19 เมษายน 2567, 21:07:50
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เวชศาสตร์ป้องกันมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากกว่าเวชศาสตร์รักษา...กันไว้ดีกว่าแก้  (อ่าน 8760 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2553, 20:20:43 »


ไทยลุยผลิตวัคซีน8โรคใช้เอง
ขอขอบคุณคอลัมภ์ การศึกษา-สาธารณสุข เวบไทยโพสต์ วันพฤหัสบดี 8 กรกฎาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.thaipost.net/news/080710/24593

คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ดันศักยภาพไทยผลิตวัคซีนใช้เอง โดยเฉพาะ

วัคซีนโรคพื้นฐาน 8 ชนิด คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ตับอักเสบบี คางทูม หัด หัดเยอรมัน โปลิโอ

ลดนำเข้าปีละเกือบ 3,000 ล้าน แถมคิดไกลหวังส่งออกประเทศเพื่อนบ้าน



นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติว่า ที่ประชุมมีมติ

เห็นควรให้เดินหน้าพัฒนาศักยภาพในการผลิตวัคซีนของไทย จากที่ปัจจุบัน
สามารถผลิตวัคซีนได้เพียง 2 ชนิด คือ วัคซีนไข้สมองอักเสบและวัณโรค

เพื่อให้สามารถผลิตวัคซีนพื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้ในประเทศได้อีก 8 ชนิด
คือ

1.คอตีบ 2.ไอกรน 3.บาดทะยัก 4.ตับอักเสบบี 5.คางทูม 6.หัด 7.หัดเยอรมัน 8.โปลิโอ

รวมถึงวัคซีนไข้เลือดออกที่อยู่ระหว่างการทดลอง ทั้งนี้เพื่อลดการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ
ซึ่งในแต่ละปีมีมูลค่าการใช้วัคซีนสูงถึงปีละ 3,000 ล้านบาท ร้อยละ 80 เป็นการนำเข้าทั้งหมด

นายจุรินทร์กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นควรให้มีการผลักดัน

ร่างพระราชบัญญัติวัคซีนแห่งชาติเพื่อให้มีกฎหมายรองรับในการแก้ไขปัญหาวัคซีนระยะยาว
ทั้งในเรื่องการพัฒนาวิจัย การผลิต ซึ่งอยู่ระหว่างการร่างของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ
จะมีการกำหนดอำนาจหน้าที่คณะกรรมการ การจัดตั้งกองทุนวัคซีนแห่งชาติ เป็นต้น

แต่ในช่วงที่ยังไม่มีกฎหมายนี้ เห็นควรให้เสนอเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการไปก่อน

นอกจากนี้ยังให้มีการจัดทำแผนระยะสั้น 2 ปี และระยะยาว 5 ปี ในการดำเนินการด้านวัคซีน
ทั้งนี้เพื่อให้ไทยสามารถพึ่งพาตนเองในด้านวัคซีนและสามารถผลิตส่งออกไปยังต่างประเทศได้ด้วย
สำหรับขณะนี้มีองค์กรที่สามารถผลิตวัคซีนในไทย คือ องค์การเภสัชกรรม เสาวภา และองค์กรร่วมทุน
กับประเทศฝรั่งเศสเพื่อผลิตวัคซีน


 win win win

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX



การสาธารณสุขมูลฐาน เป็นงานเวชศาสตร์ป้องกัน งานหนึ่ง ที่ทำให้เกิดสุขภาพดีถ้วนหน้าได้
เป็นกลวิธีที่องค์การอนามัยโลก ได้ผลสรุปจากการจัดประชุมประเทศสมาชิกที่เมืองออตตาวา
ประเทศแคนนาดา เมือ ปี 2529 เพื่อหาวิธีให้ชาวโลกสุขภาพดี ดูเพิ่มเติมได้ที่


http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3394.0.html

 รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2553, 10:53:12 »


ขอขอบคุณเวบแคนนอตวันศุกร์ 16 กรกฏาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

http://cannot.info/feed/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C/%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%20%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%208%20%E0%B8%9B%E0%B8%B5



