29 มีนาคม 2567, 00:53:45
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: “ความรู้สึกผิด"ควรเปลี่ยน“ผิด”ให้เป็น“ถูก”แต่อาจกลับเป็นตรงกันข้าม  (อ่าน 8703 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 06 มกราคม 2553, 07:01:25 »


                  

   มโนธรรมเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ดีงาม

         ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงอยากทำความดีด้วยกันทั้งนั้น มโนธรรมทำให้เราหวั่นไหวเมื่อเห็นความทุกข์ของผู้อื่น และอยากช่วยเหลือให้เขาพ้นทุกข์

         แต่หากเราทำในสิ่งตรงข้าม อย่าว่าแต่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นเลย เพียงแค่ยืนดูอยู่เฉย ๆ เมื่อเห็นเขาได้รับความทุกข์ เราก็จะรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ทุกคนย่อมรู้ดีว่าความรู้สึกผิดนั้นก่อความทุกข์ให้แก่จิตใจเพียงใด มันทั้งกดถ่วงหน่วงทับและทิ่มแทงจิตใจ ทำให้เจ็บปวดเศร้าสลด ยิ่งกว่านั้นมันมันยังสั่นคลอนความรู้สึกเคารพตัวเอง บางครั้งถึงกับฉีกทำลายภาพ “ตัวตน” อันงดงามที่เคยวาดไว้ให้ย่อยยับในฉับพลัน คำว่า “เสีย self”ดูจะเบาไปด้วยซ้ำ

         ความเจ็บปวดนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อทำร้ายตัวเรา แต่เพื่อกระตุ้นให้เราทำสิ่งที่ถูกต้อง หรือหลีกหนีจากอันตราย  เมื่อนิ้วสัมผัสกับเปลวไฟหรือเหล็กแหลม ความเจ็บปวดจะทำหน้าที่กระตุกให้เราดึงนิ้วออกมา คนที่สูญเสียประสาทรับรู้ความเจ็บปวด ร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล บางคนถึงกับปากแหว่งลิ้นกุดเพราะเผลอกัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่รู้ตัว

         ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราทำสิ่งที่ผิดพลาด ความเจ็บปวดเพราะรู้สึกผิด จะกระตุ้นให้เราหันมาทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ทั้งของผู้อื่นและของเราเองด้วย

         ความรู้สึกผิดมีหน้าที่ผลักดันให้เราเปลี่ยน “ผิด”ให้เป็น “ถูก”

         แต่บ่อยครั้งเรากลับพบว่าผลกลับตรงกันข้าม หลายคนกลับทำผิดซ้ำสอง หรือทำผิดยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เช่น  

         หาเหตุผลมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำที่ผิดนั้น เหตุผลที่นิยมอ้างกันโดยเฉพาะเวลาทำการทุจริตคอร์รัปชั่นก็คือ

                            “ใคร ๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น”  

         หากนิ่งเฉยเมื่อเห็นหญิงสาวถูกรุมทำร้าย เหตุผลที่ใช้บรรเทาความรู้สึกผิดก็คือ “กรรมใครกรรมมัน”  เหตุผลเหล่านี้ถูกอ้างขึ้นมาเพื่อให้การกระทำที่ผิดนั้นกลายเป็นถูก

         แต่ที่จริงกลับเป็นการทำผิดเป็นครั้งที่สอง เพราะเป็นการแก้ต่างให้กับการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่ต่างจาก การแก้ต่างให้กับโจร

         แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ การหันไปเล่นงานบุคคลซึ่งเป็นที่มาแห่งความรู้สึกผิดในใจตน  คนที่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ย่อมรู้สึกผิดเมื่อเห็นเพื่อนทำงานขยันขันแข็ง ตัวอย่างเช่น

