02 มิถุนายน 2567, 12:15:28
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 616 617 [618] 619 620 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3290086 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15425 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2558, 21:00:19 »



ที่อยู่ของมาร  สัตว์  ทุกข์  และโลก

ปฐมสมิทธิสูตร
เวฬุวัน : พระสมิทธิทูลถามพระพุทธองค์ว่า ที่พูดว่ามาร  มาร นั้น หมายถึงอะไร? ตรัสตอบว่า

"สมิทธิ! จักษุ  รูป  จักษุวิญญาณ (และ)สิ่งที่รู้ได้ด้วยจักษุวิญญาณ (รวมถึงหู-เสียง...จมูก-กลิ่น...ลิ้น-รส...กาย-โผฏฐัพพะ...ใจ-ธัมมารมณ์) มีอยู่ ณ ที่ใด  มาร หรือสิ่งที่เรียกว่ามาร ก็มีอยู่ ณ ที่นั้น"

"สมิทธิ! จักษุ  รูป  จักษุวิญญาณ (และ)สิ่งที่รับรู้ด้วยจักษุวิญญาณ  ฯลฯ ไม่มี ณ ที่ใด  มาร หรือสิ่งที่เรียกว่ามาร ก็ไม่มี ณ ที่นั้น"

ทุติยสมิทธิสูตร
พระสมิทธิทูลถามว่า  ที่พูดว่า สัตว์  สัตว์นั้น หมายถึงอะไร? พระดำรัสเหมือนในปฐมสมิทธิสูตร(เปลี่ยนมารเป็นสัตว์)

ตติยสมิทธิสูตร
พระสมิทธิทูลถามว่า ที่พูดว่า ทุกข์  ทุกข์นั้น หมายถึงอะไร?  พระดำรัสตอบเหมือนในปฐมสมิทธิสูตร (เปลี่ยนมารเป็นทุกข์)

จตุตถสมิทธิสูตร
พระสมิทธิทูลถามว่า  ที่พูดว่า โลก  โลกนั้น หมายถึงอะไร? พระดำรัสตอบเหมือนในปฐมสมิทธิสูตร (เปลี่ยนมารเป็นโลก)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15426 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2558, 13:12:24 »



ร่างกาย-จิตใจ ที่เราหลงว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นของเรา นั้น แท้ที่จริงเราต้องเข้าใจเสียใหม่ว่า มันเป็นเพียง "รูป-นาม" ที่จิต มันมาอาศัยอยู่ในร่างกายนั้น หรือ
ประกอบไปด่วย ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป  เวทนา สัญญา  สังขาร  วิญญาณ

รูป  ก็คือร่างกายที่เห็น ประกอบไปด้วยอวัยยวะ ๓๒ ที่เกิดจากธาตุดิน  น้ำ  ลม ไฟ มาประชุมกัน
นาม นั้น คือธรรมชาติของการรู้อารมณ์ ที่ไม่มีตัวตน ที่ประกอบไปด้วย เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ

และร่างกายนั้น อาศัย"อายตนะ ภายใน ๖" เป็นประตูสำหรับรู้อารมณ์ที่มากระทบ นั่นคือ ทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ"

อายตนะภานนอก ๖ คือ สิ่งที่อายตนะภายใน ๖ ไปสัมผัสใน รูป(สี)  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ(ได้สัมผัสทางกาย) ธัมมารมณ์(ใจนึกคิด) จนเกิดวิญญาณ คือ จักษุวิญญาณ  โสตวิญญาณ  ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ  กายะวิญญาณ มโนวิญญาณ และตามมาด้วยเวทนา(สุข  ทุกข์  ไม่สุขไม่ทุกข์)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15427 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2558, 16:04:16 »



มาร คือความคิดปรุงแต่งที่มายั่วยวนทำให้จิตเกิดความโลภ  ความโกรธ ความหลง และเผลอกระทำตามที่จิตมันต้องการ

ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ แต่ทุกข์ในที่นี้คือความไม่สบายใจ เป็นส่วนใหญ่

สัตว์ ในที่นี้คือ อัตตาที่เกิดขึ้นในความคิดที่หลงไปยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

