29 มีนาคม 2567, 12:17:48
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: สิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพ ถ้าไม่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพ สิทธิฟรีควรให้ร่วมจ่ายบ้างดีไหม  (อ่าน 19935 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 06 ตุลาคม 2552, 21:20:25 »




เวชศาสตร์ป้องกัน เป็นวิชาแพทย์ที่เกี่ยวกับการป้องกันไม่ให้เกิดโรค

สิทธิ ต้อง คู่กับหน้าที่ การได้สิทธิ จะต้องมีหน้าที่แลกกับสิทธิด้วย

การป้องกันดีกว่าการรักษา

ลดความพิการ การเสียชีวิต และ ค่่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพลงได้

แต่ประชาชนมักจะไม่ดูแลสุขภาพ รอให้ป่วยก่อนจึงจะนึกถึงซึ่งมักจะสายไปแล้ว

ทั้ง ๆ ที่มีความรู้เรื่องเวชศาสตร์ป้องกัน ให้รู้สาเหตุ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ป่วย เช่น

ความรู้เรื่องโรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรค เช่น

เบาหวาน ความดันโลหิตสูงโรคมะเร็ง โรคปวดเข่า ปวดหลัง

ความรู้เรื่อง การสูบบุหรี่ เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดถุงลมโป่งพอง เกิดมะเร็งปอด ฯลฯ

ความรู้เรื่อง กระเพาะอาหารอักเสบ เกิดจากทานข้าวไม่ตรงเวลา ความเครียด

ทานยาที่ระคายกระเพาะตอนท้องว่าง ฯลฯ

ความรู้เรื่องเมาขณะขับขี่ยวดยาน จะเกิดอุบัติเหตุให้พิการ หรือ เสียชีวิต

ทั้งๆ ที่บอกให้รู้ แต่ก็ยังไม่ปฏิบัติตาม ยังอ้วน ยังสูบบุหรี่ ยังเป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง

ยังเมาแล้วขับขี่่ให้เห็นกันอยู่ และ โรคที่ทราบสาเหตุ ที่ป้องกันได้ก็ยังเป็นกันอยู่

ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ประชาชนจะอ่อนแอ ป่วยง่าย ป่วยบ่อย

ค่ารักษาพยาบาลจะเพิ่มมากขึ้น ทุกๆปี ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะ

ไปลงทุนมุ่งรักษาโรค แทนที่จะมุ่งเน้นเรื่องการป้องกันไม่ให้ป่วย

ที่ลงทุนน้อยกว่า และ ผลต่อการมีสุขภาพดี ได้มากกว่า




แนวทางการแก้ปัญหายาก ๆ ของ ท่าน ศ.น.พ.ประเวศ วะสี

ที่กล่าวว่า งานยากเหมือนการย้ายภูเขา นั้น จะทำได้ด้วย

สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา คือ

สามเหลี่ยมมีสามด้าน ต้องทำทั้งสามด้าน จึงจะสามารถแก้ไขได้

โดยทำตามลำดับ โดย การให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหา เป็นด้านที่ 1

