28 เมษายน 2567, 01:46:57
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 651 652 [653] 654 655 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3239629 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16300 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2559, 09:10:22 »



สวัสดี ทุกท่านครับ

ปีเก่า ๒๕๕๙ กำลังจะผ่านไป สิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่น่าจดจำ ก็ให้มันผ่านไปอย่าไปหวลระลึกถึงให้เกิดทุกข์เลย

ปีใหม่ ๒๕๖๐ กำลังจะมาถึง ก็ขอให้ทุกท่าน มีสติ มีธรรม เป็นตัวบังคับจิต(ถึงจะบังคับจิตไม่ได้ แต่ทำเหตุ-ปัจจัยให้เกิดด้วย ธรรม ก็จะไม่ทำให้ประพฤติผิดทางกาย วาจา ใจ ได้)

วันนี้ขอยกเอาเนื้อความในพระไตรปิฎก มอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ แด่ทุกท่านครับ

วิธีเจริญอานาปานสติ

๑. ท่านั่งสมาธิ คำว่า นั่งคู้บัลลังก์หรือนั่งขัดบัลลังค์ คือนั่งขัดสามาธิ โดยตั้งกายท่อนบนให้ตรง กระดูกสันหลัง ๑๘ ข้อมีปลายจดกัน ถ้าเอาขาไขว้กันเรียกว่า ขัดสมาธิเพชร หรือเอาขาขวาทับขาซ้ายก็ได้ มือขวาทับมือซ้ายบนตักชิดท้องน้อย นิ้วหัวแม่มือจดกัน หรือนิ้วชี้ขวาจดหัวแม่มือซ้าย ท่านั่งอย่างนี้ กล่าวกันว่า หนังเนื้อและเอ็นไม่ขด หายใจสะดวก แต่ถ้ามีอาการเกร็งหรือเครียดก็แก้ไขได้ เพราะท่านั่งไม่ใช่พิธีกรรมตายตัว

๒. อานาปานสติ เป็นการฝึกสติ ต่างจากการควบคุมลมหายใจแบบโยคะของลัมธิอื่น ซึ่งเน้นเฉพาะการฝึกหายใจ การฝึกลมหายใจแบบโยคะ พระพุทธองค์เคยทำมาแล้วในคราวบำเพ็ญทุกรกิริยา

๓. อานาปานสติสมาธิ ในหัวข้อนี้ ใช้บำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ด้วย จึงมีผล มีอานิสสงส์ มีอานุภาพมาก

สวัสดีครับ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16301 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2559, 09:35:12 »



อานุภาพและวิธีแห่งอานาปานสติ

ณ ที่นั้น พระบรมศาสดาทรงยกเรื่องอานาปนสติสมาธิขึ้นแสดงแก่ภิกษุทั้งหลายว่า สมาธิในอานาปานสติ อันภิกษุอบรมทำให้มากแล้ว ย่อมให้ความสงบปราณีต เย็น อยู่เป็นสุข และยังบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้อันตราธานสงบไปโดยฉับพลัน ดุจละอองและฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นในปลายฤดูร้อน ถูกฝนใหญ่นอกฤดูกาลทำให้สงบหายไปโดยพลัน

ทรงบรรยายวิธีเจริญอานาปานสติสมาธิ ดังนี้

"ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ตาม อยู่ในโคนไม้ก็ตาม อยู่ในสถานที่สงัดก็ตาม นั่งคู้บัลลังก์ (ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย) ตั้งกายตรง ดำรงสติสู่กรรมฐาน ภิกษุนั้นมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกว่าหายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้สึกว่าหายใจเข้าสั้น หรือเมื่อหายใจออกสั้นก็รู้สึกว่าหายใจออกสั้น ย่อมกำหนดในใจ (สำเหนียก-ศึกษา) ว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวงหายใจออก ย่อมกำหนดในใจว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า ย่อมกำหนดในใจว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งปีติหายใจเข้า ย่อมกำหนดในใจว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งปีติหายใจออก... จักรู้แจ้งซึ่งจิต... จักยังจิตให้บันเทิง...จักตั้งจิตไว้มั่น...จักปล่อยจิต...จักพิจารณาเห็นธรรมอันไม่เที่ยง...จักพิจารณาเห็นวิราคะ...จักพิจารณาเห็นนิโรธ...จักพิจารณาเห็นปฏินิสสัคคะหายใจเข้า จักพิจารณาเห็นปฏินิสสัคคะหายใจออก"


สาธุ สาธุ สาธุ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16302 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2559, 07:43:38 »



สวัสดี ทุกท่านครับ

ปีเก่า 2559 กำลังจะผ่านไป
ปี 2559 พี่สิงห์ ทำบุญ ให้ทาน สงเคราะห์มากที่สุดปีหนึ่ง หรืออาจจะตลอดชีวิตก็ได้ ได้ทำบุญทอดกฐิน เป็นครั้งที่ 4 ที่บ้านเกิดตนเอง ได้มีเพื่อนฝูงร่วมทำบุญเป็นจำนวนมาก และได้เงินมาก ในดารทำบุญทอดกฐินครั้งนี้ อาจจะเรียกว่า มากที่สุดที่ทางวัดเคยได้รับ  เงินนี้จะเอาไปซ่อมศาลาวัด และอื่น ๆ ที่ต้องซ่อมแซม ขึ้นอยู่กับวัด กรรมการวัด และชาวบ้าน  พี่สิงห์  ไม่มีหน้าที่อันใดที่วัด

ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ร่วมกันทอดกฐิน วัดพระนอนครับ
ปีหน้า อายุครบ ๖๕ ปี แล้วสำหรับพี่สิงห์  จะให้รางวัลตนเองด้วยการไปบวชพระที่วัดไทยพุทธคยา อินเดีย เพื่อปฏิบัติธรรม

ทุกท่สนที่เดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด ท่องเที่ยว ขอให้มีสติในการขับรถ ระวังให้มากครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16303 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2559, 10:32:45 »