โลก ในที่นี้คือธรรมชาติทั้งหมด ที่อยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้

จะเห็นได้ว่า ธรรมชาติ ทั้งหลายมันก็พึงมี พึงเป็น เกิดขึ้น ดับไปตาเหตุ-ปัจจัยของมันเป็นธรรมดาปกติ

แต่เพราะ มนุษย์ ไปผัสสะธรรมชาตินั้น ทางทวารทั้ง ๖ ทั้งอายตนะภายใน ผัสสะ อายตนะภายนอก จึงเกิดวิญญาณ รู้ จ้งทางอายตนะนั้น แล้วก็เกิดเวทนา ชอบ และไม่ชอบ อันทำให้เกิดอารมณ์ปรุงแต่งขึ้นมา ล้วนนำทุกข์มาให้

ดังนั้น เมื่อใดอายตนะภายใน ผัสสะ อายตนะภายนอก เกิดวิญญาณ แต่เพราะเรามีสติเป็นเครื่องยึด ไม่หลงปรุงแต่งไปตามเจตสิกนั้น เราก็สามารถวางอุเบกขาเอาไว้ได้ ความเป็นจริงมันเป็นเช่นนี้ มันเป็นธรรมชาติเป็นความจริงที่ มนุษย์ จะต้องทราบ หรือเห็นด้วยสติของตนเอง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15428 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2558, 20:14:39 »



พญามาร มาร มาร และมาร !

มาร ที่แท้จริงก็คือความคิดของเรานั่นเอง รวมทั้งสัญญา(ความจำได้หมายรู้)

ทุกวันนี้เรากลัวผี กลัวต่าง ๆ นา ๆ ล้วนเกิดจากการคิดไปเองทั้งนั้น ทั้ง ๆ ที่บางครั้งมันยังไม่เกิดขึ้นเลยก็กลัว เกลียดชัง มันเสียอย่างนั้น

มาร มันไม่มีตัวตนเลย  ความคิดมันก็ไม่มีตัวตน แต่เราทำไม? ต้องผจญกับมันเล่า  เจ้ามารเอ๋ยมาร

การที่จะเอาชนะความคิดของเราได้นั้น มีทางเดียวคือทางสายเอก นั่นคือ การมีสติ  เจริญสติให้มากขึ้น ๆ จนอยู่กับสติ  มารมันก็ไม่มาเบียดเบียนแต่ประการใด ความสุข สงบเพราะไม่คิดก็จะเกิดขึ้นได้

ดังนั้น มาร พญามาร อย่าไปกลัวมันเลย

กลัวความคิดตนเองที่มันคิดดีกว่าด้วยการมีสติ(ตั้งสติปัฏฐาน ๔) เพราะเมื่อมีสติ จนเป็นสมาธิ มาร พญามาร มันก็หนีหมดแล้ว(เพราะมันไม่คิด)

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15429 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2558, 20:50:37 »



อุปเสนสูตร
ความคิดของพระอรหันต์ก่อนดับขันธ์

คราวหนึ่ง ขณะพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ป่าสีตวันเงื้อมเขาสัปปโสณฑิกะ กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วยพระสารีบุตรและพระอุปเสนะ มีงูพิษตัวหนึ่งตกลงที่กายของพระอุปเสนะ พระอุปเสนะเรียกภิกษุทั้งหลายให้มายกท่านขึ้นเตียงเพื่อไปวางข้างนอก(ถ้ำ)ก่อนที่กายจะเน่าพรุนเพราะพิษงู  พระสารีบุตรกล่าวกะท่านว่า ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงที่กายของท่านเลย ทำไมจึงพูดอย่างนั้น?