ศึกษาโทษความอ้วนที่มีต่อชีวิตคนทั้งชีวิต ตายก่อนคนปกติถึง 8 ปี

นักวิจัยเมืองโคนมพบ ในการศึกษาโทษของความอ้วนที่มีตลอดของชีวิตคนเราเป็นครั้งแรกว่า
ผู้ชายที่อ้วนเกินปกติจะเสี่ยงกับการตายก่อนเวลาอันควร  เมื่อเทียบกับคนปกติมากกว่ากันถึง2 เท่า

นักวิจัยของสถาบันเวชศาสตร์ป้องกัน โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน และ
สถาบันวิทยาศาสตร์ชีวเวช มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ได้ศึกษากับ

ทหารเกณฑ์ 5,000 กว่าคน ตั้งแต่อายุ 20 ปีเป็นต้นไป จนอายุถึง 80 ปี ได้พบว่า
ผู้ชายคนที่อ้วนเกินปกติ จะเสี่ยงกับการตายก่อนเวลาอันควร  เมื่อเทียบกับคนปกติ
ไม่ว่าจะช่วงอายุใดก็ตาม มากกว่ากัน 2 เท่า ยิ่งเป็นผู้ที่อ้วนเกินปกติมาตั้งแต่อายุ 20 ปี
จะต้องเสี่ยงกับความตายเป็นอัตราอยู่คงที่ไปจนกว่าอายุยัน 60 ปี

หมอเอสเธอร์  ซิมเมอแมน  หัวหน้านักวิจัย  ยังได้เปิดเผยผลการศึกษาว่า  
เมื่อกลุ่มตัวอย่างมีอายุถึง  70 ปี ปรากฏว่า  กลุ่มตัวอย่างจะยังเหลือมีชีวิตอยู่เพียงร้อยละ 50  
ในขณะที่กลุ่มเปรียบเทียบยังอยู่กันมากถึงร้อยละ 70 "
เราคาดว่า ตอนช่วงของวัยกลางคน ผู้ที่อ้วนเกินปกติเมื่อเทียบกับคนปกติ
จะเสี่ยงกับที่จะตายก่อนกันถึง 8 ปี"
 
ที่มา : www.thairath.co.th วันที่ 17 Jul 2010

gek gek gek

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

จากข่าวผู้ชายอ้วน จะเสี่ยงกับที่จะตายก่อนกันถึง 8 ปี เป็นความรู้ที่นำมาใช้ในการป้องกัน
ด้วยการควบคุมน้ำหนักตนเอง ไม่เฉพาะผู้ชายเท่านั้น สุภาพสตรี ก็คงมีโอกาศเสี่ยง
เหมือนกันถ้าอ้วน

จึงควรควบคุม น้ำหนักด้วย 3 อ.คือ

อ.ที่ 1 อาหาร ระวังทั้งปริมาณมากเกินไป และ คุณภาพต้องมีสารอาหารครบถ้วน

อ.ที่ 2 ออกกำลังกาย อย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละไม่น้อยกว่า 30 นาที

อ.ที่ 3 อารมณ์ สนุกสนานกับการเล่นเกมส์คุมน้ำหนัก ด้วยการชั่งน้ำหนักตนเองทุกเช้า

ทำครบ 3 อ.อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ ความฝันที่จะคุมน้ำหนักเป็นจริงได้ เหอๆๆ

เมื่อไม่อ้วน เท่ากับได้ ใช้วิชา เวชศาสตร์ปัองกัน ไม่ให้ป่วยด้วยโรคที่ทำให้เสียชีวิตได้

ดูจังหวัดไร้พุง มุ่งสู่สุขภาพดี ที่

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3278.0.html

 รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2553, 11:04:33 »


ขอขอบคุณเวบแคนนอตดอทอินโฟ วันพฤหัสบดี 15 กรกฏาคม 2553 ที่่เอื้อเฟื้อข่าว
http://cannot.info/feed/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%20960%20%E0%B8%A5%20%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%89%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B0%209%20%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2

สั่งเพิ่มงบ 960 ล. หลังคนไทยตายฉุกเฉินปีละ 9 หมื่นราย
 


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข

สธ.สั่งเพิ่มงบ 960 ล้าน หลังคนไทยตายฉุกเฉินปีละ 9 หมื่นราย เหตุหลักเพราะไม่ได้รับการรักษา
พยาบาลอย่างถูกต้องและทันเวลา กับการแพทย์ฉุกเฉินที่มีในปัจจุบันดำเนินการได้เพียงร้อยละ 25...

