seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #200 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2553, 22:52:43 » |
|
“หญิงเหล็กกัมพูชา” ยอมเข้าคุก ไม่ก้มหัวให้ "ฮุนเซน" โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กรกฎาคม 2553 21:38 น.
ยอมเข้าคุก-- ภาพรอยเตอร์วันที่ 15 ก.ค.2553 นางมัว สุจัว สส.ฝ่ายค้าน ที่ถูกเสนอชื่อชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปีนี้ ประกาศไม่ก้มหัวให้ระบอบฮุนเซน ยอมติดคุก แทนการจ่ายค่าปรับตามคำสั่งศาล หลังสู้มาแล้วถึง 4 ศาล ท่ามกลางการสนับสนุนจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรีระหว่างประเทศ ASTVผู้จัดการรายวัน-- นางมู สุจัว (Mu Suchua) รองหัวหน้าพรรคสมรังสี เปิดแถลงตอนเช้าวันพฤหัสบดี (15 ก.ค.) ว่า เธอได้ตัดสินใจที่จะไม่จ่ายเงินค่าปรับให้แก่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาฮุนเซน หลังจากศาลฎีกา ได้พิพากษาให้เธอมีความผิดฐานหมิ่นประมาท นางสุจัว ถูกศาลสั่งให้จ่ายเป็นค่าเสียหายแก่นายกรัฐมนตรีเป็นเงิน 8 ล้านเรียล (65,500 เศษ) กับอีก 8.5 ล้านเรียลเป็นค่าศาล แต่รองหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านกล่าวว่า เธอตกเป็นเหยื่อของกระบวนการยุติธรรม และจะไม่ยอมจ่ายเงินใดๆ ตามคำสั่งศาล และขอเลือกที่จะติดคุก นางสุจัวมีเวลาจนถึงวันศุกร์ (16 ก.ค.) นี้ สำหรับการจ่ายเงินตามคำสั่งศาล ไม่เช่นนั้นก็จะถูกบังคับคดีและนำตัวเข้าสู่การคุมขัง พรรคสม รังสี ประกาศก่อนหน้านี้จะรับผิดชอบและจ่ายเงินค่าปรับให้แก่รองหัวหน้าพรรค ชาวเขมรในต่างแดนหลายกลุ่มก็ได้ร่วมรณรงค์เคลื่อนไหว ขอบริจาคเพื่อช่วยเหลือนักการเมืองหญิง แต่ถูกนางสุจัวคัดค้าน มัว สุจัว ซึ่งปัจจุบันเป็น สส.จาก จ.กัมโป้ต (Kampot) เป็นนักสิทธิมนุษยชนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีและเด็กในกัมพูชามานานกว่า 10 ปี เป็นที่รู้จักทั่วโลก และปีนี้เป็นบุคคลหนึ่งที่ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เธอได้กลายเป็นสัญลักษณ์นักการเมืองสตรีที่ต่อสู้กับอำนาจอธรรมในระบบของกัมพูชา หลายฝ่ายเรียกนางสุจัวเป็น "อองซานซูจีแห่งกัมพูชา" นางสุจัว สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ สามารถพูดได้หลายภาษา ที่ผ่านมาได้เดินทางไปทั่วโลก เพื่อร่วมรณรงค์ เรื่องสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม เมื่อต้นเดือนนี้ได้มาแวะประเทศไทย และไปเยี่ยมอดีต สส.พรรคสมรังสีตกยาก ซึ่งนอนป่านอนาถาอยู่ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี รองหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านกับนายกรัฐมนตรีได้กลายเป็นกรคู่กรณีกันเมื่อปีที่แล้ว เธอเป็นฝ่ายฟ้องร้องผู้นำรัฐบาลฐานหมิ่นประมาท แต่ศาลพิพากษาเข้าข้างคู่ความ ทำให้ฮุนเซนเป็นฝ่ายฟ้องกลับ และ เธอแพ้คดีความตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลฎีกา กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนได้ตั้งข้อวิจารณ์มาเป็นเวลานานแล้วว่า ระบบศาลของกัมพูชามีแนวโน้มในการพิจารณาความเข้าข้างรัฐบาล และผู้นำระดับสูงของภาครัฐมาโดยตลอด แตกต่างไปจากระบบในประเทศอื่นๆ สำหรับกัมพูชา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งหรือถอดถอนผู้พิพากษาในทุกระดับ ชาวเขมรที่อาศัยทำกินในต่างแดน องค์กรสิทธิมนุษยชนจำนวนหนึ่งได้เริ่มเคลื่อนไหวขอประชามติ และล่ารายชื่อ เพื่อถวายฎีกาต่อสมเด็จพระบรมนาถนโรมดมสีหนมุนีกษัตริย์แห่งกัมพูชา ขออภัยให้แก่นักการเมืองหญิง อย่างไรก็ตามผู้ที่จะยื่นขอพระราชทานอภัยโทษแก่บุคคลใด ก็ยังเป็นผู้นำรัฐบาลอยู่ดี.
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #201 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2553, 21:11:34 » |
|
วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 13:38:20 น. มติชนออนไลน์
เปิดสำนวนคดีป.ช.ช.ฟัน"แม้ว"ทุจริตปล่อย ก.คลังเข้าฮุบบริหารบอร์ด"ทีพีไอ"
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ช.) เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 16 กรกฎาคม ได้มีการแถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง เรื่องกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เห็นชอบให้ ร้อยเอก สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยินยอมให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้บริหารแผนของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน)
ทั้งนี้ นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษก ป.ป.ช. ได้แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวนแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 ให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีไอ โดยมี บริษัท เอ็ฟแฟ๊คทีฟ แพลนเนอร์ จำกัด เป็นผู้บริหารแผน ภายหลังศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งลงวันที่ 21 เมษายน 2546 ให้บริษัท เอ็ฟแฟ๊คทีฟ แพลนเนอร์ จำกัด พ้นจากการเป็นผู้บริหารแผน และตั้งให้คณะผู้บริหารลูกหนี้เป็นผู้บริหารแผนชั่วคราวร่วมกับเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์
หลังจากนั้นศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งลงวันที่ 13 มิถุนายน 2546 ว่า ศาลล้มละลายกลาง เห็นว่า ภายใต้สถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง และไม่ไว้วางใจกันอย่างรุนแรง เชื่อว่าคงเป็นการยากที่จะบริหารจัดการกิจการและทรัพย์สินของบริษัทให้เป็น ไปด้วยความราบรื่น เนื่องจากผู้บริหารแผนคนใหม่ที่มาจากการประชุมของเจ้าหนี้ขาดการยอมรับจาก ลูกหนี้ และพนักงานของลูกหนี้เป็นส่วนใหญ่ ในเมื่อมีความชัดเจนแล้วว่า รัฐบาล มีดำริที่จะร่วมมือกับศาลยุติธรรมในการแก้ไขปัญหาของลูกหนี้อย่างบูรณาการ เบ็ดเสร็จโดยกระทรวงการคลังได้เสนอเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้บริหารแผนคน ใหม่
จึงเห็นเป็นการสมควร ที่จะขอให้กระทรวงการคลังเข้ามาเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ตามมติที่ประชุมเจ้า หนี้ จึงมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แจ้งต่อกระทรวงการคลังเพื่อขอหนังสือยินยอมเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่สำนัก ฟื้นฟูกิจการจึงได้มีหนังสือสอบถามกระทรวงการคลัง เพื่อขอหนังสือยินยอมการเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ กระทรวงการคลัง โดยร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือแจ้งว่ายินยอมเข้าเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ และขอเสนอรายชื่อ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ นายพละ สุขเวช นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา นายทนง พิทยะ และนายอารีย์ วงศ์อารยะ เป็นตัวแทนของกระทรวงการคลังในการบริหารแผน ซึ่งศาลล้มละลายกลาง ก็ได้มีคำสั่งลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2546 ว่า เมื่อที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติเลือกกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ จึงเห็น สมควรตั้งกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ และสุดท้ายศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งลงวันที่ 26 เมษายน 2549 ว่า ผู้บริหารแผนได้ดำเนินการตามแผนจนครบถ้วนแล้ว ประกอบกับกิจการของลูกหนี้มีสถานะมั่นคง ผลประกอบการมีรายได้และกำไรสม่ำเสมอ สามารถประกอบกิจการด้วยตนเองได้แล้ว ถือได้ว่าการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ได้ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนแล้ว จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า มีประเด็นที่จะต้องพิจารณา วินิจฉัยดังนี้
ประเด็นที่ 1 ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.คลัง ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต กรณียินยอมให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า กระทรวงการคลังเป็นส่วนราชการตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 มีหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่กำหนด โดยไม่มีหน้าที่บริหารกิจการของเอกชน การที่ ร.อ.สุชาติ ยินยอมให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ แต่ปรากฏว่า ในระหว่างการไต่สวน ร.อ.สุชาติ ได้ถึงแก่กรรม สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงย่อมระงับไปโดยความตายของผู้กระทำผิด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1)จึงมีมติให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบ
ประเด็นที่ 2 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้รู้เห็นหรือทราบเรื่องที่กระทรวงการคลังยินยอมเข้าเป็นผู้บริหารแผนคน ใหม่ของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ตามที่ศาลล้มละลายกลางร้องขอ แต่ไม่คัดค้านหรือทักท้วงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิ ชอบหรือโดยทุจริตหรือไม่ อย่างไร
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อร.อ.สุชาติ ได้มาปรึกษาเรื่องที่จะให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้ บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท อุตสาหกรรม ปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็น บริษัทเอกชน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เห็นชอบและเสนอชื่อ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ และนายทนง พิทยะ เป็นคณะผู้บริหารแผน และภายหลังกระทรวงการคลังได้ยินยอมเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการอัน เป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ตามมาตรา 10 แห่งพ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 เป็นเหตุให้เกิด ความเสียหายแก่ระบบราชการ การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงมีมูลความผิด ฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ส่วนนายสมคิด ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า รู้เห็นหรือยินยอมในการที่กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนด้วย ข้อกล่าวหาจึงไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
ประเด็นที่ 3 ผู้แทนกระทรวงการคลังที่เข้าเป็นคณะผู้บริหารแผนได้กระทำการใดซึ่งเป็นการ สนับสนุน ร.อ.สุชาติ ในการยินยอมให้กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือไม่ อย่างไร คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า คณะผู้บริหารแผนได้ร่วมกระทำความผิด โดยยินยอมให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนแต่อย่างใด คณะผู้บริหารแผนเพียงแต่ได้กระทำตามหน้าที่ตามที่ได้รับแต่งตั้งเท่านั้น ข้อกล่าวหานี้จึงไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
ประเด็นที่ 4 ผู้แทนกระทรวงการคลังที่เข้าเป็นคณะผู้บริหารแผนได้กำหนดค่าตอบแทนให้แก่ตน เอง ที่ปรึกษา และการอนุมัติให้ว่าจ้างและจ่ายเงินค่าตอบแทน บริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต หรือไม่ อย่างไร
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้แทนกระทรวงการคลังที่เข้าเป็นผู้บริหารแผนได้รับเงินค่าตอบแทนจากบริษัท ทีพีไอ ตามที่ศาลล้มละลายกลางได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วโดยค่าตอบแทนดังกล่าวต่ำ กว่าเงินค่าตอบแทนเมื่อครั้งที่ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ กับพวก เป็นผู้บริหารแผนชั่วคราวร่วมกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ส่วนการที่คณะผู้บริหารแผนได้อนุมัติให้ว่าจ้างและจ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่ บริษัท ซินเนอจีฯ นั้น ศาลล้มละลายกลางได้พิจารณาแล้วว่า บริษัท ซินเนอจีฯ ได้มีการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ตั้งแต่กระทรวงการคลังมีหนังสือยินยอม เป็น ผู้บริหารแผน จึงมีสิทธิเรียกเก็บเงินค่าบริการ ข้อกล่าวหานี้จึงไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
ประเด็นที่ 5 ผู้แทนกระทรวงการคลังที่เข้าเป็นคณะผู้บริหารแผน ได้กำหนดราคาการซื้อขายหุ้นเพิ่มทุนในราคาต่ำ อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสีย หายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยทุจริตหรือไม่ อย่างไร
จากการไต่สวนข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ศาลล้มละลายกลาง ได้ให้สิทธิโดยเด็ดขาดกับกระทรวงการคลังในการจัดหาผู้ร่วมทุนตามแผนฟื้นฟู การกำหนดราคาซื้อขายหุ้นเพิ่มทุน ศาลล้มละลายกลางได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว เงินที่ได้จากการขายหุ้นเพิ่มทุนมากกว่าจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทจะได้รับ จากการขายส่วนทุนที่กำหนดไว้ตามแผน ดังนั้น ตามที่กล่าวหาว่าผู้บริหารแผนได้กำหนดราคาการซื้อขายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท ทีพีไอ ในราคาต่ำ เป็นเหตุให้บริษัทฯ และผู้ค้ำประกันหนี้ได้รับความเสียหาย จึงไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไปเช่นกัน
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #202 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2553, 10:11:09 » |
|
ไอติมยึด"มาร์คโมเดล" ไม่หวาดกลัวลงสู่ถนนการเมือง 17 กรกฎาคม 2553 เวลา 09:10 น. เดินตาม “มาร์คโมเดล” ปูทางเข้าสู่ถนนสายการเมืองแบบเต็มสูบสำหรับ “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ หลานชายแท้ๆ ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่แน่วแน่กับเส้นทางที่เลือกแล้วในวันนี้ แม้จะไม่รู้ว่าจะจบลงที่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีเหมือน “น้ามาร์ค” หรือไม่
กับหน้าตาหล่อขั้นเทพถอดแบบ “น้ามาร์ค” แถมพูดจาแบบตรงๆ แฝงอารมณ์ยียวนในบางลีลา ไปจนถึงสีหน้าท่าทาง มือไม้ประกอบการสนทนาท่าคิด...ท่าเขิน...ท่าขำ...
ยิ่งชวนให้รู้สึกว่าเหมือนได้ย้อนไปคุยกับนายกฯ มาร์ค เมื่อครั้งอายุ 17 ปี!!! ซึ่ง “ไอติม” วิเคราะห์ความเหมือนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ว่าอาจจะมาจาก “กรรมพันธุ์”
“ไอติม” บอกว่า ถ้าถามว่าสนใจองค์กรทางการเมืองไหมก็สนใจ แต่ผมตอบไม่ได้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน
...ถามว่านายกฯ เป็นต้นแบบไหม ก็ไม่ได้เป็นต้นแบบ ไม่ใช่ผมจะทำทุกอย่างตามนายกฯ การที่มีญาติอยู่ในวงการการเมืองก็ช่วยให้เราเห็นว่าการเป็นนักการเมือง ต้องทำอะไรบ้าง ช่วยให้ความรู้มากกว่าอะไรที่จะไปลอกมา มันไม่ใช่อย่างนั้น
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “ไอติม” ไม่ยึดอาชีพหมออย่างคุณพ่อคุณแม่ พร้อมก้าวสู่ถนนสายการเมืองตามน้าชาย เพราะไม่ชอบทางด้านสายวิทยาศาสตร์ ยิ่งหากเรียนหมอที่อังกฤษจะต้องใช้เวลาที่นั่น 10 ปี ซึ่งเขาอยากกลับมาเมืองไทยมากกว่า
ยิ่งได้ไปฝึกงานที่ทำเนียบรัฐบาล ต่อด้วยการเข้าอบรมอินเทิร์นชิปของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ฟังนักการเมือง รัฐมนตรีมาให้ความรู้สถานการณ์การเมือง ยิ่งจุดประกายความฝันให้เดินเข้าสู่ถนนการเมือง แม้จะเห็นความลำบากการทำงานหนัก และเสี่ยงอันตรายของน้ามาร์คก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ยังจะมีเสียงไม่เห็นด้วยจากคุณยาย ที่ไม่อยากให้หลานเข้ามาสู่การเมือง เพราะเห็นการกระทำของเสื้อแดง และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ยิ่งบ้านนายกฯ ที่อยู่ใกล้ๆ ถูกปาทั้งเลือดทั้งอุจจาระ “ไอติม” ก็ต้องอธิบายกับคุณยายว่า จบ PPE มาทำงานได้หลายอย่าง ไม่ใช่แค่นักการเมือง
ที่สำคัญความรุนแรงที่เกิดขึ้น และตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับ “น้ามาร์ค” กลับไม่ได้ทำให้หลานไอติม หวาดกลัว จนไม่อยากมาทำงานการเมืองที่ตั้งใจ
“มันก็เป็นเรื่องยาก ทำให้ทำงานยาก มีคนขู่ฆ่า แต่ผมว่าเวลามันได้ มันก็ได้เยอะ เวลาคนชอบเรา โหวตให้เรา สนับสนุนเรา มีคนเกลียดก็เรื่องปกติ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน น้าผมตอนเข้าการเมืองก็คงรู้มาก่อน ก็คงรู้ว่าจะต้องมีคนเกลียด”
ปีสุดท้ายในรั้วอีตัน “ไอติม” จึงต้องเตรียมตัวอย่างหนักกับความฝันก้าวต่อไปในรั้วออกซฟอร์ด เพราะความเก่งระดับนักเรียนทุนจากโรงเรียนชั้นนำของโลกที่ผลิตนายกฯ มาแล้วนับ 20 คน ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจกับการแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยครั้งนี้
แต่กระนั้น เขายังต้องแบ่งเวลามาติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะตลอดช่วงเวลาการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่ผ่านมา แถมต้องคอยทำหน้าที่ชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับนักเรียนและอาจารย์ที่โน่น
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวออก อย่างตอนเสื้อแดง ทางบีบีซี ซีเอ็นเอ็น ข่าวออกเหมือนกับฆ่าคน แย่มากๆ ผมก็อธิบายว่าเป็นยังไง และหลายคนก็ไม่เข้าใจว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร...เขาก็ไม่เข้าใจว่าเสื้อนี้ฝ่ายไหน ผมก็เหมือนกับต้องอธิบายเหมือนเล่าประวัติศาสตร์ประเทศไทยให้ฟัง ไม่ได้ใส่สีสัน” ต้นเหตุขัดแย้ง “ไอติม” มองว่ามีสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ชอบ ความจริงแล้วสิ่งที่แตกต่างอยู่ที่คนคนเดียว ส่วนประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำของสังคม เป็นเครื่องมือของเสื้อแดง ซึ่งเห็นชัดว่าเขาใช้อุดมการณ์ของมาร์กซิสม์ ที่เหมือนเอาเรื่องการเมืองมารวมกับเรื่องสังคม
“กลายเป็นว่า แทนที่จะเป็นเรื่องของสองฝ่ายที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน กลายเป็นว่าฝั่งนี้เป็นชนชั้นล่างที่มีเยอะกว่า มาต่อสู้กับคนชั้นสูง และหาว่าเป็นอำมาตย์”