พระอุปเสนะกล่าวกะพระสารีบุตรว่า  ใครที่คิดว่าเราเป็นตา  หริอตาเป็นของเรา...เราเป็นใจ หรือใจเป็นของเรา  ก็แสดงว่า กายของเขา อินทรีย์ของเขา ยังมีการแปรปรวนเป็นอย่างอื่น สำหรับกระผม  หาได้มีความนึกคิดอย่างนั้นไม่  แล้วกายจักเป็นอย่างอื่น อินทรีย์จักแปรปรวนเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร

พระสารีบุตรกล่าวรับรองว่า พระอุปเสนะไม่มีอหังการ มนังการ และมานานุสัย(เป็นพระอรหันต์)มานานแล้ว  ความคิดนึกในทางยึดถือกายจึงไม่มีอยู่เลย

และเมื่อภิกษุทั้งหลายยกพระอุปเสนะไปวางข้างนอก  กายของท่านก็เน่าพรุนให้เห็นกับตา
(พระอุปเสนะ นั้นเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ชื่อเต็มคือ อุปเสนะ  วังคันตบุตร  ได้รับเอตทัคคะว่าเป็นเลิศในทางเป็นที่เลื่อมใสของคนทั่วไป)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15430 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2558, 07:19:08 »



สวัสดี ทุกท่านครับ

วันนี้ได้หุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน

จิตของพระอรหันต์นั้น ท่านอยู่ด้วยสติ ณ ปัจจุบัน ท่านไม่ยึดมั่น ถือมั่นว่า นี่คือเรา นี่คือตัวตนของเรา นี่คือของเรา และมีเราเข้าไปเป็นเลย เมื่อไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย จิตจึงไม่ได้ปรุงแต่งไปตามผัสสะของอายตนะ แต่ประการใด

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15431 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2558, 07:22:52 »



อุปวาณสูตร
ธรรมที่ได้บรรลุคืออย่างไร ?

วันหนึ่ง  พระอุปวาณะเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ทูลถามว่า  ธรรมที่ผู้บรรลุเห็นได้เอง(สนฺทิฏฺฐิโก ธมฺโม)  ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา(อกาลิโก) ควรชี้ชวนมารู้เห็น(เอหิปสฺสิโก) ควรน้อมเข้าสู่ใจตน(โอปนยิโก) อันวิญญูชนรู้ประจักษ์แก่ใจตนเอง(ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ)นั้น  หมายถึงอย่างไร?

มีพระดำรัสตอบว่า

"อุปวาณะ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้วรู้เสพรูป(รูปปฏิสํเวที) และรู้เสพความใคร่ในรูป(รูปราคปฏิสํเวที) แล้วรู้ชัดซึ่งความใคร่ในรูปทั้งหลายซึ่งยังมีอยู่ภายในจิตว่า เรายังมีความใคร่ในรูปภายในจิต  อาการที่ภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว รู้เสพรูป  รู้เสพความใคร่ในรูป...อย่างนั้นแล  เป็นธรรมที่ผู้บรรลุเห็นได้เอง..."

ในการฟังเสียงด้วยหู  ดมกลิ่นด้วยจมูก  ลิ้มรสด้วยลิ้น  ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย  รู้แจ้งธัมมารมณ์ด้วยใจ  ก็เหมือนกัน

แล้วตรัสในอีกแง่หนึ่งว่า  เมื่อภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้วรู้เสพรูป  แต่ไม่รู้เสพความใคร่ในรูป  แล้วรู้ชัดซึ่งความใคร่ในรูปซึ่งไม่มีอยู่ภายในจิต(ของตน)ว่าเราไม่มีความใคร่ในรูปอยู่ในจิต (ในการฟังเสียงด้วยหู  ดมกลิ่นด้วยจมูก  ลิ้มรสด้วยลิ้น  ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย  รู้แจ้งธัมมารมณ์ด้วยใจ ก็เหมือนกัน) อาการอย่างนี้ก็เป็นธรรมที่ผู้บรรลุเห็นได้เอง...

