24 พฤษภาคม 2567, 00:26:35
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 ... 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 304253 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #375 เมื่อ: 11 มีนาคม 2554, 20:08:51 »

"อนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล"ยันการโอนนักโทษช่วย"วีระ-ราตรี"ทำได้แน่
 
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 11 มีนาคม 2554 18:53 น. manager online
 
 
  เป็นเรื่องที่น่ามึนงงสงสัยและตกใจอย่างมาก ที่กระทรวงต่างประเทศได้ออกมาตอบโต้ทันที หลังจากบทความที่ผมเขียนด้วยความบริสุทธิ์เพียงเพื่อช่วยหาช่องทาง ช่วยเหลือคุณวีระและคุณราตรี ที่ต้องสูญเสียอิสรภาพและกำลังทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ในต่างประเทศจากข้อกล่าวหาที่อาจจะนับได้ป่าเถื่อน ไร้มาตรฐาน และปราศจากความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง ให้มีโอกาสได้เดินทางกลับมาประเทศไทยโดยปลอดภัย เผยแพร่ทางสื่อมวลชน ว่า การช่วยเหลือ คุณวีระ และ คุณราตรี ด้วยการโอนนักโทษนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะไม่เข้าเงื่อนไขตามข้อกำหนดในสนธิสัญญาโอนนักโทษที่ต้องไม่ใช่ความผิดต่อความมั่นคง และต้องได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3
       
       ไม่มีใครปฏิเสธหลอกครับว่าการดำเนินการใดๆก็ตามที่ต้องกระทำเป็นทางการ และโดยเฉพาะที่ต้องเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ต้องมีหลักเกณฑ์เงื่อนไขและกฎระเบียบต่างๆกำหนดไว้ แต่การช่วยเหลือคนไทยทั้งสองคนที่กำลังทนทุกข์ทรมานดังกล่าวเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนควรที่จะต้องมาร่วมมือร่วมใจกันหาหนทางช่วยเหลือโดยเร่งด่วน ไม่ใช่รีบออกมาโต้แย้งปฏิเสธเสียตั้งแต่ต้น โดยไม่ทันได้พิจารณาศึกษาให้รอบครอบครบถ้วนเสียก่อน ทำให้ข้อครหาที่ว่ารัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีความจริงใจในการช่วยเหลือคุณวีระ และ คุณราตรี ยิ่งมีความสงสัยมากขึ้น
       
       คนติดคุกนะครับแค่เพียง 1 วัน ก็ทรมานใจอย่างยิ่งแล้ว นี้ถ้านับตั้งแต่ 29 ธันวาคม 2553 ที่คนทั้งสองถูกจับไปพร้อมกับคนไทยอีก 5 คน ถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 73 วันแล้ว นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ นายกษิต และพลเอกประวิตร ตลอดจนนายชวนนท์ นายธานี และนายประสาท ไม่เคยถูกจำคุกคงไม่ทราบถึงความรู้สึกตรงนี้
       
       หากย้อนกลับไปเรื่องนี้ตามข่าวที่ปรากฏจากสื่อมวลชนโดยทั่วไปรวมทั้การยอมรับของนายอภิสิทธิ์ เริ่มต้นจากการที่นายอภิสิทธิ์ มอบหมายให้นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัติย์ ไปตรวจสอบที่ดินบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ตามที่มีชาวบ้านร้องเรียน ว่าถูกชาวกัมพูชา บุกรุกที่ดินทำกิน นายพนิช จึงได้ขอร้องให้ร้อยโทแซมดินและคุณวีระ เป็นผู้พาไปจนกระทั่งคนไทยที่ร่วมเดินทางไปพร้อมกัน 7 คน ถูกทหารเขมรควบคุมตัวไปขึ้นศาลกัมพูชาจนเหตุการณ์บานปลายมาจนถึงวันนี้ นายอภิสิทธิ์ จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อผลกรรมที่เกิดขึ้นกับคุณวีระและคุณราตรี ในขณะนี้ได้อย่างสิ้นเชิง
       
       แต่พฤติการณ์ที่ผ่านมานายกอภิสิทธิ์ และรัฐบาลของท่าน นอกจากจะยังไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นในการรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ให้เห็นเท่าที่ควรแล้ว ยังปรากฏพฤติการณ์ในลักษณะทำนองการกล่าวหาซ้ำเติมคุณวีระและคุณราตรี อีกด้วย เมื่อผมออกมาเสนอช่องทางกฎหมายเพื่อดำเนินการช่วยเหลือคุณวีระและคุณราตรี ก็รีบออกมาปฏิเสธทันทีว่าทำไม่ได้ อ้างเงื่อนไขต่างๆนาๆ

       
       จากข้อมูลเกี่ยวกับกรณีการโอนตัวนักโทษในช่วงตั้งแต่ปี 2533 ถึงเดือนเมษายน 2553 มีการโอนตัวนักโทษต่างชาติไปแล้วจำนวน 860 คน และมีการโอนตัวนักโทษไทยกลับมาจำนวน 8 คน
       
       ทุกท่านที่เคารพครับ สนธิสัญญาโอนนักโทษมีลักษณะเป็นข้อตกลงสองฝ่ายที่จัดทำขึ้นโดยอยู่บนพื้นฐานของหลักการถ้อยทีถ้อยอาศัย ดังนั้น ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขใดที่เป็นอุปสรรคต่อหลักการดังกล่าวปรากฏอยู่ในสนธิสัญญา ประเทศคู่สัญญาก็ย่อมสามารถตกลงยินยอมกันเพื่อยกเว้นเงื่อนไขเหล่านั้นได้ และน่าจะง่ายกว่าการกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระมหากษัตริย์กัมพูชาที่ต้องขอให้พระองค์ท่านกระทำการที่อาจจะผิดต่อกฎหมายอีกด้วย เพราะเท่าที่ปรากฏในข่าวตามกฎหมายของกัมพูชานั้น นักโทษที่จะขออภัยโทษได้ต้องได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แต่คุณวีระและคุณราตรี ยังรับโทษไม่ถึงอย่าว่าแต่มีสนธิสัญญาโอนนักโทษระหว่างไทยกับกัมพูชาที่นายกษิตและนายฮอร์ นัม ฮง ลงนามไว้เมื่อ 5 สิงหาคม 2552 แล้วในขณะนี้เลยครับ
       
       แม้ก่อนจะมีสนธิสัญญาไทยและกัมพูชาก็ได้มีการโอนนักโทษให้แก่กันมาแล้ว โดยนักโทษไทย 2 คน ที่เป็นชาวมุสลิมถูกกล่าวหาในความผิดฐานเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งถือเป็นความผิดต่อความมั่นคง และนักโทษกัมพูชาต้องโทษถึงประหารชีวิตที่นายกษิต เองกล่าวว่าจะต้องดำเนินการขอพระราชทานอภัยโทษให้ก่อนอีกด้วย ข้อมูลนี้ปรากฏตามข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 13 กรกฎาคม 2552 ดังนี้ “นายกษิต ภิรมย์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า นักโทษชายไทยมุสลิม 2 คน ซึ่งถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย ที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากรัฐบาลกัมพูชา ตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนตัวนักโทษระหว่างไทยและกัมพูชา เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. พร้อมกับมีรายงานว่า นักโทษคนดังกล่าว ได้เข้าพบตน และภริยาตั้งแต่วันแรกที่เดินทางกลับ และขณะนี้อยู่ในการดูแลของทางการไทย ส่วนนักโทษกัมพูชาที่เราต้องส่งไปให้กัมพูชานั้น กฎหมายไทยต้องมีความตกลงว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ ซึ่งได้เจรจาไปแล้วเมื่อวันที่ 10 ก.ค. และจะเอาเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แต่คงไม่ต้องนำเข้าสภาฯ เพราะมี พ.ร.บ.อยู่แล้ว คาดว่าจะลงนามกับฝ่ายกัมพูชาได้ที่ จ.ภูเก็ต และจะสามารถส่งตัวนักโทษกลับไปได้ตามสัญญาที่ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกันไว้ รมว.ต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า ส่วนผู้ที่ต้องโทษประหารจะมีการดำเนินการเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะต้องลดโทษประหารให้เหลือโทษจำคุกตลอดชีวิตก่อน จึงจะสามารถส่งตัวไปได้ตามเงื่อนไขของกฎหมายไทย ทั้งนี้ ทางกัมพูชาได้ขอตัวนักโทษจำนวน 4 คน จากฝ่ายไทยให้กลับไปรับโทษต่อในกัมพูชา แต่มีเพียงคนเดียวที่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมายไทยที่จะส่งตัวไปได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติด”
       
       เห็นข้อมูลของนายกษิต ที่จะทำทุกวิถีทางแม้กระทั่งต้องรบกวนเบื้องพระยุคลบาทเพียงเพื่อที่จะช่วยนักโทษกัมพูชาที่ต้องโทษถึงประหารชีวิตให้ได้กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนข้างต้น เปรียบเทียบกับความพยายามช่วยเหลือคุณวีระและคุณราตรี ของรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เท่าที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้แล้ว พ่อแม่พี่น้องรู้สึกอย่างไรบ้างครับ ( เรื่องมันแสนเศร้าจริงๆประเทศไทย) ผมจึงขอยืนยันอีกครั้งครับว่าการโอนตัวนักโทษยังเป็นช่องทางที่ดีที่สุดอีกช่องทางหนึ่งที่น่าจะสามารถช่วยคุณวีระและคุณราตรี กลับมาประเทศไทยได้ รีบเถอะครับท่านผู้มีอำนาจ ท่านผู้มหาจำเริญทั้งหลาย จะให้กราบอีกกี่ครั้งก็ยอมครับ
       
      สุดท้ายผมอยากจะกล่าวถึงปรัชญาการทำงานของผู้พิพากษาที่ทุกท่านทราบดีกันแล้วไว้ในที่นี้อีกครั้งว่า “ปล่อยคนผิด 10 คน ดีกว่าลงโทษคนไม่ผิดเพียงคนเดียว” ผมเป็นชาวพุทธเชื่อในบาปบุญคุณโทษ เวรกรรมมีจริงนะครับ ท่านผู้มีอำนาจในรัฐบาลที่ผมได้กล่าวถึงข้างต้นระมัดระวังไว้บ้างก็ดีครับ
       
      อนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา
       sa_anuruk @ yahoo.co.th

 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #376 เมื่อ: 16 มีนาคม 2554, 22:58:30 »

การเมือง : การเมืองท้องถิ่น
วันที่ 14 มีนาคม 2554 05:54
65 ปีปชป.ระวังซ้ำรอย ใกล้จุดจบ'อภิสิทธิ์'
โดย : ประชุม ประทีป จากกรุงเทพธุรกิจ

 
 พรรคประชาธิปัตย์จะครบ 65 ปีข้างหน้า ในวันที่ 6 เมษายน “วันจักรี” สื่อนัยสัญลักษณ์พรรคอนุรักษ์นิยม ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

บทบาทฝ่ายค้าน ไม้เบื่อไม้เมากับทหาร โดดเด่นมาตลอด กระนั้น ช่วงรัฐประหาร 8 พ.ย.2490พรรคประชาธิปัตย์สมยอมกับทหาร รับเป็นรัฐบาลขัดตาทัพโดยนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นไม่นาน (8 เม.ย.2491) ถูกบีบให้ลงตำแหน่งให้ จอมพล ป.พิบูลสงคราม กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง

พรรคประชาธิปัตย์ก่อเกิดจากคนชั้นสูง เพื่อปกป้องกลุ่มศักดินาอำมาตย์นิยม เพื่อต้านอิทธิพลของ “คณะราษฎร” ที่ทรงอิทธิพลมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิ.ย.2475 และเสื่อมอำนาจลงเพราะต่อต้านกันเอง ปีกฟาสซิสต์จอมพล ป. กำราบลงได้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งหมดสิ้นอิทธิพลในหลังกึ่งพุทธกาล ด้วยน้ำมือ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์

พ.ศ.2551 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ทหารอุ้มสมร่วมกับอดีตพรรคร่วมรัฐบาลนอมินี(ทักษิณ) สวมกอด เนวิน ชิดชอบ แบบทำเป็นกระดากนิด ๆ   

ภายใต้การบริหารประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นไปตามกฎเหล็ก 9 ข้อ และนโยบายแถลงต่อรัฐสภา ต่อประชาชนหรือไม่ ก็น่าจะประเมินกันได้

ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองแก้ไขได้หรือไม่ ปัญหาเศรษฐกิจแก้ได้หรือไม่ ปัญหาพิพาทระหว่างประเทศรุนแรงขึ้นหรือไม่

เฉพาะนโยบายปรองดอง ด้วยการมีมติ ครม. ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นำเงินงบประมาณแผ่นดินจากภาษีประชาชน ไปประกันตัวแกนนำและแนวร่วมฮาร์ดคอร์ นปช.เสื้อแดง ศาลต้องทยอยให้ประกันตัว ที่เพิ่งมอบตัวกับกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ก็ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

จริงหรือจะปรองดองได้จริง ๆ เป็นความชาญฉลาด หรือเบาปัญญากันแน่! ในทางกลับกัน ทหารที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่กำราบเสื้อแดง ดีเอสไอที่ทำคดีเสื้อ ก็เข้าทำนอง “หมาหัวเน่า” สิ่งที่ปฏิบัติหน้าที่ไปสูญเปล่า อีกทั้งกระบวนการยุติธรรมต้องมาเสี่ยงบนทางแพร่งอำนาจ แห่งอนาธิปไตย กฎหมายไร้ความหมาย

ในแง่เสื้อแดง นปช.ได้ชัยชนะแล้ว ผ่านการกดดันต่อศาล และไม่มีหลักประกันว่า พรรคประชาธิปัตย์จะได้ประโยชน์จากการกระทำเช่นนี้จริง เพราะคนกรุงเทพฯ ย่อมไม่ปรองดองกับเสื้อแดง และจะไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์ด้วย

รณี 7 คนไทยถูกเขมรจับกุมดำเนินคดีส่งขึ้นศาลพนมเปญลงโทษ จนถึงขั้นทหารเขมรยิงปะทะทหารไทยที่เขาพระวิหาร และยังตั้งเป้ายิงใส่ 3-4 หมู่บ้าน ตำบลเสาธงชัย ชาวบ้านเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนไม่น้อย อย่างนี้ชาวบ้านตำบลเสาธงชัย และประชาชนจำนวนมาก คงไม่อยากปรองดองกับรัฐบาลที่ไม่เคยแสดง รัฐ+อภิบาล

"รัฐ" ประกอบด้วย ประชาชนเป็นพื้นฐาน สถาบันพระมหากษัตริย์ปักเป็นเสาเอก และผืนแผ่นดินอาณาเขตแสดงอธิปไตย 

ยังมองไม่เห็นทางออกเลย ประกาศยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แล้วตั้งรัฐบาลให้พวกนักเล่นการเมืองเก่าๆ กลับมาผสมพันธุ์กันใหม่ แล้วจะแก้ปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา ได้อย่างไร แก้ปัญหากลุ่มป้องกันราชอาณาจักรไทย เครือข่ายประชาชนไทยรักชาติ ได้อย่างไร จะแก้ปัญหาทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงได้อย่างไร 

ย่าลืมว่า ก่อนจะได้ตั้ง "รัฐบาลอภิสิทธิ์-เนวิน" กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต้องสังเวยชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

ระหว่างเป็น "รัฐบาลอภิสิทธิ์-เนวิน" เกิดเหตุการณ์จลาจล ยิง เผา นองเลือด กี่ระลอก

ขณะนี้ "รัฐบาลอภิสิทธิ์" ออกคำสั่งไล่พวกชุมนุมประท้วงออกจากถนนพิษณุโลก และถนนราชดำเนินนอก ภายใน 15 มีนาคม แล้วรัฐบาลไทยได้อภิบาลคนไทย ปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของประเทศไทยได้แค่ไหน

ยังมองไม่ออกเลย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" จะมีชีวิตบนเส้นทางการเมืองอยู่ต่อไปได้อย่างไร

อย่าคิดว่าเสื้อแดง "ทักษิณ" จะปรองดองด้วยจริง ภาษิตจีน 10 ปีแก้แค้นยังไม่สาย ยังใช้ได้อยู่ และอาจจะไม่นานถึงสิบปีหรอก

ประชาชนกลุ่มพลเมืองต่อต้านการเสียดินแดน ก็โกรธแค้นรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่เขาเชื่อว่า กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา และเขาเชื่อว่าไม่ทำตามถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ถ้าทหารพลิกเลิกค้ำรัฐบาล เลิกหนุนพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะซ้ำรอยเมื่อกว่า 60 ปีก่อน
 สถานการณ์ประเทศไทยอยู่ในช่วงวิกฤตอีกรอบ เป็นวิกฤตที่รอทางออกที่ถูกต้อง ถ้าออกทางไม่ถูกแล้วละก้อ จะน่าสลดหดหู่อีกแน่
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #377 เมื่อ: 21 มีนาคม 2554, 15:36:08 »

ลม เปลี่ยนทิศ” อัดการเมืองปาหี่ แนะ “ยุบสภาไม่มีเลือกตั้ง” ทางออกประเทศ
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 มีนาคม 2554 12:18 น.
 