เมื่อวันที่ 15 ก.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2554 นี้
ที่ประชุมคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินได้มีมติเห็นชอบให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
ขอตั้งงบประมาณเพื่อใช้ดำเนินการสนับสนุนการปฏิบัติการของชุดปฏิบัติกู้ชีพทั้งหมด และ
พัฒนาระบบแพทย์ฉุกเฉินของประเทศให้มีประสิทธิภาพ โดยบริหารจัดการในรูปของ
กองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน ครอบคลุมคนไทยทุกคนประมาณ 64 ล้านคน

ในอัตราเหมาจ่ายรายหัว 15 บาทต่อคน เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่
วันที่ 1 ต.ค. 2553 เป็นต้นไป

โดยได้ลงนามในหนังสือราชการถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
โดยเร็วที่สุด

รมว.สาธารณสุข กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน ได้รับทราบรายงาน
เงินงบประมาณรายปีที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้รับการจัดสรรในช่วงปี 2552-2553

ปรากฏว่าไม่เพียงพอกับการปฏิบัติงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ในแต่ละปี และอัตราการตาย
ของผู้ป่วยฉุกเฉินในประเทศไทยยังสูง ปีละประมาณ 60,000 ราย เนื่องจากไม่ได้รับการรักษา
พยาบาลอย่างถูกต้องและทันเวลา

โดยระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่มีในปัจจุบันดำเนินการได้เพียงร้อยละ 25 ของจำนวนผู้ป่วยฉุกเฉิน
ทั้งหมด 4 ล้านครั้ง หากมีการจัดสรรงบเหมาจ่ายรายหัวๆละ 15 บาท ก็จะมีเงินกองทุนปีละ
ประมาณ 960 ล้านบาท ทำให้มีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพและเป็นบริการฟรี

คาดว่าจะช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินได้ประมาณร้อยละ 15-20 หรือปีละ 9,000-12,000 คน
 
ที่มา : www.thairath.co.th
วันที่ 16 Jul 2010 - 00:35 (15 ชั่วโมง ที่ผ่านมา)
 
เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

เวชศาสตร์ฉุกเฉิน เป็นปัญหาทางสุขภาพด้งข่าว ค่าใช้จ่ายและอัตราตายสูง

แต่ถ้าเรามุ่งเน้นเวชศาสตร์ป้องกัน จะมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากกว่า เช่น
ให้การบังคับใช้กฏหมายเมาแล้วขับให้เข้มงวดขึ้น

ด้วยการประกาศให้ประชาชนทราบว่า เป็นความจำเป็นทางการแพทย์เมื่อบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
เป็นหน้าที่ทางการแพทย์ และ ทางกฏหมายจะต้องตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือด
เพื่อการประเมินอาการทางสมอง และ เป็นหลักฐานทางกฏหมายว่าสูงเกินกฏหมายกำหนดหรือไม่

เมื่อผลเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หลังรักษาปลอดภัยแล้วต้องรายงานตำรวจมาดำเนินคดี
เมาแล้วขับด้วย ถ้าทำได้จะทำให้คนเมาไม่กล้าขับรถได้


  gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #3 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2553, 15:32:27 »


ขอขอบคุณเวบไทยรัฐ วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.thairath.co.th/content/region/95561



ค้าข้าวแกงต้องมีใบอนุญาต!!!

กทม. เตรียมนำข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสถานที่จำหน่ายอาหารฯ บังคับใช้กับ
ร้านค้าริมทางเท้า โดยจะงดใช้สิทธิ์กับผู้ที่ไม่มีใบอนุญาต เอาจริง 4 แสนรายทั่วกรุง

รองผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยว่า  กรุงเทพมหานครเตรียมนำข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร
เรื่องสถานที่จำหน่ายอาหารและสถานที่สะสมอาหาร พ.ศ. 2545 และ
มาบังคับใช้กับผู้ประกอบการที่ค้าอาหารบริเวณทางเท้า โดยจะ

งดสิทธิ์การค้าสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่มีใบอนุญาต และไม่ผ่านการอบรม
รวมถึงทดสอบตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครดังกล่าว

เนื่องจากปัจจุบันพบว่า พื้นที่ทางเท้ามีผู้ค้าอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น
ไม่มีวัสดุป้องกันปกปิดอาหารให้พ้นจากแมลงและสัตว์นำโรค  รวมถึงฝุ่นละอองและ
สิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ  ตลอดจนรักษาอุปกรณ์ประกอบอาหารให้สะอาด