         คนที่ทุจริตย่อมรู้สึกผิดเมื่อรู้ว่ามีเพื่อนบางคนปฏิเสธสินบน  

         นักปฏิบัติที่เพลินในการนอนอาจรู้สึกผิด ที่เห็นเพื่อนร่วมห้องพากเพียรภาวนา  

         หลายคนบรรเทาความรู้สึกผิดดังกล่าวด้วยการ หันไปกล่าวร้าย กลั่นแกล้ง หรือหาทางกำจัดคนที่ทำดีกว่าตน ราวกับว่าเขาเป็นศัตรูกับตน เพราะตราบใดที่คนเหล่านั้นยังปรากฏอยู่ต่อหน้า ความรู้สึกผิดก็จะยังทิ่มแทงใจตนตลอดเวลา

         กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ เกิดความสำคัญผิดไปว่าคนเหล่านั้น เป็นต้นตอแห่งความทุกข์ที่กำลังกัดกร่อนใจตน ทั้ง ๆ ที่สาเหตุแท้จริงนั้นได้แก่ การกระทำที่ไม่ถูกต้องของตัวเองต่างหาก

         ความรู้สึกผิดนั้นเป็นผลผลิตของมโนธรรมก็จริง แต่สามารถก่อให้เกิดอาชญากรรมหรือความเลวร้ายได้ จะว่าไปการเบียดเบียนทำร้ายกันบ่อยครั้ง ก็เกิดจากแรงผลักดันแห่งความรู้สึกผิด และคนที่ถูกทำร้ายนั้น หาใช่ใครที่ไหน หากเป็นคนที่เรารักหรือใกล้ชิดเรานี้เอง

         การทำร้ายผู้อื่นจึงมิใช่พฤติกรรมที่สงวนไว้สำหรับคนชั่วเท่านั้น แต่คนธรรมดา ๆ อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็สามารถลงมือได้เช่นกัน นี้เป็นประเด็น ที่ถ่ายทอดให้เห็นอย่างชัดเจนใน

         นิยายเรื่องเด็กเก็บว่าว ของฮาเหล็ด โฮเซนี่ (แปลโดยวิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ)

         อาเมียร์ กับ ฮัสซาน เป็นเด็กวัย ๑๓ ขวบที่เติบโตในบ้านหลังเดียวกันและดื่มน้ำนมจากอกแม่นมคนเดียวกัน แต่สถานะของคนทั้งสองต่างกันอย่างสิ้นเชิง อาเมียร์เป็นบุตรชายของคหบดี ส่วนฮัสซานเป็นลูกสาวของคนใช้ รูปร่างหน้าตาที่น่าเย้ยหยันของฮัสซานนั้นตรงข้ามกับน้ำใจ ที่งดงามเปี่ยมด้วยความซื่อสัตย์ และภักดีต่ออาเมียร์ ในสายตาของฮัสซาน อาเมียร์นั้นสูงส่งกว่าเขาทั้งชาติวุฒิและคุณวุฒิ ฮัสซานพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่ออาเมียร์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับฮัสซานก็ตาม “สำหรับคุณ(อาเมียร์) กว่านี้อีกพันเท่าก็ยังไหว” ไม่ใช่เป็นแค่คำพูดที่ฮัสซานประดิดประดอย แต่ออกมาจากใจอันใสซื่อ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พิสูจน์ให้อาเมียร์เห็น  

         อัสเซฟเป็นลูกของผู้มีอิทธิพล ทำตัวเยี่ยงอันธพาล เกิดมีปากเสียงวิวาทกับอาเมียร์ซึ่งมีอายุอ่อนกว่ามาก  อัสเซฟกับพวกอีก ๒ คน รุมล้อมกรอบเขาและเตรียมทำร้ายด้วยสนับมือ แต่ต้องชะงักเมื่อพบว่าฮัสซานเหนี่ยวหนังสติ๊กคู่ใจเล็งมา ที่หน้าของอัสเซฟ พร้อมกับวิงวอนขอให้ปล่อยอาเมียร์ ทั้ง ๆ ที่กลัวตัวสั่นแต่ฮัสซานพร้อมยิงนัยน์ตาของอัสเซฟ หากอาเมียร์ถูกทำร้าย ทั้งสองผ่านเหตุการณ์วันนั้นได้ด้วยความปลอดภัย แต่ต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงลิบลิ่ว  