 
บทความ “ยุบสภาไม่มีเลือกตั้ง” โดย ลม เปลี่ยนทิศ

 
  คอลัมนิสต์ไทยรัฐ “ลม เปลี่ยนทิศ” เอือมระอาสภาไทย คะแนนไว้วางใจนายกฯ “อภิสิทธิ์” กลับแพ้ “พรทิวา-ปู่จิ้น” ทั้งที่มีเรื่องฉาวโฉ่มากที่สุด ถือตบหน้าคนไทยทั้งประเทศ ชี้ใครๆ ก็รู้ว่าฝีมือของใคร โชว์เพาเวอร์ว่าใครคุมรัฐบาลตัวจริง ผิดหวังอภิสิทธิ์ปกป้องรัฐมนตรีฉาว อยากท้าสาบานวัดพระแก้วว่าไม่มีทุจริตจริงๆ ก่อนจะเห็นด้วยกับทางออกต้อง “รีบิวด์” ประชาธิปไตย ไม่ใช่ปฏิวัติโดยทหาร แต่ใช้กลไกการเมืองเปลี่ยนผ่าน หวังให้การเมืองกลับมามีคุณธรรม จริยธรรมอีกครั้ง
       
       คอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” โดยนามแฝง ลม เปลี่ยนทิศ ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันที่ 21 มีนาคม 2554 ได้เขียนบทความในหัวข้อ “ยุบสภาไม่มีเลือกตั้ง” ซึ่งกล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยเฉพาะการลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล ที่เสร็จสิ้นไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
       
       ในบทความดังกล่าวระบุว่า ตนเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่คิดว่า “สภา...แบบนี้ อย่ามีเสียเลยดีกว่า” ซึ่งสภาแบบนี้จะนำประเทศไทยไปสู่ความหายนะในอนาคตแน่นอน เพราะเป็นได้อย่างไรรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาทุจริตคอรัปชันมากที่สุด กลับได้คะแนนไว้วางใจสูงสุดจาก ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล สูงกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเสียอีก ถือเป็นการตบหน้าคนไทยทั้งประเทศ และตบหน้าระบอบประชาธิปไตยไทย เพื่อบอกให้คนไทยทั้งประเทศรู้ว่า ระบอบประชาธิปไตยเมืองไทยอยู่ในอุ้งมือใคร และเห็นว่า ถ้าประชาธิปไตยของคนไทยทุกคนจะต้องไปอยู่ในอุ้งมือของใครสักคน ไปอยู่ใน “อุ้งมือทหาร” ของทหารที่หวังดีต่อชาติ บ้านเมือง ให้รู้แล้วรู้รอด ยังดีกว่าไปอยู่ในอุ้งมือของนักการเมืองที่ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง
       
       “ผมไม่รู้ว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ ซึ่งได้รับการศึกษาชั้นสูง สาขาวิชาปรัชญาเศรษฐกิจการเมืองจาก “ออกซฟอร์ด” มหาวิทยาลัยชั้นนำ เมืองผู้ดีอังกฤษ ประเทศแม่แบบประชาธิปไตย ที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต คุณธรรม จริยธรรม กลับยอมรับประชาธิปไตยแบบนี้ได้อย่างไร ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ บ้างเลยหรือ หรือเพราะอยากเป็น “นายกรัฐมนตรี” อย่างที่คนเขาพูดกัน จึงทำให้ยอมทิ้ง “อุดมการณ์ประชาธิปไตยเมืองผู้ดี” ที่ร่ำเรียนมา” ลม เปลี่ยนทิศกล่าว
       
       นอกจากนี้ คะแนนมติไว้วางใจ ที่พบว่านายอภิสิทธิ์ได้คะแนนไว้วางใจ 249 เสียง ไม่ไว้วางใจ 184 เสียง แพ้นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีเรื่องการประมูลที่ไม่โปร่งใสมากมาย ทั้งการประมูลข้าว ประมูลมัน ล่าสุดเรื่องน้ำมันปาล์ม กลับได้คะแนนไว้วางใจสูงสุดถึง 251 เสียง ไม่ไว้วางใจ 186 เสียง และยังแพ้นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งได้คะแนนไว้วางใจ 250 เสียง ไม่ไว้วางใจ 188 เสียง ซึ่งเห็นว่า ปรากฏการณ์คะแนนเสียงที่เกิดขึ้นนี้ คนที่สนใจการเมืองก็รู้ได้ว่าเป็นฝีมือของใคร เพื่อแสดงอำนาจให้นายอภิสิทธิ์รู้ว่าใครอุ้มใคร และใครคือผู้มีอำนาจตัวจริงในรัฐบาล
       
       “แต่ที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งก็คือ เสียงตอบของนายกฯ อภิสิทธิ์ กับนักข่าวหลังการลงคะแนนว่า คะแนนที่ต่างกันเป็นเรื่องปกติ และยังยืนยันว่า การชี้แจงของรัฐมนตรีทุกคนสามารถแก้ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านได้ ฟังแล้วผมชักอยากสวมวิญญาณนักการเมืองในสภาฯ ที่ คุณชัย ราชวัตร เขียนในการ์ตูนเมื่อวาน มีสุนัขวิ่งออกจากปากได้ อยากให้นายกฯ อภิสิทธิ์ ไปสาบานที่วัดพระแก้ว ว่าท่านเชื่อจริงๆ หรือว่าไม่มีการทุจริตในรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย” ลม เปลี่ยนทิศกล่าว
       
       ในตอนท้ายของคอลัมน์ ลม เปลี่ยนทิศ เห็นว่า เมื่อบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ นักการเมืองทุกคนเป็นอย่างนี้ เลือกตั้งไปกี่ครั้งก็เป็นอย่างนี้ ทำให้คนไทยไม่มีทางเลือก เพราะไม่สามารถเลือกคนที่ดี และระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์ได้ ทำให้ตนเริ่มจะเห็นด้วยกับข้อเสนอทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาอนาคตที่ไร้อนาคตของประเทศไทย ไม่ให้จมอยู่กับ “ประชาธิปไตยน้ำเน่า” ที่ไร้อนาคตแบบนี้ จะต้องร่วมมือกัน “รีบิลด์” สร้างประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ ซึ่งไม่ใช่ “การปฏิวัติ” โดยทหาร แต่ใช้กลไกการเมืองที่มีอยู่ เพื่อ "เปลี่ยนผ่าน" ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณธรรม จริยธรรมอีกครั้ง
       
       “หลังจากนายกฯ อภิสิทธิ์ ประกาศยุบสภาเรียบร้อยแล้ว ก็ทำให้กลไกการเลือกตั้งไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรัฐบาลเฉพาะกิจขึ้นมา “ปฏิรูป” และ “เปลี่ยนผ่าน” ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณธรรม จริยธรรม กระบวนการนี้อาจต้องใช้เวลาบ้าง แต่นี่คือฝันอันบรรเจิดของผู้คนที่ผิดหวังกับการเมืองในยุคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี” ลม เปลี่ยนทิศ กล่าวถึงข้อเสนอดังกล่าว

 
 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #378 เมื่อ: 29 มีนาคม 2554, 19:25:02 »

ใบลาออก และเหตุผล 5 ประการ ผมหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์

วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:14:37 น.มติชนออนไลน์


 วันที่ 29  มีนาคม  พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ  ได้เผยแพร่ "หนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์" ผ่านสื่อต่างๆ  เนื้อความของหนังสือลาออก มีใจความ ดังนี้

..กราบเรียนท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

 กระผมนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประเภทสามัญเลขที่ 43414075 โดยผมได้สมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะต้องตกเป็นฝ่ายค้านเพราะความนิยมกำลัง ถาโถมไปที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป และพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท. ทักษิณก็ได้เป็นรัฐบาลสมัยแรก

 ตอนนั้นตัวกระผมเองได้หอบหิ้วปริญญาตรีและโทกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจไม่นานนัก พร้อมกับความเชื่อที่ว่าคนเราทุกคนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อสร้างสังคม ที่ดี และการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้
 ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ผมเฝ้าติดตามความเป็นไปของการเมืองไทยในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมุ่งหวังที่จะเดินเข้าไปสู่สนามการเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้กำลังกาย สมอง เวลา และโอกาสเท่าที่มีในการตอบแทนสังคมบ้างทั้งในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือนักเขียนมือสมัครเล่นในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี

  สาเหตุที่ตอนนั้นกระผมตัดสินใจส่งใบสมัครมาที่พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะ เป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งสมัยนั้นจะมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า และกำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ก็เพราะว่า ตัวผมเองไม่เคยเชื่อเลยว่าเจ้าของกลุ่มทุนผูกขาดอย่าง พ.ต.ท. ทักษิณจะมีความจริงใจที่จะเสียสละในการเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่าง แท้จริง

 แต่มีความเชื่อว่าเนื้อแท้ของกลุ่มทุนผูกขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ สัมปทานของรัฐมักจะต้องเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นพรรดการเมืองที่เก่าแก่ยาวนาน มีความเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในสังคมการเมืองไทย

 แต่วันและเวลาสอนให้ผมได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของการเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าภาพที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นอยู่บนเวทีการเมืองที่เป็นทางการอยู่มากนัก แต่สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาสิบกว่าปีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็น อย่างดีในระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้คำตอบมาระยะหนึ่งแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ซึ่งผมขอประมวลเหตุผลมาประกอบดังต่อไปนี้

 1. พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์และน่าจะเป็นจริงตลอดไปด้วย ตราบใดที่จะยังคงมีพรรคนี้อยู่ในเวทีการเมืองไทย   เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มักจะได้อำนาจรัฐหรือได้เป็น รัฐบาลโดยการเพลี่ยงพล้ำของพรรคขั้วตรงข้าม และมีพลังอำนาจพิเศษที่มาหนุนอยู่ตลอด

 ดังนั้นลักษณะของพรรคประชาธิปัตย์จะมักจะเชิดคนที่มีภาพลักษณ์ดี(สำหรับ สังคมไทย) กล่าวคือมักจะเป็นคนที่มีลักษณะความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน หรือมีชาติตระกูลสูง หรือแม้กระทั่งคนมีหน้าตาดี นอกจากนี้อาจจะมีการเชิดชูภาพของความซื่อสัตย์เป็นจุดขาย แต่จะสังเกตได้ว่านั่นมักจะเป็นเพียงหน้าฉากของผู้นำพรรคเท่านั้น

  แต่เบื้องหลังของผู้นำพรรคหรือแม้กระทั่งเบื้องหลังหน้ากากอันสวยหรูของ ผู้นำพรรค ก็มักจะมีบรรดานักการเมืองสกปรกที่หิวโหยอยู่ข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เคยนำเสนอแนวทางในการบริหารพัฒนาบ้านเมืองอัน ใดได้เลย ที่ทำอยู่ก็จะมีเพียงนโยบายเฉพาะกิจ หรือเพื่อการประชาสัมพันธ์หาเสียงเท่านั้น มุ่งจะเล่นแต่การเมืองแต่ไม่เคยพัฒนาบ้านเมือง

 2.  การมุ่งเล่นแต่การเมือง ทำให้บรรดานโยบายของพรรคที่ออกมา ขาดพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นจริง ขาดการศึกษาและวิเคาระห์ถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่แก่ที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายเป็นของตัวเองมาก่อน บรรดานโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคัดลอกและดัดแปลงมา จากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งสิ้น

 แต่น่าเสียใจว่าการคัดลอกดัดแปลงนั้นกลับทำได้ย่ำแย่กว่าสมัยที่พรรคไทย รักไทยเป็นรัฐบาลเสียอีก พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจว่าการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เป็นเพราะประชาชนหิวโหยในผลประโยชน์ ดังนั้นการเข้ามาของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเริ่มต้นด้วยการหว่านโปรยผลประโยชน์
ตั้งแต่นโยบายแจกเงินกินเปล่าให้ประชาชนหัวละสองพันบาท แต่จะเห็นได้ว่าการแจกเงินกินเปล่าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของพรรคสูง ขึ้น กลับลดลงเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะเหตุใด? ก็เพราะว่าวิธีการแจกเงินสองพันบาทโดยใช้ฐานข้อมมูลประกันสังคมนั้นไม่ สามารถจะนำเงินไปสู่คนยากคนจนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ไปได้แค่เพียงคนชั้นกลางซึ่งมีข้อมูลอยู่ในทะเบียนฯเท่านั้น นโยบายนี้เหยียบย่ำหัวใจคนยากคนจนที่ส่วนใหญ่ที่ยากไร้ไม่มีที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย จะมีประกันสังคมได้อย่างไร

 ในขณะที่นโยบายที่ลอกและสานต่อจากนโยบายไทยรักไทยอย่างโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าโอท๊อป ซึ่งภาครัฐเคยจัดงานที่อิมแพคเมืองทองธานีเป็นประจำทุก ๆ ปี เป็นงานกึ่งตลาดนัดกึ่งแสดงสินค้า ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม จากผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ตลอดจนจากผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป พอรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารก็ได้ย้ายสถานที่จัดงานมาตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทั้งตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั้งในลานเอนกประสงค์หน้าห้างฯ บริเวณรอบสนามกีฬาแห่งชาติ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานโอท็อปก็ต้องพับฐานลงอย่างน่าเสียดาย
ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งสถานที่จัดงานกระจัดกระจาย สภาพอากาศที่ไม่อำนวย ทำให้จำนวนคนเข้าชมงานลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ค้าซึ่งมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะขายสินค้าไม่ได้ ยังต้องแบกภาระค่ากินนอนเข้าไปอีกเพราะอดีตที่เคยอาศัยบริเวณจัดงานในอิมแพ คฯก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร หัวอกคนยากคนจนและคนทำมาหากินซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าใจและคงไม่มี วันจะเข้าใจได้ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้อย่างเชี่ยงชาญก็คือการใส่ไคล้ทำลายและช่วงชิง โอกาส ซึ่งล้วนเป็นเกมการเมืองทั้งสิ้น

 3. บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน ด้วยนโยบายหว่านผลประโยชน์กับการสร้างภาพของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่ามีการกู้เงินมหาศาลกว่ารัฐบาลใดในอดีตเสียอีก แต่ลำพังการกู้นั้นมิสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายไร้ประสิทธิภาพเหล่านั้น ต่อไปได้มากนัก

 รัฐบาลชุดนี้จึงมีกระบวนการสร้างภาระโดยการรีดภาษีจากคนชั้นกลางในมิติ ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศมีความฝืดเคืองมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะรัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศแล้ว กลับบั่นทอนกำลังการบริโภคของประชาชนไปเสียอีกด้วย

 ในขณะที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เราก็มักจะได้ยินข่าวการทุจริตมากขึ้นเป็นลำดับ บรรดาข่าวการทุจริตซึ่งส่วนใหญ่มาจากนโยบายจัดซื้อจัดจ้างการรับเหมาก่อ สร้างมากมาย ซึ่งมีรูปแบบคลาสสิคโบราณ และน่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพัฒนาก้าวข้ามไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับโครงการนมโรงเรียน โครงการรถเมล์ โครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาล ไปจนถึงโครงการรถเมล์BRT อภิมหาโครงการโมโนเรล โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กของกรุงเทพมหานคร และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกอภิสิทธิ์ประกาศไว้เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับไม่เคย ถูกกล่าวถึงอีกเลย

 4. ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก ก็ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศนั้น สังคมไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างหนัก รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาพร้อมกับการต่อต้านของขั้วตรงข้ามในนามกลุ่มคน เสื้อแดง ซึ่งเริ่มก่อรูปมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงนั้นต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์และคืน อำนาจแก่อีกขั้วการเมืองเป็นหลัก

 ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านหลายครั้ง และบ่อยครั้งก็ได้พัฒนาไปถึงการจลาจล ซึ่งครั้งที่รุนแรงมากที่สุดก็คือการเผาเมืองพฤษภาคม2553 ถึงแม้ว่าแก่นแกนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่พ.ต.ท. ทักษิณ โดยมีแนวร่วมหลายส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ

 ดังนั้นขบวนการคนเสื้อแดงจึงกลายเป็นขบวนการที่ใหญ่และใหญ่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เกิดอาการฝ่อ และเลือกที่จะสร้างความปรองดองกับขบวนการเสื้อแดงโดยการย่ำยีหลักการของ กฎหมาย ตั้งแต่การที่รัฐบาลไปเป็นแกนเคลื่อนไหวในการประกันตัวบรรดาแกนนำ ตลอดจนการละเว้นการติดตามทางคดีของผู้ก่อการเผาสถานที่ราชการ เอกชน ทำลายและปล้นทรัพย์สินในช่วงเหตุการณ์จลาจล การย่ำยีกฎหมายคือการสร้างความแตกแยกอันบาดลึก แต่เป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทั้งนี้เป็นไปก็เพื่อจะลอยตัว รักษาอำนาจ และสามารถเป็นรัฐบาลต่อไปได้เรื่อย ๆ หรือเปล่า