ในสมัยขงจื๊อ
ยังมีนักปราชญ์คนหนึ่ง...
ที่เหนือกว่าขงจื๊อ

 เขามีอาชีพประมง ชื่อหยีฟู่

ขงจื๊อ นั่งดีดพิณร้องเพลง ระหว่างการท่องเที่ยวป่าดำ ชายชราคิ้วขาว หนวดขาวยาวย้อยต่ำ ผมขาวกระจายคลุมไหล่ สองมือยัดใส่แขนเสื้อ ขึ้นจากเรือเดินเข้ามา ได้ยินเสียงเพลงก็นั่งคุกเข่า มือเท้าคาง นั่งฟังอย่างตั้งใจ

เพลงจบ..พอรู้ว่าเป็นขงจื๊อ ผู้แสวงหาทางการเมือง หยีฟู่ก็หัวร่อ “ที่เขาเหนื่อยยากถึงปานนี้ ก็น่ายกย่อง แต่ถ้าเขาขืนทำเช่นนี้ต่อไป ก็น่ากลัวว่าเขาจะห่างไกลจาก
มรรคออกไปทุกวัน” แล้วก็เดินจากไป

เมื่อขงจื๊อทราบ ก็ผลักพิณไปข้างหนึ่ง บอกศิษย์ว่า “ชาวประมงนั้น เป็นคนมีสติปัญญาล้ำเลิศ” แล้วก็เดินตามไปทันหยีฟู่ ที่ริมทะเลสาบ ค้อมคำนับหยีฟู่ แล้วบอกว่า

“ถ้อยคำที่ท่านพูดสักครู่ ดูจะยังไม่จบ ข้าพเจ้าโง่เขลา ใคร่ขอฟังคำสอนจากท่านอีก”

“ท่านนับเป็นคนรักการศึกษา”....“ข้าพเจ้ารักการศึกษามาตั้งแต่เด็ก
 เวลานี้มีอายุ 69 ปีแล้ว”

“คนเรามีโรคร้าย 8 ประการ มีความทุกข์ 4 ประการ จะไม่สนใจมิได้” หยีฟู่กล่าว

ทำในสิ่งที่ท่านไม่ควรทำ นี่เรียกว่า แส่เสือก
 คนอื่นเขาไม่เชื่อในถ้อยคำของท่าน แต่ท่านก็พูดไม่รู้จบ นี่เรียกว่าเพ้อพล่าม

 เดาใจของผู้อื่น พูดในสิ่งที่ผู้อื่นเขาอยากจะฟัง นี่เรียกว่าประจบ

ไม่รู้ดีชั่ว เออออตามคนอื่นเขา นี่เรียกว่าสอพลอ

ชอบนินทาความผิดของผู้อื่น นี่เรียกว่าใส่ไคล

้ ทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่น นี่เรียกว่ายุแยง

ยกย่องคนชั่ว ขับไสคนที่เกลียดชัง นี่เรียกว่าเจ้าเล่ห์

ไม่แยกดีชั่ว ทำดีกับสองฝ่าย เพื่อให้เขาชอบ นี่เรียกว่ากลิ้งกลอก

หยีฟู่สรุปว่า
“โรคร้ายทั้ง 8 ประการนี้ ต่อภายนอกก็ก่อกวนคนอื่น ต่อภายในก็ทำร้ายตัวเอง  นี่เป็นสิ่งที่ผู้มีสติปัญญามิยอมชิดใกล้”

“ถ้าเช่นนั้น ที่ว่า
ความทุกข์ 4 ประการนั้นเล่า คืออย่างไร”
ขงจื๊อถามต่อ

หยีฟู่กล่าว “คิดจะทำแต่เรื่องใหญ่ เพื่อหาชื่อเสียง นี่เรียกว่า มักใหญ่ ทำเป็นอวดฉลาด

 ทำอะไรตามใจชอบ เอาแต่ความคิดเห็นของตนเอง ไม่คำนึงถึงการล่วงเกินผู้อื่น นี่เรียกว่า ถือดี

มองเห็นความผิดของตน แต่ไม่ยอมแก้ไข ครั้นเมื่อได้ฟังคำตักเตือนของคนอื่น ก็กลับโมโหโกรธา นี่เรียกว่า ยโส
 ถ้าความเห็นนั้นตรงกับของตนก็ว่าถูก ถ้าความเห็นนั้นไม่ตรงกับคนอื่น แม้จะดีก็ว่าไม่ดี นี่เรียกว่า ทะนง

“คนคนหนึ่ง ถ้าหาก
มีความทุกข์ 4 ประการนี้แล้ว ก็ยากที่จะสนทนา”

จวงจื๊อ ปราชญ์รุ่นหลังขงจื๊อ ผู้เขียนเรื่องน
ี้ (มรดกจากเต๋า จวงจื๊อจอมปราชญ์ บุญศักดิ์ แสงระวี เรียบเรียง) ทิ้งท้าย...ขงจื๊อได้ฟังแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป ค้อมคำนับอีกสามครา แล้วก็จากมา

หยีฟู่ ชายชราคิ้วขาว เคราขาวยาวคลุมอก..
.ผู้กล้าสอนขงจื๊อ ทำให้ขงจื๊อต้องคำนับแล้วคำนับอีก จวงจื๊อไม่ได้บอกว่าเป็นใคร

มาจากไหน บอกแต่เพียงว่า สอนขงจื๊อแล้ว ก็ลงเรือหายไปในทะเลสาบ

แต่คำสอน โรคร้ายทั้ง 8 ความทุกข์ทั้ง 4 ยังมีผู้บันทึกไว้ ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ว่า บ้านเมืองที่มีแต่คนป่วยเป็นโรคร้ายทั้ง 8 มีแต่คนมีทุกข์ทั้ง 4 เป็นบ้านเมืองที่หาความสงบสุขไม่ได้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16304 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2559, 11:26:52 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16305 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2559, 19:07:11 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16306 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2559, 15:18:24 »



พรปีใหม่

“ขอให้ทุกท่านได้รับสิ่งนี้ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐ คำว่าพรแปลว่าสิ่งประเสริฐ สิ่งประเสริฐหรือสิริมงคลในพุทธศาสนา ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่คือธรรมะในจิตใจ ธรรมะในจิตใจไม่มีใครที่จะให้แก่เราได้ มีแต่เราต้องทำขึ้นมาเอง แต่ถ้าเราสามารถสร้างหรือทำขึ้นมาได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นของขวัญอันประเสริฐที่สุด อยากให้เรามอบของขวัญอันประเสริฐนี้แก่ตัวเราเอง ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาให้ ไม่ต้องรอพรจากพระสงฆ์องคเจ้า เราสามารถมอบของขวัญให้ตัวเอง สร้างสิ่งประเสริฐคือพรให้แก่ตัวเอง แล้วเราจะได้ชีวิตใหม่ ทำให้เป็นปีใหม่อย่างแท้จริง”

