24 เมษายน 2567, 06:59:37
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 635 636 [637] 638 639 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3235942 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15900 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2559, 14:57:52 »



::: ความจริง อยู่ก่อน ความคิด :::

ขอเพียงเธอ ไม่คิด
ตัวตนเธอ ก็ไม่มี
.
ดังนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่ง
ที่จะกลับสู่ความจริง
ทำอะไรก็ได้ ที่สงบ สบาย
(แต่ไม่ใช่เหม่อลอย ไหลๆ ไม่รู้ตัว
แต่มี สติ เบาๆ กำลังดี ระลึกรู้อยู่)
ทั้งนี้ก็เพื่อ วางใจ ของเธอ
ให้อยู่ในอาการที่ไม่ได้คิด
ไม่หมกมุ่นกับความคิด
.
เพราะ การไม่คิด คือ
การสัมผัสความจริง
.
ความคิด คือ ความคิด
ความคิด ไม่ใช่ ความจริง
.
ความจริง คือ ความจริง
.
ความจริง จะถูกสัมผัสได้
ก็ต่อเมื่อ ไม่มีความคิด ...
.
เพราะ ความคิด บัง ความจริงเสมอ
.
คิด = สังขาร
แปลว่า ปรุงแต่ง
make up ...
แล้วมันจะเป็นของจริงได้อย่างไร
.
ดังนั้น
ความรู้สึกตัว คือ การขยับใจ
ให้เป็นหนึ่งเดียวกับความจริง
.
เช่นกัน สติปัฏฐาน 4
ของพระพุทธองค์ ก็ล้วนชี้ให้เรา
รู้ เห็น สิ่งที่เกิดขึ้น อย่างที่เป็นจริง
ใน กาย เวทนา จิต และ ธรรม
คือ การวางสติ รู้ ใน กาย ใจ นั่นเอง
.
รู้ อย่าง ที่เป็น
.
รู้ ความจริง อย่างที่เป็น
.
.
นี่คือ การสร้าง พระที่แท้จริง
คือ มหากุศลที่แท้จริง
คือ การสร้าง พุทธะ ในใจเรา
.
เมื่อเธอไม่คิด
ตัวตนเธอย่อมไม่มี
เมื่อตัวเธอ ไม่มี
พุทธะ ย่อมปรากฏ
.
.
เมื่อมี เธอ ย่อมไม่มี พุทธะ
เมื่อมี พุทธะ ย่อมไม่มี ตัวเธอ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15901 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2559, 09:13:36 »



สติที่เป็นเอง
สติที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
สติที่เป็นอัตโนมัติ
จะเป็นสติที่มีกำลัง ต่างกันกับสติที่เรามีเจตนาสร้างขึ้นจะมีกำลังอ่อนกว่าที่จะจัดการกับกิเลส
=========

สติ(สัมมาสติ) ก็คือ
การรู้สึกตัวโดยธรรมชาติ
โดยไม่มีการปรุงแต่งใดๆ
ไม่มีความหมายใดๆ มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ

ความคิดนั้นไม่ใช่สัมมาสติ
เพราะมีการปรุงแต่ง คําว่าสติที่ใช้กัน นั้นก็แยกออกเป็นสติแบบโลกๆเป็นความคิดมีการปรุงแต่ง กับสติที่เป็นสัมมาสติ เป็นการรู้สึกตัวโดยธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่ง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15902 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2559, 10:04:45 »



สวัสดี ทุกท่านครับ
วันอาทิตย์ เป็นวันครอบครัว เป็นวันพักผ่อน อยู่บ้าน สำหรับพี่สิงห์  เช้าก็ออกจากบ้านตั้งแต่ 05:00 น. ไปเดินออกกำลังกายตีกอล์ฟ มีสติ แต่สตินั้นยังไม่เป็นสัมมาสติ เพราะยังประกอบไปด้วยความอยาก มีการคิดเกิดขึ้น แต่ยังมีศีล คอยควบคุมกาย แต่ยังมีตัวกู  ของกู  อยู่

แต่เราก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน กายจำเป็นต้องดูแล ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ป่วย  ถ้ากายป่วย  จิตมันก็ป่วยได้ เพราะกายอาศัยจิต  และจิตก็อาศัยกาย เช่นเดียวกัน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15903 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2559, 11:17:39 »



ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ มันเป็นธรรมชาติ มีทั้งเกิดขึ้นเอง และถูกสร้างขึ้น

แต่ธรรมชาตินั้น จะเป็นธรรม เมื่อมันมากระทบ(ผัสสะ)กับอายตนะภายในอันประกอบด้วย ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย ซึ่งเป็นประตูการรับรู้ของรูป(ร่างกายมนุษย์) เกิดการรู้แจ้งที่เรียกว่า วิญญาณ เช่น จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ผัสโสวิญญาณ การรู้แจ้งในอารมณ์ นี้คือธรรม

ธรรม เป็นอารมณว่างเปล่า ไม่มีตัวตนใด ๆ สภาวะที่เกิดขึ้นกับกาย ก็คือสภาวะธรรมทางกาย สภาวะที่เกิดขึ้นกับนาม คือสภาวะธรรมทางใจ

