28 มีนาคม 2567, 20:54:23
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 [ทั้งหมด]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมถึงต้องใช้เมลามีนเป็นส่วนประกอบของอาหารคะ  (อ่าน 26248 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
tem1
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 09 ตุลาคม 2551, 17:46:37 »

ทำไมถึงต้องใช้เมลามีนเป็นส่วนประกอบของอาหารคะ (ไม่ได้มาเยี่ยมนานแล้ว คิดถึง)
บันทึกการเข้า
MiA_แม่แย้มเจ้าค่ะ
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU87 (2547)
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 971

« ตอบ #1 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2551, 18:08:23 »

ไม่แน่ใจเท่าไหร่นะคะ
(เด็กอักษรอย่างแยมไม่เก่งวิทย์เลยจริงๆ)
เห็นในหนังสือพิมพ์บอกว่า
ที่เติมสารเมลามีนลงไปในอาหารก็เพื่อทำให้สลากมันดูดีค่ะว่ามีปริมาณโปรตีนสูง
บันทึกการเข้า

My HaPpInEsS iS tO lOvE aNd To Be LoVeD iN rEtUrN.

WiSh My LoVe Be YoUr PaRaDiSe.
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #2 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2551, 20:57:53 »

โอ้..หายไปนาน..แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นผู้ใด..

เค้าว่ามันทำให้ตรวจพบโปรตีนสูงขึ้น ทำให้อาหารนั้นดูข้นขึ้น ดูดี มีคุณค่า น่ากิน เช่น นม ช้อคโกแลต น่ะครับ
บันทึกการเข้า
opas
Hero Cmadong Member
***


โอภาส 3211 สิง1207 1212 2813
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2534
คณะ: Architecture
กระทู้: 1,754

« ตอบ #3 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2551, 22:46:16 »

ขอเดานะครับ 
คือในการหาปริมาณโปรตีนนะครับ  น่าจะใช้การติเตรต(การใช้สารที่รู้ค่าความเข้มข้นแน่นอนไปทำปฏิกริยากับสารที่ต้องการหา  เมื่อถึงจุดที่สารซึ่งต้องการหาถูกใช้หมด ก็จะสามารถคำนวนปริมาณได้จากสารตัวที่รู้)  หาจากปริมาณไนโตรเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของโปรตีน  แต่เติมเมลามีนไปด้วย ก็เพราะเมลามีนเองก็มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบเหมือนกัน  สารที่ไปจับไนโตรเจนค่อนข้างซื่อนิดหน่อย ไม่รู้หรอกว่าไนโตรเจนที่จับได้ นั้นมาจากโปรตีนหืรือเมลามีน  ก็เลยบอกค่าเยอะๆ
เด็กถาปัดตอบน่ะครับ  ยังไงรอหมอว่าอีกที
บันทึกการเข้า

ฉันคิดไปเป็นชาวเกาะ...มีชีวิตกลางแดดและคลื่นลม
จะจูบอำลาสังคม........แสงสีในเมืองนภา
เบื่อชีวิตในเมือ.ง........งึม งำ  งึม งำ........................
.........................ตามฉันมาเป็นชาวเกาะเอย ย  ย   ย
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #4 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2551, 14:16:45 »

เมลามีน เป็นสารที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติก เมื่อทำปฏิกิริยากับสารฟอร์มาลดีไฮด์ นิยมใช้ทำผลิตภัณฑ์พลาสติกทนความร้อนพวก จาน ชามเมลามีน เป็นต้น โดยสาเหตุที่มีการลักลอบใส่ลงในนมผงเนื่องจากคุณสมบัติของเมลามีนที่เป็นผงสีขาว มีสูตรโครงสร้างทางเคมี C3H6 N6 (1,3,5 -Triazine -2,4,6 -Triamine) เมื่อนำมาละลายน้ำจะละลายน้ำได้น้อย มีลักษณะเป็นคอลลอยด์เช่นเดียวกับน้ำนมสดมาก นอกจากลักษณะทางกายภาพที่เหมือนกับนมผงมากจนแทบแยกไม่ออกแล้วแล้ว เมลามีนบริสุทธิ์ยังมีองค์ประกอบของไนโตรเจนสูงมาก 66.67 % คิดเป็นปริมาณโปรตีนได้ 416.66 % ดังนั้นเมื่อนำเมลามีนมาผสมในน้ำนมหรือนมผงก็ทำให้ผลการตรวจพบเปอร์เซ็นต์ไนโตรเจนสูงขึ้นด้วย จึงทำให้เข้าใจผิดได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ตรวจนั้นมีโปรตีนสูง คุณภาพดีได้มาตรฐานด้วย

ทั้งนี้เพราะการตรวจหาปริมาณโปรตีนในนมผงปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้โดยตรง แต่จะทำทางอ้อมด้วยการตรวจหาปริมาณไนโตรเจนแทน เนื่องจากโปรตีนมีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบเช่นเดียวกัน ขณะที่วิธีวิเคราะห์ไนโตรเจนทางเคมีโดยทั่วไปก็ยังบอกได้แค่ว่ามีไนโตรเจนเท่าไร แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นไนโตรเจนจากสารอะไร จึงต้องใช้วิธีตรวจวิเคราะห์โดยเฉพาะต่อไป"พิษภัยของสารเมลามีน หากสูดดมหรือสัมผัสที่ผิวหนังอาจมีผลให้เกิดการระคายเคือง ผิวหนังอักเสบ แต่เมื่อกินเข้าไปก็จะทำให้เกิดการสะสม เพราะร่างกายคนเราไม่สามารถย่อยเมลามีนได้ กลายเป็นนิ่วในท่อปัสสาวะและไต ทำให้ไตวาย หรือเกิดมะเร็งที่ท่อปัสสาวะ ซึ่งหากรักษาไม่ทันการณ์ก็จะเสียชีวิตในที่สุด

สรุป

คนที่ใส่เลว ขี้โกง เห็นแก่ตัว

เด็กเคมีตอบบ้างครับ
บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #5 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2551, 15:44:07 »

อ่านที่คุณ Eggman อธิบายมา ถึงบางอ้อเลยว่ะเหอเหอ  Shocked
ทีแรกเรารู้แค่ว่ามันเป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมพลาสติก พวกเทอโมเซตติ้ง(ไม่หลอมละลายเมื่อโดนความร้อน)

แต่พวกที่เอามาผสมนมผงได้เนี่ย แมร่งโคตรหัวเส.เลยว่ะ Grin
บันทึกการเข้า

...
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2551, 16:50:27 »

ที่รู้ๆที่เยอรมันห้ามผสมในอาหาร...
ตรวจพบล่ะเมิ้ง(excuse me!)
เป็นไม่ได้ผุดได้เกิด!
p.nn
บันทึกการเข้า


Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #7 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553, 22:40:01 »

ทำไมพริกถึงเผ็ด? บทความโดย อ.แทนไท  ประเสริฐกุล

  ทำไมพริกถึงเผ็ด? อันดับแรก เรามาวิเคราะห์กันก่อนดีกว่าว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่เรียกว่าพริกมันคืออะไรกันแน่ บางคนมองว่า มันก็เป็นแค่เครื่องปรุงชนิดหนึ่ง ซึ่งออกจะเข้าข้างมนุษย์ไปสักหน่อย ถ้าหากไปถามพืช มันคงไม่ตอบว่า ฉันเกิดมาเพียงเพื่อให้คนกิน..
ในขณะเดียวกัน บางคนก็มองว่า พริกคือผลไม้ชนิดหนึ่ง ก็เหมือนกับส้ม แตงโม ฟักแม้ว และอื่นๆ มีเนื้อ มีเม็ด มีเปลือก คล้ายๆ กัน อันนั้นเป็นมุมมองที่ถูกต้อง แต่ก็ยังต้องถามต่อไปอีกว่า แล้วไอ้ที่เราเรียกกันว่า ‘ผลไม้’ นั่นน่ะ มันคืออะไรกันแน่ จากมุมมองของพืช ผลไม้ ก็คือ เครื่องมือกระจายพันธุ์ของมัน
พวกท่านคงเคยได้ยินคำกล่าว ‘ลูกนกบินออกจากรัง’ แน่นอน ลูกนกมันมีปีกบินออกจากรังเองได้ ไม่ต้องอยู่ให้เป็นภาระพ่อแม่ไปตลอด แต่ถ้าเป็นต้นไม้ ท่านจะไม่เคยได้ยิน ‘ลูกไม้บินออกจากรัง’ จะเคยได้ยินก็แต่ ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ หล่นตรงไหนก็แป้กอยู่ตรงนั้น พองอกโตขึ้นมา กลับกลายเป็นว่า ทั้งพ่อทั้งลูกต้องมาแย่งกันกินทรัพยากรแผ่นดินที่มีอยู่อย่างจำกัดในบริเวณนั้น เป็นสภาพที่แลดูน่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง

 smoke
      บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #8 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553, 22:43:32 »

ด้วยเหตุนี้ กระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติจึงผลักดันให้ต้นไม้จำนวนมาก มีการสร้างผลไม้ออกมา คือแทนที่จะมีแค่เมล็ดเปลือยๆ อย่างเดียวแบบหล่นตรงไหนงอกตรงนั้น ก็ให้มีการสร้างน้ำสร้างเนื้อ สร้างเปลือกที่มีสีสันล่อตาล่อใจมาห่อหุ้มเมล็ดไว้ด้วย ทั้งนี้และทั้งนั้น เพื่อจุดประสงค์อันแยบยลเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ ดึงดูด สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ อดอยากปากแห้ง ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ให้มาลองลิ้มชิมรส ผลไม้อันแสนอร่อย.. สัตว์ส่วนใหญ่พอกินผลไม้เสร็จ ก็รู้สึกว่าเอ้อ พืชนี่มันดีเว้ย อยู่ดีๆ ก็ทำอาหารออกมาให้เรากิน ช่างมีความเสียสละจริงๆ สู้ต่อไปนะพืช.. เหอๆๆ