การบังคับใช้ข้อบัญญัติดังกล่าว กทม.จะเริ่มดำเนินการจริงจังตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 หรือ
ประมาณเดือนตุลาคม 2553 นี้เป็นต้นไป

ก่อนหน้านี้ทางสำนักงานเขต ฐานะพนักงานปฏิบัติหน้าที่ได้ดำเนินจัดอบรมและออก
ใบอนุญาตการค้า หรือบัตรประจำตัว ผู้สัมผัสอาหารไปแล้วประมาณ 30,000 ราย จากผู้ค้าอาหาร
ที่มีอยู่ทั่ว กทม. ประมาณ 400,000 ราย นับตั้งแต่ข้อบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ส่วนหนึ่งเป็น
เพราะว่าทางสำนักอนามัยได้มอบหมายให้หน่วยสาธารณสุขประจำเขตเป็นผู้ดำเนินการ
และให้งบประมาณที่จำกัด  ซึ่งสามารถจัดอบรมผู้ค้าได้ปีละหนึ่งครั้ง ครั้งละ 100  คนเท่านั้น  

ทั้งนี้  สำนักอนามัยเตรียมประชุมกับผู้อำนวยการทั้ง 50 เขต เพื่อแจ้งนโยบายดังกล่าวและ
ให้นำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ตามที่นายสิทธิสัตย์ เจียมวงศ์แพทย์ อดีตผู้อำนวยการสำนักอนามัย
ได้ให้นโยบายไว้ว่า  

หากผู้ค้ารายใดไม่มีใบอนุญาต เจ้าหน้าที่มีอำนาจที่จะออกคำสั่งห้ามขายทันที
เว้นแต่ผู้ประกอบการจะเข้ารับการอบรม ทดสอบ และได้ใบอนุญาต


ผู้อำนวยการกองสุขาภิบาลอาหาร สำนักอนามัย เปิดเผยผลตรวจสอบการปนเปื้อนของสารที่เป็น
อันตรายกับสุขภาพ ได้ตรวจพบสารเคมีจำพวกฟอร์มาลิน ร้อยละ 0.5 ในเครื่องในสัตว์ประเภทวัว  

เช่น  ผ้าขี้ริ้ว  ซึ่งทางสำนักงานเขตที่ตรวจสอบพบอยู่ระหว่างการตรวจสอบถึงแหล่งที่มาว่า
สารเคมีดังกล่าวปนเปื้อนได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับว่า กทม.เตรียมนำกติกาห้ามผู้ค้าอาหาร
บริเวณทางเท้าที่ไม่มีใบอนุญาตมาบังคับใช้ขั้นเด็ดขาด  หากตรวจพบจะห้ามค้าขายอาหารทันที.

  gek gek gek

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

นำข่าวดีเกี่ยวกับใบอนุญาตให้ขายอาหารได้ เป็น เวชศาสตร์ป้องกัน เรื่องหนึ่ง ที่มุ่งให้ทุกร้านที่
ต้องผ่านการอบรมรับรองจนได้ใบอนุญาตโดย สำนักอนามัย ของ กทม.ก่อนจึงจะขายได้ เป็นการ
ป้องกันไม่ให้เกิดโรคจากอาหารเช่น ท้องเสีย หรือ มีสารก่อมะเร็งทานบ่อย ๆ จะเป็นมะเร็งได้


 บ่ฮู้บ่หัน บ่ฮู้บ่หัน บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #4 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553, 14:03:04 »


สร้างแผ่นปะ ใช้ฉีดวัคซีนไม่ให้รู้สึกเจ็บ ฉีดด้วยเข็มจิ๋ว 100 เล่ม
แหล่งที่มา : ไทยรัฐ   2010-07-21 http://www.thairath.co.th/content/life/97615



การใช้เข็มฉีดยาฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน กลายเป็นของล้าสมัยไปในบัดดล

เมื่อนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเอมอรี่ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งจอร์เจียของสหรัฐฯ

ได้คิด แผ่นปะใช้ฉีดขึ้นแทน โดยไม่ทำให้เจ็บปวดด้วย

เรื่องสำคัญก็เพราะใต้แผ่นปะนั้น จะมีเข็มเล่มเล็กมากจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าไม่เห็น
เรือนเป็นร้อย มีความยาว 0.65 มม. เมื่อจมลงไปในหนังกำพร้า มันก็จะละลายหมดไป