พระไพศาล วิสาโล
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16307 เมื่อ: 01 มกราคม 2560, 14:56:53 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16308 เมื่อ: 01 มกราคม 2560, 14:57:32 »



      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16309 เมื่อ: 02 มกราคม 2560, 11:13:27 »



สวัสดี ปีใหม่ ๒๕๖๐ ทุกท่านครับ

ปีใหม่นี้ คงจะมีการเปลี่ยนแปลง อนาคตของพี่สิงห์บ้าง ๒ ประการคือ
- ทางธรรม
- การทำงาน

ทางธรรม พี่สิงห์ จะไปบวชที่พุทธคยา เพื่อตั้งใจภาวนาให้มาก ด้วยศรัทธา เพราะมีเวลา บวชเพื่อเป้าหมาย "พระนิพพาน"

ถ้าไม่พบ "พระนิพพาน" ก็จะสึกกลับมาอยู่อย่างอุบาสก ถือศีล ๘ เพราะยังสามารถช่วยตนเองได้ในปัจจัย ๔ เพราะสภาพสังคมปัจจุบัน ต้องพึ่งพาเงินเป็นหลักทั้งวัดและชาวบ้าน ถูกควบคุมโดยสังคมเศรษฐกิจ การบวชพระ มีแต่จะบาป ตกนรกได้ เพราะจะผิดพระวินัย การอยู่อย่างฆาราวาส ก็ยังศึกษาธรรมได้ บรรลุธรรมได้ พระพุทธองท่านจึงให้มีบริษัท ๔ ดูแลพระศาสนา พระภิกษุ พระภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

สำหรับงานก็ยังต้องทำเพื่อช่วยเพื่อนฝูง สอนให้คนมีอาชีพ ถ่ายทอดประสพการณ์การทำงานให้คนรุ่นใหม่  ยังได้สอนธรรมแทรกในการทำงานได้ และเราไม่ต้องพึ่งใคร ยังหาปัจจัย ๔ ได้ด้วยตนเอง แต่จะต้องมีแผนการทำงานที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นระบบด้วยธรรม

ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกท่าน มีสุขภาพแข็งแรง สุขกาย สุขใจ มีสติเป็นเครื่องอยู่ให้มาก เพราะเมื่อมีสติ จะมีธรรม สามารถดำรงอยู่ในสังคมที่ยุ่งเยิงในปัจจุบันได้ ไม่หลงไปตามกระแสสังคม หรือความคิดตนเอง และขอให้สุขกาย สุขใจ ดูแลการกิน กินอาหารให้เป็นยา หาเวลาออกกำลังกาย และถ่ายเป็นปกติ

สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16310 เมื่อ: 02 มกราคม 2560, 11:27:42 »



การภาวนาแบบ "อานาปานสติ" มันยากเพราะจะหลงไปกับความคิดนั่งหลับ และจะติดอยู่ในความสงบ

ดังนั้น แนวหลวงพ่อเทียน ภาวนาแบบเคลื่อนไหว จึงเป็นทางเลือกที่ดี คู่ไปกับ เดินจงกรม

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16311 เมื่อ: 02 มกราคม 2560, 11:29:42 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16312 เมื่อ: 02 มกราคม 2560, 11:30:14 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16313 เมื่อ: 03 มกราคม 2560, 11:13:59 »

หลวงพ่อโตมีวิธีสอนธรรมแปลก ๆ


ท่านเคยไปเทศน์คู่กับพระพิมลธรรม (ถึก) แห่งวัดพระเชตุพน ขณะอยู่บนธรรมาสน์  เจ้าคุณพิมลธรรมได้ตั้งประเด็นขึ้นว่า

“โทโสเป็นกิเลสสำคัญ พาเอาเจ้าของต้องเสียทรัพย์ เสียชื่อเสียงเงินทอง เสียน้องเสียพี่ เสียที่เสียทาง เสียเหลี่ยมเสียแต้ม ก็เพราะลุแก่อำนาจโทโส ให้โทษให้ทุกข์แก่เจ้าของมากนัก”

จากนั้นก็ถามหลวงพ่อโต ซึ่งมีสมณศักดิ์สูงกว่าท่านว่า

 “โทโส(เมื่อ)จะเกิดขึ้น เกิดตรงที่ไหนก่อนนะขอรับ ขอให้แก้ให้ขาว”

ระหว่างนั้นหลวงพ่อโตแกล้งทำเป็นหลับ ไม่ได้ยินคำถาม ซ้ำยังกรนเสียด้วย เจ้าคุณพิมลธรรมจึงถามซ้ำ ๒ - ๓ ครั้ง ท่านก็นั่งเฉย 
เจ้าคุณพิมลธรรมจึงโมโห ตวาดเสียงดังว่า

“ถามแล้วไม่ฟังนั่งหลับใน”

ว่าเช่นนี้ถึง ๒ ครั้ง หลวงพ่อโตแกล้งตื่นแล้วด่าออกไปว่า
“อ้ายเปรต อ้ายกาก อ้ายห่า อ้ายถึก กวนคนหลับ”

ท่านเจ้าคุณพิมลธรรมได้ยินเช่นนี้ก็โกรธจัด  คว้ากระโถนปามายังหลวงพ่อโต แต่พลาดไปโดนเสาศาลา แตกดังเปรี้ยง ผู้คนแตกตื่นตกใจ แต่หลวงพ่อโตนิ่งสงบ แล้วกล่าวกับญาติโยมว่า

โทโสโอหังเกิดขึ้นเมื่ออนิฏฐารมณ์ คือ รูปที่ไม่น่าดู เสียงที่ไม่น่าฟัง กลิ่นที่ไม่น่าดม รสที่ไม่น่ากิน สัมผัสที่ไม่สบาย และความคิดที่ไม่ถูกใจ มากระทบกับตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

“เมื่อสำรวมไม่ทันจึงดันออกข้างนอกให้คนอื่นรู้ว่าเขาโกรธ  ดังเช่นเจ้าคุณพิมลธรรมเป็นตัวอย่าง ถ้าเขายอท่านว่าพระเดชพระคุณแล้วท่านยิ้ม พอเขาด่าก็โกรธ”