         อัสเซฟและพวกมีโอกาสชำระความแค้น เมื่อเทศกาลแข่งว่าวมาถึง อาเมียร์สามารถปราบว่าวทุกตัวที่มาประชันบนท้องฟ้าได้หมด รวมทั้งว่าวสีน้ำเงินซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ ขณะที่อาเมียร์ฉลองชัยชนะที่รอมานานหลายปี ฮัสซานออกไปตามเก็บว่าวสีน้ำเงินให้อาเมียร์ตามลำพัง เป็นโอกาสที่อัสเซฟและพวกติดตามล่าไปล้างแค้น อาเมียร์เฉลียวใจเมื่อรู้ว่าฮัสซานหายไปนาน จึงกลับไปตามหาเขา และแล้วก็พบกับเหตุการณ์ที่จะตามหลอกหลอนเขาไปอีกหลายสิบปี อัสเซฟและพวกรุมข่มขืนฮัสซานอย่างโหดร้าย

         ขณะที่อาเมียร์ยืนหลบซุ่มอยู่ในมุมที่ปลอดภัย แทนที่เขาจะวิ่งไปช่วยฮัสซาน หรือตะโกนขอความช่วยเหลือ อาเมียร์เลือกที่จะถอยหลังกลับและวิ่งออกไปจากที่เกิดเหตุ

         คืนนั้นฮัสซานกลับมาพร้อมกับว่าวสีน้ำเงินด้วยร่างกายที่บอบช้ำ อาเมียร์รู้อยู่เต็มอกว่า ว่าวตัวนั้นเขาได้มาก็เพราะฮัสซานปฏิเสธ ที่จะมอบว่าวให้กับอัสเซฟเพื่อแลกกับความปลอดภัยของเขา ฮัสซานยอมพลีกายเพื่อนำว่าวตัวนั้นกลับมาให้อาเมียร์ อาเมียร์รู้สึกผิดมากขึ้นเมื่อสบตากับฮัสซาน และรู้ว่าฮัสซานเห็นเขาแอบซุ่มอยู่หลังตึกขณะที่เขาถูกรุมทำร้าย ฮัสซานเห็นเขาแต่ไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากเขาเลย  

         นับแต่วันนั้นอาเมียร์ไม่มีความสุขเลยที่เห็นฮัสซาน ยิ่งฮัสซานปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพอ่อนน้อม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เขาก็ยิ่งเจ็บปวดที่ทรยศฮัสซาน ยิ่งเจ็บปวดมากเท่าไรเขาก็ยิ่งอยากกำจัดฮัสซานออกไปจากบ้าน

         แล้ววันหนึ่งเขาก็บอกพ่อว่า นาฬิกาและเงินของเขาหายไป ไม่นานก็พบว่าสิ่งของทั้งหมดนั้นซ่อนอยู่ใต้ฟูกนอนของฮัสซาน เมื่อพ่อของอาเมียร์ซักถามฮัสซาน แทนที่จะปฏิเสธ ฮัสซานกลับยอมรับว่าเป็นคนขโมยไป  

         ไม่มีใครเชื่อว่าฮัสซานทำเช่นนั้น แต่นี่เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ฮัสซานได้พิสูจน์ถึงความภักดีต่ออาเมียร์ และ เป็นครั้งสุดท้ายเพราะไม่กี่วันต่อมา ทั้งฮัสซานและพ่อก็ขอกลับบ้าน แม้จะถูกทัดทานจากพ่อของอาเมียร์ก็ตาม