 5.   สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชา ธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ได้เคยอภิปรายโจมตีในการยื่นยัตติไม่ไว้วางใจนาย นพดล ปัทมะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนรอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร กลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเหมือนกับรัฐบาลพรรคพลัง ประชาชนและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในสภาอย่างสิ้นเชิง

 หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถที่จะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้เกิดโอกาสใน การที่ตัวเองจะสามารถพลิกผันขึ้นมาถือครองอำนาจรัฐอย่างนั้นหรือ และผลของการบริหารประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังได้ทำให้ประเทศไทยดูเหมือนไร้ เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ตกเป็นเบี้ยล่างของบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน จนในที่สุดประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไปด้วยเหตุผลของความ โง่เขลาหรือการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนก็สุดแล้วแต่ที่จะคาดเดาได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษากันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเยี่ยงนี้ทำให้ประเทศชาติและสังคม ไทยสูญเสียมาหลายครั้ง

 ล่าสุดก็ครั้งที่ประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกรณี ป.ร.ส. ขายหนี้ของบรรดาไฟแนนซ์ที่รัฐบาลสั่งปิดลงไปให้กับบรรดากองทุนต่างชาติ จนทำให้ต่างชาติสามารถกอบโกยผลกำไรอันมหาศาลไปจากสังคมไทย ทิ้งไว้กับกองศพของคนล้มละลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม ผลจากการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนั้น ทำให้ธนาคารเกือบทุกธนาคารในประเทศไทยต้องตกเป็นของต่างชาติในที่สุด หรือที่คนทั่ว ๆ ไปเค้าเรียกว่าเสียเอกราชทางการเงินนั่นเอง

 ด้วยเหตุผลเบื้องต้นเพียง 5 ประการนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรเพื่อประโยชน์ ของประชาชนและสังคมไทย พรรคจึงเป็นเพียงมายาภาพหลอกลวงคนที่สิ้นหวังกับการเมืองไทยในชั่วขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น

 ทุกวันนี้เราจะได้เห็นทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแข่งกันขึ้นป้าย ประชาสัมพันธ์ผลงานกันอย่างบ้าคลั่ง สมกับเป็นการเชิดปี่กลองสู้ศึกในเทศกาลเลือกตั้ง  แต่กลับไม่เห็นรู้สึกถึงผลงานที่ออกมาอย่างกับในป้ายโฆษณาแต่อย่างใด ป้ายโฆษณาเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผู้คนซึ่งได้รับความลำบากทั้งชาว ไร่ชาวนาที่ถูกกดราคาสินค้าเกษตร ทั้งคนชั้นกลางที่ถูกขูดรีดภาษีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งกับผู้บริโภคทั่วไปที่ถูกตีหัวจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นอย่างไม่เป็น ธรรม ได้รู้สึกเจ็บแค้นอย่างเหนือคำบรรยาย ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์ และประสงค์ที่จะลาออกจากสมาชิกพรรคนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
     
จึงเรียนมาเพื่อทราบ

พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ
ptorsuwan@yahoo.com
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #379 เมื่อ: 11 เมษายน 2554, 21:13:00 »

การเมือง : บทวิเคราะห์
วันที่ 10 เมษายน 2554 12:43
TOR Indonesia ไทยยอมเสียโง่มหาอำนาจกัมพูชา!
โดย : หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์


ใครจะรู้รายละเอียดข้อเจรจาที่เมืองโบกอร์ ความจริงเป็นเช่นไร นอกเหนือจากแถลงข่าวผิวเผิน
นี่คือเปิดบันทึกเงื่อนไขข้อตกลงอินโดนีเซีย ฉบับแปล

ตัวแทนประเทศไทย กับประเทศกัมพูชา ไปเจรจากันที่เมืองโบกอร์ ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อ 7-8 เมษายน เพิ่งผ่านมา มีถ้อยแถลงถ้อยทีถ้อยอาศัยกันทั้งสองฝ่าย เห็นชอบจะว่าจ้างบริษัทเอกชนทำสำรวจพื้นที่ชายแดนร่วมกัน และจะหารือเรื่องปักปันเขตแดนกันในขั้นตอนต่อไป กัมพูชาเองก็เข้าใจการผลักดันเจบีซี 3 ฉบับ ที่ยังไม่ผ่านรัฐสภาไทย

แต่ที่แน่ ๆ กัมพูชาไม่พอใจกองทัพไทยที่ไม่ยอมให้ผู้แทนสังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้าในพื้นที่เขาพระวิหาร ส่วนนอกเหนือจากนี้ ในสาระสำคัญการเจรจาและข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร ประชาชนก็ยังไม่รู้อยู่นั่นเอง

สำหรับฝ่ายตรวจสอบรัฐบาลนอกรัฐสภา ในนามนักวิชาการ เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ขอเสนอเอกสารที่ฝ่ายรัฐไม่เปิดเผย คือ เงื่อนไขการทำสัญญา การวางทีมผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย (IOT) ในพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย มีสาระอย่างละเอียดให้พิจารณาดังต่อไปนี้ ;

ข้าพเจ้าขอขอบคุณอีกครั้งในการดำเนินให้เกิดผลลัพธ์ในทางที่ดี จากการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011
    จากการติดตามผลของประชุมดังกล่าวและเพื่อให้สอดคล้องกับ “คำแถลงของประธานอาเซียน ตามด้วยการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011” ข้าพเจ้าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะมอบรายการดังต่อไปนี้
 1. จดหมายร่างเงื่อนไขการทำสัญญาหรือ TOR ในการจัดวางทีม IOT ในพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย
 2.ภาคผนวกเพิ่มเติมจากจดหมาย กล่าวคือ TOR หรือเงื่อนไขการทำสัญญา การวางทีมผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย (IOT) ในพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย
 เป็นความหวังอย่างจริงใจว่า ข้าพเจ้าสามารถรับความคิดเห็นจากกัมพูชาและไทยต่อจดหมายร่างนี้โดยเร็ว เพื่อจะได้นำไปใช้กับร่างที่จะตามมา ข้าพเจ้าทำได้เพียงเริ่มกระบวนการแลกเปลี่ยนจดหมายเมื่อข้อตกลงนั้นได้ไปสู่ 3 ประเทศกล่าวคือ กัมพูชา อินโดนีเซีย และไทย
  ขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าขอเรียนว่า อินโดนีเซียได้ริเริ่มเตรียมการระดับชาติสำหรับหน้าที่ที่ได้รับมอบให้สังเกตการณ์สิ่งที่กล่าวมาแล้ว

ด้วยความนับถืออย่างสูง
ดร.อาร์.เอ็ม มาร์ตี้ เอม.นาตาเลกาวา

ฯพณฯ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศราชอาณาจักรไทย

นายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศราชอาณาจักรกัมพูชา

กรุงจาการ์ตา , กุมภาพันธ์ 2011

ข้าพเจ้าเป็นเกียรติที่กล่าวถึงคำแถลงโดยประธานของอาเซียน ตามด้วยการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011
ยินดีต้อนรับคำเชิญจากกัมพูชาและไทย ที่จะขอให้อินโดนีเซีย, ซึ่งเป็นประธานอาเซียนอยู่ ณ ปัจจุบัน, ส่งคณะผู้สังเกตการณ์ไปประจำในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบของคู่ภาคีเรื่องเขตแดนกัมพูชา-ไทย, เพื่อเฝ้าดูความยึดมั่นของทั้งสองฝ่าย ที่ว่าจะหลีกเลี่ยงการปะทะกันด้วยกำลังอาวุธ โดยให้คณะผู้สังเกตการณ์มีภาระหน้าที่ดังนี้ ;

"ช่วยและสนับสนุนทั้งสองฝ่ายให้สามารถหลีกเลี่ยงการใช้กำลังระหว่างกันให้จงได้ โดยการเฝ้าดูและส่งรายงานอย่างถูกต้องเป็นกลางในเรื่องที่เกี่ยวกับการร้องเรียน ว่าด้วยการละเมิดความตกลง แล้วส่งรายงานนั้นไปยังแต่ละฝ่าย ผ่านอินโดนีเซียผู้เป็นประธานปัจจุบันของอาเซียน”
ในการนี้ข้าพเจ้าเป็นเกียรติที่จะเสนอเงื่อนไขการทำสัญญาหรือ TOR การวางทีมผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย (Indonesian Observers Team : IOT) ในพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย ในภาคผนวก

พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าได้ยื่นจดหมายเดียวกันนี้และแนบภาคผนวกที่กล่าวถึงให้กับนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศราชอาณาจักรกัมพูชา
จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งหากท่านจะยืนยัน ในฐานะรัฐบาลไทย ในการยินยอมรับการจัดทำ TOR และยืนยันความเข้าใจในจดหมายและภาคผนวกนี้ พร้อมทั้งตอบกลับมาจะถือเป็นการประกอบเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างอินโดนีเซีย ไทย และ กัมพูชา

TOR จะมีผลบังคับใช้ในวันที่อินโดนีเซียรับการยืนยันจากคู่ภาคีรายสุดท้ายว่าด้วยการตกลงยอมรับ TOR ซึ่งข้าพเจ้าจะแจ้งให้คู่ภาคีทราบต่อไปในการเริ่มบังคับใช้ TOR

ด้วยความนับถืออย่างสูง

ภาคผนวก
เงื่อนไขการทำสัญญา (TOR) การวางทีมผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย (IOT) ในพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย

วัตถุประสงค์
เป็นไปตามคำกล่าวของประธานอาเซียนในโอกาสการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา เมื่อวันที่  22 กุมภาพันธ์ 2011 ว่า
"ช่วยและสนับสนุนทั้งสองฝ่ายให้สามารถหลีกเลี่ยงการใช้กำลังระหว่างกันให้จง ได้ โดยการเฝ้าดูและส่งรายงานอย่างถูกต้องเป็นกลางในเรื่องที่เกี่ยวกับการร้อง เรียนว่าด้วยการละเมิดความตกลง แล้วส่งรายงานนั้นไปยังแต่ละฝ่าย ผ่านอินโดนีเซียผู้เป็นประธานปัจจุบันของอาเซียน"

องค์ประกอบ
ทีมสังเกตการณ์อินโดนีเซีย (IOT) จะประกอบด้วยข้าราชการทหาร และข้าราชการพลเรือนของอินโดนีเซีย รวม 30 คน
ทีมสังเกตการณ์อินโดนีเซีย 30 คนนี้ จะมีอำนาจและหน้าที่ดังนี้
• IOT กัมพูชา 15 คน จะอยู่ในพื้นที่กัมพูชาที่เป็นพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย
• IOT ไทย 15 คน จะอยู่ในพื้นที่ไทยที่เป็นพื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

สถานะภาพ
ทีม IOT จะมีสิทธิพิเศษในฐานะที่เป็นตัวแทนทางการทูต

พื้นที่ครอบคลุม
พื้นที่ครอบคลุมของ IOT กัมพูชา จะเป็นพื้นที่กัมพูชาที่เป็นพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย กล่าวคือ (จะระบุภายหลัง)
พื้นที่ครอบคลุมของ IOT ไทย จะเป็นพื้นที่กัมพูชาที่เป็นพื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา กล่าวคือ (จะระบุภายหลัง)

บทบาทและความรับผิดชอบ
ทีม IOT จะต้อง :
ก. สังเกตและตรวจสอบการหยุดรบตามที่คู่ภาคีได้ตกลง
ข. ตรวจสอบความจริงในพื้นที่ตามรายงานการปะทะตามที่คู่ภาคีได้ตกลง
ค. ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกในการตรวจสอบความจริงในพื้นที่ ตามรายงานการปะทะตามที่คู่ภาคีได้ตกลง
ง. รักษาความยุติธรรม ความเป็นกลาง และความเป็นอิสระ อย่างเคร่งครัด ที่จะปฏิบัติตามคำสั่งและภารกิจของคู่ภาคี และจะเคารพกฎกติกาของกัมพูชา(สำหรับทีม IOT กัมพูชา) และของไทย(สำหรับทีม IOT ไทย)
จ. ในการดำเนินพันธกิจให้ตลอดรอดฝั่ง จะระมัดระวังท่าทีที่จะมีผลให้เกิดการขัดแย้งกัน
ฉ. ยึดถือกฎระเบียบและการประชุมกับคู่ภาคี เพื่อแก้ปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่
ช. ไม่ติดอาวุธ แต่จะต้องใส่เครื่องแบบและตราประจำตำแหน่ง

คู่ภาคีจะต้อง :
ก. รับผิดชอบเต็มรูปแบบต่อความปลอดภัยของทีม IOT ในการปฏิบัติหน้าที่
ข. ใช้มาตรการที่จำเป็นทุกมาตรการ ในการปกป้องและรักษาความปลอดภัยให้แก่ทีม IOT
ค. รับรองว่าจะให้การเคลื่อนที่ที่เป็นอิสระโดยทั่ว ในพื้นที่ที่ครอบคลุมการปฏิบัติงานของทีม IOT
ง. จัดเตรียมเส้นทางปลอดภัยในทันที กรณีที่ต้องเคลื่อนย้ายคณะออกจากพื้นที่ครอบคลุม

การรายงาน
ก. ทีม IOTจะส่งรายงานประจำวันต่ออินโดนีเซียผู้เป็นประธานปัจจุบันของอาเซียน
ข. ทีม IOTจะส่งรายงานด่วนในกรณีที่มีการสู้รบตามที่คู่ภาคีได้ตกลงกัน และกรณีอื่น ๆ ที่เป็นที่สนใจอย่างเร่งด่วนจากอินโดนีเซียผู้เป็นประธานปัจจุบันของอาเซียน

การบริหารและการจัดการสนับสนุน
คู่ภาคีจะต้องจัดหา :
ก. ที่พักอย่างเพียงพอ พร้อมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการเดินทางและติดต่อสื่อสาร
ข. การขนส่งทั้งทางอากาศและทางบกอย่างเหมาะสม พร้อมด้วยนักบินและคนขับ
ค. เจ้าหน้าที่ประสานงานและหน่วยเคลื่อนที่ที่จะอำนวยการประสานงาน

รัฐบาลอินโดนีเซียจะรับผิดชอบสำหรับ :
ก. เงินเดือนและเงินได้อื่นๆ
ข. ค่าพาหนะไปยังเมืองหลวงของประเทศคู่ภาคี แต่ค่าพาหนะหรือการขนส่งไปยังพื้นที่ชายแดนจะเป็นภาระรับผิดชอบของคู่ภาคี

ช่วงเวลาดำเนินการ
ช่วงเวลาของสัญญากำหนด.........เดือน (จะระบุภายหลัง) จากวันที่ที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายของ TOR และจะแก้ไขได้ด้วยการตกลงระหว่างสามภาคีที่เกี่ยวข้อง
การทำให้เป็นผลตาม TOR ของทีม IOT จะมีการทบทวน .........เดือน (จะระบุภายหลัง)

การสิ้นสุดและ/หรือ การชะลอ
รัฐบาลอินโดนีเซียจะยุติหรือจะชะลอการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีการแจ้งเตือนไปถึงคู่ภาคีในกรณี :
ก. สถานการณ์ในพื้นที่นำไปสู่อันตรายและการคุกคามต่อชีวิตของผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย
ข. คู่ภาคีไม่ทำตามสัญญาและความรับผิดชอบในการหยุดรบตามที่ระบุไว้ใน TOR หรือ
ค. คู่ภาคีมีเจตนาเพิกเฉยที่จะดำเนินการตามที่รับการแนะนำในการละเมิดการหยุดรบ

ดร.อาร์.เอ็ม มาร์ตี้ เอม.นาตาเลกาวา
ฯพณฯ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศราชอาณาจักรไทย


ข้อสังเกตภาคประชาชนไทย
ครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ตั้งข้อสังเกตว่า การเกิดมี “ทีโออาร์ อินโดนีเซีย” ฉบับนี้ แสดงให้เห็นว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และอาเซียน ได้รับรู้ข้อมูลถึงการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ของทั้งรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา โดยรอเพียงรัฐบาลไทย ยินยอมรับการจัดทำ TOR และยืนยันความเข้าใจในจดหมายและภาคผนวกนี้ พร้อมกับตอบกลับประธานอาเซียนก็มาจะถือเป็นการประกอบเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างอินโดนีเซีย ไทย และ กัมพูชา

TOR จะมีผลบังคับใช้ในวันที่อินโดนีเซียรับการยืนยันจากคู่ภาคีรายสุดท้ายว่าด้วยการตกลงยอมรับ TOR ซึ่งก็คือประเทศไทย แต่ประชาชนไทยกลับไม่ได้รับรู้ความจริง  โดยความจริงที่ควรจะเป็น ตัวแทนประเทศไทยไม่สมควรยอมรับทีโออาร์ อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นลักษณะพหุภาคี โดยดึงในนามกลุ่มอาเซียนเข้าไปรองรับการปฏิบัติที่ผิดธรรมเนียมตั้งแต่การก่อเกิดกลุ่มอาเซียน

ยังดีสำหรับประเทศไทย ก่อนการประชุมที่โบกอร์ ผบ.เหล่าทัพของไทยได้ยืนกรานหนักแน่นอย่างเป็นทางการ จะเจรจาคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ จีบีซี ในกัมพูชาหรือในไทยเท่านั้น รวมทั้งไม่ยอมให้ผู้แทนสังเกตการณ์ฯขึ้นไปบนเขาพระวิหารซึ่งเป็นของประเทศไทย ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่ออธิปไตยยิ่งขึ้นไปอีก

เราจะวางใจไม่ได้ โดยเฉพาะในวงเล็บที่จะระบุรายละเอียดเพิ่มเติมลงไป จะวางใจไม่ได้ ตราบใดคนที่อ้างเป็นตัวแทนประเทศไทยไปทำลับ ๆ ล่อ ๆ สมยอมประเทศกัมพูชา ที่ทำตัวประหนึ่งเป็นมหาอำนาจใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข่มเหงประเทศไทยสยาม หลายหนหลายคราว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #380 เมื่อ: 14 เมษายน 2554, 08:57:03 »

วิเคราะห์-วิพากษ์ "ยิ่งลักษณ์" จากมุมมองใน-นอกประเทศ: ไพ่ใบสุดท้ายของพี่ชาย-วิธีเลือกผู้นำที่ล้าสมัย

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น.