อย่างไรก็ตามท่านได้ชี้ว่า แม้โทโสเกิดขึ้น
“โทโสก็ไม่มีอำนาจกดขี่เจ้าของได้เลย เว้นแต่เจ้าของโง่เผลอสติ เช่น พระพิมลธรรมถึกนี้ โทโสจึงกดขี่ได้” 

หลวงพ่อโตสรุปด้วยการบอกญาติโยมให้ดูท่านเจ้าคุณพิมลธรรมเป็นตัวอย่าง 

“ตัวท่านเป็นเพศพระ ครั้นท่านขาดสังวร ท่านก็กลายเป็นโพระ  กระโถนเลยแตกโพละ  เพราะโทโสของท่าน....จงจำไว้ทุกคนเทอญ”

 นอกจากมีความสามารถในการชี้ให้คนเห็นถึงสาเหตุและโทษของความโกรธแล้ว หลวงพ่อโตยังมีอุบายในการเตือนสติให้คลายความโกรธด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่งความโกรธของพระเจ้าแผ่นดิน...

จากลำธารริมลานธรรม ตอนที่ ๗๒.อุบายคลายโกรธ
อีกหนึ่งเรื่องของหลวงพ่อโต ที่มีเกร็ดชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน สนุก กล้าหาญและลึกซึ้ง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16314 เมื่อ: 03 มกราคม 2560, 11:25:36 »



สวัสดี ทุกท่านครับ
ปีใหม่นี้ พี่สิงห์  อยู่บ้าน เพราะไม่ต้องการไปแย่งที่พัก อาหาร และบนท้องถนนกับคนอื่น ๆ ที่เขาต้องการไปพักผ่อน เยี่ยมครอบครัว

พี่สิงห์  ไปเฉพาะวันที่ ๑ มกราคม ออกจากบ้าน 04:00 น. ไปสิงห์บุรี ไปทำบุญที่วัดพระนอน ไปภาวนาในโบสถ์กับหลวงพ่อหิน และตอนเพลพาพี่สาว -น้องสาว หลาน ๆ ไปกินข้างเพลร้านริมแม่ลา ฉลองวันเกิด ให้ทั้งสองคน  จากนั้นก็กลับบ้าน  รถยังไม่ติด

ปีนี้ ทางรัฐบาลรณรงค์ ควบคุม อุบัตอเหตุอย่างหนัก แต่ผลกับตรงกันข้าม คือ อุบัตอเหตุเกิดขึ้นมาก คนตายมาก โดยเฉพาะโศกกรรมที่จันทร์บุรี รถตู้โดยสาร ชนกับรถกระบะ มีคนตายถึง ๒๕ คน

อุบัติเหตุ รถตู้โดยสาร เกิดขึ้นบ่อยมาก ไฟไหม้ ผู้โดยสารออกไม่ได้ โดนไฟคลอกตาย เป็นครั้งที่สองแล้ว

รถตู้โดยสาร ไม่สมควรทำเป็นสาธารณะเลย รวมทั้งคนขับส่วนมากเป็นพวกวัยรุ่น ทั้งนั้น มันอันตราย

วันพุธ พี่สิงห์ ไปทำงานที่โรงงานบ้านแพ้ว สมุทรสาคร
วันพฤหัสบดี-เสาร์ ไปทำงานที่โรงงาน นครศรีธรรมราช
และวันจันทร์-อังคาร ไปทำงานที่โรงงาน อำเภอสูงเนิน ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16315 เมื่อ: 04 มกราคม 2560, 04:59:12 »



"พระเจ้าอโศกมหาราช จับพระสึก ๖ หมื่นกว่ารูปเพื่อดำรงรักษาไว้ซึ่งพระธรรมวินัย"

ครั้งนึงในอดีต “พระเจ้าอโศกมหาราช” ทรงร่วมปฏิรูปพระศาสนา จับสึกพระอลัชชีผู้ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส สั่งสมของมัวเมาในลาภสักการะ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ จากนั้นทรงเป็นศาสนูปถัมภกในการสังคยานา และส่งสมณฑูตประกาศพระพุทธศาสนา

พระเจ้าอโศกมหาราช (AShoka the great) แห่งราชวงศ์ โมริยะ กษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนอินเดีย (พ.ศ.๒๗๖ – พ.ศ.๓๑๒) พระองค์ ทรงมีพระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ได้ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา เช่นทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ และหลักศิลาจารึกเป็นต้น ได้บำรุง พระภิกษุสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ คือ อาหาร ที่อยู่ อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค การที่พระองค์ทรงบำรุงพระภิกษุสงฆ์เช่นนี้ ก็เพื่อจะได้พระภิกษุในพุทธศาสนาได้รับความสะดวก มีโอกาสบำเพ็ญสมณธรรมได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลในการแสวงหาปัจจัย ๔ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น แต่กลับปรากฏว่ามีพวกนักบวชนอกศาสนาเป็นจำนวนมาก ปลอมบวชในพุทธศาสนา เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ เมื่อบวชแล้วก็คงสั่งสอนลัทธิศาสนาเก่าของตน โดยอ้างว่าเป็นคำสอนของพุทธศาสนา แสดงลัทธิธรรมให้ผิดคลองพระพุทธบัญญัติกระทำให้สังฆมณฑลยุ่งเหยิง แตกสามัคคีด้วยสัทธรรมปฏิรูป ข้อนี้ทำให้พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ (คนละรูปกับพระมหาโมคคัลลานะเถระในพุทธกาล) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความแตกฉานในพระไตรปิฎก เกิดความระอาใจต่อการประพฤติปฏิบัติของเหล่าพระภิกษุอลัชชีที่ปลอมบวชทั้งหลาย จึงได้ปลีกตัวไปอยู่ที่ ถ้ำอุโธตังคบรรพต เจริญวิเวกสมาบัติอยู่ที่นั้นอย่างเงียบๆ เป็นเวลา ๗ ปี และมอบภารกิจคณะสงฆ์ให้พระมหินทเถระดูแลแทน