แต่จริงๆ แล้วสัตว์หารู้ไม่เลยว่า กำลังตกเป็นเครื่องมือของพืชอยู่.. เนื้อผลไม้หวานฉ่ำที่สัตว์ได้กินเข้าไปนั้น แท้จริงแล้วแฝงแอบไว้ด้วยเจตนาแอบแฝง พืชไม่ได้ให้สัตว์กินฟรี แต่ให้กินเพราะหวังผลตอบแทนจากการขี้เรี่ยราดของสัตว์ ลองนึกภาพ นกตัวหนึ่งจิกกินผลส้ม เนื่องจากความเป็นนกไม่เรื่องมาก จึงกลืนเม็ดลงไปด้วย พออิ่มแล้วก็บินจากไป ระหว่างทางที่บินกลับรัง ก็ทิ้งบอมบ์เป็นระยะๆ เพียงเท่านี้ ลูกไม้ก็ไม่จำเป็นต้องหล่นใกล้ต้นอีกต่อไป เท่ากับพืชจ้างวานสัตว์ให้ทำหน้าที่ช่วยกระจายพันธุ์ให้ เนื้อผลไม้หวานๆ นั่น ก็เปรียบเสมือนค่าจ้าง ค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ยิ่งอร่อยมากเท่าไหร่ เดี๋ยวทีหลัง สัตว์ก็ยิ่งติดใจ กลับมากินผลไม้ที่ต้นไม้ต้นเดิมอีก อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบในลักษณะนี้อาจไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะจริงๆ แล้วสัตว์ไม่ได้รู้ตัวว่ากำลังทำงานให้พืชอยู่ มันก็สนใจแค่หากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แค่กินแค่ขี้ของมันไปตามเรื่อง ก็แค่นั้นเอง โดยสรุป ผลไม้ สำหรับพืชก็เปรียบเสมือนการลงทุนแบบเก็งกำไร เริ่มจากหยิบยื่นในสิ่งที่สัตว์ต้องการ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ สร้างฐานกำลังสนับสนุนที่แข็งแรง ในที่สุดก็ได้มาซึ่งอำนาจที่ลำพังตนเองไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ตั้งแต่กำเนิด จากนั้นก็อาศัยอำนาจที่ได้รับมานั้น เอื้อให้เกิดผลประโยชน์ต่อกิจการของตนเอง ชนิดที่เรียกว่า สุดท้ายเมื่อบวกลบกลบหนี้แล้ว ได้ผลกำไรตอบแทนกลับมามากกว่าที่ลงทุนไปเป็นหลายเท่าตัว.. ..และมันก็เป็นเช่นนี้เอง โลกของธรรมชาติ คือโลกของนักลงทุน และพืชที่ประสบความสำเร็จในการทำแบบนี้ จะไม่มีวันสูญพันธุ์.. (อย่างน้อย ถ้าไม่โดนตัดไปทำ A4 ซะหมดก่อน)
      บันทึกการเข้า

...
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553, 22:44:10 »

อะไรง่ะน้อง!
หลอกให้พี่อ่านชัดๆ!


ดร.ข้างพี่เขาบอกพริกมันมีสาร" Capsaicin"ต่างหาก
      บันทึกการเข้า


Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #10 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553, 22:46:53 »

เดี๋ยวก่อนครับ ยังไม่จบ.... เตือน

แล้วตกลง ทำไมพริกถึงเผ็ดล่ะ? อืมมม.. อันนี้เราก็ต้องมาดูกันต่อก่อนว่า ทำไมผลไม้อื่นถึงหวาน.. แน่นอน อันนี้ตอบได้ไม่ยาก หลังจากที่เกริ่นมายืดยาวขนาดนี้ ท่านทั้งหลายคงพอจะคาดเดาได้ว่า ถ้าผลไม้ยิ่งหวาน ก็ยิ่งเป็นที่ถูกปากของสัตว์ต่างๆ และเมื่อมีสัตว์มากินมากขึ้น ก็ยิ่งช่วยนำพาเมล็ดพืชไปตก ไปงอก ยังที่อื่นๆ ต่างๆ มากขึ้น ซึ่งสุดท้าย ก็ทำให้ต้นพืชเจ้าของผลไม้รสหวานละมุนนั้น ประสพความสำเร็จในการสืบพันธุ์ ยิ่งๆ ขึ้นไป จะเห็นว่า พืชได้รับประโยชน์จากการที่ผลไม้มีรสหวาน สัตว์เองก็ได้รับประโยชน์จากการกินผลไม้ที่มีรสหวาน (น้ำตาลเป็นเชื้อเพลิงหลักของเครื่องยนต์แห่งชีวิต) อย่างไรก็ตาม สถานการณ์แบบ วิน วิน ซิทูเอชั่น เช่นนี้ มิได้ปรากฏให้เห็นเสมอไปในทุกกรณี สำหรับพืช ในบางสถานการณ์ ความหวาน กลับเปรียบได้ดั่งดาบสองคม ไม่ใช่แต่เพียงสัตว์อย่าง นก หรือ ลิง เท่านั้นที่เล็งเห็นถึงคุณค่าทางอาหารซึ่งแฝงอยู่ในรสหวานของผลไม้ ในโลกเรายังมีสิ่งมีชีวิตอีกจำนวนมาก ที่ต้องการรับบริจาคน้ำตาลแจกฟรีเหมือนกัน ลองตั้งแตงโมสุกผ่าครึ่งทิ้งไว้บนโต๊ะซัก 10 วัน แล้วท่านจะพบกับสัจธรรมที่ว่า ไม่มีอาหารใดในโลก เสื่อมสลายไปอย่างสูญเปล่า.. เริ่มแรก แมลงวันจะมาก่อน จากนั้น กองทัพมด จากนั้น อีกสองสามวัน อาจจะเป็นทีของรา เส้นใยขาวๆ ฟูๆ ปื้นด่างดวง สีเขียวบ้าง ดำบ้าง ส้มบ้าง จะเริ่มปรากฏเป็นหย่อมๆ.. นี่ยังมิต้องเอ่ยถึงแบ็คทีเรียนาๆ ชนิด ซึ่งมีขนาดตัวเล็กประมาณ 1 ใน 1,000 ของมิลลิเมตร เวลามีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ เจ้าพวกนี้จะเริ่มขยายพันธุ์จาก 1 เป็น 2 เป็น 4 เป็น 8 เป็น 16 เป็น 32…. ทุกๆ 20 นาที จนในที่สุดสามารถทวีคูณได้มากกว่าจำนวนประชากรคนทั้งโลกรวมกัน ภายในเวลาเพียงแค่ 10 กว่าชม. เท่านั้น! ข้าไม่แน่ใจว่า สุดท้ายแล้ว แตงโมชิ้นนั้นจะอยู่ได้นานถึง 10 วันหรือไม่ แต่ที่แน่นอนก็คือ สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในจานจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก เม็ดแตงโมสีดำๆ เล็กๆ จำนวนมาก
จากมุมมองของพืช.. นี่ถือเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เนื้อผลไม้ถูกกินไปหมดแล้ว แต่เมล็ดไม่ได้ถูกนำไปกระจายที่ไหนเลย และจากมุมมองของพืชอีกเหมือนกัน ไม่ว่าแมลงก็ดี ราก็ดี แบ็คทีเรียก็ดี พวกนี้ ย่อมถือเป็นพวกทรยศทั้งสิ้น เนื่องจากรับสินบนไปแล้วไม่ยอมทำงาน แต่กลับชิ่งหนีไปเลย
 เค้าไม่ยอม  เค้าไม่ยอม  เค้าไม่ยอม
สัจธรรมอีกข้อหนึ่งของโลกธรรมชาติ ‘โค้กไม่ยอมแพ้เป็บซี่ฉันใด พืชก็ย่อมไม่ยอมแพ้ตัวกินพืชฉันนั้น’ โลกธรรมชาติ เป็นโลกเช่นนั้นเอง ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดก็เลยมีพืชบางกลุ่ม ที่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ยอมเสียเหลี่ยม ก็เลยใช้วิธีไปแก้กฎกติกาใหม่ เพื่อกีดกันคนที่จะทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์ออกไปให้หมด และคงเหลือไว้แต่เฉพาะพวกพ้องซึ่งยังผลประโยชน์สูงสุดร่วมกันเท่านั้น และนี่เอง คือที่มาของ ความเผ็ด! พืชตระกูลพริก ผลิตสารเคมีชื่อว่า แค็พไซซิน(capsaicin) เป็นสารซึ่งมีฤทธิ์พิเศษในการไล่แมลง และฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างเราๆ ลิงๆ หมาๆ และแมวๆ ฯลฯ หากเอาแค็พไซซินเข้าปาก หรือแม้แต่ไปแตะไปถูตามผิวหนังส่วนต่างๆ เข้า ก็จะก่อให้เกิดความรู้สึก เผ็ด ปวดแสบปวดร้อน จี๊ดจ๊าด อยู่นิ่งไม่ได้ อย่างที่หลายๆ คนคงเคยประสบมาก่อนด้วยตนเอง ถ้าไม่เคยก็ ลองเอาพริกขี้หนูมาบีบใส่ตาดูซักครั้ง แล้วจะเข้าใจเอง ..เอาล่ะ ตอนนี้เรามาใกล้จะถึงจุดไคลแม็กซ์สำคัญของเรื่องแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีๆ นอกจากที่กล่าวมา แค็พไซซินยังมีคุณสมบัติสำคัญอีกอย่าง.. ถือเป็นคุณสมบัติที่เด็ดที่สุดของมันเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ… แค็พไซซิน ไม่มีผลกับนก (เว้นช่องว่างไว้ ให้เวลาคิดแป๊บนึง ก่อนจะอ่านต่อไป)
      บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #11 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553, 22:48:43 »

