เรื่องที่ 1
นิทานเรื่อง 'ตะเกียงวิเศษ' 
โดยดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา 
กาลครั้งหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งขุดพบตะเกียงเก่าแก่อันหนึ่งในขณะที่เขากำลังทำสวนอยู่ พอเขาเอามือถู 
ตะเกียง ก็ปรากฏว่ามีควันออกมาจากตะเกียงแล้วกลายเป็นยักษ์ตัวใหญ่ ยักษ์ตนนั้นพูดกับชายหนุ่มว่า 
'ขอบใจที่ได้ช่วยให้ฉันเป็นอิสระฉันจะตอบแทนท่านโดยรับใช้ท่าน ท่านจะใช้อะไรฉันก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่า 
เมื่อไรที่ท่านหยุดใช้ฉัน ฉันก็จะกินท่าน' 
ชายหนุ่มก็ตกลงเพราะเขาเห็นว่าการมีคนรับใช้เป็นเรื่องที่ดีและเขาก็มั่นใจว่า เขาจะใช้ยักษ์ตนนี้ให้ยุ่ง 
อยู่ตลอดเวลาได้ ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงยักษ์นั้นจึงถามว่า 'นายต้องการให้ฉันรับใช้เรื่องใดบ้างแต่อย่า 
ลืมนะถ้านายหยุดใช้ฉันเมื่อใด ฉันก็จะกินนาย'ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า 
'ฉันต้องการวังหลังหนึ่งเพื่อฉันจะได้เข้าไปอยู่' 
ทันใดนั้นยักษ์ก็เนรมิตวังหลังหนึ่งได้ ชายหนุ่มตกใจเพราะเขานึกว่ายักษ์คงใช้เวลาสักปีกว่าจะสร้างวัง 
เสร็จทีนี้เขาต้องคิดอย่างรวดเร็วว่าจะขอให้ยักษ์ทำอะไรต่อไปดี เขาบอกยักษ์ให้'สร้างถนนกว้างๆ ไป 
ถึงหน้าวัง' ทันใดนั้นถนนก็ปรากฏอยู่ต่อสายตาเขา'ฉันต้องการสวนล้อมรอบวัง' เขาสั่งต่อไป 
ทันทีความต้องการของเขาก็ปรากฏต่อหน้าเขา'ฉันต้องการ.....'เขาก็ขอไปเรื่อยๆแต่เขาเริ่มต้นวิตก 
ว่าอีกไม่ช้าเขาก็จะขอจนหมดแล้วและอีกอย่างเขาคงเข้าไปอยู่ในวังอย่างผาสุกไม่ได้เพราะเขาต้องคอย 
มานั่งสั่งยักษ์ให้ทำงานตลอดเวลา 
ในที่สุดเขาก็คิดหาทางออกได้ เขาขอให้ยักษ์สร้างเสาต้นหนึ่งให้สูงสุดซึ่งยักษ์ก็เนรมิตให้ทันทีทันใด เขา 
ขอให้ยักษ์ปีนเสาต้นนี้ช้าๆไปถึงยอดแล้วให้ปีนลงมาช้าๆ เช่นกัน พอถึงพื้นก็ให้ปีนขึ้นไปบนยอดใหม่อีกครั้ง 
แล้วให้ปีนขึ้นปีนลงเช่นนี้ตลอดเวลาไม่ให้หยุดเลย 
ยักษ์ตนนั้นก็เลยต้องปีนขึ้นปีนลงตลอดเวลาตามคำสั่งของนาย 
ชายหนุ่มจึงเริ่มหายใจได้ทั่วท้อง ขณะนี้เขาปลอดภัยแล้วชายหนุ่มมีเวลาที่จะเข้าไปอยู่ในวังอย่างมีความ 
สุขตั้งแต่นั้นมา 
ยักษ์ตนนี้เปรียบเสมือนความคิดและจิตใจของเราถ้าเรารู้จักใช้ความคิดของเรา และควบคุมความคิดของ 
เราให้ดีเราจะได้รับผลดีจากความคิดของเรา 
ถ้าเราต้องการจะทำอะไรให้ดีให้ถูกต้องเราต้องควบคุมจิตใจของเราให้สงบเหมือนกับชายหนุ่มในนิทานที่ 
สามารถควบคุมยักษ์ตนนั้นได้และสามารถทำให้ความต้องการของเขาลุล่วงสำเร็จได้ 
ถ้าเราควบคุมความคิดของเราไม่ได้ มันจะสร้างปัญหาให้กับเราเราจะเริ่มต้นนั่งคิดว่าจะไปซื้ออะไร จะ 
ไปกินอะไรดี หรือจะไปเที่ยวไหนดี ฯลฯความต้องการจะครอบคลุมจิตใจของเรา ครอบคลุมอารมณ์ของ 
เรา เราจะหวั่นไหวต่อความโลภความโกรธและความอิจฉา เป็นต้นสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นถ้าเราไม่รู้จัก 
ควบคุมความคิดของเราเช่นเดียวกับยักษ์ตนนั้นที่ข่มขู่ชายหนุ่มตลอดเวลา 
เราต้องควบคุมความคิดของเราตลอดเวลาชายหนุ่มคนนี้ใช้ให้ยักษ์ปีนขึ้นลงที่เสาสูงต้นนั้นเราก็สามารถใช้ 
ลมหายใจเข้าออกของเราซึ่งอยู่กับเราตลอดเวลานั้นเป็นเสาสูงแทน 