กับปฏิบัติการ “กระชับพื้นที่” หรือ “ขอพื้นที่คืน” จนถูกตีตราเป็น “นายกฯ มือเปื้อนเลือด”“ไอติม” มองว่ารัฐบาลไม่มีทางเลือกเท่าไหร่ การที่บุกเข้าไปที่ชุมนุมก็ช้ามาก เพราะรอมานานแล้ว การเจรจาปรองดองที่มีการถ่ายทอดสดเกือบสำเร็จ แต่พอคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ได้รับโทรศัพท์หรืออะไรสักอย่างเข้ามาก็ตัดสินใจยกเลิกหมด
ทั้งเงื่อนไขช่วงหนึ่งบอกจะยอมเลือกตั้งใน 6 เดือน แต่เสื้อแดงบอกว่าต้องบอกวันยุบสภา ซึ่งเป็นข้ออ้างที่แปลกมาก เพราะสามารถบวกลบเลขเอาว่ากี่เดือนทางกฎหมาย แต่พอให้เขาได้ เขาก็ขออีกให้คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปมอบตัว อย่างนี้ก็ดูออกว่าให้อะไรเขาไป เขาก็ขอต่อไม่มีวันจบ กับสถานะสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้มาตอนเข้าอบรมอินเทิร์นชิปเมื่อปีก่อน “ไอติม” ยืนยันว่าถึงจะไม่ใช่หลานนายกฯ มาร์ค เขาก็คงจะตัดสินใจเลือกร่วมงานทางการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน
แม้จะถูกมองว่าประชาธิปัตย์มีแต่คนจบนอก ไม่ติดดิน นักเรียนอีตันอย่างไอติม ชี้แจงแบบเอาจริงเอาจัง ว่าไม่เกี่ยวกัน จบนอกมาก็สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ ไปเรียนเมืองนอกยิ่งทำให้คิดถึงประเทศไทยมากขึ้น
“ทำไมการเรียนเมืองนอกกลายเป็นเรื่องไม่ดีไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน จะบอกว่าประชาธิปัตย์ไม่ติดดินก็ไม่ได้ การเลือกตั้งซ่อม คุณพนิช ก็เดินไปหาเสียงเคาะตามบ้านทุกวัน คุณก่อแก้ว (พิกุลทอง) ก็ไม่ได้ไปไหน ส่วนมากก็เพราะอยู่ในคุก แต่ว่าพรรคเลือกให้คนอยู่ในคุกมาหาเสียง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เขาจะไปรู้ปัญหาประชาชนได้อย่างไร ถ้าเขาอยู่ในคุก ปัญหาตัวเองเขายังไม่รอดเลย”
ในสถานการณ์แตกแยกของบ้านเมือง ซึ่งไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร “ไอติม” วิเคราะห์ว่าปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหาต้องแยกแยะปัญหาการเมืองกับปัญหาสังคม เพราะตอนนี้ถ้าคุณมาเล่นสงครามการเมืองชนชั้น คุณก็ปลุกระดมคนได้
ทั้งที่การเมืองไม่ควรเกี่ยวกับชนชั้น แต่เขาเล่นอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะคนจนมีมากกว่าคนรวย เพราะถ้านับหัวเขาก็ได้ แต่เขามองว่าพรรคการเมืองไม่ควรจะมีฐานเสียงจากชนชั้นหนึ่ง ในระบบที่มีหลายพรรคการเมือง พรรคการเมืองหนึ่งก็ควรจะสนับสนุนโดยทั้งคนรวยและคนจน เพราะเชื่อในอุดมคติ หรืออุดมการณ์ นโยบายนี้ไม่ใช่เพราะเราเป็นคนจนเหมือนกัน คนรวยเหมือนกัน
เส้นทางสู่ถนนการเมืองจากนี้จึงอยู่แค่เอื้อม ส่วนจะไปได้ไกลแค่ไหน หรือเริ่มต้นแบบจริงจังเมื่อไหร่นั้น “ไอติม” ตอบแบบไม่ผูกมัดตัวเองตามสไตล์นักการเมืองอาชีพว่า “ยังตอบไม่ได้ครับ ตอนนี้ต้องตั้งใจเรียนก่อน”
หัวใจ"ไอติม"
ช่วงสายๆ ในวันฝนพรำ“ไอติม” ในเสื้อโปโลสีฟ้า(ที่ค่อนข้างยับ) กับกางเกงยีนส์หลวมๆ ออกมาต้อนรับทีมงานโพสต์ทูเดย์ หน้าบ้านพัก ซอยสุขุมวิท 31 ถัดจากบ้านนายกฯ ไปสองหลัง ในละแวกที่เรียกได้ว่าเป็นชุมชนย่อยๆ ของตระกูล “เวชชาชีวะ” ซึ่งมีด่านเฝ้ารักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ในห้องกึ่งรับแขก กึ่งทำงาน ที่ออกแนวรก ด้วยกระเป๋าสัมภาระกระจายตัวอยู่บนพื้นที่ห้อง ทีมงานซักซ้อมเรื่องการถ่ายรูปว่าจะเปลี่ยนเสื้อหรือไม่ เพื่อให้รูปออกมาดูดี ขณะที่เจ้าตัวตอบแบบลังเลว่า “เอาไงดีครับ สำหรับผมตัวนี้ก็ได้ ไม่เป็นไร” ก่อนจะเริ่มต้นเข้าสู่การสนทนา “มีแฟนหรือยัง” คำถามที่ทำเอา “ไอติม” ออกอาการอึกอัก หลังจากตอบฉะฉานในทุกประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องการเมือง เรื่องเศรษฐกิจ ก่อนจะเก็บอาการไม่อยู่ มือไม้อยู่ไม่เป็นที่ คอยลูบหน้าลูบตา “ไม่ขอตอบได้ไหมครับ” ไอติมหัวเราะกลบเกลื่อนอาการเขินหลังตอบเสร็จ “ไม่ตอบแบบนี้ แสดงว่ามีแฟนแล้ว” ทีมงานซักต่อ แต่ “ไอติม” ยังตอบแบบเขิน “ไม่ๆๆๆ ไม่ตอบครับ” “เจ้าชู้ไหม” เจ้าตัวจะตอบแต่เพียงว่า “ไม่ครับ”
ไอติม อธิบายสเปกของตัวเองว่า ชอบผู้หญิงเรียบร้อย เพราะถ้าห้าวๆ คงไม่ไหว และชอบคนไทยมากกว่าฝรั่ง เพราะคุยกันเข้าใจมากกว่า “ผมเป็นคนง่ายๆ กินง่าย อยู่ง่าย สบายๆ แต่อาจจะเป็นคนพูดตรงบ้าง ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะผิดอะไร ถ้าผมพูดตรงกับเรื่องที่ผมคิด และผมเป็นคนขี้เหนียว คือผมไม่ชอบซื้อของบ่อยนัก ส่วนมากคุณแม่ซื้อให้ แต่ก็ไม่บ่อย
...สไตล์การแต่งตัวก็อย่างที่เห็นล่ะครับ เสื้อคอโปโล กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ไม่ค่อยติดยี่ห้อ ผมก็ตัดทรงนี้ตลอด ไม่บ้าแฟชั่นอะไร มีบีบีเครื่องเดียวแต่ก็ไม่ได้ติดอะไร เพราะที่โรงเรียนห้ามใช้โทรศัพท์ในห้องเรียน ส่วนมากเอาไว้ที่ห้องพักมากกว่า”
ทั้งนี้ เมื่อแซวว่านิสัยขี้เหนียวเหมือนนายกฯ “ไอติม” ทำหน้างงๆ ก่อนออกตัวว่า มีฐานะก็ไม่ได้แปลว่าประหยัดไม่ได้ เพราะเรื่องฐานะไม่เกี่ยวกับการใช้เงิน คนที่รวยไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ บางทีคนเขารวยเพราะใช้เงินน้อยก็ได้
พยายามวกกลับมาเรื่องความรักต่อ ด้วยการถามถึง “ความหล่อ” ถึงขั้นสาวๆ หลายคนแอบกรี๊ด แต่ไอติม ตอบแต่ว่า “ไม่ได้รู้สึกอะไร และไม่รู้ว่าเราหล่อมั้ย ผมไม่ได้มองตัวเองแบบนั้น เพราะผมไม่ใช่คนบ้าตัวเอง” “ไม่ได้คิดว่าตัวเองดังอะไร ก็ดีใจในระดับหนึ่งที่มีคนจำได้ แต่ไม่รู้ว่าเขาจำเราได้เพราะอะไร แต่อยากให้ถูกจำได้เพราะเป็นตัวของตัวเองมากกว่า ไม่ใช่จำได้เพราะเป็นหลานนายกฯ เพราะหากเป็นแบบนั้นมันก็อึดอัดเหมือนกัน คือตอนนี้อาจจะโอเค เพราะผมเป็นเด็ก แต่สมมติโตขึ้นไปและคุณน้ายังอยู่ในวงการก็คงอึดอัดเหมือนกัน”
กลับมาที่คำถามเดิม “สรุปว่ามีแฟนหรือยัง สาวๆ หลายคนอยากรู้” “ไม่เป็นไรครับ ให้เขาเดาดูก็สนุกดี” ไอติม ยังไม่ยอมเฉลยปริศนาในเรื่องนี้ พร้อมกับหัวเราะกรุ้มกริ่ม
ไอติม เดอะค็อป
ถอดแบบมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว ระหว่าง “หลานไอติม” และ “น้ามาร์ค” จะมีก็แค่ทีมฟุตบอลเท่านั้นที่อาจจะชื่นชอบกันไปคนละทีม เมื่อเป็นที่รู้กันว่า “น้ามาร์ค” เป็นสาวกสาลิกาดง “นิวคาสเซิล” ขณะที่ “ไอติม” ประกาศตัวเป็นเดอะค็อป ลิเวอร์พูลแฟนคลับตัวยง
ที่มาที่ไปอย่าง “น้ามาร์ค” เชียร์ “นิวคาสเซิล” เพราะเกิดที่นั่น แต่สำหรับเขาไม่รู้ว่าเชียร์ลิเวอร์พูลเพราะอะไร แต่หลังจากเริ่มได้ดูบอลสมัยเรียนที่อังกฤษ ก็เทใจให้กับลิเวอร์พูลไม่คิดเปลี่ยนใจไปเชียร์ทีมอื่น
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะความโดดเด่นในฝีเท้าของสตีเวน เจอร์ราร์ด และไมเคิล โอเวน ที่ทำให้ต้องหันมาเชียร์ลิเวอร์พูลจนถึงทุกวันนี้ แม้จะมีโอกาสได้ไปดูฟุตบอลบางนัดในช่วงที่เรียนอยู่อีตัน แต่ยังไม่มีโอกาสจะไปดูถึงถิ่นแอนฟิลด์เนื่องจากอยู่ไกลจากโรงเรียนมาก ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ “ไอติม” สอบเสร็จพอดีจึงได้จังหวะร่วมเชียร์บอลโลกติดขอบจอแทบทุกนัด โดยเฉพาะการร่วมเชียร์ “อังกฤษ” ร่วมกับเพื่อนๆ ที่อีตัน
“แต่เชียร์ไม่ขึ้นจริงๆ เพราะเล่น 4 นัดเล่นไม่ดีแม้แต่นัดเดียว แต่แทนที่จะโทษทีมว่าเล่นได้ไม่ดี แต่กลับมาโทษกรรมการกำกับเส้นที่ไม่ให้ประตู ถือว่าเป็นโชคของเขาไปที่สามารถหาเรื่องอื่นมาโทษความผิดของตัวเองได้”
จากนั้น “ไอติม” จึงผันตัวเองมาเชียร์ทีม “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะฝีเท้าหรือคำพยากรณ์จากปลาหมึกพอล ทำให้ทำได้แค่ที่ 3 ในครั้งนี้ ไม่น่าแปลกที่วันว่างของ “ไอติม” จะชักชวนเพื่อนฝูงไปเตะบอลเป็นประจำ เมื่อสนามที่อังกฤษมีอยู่เป็นจำนวนมาก สมกับเป็นกีฬาประจำชาติ เรื่อง “ฝีเท้า” กองหน้า และกองกลาง อย่าง “ไอติม” ชี้แจงว่าไม่ใช่ย่อย เมื่อการแข่งขันภายใน Eton College ทีมของเขาจะรั้งตำแหน่งที่ 5 จากทั้งหมด 25 ทีม ที่สำคัญในทีมของเขาทั้งหมดเรียกได้ว่าเป็นนักเรียนหัวกะทิได้รับทุนการศึกษากันทั้งนั้น งานนี้การันตีได้ว่านักเรียนทุนไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งอย่างเดียว เรื่องฟุตบอลจึงกลายเป็นอีกหัวข้อสนทนาของ “น้าหลาน” คู่นี้ที่กระชับความสัมพันธ์ในวัยห่างกันนับ 30 ปีแม้จะรู้ว่าฟอร์มการเล่นของทั้งนิวคาสเซิลและลิเวอร์พูล จะย่ำแย่ด้วยกันทั้งคู่
“ตอนที่นิวคาสเซิลตกชั้นไม่เจอน้ามาร์คก็เลยไม่ได้แซว แต่ตอนนี้ลิเวอร์พูลก็เริ่มตกต่ำแล้ว เพราะฉะนั้นไม่คุยเรื่องบอลดีกว่า” ไอติม เล่าพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่เป็นเรื่องของจังหวะและโอกาส ที่ทำให้น้าหลานคู่นี้ไม่เคยได้ลงสนามวัดฝีเท้ากันสักแมตช์ แต่เมื่อถูกถามว่าระหว่างน้ามาร์คกับหลานไอติม ใครเล่นเก่งกว่ากัน ไอติม ตอบแบบติดตลกว่า “ผมเด็กกว่า 30 ปีก็หวังว่า อันนี้ก็ตอบไม่ได้” เห็นลีลาอย่างนี้ต้องบอกว่า “ฝีปาก” และ “ฝีเท้า” “น้าหลาน” คู่นี้คงเฉือนกันลำบาก
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #203 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2553, 15:53:02 » |
|
9พธม.ปฏิเสธหมายเรียกตำรวจ
เมื่อเวลา 12.00 น. วันเดียวกัน ที่ร้านอาหารมัลลิกา ถนนเกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นำโดย พล.อ.ปานเทพ ภูวนาทนุรักษ์ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น (คปต.) นายการุณ ใสงาม อดีต ส.ส. และ ส.ว.บุรีรัมย์ นายไทกร พลสุวรรณ และคณะรวม 9 คน แถลงข่าวกรณีถูกออกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาก่อการร้าย และเตรียมฟ้องดำเนินคดี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าว
นายการุณกล่าวว่า พวกเราถูกออกหมายเรียกครั้งที่ 1 เป็นผู้ต้องหาแล้ว เป็นความอาญา ผู้กล่าวหาคือสำนักงานเลขานายกรัฐมนตรี ส่วนข้อหาที่ทุกคนได้รับเป็นข้อหาร้ายแรงที่สุดคือผู้ก่อการร้าย ข้อหากบฏเป็นลำดับถัดมา ทั้งสองข้อหาอัตราโทษสูงสุดคือประหารชีวิต พวกเราทั้ง 9 คนจึงปรึกษาหารือกันว่าเมื่อตกเป็นผู้ต้องหาแล้วและมีข้อเสนอที่เห็นด้วย ร่วมกันคือหมายเรียกของแต่ละคนที่ออกมานั้นไม่ตรงกัน จากการปรึกษากัน พวกเราจะไม่ไปพบพนักงานสอบสวน ด้วยเหตุผลคือพวกเรามีความเห็นว่าไม่ได้กระทำความผิด ตามข้อกล่าวหา และความมั่นใจว่าการกระทำของเราไม่ได้เป็นความผิด แม้จะมีความผิด ก็เป็นโทษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
"เพราะฉะนั้นจะสู้ทุกรูปแบบ ตามขั้นตอนที่มีอยู่ในกฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งจะสู้โดยไม่ ไปให้การในชั้นพนักงานสอบสวนที่ออกหมายมา เพราะเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ พวกเราจะฟ้องในทุกข้อหาตั้งแต่ตั้งข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จเพื่อให้พวกเรารับ โทษทางอาญา ในขณะเดียวกันการกระทำของเจ้าพนักงานล้วนเป็นกระทำในนามของเจ้าหน้าที่ของ รัฐ" นาย
การุณกล่าว และว่า พวกเราจะรวบรวมหลักฐานยื่นฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้องในการทำคดี โดยยื่นฟ้องก่อนวันนัดของพนักงานสอบสวน เช่นนัดในวันที่ 28 กรกฎาคม จะไปยื่นฟ้องในวันที่ 26-27 กรกฎาคม ส่วนกรณีที่จะฟ้องนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี จะตรวจสอบก่อนว่าบุคคลใดมีส่วนในการกระทำผิดก่อน
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #204 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2553, 09:05:15 » |
|
นที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 02:20:06 น. มติชนออนไลน์
2 มุ้งอีสานพท.ยุล่าชื่อปรับโครงสร้างพรรค จี้เร่งสกัดไหลออก เหนือ"อ้างแค่เรื่องบางคนเข้าใจผิด
2 มุ้งอีสานพท.ยุปรับโครงสร้าง
สำหรับปัญหาความไม่ลงรอยกันของ ส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย (พท.) ถึงขั้นมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาค โดยเปลี่ยนตัวนายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่คุมภาคนี้อยู่นั้น ส.ส.ภาคอีสาน พท.ที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือกลุ่มอีสานพัฒนา นำโดยนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม ที่ต้องการผลักดันนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล แกนนำกลุ่มพิจิตรใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาคุมภาคอีสานแทน และกลุ่มของว่าที่ ร.ต.พงศ์พันธ์ สุนทรชัย ส.ส.หนองคาย ที่สนับสนุนให้นายพายัพ เป็นประธานภาคอีสานต่อไปแล้วให้นายพายัพ ผลักดันนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค
อีสานพัฒนาจี้เร่งสกัดไหลออก
นายไพจิตกล่าวว่า ทางกลุ่มนำเสนอปัญหาและเสนอแนะการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาคอีสานให้กับแกนนำ พรรคไปแล้วในช่วงการสัมมนาใหญ่พรรค ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างที่ผู้ใหญ่กำลังตัดสินใจ เนื่องจากผู้ใหญ่ยังมีความเกรงอกเกรงใจแกนนำพรรคคนอื่นๆ ว่าจะเสียใจ กลัวว่าจะต้องผิดหวังและต้องให้เกียรติ จึงทำให้เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการดำเนินการ เรื่องจึงยังค้างอยู่ที่การรอมติพรรคและมติภาคเพื่อให้แกนนำพรรคไปจัดการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
"เรื่องนี้ต้องเร่งทำให้แล้วเสร็จก่อนที่จะมีการเปิดสมัยประชุมสภา และเข้าสู่ช่วงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระ 2 และ 3 ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม เพื่อหยุดการไหลออกของ ส.ส.เพื่อไทย ขณะนี้เรารับรู้ท่าทีและมีข้อมูลการเคลื่อนไหวของพรรครัฐบาลที่จะต้องผลัก ดันร่าง พ.ร.บ.งบฯ และต้องผ่านวิกฤตยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่อาจจะทำให้เสียงของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลลดลง จึงมีการทาบทาม ส.ส.เพื่อไทย ไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับฝ่ายรัฐบาล แต่หากแกนนำพรรคยังไม่ดำเนินการตามข้อเสนอของกลุ่มอีสานพัฒนา พวกเราก็จะรวบรวมรายชื่อ ส.ส.เสนอญัตติเข้าที่ประชุมพรรคเพื่อให้มีการลงมติให้แกนนำพรรคได้ไปดำเนิน การทำให้เลือดหยุดไห” นายไพจิตกล่าว และว่า อยากให้พรรคเดินไปในแนวทางของประชาธิปไตย ที่มีหัวหน้าพรรคและประธานภาคเป็น ส.ส. รายชื่อที่จะเสนอให้พรรคพิจารณาเป็นประธานภาคอีสาน อาทิ นายสมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา นายพีระพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น
"เหนือ"อ้างแค่เรื่องบางคนเข้าใจผิด
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พท. กล่าวว่า กระแสข่าว ส.ส.อีสาน พท.กดดันนายพายัพลาออกจากประธานภาคนั้น คิดว่าเป็นการเข้าใจผิดและความไม่เข้าใจของ ส.ส.บางคน เพราะที่ผ่านมา ส.ส.พท.ที่ยึดผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งมากกว่าการอยู่ด้วยใจกับพรรคนั้น ย้ายพรรคไปหมดแล้ว ส.ส.ที่เหลืออยู่คือกลุ่มที่อยู่ด้วยใจที่เชื่อมั่นต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง กระแสข่าวการผลักดันนายพงษ์ศักดิ์ขึ้นเป็นประธานภาคอีสานแทนนั้นยิ่งเป็นไป ไม่ได้ เพราะโดยส่วนตัวมีความคุ้นเคยกับนายพงษ์ศักดิ์ ได้รับการยืนยันมาโดยตลอดว่าไม่ต้องการรับตำแหน่งใดๆ ในพรรคหรือในรัฐบาล ต้องการเพียงทำมาหากินตามปกติ เพราะนายพงษ์ศักดิ์ให้เหตุผลว่าการเมืองทำให้เปลืองตัว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่มีความเข้าใจกันแล้วให้นายพงษ์ศักดิ์เข้าไปมี ตำแหน่งด้วยแล้ว ไม่ใช่ความต้องการแม้แต่น้อย
"ใครจะเป็นประธานภาคไหน ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้ทำหน้าที่ประธานภาคต้องเป็นที่ยอมรับของ ส.ส.ในภาคนั้นๆ ที่สำคัญต้องประสานงานและตามนโยบายต่างได้ทันเหตุการณ์ เพราะ ส.ส.จะประชุมพรรคทุกสัปดาห์ พร้อม ส.ส.ทุกภาคจะจี้งานจากประธานภาค ซึ่งประธานทำงานไม่ใช่เรื่องง่ายเลยยิ่งกว่านั้น ส.ส.ทุกคนในพรรคคิดเสมอว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนไม่สบายใจให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ" นายวิสุทธิ์กล่าว
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #205 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2553, 09:35:15 » |
|
วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:59:36 น. มติชนออนไลน์
"หรั่ง" คนสนิทเสธ.แดง ปิดปากไม่ให้ข้อมูลดีเอสไอต่อ หลังไม่ได้ถูกกันไว้เป็นพยานตามข้อตกลงเดิม
รายงานข่าวจากดีเอสไอเปิดเผยเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ว่า หลังจากศาลอนุญาตให้ฝากขังนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายและคนสนิท พล.ต.ขัตติยะ หรือ เสธ.แดง สวัสดิผล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก นั้น นายสุรชัยยื่นเงื่อนไขเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการเปิดเผยข้อมูลถึงขบวนการก่อ การร้าย และผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งการทั้งหมด โดยขอให้ดีเอสไอ ยอมกันตัวเองเป็นพยานในคดี และขอให้รับภรรยา แม่และลูกสาวของตนเข้าสู่การคุ้มครองพยาน ซึ่งดีเอสไอตกลงจะคุ้มครองแม่ ลูกและภรรยาตามมาตรการคุ้มครองพยาน ให้อยู่ที่ดีและมีความปลอดภัยในชีวิต แต่ไม่สามารถกันตัวนายสุรชัยเป็นพยานคดีได้เพราะมีส่วนเกี่ยวกับคดีก่อการ ร้ายหลักๆถึง 8 คดี และเป็นหนึ่งในขบวนการค้าอาวุธสงครามด้วย นายสุรชัยจึงยังไม่ยอมให้การเพิ่มเติมแก่ดีเอสไอ
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าทันทีที่นายสุรชัยเข้าไปถูกควบคุมในเรือนจำ กลุ่มนปช.ได้เข้าเยี่ยมและติดต่อจะให้ความช่วยเหลือและดูแลครอบครัวให้
ด้าน พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่โรงแรมรอยัล ริเวอร์ ถึงกรณีมีข่าวนายสุรชัยให้การว่า มีนายทหาร ตท.16 เข้าไปสนับสนุนการก่อการร้าย ว่า ถ้าหากเข้าไปเกี่ยวข้องทางเจ้าหน้าที่คงจะพิจารณาดำเนินการ
เมื่อถามว่าแสดงว่าการก่อเหตุที่ผ่านมามีทั้งกลุ่มสีเขียวและสีกากี เข้าไปเกี่ยวข้องกับ พล.อ.อภิชาต กล่าว่า ความจริงตามหลักฐานที่ปรากฏตั้งแต่ต้นมีเครือข่ายโยงใยกันอยู่ แต่ต้องติดตามกันต่อไป
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #206 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2553, 09:41:04 » |
|