ในสมัยนั้นจำนวนของพระอลัชชี มีมากกว่าพระภิกษุแท้ๆ จึงทำให้ต้องหยุดการทำอุโบสถสังฆกรรมถึง ๗ ปี เพราะเหตุที่พระสงฆ์ ผู้มีศีลบริสุทธิ์ไม่ยอมร่วมกับพระอลัชชีเหล่านั้น จึงทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สบายพระหฤทัยในการแตกแยกของพระสงฆ์ ทรงปวารณาจะให้พระสงฆ์เหล่านั้นสามัคคีกัน จึงได้ตรัสสั่งให้อำมาตย์หาทางสามัคคี ฝ่ายอำมาตย์ฟังพระดำรัสไม่แจ้งชัด สำคัญผิดในหน้าที่ จึงได้ทำความผิดอันร้ายแรง คือ ได้บังคับให้พระภิกษุบริสุทธิ์ทำอุโบสถร่วมกับพระอลัชชี พระภิกษุผู้บริสุทธิ์ต่างปฏิเสธที่จะร่วมอุโบสถสังฆกรรม อำมาตย์จึงตัดศีรษะเสียหลายองค์

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทราบข่าวนี้ ทรงตกพระทัยยิ่งจึงเสด็จไปขอขมาโทษต่อพระภิกษุที่อาราม และได้ตรัสถามสงฆ์ว่า การที่อำมาตย์ได้ทำความผิดเช่นนี้ ความผิดจะตกมาถึงพระองค์หรือไม่ พระสงฆ์ถวายคำตอบไม่ตรงกัน บ้างก็ว่า ความผิดจะตกมาถึงพระองค์ด้วยเพราะอำมาตย์ทำตามคำสั่ง แต่บางองค์ก็ตอบว่าไม่ถึงเพราะไม่มีเจตนา คำวิสัชนาที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชกระวนกระวายพระทัยยิ่งนัก ทรงปรารถนาที่จะให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ผู้มีความสามารถและแตกฉานในพระธรรมวินัยถวายคำวิสัยชนาอย่างแจ่มแจ้ง จึงได้ตรัสถามถึง พระภิกษุเหล่านั้นก็ได้ตรัสตอบว่า มีแต่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระรูปเดียวเท่านั้นที่อาจแก้ความสงสัยได้ พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้ส่งสาส์นไปอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ให้ท่านเดินทางมายังเมืองปาฏลีบุตร แต่ไม่สำเร็จ เพราะพระเถระไม่ยอมเดินทางมาตามคำอาราธนา พระเจ้าอโศกมหาราชก็ทรงไม่หมดความพยายาม จึงได้รับสั่งให้พนักงานออกเดินทางโดยทางเรือรบท่านตามคำแนะนำของพระติสสะเถระ ผู้เป็นพระอาจารย์ของโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ

ในที่สุดพระเถระก็ยอมมาและในวันที่ท่านเดินทางมาถึงนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จไปรับพระเถระด้วยพระองค์เอง ได้เสด็จลุยน้ำไปถึงพระชานุ แล้วยื่นพระกรให้พระเถระจับและตรัสว่า "ขอพระคุณท่านจงสงเคราะห์ข้าพเจ้าเถิด" แล้วได้นำท่านไปสู่อุทยาน ได้ทรงแสดงความเคารพพระเถระอย่างสูง และได้ตรัสถามพระเถระว่า การที่อำมาตย์ได้ตัดศีรษะพระภิกษุนั้นจะเป็นบาปกรรมตกถึงตนหรือไม่ พระเถระได้ตอบว่า “มหาบพิตร จะเป็นเป็นบาปได้ก็ต่อเมื่อพระองค์มีเจตนาที่จะฆ่าเท่านั้น” คำวิสัชนาของพระเถระนั้น ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยมาก

ฝ่ายพระอลัชชีผู้ปลอมบวชในพุทธศาสนานั้นก็ยังพยายามที่จะประกอบมิจฉาชีพอยู่ต่อไป พระเหล่านั้นได้มัวเมาหลงใหลในลาภสักการะไม่พอใจในการปฏิบัติธรรม อาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ ประพฤติผิดธรรมวินัยไม่สำรวมระวังในสีลาจารวัตร เที่ยวอวดอ้างคุณสมบัติโดยอาการต่างๆ เพื่อหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ เพื่อหาลาภสักการะเข้าตัว เพราะเหตุนี้จึงทำให้พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องพลอยด่างพร้อยไปด้วย ความอลเวงได้เกิดขึ้นในวงการของพุทธศาสนาทั่วไปลาภสักการะมีอำนาจเหนือ อุดมคติของผู้เห็นแก่ได้ แม้กระทั่งผู้ทรงเพศเป็นพระภิกษุห่มเหลืองก็ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน ที่จริงผู้มีลาภคือผู้มีบุญ แต่มัวเมาในลาภคือสั่งสมบาป การที่พระได้ของมามากๆ จากประชาชนที่เขาบริจาคด้วยศรัทธานั้น นับว่าเป็นการดีไม่มีผิด แต่การที่พระสั่งสมของมัวเมาในลาภ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ จนลืมหน้าที่ของตนนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง

พ.ศ.๒๘๗ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้ถวายเทศนาแก่พระเจ้าอโศกมหาราช จนพระองค์ทรงมีความเลื่อมใส และซาบซึ้งในหลักธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ได้ประทับอยู่ที่อุทยานนับเป็นเวลา ๗ วัน เพื่อชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์จากเดียรถีย์ที่เข้ามาปลอมบวช ในวันที่ ๗ พระองค์ได้ประกาศบอกนัดให้พระภิกษุที่อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มาประชุมที่อโศการามเพื่อชำระความบริสุทธิ์ของตน ภายใน ๗ วัน พระองค์ประทับนั่งภายในม่านกับท่านโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้สั่งให้ภิกษุผู้สังกัดอยู่ในนิกายนั้นๆ นั่งรวมกันเป็นนิกายๆ แล้วตรัสถามให้พระภิกษุเหล่านั้นอธิบายคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งพระสงฆ์เหล่านั้นได้อธิบายผิดไปตามลัทธิของตนๆ พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้ตรัสให้สึกพระอลัชชีเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวน ๖๐,๐๐๐ รูป ครั้นกำจัดพระภิกษุพวกอลัชชีให้หมดไปจากพุทธศาสนาแล้ว พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงได้จัดให้มีการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ขึ้น ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร โดยได้รับราชูปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างเต็มที่