ถูกต้องแล้วครับ แค็พไซซิน คือกลยุทธอันแยบคายของพริกในการกีดกันกลุ่มผู้ทรยศออกไปให้หมด ตั้งแต่ได้แค็พไซซินมา แมลงก็ไม่กล้ามากินมัน จุลินทรีย์ก็โดนฆ่าตายเกือบหมด เนื้อผลไม้ของพริกที่ถึงแม้จะไม่ได้อวบอิ่มอะไรมาก แต่ก็เป็นสารอาหารที่มันอุตส่าห์ลงทุนไป จะไม่สูญเสียไปกับพวกผู้บริโภคที่ไม่สร้างผลประโยชน์ตอบแทนให้กับมัน เมล็ดอันทรงค่าจะถูกสงวนกรรมสิทธิ์ไว้ให้แต่เฉพาะ สมาชิก VIP ผู้ซึ่งมีความสามารถสูงสุดในการช่วยแพร่กระจายเมล็ดให้กับมันเท่านั้น และเมื่อตรึกครองดูให้ดีแล้ว สมาชิกชั้นอภิสิทธิ์ชนดังกล่าว คงจะไม่มีใครเหมาะสมไปกว่า สัตว์ที่มีปีกและบินไปขี้ไปอย่างนกอีกแล้ว แม้กระทั่งลิงเอง ก็ยังถูกปราการแห่งความเผ็ด กีดกันออกจากการเป็นสมาชิก VIP ของสมาคมกินพริก ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ลิงก็ไม่ได้เข้าข่ายพวกทรยศ ก็เป็นสัตว์ที่กินผลไม้เข้าท้อง แล้วก็ขี้เอาเม็ดออกมาเหมือนๆ กับนก เพียงแต่ เมื่อเทียบกันแล้ว ลิงมักมีถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งมากกว่า พูดง่ายๆ คือที่กิน กับที่นอน อยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก วันๆ นึงก็เดินวนเวียนอยู่แต่แถวนั้น ในขณะที่นกสามารถบินข้ามน้ำข้ามภูเขาไปในที่ไกลๆ ได้มากกว่า เรียกว่า ถ้าเป็นการประมูลโครงการก่อสร้าง ก็คือ นกกับลิง คิดราคาเท่ากัน แต่นกทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า ในที่สุด กระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติจึงคัดเลือกให้ พริกกันลิงออกไป แล้วเหลือไว้แต่เฉพาะนกเท่านั้น ที่สามารถกินลูกมันได้โดยไม่รู้สึกเผ็ด

 สะใจจัง
      บันทึกการเข้า

...
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #12 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553, 23:18:55 »

ซี้ดดดด..
ยังอ่านไม่จบที
เผ็ดจนหูอื้อคะ
      บันทึกการเข้า


Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #13 เมื่อ: 01 เมษายน 2553, 13:12:53 »

 win

เข้ามาชื่นชมบทความดีดี ครับ

      บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
หลิม 81
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,840

« ตอบ #14 เมื่อ: 01 เมษายน 2553, 14:12:45 »

นักเขียน นักคิด นักวิเคราะห์ วิจารณ์ที่แยบบลมาก ๆ ครับ

โดยเฉพาะรูปดารา 4 x 6 นิ้วในกระเป๋า...
      บันทึกการเข้า

@ ปีนี้ปีของผม @
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 01 เมษายน 2553, 16:01:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ หลิม 81 เมื่อ 01 เมษายน 2553, 14:12:45
นักเขียน นักคิด นักวิเคราะห์ วิจารณ์ที่แยบบลมาก ๆ ครับ

โดยเฉพาะรูปดารา 4 x 6 นิ้วในกระเป๋า...

Huh?
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #16 เมื่อ: 01 เมษายน 2553, 17:35:29 »

รูปไรคะ?
ไม่ไช่รูปพริกชี้ฟ้านะ?


น้อง Aj.O,
ที่ห้องทดลองบริษัทที่แฟนพี่ทำ
เค้าสกัด Capsaicinออกมาเป็นเกร็ด
เอามาให้พี่ทดลองปรุงอาหารที่บ้าน
พี่มองอย่างหวาดๆยังไงไม่รุ
ก็เหมือนเกร็ด Monosodium Glutamateดิ
ไม่กล้าใช้ค่ะ
      บันทึกการเข้า


Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #17 เมื่อ: 01 เมษายน 2553, 21:10:59 »

แคปไซซินที่สกัดออกมาเป็นสเปรย์ป้องกันตัว ก็เคยได้ยินครับ

ถึงน้องหลิม บทความนี้ของอาจารย์แทนไท(ลูกชาย เสกสรรค์ กับ จีรนันท์ พิตปรีชา)ครับ ตามที่จั่วหัวข้อไว้

ส่วนรูป 4*6 นิ้วนั่น เป็นสิ่งแก้เซ็ง สำหรับชายโสดครับ...(ถ้าต้องการสื่อถึงผมอ่ะนะ)
      บันทึกการเข้า

...
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #18 เมื่อ: 01 เมษายน 2553, 22:35:53 »

อ้างถึง
ข้อความของ Aj.O เมื่อ 01 เมษายน 2553, 21:10:59
แคปไซซินที่สกัดออกมาเป็นสเปรย์ป้องกันตัว ก็เคยได้ยินครับ


พี่อ่านstructureไม่ออกคะ
ได้มาจากwiki

quelle: http://de.wikipedia.org/wiki/Capsaicin



      บันทึกการเข้า


Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #19 เมื่อ: 01 เมษายน 2553, 23:04:18 »

ที่ยกตัวอย่างโครงสร้างมา มันเป็น Derivative ของ Capsaicin ครับ ซึ่งสกัดได้จากพริกเหมือนกัน
แต่จะมีปริมาณน้อยกว่าตัว Capsaicin ต้นแบบ(โครงสร้างตัวบนสุด)
และจะมีคุณสมบัติด้านรสเผ็ดน้อยกว่า

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81
      บันทึกการเข้า

...
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #20 เมื่อ: 01 เมษายน 2553, 23:27:39 »

ค้นไปที่ผลิตภัณฑ์..
มากมาย...
เหวอ หาทางออกแทบไม่เจอ.
มีแม้แต่...สเปรย์จมูก!
เฮ้ยยยย..ไม่จามกันหัวหูแดงเรอะคะนี่
      บันทึกการเข้า


Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #21 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2553, 22:03:54 »

เมื่อจิ้งหรีดไม่ส่งเสียง หิ่งห้อยไม่ส่องแสง (บทความโดย อ.แทนไท  ประเสริฐกุล เจ้าเก่า) sing



...ที่เกาะ Kauai (คาไวอิ) ในหมู่เกาะฮาวาย เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วครับ ฮือๆ

จิ้งหรีดที่นั่น อยู่ดีๆ ก็พากันแขวนไมค์เลิกร้องเพลงกันเกือบหมด มันเกิดอะไรกันขึ้น? ขึ้นชื่อว่าเป็นจิ้งหรีดหนุ่ม มันก็ต้องคอยร้องเพลงจีบสาวสิ จิ้งหรีดที่ไม่มีดนตรีการแบบนี้ ในสันดานมันช่างเป็นจิ้งหรีดชอบกลนัก ทำไมนะทำไม?

สาเหตุของเรื่องนี้ ดูเหมือนว่า ช่วงหลังๆ มา บทเพลงของจิ้งหรีดหนุ่มชาวเกาะ จะไม่ได้ล่อสาวๆ ให้มาติดกับเพียงอย่างเดียว แต่ดูจะดึงดูดนำพาซึ่งสิ่งไม่พึงประสงค์บางอย่างติดมาเป็นของแถมด้วย จนเป็นเหตุให้ ตัวผู้ทั้งหลาย ที่เดิมต่างก็เคยอุทิศตนให้กับการร้องเพลงทั้งคืน มีอันต้องเงียบอึ้งตะลึงงันกันไปเป็นแถวๆ

เปล่าครับ สิ่งไม่พึงประสงค์ที่มาคอยงาบหนุ่มๆ นักร้องพวกนี้ไปไม่ใช่กระเทย

แต่เป็นแมลงวัน

นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นผู้ทำวิจัยค้นพบเรื่องนี้ คือคุณ มาร์ลีน ซุค (Dr. Marlene Zuk) แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียสาขาริเวอร์ไซต์ (UC Riverside) เธอเล่าบอกว่า พวกจิ้งหรีดที่อพยพไปตั้งรกรากอยู่คาไวอิ กำลังเจอกับปัญหาใหญ่ ว่าด้วยการถูกจู่โจมจากแมลงวันปรสิตที่มาแอบดักฟังเสียงร้องของพวกมันในยามค่ำคืน แมลงวันพวกนี้พอได้ยินเสียงจิ้งหรีด ก็จะบินตามเสียงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งพอมาเจอตัว ก็จะหย่อนตูดหยอดลูกๆ ที่เป็นหนอนแมงวันยั้วเยี้ยๆ ของมันลงบนตัวเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย หลังจากแม่มันมาส่งถึงที่ พวกหนอนตัวอ่อนก็จะค่อยๆ เจาะไชมุดเข้าไปอาศัยอยู่ในตัวจิ้งหรีด แล้วก็ค่อยๆ ชอนไชกินตับไตไส้พุงไปเรื่อยๆ โดยในระหว่างที่ถูกกินจากข้างในออกมาข้างนอก เจ้าจิ้งหรีดก็จะยังคงมีชีวิตอยู่ตลอด จะมาถูกฆ่าตายเอาจริงๆ ก็ตอนที่ อีกอาทิตย์นึงผ่านไป พวกหนอนแมงวันได้เติบอวบอ้วนพลีจนเต็มที่ แล้วก็พากันดิ้นคลุ่กคลั่กๆ เจาะไชทะลุร่างของมันออกมา จนทะลักปริพุงระเบิด เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเปลือกหมาดๆ ที่ถูกกินเครื่องในหมดแล้ว กับส่วนหัวที่ยังกระดุกกระดิกได้อยู่อีกนิดหน่อย รอคอยเวลาให้ฝูงมดมาคาบไปรุมทึ้งที่รังอีกที
sorry
      บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #22 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2553, 22:07:41 »