แต่เพราะความเคยชินมาตั้งแต่เกิด มีสัญญา และได้เคยผัสสะมาก่อน จิตจึงปรุงแต่งแบบอัตโนมัติ เมื่อรู้แจ้งทางอายตนะ เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน จึงไม่เห็นสภาวะธรรม ที่เกิดก่อนการคิดนั้น

พระพุทธองค์ จึงสอนให้ตั้งสติปัฏฐาน ๔  จะทำให้สามารถแยกรูป  แยกนามออกมาได้ เป็นผู้ดู  ไม่เป็นผู้เป็น จึงสามารถเห็นสภาวะธรรมนั้นได้ เมื่อเห็นก็ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ให้มีสติ เพราะการมีสติ มันจะไม่คิด  ท่านให้ฝึกไปเรื่อย ๆ ให้สติมีกำลังมาก ๆ นี่เป็นพื้นฐานในการตั้งสติปัฏฐาน ๔

ใจ นั้นต้งตามมันให้ทัน  อย่าไปหลงกับมัน อย่าไปหลงไปกับความคิด  มันสามารถทำได้  ถึงไม่มาก แต่อย่างน้อย ความสงบก็เกิดขึ้นกับเราได้ เพราะเราเห็นความจริงในธรรมนั้นแล้ว  เราก็จะเบื่อหน่ายในรูป-นาม ลงได้ เพราะมีแต่ทุกข์ มันก็จะปล่อยวาง ตัวกู  ของกู  ลงได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15904 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2559, 18:05:40 »



หน่อไม้ป่า

หาเงินด้วยความบริสุทธิ์  แม้ได้ไม่มาก แต่สุขใจ  มีค่ามาก เพราะหาด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเอง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15905 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2559, 18:07:55 »



หน้าฝน หน่อไม้ป่ากำลังออก  แต่ต้องเปื้อนโคลน ในการไปเก็บ มาขาย
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15906 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2559, 18:09:31 »



เธอมีสมาธิ กับการตั้งใจวาง  เพื่อให้ขายได้  ได้เงินมาใช้จ่าย

ใสซื่อบริสุทธิ์  จริง ๆ ในกิริยามารยาท

สาธุ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15907 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2559, 19:14:04 »





 ดอกของต้นโพธิ์ 100 ปีจะออกดอก 1 ครั้ง ขอบุญบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้ผู้ได้เห็นจงมีความสวัสดีทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป ในขณะนี้เวลานี้ด้วยเทอญ...^_^

สาธ สาธุ สาธุ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15908 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2559, 11:01:38 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15909 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2559, 11:02:08 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15910 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2559, 12:47:33 »



ทำดีต้องดีที่ใจด้วย

ความทุกข์ใจ ต้องอาศัยทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน นั่นหมายความว่า คำต่อว่าด่าทอ เสียงดัง แดดร้อน  ทำให้ทุกข์ใจไม่ได้ ถ้าใจเราไม่ไปร่วมมือด้วย หากว่ามีคนตะโกนด่า แต่เราไม่สนใจ ไม่นำพา เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จะเกิดความโกรธได้ไหม ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าใจเราไม่เอาคำเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์ หรือหวนระลึกนึกถึงคำเหล่านั้น
 

การกระทำก็เช่นเดียวกัน แม้จะมีคนมากลั่นแกล้ง เอาเปรียบ รบกวน รังควาน แต่ถ้าเราไม่เก็บเอามาคิด ไม่นำพาไม่สนใจ ความทุกข์ใจก็เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เรามีความทุกข์ใจ จะโทษรูปที่เห็น โทษเสียงที่ได้ยิน โทษใครต่อใครที่รู้จักอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องโทษที่ใจเราด้วย เป็นเพราะใจเรามีส่วนร่วม ไปสมยอมเปิดทางอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามาสร้างความทุกข์ใจให้กับเรา

เสียงธรรมจากพระอ.ไพศาล วิสาโล
บรรยายหลังสวดมนต์ทำวัตรเย็น
ตามลิงค์นี้เข้าไปฟังหรือโหลดได้เลย
https://archive.org/details/Visalo2016
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15911 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2559, 12:51:35 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15912 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2559, 12:53:32 »



พรรษานี้
ตั้งใจจะท่องบทสวนมนต์ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ปัญญาพึงมี

ได้สั่งซื้อ หนังสือสวดมนต์ มนต์พิธีชาวพุทธแปล  จำนวน ๕๐ เล่ม เอาไปไว้วัดพระนอน ให้ พระ - เณร อุบาสก - อุบาสิกา  ไดมีหนังสือสวดมนต์ ที่ตรงกัน ง่ายต่อการเปิดสวดมนต์

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15913 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2559, 15:19:05 »



จิต คือ ผู้รู้

=========
ธรรมข้อนี้ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยสอนแบบพิสดารว่า...

“ท่านเห็นกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
ท่านเห็นตัวที่อยู่ในกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
หลวงปู้ดูลย์ สรุปความเลยว่า ทั้งตัวที่เห็น และตัวที่ถูกเห็นในกระจกนี่ละตัวเกิด
นิพพานอยู่ตรงกลางระหว่างตัวรู้กับตัวถูกรู้ นั่นละ”
=========

มีผู้ถามว่า การที่จิตวิ่งออกมาไปจับตัวที่ถูกรู้ อาการเช่นนี้ ปฏิบัติได้หรือไม่?