“เป็ดเหลิม” คิดเป็นใหญ่ เสียไม่เป็น จะเอาแต่ได้! โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2553 23:51 น. ในความปั่นป่วนวุ่นวาย แกนนำพรรค-ส.ส.หลายกลุ่มหลายก๊วนในพรรคเพื่อไทย เปิดศึกคว้ามีด คว้าดาบไล่แทงทั้งต่อหน้าและลับหลังกันอย่างหนัก แบบไม่มีใครกลัวใคร ขนาด พายัพ ชินวัตร น้องชาย“ผู้มีพระคุณ” ทักษิณ ชินวัตร ของส.ส.เพื่อไทย ยังโดนส.ส.อีสาน เลื่อยขาเก้าอี้ วางแผนหักหน้า เพื่อกดดันออกจากตำแหน่งประธานภาค ส.ส.อีสาน จากความไม่พอใจหลายเรื่อง แต่หลักๆ คงหนีไม่พ้น เรื่อง “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่พายัพเล่นยึกยัก ปล่อยเงินไม่ตรงเวลาไม่พอ ยังมีลูกหักลูกดึงสารพัด ทำให้ส.ส.อีสานอิดหนาระอาใจ บอกให้แก้ไขหลายรอบ ก็อ้างสารพัด ยิ่งพอโดน “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” (ศอฉ.) ขึ้นบัญชีดำแช่แข็งห้ามทำธุรกรรมทางการเงิน เลยยิ่งสบโอกาส อ้างว่าขยับลำบาก เงินเข้าออกไม่ได้ ทำให้ส.ส.อีสานเกิดอาการเหนื่อยหน่ายหัวใจ ไม่ไหวจะทวงแล้ว กระทุ้งหลายรอบก็ทำเป็นหูตึง ไม่ได้ยิน แต่ตอนนี้คงค่อยยังชั่วเมื่อได้ “เจ๊ตุ๋ย” วิยดี สุตะวงศ์ ที่มีข่าวว่ามีธุรกิจใหญ่โตในแวดวงธุรกิจคมนาคม และเข้ามาช่วยเพื่อไทย เพราะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร เลยมาช่วยแบ่งเบาภาระให้พายัพแบบ “จ่ายหนัก-จ่ายจริง” ตั้งแต่พนักงานเปิดประตูพรรค-พนักงานกดลิฟท์เข้าห้องประชุมพรรค จนถึงพวกส.ส.-ว่าที่ผู้สมัครส.ส.อีสานเพื่อไทย โดย “เจ๊ตุ๋ย”หวังแลกกับการมีชื่อเป็นผู้สมัครส.ส.สัดส่วน อันดับต้นๆ ในโซนอีสานของเพื่อไทย เลยทำให้พายัพยิ้มออก ไม่ต้องควักกระเป๋า แต่เชื่อเถอะปัญหาในเพื่อไทยยังไม่จบแค่นี้ และไม่ได้มีแค่ในอีสาน แต่มีเกือบทุกภาค ทุกกลุ่ม ทุกมุ้ง ต้องทำทักษิณเวียนหัว เครียดจนลูกหมากบวม มะเร็งกำเริบแน่ ยามนี้ ส.ส.ลูกพรรคเพื่อโจรเผาไทย จึงว้าเหว่อย่างพูดไม่ออก บอกไม่ถูก ครั้นจะพึ่งพาแกนนำพรรครุ่นใหญ่แต่ละคนให้ช่วยประคับประคองพรรค เหลือบมองก็เห็นแต่พวก คิดจะเอาแต่ได้ กอบโกย หากินกับซากศพของทักษิณ ชินวัตร แบบไม่จบไม่สิ้น ยิ่งขุนพลนามอุโฆษอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ทำตัวไม่ให้เป็นที่พึ่งในยามยาก เมื่อพรรคพบวิบากกรรม ตอนนี้ ข่าวล่ามาเร็วส่งมาจากดูไบ บอกว่า ทักษิณไม่สบอารมณ์ท่าทีของเฉลิมอย่างยิ่ง เพราะคำประกาศหลายครั้งของ เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งแสดงธาตุแท้สันดานเอาแต่ได้ หากต้องเสี่ยงหรือไม่ชัวร์ ก็กระโดดหนี ยิ่งกว่ารักตัวกลัวตายเสียอีก จนประกาศแบบมั่นใจว่า ไม่ขอเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่มีตำแหน่งใดๆ ในกรรมการบริหารพรรค แต่พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี 6 เดือน หลังเลือกตั้งหากเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แล้วค่อยออกกฎหมายนิรโทษกรรม เอาทักษิณ ชินวัตร กลับเมืองไทย จากนั้นจะลาออกเพื่อให้ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สาม เมื่อถอดรหัสออกมาก็พบเหตุผลง่ายๆ เบื้องหลังการออกมาโพนทะนาแบบนี้คือ กลัวว่าหากพรรคเพื่อไทยถูกส่งเรื่องให้ยุบพรรค โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งที่เฉลิมประกาศหลายครั้งว่า มีคนจ้องจะหาเรื่องยุบพรรคเพื่อไทย เป็นครั้งที่สาม ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย พร้อมจะรับทุกตำแหน่งทางการเมือง หากเพื่อไทยได้เป็นแกนนำรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ขอเป็นหัวหน้าพรรค หรือแม้แต่กรรมการบริหารพรรค นี่คือ สันดานที่แท้จริงของคนๆนี้ รับแต่ชอบ แต่ไม่เอาผิด ซึ่งไม่ใช่แค่คนในเพื่อไทยจะไม่ค่อยพอใจเท่านั้น แต่สังคมควรต้องตั้งคำถามกับนักการเมืองคนนี้ด้วยว่า ถ้าเล่นการเมืองแบบนี้แล้วจะเข้ามาเป็น “ผู้นำประเทศ” ที่ต้องรับผิดชอบกับชีวิตความเป็นอยู่ ความเป็นความตายของคนเกือบ 70 ล้านคน ได้อย่างไร ก็ขนาดแค่โทษคดีเว้นวรรคการเมือง 5 ปี ที่เป็นเรื่องอนาคต แล้วเป็นเรื่องที่ใครก็ไปวางแผนสร้างสถานการณ์เพื่อกลั่นแกล้งเพื่อไทยไม่ได้ หากคนของเพื่อไทยไม่ไปคิดชั่ว โกงการเลือกตั้ง เล่นการเมืองแบบตรงไปตรงมา ไม่ไปเปิดโรงแรม เซฟเฮ้าส์วางแผนโกงการเลือกตั้งแบบที่เกิดขึ้นกับพรรคพลังประชาชน แล้วทำไมเฉลิมต้องกลัว ถึงขนาดยอมแก้ผ้าล่อนจ้อน เปลือยกายทางการเมืองให้ผู้คนเห็นเช่นนี้ ท่าทีทางการเมืองของเฉลิม นอกจากสังคมยังไม่ให้การยอมรับ เพราะขาดภาวะความเป็นผู้นำและเล่นการเมืองแบบเอาแต่ได้แล้ว ยังทำให้เฉลิมไม่ได้ใจทั้งทักษิณ ชินวัตร และคนเพื่อไทย การที่เฉลิมจะมาอ้างบุญคุณกับพรรคทุกครั้งตอนให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เป็นคนทำให้พรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งซ่อมที่สกลนคร และศรีสะเกษ ทำให้พรรคภูมิใจไทย และเนวิน ชิดชอบ เสียศูนย์ และหมดเงินไปจำนวนมากแต่แพ้ให้กับเพื่อไทยนั้น เป็นการอ้างที่แรกๆทักษิณ ก็คงไม่คิดอะไร แต่เมื่อเฉลิมอ้างบ่อยๆ ก็ทำให้ทักษิณ และแกนนำพรรคคนอื่นๆ รวมถึงส.ส.อีสาน ของเพื่อไทย ชักรำคาญแล้ว เพราะก็รู้กันอยู่ว่า ชัยชนะทั้งสองสนามเกิดขึ้นบนกระแสทักษิณในอีสาน และแรงหนุนจากเสื้อแดงในสกลนคร และศรีสะเกษทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเฉลิม ที่แค่ไปขึ้นเวทีปราศรัย แต่ยังให้ทักษิณโฟนอินมาช่วยเป็นไฮไลต์ จนเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งซ่อมทิ้งห่างคู่แข่ง แบบถล่มทลาย รวมถึงการอ้างเรื่องความเก่งกาจของตัวเองว่าเป็นขุนพลอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 ครั้ง จนทำให้ประชาธิปัตย์กำลังจะถูกยุบพรรค ทั้งที่การอภิปรายของเฉลิมทั้ง 2 นัด คือเมื่อปี 2552 และ 2553 ผู้คนที่ได้ยินได้ฟังก็เห็นตรงกันว่า มีแต่ราคาคุย ที่โหมโรงล่วงหน้าว่าอภิปรายแล้วรัฐบาลอยู่ไม่ได้ ต้องยุบสภาทันที เพราะหลักฐานมันชัด ผู้คนก็เห็นแล้วว่าข้อมูลการอภิปรายของเฉลิมส่วนใหญ่เป็นการตัดแปะข่าวของสื่อมวลชนและทีมงานในพรรคเพื่อไทย ทำมาให้เกือบทั้งสิ้น เช่น เรื่องการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ของซิโน-ไทย และ ช.การช่าง หรือเรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เฉลิมก็ได้ข้อมูลมาจากนายตำรวจในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ตั้งเรื่องมาให้เพื่อชงให้มีการยุบประชาธิปัตย์ ตามใบสั่งของทักษิณ ชินวัตร ที่มีไปถึงนายตำรวจบางคนในกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อแลกกับเก้าอี้ใหญ่โตเป็นการตอบแทน แล้วแบบนี้ เฉลิมจะมาอ้างความดีความชอบของตัวเองได้อย่างไร ยิ่งตอนนี้มีคู่แข่งในพรรคพร้อมเปิดตัวชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแข่งกับเฉลิม อย่าง มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เฉลิมก็รีบออกมาสกัดทันทีว่า ไม่เหมาะกับการชูให้ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรค เพราะเหลิม รู้ดีว่า มิ่งขวัญได้รับการโปรโมตจากฝ่ายเครือญาติทักษิณ ทั้งพายัพ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมถึงพวกนักโทษการเมืองคดียุบพรรค ที่ประจำการอยู่ที่ ตึกชินวัตร 3 ถือว่าเป็นการเล่นการเมืองแบบเก่าๆ ที่ไม่สร้างสรรค์ของเหลิม ที่ทำท่าว่ายากจะแก้ไขได้ เพราะนี่คือธาตุแท้ของเขา เฉลิมเลิกหากินกับทักษิณ ชินวัตรไม่ได้ เพราะใครๆก็รู้ว่า นักการเมืองรุ่นเก่าคนนี้ จะเกาะทักษิณเพื่อไปให้ถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #207 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2553, 13:45:46 » |
|
โยกย้ายทหาร คลื่นใต้น้ำที่ยังไม่สงบ 22 กรกฎาคม 2553 เวลา 03:23 น.posttoday ออกอาการสะดุดเล็กน้อย กับเส้นทางสู่เก้าอี้ ผบ.ทบ. ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. เมื่อปรากฏชื่อ พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก เข้ามาเสียบขัดตาทัพก่อนหนึ่งปี
โดย...ทีมข่าวการเมือง
ทั้งในฐานะเพื่อน ตท.10 ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. บวกกับแรงหนุนจาก “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะนายทหารม้า “ลูกป๋า” ทำให้ พล.อ.พิรุณ มาแรงในช่วงโค้งสุดท้าย แซงหน้า พล.อ.ประยุทธ์ (ตท.12) ที่ยังมีเวลาเหลือเฟือเมื่อต้องเกษียณอายุราชการในปี 2557
ทว่าหลายฝ่ายยังปักใจเชื่อว่า “บิ๊กตู่” ซึ่งได้รับการปูทางจนมา “จ่อคิว” รอขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของกองทัพบก ดูจะได้เปรียบ พล.อ.พิรุณ ทั้งในแง่การครองอัตราจอมพลที่อาวุโสกว่า พล.อ.พิรุณ ที่แม้จะเป็นรุ่นพี่ก็ตาม
ยิ่งในยุคที่ “บูรพาพยัคฆ์” กำลังเรืองอำนาจ “3 ป” ทั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามามีบทบาทสำคัญทั้งในกองทัพและการเมือง
โอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้ามาสืบทอดอำนาจ “บูรพาพยัคฆ์” จึงเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะท่ามกลางบรรยากาศสถานการณ์บ้านเมืองที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จนไม่อาจไว้วางใจในอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
การมี “มือไม้” ไว้สานต่อภารกิจให้สำเร็จไปตลอดรอดฝั่ง หรือเป็น “ไม้กันหมา” ป้องกันการไล่เช็กบิลย้อนหลัง หากฝ่ายตรงข้ามสามารถพลิกสถานการณ์กลับเข้ามาเป็นฝ่ายได้เปรียบ จึงเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นที่ต้องการคนไว้ใจได้ รู้ตื้นลึกหนาบางมาสานต่อภารกิจให้ลุล่วง
ที่ผ่านมายังเคยมีเสียงเรียกร้องให้ดัน “บิ๊กตู่” ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. แทน “บิ๊กป๊อก” กลางศึก หวังอาศัยความเด็ดขาด เด็ดเดี่ยวของ “บิ๊กตู่” มารับมือกับสถานการณ์การชุมนุม เมื่อเกิดเสียงครหาว่า “บิ๊กป๊อก” พยายามเซฟตัวเองเพื่อรอวันเกษียณแบบไม่เจ็บตัว
แม้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ออกมาจะเป็นไปในทำนองเรื่องการ “สมนาคุณ” ตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันช่วงกว่า 2 เดือน กับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง
การพิจารณาโยกย้ายปรับ “ขุมกำลัง” ในกองทัพเที่ยวนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามว่ารูปร่างหน้าตาออกมาอย่างไร โดยเฉพาะแนวคิดที่จะ “จำกัด” บทบาท “ทหารแตงโม” ไม่ให้รบกวนการทำงานของทัพ หรือทำให้ข้อมูลรั่วไหวไปสู่ฝ่ายตรงข้ามอย่างที่ผ่านมา
สำหรับรายชื่อที่ติดโผ 5 เสือ ทบ. เที่ยวนี้ นอกจากจะมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ. แล้ว ยังมี พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นรอง ผบ.ทบ. พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. เป็น เสธ.ทบ. พล.ท.ชลวิชญ์ เพิ่มทรัพย์ ปลัดบัญชี ทบ. เป็น ผช.ผบ.ทบ. และ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 เป็น ผช.ผบ.ทบ.
อีกตำแหน่งสำคัญที่มีบทบาทอย่างมากในกองทัพ อย่างปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่ง พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ จะเกษียณปีนี้ พบว่า พล.อ.ประวิตร เตรียมดัน พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท รอง ผบ.สส. ข้ามมาคุมตำแหน่งนี้
ทั้งสถานะที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.8 กับ พล.อ.อภิชาต แล้ว ยังถือเป็นสายตรง “บูรพาพยัคฆ์” เป็นอีกคนสนิทของ “บิ๊กป้อม” ที่เติบโตมาจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) เคยเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการติดตาม พล.อ.ประวิตร ก่อนข้ามไปเป็นรอง ผบ.สส.
ทว่า ในวันที่ “บูรพาพยัคฆ์” กำลังเรืองอำนาจต่อเนื่อง ย่อมสะเทือนไปถึง “วงศ์เทวัญ” อีกสายอำนาจในกองทัพที่เคยเรืองเฟื่องฟูมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องการที่จะแทรกตัวให้กลับเข้ามาในขั้วอำนาจ ไม่ถูกกลืนหายไปในยุคนี้
การจัดความสมดุลให้เกิดขึ้นในกองทัพ จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยประสาน “รอยร้าว” อุดช่องโหว่ และไม่ให้เกิด “คลื่นใต้น้ำ” มาคอยปั่นป่วนภายในจนอาจลุกลามส่งผลกระทบรุนแรงต่อกองทัพ และความเป็นทหารมืออาชีพ
ยิ่งทุกวันนี้สารพัดโครงการจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ กำลังถูกตรวจสอบจากทั้งพรรคฝ่ายค้าน และสังคมกำลังจับตาเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เครื่องจีที 200 มาจนถึงการจัดซื้อเครื่องบินกริพเพน รถหุ้มเกราะยูเครน บอลลูนสังเกตการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้
รวมแล้วงบประมาณจำนวนมหาศาลที่จัดสรรไปให้กับกองทัพ กลับถูกนำไปใช้ในโครงการที่ชัดเจนว่ามีเงื่อนงำความไม่ชอบมาพากล และเป็นจุดอ่อนที่จะกลายเป็นปัญหาในระยะยาวต่อกองทัพ
ตามหลักการแล้ว การจัดทัพโยกย้ายทหารภายใต้ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม 2551 ถือเป็นหน้าที่การพิจารณาของคณะกรรมการ ซึ่งประกอบไปด้วย 6 คน ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ
ดูหน้าค่าตาแล้วจึงค่อนข้างชัดเจนว่า อำนาจการตัดสินใจที่จะชี้นำบอร์ดชุดนี้ น่าจะอยู่ที่ฝั่ง “บูรพาพยัคฆ์” ทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ที่จะมีส่วนสำคัญในการวางโครงสร้างและรูปร่างหน้าตาของกองทัพหลังจากนี้
แม้บอร์ดชุดนี้จะตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกันการเข้ามาล้วงลูกของฝ่ายการเมืองกับการจัดขุมกำลังของกองทัพ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ต่างแสดงออกชัดเจนว่า ลงเรือลำเดียวกับรัฐบาลประชาธิปัตย์ไปแล้ว
เสียงวิจารณ์ระยะหลังจึงออกมาเป็นห่วงเรื่องการเลือกข้างของ “กองทัพ” ซึ่งจะสะท้อนผ่านการจัดโผโยกย้ายรอบนี้ ที่จะต้องการจะดัน พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมากุมอำนาจกองทัพ ล้างภาพทหารแตงโมจนน่าเป็นห่วงเสถียรภาพภายในกองทัพ
สุดท้ายการจัดโผกองทัพเที่ยวนี้ จึงเป็นเรื่อง “เปราะบาง” ท่ามกลางสัญญาณป่วนจากคลื่นใต้น้ำที่กดดันอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ได้แต่รอจับตาดูว่า “สมดุล” จากการปรับขบวนภายในกองทัพเที่ยวนี้จะออกมาอย่างไร และจะส่งผลอย่างไรต่อไปในระยะยาว
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #208 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2553, 18:04:40 » |
|
เปลว สีเงิน” จวก “นวยนิ่ม” ทำคดี “อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์” ไม่ดูข้อเท็จจริง ซัดอันตรายต่อสังคม โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2553 13:40 น. คอลัมน์ คนปลายซอย นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันนี้ (22 ก.ค.)
ASTVผู้จัดการ - “ป๋าเปลว” แปลกใจคำพูด “อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์” พูดกลางงานประกาศรางวัลนาฏราช คนฟังกินใจแต่กลับถูก ดีเจลูกทุ่ง แจ้งความหมิ่นสถาบัน จวกตำรวจเอาตัวรอด ไม่สนใจข้อเท็จจริง ชี้เป็นอันตรายต่อสังคม กลายเป็นเครื่องมือเอื้อประโยชน์โจร ถามใจ “นวยนิ่ม” เป็นถึงนายตำรวจรู้กฎหมายแต่ยังไร้เดียงสา ดูเจตนาไม่ออกว่าเป็นคุณหรือโทษ แต่เพื่อไม่ให้ถูกครหาแนะฟังความให้ครบด้าน วันนี้ (22 ก.ค.) คอลัมน์คนปลายซอย ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ “เปลว สีเงิน” ผู้บริหารและคอลัมนิสต์อาวุโสของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เขียนบทความเรื่อง ตำรวจ กับ “วิสามัญสำนึก” โดยวิพากษ์วิจารณ์ถึงการที่ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะเรียกตัวนายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง หรือ “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” ดารานักแสดงชื่อดังที่ถูก นายภูมิพัฒน์ วงศ์ยาชวลิต หรือ “แน็ต พีรกร” ศิลปินลูกทุ่งและผู้จัดรายการวิทยุลูกทุ่ง เข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากการกล่าวแสดงความรู้สึกในงานประกาศผลรางวัลนาฏราช ซึ่งจัดขึ้นที่หอประชุมกองทัพเรือเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา และถ่ายทอดสดผ่านไทยทีวีสีช่อง 3 เปลว สีเงิน ระบุว่า คำที่นายพงษ์พัฒน์พูดบนเวทีถึงเรื่อง “พ่อ” และได้รับเสียงปรบมือยาวนานในงานที่จัดโดยโทรทัศน์ช่อง 3 และเป็นคำกล่าวที่ผู้ฟังทั่วไปชื่นชอบด้วยรู้สึกกินใจอย่างกว้างขวางนั้น นายภูมิพัฒน์กลับไปแจ้งตำรวจให้จับนายพงษ์พัฒน์ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 ซึ่งตอนนี้ พล.ต.ต.อำนวยและทีมงานประชุมลงมติกันแล้วว่า เมื่อมีผู้มาแจ้งความตำรวจก็ต้องทำหน้าที่ คอลัมนิสต์อาวุโสยังชี้ให้เห็นว่า ตำรวจก็ทำงานอยู่ระหว่างเขาควาย จึงต้องรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี โดยไม่คำนึงว่า ข้อเท็จจริงและเจตนาเป็นอย่างไร เข้าข่ายตามกฎหมายหรือไม่ และผู้แจ้งหวังยืมมือตำรวจสร้างเงื่อนไขทำลายล้างผู้อื่นหรือไม่ แต่กลับมองว่าใครมาแจ้งก่อนเป็นโจทก์ ใครถูกแจ้งเป็นจำเลย ตามกระบวนการพิจารณาความของไทยที่ใช้ระบบกล่าวหา ซึ่งการที่ตำรวจไม่สนใจว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับผลกระทบ “การรับคดีโดยไม่ดูข้อเท็จจริงและเจตนานี่ ‘อันตราย’ ต่อสังคมมาก ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันและมีการถูกนำมาใช้เป็น ‘เกม’ เพื่อการให้คุณ-ให้โทษอีกกับอีกฝ่ายด้วยแล้ว ถ้ากระบวนการยุติธรรมขั้นต้นคือ ‘ตำรวจ’ ทำหน้าที่ด้วยกลัว ด้วยหวั่นไหว มุ่งเอาตัวเองรอด ขาดความอาจหาญบนจิตวินิจฉัย ‘เสียสละ-คุณธรรม-ความถูกต้อง’ แล้วละก็ ตำรวจจะเป็นเครื่องมือเอื้อประโยชน์โจรมากกว่าเป็น ‘ผู้อภิบาลคนดี-ย่ำยีคนร้าย’ ขืนเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ประชาชนผู้แบกภาระชาติจะเกิดความรู้สึก ทำดีเพื่อสถาบัน "มีแต่ตาย กับเสมอตัว" แล้วจะทำทำไม!?” นอกจากนี้ เปลว สีเงิน ยังแสดงความแปลกใจต่อ พล.ต.ต.