี จำเป็นมากสำหรับผู้เป็นริดสีดวงทวาร และช่วยลดอาการปวดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
 
น้ำผึ้งมีเอ็นไซค์หลายชนิดจากกระเพาะผึ้ง โดยเฉพาะอินเวอร์เทส ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนซูโครสเป็นกลูโคส และฟรุตโตส และไดแอสเทส หรืออะไมเลส เปลี่ยนเป็นโมเลกุลที่สั้น  ซึ่งช่วยลดท้องอืด เฟ้อ และเรอเปรี้ยว  ในทางตรงกันข้ามน้ำผึ้งช่วยฆ่าเชื้อท้องเดินได้เป็นอย่างดี

ในน้ำผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิด เช่น Quercetin, Luteotin, Chrysin, Myricetin, Kaempterol, Apigenin, Coumaric acid คาทาเลส และอัคคาลอยด์  สารเหล่านี้ช่วยลดน้ำตาลในเลือด มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเม็ดเลือด และลดความดันโลหิตสูง  นอกจากนั้นยังมีฮอร์โมนไฟโตเอสโตรเจน และเทสโตรเทอโรสที่ช่วยลดมะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และกระดูกพรุน
 
จากข้อมูลที่มากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้หมด  ผมอยากจะบอกว่าน้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะจริงๆ  ไม่จำเป็นต้องเสาะหายาอายุวัฒนะที่ไหนอีกแล้ว  เจ้าผึ้งน้อยทั้งหลายนี่แหละ เป็นยอดนักปรุงอาหาร และยาที่ดีที่สุด  เพียงแต่หาซื้อน้ำผึ้งดีๆ มารับประทานก็เพียงพอ  แต่ขอบอกเสียก่อนว่า หากเชื่อแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริง ต้องยกย่องให้เป็นพระเอก หรือนางเอกของคุณ  คิดถึงกันตลอดไป อย่างปล่อยให้เป็นน้ำขมอีกต่อไป กล่าวคือต้องรับประทานให้ถูกต้องสม่ำเสมอ  ไม่เอาไปผสมกับน้ำร้อนให้เสีย  ต้องไม่ผสมกับน้ำเย็นให้ละลายยาก  ไม่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นจนเป็นไข  แล้วออกมาโวยวายว่าน้ำผึ้งปลอม  เก็บไว้ข้างนอกดีกว่า  ไม่เอาไปผสมกับกาแฟแทนน้ำตาล หรือนม กับมะนาว จนทำให้สมดุลของวิตามินซี และซิลีเนียมเสียไป  จนสารอาหารไม่มีประโยชน์เท่าที่ควร

ถ้ารักกันจริงต้องรู้ใจกันซิ

*  เก็บน้ำผึ้งในตู้กับข้าวดีที่สุด

*  ซื้อน้ำผึ้งขวดเล็กดีกว่าขวดใหญ่ เพราะว่าน้ำผึ้งดูดกลิ่น และความชื้นทำให้เสียง่าย  ขวดเล็กจะหมดเร็วไม่ทันเสีย

*  เมื่อดื่มก็ดื่มกับน้ำธรรมดาก็พอ ไม่ทำให้คุณภาพอาหาร และยาสูญเสีย

*  ไม่ซื้อน้ำผึ้งที่ข้นเกิน แสดงว่าผ่านการอบความร้อนมาให้ดูสวยงาม  เพราะว่าคนไทยเชื่อว่าน้ำผึ้งข้นดี เหมือนน้ำผึ้งเดือนห้า

*  ไม่ซื้อน้ำผึ้งที่ไม่ฟอง เพราะว่ามีการใช้สารเคมีกำจัดฟอง

*  ไม่ซื้อน้ำผึ้งที่เก็บในขวดพลาสติก เนื่องจากมีสารก่อมะเร็ง

*  ไม่ซื้อน้ำผึ้งป่า  เพราะว่ามีตัวอ่อน และไข่ผึ้งผสมปนเปื้อนจนเน่าในที่สุด
 
*  น้ำผึ้งที่บริสุทธิ์จริงที่ไม่ต้องการผสมอะไร  มีความเป็นธรรมชาติ หรือที่ชอบเรียกกันว่า ‘ Natural Honey ’


หากคุณมีความละเอียดลออในการซื้อน้ำผึ้ง แล้วในที่สุดน้ำผึ้งของคุณก็จะเป็นน้ำผึ้งพระจันทร์ตลอดไป
    
คราวหน้าผมจะเล่าให้ฟังถึงรายละเอียดผลงานวิจัยที่ทำร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และที่อื่น ถึงบทบาทของน้ำผึ้งที่ช่วยรักษาเบาหวาน และประสบการณ์ของผมที่ได้เห็นคนที่เป็นเบาหวานตัดสินใจรักษาตัวเองกด้วยนำผึ้ง ...

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #132 เมื่อ: 14 มีนาคม 2554, 20:09:57 »


ถ้าคุณยังมี " ตา " อยู่ .... อย่าลังเลที่จะดูแล

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา



1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลง อย่าให้ลมเย็นพ่นเข่าตาโดยตรง เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง  ถ้าปล่อยไว้นานๆ  กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้

2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆ และหาซื้อได้ไม่ยากเลย  แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหารแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว

3. อย่ามองข้ามมันเทศ ของดีราคาย่อมเยาว์  วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด

4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วยป้องกันต้อหินให้คุณ


5. อย่าขี้เกียจเดิน เพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้ง จะช่วยลดความดันในกระบอกตา  ทำให้สายตาเป็นปกติ

6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา

7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัด อาหารพวกนี้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ รวมทั้งสายตาของคุณด้วย

8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอ เพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา

9. ตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำทุกเดือน ความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก จึงไม่ควรมองข้ามการวัดความดัน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที

10. สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดดอย่างเดียวอาจจะสู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว  หมวกปีกกว้างจึงเป็นอุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้  เพื่อป้องกันรังสียูวีที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด

11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างเครื่องสำอางค์ทุกคืน เพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะเหลือตกค้างอยู่ เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวงตาจนเกิดการติดเชื้อ

12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวมของสารลูเทอิน และซีอาแซนธิน ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคต้อกระจก และยิ่งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย ( คนที่เกลียดผัก คงต้องพยายามหน่อยนะ )

13. หัวบีตสดๆ เป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้ ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตาคุณสวยและใส

14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัด เพราะคนที่ติดรสเค็มจะมีโอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด

15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ เพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณสะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่

16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลา หรือเปปเปอร์มินต์ มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมอง ซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดีขึ้นได้แล้ว  ว้าว ! ! ง่ายจัง

17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป แม้การอ่านหนังสือก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆ ทุกๆ 30 นาที เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลีย หรือล้าถาวร

18. กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท


19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือน ทุกครั้งที่มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ จะต้องมีความสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ติดมาด้วย  เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคไปโดยปริยาย
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #133 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 22:42:56 »


บริหารตา ... คลายเมื่อยล้า

จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7431


           ดวงตาเป็นหน้าต่างของจิตใจ การมีสายตาที่ดีย่อมส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ในยุคโลกาภิวัตน์ทำให้ผู้คนต้องใช้สายตากันมากขึ้น เช่น ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เล่นเกม ส่ง SMS ล้วนส่งผลให้กล้ามเนื้อตาเมื่อยล้าปวดเมื่อยตา Lisa จึงมีท่าบริหารตามาฝากคุณผู้อ่านกันค่ะ

        นั่งสบาย ๆ บนเก้าอี้ ตามองที่ปลายจมูกโดยไม่เหลือบไปที่ใดและไม่กะพริบตา นับหนึ่งถึงสิบ จากนั้นปิดตาเพื่อผ่อนคลาย ทำซ้ำ 5 ครั้ง

        ศีรษะตั้งตรง มอง ตรงไปข้างหน้าสองตาเหลือบมองไปที่ไหล่ขวาโดยไม่ขยับศีรษะตาม นับหนึ่งถึงสิบ จากนั้น ปิดตาเพื่อผ่อนคลาย ทำข้างซ้ายเหมือนข้างขวา ทำซ้ำข้างละ 5 ครั้ง

        จินตนาการว่าคุณกำลังมองนาฬิกาเรือนใหญ่ โฟกัสตาไปที่ศูนย์กลางของนาฬิกา ศีรษะไม่ขยับ ตาไล่มองตามเข็มนาฬิกา นับหนึ่งถึงสิบ ผ่อนคลายแล้วมองไปที่ศูนย์กลางของนาฬิกาใหม่ตามองไล่ตามเลขนาฬิกาอีกครั้ง นับหนึ่งถึงสิบ ทำซ้ำ 10 ครั้ง

        นั่งห่างจากหน้าต่างประมาณ 200 มิลลิเมตร หรือ 6 นิ้ว โดยการทำเครื่องหมายที่กระจกหน้าต่างไว้ในระดับสายตา อาจใช้สติกเกอร์สีแดงหรือสีดำก็ได้ และให้คุณมองเหนือเครื่องหมายที่ทำไว้ ตาโฟกัสไปที่ใดที่หนึ่งแล้วนับ 1 ถึง 15 จากนั้น ละสายตามองไปที่เครื่องหมายทำซ้ำ 5 ครั้ง

        ถือปากกาไว้ในมือ ยื่นแขนที่ถือปากกาไปข้างหน้าจนสุดแขน แล้วค่อยๆ ถือปากกาเข้ามาจ่อที่จมูกช้าๆ ตาโฟกัสที่ปากกาเท่านั้น จากนั้น ยื่นแขนที่ถือปากกาไปจนสุดแขนอีกครั้ง ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

        นั่งสบาย ๆ แล้วกลอกลูกตาตามเข็มนาฬิกา 5 ครั้ง จากนั้น ทวนเข็มนาฬิกาอีก 5 ครั้ง

        ปิดตาแน่น ๆ นับ 1-5 จากนั้น เบิ่งตาให้กว้างที่สุด นับ 1-5 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

        ปิดตาสบาย ๆ จากนั้น ใช้ปลายนิ้ว 3 นิ้วนวดตาเบาๆ เป็นวงกลมอย่างระมัดระวังประมาณ 1-2 นาที

        เปิดตาและมองไปข้างหน้าเรื่อย ๆอย่างไม่มีจุดหมายประมาณ 2-3 นาที ซึ่งทำได้ทุกวันโดยเฉพาะเมื่อคุณต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์

ที่มา : สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย  http://www.nutritionthailand.or.th
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #134 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 22:55:29 »


อายุเท่าไหร่ ถึงจะ ' แก่ ' เกินไปสำหรับการขับรถ

จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7430



2 ใน 3 ของคนอเมริกันที่ตอบแบบสอบถามของ Marist Poll บอกว่าผู้ขับขี่ที่อายุครบ 65 ควรจะเข้าสอบใบขับขี่อีกครั้ง

Marist poll ทำการสำรวจกับผู้ใหญ่จำนวน 1,018 คนทางโทรศัพท์ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา จากผลสำรวจพบว่าคนอเมริกันที่มีอายุน้อยก็เห็นด้วยกับมาตรการนี้ โดยผู้ตอบแบบสำรวจที่อายุต่ำกว่า 30 ปี มีจำนวน 84% ที่เห็นด้วย และกลุ่มอายุระหว่าง 30-44 ปี เห็นด้วยกับมาตรการนี้ 76%

ในขณะที่กลุ่มอายุระหว่าง 45-59 ปีเห็นด้วย 62%  และแม้กระทั่งกลุ่มคนที่อายุเกิน 60 ปีเองกว่าครึ่งที่ตอบแบบสำรวจนี้ ก็ยังเห็นว่าเป็นแนวคิดที่ดีถ้าจะต้องสอบใบขับขี่อีกครั้ง

ด้านผู้เชี่ยวชาญมองว่า ผู้ขับขี่สูงอายุก็มีความกังวลเช่นกัน  เพราะเมื่ออายุมากขึ้นสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความสามารถในการมองเห็นอาจจะไม่ดีเท่ากับตอนยังเป็นหนุ่มเป็นสาว  ผู้สูงอายุบางคนยังต้องทานยา ซึ่งอาจจะมีผลต่อความสามารถในการการขับรถด้วย

อย่างไรก็ดี ขณะนี้มี 2 รัฐของสหรัฐเมริกาคือ Illinois และ New Hampshire ที่มีกฎหมายระบุว่า ผู้สูงอายุต้องมาสอบใบขับขี่ใหม่ตอนอายุ 75 ปี

จาก ข้อมูลของ Federal Highway Administration ยังพบว่า ในปี 2008 มีผู้ขับขี่ที่อายุมากกว่า 70 ปี จำนวนถึง 21.6 ล้านคน หรือ 10% ของผู้ขับขี่อเมริกันทั้งหมด

ข้อมูล : Reuters  แปลและเรียบเรียง : ธันย์ชนก จงยศยิ่ง และ สุรัติ บรมสุข
 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย : " ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง "  MCOT.net

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #135 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 23:06:55 »


" ได้ออกกำลังกาย "... ข้อดีของคนมีสัตว์เลี้ยง

จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7429



เมื่อเอ่ยถึงการออกกำลังกาย  หลายคนยอมรับว่าเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ  แต่เมื่อถามว่ามีเวลาไปออกกำลังกายกันบ้างหรือไม่  กลับมีน้อยคนนักที่จะเจียดเวลาไปทำกิจกรรมดังกล่าว

แต่สำหรับผู้ที่เลี้ยงสุนัขอาจเป็นข้อยกเว้น  เมื่อมีงานวิจัยระบุว่า ผู้ที่เลี้ยงสุนัขนั้นมีโอกาส " ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว " มากกว่าคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเอง  หรือคนที่มีสุนัข แต่ไม่เคยพามันออกไปเดินเล่นเลยถึง 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

งานวิจัยชิ้นนี้มาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน  เมื่อ Mathew Reeves นักวิจัยกล่าวว่า ผู้เลี้ยงสุนัข และพามันไปเดินเล่นเป็นประจำนั้น  จะมีโอกาสได้เคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าคนอื่นๆ  ขณะที่เกณฑ์ปกตินั้น มนุษย์เราควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

" การกระตุ้นให้มนุษย์ออกกำลังกายให้ได้ตามเกณฑ์ เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยปาฏิหาริย์  แต่การเลี้ยงสุนัข และพามันไปเดินเล่น ก็อาจทำให้คุณบรรลุเป้าหมายนี้ได้ " นักวิจัยเจ้าของโครงการกล่าว

นอกจากนั้น การเลี้ยงสุนัขยังช่วยในด้านจิตใจด้วย  ดังที่มนุษย์เราเปรียบสุนัขในฐานะเพื่อนที่ดีที่สุด  เนื่องจากมันพร้อมที่จะปกป้องผู้เป็นเจ้าของในทุกสถานการณ์​  ไม่เคยต่อว่า  ไม่เคยโกรธ  ไม่เคยน้อยใจหนีออกจากบ้าน  แถมการได้เล่นกับเจ้าของดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของมันเลยก็ว่าได้     

อย่างไรก็ดี ข้อมูลนี้จะเป็นจริงได้ คงต้องอาศัยจิตใจที่โอบอ้อมอารีของมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของสุนัขด้วยเช่นกัน  เนื่องจากเป็นความจริงที่ว่า สุนัขบางตัว ต้องอาศัยอยู่ในกรงแคบๆ หรืออยู่ในบ้านเงียบ  เพียงลำพัง เพราะเจ้าของต้องออกไปทำงาน  หากเจ้าของเหนื่อยจนไม่สามารถพามันออกไปเดินเล่นข้างนอก  คงกลายเป็นว่า ทั้งคนทั้งสุนัข จะยิ่งเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุด

ที่มา : ThaiHealth
 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #136 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 23:37:50 »


" อัลมอนด์ " ถั่วเมล็ดจิ๋ว แต่อัดแน่นด้วยสารอาหาร 
 
จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7413

 

ใกล้ช่วงพักร้อนแล้ว หลายๆ คน คงเตรียมวางแผนจะไปพักผ่อน หรือจัดปาร์ตี้รวมญาติในเร็ววันนี้ เลยชวนให้คิดถึง " ตัวช่วย " หนึ่งที่ดูจะขาดไม่ได้ในเมนูงานเลี้ยงทั่วไป โดยเฉพาะถ้าเป็นค้อกเทลปาร์ตี้ ... นี่ก็แทบจะช่วยทำให้เหล่าปาร์ตี้แพลนเนอร์ ทั้งหลายหายเหนื่อยในการต้องครีเอทเมนูของว่างได้ไปเยอะเชียว ...