ที่มา : https://pantip.com/topic/33336039
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16316 เมื่อ: 04 มกราคม 2560, 12:17:14 »

พรปีใหม่...พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)                                                                                                                                                         วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม
 
“พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์สามารถหาความสุขที่ประณีตกว่าการบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย ความสุขแบบนั้น ท่านเรียกว่า เป็นความสุขที่ประณีตขึ้น ซึ่งมีลักษณะสำคัญ คือเป็นอิสระ มนุษย์มีความสุขได้ โดยลำพังตัวเองในใจ และไม่ต้องขึ้นต่อวัตถุภายนอก ซึ่งหมายความว่า แม้วัตถุภายนอกนั้นไม่มีอยู่ เราก็มีความสุขได้ ข้อสำคัญก็คือ มันเป็นความสุขพื้นฐาน ที่จะทำให้การแสวงหา หรือการเสพความสุขภายนอก เป็นไปอย่างพอดี อยู่ในขอบเขตที่สมดุล ทำให้มีความสุขแท้จริง และไม่เบียดเบียนกันในทางสังคม
       ถ้าคนมีความสุขประเภทนี้ เป็นรากฐานอยู่ภายในตนเองแล้ว การหาความสุขทางวัตถุ มาบำเรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็จะมีขอบเขต ท่านเรียกว่า รู้จักประมาณ ถ้าเรามีความสุขข้างในแล้ว ความสุขที่ได้ข้างนอก ก็เป็นความสุขที่เติมเข้ามา เป็นของแถม หรือกำไรพิเศษ และอิ่มอยู่เสมอ แต่ถ้าเราไม่มีความสุขในจิตใจ มีใจเร่าร้อน กระวนกระวาย หรือมีความเบื่อ มีความเครียด มีปัญหาอยู่ภายในใจของตนเองแล้ว พอหาวัตถุมาบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็จะต้องมีปัญหาต่อไปอีก คือ
       ๑.ไม่สามารถมีความสุขได้เต็มที่
       ๒.เมื่อทำโดยมีปมปัญหาในใจ ก็ทำอย่างไม่พอดี ทั้งทำให้เกิดปัญหาวุ่นวาย และตัวเองก็ไม่ได้ความสุขจากภายนอกเต็มที่ด้วย และประการสำคัญก็คือ พอทำอะไรออกมา เพื่อหาความสุขเหล่านั้น ก็ทำให้เกิดการปะทะ กระทบซึ่งกันและกัน ก็เลยกลายเป็นปัญหาสังคมขยายบานปลายออกไป
       ถ้าความสุขนั้น ยังต้องขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น มันก็ผันแปรได้ และตัวเราก็ไม่เป็นอิสระ เพราะสิ่ง นั้นตกอยู่ใต้กฎธรรมชาติ เป็นไปตามอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันสามารถกลับย้อน มาทำพิษแก่เราได้ สิ่งภายนอกที่เราอาศัยนั้น มันไม่ได้อยู่กับตัวข้างในเรา ไม่เป็นของเราแท้จริง เมื่อเราฝากความสุขไว้กับมัน ถ้ามันมีอันเป็นอะไรไป เราก็ทุกข์
       ความดีก็เหมือนกัน เมื่อเรามีความสุข เพราะอาศัยมัน ถ้าความดีนั้น เราทำไปแล้ว คนอื่นไม่เห็น หรือไม่ชื่นชม บางทีใจเราก็หม่นหมองไปด้วย จึงเรียกว่า เป็นความสุขที่ยังอิงอาศัยอยู่ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องก้าวต่อไปสู่การมีปัญญา รู้ความจริงของสิ่งทั้งหลาย รู้ว่าธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรที่เป็นสังขาร จะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรม เป็นความชั่ว หรือความดี เป็นวัตถุ หรือเป็นเรื่องของจิตใจ มันก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น
       เมื่อรู้ความจริงแล้ว ก็จะเข้าถึงกระแสของธรรมชาติ เรียกว่ากระแสแห่งเหตุปัจจัย ปัญญา ของเราก็เข้าไปรู้ทันกระแสแห่งเหตุปัจจัยนี้ พอปัญญารู้เท่าทันมันแล้ว เราก็วางใจได้ รู้สึกเบา สบาย เราก็รู้แต่เพียงความเป็นจริงว่า เวลานี้ สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน เมื่อรู้ทันแล้ว สิ่งนั้นก็ไม่ย้อนมาทำพิษแก่จิตใจของเรา จิตใจของเราก็เป็นอิสระ
       สิ่งทั้งหลายที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีความเปลี่ยนแปลงเป็นไปต่างๆ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา เพราะมันอยู่ในกฎธรรมชาติอย่างนั้น ไม่มีใครไปแก้ไขได้ แต่ที่มันเป็นปัญหาก็เพราะว่าในเวลาที่มันแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตามกฎธรรมชาตินั้น มันพลอยมาเบียดเบียนจิตใจของเราด้วย เพราะอะไร? ก็เพราะเรายื่นแหย่ใจของเราเข้าไปใต้อิทธิพลความผันผวนปรวนแปรของธรรมชาตินั้นด้วย
       ดังนั้น เมื่อสิ่งเหล่านั้นปรวนแปรไปอย่างไร ใจของเราก็พลอยปรวนแปรไปอย่างนั้นด้วย เมื่อมันมีอันเป็นไป ใจของเราก็ถูกบีบคั้น ไม่สบาย แต่พอเรารู้เท่าทัน ถึงหลักธรรมชาติแล้ว กฎธรรมชาติ ก็เป็นกฎธรรมชาติ สิ่งทั้งหลายที่เป็นธรรมชาติ ก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ทำไมเราจะต้องเอาใจของเราไปให้กฎธรรมชาติบีบคั้นด้วย เราก็วางใจของเราได้
       ความทุกข์ที่มีในธรรมชาติ ก็เป็นของธรรมชาติไป ใจของเราไม่ต้องเป็นทุกข์ไปด้วย ตอนนี้แหละที่ท่านเรียกว่ามีจิตใจเป็นอิสระ จนกระทั่งว่าแม้แต่ทุกข์ที่มีในกฎของธรรมชาติ ก็ไม่สามารถมาเบียดเบียนบีบคั้นใจเราได้ เป็นอิสรภาพแท้จริง ที่ท่านเรียกว่า วิมุตติ ความสุขจากความเป็นอิสระ ถึงวิมุตติ ที่มีปัญญารู้เท่าทันพร้อมอยู่นี้ เป็นความสุขที่สำคัญพอถึงสุขขั้นนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องไปพึ่งอาศัยสิ่งอื่นอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรม มันจะกลายเป็นความสุขที่เต็มอยู่ในใจของเราเลย และเป็นสุขที่มีประจำอยู่ตลอดเวลา เป็นปัจจุบัน