หมายเหตุ :: นิทานเรื่องตะเกียงวิเศษนี้คัดมาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ของการฝึกจิตของ ดร.อาจอง 
ชุมสาย ณ อยุธยา 
เรื่องที่ 2 
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ 
เขาได้ประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่สามารถรักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้ 
หลายคนรวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างก็มาเสนอแนะวิธีรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้นี้แต่ไม่มีใครสามารถ 
ทำให้เขาดีขึ้นได้ 
อยู่มาวันหนึ่งมีฤาษีคนหนึ่งมาเยี่ยมท่านเศรษฐีเศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้ฤาษีทราบ 
ฤาษีจึงบอกกับท่านเศรษฐีว่า 'โธ่เอ้ยวิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียว 
นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลาแล้วอาการโรคของเจ้าจะหายไป' 
เศรษฐีดีใจมากและคิดว่าสิ่งที่ฤาษีแนะนำเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก 
วันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีจึงจ้างช่างทาสีหลายร้อยคนมาช่วยกันทาสีของหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด 
นอกจากนี้ด้วยความที่รวยมากยังซื้อเสื้อผ้าให้กับคนในหมู่บ้านทุกคนใส่ 
ในตอนนี้ไม่ว่าท่านเศรษฐีมองไปทางใดก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลาตามคำแนะนำของฤาษี 
อาการปวดศีรษะของเขาก็เริ่มดีขึ้นๆเขาเริ่มเป็นคนยิ้มง่ายและมีความสุขมากขึ้น 
สองสามเดือนถัดมาท่านฤาษีได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง 
แต่ก็ต้องเผชิญกับช่างทาสีคนหนึ่งซึ่งร้องตะโกนว่า 
'หยุด หยุดท่านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ในชุดนี้ไม่ได้เดี๋ยวผมจะทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน' 
ฤาษีก็รีบวิ่งและหนีเข้าไปในบ้านของเศรษฐีได้ในที่สุด 
ฤาษีได้พบกับเศรษฐีในบ้านและตำหนิว่า 
'ทำไมเจ้าถึงเสียเงินทองและ เวลามากมายเพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆรอบตัวเจ้าเล่า 
เราไม่ได้บอกให้เจ้าไปเที่ยวทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย 
เจ้าเพียงแค่สวมแว่นตาสีเขียวเท่านั้นเจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว' 
หากเราต้องการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว 
เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกคนหรือทุกอย่าง 
เราเพียงแต่เปลี่ยนตัวของเราเองก่อน 
แล้วเราจะพบว่าทุกสิ่งรอบตัวของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน 
เรื่องจากการพัฒนาศักยภาพอย่างสมบูรณ์ 
โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา 
เรื่องที่ 3 
+++... หาความสุขได้ที่ไหน...+++ 
ในตอนกลางดึกมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังคลำหาอะไรอยู่สักอย่างรอบๆเสาไฟฟ้าข้างถนน 
สักครู่หนึ่งมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา 
เห็นหญิงชราผู้นั้นกำลังคลำหาอะไรอยู่ 
เลยถามขึ้นว่า'ยาย..ยาย ยายกำลังหาอะไรอยู่?' 