" เมล็ดอัลมอนด์ " นี่ไง ... ถั่วเมล็ดจิ๋ว แต่เต็มไปด้วยสารอาหาร และประโยชน์มากมาย

ขอหยิบยกบทความน่าสนใจของ สสส.ที่ชวนให้น้องๆ เยาวชนหันมากินอัลมอนด์แทนขนมหวาน ที่บรรยายคุณประโยชน์ที่อัดแน่นไว้ในเมล็ด อัลมอลด์มาฝากว่า อัลมอนด์ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 สุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ  เพราะคุณประโยชน์ของอัลมอนด์มีมากมาย  ในเมล็ดอัลมอนด์อุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย  ประกอบไปด้วย กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ( Monounsaturated Fatty Acid ) และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ( Polyunsaturared Fatty Acid )  ซึ่งช่วยเพิ่มระดับ HDL ( High-Density Lipoproteins ) หรือ ไขมันดี และช่วยลดระดับ LDL ( Low-Den-sity Lipoproteins ) หรือไขมันเลว

ในต่างประเทศมีการวิจัยถึงประโยชน์ของอัลมอนด์ว่า มีบทบาทกับสุขภาพหัวใจอย่างมาก  เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอย่างกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย  ทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และเชิงซ้อนเ  มื่อรับประทานเป็นประจำ จะมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี

มีผลการวิจัยจากสถาบันชั้นนำทั้งในยุโรป และอเมริกาพบว่า  ถ้ารับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 1 หยิบมือ  จะช่วยลด LDL ได้ถึง 4.4%  และถ้ารับประทาน 2 หยิบมือต่อวัน  จะช่วยลด LDL ได้ถึง 9.4 %


นอกจากกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว อัลมอนด์ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์  โปรตีนจากพืช  วิตามินบี  วิตามินอี และโอเมก้า 3  ซึ่งจำเป็นสำหรับการเสริมสร้างเซลล์ที่สึกหรอของผิวหนัง เส้นผม ทั้งยังช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย  รวมทั้งไฟเบอร์ที่ได้จากอัลมอนด์ยังช่วยลดการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ ใหญ่ได้อีกด้วย

อย่างไรก็ดี แม้ว่าอัลมอนด์จะมีสารอาหารประเภทไขมันในปริมาณที่สูง แต่ไขมันจากอัลมอนด์นั้นเป็นไขมันที่ดี ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และจำเป็นต่อกระบวนการทำงานของร่างกาย  ดังนั้นอัลมอนด์จึงเป็นอาหารที่ได้รับการแนะนำให้รับประทานเพื่อลดคอเลสเตอรอล และรับประทานแทนอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว โดยไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด  เราจึงรับประทานอัลมอนด์แทนของหวาน หรือขนมขบเคี้ยวระหว่างวันได้อย่างสบายๆ  แถมได้คุณค่าจากธรรมชาติไปเต็มๆ เม็ดอีกด้วย

ฉบับนี้ จึงขอแนะนำเมนู " Not Tuna Pate " ไว้สำหรับเป็นหนึ่งในเมนูงานเลี้ยง  ที่สามารถนำอัลมอนด์มาประยุกต์ทำเมนูอร่อยได้อย่างไม่ยาก  เหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ และทำเป็นเมนูของว่างให้กับเด็กๆ อีกด้วย

ส่วนผสม

- อัลมอนด์ดิบ 1 ถ้วย
- เมล็ดทานตะวันดิบ แช่น้ำไว้หนึ่งคืน  1/2 ถ้วย
- สาหร่าย
- ขึ้นฉ่าย หรือ ผักชีลาว หรือผักชีไทย ( หั่นละเอียด ) 1/2 ถ้วย
- เกลือหิมาลายัน ซึ่งเป็นเกลือบำบัด และมีประจุลบ 1 ช้อนชา

วิธีทำ

นำส่วนผสมทั้งหมดมาปั่นรวมกัน  จากนั้นเติมขึ้นฉ่าย และผักชีลาวหรือผักชีไทย  แล้วแต่ความชอบ  เมนูนี้สามารถนำมาทานร่วมกับแครอท หรือขึ้นฉ่าย ส่วนใครที่ไม่ซีเรียสก็สามารถทานกับขนมปังกรอบได้

ที่มา :  ThaiHealth
 
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #137 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 23:46:44 »

 สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ...มาอ่านเรื่องดีๆมีประโยชน์ค่ะ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #138 เมื่อ: 20 มีนาคม 2554, 00:44:00 »

ยินดีจ้า น้องอ้อย


กินแตงโม ... ลดความดันโลหิต

จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7393  



ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐบอกว่า ในแตงโมมีโพแตสเซียม และเกลือแร่สูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการรักษาไต และการทำงานของหัวใจได้ดี

แตงโมโพแตสเซียมสูง

กรมวิชาการเกษตรของสหรัฐอเมริกาได้แนะนำว่า ผู้ใหญ่ควรได้รับโพแตสเซียมประมาณ 4,044 มิลลิกรัม จากอาหารและเครื่องดื่มในแต่ละวัน  และสมาคมอเมริกันเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร Lona Sandon ยังบอกอีกว่า แตงแคนตาลูป และแตงโมมีโพแตสเซียมสูงมาก   แคนตาลูป 1 ลูก มีโพแตสเซียมอยู่มากถึง 800-900 มิลลิกรัม หรือเกือบร้อยละ 20 ของโพแตสเซียมที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน  ส่วนแตงโม 2 ลูกมีปริมาณโพแตสเซียมที่แนะนำต่อวันเกือบร้อยละ 10 เลย

จริงๆ แล้วความดันลหิตสูงเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะทำให้หัวใจทำงานหนักเกินไป และการไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกติ สามารถทำลายเส้นเลือดและอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ ไต สมอง และตาได้

จากผลสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันประมาณ 65 ล้านคน โดยเฉพาะวัยผู้ใหญ่เป็นโรคความดันโลหิตมากขึ้น  ซึ่งก็หมายความว่าคนเหล่านี้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต และตาบอดได้

ออกกำลังกาย = กุญแจสำคัญ

นักวิจัยศูนย์หัวใจ ปอด และเลือดแห่งชาติ ( NHLBI )  พบว่า การกินอาหารที่อุดมไปด้วยโพแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม  รวมทั้งอาหารที่มีคอเลสเตอรอล และไขมันต่ำ จะช่วยลดความดันเลือดสูงได้ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์  ซึ่งประเภทอาหารที่ควรเลือกรับประทานก็คือ ผักผลไม้ นมไขมันต่ำ ผลิตภัณฑ์จากธัญพืช ปลา เนื้อสัตว์ปีก และถั่ว

ที่สำคัญต้องไม่ลืมดูแลสุขภาพ และควบคุมน้ำหนักเป็นประจำ  ดื่มแอลกอฮอล์แต่พอประมาณ และทานยาตามกำหนดอย่างต่อเนื่องนะคะ

ที่มา  :  หนังสือรักลูก
 
      บันทึกการเข้า
อ้อย 14
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,055

« ตอบ #139 เมื่อ: 26 มีนาคม 2554, 09:04:21 »




มีอะไรดีๆในห้องนี้  ขอชมน้องเจี๊ยบทีเผยแพร่ความรู้ที่ควรจะรู้และปฎิบัติ  อยากจะขอความรู้เรื่องยาย้อมผม ที่ปลอดภัยหน่อยนะ ขอบใจล่วงหน้าจ๊ะ


 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #140 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 03:52:57 »


พี่อ้อย ขา ... ขออภัยที่ปล่อยให้พี่อ้อยรออ่าน น้าน นาน ตั้ง 12 วันแน่ะ ... มาอ่านกันเลยดีกว่า

เปลี่ยนสีผมอย่างปลอดภัย

ที่มา Health Today

จาก  http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:4qEUVBoMWgsJ:poppie21.multiply.com/journal/item/25+%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A1+%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2&cd=2&hl=th&ct=clnk&gl=th&source=www.google.co.th


     ปัจจุบันการเปลี่ยนสีผมเป็นแฟชั่นยอดฮิต มีให้เลือกหลากสี บางคนเปลี่ยนสีผมเพื่อเสริมสร้างบุคลิกใหม่ ในขณะที่บางคนเปลี่ยนสีผมเพื่อให้ทันสมัยตามกระแสนิยม แต่เบื้องหลังสีผมสวยโดดเด่นเป็นสง่า คุณรู้หรือไม่ว่าน้ำยาเปลี่ยนสีผมหรือยาย้อมผมมีกี่ชนิด ? และแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร ? มีคุณสมบัติอะไรที่ทำให้เปลี่ยนสีผมเราได้ ? และที่สำคัญก่อนตัดสินใจเปลี่ยนสีผมเราควรระวังอะไรบ้าง ?

น้ำยาเปลี่ยนสีผมหลากประเภท หลายจุดเด่น

     น้ำยาเปลี่ยนสีผม หรือยาย้อมผมแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามความคงทนของสีผมที่เปลี่ยน ได้แก่ ยาย้อมผมชนิดชั่วคราว กึ่งถาวร และถาวร

     • ยาย้อมผมชนิดชั่วคราว มีโมเลกุลขนาดใหญ่ สีจึงเคลือบบนชั้นนอกของเส้นผมเท่านั้น ล้างออกได้ง่ายหลังจากสระผมด้วยแชมพูครั้งแรก  ผลิตภัณฑ์น้ำยาเปลี่ยนสีผมชนิดนี้ มักเป็นแบบพร้อมใช้ไม่ต้องผสมเองให้ยุ่งยาก มักเป็นเฉดแม่สี มีจำหน่ายในรูปแบบคัลเลอร์ รินส์ ( Color Rinse ) สามารถทาหรือพ่นบนผมที่แห้ง ชโลมหรือทาทิ้งไว้ประมาณ 2-5 นาที และล้างออก เช่นเดียวกับรูปแบบสเปรย์ ( Color Sprays )
 
     • ยาย้อมผมชนิดกึ่งถาวร  มีโมเลกุลขนาดเล็ก สีจึงเคลือบบนชั้นนอกและกลางของเส้นผม แต่ไม่ซึมลึกถึงโปรตีนของเส้นผม อันจะมีผลเปลี่ยนสีผมเดิมตามธรรมชาติได้ ยาย้อมผมกึ่งถาวรจึงติดคงทนในการสระผมอยู่ประมาณ 6-8 ครั้ง มีจำหน่ายในรูปแบบแชมพ
ูสระผม แวกซ์ โลชั่น โฟมย้อมสี ทั้งนี้วิธีใช้ก็แตกต่างกันตามลักษณะของผลิตภัณฑ์

     • ยาย้อมผมชนิดถาวร  ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยการสระผม สีจะติดคงทนและไม่ซีดจางง่าย  เหมาะสำหรับคนที่ต้องการย้อมผมขาว แบ่งประเภทหลักๆ ออกเป็น 2 ชนิดคือ

* ยาเคลือบผม ( Coating Tints ) เช่น สมุนไพรย้อมผม ( Vegetable Dyes ) เปลี่ยนสีผมด้วยการเคลือบเฉพาะบนชั้นนอกของเส้นผม  แต่ไม่ทำลายโครงสร้างของเส้นผม ได้มาจากการสกัดของสมุนไพรตามธรรมชาติ เช่น เฮนนา ซึ่งจะให้สีแดงอมส้มหรือน้ำตาล และดอกคาโมมายด์ ที่ให้สีทอง
 
* ยาย้อมผลชนิดซึมสู่เส้นผม เป็นน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่คนส่วนใหญ่คุ้นตากัน ภายในกล่องประกอบด้วยน้ำยา 2 ขวด คือ สีออกซิเดชั่น และน้ำยาโกรก หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

      1. สีออกซิเดชั่น ( Colorant ) หรือสีพารา เป็นครีมหรือของเหลวบรรจุในหลอด มีโมเลกุลขนาดเล็ก ไม่มีสี มีแอมโมเนียเป็นส่วนผสมหลักเพื่อให้มีสภาวะเป็นกรด-ด่างประมาณ 8-11  ความเป็นด่างของแอมโมเนียนี้ มีคุณสมบัติทำให้เส้นผมชั้นนอกบวม และพองขึ้นมาก เมื่อบวกกับส่วนผสมของสารลดแรงตึงผิว จะทำให้สีซึมเข้าไปสู่เส้นผมได้อย่างเต็มที่  ทั้งนี้หากสีออกซิเดชั่นมีความเป็นด่างมาก ก็จะทำลายส่วนชั้นนอกของเส้นผมบางส่วนทำให้ผมหยาบ กระด้าง  สีออกซิเดชั่นที่นิยมใช้ในประเทศไทยคือ พาราฟีนีรีนไดอะมีน และพาราโทลูอีนไดอะมีน

     2. น้ำยาโกรก ( Developer ) หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ มีลักษณะเป็นครีมหรือของเหลวใส  ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้ขนาด 6% เพราะหากไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มากกว่า 6% จะทำให้ผมแห้ง อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองที่หนังศีรษะ  แต่ถ้าไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์น้อยกว่า 6% ก็จะไม่สามารถออกซิไดซ์สีอย่างมีประสิทธิภาพ


หลักการเกิดสีผมสวย

     หลักการทำงานพื้นฐานของน้ำยาเปลี่ยนสีผมชนิดถาวร ที่ทำให้สีผมของเราเปลี่ยนไปคือ การทำปฏิกิริยาระหว่างสีออกซิเดชั่น ( ขวดที่ 1 ) กับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ( ขวดที่ 2 )  หลังจากเทส่วนผสม 2 ชนิด และเขย่าให้เป็นเนื้อเดียวกันจนข้นแล้ว นำไปชโลมบนเส้นผม  สารประกอบที่อยู่ในน้ำยา 2 ขวดจะเกิดปฏิกิริยาต่อกันทำให้เกิดออกซิเจน เปลี่ยนขนาดโมเลกุลของสีให้จับตัวใหญ่ขึ้น มีผลทำให้สีที่ได้ถูกกักเก็บอยู่ในชั้นกลางของเส้นผม นอกจากนี้ออกซิเจนยังทำปฏิกิริยากับสีผมตามธรรมชาติ เกิดเฉดสีที่อ่อนลง ทำให้สีที่ผสมขึ้นใหม่ตามความเข้ม-อ่อนบนฉลากผลิตภัณฑ์เห็นเด่นชัดเจนขึ้น

ข้อควรระวังที่ต้องรู้ก่อนทำสีผมทุกครั้ง

     ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม ไม่ว่าจะมาจากการสังเคราะห์ทางเคมี หรือได้มาจากสารสกัดจากธรรมชาติ  หากต้องสัมผัสต่อผิวหนัง หรือเยื่อบุโดยตรง ร่างกายของเราอาจต่อต้านก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ทั้งสิ้น แต่จะแพ้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทั้งนี้อาการแพ้ก็ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเวลา เช่น บางคนเคยใช้น้ำยาชนิดนี้เป็นประจำ แต่อยู่ๆ เกิดแพ้ขึ้นมา หรือเคยใช้น้ำยานานแล้วแต่อยู่ดีๆ ก็แพ้ขึ้นมา  สรุปแล้วอาการแพ้ไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้  ดังนั้นก่อนใช้น้ำยาเปลี่ยนสีผม โดยเฉพาะยาย้อมผมชนิดกึ่งถาวร และชนิดถาวร  เราจึงจำเป็นต้องทดสอบอาการระคายเคืองก่อนทุกครั้งดังนี้

     • ถอดต่างหูออก และทำความสะอาดบริเวณหลังใบหู และเช็ดให้แห้ง

     • บีบสีออกซิเดชั่น และน้ำยาโกรกออกมาเล็กน้อยนำมาผสมกัน  และใช้สำลีพันปลายไม้จุ่มน้ำยาที่ได้ทาบริเวณหลังใบหูประมาณ 1 ตารา'เซนติเมตร  ทิ้งไว้ 48 ชั่วโมง โดยไม่ต้องล้างออกหรือใช้ผ้าปิดทับ

     • ถ้าเกิดรอยแดง รอยไหม้ คัน พุพองหรือบวมในบริเวณสีที่ทาทิ้งไว้ แสดงว่าแพ้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมนั้นๆ  ไม่ควรใช้อีกต่อไป

     • ห้ามใช้น้ำยาเปลี่ยนสีผม เปลี่ยนสีขนคิ้ว ขนตา เพราะอาจทำให้ตาบอดได้

     • เด็ก และสตรีมีครรภ์ไม่ควรใช้น้ำยาย้อมผม

ขั้นตอนต่อไปหลังจากการทดสอบการแพ้ หรือระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมคือ การเตรียมความพร้อมก่อนใช้  ได้แก่

     • ไม่เกา หรือแกะหนังศีรษะจนเป็นแผล หรือรอยถลอกก่อนทำสีผม  รอจนกว่าสภาพหนังศีรษะจะเป็นปกติจึงค่อยเปลี่ยนสีผม

     • สระผมก่อนทำสีผม เพื่อขจัดความสกปรกบนหนังศีรษะ หรือน้ำมันบนเส้นผม เพื่อให้แน่ใจว่าสีผมจะซึมถึงเส้นผมอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ไดร์เป่าผมด้วยลมเย็นจนแห้งหมาดๆ  แบ่งผมออกเป็นช่อๆ
 
     • สวมถุงมือทุกครั้ง เพื่อป้องกันน้ำยาสัมผัสถูกผิวหนังโดยตรง
 
     • บีบสีออกซิเดชั่นผสมกับน้ำยาโกรก  เขย่าแรงๆ จนสีเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน  และตั้งทิ้งไว้ 3 นาที  หรือจะเทส่วนผสมทั้งหมดลงชามผสมสี และใช้แปรงทาคนผสมให้เข้ากันก็ได้

     • จับผมที่แบ่งไว้เป็นช่อๆ  ดึงขึ้นด้านบน  แล้วทาน้ำยาเปลี่ยนสีผมจากโคนผมถึงปลายผม ในทิศทางออกนอกตัว  ห้ามขยี้ หรือถูน้ำยาบนหนั'ศีรษะแรงๆ  และเว้นการทาน้ำยาห่างจากหนังศีรษะประมาณ 1 นิ้ว  จนกระทั่งครบทั้งศีรษะ  สุดท้ายค่อยหันกลับมาทาน้ำยาเปลี่ยนสีผมบริเวณโคนที่เว้นไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที  หรือตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์นั้นๆ
 
     • ใช้ก้อนสำลีชุบน้ำอุ่น เช็ดทำความสะอาดน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่เลอะบนผิวหนังออกให้หมด

     • ล้างผมด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด โดยใช้มือนวดศีรษะเบาๆ สระผมให้สะอาดด้วยแชมพูทั่วไป หรือน้ำยาปรับสภาพเส้นที่บรรจุมาในกล่องผลิตภัณฑ์ประมาณ 2 ครั้ง เช็ดผมให้แห้ง และไดร์ตามปกติ


ป้องกันตนเองจากการใช้ยาย้อมผมอันตราย

     การซื้อสินค้าทุกชนิดเพื่อความปลอดภัยต่อตัวเอง นอกจากจะอ่านวิธีใช้อย่างละเอียดแล้ว ก็ควรตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีส่วนประกอบอะไรบ้าง  มีชื่อผู้ผลิตหรือไม่  และที่สำคัญมีมาตรฐานหรือผ่านการควบคุมและตรวจสอบโดยหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบหรือไม่  มิฉะนั้นแล้วเมื่อเกิดอาการแพ้หรือปัญหาทางสุขภาพใดๆ  ก็ยากต่อการฟ้องร้องหรือหาผู้รับผิดชอบมาลงโทษเอาผิดได้
 
     สำหรับน้ำยาเปลี่ยนสีผม ก็ใช้หลักการพิจารณาเดียวกัน  โดยเฉพาะก่อนซื้อควรสังเกตเครื่องหมาย อย. จากคณะกรรมการอาหารและยาเพื่อให้แน่ใจว่า ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการตรวจสอบ และรับรองความปลอดภัยอย่างถูกต้อง  และเพื่อเพิ่มความมั่นใจทางคณะกรรมการอาหารและยาได้ประกาศเตือนเกี่ยวกับน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่ปลอดภัย ต้องไม่มีส่วนผสมของสารเคมีเหล่านี้

     • 4 methoxy-m-phenylenediamine หรือ 4-MMPD
     • 4-chloro-m- phenylenediamine
     • 2,4 toloene diamine
     • 2-nitro-p- phenylenediamine
     • 4-amino-2-nitrophenol

      ที่ผ่านมามีงานวิจัย และการศึกษาในห้องทดลองกับหนู ปรากฎว่าเมื่อให้สารนี้ หนูมีอาการระคายเคืองบนผิวหนัง และเป็นมะเร็ง ซึ่งแม้ว่าจะมีผลในระดับหนูทดลอง แต่การหลีกเลี่ยงสารพวกนี้ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