วิกฤตการมฤตยูแมลงวันสยอง ก่อให้เกิดสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอันน่าสนใจยิ่งในหมู่ประชากรจิ้งหรีดบนเกาะคะไวอิ แน่นอนพวกตัวผู้ยังคงจำเป็นต้องใช้เสียงร้องในการเรียกดึงดูดตัวเมียอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกมันส่งเสียงออกไป ก็เท่ากับเป็นการไปป่าวประกาศล่อเป้าเรียกไอ้แมลงวันนรกพวกนี้มาจอยด้วยโดยปริยาย.. ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วมันจะทำกันยังไงดีละเนี่ย? จะเลือกอย่างไหนดีระหว่าง เซ็กส์ กับ ชีวิต.. เซ็กส์ หรือ ความปลอดภัย? สำหรับเพศผู้แล้ว ช่างเป็นคำถามที่ชั่งใจยากซะนี่กะไร

คุณดร. ซุค เอง ตอนแรกก็คิดว่าคงหมดหวังแล้วเหมือนกัน ไม่นานพวกจิ้งหรีดเหล่านี้ก็คงจะสูญพันธุ์ไปจากเกาะ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกแมงวันฆ่าตายหมด ก็คงเพราะผสมพันธุ์สืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไปไม่ได้ ค่ำคืนของที่นั่นก็คงจะเงียบสงัดลงเรื่อยๆ.. ในปี 2001 ดร. ซุค ได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องเพลงเหลืออยู่แค่ไม่กี่ตัวหลังจาก เดินสำรวจหาเป็นเวลานาน เธอทำใจว่ามันต้องใกล้สูญพันธุ์แล้วแน่ๆ อย่างไรก็ตาม ในปี 2003 เธอก็ได้เดินทางกลับไปสำรวจใหม่เพื่อจะดูให้ชัวร์ๆ อีกรอบ

ดร. ซุคให้สัมภาษณ์กับรายการวิทยุของแคนาดารายการหนึ่งบอกว่า “รอบนี้ ไปถึงพวกเราก็ขับรถวนไปวนมาอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงจิ้งหรีดเลยแม้แต่ตัวเดียว ตอนแรกก็คิดว่า เออมันคงไม่เหลือแล้วล่ะ แต่คิดไปคิดมา เออ เอาวะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็ลองลงจากรถไปดูซักหน่อยละกัน.. พอลงไปถึงปรากฏว่า ตกใจแทบช็อคแน่ะ ในความมืดบริเวณที่ไฟหน้ารถสาดแสงออกไปนั่น ปรากฏว่ามีจิ้งหรีดเดินอยู่เต็มพื้นไปหมด!

คุณต้องเข้าใจนะ ว่าสำหรับคนที่ศึกษาจิ้งหรีดมาเยอะๆ อย่างดิชั้นเนี่ย การที่ได้เห็นภาพจิ้งหรีดอยู่รวมกันเยอะๆ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเนี่ย มันเป็นเรื่องที่ขัดกับความรู้สึกเป็นอย่างมาก! งง งง

..ในตอนนั้น คำอธิบายนึงที่ดิชั้นพอจะคิดออกก็คือ โอเค พวกจิ้งหรีดตัวผู้พวกนี้เนี่ย มันอาจจะเรียนรู้ที่จะไม่ส่งเสียงดัง พยายามทำตัวเงียบๆ เพื่อที่จะได้ไม่ไปดึงดูดพวกแมลงวันให้มาหา.. อย่างไรก็ตาม พอเราได้เก็บตัวอย่างมาตรวจสอบดูอย่างละเอียดอีกทีนึง ลูกศิษย์ของดิชั้นก็ได้ค้นพบว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย”

สิ่งที่ลูกศิษย์ของดร. ซุคค้นพบก็คือ ไม่ใช่ว่าตัวผู้พวกนั้นมันร้องได้แต่เรียนรู้ที่จะไม่ร้อง แต่คือมันร้องไม่ได้ตั้งแต่แรกเลยต่างหาก.. ปกติจิ้งหรีดตัวผู้จะมีซี่ๆ เล็กๆ อยู่ตรงปีกที่มันจะใช้เสียดสีกันเพื่อให้เกิดเป็นเสียงออกมาใช่มั้ยครับ แต่สำหรับตัวผู้ที่เก็บมาจากเกาะคาไวอิปรากฏว่า 90-95% กลับมีปีกที่มีลักษณะผิดปกติ คือส่วนที่เป็นซี่ของมันมีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถใช้การในการก่อกำเนิดเกิดเสียงได้ เท่ากับจริ้งหรีดพวกนี้เป็นจิ้งหรีดใบ้ ร้องเพลงไม่ได้มาตั้งแต่กำเนิดแล้ว.. บรึ๋ยยย

สิ่งที่เกิดขึ้นบนเกาะคาไวอิ ไม่ใช่ปรากฏการณ์การเรียนรู้ แต่เป็นตัวอย่างที่เจ๋งมากๆ ของปรากฏการณ์วิวัฒนาการ โดยกระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ

ประชากรของพวกมันได้ ‘วิวัฒน์’ เปลี่ยนแปลงไปทั้งในเชิงรูปร่างและก็เชิงพฤติกรรม จากที่เคยร้องเพลงได้ กลายมาเป็นจริงหรีดที่เป็นใบ้กันเกือบหมดทั้งเกาะ ทั้งนี้ก็เพราะ ในช่วงกี่สิบปีไม่รู้ที่ผ่านมา ไอ้ตัวที่มีปีกปกติร้องเพลงได้ตามปกติ มันค่อยๆ ถูกกำจัดไปเรื่อยๆ โดยไอ้เจ้าแมลงวันนรก เหลือไว้แต่ไอ้ตัวที่พันธุกรรมกลายพันธุ์มีปีกแบบไร้ซี่ไร้เสียง(หรือที่ดร. ซุค ตั้งชื่อว่าพวก flat wings = พวกปีกเรียบ) ซึ่งตอนแรกก็อาจจะมีปะปนอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ตอนหลังๆ มา ค่อยๆ สืบทอดลูกหลานเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันเกิดความได้เปรียบขึ้นมาในการเอาตัวรอดจากหนอนแมงวัน (เรื่องราวคล้ายๆ กันเกิดขึ้นในช้าง ช้างตัวผู้สมัยนี้เกิดมาเป็นช้างไม่มีงา หรือ ช้างสีดอ เยอะมากๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ ในอดีตไอ้ตัวที่มีงามันถูกคนล่าฆ่าตายไปหมด ไม่มีโอกาสได้สืบทอดกรรมพันธุ์ ไอ้พวกที่เหลืออยู่ก็เลยมีแต่ลูกหลานของตัวผู้กลายพันธุ์ที่เป็นสีดอซะส่วนใหญ่ ลักษณะไม่มีงาที่ปรากฏเยอะๆ ก็คือได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษรุ่นคุณปู่คุณพ่อที่หลุดรอดจากการล่ามาได้นั่นเอง ถ้าเทียบเรื่องนี้กับเรื่องของจิ้งหรีด คนเราก็ถือได้ว่าเล่นบทเดียวกับพวกแมลงวัน คือเป็นผู้รุกรานที่มีผลกระทบมาก จนถึงขั้นทำให้ประชากรของผู้ถูกล่า เกิดการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงลักษณะไปได้)
      บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #23 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2553, 22:11:33 »

ก็คงเหมือนอย่างที่ใน Jurassic Park เค้าบอกเอาไว้นะครับ Life will find a way ชีวิตมันสรรหาหนทางของมันได้เสมอจริงๆ.. จิ้งหรีดคาไวอิเจอศัตรูเป็นแมลงวัน ก็วิวัฒนาการปรับตัวจนสามารถเอาตัวรอดจากการสูญพันธุ์มาได้ แล้วได้อย่างรวดเร็วซะด้วย คือเกิดขึ้นภายใน 20 กว่าชั่วรุ่นหรือชั่วอายุจิ้งหรีดเท่านั้น (คุณซุคศึกษามาตั้งแต่ปี 1991 สมัยนั้นจิ้งหรีดบนเกาะนี้ยังมีลักษณะปีกปกติอยู่เลย) ดูผิวเผิน นี่อาจจะเหมือน เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องของการพัฒนา แต่จริงๆ แล้ว ถ้าจะให้ตรงไปตรงมาเลย มันเป็นเรื่องของความโหดร้ายมากกว่า เผ่าพันธุ์ปรับตัวอยู่รอดมาได้ ก็เพราะ ไอ้ตัวที่ไม่ฟิตมันน่ะมันอยู่ไม่รอด ตายตกกันไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ถึงได้เปิดทางให้พวกตัวที่ฟิตที่สุดขึ้นมาแทนที่ได้ ไอ้ตัวที่ตายไป ก็ใช่ว่ายอมตายด้วยความเสียสละ แต่เป็นการถูกฆ่าตายอย่างไม่เต็มใจซะมากกว่า ในสังคมมนุษย์เราคงอาศัยเอาหลักการปรับตัวแบบนี้มาใช้เป็นตัวอย่างไม่ได้ เพราะถ้าเกิดอย่างนั้น คงต้องเอาพวกคนอ้วน คนจน คนงี่เง่า ไปเข้าโรงฆ่าสัตว์ให้หมด ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอะไรที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรมอย่างยิ่ง บางครั้งเราศึกษาธรรมชาติ ก็ใช่ว่าจะเอามาเป็นเยี่ยงอย่างได้เสมอไป สิ่งที่เมื่อเข้าใจแล้ว ควรต้องหลีกเลี่ยงไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่างก็มีเหมือนกัน สังคมคนไม่ควรพัฒนาไปข้างหน้าด้วยกระบวนการคัดเลือก เหมือนอย่างที่เป็นตามธรรมชาติ แต่เราควรต้องอยู่รอดและก้าวหน้าไปร่วมกัน ทั้งผู้ที่เข้มแข็งและผู้ที่อ่อนแอ เช่นนี้แล้ว ถ้าพวกคุณเลือกผม ผมขอสัญญาว่า จะพาทุกคนไปจนถึงฝั่งฝันของวันใหม่ได้อย่างพร้อมเพรียงกันแน่นอน รับประกันว่าไม่มีใครตกหล่น เอาค่ามัดจำไปก่อนได้เลยคนละ 200 บาท