"ยิ่งลักษณ์" ไพ่ใบสุดท้าย กุมชะตา "ทักษิณ-เพื่อไทย"


(หน้าการเมือง หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 13 เมษายน 2554)


ความคืบหน้าล่าสุด ของ "พรรคเพื่อไทย" ที่เปิดโหมดเลือกตั้ง เข้าสู่โหมดของการหาเสียง คือ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เคาะชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" น้องสาวคนสุดท้าย ให้ลงสมัคร ส.ส.ในระบบ "ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1" ของพรรคเพื่อไทย


ซึ่งนั่นหมายความว่า โอกาสที่ "ยิ่งลักษณ์" จะถูกดันให้ขึ้นเป็นตัวแทน "พรรคเพื่อไทย" ในตำแหน่ง "แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี" พุ่งสูง หนีแคนดิเดตคนอื่นๆ ลิบลับ


โดยในวงประชุมกลางเมือง "ดูไบ" ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่แวดล้อมไปด้วย "สายทักษิณ" ไม่ว่าจะเป็น "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" , "เยาวภา วงศ์สวัสดิ์" , "พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล" และ "ยงยุทธ ติยะไพรัช" สรุปร่วมกันว่า "ยิ่งลักษณ์" คือผู้ที่เหมาะสมที่สุด ที่จะเป็น "ผู้นำทัพเพื่อไทย" ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง


เฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสถานการณ์การต่อสู้ระหว่าง "พ.ต.ท.ทักษิณ" และ "ฝ่ายถืออำนาจ" เข้ามาถึงจุดสำคัญ ที่ทำให้มองได้ว่า "ชัยชนะหลังการเลือกตั้ง" ไม่ได้มีความหมายเพียง "การชิงอำนาจรัฐ"


หากย้อนมองสถานการณ์การเมืองในภาพรวม "พรรคเพื่อไทย" และ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เผชิญศึกใหญ่อยู่ 2 ด้าน คือ "แรงต้านจากภายนอก" กับ "แรงกระเพื่อมภายใน"


โดย "แรงต้านจากภายนอก" นั้น แกนนำใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ประเมินตรงกันว่า ไม่ว่า "เพื่อไทย" จะส่งใครมานั่งเป็น "แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี" ก็หนีไม่พ้นข้อกล่าวหา "นอมินีทักษิณ" และต้องเผชิญกับการโจมตีทุกรูปแบบ ไม่ต่างจากกัน


และที่สำคัญคือ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงกระแสโจมตีเหล่านี้ได้


ดังนั้น ทั้งหมดจึงหันมอง "ปัญหาภายใน" คือ "แรงกระเพื่อมในพรรค" ที่ขณะนี้ "แกนนำระดับบิ๊กเนม" หลายคน ประกาศตัวในทั้งที่ลับและที่ไม่ลับ จะขอเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี


ซึ่งไม่ว่า "แกนนำคนไหน" จะได้ขึ้นมาหยิบชิ้นปลามัน เอาไปได้ ย่อมทำให้ "ผู้ที่ผิดหวัง" ตีโพยตีพาย สร้าง "แรงกระเพื่อมภายใน" ได้รุนแรง และจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมา


จึงมีการเสนอชื่อ "ยิ่งลักษณ์" ซึ่งถือเป็นสายตรงที่สุด ขึ้นมาเป็น "แคนดิเดต" คนสำคัญ


ภายใต้สมมติฐาน ที่ว่า สถานะ "สายตรง" ของ "ยิ่งลักษณ์" จะสามารถสยบ "ศึกใน" และทำให้ "เพื่อไทย" กลับมาแข็งแกร่ง เพื่อสู้ "ศึกนอก" ในการเลือกตั้งได้


โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผล "แพ้-ชนะ" ในสนามเลือกตั้ง คือ คำพิพากษา อนาคต "เพื่อไทย" ลมหายใจ "เสื้อแดง" และสำคัญที่สุดคือ ชีวิตของ "พ.ต.ท.ทักษิณ"


เพราะหาก "เพื่อไทย" ต้องพ่ายแพ้ใน "การเลือกตั้ง" ครั้งนี้ เอฟเฟ็คต์สำคัญที่จะตามมาคือ ผลกระทบต่อความมั่นใจใน "กระแสทักษิณ"


ซึ่งจะส่งผลต่อความชอบธรรม ในการเคลื่อนไหวต่อสู้ ทั้งในระบบรัฐสภาและเกมการเมืองข้างถนน


โดยเฉพาะ "พรรคเพื่อไทย" ที่หลายคนมองตรงกันว่าโอกาส "พรรคแตก" มีสูง


ดังนั้น การลงเลือกตั้งครั้งสำคัญ ในฐานะ "ฝ่ายค้าน" จึงไม่แปลกเลย หาก "พ.ต.ท.ทักษิณ" จะเลือก "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็น "ไพ่ใบสำคัญ" ขึ้นมาต่อกรกับ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" , "พรรคประชาธิปัตย์" และ "ฝ่ายถืออำนาจ" ทั้งระบบ


เป็นการ "ทุ่มสุดตัว" ที่ "ระดับแกนนำพรรคเพื่อไทย" มองว่า เป็น "ไพ่ใบเดียว" ที่จะเพิ่มโอกาสให้ "เพื่อไทย" ได้รับชัยชนะ


แม้จะมีความพยายาม ส่งสัญญาณ คัดค้านจาก "อดีตนักการเมืองผู้ใหญ่" ในพรรค ไม่ว่าจะเป็น "จาตุรนต์ ฉายแสง" อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือ "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย


รวมไปถึง "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" ประธานพรรคเพื่อไทย และ "เสนาะ เทียนทอง" หัวหน้าพรรคประชาราช บิ๊กเนมที่เพิ่งตบเท้าเข้ามาอยู่กับ "ฝ่ายทักษิณ"


โดยเป็นห่วงในสถานการณ์หลังเลือกตั้ง ว่า ความเป็น "ชินวัตร" ของ "ยิ่งลักษณ์" อาจจะสร้างปัญหาให้กับการประนีประนอมกับ "ฝ่ายถืออำนาจ"


แต่ "แกนนำสายทักษิณ" สรุปเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า "อำนาจรัฐ" คือใบเบิกทางไปสู่ "โต๊ะเจรจา" ดังนั้น "ชนะเลือกตั้ง" ให้ได้ก่อน น่าจะดีกว่า !!!


"วิธีการเลือกผู้นำแบบล้าสมัย!!"


(เขียนโดย แอนดรูว์ วอล์คเกอร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย เผยแพร่ในเว็บล็อก "นิว มันดาลา" หรือ "นวมณฑล" เมื่อวันที่ 12 เมษายน)


ใครก็ตามที่กำลังสนับสนุนให้ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตของประเทศไทย สมควรจะถูกประณามอย่างรุนแรง!


การคัดเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งผู้นำระดับชาติ ด้วยพื้นฐานในเรื่อง "สายเลือด" ถือเป็นวิถีปฏิบัติที่ไม่น่าเชื่อถือและเก่าแก่ล้าสมัย ผู้นำระดับชาติควรจะถูกคัดเลือกจากคุณสมบัติทางด้านคุณธรรมความสามารถ ไม่ใช่ด้วยหลักเกณฑ์ทางด้านสายโลหิต คุณสมบัติในการ เป็นผู้นำนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและการประสบความสำเร็จในโลกแห่งความจริง นี่คือสิ่งที่สำคัญเกินกว่าจะถูกยุติลงด้วยอุบัติเหตุทางพันธุศาสตร์ของการ มีบรรพบุรุษร่วมกัน


พวกเราล้วนรู้เป็นอย่างดีว่า การที่สมาชิกคน หนึ่งในครอบครัวใดมีความสามารถและได้รับการเคารพนับถืออย่างสูงนั้น ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าบรรดาเครือญาติร่วมสายเลือดของเขาจะถูกสร้างขึ้นมา ให้มีความสามารถในระดับเดียวกัน ประวัติศาสตร์ถูกทำให้เรี่ยราดไปด้วยการกระทำที่โง่เขลาอันน่าเศร้าสลดของ พี่น้องซึ่งมีความทะเยอทะยานมากเกินไป, เครือญาติที่มีความโหดเหี้ยมอำมหิต และบรรดาลูกชายผู้เบาปัญญา


การนำทางประเทศชาติในช่วงเวลาอันยากลำบากต้องอาศัยมากกว่านามสกุลอันเป็นมงคล นี่คือช่วงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องก้าวให้พ้นไปจากรอยทางของระบอบปิตาธิปไตยเสียที


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #381 เมื่อ: 20 เมษายน 2554, 23:30:02 »

ชัยอนันต์ สมุทวณิช นักวิชาการเสื้อเหลืองวิพากษ์ม็อบตัวเอง
(ข้อมูลจาก มติชน วันที่ 18 เม.ย.54)

มาถึงปี 2554 เขายืนยันว่า "พรรคพันธมิตร" ยังมีโอกาสเกิดขึ้นในสังคมไทย ทว่าไม่ใช่นาทีนี้

"ตอนนี้มันเร็วเกินไป เพราะการทำความเข้าใจกับผู้สนับสนุนยังไม่ทั่วถึง ส่วนมกกระบวนการทางการเมืองที่เกิดขึ้น มันมักไม่ชอบเป็นกลุ่มการเมืองที่แท้จริง แต่ถ้าใช้เวลาสัก 4-5 ปี สถานการณ์อาจเปลี่ยนไป คือ...มันต้องรอให้สมาชิกเรียกร้องเอง ไม่ใช่ใช้มติแกนนำมัด"

ส่วนเสียงเสียดเย้ยจาก "นักเลือกตั้ง" ที่ว่า กมม.ไม่มีโอกาสหิ้ว ส.ส.เข้าสภา จึงปฏิเสธการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งนั้น "ชัยอนันต์" หัวเราะเล็ก ๆ ก่อนยอมรับว่า "ก็ถูกของเขาด้วย ก็ดูว่าเลือก ส.ส.คงแพ้เขาล่ะ"

ในเมื่อพันธมิตรทำกิจกรรมทางการเมืองต่อเนื่อง มีประวัติศาสตร์ต่อสู้ร่วมกัน มีมวลชนสนับสนุน เหตุใดถึงเป็นพรคการเมืองใน พ.ศ.นี้ไม่ได้ ?

"เพราะการรวมตัวของกลุ่มพันธมิตรเป็นการรวมตัวเพื่อต่อต้าน ไม่ใช่รวมตัวเพื่ออยากไปมีนโยบายอะไร ผู้สนับสนุนมีจุดร่วมอย่างเดียวคือเกลียดทักษิณ ไอ้ที่ผสมโรงเข้าไป มีความคิดที่จะมีนโยบายมันเป็นเพียงส่วนน้อย ทีนี้พอน้อยอยากเป็นพรรคการเมือง แต่ส่วนใหญ่มารวมตัวเพราะไม่ชอบทักษิณด้านเดียว มันเลยค่อย ๆ ถอนไป เหมือนตอนนี้เห็นไหม (ยิ้มมุมปาก) พอมาชูนโยบายด้านการต่างประเทศ คนสนใจน้อยมาก เดินไปดูมีแต่พวกญาติธรรมทั้งนั้น คนเดิม ๆ ที่เคยมาก็หายไป"

ถือเป็นคำยืนยันว่า ใน "ม็อบเหลือง" มีหลายเฉด-หลายส่วนผสม

แล้วคนเหล่านี้แปรสภาพเป็นกลุ่มไม่เอารัฐบาล "อภิสิทธิ์" ได้อย่างไร ?

""พวกไม่ชอบอภิสิทธิ์เนี่ย เฉพาะแกนนำมั้ง แกนนำเกิดไม่พอใจขึ้นมา เลยไปพูดบนเวที ทำให้คนพลอยไม่ชอบอภิสิทธิ์ไปด้วย ซึ่งการไม่ชอบอภิสิทธิ์แล้วออกมาโจมตีมาก ๆ เป็นผลเสียแก่พวกพันธมิตรนะ เพราะน้ำหนักมันไม่มากพอ อภิสิทธิ์ไม่ได้มีภาพพจน์เผด็จการ หรือโกงกิน หรือร้ายกาจอะไรมาก กลายเป็นว่า เอ๊ะ! ไม่พอใจใครสักคนหรือไง"

ส่วนปลายทางการต่อสู้ของพันธมิตร โดยเฉพาะ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เคยประกาศรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ยังยากที่จะคาดตอนจบ

""เขาคงไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องแพ้ชนะอะไรมาก คือข้อกล่าวหาเนี่ย คนไม่ค่อยเชื่อ ไม่ค่อยเห็นด้วยว่าอะไรวะ อภิสิทธิ์ถึงกับจะขายชาติขายแผ่นดินเลยหรือ ผมว่าประเด็นที่ยกมาอ้างมันเป็นเรื่องมุมมองและข้อมูลที่ต่างกันมากกว่า"

นั่นหมายความว่า พันธมิตรมีโอกาสต้องกลับบ้านมือเปล่า หลังมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภา

"ถามว่าจะจบเมื่อมี พ.ร.ฎ.ยุบสภาหรือเปล่า เขาก็คงกลับบ้านไปแหละ ถ้าเทียบปี 2548 กับตอนนี้ พลังของพันธมิตรแบบเมืองไทย มันจะดีต่อเมื่อคนมีความรู้สึกร่วมกันก่อน เพราะไม่มีอาวุธอื่นใดนอกจากการรวมกำลังกัน"
      บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #382 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2554, 22:46:56 »

ผมเห็นด้วย > ถ้า พรรค กมม.จะส่งสมาชิกมาร่วมลงแข่งขันเลือกตั้งกันตามระบบ
แต่ไม่เห็นด้วยเลย กับการมารณรงค์โนโหวต เพราะมันไม่ต่างอะไรกับพฤติกรรม"แพ้ชวนตี"
อีกอย่างคือ มันจะไปเข้าทาง พรรคเพื่อแม้ว เต็มๆ  เพราะพวกฐานเสียงแม้ว มันคงไม่โหวตโนแน่ๆ ส่วนที่อาจจะหันมาโหวตโน คือฐานเสียงส่วนที่อาจจะทับซ้อนกัน ระหว่าง กมม.กับ ปชป.กลายเป็นตัดแต้มกันเอง

สนธิเอง ก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่น่าไว้ใจไปกว่า อภิสิทธิ์ ซ้ำร้ายยังกลับลำเป็นว่าเล่น ในช่วงหลังๆ
ถ้าไม่นับตอนที่ประกาศจะไม่ลงเล่นการเมือง แต่สุดท้ายก็มาเป็นหัวหน้าพรรค อันนี้ไม่เท่าไหร่
แต่ไอ้การออกมานำเสนอว่า อภิสิทธิ์แย่กว่าทักษิณ แย่กว่าเพื่อไทย ผ่านสื่อผู้จัดการรายวันนี่สิ ไร้สาระสิ้นดี
ไม่ได้หมายความว่า อภิสิทธิ์จะวิเศษวิโส จนวิจารณ์ไม่ได้  แต่กลุ่มบุคคลที่อ้างว่าอยากจะนำเสนอการเมืองระบบใหม่ ไม่สมควรมาพลิกลิ้นปลิ้นปล้อนรายวัน ซึ่งไม่ต่างกับการเมืองแบบเก่าๆ(ที่ตัวเองด่าทอรายวันบนเวที)เลย
      บันทึกการเข้า