(หมายความว่า  การรู้แจ้งชัดว่าตนมีความใคร่ หรือรู้แจ้งชัดว่าตนไม่มีความใคร่ในรูป(เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์)เป็นต้น  จัดว่าเป็นธรรมที่ผู้บรรลุเห็นได้เอง  เป็นธรรมที่ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา...พระดำรัสนี้แสดงความหมายของบทธรรมคุณที่ว่า "สันทิฏฐิโก อกาลิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ" นั่นเอง)


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15432 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2558, 07:55:39 »



ธรรมของพระพุทธองค์นั้น ท่านไม่สามารถเข้าใจมันได้จากการท่องจำ  หรือด้สยวิธีตามที่ท่านได้เคยศึกษาเล่าเรียนมา

แต่ถ้าท่านตั้งสติปัฏฐาน ๔ จนเป็นสมาธิอย่างน้อยละนิวรณ์ ๕ ได้ แล้วท่านได้ฟังธรรม หรือ เอาสติมาพิจารณาธรรมที่เกิดขึ้นกับท่านตลอดเวลาทางอายตนะ ท่านก็จะรู้แจ้ง เห็นจริงในธรรมนั้น ด้วยตัวของท่านเอง

เมื่อท่านมีศีล  มีจิตเป็นกุศล  ท่านก็จะสามารถยังยั้งชั่งใจ ไม่เผลอปรุงแต่งไปในอารมณ์ที่ผัสสะนั้นได้ คือยังสามารถวางจิตของท่านได้ คืออุเบกขาที่สมควร

มันเป็นจริง ท่านสามารถรู้ด้วยตัวของท่านเอง ไม่จำกัดกาลเวลา

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15433 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2558, 09:19:38 »



ผัสสายตนสูตร
ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าไกลจากธรรมวินัย

ใน ๓ พระสูตรต่อไปนี้  พระพุทธองค์ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายด้วยเรื่องผัสสายตนะ ๖ คือตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  สรุปความดังนี้

ปฐมผัสสายตนสูตร
ตรัสสอนว่า ภิกษุผู้ไม่รู้ชัดถึงความเกิด  ความดับ  ส่วนดี  ส่วนเสีย  และวิธีสลัดพ้นจากผัสสายตนะ ๖ ตามความเป็นจริง ก็หมายถึงยังไม่จบพรหมจรรย์(ไม่สำเร็จอรหันต์) ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไกลจากธรรมวินัยนี้  มีภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลขึ้นว่า  ตนพินาศแล้ว เพราะไม่ได้เป็นอย่างที่ทรงกล่าวนั้น

พระพุทธองค์ทรงให้ภิกษุนั้นตอบคำถามในเรื่องผัสสายตนะ ๖ ว่า พิจารณาเห็นอย่างไร? เมื่อเธอตอบได้ว่า ผัสสายตนะ ๖ ล้วนไม่ใช่ตน  ไม่ใช่ของตน  จึงตรัสว่า  การพิจารณาเห็นอย่างนั้นถูกแล้ว  เป็นการเห็นด้วยสัมมาปัญญา  เป็นที่สิ้นสุดแห่งทุกข์

ทุติยผัสสายตนสูตร
ใจความเหมือนในปฐมผัสสายตนสูตร  ต่างกันที่พระดำรัสถามให้ภิกษุตอบ  ซึ่งก็ได้คำตอบเหมือนกัน

ตติยผัสสายตนสูตร
ทรงให้ภิกษุตอบคำถามในเรื่องผัสสายตนะ ๖ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา  เมื่อภิกษุทูลตอบได้ถูกต้อง  ก็ตรัสว่า  อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้อย่างนี้  ย่อมหายติดในผัสสายตนะ ๖ เมื่อหายติดก็หมดใคร่  เมื่อหมดใคร่ก็หลุดพ้น...

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15434 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2558, 10:02:12 »





เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลก
แต่การเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนั้น ต้องอยู่ในศีล  สมาธิ  ปัญญา  รู้เท่าทันจิตตนเอง และประพฤติแต่สิ่งที่เป็นกุศล

ความดีที่สร้างเอาไว้ยามมีชีวิตอยู่  จะทำให้ชนม์รุ่นหลังยังระลึกถึง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15435 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2558, 10:05:36 »



วันนี้เป็นวันถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสังวรฯ ไม่มีฌอกาสไปร่วมงาน ขอน้อมส่ง รูป-นามของพระองค์ ด้วยจิตที่มีสติ เป็นกุศล อยู่ในศีล  สมาธิ  ปัญญา  แทนครับ