ในการทดลองฉีด วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ กับหนู   ปรากฏว่าเทคโนโลยีใหม่
ยังมีภาษีดีกว่าการฉีดด้วยเข็มธรรมดา เพราะ

มันสามารถปลุกภูมิต้านทานโรคขึ้นแข็งขันได้ยิ่งกว่าการใช้เข็ม

วารสาร ทางวิชาการ "การแพทย์ธรรมชาติ" รายงาน ว่า แผ่นปะนี้ยังอาจ

ทำให้ทุกคนสามารถฉีดวัคซีนให้ตัวเองได้ หากการทดลองได้รับความสำเร็จ

ก็อาจจะ

หมายถึงอวสานของการฉีดวัคซีนแบบปกติ และ การฉีดวัคซีนจะกลายเป็นเรื่องส่วนตัว
ที่ทำเองได้ ทำให้การระดมฉีดวัคซีนยามเมื่อเกิดโรคระบาด จะง่ายและสะดวกขึ้นมาก.

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))

นำความก้าวหน้าของการทำวัคซีน ซึ่งเป็น เวชศาสตร์ป้องกัน มาตรการหนึ่ง และ
เป็นสาเหตุให้เด็กกลัวหมอ หรือ พยาบาลที่ฉีดวัคซีนให้ จะกลายเป็น

 
มารดา บิดา เอาแผ่นวัคซีนไปปิดแขนเด็ก ทำวัคซีนให้แทนการฉีด ทำให้เด็กไม่กลัวได้

 เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #5 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2553, 15:18:30 »




ไอเดียเจิดเตรียมชง'จุรินทร์'จัดแข่ง'เรียลลิตี้ลดอ้วน'
http://www.thairath.co.th/content/edu/99420

นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า จากการเยี่ยมชมการดำเนินงาน
ของ HEALTH PROMOTION BOARD ประเทศสิงคโปร์ ได้มีการนำเสนอ

มาตรการดูแลด้านสุขภาพให้กับประชาชนสิงคโปร์ โดยพบว่า
มีการจัดรายการแข่งขันเรียลลิตี้ หรือการแข่งขันในลักษณะติดตามพฤติกรรมของคน
เข้ามาใช้ในการส่งเสริมสุขภาพด้วย รับสมัครคนที่มีความอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน
เข้ามาร่วมรายการ และกำหนดให้ต้องทำน้ำหนักลดให้ได้ตามจำนวนที่กำหนด

ซึ่งเห็นว่าเป็นรายการที่น่าสนใจ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยผู้ที่มีน้ำหนักมาก ไทยมี
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งทำหน้าที่ในลักษณะ
เดียวกับ HEALTH PROMOTION BOARD ของสิงคโปร์

จึงเห็นว่าน่าจะนำวิธีดังกล่าวไปใช้รณรงค์ในเรื่องการลดความอ้วนด้วย ตนจะนำแนวทางในการ
จัดเรียลลิตี้ลดความอ้วนเสนอนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข เพื่อพิจารณาต่อไป


 gek gek gek

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

ความอ้วนจัดเป็นภัยร้ายต่อสุขภาพตัวหนึ่งในสาม คือ
ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และ อ้วน
การจัดเรียลลิตี้แข่งขันลดความอ้วนจะปลุกกระแสลดความอ้วน
ที่เป็นภัยร้ายให้ประชาชนหันมาใส่ใจรูปร่างของตนเองมากขึ้น

ด้วย 3 อ. คือ อาหาร ออกกำลังกาย และ อารมณ์มั่นคงในการลดน้ำหนัก

ดูกระทู้ จังหวัดไร้พุงมุ่งสู่สุขภาพดี  ที่โพสต์ไว้
http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3278.0.html

 รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #6 เมื่อ: 25 กันยายน 2553, 09:46:08 »


               สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)เปลี่ยนแผนจากรับเป็นรุก
               วันพุธที่ 22 กันยายน 2010 เวลา 09:39 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    ข่าวหน้า1   
               http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=42250:2010-09-22-02-40-29&catid=85:2009-02-08-11-22-45&Itemid=417

                     