...
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #383 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2554, 23:00:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ Aj.O เมื่อ 13 พฤษภาคม 2554, 22:46:56
ผมเห็นด้วย > ถ้า พรรค กมม.จะส่งสมาชิกมาร่วมลงแข่งขันเลือกตั้งกันตามระบบ
แต่ไม่เห็นด้วยเลย กับการมารณรงค์โนโหวต เพราะมันไม่ต่างอะไรกับพฤติกรรม"ขี้แพ้ชวนตี"

สนธิเอง ก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่น่าไว้ใจไปกว่า อภิสิทธิ์ ซ้ำร้ายยังกลับลำเป็นว่าเล่น ในช่วงหลังๆ
ถ้าไม่นับตอนที่ประกาศจะไม่ลงเล่นการเมือง แต่สุดท้ายก็มาเป็นหัวหน้าพรรค อันนี้ไม่เท่าไหร่
แต่ไอ้การออกมานำเสนอว่า อภิสิทธิ์แย่กว่าทักษิณ แย่กว่าเพื่อไทย ผ่านสื่อผู้จัดการรายวันนี่สิ ไร้สาระสิ้นดี
ไม่ได้หมายความว่า อภิสิทธิ์จะวิเศษวิโส จนวิจารณ์ไม่ได้  แต่กลุ่มบุคคลที่อ้างว่าอยากจะนำเสนอการเมืองระบบใหม่ ไม่สมควรมาพลิกลิ้นปลิ้นปล้อนรายวัน ซึ่งไม่ต่างกับการเมืองแบบเก่าๆ(ที่ตัวเองด่าทอรายวันบนเวที)เลย

เขารณรงค์ VOTE NO ครับ ไม่ใช่ NO vote
หมายความว่า ไปเลือกตั้ง แต่กาช่องที่ไม่เลือกใคร และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญได้ให้สิทธิ์ไว้
ซึ่งพี่เห็นด้วย
ประเด็นอภิสิทธิ์ เมื่อก่อนตั้งแต่เกิดมา จนอายุ 50กว่า เลือกแต่ ปชป.มาตลอด
แต่ตอนนีไม่เลือกแล้ว
ส่วนที่ว่าอภิสิทธ์ จะดีกว่าทักษิณกี่มากน้อย พี่ไม่ทราบ แต่พี่คิดว่า อภิสิทธ์ เป็นแค่ คนชั้นสูงที่อยากเป็นนายก เท่านั้น
ไม่มีความสามารถในการบริหาร แถมยังตกเป็นเครื่องมือให้คนเลวๆอย่างสุเทพใช้เป็นเครื่องมือ
ตอนเป็นฝ่ายค้านก็ดูดี พูดจามีเหตุมีผล พอเป็นนายก ก็ เข้าอีหรอบ นายกคนก่อนๆที่ผ่านมา น่าผิดหวังจริงๆๆ
ไม่มีจุดยืน ไม่วิสัยทัศน์ ไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการ เพราะไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยผ่านงานบริหารมาเลย
ทำอะไรไม่ได้เรื่องซักอย่าง..ดีอย่างเดียว คือพูดเก่ง..เป็นนายก โพเดียม อย่างที่เขากล่าวหาจริงๆๆ
อย่าไปว่าคนที่เขามาต่อต้านอภิสิทธ์ เลยครับ หันกลับไปมองว่า อภิสิทธ์ มีน้ำยาจริงหรือไม่???
เลือกตั้งรอบนี้ เป็นฝ่ายค้านอีกตามเคย...ขอแสดงการต้อนรับว่าที่หัวหน้าฝ่ายค้าน..และกลับเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิม ..จะดีกว่านะครับ....นายกโพเดียม
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #384 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2554, 23:52:23 »

ผมเห็นด้วยกับคอมเมนต์นี้ครับ

อ้างจาก: คลำปม
การเรียกร้องสารพัดเงื่อนไขที่กลุ่มคนโหวตโนต้องการนั้นไม่มีรัฐบาลไหนทำให้ ได้ ถึงขนาดไปเรียกร้องให้ทหารเขาทำรัฐประหาร ทหารเขาก็ไม่เอาด้วย

และ MGR เคยลงบทความระดมรายชื่อทูลเกล้าขอให้พระเจ้าอยู่หัวของพวกเราไปคุยกับเขมรเพื่อปล่อยตัวคุณราตรี , วีระ ด้วยซ้ำ

เรื่องแบบนี้ทำได้หรือ? เหมาะสมไหม? ถ้าไม่โดนชาวเน็ทรุมประนามเรื่องแบบนี้จะไปจบลงตรงไหน?


ดังนั้นถ้าเพื่อไทยชนะ และทักษิณกลับมา ผมไม่โทษคนเลือกทักษิณนะครับ

เขาชอบทักษิณเขาก็เลือกทักษิณ มันเป็นสิทธิ์ของเขา



และผมก็ไม่คิดว่าเป็นความผิด ปชป. ที่แพ้ เพราะผมก็เข้าใจว่าเขาก็ไม่อยากแพ้

เขาก็สู้เต็มที่ในแนวทางของเขาแล้ว ผมคงปลอบใจและเป็นกำลังใจให้พวกเขาสู้ต่อไป

สู้จนกว่าผู้คนในประเทศนี้จะเข้าใจแนวทางที่รัฐบาลนี้ทำมากขึ้นๆ



รวมทั้งผมก็ไม่คิดจะโทษคนโหวตโน เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขา

เขาไม่พอใจในรัฐบาลใดเลย เขาแยกไม่ได้ว่าใครควรได้เป็นรัฐบาลต่อไป เขาก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะไม่เลือกใคร




แต่หากหลังทักษิณ (หรือแม้นแต่อภิสิทธิ์) กลับมาแล้ว มีคนเอาเสียงโหวตโนมาอ้างเพื่อขับไล่ทักษิณนั่นแหละครับที่ผมจะประนามมัน

เพราะถ้าใครรวมเสียง สส. ได้เกินครึ่ง ผมก็ถือว่านั่นเป็นฉันทามติของประชาชน

หากไม่ได้บกพร่องในหน้าที่อย่างรุนแรง ประชาชนไม่มีสิทธิไปขับไล่กันง่ายๆ

คนชุมนุมมีจำนวนเทียบกับคนเลือกมาไม่ได้ครับอย่าคิดว่ารวมคนได้แสนนึงจะทำอะไรกับประเทศนี้ก็ได้

ผมว่ามันเลว มันเป็นผลเสียต่อประเทศ หากโหวตโนไปแล้วฝ่ายไหนหรือใครจะมาก็อย่ามาเสนอหน้าอีก

อย่าได้มาพูดว่าเพื่อไทยเลวกว่า ปชป. ให้ได้ยินเชียวครับ

เพราะถ้าคุณทำผมนี่แหละจะถล่มคุณว่าเป็นไอ้พวกสับปรับทำตัวน่ารังเกียจ


นึกจะพลิกลิ้นเพื่อเป้าหมายทางการเมืองอะไรก็ทำ แรกๆก็เห็นดีด้วยที่ ปชป. เป็นรัฐบาล

แต่พอเลือกตั้ง สก. สข. แพ้ยับเบินก็ออกมาทำลาย ปชป. หนักขึ้นเรื่อยๆเพราะรู้ว่าฐานการเมืองบางส่วนทาบซ้อนกัน

คนเขารู้ทันหมดแหละครับว่า พธม. ต้องการอะไร แต่เขาไม่อยากวิจารณ์กันมากมันน่าสะอิดสะเอียน

ลอง ไปดูสิครับ มีนักการเมืองฝ่ายไหนเปิดปากวิจารณ์ พธม. เหมือนที่ พธม. ด่าว่าวิจารณ์/ระรานเขาไปทั่วตั้งแต่นักการเมือง , ประชาชนที่คิดต่าง ยันกองทัพ

คนเขาไม่ลงมาแลกด้วยทั้งนั้น แม้นแต่นักวิชาการอย่าง อ.เจิมศักดิ์ หรือ อ.แก้วสรรค์ เขาก็แค่ติงนิดหน่อยด้วยความสุภาพ

แต่ บนเวทีน่ะถึงขั้นตามถลกหนังหัวใครเขาไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่คนที่เคยต่อสู้มาด้วยกันอย่างคุณปอง อัญชลี , คุณสมศักดิ์ กระทั่งพระอย่างท่านจันทร์ก็ไม่เว้น

ไอ้กลุ่มคนบุคลิกอย่างนี้นี่อ่ะนะ กำแหงหาญจะมาเสนอตัวขับเคลื่อนการเมืองใหม่ เป็นน้ำดีไล่น้ำเสีย

ใครพอมีสติปัญญาบ้างก็เก็บไปคิดเอาเองครับโตๆกันแล้ว ถ้าเคยเห็นว่าทักษิณเลวอย่างไรน่าจะพอแยกแยะได้




ผมเชื่อว่าโอกาสทักษิณจะกลับมาตอนนี้มีอยู่ 50/50

และถ้าทักษิณกลับมาคนที่จะมาร้องโวยวายภายหลังก็ไอ้พวกโหวตโนนี่แหละ

คนเลือก ปชป. น่ะเขาทำใจไว้แล้ว ถ้าเล่นตามกติกาแล้วแพ้มันก็ช่วยไม่ได้

เราไม่คิดว่าจะต้องเล่นนอกกติกา เหมือนอย่างที่พวกแป๊ะมันพยายามทำเลย

คนพวกนี้แพ้ไม่เป็น เป็นฝ่ายค้านไม่ได้ แพ้แล้วพาลเหมือนพวกเสื้อแดงไม่มีผิดเพียงแต่ยืนคนละฝั่งเท่านั้น

http://www.serithai.net/phpbb3/viewtopic.php?f=2&t=34542&start=0

ใช่ครับ ผมไม่ได้ห้ามหรือก้าวก่าย คนที่ตั้งใจจะ  Vote No อยู่แต่แรกแล้ว ถ้าพูดถึงในเชิงปัจเจกนะ
เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม แต่เขาต้องยอมรับว่า หลังจากโหวตโนไปแล้ว หากใครจะเข้ามา ไม่ว่าพวกทักกี้ หรือพวก ปชป. ก็ตาม หากไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่อย่างรุนแรง หรือทำผิดกฏหมาย แล้ว ใช่ว่าจะไปไล่ส่งกันได้ง่ายๆ

แต่ผมไม่ค่อยชอบพฤติกรรมของ กมม.เท่านั้นเอง ในฐานะพรรคการเมือง แล้วออกมากล่าวอะไรแบบนี้
ถ้าพวกแป๊ะลิ้มหรือจำลอง ไม่ได้รวมตัวตั้งพรรคการเมืองมาก่อนหน้านี้ แล้วออกมารณรงค์โหวตโน ในฐานะประชาชนกลุ่มหนึ่ง ผมว่าคงไม่ผิดอะไร
แต่การที่ออกมาตั้งพรรคแล้ว ออกมาแข่งขันในสนามแล้วครั้งนึง ปรากฏว่าคะแนนสู้พรรคเดิมๆไม่ได้
เลยออกมาตะโกนโหวตโนซะเลย? มันสื่อถึงอะไร? ถ้าไม่ใช่คำว่า"อิจฉาตาร้อน"หรือ"องุ่นเปรี้ยวมะนาวหวาน"

ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นมวย
ผม และคนอื่นๆที่ไปลงคะแนน ก็เหมือนแฟนมวย บางคนชอบมวยไทย บางคนชอบมวยสากล บางคนชอบมวยปล้ำฯลฯ
บางคนก็ไม่ชอบดูเลย
เป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละคน ไม่ก้าวก่ายครับ

แต่แล้วมีนักมวยคนหนึ่ง(หรือกลุ่มหนึ่ง) ทีแรกตั้งใจจะมาต่อยมวยสากล พอต่อยสู้เค้าไม่ได้ก็เบนเข็มมาขึ้นเวทีมวยไทยแทน แล้วก็แพ้เค้าอีก
สุดท้ายก็มาแก้ตัวน้ำขุ่นๆต่อหน้าคนดูว่า ไม่อยากขึ้นชกมวยแล้ว ป่าเถื่อนรุนแรง อย่าไปดูมันเลย!

นักมวยแบบนี้ น่าเอาขวดลิโพปาไล่ครับ
 smoke
      บันทึกการเข้า

...
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #385 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2554, 17:09:36 »

อยากถามน้องโอว่า การเลือกตั้ง เหมือนการเลือกดูมวยจริงหรือครับ?
การเลือกตั้ง ไม่มีการใช้เงินซื้อเสียงหรือ
การเลือกตั้งมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม มากๆ
การเลือกตั้งไม่มีการใช้อำนาจรัฐเข้ามาช่วยเหลือ
นักการเมืองที่เสนอมาให้เลือก แล้วแต่เป็นคนดีทั้งนั้น
จริงหรือครับ

และการที่พันธมิตร ต้องการ โวตโน ก็คงไม่ใช่กลัวแพ้เลยเปลี่ยนประเด็น มาเป็นการไม่เลือกใคร
แม้แต่ ปชป.ก็คงแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้อยู่ดี
กมม.ก็รู้ดีว่าเลือกตั้งก็แพ้แน่นอน การลงก็แพ้ ไม่ลงก็ถูกกล่าวหาว่า ขี้แพ้ชวนตี
น้องโอ ทำไมไม่มองว่า การ โวตโน คือการไม่ยอมรับนักการเมืองเลวๆที่พรรคการเมืองยัดเยียดมาให้เลือก
หรือบอกว่า เลือกคนที่เลวน้อยกว่า (จริงๆแล้วเลวไม่ต่างกัน)

ทำไมเราต้องยอมให้พรรคการเมืองชั่วๆมาข่มขืนใจเราให้เลือกเขา
หากเรามองว่าเขาไม่ดี เราก็ไม่เลือกเขา..แต่เราไปใช้สิทธิ์ของเรา
ไม่เห็นว่ามันผิดตรงไหน
และการเลือกตั้งคุณก็รู้ว่า มันต้องใช้เงินมากแค่ไหน
และหาก กมม. ลงเลือกตั้งแล้วใช้เงินมหาศาลเพื่อชนะการเลือกตั้ง มันก็ไม่ต่างกับพรรคเก่าๆเหล่านั้น
หากลงโดยไม่มีเงิน ก็แพ้อยู่ดี
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น..เพราะตอนนี้ถึงโวตโน มากแค่ไหน มันก็คงมีรัฐบาลใหม่อยู่ดี
แต่นี่คือ การเมืองภาคประชาชน
อย่ารังเกียจ พันธมิตร และ กมม.เลยครับ พรรคเพื่อไทย เสื้อแดง เทพเทือก เนวิน บรรหาญน่ารังเกียจมากว่าเป็นไหนๆ
เพราะพวกนี้ต่างหากที่จะเข้ามาโกงกิน ทำความเสียหายกับประเทศชาติมากว่าเป็นไหนๆ
หันไปจับตา และก่นด่าพวกนั้นเถิดครับ อย่ามาด่าหรือ กระแนะกระแหน พันธมิตรเลยครับ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #386 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2554, 17:27:32 »

ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา “ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน” 
 
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน

 ขณะนี้พรรคการเมืองทุกพรรคต่างวิ่งเข้าสู่สงครามการเลือกตั้งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่างฝ่ายต่างโหมนโยบายขายฝันเพื่อหวังชิงที่นั่งในสภาในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 3 ก.ค.นี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ลงสมัครแต่ละพรรคก็ยังคงเป็นนักการเมืองหน้าเดิม มีแนวคิดแบบเดิมๆ โดยหวังเพียงให้การหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งเป็นเพียงทางผ่านที่จะนำพาพวกเขาเข้าไปนั่งในสภา เพื่อจะมีโอกาสใช้อำนาจหน้าที่แสวงประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง
       
       อย่างไรก็ดี ขณะนี้ได้มีหน่วยงานหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อจับตานักการเมืองเหล่านี้โดยเฉพาะ นั่นคือ 'เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย' ซึ่งจัดทำเว็บไซต์เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย หรือ www.tpd.in.th ที่มี 'ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา' อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ก่อตั้ง ซึ่งถือเป็นการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ทางการเมือง
       
       'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' จึงได้สัมภาษณ์พูดคุยกัย ศ.ดร.จรัส ถึงที่มาที่ไป และจุดมุ่งหมายในการจัดทำเว็บไซต์ดังกล่าว