อืมมม.. เอาล่ะ กลับมาดูเรื่องจิ้งหรีดกันต่อดีกว่าครับ.. แน่นอนว่าเรื่องมันคงไม่จบลงง่ายๆ เพียงแค่ที่เล่ามา หลายคนที่ช่างสงสัยอาจจะแอบคิดในใจตั้งแต่ตะกี๊แล้วว่า อ้าว แล้วพวกตัวผู้มันร้องเพลงไม่ได้แบบนี้ แล้วมันจะล่อตัวเมียสำเร็จได้ยังไง? ขืนใบ้กันหมดแบบนี้ ต่อให้รอดจากแมลงวันได้ แต่ก็มิมีอันต้องสูญพันธุ์เพราะหาเมียไม่ได้อยู่ดีหรอกรึ? อืมมม...น่าคิดๆ งง งง

ไม่ต้องห่วงนะครับ ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่า Life will find a way ชีวิตมันหาหนทางของมันได้เสมอ.. ในคราวนี้ก็เช่นกัน gek

90-95% ของตัวผู้บนเกาะคาไวอิทั้งหมด เป็นจิ้งหรีดใบ้.. ตั้ง 90-95% ถือว่าเยอะก็จริง แต่มันก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดถูกมั้ยครับ ยังมีเหลืออีกตั้ง 5-10% ที่แสดงว่าเป็นตัวผู้มีปีกปกติ และยังสามารถร้องเพลงได้อยู่ ดร. ซุคพบว่า พวกตัวเมียมันก็ยังคงคอยฟังเสียง แล้วก็ตามไปหาพวกตัวผู้ที่ร้องเพลงพวกนี้ตามปกติ แต่เสร็จแล้วทีนี้ สิ่งยียวนมากๆ ที่เกิดขึ้นก็คือ พวกบรรดาจิ้งหรีดหนุ่มที่เป็นใบ้ทั้งหลาย ต่างก็จะคอยดักฟังแล้วก็มุ่งหน้าไปหาพวกตัวผู้ที่ร้องเพลงได้ด้วยเช่นกัน ไปถึงก็เข้าไปประกบติดเอาไว้ ลูกพี่เสียงดีจ๋า คืนนี้ลูกพี่จะไปร้องที่ไหนเดี๋ยวผมตามไปด้วย ดร. ซุคแกทดลองอัดเสียงตัวผู้ปกติมาเปิด ก็ปรากฏว่า เปิดไว้แค่ 20 นาที กลับมาดูอีกที มีตัวผู้ใบ้เกาะเป็นพะเนินเต็มลำโพงไปหมด พวกนี้ถูกดึงดูดด้วยเสียงเพลงของเพศเดียวกัน ไม่ใช่ว่ามันเป็นเกย์นะครับ แต่จริงๆ แล้วเป็นกลยุทธที่แยบยลมากๆ คือในเมื่อตัวมันเองร้องเพลงไม่ได้ มันก็เลยอาศัยกินแรงเพื่อน ให้ไอ้ตัวที่ยังร้องได้อยู่น่ะ ร้องให้แทน อยู่ใกล้ๆ กันเอาไว้ พอตัวเมียเข้ามา มันก็รอต่อคิวขอส่วนแบ่งกะเขาด้วย เป็นอันแก้ปัญหาเรื่องการหาคู่ผสมพันธุ์ไปได้เสร็จสรรพ เปรียบเทียบเป็นคน ก็คงเหมือนกับ เรามีเพื่อนเป็นนักร้องหล่อๆ ซักคนหนึ่ง เสร็จแล้วเวลามันไปเปิดคอนเสิร์ทที่ไหน เราก็ติดตามมันไปรออยู่ข้างหลังเวทีด้วย พอคอนเสิร์ทเลิก มีพวกสาวๆ สวยๆ ที่กำลังมึนๆ เมาๆ โผล่มารอกรี๊ดมัน เราก็อาจจะได้รับส่วนแบ่งมาด้วยซักดอกสองดอก โดยที่ไม่ต้องลงเรี่ยวลงแรงอะไรมาก ช่างเป็นวิธีการที่ประเสริฐดีแท้  เหนื่อย
      บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #24 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2553, 22:14:58 »

...อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว ในจิ้งหรีด แน่นอนว่าไอ้ตัวที่ยังกล้าร้องเพลงอยู่ มันก็ต้องเสี่ยงกับการถูกแมลงวันนรกมาเจาะกินด้วย อ้าว.. แล้วอย่างนี้มันจะยอมเรอะ มีสิทธิตายสยองแบบนี้ใครมันจะไปยอมเสี่ยง ปล่อยให้คนอื่นมันร้องไป แล้วเราสู้เป็นใบ้รอของเหลือไม่ดีกว่าเรอะ? หรือถ้าหากถามให้เป็นวิชาการหน่อยก็คือ ทำไมไอ้พวกที่ยังร้องเพลงได้มันไม่สูญพันธุ์โดนแมลงวันกินไปจนหมด? ทำไมทุกตัวไม่กลายเป็นจิ้งหรีดใบ้หมด? ทำไมประชากรตัวที่มีปีกปกติถึงยังดำรงอยู่ได้ทั้งๆ ที่มันเสียเปรียบเห็นๆ ?

...อันนี้ ดร. ซุคแกก็สันนิษฐานว่า เป็นเพราะ พออัตราส่วนประชากรของจิ้งหรีดหนุ่มที่ร้องเพลงได้มันค่อยๆ ลดๆๆๆ ลงไปเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดหนึ่ง พอเหลือน้อยมากๆ มันก็จะพลิกสถานการณ์ไป คือ ไอ้ตอนร้องกันเยอะๆ เนี่ย ต่างคนต่างก็แข่งแย่งตัวเมียกัน ถัวเฉลี่ยกันไปแล้ว มันก็ตกได้คนละไม่เท่าไหร่ ไหนจะต้องหักค่าที่โดนแมลงวันเจาะกินอีก ถือว่าไม่คุ้มแน่ๆ ก็ค่อยๆ ล้มหายตายจากกันไป แต่ทีนี้ พอมันเหลือร้องกันอยู่แค่ไม่กี่ตัว ก็กลับกลายเป็นว่า แต่ละหมู่บ้านเนี่ยอาจจะมีตัวที่ร้องเพลงเป็นอยู่แค่ตัวเดียว ไอ้ตัวนั้นมันก็จะเกิดสถานะใหม่กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ขึ้นมา (ลองนึกภาพ ถ้าสมัยมัธยมคุณเล่นกีต้าเป็นอยู่คนเดียวทั้ง รร.) ทำให้สามารถดึงดูดตัวเมียได้เยอะมากๆ สาวๆ ทั้งระแวกล้วนรีบแร่ดมาสยบแทบเท้ามันหมด ผสมพันธุ์กันแทบไม่หวาดไม่ไหว แน่ล่ะ สุดท้ายแล้วมันอาจจะตายศพไม่สวยก็จริง(เพราะโดนหนอนแมงวันเจาะ) แต่ก่อนตายเนี่ย มันคงได้ทิ้งบุตรหลานไว้มากมาย จนในทางวิวัฒนาการถือได้ว่า คุ้มกันแล้ว กับชีวิตสั้นๆ ที่เกิดมา เมื่อเป็นอย่างนี้ก็คือ ประชากรของตัวที่ร้องเพลงได้ จากที่ลดๆๆ มันก็จะกลับเพิ่มๆๆ ขึ้นมา แต่พอมันเริ่มเยอะขึ้น แต่ละตัวมันก็จะดึงดูดตัวเมียได้น้อยลง แล้วก็จะเริ่มไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะต้องตกเป็นเหยื่อของแมลงวันอีกต่อไป ในเวลานี้ ไอ้พวกตัวที่มีปีกเรียบมันก็จะได้เปรียบมากกว่า แล้วมันก็จะเริ่มเพิ่มๆๆ ส่วนไอ้ตัวร้องเพลงได้ก็จะเริ่มลดๆๆ เสร็จแล้วพอลดๆๆ มากๆ เข้า ไปถึงจุดที่ผลประโยชน์มันเริ่มมากกว่าความเสี่ยง มันก็จะกลับเพิ่มๆๆ ขึ้นมาอีก แล้วก็ค่อยกลับไปลดๆๆ อีก เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือพวกจิ้งหรีดที่ร้องเพลงได้จะยังคงมีตัวตนแทรกอยู่ในกลุ่มชนส่วนน้อยเสมอ ประชากรมันอาจจะมีขึ้นมีลงบ้าง แต่ก็จะไม่มีวันหมดไปเลยทีเดียว เป็นวงจรหมุนเวียนรอบสมดุลแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าสถานการณ์มันจะมีปัจจัยอะไรแปรผันเปลี่ยนไปอีกที (อย่างเช่น มีคนเอาคางคกมาปล่อย แล้วคางคกไปจับแมลงวันกินหมด)

...อย่างน้อยๆ นี่ก็คือสิ่งที่ดร. ซุคคาดการไว้โดยว่ากันตามหลักทฤษฏี ส่วนจะเป็นจริงเป๊ะๆ 100% หรือเปล่า อันนี้ก็ต้องรอดูศึกษากันต่อไป