ในการปฏิบัตินั้น หากจิตมีการเคลื่อนออกมา นั้นคือ จิตวิ่งออกมาจากฐานมาเสวยอารมณ์อันเนื่องมาจากเผลอ สติไม่ทัน
แบบนี้ละที่สายดูจิตอื่นพลาดไป เพราะไปตามอารมณ์แล้ว คิดว่านั้นคือการดูจิต
แต่ที่ถูกต้องแล้วหลวงพ่อ
ท่านมีปกติสอนเสมอๆว่า จิตที่จะข้ามภพข้ามชาติได้นั้น จะต้องเป็นจิตหนึ่ง
กล่าวคือ มีตัวรู้อยู่เป็นหนึ่งในอารมณ์เดียว ไม่เป็นสอง

ปกติของปุถุชน มักจิตส่งออกนอก โดยไม่เคยรู้เนื้อรู้ตัวเลย
แต่ผู้ที่ปฏิบัติมาบ้าง มักเผลอสติ ส่งจิตออกนอกโดยไม่ตั้งใจ เนื่องมาจากความไม่รู้นั่นเอง
แท้จริงแล้ว สิ่งที่ถูกรู้นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเผลอสติ ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ
นักปฏิบัติโดยมากมักขาดสติ จึงนิยมไปตามสิ่งที่ถูกรู้ จนลืมตัวผู้รู้

แต่ในทางการปฏิบัตินั้น หลวงพ่อเยื้อนท่านสอนลงรายละเอียดมากยิ่งกว่านั้น
กล่าวคือ ทั้งตัวรู้ และถูกรู้ ก็ไม่หมายเอาทั้งคู่
เพราะ ทั้งสองสิ่งนี้ ขนสัตว์โลก พาเวียนเกิดเวียนตายมาแล้ว นับภพนับชาติไม่ได้

ธรรมข้อนี้ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยสอนแบบพิสดารว่า...

“ท่านเห็นกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
ท่านเห็นตัวที่อยู่ในกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
หลวงปู้ดูลย์ สรุปความเลยว่า ทั้งตัวที่เห็น และตัวที่ถูกเห็นในกระจกนี่ละตัวเกิด
นิพพานอยู่ตรงกลางระหว่างตัวรู้กับตัวถูกรู้ นั่นละ”

ดังนั้น สิ่งที่ผู้สนใจปฏิบัติพึงมี คือ ควรพยายามทำจิตให้เป็นหนึ่ง(เอกัคคตารมณ์)
ก่อนอันดับแรก เพื่อไม่หลงไหลไปตามสิ่งที่ถูกรู้
ปฏิบัติให้รู้จนมีสติเกิดขึ้นกับตัวรู้จนเด่นชัดด้วยอำนาจของสติ

กล่าวสรุปคือ...

“หากผู้รู้อยู่ไหน ก็ให้มีสติตามไปที่นั้น”
เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติจะพบทางว่า การเรียนรู้จากตัวจิต คือการเรียนรู้จากผู้รู้นี่เอง
เป็นการเรียนลงไปในสิ่งที่เป็นสัจจะ คือของจริงที่มีประจำโลก ไม่เคยหายไปไหน
ทั้งพระพุทธเจ้า และหมู่สัตว์ก็มีของจริง คือ จิตดวงนี้เสมอเหมือนกันทุกนาม
การเรียนจากของจริงเช่นว่านั้น ไม่ใช่เรียนจากสิ่งจิตปรุงหลอก หรือที่บางท่านเรียกว่า เงาของจิตนั่นเอง

เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ท่านผู้ปฏิบัติจะค้นพบสัจธรรมอันเป็นความจริงได้เองว่า
ผู้รู้ก็คือ จิต นั่นเอง
ผู้รู้อยู่ที่ใด นั่นก็เรียกได้ว่า จิตก็อยู่ที่นั้นละ

หากเมื่อผุ้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงจิตหนึ่งได้แล้ว
ในขั้นนี้ จิตผู้รู้จะเริ่มทวนเข้าหาจิตเอง เนื่องจากอารมณ์ สังขาร สัญญา ภายนอกออกแล้ว
จิตจะสามารถแตกขันธ์ ออกได้เองว่า สิ่งใดเป็นจิต สิ่งใดเป็นสิ่งที่จิตปรุงขึ้น
แต่ขั้นนี้ เราอาจจะวางไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะจิตยังคงไม่มีกำลังในการพิจารณา และวางสิ่งเหล่านั้นลง
แต่จิตจะเริ่มทวนกระแสเข้าไปรับรู้สิ่งต่างๆ โดยสักแต่ว่ารู้ เห็น แล้ววาง