      ดังนั้นครั้งต่อไปเมื่อคุณหยิบน้ำยาเปลี่ยนสีผม อย่าลืมเรื่องสำคัญเหล่านี้ด้วยนะคะ นอกจากผมจะสวยแล้ว สุขภาพยังดีอีกด้วย

เรื่องน่ารู้สำหรับการใช้น้ำยาย้อมผม

     • สำหรับคนที่พื้นผมเป็นสีขาว  หลังการย้อมผม อาจไม่มีปัญหาสีผมผิดเพี้ยนจากสีตัวอย่างบนกล่อง  แต่สำหรับคนที่มีผมเข้มตามธรรมชาติ เช่น ผมสีดำ หรือสีน้ำตาลเข้ม  ให้เลือกเฉดสีที่อ่อนกว่าสีที่ต้องการประมาณ 1-2 เบอร์ เพื่อสีผมที่เด่นชัดสวย

     • ไม่ควรเก็บน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่ผสมเสร็จแล้ว เพื่อใช้ในครั้งต่อไป  อย่าเสียดายเก็บไว้ เพราะภาชนะบรรจุอาจระเบิดหรือแตกได้

     • หลังการทำสีผม หลีกเลี่ยงการดัดหรือย้อมซ้ำ เพราะจะทำให้สภาพเส้นผมถูกทำลายมาก ทางที่ดีควรเว้นระยะห่างประมาณ 2-3 อาทิตย์




แนะทำสีผมให้ปลอดภัย ต้องมีความรู้

จาก ข่าวสดออนไลน์

http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:du7p6CxYLmkJ:women.kapook.com/view1760.html+%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A1+%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th&source=www.google.co.th


       รศ.น.พ.ปิติ พลังวชิรา ผอ.ศูนย์ผิวหนัง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ( มศว.) เปิดเผยว่า วัยรุ่นปัจจุบันนี้นิยมทำไฮไลต์ การทำไฮไลต์เป็นการทำให้สีผมจางลง อ่อนลง หรือเปลี่ยนสีผมเป็นสีต่างๆ ตามแฟชั่น  คนที่ทำไฮไลต์จะผ่านการฟอกสี ซึ่งมีผลทำให้สีผมจางลง  นอกจากนั้นยังมีผลต่อเคอราตินของเส้นผม และไปเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติอื่นของเส้นผม เช่น ทำให้เส้นผมแห้ง หยาบ เปราะ ยุ่งง่าย ผมมีรูมาก ทำให้ผมดูดน้ำได้มาก ผมแห้งช้า อ่อนแอและขาดง่าย

        สารฟอกสีผมมีอยู่มากมาย ได้แก่ กลุ่มไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ต้องใช้ร่วมกับสารตัวอื่น เช่นแอมโมเนีย เพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นด่างก่อนทำให้ฟอกสีผมได้เร็วขึ้น เพราะถ้าใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์อย่างเดียวจะฟอกสีได้ค่อนข้างช้า

        กลุ่มเปอร์ซัลเฟต อยู่ในรูปเกลือโซเดียม โพแทสเซียม และแอมโมเนีย แต่ก็ไม่เป็นที่นิยม เพราะว่ากลุ่มนี้อาจมีการระคายเคืองได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสารโซเดียมเปอร์คาร์บอเนต เปอร์บอเรต แมกนีเซียมไดออกไซด์ หรือแบเรียมไดออกไซด์

        ขั้นตอนการฟอกสีต้องอาศัยปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เพื่อจะทำให้เมลานินมีการเปลี่ยนแปลง เกิดเป็นสารใหม่ซึ่งละลายได้ดีในด่างและเมลานิน ซึ่งเป็นตัวกำหนดให้ผมมีสีดำเหล่านั้นจะถูกกำจัดออกโดยการชำระล้าง ทำให้ผมมีสีจางลง

        ในปัจจุบันสารฟอกสีอยู่ในรูปสารละลาย ครีม แชมพู แต่ที่ใช้กันมากที่สุดคือฟอกโดยใช้ส่วนผสมระหว่างโฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และแอมโมเนีย บางรายต้องการให้เส้นผมมีสีจางมากๆ อาจจะใช้สารพวกเปอร์ซัลเฟตร่วม การฟอกสีผมต้องใช้เทคนิคเข้าช่วยด้วยการไม่ควรสระผมก่อน เพราะไขมันบนหนังศีรษะจะถูกชำระล้างไป ทำให้ไม่มีสารไขมันปกป้องผิว จะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย เวลาฟอกสีผมควรฟอกบริเวณปลายผมก่อน แล้วจึงฟอกบริเวณโคนผม เพราะโคนผมจะถูกฟอกสีได้ง่ายกว่า เนื่องจากความร้อนบริเวณหนังศีรษะจะทำให้โคนผมตอบสนองต่อน้ำยาเปลี่ยนสีได้มากกว่าส่วนอื่น

        หลังฟอกสีผมจะต้องสระผม และเลือกใช้ยาสระผมที่มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งมักจะมีฟองน้อย และการชำระล้างไม่ดีเท่ายาสระผมธรรมดา เพราะไม่ต้องการทำความสะอาดมากเกินไป ดังนั้นควรสระเพียงเบาๆ ก็เพียงพอ หลังจากนั้นให้ล้างน้ำออกสัก 1 ครั้ง

        หลังจากฟอกสีผมแล้ว สามารถแต่งสีผมได้ตามแฟชั่นนิยม ซึ่งเรียกว่าการทำไฮไลต์ อาจมีสีเขียว น้ำตาล แดง ม่วง น้ำเงิน สีทอง สีบรอนซ์ พบว่ามีขายทั่วไปในรูปของเจลสี และหลังจากทำไฮไลต์แล้ว สีเหล่านี้จะเคลือบติดผมอยู่นาน เวลาสระผมด้วยแชมพูสีเหล่านี้สามารถคงอยู่ได้นาน โดยสามารถสระผมได้ประมาณ 20 ครั้งสีจะค่อยๆ จางลง การทำไฮไลต์ในลักษณะนี้ราคาแพง

        สำหรับกลุ่มที่ทำไฮไลต์โดยการฉีดสเปรย์ หรือใช้มาสคาร่า  อาจไม่ต้องฟอกสีโดยใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และแอมโมเนียก่อน สามารถใช้สเปรย์และมาสคาร่าได้เลย  แต่ด้วยวิธีนี้สีผมใหม่จะไม่คงทนถาวร  สระครั้งเดียวสีจะหลุดออกจากเส้นผม

        หากต้องการย้อมผมโดยใช้สีแบบถาวร ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของครีม สีประเภทนี้จะคงทนถาวรต่อการสระผม การแปรงผม การหวีผม และทนต่อแสง หากเลือกวิธีนี้สามารถย้อมผมได้เลย เนื่องจากครีมที่ใช้มักมีสารพวกไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และสีผสมกันอยู่แล้ว พวกนี้มีหลายสีให้เลือก

        ข้อควรระวังเมื่อเกิดการแพ้สารฟอกสี ควรจะทดสอบก่อน ถ้าพบว่ามีอาการระคายเคืองควรเลือกใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่เข้มข้นน้อยลงและลดระยะเวลาลง  นอกเหนือจากอาการแพ้ระคายเคืองแล้ว ไม่ควรย้อมผมหรือฟอกสีผมขณะที่หนังศีรษะ ใบหน้า คอมีแผล รอยถลอก หรือมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง และถ้าจะทำเอง อย่าให้ครีมย้อมผมเข้าตา
      บันทึกการเข้า
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #141 เมื่อ: 09 เมษายน 2554, 19:57:06 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 06 พฤศจิกายน 2553, 23:56:12
A simple message to all of us

Who are they ? ----- They are Doctors



Who is he ?  ------ He is an Actor



Who are these people ? They are farmers .....



Fine ... Very Good. What about these guys ? Who are they ? Guess ! ! ! !
 
!
!
!
!
!



Any Guess ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! !
 
!
!
!
 
Yeah...

They are SOFTWARE ENGINEERS, BANKERS , CONSULTANTS, OFFICE EXECUTIVES, PRESIDENTS, VICE PRESIDENTS, GENERAL MANAGERS WHO WORK FOR 15 HOURS A DAY, SITTING AT ONE PLACE …

Don't laugh. Be Aware. It is a global issue now. So, take care of yourself and your FAT.

To get to a good shape...try to adhere to the following 25 tips





พี่เจี๊ยบสวัสดีค่ะ (ใหม่ขอรายงานตัวค่ะ)

ตรงจุดจริงๆ  ปวดคอ บ่าไหล่ทุกวัน
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #142 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 12:41:42 »


สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ น้องใหม่ และสมาชิกชาวเวป cmadong.com ทุกท่าน

      บันทึกการเข้า
nosesurg
Newbie
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1

เว็บไซต์
« ตอบ #143 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 19:10:43 »

มีประโยชน์ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ :) Grin
      บันทึกการเข้า

Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #144 เมื่อ: 26 เมษายน 2554, 12:34:18 »


ใบแปะก๊วย เสริมความจำ บำรุงสมอง จริงหรือ ?

เสรษฐวิทย์ -นิเทศ 16 ... ส่งมา

ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มีต้นแปะก๊วยเต็มไปหมด ทั้งริมถนน ในสวน ข้างตึก  เมื่อไปถึง เดือนตุลาคม กำลังเป็นสีทองอร่ามทั้งต้น  แล้วใบก็ร่วง  ผลร่วงลงมาให้เก็บโดยเสรี  บางรายเอากระสอบมาใส่

เมื่อร่วงหมดต้นแล้ว ก็เหลือแต่กิ่งก้านอย่างนั้นสี่เดือนกว่า  แล้วจึงได้เห็นรังนกอยู่ตามง่ามไม้สูงๆ  นกที่ว่าเป็นนกตระกูลกา มีชื่อจีนว่า สีชั่ว  แต่สีเขาสวยกว่ากามาก  หัวดำ สีดำคลุมมาถึงคอและหลัง  ส่วนต่อจากนั้นถึงปลายปีกต่อด้วยสีน้ำเงินแวววาว  ข้างสะโพกสีขาว  เวลาบินมองจากด้านล่าง ปีกเขาหมุนเห็นสีขาวเป็นวง  เป็นนกกลุ่มใหญ่ของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง

มองจากชั้น ๕ ของที่พัก เมื่อขึ้นไปซักผ้า  ระหว่างรอก็ชมยอดไม้ไปพลางๆ  เห็นรังใหญ่สองรัง เป็นรังร้าง ๑ อีกรังต่อเติมใหม่  นกสองตัวผัวเมียกำลังเลี้ยงลูก  บินขึ้นบินลงวันละหลายรอบ  ขณะนี้ฤดูใบไม้ผลิ  แปะก๊วยออกใบเล็กๆ เท่าปลายก้อย  เห็นเป็นช่อเล็ก ๆ เกาะเป็นราวตามกิ่ง น่าเอ็นดูมาก  ต้นไม้ที่นี่คงกินน้ำค้าง หรือเทวดาเลี้ยง หรือมีน้ำใต้ดินสนับสนุน  เพราะห้าเดือนนี้ ฝนตก ๒ ครั้งพอเห็นพื้นเปียก  หิมะตกสามวัน

เมื่อฤดูใบไม้ร่วง ไปตลาด เห็นเขาขายแบบต้มแล้วใส่ถุงสุญญากาศ ราคาถูกกว่าไทยครึ่งหนึ่ง  ตอนนี้ไม่เห็นแล้วในตลาดจีน  แต่ที่เยาวราชไม่เคยหมด  เพราะคนไทยกินมากที่สุด  คนจีนทางเหนือไม่มีเต้าทึง ไม่มีเต้าฮวย และไม่มีแปะก๊วยร้อน-เย็น  ใครกินก็นึกถึงน้าแล้วกัน  ขออร่อยทางไกลด้วยคน

ใบแปะก๊วย เสริมความจำ บำรุงสมอง จริงหรือ ?
 


ใบแปะก๊วย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

        อีกหนึ่งสมุนไพรที่คนกำลังกล่าวถึงกันมากในขณะนี้ก็คือ " ใบแปะก๊วย " ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่มีต้นกำเนิดจากทางตะวันออกของประเทศจีน และเชื่อกันว่ามีสรรพคุณบำรุงสมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ เรื่องนี้จะจริงหรือไม่  วันนี้กระปุกดอทคอม จะพาคนรักสุขภาพ ไปไขข้อข้องใจกันค่ะ

       สำหรับ " แปะก๊วย " ( Ginkgo biloba : กิงโกะ บิโลบา ) จะเรียกว่าเป็นพืชโบราณก็ว่าได้ เพราะถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 270 ล้านปีก่อน ในสมัยเดียวกับไดโนเสาร์  โดยคำภาษาจีน ออกเสียงว่า " หยินซิ่ง " ซึ่งแปลว่า ลูกไม้สีเงิน ต่อมาได้มีผู้นำ " แปะก๊วย " เข้าไปปลูกในประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า " อิโจว " หรือ " คินนัน " ซึ่งมีความหมายไม่แตกต่างกับประเทศจีน

       ทั้งนี้เมื่อพูดถึง " แปะก๊วย " คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักเม็ดสีเหลือง ๆ ที่ใช้เป็นส่วนผสมของขนมหวานหลาย ๆ ชนิด  ไม่ว่าจะเป็นบะจ่าง แปะก๊วยนมสด แปะก๊วยต้มน้ำตาล ฯลฯ  มากกว่า " ใบแปะก๊วย " ซึ่งมีหลายคนบอกว่าจริง ๆ แล้วใบแปะก๊วยนี่แหละที่มีประโยชน์มากกว่าผลแปะก๊วยเสียอีก


ว่าแล้วเรามารู้จัก "ใบแปะก๊วย" กันเลยดีกว่า

       " ใบแปะก๊วย " มีลักษณะเป็นใบสีเขียวแยกเป็น 2 กลีบ คล้ายใบพัด มีลักษณะพิเศษคือจะผลัดใบไม่พร้อมกันทุกต้น แต่เมื่อผลัดใบแล้ว ใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แล้วร่วงจากต้นภายในไม่กี่วัน  ถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1436 หรือเมื่อประมาณเกือบ 600 ปีที่แล้ว ในสมัยราชวงศ์หมิง ประเทศจีน  ปัจจุบัน ใบแปะก๊วย เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ทั้งในเอเชีย ยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา เพราะเชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ

       ทั้งนี้หากนำใบแปะก๊วยไปสกัดด้วยตัวทำละลาย จะได้สารสกัดไบโอฟลาโวนอยด์ ( Bioflavonoids ) มีฤทธิ์้ต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ และยังมีสรรพคุณช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานขึ้นตา ป้องกันการเกิดแผลเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวาน

       ส่วนผู้ป่วยโรคหอบหืด หากรับประทาน " ใบแปะก๊วย " ก็สามารถป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อหลอดลมได้ หรือใครที่มีอาการปวดขา การทาน " ใบแปะก๊วย " ก็ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังประสาทมือและเท้า ลดอาการปวดต่างๆ ได้เช่นกัน

       นอกจากนี้ ในปี ค.ศ.1996  มีการทดลองพบว่า " ใบแปะก๊วย " สามารถช่วยป้องกันอาการผิดปกติของการหายใจขณะขึ้นสู่ที่สูง ( Asthma & Acute Mountain Sickness : AMS ) ได้ รวมทั้งกำลังมีการศึกษาว่า " ใบแปะก๊วย " อาจมีสรรพคุณลดภาวะอาการหูอื้อลงได้ด้วย


       ขณะที่การโฆษณาสรรพคุณของใบแปะก๊วยส่วนใหญ่ จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของประสิทธิภาพในการเพิ่มความจำ และบำรุงสมอง หลังจากเคยมีการวิจัยทางคลินิกบางแห่งพบว่า การสกัดใบแปะก๊วยนอกจากจะได้สารไบโอฟลาโวนอยด์แล้ว ยังจะได้สารไบโลบาไลด์ ( Bilobalides ) และกิงโกไลด์ ( Ginkgolides ) ซึ่งเชื่อกันว่า มีผลต่อความจำ และบำบัดอาการสมองเสื่อม  เพราะสารทั้งสองตัวนี้จะไปเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตที่สมอง ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น จึงช่วยเรื่องความจำได้ดี โดยเฉพาะในผู้สูงอายุอาจจะสามารถป้องกันโรคความจำเสื่อม สมองฝ่อ อาการขี้หลงขี้ลืม วิงเวียนหน้ามืด โรคซึมเศร้าได้ด้วย

       อย่างไรก็ตาม การวิจัยทางคลินิกหลายแห่งก็ยังไม่ได้สนับสนุนถึงสรรพคุณด้านนี้อย่างแน่ชัด โดยมีงานวิจัยบางแห่งกลับเห็นตรงกันข้ามว่า " ใบแปะก๊วย " อาจไม่มีความสามารถในการป้องกันอาการอัลไซเมอร์ หรือเพิ่มประสิทธิภาพความจำได้  ขณะที่งานวิจัยที่ระบุว่า " ใบแปะก๊วย " ให้ผลดีต่อสมอง ก็ยังมีข้อมูลไม่มากนัก  ฉะนั้นแล้ว จึงยังไม่มีสถาบันใดออกมายืนยันชัดเจนถึงสรรพคุณข้อนี้ของ " ใบแปะก๊วย "  จึงคงต้องรอการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมให้ได้ข้อมูลมากกว่านี้ต่อไป

       แต่ถึงแม้สรรพคุณของ " ใบแปะก๊วย " ในด้านการบำรุงสมองจะยังไม่แน่ชัด แต่เราก็เห็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมใบแปะก๊วย ใบแปะก๊วยแคปซูล วางขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาดในหลากหลายรูปแบบ  ซึ่งในทวีปยุโรปเอง โดยเฉพาะในประเทศเยอรมัน การจะรับประทาน " ใบแปะก๊วย " ต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น

       เช่นเดียวกับที่ประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ระบุข้อกำหนดในการใช้สารสกัดจากใบแปะก๊วย ไว้ด้วยดังนี้

       1. ในการใช้สารสกัดแปะก๊วยเป็นยาแผนปัจจุบัน จะต้องมีข้อบ่งใช้สำหรับผู้ที่เป็นโรคเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ รวมทั้งโรคของหลอดเลือดในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน และการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนังผิดปกติ โดยให้รับประทาน 40 มิลลิกรัม วันละ 3-4 เม็ด

       ทั้งนี้ สารสกัดจากใบแปะก๊วยจัดเป็นยาอันตราย ต้องขายเฉพาะในร้านขายยาแผนปัจจุบัน และไม่ให้มีโฆษณาสรรพคุณต่อสาธารณะ