 **อาจารย์คาดหวังว่าการให้ความรู้แก่ประชาชนในลักษณะนี้จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากน้อยขนาดไหน
       
       คือผมหวังว่าถ้าประชาชนรู้ว่า ส.ส.คนไหนไม่ดี จะได้ไม่เลือกเข้ามาอีก และสามารถเลือก ส.ส.ที่ดีเข้าสภาได้ อยากให้ชาวบ้านดูว่าจังหวัดเขามีปัญหาอะไรบ้าง และปัญหาของเขามีนักการเมืองคนไหนหยิบมาแก้ไขบ้างไหม ถ้าไม่เคยทำเลย ก็อย่ามาพูดว่าเป็นตัวแทนของประชาชน ขณะที่พรรคการเมืองเองก็ต้องเปลี่ยนวิธีการคัดเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ประเภทยี้เนี่ยพรรคต้องรับผิดชอบ คนที่ชาวบ้านยี้เนี่ยพรรคต้องไม่เอา
       
       **แล้วถ้าในพื้นที่ของเราไม่มีผู้สมัครที่ดีเลยล่ะ
       
       ก็ไม่ต้องเลือกเลย โนโหวต อย่างที่บางกลุ่มกำลังรณรงค์อยู่ตอนนี้เรื่องโหวตโนเนี่ย ผมเห็นด้วยนะ ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชนด้วยการเอาพวกที่ประวัติไม่ดีมาเป็น ส.ส. ก็มีคนถามผมเหมือนกันว่าอาจารย์ถ้าผู้สมัครที่แต่ละพรรคส่งลงมันยี้หมดเลยจะทำยังไงดี ผมก็บอกว่าก็แล้วแต่คุณ... คุณจะไม่เลือกใครสักคนก็เป็นการดี แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของบ้านเราคือกฎหมายเลือกตั้งที่ยังไม่เอื้อให้เราจัดการคนพวกนี้ ในบางประเทศเนี่ยถ้าโนโหวตเกิน 50% เขาจะให้เลือกตั้งใหม่ และคนที่ลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งนั้นเขาจะไม่ให้ลงสมัครใหม่เพราะการที่มีโนโหวตเกิน 50% แสดงว่าประชาชนเขาไม่เอาคุณ เพราะฉะนั้นคุณอย่าลงสมัครเลย และจริงๆแล้วถึงกฎหมายจะไม่ได้ห้ามลงสมัครใหม่แต่ถึงลงสมัครไปชาวบ้านเขาก็ไม่เลือก
       
       ขณะที่คนดีๆที่คิดจะทำงานการเมืองก็กล้าที่จะเสนอตัวเพราะรู้ว่าชาวบ้านต้องการคนดี ซึ่งในประเทศเหล่านี้เขาเปิดโอกาสให้สมัคร ส.ส.ได้โดยไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งจะเป็นช่องทางให้คนดีแต่ไม่มีทุนและไม่มีพรรคไหนส่งลงสมัครเพราะไม่ใช่พวกเขา บางคนก็เป็นคนที่ชาวบ้านส่งลงสมัครเอง พวกนี้ก็จะมีโอกาสเป็น ส.ส. พรรคกรีนในประเทศต่างๆก็เกิดจากวิธีการแบบนี้ คือมาจากคนที่มีอุดมการณ์แต่พรรคการเมืองไม่เอา ขณะที่ชาวบ้านชอบ พรรคกรีนในหลายๆประเทศเนี่ยได้ ส.ส.เขตไม่เยอะ แต่ได้ ส.ส.สัดส่วนเยอะเพราะประชาชนลงคะแนนให้พรรคกรีนกันเยอะ
       
       **บางคนมองว่าเสียงโหวตโนมันเปล่าประโยชน์ กาโนโหวตไปก็ไม่ได้อะไร
       
       ถ้ามองแค่ว่าการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นระบบตัวแทนก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์เพราะเขาจะไม่ได้ ส.ส. แต่ได้ประโยชน์ในแง่ของการแสดงสัญลักษณ์ว่าประชาชนเขายี้นักการเมืองกลุ่มนี้ นักการเมืองกลุ่มนี้คนเขายี้ตั้ง 50% แน่ะ ถ้าเขาได้เป็น ส.ส.จะเป็นยังไง ? ชาวบ้านก็บอกว่า...ไอ้เนี่ยเหรอ มันเป็น ส.ส.ด้วยคะแนนเสียง 5% เอง ผมคิดว่าน่าอายฉิบเป๋งเลย พรรคการเมืองพรรคนี้ส่ง ส.ส.ที่ชนะมาด้วยคะแนน 5% เอง
       
       ซึ่งตรงนี้ทางเครือข่ายข้อมูลทางการเมืองไทยตั้งใจไว้แล้วว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เขตไหนที่มีโนโหวตเยอะเราจะโชว์ให้ดูในเว็บไซต์ แล้วบอกด้วยว่า ส.ส.คนไหนบ้างที่มาจากเขตที่มีโนโหวตเยอะ การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว จังหวัดสุราษฎร์ธานีซึ่งเป็นจังหวัดที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ลงสมัครเนี่ย โนโหวตสูงมาก
       
       **แสดงว่าคนสุราษฎร์ฯมองว่าผู้สมัครที่ลงเลือกตั้งเนี่ยไม่มีใครดีเลย
       
       ประมาณนั้น (หัวเราะ) ยกเว้นคุณสุเทพที่ได้คะแนนเยอะ แล้วสุราษฎร์ฯคือประชาธิปัตย์ คราวนี้เราออกแคมเปญในพื้นที่ภาคใต้ว่า...อย่าเลือกเพราะว่าเคยชินกับพรรคใดพรรคหนึ่ง อย่าเลือกเพราะว่าศรัทธาในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ให้เลือกโดยดูจากคุณภาพของผู้สมัคร ส.ส.จริงๆ ตอนนี้พรรคการเมืองก็เชื่อไม่ได้ ต้องพิจารณาที่ตัวคนเป็นหลัก
       

       **หัวหน้าพรรคดีคนเดียวก็ไม่ได้หมายความว่าลูกพรรคจะดีด้วย
       
       ใช่ เรารู้ว่าบางคนก็ดีนะ อย่างนายกฯอภิสิทธิ์เนี่ยเป็นคนที่เราเชื่อว่าแกดี เราก็เห็นอยู่แล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์มีนายกฯอภิสิทธิ์ดีอยู่คนหนึ่ง คนอื่นจะดีไม่ดีไม่รู้ พูดตรงๆว่าจากข้อมูลที่เรามีอยู่เนี่ย..ประเภทถึงคอ ว่างั้นเถอะนะ (หัวเราะ) คนอยู่ข้างนายกฯก็ไม่ไหว รับไม่ได้ ผมเองก็คนใต้นะ ผมเชียร์พรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่สายเลือดเลย แต่ถ้ารักกันจริงก็ต้องบอกว่าพรรคก็ต้องคัดคนที่ดีมาลงสมัครด้วย แต่ที่คัดมามันห่วยแตกน่ะ..พูดง่ายๆ คือไม่ใช่ว่าทำชั่วยังไง คุณภาพแย่ยังไงเราก็เลือก
       
       **อย่าดูถูกประชาชนให้มากนัก
       
       ใช่ ดูถูกเรามาก แหม..เอาอะไรมาลงให้ประชาชนเลือกเนี่ย ! เราต้องให้ชาวบ้านสั่งสอนนักการเมืองเสียบ้างว่าคุณอย่ามักง่าย พรรคไหนก็แล้วแต่ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย มันก็มีแบบนี้ ต้องให้ชาวบ้านสั่งสอนว่าอย่าส่งคนพวกนี้มา
       
       **ตอนนี้ก็มีบางพรรคที่พยายามบอกว่าถ้าไม่เลือกพรรคเราซึ่งถึงจะเลวก็เลวน้อยกว่า เดี๋ยวพรรคที่เลวมากกว่าจะเข้ามาบริหารบ้านเมืองนะ
       
       แต่ผมคิดว่าเราอย่ามองแค่พรรค มองที่ตัวคนดีกว่า เราไม่ได้รณรงค์เรื่องพรรคนะ ข้อมูลของเว็บไซต์เราเน้นที่ตัวบุคคลเพราะถ้า ส.ส.ดีเนี่ย อย่างน้อยเมื่อเข้าไปทำงานในสภาเขาก็น่าจะมีความรับผิดชอบ สถาบันทางการเมืองก็น่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลง
       

       **มีบางประเทศที่เกิดการเปลี่ยนทางการเมืองโดยภาคประชาชน
       
       ครับ อย่างที่ประเทศเกาหลีองค์กรภาคประชาชนเขาจัดให้ชาวบ้านหย่อนบัตรลงคะแนนว่านักการเมืองคนไหนยี้ที่สุดในพื้นที่ของเขา ส.ส.ยอดยี้ในเขตนี้มีใครบ้าง ลงคะแนนกันทุกจังหวัดเลย สื่อก็ช่วยเผยแพร่ข่าวออกไป บางจังหวัดก็จัดกิจกรรมหย่อนบัตร เอา ส.ส.ยอดยี้ขึ้นป้าย มีการนับคะแนนยี้ 1 คะแนน ยี้ 2 คะแนน พอได้ ส.ส.ที่ยี้สุดๆ เช่น คนเกิน 30% บอกว่ายี้นะ เขาจะขึ้นแบล็คลิสต์ แล้วส่งชื่อ ส.ส.เหล่านี้ไปให้พรรคการเมือง บอกเลยว่า ส.ส.ยี้ที่มีอยู่ประมาณ 60 คนเนี่ย คุณอย่าส่งลงสมัครนะ ถ้าส่งมาเราจะรณรงค์ไม่ให้เลือกคนพวกนี้ แล้วก็ไม่เลือกพรรคคุณด้วย คือการเลือกตั้งของเกาหลีก็มีทั้งเลือกพรรคและเลือกคน
       
       ตอนแรกพรรคการเมืองของเกาหลีก็ไม่กลัวเพราะคิดว่าภาคประชาชนไม่เอาจริง เขาก็ส่งพวกยี้ลงสมัคร โดยส่งประมาณ 10 กว่าคน ชาวบ้านพอรู้สึกว่านักการเมืองดูถูกเขาก็เอาจริงเลย เดินถือป้ายรณรงค์กันทุกจังหวัด หัวหน้าโครงการนี้ก็ถูกฟ้อง เพราะ ส.ส.เกาหลีบอกว่าผิดกฎหมายเลือกตั้งทำให้เสียชื่อเสียง ก็เหมือนบ้านเราน่ะแหล่ะ ฟ้องกันทุกพื้นที่เลย พื้นที่ไหนรับเจ้งความแกก็ไปรายงานตัว แต่ขอประกันตัวออกมาก่อนนะ แล้วก็ไปรณรงค์ในพื้นที่อื่นต่อ จนกระทั่งว่า ส.ส.ยี้ผ่านเข้าไปในสภาได้แค่ 2-3 คน องค์กรภาคประชาชนก็เดินหน้าต่อ ปะกาศว่าถ้าพรรคการเมืองส่ง 2-3 คนนี้เข้าไปทำงานไม่ว่าจะรับตำแหน่งไหนก็จะตามดูทุกวินาทีเลยว่าแต่ละคนไปทำอะไรบ้างและจะรายงานต่อประชาชน ปรากฎว่าพรรคไม่แต่งตั้งให้เป็นอะไรเลย เป็นแค่ ส.ส.ธรรมดา และสักพักก็ค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรม ส่วน ส.ส.ที่ได้คะแนนยี้แต่ไม่มาก แค่ 15% พวกนี้เป็นนักการเมืองเลวเหมือนกัน แต่หลังจากเจอแบบนี้เขาก็เปลี่ยนพฤติกรรมเป็นคนดีขึ้น
       
       วิธีการนี้คนเกาหลีเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2541 ถึงตอนนี้การเมืองเกาหลีเข้าที่เข้าทาง เขารณรงค์ทีเดียวนะแต่ประชาชนเขาตื่นตัวมาก พอการเลือกตั้งครั้งต่อมาในปี 2546 หรือ 2547 นี่แหล่ะ เขาแทบไม่ต้องรณรงค์อะไรเลย ชาวบ้านรู้กันเองว่าใครดีไม่ดี ขณะที่ ส.ส.ก็ทำตัวดีขึ้น ไม่รู้จะเอาอะไรมาตำหนิ ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่มีทั้งการคอร์รัปชั่น บริษัทใหญ่ๆอย่างแดวูก็เป็นธุรกิจที่อาศัยอำนาจทางการเมืองผูกขาดทั้งนั้น หนีภาษี ใช้อภิสิทธิ์ในการรับสิทธิพิเศษในการลงทุน เหมือนบ้านเราทุกอย่าง แย่กว่าเราอีกเพราะคนเกาหลีก็ต้องพึ่งพาบริษัทเพวกนี้เป็นนายจ้าง การที่จะให้คนแสดงท่าทีต่อต้านพฤติกรรมของกลุ่มทุนเหล่านี้ก็เป็นเรื่องยากมาก แต่สุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จ ขณะที่การเข้ามากุมอำนาจทางการเมืองของกลุ่มทุนในบ้านเรายังเป็นแบบหลวมๆ
       
       ดังนั้นบ้านเราเนี่ยถ้าเราให้ข้อมูลอย่างเข้มข้นกับประชาชนและให้เขามีส่วนร่วมจริงๆ เขาอาจจะตื่นตัวมากกว่าที่เราคิด แล้วนักการเมืองเนี่ยท้ายที่สุดเขาก็กลัวประชาชนนะ
       
       **ถ้าภาคประชาชนตื่นตัว การเมืองไทยก็น่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลง
       
       ก็เป็นสิ่งที่เราหวังอยู่ แต่เราก็คงต้องเผชิญกับคลื่นอีกหลายลูก อย่างครั้งนี้ผมคิดว่าเครือข่ายของเรากับพรรคการเมืองก็รณรงค์กันไปคนละทาง พรรคการเมืองอาจจะรณรงค์แบบสร้างกระแสกดดันว่าต้องเลือกพรคผมนะ พรรคนั้นมันไม่ดีนะ แต่เราบอกว่าต้องเลือกคนที่มันไม่ยี้นะ ถ้าพรรคไหนที่ส่งผู้สมัครแบบยี้มาคุณอย่าเลือกนะ พรรคไหนจะได้ ส.ส.กี่คนเราไม่สนใจหรอกเพราะถ้าพรรคไม่รับผิดชอบตั้งแต่เริ่มส่งคนเข้ามาก็แสดงว่าเป็นพรรคที่ไม่ดี บอกว่าพรรคดีแต่ส่งเจ้าพ่อมาลง ส.ส. อย่างงี้เป็นพรรคที่ดีเหรอ.... พรรคดีแต่ส่งนักการพนัน เจ้าของบ่อน พ่อค้ายยาเสพติด ค้าของเถื่อน มาลงสมัคร พรรคอย่างงี้ดีเหรอ...
       