จิตนั้นจะเริ่มเป็นปัจจุบัน เพราะ จะวางสิ่งที่พะรุงพะรัง ไม่กลับหวนนึกถึงอดีต และไม่มีความกังวลกับอนาคต
แต่จิตจะดิ่งไปสู่ปัจจุบัน เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น โดยไม่ยึดถือ
จิตจะวางเอง เพราะเห็นสิ่งที่เป็นจริงแล้ว สิ่งใดที่เป็นเงาของจิต เป็นอารมณ์ เป็นสัญญา เป็นสังขาร ที่รกรุงรัง จิตจะไม่ให้ความสนใจอีก
ดังนั้น ที่ว่าดูจิตๆ บางครั้งนักภาวนามักหลงเข้าไปไปดูอาการของจิต เช่น รู้ว่าโกรธ รู้ว่าฟุ้งซ่าน รู้ว่าดีใจ เสียใจ สิ่งเหล่านี้คือไปรู้สิ่งที่ถูกรู้ทั้งสิ้น ไม่ใช่จิต
เหตุที่เราไปหลงดูเงาในกระจกแบบนี้ ก็เพราะขาดสตินั้นเอง

หากจะกล่าวโดยธรรมดา ก็อาจจะกล่าวได้ว่า จิตเกิดสามารถเกิดนอกฐานที่ตั้งจิตก็ได้ จะไปตั้งที่ไหนก็ได้
แต่เราไม่พึงปฏิบัติเช่นนั้น เพราะจิตเป็นนามธรรม จิตที่สามารถจรไปจรมา นั่นคือ จิตที่วุ่นวาย เร่ร่อน ไม่เป็นหลักเเหล่ง
จิตแบบนี้เองที่ไม่มีกำลัง ไม่สามารถสงบเป็นสมาธิได้ เมื่อไม่มีสมาธิเป็นฐาน ปัญญาก็ไม่เคยเกิด

เหตุที่ต้องสมมติฐานที่ตั้งของจิต ขึ้นมา ก็เพื่อให้ทราบตำแหน่งที่แน่นอนของจิตนั่นเอง
แต่เหตุที่เราต้องสร้างฐานให้จิตอยู่ทีเดิม ก็เหมือนกับสร้างบ้านให้จิตอยู่ ก็เป็นเสมือนฐานที่ตั้งให้จิตมั่นคง
เป็นการสร้างฐานกำลังของจิตที่เรียกว่าสมาธิ เมื่อเรามีบ้านอยู่หลักแหล่งแล้ว เราจึงเรียกให้ยาม คือ สติสัมปชัญญะ นั่นครับมาเฝ้ารักษาบ้านเราได้
เมื่อจิตไม่เร่ร่อน จนมีความมั่นใจในความปลอดภัย เมื่อนั่น จิตจะตั้งใจเอง
โดยไม่ต้องกำหนดใจให้เป็นสมาธิ นี่คือ สมาธิที่แท้จริง

สมาธิที่ต้องเข้าๆออกๆ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ...
สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่เกิดโดยธรรมชาติ ปราศจากความตั้งใจ แต่เป็นภาวะของจิตที่ตั้งมั่น มั่นคงด้วยสติ สติสัมปชัญญะ เป็นสมาธิโดยธรรมชาติ

เหตุผลง่ายๆของการระลึกฐานที่ตั้งของจิต ก็เพื่อ สมมติให้จิตมีที่อยู่ มีที่ตั้งแน่นอน และเป็นเครื่องหมายของการกำหนดสติของเราเท่านั้นเอง

เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว จิตที่ตั้งมั่นอยุ่ในฐานที่ตั้งมั่นของจิต จิตจะมีสติกำหนดจิตอยู่ในฐานที่ตั้งดังกล่าว หากผูรับฟังสัมผัสทางหู
หูก็จะรับหน้าที่รับเสียงไป แต่จิตอยู่ในฐานไม่ออกมารับ หากตาเห็นรูป ตาก็มีหน้าที่รับภาพไป แต่จิตไม่ส่งออกมารับ

ผู้ปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว จะค้นพบว่า จิตมันเหมือนมีชีวิต อีกชีวิตหนึ่งที่ไม่ข้องกับร่างกาย ร่ายกายทำไรๆทำไป แต่ใจก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่สนใจ
เมื่อถึงตอนนี้ เราจะแยกออกได้แล้วว่า จิตนั้นมีหน้าที่รับรู้ ส่วนสังขารเค้าก็มีหน้าที่ปรุงแต่ง สัญญาก็มีหน้าที่จำได้หมายรู้
ทุกอย่างทำงานปกติ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับจิต ต่างแยกหน้าที่กันทำ อยู่ด้วยกันแต่ไม่กระทบกัน

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากจะกล่าวการเริ่มต้น ก็คงไม่พ้นการกินน้ำเย็น ตามแบบฉบับของหลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
เพื่อให้นักปฏิบัติสามารถกำหนดฐานที่ตั้งของจิตให้ได้ แน่นหนามั่นคง
จนกลายเป็นจิตหนึ่งนั่นเอง
ส่วนที่เป็นรายละเอียดต่างๆ นั่น คือ ผลมาจากการที่ผู้รู้สอนเรานั่นเอง

อัศจรรย์ของจิต ที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งท้าทายว่า ท่านจงลองมาดูเถิด นับเป็นเวลากว่า 2556 แล้ว บัดนี้ ยังคงทรงพุทธานุภาพไม่เสื่อมสลายไปตามกาล
ธรรมย่อมประจักษ์แจ้งแก่ผู้ลงมือปฏิบัติตตามมรรคผลเสมอ ไม่เสื่อมคลาย...