       2. ในการใช้สารสกัดแปะก๊วยเป็นยาแผนโบราณ ให้ขึ้นทะเบียนในลักษณะผสมกับสมุนไพรตัวอื่นๆ ว่ามีสรรพคุณบำรุงร่างกาย และอนุญาตสรรพคุณของตำรับเป็นยาบำรุงร่างกาย

       3. ในการใช้สารสกัดแปะก๊วย เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จะต้องได้รับใบสำคัญการใช้ฉลากอาหาร โดยอนุญาตเฉพาะที่มีขนาดรับประทานไม่เกินวันละ 120 มิลลิกรัม และจะต้องไม่ระบุสรรพคุณใดๆ ในการบำบัดรักษาโรคเลย


อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อแนะนำไม่ให้ใช้ " ใบแปะก๊วย " กับคน 3 กลุ่ม คือ

       1. ผู้ที่ใช้สารป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ( Anti-coaggulant ) เช่น ยา Warfarin , แอสไพริน , อิบูโพรเฟน และผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากใบแปะก๊วย มีผลทำให้เกิดเลือดออกตามร่างกายได้

       2. ผู้ป่วยที่ความดันสูง หรือความดันต่ำกว่าปกติ หรือใช้ยาอยู่  เพราะใบแปะก๊วยจะไปทำให้หลอดเลือดขยาย และลดความดันลง ซึ่งจะยิ่งทำให้ความดันต่ำลงมากเกินไปได้

       3. สตรีมีครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

       นอกจากนี้ ในบางคนหากทานใบแปะก๊วยมากเกินไป อาจได้รับผลข้างเคียง เช่น มีอาการปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน กระสับกระส่าย ปั่นป่วนในระบบทางเดินอาหาร ระบบหายใจผิดปกติและหลอดเลือดผิดปกติ ผิวหนังมีอาการแพ้ เป็นต้น ซึ่งหากใครมีอาการลักษณะที่กล่าวมา ควรหยุดทานทันที

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

- คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- กรมอนามัย
- thaifooddb.com
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #145 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2554, 03:22:36 »


๖ คำถามน่ารู้ โรคไขมันสะสมในตับ

จาก  http://doctor.or.th/node/11403



ภาวะอ้วนลงพุงของคนเราที่เกิดจาก “ พฤติกรรมสุขภาพ ” พบมากขึ้นในสังคมไทย  ส่งผลให้เกิดปัญหาโรคแทรกซ้อนตามมาอีกหลายโรคที่สัมพันธ์กับภาวะอ้วนลงพุง  นั่นคือโรคไขมันสะสมในตับ  มาทำความรู้จักที่มาของปัญหาไขมันสะสมในตับ การป้องกัน และการแก้ไข ผ่าน ๖ คำถามน่ารู้

๑. โรคไขมันสะสมในตับพบได้บ่อยแค่ไหน และลักษณะการดำเนินโรคเป็นไปอย่างไร ?

      โรคไขมันสะสมในตับจัดเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจากข้อมูลที่มีการศึกษาพบว่า มีความชุกของโรคไขมันสะสมในตับ สูงถึงร้อยละ ๙-๔๐ และมีความสัมพันธ์กับความชุกของโรคอ้วน  ส่วนความชุกของโรค ไขมันสะสมในตับที่มีการอักเสบร่วมด้วยนั้นพบร้อยละ ๖-๑๓ ของประชากรทั่วไป


 
      ในการศึกษาที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่ามีผู้ป่วยโรคไขมันสะสมในตับสูงถึงร้อยละ ๗๒ ในกลุ่มผู้ป่วยตับอักเสบที่ไม่พบสาเหตุจากไวรัสตับอักเสบบี ซี และแอลกอฮอล์  ส่วนที่เหลือร้อยละ ๒๘ เป็นกลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุ
  
      โรคนี้พบได้บ่อยขึ้นในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น คนอ้วน จะพบปัญหาโรคไขมันสะสมในตับหรือ Non-alcoholic fatty liver disease ( NAFLD ) หรือ Non-alcoholic-steatohepatitis ( NASH)  ได้ ถึงร้อยละ ๓๗-๙๐ ส่วนในคนที่เป็นเบาหวานพบถึงร้อยละ ๗๒
 
      สรุปง่ายๆ ก็คือ ถ้ามีโรคเบาหวานหรือโรคอ้วนอยู่ จะมีโอกาสพบโรคไขมันสะสมในตับได้มากถึง ๗ ใน ๑๐ ราย

      ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ แต่มาพบแพทย์ด้วยเรื่องที่มีค่าการทำงานของตับผิดปกติจากการตรวจสุขภาพ โดยมีค่าที่สูงขึ้นประมาณ ๑.๕ เท่า และตรวจหาสาเหตุอื่นๆ แล้วไม่พบ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือไวรัสตับอักเสบชนิดซี

      โรคนี้มักมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง โดยส่วนใหญ่มักใช้เวลานานเป็น ๑๐ ปีจึงจะเห็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ ภาวะตับแข็ง และการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดได้มากขึ้น

      อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และเกิดได้ตั้งแต่วัยทำงาน จึงเป็นปัญหาสำคัญในระยะยาว

๒. จะรู้ได้อย่างไรว่าอาจเป็นโรคไขมันสะสมในตับ ?

      เราสามารถตรวจตนเองเบื้องต้นได้ดังนี้

      ส่วนที่ ๑ คือ การประเมินสภาพร่างกายตนเองว่ามีโรคอ้วนหรือไม่

วิธีคำนวณ

      โดยใช้ค่าดัชนีมวลกาย ( Body mass index: BMI ) ที่คำนวณจาก ค่าน้ำหนัก ( กิโลกรัม ) หารด้วยความสูงยกกำลังสอง ( เมตร๒ ) หรือเขียนสั้นๆ ว่า  ดัชนีมวลกาย = น้ำหนัก ( กิโลกรัม)  หาร ( ความสูง x ความสูง )   ผลที่ได้จะออกมาเป็น กิโลกรัมต่อตารางเมตร
      ยกตัวอย่างเช่น
      ชายน้ำหนัก ๘๐ กิโลกรัม ความสูง ๑.๖๘ เมตร
      ดัชนีมวลกาย  = ๘๐ หาร ( ๑.๖๘ x ๑.๖๘ ) = ๒๘.๓๔ กิโลกรัมต่อตารางเมตร
      เกณฑ์วินิจฉัยสำหรับคนเอเชีย ให้ค่าที่เกิน ๒๘ กก./ตร.ม. ( กิโลกรัมต่อตารางเมตร ) เป็นภาวะอ้วน ดังนั้น กรณีตัวอย่างชายผู้นี้จึงถือว่ามีโรคอ้วน

ส่วนที่ ๒ ตรวจสอบข้อมูลโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับภาวะไขมันเกาะตับ  ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน ว่าได้รับการรักษาและควบคุมได้ดีหรือไม่
 
      นอกจากนี้ การพบโรคร่วมดังกล่าวซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของภาวะอ้วนลงพุง ( metabolic syndrome ) จะมีโอกาสเกิดภาวะตับอักเสบ และมีพังผืดในตับได้มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะอ้วนลงพุง
 
      ส่วนองค์ประกอบของภาวะอ้วนลงพุงนั้น กำหนดเกณฑ์วินิจฉัยไว้ดังนี้ คือ
 
      ก. องค์ประกอบแรกต้องมีโรคอ้วนที่วินิจฉัยโดยใช้เกณฑ์ของคนเอเชียคือ

      ผู้ชายมีเส้นรอบเอวอย่างน้อย ๙๐ ซม. ( ๓๖ นิ้ว )
      ผู้หญิงมีเส้นรอบเอวอย่างน้อย ๘๐ ซม ( ๓๒ นิ้ว )

      ข. ร่วมกับเกณฑ์ ๒ ข้อจาก ๔ ข้อต่อไปนี้

           ๑. ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง เกินกว่า ๑๕๐ มก./ดล.

           ๒. ระดับไขมันคอเลสเตอรอลตัวดี ( HDL–cholesterol ) โดย
                - ผู้ชายต่ำกว่า ๔๐ มก./ดล.
                - ผู้หญิงต่ำกว่า ๕๐ มก./ดล.

           ๓. มีความดันเลือดสูง ตั้งแต่ ๑๓๐/๘๕ มม.ปรอท ขึ้นไป หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันเลือดสูงที่กำลังรับยารักษาอยู่

          ๔. ระดับน้ำตาลตอนเช้า ( อดอาหาร ) สูงตั้งแต่ ๑๐๐ มก./ดล. หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน

๓. เมื่อทราบว่าเป็นโรคไขมันสะสมในตับแล้ว จะดูแลสุขภาพอย่างไร ?

       แพทย์จะมีหลักในการดูแลรักษา ๒ ส่วนคือวิธีรักษาที่ไม่ต้องใช้ยา และการใช้ยา
  
       วิธีการรักษาที่ไม่ต้องใช้ยานั้นผู้ป่วยต้องดูแลตนเองให้มาก

       สำหรับการใช้ยา ปัจจุบันมียาที่อาจพิจารณาใช้ได้อยู่ไม่กี่ชนิด และผลการวิจัยก็พบว่ายาเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบของตับได้ แต่ไม่สามารถลดภาวะพังผืดในตับได้ ส่วนควรใช้ยาตัวใด และควรเริ่มยาเมื่อไรนั้นต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์

๔. การดูแลรักษาสุขภาพเบื้องต้นด้วยตนเอง

       สิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยโรคไขมันเกาะตับต้องลงมือปฏิบัติและต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันบางส่วนจึงจะได้ผลในการรักษา โดยมีรายละเอียดดังนี้

       ๑. งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด  หรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลงจนเลิกดื่ม

       ๒.  หลีกเลี่ยงการใช้ยา อาหารเสริมหรือสมุนไพรที่ไม่จำเป็น  เพราะนอกจากมีโอกาสทำให้ตับอักเสบแล้ว ยังอาจทำให้มีไขมันสะสมในตับเพิ่มขึ้นได้ เช่นกลุ่มอาหารเสริม สมุนไพรที่พบว่าทำให้ตับอักเสบได้ เช่น ขี้เหล็ก มะรุม เป็นต้น

       ๓. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  โดยพบว่ามีผลต่อการลดภาวะอักเสบของตับได้อย่างชัดเจน ซึ่งยืนยันได้จากทั้งผลตรวจเลือดค่าทำงานตับหรือผลการเจาะตับ
 
       หากทำได้อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าน้ำหนักจะไม่ลดลงในช่วงแรกก็ตาม โดยทั่วไปพบว่ามีผู้ป่วยเพียง ๑ ใน ๓ ที่จะออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอและลดน้ำหนักได้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงภาวะดื้อต่ออินซูลินที่มีอยู่เดิมให้ลดลงซึ่งช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้น ส่วนหลักการลดน้ำหนักควรวางเป้าหมายไว้ที่ ๑ กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ( ไม่ควรเกิน ๑.๖ กิโลกรัมต่อสัปดาห์ )
 
       กิจกรรมหรือชนิดของการออกกำลังกายที่แนะนำสรุปไว้ในตารางที่ ๑ คือเป็นการออกกำลังกายในระดับปานกลาง ( moderate intensity physical activity ) โดยควรตั้งเป้าหมายให้ทำกิจกรรมดังกล่าวได้นาน ๒๐๐ นาทีต่อสัปดาห์ ระยะเวลา ๖ เดือน ( ประมาณ ครึ่งชั่วโมงต่อวัน )
 
       ส่วนวิธีประเมินผลว่าเป็นการออกกำลังกายในระดับ moderate intensity physical activity หรือไม่ให้ใช้อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งคำนวณจาก...
       ค่า ( ๒๒๐ ลบ อายุ ) คูณ ( ร้อยละ ๕๐-๗๐ )
       ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยอายุ ๔๐ ปี เมื่อออกกำลังกายในระดับปานกลางแล้วควรมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่
        ( ๒๒๐-๔๐ ) x ๐.๕ ( ร้อยละ ๕๐ )    = ๙๐
       ถึง ( ๒๒๐-๔๐ ) x ๐.๗ ( ร้อยละ ๕๐ )    = ๑๒๖
       หรือมีค่าระหว่าง ๙๐-๑๒๖ ครั้ง/นาที
       (http://www.cdc.gov/physicalactivity/everyone/measuring/heartrate.html)

ตารางที่ ๑ หรือชนิดของการออกกำลังกายที่แนะนำ

กิจกรรมที่ทำนานครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ เผาผลาญแคลอรี : กิโลแคลอรี ( Kcal )/ ครั้ง/ น้ำหนัก ๖๕-๗๐ กิโลกรัม
 
การออกกำลังกายในระดับปานกลาง หรือ moderate intensity aerobic exercise
    
- การเดินเร่งอย่างต่อเนื่องหรือเทียบเท่าจำนวนก้าวอย่างน้อย ๑๐,๐๐๐ ก้าว (ความเร็วประมาณ ๕ กม./ชม.)    ๕ ครั้ง    ๑๓๐-๑๗๐
- การเต้นแอโรบิก ๕ ครั้ง ๑๗๕
- การขี่จักรยานด้วยความเร็วไม่เกิน ๘.๕-๙ กม./ชม.* ๕ ครั้ง    ๑๒๐
 
การออกกำลังกายในระดับสูงหรือ high intensity aerobic exercise
        
- การวิ่งด้วยความเร็วประมาณ ๙-๑๒ กม./ชม. ๓ ครั้ง ๓๓๐-๓๕๐
- การขี่จักรยานด้วยความเร็ว ๑๗-๒๒ กม./ชม.* ๓ ครั้ง    ๒๑๐-๓๓๐
- การเดินเร่งอย่างต่อเนื่องความเร็ว ๘.๕ กม./ชม. ๓ ครั้ง ๒๘๐
- การว่ายน้ำต่อเนื่อง ๕ ครั้ง ๒๗๐
- กระโดดเชือก ๓ ครั้ง ๓๓๐

* มักต้องใช้ระยะเวลานานกว่าการเดินเร่งหรือวิ่ง เพราะเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ลงน้ำหนัก ( Non-Weight-Bearing )

อ้างอิง http://www.cdc.gov/physicalactivity/everyone/guidelines/adults.html
http://www.exercise4weightloss.com/fat-burning-exercises-aerobic.html
http://www.holisticonline.com/remedies/weight/weight_calories-burned-by-...

สำหรับการออกกำลังกายในระดับสูง ( high intensity physical activity ) จะช่วยเผาผลาญไขมันคิดเป็นพลังงานได้ประมาณ ๒ เท่า ของการออกกำลังกายในระดับปานกลาง

      ๔. การควบคุมอาหารและแคลอรี โดยมีหลักการดังนี้

    เลือกกินอาหารให้ครบ ๕ หมู่และควบคุมอาหารให้ได้พลังงานพอเพียงเท่าที่ร่างกายต้องการ  โดยทั่วไปควรได้พลังงาน ๓๐ กิโลแคลอรี  ต่อน้ำหนักตัวมาตรฐาน ๑ กก.ต่อวัน หรือ ๓๐ x น้ำหนักตัว

    ตัวอย่างเช่น คนน้ำหนัก ๖๐ กก.
    ๓๐ x ๖๐ กก. = ควรได้พลังงานประมาณ ๑,๘๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน
 
   โดยได้จากอาหาร ๓ มื้อ เฉลี่ยมื้อละ ๖๐๐ กิโลแคลอรี อาจไม่ต้องแบ่งให้เท่ากัน เพราะมื้อเช้าและกลางวัน ควรกินให้ได้พลังงานมากกว่ามื้อเย็น
    ผู้ป่วยโรคไขมันสะสมในตับจำเป็นต้องควบคุมพลังงานที่ร่างกายต้องการให้เหลือเพียง ๑,๐๐๐-๑,๒๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน ต่อน้ำหนักตัวไม่เกิน ๙๐ กิโลกรัม
 
    หากน้ำหนักตัวเกิน ๙๐ กิโลกรัม ควรปรับปริมาณพลังงานที่ควรได้ให้ไม่เกิน ๑,๕๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน ชนิดของอาหารควรเลือกให้เหมาะสมดังสรุปปริมาณแคลอรีที่ได้จากอาหารจานเดี่ยวในตารางที่ ๒

๕. เลือกกินอาหารอย่างไร ให้ควบคุมปริมาณพลังงานที่เหมาะสม ?



     ๑. เลือกอาหารว่าง และผลไม้ที่มีปริมาณการดูดซึมปริมาณน้ำตาลหรือ Glycemic index ที่ต่ำ  หลีกเลี่ยงอาหารว่าง และผลไม้ที่มีพลังงานที่สูง เช่น เครื่องดื่มที่มีนมเนยผสมปริมาณมากๆ ไอศกรีม ขนมหวานจัด ผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ที่มีค่า Glycemic index สูง

       ส่วนผลไม้ที่กินได้เพราะปริมาณการดูดซึมปริมาณน้ำตาลต่ำ ได้แก่ กล้วย มะละกอ แอปเปิ้ล เป็นต้น ดังสรุปปริมาณแคลอรีที่ได้ในตารางที่ ๓-๔

      ๒. กินอาหารที่มีปริมาณเส้นใยสูงให้ได้ปริมาณอย่างน้อย ๔๐ กรัมต่อวัน

  ตารางที่ ๒ ตัวอย่างของอาหารจานเดี่ยวที่มีปริมาณพลังงาน ( กิโลแคลอรี ) กำกับ

รายละเอียดของอาหาร ปริมาณพลังงานกิโลแคลอรี ( Kcal )
 
เส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อวัวน้ำ ๔๔๗ กรัม ๒๒๖
กระเพาะปลาปรุงสำเร็จ ๓๙๒ กรัม    ๒๓๙
ขนมจีนน้ำยา ๔๓๕ กรัม ๓๓๒
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่เย็นตาโฟน้ำ ๔๙๔ กรัม ๓๕๒
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ราดหน้าหมู ๓๕๔ กรัม ๓๙๗
ข้าวขาหมู ๒๘๙ กรัม ๔๓๘
ข้าวแกงเขียวหวานไก่ ๓๑๘ กรัม ๔๘๓
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กแห้งหมู ๒๓๕ กรัม ๕๓๐
ข้าวหมูแดง ๓๒๐ กรัม ๕๔๐
ข้าวผัดใบกะเพราไก่ ๒๙๓ กรัม ๕๕๔
ข้าวผัดหมูใส่ไข่ ๓๑๕ กรัม ๕๕๗
ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยใส่ไข่ ๒๔๔ กรัม ๕๗๗
ข้าวมันไก่ ๓๐๐ กรัม ๕๙๖
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วหมู ๓๕๐ กรัม ๖๗๙

อ้างอิง http://nutrition.anamai.moph.go.th/aging/Html/oneplate.html
           http://www.sugarstacks.com/snacks.htm


       ๓. ระลึกเสมอว่าการเผาผลาญพลังงานด้วยการออกกำลังกายต้องใช้เวลาทำอย่างสม่ำเสมอ และต้องทำควบคู่กับการควบคุมปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวันด้วย  ดังนั้น การจดบันทึกชนิดและปริมาณแคลอรีของอาหารที่กินในแต่ละวันจะเป็นประโยชน์ต่อการติดตามผลได้

      ตัวอย่างเช่น ถ้ากินข้าวมันไก่เกินที่ควรจะเป็นจำนวน ๑ จาน ( ๓๐๐ กรัม ) จะได้พลังงานเกินที่ต้องการถึง ๕๙๖ กิโลแคลอรี ซึ่งต้องออกกำลังกายในระดับสูง เช่น ด้วยการวิ่งความเร็วประมาณ ๙-๑๒ กม./ชม. นานถึง ๑ ชั่วโมงจึงจะเผาผลาญพลังงานส่วนเกินดังกล่าวได้

       รายละเอียดของพลังงานในอาหารแต่ละอย่างมีสรุปไว้ในตารางที่ ๒-๓
 
จากผลการวิจัยยืนยันว่าผู้ป่วยโรคไขมันเกาะตับที่มีภาวะอักเสบ  หากควบคุมน้ำหนักจนลดได้ร้อยละ ๗-๑๐ ในช่วง ๙-๑๒ เดือน ทั้งจากการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  จะช่วยทำให้ภาวะตับอักเสบดีขึ้น ภาวะดื้อต่ออินซูลินลดลง ค่าไขมันค่าการทำงานตับก็จะดีขึ้นด้วย
 
       ผลของการควบคุมน้ำหนักที่ลดได้มากเท่าใดก็ยิ่งเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของลักษณะพยาธิวิทยาของตับชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของภาวะพังผืดยังไม่ชัดเจนจากการติดตามผล ๑ ปี

๖. จุดมุ่งหมายของการรักษาโรคไขมันสะสมในตับมีอะไรบ้าง ?