อำนวย ถึงการสอบถามนายพงษ์พัฒน์ว่า เหตุใดจึงมีอากัปกิริยาเช่นนั้นขณะรับรางวัล เจตนาล่วงเกินสถาบันหรือไม่ และทำไมจึงเรียก ‘พ่อ’ เฉยๆ โดยเห็นว่าควรจะเรียกคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น หรือบุคคลทั่วไปที่ได้รับฟัง ทั้งนักกฎหมาย ทั้งอาจารย์ภาษาไทย มาให้ปากคำ มาให้ความเห็นว่าที่นายพงษ์พัฒน์ พูดบนเวทีในงานรับรางวัลนาฏราชนั่นหมายถึงใคร และคนฟังเมื่อฟังแล้วเข้าใจอย่างไร มีความรู้สึกตอบสนองอย่างไร เมื่อสอบเสร็จ ฟังรอบด้านแล้ว จึงจะมาสรุปกันว่าที่นายพงษ์พัฒน์พูดนั้นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่ ซึ่ง พล.ต.ต.อำนวยบอกว่า ไม่เกิน 1 เดือนก็สามารถสรุปได้ ซึ่ง พล.ต.ต.อำนวย เป็นถึงนายตำรวจมือกฎหมาย น่าจะรู้ว่าคำพูดของนายพงษ์พัฒน์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่ พูดเป็นคุณ หรือเป็นโทษ พูดด้วยเจตนาดี หรือเจตนาร้าย แต่เพื่อไม่ให้แต่ละฝ่ายยกเป็นข้อครหายามไม่ถูกใจ จึงเห็นว่าควรฟังความให้ครบด้าน หยั่งกระแสแล้วค่อยสรุปว่าเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่ายที่หลัง สำหรับ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เคยสร้างวีรกรรมในระหว่างเหตุการณ์สลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมหน้ารัฐสภาด้วยระเบิดแก๊สน้ำตาและอาวุธเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ซึ่งมักจะออกมาทำหน้าที่แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเพื่อแก้ต่างให้กับตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในทำนองว่าได้ใช้แก๊สน้ำตาเป็นเครื่องมือควบคุมฝูงชนตามหลักสากลที่ใช้กันทั่วโลก ไม่ได้ใช้กระสุนยาง ส่วนผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บนั้น อาจเกิดจากการวิ่งและลื่นหกล้ม นอกจากนี้ยังปฏิเสธภาพที่ตำรวจขว้างปาวัตถุคล้ายระเบิดใส่ผู้ชุมนุมที่สื่อมวลชนนำเสนอ และยังยืนยันว่าตำรวจมีอำนาจโดยชอบที่จะดำเนินการสลายการชุมนุม นอกจากนี้ ด้วยความที่ พล.ต.ต.อำนวยเป็นนายตำรวจมือกฎหมาย ครั้งหนึ่งภายหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ก็มีนายสิทธิพร โพธิโสดา ซึ่งอ้างว่าเป็นทนายความ ได้ฟ้องร้องต่อศาลอาญาเพื่อให้ดำเนินการเอาผิดต่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. และพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.รวม 5 คน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่านายสิทธิพรไม่ใช่ผู้เสียหาย และมีรายงานว่านายสิทธิพรเป็นเพื่อนสนิท และเป็นคน จ.สงขลา บ้านเดียวกันกับ พล.ต.ต.อำนวย ภายหลังพบว่า พล.ต.ต.อำนวยอาศัยกรณีที่นายสิทธิพรฟ้องร้องนำไปยื่นฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้หยุดไต่สวนเอาผิด โดยอ้างถึง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 86 บัญญัติ ห้ามไม่ให้ ป.ป.ช.รับคำกล่าวหาที่เกี่ยวกับเรื่องที่ศาลรับฟ้องในประเด็นเดียวกัน ภายหลังเมื่อศาลนำคำฟ้องมาตรวจพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีไม่ครบองค์ประกอบความผิด จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องและงดการไต่สวนมูลฟ้องดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.อำนวยยังมีความพยายามที่จะขัดขวางการไต่สวนเอาผิดกับตำรวจที่สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมรายงานว่า พล.ต.ต.อำนวยได้ส่งหนังสือถึง พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ นายกสมาคมตำรวจ และอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ขอล่ารายชื่อตำรวจ ยื่นถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช.พ้นตำแหน่งอีกทางหนึ่งด้วย
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #209 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2553, 09:46:49 » |
|
ชะตากรรมของทักษิณ และคอร์โดคอฟสกี้ ความล้มเหลวของโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กรกฎาคม 2553 00:07 น. ในเว็บไซต์ robertamsterdam.com ของนายโรเบิร์ต แอมสเตอร์ดัม มือปืนรับจ้างสร้างภาพ ให้ นช. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักประชาธิปไตย มีสมุดปกขาวอยู่หลายเล่ม เล่มหนึ่งเป็นเรื่อง การปิดกั้น สิทธิเสรีภาพทางการเมืองในสิงคโปร์ โดยยกเอากรณีของนายจีซุนจวน เลขาธิการพรรคประชาธิปไตยสิงคโปร์ พรรคฝ่ายค้าน ที่ถูกจำคุก ในข้อหาหมิ่นประมาท เพราะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เล่มหนึ่งเป็นเรื่องของอำนาจเผด็จการของรัฐบาลรัสเซีย ที่จับนายมิคาอิล โคดอร์คอฟสกี้ อดีตมหาเศรษฐี และนักธุรกิจมาเฟียเข้าคุก ยังมีสมุดปกขาว พูดถึงนักการเมืองฝ่ายค้านในไนจีเรีย และนายธนาคารในเวเนซุเอลา ที่ถูกรัฐบาลรังแก ตั้งข้อหา คอร์รัปชั่น ทำผิดกฎหมายเงินตราต่างประเทศ จนต้องหนีไปอยู่ในต่างประเทศ ทุกคนที่เป็นตัวละครในสมุดปกขาวเหล่านี้ ล้วนเป็นลูกค้าของนายอัมสเตอร์ดัม ที่จ้างให้เขาเคลื่อนไหว สร้างภาพ สร้างข่าวให้ปรากฏในสื่อต่างประเทศ เพื่อหวังจะสร้างแรงสนับสนุนจากประชาคมนานาชาติ เป็นอาวุธในการต่อสุ้ของตัวเอง จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องแปลกใจ ที่สมุดปกขาวเล่มล่าสุดของนายอัมสเตอร์ดัม จะเป็นเรื่อง The Bangkok Massacres : A Call For Accountability การสังหารหมู่ที่กรุงเทพ เสียงเรียกร้องหาความรับผิดชอบ ที่เขียนคำนิยม โดย นช. ทักษิณ ชินวัตร เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของ แพ็คเก็จ การใส่ร้าย ป้ายสีประเทศไทย การสร้างภาพ นช. ทักษิณ ว่าเป็นนักประชาธิปไตย ที่ถูกล้มล้างด้วยการรัฐประหาร ที่นช.ทักษิณ จ้างให้นายอัมสเตอร์ดัมดำเนินการ นายอัมสเตอร์ดัมมีชื่อเสียงขึ้นมา จากการรับจ้างสร้างภาพให้ นายโคดอร์ดอฟสกี้ ว่า เป็นผู้ที่มีความคิดแบบเสรีนิยม สนับสนุนระบบประชาธิปไตย และระบบทุนนิยมเสรี เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ ในการสร้างรัสเซียใหม่ หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ซึ่งตกเป็นเหยื่อของ ระบบการปกครองที่เผด็จการของรัสเซีย ที่มีนายลาดิเมียร์ ปูติน เป็นผู้นำ กลยุทธ์การสร้างภาพเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ “ ขายได้” ในโลกตะวันตก ที่บูชาคาถา “ ตลาดเสรี - ประชาธิปไตย-สิทิมุนษยชน- ต่อต้านปูติน “ เว็บไซต์ และบล็อกของนายอัมสเตอร์ดัม จึงมีแต่เรื่องที่ใส่สี ตีไข่ สร้างเป็นภาพปูติน และรัสเซีย ให้เป็นยักษ์มาร และเชิดชูนายโคดอร์คอฟสกี ให้เป็นนักเสรีนิยม ผู้สนับสนุนการค้าเสรี แต่ความจริงแล้ว นายโคดอร์ดอฟสกี้ เป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญ ในการสร้างระบบทุนนิยมมาเฟีย หลังโซเวียตล่มสลาย ยูคอส ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของรัสเซีย ที่เกิดขึ้นจากการ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ หลังการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ เป็นกิจการที่โคดอร์ดอฟสกี้ และกลุ่มคณาธิปไตยหรือ oligarch ของรัสเซีย “ ปล้น”มาจากรัฐ ด้วยวิธีการอันฉ้อฉล ในยุคที่บอรีส เยลต์ซินเป็นประธานาธิบดี เมื่อปูตินขึ้นมามีอำนาจ ยูคอสถูกกล่าวหาว่า เลี่ยงภาษี และมีพฤติกรรมทุจริต ปี 2003 นายอัมสเตอร์ดัมมีโอกาสพบกับนายโคดอร์คอฟสกี้ ที่วอชิงตัน โดยการแนะนำของเพื่อนคนหนึ่ง และต่อมากลายเป็นที่ปรึกษากฎหมายของนายโคดอร์คอฟสกี้ แต่ไม่ใช่ทนายความ เพราะนายอัมสเตอร์ดัม ไม่มีสิทธิว่าความในรัสเซีย และไม่มีความรู้เรื่องรัสเซีย นายอัมสเตอร์ดัม เป็นล้อบบี้ยิสต์ และนักสร้างภาพ ป้ายสี ใส่ไข่มากกว่า เขาสร้างภาพว่านายโคดอร์ดอฟสกี้ถูกรังแกจากระบอบเผด็จการของนายปูติน ด้วยการจัดแถลงข่าว เขียนบทความ ทำเว็บบล็อก จัดสัมมนา เรื่องที่เป็นด้านลบของรัสเซีย แต่สุดท้ายแล้ว ยูคอส ถูกพิพากษาให้ล้มละลาย นายโคดอร์คอฟสกี้ ถูกจำคุกที่ไซบีเรีย เป็นเวลา 8 ปี ส่วนนายโคดอร์คอฟสกี้ ถูกขับออกจากรัสเซีย แต่ว่า มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากเรื่องนี้ ทุกวันนี้ เขายังหากินกับนายโคดอร์คอฟสกี้อยู่ กลยุทธ์ของนายอัมสเตอร์ดัม คือ การสร้างข่าว ใช้ความจริงส่วนเดียว ผสมความเท็จ หลายส่วน สร้างโจรให้เปน็น็น็นฮีโร่ ภาพ และข่าว-บทวิเคราะห์ที่ปรากฏในเว็บบล็อประเทศไทย ในเว็บไซต์โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมนั้น เป็นภาพ และเป็นเรื่องเดียวกับ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงนำเสนอผ่านสื่อภาษาไทย และมุมมองของนักวิชาการเสื้อแดง เช่น กรณี 6 ศพ ที่วัดปทุมวนาราม , ภาพคนห่มเหลืองโดนทหารจับมัดมือไพล่หลัง , ภาพทหารเล็งปืนเข้าใส่ผู้ชุมนุม , การบิดเบือน การสลายการชุมนุมว่า เป็นการสังหารหมู่ การใช้ พรก. ฉุกเฉิน คือ การใช้อำนาจเผด็จการไล่ล่าคนเสื้อแดง การชุมนุมของคนเสื้องแดง คือ การเรียกร้องประชาธิปไตย ฯลฯ ตรรกะ และวาทกรรมเหล่านี้ คือ เหตุผลซ้ำซาก ที่กลุ่มคนเสื้อแดงบิดเบือนเพื่อหาคำอธิบายกับความพ่ายแพ้ของตนเอง ไม่มีเรื่องไหนใหม่เลย ไม่มีประเด็นไหน เป็นประเด็นใหม่ ที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ และสื่อไทยบางค่าย ไม่เคยกุขึ้นมาก่อน นายอัมสเตอร์ดัมทำงานง่ายไปหน่อย เขาหวังว่า เรื่องโกหก ที่แปลมาจากภาษาไทยเหล่านี้ จะได้รับความสนใจจากต่างชาติ แต่กลับกลายเป็น สื่อไทย ที่ไปเอาเรื่องแปลของฝรั่ง มาเสนอเป็นภาษาไทยอีกรอบหนึ่งไปเสียฉิบ เป้าหมายของนช.ทักษิณ ในการว่าจ้างนายอัมสเตอร์ดัมคือ ต้องการให้ มีการนำเรื่อ งการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ไปสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ และต้องการให้สหประชาชาติ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา เข้ามาสอบสวนเรื่องนี้ในประเทศไทย แต่ท่าที่ขององค์การสหประชาชาติ สหภาพยุโรป รัฐบาลสหรัฐฯ ที่แสดงผ่านแถลงการณ์หลังเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม สะท้อนว่า ต่างชาติเข้าใจว่า อะไร เป็น อะไร และมติของสภาผู้แทนราษฎร สหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนแผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ อย่างท่วมท้น เมื่อเร็วๆนี้ ชี้ชัดว่า นายอัมสเตอร์ดัม ล้มเหลวในการสร้างภาพลบของประเทศไทยในเวทีสากล การออกสมุดปกขาว ใส่ร้ายประเทศไทยว่า มีการสังหารหมู่เกิดขึ้นในเมืองหลวง เป็นการบิดเบือนความจริง เพื่อ วางบิล เก็บเงินจาก นช. ทักษิณ เท่านั้น สุดท้ายแล้ว ชะตากรรมของ นช. ทักษิณ กับ นายโคดอร์คอฟสกี้ไม่ต่างกัน คือ ถูกนายอัมสเตอร์ดัมหลอกหากิน ทุกวันนี้ นายโคดอร์คอฟสกี้ ติดคุกอยู่ที่ไซบีเรีย นช. ทักษิณ ต้องระเหเร่ร่อน ไปๆมาระหว่างมอนเตรนีโกรกับรัสเซีย อยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ไปไหนไม่มีใครต้อนรับ อยู่ที่ไหนไม่กล้าบอก เพราะไม่มีเทวดาหน้าไหน สามารถสร้างภาพ ฟอกคนผิด คนโกง ให้เป็นคนดี ทาสีขาวทับสีแดง เปลี่ยนผู้ก่อการร้าย ให้เป็นผู้เรียกร้องประชาธิปไตยได้
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #210 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2553, 10:36:50 » |
|
วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 06:43:03 น. มติชนออนไลน์
อย่าพลาด ! จันทร์ดับ New Moon 26 ก.ค. ขอพรจากฟ้าได้ 8 ประการ ...ห้ามบอกใคร?
26 กรกฎาคม ตามตำราโหราศาสตร์หลายอาจารย์ ระบุว่า เป็นวันจันทร์ดับ หรือ New Moon เป็นวันที่เหมาะแก่การ “ขอพรจากฟ้าวันจันทร์ดับ”
จริงๆ แล้ว ปรากฏการณ์ New Moon เกิดขึ้นปีละหลายครั้ง เช่นปี 2553 เกิด 25 ครั้ง ปีที่แล้ว เกิดขึ้น 12 ครั้ง
นักโหราศาสตร์โบราณเรียกว่า “วันอมาวสี” ในวันนี้จะเป็นวันที่ตำแหน่งองศาของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ทับกันสนิท
ทางโหราศาสตร์ เชื่อกันว่าวันนี้เหมาะแก่การ “ขอพรจากฟ้า-ขอพรจากพระจันทร์”บางคนจึงเรียกว่า “วันขอเงินพระจันทร์”
อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ บอกว่า วันขอพรจากฟ้า ฤกษ์ดี ปี 2553จะมีทั้งหมด 25 ครั้ง ครั้งล่าสุดคือ
ครั้งที่ 15 วันที่ 26 ก.ค. เวลา 08.37 น. - ครั้งที่ 16 วันที่ 10 ส.ค. เวลา 10.10 น. - ครั้งที่ 17 วันที่ 25 ส.ค. (คืน 24 ส.ค.) เวลา 00.05 น. - ครั้งที่ 18 วันที่ 8 ก.ย. เวลา 17.31 น. - ครั้งที่ 19 วันที่ 23 ก.ย. เวลา 16.19 น. - ครั้งที่ 20 วันที่ 8 ต.ค. (คืน 7 ต.ค.) เวลา 01.45 น. - ครั้งที่ 21 วันที่ 23 ต.ค. เวลา 08.38 น. - ครั้งที่ 22 วันที่ 6 พ.ย. เวลา 11.52 น. - ครั้งที่ 23 วันที่ 22 พ.ย. (คืน 21 พ.ย.) เวลา 00.29 น. - ครั้งที่ 24 วันที่ 6 ธ.ค. (คืน 5 ธ.ค.) เวลา 00.37 น. - ครั้งที่ 25 ของปี 2553 วันที่ 21 ธ.ค. เวลา 15.14 น.
อาจารย์ภิญโญ อธิบายว่า วันจันทร์ดับ หรือการเกิด “จุดจันทร์เพ็ญ” ว่าวัน-เวลาดังกล่าวนี้เปรียบเป็นวันที่ “ประตูฟ้าเปิด” อิทธิพลทั้งหลายของดวงดาวจะถูกถ่ายทอดลงมาสู่โลกมนุษย์ และมีฤทธิ์นานประมาณ 1 เดือน ซึ่งถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับใครในวันจันทร์ดับหรือวันอมาวสีเป็นเช่นไร เหตุการณ์ในเดือนนั้นทั้งเดือนก็จะเป็นเช่นนั้น
ดังนั้น วันอมาวสีจึงถือเป็นวัน “เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดี” หากเริ่มต้นดี คิดทำอะไรดี ๆ ก็จะดีไปตลอดทั้งเดือน ซึ่งถ้าคิดดีและทำในสิ่งที่ดีๆ ได้ทุกช่วงวันอมาวสี ก็จะยิ่งเป็นเรื่องดี
ส่วนอาจารย์ จรัล พิกุล ผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ยูเรเนียนโบราณ ผู้ซึ่งล่วงลับไปแล้ว เป็นผู้ให้ความรู้ไว้ พร้อมทั้งมีคำแนะนำไว้ ประมาณว่า วันขอพรจากฟ้า สามารถขอได้ในช่วงก่อนและหลังเวลาเกิดนิวมูนหรืออมาวสี 8 ชั่วโมง วิธีการก็เช่น เขียนขอสิ่งที่ปรารถนาที่สอดคล้องความเป็นจริง ไม่เกิน 8 ข้อ ไว้บนมือข้างไหนก็ได้ ให้เชื่อมั่นศรัทธา ทำจิตให้นิ่ง มีสมาธิ ต้องขอเพื่อตัวเองเท่านั้น วันขอพรจากฟ้า ขอแทนคนอื่นไม่ได้ ห้ามให้ใครรู้ว่าขออะไรและควรขอในเวลาที่สงบ ดูดวง ดวง ทำนายฝัน ดูดวงสบายๆ
ขณะที่ คุณหมอลักษณ์ เรขานิเทศ โหรฟันธง แนะวิธีขอเงินจากพระจันทร์ว่า ขอ ให้ท่านทั้งหลายทำใจให้สบาย ไม่ควรทะเลาะเบาะแว้งกับใคร จนทำให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัว พยายามทำให้วันนั้นเป็นวันที่สงบ ราบเรียบ ควรไปปฏิบัติธรรม รับศีล อยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ สมณะชีพราหมณ์ แบบนี้จะเป็นมงคลอย่างมาก ในวันจันทร์ดับนั้น ห้ามอย่างยิ่งที่จะให้ใครหยิบยืมสตางค์ อย่าให้ใครมาทวงหนี้ หรือพยายามอย่าให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีทั้งหลายเกิดขึ้น เพราะถ้าเกิดขึ้น เหตุการณ์นั้นจะดำรงคงอยู่ไป 1 เดือนเต็ม
อย่างไรก็ตาม พรที่ดีที่สุดจาก นิวมูน ก็คือ ทำดี ย่อมได้ดี (ครับ)
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #211 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2553, 18:36:22 » |
|
ภาคีสลายหลังพอใจถกนายกฯ!! “ปานเทพ” รับ “มาร์ค” เห็นต่าง แต่ย้ำยึดสันปันน้ำ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 กรกฎาคม 2553 17:03 น.
“ปานเทพ” เผยหลังคุยพระวิหารร่วมนายกฯ ยอมรับ 2 ฝ่ายยังเห็นไม่ตรงกัน หลัง “มาร์ค” ไม่เลิกเอ็มโอยู 43 หวังใช้ระบุเขตทับซ้อน บอกประท้วงเขมรยึดพื้นที่แต่ไม่ไล่หวั่นเกิดสงคราม ยันส่ง “สุวิทย์” หวังค้านจนสุดๆ แต่ถ้าพลาดค่อยว่ากันใหม่ ย้ำยึดสันปันน้ำ ไม่เอาแผนที่ฝรั่งเศส ล่าสุด "จำลอง" สั่งสลายการชุมนุม หลังหารือเป็นผล ยูเนสโกส่งข้อเสนอไปบราซิลแล้ว
วันนี้ (27 ก.ค.) ที่ ASTV-ผู้จัดการ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ถึงผลการหารือระหว่างตัวแทนพันธมิตรฯ และภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในกรณีการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกว่า ในเบื้องต้นทั้ง 2 ฝ่ายยังมีความเห็นค่อนข้างไม่ตรงกัน อาทิ กรณีที่พันธมิตรฯ เห็นว่าควรมีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจการสำรวจและการปักปันเขตแดนทางบกปี 2543 หรือเอ็มโอยู เพราะหวั่นจะเป็นอันตรายในอนาคตหากรัฐบาลจะนำมาใช้ประโยชน์เพื่อส่วนตน แต่นายกฯ กลับเห็นว่า เป็นประโยชน์ในการแบ่งพื้นที่ทับซ้อน ขณะที่ข้อเสนอให้ขับไล่ทหารและชาวกัมพูชาพ้นจากพื้นที่พิพาท นายกฯ กล่าวตอบว่า รัฐบาลได้พยายามใช้สิทธิ์ในการประท้วงกรณีดังกล่าวแล้ว แต่ทั้งนี้รัฐบาลไม่อยากจะให้นำไปสู่การเกิดภาวะสงครามขึ้น นายปานเทพกล่าวว่า ส่วนข้อเสนอที่เห็นว่ารัฐบาลไม่ควรส่งผู้แทนรัฐเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการ มรดกโลกที่ประเทศบราซิล โดยให้เป็นการทำหนังสือส่งไปแทนนั้น นายกรัฐมนตรีกลับเห็นว่ารัฐบาลจะได้ขอใช้สิทธิในการประท้วงให้สิ้นสุดก่อน จากนั้นค่อยมาหาวิธีการจัดการกันต่อไป ซึ่งตรงนี้พันธมิตรฯ เชื่อว่าจะไม่เป็นผลนัก รัฐบาลจะต้องบอยคอตในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันกับตนว่ารัฐบาลจะยึดหลักสันปันน้ำในการแบ่งเขต แดนบริเวณเขาพระวิหาร และไม่ยอมรับการใช้แผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ของกัมพูชาที่ใช้ยื่นจดทะเบียนปราสาท เพราะถือเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทย ทั้งนี้ตนและคณะผู้เข้าร่วมประชุม เตรียมนำผลสรุปดังกล่าวไปแจ้งให้ผู้ชุมนุมทราบก่อนที่กลุ่มภาคีฯ จะสรุปเพื่อหาแนวทางการเคลื่อนไหวต่อไป ล่าสุด ที่หน้าองค์การยูเนสโก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมสลายตัวแล้ว หลังองค์การยูเนสโกได้ประกาศจะนำข้อเสนอของทางภาคีฯ ส่งไปยังที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ณ ประเทศบราซิล ขณะที่ผลหารือระหว่างนายกฯ และตัวแทนพันธมิตรฯ เป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้พล.ต.จำลอง ยืนยันว่า รัฐบาลจะต้องไล่ทหารและพลเรือนกัมพูชาออกจากพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระ วิหารให้ได้
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #212 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2553, 10:25:26 » |
|
นที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 22:39:39 น. มติชนออนไลน์
แกะรอยสโมสรฟุตบอลดัง โอนหุ้นพิสดาร 4 ตลบ ช่วง นปช.ชุมนุมใหญ่ โยงบิ๊กนักการเมือง-ท่อน้ำเลี้ยงแดง?
แกะเงื่อนงำสโมสรฟุตบอลดัง โอนหุ้นพิสดาร 4 ตลบ ช่วง กลุ่มนปช.ชุมนุมใหญ่ โยงนักการเมืองระดับบิ๊ก-ท่อน้ำเลี้ยงแดง?