หญิงชราผู้นั้นตอบว่า'ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่ยายทำตกหายไป 
ช่วยยายหาหน่อยซิ' 
พวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจึงช่วยกันหาทั่วไปหมดแต่ก็หาไม่เจอ 
ในที่สุดพวกเขาก็สงสัยจึงถามยาย 
'ยาย..ยาย..ยายทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไปที่ไหน' 
ยายตอบว่า'ยายกำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องยาย แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไป 
แต่ห้องยายมันมืดยายมองไม่ค่อยเห็น 
ยายก็เลยออกมาที่ถนนเพราะมีแสงสว่างจากไฟฟ้า 
'...พอพวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ยินเช่นนั้นก็เลยหัวเราะแล้วเดินหนีไป 
เมื่อเราทำของหายเราก็ต้องไปหาในที่ๆเราทำหาย 
มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปหาที่อื่น 
เช่นเดียวกันเมื่อเราแสวงหาความสุข 
เราก็ต้องหาในจุดที่เราได้สูญเสียความสุขไป 
มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะหาความสุขที่ไนท์คลับหรือสถานเริงรมย์ต่างๆ 
หรือไปหาที่ประเทศนั้นประเทศนี้หรือไปหาที่คนอื่น 
ความสุขของเราได้สูญหายไปจากตรงไหน? 
คำตอบก็คือเราได้ทำหายไปจากใจของเรา ได้สูญเสียความสุขจากตัวเรา 
จากใจเรา ดังนั้นเราก็ต้องแสวงหาความสุขที่จุดนั้น คือ ในตัวเรา 
แหล่งที่มา : จาก'แนวทางสู่ความสุข' โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา 
เรื่องที่ 4 
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทุกๆ เช้าภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบน และวิ่งกลับมารายงานให้ 
สามีฟัง 
'เพื่อนบ้านเรานี่ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกินไม่รู้ใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซักอย่าง 
ไร' 
สามีก็ตอบว่า'อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน' 
แต่ภรรยาก็แอบไปดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างข้างบนบ้านและวิ่งกลับมางานสามีทุกเช้า 
'เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว' 
อยู่มาวันหนึ่งภรรยาวิ่งลงมารายงานสามีด้วยความแปลกประหลาดใจ'ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไร 
ขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาดอยากรู้เหลือเกินว่าเขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกอะไร หรือใช้วิธีใดซักผ้า' 
สามีหัวเราะแล้วกล่าวว่า 
'นี่ฉันรำคาญเธอเหลือเกินเมื่อเช้านี้ฉันตื่นแต่เช้ามืดและไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้สะอาด ก่อนหน้านี้ 
กระจกมันสกปรก เธอมองออกไปก็เห็นแต่ความสกปรก' 
'ทุกข์' หรือ 'สุข' นั้น จิตใจเป็นตัวกำหนด แต่ถึงอย่างนั้น ผิด ชอบ ชั่ว ดีก็ยังถือเป็นภาระทาง 
จริยธรรมของเราอยู่มิใช่หรือ 
ที่สำคัญ ...(ถ้าจำไม่ผิด) หากเช็ดหน้าต่างแล้วนะคะ ถึงจะไม่สะอาดเอี่ยมแต่ก็เพียงพอที่แสงจะลอด 
ผ่าน เพื่อประโยชน์แก่การ 'มอง' และ 'เห็น 
โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา  

ตาแคม