จิ้งหรีดใบ้ ไม่ต้องเปลืองแรงร้องเพลงเอง แต่แอบไปเนียนกับจิ้งหรีดปกติ เพื่อรอรับส่วนแบ่งสาวๆ.. แหม้ มันคิดได้ไง.. ได้อ่านเกี่ยวกับผลงานวิจัยนี้แล้วก็ชวนให้สงสัยครับ มันน่าจะยังมีสัตว์อื่นอีกบ้างมั้ย ที่เกิดวิวัฒนาการพฤติกรรมแบบเดียวกันนี้ขึ้นมา? อย่างกบนั่นก็น่าจะเป็นอย่างหนึ่ง เพราะตัวผู้มันก็อาศัยวิธีร้องเพลงเพื่อดึงดูดตัวเมียเหมือนกัน

หลังจากที่ไปค้นดูอยู่พักนึง ผมก็ไปเจอจริงๆ ด้วย ปรากฏว่าในกบมากมายหลายชนิด มักจะมีตัวผู้อยู่อย่างน้อยๆ จำนวนหนึ่ง ที่ไม่ยอมส่งเสียงร้องเอง แต่จะคอยไปแอบนั่งซุ่มอยู่ข้างๆ ตัวที่ร้องเสียงดังๆ เสร็จแล้วพอตัวเมียโผล่มา ก็ค่อยกระโดดเข้าไปดักจับทำเมียซะเอง พวกตัวผู้ที่ไม่ยอมลงทุนลงแรงเองแต่อาศัยยืมมือเพื่อนแบบนี้ ทางศัพท์วิชาการเค้าเรียกว่า พวก satellite male (ถ้าผมเป็นไอ้ตัวผู้ที่อุตส่าห์ร้องเรียกจนตัวเมียมา คงอยากโดดเข้าไปถีบปากไอ้พวก satellite male พวกนี้มากๆ) สำหรับในกบ ที่มาของพฤติกรรม satellite อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการหลบเลี่ยงตัวปรสิตเหมือนอย่างในจิ้งหรีดซักเท่าไหร่ แต่ในความคิดผม มันน่าจะเกี่ยวกับการ ฉวยโอกาสขี้เกียจ หรือเพื่อแค่ประหยัดพลังงานซะมากกว่า คอนเซ็ปอาจจะประมาณเดียวกับ ไอ้พวกกินแรงเพื่อน อย่างเช่นตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ อาจารย์สั่งให้ร้องเพลงชาติดังๆ ทุกคนก็ช่วยกันแหกปากเต็มที่ แต่ก็อาจจะมีซักคนสองคนที่แบบ เออ กูแกล้งทำเป็นลิปซิงก์เฉยๆ ไม่มีใครจับได้หรอก (หรืออย่างเวลาชักเย่อ หรือช่วยกันยกของหนักๆ ก็อาจจะมีพวกที่จงใจแอบไม่ออกแรง อะไรทำนองนั้น) ในกบเอง ก็มีแบบนี้เป๊ะๆ เลยเหมือนกันครับ มีกบอยู่หลายชนิด ที่เหล่าตัวผู้มันจะมารวมกันแล้วก็ช่วยกันร้องคอรัสประสานเสียง เพื่อจะได้ดังกระหึ่มกังวานไปไกลๆ แล้วก็จะได้ดึงดูดตัวเมียให้รวมกันเข้ามาอยู่ที่นั่นเยอะๆ ในสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนว่าคงไม่คลาดแคล้วหรอก มีอยู่ไม่น้อยเลย สำหรับไอ้พวกที่ไม่ยอมช่วยร้อง แต่เอาแต่รอแดกอย่างเดียว.. ในฐานะตัวผู้ด้วยกัน ฟังแล้วมันน่าจับมาทอดกระเทียมกินซะให้หมด
 จ๊าากกก จ๊าากกก จ๊าากกก
      บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #25 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2553, 22:20:55 »

อืมม นอกจากกบกับจิ้งหรีดแล้ว satellite จะยังพบในตัวอะไรได้อีกน้า? ลองนึกๆๆๆๆๆ.....

โอ้ว What about ในหิ่งห้อยล่ะ!?

...ถ้าเราเปลี่ยนจากเสียงเป็นแสงมั่ง พวกหิ่งห้อยจะว่าไปแล้วมันก็มีการส่งสัญญาณเรียกตัวเมียเหมือนอย่างในจิ้งหรีดกับกบนั่นแหละ เพียงแต่แทนที่มันจะร้องเพลงด้วยเสียง มันก็อาศัยร้องเพลงด้วยการกระพริบแสงแทน.. แถมที่เมืองไทยนี่ ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่ง ที่มีหิ่งห้อยชนิดพิเศษ ซึ่งตัวผู้จำนวนมาก จะมาเกาะรวมกันบนต้นลำพูต้นเดียวกัน เสร็จแล้วก็ช่วยกันกระพริบแสง ติด ดับ ติด ดับ พร้อมๆ กัน (synchronous flashing) เป็นการร้องประสานแสง ประมาณเดียวกับที่กบมันร้องประสานเสียง จุดประสงค์ของการกระพริบพร้อมๆ กันนี้ นักชีววิทยาบางคน บ้างก็ตั้งสมมติฐานว่า เป็นการกระทำเพื่อแอมพลิฟายขยายสัญญาณ ให้มันเห็นได้จากที่ๆ ไกลๆ ยิ่งขึ้น ต่างคนต่างกระพริบกันคนละที่ คนละที อาจจะดึงดูดตัวเมียได้ไม่ดีเท่ากับมาช่วยกันกระพริบพร้อมๆ กัน.. ถ้าเกิดสมมติฐานนี้เป็นจริง ผมว่า ไอ้บนต้นที่ช่วยๆ กระพริบๆ กันอยู่เนี่ย มันจะต้องมีบางตัวที่ชอบแอบอู้ ปะปนอยู่ด้วยแน่ๆ!

...เรื่องนี้ดูเหมือนจะยังไม่มีใครเคยศึกษามาก่อนด้วย

...เป็นไปได้มั้ยว่า เราอาจมีโอกาส ได้ค้นพบพฤติกรรม satellite male ในหิ่งห้อย เป็นครั้งแรกของโลก?

...เมื่อ 2 วันก่อนผมเพิ่งไปร่วมประชุมวิชาการความหลากหลายทางชีวภาพและการอนุรักษ์สัตว์ป่าของกลุ่มนักศึกษาที่มหิดลมา (กลุ่มมีชื่อว่า TYPIN ย่อมาจาก Thai Young Professionals Initiative) ในงานได้มีโอกาสพบปะและรับฟังบรรยายจากบรรดา ‘คนค้นสัตว์’ ตัวจริง เยอะแยะไปหมด

พูดแล้วก็อายนะครับ อย่างผมนี่ จะว่าไปแล้ว จริงๆ น่าจะเรียกตัวเองว่าเป็น ‘คนค้นอินเตอร์เน็ต’ ซะมากกว่า ผิดกับคนเหล่านี้ซึ่งต่างก็ได้เคยทุ่มเทลงไปศึกษาสัตว์ป่าในพื้นที่ที่อยู่จริงๆ ของมัน ต่างคนต่างมีประสบการณ์ตรงที่ได้จากการสัมผัสด้วยมือตนเองกันมาอย่างล้นหลาม อย่างเช่นมีพี่ผู้หญิงอยู่คนนึง ตามเก็บขี้ช้างจากทั่วทั้งป่า เสร็จแล้วก็เอามาสกัด DNA เพื่อเอาไปใช้ทดสอบทำลายพิมพ์ DNA ช้าง (หลักการเดียวกับลายพิมพ์รอยนิ้วมือ) จะได้สามารถระบุได้ว่าตัวไหนเป็นตัวไหน แล้วก็จะได้สำรวจได้อย่างแม่นยำกว่าเดิมว่าในป่ามันมีช้างอยู่ทั้งหมดกี่ตัวกันแน่.. อีกคนนึงเป็นรุ่นน้องผมชื่อเชฐ คนนี้ก็ทำเรื่องช้างเหมือนกัน แต่เน้นด้านชุมชนเป็นหลัก คือลงไปช่วยชาวบ้านคิดหาวิธีไล่ช้างที่ชอบออกจากชายป่ามาบุกกินพืชไร่ ไอ้ความรู้เรื่องช้างสีดอที่ไม่มีงานั่น ผมก็เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกจากปากของน้องเชฐผู้นี้นี่แหละ ต้องขอบคุณมากๆ เลยนะ

...อีกท่านหนึ่งที่ประทับใจมากๆ ก็คือ อาจารย์พิไล หรือ เจ้าแม่นกเงือก (ในเมืองไทยนี่ ใครเชี่ยวชาญเรื่องตัวอะไรก็มักจะถูกเรียกฉายาตามชื่อตัวนั้นๆ อย่างเช่น ดร. ปลา อาจารย์เต่า เจ้าแม่พะยูน หรือ เจ้าพ่อเสือ อะไรก็ว่ากันไป) ซึ่งเป็นคนที่ปลุกกระแสอนุรักษ์นกเงือกขึ้นมาเป็นคนแรกของประเทศไทยและภายหลังก็ได้รับการยอมรับในระดับนาๆ ชาติไปทั่วโลก