สาธุ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15436 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2558, 10:06:33 »



      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15437 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2558, 10:07:06 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15438 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2558, 10:08:00 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15439 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2558, 10:08:45 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15440 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2558, 19:40:29 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15441 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2558, 20:55:10 »



ธาตุขันธ์ กลับสู่ ธาตุดิน  น้ำ  ลม  ไฟ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15442 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2558, 20:57:23 »



การแสดงโขนหน้าไฟ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15443 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2558, 06:15:50 »



อะนิจจา  วะตะ  สังขารา,
สังขารยี้  ไม่เที่ยงหนอ

อุปปา ทะวะยะธัมมิโน,
มีการเกิดขึ้นแล้ว  ย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา

อุปปัชชิตะวา  นิรุชฌันติ,
เมื่อเกิดขึ้น  ย่อมดับไป

เตสัง  วูปะสะโม  สุโข,
ความเข้าไประงับแห่งสังขาร คือความคิดปรุงแต่งนี้เสียได้  ย่อมเป็นสุข ดังนี้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15444 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2558, 11:10:37 »



การวางจิตของตนเองเมื่อเฉียดความตาย !

สวัสดี ทุกท่านครับ

เมื่อคืน นึกว่าจะหมดสติเสียแล้วเรา เมื่อเรารู้สึกตัวเราไม่สบายมีอาการหนัก คือหายใจไม่ค่อยออก หายาดมไม่ทัน อ่อนแรง ตัวเย็นเฉียบ เหงื่อไหล ใจสั่นหวิว จะหมดสติ

เราทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ทัน รู้เหตุแห่งการเกิด ได้แต่วางจิตของตนเองอยู่ที่กาย ที่ลมหายใจ หายใจให้ลึก ๆ อย่าหยุดหายใจ เมื่อเราห่นใจมันก็ไม่ตาย และเมื่อสติมันเกิด ความคิดปรุงแต่ง เรื่องการป่วย  อาการป่วย ความสิตกกังวล ความกลัวมันก็ไม่เกิดขึ้น

เมื่อยังหายใจได้  มีสติรู้ตัว ความคิดมันก็ไม่เกิด  เราก็ได้แต่ปล่อยธรรมชาติกายมันปรับปรุง แก้ไขสมดุลย์ตัวมันเอง

เมื่ออาหารเป็นพิษจนเราจะหมดสติ ร่างกายมันก็สำรอกออกมาทางปาก  ขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ เราก็รู้ตัวว่าเรารอดแล้ว ยังหายใจ และหายใจดีขึ้น ไม่ติดขัด ใจก็ไม่สั่น เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น

ดังนั้น เมื่อเราไม่สบายหนัก  จงรักษาจิตของเราให้เป็นปกติ ด้วยการมีสติ ละนิวรณ์ ๕ ให้ได้อย่างน้อย อย่าไปหลงปรุงแต่งตามความคิด วางอุเบกขา สร้างสติให้ผ่าน เราก็จะผ่านมันได้ หรืออย่างเลวร้ายสุด ๆ คือตายไปกับสติ นั่นละดี

เราสามารถมีชีวิตรอดได้อีกคืนหนึ่ง ไม่หมดสติเพราะความเจ็บป่วย ด้วยสติ หรือการรู้สึกตัว ไม่หลงอยู่ในเวทนา และไหลไปกับความคิดที่มันกลัวตาย

สวัสดี ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15445 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2558, 14:11:36 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15446 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2558, 14:12:11 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15447 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2558, 14:12:43 »



อัฏฐิธาตุ เหลือเพียงธาตุดิน(ส่วนที่เป็นของแข็ง)
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #15448 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2558, 17:10:10 »

      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15449 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2558, 19:48:20 »

ขอบคุณมากครับ

คุณวีระ  ด่านประดิษฐ์

และขอให่ได้รับพรนั้น เช่นกันครับ

สวัสดีปีใหม่ ครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 616 617 [618] 619 620 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><