พระพิศาลศาสนกิจ (พระอาจารย์เยื้อน ขนติพโล)
เจ้าคณะ จังหวัดสุรินทร์ วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร

Cr...FB คณะศิษย์พระอาจารย์เยื้อน...เขมปัญโญคฤหัสถ์ บันทึก....
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15914 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2559, 15:33:22 »

ทุกท่านควรอ่าน

รถหายในโรงแรม ห้างสรรพสินค้า สถานที่รับฝากรถ

กฎหมายออกมาแล้ว
ได้แก้ไขปัญหาเกียวข้องกับรถหายตามที่จอดรถสถานที่นั้นต้องรับผิดชอบทั้งหมดถือว่าเป็นสถานที่บริการลูกค้า......
ห้างสรรพสินค้าต้องรับผิดชอบกรณีรถลูกค้าหายในห้าง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีบัตรจอดรถให้เวลาจอดก็ตาม ตามคำพิพากษาศาลฎีกาใหม่ปี2558ข้างต้น กรณีรถหายในห้างโลตัสหรือห้างทั่วไปที่เป็นห้างสรรพสิ้นค้ามีข้อแนะนำถ้าขับรถเข้าจอดในห้างใดหรือเข้าพักในโรงแรมหรือรีสอร์ทใดไม่ว่าในกรุงเทพหรือต่างจังหวัด เราควรจะถ่ายภาพรถให้เห็นป้ายทะเบียนและให้เห็นสภาพสถานที่จอดใก้ชัดเจนว่าเป็นที่ใดด้วยโทรศัพท์มือถือ ถ้ารถหายในห้างอย่าเพิ่งโวยวาย ถ้ายังไม่มีใบเสร็จค่าสินค้าให้รีบเข้าซื้อสินค้าในซุปเปอร์เพื่อให้ได้ใบเสร็จว่าเราได้เข้ามาใช้บริการซื้อสินค้าในห้าง จากนั้นจึงแจ้งห้างว่ารถหายกับแจ้งความกับตำรวจถ่ายสำเนาใบเสร็จให้ไปแต่เราเก็บใบเสร็จตัวจริงไว้ถ้าห้างไม่จ่ายจะได้ใช้ใบเสร็จกับภาพถ่ายรถในโทรศัพท์มือถือเป็นพยานหลักฐานในการฟ้องร้องทางศาลซึ่งต้องฟ้องภายใน1ปีนับแต่วันรถหาย ถ้าเกิน1ปีคดีจะขาดอายุความ
 - ท่านอัยการแจ้งมาให้ทราบ
ข่าวดีสำหรับทุกท่านที่เอารถมา
จอดใช่สถานที่บริการลูกค้า
-ใบเสร็จซื้อสิ้นค้าเก็บไว้ให้ดี
-เข้าที่พักจ่ายเงินแล้วขอใบเสร็จทุกครั้งส่วนมากจะขอใบเสร็จเมื่อออกจากที่พักถ้าเกิด
รถท่านหายช่วงเวลาพักอยู่ทาง
ที่พักท่านจะออกใบเสร็จยาก(แง่กฎหมายที่มีใบเข้าพักสถานที่นั้นจะไม่รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุถือว่าฝากรถครับ)มากเอาใบเสร็จมาเก็บไว้กับตัวท่านทุกครั้งเมื่อเข้าพัก
- ถ่ายรูปให้ชัดเจน(ถ้ามีเด็กบริการให้จอดรถให้ถ่ายรูปประกอบมาด้วยก็ดีครับเป็นพยานสำคัญที่สุด
- ถ่ายรูปสถานที่ให้ชัดเจน
- สามารถฟ้องด้วยตัวเองไม่ต้องผ่าน เจ้าหน้า ตร.ครับ  หลักตามที่แจ้ง
ให้ทราบ ทุกท่านควรรู้ให้มาก
  กฏหมาย เพื่อประชาชน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15915 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2559, 17:00:50 »