[b]ในการชี้แจงต่อศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยุครัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช แกนนำพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็น 1 ใน 152 รายที่ถูกอายัดการทำธุรกรรมทางการเงิน ได้ชี้แจงว่าไม่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงเพราะเงินก้อนดัง กล่าวได้นำไปสร้างสนามฟุตซอลและสโมสรฟุตบอลนครปฐมเอฟซี โดยมีใบอนุญาตก่อสร้างถูกต้องตามกฎหมาย และก่อสร้างก่อนที่ ศอฉ.จะมีคำสั่งระงับการทำธุรกรรมการเงิน
การชี้แจงดังกล่าวของนายไชยาเกิดขึ้นเพราะ ศอฉ.ตรวจเส้นทางการเงินพบว่าระหว่างเดือนกันยายน 2552- พฤษภาคม 2553 นายไชยามีเงินหมุนเวียนในบัญชีประมาณ 40 ล้านบาท (ฝากประมาณ 18 ล้านบาท ถอนประมาณ 19 ล้านบาท-ฝาก ถอนเกือบทุกวัน) ศอฉ.สงสัยว่าเงินก้อนนี้อาจนำไปใช้สนับสนุนการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคน เสื้อแดงเมื่อช่วงก่อนและหลังวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ก่อนที่พิจารณาว่าคำชี้แจงของนายไชยามีน้ำหนักสมเหตุสมผลหรือไม่ อย่างไร? ต้องดูข้อมูลนี้เสียก่อน
"มติชนออนไลน์"ตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า สโมสรฟุตบอลนครปฐมเอฟซี จดทะเบียนในชื่อ บริษัท สโมสรฟุตบอล นครปฐม จำกัด เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2551 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 2 ถนนเกษตรสิน ตำบลลำพยา อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม
ผู้ถือหุ้นเริ่มแรก 6 คนคือนายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ (บุตรชายคนโตของนายไชยา) 3,500 หุ้น ,นายสถิตย์ ทวีนุช 2,500 หุ้น, นายวุฒิไชย สุทธิพิเชษฐ์ 2,000 หุ้น ,นางสาวณัฎฐิกา จำปาแก้ว 1,000 หุ้น ,นายรัฐกิจ พณิชย์ไพบูลย์ 800 หุ้น ,นายฐานุพงศ์ รังสิไตรพงศ์ 200 หุ้น รวม 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท มีนายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ และนายสถิตย์ ทวีนุช เป็นกรรมการ (ดูตารางประกอบ)
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 บริษัท สโมสรฟุตบอล นครปฐม จำกัด หุ้นของนายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายวุฒิไชย สุทธิพิเชษฐ์ สาวณัฎฐิกา จำปาแก้ว นายรัฐกิจ พณิชย์ไพบูลย์ และ นายฐานุพงศ์ รังสิไตรพงศ์ ถูกโอนไปให้ผู้ถือหุ้นรายใหม่คือบริษัท มี เมเนจเม้นท์ จำกัด ทั้งหมด
ทำให้บริษัท มี เมเนจเม้นท์ จำกัด กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน 7,499 หุ้น , นายสถิตย์ ทวีนุช 2,500 หุ้น และ นายวสันต์ หอมแสงประดิษฐ์ 1 หุ้น โดยนายวสันต์เป็นกรรมการ
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่อีกครั้ง
บริษัท มี เมเนจเม้นท์ จำกัด ได้โอนหุ้นนายสถิตย์ ทวีนุช ทั้งหมดทำให้นายสถิตย์กลับมาเป็นถือหุ้นใหญ่จำนวน 9,998 หุ้น ขณะที่ นายวสันต์ หอมแสงประดิษฐ์ และ นายอัศวิน ลิ้มสมบัติอนันท์ ถือคนละ 1 หุ้น โดยนายวสันต์เป็นกรรมการ
วันที่ 1 เมษายน 2553 นายสถิตย์ ทวีนุช ได้โอนหุ้นให้นายไชยา สะสมทรัพย์ ทำให้นายไชยาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน 9,997 หุ้น นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายสถิตย์ ทวีนุช และ นายวุฒิไชย สุทธิพิเชษฐ์ ถือคนละ 1 หุ้น โดยนายไชยาเป็นกรรมการ
วันที่ 30 เมษายน 2553 บริษัท สโมสรฟุตบอล นครปฐม จำกัด เปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้งเหมือนในช่วงก่อตั้ง นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ 3,500 หุ้น ,นายสถิตย์ ทวีนุช 2,500 หุ้น, นายวุฒิไชย สุทธิพิเชษฐ์ 2,000 หุ้น ,นางสาวณัฎฐิกา จำปาแก้ว 1,000 หุ้น ,นายรัฐกิจ พณิชย์ไพบูลย์ 800 หุ้น ,นายฐานุพงศ์ รังสิไตรพงศ์ 200 หุ้น โดยนายสถิตย์ ทวีนุช เป็นกรรมการ
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า บริษัท สโมสรฟุตบอล นครปฐม จำกัด มีรายได้ปี 2552 จำนวน 4.7 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย 7.4 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 2.7 ล้านบาท โดยมีเงินกู้ยืมจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกัน 2 ล้านบาท
บริษัท มี เมเนจเม้นท์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 21 พฤษภาคม 2552 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ประกอบธุรกิจโอน รับโอน รับซื้อ จัดหา รับจ้างผลิต ที่ตั้งเลขที่ 333/100 หมู่ 4 อาคาร หลักซี่พลาซ่า ห้อง ซี 1 ชั้น 3 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ มีนายวสันต์ หอมแสงประดิษฐ์ เป็นกรรมการ
ส่วนนายสถิตย์ ทวีนุช เคยทำธุรกิจเหมือนหินอ่อนร่วมกับนายไชยามาตั้งแต่ปี 2536 ชื่อ บริษัท อาณาจักรศรีวิชัย จำกัด ที่ตั้งเลขที่ 127-129 หมู่ที่ 1 ตำบลธรรมศาลา อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม นายทะเบียนได้ขีดชื่อออกจากทะเบียนเป็นบริษัทร้าง เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2543
จากข้อมูลเห็นได้ว่าสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ นายจิรวัฒน์บุตรชายนายไชยาถือหุ้นในช่วงก่อตั้ง ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2552 - สิ้นเดือนมีนาคม 2553 มีการโอนหุ้นให้บุคคลอื่น คือบริษัท มี เมเนจเม้นท์ จำกัด และ นายสถิตย์ ทวีนุช (มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับนายไชยา) โดยนายไชยามิได้ถือหุ้นตั้งแต่เริ่มแรกแต่เข้ามาถือหุ้นในช่วงต้นเดือน เมษายน 2553 เพียง 1 เดือนก็โอนให้นายจิรวัฒน์บุตรชาย
เห็นได้ว่า นอกจากมีการโอนหุ้นพิสดาร 4 ตลบแล้ว การที่นายไชยาอ้างว่าเบิกถอนเงิน (มีการฝาก ถอนเกือบทุกวัน) โดยที่ตัวเองเพิ่งถือหุ้นใหญ่ในช่วงเดือนเมษายน 2553 (อยู่เพียง 1 เดือน)ไปสร้างสนามฟุตซอลและสโมสรฟุตบอลนครปฐม (ศอฉ.แถลงข่าวอายัดเงินบุคคลต่างๆในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2553)
จึงชวนพิศวงอย่างยิ่ง?
......
[/b]
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #213 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2553, 12:49:28 » |
|
นที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:41:56 น. มติชนออนไลน์
ครม.มีมติให้"สุวิทย์"เป็นตัวแทนไทยถอนตัวจากภาคีสมาชิก-วอล์คเอาท์ ถ้าคกก.มรดกโลกขึ้นทะเบียนพระวิหาร
"สมช."รับ"มาร์ค" สั่งหาทางตอบโต้"ยูเนสโก" รับแผนพัฒนาพื้นที่ของ"กัมพูชา"
มีรายงานในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ประเทศบราซิล เพื่อพิจารณาแผนการจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาเป็นมรดกโลก ว่า ประเทศไทยได้ยื่นประท้วงคัดค้านเรื่องนี้ อย่างเป็นทางการแล้ว โดยแหล่งข่าวระบุว่า คณะผู้แทนจากรัฐบาลไทยที่มี นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปฏิเสธที่จะยอมรับคณะกรรมการร่วม 7 ประเทศ ที่ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาพื้นที่ทับซ้อน และ ไทยยังจะไม่เข้าร่วมในคณะกรรรมการร่วมดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า หากกรรมการพิจารณาลงมติกรณีขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารมรดกโลก (28 )ไม่ว่าทั้งในทางเปิดเผยหรือทางลับ ไทยจะถอนตัวจากภาคีสมาชิก หรือ วอล์คเอาท์ ออกจากการประชุมทันที
ข่าวแจ้งว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อเช้าวันที่ 28 กรกฏาคม ยังมีมติให้นายสุวิทย์ สามารถถอนตัวจากการเป็นสมาชิกยูเนสโกได้ หากที่ประชุมมรดกโลก มีมติรับรองแผนการจัดการพื้นที่พระวิหาร
"สมช." รับ"มาร์ค" สั่งหาทางตอบโต้ "ยูเนสโก" รับแผนพัฒนาพื้นที่ของ “กัมพูชา”
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 28 กรกฏาคม นายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมการประชุม ครม.ที่อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ทำเนียบรัฐบาลถึงการหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 27 กรกฎาคมว่าในการหารือกับนายกรัฐมนตรีนั้นได้พูดคุยเรื่องประสาทพระวิหาร ซึ่งไทยยืนยันว่าจะคัดค้านการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และการที่กัมพูชาเสนอแผนเพื่อการพัฒนาที่มีการรวมเอาพื้นที่ที่ไทยอ้าง สิทธิ์เหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งขณะนี้นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้อยูที่ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นสถานที่จัดประชุมคณะกรรมการมรดกโลก และอาจจะมีการรายงานความคืบหน้าล่าสุดมาในที่ประชุม ครม. แต่ถ้าสถานการณ์ถึงที่สุดคือมีการขึ้นทะเบียนหรือว่าไทยคัดค้านไม่สำเร็จ นายกรัฐมนตรีก็ได้มอบหมายให้สมช.ไปพิจารณามาตรการต่างๆที่จะแสดงสิทธิ์เหนือ พื่นที่อ้างสิทธิ์ โดยที่ประชุม สมช.ในช่วงบ่ายวันที่ 28 กรกฎาคมก็จะมีการพิจารณาเรื่องนี้
เมื่อถามว่าได้เตรียมการอย่างไรถึงได้ไม่รู้ว่าทางกัมพูชาจะเสนออะไร นายถวิลกล่าวว่าเราก็เตรียมการเต็มที่ แต่ระเบียบบางอย่างก็ทำให้เราไม่สามารถเข้าไปในการประชุมบางเรื่องได้ แต่ใน ครม.ก็ได้มอบหมายให้ไปเตรียมการเรื่องนี้เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
“จนถึงขนาดนี้เราก็ยังอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ หากทางกัมพูชาเสนอเข้ามาในพื้นที่เราก็จะคัดค้าน ซึ่งมีหลายวิธี และหากการคัดค้านไม่เป็นผลก็จะมีมาตรการทางอื่น แต่แน่นอนว่าคงไม่ไปสู่การสู้รบเพราะเอ็มโอยูปี 2543 ยัวเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะอย่างน้อยที่สุดก็แสดงว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นมีปัญหา ทั้งสองฝ่ายจึงมีข้อตกลงกันเอาไว้ ส่วนทางการฑูตนั้นยังไม่มีการเจรจา เพราะยังอยู่ในภาวะที่เผชิญหน้ากันอยู่จึงอาจจะยังเจรจากันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีที่เป็นปรปักษ์ต่อกัน” นายถวิลกล่าว เมื่อถามว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้ถือว่าไทยกำลังเสียเปรียบหรือไม่ นายถวิลกล่าวว่า คงยังพูดไม่ได้ เพราะเหตุผลที่เราอ้างอิงก็เป็นเหตุผลที่มีน้ำหนัก คือองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโกเป็นองค์การเพื่อการศึกษาและสันติภาพ เพราะฉะนั้นการกระทำที่จะนำไปสู่การเผชิญหน้านั้นทางยูเนสโกก็จะต้องทบทวน
นายถวิลกล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ไปยื่นข้อเรียกร้องต่อยู เนสโก ซึ่งโดยหลักการแนวทางของพันธมิตรฯไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับรัฐบาล แต่ข้อเรียกร้องบางเรื่องนั้นรัฐบาลไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะรัฐบาลต้องดำเนินการตามกรอบกติกาและสนธิสัญญาที่มีอยู่ เมื่อถามว่าหากยูโนสโกรับเรื่องแผนพัฒนาพื้นที่ของกัมพูชาจะมีผลผูกพันทำให้ พื้นที่บางส่วนตกเป็นของกัมพูชาเลยหรือไม่ นายถวิล กล่าวว่า เรื่องเขตแดนนั้นไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น ไม่มีใครจะมาทำให้เราเสียดินแดนได้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องของไทยกับกัมพูชา ซึ่งยูเนสโก ไม่สามารถมาตัดสินเรื่องดินแดนได้
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #214 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2553, 10:33:24 » |
|
กก.มรดกโลกเลื่อนถก แผนจัดการพระวิหารของเขมรออกไป 24ชม.
มติชนออนไลน์ 29 กค.2553
รายงานข่าวล่าสุดเปิดเผยว่า ก่อนเข้าวาระการประชุม คณะกรรมการมรดกโลก องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ในประเด็นการพิจารณารับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามข้อ เสนอของประเทศกัมพูชา ในเวลา 02.00 น (เวลาในประเทศไทย) วันที่ 29 กรกฏาคม หรือเวลาประมาณ 14.00 น. (เวลาท้องถิ่นบราซิล) ของวันที่ 28 กรกฏาคม ปรากฏว่า ทางตัวแทนของกัมพูชา ได้ขอเจรจานอกรอบกับตัวแทนของประเทศไทย ทำให้เมื่อถึงเวลาในการพิจารณาวาระดังกล่าว ตัวแทนทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่สามารถหารือกับเรียบร้อย
ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกฯ จึงเลื่อนวาระการพิจารณา รับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามข้อเสนอของประเทศกัมพูชา ออกไปอีก 1 วัน โดยจะพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งในวาระแรกของการประชุมเช้าวันที่ 29 กรกฏาคม เวลาประมาณ 10.00 น. (เวลาท้องถิ่นบราซิล) ซึ่งตรงกับ เวลา 22.00 น. (เวลาในประเทศไทย) ของคืนวันที่ 29 กรกฏาคมนี้
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้สัมภาษณ์ทางรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางทีวีช่อง 3 ว่า เป็นการพูดคุยเรื่องนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรก ระหว่างไทย-กัมพูชา และมีแนวทางใดที่จะหาข้อยุติได้หรือไม่ เพื่อให้ไทยสนับสนุนแผนการจัดการของเขมรไปก่อน โดยเขมรยืนยันว่าจะเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป ซึ่งเราก็ต้องยืนยันแนวทางเดิมของเราต่อไป ตามที่ครม.ของไทยมีมติออกมา
"อภิสิทธิ์"ชูรักษาอธิปไตย-เลิกเป็นภาคี
ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ถึงท่าทีของรัฐบาลไทย ต่อดำเนินการของคณะกรรมการมรดกโลก องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ในการพิจารณารับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามข้อเสนอของ ประเทศกัมพูชา ว่า ระหว่างประชุม ครม.นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โทรศัพท์รายงานให้ทราบว่ากัมพูชาส่งเอกสารและฝ่ายเลขานุการที่ประชุมนำส่ง ร่างข้อมติที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศบราซิลแล้ว ในรายละเอียดโดยสรุปของร่างข้อมติและเอกสาร ยังมีอยู่หลายจุดที่ทำให้เรายอมรับไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแนบสิ่งที่ เรียกว่าแผนผังหรือแผนที่เข้ามาสู่การพิจารณา โดยรายงานของกัมพูชาจะยอมรับว่าการจะส่งแผนที่ที่เป็นข้อยุติเกี่ยวกับการ บริหารจัดการแผนทั้งหมด ไม่สามารถกระทำได้เพราะต้องรอการจัดทำหลักเขตแดนตามแนวทางที่กำหนดไว้ตาม บันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อปี 2543 ที่มีคณะกรรมาธิการร่วมชายแดน (เจบีซี) ไทย-กัมพูชาดำเนินการอยู่
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า โดยรวมยังยืนยันในจุดยืนเดิม วันนี้ ครม.ย้ำด้วยการมีมติให้นายสุวิทย์ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เดินหน้าคัดค้านการนำเรื่องนี้เข้าสู่วาระการพิจารณา แต่ถ้านำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาเราจะต้องดำเนินการแถลงคัดค้านอย่างชัด แจ้ง ถึงสิ่งที่ไทยไม่สามารถยอมรับได้ ในส่วนของการดำเนินการของคณะกรรมการมรดกโลก ถ้าไม่ฟังเสียงของไทยแล้วมีความพยายามที่จะลงมติโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของ ไทย ก็คงไม่เข้าร่วมในการลงมติดังกล่าว และถ้ายังลงมติไปในลักษณะที่ทำให้มีการดำเนินการสืบเนื่องมาแล้วมากระทบ สิทธิของประเทศไทย จะไม่ยอมรับและไม่สามารถให้ความร่วมมือได้ เพราะจำเป็นต้องแสดงออกถึงการปกป้องอธิปไตยของไทย
"ที่เราไม่ร่วมมือแล้วมีปัญหา จะพิจารณาทบทวนการเป็นภาคีของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งมติทั้งหมดมอบหมายให้นายกษิต ภิรมย์ รับมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการแจ้งต่อประธานคณะกรรมการมรดกโลกทราบ ก่อนการประชุมที่จะประชุมวันที่ 29 กรกฎาคม" นายอภิสิทธิ์กล่าว
"สุวิทย์"เสนอถอนประชุมมรดกโลก
รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม.แจ้งว่า ที่ประชุมใช้ประมาณ 1 ชั่วโมงในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกรณีที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก เตรียมพิจารณารับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามข้อเสนอของ ประเทศกัมพูชา ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ ยกเรื่องดังกล่าวขึ้นหารือในที่ประชุม ครม. เป็นวาระสุดท้าย โดยระบุว่า ได้รับรายงานจากนายสุวิทย์ ช่วงค่ำวันที่ 27 กรกฎาคม ว่ากำลังเจรจากับประเทศสมาชิกทั้ง 21 ประเทศให้เลื่อนการพิจารณาวาระออกไป เนื่องจากกัมพูชา เพิ่งแจกจ่ายเอกสาร พร้อมแนบแผนที่ที่เรียก ว่า "แผนผัง" ให้สมาชิกในช่วงค่ำวันที่ 26 กรกฎาคม (ตามเวลาท้องถิ่น) ก่อนพิจารณาวาระนี้ในเวลา 16.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) อย่างไรก็ตาม นายสุวิทย์อยากหารือกับ ครม. ว่าหากคณะกรรมการมรดกโลกหยิบยกเรื่องแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระ วิหารขึ้นมาหารือ จะให้ผู้แทนไทยดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งโดยส่วนตัวของนายสุวิทย์เสนอให้ไทยถอนตัวจากการเข้าร่วมประชุม
"กษิต"ซัด"ยูเนสโก"ลำเอียง
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เปิดโอกาสให้ ครม. แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการกำหนดท่าทีของไทยหลังจากนี้ โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เสนอว่า เท่าที่ติดตามข้อมูลรู้สึกว่าสาระหลักเป้าหมายแท้จริงของกัมพูชาไม่ได้อยู่ ที่การมีมรดกโลก แต่มีเจตนาซ่อนเร้นต้องการเอาผืนแผ่นดินไทยที่มีข้อพิพาทกันอยู่มากกว่า ต้องแยกให้ออกระหว่างเรื่องมรดกโลกกับพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งยูเนสโกจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของไทยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูท่าทีของยูเนสโกไม่ค่อยจะตอบสนองและยืนอยู่ข้างไทยมากนัก แต่เราจำเป็นต้องย้ำจุดยืนเรื่องการรักษาดินแดนและอธิปไตยของประเทศเป็น สำคัญ
ขณะที่นายกษิตอภิปรายสนับสนุนว่า ยูเนสโกไม่ค่อยให้ความเป็นธรรมกับไทยเท่าไร ที่ผ่านมาจะเห็นว่ากระบวนการต่างๆ เป็นไปอย่างไม่โปร่งใส และก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศมากกว่าเสริมสร้างสันติภาพ ซึ่งปกติเวลายูเนสโกจะประกาศให้โบราณสถานไหนเป็นมรดกโลกจะไม่ทำในพื้นที่ที่ ยังมีข้อพิพาทกันอยู่ เรามีข้อมูลที่เชื่อได้ว่าก่อนหน้านี้ทางกัมพูชาพยายามล็อบบี้หลายประเทศให้ ร่วมสนับสนุน อาทิ ฝรั่งเศส สหรัฐ ซึ่งประเทศเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากการเข้าไปร่วมพัฒนาพื้นที่รอบปราสาทพระ วิหาร
รมต.ยุให้วอล์กเอ๊าต์ประท้วง
ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อธิบายถึงขั้นตอนในการลงมติของที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกซึ่งมีสมาชิกอยู่ 21 ประเทศ ซึ่งแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ รับการรับรองด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3 หรือมากกว่า 14 เสียง หากบรรจุวาระนี้เข้าที่ประชุมจริง คณะผู้แทนไทยที่ไปร่วมประชุมเสนอให้ไทยขยับสถานะออกมาเป็นเพียงผู้สังเกต การณ์ โดยไม่ต้องร่วมลงมติ ไม่เช่นนั้นอาจถูกกัมพูชาหยิบยกไปกล่าวอ้างได้ในอนาคตว่าไทยยอมรับมติด้วย แต่รัฐมนตรีอีกคนเสนอให้วอล์กเอ๊าต์ทันทีที่มีการโหวตเพื่อแสดงการประท้วง ขณะที่รัฐมนตรีอีกรายเสนอให้ถอนตัวจากการเป็นภาคีคณะกรรมการมรดกโลกเลย ทำให้นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี กล่าวขึ้นมาว่า ขณะนี้หนทางเหลือเพียง 2 อย่างคือ อยู่ร่วมโหวต หรือออกมาสู้เย้วๆ อยู่ข้างนอก ขอให้ ครม.ช่วยกันคิดและตัดสินใจให้ดี แต่การสู้อยู่ข้างนอกจะเสียเปรียบและสุดท้ายอาจไม่สามารถสู้ได้เลย
"มาร์ค"ขอมติครม.ค้าน3ข้อ
แหล่งข่าวกล่าวว่า ภายหลัง ครม. อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง นายอภิสิทธิ์กล่าวสรุปและขอมติ ครม. 3 ข้อคือ 1.ไทยยืนยันคัดค้านและไม่ร่วมมือกับแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระ วิหารตามที่กัมพูชาเสนอ และถ้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกให้เป็น ดุลพินิจของคณะนายสุวิทย์ ตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดระหว่างการงดลงมติ หรือการวอล์กเอ๊าต์ 2.ไทยจะพิจารณาทบทวนการเป็นภาคียูเนสโกในลำดับต่อไป และ 3.มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทำหนังสือแจ้งมติ ครม. อย่างเป็นทางการส่งไปที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ประเทศบราซิลภายในวันนี้ (วันที่ 28 กรกฎาคม) ก่อนการประชุมจะเริ่มต้นขึ้น