...แต่ที่สำคัญที่สุด(ต่อเรื่องที่เขียนอยู่นี้) เห็นจะหนีไม่พ้นพี่ผู้หญิงคนนึง ซึ่งต่อไปคงได้รับสมยานามว่าเป็น ‘เจ้าแม่หิ่งห้อย’ แห่งประเทศไทยเป็นแน่แท้ (ชื่อเล่นจริงๆ แกชื่อ พี่ก้อย แต่เมื่อผสมกับที่ชอบศึกษาหิ่งห้อยแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่า อาจจะเรียกว่า ‘พี่ห้อย’ ได้รึเปล่า) พี่ห้อยผู้นี้ แกได้พัฒนาเทคนิคการเลี้ยงหิ่งห้อยในห้องแล็บขึ้นมาได้สำเร็จเป็นคนแรกของบ้านเรา (หรืออาจจะของโลกด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจ สำหรับหิ่งห้อยตระกูลนี้นะ) ฟังจากที่แกเล่าแล้ว อุปสรรคความยากลำบากก่อนที่จะสำเร็จได้ มันช่างมากมายเหลือเกิน คือแกเริ่มต้นทำมาตั้งแต่อยู่ป. ตรี มาจนถึงตอนนี้อยู่ป. เอก แล้ว ถึงเพิ่งจะสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้เอง เรียกว่าใช้เวลาเกือบ 10 ปีได้ กว่าจะเริ่มจากต้องไปเก็บหิ่งห้อยมา เอามาศึกษาว่ามันชอบวางไข่บนใบไม้แบบไหน พอไข่ฟักออกมาเป็นตัวอ่อนเหมือนลูกน้ำยุง ต้องให้มันกินอะไร น้ำต้องอุณหภูมิเท่าไหร่ ต้องสะอาดขนาดไหน สี่ห้าเดือนผ่านไป กว่ามันจะโต พอจะเข้าดักแด้ ก็ต้องเอาดินมาให้มันอยู่นะ ต้องหาฝาแก้วมาปิดจะได้มองเห็นพัฒนาการข้างในดักแด้ของมันได้นะ พอฟักออกมาเป็นตัวเต็มวัย จะศึกษาพฤติกรรมการผสมพันธุ์ของมันก็ต้องทำตอนกลางคืน ปิดไฟมืดสนิท นั่งดูนั่งถ่ายวิดิโอทีละเป็นสี่ห้าชั่วโมง ต้องทำทุกคืน ต้องดูแลทุกวันไม่มีวันหยุด ไหนจะมีปัญหาเรื่องทำๆ ไป อ้าวหิ่งห้อยเริ่มเป็นโรคตาย เพราะมันผสมพันธุ์กันในหมู่พี่น้องมากเกิน ก็ต้องออกไปหาหิ่งห้อยจากข้างนอกมาเพิ่มใหม่ ไหนจะทำๆ อยู่ดีๆ ก็เพิ่งค้นพบว่า อ้าวชนิดนี้เป็นชนิดใหม่ ไม่ได้เคยมีใครบันทึกไว้มาก่อน ก็ต้องมานั่งทำทะเบียนจดบรรยายลักษณะให้มันอย่างละเอียด หนวดมีกี่ปล้อง ขามีขนกี่เส้น อวัยวะเพศรูปร่างเป็นยังไงก็ต้องดึงออกมานั่งวาดอีก มุ่งมั่นศึกษาอยู่คนเดียวด้วยความทรหดอดทนเป็นอย่างยิ่ง จนถึงตอนนี้ก็เรียกได้ว่า อะไรต่างๆ มันก็เริ่มที่จะเข้าที่ละ และต่อไปอีกไม่นานก็คงเลี้ยงได้อย่างเป็นระบบ แล้วก็สามารถลงมือทำการศึกษา เพื่อหาคำตอบจริงๆ จังๆ เกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมของมันได้ซักที

...ผมฟังที่พี่ห้อยเค้าพูดจบ ก็เลยได้เป็นไอเดียบรรเจิดกลับมานั่งคิดที่บ้านนี่แหละครับ ว่าเออ ถ้าเรามีประชากรหิ่งห้อยพร้อมแล้ว ไม่แน่เราอาจจะสามารถลงมือศึกษาเรื่อง satellite male ได้นะ ว่ามันมีจริงรึเปล่า? แล้วถ้ามันมีจริงเนี่ย พวกมันจะประสบความสำเร็จในการหาคู่ได้มากน้อยขนาดไหน เมื่อเทียบกับตัวผู้อื่นๆ ที่กระพริบแสงตามปกติ? ตัวเมียมันจะยอมผสมพันธุ์กับตัวผู้ขี้โกง ที่ไม่ยอมกระพริบแสงมั้ย? หรือถ้า satellite male ไม่มีในหิ่งห้อย เป็นไปได้มั้ย ว่าเป็นเพราะหลอดไฟตรงตูดมันนั่นอาจจะเป็นหลอดผอมจอมประหยัด คือกระพริบไปเถอะไม่ได้สิ้นเปลืองพลังงานอะไรมาก ไม่จำเป็นต้องโกงก็ได้? หรือว่า จริงๆ แล้วปัจจัยเรื่องผู้ล่า แล้วก็ปรสิต อาจจะเข้ามามีอิทธิพลด้วย? ในหิ่งห้อยชนิดนี้มีตัวอะไรมากินมันมั่งรึเปล่า? มีแมลงวันมาวางไข่ในตัวมันมั่งรึเปล่า? แล้วพวกตัวเหล่านี้มาตามแสงของมันใช่หรือไม่? satellite male ในหิ่งห้อยอาจจะวิวัฒน์ขึ้นมาเพื่อเป็นวิธีหลีกเลี่ยงศัตรูตามธรรมชาติเหมือนอย่างในจิ้งหรีดก็เป็นได้..เอ๊ะแล้วหิ่งห้อยตัวเดิมถ้าเป็น satellite แล้วจำเป็นต้องเป็นไปตลอดเหมือนอย่างในจิ้งหรีดมั้ย? หรือว่ามันสามารถเลือกตัดสินใจได้ คืนไหนจะโกง คืนไหนจะไม่โกง? เออ แล้วนี่ ถ้าเลี้ยงได้เยอะๆ แล้ว จะสามารถผลักดันให้หิ่งห้อยกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดใหม่ มีขายตามจตุจักร คนสามารถซื้อไปปล่อยตามต้นไม้ที่บ้าน เป็นไปได้มั้ย? โอยยยย.. คำถามมันช่างผุดขึ้นมาไม่รู้จบ

...เสียดายในงานยังไม่มีโอกาสได้แชร์ไอเดียเหล่านี้ร่วมกับพี่ห้อยเป็นการส่วนตัว แต่ยังไงก็คาดว่า ต่อไปน่าจะได้ลองติดต่อขอไปเยี่ยมชมแล็บแกดูซักครั้งอย่างแน่นอน หรือไม่แน่นะครับ ผมอาจจะถึงขั้นขอสมัครเป็นลูกศิษย์ ไปทำงานร่วมกับแก ช่วยกันวิจัยเรื่องพฤติกรรมทางเพศของหิ่งห้อย (หลังจากที่ได้ศึกษาการเอากันของปลาหมึกมาจนเบื่อแล้ว) ดีไม่ดีสมัครเข้ามหิดล ทำเป็นตีสิสระดับปริญญาเอกไปเลยก็เข้าท่า..

บทความทั้งหมด คัดลอกมาจาก http://www.onopen.com/2007/02/1997 ครับ sleep
      บันทึกการเข้า

...
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #26 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2553, 12:53:41 »

ผมว่าทั้งหมด มันเป็นไปตามสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดมากกว่า
หากทำไปแล้ว ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
หากยังฝืนทำอยู่ ท้ายที่สุดมันเอง ก็ต้องสูญหายไปจากโลกอ่ะครับ
ประมาณว่า ใช้ไขกระดูกสันหลัง แทน สมอง อะไรประมาณนั้น
      บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #27 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2553, 21:58:39 »

ตกลงคนเป็นสัตว์กินพืชหรือสัตว์กินเนื้อกันแน่?  งง งง
(คัดลอกมาจากบทความของ อาจารย์ แทนไท ประเสริฐกุล)


เคยได้ยินพวกกินเจ มังสวิรัติ พวกชีวจิต การแพทย์ทางเลือก พวกถือศีล ปฏิบัติธรรม ไม่ก็พวกอนุรักษ์ เรียกร้องคุ้มครองสิทธิ
สัตว์ (เช่น PETA) ออกมาพูดกันบ่อยๆ บอกว่า คนเราเนี่ย จริงๆ แล้วโดยธรรมชาติเป็นสัตว์กินพืชนะ เพราะฉะนั้นจงเลิกกินเนื้อกันเสียเถอะ อย่ามัวแต่ฝืนกฏธรรมชาติกันอยู่เลย หันมากินแต่ผักผลไม้กันดีกว่า ไม่อย่างงั้น เดี๋ยวจะไม่สอดคล้องกับวิถีธรรมชาตินะ จะบอกให้

ทำไมท่านเหล่านี้จึงเชื่อว่าการกินพืชเพียงอย่างเดียวเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของคนเราครับ?

เหตุผลคลาสสิคที่หลายคนนำมาอ้าง หากลองไปเสริชดูตามเว็บต่างๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะเจอประมาณนี้*

*หมายเหตุ-ผมเลือกมาให้อ่านเยอะหน่อยนะครับ ถ้าขี้เกียจจะข้ามๆ ไปมั่งก็ได้ แต่ใจจริงอยากให้ใช้เวลาอ่านให้ครบทุกอัน เพราะ 1. หลายๆ อันมีช็อตเด็ดซ่อนอยู่ ไม่ควรพลาด 2. จะได้เข้าใจภาพรวมของความเห็นพวกนี้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด และ 3.จะได้ประจักษ์ว่า ความคิดเห็นทำนองนี้มันมีมากมายแพร่หลายขนาดไหนในประเทศไทยของเรา ถึงแม้จะเป็นแค่ในอินเตอร์เน็ตก็เถอะ

“มนุษย์เป็นสัตว์กินพืชนะ สังเกตจากโครงสร้างฟันเอา.. กินเนื้อมากๆ มะเร็งถามหา”
จากกระทู้หนึ่งใน pantip

“เคยได้ยินมาว่า คนเป็นสัตว์กินพืชด้วยเหตุว่ามีลำไส้ยาว และไม่มีฟันเขี้ยวสำหรับบดฉีกเนื้อครับ”
จากกระทู้หนึ่งใน ลานธรรมเสวนา


ทั้งหมดนี้มันจริงแน่หรือ? gek

โดยส่วนตัวผมไม่ได้มีอะไรต่อต้านการกินผักกินเจหรอกนะครับ เพียงแต่รู้สึกว่า เหตุผลต่างๆ ที่ท่านทั้งหลายนำมาอ้างเกี่ยวกับธรรมชาติเนี่ย ดูมันจะเป็นการสรุปอะไรอย่างง่ายดายเกินไปหน่อย..