 เพียงแค่รู้

ไม่ต้องมากไปกว่ารู้

ก่อนจะฝึกดูใจนั้น
อยากให้ฝึกดูกายจนชํานาญก่อนครับ ผมเองไม่เคยฝึกดูใจเลย ฝึกแต่ดูกาย แต่พอดูกายไปเรื่อยๆ มันยกขึ้นมาดูใจได้เองครับ
ให้ดูกายให้ชํานาญ จะทําให้เราได้ทั้งกําลังของสมาธิที่ตั้งมั่นอยู่กับกาย และกําลังของสติที่มากขึ้นครับ
ที่นี้การฝึกดูใจคืออะไรยังไง คืออย่างนี้นะครับ การดูใจหรือการดูจิต เรานั้นดูจิตตรงๆไม่ได้ เลยใช้วิธีดูทางอ้อมโดยมาดูที่ " ความคิด หรือ อารมณ์ " นั้นเองครับ
ผมแนะนําให้ก่อนจะได้เห็นแนวนะ แต่ยังไงก็แนะนําให้ดูกายไปก่อนครับ
วิธีดูจิตหรือดูใจนะ
แค่ให้รู้ ความคิดหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้น จะสุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ ทุกข์ใจ โกรธ มีอะไรผุดขึ้นมาให้แค่ " รู้ " ขอยํ้านะครับว่าแค่ " รู้ " รู้แล้วให้ละไป อย่าไปตามยึดอารมณ์นั้นๆครับ
ที่นี้พอตอนแรกๆ ถ้าไม่ได้ฝึกดูกายมาก่อน มาดูใจเลย กําลังของสมาธิกับสติมันไม่มีกําลังหรือมีความไวพอครับ จะดูไม่ทัน! แต่ถ้าดูกายมาก่อนและ พอเห็นกายบ่อยๆ มันไม่ได้จะไปดูใจเลยนะ แต่ มันปรับยกขึ้นมาดูเองครับ
ที่นี้พอหัดดูใจ แล้วดูทันบ้างไม่ทันบ้าง ไม่เป็นไรครับ ถ้าดูรู้ทันตรงไหน ก็ให้รู้ตัวครับ เผลอก็ให้รู้ตัว จะรู้ทันใจ หรือ ไม่รู้ทันใจไม่เป็นไร แค่ให้รู้ตัวนะ! ตรงนี้สําคัญนะครับ เช่น เราโกรธ แต่เริ่มโกรธแล้ว มารู้ที่หลัง รู้ไม่ทัน ก็ให้แค่รู้ ว่าโกรธ แล้วปล่อย รู้ทันช่วงไหนก็ช่วงนั้น เมื่อเรารู้อย่างนี้ไปบ่อยๆ เราจะรู้ทันเร็วขึ้น จนเห็นโกรธตั้งแต่เริ่มแรกเลยครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15916 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2559, 08:03:45 »



 #มรณานุสติ#

เพื่อนคินหนึ่งถามผมว่าคนเรา

 “ตอนใกล้ตาย”
 มันมีความรู้สึกอย่างไร?

ผมตอบประสาซื่อว่า
 “ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า ก็ยังไม่เคยตายหรือใกล้ตายนี่หว่า”

เพื่อนอารมณ์เสีย ตอกกลับมาว่า

 “พูดกวนประสาทอย่างนี้ สงสัยเอ็งจะได้รู้ความรู้สึกใกล้ตายหรือตายจริงซะแล้ว”

ผมได้แต่หัวเราะ บอกว่า
ความจริงผมก็ติดตามหาอ่านและศึกษาเรื่อง “เกิดอะไรขึ้นตอนที่คนกำลังจะตาย” เหมือนกัน

ผมบอกเพื่อนคนนี้ว่า
 ถ้าเขาไม่ขู่ที่จะเอาชีวิตผม,
 ผมจะเล่าให้ฟังได้ว่าที่เขียนได้ยิน, ได้ฟัง, และได้อ่านมานั้น อาการของการ   “ตาย”
 ที่คนอื่นได้ศึกษามาหรือเคยได้พูดคุยกับคนมีประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) นั้นเป็นเช่นไร

เขาบอกให้ผมเล่าเสียโดยดี, หาไม่แล้ว, เขาจะส่งผมไปเจอประสบการณ์นั้นโดยด่วน

เพราะผมกลัวตาย ผมจึงรีบแสวงหาข้อมูลเรื่องนี้ให้เขา

คุณหัชชา ณ บางช้าง เคยค้นคว้าเรื่องนี้มาเขียนใน
 “ภาวะหลังตาย”

และเล่าว่า “กระบวนการตาย”
 ในระยะต่าง ๆ นั้นเป็นเช่นไร
ท่านบอกว่า
มันมี 4 ขั้นตอนอย่างนี้

๑. ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดินเริ่มสลายตัวกลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย ไม่มีแรง การมองเห็นต่าง ๆ เริ่มเสื่อม มองอะไร ๆ ก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัว ๆ ไปหมด ทุกอย่างที่เห็นเหมือนมองไปกลางถนนขณะแดดจัด ๆ ภาพต่าง ๆ จะเต้นระยิบระยับไปหมด

๒. ระยะที่น้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้น น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชา ๆ ตื้อ ๆ เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้ คือเริ่มไม่ได้ยินเสียงอะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ควัน

๓. ระยะนี้ไฟเปลี่ยนเป็นลม หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย รู้สึกหนาวจับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ หยุดหมด ลมหายใจอ่อนลงเรื่อย ๆ จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น

๔. ระยะนี้ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ  ตอนนี้  เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจจะหยุดหมด พลังงานทั้งหลายที่เคยไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง ไม่รับรู้เรื่องรสชาติใด ๆ
 ความรู้สึกสัมผัสหมดไป
 ความรู้สึกอยากโน่น อยากนี่ต่าง ๆ ที่เคยมีก็หมดไป
 มีความรู้สึกเหมือนอยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น

ท่านบอกว่า
ตอนนี้แหละที่
แพทย์จะประกาศว่าผู้ป่วยในความดูแล
“ถึงแก่กรรม” แล้ว (clinical death)

นั่นก็คือจุดที่    “เวทนา” ทั้งหมดดับไป
 สมองและระบบไหลเวียนต่าง ๆ ของร่างกายหยุดทำงานหมด

แปลว่ารูปและนาม หรือเบญจขันธ์ ตายไปแล้ว

ก็ต้องถกกันต่อไปว่า
 ถ้าเราเชื่อว่า วิญญาณยังอยู่ต่อเมื่อร่างกายสลายไป จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรต่อไป