         อาเมียร์ดีใจที่ฮัสซานเดินออกไปจากชีวิตของเขาเสียที ต่อไปนี้ไม่มีใครที่จะเตือนใจให้เขารู้สึกผิดที่ได้ทรยศเพื่อน ไม่มีใครที่จะเปิดเผยความลับของเขาให้โลกรู้ เขายังเป็นคนดีของพ่ออยู่ต่อไป แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะความรู้สึกผิดยังหลอกหลอนเขาอยู่ต่อไปอีกหลายสิบปี มีทางเดียวเท่านั้นที่ความรู้สึกผิดจะเลือนหายไป  นั่นคือ การกลับไปแก้ตัวด้วยการทำความดีทดแทนความผิดพลาดในอดีต  

         เรื่องขออาเมียร์และฮัสซาน มิใช่เป็นแค่เรื่องราวของเด็กสองคนในอัฟกานิสถาน แต่เป็นเรื่องของเราทุกคน ใช่หรือไม่ว่าบางครั้งเราทำร้ายคนใกล้ชิด เพียงเพราะทนความรู้สึกผิดไม่ได้ ลึก ๆ เราอยากเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ความรู้สึกผิดกลับทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเอง แทนที่เราจะบรรเทาความรู้สึกผิดด้วยการหันมาแก้ไขตัวเอง บ่อยครั้งเราเลือกที่จะไปจัดการกับคนอื่นซึ่งมิใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่เราเคยทำผิดกับเขามาแล้ว เราต้องการให้เขาพ้นไปจากสายตาหรือชีวิตของเรา เพื่อเราจะได้รู้สึกดีขึ้นกับตัวเอง แต่ยิ่งแก้ปัญหาผิดจุด ความผิดพลาดก็ยิ่งพอกพูนจนส่งผลยาวไกลต่อชีวิต เช่น ทำให้ชีวิตตกต่ำลง หรือก่อผลร้ายต่อผู้อื่นต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ทั้ง ๆ ที่บางครั้งเพียงแค่สารภาพผิดหรือขอโทษ ก็ทำให้ความรู้สึกผิดนั้นเปลื้องออกไปจากใจได้ไม่น้อย ความรู้สึกผิดบางครั้งถึงขั้นก่อให้เกิดอาชญากรรมได้  

         ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวในยุโรปได้ตกเป็นเหยื่อของระบอบนาซี มิใช่แต่ชาวเยอรมันเท่านั้นที่ร่วมมือในการกวาดล้างชาวยิว ชาวยุโรปในหลายประเทศก็ให้ความร่วมมือด้วย โดยเฉพาะประเทศที่รัฐบาลนาซีเข้าไปยึดครอง หนึ่งในนั้นคือโปแลนด์ อันเป็นที่ตั้งของค่ายกักกันนาซีที่มีชื่อเสียงก้องโลก อาทิ เอาชวิตช์ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ชาวยิวที่เคยถูกกักกันได้กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน แต่สิ่งที่ได้พบก็คือ

         การถูกทำร้ายอย่างทารุณจากชาวโปลิช หลายคนถูกทุบตี จำนวนไม่น้อยถูกสังหาร บางครั้งถึงกับถูกฆ่าหมู่เป็นเรือนร้อย แม้แต่เด็กก็ไม่ละเว้น จนชาวยิวต้องอพยพหนีจากโปแลนด์ในเวลาไม่นาน

         คำถามก็คือ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร อ่านบทความทั้งหมดได้จากแหล่งที่มาที่คัดลอกมาจากบล็อกแก็งค์ Another Side Lifestyle Blog เรื่อง "เปลี่ยนผิดให้เป็นถูก" ที่ คอลัมภ์ All Blog ด้านซ้ายมือ ล่างสุด


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&group=1

                                   รักนะ รักนะ รักนะ  
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2553, 17:21:45 »




ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร

ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง
แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน จึงทำให้
น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา2ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง

ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง

ในขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
 
มันรู้สึกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา

หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่า เป็นความล้มเหลวอันขมขื่น

วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า

' ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า ทำให้น้ำที่อยู่ข้างใน
ไหลออกมาตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน '

คนตักน้ำตอบว่า

' เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้าแต่กลับไม่มีดอกไม้
อยู่เลยในอีกด้านหนึ่งเพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่

ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า และทุกวันที่เราเดินกลับ ...

เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นเป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้
สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว

ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว ... เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้ '

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ                    

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เรา
แต่ละคนมีนั้นอาจทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจและกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้

สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัว
ของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง มองโลกหลายๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น


 รักนะ รักนะ รักนะ

ได้สิ่งดี ๆ นี้มาจากอีเมลล์ นำมาเป็นกำลังใจพวกเรา ที่มองตัวเองว่าบกพร่อง จะได้มีกำลังใจ  

 เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #2 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2555, 04:50:00 »

อ้างถึง
ข้อความของ Samrotri2517 เมื่อ 21 พฤษภาคม 2553, 17:21:45



ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร

ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง
แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน จึงทำให้
น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา2ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง

ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง

ในขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
 
มันรู้สึกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา

หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่า เป็นความล้มเหลวอันขมขื่น

วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า

' ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า ทำให้น้ำที่อยู่ข้างใน
ไหลออกมาตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน '

คนตักน้ำตอบว่า

' เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้าแต่กลับไม่มีดอกไม้
อยู่เลยในอีกด้านหนึ่งเพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่

ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า และทุกวันที่เราเดินกลับ ...

เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นเป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้
สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว

ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว ... เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้ '

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ                   

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เรา
แต่ละคนมีนั้นอาจทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจและกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้

สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัว
ของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง มองโลกหลายๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น


 รักนะ รักนะ รักนะ

ได้สิ่งดี ๆ นี้มาจากอีเมลล์ นำมาเป็นกำลังใจพวกเรา ที่มองตัวเองว่าบกพร่อง จะได้มีกำลังใจ 

 เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ

           ................ดีจัง.................

            ......... อ่านแล้วชื่นใจ.........

                           พี่Nok15
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #3 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2555, 08:57:47 »

อ่านบทความ ของหมอสำเริงแล้ว รู้สึกดีทุกครั้งเลย
ทำให้รู้สึกว่า สังคมเรา ยังมีความหวัง หวังว่าจะดีขึ้นได้ในอนาคต
ถ้ามีคนคิดและปฏิบัติ แบบหมอสำเริงอยู่ แยะๆ
เข้ามาบ่อยๆนะครับ หมอสำเริง
รักนะ

สวัสดีครับ พี่นก15
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #4 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2555, 09:37:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2555, 08:57:47
อ่านบทความ ของหมอสำเริงแล้ว รู้สึกดีทุกครั้งเลย
ทำให้รู้สึกว่า สังคมเรา ยังมีความหวัง หวังว่าจะดีขึ้นได้ในอนาคต
ถ้ามีคนคิดและปฏิบัติ แบบหมอสำเริงอยู่ แยะๆ
เข้ามาบ่อยๆนะครับ หมอสำเริง
รักนะ
สวัสดีครับ พี่นก15
สวัสดีค่ะหมอสำเริง พี่นก น้องสมชายและพี่น้อง
คนที่น้องสมชายมองหา ...
อย่างน้อยก็เจอะเจอในสังคมของชาวซีมะโด่งนี่ไงค่ะ
      บันทึกการเข้า
wannee
Global Moderator
Cmadong พันธุ์แท้
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: จุฬาฯรุ่นประวัติศาสตร์ 2516
คณะ: ทันตแพทยศาสตร์
กระทู้: 4,806

« ตอบ #5 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2555, 10:08:49 »


ตามเพื่อนทรายเข้ามาค่ะ


หลังจากอ่านแล้วได้ข้อคิดอีกข้อค่ะ

ถังน้ำใบที่มีรอยแตก  ยังเป็นตัวช่วยถ่วงดุลย์(อีกข้าง) ให้ใบที่ไร้รอยตำหนิ

ทำให้ชายคนนี้หาบน้ำไปได้สะดวกขึ้น


ขอบคุณหมอสำเริงค่ะ
      บันทึกการเข้า

"เสียด" ภาษาจีนฮากกา แปลว่า หิมะ
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><