       ใครมาก็ไม่สำคัญสำหรับพวกเรา คนอย่างคุณทักษิณจะกลับมาหรือไม่กลับมาผมไม่สนใจนะ เป็นเรื่องของสาธารณะที่ต้องช่วยกันดู แต่ผมมองว่าถ้านักการเมืองยังไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม ยังเล่นเกมกันแบบนี้ ต้องใช้อำนาจที่สามคืออำนาจของประชาชนมาช่วยกันคัดง้าง
       

       **หลังจากการเลือกครั้งนี้ เว็บไซต์เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทยจะขับเคลื่อนอย่างไรต่อไป
       
       เราจะติดตามพฤติกรรม ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้าสภาเลย แล้วก็จะมีการจัดเรตติ้ง ส.ส.ยอดเยี่ยม กับ ส.ส. ยอดแย่ คือชาวบ้านต้องมีความเป็นเจ้าของ ส.ส. ไม่ใช่เลือกมาแล้วเขาจะไปทำอะไรก็ช่าง และเมื่อ ส.ส.รู้ว่ามีคนติดตามพฤติกรรมของเขา เขาก็ต้องระมัดระวัง และถึงแม้ว่าเลือกตั้งคราวนี้เราจะเอา ส.ส.ไม่ดีออกไปไม่ได้ทั้งหมด แต่เชื่อว่าก็ต้องหลุดออกไปได้บ้าง จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประชาชน และเราจะสร้างกระแสว่าเลือกตั้งคราวนี้จะสร้างความแตกต่างทางการเมืองได้ไหม เปลี่ยนการเมืองไทยได้ไหม
       
       **อยากให้อาจารย์วิเคราะห์การเลือกตั้งในครั้งนี้
       
       ผมว่าคงแข่งกันดุ ประการแรกคือ การเลือกตั้งครั้งนี้เดิมพันสูงมาก ฝั่งคุณทักษิณก็พยายามที่จะชนะการเลือกตั้ง ให้เป็นเสียงข้างมากให้ได้ เพราะเป็นเรื่องของการกลับมาหรือไม่ได้กลับมา ซึ่งทำให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคการเมืองที่เหลือต้องลงเดิมพันสูงตามไปด้วย ประการที่ 2 เนื่องจากการเลือกตั้งคราวนี้เป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ซอยเป็นเขตเล็ก ตามสถิติเนี่ยใครที่มีคะแนนจัดตั้งเกิน 35% ชนะเลย เขาก็ใช้ระบบหัวคะแนน และมีการซื้อเสียงอย่ามโหฬาร ทางฝ่าย กกต.ในแต่ละพื้นที่ ก็มีปัญหานะ เพราะพรรคการเมืองก็ส่งคนของตัวเองมาเป็น กกต. ดังนั้นเครือข่ายเรานอกจากจะจับตาผู้สมัครแต่ละพรรคแล้ว ก็ต้องจับตา กกต.ด้วย
       
       **ตอนนี้ผลสำรวจของโพลหลายสำนักก็ออกมาตรงกันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยน่าจะมีคะแนนนำพรรคอื่นๆ
       
       ก็ยังแน่ใจอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าแต่ละโพลมีที่มาที่ไปอย่างไร ชาวบ้านก็อาจถูกทำให้เชื่อว่าเพื่อไทยจะมา คือมันเป็นโพลแบบชี้นำ ทำโพลแล้วก็รีบออกมาพูด เราก็ไม่รู้ว่าเขาสำรวจในเขตไหนบ้าง อย่างในพื้นที่ภาคอีสานเนี่ย จากการวิจัยของเครือข่ายเราก็เห็นว่าพื้นที่อีสานเหนือเป็นฐานของเพื่อไทย ภูมิใจไทยจะชนะเพื่อไทยได้สักเท่าไรก็ยังอยู่ในเขตอีสาน คือเขตชนบทนี่ชัดเจนว่าเพื่อไทยกับภูมิใจไทยแข่งกัน แต่ถ้าเป็นเขตเมืองก็ไม่แน่ ประชาธิปัตย์ก็เคยครองพื้นทิ่อยู่ ถ้าเชตเลือกตั้งเล็กลง และกินเขตเมืองเข้าไปเกิน 35% ประชาธิปัตย์ก็อาจจะแทรกเข้ามได้บ้าง
       
       **คิดว่าหลังเลือกตั้งการเมืองไทยจะเปลี่ยนไปจากเดิมไหม
       
       ผมว่าจะลงเอยคล้ายกับปี 2550 คือผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยอาจมีคะแนนนำทุกพรรค แต่จะตั้งรัฐบาลได้ก็ต้องไปจีบพรรคการเมืองอื่นๆมาร่วมรัฐบาล ก็อยู่ที่ว่าเขาจะตอบรับหรือเปล่า เขาอาจจะกลัวบางเรื่อง ก็ต้องมาคุยกัน เรื่องคุณทักษิณจะว่าอย่างไร ถ้ารับได้พรรคเพื่อไทยก็อ่าจจะได้จัดตั้งรัฐบาล แต่ถ้ารับไม่ได้เพื่อไทยก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพื่อไทยก็ออกมาโวยวายว่าตั้งไม่ได้เพราะมีอำนาจแฝงเข้ามาบงการ มีทหารหนุน เพื่อให้เกิดกระแสขึ้นมา แต่พรรคอื่นก็อาจจะรับถ้าเพื่อไทยให้ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงดีๆ ก็เป็นไปได้เพราะนักการเมืองไม่ได้เห็นแก่ประเทศชาติอยู่แล้ว ขณะเดียวกันถ้าเพื่อไทยตั้งรัฐบาลไม่ได้ ประชาธิปัตย์ซึ่งอาจจะมีคะแนนมาเป็นอันดับ 2 ก็จะจับมือกับพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าพรรคอื่นก็ต้องต่อรองสูง ยิ่งต่อรองมากก็จะได้รัฐบาลที่ไม่ได้ความ เหมือนกับการจัดตั้งรัฐบาลครั้งเนี้ย พรรคที่มาร่วมก็เอากระทรวงหลักๆอย่าง มหาดไทย พาณิชย์ อุตสาหกรรม คมนาคม ไปหมด ประชาธิปัตย์ก็ไปดูแลเรื่องขี้หมา เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็จะทำงานไม่ได้ ก็ต้องรอดู
       
       ถ้าการเมืองยังเป็นแบบเดิม ไม่ว่าขั้วไหนมาก็ไม่มีเสถียรภาพ ผมเป็นกลางนะ ยิ่งทำวิจัยได้เห็นข้อมูลนักการเมืองแบบที่ผมว่าแล้วยิ่งเป็นกลางใหญ่ คือมันแย่เหมือนกันหมด ถ้าถามว่า ส.ส.คนไหนไม่จริงใจต่อประชาชน ก็ ส.ส.ทุกพรรคน่ะแหล่ะ พูดอย่างทำอย่างทั้งนั้น แหกตาชาวบ้านทั้งนั้น



 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #387 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2554, 15:57:04 »


ขออนุญาตแย้งพี่ตะวันซะหน่อย

การเมืองไม่ใช่เรื่องของทุกคน แต่การเมืองเป็นเรื่องของสัตว์เดรัจฉาน บ้างก็เลื้อยคลาน
เพียงเพราะ 120 บาท  ก็สามารถจ้างคนไปลงคะแนนเสียงได้แล้ว ใครมีเงินมาก ก็สามารถซื้อเสียง เป็น สส. ได้
ได้ สส. มาจำนวนหนึ่ง สามารถต่อรองเข้าร่วมเป็นพรรคร่วมรัฐบาล คุมกระทรวงสำคัญ หากินกับโครงการได้อย่างสบาย

วงจรอุบาทว์เยี่ยงนี้ ไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทย ถ้าคนไทยยังอ่าน นสพ. หัวเขียว เป็นอันดับ 1 ของประเทศ
ถ้าคนไทยมัวแต่ บ้าหนังบ้าละคร บ้าตลกขายหัวเราะ อ่านหนังสือปีละ 7 บรรทัด โง่แล้วยังอวดดี

ก็เรียบร้อย ให้สัตว์เดรัจฉานการเมือง ครอบครองได้ทุกยุคทุกสมัย 
      บันทึกการเข้า

seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #388 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2554, 19:12:16 »

จดหมายถึง ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
 
โดย ดร.ปิติ ศรีแสงนาม 2 มิถุนายน 2554 09:15 น.
 
 

 
 
 
 
1 มิถุนายน 2554
      เรียน รองศาสตราจารย์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
       
        ผมเป็นคนหนึ่งที่ติดตามผลงานของอาจารย์มาโดยตลอดด้วยความชื่นชม ผมดูรายการมองต่างมุมตั้งแต่สมัยผมเป็นนักเรียน ผมยอมรับว่าอาจารย์เป็นต้นแบบ ของผมคนหนึ่งที่ทำให้ผมอยากเป็นนักเศรษฐศาสตร์ อยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และอยากทำวิจัยเรื่องเกี่ยวกับปากท้องของชาวบ้านคนไทย ผมชื่นชมที่อาจารย์ออกหนังสือรู้ทันทักษิณ และร่วมต่อสู้เพื่อต่อต้านทรราช ถึงทุกวันนี้ผลก็ยังติดตามรายการโทรทัศน์และวิทยุของอาจารย์อย่างต่อเนื่อง แต่ระยะหลังโดยเฉพาะวันนี้ผมรู้สึกผิดหวังในการทำงานของอาจารย์ในฐานะสื่อเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าก่อนนี้จะเคยรู้สึกรำคาญผู้จัดรายการร่วมของอาจารย์บางท่าน เช่นในรายการมุมมองของเจิมศักดิ์ ที่คุณจิตรกรเน้นเพียงชงเรื่อง และเออออห่อหมกไปกับอาจารย์ในทุกประเด็น จนทำให้เสน่ห์ของอาจารย์ในรายการเช่น มองต่างมุม หรือ เหรียญสองด้านหายไป แต่นั่นแหล่ะ เมื่อชื่อรายการชื่อ “มุมมองของเจิมศักดิ์” ผมก็เข้าใจรูปแบบของรายการและยอมรับได้
       
        แต่ประเด็นที่ผมรู้สึกผิดหวังกับการทำงานของอาจารย์ในฐานะสื่อสารมวลชนในวันนี้คือ ประเด็นเรื่อง “Vote NO” ที่ทุกวันนี้อาจารย์กำลังเล่นเป็นประเด็นหลัก โดยการนำบทความจากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะจากหนังสือพิมพ์แนวหน้าซึ่งอาจารย์ก็ทราบดีว่าจุดยืนของฉบับนี้เข้าข้างพรรคการเมืองใด และการแสดงทัศนคติของอาจารย์ในทำนองที่ว่า เมื่อมีคนเลว กับคนเลวกว่า ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเลือกคนที่เลวน้อยที่สุด เพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้น Vote No จึงดูจะเป็นทางเลือกซึ่งใช้ไม่ได้ และเมื่อร่วมกับผู้จัดรายการคู่กับอาจารย์แสดงความคิดเห็น Vote No จึงกลายเป็นแนวคิดที่ดูจะโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง ผมเข้าใจดีว่านี่คือกระบวนทรรศน์แบบเศรษฐศาสตร์ Classical แต่สำหรับอาจารย์ซึ่งมีความสนใจในเรื่องของพุทธศาสนา และได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ที่เป็นอริยสงฆ์มาแล้วเป็นจำนวนมาก ทำไมอาจารย์ไม่พิจารณาตามหลักการของเศรษฐศาสตร์แนวพุทธบ้างครับ
       
        อุปมาการทำหน้าที่สื่อของอาจารย์ ณ ขณะนี้เหมือน ถ้ามีเหล้าอยู่ 2 ขวด ขวดหนึ่งเป็นเหล้าเถื่อน ชาวบ้านแอบต้มกันเอง ไม่แน่ใจว่าจะอันตรายจากแอลกอฮอล์ที่ไม่สามารถรับประทานได้หรือไม่ กับอีกขวดหนึ่งเป็นเหล้าวิสกี้ชั้นดี นำเข้าจากต่างประเทศ ราคาขวดละหลายพันบาท สิ่งที่อาจารย์กำลังพยายามบอกกับทุกคนตอนนี้คือ กินเหล้าวิสกี้จากต่างประเทศเถอะ
       
       ทำไมอาจารย์ไม่ใช้รายการของอาจารย์ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดของนิสิต นักศึกษาและปัญญาชนของประเทศนี้ แสดงให้พวกเขาเห็นล่ะครับว่า จะเหล้าขวดไหนมันก็ผิดศีลเหมือนกัน มันเป็นอบายมุขเหมือนกัน เป็นสิ่งเสพติดเหมือนกัน และดื่มเข้าไปก็เป็นผลเสียต่อสุขภาพร่างกายเหมือนกัน ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ไม่ควรดื่ม หรือไม่เลือกที่จะดื่ม
       
       เรื่องพรรคการเมืองก็เช่นเดียวกัน ถ้าประชาชนบางกลุ่ม บางคนเชื่อว่าพรรคการเมืองที่เป็นตัวเลือกในขณะนี้มันไม่มีพรรคไหนที่ดี ถ้าพรรคไหนเข้ามาเป็นรัฐบาลก็จะเกิดผลเสียต่อประเทศเช่นเดียวกัน การรณรงค์ให้ไม่เลือกใคร แต่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือการ Vote No ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขามิใช่หรือ?
       
       อาจารย์กำลังวิตกกังวลเรื่อง ล้มหล่อเพื่อช่วยเหลี่ยม มากเกินไปหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ การ Vote No ซึ่งเป็นการไม่เลือกทั้งหล่อ และทั้งเหลี่ยมนั้น โดยทางอ้อมอาจจะทำให้คะแนนของหล่อหายไป แต่คะแนนของเหลี่ยมยังอยู่ครบ แต่มันก็ได้เป็นการแสดงให้คนทั้งโลกได้เห็น ทำให้ประวัติศาสตร์ต้องบันทึก และเป็นจุดเปลี่ยนทางสังคมมิใช่หรือว่าประชาชนชาวไทยกลุ่มหนึ่งเริ่มตื่นตัวทางการเมือง เริ่มคิดเป็นว่าถ้าตัวเลือกไม่ดี คนไทยก็มีสิทธิที่จะไม่เลือก ถ้าคนที่เสนอตัวเข้ามาให้เลือกไม่มีคุณธรรม ก็อย่าไปเลือก อย่างน้อยที่สุดระบบคุณธรรม จิตสำนึกที่ดีทางการเมืองในระบบประชาธิปไตยก็เกิดขึ้น
       
       หน้าที่ของสื่อมวลชน ซึ่งอาจารย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น คือการต้องเอาความจริงมาเผยแพร่ ทำไมอาจารย์ไม่ใช้โอกาสนี้นำเสนอให้ประชาชนได้รู้ทัน ทั้ง “รู้ทันหล่อ” และ “รู้ทันเหลี่ยม” ล่ะครับ นายกรัฐมนตรีบางคนหน้าตาดี ภาพพจน์ดี การศึกษาดี เป็นคนดี แต่กำลังพายเรือให้โจรนั่ง ในขณะที่อีกตัวเลือกก็เป็นร่างทรงของอดีตนายกฯ ที่อาจารย์ได้ทำการรู้ทันไปแล้ว ผมเชื่อว่าอาจารย์เองก็มีประเด็นในเรื่องเหล่านี้มาตีแผ่ นำประเด็นเหล่านี้มาเปรียบเทียบ มาวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่สิ่งที่ผมเห็นและได้ยินจากรายการของอาจารย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับ
       
       ผมเห็นอาจารย์น้ำตาซึมในรายการเมื่อมีภาพข่าวขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างไรก็ตาม อาจารย์อย่าลืมพระบรมราโชวาทของในหลวงที่ว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
       
       ในทัศนคติหรือในมุมมองของผม VOTE NO คือการทำหน้าที่นี้ครับ!
       
       จึงเรียนมาเพื่อทราบ และโปรดพิจารณาปรับปรุงแนวทางการจัดรายการของอาจารย์ให้เป็นแบบที่น่าศรัทธา น่าเชื่อถือ และเป็นพุทธะแบบ อาจารย์คนเดิมที่เป็นบุคคลตัวอย่างของผมด้วยครับ
       
      ด้วยความเคารพ
       อาจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม
       คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 

 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #389 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2554, 11:31:15 »



ถึง ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จาก ดร. ปิติ ศรีแสงนาม

"เมื่อมีคนเลว กับคนเลวกว่า ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเลือกคนที่เลวน้อยที่สุด"?


ขออนุญาต นำภาพเข้ามาเสริม เพื่อให้ได้เห็นภาพ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่ยังหนุ่มแน่น และกล้าเขียนแย้ง ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่กำลังโรยรา
      บันทึกการเข้า

seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #390 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2554, 14:06:01 »


คลี่ปริศนา"เช็ค44ใบ"มหากาพย์ซุกหุ้น"ชินคอร์ป"
Posttoday.com
 คลี่ปมธุรกรรมเงินปันผลจากหุ้นชินคอร์ปของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลัง แก้วสรร อติโพธิ ย้ำว่ามีการให้การเท็จต่อศาลฯ คดีถือหุ้นแทนพ.ต.ท.ทักษิณ หลังพบประเด็น เงินกว่า 68 ล้าน แตกเป็นเช็ค 44 ใบ ส่วนใหญ่ไม่ถึง  2 ล้านบาท

โดย...ปราฎา เหมทิวากร

**********************

แม้สังคมจะรับรู้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 พรรคเพื่อไทย ถูกข้อกล่าวหา "ให้การเท็จ" ต่อศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ข้อเท็จจริงของคดีนี้ก็ยังไปไม่ถึงไหน

ยิ่งใกล้โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งยิ่งทำให้มีการกล่าวถึงมากขึ้นจนเป็นประเด็นทางการเมือง!!

เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยให้การต่อศาลฯเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2552  ยืนยันว่า  หุ้นชินคอร์ปจำนวน 2 ล้านหุ้น เป็นการซื้อมาจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายเมื่อปี 2543 ก่อนที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี



“ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเล่นการเมือง เคยบอกว่าจะขายหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดให้กับ พานทองแท้ พยานจึงขอซื้อหุ้นจำนวน 2 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดเก็บไว้เป็นของตัวเอง แต่เนื่องจากยังไม่มีเงินมากนัก จึงขอทำเป็นหนังสือสัญญาจ่ายเงินเมื่อทวงถามแบบไม่มีดอกเบี้ย” ยิ่งลักษณ์ ระบุในคำให้การ

แต่สุดท้ายด้วยหลักฐานบุคคลและเอกสารของฝ่ายโจทย์ ศาลฏีกาฯจึงมีคำพิพากษาออกมาว่า หุ้นชินคอร์ปทั้งหมดที่พ.ต.ท.ทักษิณ ขายให้บุคคลใกล้ชิดในครอบครัว แท้จริงแล้วยังคงเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งผิดตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญปี 2540

“คำคัดค้านของยิ่งลักษณ์ และพวก ว่า หุ้นชินคอร์ปจำนวนดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของตน เพราะได้ซื้อมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ศาลฟังว่าเป็นความเท็จ เป็นการสมทบให้ใช้ชื่อถือแทนเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย” คำพิพากษาระบุ

ประเด็นก็คือ หลักฐานสำคัญที่  นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการและอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)นำออกมาชี้ชัดก็คือเช็คปริศนาจำนวนมาก ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างว่าเป็นเงินปันผลจากหุ้นชินคอร์ป ซึ่งได้ซื้อมาจากพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ยังแฝงไว้ด้วยความคลุมเครือ และไม่ชัดเจนว่าเป็นการอำพรางธุรกรรมหรือไม่

เงื่อนปมที่มีการพบไล่เรียงจากการที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างต่อศาลฯว่า การซื้อหุ้นไม่ได้จ่ายเงินสด แต่เป็นตั๋วสัญญาจ่ายเงินเมื่อทวงถาม จำนวน 20 ล้านบาท

ต่อมาทั้งสองพี่น้องชินวัตร จึงมีการดำเนินธุรกรรมระหว่างกันตามที่ทำตั๋วสัญญาไว้

กล่าวคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับเงินปันผลตามหุ้นชินคอร์ปที่ถือไว้ 2 ล้านหุ้น ก็มีการโอนเงินนั้นกลับไปเป็นค่าหุ้นที่ซื้อจากพี่ชาย เมื่อปี 2543 โดยแตกเป็นเช็ค 2 ใบ ซึ่งใบแรก 9 ล้านบาท

และใบที่สอง นายแก้วสรร ตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีการเขียนตัวเลขในเช็คผิดเป็น 13.5 ล้านบาท จึงมีการแก้ไขเหลือ 11 ล้านบาท เพื่อให้พอดีกับจำนวนค่าหุ้น 20 ล้านบาท

ส่วนที่เกินมา 2.5 ล้านบาท ได้สั่งจ่ายเช็คไปที่ น.ส.พินทองทา อ้างว่าเป็นค่าฝากเงินซื้อนาฬิกาจากต่างประเทศ

ไฮไลท์จริงๆของกรณีนี้ก็คือ เงินปันผลจากหุ้นชินคอร์ปในงวดที่เหลือ คืองวดที่ 2-6 นั้น  มีการตีเช็คเข้ามาถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ จำนวน 44 ฉบับ โดยเข้าบัญชี น.ส.ยิ่งลักษณ์    2 ฉบับ วงเงิน  2.1 ล้านบาท

ที่เหลือวงเงิน 68 ล้านบาทนั้น มีการน.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างในคำให้การว่า ได้นำมาตกแต่งบ้าน ทำสวน สนามฟุตบอล สระว่ายน้ำ ซื้อทองแท่ง เครื่องเพชร เครื่องประดับ

แต่สิ่งที่เป็นปริศนาของเช็คทั้งหมดก็คือ เหตุใดจึงมีการแตกเช็คเงินปันผลจำนวนมากถึง 44 ฉบับ และแต่ละงวด ก็เป็นเงินต่ำกว่า 2 ล้านบาท  บางงวด 1.5 ล้านบาท บางงวด 1 ล้านบาท โดยเลขที่เช็คจะเรียงกันเป็นตับ และวันที่ออกเช็คก็ไล่เรียงกัน



ตามปกติแล้วการโอนเงินปันผลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะโอนเป็นก้อน ตามงวดบัญชี เช่น รายไตรมาส หรือรายปี ให้แก่ผู้ถือหุ้น หรือขึ้นกับว่าฝากหุ้นกับหน่วยงานใด หรือโบรคเกอร์ใด

มีการตั้งข้อสังเกต ในเรื่องนี้ว่า เหตุใดเช็คมีการถอนเป็นเงินสดเกือบทุกวัน ในกรอบที่ไม่ต้องทำรายงานตามกฎหมายฟอกเงิน

เพราะตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องรายงานที่มาที่ไป ประวัติของลูกค้า ที่ทำธุรกรรมที่เกินกว่า 2 ล้านบาท 

นอกจากนั้น ยังเป็นปริศนาด้วยว่า หากเป็นการชำระค่าแต่งบ้านหรือซื้อทองคำจริง ควรชำระเช็คตรงไปยังผู้รับเหมาหรือผู้ขายสินค้าโดยตรงมากกว่า

สุดท้ายศาลฎีกาฯ ตัดสินว่า ข้อกล่าวอ้างของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีหลักฐานใดที่เกี่ยวกับการใช้เงินสด 68 ล้านบาทมาแสดง ข้ออ้างว่าหุ้นเป็นของตัวเองจึงรับฟังไม่ได้พร้อมชี้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นหนึ่งในนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการถือหุ้นชินคอร์ปช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

นายแก้วสรร มองว่า ในเรื่องนี้ ยังไม่มีคำตอบจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นอัยการ  , คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ควรเดินหน้าต่อ

พร้อมยืนยันว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายมีความเสมอภาคกัน เสียงข้างมากย่อมนำพาประเทศ แต่สิ่งที่ไม่สามารถทำได้อย่างเด็ดขาดคือ การนำเอาอำนาจที่ได้จากคะแนนเสียงเลือกตั้ง หรือได้จากความเสมอภาคทางการเมือง มาทำลายความเสมอภาคทางกฎหมาย
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #391 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2554, 22:30:37 »

หาห้องการเมืองตั้งนาน เพิ่งมาเจอ มาหลบ เขม่าดินปืน อยู่ตรงนี้เอง อิๆๆๆๆ

ตอนหลังพอไม่มี ห้องการเมืองเลยไม่หนุก ไม่ได้มาต่อกร เอ๊ยตอเเย

พอมาอ่านห้องนี้ชักหนุก แฮะ เเต่ขอทำการบ้านก่อน นะคะจะได้ทราบว่าไผเป็นไผ

พูดผิดพูดถูก เด่ว ถูกเตะ

ตอนนี้ เหลืองเเดง เเสงทองของ ซีมะโด่ง กลายๆ เป็นสีโน้นสีนี้ไปซะเเหล่ว

ที่ยโส และอิสาน  เเดง ทั้งเเผ่นดิน อ่ะ  

เเต่มีเหลืองประชาธิปัตย์ กำลังพุ่งเเรง คิดว่า 80 ต่อ20เลยล่ะ only เขต 1 อ.เมืองนะคะ

เเต่วันนี้  only ยโส นะคะ ข่าวว่า เเดงเริ่มขึ้นมาเพราะกระเเส ยิ่งลักษณ์  ยิ่ง ยิ้ง ยิ๊ง จริงๆๆๆๆๆ

คิดว่า อิสาน เเดงกวาด เรียบบบบบบบบ ยกเว้นยโสธร อาจจะมีเหลืองปชป.1-2 คนค่ะ ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ

      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #392 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2554, 22:38:24 »

เเต่ก็ ต้องยอมรับการตัดสินของประชาชนนะคะ ให้เขาได้ลองผิดลองถูกไป จนกว่าชาติหน้าของพวกเราโน่นเเหละ

หากเเดงได้เป็นรัฐบาลก้ดี นะ  อยากเห็นจตุพร เป็น รมว .สาธารณสุข คนคงหายป่วย

อยากเห็น ณัฐวุฒิ เป็น รมว.ศึกษา  เผาโรงเรียนเเม่งเลย พี่น้องงงงงงงงงงงงง

เรื่องจริง นะคะ

อยากเห็นว่าคุณทักษิณ ที่เก่งการบริหารเป็นเลิศ ประเสริฐกว่า ตะวัน เเละวณิชย์ 555555

 ว่าจะ จัดการบริหารเเกนนำเสื้อเเดงให้อยู่ในโอวาทได้อย่างไร

เเค่คิด ก็สนุกเเล้ว  ประเทศของฉัน

เผาแม่งเลยพี่น้องงงงงงงงงงงง
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #393 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2554, 22:44:25 »


หากประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาล ก็โดนเเดงเผาเมืองอีก เสียงก็น้อย

คุณเน ก็ ไปเล่นฟุตบอลซะเเล้ว ลิเวอร์พูลก็จะมาบุรีรัมย์

แล้วจะอยู่กันยังไง คะ อาจารย์เเจ่ม ใส มาห้องนี้ได้เเล้วววววววววววววว

  ยอมแพ้ ให้เเดงเป็นรัฐบาลดีกว่า  เพราะเหลืองก็หมดเเรง พอไม่ได้รบกับคนอื่นก็ รบกันเอง

ตอนนี้ที่เป็นเรื่องจริง คือเขาตั้งรัฐบาล เพื่อไทย กันเเล้วค่ะ
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #394 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 08:22:46 »

น้องตะวันเสรี

จะทำอย่างไร หาก พรรคที่เป็นรัฐบาลได้เสียงมาจาก การอันธพาล ) เพื่อขึ้นครองเมือง

เพราะส่วนใหญ่บางสีเป็นอันธพาล จริงๆ

เคยเงียบๆอยู่ตามหมู่บ้าน เพราะคนดีๆเขาไม่คบด้วย แต่ บัดนีนี้มีเงินมีทอง และ

นั่งรถติดธงเเดง ขับ ยียวน กวนเมือง ไปตามในเมือง

มีความสุขมากหากได้ผ่านด่าน แล้วตำรวจไม่กล้าค้นไม่กล้าจับ

คือสรุปว่าเป็นอันธพาล น่ะ

แล้ว ผู้ที่จะได้เป็นรัฐบาล ได้ ใช้พวกนี้เป็นฐาน เพื่อเป็นรัฐบาล

แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร

ประเทศนี้นี้คงเต็มไปด้วยอันธพาล

เราอยู่กันเเบบเจียมเนื้อเจียมตัวดีกว่า นะ
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #395 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 08:59:31 »

อยากให้คุณทะกษิณกลับมา ไม่ได้ประชดนะคะ

กลับมาเเล้วมาเเก้ปัญหา คนเสื้อเเดงบางส่วนที่ เพิ่งจะได้ดิบได้ดีเเล้วลืมตัว

และคนเสื้อเเดง ที่ ก้าวร้าว ตามหมู่บ้านต่างๆ

สร้างเขาไว้เเล้ว มาจัดระเบียบเขาให้เรียบร้อย เป็นผู้เป็นคนหน่อย

คนไทย จะได้เป็น คนไทย ดังเดิม

เสื้อเเดงดีๆ ก็มี อย่าโกรธนะคะ
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #396 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 09:03:28 »

หวัดดีพี่แอ๊ะ
คิดถึงครับ ไม่ได้คุยกันนาน ดีใจจังเลยครับที่เข้ามาคุยกันเรื่องการเมือง
ตอนนี้เป็นคุณยาย แล้วยังครับ
ชาวซีมะโด่ง ไม่ค่อยได้เข้ามา เม้นท์ เรื่องการเมืองกันซักเท่าไหร่
คนเข้าเวบก็น้อยลง

เรื่องแดงมาแรง นี้จริงๆใช่ไหมครับ
แต่ผมว่าก็ดีเหมือนกัน ให้บ้านเมืองมันแย่ๆสุดๆไปเลย แล้วค่อยตั้งต้นกันใหม่
อังกฤษเขาก็ใช้เวลาเป็นร้อยปี จึงเรียบร้อย อินโดเนเซียก็ฆ่ากันตายเป็นเบือ
ตอนนี้เขาก็สงบแล้ว และกำลังพัฒนาขึ้นมา
แต่เมืองไทย ผมว่า คงไม่แย่ถึงขนาดนั้น

เรื่องประชาธิปัตย์ พูดแล้วเจ็บใจ 2ปีกว่าที่มีอำนาจ ไม่จัดการเสื้อแดงให้เด็ดขาด
มีแต่มาจัดการพันธมิตร ฟ้องแต่ข้อหา ผู้ก่อการร้าย เป็นหลายร้อยคน
ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ขึ้นเวที ร้องเพลง การเมืองไม่เคยสักคำ ก็ดโนข้อหา ก่อการร้าย
พวกเดียวกัน กลับจัดการ ไม่สนใจ กระทืบซ้ำ(โดยเฉพาะ ไอ้สุเทพ มันเกลียดพันธมิตรจริงๆ)
 พอถึงเวลาเลือกตั้ง กลับมาขอคะแนนเสียง ใครจะให้ เจ็บแล้วต้องจำ
เอาทักษิณ มาขู่ เมื่อก่อน ผมก็หลงเชื่อ เลือก ปชป. มาจนแก่
ตอนนี้ตาสว่างต้องให้บทเรียน ปชป. บ้าง
พวกเดียวกัน ช่วยเหลือกันมาจนได้เป็นรัฐบาล มาถีบหัวส่ง
จะได้ไปทบทวนบทเรียน
เป็นฝ่ายค้าน พูดจาดี เป็นผู้เป็นคน พอเป็นรัฐบาล ก็หูอื้อ ไม่ฟังใครเลย ที่เคยพูดว่า หนึ่งเสียงก็ต้องฟัง ก็ลืมไป
คดี จักรภพ ก็ไม่ไปไหน ทีคดีพันธมิตร ฟ้องเอาๆ ไม่มียั้ง
พี่ต้องเข้าใจนะ พวกเดียวกัน พอมีอำนาจ ดันมากระทืบเพื่อนมันช้ำจริงๆ

ทุกวันนี้ก็เกลียด ไอ้พวกเผาไทยอยู่ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องปล่อยให้ ปชป. ลองสู้เองซักครั้ง
พดออกมาได้ พันธมิตร ไม่ได้ไปยกมือในสภา จึงพูดไม่ได้ว่า ได้เป็นรัฐบาลเพราะพันธมิตร
อยากดูหน้าไอ้ จรกาสุเทพ ว่าจะมีน้ำยาแค่ไหน

พี่มีสถานการณืเสื้อแดงแถวอีสาน มาเล่าสู่กันบ่อยๆนะครับ
อ.แจ่ม ข่าวว่าไปเที่ยว ฮอกไกโด..คงไปเอารังสีนิวเคลีย มาฝาก ชาวหอแน่ๆเลยครับ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #397 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 09:06:46 »

พี่แล้วพรรคภูมิใจห้อย ไม่มีฤทธิ์ อะไรเลยหรือครับ
จะได้ซักกี่ที่นั่ง
แล้ว Vote No แถวนั้นมีกระแส บ้างหรือเปล่าครับ
แต่ผม กับพี่ป๋อง Vote no แน่ๆ
ไหนๆก็แพ้มันแล้ว เรามาร่วมมือ Vote No กันดีกว่า
ได้มาซัก 5 ล้าน ไอ้เหลี่ยมมันต้องเกรงๆกันบ้างละ ผมว่า
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #398 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 10:03:39 »

น้องตะวัน

ตอนนี้ เเดง ตั้งใจล้ม ภูมิใจไทย อย่างเดียว

เตี๋ย สั่งลุย อ่ะ


เรื่อง ไม่ยุติธรรม ที่น้องว่า  ฝ่ายเเดงก็หาว่ารัฐบาล รักษาการณ์ ปัจจุบันลำเอียง จัดการเเต่ฝ่ายเเดง

ฝ่ายเหลืองก็หา ว่า มาจัดการ แต่กับฝ่ายเหลือง

เเต่พี่แอ๊ะมองอย่างเป็นกลาง พี่เเอ๊ะว่าเขาจัดการเหลือง น้อยกว่าจัดการเเดง

จริงๆแล้วก็เสียดายคุณอภิสิทธิ์ นะคะ เห็นใจจริงๆ เราไม่น่าเสียคุณอภิสิทธิ์ ไปเร็วเช่นนี้

เเต่ก็เป็นเรื่องปกติ เวลาของการเป็น ช่วงฮันนีมูน ของรัฐบาลนี้ กับประชาชน สั้นมาก

พี่แอ๊ะรับไม่ได้ เมื่อเเดงหา ว่าอภิสิทธิ์ เป็นฆาตรกร

เห็นตอนออก ไปหาเสียง โดนด่าเเล้วสงสาร

จำเป็นต้อง พายเรือให้โจรนั่ง  เพราะไม่งั้นพานาวา ไปไม่ได้

เพราะโจรจี้ไว้  สละนาวาประเทศก็พัง
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #399 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 10:10:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 12 มิถุนายน 2554, 09:06:46
พี่แล้วพรรคภูมิใจห้อย ไม่มีฤทธิ์ อะไรเลยหรือครับ
จะได้ซักกี่ที่นั่ง
แล้ว Vote No แถวนั้นมีกระแส บ้างหรือเปล่าครับ
แต่ผม กับพี่ป๋อง Vote no แน่ๆ
ไหนๆก็แพ้มันแล้ว เรามาร่วมมือ Vote No กันดีกว่า
ได้มาซัก 5 ล้าน ไอ้เหลี่ยมมันต้องเกรงๆกันบ้างละ ผมว่า
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 ... 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><