                 สสส.เดินแผนยุทธศาสตร์เชิงรุก สกัดคนรุ่นใหม่ไหลเข้าสู่วงจรน้ำเมา บุหรี่ โปรยงบ 3,000 ล้าน แข่งค่ายน้ำเมา สนับสนุนกิจกรรมพื้นบ้านของชุมชน ภูมิภาค ตั้งแต่แข่งเรือ  สงกรานต์  ยันกิจกรรมสำหรับเด็ก เยาวชน เผยกระแสตอบรับดีหลังชิมลาง ล่าสุดชูแผนงานทุนอุปถัมภ์เชิงรุก ผ่านศิลปวัฒนธรรม เปิดตัวโครงการละครสำหรับเยาวชนปี  2 ก่อนต่อยอดสู่เฟส 3 ด้วยกิจกรรมเชิงบูรณาการ ผ่านดนตรี กีฬา วัฒนธรรมพื้นบ้าน และโซเชียล เน็ตเวิร์ก

                นายมานพ   แย้มอุทัย  ผู้ทรงคุณวุฒิ  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า  สสส. ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี หลังจากปรับยุทธศาสตร์การดำเนินการเพื่อสร้างสรรค์สังคม โดยหันมาทำยุทธศาสตร์เชิงรุกภายใต้แนวคิดทุนอุปถัมภ์เชิงรุกด้านสื่อและกิจกรรม  เพื่อเป็นการรณรงค์ให้เด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ห่างไกลเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  บุหรี่ และสิ่งเสพติด ทั้งนี้แผนงานทุนอุปถัมภ์เชิงรุก เน้นการเข้าไปเป็นผู้ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมภายในชุมชน ทั้งเทศกาล ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม ที่ท้องถิ่นหรือชุมชนนั้นๆ ดำเนินการ แทนที่ผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งเดิมเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนการจัดงาน แลกกับการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ตราสินค้านั้นๆ  ซึ่งเป็นการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ให้กับลูกค้าคนรุ่นใหม่

                ปีนี้ถือเป็นปีแรกที่มีการนำยุทธศาสตร์ภายใต้แผนงานทุนอุปถัมภ์เชิงรุก โดยใช้งบประมาณเกือบ 3,000 ล้านบาท มาใช้ดำเนินการอย่างจริงจัง หลังจากทดลองใช้ในปีก่อน ดังนั้นในปีนี้ สสส. จึงเข้าเป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ภายในท้องถิ่นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลสงกรานต์ ปลอดเหล้า  เทศกาลแข่งเรือ  การรับน้องปลอดเหล้า   การจัดงานสืบสานประเพณีต่างๆ โดยมีภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ และองค์กรอิสระ ตลอดจนปราชญ์พื้นบ้าน เข้าร่วมให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี

                นอกจากยังเป็นการให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชน ตลอดจนคนรุ่นใหม่ ถึงโทษภัยจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  บุหรี่ ซึ่งเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่เหล่านี้สามารถนำไปถ่ายทอดยังคนในครอบครัว พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง และชุมชนใกล้เคียงได้  ถือเป็นหนึ่งในแนวทางสกัดกั้นคนรุ่นใหม่เข้าสู่วงจรที่ไม่ดี

               "ที่ผ่านมาจะเห็นว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งเหล้า เบียร์ ต่างให้เงินเป็นสปอนเซอร์จัดกีฬา  ประเพณีต่างๆ ในชุมชน แลกกับการขายเหล้า เบียร์ หรือการติดโลโกสินค้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างค่านิยม และสร้างตราสินค้าให้เกิดการทดลองดื่ม  และซึมซาบเข้าสู่วิถีชีวิตของเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่  หากเราสามารถขจัดสิ่งเหล่านี้ไปได้ ก็เท่ากับเป็นการลดความเสี่ยงในการบริโภคของเด็กๆ"