"ทั้งนี้หากคณะกรรมการมรดกโลกมีมติรับแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร ฉบับกัมพูชา ไทยพร้อมกำหนดมาตรการแสดงสิทธิและรักษาสิทธิต่อไป ทำให้นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที กล่าวเสริมว่า หลังจากนี้ถ้าทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามา เราต้องรักษาอธิปไตย ถ้าสุดท้ายมีความจำเป็นต้องยิงก็ต้องยิง"
"ปณิธาน"เผย"สุวิทย์"รับเสียเปรียบ
ด้าน นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุม ครม.ว่า นายสุวิทย์โทรศัพท์มาคุยกับตนในเวลา 02.00 น. วันที่ 28 กรกฎาคม โดยแสดงความกังวลว่าหลายประเทศที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก ยืนยันจะเดินหน้ารับแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามที่กัมพูชา เสนอ เพราะมองว่าเมื่อศาลโลกมีมติรับรองการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวไปแล้ว ทางกัมพูชามีสิทธิเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ได้ ซึ่งประเทศที่ให้การสนับสนุนกัมพูชาส่วนใหญ่เป็นประเทศมหาอำนาจ เนื่องจากในอดีตเคยเป็นประเทศที่ก่อสงครามไว้มาก จึงอยากเข้าไปมีบทบาทเรื่องการพัฒนาและฟื้นฟู ส่วนประเทศที่สนับสนุนฝ่ายไทยมี แต่น้อย
"ขณะนี้ถือว่าเสียงของไทยอาจไม่ได้เปรียบนัก แต่ยังไม่สามารถสรุปคะแนนเสียง หรือคาดการณ์ผลโหวตของประเทศสมาชิกทั้ง 21 ประเทศได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ามติ ครม.ที่ออกมาจะมีน้ำหนักเพียงพอในการโน้มน้าวประเทศสมาชิกได้ แต่อยากให้คุณสุวิทย์พูดให้ชัดเจนว่าถ้าคณะกรรมการมรดกโลกยอมรับแผนบริหาร จัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชา จะสุ่มเสี่ยงต่อการมีคนตาย มีการเผชิญหน้าของประชาชน 2 ประเทศ และเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ นี่คือประเด็นหลักที่เราจะใช้ต่อสู้ เราสงสัยว่าคณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาประเด็นนี้บ้างหรือไม่" นายปณิธานกล่าว
เผยที่มามติ"ครม."ประท้วงยูเนสโก
"หากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกมีมติรับแผนบริหารจัดการพื้นที่ของ กัมพูชาจริง จะไม่มีผลทางกฎหมายและไม่กระทบต่ออธิปไตยของไทย เนื่องจากตามสนธิสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลียระบุว่า องค์กรระหว่างประเทศไม่สามารถตัดสินเรื่องอธิปไตยและดินแดนให้ประเทศใดได้ ยกเว้นรัฐชาติ หรือรัฐอธิปไตยเท่านั้นที่จะตัดสินเรื่องดินแดนได้ แต่เพื่อความไม่ประมาท รัฐบาลจำเป็นต้องปิดทุกช่องทางที่อาจถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างในอนาคต จึงเป็นที่มาของมติ ครม.เรื่องการประท้วงยูเนสโก ไม่เช่นนั้นอาจมีการกล่าวอ้างว่าไทยเห็นด้วยและรับรองมติดังกล่าว หากในอนาคตมีการส่งเรื่องไปสู้กันถึงศาลโลก ก็อาจสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้ไทยเสียดินแดนในพื้นที่ทับซ้อน" นายปณิธานกล่าว
นายปณิธานกล่าวว่า จำเป็นต้องกำหนดมาตรการในการแสดงออกอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งนอกจากประท้วงแล้ว เราจำเป็นต้องมีมาตรการแสดงสิทธิและรักษาสิทธิในพื้นที่ข้อพิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรตามขั้นตอน โดยเริ่มจากการประท้วงทั้งด้วยวิธีส่งหนังสือ และเรียกทูตมาชี้แจง การปฏิบัติต่อเครื่องหมาย อาทิ ปักธง คงกำลังทหารเอาไว้ในพื้นที่ แต่ยืนยันว่าจะไม่ใช้มาตรการรุนแรง แข็งกร้าว หรือข่มขู่ มิเช่นนั้นจะสุ่มเสี่ยงต่อการให้ประเทศเล็กนำไปร้องเรียนต่อนานาชาติได้ และทำให้ประเทศอื่นเข้ามาจัดการปัญหาแทนที่จะเป็นเรื่องระหว่าง 2 ประเทศ แต่ขณะเดียวกันไทยต้องมีมาตรการชัดเจนในการปกป้องและรักษาดินแดนไทย
"สุขุมพันธุ์"หนุนรบ.ถอนตัว
ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณีที่ไทยจะถอนตัวจากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศบราซิล ว่า ในฐานะที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เคยมีส่วนร่วมในการหารือเพื่อหาข้อยุติ ขอสนับสนุนการดำเนินการของไทย และยืนยันว่าที่ไทยไม่เข้าร่วมเป็นการทำที่ถูกต้อง ตราบใดที่ยังไม่มีการตกลงปัญหาพื้นที่ทับซ้อน ที่กินพื้นที่เข้ามาในไทย 4.6 ตารางกิโลเมตร ดังนั้น ไทยไม่จำเป็นต้องร่วมมือ เพราะหากร่วมมือไปแล้วจะมีผู้มาอ้างว่าไทยยอมรับ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าปัญหายังมีทางแก้ คือ ควรขึ้นทะเบียนร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องไม่กระทบกระเทือนในสิทธิของแต่ละฝ่ายในการปักปันเขตแดน ต่อกัน จากนั้น ทั้งสองฝ่ายควรร่วมมือกันในการหาข้อยุติเรื่องการปักปันเขตแดนต่อไป
"อดุล"หนุนรบ.ทบทวนเป็นภาคี
ด้าน นายอดุล วิเชียรเจริญ ที่ปรึกษาคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกของไทยและอดีตคณะกรรมการมรดกโลก 21 ประเทศ กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์เตรียมพิจารณาทบทวนการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกต่อ ยูเนสโก หากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกไม่เลื่อนวาระพิจารณาแผนบริหารจัดการบริเวณ ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาว่า สมควรอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยต้องแสดงท่าทีดังกล่าว แต่ต้องชี้แจงเหตุผลในการประกาศท่าทีเพื่อแสดงจุดยืนให้ประชาคมโลกได้รับรู้ ว่าแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาส่งผลกระทบต่อความเป็น อธิปไตยของไทยอย่างไรบ้าง
นายอดุลกล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ขณะนี้อาจไปถึงขั้นที่รัฐบาลไทยจำเป็นต้อง ประกาศยกเลิกการร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลก เนื่องจากยูเนสโกมีทีท่าเอื้อประโยชน์ต่อทางการกัมพูชามาโดยตลอด อาทิ กรณีการเปิดเผยเอกสารรายละเอียดแผนบริหารจัดการของกัมพูชาล่าช้า ทั้งที่มีผลทำให้ไทยเสียเปรียบ ทั้งนี้ การที่ไทยยึดถือความเป็นอธิปไตยเป็นสิ่งที่ดี เพราะการจะเอาดินแดนของไทยไปเข้าแผนบริหารจัดการของกัมพูชาเป็นเรื่องใหญ่ ที่เรายอมไม่ได้ และหากยูเนสโกยังมีท่าทีเกื้อกูลกัมพูชาต่อไป รัฐบาลไทยต้องปฏิเสธการเข้าร่วมคณะกรรมการร่วม 7 ประเทศที่ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนด้วย
"หากไทยจะยกเลิกการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลก หรือยกเลิกการเป็นสมาชิกกับยูเนสโกจริง จะเกิดผลดีในกรณีที่ไทยจะไม่ต้องยึดหลักการหรือข้อกำหนดต่างๆ อันจะทำให้กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ ส่วนผลเสียที่ส่งผลกระทบต่อแหล่งมรดกโลกของไทย คงไม่มีเพราะไม่พบข้อกำหนดที่จะให้เพิกถอนการเป็นแหล่งมรดกโลก กรณีที่ประเทศนั้นๆ ลาออกจากการเป็นภาคีอนุสัญญาฯ อย่างไรก็ตาม หากจะมาถอดถอนกันเพราะเหตุทางการเมืองก็ไม่เป็นไร เนื่องจากแหล่งมรดกโลกของเราได้ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามขั้นตอน" นายอดุลกล่าว
"กษิต-ประวิตร"ทำแผนดูแลอธิปไตย
ด้าน นายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือกับนายอภิสิทธิ์ เกี่ยวกับปัญหาประสาทพระวิหาร ว่า นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ สมช.ไปพิจารณามาตรการต่างๆ ที่จะแสดงสิทธิเหนือพื้นที่อ้างสิทธิ จนถึงขณะนี้ไทยก็ยังอ้างสิทธิในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ หากทางกัมพูชาเสนอเข้ามาในพื้นที่เราจะคัดค้าน ซึ่งมีหลายวิธี หากการคัดค้านไม่เป็นผลจะมีมาตรการทางอื่น แต่แน่นอนว่าคงไม่ไปสู่การสู้รบเพราะเอ็มโอยูปี 2543 ยังเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างน้อยที่สุด แสดงว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นมีปัญหา ทั้งสองฝ่ายจึงมีข้อตกลงกันเอาไว้ ส่วนทางการทูตนั้นยังไม่มีการเจรจา เพราะยังอยู่ในภาวะที่เผชิญหน้ากันอยู่
ต่อมาเวลา 15.30 น. นายถวิลแถลงผลประชุมฝ่ายความมั่นคง ที่นายอภิสิทธิ์ เป็นประธานประชุม ว่า ที่ประชุมหารือการเตรียมพร้อมในการเตรียมแสดงสิทธิอธิปไตยเหนือดินแดนที่ไทย อ้างกรรมสิทธิ์ไว้ หลังมีข้อพิพาท กรณีปราสาทพระวิหารกับทางการกัมพูชา โดยมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายกษิต รับไปพิจารณาและเสนอมาตรการให้นายกรัฐมนตรี รับทราบอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะส่งกำลังทหารลงพื้นที่บริเวณแนวชายแดนเพิ่มเติมหรือไม่ นายถวิลกล่าวว่า ขณะนี้ก็มีกำลังทหารอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันมีชาวกัมพูชาเข้ามาตั้งรกรากในบริเวณพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งในแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารฉบับกัมพูชามีการระบุว่า จะเร่งอพยพคนเหล่านี้ออกไป อย่างไรก็ตามในส่วนของไทยยังไม่มีการหารือเรื่องการผลักดันคนกลุ่มนี้ออกจาก พื้นที่
มทภ.2ยันชายแดนยังปกติ
ด้าน พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภาพรวมยังอยู่ในภาวะปกติ ไม่พบว่ามีการคลื่อนไหวใดๆ ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ขอยืนยันทหารทั้ง 2 ฝ่ายยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ส่วนปัญหาข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดนนั้นเป็นเรื่องของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย ที่จะเจรจาตกลงกัน ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ดูแลรักษาอธิปไตยของประเทศเท่านั้น และยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถและจะไม่ยอมให้มีการสูญ เสียดินแดนของประเทศอย่างเด็ดขาด
"ส่วนสถานการณ์การค้าขายตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะนี้ทุกอย่างก็ยังเป็นไปตามปกติ ช่องทางสำคัญที่เป็นจุดผ่านแดนถาวร หรือจุดผ่อนปรนที่มีอยู่ยังคงมีการไปมาหาสู่ค้าขายกันระหว่างประชาชนทั้ง 2 ประเทศตามปกติ" พล.ท.วีร์วลิตกล่าว
ทหารคุมเข้มขึ้น"ผามออีแดง"
สำหรับความเคลื่อนไหวของประชาชนในต่างจังหวัดปรากฏว่ามีหลายกลุ่มออก มาเคลื่อนไหว อาทิ กลุ่มประชาชนรักประชาธิปไตยพะเยา เข้ายื่นหนังสือต่อนายเชิดศักดิ์ ชูศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เสนอต่อไปยังนายอภิสิทธิ์ เพื่อแสดงพลังต่อต้านการประกาศพื้นที่ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ขณะที่กลุ่มประชาชนชาวกาญจนบุรีผู้รักชาติ กว่า 30 คน นำโดย นายวีระพันธ์ มาลัยพันธุ์ ยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ ผ่าน นายเริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ด้านบรรยากาศที่บริเวณด่านเก็บค่าธรรมเนียมอุทยานแห่งชาติเขาพระ วิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทหารไทยตั้งด่านตรวจเข้มถึง 2 ด่าน ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องขึ้นไปที่บริเวณผามออีแดง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อย่างเด็ดขาด เนื่องจากเกรงว่าอาจจะไม่ปลอดภัย แต่ทหารไทยและกัมพูชายังไม่มีความเคลื่อนไหวด้านการเสริมกำลังทหารบริเวณรอบ เขาพระวิหารแต่อย่างใด
ผอ.ยูเนสโกย้ำจุดยืนสร้างสันติ
ด้าน นางไอรินา โบโกวา ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก ให้สัมภาษณ์ที่กรุงปารีส เกี่ยวกับปัญหาเขาพระวิหาร หลังมีการประท้วงที่หน้าสำนักงานองค์การยูเนสโก กรุงเทพฯ ว่าได้เรียกร้องให้หารือในการคุ้มครองปราสาทพระวิหาร และเน้นย้ำถึงบทบาทของอนุสัญญามรดกโลกปี 2515 ในฐานะสื่อกลางเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ
นางไอรินา โบโกวา เน้นย้ำถึงความห่วงไยแรกที่คณะกรรมการมรดกโลกมีคือการคุ้มครองและส่งเสริม มรดกโลกของมวลมนุษยชาติ ด้วยความเคารพและปราศจากอคติ ที่มีต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศสมาชิก หรือต่อการอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของอาณาเขต
"การคุ้มครองและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติของพวกเรา หมายความถึงการสร้างสันติภาพ ความเคารพ และความสามัคคี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของภารกิจขององค์การยูเนสโก นี่คือความรับผิดชอบหลักที่เข้าใจตรงกัน คือการให้มรดกโลกเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ การร่วมหารือ และความปรองดองซึ่งกันและกัน" นางโบโกวากล่าว
"ฮอนัมฮง"รู้"ไทย"ค้านแผนบริหาร
วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ รายงานโดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของนายฮอ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ระบุว่า ข้อโต้แย้งที่ผู้ชุมนุมชาวไทย บริเวณหน้าสำนักงานยูเนสโก ในกรุงเทพฯเพื่อคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารว่า เป็นข้อโต้แย้งที่เก่าไปแล้ว โดยนายฮอ นัมฮง กล่าวว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกนั้น ยูเนสโกดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าฝ่ายไทยจะทำอะไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ได้
ทั้งนี้ พนมเปญโพสต์รายงานว่า วัตถุ ประสงค์ของกลุ่มผู้ชุมนุมในไทย เป็นการเรียกร้องให้ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกชะลอแผนบริหารจัดการพื้นที่ ต่อเนื่องซึ่งนำเสนอโดยกัมพูชาออกไป จนกว่าความขัดแย้งเรื่องการอ้างสิทธิของพื้นที่โดยรอบจะมีข้อยุติ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการขึ้นทะเบียนตัวปราสาทที่รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ระบุถึง โดยพนมเปญโพสต์ระบุว่า รัฐบาลไทยแสดงท่าทีคัดค้านแผนบริหารจัดการดังกล่าว ซึ่งนายฮอ นัมฮง ยอมรับว่า ได้รับทราบถึงการคัดค้านของทางฝ่ายไทยในที่ประชุมที่บราซิลแล้ว แต่ไม่ได้เปิดเผยอะไรเพิ่มเติมแต่อย่างใด
อัดพวกหัวรุนแรงไทยเลิกก่อกวน
ขณะเดียวกัน พนมเปญโพสต์ระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพกัมพูชาเปิดเผยว่า นักการทูตตัวแทนของประเทศต่างๆ มากกว่า 20 ประเทศ อาทิ อังกฤษ,ออสเตรเลีย, คิวบา,ฟิลิปปินส์,พม่า,ลาว และเวียดนาม เดินทางเยือนพื้นที่พระวิหารเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อสังเกตสถานการณ์ ตามแนวชายแดน ทั้งนี้ พล.ท.เจีย ดารา รองผู้บัญชาการทหารประจำภาคพื้นพระวิหาร กล่าวกับพนมเปญโพสต์ว่า ได้แจ้งให้บรรดานักการทูตเหล่านั้นรับทราบว่า ไทยไม่สามารถอาศัย "พระหรือชาวบ้าน" บุกรุกพื้นที่เขาพระวิหารได้อีกต่อไป
"พวกหัวรุนแรงในไทยควรเลิกก่อกวนกัมพูชาได้แล้ว เพราะเราไม่ยินดีต้อนรับพวกเขา เราจะต้อนรับพวกเขาด้วยปืน" รองผู้บัญชาการกองทัพพื้นที่พระวิหารกล่าว
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #215 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2553, 10:02:57 » |
|
กระชากหน้ากาก “คนแก่โรคจิต” ผู้อยู่เบื้องหลังระเบิดบิ๊กซีราชดำริ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 กรกฎาคม 2553 00:51 น. เสียงระเบิดดังสนั่นห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ราชดำริ คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปอีก 1 ชีวิต พร้อม ๆ กับเป็นการส่งสัญญาณคุกคามสังคมไทยครั้งใหม่ว่า ทิศทางของกลุ่มก่อการร้ายทำลายบ้านเมืองกำลังเบนเข็มพุ่งเป้าไปที่ประชาชนคนบริสุทธิ์มากขึ้น แทนที่จะเป็นการก่อเหตุกับสถานที่ในเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเหมือนที่ผ่านมา เพราะความย่อยยับของสถานที่ยังมิอาจสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลมากพอ ไม่เหมือนกับการเอาชีวิตเลือดเนื้อผู้บริสุทธิ์มาเซ่นสังเวยความอำมหิตผิดมนุษย์ของกลุ่มคนที่ไม่เคยสำนึกถึงบาปบุญคุณโทษ ร่องรอยของการก่อเหตุร้ายที่ทิ้งเอาไว้มีหลายอย่างที่น่าค้นหา เนื่องจากมีความชัดเจนว่าฝีมือคนประกอบระเบิดสังหารนี้อยู่ในขั้นปีศาจเรียกพี่ และต้องเป็นผู้มีความชำนาญการด้านวัตถุระเบิดในระดับครูฝึกจึงจะสามารถประกอบระเบิดเอ็ม 67 โดยมีการถอดกระเดื่องออกใส่ฝักแค ต่อวงจรเข้ากับนาฬิกา ก่อนจะนำไปวางกระชากวิญญาณผู้คนในที่สาธารณะ ที่สำคัญคือลักษณะการประกอบระเบิดล่าสังหารเช่นนี้ มิใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เคยพบก่อนหน้านี้มาแล้วถึงสองครั้งสองครา คือ เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ในท้องที่ของตำรวจนครบาลโคกคราม และพบอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 3 เมษายน ในท้องที่ตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ทั้งสองแห่ง โชคดีที่มีการเก็บกู้ได้ทัน จึงไม่มีความสูญเสียเกิดขึ้น เมื่ออาชญากรทิ้งหลักฐานสำคัญให้ตามต่อ ชุดสืบสวนจึงแกะรอยจากระเบิดเอ็ม 67 เป็นปฐมบท เพราะเป็นอาวุธที่ถูกนำมาใช้บ่อยครั้งในการก่อวินาศกรรมช่วงการชุมนุมของก่อการร้ายแดงที่ผ่านมา ถ้ายังจำกันได้วันที่ 4 มีนาคม 2553 เกิดเหตุปล้นคลังแสงจากกองพันทหารช่าง 401 ค่ายอภัยบริรักษ์ สังกัดกองทัพภาคที่ 4 จังหวัดพัทลุง ถูกคนร้ายบุกเข้าไปขโมยอาวุธสงคราม และเครื่องกระสุน ทั้งระเบิดสังหารบุคคลชนิดเอ็ม 26 และเอ็ม 67 จำนวน 20 ลูก กระสุนปืนชนิดเอ็ม 16 และเอชเค 2,000 นัด กระสุนชนิด 11 มม. 1,000 นัด เป็นการปล้นคลังแสงก่อนเกิดการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดง ในวันที่ 14 มีนาคม เพียง 10 วัน แม้ว่ากองทัพจะออกมาชี้แจงในภายหลังว่าได้ติดตามอาวุธที่หายออกจากคลังแสงกลับมาได้ทั้งหมด แต่วงในกลับยืนยันว่า มีอาวุธจำนวนไม่น้อยจากคลังแสงดังกล่าวที่ถูกทยอยนำออกจากพื้นที่โดยคนในค่าย และยังไม่สามารถจับมือใครดมได้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนจะเป็นอาวุธที่นำมาก่อเหตุด้วยหรือไม่ เป็นเรื่องที่ชุดสืบสวนต้องเร่งขยายผล เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ค่ายอภัยบริรักษ์ เคยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของบุตรชายอดีตนายทหารสายเหยี่ยวคนหนึ่งที่นอกจากจะมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แล้ว ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงทางการเมืองมาแล้วหลายเหตุการณ์ แถมยังเคยประกาศก่อตั้งกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามบัญชาของ ทักษิณ ชินวัตร แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากถูกสังคมคว่ำบาตร หลังลมหายใจของ “เสธ.แดง” ขาดสะบั้นลง “ทหารแก่นักล่าสังหาร” ที่ถอยฉากไปอยู่เบื้องหลัง ก็ถูกร้องขอให้ออกมานำทัพ เพราะขาดหัวหน้าทีมปฏิบัติการโฉด จึงไม่น่าแปลกใจที่ระเบิดครั้งหลังสุดหน้าห้างบิ๊กซี จึงพุ่งเป้าไปที่การสังหารชีวิตมนุษย์ผู้บริสุทธิ์แทนการระเบิดสถานที่ เนื่องจากความเหี้ยมของคนสั่งการมีดีกรีอยู่ในระดับที่ผ่านสนามรบมาแล้วหลายครั้ง เป็นหัวหน้าทีมล่าสังหารมาแล้วก็หลายคราว ความอำมหิตจึงไม่ต้องพูดถึง สถานการณ์ของชาติในวันนี้ต้องเรียกว่าเปราะบางและสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดเหตุร้ายได้ทุกเวลา โดยการก่อวินาศกรรมที่หวังผลต่อชีวิตเป็นสิ่งที่ฝ่ายข่าวต้องติดตามอย่างใกล้ชิด การลอบสังหารผู้นำเพื่อทำลายการเมืองทั้งระบบ เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ขณะที่ ศอฉ.ต้องปรับกลยุทธในการดูแลรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงของชาติอย่างเข้มแข็ง ใช้เครื่องมือทางกฎหมายที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ล่าตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษให้ได้ อย่าเอาแต่ก่นด่าเหมือนที่ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. ระเบิดอารมณ์ว่า คนโรคจิต คิดประทุษร้ายต่อประเทศชาติยังมีอยู่ เมื่อไหร่ที่พวกนี้กลับตัวกลับใจ ถึงจะเลิก บางคนแก่แล้วยังคิดอยู่ แย่มาก คำพูดที่แสดงให้เห็นว่าพอรู้ถึงเบาะแสว่า ใครเป็นผู้บงการต้องสาวไปให้ถึงต้นตอ เพราะจะรอให้พระมาโปรด จนคนชั่วกลับใจเลิกทำร้ายชาติ คงยาก ถ้าไม่เชื่อก็ลองถาม "พล.อ.พัลลภ" ดู จะได้คำตอบว่า คนแก่มีฤทธิ์มากแค่ไหน