อ่านเจออีกแหล่งหนึ่งเรื่อง

 “ลักษณะการตาย”

 ตามแนวคิดแบบ   “เซน”
 ที่คุณ “โชติช่วง นาดอน”
 เคยรวบรวมไว้ในหนังสือ
 “จิตคือพุทธะ”
เมื่อนานมาแล้ว

ท่านบอกว่าคนเราตาย
ได้สองลักษณะ คือ

 “ตายอย่างปราศจากที่พึ่ง”

 และ

 “ตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง”

คนที่ตายอย่างแรกนั้น
เวลาใกล้จะสิ้นลม มีอารมณ์ผิดไปจากปกติ
 จิตใจกลัดกลุ้มยุ่งเหยิง
 เรียกว่า    “จิตวิการ”
 ซึ่งหมายถึงจิตเกิดความปวดร้าวทรมานเพราะยัง   “ยึดติด”
 กับหลายเรื่อง

หรือที่ผมเรียกว่า

 “ไม่ยอมตายทั้ง ๆ ที่ต้องตาย”
 นั่นคือจิตใจยังติดข้องกับอุปาทาน ๔ ประการคือ

๑. ติดอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง

๒. ห่วงใยอาลัยในสิ่งที่เป็นรูป และอรูป โดยเห็นว่าเป็นของเที่ยง

๓. มีนิวรณ์ความวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน มาห้ามจิตมิให้บรรลุความดี

๔.มีความดูแคลนเมินเฉยในคุณพระรัตนตรัย

เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ตายลักษณะอาการอย่างนี้ เรียกว่าตายอย่าอนาถา

ส่วนการตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่งนั้นแปลว่า
คนใกล้ตายมีสติอารมณ์ผ่องใส ไม่หวั่นไหว และซาบซึ้งในวิธีของมรณกรรม
และยึดหลัก ๔ ประการคือ

๑. มีอารมณ์เฉย ๆ ซาบซึ้งถึงกฎธรรมดาแห่งความตาย

๒.ซาบซึ้งถึงสภาพการณ์สิ่งในโลกของความไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร

๓.รำลึกถึงกุศลกรรมที่ได้ผ่านมาในชีวิต
และเกิดปิติปลาบปลื้ม

๔.ยึดมั่นเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาจนสิ้นลมหายใจ

ด้วยเหตุนี้แหละ, ผมจึงเห็นว่าการ

   “  ฝึกตายก่อนตาย  ”
 ดั่งที่ท่านพุทธทาสเคยสอนเรานั้นเป็นเรื่องประเสริฐสุด

แต่คนส่วนใหญ่กลัวตาย แม้จะเอ่ยถึงคำว่าตายก็รับไม่ได้ เพราะถือว่า
เป็นการ  “แช่ง”  ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครหนีความตายได้แม้แต่คนเดียว

การเรียนรู้  “  มรณาอุปายะ ”
 หรือ  “ ฝึกตายก่อนตาย ”
 นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ
 ทำให้มันสนุกเสีย ให้มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นน่ายินดี ก็จะทำให้ความทุกข์ระหว่างมีชีวิตอยู่นั้นลดน้อยถอยลง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปก็ไม่ตกตื่นรันทดและทรมานเพราะความกลัวและความไม่ต้องการที่จะจากไป

ชาวพุทธที่ฝึกธรรมะในสาระจริง ๆ (ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วนึกว่าจะต้องไปสวรรค์โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรม)
ก็จะเข้าใจว่า   “ ขันธ์ทั้งห้า ”
 ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงและทรุดโทรม
 และท้ายสุดก็แตกดับไป และระหว่างที่มรณกาลมาถึงนั้น
ขันธ์ห้าก็ย่อมจะแปรปรวน จึงควรจะเตรียมตัวและเตรียมใจไว้

เมื่อความตายมาถึง,
 เราก็จะได้ไม่ทุรนทุราย และตายอย่างมีสติ และ

 “รู้เท่าทันความตาย”
 ซึ่งเป็นสุดยอดของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15917 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2559, 08:05:27 »





สวัสดี ทุกท่านครับ

วันนี้มาทำงานที่โรงงานบ้านแพ้ว  สมุทรสาคร
อาหารเช้าวันนี้เป็นธัญพืช

บางวันอาหารเช้าเป็นฝรั่ง มันก็อยู่ได้ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15918 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2559, 11:47:44 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15919 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2559, 11:52:38 »



ทรัพย์สิน เงินทอง สมบัติ มากมายใช้เวลาในการหา มาเกือบตลอดชีวิต  พอตายลงเอาอะไร? ไปไม่ได้เลย

สู้มาหาใจของเราให้เจอ  ด้วยการภาวนาดีกว่า มันยังเอาติดตัวไปได้  สุขสงบในชาตินี้  และอาจไม่ต้องเกิดอีกเลย