       จุดมุ่งหมายของการรักษามีดังนี้คือ

        •    ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน
        •    ป้องกันการเกิดภาวะตับแข็งด้วยการลดการอักเสบของตับ
        •    ป้องกันการเกิดมะเร็งที่อาจพบแทรกซ้อนได้

จาก  :  นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม 384
เดือน-ปี : 04/2554
คอลัมน์ : เรื่องเด่นจากปก
นักเขียนหมอชาวบ้าน : นพ.สมบัติ ตรีประเสริฐสุข
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #146 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2554, 23:42:47 »


4 เหตุผลที่ควรกิน " ไข่ " เป็นอาหารเช้า

เศรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

ท่านอาจารย์กฤษฎี โพธิทัต นักโภชนาการตีพิมพ์เรื่อง "เมนูไข่ ...ไข่ ...ไข่ ..." ในวารสาร HealthToday ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2552  ท่านกล่าวว่า ไข่เจียว หรือไข่คน ( omlette ) เป็นอาหารประเภท ' comfort food ' หรือทำง่าย อิ่มท้อง และดีกับสุขภาพ ผู้เขียนขอนำเรื่องคุณค่าของอาหารไข่มาเล่าสู่กันฟังครับ


 
(1) ไข่ไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง
 
•  ผู้ร้ายตัวจริงที่ทำให้โคเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดสูงคือ ไขมันอิ่มตัว เช่น กะทิ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู การกินเนื้อมากเกิน ( เนื้อที่เห็นเป็นเนื้อแดงก็มีไขมันแฝงอยู่มาก ) ฯลฯ

•  ที่ร้ายที่สุดคือ ไขมันทรานส์ หรือไขมันแปรสภาพ ซึ่งส่วนใหญ๋มาจากการนำไขมันพืชไปเติมไฮโดรเจน ทำให้เกิดเป็นเนยขาว เนยเทียม ครีมเทียม ( คอฟฟี่เมต ) ที่ใช้ทำเบเกอรี ขนมกรุบกรอบ อาหารฟาสต์ฟูด

•  แนวทางในการลดโคเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดหลักคือ การลดไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์  รองลงไปคือ การออกแรง-ออกกำลังให้มากพอเป็นประจำ และการกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลให้น้อยลง

•  ไข่ 1 ฟองมีโคเลสเตอรอลมากถึง 210 มิลลิกรัมก็ใช่  แต่ผลการศึกษาวิจัยพบว่า คนที่กินไข่สัปดาห์ละ 4 ฟองมีโคเลสเตอรอลต่ำกว่าคนที่กินไข่สัปดาห์ละ 1 ฟอง หรือไม่กินไข่เลย

•  กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ ไข่มีโปรตีนสูง และมีไขมันอิ่มตัวค่อนข้างต่ำ ทำให้อิ่มนาน และความอิ่มนี่เอง มีส่วนทำให้กินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อ อาหารประเภท " ผัดๆ ทอดๆ " ฯลฯ ลดลง


 
(2) ไข่มีโคลีนสูง
 
•  ไข่ 1 ฟองให้โคลีนมากประมาณ 30% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน  การกินไข่จึงเปรียบคล้ายการซื้อ " ประกันชีวิต " ในเรื่องอาหารคุณค่าสูงว่า โอกาสขาดสารอาหารจะลดลงไปมากมาย

•  โคลีน ( choline ) เป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะผนังเซลล์ของสมอง และเซลล์ประสาท เป็นองค์ประกอบของสารสื่อประสาทที่สมองใช้ในการสื่อสารภายใน ( คล้ายๆ จุดเชื่อมหรือ router ของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต )
 
•  คุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งของโคลีนคือ มันออกฤทธิ์ต้าน ( ลด ) การอักเสบ หรือป้องกันไม่ให้ธาตุไฟในร่างกายกำเริบได้ในระดับหนึ่ง
 
•  การอักเสบนี้มีผลมากเป็นพิเศษที่ผนังหลอดเลือด  เนื่องจากผนังหลอดเลือดที่มีการอักเสบจะบวม และสูญเสียความ " เรียบลื่น ( ปกติจะลื่นคล้ายๆ กระทะเคลือบเทฟลอน ) " ทำให้คราบไขมันไปพอก หรือเกล็ดเลือดไปเกาะกลุ่มได้ง่าย


 
(3) ไข่แดงบำรุงสายตา
 
•  ลูทีน-ซีแซนทีนเป็นสารพฤกษเคมี หรือสารคุณค่าพืชผักกลุ่ม " สีเหลือง-แสด " ช่วยปัองกันจอรับภาพ ( retina ) โดยทำหน้าที่เป็นตัวกรอง ( คล้ายๆ กับเป็นแว่นกันแดดชั้นดี )  แสงสีน้ำเงินหรือฟ้า และรังสี UV ( ultraviolet) ทำให้ความเสี่ยง ( โอกาสที่จะเป็น ) โรคตาเสื่อมสภาพ หรือตาบอดในคนสูงอายุ ( age-related macular degeneration / ARMD ) ลดลง
 
•  แน่นอนว่า การหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า แสงไฟจ้า หรือการอยู่หน้าจอ TV, จอคอมพิวเตอร์นานๆ เป็นการดีที่สุด

•  ทว่า ... ถ้าจำเป็นต้องทำงานกลางแดด ชมโทรทัศน์ หรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์วันละนานๆ  การพักสายตาอย่างน้อยทุกๆ 1-2 ชั่วโมง และการกินอาหารที่มีลูทีน-ซีแซนทีนสูง เช่น ผักใบเขียว ( เช่น บรอคโคลี ฯลฯ ) ถั่วที่มีสีเขียว ข้าวโพด ฯลฯ ก็ช่วยได้มาก


 
(4) ช่วยลดความอ้วน
 
•  การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า คนที่กินไข่เป็นอาหารเช้า มีโอกาสลดน้ำหนัก และเส้นรอบเอวสำเร็จมากกว่าคนที่กินขนมปังเป็นอาหารเช้า
 
•  กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ ไข่มีโปรตีนคุณภาพสูง ทำให้อิ่มนาน และอย่าลืมว่า ไม่ใช่กินอาหารเท่าเดิมแล้วเสริมไข่เข้าไป  แต่ต้องใช้หลัก " อาหารทดแทน " ด้วย คือ กินไข่เข้าไป แล้วลดอาหารอย่างอื่นให้น้อยลงจึงจะได้ผล

อาจารย์กฤษฎีแนะนำ " เคล็ดไม่ลับในการกินไข่ " ไว้ดังต่อไปนี้
 
(1) กินพอประมาณ

•  คนที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว และไม่มีความเสี่ยงต่อโรคสูง กินไข่ได้วันละ 1 ฟอง
 
•  คนที่มีโรคประจำตัว หรือมีความเสี่ยงต่อโรคสูง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน เป็นโรคโคเลสเตอรอลสูงพันธุกรรม ฯลฯ ควรปรึกษาหมอที่ดูแลท่านก่อนกินไข่
 
(2) เวลาซื้อต้องหมุนไข่ ตรวจสอบให้รอบทิศ  อย่าซื้อไข่ที่มีรูทะลุ หรือรอยแตก
 
(3) เก็บไข่ในตู้เย็นส่วนตัวตู้ จะเก็บไข่ได้นานขึ้น  ส่วนประตูตู้เย็นมักจะเย็นน้อยกว่าส่วนกลางตู้เย็น
 
(4) ฟอกไข่ด้วยฟองน้ำล้างจานกับสบู่หรือน้ำยาล้างจาน
 
•  ล้างมือหลังหยิบจับเปลือกไข่ดิบทุกครั้ง เนื่องจากอาจมีเชื้อโรคท้องเสียติดไปกับเปลือกไข่ได้
 
•  สถิติสหรัฐฯ พบว่า โอกาสพบเชื้อท้องเสีย ( salmonella ) ในไข่มีประมาณ 1 ใน 30,000 ฟอง



(5) กินไข่สุก อย่ากินไข่ดิบ
 
•  ไข่ดิบ เช่น ไข่ลวก ฯลฯ มีโปรตีน ( avidin ) ที่จับวิตามิน B ที่ชื่อ ไบโอทิน ( biotin)  ทำให้การดูดซึมลดลง
 
•  ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่อาจมีไข่ดิบผสมอยู่ เช่น ไอศกรีมทำเอง ( home-made ) น้ำสลัดซีซาร์ ฯลฯ
 
•  เวลาทำขนม หรือคุกกี้ใส่ไข่ดิบ ... ไม่ควรชิมในช่วงที่ขนมหรือคุกกี้ยังไม่สุก
 
องค์ความรู้ในเรื่องไข่คงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 5-10 ปี  ตอนนี้ทางที่ดีคือ ' eat in moderation ' หรือ " กินพอประมาณ ( เดินสายกลาง ) " ไปก่อน
 
โคเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดประมาณ 80% สร้างที่ตับ ... ตับจะสร้างโคเลสเตอรอลมากหรือน้อย ขึ้นกับปริมาณไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ ( กินมากสร้างมาก กินน้อยสร้างน้อย )
 
อีก 20% เป็นโคเลสเตอรอลจากอาหาร แนวทางการลดโคเลสเตอรอลจึงควรเน้นการลดเจ้าไขมันตัวร้ายเป็นหลัก  รองลงไปจึงจะเป็นการลดโคเลสเตอรอลในอาหาร
 
ถึงตรงนี้ ... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #147 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 03:44:33 »


ดอกไม้ 5 ชนิด .. พิชิตโรค

เศรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา



ดอกขจร

ดอกไม้หาง่ายในท้องตลาดราคาย่อมเยา ทั้งยังปลอดสารพิษ รสชาติอร่อย ส่วนใหญ่จะนำมาปรุงเป็นขนมดอกขจร หรือดอกสีเขียวอ่อนนำมาผัดน้ำมันหอย  ปรุงในจานยำ  จิ้มน้ำพริกชุบแป้งทอด

ประโยชน์ : มีแคลเซียมสูงบำรุงกระดูกและฟัน วิตามินเอบำรุงสายตา สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเร่งกระบวนการซ่อมแซมบาดแผลด้วย



‏ดอกแค

คนโบราณบอกว่า ดอกแคแก้ไข้หัวลม เ หมาะจะกินช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศเปลี่ยนฤดู  และดอกแคยังมีใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ จึงช่วยในระบบขับถ่ายได้ดี เหมาะจะนำมาใส่ในแกงส้ม จานยำ หรือผัดใส่หมูสับ กุ้งสับ หรือจะลวกจิ้มน้ำพริก

ประโยชน์ : ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก และป้องกันโรคมะเร็งลำไส้



ดอกโสน

ขนมดอกโสนที่คนรุ่นคุณพ่อคุณแม่รู้จักกันดี  มีรสหวานชวนรับประทาน  สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด เช่น นำมาชุบแป้งทอดกรอบ รับประทานกับขนมจีนน้ำพริก  ผัดน้ำมันหอย  นำไปลวกจิ้มน้ำพริก  แกงดอกโสน  ยำดอกโสน

ประโยชน์ : เป็นยาแก้ปวดมวนท้อง



ดอกอัญชัน

เมื่อก่อนคนนิยมใช้นำมาปรุงแต่งสีสันอาหารให้ดูน่ารับประทาน เช่น ขนมช่อม่วง ขนมชั้น เล็บมือนาง โดยคั้นเอาน้ำมาผสมกับอาหารก่อนจะปรุง หรือหยอดสีม่วง ตอนหุงข้าวจะได้ข้าวสีสวย แต่ตอนนี้เริ่มเป็นที่นิยม โดยนำดอกไปตากแห้ง หรือใช้ดอกสดต้มน้ำและเติมน้ำตาล มะนาว ดื่มแก้กระหายคลายร้อน

ประโยชน์ : สารแอนโธไซยานิน มีอยู่มากในดอกอัญชัน จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็น



หัวปลี

เป็นดอกของต้นกล้วย กินได้ทั้งแบบดิบและสุก รสชาติจะฝาด นำกลีบมาชุบแป้งทอดกินได้ หรือจะใช้ใส่ในแกงเลียง ต้มยำไก่ กินแกล้มกับขนมจีนน้ำพริก ทำทอดมัน และอีกสารพัดเมนูของอร่อย ซึ่งหาทานได้ง่ายมาก มีมากมายตามสวนไร่นา

ประโยชน์ : บรรเทาอาการโรคกระเพาะอาหาร  ใบหัวปลีมีธาตุเหล็ก บำรุงเลือด ป้องกันโลหิตจาง และลดน้ำตาลในเลือด
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #148 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2554, 02:04:16 »


ผักจิงจูฉ่าย แก้มะเร็ง ได้จริงหรือ ?

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา‏

        ผม .. นิกกี้ อิทธิเกษม KU37 อดีตนายกสมาคม ม.เกษตรฯ แห่งอเมริกา จะขอเล่าประสบการณ์ที่เคยสัมผัสมากับตัวเองเมื่อปี 2007 เพื่อเป็นcaseตัวอย่าง และเป็นทางออกให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหลาย

     ผมมีร้านอาหารอยู่ในเขต N.Hooywood  วันหนึ่งกลางปี2007 ผมได้มีโอกาสเจอลูกศิษย์เก่าที่เคยมาเรียนแจกไพ่ที่ร้าน ถามทุกข์สุขกันไปมา ถึงได้รู้ว่าเขาเคยเป็นมะเร็งที่คอ 1 ครั้ง, มะเร็งที่ต่อมลูกหมาก 1 ครั้ง ปัจจุบันหายเป็นปลิดทิ้ง  รวมทั้งพี่น้องญาติอีก 8 คนที่เป็นมะเร็งภายในเวลา5ปี ทุกคนหายหมด ผมจึงเกิดความกระตือรือร้นที่จะถามว่า มีวิธีรักษากันอย่างไร ?


       วันนั้นคุณแม่เขามาด้วยจึงอธิบายให้ฟังว่า " ฉันมีต้นจิงจูฉ่ายอยู่ในสวนหลังบ้านเยอะ ปกติก็จะใส่ในแกงจืดให้ลูก ๆกินเป็นประจำ  เพราะคนจีนบอกต่อๆ กันมาถึงสรรพคุณช่วยฟอกเลือด และขับสารพิษออกจากร่างกายทำให้ลูกๆ ไม่ค่อยเป็นอะไร  วันหนึ่งลูกฉันไปตรวจหมอกลับมา บอกว่าเป็นมะเร็ง อีก2เดือนต้องไปฉายแสง  ฉันจึงลองเอาจิงจูฉ่าย 1 กำมือมาตำ จะได้น้ำออกมาแก้ว ( เล็ก ) หนึ่ง ให้เขากินตอนเช้าทุกวัน  2เดือนถัดมาไปตรวจหมอ หมอถามไปทำอะไรมา ทุกอย่างปกติหมด มะเร็งได้หายไปแล้ว "

     หลังจากคุยกันพักหนึ่ง ผมก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า คน 8 คนเป็นมะเร็งในที่ต่างกัน กินน้ำจิงจูฮวยฉ่าย 2-3 เดือน ทุกคนหายหมด ( ไม่มีใครต้องทำคีโมเลย )  ผมจึงเกิดความเชื่อถือขึ้นมาระดับหนึ่ง

      ก่อนหน้านั้น พี่สะใภ้ผม 2 คน ( ปี 2006 ) เป็นมะเร็งที่เต้านม, มดลูก  คนหนึ่งต้องทำคีโม ใช้วิธี " นั่งสมาธิ " ทุกวัน  8 เดือน หายเป็นปกติ


      ต่อมาผมได้ต้นจิงจูฉ่ายมา1ต้น จากคุณแม่ของลูกศิษย์  จึงรีบนำมาเพาะขยาย ปลายปี2008 ผมได้รู้ว่าแม่ค้าที่เช่าที่ในร้านผมคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านมขั้นที่ 3  หน้าดำคล้ำ เดินตัวแข็งแล้ว  ผมรีบเชิญมานั่งคุยเล่าเรื่องจิงจูฉ่ายให้ฟัง และเรื่องพี่สะใภ้นั่งสมาธิ  ก็เลยแนะนำให้ทำ 2 อย่างควบคู่กันไป  เชื่อไหมว่า 3 เดือนถัดไป หายเป็นปลิดทิ้ง ( ผมให้เขาไปเพียง 1 ต้นไปปลูก และเด็ดใบทานเลยวันละ 1 ใบ เพราะมีน้อย ก็ยังได้ผล )