เช่นนี้แล้ว กระผมอยากใคร่ชักชวนพวกเรา ลองมาวิเคราะห์ข้อเท็จจริงต่างๆ กันอย่างลึกซึ้งกว่านี้อีกหน่อยจะดีไหม? เผื่อจะได้มาซึ่งเหตุผลในการละเว้นเนื้อสัตว์ ที่มันสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น (ถ้าหากท่านเชื่อว่าการอ้างอิงความจริงเป็นเรื่องสำคัญนะ)

อันดับแรกเลย ขอเชิญมาดูเรื่องฟันกันก่อนครับ



โอเค จริงอยู่ ฟันพวกสัตว์กินเนื้ออย่างหมากับแมว มีทั้งเขี้ยวแหลมคม ทั้งหยึกหยักขึกขัก แตกต่างจากของคนโดยชัดเจน อันนี้ต่อให้เอาเด็กอ้วนเบร้อ-นมบอดที่ไหนมาดูก็น่าจะสามารถบ่งบอกได้ เรื่องนี้มันไม่มีใครเถียงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ทว่า ในขณะเดียวกัน ครั้นจะฟันธงไปเลยว่าฟันคนมันเหมือนกับของสัตว์กินพืช..
อืมม.... อันนี้ ผมว่า.. มันก็ไม่ได้เหมือนซะทีเดียวนะ
เตือน

หากดูให้ละเอียด ฟันกรามของสัตว์กินพืชแท้ จะมีลักษณะพิเศษคือซี่มันจะใหญ่โตโอราฬ แล้วก็จะงอกสูงตระหง่านขึ้นมาจากระดับเหงือกเยอะมาก ทั้งนี้เพื่อเป็นการเผื่อเนื้อที่ในการสึกกร่อน อันมักบังเกิดจากการที่ต้องเสียดสีกับความหยาบคายของกิ่งไม้ใบหญ้าอยู่ตลอดเวลา ฟันกรามของคนเรา เมื่อพินิจน์ดูแล้ว ช่างงอกเตี้ยติดเหงือกกว่าของพวกนี้มากนัก


(ซ้าย ฟันกรามคน...ขวา ฟันกรามม้า)
      บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #28 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2553, 22:05:48 »

ประการต่อมา สำหรับสัตว์กินพืชแท้ๆ การบดๆๆ แล้วก็เคี้ยวๆๆ ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ยิ่งมีจำนวนฟันที่อุทิศให้กับหน้าที่นี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ดังนั้น ตลอดระยะเวลาวิวัฒนาการที่ผ่านมา ฟันกรามเล็กของสายพันธุ์สัตว์กินพืชจึงมักถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยทำหน้าที่ในการบดร่วมกันกับฟันกรามใหญ่ รูปร่างของมันก็มักจะได้รับการปรับแต่งจนมีหน้าตาและการใช้งานที่เหมือนกับฟันกรามใหญ่เป๊ะ ในขณะที่ ถ้าเรามาดูในฟันกรามเล็กของคนเรา จะพบว่า ลักษณะมันยังเป็นกึ่งๆ ระหว่างฟันกรามกับฟันเขี้ยวอยู่ คือมีทั้งหน้าตัดที่กว้าง แล้วก็มีทั้งยอดที่แหลมๆ ขึ้นมาด้วย คงความเอนกประสงค์เอาไว้ เผื่อสำหรับเวลากินเนื้อ ก็จะได้สามารถใช้ฟันพวกนี้แหละ ทั้งฉีกทั้งเคี้ยวในซี่เดียวกัน



สังเกตว่าฟันกรามใหญ่กรามเล็กของวัวจะหน้าตาเหมือนกันเอาไว้ใช้บดเคี้ยวทั้งคู่ ส่วนในคน กรามเล็กจะมียอดแหลมๆ อยู่ เอาไว้ช่วยฟันเขี้ยวในการเจาะฉีกมากกว่า

นอกจากนี้ อีกส่วนนึงที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ ก็คือ ในสัตว์กินพืช ฟันกรามทั้งหมด พื้นผิวหน้าตัดด้านบนมันจะได้รับการดัดแปลงพิเศษ ให้มีสันมีร่องต่างๆ มากมาย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบด ครูด ขยี้ อาหารที่มันกินเข้าไปให้แหลกละเอียด (นึกถึงภาพ ที่บดปลาหมึก ไม่ก็ไอ้เครื่องที่เค้าเอาไว้ใช้รีดน้ำอ้อย พวกนี้จะมีลักษณะพื้นผิวเป็นสันๆ ร่องๆ เหมือนกัน) ถ้าไปดูฟันกรามของวัว ของกวาง ของแกะ จะเห็นได้ชัดเลยว่าทุกซี่ล้วนมีสันมีร่องตามยาวไล่ขนานไปกับแนวขากรรไกร ยิ่งของม้านี้ยิ่งมีมากร่อง พับไปพับมา สลับซับซ้อนมาก..


บนซ้าย: ฟันกรามวัว บนขวา: ฟันกรามกวาง ล่าง: ฟันกรามกาเซล(สัตว์ตระกูลกวางชนิดหนึ่ง)


ฟันกรามม้า


      บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #29 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2553, 22:11:28 »

นี่แหละครับ ถ้าดูกันที่ร่องที่สันของฟันกรามละก็ บนฟันคนเราไม่มีอะไรแบบนี้แน่นอน แตกต่างจากของสัตว์กินพืชโดยสิ้นเชิง ต่อให้เอาเด็กอ้วนเบร้อ-นมบอดคนเดิมมาดูก็น่าจะบ่งบอกได้ง่ายไม่แพ้กัน

ในความเป็นจริง พื้นผิวด้านบนของฟันกรามใหญ่ของคน มีลักษณะเป็นปุ่มๆ นูนๆ มนๆ โผล่ขึ้นมาตรงมุม ทั้งหมด 4 ปุ่ม ผิวฟันกรามแบบนี้ ไม่เหมือนทั้งของช้างม้าวัวควาย ไม่เหมือนทั้งของเสือสิงห์กระทิงแรด แต่กลับไปละม้ายคล้ายคลึงกับของหมูและหมีซะมากกว่า ซึ่งสัตว์ทั้ง 2 กลุ่มนี้ หากดูตามพฤติกรรมการกิน จะพบว่าต่างก็เป็นสัตว์ที่ไม่เรื่องมากด้วยกันทั้งคู่ คือโดยทั่วไปกินอาหารได้หลากหลาย มีอะไรให้กินก็กินได้หมด ไม่จำกัดว่าต้องเป็นเนื้อหรือเป็นพืชแต่อย่างเดียว เราเรียกพวกมันว่าเป็น Omnivore (คือ ผู้ที่กินทุกอย่าง)


ฟันหมู


ฟันหมี


ฟันคน
      บันทึกการเข้า

...
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #30 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2553, 17:07:59 »

สรุปก้อคือ มนุษย์เป็นสัตว์ที่กินทุกอย่าง

แต่ใครจะไปกินพืชอย่างเดียว
หรือบางคนอยากจะกินแต่เนื้ออย่างเดียว

อันนี้ก็แล้วแต่ความพีงพอใจส่วนบุคคล ห้ามกันไม่ได้
      บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #31 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2553, 17:27:21 »

แต่ตอนนี้ ฟันผุ  ต้องกินอะไรอ่อน ๆ
      บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #32 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2553, 10:37:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ Apirat T. เมื่อ 18 สิงหาคม 2553, 17:07:59
สรุปก้อคือ มนุษย์เป็นสัตว์ที่กินทุกอย่าง

แต่ใครจะไปกินพืชอย่างเดียว
หรือบางคนอยากจะกินแต่เนื้ออย่างเดียว

อันนี้ก็แล้วแต่ความพีงพอใจส่วนบุคคล ห้ามกันไม่ได้

ใช่แล้นครับ...

แต่ประเด็นหน่งที่น่าคิด คือ...
พวกที่อ้างถือศีลกินมังสวิรัตต์ > แต่พยายามให้ข้อมูลที่เป็นเท็จแก่ผู้อื่น ว่ามนุษย์เป็น Herbivore(พวกกินพืช 100%) โดยธรรมชาติเนี่ย
ถึงเขาจะลงลึกในศีลข้อ 1 แค่ไหน? แต่เขากลับผิดศีลข้อ 4 เบื้องต้น อย่างหน้าตาเฉย
   smoke
      บันทึกการเข้า

...
Tarnthongl
Full Member
**

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 482

« ตอบ #33 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2553, 17:46:15 »

เยี่ยมจริงๆๆ
      บันทึกการเข้า
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #34 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2553, 01:19:08 »

กินผักอย่างเดียวเนี่ยะ สุดท้ายจะมีผลกับร่างกายมั้ย
      บันทึกการเข้า
Tarnthongl
Full Member
**

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 482

« ตอบ #35 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2553, 22:28:38 »

ไม่รู้ลองดูดิ แต่กินให้ได้สารอาหารครบละกัน bye bye
      บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #36 เมื่อ: 16 มกราคม 2556, 21:53:25 »





จากหนังสือ'เหตุผลของธรรมชาติ'ของคุณหมอชัชพล เกียรติขจรธาดา
      บันทึกการเข้า

...
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #37 เมื่อ: 21 มกราคม 2556, 05:24:58 »


what??
อะไรน้องจาร'โอ?
พูดถึงเชื้อโรค?
พูดถึงภูมิคุ้มกันที่ร่างกายแต่ละคนต่อสู้เชื้อโรคด้วยคะ
เพราะขาดภูมิ,แม้แต่หวัดก็ม่องเท่งได้แล้ว!!
ทำไงให้ร่างกายมีภูมิต่างหาก..

สำคัญ!
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 2 [ทั้งหมด]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><