และในโอกาสที่จะขึ้นปีใหม่ 2560
  ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกได้โปรดอำนวยพรให้ท่านและครอบครัว ได้รับโชคดี มีความสุข สำเร็จ สมหวัง ตลอดปีและตลอดไป

 ขอให้บุญรักษา เทวดาคุ้มครอง พระรัตนตรัยปกป้อง จงมีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีความร่มเย็น และมีความสุข ให้ร่ำรวยเงินทองและทรัพย์สิน ให้สูงส่งด้วยบารมี

"พรใดประเสริฐ ขอจงบังเกิดแก่ท่านและครอบครัว" ตลอดปีใหม่ 2560 และตลอดไป

ขออนุญาตกล่าวขออโหสิกรรมก่อนวันสิ้นปี 2559 และในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2560 ที่จะถึงนี้ ต่อเพื่อนร่วมโลกทุกท่าน

สิ่งใดที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกิน เคยกระทำต่อทุกท่าน ทั้งกายกรรม วจีกรรม  มโนกรรม ทั้งที่เจตนาหรือไม่เจตนา ที่นึกได้หรือนึกไม่ได้ ทั้งในอดีตทุกภพชาติ ปัจจุบันชาติ ขอทุกท่านโปรดจงอโหสิกรรมต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด
หากกรรมใดๆที่ทุกท่านเคยกระทำไม่ดี กับข้าพเจ้าในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้า ขอยกโทษ อโหสิกรรมเป็นอภัยทาน แด่ทุกๆท่านเช่นเดียวกัน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เป็นอภัยทาน เพื่อจะได้ไม่ต้องจองเวรจองกรรม ข้ามภพข้ามชาติอีกต่อไป

ขอทุกท่านจงโชคดีในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2560 ด้วยกันทุกๆท่านเทอญ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16317 เมื่อ: 05 มกราคม 2560, 08:13:27 »



พุทธบริษัท ๔ ได้แก่ พระภิกษุ ภิกษุณี(ขาดตอนไม่มีแล้ว) อุบาสก อุบาสิกา

ส่วนใหญ่บวช รักษาศีล แต่ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎก ที่ประกอบไปด้วย พระสูตร พระวินัย และพระธรรม จึงไม่ได้ทราบคำสอนของพระพุทธองค์ ที่แท้จริง

พระภิกษุ  บวชเพื่อมีวัตถุประสงค์เดียว คือศึกษาพระธรรม และกระทำพระนิพพานให้แจ้ง มีทรัพย์สินเพียง อัฏฐบริขาร ๘ เท่านั้น แม้กระทั่งกุฏิ ก็สร้างให้ตนเองไม่ได้ เงิน ทอง ทรัพย์ รถ ที่ดิน ไม่มีเป็นของตนเอง เพราะออกจากเรือนแล้ว หน้าที่ทางสังคมก็ไม่มี เพราะสอ่งเหล่านั้นไม่ได้ขัดเกลากิเลสให้ลดลง มีแต่เพิ่มกิเลส

แต่สภาวะปัจจุบันมันตรงกันข้าม พระที่ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน รถ เงิน ไม่ใช้ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะนั่นคือกิเลส ไม่ได้ขัดเกลากิเลส อย่าลืมพระพุทธองค์บอกว่า "ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ไม่ใช่ศากยบุตร พุทธศาสนา"

ดังนั้น ณ ปัจจุบัน ผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฎก  ออกมาเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจทางการเมือง ให้เอาแบบอย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ให้จัดการกับภิกษุที่กระทำผิดพระวินัย ที่ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน วัด รับเงินทอง... อีกมากมาย

แค่พระท่านก็ดื่อแพ่ง ไม่พิจารณาตนเอง พุทธบริษัท ก็ส่งเสริมพระที่ไม่ยึดพระวินัย เป็นการส่งเสริมพระที่ผิดพระวินัย ก่อม๊อบ เป็นการทำลายพุทธศาสนาโดยรู้เท่าไม่ถึงการเลย ทำลายพุทธศาสนา เพราะไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎก

ถ้าท่านอ่านพระไตรปิฎก  จะพบว่าสมควรแล้วที่ ต้องเปลี่ยนกฏการตั้งพระสังฆราชใหม่ เพราะมันไม่เหมาะสม เพราะไม่สอดคล้องกับพระวินัย ไม่ใช้ภิกษุในพระวินัยนี้ ผิดตรง ๆ เลยมีทั้งทรัพย์สิน และปกป้องลูกศิษย์ที่กระทำผิดพระวินัยร้ายแรง

มันคงถึงเวลาแล้วที่พุทธบริษัท ทั้ง ๔ อยู่เฉยไม่ได้  ต้องมาชำระพระภิกษุ ที่กระทำผิดพระวินัย  แต่อนิจจา คงต้องสึกพระจำนวนมาก เท่ากับสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แน่ ๆ

นี่ละการเสื่อมของพระพุทธศาสนา สำหรับพุทธบริษัท ๔ ที่ไม่ศึกษา คำสอนที่แท้จริงจากพระไตรปิฎก ไปเชื่อคำสอนของพระที่ตู่คำสอนของพระพุทธองค์ และไม่ดำรงตนให้อยู่ในพระวินัย ซึ่งไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย ของพระพุทธองค์

พี่สิงห์  ตั้งใจบวช เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง  ถ้าไม่มีวาสนา ขออยู่อย่าง อุบาสก เพื่อไม่ให้ผิดพระวินัย เพราะนรกอย่างเดียวเท่านั้น มันอยู่ที่จิตสำนึกของตนเอง ตนรู้ดีกว่าใครว่าผิด ไม่ต้องรอให้สังคม กฏหมายบ้านเมืองลงโทษ ต้องลงโทษตัวเอง เพราะมันไม่ใช่พระในพระธรรมวินัยนี้