      ปี2009 ผมมีต้นจิงจูฉ่ายมากขึ้น และแจกจ่ายให้กับคนรู้จักหลายคน  ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่าง 3 เดือน ทุกคนอาการดีขึ้นหมด ถ้าเราอยากช่วยผู้ที่เรารักและห่วงใยซึ่งกำลังเผชิญกับโรคร้ายนี้  ผมแนะนำวิธีนี้  ถ้าคุณต้องทำคีโมก็ทำไป กินใบจิงจูฉ่าย และนั่งสมาธิผมว่าคุณมีโอกาสหาย

      ผมพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าผักชนิดนี้ แพมย์จีนโบราณเรียกว่า " ยาเย็น " เป็น " หยิน " ช่วยฟอกเลือด, ขับสารพิษ .. ฆ่าเชื้อไวรัสทุกชนิด .. เพื่อน ku37 คนหนึ่งลองให้ลูกกิน เนื้องอกที่คอก็ยุบลง

      เนื่องจากที่ LA. เรามีน้อยมาก  ถ้าเกิดใครต้องการมากๆ ( จริงๆ ต้องทานวันละ1กำ ) ลองคุยกับคุณน้อยที่สวนคุณน้อย  จ.เชียงใหม่ ดูนะครับ  ที่www.nadagarden.com เขาขาย ก.ก.ละ 35 บาท

      ใครเป็นมะเร็งลองดูซิครับ  ทานแล้วยังไงก็ไม่มีผลข้างเคียง  แต่คุณมีโอกาสหายครับ


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #149 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 05:04:43 »


ข้าวกล้องหอมนิล ประโยชน์ที่คุณอาจไม่เคยรู้‏

บ้านไร่ต้นฝัน ... ส่งมา ( เป็นโฆษณา แต่ให้ความรู้เรื่องสารอาหารที่เป็นประโยชน์ด้วย )

ข้าวกล้องหอมนิล อินทรีย์ ปลอดภัยจากสารเคมี ... อิ่มท้อง แถมสุขภาพดี ในราคาไม่แพง

ติดต่อ องค์อร 089-501-3332, 02-923-3158





      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #150 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 12:13:21 »


แพทย์ไทยค้นพบ " รักษาเบาหวานหายขาดได้ "

เศรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

แพทย์ไทยสุดเจ๋ง !  ต่อยอดใช้ " ยามะเร็ง " รักษา " เบาหวาน " ไม่ต้องตัดอวัยวะทิ้ง สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ( มติชนออนไลน์ )

ศูนย์การแพทย์ " มศว. " เจ๋ง  วิจัยต่อยอดการใช้ยามะเร็ง รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน  ไม่ต้องตัดนิ้วมือ-เท้า-แขน-ขา สำเร็จครั้งแรกของโลก ใช้ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้แข็งแรง  กินเชื้อโรค-เนื้อตาย พร้อมสร้างงอกใหม่ หายใน 2 เดือน

ผศ.นพ. ณรงค์ชัย ยิ่งศักดิ์มงคล แพทย์ศัลยกรรมทั่วไป ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ( มศว. ) และหัวหน้าโครงการวิจัยเรื่องวิธีใหม่ในการรักษาแผลที่เท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เปิดเผยเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2553 ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ในการประชุมศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย ที่พัทยา จ.ชลบุรี ได้นำเสนองานวิจัยในโครงการวิจัย เพื่อหาแนวทางใหม่ในการรักษาแผลที่เท้าผู้ป่วยเบาหวาน โดยการใช้ยา " อิมมูโนไคน์ " ( IMMUNOKINE ) หรือ WF 10 มาใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวาน ไม่ต้องถูกตัดนิ้วเท้า ตัดเท้า หรือตัดขาได้สำเร็จ ถือเป็นการวิจัยโดยใช้ยาอิมมูโนไคน์รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นครั้งแรกของโลก  เพราะยังไม่เคยมีประเทศใดทำมาก่อน  แม้แต่ประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นผู้ผลิตยาชนิดนี้  และเร็วๆ นี้ งานวิจัยดังกล่าวจะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ

ผศ.นพ.ณรงค์ชัย กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีผู้ป่วยโรคเบาหวานมากถึง 4 ล้านคน หากผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานนานๆ จะเกิดภาวะแทรกซ้อน จะเกิดการตีบตันของเส้นเลือดแดง เป็นสาเหตุให้ปลายประสาทเสื่อม  ส่งผลให้เกิดอาการชาที่ปลายเท้า ปลายมือ อาการชาที่ปลายเท้า และปลายมือ  เมื่อเกิดอุบัติเหตุไปเหยียบ หรือไปแตะสิ่งของ ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัว แม้เกิดบาดแผลก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีแผล อีกทั้งเส้นเลือดที่ตีบไปเลี้ยงปลายเท้าปลายมือได้น้อยลง  ทำให้อวัยวะส่วนนั้นได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ  ส่วนภูมิคุ้มกันร่างกายที่เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่ต่อสู้เชื้อโรค คอยเก็บกินเชื้อโรค และเนื้อที่ตายแล้ว ก็ไม่สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพ " ภาวะเช่นนี้จะเกิดกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดอาการอักเสบ เป็นแผลลามไปเรื่อยๆ มีเนื้อตาย เป็นหนอง  และลาม  รักษายากมาก  ผู้ป่วยจำนวนมากรักษาแผลเป็นปีๆ ก็ยังไม่หาย  สุดท้ายต้องตัดนิ้วเท้า นิ้วมือ และถ้าแผลลามไปเรื่อยๆ ก็ต้องตัดไปเรื่อยๆ  แต่ละปีในไทย มีผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องตัดนิ้วมือ ตัดมือ ตัดแขน ตัดนิ้วเท้า ตัดเท้า และตัดขา เกือบ 4 หมื่นคน  รวมทั่วโลกปีละเกือบ 1 ล้านคน อีกทั้ง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจากทั่วโลกจะกลัว และวิตกกับภาวะแทรกซ้อนอย่างมาก "  ผศ.นพ.ณรงค์ชัย กล่าว

ผศ.นพ.ณรงค์ชัย กล่าวต่อว่า จากความทุกข์ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน  ทำให้คิดโครงการวิจัย เพื่อหาแนวทางใหม่ในการรักษาแผลที่เท้า  โดยทดลองกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน 100 คน  พบว่าได้ผลดี  โดยใช้ยาอิมมูโนไคน์ผสมในน้ำเกลือ ฉีดเข้าสู่เส้นเลือดภายใน 4-6 ชั่วโมง โดยฉีดวันละครั้ง ติดต่อกัน 1 คอร์ส ซึ่งใช้เวลา 5 วัน  จากนั้นจะดูผลประมาณ 1 สัปดาห์  ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ก็ให้ยาเป็นคอร์สที่ 2 อาการจะเริ่มดีขึ้น  ผู้ป่วยบางรายใช้ยาคอร์สเดียวจะมีอาการดีขึ้น  บางรายอาจต้องใช้ถึง 2 คอร์ส  อาการดีขึ้นของผู้ป่วยจะเริ่มจากภาวการณ์อักเสบดีขึ้น  ภาวะเนื้อที่ตายเริ่มดีขึ้น  มีเนื้อที่งอกขึ้นใหม่เพิ่มขึ้น  จุดเด่นของการให้ยาอิมมูโนไคน์  ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนเป็นแผลเรื้อรัง  เมื่อให้ยาผู้ป่วยไปสู่เนื้อเยื่อ  ตัวยาจะแตกตัวเป็นออกซิเจน ไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวที่อยู่บริเวณบาดแผลให้เริ่มเข็งแรงขึ้น  เมื่อเม็ดเลือดขาวบริเวณแผลแข็งแรงขึ้น จะเก็บกินเชื้อโรค และเนื้อที่ตาย ทำให้แผลเริ่มหายจากอาการอักเสบติดเชื้อ  มีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ ตัวยาดังกล่าวยังไปกระตุ้นเซลล์ที่สร้างหลอดเลือด และกระตุ้นเซลล์ที่สร้างเนื้อเยื่อ  แผลที่ลึกๆ จะตื้นขึ้น  มีเนื้อแดงงอกขึ้นมาใหม่  และแผลจะค่อยๆ หายภายใน 2 เดือน

" เรานำยาตัวนี้เข้ามาจากเยอรมนี  หลายคนอาจกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย  แต่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยต้องเดินทางไปทำแผลทุกวัน เป็นเดือน เป็นปี ล้วนแล้วแต่เป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น นี่ไม่นับการซื้อยาชนิดอื่นๆ มารักษา  ถ้าอาการไม่ดีขึ้น แพทย์จะตัดสินใจตัดอวัยวะส่วนที่เป็นแผลออก ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไข้กลัว และมีความทุกข์มาก  แต่ถ้ารักษาโดยให้ยาอิมมูโนไคน์  ผู้ป่วยจะมีค่าใช้จ่าย 2 หมื่นบาทต่อ 1 คอร์ส ส่วนผลข้างเคียงเมื่อใช้อาจมีภาวะเลือดจางบ้างเล็กน้อย " ผศ.นพ.ณรงค์กล่าว

ผศ.นพ.ณรงค์ชัย กล่าวด้วยว่า งานวิจัยเกี่ยวกับวิธีรักษาเผลเรื้อรังของผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยใช้ยาอิมมูโนไคน์ ถือเป็นงานวิจัยชิ้นแรกของโลก  เพราะยังไม่เคยมีใคร และประเทศใดทำมาก่อน เพราะโดยปกติจะใช้ในผู้ป่วยที่เกิดอาการอักเสบเรื้อรังในผู้ที่ป่วยด้วยโรค มะเร็ง และฉายแสง  ปัจจุบันมีการนำตัวยาตัวนี้ไปใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งตับอ่อน และมะเร็งต่อมลูกหมาก  ส่วนการนำมาใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และเป็นแผลเรื้อรังนั้น  ยังไม่มีใครทำ  สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่สนใจ และต้องการรักษาด้วยวิธีใช้ยาดังกล่าว  ติดต่อที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  โทร.0-3739-5085-6 ต่อ 11215
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #151 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2554, 22:57:59 »


ตีลัญจกร - มนตราบำบัด

รายการ TV " กิน อยู่ คือ  ออกอากาศเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2553 "

ศาสตร์แห่งพลังฝ่ามือ ... เทียนฝ่อเจิ้น " หัตถ์พระพุทธเจ้า " ... โอ้โห !  มีความรู้เรื่องสุขภาพที่แสนวิเศษแบบนี้ อยู่ในโลกนี้ด้วยเหรอ ?   Amazing !  ไม่ฝึกตามตัวอย่าง ไม่ได้แล้วสิ


อาจารย์ศุภชัย จารุสมบูรณ์ - ที่ปรึกษามูลนิธิแพทย์ทางเลือก

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=gg0qcJq_M2c" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=gg0qcJq_M2c</a>



ตีลัญจกร 1

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=pratbGFhsvo" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=pratbGFhsvo</a>



ตีลัญจกร 2

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=M0UAEOxn78I" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=M0UAEOxn78I</a>

      บันทึกการเข้า
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #152 เมื่อ: 06 มกราคม 2555, 22:16:27 »


สวัสดีปีใหม่ 2555  จากใหม่ และผองเพื่อน 25 ค่ะ

ขอให้พี่เจี๊ยบหัวเราะเอิ๊กๆๆ ห้า ห้า ห้า ตลอดไปค่ะ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #153 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2555, 06:20:05 »


      " อโรคยา ปรมาลาภา : ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ "  เป็นหลักธรรมที่จริงแท้แน่นอนที่สุด  จะเห็นได้ชัดก็ตอนที่เราป่วยไข้  ทรัพย์สฤงคารอื่นใดก็ไม่ต้องการทั้งนั้น  ขอแค่ให้ร่างกายหายป่วย กลับมาดำเนินชีวิตได้ปกติ เท่านั้นเป็นพอ  และถ้ายิ่งเราสูงวัยขึ้นทุกวัน  อวัยวะในร่างกายก็เสื่อมถอยลงทุกระบบ  สิ่งแวดล้อมก็มีมลพิษมากขึ้นทุกวัน เพิ่มโอกาสป่วยไข้มากขึ้นไปอีก  ดังนั้นการเอาใจใส่ดูแลสุขภาพร่างกาย และจิตใจให้แข็งแรง  ปราศจากโรคภัย จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา  วันนี้เจ้าของกระทู้มีความรู้หมวดใหม่มาแบ่งปันกัน เพื่อให้พ่อแม่พี่น้องมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยไข้ ชะลอวัยเหมือนกลับไปเป็นหนุ่มเป็นสาวอีกครั้ง ... น่าสนใจมั้ยคะ ?  มาติดตามกันได้เลย ...


เทคโนโลยีใหม่ในการชะลอวัย และเสริมความงาม

พวกเราน่าจะเคยได้ยินคำว่า Stem Cell กันมาบ้างแล้ว  ส่วนจะรู้จักมากหรือน้อย  ก็แล้วแต่โอกาสและความสนใจใคร่ศึกษาของแต่ละท่าน  เรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ จะเป็นเกร็ดความรู้ความเข้าใจเรื่อง " Stem Cell กับสุขภาพและความงาม " นะคะ ...






สเตมเซลล์ คือ อะไร ?

สเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) คือเซลล์ต้นกำเนิดที่ยังไม่พัฒนาไปทำหน้าที่เฉพาะ จึงมีศักยภาพที่จะพัฒนาตัวเองไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นได้ สามารถแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลง ( Differentiate ) ไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ภายใต้สภาวะที่ถูกกำหนดและควบคุมให้สามารถเจริญเติบโตเป็นเนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ กระดูก  สามารถพัฒนาซ่อมแซมระบบภูมิคุ้มกัน และสามารถพัฒนาให้ทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายจากการบาดเจ็บหรือจากโรคร้ายแรงต่างๆ ได้  สเต็มเซลล์สามารถพบได้หลายแหล่ง ได้แก่ ไขกระดูก ( Bone marrow )  เลือด ( Peripheral blood )  เลือดจากสายรก ( Cord blood )  รก ( Placenta ) ไขมัน ( Adipose tissue ) ฟันน้ำนม ( Baby teeth ) และฟันคุด ( Impacted Tooth ) เป็นต้น


ไขกระดูกเป็นแหล่งผลิตสเตมเซลล์ที่กลายมาเป็นเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย  เม็ดโลหิตชนิดต่างๆ และสร้างระบบภูมิคุ้มกันของเรา  หากไขกระดูกไม่สามารถผลิตสเตมเซลล์ได้ จะมีผลทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมตนเองได้ ปราศจากเลือด และระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้ และป้องกันตัวเราเองได้  นอกจากนี้ยังจะทำให้เลือดไม่สามารถดูดซับออกซิเจน  ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ที่รุกรานเข้ามาได้ในทุกอวัยวะของร่างกาย  ซึ่งที่สเตมเซลล์ทำหน้าที่ในการสร้างและฟื้นฟูอวัยวะต่างๆ

เซลล์ต้นกำเนิดสามารถรักษาโรคใดได้บ้าง ?
 
การบำบัดรักษา ด้วยเซลล์ต้นกำเนิด แบ่งออกได้เป็นหลายชนิด และในปัจจุบันเซลล์ต้นกำเนิดเริ่มเป็นที่ยอมรับว่าสามารถรักษาโรคได้หลายชนิด ในสหรัฐอเมริกาการบำบัดรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด มีประสิทธิภาพ ในการโรคเลือด มะเร็งบางชนิด และโรคอื่นๆ มานานกว่า 10 ปี และยังมีการนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก เป็นที่ยอมรับว่าการบำบัดรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดในระยะต่อไป จะสามารถนำมาใช้รักษาโรคเกี่ยวกับสมอง อาทิเช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคพาร์กินสัน และภาวะสมองเสื่อมก่อนวัย การได้รับบาดเจ็บของไขสันหลัง โรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง โรค MS และ ALS ข้อเสื่อม โรคที่มีผลสืบเนื่องมาจากความเสื่อมของอวัยวะ มะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจ
 
นักวิจัยได้ค้นพบว่า เยื่อในของฟันน้ำนมของเด็กบางซี่ ประกอบด้วยเซลล์ชนิด Chondrocyte, Osteoblast, Adipocyte และ เซลล์ต้นกำเนิดชนิด Mesenchymal เซลล์ชนิดต่างๆทั้งหมดเหล่านี้มีศักยภาพอย่างสูงในการรักษาโรคอื่นๆที่มิได้ ระบุไว้ในรายการข้างต้น ศักยภาพของการนำเอาเซลล์ต้นกำเนิดจากฟันน้ำนมมาใช้ประโยชน์ในการรักษา จะรวมถึงโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์, พาร์กินสัน และ ALS โรคหัวใจเรื้อรัง ตัวอย่างเช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง โรคที่เกี่ยวกับกระดูกและฟัน รวมทั้งการนำมาใช้ในการปลูกถ่ายฟันและกระดูก ศักยภาพที่มีความสำคัญสูงสุดประการหนึ่ง คือ การนำเอาเซลล์ต้นกำเนิดชนิดนี้ มาใช้ในการรักษาภาวะ อัมพาตที่มีผลสืบเนื่องมาจากไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ ซึ่งได้มีการศึกษาวิจัยถึงประสิทธิภาพจากการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด ชนิด Mesenchymal จากแหล่งอื่นๆ มาแล้ว ความพยายามในการนำเอาเซลล์ต้นกำเนิดมารักษาโรคเหล่านี้ กำลังมีการดำเนินการโดยนักวิจัยที่มีความสามารถสูง ในสถาบันการแพทย์ที่ดีที่สุด หลายแห่งทั่วโลก และเป็นที่ยอมรับว่า การรักษาโรคเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า


การนำสเตมเซลล์มาใช้มีกี่วิธี ?