เมื่อให้ความรู้จนผู้ได้รับความรู้เห็นควรนำมาสร้างเป็น

วัฒนธรรมของการอยู่รวมกัน ไม่มีบทลงโทษ เป็นด้านที่ 2

เมื่อมี ด้าน 2 ด้านแล้วก็จะยังมีคนไม่ปฏิบัติตามอยู่อีก

ต้องมีการออกกฏให้ทำหน้าที่ ถ้าไม่ทำจะถูกลงโทษเป็นด้านที่ 3

เมื่อมีด้านที่ 3 จะสามารถเกิดการปฏิบัติ เพราะ กลัวถูกลงโทษ

ตัวอย่าง กรุงเทพฯออกกฏด้านสาธารณสุข ให้ทำหน้าที่ทิ้งขยะในถังขยะ

ใครไม่ทำหน้าที่พลเมืองดี จะถูกปรับ 100 บาท ก่อน ตามกระทู้

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3649.0.html

และ การที่จะให้ประชาชนมีสุขภาพดีไม่ป่วยง่าย นั้น

มีวิชาเวชศาสตร์ป้องกัน ให้ความรู้แล้ว เป็นด้านที่ 1

มีกรมอนามัยรวมกลุ่มคนให้ปฏิบัติตัวตามสุขบัญญัติ 10

เป็นด้านที่ 2 แล้ว แต่ก็ยังมีคนไม่ปฏิบัติตัวตามอยู่

ต้องใช้ด้านที่ 3 การออกกฏกระทรวงสาธารณสุข

ให้ประชาชนต้องทำหน้าที่ของการมีสุขภาพดี

ถ้าไม่ทำหน้าที่ จะไม่ได้สิทธิรักษาฟรี ต้องร่วมจ่าย อาจให้จ่าย 20 %

ของค่ายาตามที่ผมโพสท์กระทู้ไว้ที่

http://www.cmadong.com/board/index.php?topic=3947.0

จึงนำมาเสนอพวกเราให้ทราบเรื่อง สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา

แล้วนำมาประยุกต์ใช้ในการจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ๆ ที่ต้องการได้

ผมขอนำมาใช้เรื่อง การสร้างสุขภาพ ดีกว่า การซ่อมสุขภาพ

ด้วยการที่ประชาชนร่วมเสนอให้ ร.ม.ต.สาธารณสุข ออกกฏกระทรวง



พณฯท่าน วิทยา แก้วภราดัย ร.ม.ต.กระทรวงสาธารณสุข นิติศาสตร์ จุฬาฯ รหัส 16

ออกกฏกระทรวงสาธารณสุข ด้านเวชศาสตร์ป้องกัน ให้สร้างสุขภาพ

ถ้าไม่ดูแลสุขภาพ อาจจะกำหนดให้เสีย 20 % ของค่ารักษาเหมือนประเทศอเมริกา

ที่เริ่มมีการใช้แล้ว ตามที่ ศาสตราจารย์ น.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแำพทยสภา ไปเห็นมา ที่

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samrotri&month=06-2007&date=24&group=1&gblog=11

เมื่อใช้ด้านที่ 3 ของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา มาเสริมให้ ทำให้การสร้างสุขภาพ

มีการปฏิบัติ เพราะ อยากได้สิทธิรักษาฟรี ไม่อยากเสียเงิน จากไม่ปฏิบัติ

ส่วนคนที่ปฏิบัติหน้าที่การมีสุขภาพดีอยู่แล้วไม่ถูกบังคับ เพราะ เป็นนิสัยอยู่แล้ว  

เมื่อมีคนดูแลสุขภาพ ด้วยการปฏิบัติตามสุขบัญญัติ 10 ประการของกรมอนามัย

จะทำให้ค่ารักษาพยาบาลลดลง นำเงินมาตรวจร่างกายฟรีได้ปีละครั้งได้ ดู

สุขบัญญัติ ได้ ที่

 http://www.thaigoodview.com/node/1946

ถ้าน้ำหนักเกิน ก็พยายาม ลดน้ำหนัก ขอเสนอวิธีกล้วย ๆ ด้วยการ

ทานกล้วย เป็นอาหารเช้า สะดวกในการจัดหา มารับประทาน ราคาไม่แพง

เหมือนประเทศญี่ปุ่น มีการใช้ทานกล้วยลดส่วนเกิน

ตามข่าว ที่โพสท์เพิ่ม ตอบกระทู้นี้ « ตอบ # 1

"อ้วน อาจต้องร่วมจ่ายค่ารักษา มีวิธีลดอย่างกล้วยๆ ด้วยการทานกล้วยเป็นมื้อเช้า"


และ ออกกำลังกายง่าย ๆ  เช่น เดินเร็ว ไม่ใช้ลิฟท์ เดินขึ้นบันได ฯลฯ


 รักนะ รักนะ รักนะ

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2552, 10:12:17 »




ไทยเตรียมจัดระดมกึ๋น 'ลงพุง-อ้วนฉุ''เป็นภัย' ได้เกินคาด!