               นายมานพกล่าวถึงกิจกรรมที่จัดขึ้นในปีนี้ มีทั้งกิจกรรมด้านดนตรี ภายใต้ชื่อ ดนตรีสร้างสุข  กีฬา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ รวมทั้งโครงการละครสำหรับเยาวชน ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 โดยกิจกรรมต่างๆ จะมีขึ้นในภูมิภาคต่างๆ โดยสนับสนุนให้เด็ก เยาวชน ส่งผลงานในด้านต่างๆ เข้ามาเพื่อคัดเลือกเข้าร่วมเวิร์กช็อป ให้ความรู้เชิงลึก เพื่อพัฒนาให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ทักษะด้านต่างๆ และสามารถนำไปดำเนินการต่อยอดในชีวิต ทำให้เด็ก เยาวชนรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์  รู้จักทำงานเพื่อสังคม พร้อมเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงผลงาน ทั้งในชุมชนตัวเอง และส่วนกลาง เช่น โครงการละครสำหรับเยาวชน ที่มีการจัดขึ้นใน 4 ภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ อีสาน กลาง และใต้ โดยในปีหน้า จะดำเนินการในเฟสที่ 3 ด้วยการบูรณาการ โดยการนำกิจกรรมที่ผ่านมามาต่อยอด เพื่อนำเสนอผลงานของเด็ก เยาวชน ในแบบบูรณาการในรูปแบบของมหกรรม  เพื่อถ่ายทอดไปยังเยาวชนกลุ่มอื่นๆด้วย

                นอกจากนี้สสส. ยังจัดกิจกรรมผ่านทางโซเชียล เน็ตเวิร์ก (Social Network)  ซึ่งเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เยาวชนรุ่นใหม่ให้ความนิยม โดยโซเชียล เน็ตเวิร์ก จะช่วยทำให้สามารถเข้าถึงพฤติกรรมและความต้องการของวัยรุ่นได้มากขึ้น โดยกิจกรรมที่มีการนำเสนอผ่านโซเชียล เน็ตเวิร์ก เช่น รับน้องปลอดเหล้า  เป็นต้น อย่างไรก็ดี ในปีหน้าสสส. มีแผนที่จะทำกิจกรรมผ่านโซเชียล เน็ตเวิร์ก เพิ่มมากขึ้น โดยมีเครือข่ายเข้าร่วมสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบ

               "สสส. จะนำเงินที่ได้จากการเสียภาษีของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  บุหรี่ ในอัตราส่วน 2%  หรือคิดเป็นเม็ดเงินเกือบ 3,000 ล้านบาทต่อปี  มาใช้ในการทำกิจกรรมเพื่อรณรงค์ไม่ให้เด็ก เยาวชน บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือบุหรี่ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ และก่อให้เกิดปัญหาสังคม  แต่สสส. ไม่ได้มีนโยบายห้ามหรือให้ยกเลิกโรงงานผลิต เพราะหากต้องการดำเนินธุรกิจต่อไป  ก็ควรอยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาล" นายมานพกล่าว 

              อนึ่ง ในปีงบประมาณ 2553 ข้อมูลการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสุรา เบียร์ และยาสูบ รวม 10 เดือน(ถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2553) ภาษีสุราจัดเก็บได้ 35,548.94 ล้านบาท ภาษีเบียร์ 50,457.40 ล้านบาท และภาษียาสูบ 44,929.41 ล้านบาท

                            หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #7 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553, 19:52:06 »


                             โมเดลรัฐไร้โรค เซฟงบ9,000ล้านบาท
        ขอขอบคุณเวบโพสต์ทูเดย์ วันอังคาร 9 พฤศจิกายน 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.posttoday.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/59029/%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84-%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%9F%E0%B8%87%E0%B8%9A9000%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97

                                       

        นพ.พรชัย สิทธิศรัณย์กุล ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ภายหลังร่วมมือกับ 16 หน่วยงานราชการ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพของบุคลากรภาครัฐภายใต้แผนงาน รัฐไร้โรคในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

        สามารถลดอัตราเจ็บป่วยของข้าราชการได้ 50% ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลในปี 2553 พบว่าค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ ลดลงรวม 9,000 ล้านบาท หรือ ลดลงอยู่ที่ราว 61,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดไว้ราว 70,000 ล้านบาท โดยยังพบว่าข้าราชการไทยมีสุขภาพดีขึ้น เจ็บป่วยน้อยลงส่งผลให้มีการเข้ารับการรักษาพยาบาลและอัตราการเบิกจ่ายยาที่น้อยลง

         สำหรับยุทธศาสตร์รัฐไร้โรค ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เน้นเข้าไปพัฒนากลุ่มคนในองค์กร เพื่อทำกิจกรรมบรรเทาหรือป้องกันสร้างเสริมสุขภาพหรือพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้มีการปรับวิธีคิดในเรื่องสุขภาวะของบุคลากรในองค์กรและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนและเพื่อนร่วมงาน โดยจัดเป็นกิจกรรมหลากหลาย