สเตมเซลล์ผู้ใหญ่ คือ สเตมเซลล์ที่มี่อยู่ในร่างกายของเราตั้งแต่เกิดจนชรา มีอยู่ในอวัยวะทุกส่วนของมนุษย์ ที่สามารถคัดแยกออกมาได้ไม่ยากนัก 3 วิธีการ ได้แก่

1. สเตมเซลล์จากสายรก ( Umbilica - Cord Blood Stem Cells - UCB)  รก ( Placenta ) ที่เก็บได้จากทารกในขณะแรกเกิด  เผื่อว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องใช้ โอกาสของการเก็บสเตมเซลล์ชนิดนี้มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น  ดังนั้นพ่อแม่ที่กำลังจะมีลูกควรตระหนักถึงความสำคัญ และไม่ควรละเลยที่จะเก็บสเตมเซลล์ชนิดนี้ไว้ให้แก่ลูก และครอบครัวเพื่อใช้กับชีวิตในอนาคต

2. สเตมเซลล์จากไขกระดูก ( Bone -Marrow Stem Cell - BMSC ) การเก็บสเตมเซลล์ชนิดนี้เจ็บปวดมาก, เสี่ยงต่อการดมยา และต้องเสียเลือดมาก วิธีที่ง่ายกว่า คือ การเก็บสเตมเซลล์จากกระแสโลหิต ( Peripheral-Blood - Stem Cells - PBSC ) ซึ่งเป็นสเตมเซลล์ที่ออกมาจากไขกระดูก มาอยู่ในกระแสโลหิต

3. เก็บสเตมเซลล์จากไขมันที่มีมากที่ไขมันหน้าท้อง และต้นขา นำออกมาคัดแยกเอาสเตมเซลล์ออกจากไขมัน แล้วผ่านกระบวนการ ( Activate ) ทำให้เซลล์แข็งแรงขึ้น ทำงานได้มากขึ้น แล้วจึงนำกลับเข้าสู่ร่างกาย  นอกจากนี้ยังสามารถนำสเตมเซลล์จำนวนหนึ่งไปเพาะเลี้ยงเพื่อเพิ่มจำนวนและความแข็งแรงที่จะนำมาคืนสู่ร่างกายอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเรียกวิธีการนี้ว่า CAL ( Cell Asstsed Lipotransfer )


การนำสเตมเซลล์ไปใช้รักษาโรคทางคลินิก

สเตมเซลล์ผู้ใหญ่เป็นมาตรฐานของวงการแพทย์ ซึ่งใช้ในการปลูกถ่ายไขกระดูกมานานกว่า 50 ปี โดยที่คนไข้จะใช้สเตมเซลล์จากกระแสโลหิตของตนเอง หรือคนอื่นที่มีรหัสเนื้อเยื่อตรงกันซึ่งโดยมากจะเป็นสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน มากกว่าร้อยละ 60 ของสเตมเซลล์ที่แพทย์ใช้เป็นสเตมเซลล์ จากกระแสโลหิต  ซึ่งใช้ในการฟื้นฟูไขกระดูกของคนไข้ ที่ถูกทำลายไประหว่าง การรักษามะเร็ง หรือ มะเร็งเม็ดเลือด โดยปลูกถ่ายไขกระดูก ไม่สามารถหาสเตมเซลล์ที่มีรหัสเนื้อเยือที่เข้ากับตัวเองได้ และอาจเสียชีวิตในทีสุด

ผลการวิจัยอย่างเป็นทางการล่าสุดในวารสารของกลุ่มสมาพันธ์การปลูกถ่ายไขกระดูกแห่งสหรัฐอเมริกา ชี้แจงถึงความน่าจะเป็นที่จะต้องใช้สเตมเซลล์ในการรักษาโรค ซึ่งเกี่ยวกับการปลูกถ่ายไขกระดูกก่อน อายุ 70 ปี คือ 1 ใน 217 ราย ( โอกาส 1 ใน 434 รายจำเป็นต้องใช้สเตมเซลล์ของตัวเอง และ 1 ใน 400 ราย ใช้สเตมเซลล์ของคนอื่น )  นับว่าเป็นอัตราที่สูงมากนั้น  ยังไม่รวมถึงโรคอื่นๆ อีกหลายโรค เช่น โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต ไขสันหลังบาดเจ็บ พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ ข้อกระดูกเสื่อม โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดตีบ  ในปัจจุบันเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีการวิจัยโรคต่างๆ เหล่านี้ด้วยการใช้สเตมเซลล์บำบัดกับผู้ป่วยเกือบ 4,000 ราย  การวิจัยและการแพทย์ส่วนใหญ่ยืนยันถึงผลอันเป็นไปได้อย่างน่าพอใจในอนาคต ( Cliniccaltrials.gov )  การบำบัดโรคดังกล่าวข้างต้น จะใช้เฉพาะสเตมเซลล์ของตัวคุณเองเท่านั้น  เนื่องจากร่างกายจะต่อต้านสเตมเซลล์ และเนื้อเยื่ออื่นๆ ที่ไม่ใช่ของตัวเอง ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ


อายุที่เหมาะสมกับการเก็บสเตมเซลล์

จากการวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ในการประชุมสมาคมโรคเลือดนานาชาติ ครั้งที่ 32 ได้ลงความเห็นว่า เราควรเก็บสเตมเซลล์ของตัวเราเองให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ความชราและโรคภัยอาจทำให้เราหมดโอกาสที่จะเก็บสเตมเซลล์  เนื่องจากร่างกายอ่อนแอเกินไป  สเตมเซลล์ที่เก็บไว้ขณะหนุ่มสาว และร่างกายแข็งแร็งดี  อาจทำงานได้ดีกว่าสเตมเซลล์ของคนที่มีอายุมาก หรือมีโรคภัยแล้ว ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า เนื้อเยื่อหรือไขกระดูกใหม่ที่สร้างขึ้นมาจากสเตมเซลล์ จะมีอายุเท่ากับสเตมเซลล์ที่ใช้ในการปลูกถ่าย  สเตมเซลล์ที่คุณเก็บเอาไว้จะมีอายุเท่ากับวันที่คุณเก็บสเตมเซลล์  สิ่งที่คุณประหยัด คือ ค่าใช้จ่ายในกระบวนการปลูกถ่าย  เราทุกคนทราบดีว่า ทุกวินาทีล้วนมีค่า และมีความหมายอย่างยิ่ง  สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือหัวใจที่กำลังรอการรักษา ในทางตรงกันข้ามการมีสเตมเซลล์ของตัวเองเอาไว้ โอกาสที่ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะปฏิเสธสเตมเซลล์ในอนาคตก็จะไม่เกิดขึ้น


การเก็บสเตมเซลล์

การเก็บสเตมเซลล์จากโลหิตของคุณต้องกระตุ้นไขกระดูกให้ผลิตสเตมเซลล์มากขึ้น และให้สเตมเซลล์นั้นเข้าสู่กระแสโลหิต โดยการฉีดยา G-CSF ( สารกระตุ้นไขกระดูก ) วันละ1 ครั้ง เป็นเวลา 4 - 5 วัน  การเก็บจะใช้เข็มสำหรับโลหิตสอดเข้าไปที่เส้นเลือดดำข้อพับแขนข้างหนึ่ง เลือดของผู้เก็บจะเข้าสู่เครื่องเพื่อคัดแยกสเตมเซลล์ออกจากเลือด และบรรจุสเตมเซลล์ที่คัดได้ไว้ในถุงพิเศษ ขณะที่ส่วนของเลือดอื่นๆ ที่ไม่ใช่สเตมเซลล์ จะไหลคืนสู่ร่างกาย ที่แขนข้อพักอีกข้างหนึ่ง กระบวนการเก็บสเตมเซลล์จากกระแสโลหิตใช้เวลาทั้งสิ้น ประมาณ 4 ชั่วโมงซึ่งเป็นเวลาที่คุณสามารถพักผ่อนไปพร้อมกัน

การเก็บสเตมเซลล์จากไขมันนั้น  เมื่อผ่านการตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเรียบร้อย จึงจะนัดวันเก็บไขมันหน้าท้อง หรือต้นขาแล้วแต่กรณี  เก็บไขมันหน้าท้องออกมา 100-200 CC. แล้วนำมาคัดแยกสเตมเซลล์ออกจากไขมัน  แล้วนำมาผ่านกระบวนการเพิ่มความแข็งแรงให้กับสเตมเซลล์ด้วยการผ่านแสงรังสีคลื่นต่ำ  หากต้องทำเสริมความงามบนใบหน้า จะทำการดูดเลือดออกมา 50 CC. นำมาคัดแยกให้ได้พลาสม่าเข้มข้น  ซึ่งในนั้นจะมีสาร Growth Factor อยู่มากมายหลายชนิด นำมาฉีดผสมกับไขมัน และเสตมเซลล์พรมลงไปตามจุดต่างๆ บนใบหน้าเป็นการลบริ้วรอยย่นที่ไม่ต้องการ  ส่วนผู้ที่ต้องการเสริมขนาดหน้าอก  ก็สามารถใช้สเตมเซลล์ผสมกับไขมันฉีดเสริมหน้าอกได้  หรือบางรายจะใช้สเตมเซลล์ส่วนหนึ่งฉีดเข้าไปในข้อเข่าที่บาดเจ็บ หรือฉีดรักษาโรคเบาหวาน และอีกส่วนหนึ่งก็ IV เข้าสู่กระแสโลหิต ให้ไหลหมุนเวียนไปทั่วร่างกาย  สเตมเซลล์เหล่านี้ก็จะวิ่งไปรักษาซ่อมแซมในส่วนที่เจ็บป่วยหรือสึกหรอ จนอวัยวะกลับมาทำงานได้เป็นปกติ ซึ่งต้องใช้เวลาในการทำงานตั้งแต่ 1-6 เดือน นับตั้งแต่การดูดไขมัน และคืนสเตมเซลล์เข้าสู่ร่างกายใช้เวลาเพียง 1 วันเท่านั้น ซึ่งสเตมเซลล์ส่วนหนึ่งได้แบ่งนำกลับไปเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ และนัดวันคืนเซลล์ให้อีกครั้งหนึ่ง

การใช้สเตมเซลล์ของคุณรักษาโรคเรื้อรัง

คาดกันว่า ในปี 2573 จะมีประชากรทั่วโลกเป็นโรคเบาหวานมากถึง 370,000,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเซีย ในประเทศไทย  จากสถิติในปี 2546 พบว่ามีประชากรที่อายุมากกว่า 35 ปี ถึงร้อยละ 10 เป็นโรคนี้ ผู้ป่วยเบาหวาน เสี่ยงที่จะมีอาการแทรกซ้อน จากโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด, อัมพฤกษ์, อัมพาต,ไ ตวายเรื้อรัง ตา และ ประสาทเสียหาย, แผลหายยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเท้าซึ่งอาจนำไปสู่เนื้อเน่าตาย และต้องตัดอวัยวะในที่สุด “  ทุกๆ 30 วินาที จะมีผู้ป่วยแห่งใดแห่งหนึ่งในโลกถูกตัดขา เนื่องจากเป็นแผลจากโรคเบาหวาน ”

เก็บสเตมเซลล์ ของคุณวันนี้ เพื่อรักษาชีวิตในวันหน้า  ใส่ใจการรักษาโรคในอนาคต  เช่น  โรคหัวใจ โรคระบบประสาท  โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน  และช่วยชะลอวัยให้สุขภาพแข็งแรง

คุ้มครองต้นกำเนิดแห่งชีวิต  เพียงรักษาสเตมเซลล์ของตัวคุณ  เพื่อชีวิตที่ดีกว่าในอนาคต
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #154 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2555, 07:45:17 »

        
ปัจจุบันบุคคลากรทางการแพทย์และการสาธารณสุขของไทยหลายๆ ท่าน ได้ศึกษาวิจัยในศาสตร์เรื่อง Stem Cell / เป็นผู้เชี่ยวชาญ / ให้คำปรึกษา และตรวจรักษาปัญหาสุขภาพ  ซึ่งจัดเป็นการแพทย์ทางเลือกสาขาหนึ่ง ที่กำลังแพร่หลายในโลกของการดูแลรักษาสุขภาพ และชะลอวัย ... น้องพี่ซีมะโด่ง และชาวจุฬาฯ ทุกท่านที่สนใจในเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย ( ทั้งของตนเอง และคนรอบข้าง ) ให้แข็งแรง ปราศจากโรคภัย  โอกาสดีมาถึงท่านแล้วค่ะ

     ในการประชุมประจำสัปดาห์ ของสโมสรโรตารี่สาทร ค่ำวันพฤหัสที่ 29 พฤศจิกายน 2555  นายกสโมสร-ดร.อภิญญา เลื่อนฉวี ( รัฐศาสตร์ 2516 ) ได้เรียนเชิญ รศ.ดร.นพ. กำพล  ศรีวัฒนกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาสุขภาพ และชะลอวัย มาเป็นแขกปราศัยรับเชิญ-ให้ความรู้ในเรื่อง " Stem Cell กับสุขภาพและความงาม "  ที่ห้อง The Emeral  โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์  ถนนสีลม  เวลา 19.30 น.



       ท่านนายกสโมสรฯ ( ชุดราตรีสีทอง ยืนข้างน้องตุ๊ก 22 ) ได้ฝากเรียนเชิญพี่น้องชาวจุฬาฯ ทุกท่านที่สนใจ มาเยี่ยมเยียนกิจกรรมของสโมสรฯ และร่วมฟังการบรรยายความรู้เรื่องสุขภาพด้วยกัน ... " ยินดีต้อนรับทุกท่านค่ะ "

       น้องพี่ซีมะโด่ง และเพื่อนฝูงชาวจุฬาฯ ท่านใดสนใจจะมาร่วมกิจกรรมด้วยกัน โปรดโทร.บอกเจี๊ยบได้เลย ( โทร. 081-612-4375 )  และขอเรียนเชิญรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน ( ค่าอาหาร 380 บาท เสริฟทุกที่นั่ง ) ในเวลา 19.00 น.

       แล้วเจอกันนะคะ ...
 



ประวัติ รศ.ดร.นพ.กำพล ศรีวัฒนกุล-แขกปราศรัยรับเชิญ เรื่อง " Stem Cell กับสุขภาพและความงาม "

วันพฤหัสที่ 29 พฤศจิกายน 2555

ณ ห้อง The Emeral  โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ สีลม  เวลา 19.30 น.

 


1. ชื่อ  :  รศ.ดร.นพ. กำพล ศรีวัฒนกุล
 
2. ประวัติการศึกษา  :

ปริญญา  ปีที่จบการศึกษา    สถาบัน                   สาขา
วท.บ.        2515      มหาวิทยาลัยมหิดล      วิทยาศาสตร์การแพทย์
พ.บ.          2517      มหาวิทยาลัยมหิดล       แพทย์ศาสตร์บัณฑิต ( เกียรตินิยม )
ปร.ด.        2521      มหาวิทยาลัยมหิดล       เภสัชวิทยา
 
3. ประวัติการทำงานในปัจจุบัน

ข้าราชการบำนาญ มหาวิทยาลัยมหิดล
ประธานบริษัท Bio Consult Co.,Ltd
ประธานบริษัท BioEDEN ASIA Co.,Ltd
ประธานบริษัท Bio Sky Co.,Ltd
ประธานบริษัท Complementary Medicine Co.,Ltd
ผู้อำนวยการคลินิก เต๋าการ์เด้นท์ เฮล์ท สปา แอนด์ รีสอร์ท
ที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการบริษัท Stem Cell For Life Co.,Ltd
ประธานสถาบันเพื่อการพัฒนาจิตและกาย
เลขาธิการชมรมวิทยาการเซลล์บำบัดแห่งประเทศไทย
นักวิจัยสมทบ ศูนย์การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนายา มหาวิทยาลัยทัฟท์ เมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา
นักวิจัย ด้านเทคโนโลยีเซลล์ต้นกำเนิด ของบริษัท Union Huadong Stem Cell & Gene Engineering ประเทศจีน
แพทย์ในเครือ โรงพยาบาล เอสกูลัพ เมือง บรุนเนน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
แพทย์ในเครือ คลินิก โบริส เมืองเคียฟ ประเทศยูเครน
แพทย์ในเครือ คลินิก ฮิราชิ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
แพทย์ที่ปรึกษา บริษัท Heidelberg Biotech Consultant ประเทศเยอรมัน
ผู้ประสานงานโครงการพัฒนาเครื่องล้างดิบ บริษัท Cell Biotech ประเทศแคนาดา
ผู้ประสานงานโครงการพัฒนาเลือดเทียม บริษัท Dextrosang ประเทศ แคนาดา
ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์ Bio Consult โรงพยาบาล แมคคอร์มิค จังหวัด เชียงใหม่
แพทย์ที่ปรึกษา บริษัท Thai Health Baby.
แพทย์ที่ปรึกษา Q Medical Center.
เมธีนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
 
4. ประวัติการทำงานในอดีต
 
แพทย์ฝึกหัดโรงพยาบาลรามาธิบดี  :  เมษายน 2517 - เมษายน 2518
อาจารย์ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  :  พฤษภาคม 2518 - สิงหาคม 2522
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล : สิงหาคม 2522 - กรกฎาคม 2528
รองศาสตราจารย์ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  :  กรกฎาคม - ปัจจุบัน
หัวหน้าภาควิชาเภสัชวิทยาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  :  เมษายน 2537 – มีนาคม 2531
ประธานโครงการบัณฑิตศึกษาสาขาพิษวิทยามหาวิทยาลัยมหิดล  :  มิถุนายน 2527 – มกราคม 2532
รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล  :  สิงหาคม 2531 – มกราคม 2532
ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์มหาวิทยาลัยมหิดล  :  กุมภาพันธ์ 2532 – เมษายน 2533
รองอธิการบดีฝ่ายและวิเทศสัมพันธ์มหาวิทยาลัยมหิดล  :  พฤษภาคม 2533 – ธันวาคม 2534
รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล  :  มกราคม 2535 – เมษายน 2538
ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข  :  พ.ศ. 2523-2542
กรรมการและอนุกรรมการหลายชุด ที่แต่งตั้งโดยกระทรวงสาธารณสุข  กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ

5. สมาชิกของสมาคมวิชาชีพ
 
สมาชิกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย
สมาชิกสมาคมเภสัชวิทยาแห่งประเทศไทย
สมาชิกสมาคมพิษวิทยาแห่งประเทศไทย
สมาชิกสมาคมเซลล์บำบัดนานาชาติ
ผู้ก่อตั้งและเลขาธิการชมรมวิทยาการเซลล์บำบัดแห่งประเทศไทย
 
6. ทุนและรางวัลที่ได้รับ

ได้รับทุนฝึกอบรมด้านการวิจัยในสาขาเภสัชวิทยาจาก British Council ณ มหาวิทยาบัยเลสสเตอร์ ประเทศอังกฤษ กันยายน 2521 - กรกฎาคม 2522

ได้ รับทุนฝึกอบรมการวิจัยในสาขาเภสัชวิทยาคลินิก จากมูลนิธิ Merck International ณ.มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ มลรัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา มกราคม 2524 - ธันวาคม 2525
 
ได้รับทุนปฏิบัติงานวิจัย จาก British Council ณ.ภาควิชาเภสัชวิทยาคลินิก มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก ประเทศอังกฤษ ธันวาคม 2530 - มิถุนายน 2531
 
ได้รับทุนศึกษาวิจัยด้านการรักษา มะเร็ง จาก UICC ณ.สถาบันวิจัยมะเร็ง โรงพยาบาล รอยัล มาร์สเด็น เมือง ซัตตั้น ประเทศอังกฤษ พฤศจิกายน 2531 - มกราคม 2532
 
ฝึกอบรมหลักสูตร ระยะสั้นที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนัก  การแก้ไขปัญหาเซลลูไลท์  และการรักษามะเร็งที่สถาบันการศึกษาหลายแห่งในประเทศสหรัฐอเมริกา เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์  2533-2535

ศึกษาวิจัยในด้านที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีเซลล์ต้นกำเนิด และศาสตร์การแพทย์ทางเลือก ในสถาบันทางการแพทย์หลายแห่ง ในประเทศสหรัฐอเมริกา เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ ยูเครน รัสเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และจีน ตั้งแต่ 2543 ถึงปัจจุบัน

รางวัล 10 บริษัท สุดยอดนวัตกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ธันวาคม 2551
 
รางวัลเมธีส่งเสริมนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  มกราคม 52
 
7. ความสนใจในการศึกษาวิจัย
 
การศึกษาวิจัยทางคลินิกของยาใหม่
การศึกษาทางด้านจาลนศาสตร์ทางคลินิก
การพัฒนายาสมุนไพร
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคอ้วน และอ้วนลงพุง
การศึกษาวิจัยเทคโนโลยีเซลล์ต้นกำเนิด
การศึกษาวิจัยทางด้านการแพทย์บูรณาการ
 
8. การตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ

มีบทความตีพิมพ์เผยแผ่ในวารสารวิชาการนานาชาติ มากกว่า 40 เรื่อง และเขียนตำราวิชาการ และหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ มากกว่า 10 เรื่อง
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #155 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2555, 18:30:01 »



พี่เจี๊ยบไปแล้ว
อย่าลืมกลับมาเล่านะคะ
น่าสนใจมากๆค่ะ

ด้วยวันก่อนชมสารคดีDokumentation
เกี่ยวกับ/คล้ายๆเรื่องนี้ที่เค้าสลับตัดต่อ
ไปเรื่องเซลล์ เรื่องอนุมูลอิสระ เกี่ยวกับ
บริษัทฟาร์มาซี ที่พยายามค้นคว้าหาเคล็ด
แกะเซลล์ หายีนส์ ว่า-->อะไรทำให้มนุษย์
เข้าสู่กระบวนการแก่ตัวไม่เท่ากัน!!
ทำไมบางคนดูเจิดจ้าอ่อนเยาว์ บางคนย่นยับ
เหี่ยวง้ำหงำเหงือกแม้วัยเท่ากัน!!
cosmetic? plastic surgeon?
cosmetic surgeon?