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #216 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2553, 22:59:47 » |
|
ย้อนรอย 'iรอยด่าง' ยูเนสโก สมาชิก 'ถอนตัว' 30 กรกฎาคม 2553 เวลา 05:33 น.posttoday
จากการศึกษาประวัติความเป็นมานับตั้งแต่การก่อตั้งขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมื่อปี ค.ศ. 1946 พบว่าเหตุการณ์ที่ประเทศสมาชิกของยูเนสโกขอถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งมักจะมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจต่อท่าทีและการดำเนินนโยบายของยูเนสโกที่กระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ
ในกรณีของประเทศแอฟริกาใต้ได้ประกาศถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1956 เนื่องจากไม่พอใจบทบาทของยูเนสโกที่เข้ามาก้าวก่ายปัญหาเรื่องปัญหาการเหยียดสีผิวภายในประเทศ โดยการตีพิมพ์และแจกจ่ายเอกสารซึ่งให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องสีผิวให้กับประชาชนในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวที่สุดในแอฟริกาใต้ขณะนั้น
เอกสารดังกล่าวของยูเนสโกได้รวบรวมเอาความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องสีผิว อคติเกี่ยวกับสีผิว รวมทั้งอธิบายความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสีผิวและยีน อาทิ ความเข้าใจที่ว่าคนผิวขาวเหนือกว่าคนผิวดำ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แอฟริกาใต้ได้กลับเข้าเป็นสมาชิกยูเนสโกอีกครั้งเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ปี ค.ศ. 1994
ในกรณีของสหรัฐก็เคยถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกยูเนสโกเช่นเดียวกันเมื่อปี ค.ศ. 1984 และอังกฤษกับสิงคโปร์ที่ได้ประกาศถอนตัวเมื่อปี ค.ศ. 1985 เนื่องมาจากทั้งสามประเทศไม่พอใจบทบาทของยูเนสโกที่ผลักดันระเบียบข่าวสารและการสื่อสารโลกใหม่ (NWICO) อันเป็นข้อเสนอของกลุ่มประเทศในโลกที่สามที่ต้องการให้มีแนวปฏิบัติระหว่างประเทศว่าด้วยการรวบรวมและกระจายข่าว
ข้อเสนอดังกล่าวเกิดขึ้นจากความเชื่อของบรรดาประเทศโลกที่สามที่ว่า ข่าวสารต่างๆ ในระดับระหว่างประเทศมักจะถูกควบคุมโดยสำนักข่าวจากประเทศตะวันตก ซึ่งให้ข่าวเกี่ยวกับประเทศโลกที่สามอย่างไม่ครบถ้วน ไม่รอบด้าน มีทัศนคติในแง่ลบ และเบี่ยงเบนไปจากความจริง
ในช่วงเวลานั้นยูเนสโกซึ่งมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นประเทศในโลกที่สาม มีบทบาทอย่างมากในการผลักดันระเบียบข่าวสารและการสื่อสารโลกใหม่ โดยประกาศเป็นหลักการ 12 ข้อ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติสำหรับชาติสมาชิกต่างๆ
สาระสำคัญของหลักการ 12 ประการดังกล่าว กำหนดให้รัฐบาลออกมาตรการเพื่อควบคุมสื่อมวลชนให้มากขึ้น อาทิ การกำหนดให้มีใบอนุญาตสำหรับนักหนังสือพิมพ์ ฝ่ายประเทศตะวันตกซึ่งมีแนวคิดให้เสรีภาพกับสื่อมวลชน และสนับสนุนการนำเสนอข่าวสารโดยปราศจากการควบคุม ก็ได้ขัดขวางหลักการตามระเบียบใหม่นี้อย่างหัวชนฝา
จากจุดยืนของสหรัฐที่คัดค้านหลักการของระเบียบข่าวสารและการสื่อสารใหม่ รวมทั้งความไม่พอใจที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นลัทธิอาณานิคมใหม่ และการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของยูเนสโก ทั้งหมดเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สหรัฐประกาศถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกยูเนสโกในปี ค.ศ. 1984 ซึ่งอังกฤษและสิงคโปร์ก็ประกาศถอนตัวตามมาในปี ค.ศ. 1985
กระนั้น อังกฤษได้กลับเข้าเป็นสมาชิกยูเนสโกอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ. 1997 สหรัฐเมื่อปี ค.ศ. 2003 และสิงคโปร์เมื่อปี ค.ศ. 2007
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #217 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 22:58:42 » |
|
การเมือง วันที่ 2 สิงหาคม 2553 21:00 'สมเถา'ศิลปินดังถูกโพสต์บล็อกขู่เอาชีวิตโดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ "สมเถา สุจริตกุล" นักเขียนชื่อดัง ถูกโพสต์ในบล็อกส่วนตัวขู่ฆ่า หลังโต้"อัมสเตอร์ดัม"ออกสมุดปกขาว ผบช.น.รุดสอบปากคำด้วยตนเอง สั่งแกะรอย
เวลา 13.30 น. วันนี้(2 ส.ค.) นายสมเถา สุจริตกุล อายุ 58 ปี วาทยากร คีตกวี ผู้กำกับภาพยนตร์ และนักเขียนที่มีชื่อเสียงระดับสากลของไทย อยู่บ้านเลขที่ 48 ซ.สุขุมวิท 33/5 แขวงคลองเตย เขตวัฒนา เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว หลังจากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีส่งข้อความข่มขู่เอาชีวิตทางอินเตอร์เน็ท ผ่าน www.somtow.org ซึ่งเป็นเว็บบล็อกส่วนตัวของตน
นายสมเถา เล่าว่าจากกรณีนายโรเบิร์ธ อัมสเตอร์ดัม ทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ออกมา เผยแพร่สมุดปกขาว ความยาว 80 หน้าใช้ชื่อว่า " การสังหารหมู่กรุงเทพ เสียงเรียกร้องความรับผิดชอบ" ซึ่งมีเนื้อหาเรียกร้องกองทัพและรัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ไม่เหมาะสมด้านสิทธิมนุษยชนและการก่ออาชญากรรมต่อมนุษย์ที่ กรุงเทพฯ เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา
นายสมเถา กล่าวว่า ภายหลังจากที่ตนได้อ่านตนจึงเขียนบทความเพื่อตอบโต้ลงในอินเตอร์เน็ทผ่านทางเว็บบล็อกของตนเอง หลังจากนั้นมีคนที่เข้ามาอ่านบทความของตนได้ส่งข้อความแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนราวๆ เที่ยงคืนของวันดังกล่าวก็ได้มีบุคคลลึกลับส่งข้อความเข้ามา ซึ่งมีเนื้อหาข่มขู่คุกคามจำนวน 5 ข้อความติด โดยมีเนื้อหา "พวกเราจะเอาเลือดคุณไปราดที่ราชประสงค์ คนอย่างคุณควรจะเอาไปตัดหัว พวกคุณทั้งโคตรจะไม่มีอีกแล้ว เพราะเราจะทำลายคุณ"
โดยปกติถ้ามีบุคลอื่นเข้ามาอ่านบทความของตน และมีการแสดงความคิดเห็น ก่อนที่ข้อความจะถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ตนต้องเป็นผู้กดอนุญาตเผยแพร่เอง หลังจากเห็นข้อความข่มขู่ดังกล่าวก็รู้สึกตกใจ จึงได้ตัดสินใจปิดการแสดงความคิดเห็น
นักเขียนชื่อดัง กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นได้ทำสำเนาข้อความดังกล่าวส่งไปให้คนที่รู้จักหลายๆ คนอ่าน หนึ่งในนั้นก็มี ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเชียน ซึ่งรู้จักมานาน ภายหลัง ดร.สุรินทร์ได้อ่านข้อความดังกล่าวจึงรู้สึกเป็นห่วงในความปลอดภัย จึงได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ระดับชั้นผู้ใหญ่ในกองบัญชาการตำรวจนครบาล จนกระทั่งวานนี้(1 ส.ค.) พล.ต.ท. สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พร้อมตำรวจอีก 5 นาย ได้เดินทางมาพบตนที่บ้านพัก สอบถามเรื่องราวด้วย ซึ่งก็ได้ให้ข้อมูลทั้งในส่วนข้อความที่ถูกข่มขู่ และหมายเลขไอพี แอดเดรสของคนโพสต์ข้อความข่มขู่
นายสมเถา กล่าวว่า ภายหลังจากที่ให้ข้อมูลกับทางตำรวจแล้ว ทางด้าน ผบช.น. ก็ได้รับปากว่าจะจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาติดตั้งตู้แดง พร้อมกับจะกำชับให้เพิ่มความถี่ถ่วนในการตรวจตราบริเวณบ้านพักของตน นอกจากนี้กรณีที่ตนมีธุระต้องการเดินทางออกจากบ้านหากเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย ทางเจ้าหน้าที่ก็จะจัดตำรวจนอกเครื่องแบบไปดูแลความปลอดภัย ในส่วนของการตามหาตัวบุคคลที่ส่งข้อความมา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้กล่าวกับตนว่าจะนำหมายเลขไอพีที่ได้ไปแกะรอยเพื่อหาต้นทางที่ส่งมาว่าส่งมาจากที่ไหน
นักเขียนคนเดิม กล่าวในตอนท้ายว่า ที่ผ่านมาตนไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์อย่างนี้ โดยปกติการเขียนบทความก็ไม่ได้เข้าข้างใครถึงขนาดนั้น ก่อนหน้านี้ก็เคยเขียนบทความคอมเมนต์ถึง แดน รีฟเวอร์ ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ก็มีผู้คนเข้าที่เข้ามาอ่านได้แสดงความคิดเห็นถึง 400 ข้อความ ซึ่งก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่เคยเจอข้อความไหนที่มาข่มขู่เอาชีวิตถึงขนาดนี้ หลังจากโดนข่มขู่ตนไม่กล้าที่จะออกจากบ้าน ยิ่งเวลากลางคืนไม่กล้าที่จะออกไปไหน พอภายหลังที่เจ้าหน้าที่เข้ามาสอบถาม และรับปากที่จะเข้ามาดูแลความปลอดภัยทำให้ตนสบายใจขึ้น
ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 เปิดเผยว่า ตนยังไม่ได้รับรายงานในเรื่องดังกล่าว แต่โดยปกติพื้นที่ของสน.ทองหล่อ จะมีบ้านบุคคลสำคัญจำนวนหลายคน ปกติได้กำชับให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่คอยดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษอยู่แล้ว ส่วนกรณีหากมีการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ทางตำรวจจะประสานกับกระทรวงไอซีทีช่วยตรวจสอบหาต้นทางของผู้ที่ส่งข้อความมาได้ และคาดว่าทางพล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. คงให้คำแนะนำไปกับผู้เสียหายไปบ้างแล้วหลังจากเข้าไปสอบถามข้อมูล
นายสมเถา ระบุอีกว่า อัมสเตอร์ดัม บอกว่าเป็นทนายของทักษิณ แต่ดูท่าทีแล้วน่าจะทำหน้าที่เป็นล็อบบี้ยิสต์มากกว่า เหมือนกับการทำงานให้นายมิคาอิล คาร์ดาคอฟสกี้ อดีตมหาเศรษฐีรัสเซียที่ติดคุก แต่ก็ใช่ว่าเขาจะทำงานอย่างได้ผล และก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเชื่อว่าเขาจะทำงานได้สำเร็จในกรณีของทักษิณ ถ้าเราไม่ปล่อยให้เขาทำมันให้สำเร็จ และจะเป็นอันตรายมาก หากรัฐบาลไทยจะหลงประเด็น และเสียเวลาไปกับการพยายามตอบโต้นายอัมสเตอร์ดัม
นายสมเถา ยังระบุด้วยว่า นายอัมสเตอร์ดัมเป็นลูกจ้างของทักษิณ และมีหน้าที่ในการฟอกชื่อเสียงของทักษิณ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้กลับมาประเทศไทย โดยยังมีทรัพย์สินอยู่ครบถ้วน และไม่ต้องติดคุก เมื่อเป็นเช่นนี้ สมุดปกขาวจึงไม่ได้หวังเรียกร้องอย่างจริงจังเพื่อให้รัฐบาลออกมารับผิดชอบ หรือวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองของไทยอย่างรอบด้าน แต่เป็นเครื่องมือหนึ่งของนายอัมสเตอร์ดัมในการทำให้เป้าหมายของเจ้านายเป็นจริงเท่านั้น
Tags : สมเถา สุจริตกุล .
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #218 เมื่อ: 05 สิงหาคม 2553, 09:50:57 » |
|
เพลงดาบของสมเถา โดย อัญชะลี ไพรีรัก 4 สิงหาคม 2553 16:49 น.manager online
ขณะที่ครอบครัว “สุจริตกุล” นำโดย ดร.สมปอง-อ.ถ่ายเถา (นักประพันธ์ลือนาม) -ดร.นฎาประไพ (นักวิชาการอิสระ) กำลังออกมาให้ข้อมูลทางวิชาการเพื่อปกป้องดินแดนไทยรอบๆ ปราสาทพระวิหารไม่ให้ตกเป็นของเขมรอย่างอยุติธรรม ให้ปรากฏว่า บุตรชายคนโตของครอบครัวนี้ก็ออกมา “ประดาบ” จนกระบี่ของ “สมเถา สุจริตกุล” ดื่มเลือดศัตรูของแผ่นดินไทยไปเรียบร้อยก่อนเก็บเข้าฝัก กับกรณีสมุดปกขาวของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายโจร-ผีฝรั่งโม่แป้งของทักษิณ ที่ถึงกับร่ำร้องครวญครางใน Blog ของเขาอย่างไม่เหลือแววทนายใหญ่ขวัญใจมาเฟียรัสเซีย หลังถูกสมเถาตอกหน้าหงายด้วยจดหมายตอบโต้สมุดปกขาวในประเด็น “คำโกหกที่ไร้ยางอายของทนายหิวเงิน” การปะทะกันทางคำพูดอย่างมีเหตุและผลระหว่าง “สมเถา สุจริตกุล” ผู้รักชาติและจงรักภักดี กับ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายโจรชาวยิวที่เกิดในแคนาดาผู้รักทักษิณเพราะ “เช็คเงินสด” ถ้าเป็นภาษามวยก็เรียกได้ว่า มวยถูกคู่ คนดูถูกใจ งานนี้มีเฮครับท่าน!!! จดหมายฉบับเดียวของอ.สมเถาส่งผลให้ลูกค้ารายใหญ่หลายรายของนายผีโม่ แป้งคนนี้โบกมือลา จนนายอัมสเตอร์ดัมคร่ำครวญในกล่อง Letter ของเขาว่า “นายสมเถากับอาการกราดเกรี้ยวของเขาทำให้ผมตกใจ อ่านจบแล้วเหมือนคนเมาเหล้าไปเลย” ....วัวสันหลังหวะผู้พินอบพิเทากับทักษิณดุจทาสในเรือนเบี้ย โอดกาเหว่าในกล่องจดหมายที่ Blog ของเขาเองอย่างกะปลกกะเปลี้ยเต็มที งานนี้ อ.สมเถา เปิดศึกอัดกลับนายอัมสเตอร์ดัม ด้วยลีลาศิลปินขั้นมือรางวัลระดับโลก ชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร และไม่มีการยอมกันอีกต่อไป และไม่ยี่หระที่ถูกนายอัมสเตอร์ดัมเหน็บแนมว่า ข้อโต้แย้งเบาหวิวและลีลาลวดลายเต็มไปด้วยจินตนาการราวนวนิยาย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ อ.สมเถาวิพากษ์วิจารณ์ข้อคิดข้อเขียนของบริวารต่างชาติของทักษิณ หากทว่าก่อนหน้านี้ถ้อยคำโต้เถียงในแต่ละประเด็นร้อนๆ มีมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ไม่เป็นที่ปรากฏในสื่อสาธารณะเท่านั้น อ.สมเถาประกาศตัวเสมอๆ ว่า เขาไม่ใช่เสื้อเหลืองแต่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และไม่ยอมให้ใครมาทำลายย่ำยีบีฑาอย่างง่ายๆ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ และทำสม่ำเสมอคือ การแสดงความคิดความเห็นวิจารณ์เหตุบ้านการเมือง-โต้เถียงกับทักษิณ-อัดผีโม่ แป้งผ่านทางสื่อออนไลน์ และ ส่งไปทางสำนักพิมพ์ต่างๆ ไล่หลังบทสัมภาษณ์ที่บิดเบือนใส่ไคล้ ซึ่งสามารถหาอ่านกันได้เต็มๆ จากอีเมล และ Fb ของเขาที่แพร่หลายในหมู่วงศาคณาญาติ และเพื่อนสนิทมิตรสหาย หลังจากสมุดปกขาวเฮงซวยตลบตะแลงของนายอัมสเตอร์ดัมที่เผยแพร่ผ่านทาง เว็บไซต์มาสักระยะหนึ่ง ทำให้ผู้คนที่ผ่านหูผ่านตาเกิดอาการเดือดเลือดพล่านกับคำโกหกหน้าด้านๆ ของฝรั่งคนนี้ จนเป็นเหตุให้คนไทยกลุ่มหนึ่งถึงกับถามไถ่กันและกันว่า “เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว เพื่อจัดการให้คนคนนี้ กับเจ้านายของมัน และบอกกับพวกมันด้วยว่า ความหลอกลวงไม่มีวันชนะความจริงไปได้” นี่คือจุดเริ่มต้นของ อ.สมเถา กับการจรดปากกา “ด่ากลับ” ฝรั่งหิวเงินที่เคยติดคุกติดตารางและโดนไล่ไม่ให้เข้าประเทศรัสเซียมาแล้ว อ.สมเถา สุจริตกุล วัย 58 ปี มีประวัติของครอบครัวที่จัดได้ว่าเป็นชั้น “อำมาตย์” เต็มตัว เขาเป็นศิษย์เก่าอีตัน และจบปริญญาตรี และโทที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เหมือนกับบิดาของเขา ต่อมาประกอบอาชีพนักแต่งนวนิยาย กวี และรังสรรค์บทเพลงคลาสสิกตามรอยเท้ามารดาที่ปลูกฝังให้ลูกทุกคนเป็นนักอ่าน มุ่งการเรียน รื่นรมย์กับศิลปะ อ.สมเถาเรียนจบและอาศัยอยู่ในอังกฤษระยะหนึ่งต่อมาไปใช้ชีวิตที่ สหรัฐฯ เกือบ 10 ปี ก่อนกลับมาเมืองไทยและมุ่งมั่นกับการก่อสร้าง “บางกอกโอเปร่า” ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยจงได้ จะว่าไปแล้วอ.สมเถา เป็นนักแต่งเพลงซึ่งเป็นที่รู้จักในโลกตะวันตกมากกว่าเมืองไทย ทั้งยังเป็นวาทยกรเพลงซิมโฟนี ออเคสตราอันเลื่องชื่อระดับโลก ยังเป็นนักเขียนนวนิยายทั้งไทยและอังกฤษที่ขายดิบขายดีมีรางวัลติดไม้ติดมือ มากมาย ชื่อของ “สมเถา สุจริตกุล” สำหรับวงการศิลปินในต่างแดนแล้ว เขาจัดอยู่ในขั้น “คนสำคัญ” ทีเดียว ลูกศิษย์อ.สมเถาคนหนึ่งซึ่งรักเสมือน “ลูกชาย” นาม PIZZA หรือฉายา ขลุ่ยมรณะ เป็นวาทยกรรุ่นใหม่ที่อ.สมเถาปั้นมากับมือ หนุ่มน้อยคนนี้มีครอบครัวเป็นพันธมิตรการบินไทยและวิธีคิด วิธีอธิบายไม่ต่างอะไรไปจากอาจารย์ของเขาเลย เมื่ออาจารย์สมเถาตอบโต้ทักษิณและบริวารด้วยวิธีการที่เชี่ยวชาญคือ งานเขียน แต่ขลุ่ยมรณะเลือกที่จะใช้วิธี “ตัดต่อ” ภาพและคำพูดต่างกรรมต่างวาระของทักษิณ หรือเฉลิม ส่งผ่านyou tube จนเป็นที่รู้จักกว้างขวางจาก “เหลิมแร็ป” และ “แม้วแร็ป” อ.สมเถา และขลุ่ยมรณะ เพิ่งผ่านพ้นการจัดงานคอนเสิร์ตซิมโฟนีออเคสตราเทิดพระเกียรติฯ ร่วมกัน และประสบความสำเร็จล้นหลามที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย หลังจากนั้นไม่นาน อ.สมเถา ก็หันมาเจอสมุดปกขาวของนายอัมสเตอร์ดัม และนี่คือที่มาของ “ข้อแนะนำ” ให้นายอัมสเตอร์ดัมหยุดสนใจเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่จะได้จากทักษิณเสีย ควรหันไปแนะนำในทางที่ดีกับลูกความด้วยการหยุดคิดได้แล้วว่า “เคยโดนถีบออกไปจากประเทศไทยอย่างไม่ยุติธรรม” แต่ให้กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนมาต่อสู้คดีเสียแต่โดยดี อ.สมเถายังบอกอีกว่า สมุดปกขาวของทนายโจรอัมสเตอร์ดัมช่างเต็มไปด้วยความฟูมฟายทุรนทุรายในการที่ จะใส่ร้ายผู้นำของประเทศไทยและกองทัพไทยกับการกระชับพื้นที่เพื่อยุติการ ชุมนุมของพี่น้องเสื้อแดงที่กำลังทำลายประเทศเพื่อคนทุจริตและทำผิดกฎหมาย อย่างทักษิณคนหนีคุกคนเดียว โดยอ.สมเถาชี้ทีละประเด็นให้คนทั้งโลกเห็นว่าทนายผู้นี้พยายามแก้ ต่างให้ทักษิณอย่างไม่นำพาข้อเท็จจริง...ถือได้ว่าสมุดปกขาวเล่มนี้โกหก อย่างร้ายกาจ วาทยกรเอกก้องโลกทายาทจากสายสกุลสุจริตกุลยังบรรเลงเพลงดาบอาบเลือดทนายโจรต่อไปอีกว่า “จะไม่โต้ตอบนายอัมสเตอร์ดัมเม็ดต่อเม็ดด้วย ไม่ใช่ทนายความ” ... แต่เขากลับกระซวกมีดดาบคมกริบในมือแทงหัวใจทนายโจรทะลุถึงหลัง ปักกันให้เห็นๆ กับประโยคที่ว่า “ทนาย อัมสเตอร์ดัมพยายามโกหกหน้าด้านๆ ถึงกับบิดเบือนข้อมูลทุกประเด็น มักตีหน้าตายเมื่อถูกจับได้ไล่ทัน และเสแสร้งเถียงข้างๆ คูๆ ว่า เอาล่ะ!!!.ทักษิณข่มขืนและข่มเหงประเทศไทยแล้วไงล่ะ!!! เมืองไทยจะว่าไป ก็ใช่ผู้หญิงดีเด่อะไรนักหนา แถมยังเชื้อเชิญเขาด้วยซ้ำ!!!” ในจดหมายโต้ตอบของอ.สมเถา ได้อรรถาธิบายความเลวร้ายของทักษิณที่ทำกับประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ตั้งแต่โกงบ้านกินเมือง เผด็จการรัฐสภา แทรกแซงองค์กรอิสระ แทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชน ละเมิดสิทธิมนุษยชน เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ทั้งกรณียาเสพติด และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผลประโยชน์ทับซ้อน และเผาบ้านเผาเมือง อ.สมเถาไม่ยี่หระกับการใส่ร้ายของนายอัมสเตอร์ดัมที่หยามว่า “ข้อถกเถียงของสมเถาเหมือนระบายสีใหม่ทับรอยเก่าให้อภิสิทธิ์ ช่างน่าอายเพราะไม่ต่างอะไรไปจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นกระบอกเสียงผู้ซื่อสัตย์ของนายอภิสิทธิ์” หากแต่นักเขียนนวนิยายมือทองระดับรางวัลระดับโลกมากมายคนนี้ กลับพยายามที่จะบอกกับคนทั่วไปว่า “ทนายหิวเงินคนนี้ ซื่อสัตย์กับลูกความเพราะเงินว่าจ้างราคาสูง แต่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ และไม่ได้เก่งกาจอะไรหนักหนา แถมยังเคยทำลูกความคนดัง ผู้มั่งคั่งในรัสเซียติดคุกติดตารางมาแล้ว ส่วนตัวเองยังติดร่างแหโดนจับและขับไล่ออกนอกประเทศ...น่าอับอายไร้ ศักดิ์ศรีไม่มีความน่าเชื่อถือ” หลังจากการปะทะกันระหว่างอ.สมเถากับนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ปรากฏต่อสาธารณชนผ่านสื่อไปแล้ว ให้ปรากฏว่า สถานการณ์อ.สมเถาไม่สู้ดีนัก เพราะถูก “คนรักทักษิณ” โทร.มาขู่ฆ่า ขู่วางระเบิดบ้านแทบทุกวันจนต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ และกวดขันกับไปรษณีย์มากขึ้น แต่กระนั้นคนอย่างเขาก็ไมได้เรียกร้องให้รัฐบาลลงมาช่วยหรือดูแล ยังใช้ชีวิตตามปกติ แต่งเพลง กวี นวนิยาย วาดรูป เป็นต้น เพียงแต่มีความต้องการมากขึ้น ในการที่จะให้คนไทยที่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษดี ช่วยกันส่งข้อมูลที่ถูกต้องออกไปยังสื่อต่างประเทศให้มากเท่ามาก เพื่อ “แก้แทนประเทศไทย” และ “ปกป้องพระเจ้าอยู่หัว” หลังจากถูกทักษิณและเหล่าบริวารบิดเบือดใส่ร้ายปู้ยี่ปู้ยำมานานหลายปี เพลงดาบสุดท้ายของอ.สมเถานั้น เขากำลังพยายามจะคิดให้ออกว่า ควรจะทำอะไรดีกับสมุดปกขาวแสนโกหกที่เปรอะเปื้อนเลอะเทอะเล่มนี้ หากแต่ ดร.นฎาประไพ สุจริตกุล น้องสาวช่วยคิดแทนว่า “เอามาให้เช็ดตีนยังไม่อยากได้เลย!!! มาทางไหนส่งคืนไปทางนั้น”
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071
|
|
« ตอบ #219 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2553, 08:18:31 » |
|
ทหารใส่ชุดลายพรางคนนี้ มีสิทธิอะไรที่ใช้เท้ากระทืบ เหยียบ เตะหน้า ทหารหนุ่มอีก 2 คน
สิทธิของความเป็นมนุษย์อยู่ที่ไหน?