เห็นภาพนี้เรารู้สึกกลัว หนาวที่จะประสพ  ร้อนเพราะไฟเผา  แต่ความจริงเราหนีไม่พ้น  ก็ต้องเจอแบบนี้เช่นกัน มันกลัว หนาว ร้อน เพราะเราคิดขึ้นมาเองจากสัญญา  จริง ๆ มันยังไม่ได้เกิดกับเราเลยทั้งสิ้น  นี่ละเจตสิกธรรมละ ที่เราไม่เห็นธรรม  หรือเห็นแต่อุเบกขาไม่ได้มันก็คิด

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15920 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2559, 14:06:08 »









วันนี้ วันพระมาทำบุญ อยู่วัด ที่วัดพระนอน  สิงห์บุรี ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15921 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2559, 06:43:02 »

สวัสดี ทุกท่านครับ
วันนี้ ได้หุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน ก่อนออกเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช

จริง ๆ วันนี้ต้องไปแข่งกอล์ฟ Singha Super Senior Pro. ที่จัดโดย โปร.มานพ  ทับวิบูลย์  ที่ สนาม Royal Hill นครนายก  แต่มันรู้สึกเบื่อ เลยไม่อยากไป  ขอไปทำงานแทนดีกว่า ยังมีงานต้องทำ กำลังรอ start-up เครื่องจักร ที่นครศรีธรรมราช และพังงา  ที่โรงงานยังไม่เรัยบร้อยอีกมาก

สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15922 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2559, 13:33:29 »



อาหารเช้า ที่โรงแรมทวินโลตัส นครศรีธรรมราช
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15923 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2559, 13:34:44 »



อย่ามาวัดเพียงเพื่อพักร้อน

หลายคนคิดว่าความสงบใจจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความสงบจากสิ่งแวดล้อม จึงเลือกที่จะมาอยู่วัด หรือพยายามแสวงหาสถานที่ที่สงบ อย่างไรก็ตามถ้าเราจะรอแต่สถานที่ที่สงบ สงัด ไร้เสียงรบกวน เพื่อให้ใจเราสงบตามไปด้วย  เราอาจไม่พบความสงบใจเลยก็ได้ เพราะสถานที่สงบสงัดเดี๋ยวนี้หายากมาก และถึงแม้จะหาได้ ก็ใช่ว่าจะสงบไปตลอด สถานที่บางแห่งสงบสงัด ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีเสียงวิทยุ โทรทัศน์ แต่คนที่เราอยู่ด้วยอาจทำตัวไม่น่ารัก พูดไม่เพราะ ทำให้เราขุ่นเคืองหรือว้าวุ่นใจได้เสมอ

เสียงธรรมจากพระอ.ไพศาล วิสาโล
บรรยายหลังทำวัตรเย็นที่วัดป่าสุคะโต
ตามลิงค์นี้เข้าไปฟังหรือดาวน์โหลดได้เลย
https://archive.org/details/Visalo2016
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15924 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2559, 13:37:15 »



 แบ่งปันเพื่ออาจเกิดประโยชน์แค่ท่านค่ะ...

ครูบาอาจารย์ของป้าท่านเคยกล่าวว่า...เคยสังเกตุมั้ยว่า ตัวเราเองนั้นไม่สามารถที่จะอยู่นิ่งๆว่างๆได้นาน ไม่วิ่งหาอะไรทำ ก็วิ่งหาเพื่อนคุย วิ่งหาหนังสืออ่าน วิ่งหาสิ่งยึดเหนี่ยวให้กับจิตใจ แม้ว่าสิ่งที่วิ่งหานั้นจะเป็นไปในทางที่ดี ในทางธรรมก็ตามนั่นยังแสดงว่าตัวเราเองยังพึ่งตัวเองไม่ได้ ยังวิ่งหาแสวงหาที่พึ่งพาภายนอก ผู้ที่พึ่งพาตนเองไม่ได้จะเป็นผู้ที่หงอยเหงา เป็นผู้ที่ขาดอยู่เสมอ เลยต้องวิ่งหาสิ่งภายนอกมาเติมเต็มมาทดแทน

บุคคลใดที่พึ่งพาตนเองได้แล้วนั้น จิตใจมันจะนิ่งไม่หวั่นไหวสามารถตั้งอยู่ได้ในท่ามกลาง บุคคลประเภทนั้นเค้าจะมีกายใจเป็นที่อยู่อาศัย ความรู้สึกขาด ความรู้สึกเหงา ความรู้สึกว้าเหว่มันจะไม่มีเลย เพราะความรู้สึกนึกคิดที่มีนั้นมันจะพาไปคิดนึกระลึกถึง ลมหายใจบ้าง รู้สึกตัวบ้าง เดี๋ยวเห็นเดี๋ยวรู้มือยก เท้าย่าง เดี๋ยวก็เหมือนลืมไปบ้าง มันจะวนเวียนอยู่อย่างนี้ จะไม่ค่อยมีช่องว่างให้ต้องไปคิดว่าจะทำอะไรดี จะทำโน่นทำนี่ดีกว่าเพื่อจะได้ไม่ว่าง นี่ล่ะความต่างของผู้ที่พึ่งพาตนเองได้ เรียกว่า ผู้มีกำลังใจที่ดีงาม
เครดิต
.......ป้าพุทธะ......

ภาพในวัดป่าสุคะโตเช้านี้
มีสงบสงัดของป่า
แม่ออกมาที่วัดด้วยความสงบ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 635 636 [637] 638 639 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><