จบท้ายน่ะพี่ หมอศัลยกรรมวัยสูงอายุ
ให้ข้อสรุปว่า..ในเมื่อยังไม่สามารถ
ค้นพบสูตรลับในทางวิทยาศาสตร์
ข้อสันนิษฐานง่ายๆสุดๆของการดูแล
รักษาตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์ยาวนานจึง
ไม่พ้น:
1. ดูนาง ให้ดูแม่....ยีนส์ค่ะ ได้รับยีนส์ที่ดีจากพ่อแม่
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเหมา แต่เป็นโชค!
2. การใช้ชีวิต....stressless รึว่า วุ่นวายกับหน้าที่
การงาน จนลืมสุขภาพ โยคะ...ทางเลือกของการหยุดstress!
3. เหล้า-บุหรี่....ตัวการที่ทำให้ดูแก่กว่าวัยให้เลี่ยง
หรือเสพแต่น้อย
4. กีฬา....ข้อนี้คือ สัจธรรม ที่ยังใช้ได้คะจนกว่าจะมี
ทางเลือกอื่นๆแม้หมอจะบอกว่าการฉีด การผ่าตัด
แต่อย่างอื่นไม่ได้ทำควบคู่...ก็ป่วยการคะ เพราะprocessนี้
ไม่มีใครหยุดได้!!


ชมรายการนี้เสร็จ ยังเก็บมาเล่าต่อได้
ต้องน่าสนใจแน่ๆคะ พี่คิดดู
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #156 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2555, 22:36:35 »


จอง
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #157 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2555, 22:36:53 »


อารมณ์ของอวัยวะภายในทั้งห้า

แพทย์จีน ศุภางค์ ปิ่นถาวร เขียน

อารมณ์ทั้งห้าของมนุษย์ คือ โกรธ ดีใจ คิดใคร่ครวญ กลัดกลุ้ม  และหวาดกลัว มีความสัมพันธ์กับอวัยวะภายในทั้งห้า คือ ...



- อารมณ์ของตับเป็นธาตุไม้  สัมพันธ์กับความโกรธ

- อารมณ์ของหัวใจเป็นธาตุไฟ สัมพันธ์กับความรู้สึกดีใจ

- อารมณ์ของม้ามเป็นธาตุดิน สัมพันธ์กับความคิดใคร่ครวญ

- อารมณ์ของปอดคือ ธาตุทอง สัมพันธ์กับความกลัดกลุ้ม

- อารมณ์ของไตเป็นธาตุน้ำ สัมพันธ์กับความหวาดกลัว

เมื่อชี่ และเลือดของอวัยวะภายในทั้งห้าสมดุลกันดี ร่างกายก็จะมีอารมณ์ความรู้สึก และจิตใจที่ปกติ มิเช่นนั้นก็อาจจะทำให้เกิดอารมณ์ผิดปกติได้ และการเกิดอารมณ์ที่ผิดปกติ ก็มักจะทำให้ชี่และเลือดของอวัยวะภายในทั้งห้าขาดสมดุล  ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรค

การโกรธทำร้ายตับ ( ธาตุไม้ ) อารมณ์ของคนเป็นปรากฏการณ์ชีวิตที่ปกติ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจากจิงชี่ของอวัยวะภายในทั้งห้า การโกรธ สัมพันธ์กับตับโดยตรง การโกรธอย่างหุนหัน หรือโมโห เก็บกดไว้นานไม่หาย จะทำให้ชี่ของตับย้อนขึ้นบน อาจบังคับให้เลือดย้อนขึ้นบนด้วย ทำให้มีอาการปวดศีรษะ ร่วมกับอาการเวียนศีรษะ และตาลาย เลือดกำเดาไหล หรืออาเจียนเป็นเลือด

การดีใจมากเกินไปทำร้ายหัวใจ ( ธาตุไฟ ) อาการดีใจสัมพันธ์กับหัวใจ สามารถทำให้ชี่ที่หัวใจโล่งไม่ติดขัด ช่วยให้ผ่อนคลายความตึงเครียด และทำให้ชี่ และเลือดของอวัยวะภายในมีความสมดุล  แต่การดีใจมากเกินไปจะทำให้ชี่ที่หัวใจไม่เข้มแข็ง จิต( เสิน ) ไม่กลับเข้าสู่หัวใจ ทำให้ขาดสมาธิ ขาดสติ หรือทำให้เกิดอาการเสียสติจนถึงกับเกิดอาการบ้าคลั่งก็เป็นได้

การคิดใคร่ครวญมากเกินทำร้ายม้าม ( ธาตุดิน ) การใช้ความคิดใคร่ครวญมีความสัมพันธ์กับม้าม  ถ้าคิดใคร่ครวญมากจนเกินไป จะทำให้ชี่ที่ม้ามรวมตัวกัน การขับเคลื่อนขึ้นลงของชี่ขาดสมดุล ทำให้มีอาการจุกเสียดแน่นบริเวณท้อง ไม่อยากทานอาหาร และมีอาการท้องผูกเป็นต้น

การกลัดกลุ้มเสียใจทำร้ายปอด ( ธาตุทอง ) อารมณ์กลัดกลุ้มเสียใจมีความสัมพันธ์กับปอด ถ้ามีอารมณ์เหล่านี้มากจนเกินไปจะทำให้เกิดการเผาผลาญชี่ที่ปอด ทำให้เกิดอาการหายใจติดขัด แน่นหน้าอก ภูมิต้านทานโรคลดลง จนก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา
  
ความหวาดกลัวทำร้ายไต ( ธาตุน้ำ ) อาการหวาดกลัวของคนเรานั้นมีความสัมพันธ์กับไต ความหวาดกลัวมากจนเกินไปจะทำให้การขับเคลื่อนของจิงชี่จมลงล่าง เป็นผลให้ไตไม่สามารถกักเก็บพลังชี่ไว้ได้ ทำให้อั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่ เกิดอาการฝันเปียก ประจำเดือนมามากผิดปกติ มีอาการตกขาว หรืออาจหมดสติไม่รู้ตัว เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ จาก  http://www.acumedic.co.th/th_article/a05.php

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #158 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2556, 13:31:00 »


ในบ้านเรา ตรงไหนมีเชื้อโรคอยู่มากที่สุด ?

เสรษฐวิทย์ 16 ... ส่งมา


หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ และนักสาธารณสุขได้ทำวิจัย โดยการเช็ดพื้นผิวบ้าน 22 หลัง ตามพื้นผิวต่างๆ ถึง 30 แห่ง เพื่อตรวจเช็คเชื้อโรค 660 ชนิดที่ในห้องน้ำ ห้องครัว และที่ต่างๆ ภายในบ้าน  คำตอบที่ได้อาจจะทำให้เราแปลกใจ คือเรามักจะคิดว่าที่ที่มีเชื้อโรคมากที่สุดน่าจะเป็นห้องน้ำ  แต่แท้ที่จริงแล้วที่ที่มีเชื้อโรคมากกว่า คือ ห้องครัว

จากการศึกษาของสถาบันทางด้านสาธารณสุข พบว่า มีเชื้อแบคทีเรียตามชั้น และตู้ ต่างๆ 32%  ตามอ่างล้างมือ และจานมีประมาณ 45%  และที่ฟองน้ำล้างจาน แปรงขัดพื้นต่างๆ มีถึง 77%  ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้  และจากการทดสอบยังพบเชื้อแบคทีเรียชื่อ " เอ็มอาร์เอสเอ " ( Methicilin Resistant Staphylococcus Aureus ) ที่มือจับตู้เย็น และอีก 18% ที่ฟองน้ำล้างจาน  ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการดื้อยา

มาดูผลการวิจัยกัน ...

1.  ที่ที่มีเชื้อโรคมากที่สุด คือ ที่ฟองน้ำล้างจาน  เชื้อโรคเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ ... ไม่เพียงแต่ที่ฟองน้ำ และที่วางฟองน้ำเท่านั้น  เชื้อโรคสามารถแพร่ไปทั่วห้องครัวได้  หากนำฟองน้ำไปเช็ดบริเวณตู้ เตา และชั้นต่างๆ  ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อโรคเพิ่มขึ้นด้วย   สิ่งที่ทำได้คือให้ใช้ผ้าขี้ริ้วผืนเล็กที่สามารถซักได้ในเครื่องซักผ้าหรือซักมือ  แต่หากต้องใช้ฟองน้ำจริงๆ ให้หมั่นทำความสะอาดโดยนำไปใส่ในไมโครเวฟประมาณ 1-2 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรค และควรเปลี่ยนฟองน้ำทุก 2 อาทิตย์  สาเหตุที่เป็นอย่างนี้ เพราะบริเวณอ่างล้างจานเป็นที่ชึ้นแฉะ

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลจากศูนย์กลางควบคุมโรคสหรัฐฯ ว่า คนอเมริกัน ( 200+ ล้านคน ) ป่วยจากอาหารเป็นพิษ ( เชื้อโรค หรือสารพิษจากเชื้อโรค ) ปีละ 76 ล้านคนขึ้นไป และตายจากอาหารเป็นพิษปีละประมาณ 5,000 คน

ศาสตราจารย์กาเบรียล บิททอน วิศวกรสิ่งแวดล้อม และคณะทำการศึกษาพบว่า การนำฟองน้ำล้างจานชุบน้ำหมาดๆ แล้วไปอุ่นให้ร้อนในไมโครเวฟนาน 2 นาทีฆ่าเชื้อ ( kill ) หรือทำให้เชื้อหยุดแบ่งตัว ( inactivate ) ของแบคทีเรีย ไวรัส พยาธิได้มากกว่า 99%  ส่วนการทำลายสปอร์ เช่น รา บาดทะยัก ฯลฯ ใช้เวลา 4-10 นาที ซึ่งอาจจะนานจนเกิดไฟไหม้ฟองน้ำในไมโครเวฟได้

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า พอมีข่าวว่าไมโครเวฟฆ่าเชื้อฟองน้ำ-ใยขัดล้างจานได้ ก็มีคนแจ้งไปว่า เกิดไฟไหม้ในไมโครเวฟ ทางรอยเตอร์จึงให้คำแนะนำใหม่ว่า ...

- ต้องชุบฟองน้ำ-ใยขัดล้างจานให้เปียก ก่อนนำไปทำให้ร้อนในไมโครเวฟ

- ห้ามนำฟองน้ำ-ใยขัดล้างจานชนิดมีโลหะผสม ไปทำให้ร้อนในไมโครเวฟ ฟองน้ำหรือใยขัดเหล่านี้มักจะผสมสีเงิน หรือสีที่มีมันวาว ห้ามนำฝอยขัดหม้อโลหะ (100%) ไปทำให้ร้อนในไมโครเวฟ

- ห้ามจับฟองน้ำ-ใยขัดล้างจานที่ทำให้ร้อนในไมโครเวฟทันที อาจทำให้มือพองได้


2.  อีกทีหนึ่งคือ ตามบริเวณชั้นต่างๆ ในห้องครัว เช่น ที่ชงกาแฟ และอ่างล้างจาน  ควรทำความสะอาดด้วยน้ำส้มสายชู หรือน้ำยาทำความสะอาด หรือที่เรียกว่า บรีซ ( Bleach) ผสมกับน้ำ 1 ต่อ 10 ทุกวัน  อย่าลืมบริเวณท่อน้ำทิ้งด้วย แต่อาจต้องระวังการใช้  เนื่องจากผลิตภัณฑ์ฟอกขาวเหล่านี้จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง และตาได้  หลายท่านอาจคิดว่าห้องครัวเป็นที่ทำอาหารน่าจะสะอาด เลยลืมดูตามชั้น บริเวณที่ชงกาแฟ และอ่างล้างจานไป

3.  หลายท่านอาจคิดว่าบริเวณที่นั่งตามโถสุขภัณฑ์ น่าจะมีเชื้อโรคมากกว่าที่อื่นๆ จึงทำความสะอาดอย่างดี  แต่แท้ที่จริงแล้วบริเวณที่แขวนแปรงสีฟันเป็นบริเวณที่มีเชื้อโรคมากกว่าบริเวณโถสุขภัณฑ์ และเชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง คือทางแปรงเข้าสู่ปากนั่นเอง

4.  มือถือ รีโมตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ ทีวี พัดลม และที่จับประตู ที่จับตู้เย็น ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่มีเชื้อโรคอยู่มาก เนื่องจากมีการใช้สัมผัสทุกวัน ซึ่งเชื้อโรคจะผ่านจากมือหนึ่งไปสู่อีกมือหนึ่งได้ง่าย

5.  ขวดเกลือ และพริกไทยที่ตั้งไว้ที่โต๊ะอาหาร พบว่ามีเชื้อไวรัสติดอยู่บริเวณรูที่เท และหากไม่มีฝาปิดอีกด้วยแล้วจะเป็นที่อยู่ ที่เพาะเชื้อโรคทีเดียว

เราจะเห็นได้ว่ามีเชื้อโรคอยู่ในที่ต่างๆ มากมายรอบตัวเรา ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่อทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน  ดังนั้นหากเราหมั่นทำความสะอาดในบริเวณต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็จะช่วยให้ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ในระดับหนึ่ง

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #159 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2556, 23:37:20 »


ไลโคปีน

เสรษฐวิทย์ 16 ... ส่งมา

ไลโคปีน เป็นสารสีแดงจัดของแคโรทีน และแคโรทีนอยด์สีแดง พบในฟักข้าว มะเขือเทศ แตงโม และมะละกอ แต่ไม่พบในสตรอเบอรีและเชอรี โดยในฟักข้าวมีมากที่สุดประมาณ 2,000-3,000 มล ต่อ กรัม น้ำหนักแห้ง มากกว่ามะเขื่อเทศซึ่งมีมากเป็นลำดับสอง 20 เท่า



ไลโคปีนเป็นไฮโดรคาร์บอนซับซ้อนที่ไม่อิ่มตัว โดยโครงสร้างเป็นเตตราเทอรปิน ที่รวมกลุ่มของไอโซปรีนซึ่งเป็นการรวมตัวของคาร์บอน และไฮโดรเจนอย่างสมบูรณ์ และไม่ละลายในน้ำ มีสีแดงเลือดนก และต้านอนุมูลอิสระ

เมื่อถูกดูดซับโดยกระเพาะ ไลโคปีนจะถูกส่งถ่ายไปที่กระแสเลือด โดยไลโปโปรตีนซึ่งมีมากในน้ำผึ้ง ( ควรทานน้ำผึ้งไม่อบเป็นประจำวันละ 1 ช้อนชาถึงช้อนโต๊ะก่อนนอน ) และสะสมไว้ที่ต่อมลูกหมากมากที่สุด รองลงมา เก็บไว้ที่ต่อมหมวกไต และตับ ดังนั้นไลโคปีนจึงใช้รักษาลูกหมากโต และมะเร็งต่อมลุกหมากได้ดีที่สุด

ไลโคปีนไม่ละลายในน้ำ แต่ละลายในสารละลายอินทรีย์หรือน้ำมันไม่อิ่มตัว ดังนั้นหากกินฟักข้าว ควรกินน้ำมันงาสกัดเย็น 1 ช้อน ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวทำละลาย  เนื่องจากสารไลโคปีนต้องการความร้อนในการทำให้แตกตัว ดังนั้นจำเป็นต้องทำให้ร้อนโดยการต้มน้ำเสียก่อน



เพื่อนของเพื่อนผมคนหนึ่งต่อมลูกหมากโต และมีแนวโน้มเป็นมะเร็ง ผมให้ทดลองกินฟักข้าว ตอนนี้อาการดีขึ้น จากการที่ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยตอนนี้ลดลง
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #160 เมื่อ: 09 มีนาคม 2556, 11:27:03 »


สมุนไพรไทยที่ใช้เป็นยา

พี่จิ๋ม-ดวงใจ 15 ... ส่งมา




คุณดวงใจ มีกังวาล ตอ.33  ขอเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมกิจกรรม " สมุนไพรไทยที่ใช้เป็นยา "

ณ อาคารอเนกประสงค์ สมาคมนักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษาฯ ในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2556

ตั้งแต่ เวลา 10.00 น.-12.00 น. ค่าใช้จ่ายท่านละ 200 บาท เชิญรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน

และรับแจกสมุนไพรตามบัญชียาหลักแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข
 
สนใจเข้าฟัง ติดต่อดวงใจ มีกังวาลที่ aprompong@jfbkk.or.th หรือโทร.มือถือ 086-562-2497
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 2 3 ... 7 [ทั้งหมด]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><