         เพื่อตอบสนองทั้ง 4 มิติสุขภาวะ ประกอบด้วย กาย ใจ สังคม และ จิตวิญญาณ กลยุทธสำคัญคือสร้างนำซ่อมคือ เน้นสร้างเสริมสุขภาพดีกว่าการรักษาโรค เพื่อลดค่าใช้จ่ายในด้านการรักษาพยาบาลของข้าราชการและบุคลากรของรัฐให้ลดลง หรือเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง

                     win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #8 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2553, 22:06:03 »


                  โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   16 ธันวาคม 2553 15:42 น.
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000176874

                            

       “จุรินทร์” เผย พระสงฆ์-สามเณร ร้อยละ 55 ป่วยและเสี่ยงป่วย จากการดำรงชีวิตและอาหาร เร่งตรวจสุขภาพพระสงฆ์-สามเณร 3.5 แสนรูปทั่วไทย ให้ได้รับการดูแลรักษา

                                      

                นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
      
       วันนี้ (16 ธ.ค.) ที่โรงพยาบาลสงฆ์ กรุงเทพฯ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยพระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรรมการมหาเถรสมาคม และ นายแพทย์เรวัติ วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ ผู้บริหาร เปิดโครงการ

       “มหกรรมการดูแลสุขภาพพระสงฆ์-สามเณร เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
                 ในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554”


       โดยมีพระสงฆ์ สามเณรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 1,000 รูป เข้าร่วมกิจกรรม และ รับการคัดกรองโรคความดันโลหิต ภาวะอ้วน เบาหวาน และ ภาวะแทรกซ้อน สุขภาพปาก การตรวจสุขภาพทั่วไป ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจสุขภาพตา การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เอกซเรย์ปอด วัดมวลกระดูก และ การให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพ อาหาร และการออกกำลังกาย

       นายจุรินทร์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับในต่างจังหวัด มูลนิธิ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ภายใต้พระราชูปถัมภ์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำ

        โครงการตรวจสุขภาพกับพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ จำนวนประมาณ 350,000 รูป ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงเปิดโครงการที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

        ถัดจากนี้ไปภายใน 2 ปีจะดำเนินการตรวจสุขภาพพระภิกษุสามเณรครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับการรักษาทันท่วงที พร้อมถวายความรู้การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคควบคู่กันไปด้วย ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุข จะจัดโครงการตรวจสุขภาพให้กับอิหม่าม คอเต็บ ผู้สอนศาสนาอิสลามทั่วประเทศเพิ่มเติมอีกเช่นเดียวกัน
      
                                 win win win

))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))

                                
                         เวชศาสตร์ป้องกัน

         การตรวจสุขภาพ พระสงฆ์ และ สามเณร เป็นกุโศลบาย ในการเริ่มดำเนินการเวชศาสตร์ป้องกัน ขยายไปที่ละกลุ่มก่อน เมื่อกลุ่มที่ได้รับการตรวจร่างกาย และ ดูแลสุขภาพตั้งแต่เบื้องต้น ค่าใช้จ่ายในการดูแลที่รัฐ ต้องจ่ายให้จะลดลงนำไปขยายการตรวจสุขภาพให้กลุ่มอื่น ๆ ต่อไป ยิ่งประชาชนได้ตรวจสุขภาพมากเท่าไร ค่าดูแลสุุขภาพก็จะลดลงเท่านั้น จนขยายไปเป็นประชาชนได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีทุกคน ผลทำให้ค่าดูแลสุขภาพของประชาชนลดลง ทำให้เกิดสุขภาพดีในราคาประหยัดจากการ

         ใช้ เวชศาสตร์ป้องกัน มากขึ้น จนทำให้ เวชศาสตร์รักษา ลดลงไป
           ผลทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศลดลงไปได้ในที่สุด


                                    รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #9 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2553, 07:53:53 »


                              

             คลังไฟเขียวข้าราชการตรวจสุขภาพ ร.พ.เอกชน เบิกได้

                           เพื่อนำเวชศาสตร์ป้องกันมาใช้


ที่กระทู้ http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,7201.0.html


                                               รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><