กองทัพต้องทำความกระจ่างแจ้ง ไล่ไอ้ทหารเลวคนน้้นคนนั้น ออกโดยด่วน และโดยทันที แล้วให้จำคุกฐานทำร้ายร่างกาย ทำร้ายจิตใจ ทหารใต้บังคับบัญชา
วิดีโอ ชุดนี้ คนดูแล้ว 23,630 ครั้ง คนไทยจะต้องดูเป็นแสนเป็นล้านครั้ง ส่งคนไทยได้ดูกันทุกคน
กองทัพบก จะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง ทหารชั้นผู้น้อย ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่สัตว์ ที่ใครจะมารังแกไม่ได้
ทหารเป็นรั้วของชาติ เป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่คนรับใช้ คนทำความสะอาดบ้านนายทหาร คนซักเสื้อผ้า-กางเกงในเมียนายทหาร ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง
|
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #220 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2553, 20:29:06 » |
|
เลวจริงๆ..ทำไมไม่ถ่ายให้เห็นหน้า ไอ้เสื้อลายพราง อยากเห็นหน้าเลวๆของมัน
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #221 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2553, 09:14:29 » |
|
วันที่ 09 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 17:09:39 น. มติชนออนไลน์
3 แนวร่วม นปช. ให้การปฏิเสธครอบครองอาวุธสงคราม-ระเบิด บ่นน้อยใจ "แกนนำ" ไม่เหลียวแล
3 แนวร่วม นปช. ให้การปฏิเสธครอบครองอาวุธสงคราม – ระเบิด ขณะที่ แนวร่วม นปช. ออกตัว น้อยใจ แกนนำ นปช- พท. ไม่คิดช่วยเหลือ
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 9 สิงหาคม ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ถ.สรรพาวุธ ศาลนัดสอบคำให้การคดีที่อัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ อายุ 50 ปี , นายชาตรี ศรีจินดา อายุ 33 ปี และนายสุรชัย นิลโสภา อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในความผิดฐานร่วมกันครอบครองอาวุธปืนสงคราม เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต และปลอมเอกสาราชการและใช้เอกสารปลอม
โดยศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยทั้งสามฟังแล้วสอบคำให้การ จำเลยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ศาลจึงกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก ในวันที่ 10 มิถุนายน 2554
ต่อมาญาติของจำเลย ยื่นคำร้องและหลักทรัพย์ขอประกันตัว ทั้งนี้ศาลพิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง และพฤติการณ์เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุม จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
นางนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ หนึ่งในจำเลยคดีนี้ กล่าวว่า พวกตนทั้งสามรู้สึกน้อยใจที่ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจาก นปช.และ พรรคเพื่อไทย ทั้งที่พวกตนมาร่วมสู้เรียกร้องประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ อยู่แนวหน้าให้กับ นปช. และคนเสื้อแดงมาตลอด ตั้งแต่ปี 2549 ขณะที่แนวร่วมคนอื่นที่ถูกจับในข้อหาแบบเดียวกัน ต่างได้รับการประกันตัวปล่อยตัวชั่วคราวหมดแล้ว ทุกวันนี้บ้านตนก็กำลังจะถูกยึด แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะยังติดอยู่ในเรือนจำ ชีวิตแทบไม่เหลืออะไรแล้วตั้งแต่เข้าร่วมต่อสู้กับนปช.
ผู้สื่อ ข่าวรายงานว่า สำหรับจำเลยดังกล่าว ถูกตำรวจชุดปฎิบัติการ กองบังคับการตำรวจปฎิบัติการพิเศษ (191) ตำรวจ สน.คลองตัน และกองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 เข้าทำการจับกุมเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่ทาวน์เฮ้าส์ เลขที่ 231 หมู่บ้านฮอลริวู๊ด ซอยอ่อนนุช 17 แยก 9 แขวงและเขตสวนหลวง กทม. พร้อมของกลาง ระเบิดเพลิงบรรจุขวดน้ำมัน จำนวน 107 ขวด อาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนอาร์ก้า จำนวน 5 กระบอก อาวุธปืนคาร์บิน จำนวน 1 กระบอก เครื่องกระสุนใช้กับอาวุธปืนชนิดต่างๆจำนวนมาก แม็กกาซีน พร้อมซองใส่ ระเบิดลูกเกลี้ยง จำนวน 10 ลูก ระเบิดควัน และระเบิดแก๊สน้ำตา โดยการเข้าตรวจค้นจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มบุคคลลักลอบนำอาวุธปืนสงคราม และระเบิดเพลิงจำนวนมากมาเก็บซุกซ่อนไว้เพื่อก่อเหตุ และสร้างสถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #222 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2553, 10:25:16 » |
|
มหาเศรษฐีผู้มีจิตวิญญาณกับวิวัฒนาการของสังคมโดย : ดร.ไสว บุญมา สัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องมหาเศรษฐีอเมริกันที่มีทรัพย์ระดับพันล้านดอลลาร์ 40 คน ให้คำมั่นสัญญาว่าจะบริจาคอย่างต่ำครึ่งหนึ่งของทรัพย์ที่ตนมีอยู่
เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นข่าวใหญ่ในสื่อไทยเกือบทุกสื่อ แต่เท่าที่เห็นไม่มีใครได้เจาะลึกลงไปถึงที่ไปที่มาว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร และเศรษฐีเหล่านั้นมีข้อคิดอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษบ้าง จึงขอนำบางอย่างมาเล่า
วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ บิล เกตส์ สองเพื่อนซี้ที่อายุต่างกันคราวพ่อกับลูกเป็นต้นคิดและเมื่อปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ได้นัดพบลับๆ กับบรรดามหาเศรษฐีครั้งแรกในนครนิวยอร์ก โดยมี เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ เป็นเจ้าภาพ หลังจากนั้น ก็มีการพบกันอีกหลายครั้งรวมทั้งบิล เกตส์ บินมาพบลับๆ กับมหาเศรษฐีในเอเชียด้วย จุดมุ่งหมายของการพบกัน ได้แก่ การปรึกษาหารือเรื่องการบริจาคทรัพย์ช่วยเพื่อนมนุษย์ หลังการพบกันครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา พวกเขาได้ข้อตกลงว่า จะเชิญชวนมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์ระดับพันล้านดอลลาร์ ให้พิจารณาบริจาคทรัพย์ของตนคนละไม่ต่ำกว่า 50% เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์โดยการเขียนคำมั่นสัญญาลงในเว็บไซต์ ชื่อ www.givingpledge.org
คำมั่นสัญญานี้ไม่มีผลทางกฎหมาย หากเป็นการแสดงเจตนาโดยวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประเดิมเป็นคนแรก เขาเขียนว่า เขาจะสละทรัพย์ของเขาไม่ต่ำกว่า 99% ช่วยเพื่อนมนุษย์
ในคำมั่นสัญญาที่ยาวราว 1 หน้ากระดาษ วอร์เรน บัฟเฟตต์ พูดถึงหลายอย่างรวมทั้งสิ่งเหล่านี้ด้วย 1. จริงอยู่ทรัพย์ที่เขาจะให้นั้นมีค่านับหมื่นล้านดอลลาร์ แต่หากวัดกันในด้านของการเสียสละแล้วมันยังน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่น ทั้งนี้ เพราะแม้เขาจะยก 99% ของทรัพย์ให้การกุศล เงินที่เหลือยังมากมาย ยังผลให้เขาไม่ต้องเสียสละอะไรที่จำเป็นต่อชีวิตของเขาเลย ต่างกับผู้สละทรัพย์อีกจำนวนมาก ที่แม้จะบริจาคเพียงไม่กี่ดอลลาร์ แต่เงินนั้นอาจมาจากงบประมาณสำหรับซื้ออาหาร ซึ่งผู้บริจาคจะต้องอด 2. หลายๆ คน สละเวลาซึ่งมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์เพื่อช่วยผู้อื่น ส่วนเขาสละเฉพาะทรัพย์เท่านั้น 3. เขามองว่าการสะสมของมีค่าทางวัตถุต่างๆ ไม่มีความสำคัญ เพราะสิ่งเหล่านั่นแหละคือโซ่รัดคอของผู้สะสม สิ่งที่มีค่ากว่าวัตถุคือสุขภาพและเพื่อน และ 4. ทรัพย์ที่เขาบริจาคไปนั้น แม้จะเก็บไว้ก็จะไม่ทำให้เขาและลูกๆ มีความสุขเพิ่มขึ้น ตรงข้ามมันจะทำให้เพื่อนมนุษย์จำนวนมากมีชีวิตดีขึ้น
อาจเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ทรัพย์ของมหาเศรษฐีเช่นวอร์เรน บัฟเฟตต์ ส่วนใหญ่อยู่ในรูปหุ้นบริษัท มูลค่าของทรัพย์จึงขึ้นลงตามราคาของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปีที่แล้ว นิตยสารฟอร์บส์ประเมินว่า ทรัพย์ของเขามีค่าราว 37,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่าหนึ่งล้านล้านบาท เมื่อปี 2549 วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ให้คำมั่นสัญญากับ บิล เกตส์ ว่า เขาจะเริ่มบริจาคทรัพย์ของเขาราว 83% ให้แก่มูลนิธิของบิล เกตส์ เพื่อให้มูลนิธินั้นนำไปใช้ในกิจการช่วยเพื่อนมนุษย์ การให้คำมั่นสัญญาครั้งนี้ จึงมีค่าเท่ากับการบริจาคเพิ่ม
บิล เกตส์ รวมอยู่ในผู้ที่เขียนคำมั่นสัญญาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วย เขาเคยพูดไว้นานแล้วว่า เขาจะยกทรัพย์ราว 95% ให้มูลนิธิเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ที่เขาและภรรยาตั้งขึ้น อาจเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า เขาและภรรยาได้บริจาคให้มูลนิธินั้นแล้วราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และมูลนิธินั้นได้นำรายได้ไปบริจาคให้แก่โครงการต่างๆ ทั่วโลกหลายพันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในด้านการค้นหายาใหม่ๆ นอกจากนั้น เขายังได้เกษียณจากงาน เมื่ออายุเพียง 53 ปี เพื่ออุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้แก่การกุศล
บิล เกตส์ และภรรยาให้ข้อคิดไว้หลายอย่างเช่นกัน ข้อคิดที่สำคัญสุดน่าจะเป็น 1. พ่อแม่ทุกคนไม่ว่าจะมาจากส่วนไหนของโลกรักลูกและอยากให้ลูกมีโอกาสดีที่สุดในชีวิต เขาทั้งสองมองว่าทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน และควรจะมีโอกาสเท่าๆ กัน ที่จะทำให้ความฝันของตนเป็นจริง 2. ในประเทศกำลังพัฒนา ปัญหาเบื้องต้นคือผู้คนเข้าไม่ถึงการสุขอนามัย ยังผลให้เด็กจำนวนมากตายตั้งแต่ยังเป็นทารก งานการกุศลหลักของเขาในโลกกำลังพัฒนา จึงเป็นการค้นหาวิธีที่จะทำให้ทารกรอดตายและโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรง โดยเฉพาะการวิจัยเพื่อค้นหาวัคซีนใหม่ๆ ส่วนในอเมริกาเขาเน้นการศึกษาเป็นหลัก 3. มหาเศรษฐีที่เขามีโอกาสคุยด้วยล้วนพยายามช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ และเห็นพ้องต้องกันว่า การให้เป็นปัจจัยที่ทำให้ชีวิตของพวกเขามีค่ายิ่งขึ้น
มหาเศรษฐี 40 คนนั้นมักเป็นนักธุรกิจและเป็นเพียงส่วนน้อยของมหาเศรษฐีพันล้านอเมริกัน ซึ่งนิตยสารฟอร์บส์ประเมินว่า มีอยู่ด้วยกันกว่า 400 คน และมีทรัพย์รวมกันราว 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ สำนักข่าวบางแห่งประเมินว่าคนเหล่านั้นบริจาคเงินเพื่อการกุศลโดยเฉลี่ยประมาณ 10% ของทรัพย์อยู่แล้ว หากการเชิญชวนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ และบิล เกตส์ ประสบความสำเร็จ การบริจาคก็จะเพิ่มขึ้นซึ่งอาจถึงเป้าหมายที่ 6 แสนล้านดอลลาร์ก็ได้ แน่นอน เงินจำนวนนี้ย่อมจะมีผลดีมหาศาลต่อการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ณ วันนี้ ยังไม่มีการประเมินว่าเป้าหมายนี้ จะมีโอกาสเป็นไปได้แค่ไหน
หลังจากติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่วันที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียนคำมั่นสัญญาลงในเว็บไซต์เมื่อกลางเดือนมิถุนายน ผมมีความรู้สึกหลายอย่างรวมทั้ง 1. ความเคลื่อนไหวของมหาเศรษฐีเหล่านี้เป็นไปตามที่ปีเตอร์ ดรักเกอร์ หวังไว้ นั่นคือ ภาคประชาสังคมจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่ง เพื่อถ่วงดุลของภาครัฐและภาคธุรกิจซึ่งกำลังรวมหัวกันพาสังคมไปในทางที่ไม่ดีนัก นี่คือ นิมิตดี 2. นิมิตดีนี้ยังไม่มีเกิดขึ้นในเมืองไทยอย่างจริงจัง หากมองจากข้อมูลของการสำรวจความเห็นนักธุรกิจไทยเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งพบว่ากิจกรรมของภาคธุรกิจไทยเพื่อช่วยเหลือสังคมราว 90% เป็นไปเพื่อการประชาสัมพันธ์ (กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 2 ก.ค.) ความแตกต่างระหว่างนักธุรกิจอเมริกันกับนักธุรกิจไทยเช่นนี้ ย่อมมีผลสำคัญยิ่งต่ออนาคตของเมืองไทย หากเราใช้การอ่านวิวัฒนาการโลกของปีเตอร์ ดรักเกอร์ เป็นกรอบ เรื่องนี้น่าจะเป็นที่ใส่ใจเป็นพิเศษของคณะกรรมการปฏิรูป
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #223 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2553, 20:20:56 » |
|
วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 19:25:55 น. มติชนออนไลน์
ศาลสหรัฐสั่งจำคุก 2 สามี-ภรรยาติดสินบนอดีตผู้ว่าฯททท.เป็นคนในวงการบันเทิงคู่แรกกระทำผิดในต่างแดน
( นี่เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับตักขี้ สมัยที่เขายังเป็นนายกฯ อยู่)
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม สำนักข่าวเอพีรายงานว่า นายเจอรัลด์และนางแพทริเซีย กรีน สามีภรรยานักสร้างภาพยนตร์ ถูกศาลแขวงนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน หลังจากนั้นให้กักบริเวณภายในบ้านพักอีก 6 เดือน และถูกปรับอีก 250,000 ดอลลาร์ (ราว 8 ล้านบาท) จากความผิดในข้อหาติดสินบน นางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อให้ได้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ และงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่นๆ
ผู้พิพากษาจอร์จ วู ระบุในคำตัดสินว่า อาชญากรรมที่ทั้ง 2 ก่อขึ้นนั้นร้ายแรง แต่ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับกรณีอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน นอกจากนี้ เพราะว่านายเจอรัลด์ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพอง ผู้พิพากษาจึงมีความเห็นว่าการต้องถูกจำคุกเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อเขา ทั้งนี้ ข่าวระบุว่า ทั้ง 2 ไม่ได้มาปรากฏตัวต่อศาลเพื่อฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด
ข่าวระบุว่า เมื่อเดือนกันยายนปี 2552 นายเจอรัลด์ วัย 78 ปี และนางแพทริเซียวัย 55 ปี ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงในข้อหาสมคบคิดและฟอกเงิน โดยคณะลูกขุนพบว่าทั้งคู่ได้จ่ายเงินสินบนให้นางจุฑามาศเป็นเงินประมาณ 1.8 ล้านดอลลาร์ (ราว 58 ล้านบาท) เพื่อให้ได้จัดงานนิทรรศการภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ และข้อตกลงเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่นๆ ในช่วงระหว่างปี 2545-2550 ซึ่งทำให้พวกเขามีรายได้รวมกว่า 13 ล้านดอลลาร์ (ราว 418 ล้านบาท)
พนักงานอัยการระบุว่า คู่สามีภรรยากรีนจัดตั้งบริษัทหลายแห่งขึ้นมาบังหน้าเพื่อเป็นช่องทางการ จ่ายเงินให้กับนางจุฑามาศ และได้โอนเงินเข้าบัญชีของลูกสาวของนางจุฑามาศและเพื่อนคนหนึ่งเพื่อให้ได้ สัญญาในการดำเนินธุรกิจเป็นการตอบแทน
ทั้งนี้ นางจุฑามาศปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดและยังไม่ถูกแจ้งข้อหาใดๆ เลยในไทย แต่อดีตผู้ว่าการ ททท.และลูกสาวถูกศาลแขวงลอสแองเจลิสตั้งข้อหาสมคบคิดและข้อกล่าวหาอื่นๆ อีก 8 กระทง ซึ่งหากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงอาจจะต้องรับโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี
ทนายความของคู่สามีภรรยากรีนปฏิเสธว่า เงินที่ทั้งคู่จ่ายให้นางจุฑามาศไม่ใช่เงินสินบน และตั้งคำถามต่อทฤษฎีของอัยการที่ว่าทั้งคู่ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากการจัด งานในประเทศไทย
ข่าวระบุว่า คู่สามีภรรยากรีนเป็นบุคคลในวงการบันเทิงคู่แรกที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดภาย ใต้ รัฐบัญญัติการประพฤติมิชอบในต่างประเทศ ซึ่งเป็นกฎหมายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ป้องกันการจ่ายเงินสินบนให้เจ้าหน้าที่ต่างชาติเพื่อแลกกับผลตอบแทนทาง ธุรกิจ
ข่าวระบุว่า คู่สามีภรรยากรีนช่วยเปลี่ยนเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯให้มีชื่อเสียง ขึ้นมาในระดับนานาชาติจากการนำภาพยนตร์ใหม่ๆ มาฉาย รวมทั้งดึงตัวดาราดังอย่างไมเคิล ดักลาส เจเรมี ไอร์ออนส์ และผู้กำกับอย่างโอลิเวอร์ สโตน มาร่วมงานเทศกาลในเมืองไทย
เจอรัลด์ กรีน ใช้ชีวิตอยู่ในวงการภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดมานานกว่า 30 ปี โดยเขาเคยร่วมงานกับสโตน ในหนังเรื่อง "ซัลวาดอร์" ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2 สาขา และเคยเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่อง เรสคิวดอว์น ในปี 2549 ซึ่งนำแสดงโดยดาราดังอย่าง คริสเตียน เบล ขณะที่แพริเซีย กรีน เคยเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังตลกเรื่อง ไดมอนด์ส ที่นำแสดงโดย เคิร์ก ดักลาส และลอเรน บาคัลล์
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #224 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2553, 09:35:08 » |
|
ขังยาวไม่ใช่ขังลืม ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ - แกนนำเผาเมือง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 สิงหาคม 2553 00:42 น. คำสั่งศาลอาญา ที่ให้ยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ และแกนนำ นปช. อีก 4 คน เมื่อวานนี้ ทำให้ทั้ง 5 ซึ่งบัดนี้อยู่ในฐานะจำเลยในคดีก่อการร้าย ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ ตลอดระยะเวลาที่คดีอยู่ในการพิจารณาของศาล เฉพาะศาลชั้นต้น กว่าจะสืบพยาน จนถึงวันพิพากษา ไม่ต่ำกว่า 1 - 2 ปี ขึ้นอยู่กับ จำนวนพยานที่นำสืบ ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย รวมทั้ง การพิจารณาคดีว่า ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง หรือมีเหตุต้องเลื่อนบ่อยๆ หรือไม่ ในขั้นศาลอุทธรณ์ และฎีกา หากศาลไม่มีคำสั่งปล่อยตัว ระยะเวลาที่จะต้องถูกคุมขังก็จะยิ่งยาวนานออกไป รวมเบ็ดเสร็จ กว่าคดีจะถึงที่สุดแล้ว น่าจะเฉียดๆ 10 ปี นานพอที่จะกล้อมแกล้มได้ว่า เป็น เนลสัน แมนเดลลา เมืองไทย แม้ว่า พฤติกรรมจะต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะว่า ติดคุกจริง ไม่เหมือนลูกพี่ที่หนีคุกไปอยู่เมืองนอก แต่เที่ยวไปยกตัวเทียบกับคนดีๆ ที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมอย่างแท้จริง การยื่นประกันตัว ของแกนนำ นปช. ทั้ง 5 คน เมื่อวานนี้ เป็นครั้งแรก ในขั้นตอนที่คดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลแล้ว ก่อนหน้านั้น ซึ่งยังอยู่ในชั้นสอบสวน นายณัฐวุฒิ กับคนอื่นๆ รวม 16 คน ที่ถูกตั้งข้อหาในคดีก่อการร้าย เคยยื่นขอประกันตัวมาแล้วหลายรอบ โดยเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ให้สูงขึ้นไปในแต่ละครั้ง แต่ศาลก็ไม่ให้ประกันตัว ยกเว้น กรณีของนายวีระ มุสิกพงศ์ ซึ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เพราะ อาศัยนายกอบศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐนตรี ให้การเป็นพยานว่า ไม่ได้เห็นด้วยกับ การใช้ความรุนแรง เหตุผลของศาล ที่ใม่ให้ประกันตัว ในชั้นสอบสวนคือ คดีนี้ เป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง เกรงว่า หากปล่อยตัวไปแล้ว จะหลบหนี ส่วนเหตุผลของศาล เมื่อวานนี้ ที่ยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวคือ ยังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ก็คือ ศาลยังเห็นว่า คดีนี้ มีอัตราโทษสูง เกรงวง่า หากปล่อยตัวไปแล้ว จะหลบหนี แม้ว่า ทนายความของนายณัฐวุฒิ จะยกแม่น้ำทั้งห้า มาใส่ไว้ในคำร้อง บรรยายสรรพคุณของนายณัฐวุฒิว่า เป็นนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติมากมาย นอกจากนี้ ยังมีภรรยา และบุตรธิดา อีก 2 คน ภรรยาไม่มีรายได้ จึงมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว ทั้งยังสัญญาว่า จะไม่หลบหนี ไม่ไปหยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ไม่ไปก่อเหตุร้ายใดๆอีก พร้อมจะทำตามเงื่อนไขของศาลทุกประการ ถ้าเงินที่เตรียมมาประกันตัว 2 ล้านบาท ศาลเห็นว่า น้อยไป อยากจะให้วางเงินเพิ่มอีกกี่ล้านบาท ก็ให้ศาลบอกมา จะหามาให้ แต่ก็ไม่เป็นผล ต้องกลับไปนอนคุกต่อไป และทำใจว่า ต้องถูกคุมขังอีกนาน คำสั่งของศาลอาญาเมื่อวานนี้ ยังเป็นสัญญาณบอกให้ จำเลยที่เหลืออีก 11 คน ซึ่งหลายๆคน เป็นการ์ด นปช. เป็นคนสนิทของ เสธฯแดง ที่กำลังจะทยอยยื่นขอประกันตัว ได้รู้ว่า พวกเขาเองก็ต้องถูกขังยาว เช่นเดียวกับ นายณัญวุฒิ นายขวัญชัย ไพรพนา นายนิสิต สินธุไพร นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และนายยศวริส ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก รวมทั้งพวกที่หลบหนี ในคดีเดียวกันนี้ อย่าง นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายพายัพ ปั้นเกตุ พ.ต.ท. ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ และนายอดิศร เพียงเกษ ที่จะต้องหนีให้สุด หนีให้พ้น จนกว่าคดีจะหมดอายุความ หากถูกจับได้ ก็ต้องถูกขังยาวเช่นกัน การหาเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปสมัยหน้าของพรรคเพื่อไทย อาจจะต้องเพิ่มนโยบายต่อท้าย "เอาทักษิณกลับบ้าน" อีกสักประโยคว่า "เอาแกนนำ นปช.ออกจากคุก" เว้นเสียแต่ว่า จะไม่รักกันจริง ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่ง ยกระดับการต่อสู้ ตามความคืบหน้าของคดี จากที่เคยสาดโคลนใส่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในตอนที่คดีอยู่ในชั้นสอบสวน เมื่อสำนวนถึงมืออัยการ และอัยการสั่งฟ้อง ก็ยกระะดับการต่อสู้ ขึ้นไปให้ร้ายนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด มาถึงขั้นตอนที่คดีอยู่ในศาลแล้ว จะกล้าเดินหน้ายกระดับการต่อสู้ให้สูงขึ้นไปอีกหรือไม่
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
|