การอยู่อย่าง อุบาสก ก็ทำพีะนิพพานให้แจ้งได้ เช่นกัน

หรืออย่างน้อย ก็ได้พบกับความสุขที่ปราณีต กว่า ความสุขที่เกิดจากกามคุณทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มาก

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16318 เมื่อ: 05 มกราคม 2560, 15:39:44 »



ถนนหน้าโรงงาน ที่อำเภอพระพรหม ถูกน้ำป่าจากเขาหลวง พัดขาดเพียงแค่เวลา ๒ ชั่วโมง พี่สิงห์ เลยถูกติดเกาะอยู่โรงงานคนเดียว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16319 เมื่อ: 05 มกราคม 2560, 15:42:04 »



จะข้ามไปบนถนนอย่างไร?
น้ำลึกระดับเอว ไหลแรงมาก น้ำกำลังล้นถนนสายเอเซีย นครศรีธรรมราช - ท่งสง
พี่สิงห์  จะออกไปได้อย่างไร? ระดับน้ำก็กำลังขึ้นเร็วมาก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16320 เมื่อ: 05 มกราคม 2560, 15:45:05 »



สุดท้าย พนักงานไปเอาชือก มาขึง ให้พี่สิงห์เดินเกาะเชือกข้ามน้ำไหลเชี่ยวแรงมาก เพราะช้าก็ไม่ได้ระดีบน้ำยิ่งสูงขึ้น เปียกหมดเลย แต่ก็ข้ามมาได้ปลอดภัย

น้ำกำลังจะท้วมสนามบิน ถ้าสนามบินปิด นครศรีธรรมราช คงต้องถูกตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #16321 เมื่อ: 05 มกราคม 2560, 19:18:34 »

   พี่สิงห์ค่ะ พี่สิงห์ปลอดภัยถึงรร.แล้วน่ะค่ะถ้าพรุ่งนี้น้ำยังไม่ลดก็อย่าเสี่ยงไปถ้าสนามบินน้ำท่วมก็มาขึ้นกระบี่ ทั้งนี้
ฟ้าเมตตาไม่มีฝนแปลกจังที่ตรังพัทลุงสุราษท่วมถนนสายเอเชียริเวณสี่แยก ในเมืองนครทวินโลตัสคงไม่ท่วมนะค่ะ
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16322 เมื่อ: 06 มกราคม 2560, 12:39:57 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย ที่รัก
ขอบคุณมาก

ถนนสายนครศรีธรรมราชไปอำเภอทุ่งสง น้ำท้วม รถวิ่งไม่ได้ จึงไป กระบี่ไม่ได้

ถนนสายนครศรีธรรมราช ไป สุราษฎร์ธานี ก็ไปไม่ได้ น้ำท้วมถนนที่อำเภอซิชล และกาญจณดิษฐ์

จึงไปขึ้นเครื่องบิน กลับ กทม.ที่กระบีา หนือ สุราษฎร์ธานี ไม่ได้ ต้องนอนอยู่ที่โรงแรมทวินโลตัสจนถึงวันจันทร์ ครับ

นครศรีธรนมราช ถูกตัดขาดทั้งหมด ยกเว้นทาง internet เท่านั้น

สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #16323 เมื่อ: 06 มกราคม 2560, 13:02:35 »

  พี่สิงห์ค่ะ เพื่อนคุฯธวัช ไปส่งลูกที่หาดใหญ่ขับรถจากกระบี่ไปเมื่อวานซืนขับกลับไม่ได้ ทำไง ก็นั่งเครื่องเข้ากทม.
แล้วบินเข้ากระบี่อีกที เดี๋ยวต้อยเชคเส้นทางจันดีลานสกาเข้าทวินก่อนถ้าไม่ท่วมก็รับพี่ได้
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16324 เมื่อ: 07 มกราคม 2560, 09:06:50 »



สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย ที่รัก และทุกท่านที่เคารพ

ขอบคุณมากคุณน้องต้อย
โรงแรม มีข้าวกิน มีที่นอน ชาวบ้านเขาลำบากกว่าพี่สิงห์ มาก เพราะส่วนใหญ่บ้านชั้นเดียว ไม่สามารถหุงข้าวได้ ที่นอนก็ไม่มี ดีว่าน้ำลงเร็ว แต่ก็ลำบากกันถ้วนหน้า น้ำท้วมคราวนี้ ถนนต้องบูรณะกันใหม่หมด เพราะเสียหายมาก  แต่อย่าลืมว่า ถนนตัวการทำให้น้ำท้วม ดีนักแลเพราะไปขวางทางน้ำไหลลงทะเลได้ช้ามาก ไม่เป็นธรรมชาติแบบโบราณ ต้องสร้าง spinway ให้น้ำสามารถไหลลงทะเลได้มากกว่านี้ ในทุกจังงหวัดภาคใต้ ต้องคิดและทำทันที เะราะมันจะท้วมแบบนี้มากขึ้น ๆ ทุกปี เมื่อมีฝนตกติดต่อกันมากกว่าสามวัน
พี่สิงห์  ขอไปยืนรอคิวพรุ่งนี้ที่สนามบิน คงจะมีคนมาไม่ทันสักคน
ฝนตกน้อยลง ระดับน้ำลดลงมากแล้ว ในตัวเมืองนครศรีธรรมราช รถวิ่งได้แล้ว วันอาทิตย์  สนามบินคงเปิดได้
พี่สิงห์  ไม่มีอะไรต้องห่วงที่บ้าน ถือว่าพักผ่อนที่นครศรีธรรมราช เพราะนั่งรถไกล ๆ ช่วงนี้อันตรายมาก เพราะสภาพถนนไม่ดี ทั้งรถ ทั้งคน จะพลอยได้รับอันตราย ให้คนที่เขาจำเป็นเดินทางกันก่อน

วันนี้ จะเข้าไปทำงานที่โรงงาน ดีกว่าอยู่โรงแรม รถสามารถเข้าได้แล้ว พนักงานคงถมทางเข้าโรงงานกันแล้ว
พี่สิงห์  สบายดี ภาวนามีสติให้มาก แทนการอยู่เฉย ๆ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 651 652 [653] 654 655 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><