น.ส.พ.เดลินิวส์ วันศุกร์ ที่ 23 ตุลาคม 2552

เปิดม่านการประชุมในวันที่ 23 ต.ค. สำหรับเวทีประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15

ในจำนวนนี้ก็รวมถึงการประชุมทางด้านสุขภาพ
    
รวมถึงเรื่อง “โรคอ้วน” ที่ใกล้จะมีงานใหญ่อีก...
    
ทั้งนี้ “โรคอ้วน” นั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่มัก เกิดจากการกินอาหาร

โดยเฉพาะอาหารจำพวกไขมัน แป้ง และน้ำตาล มากเกินความต้องการของร่างกาย

อีกสาเหตุหนึ่งคือ เกิดจากการออกกำลังกายน้อย และ

สาเหตุสุดท้ายก็คือ เกิดจากกรรมพันธุ์

ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ทำให้มีไขมันสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เป็นโรคอ้วน

และทำให้มีโอกาสเป็นโรคร้ายแรงอื่น ๆ สูงกว่าคนปกติ
    
เช่น... โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือดตีบตัน

โรคมะเร็งบางชนิด และอีกหลายโรค  


ซึ่งโรคที่เกิดจากโรคอ้วนเหล่านี้

ถือเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย
    
จากข้อมูลที่ทางโรงพยาบาลรามาธิบดีส่งมาให้

 “โรคอ้วน” ซึ่งนอกจากจะเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ  ดังที่ว่ามาแล้ว ยังทำให้

ขาดความคล่องตัวในการทำงาน และ ทำให้สุขภาพจิตย่ำแย่ด้วย
    
ปัจจุบันนี้แนวโน้มคนเป็นโรคอ้วนมีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดย

โรค อ้วนนั้นพบได้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา อันตรายจากโรคอ้วนนั้น ถึงขนาดว่า

คนอ้วนมีอัตราการเสียชีวิตแตกต่างจากคนรูปร่างปกติในทางที่สูงกว่าถึง 2-12 เท่า

ขึ้นกับอายุของแต่ละบุคคล

แต่ถ้าคนที่เป็นโรคอ้วนสามารถลดน้ำหนักลงได้เพียง 5-10% ของน้ำหนักตัว

ก็จะสามารถลดอัตราการเสียชีวิต หรือ อัตราการพิการลงได้

    
กับสถานการณ์ “โรคอ้วน” ในประเทศไทย ต้นปีหน้าจะจัดงานใหญ่ในเรื่องนี้ด้วย
    
ระหว่างวันที่ 4-6 ก.พ. 2553 ในประเทศไทยจะมีการจัด ประชุมระดับชาติเรื่อง

โรคอ้วน (Obesity Summit 2010 Weight Reduction From A-Z)

ณ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ งานนี้ดำเนินการโดย

โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

กระทรวงสาธารณสุข เมดิคอล คอนเวน ชั่น โปรโมชั่น เซ็นเตอร์

ซึ่งก็จะมีผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก เป็นอีกงานที่น่าติดตาม  
    
ในงานนี้จะมีการนำเสนอและอธิบายถึง

การรักษา “โรคอ้วน” ด้วยวิธีต่าง ๆ โดย

วิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านโรคอ้วนจากประเทศต่าง ๆ

ซึ่งจะมาร่วมกันอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ แนะนำวิธีการรักษาสมัยใหม่


ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการจัดประชุมครั้งนี้คือ

บุคลากรทางการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศจะสามารถดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะโรคอ้วน

และ อ้วนลงพุง ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    
รวมถึงพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านวิชาการของภูมิภาค  
    
ทั้งนี้ ในส่วนของการจัดการประชุมต้าน “โรคอ้วน” นั้น

ก็สำคัญที่ประชาชนคนไทยเองจะต้องตระหนัก ซึ่งจากข้อมูลของกรมอนามัย

ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าผู้ชายไทยเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นถึง 36%

ในส่วนของผู้หญิงเพิ่มขึ้น 47%

โดยช่วงวัยทำงานอายุ 20-29 ปี มีอัตราการเพิ่มของโรคอ้วนสูงที่สุด
    
ผู้ชายที่มีรอบเอวเกิน 90 ซม. และ ผู้หญิงที่มีรอบเอวเกิน 80 ซม. ถือว่ามีพุงใหญ่

มีความเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่ม “โรคอ้วน” ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลดพุงของตัวเอง

เพื่อป้องกันโรคภัยต่าง ๆ ดังที่ว่ามาข้างต้น
    
“อ้วน” บางคนว่าเพราะกินดีอยู่ดี-เป็นหุ่นคนมีอันจะกิน
    
แต่จริง ๆ แล้วเป็น “หุ่นให้โทษ-หุ่นอันตราย” ต่างหาก
    
ไม่งั้นคงไม่ต้องถึงขั้นประชุมระดับชาติเพื่อสู้โรคอ้วน !!

นำมาจาก

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=23&contentId=27577

 gek gek gek

ดังนั้น ถ้าใครน้ำหนักเกิน ควร ตั้งใจลดส่วนเกิน ดัวย 3 อ. คือ

อ.อาหาร ไม่ทานมากเกินความต้องการ ไม่ทานจุกจิก หรือ อาจลองทำตาม

ประเทศญี่ปุ่นที่ลดส่วนเกินอย่างกล้วย ๆ ด้วยการทานกล้วยเป็นมื้อเช้า เป็นต้น

อ.ออกกำลังกาย สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 วัน ออกแต่ละวันรวมกันได้วันละประมาณ 30 นาที

เช่น ขึ้นบันไดแทนใช้ลิฟท์ ลงก่อนถึงป้ายรถเมล์  1 ป้าย เพื่อเดินต่อได้อีกระยะหนึ่ง

การเดินเร็วๆ แทนเดินแบบช้า ๆ ลดส่วนเกิน และ ทำให้กระปรี้กระเปร่า ฯลฯ

และ อ.อารมณ์ แจ่มใส มุ่งมั่นในการควบคุมน้ำหนักเพื่อลดส่วนเกิน

เพื่อ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายกับตนเอง แล้วยังช่วยให้

สุขภาพแข็งแรงไม่ป่วยง่าย ลด ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล

เป็นการทำบุญช่วยชาติลดค่าใช้จ่าย ทำให้อารมณ์แจ่มใส ตาม อ.อารมณ์ นั่นเอง

ลดน้ำหนักให้ได้ ประมาณ เดือนละ 1-2 กิโลกรัม จนได้น้ำหนักมาตรฐาน

คิดอย่างไม่ต้องละเอียดมาก ง่าย ๆ ด้วย

น้ำหนัก เป็นเมตร ลบด้วย 100 เช่น

สูง 175 ควรหนักประมาณ 175 - 100 = 75 กิโลกรัม

ถ้ามีกฏกระทรวงสาธารณสุข น้ำหนักเกินให้ร่วมจ่าย

ถ้าลดน้ำหนักส่วนเกินไม่ได้ ควรยินดีร่วมจ่ายบ้างบางส่วน เพื่อ

เป็นการลงโทษตนเองที่ลดส่วนเกินไม่ได้ และ ยังได้ทำบุญยอมจ่ายบ้าง

เป็นการเพิ่มเงินค่ารักษาพยาบาลให้มากขึ้น

แทนที่คนอ้วน จะทำให้เงินค่ารักษา หมดไปเร็วขึ้นจากใช้เงินรักษามาก กลายมาเป็น

คนอ้วนร่วมจ่ายค่ารักษาบ้างบางส่วน เช่น 20 % ของค่ารักษา ทำให้เงินค่ารักษา

กลับเพิ่มขึ้นได้ จากการเสียสละ ลงโทษตนเองของคนลดส่วนเกินไม่ได้  รักนะ


 gek gek gek

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Porpowerk15
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2552, 11:10:22 »

 เหนื่อย อ่านกันนานเลย...แต่ขอบใจนะค่ะที่นำข้อมูลมาฝาก
      บันทึกการเข้า
pialpjman
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2552, 15:33:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ Porpowerk15 เมื่อ 24 ธันวาคม 2552, 11:10:22
เหนื่อย อ่านกันนานเลย...แต่ขอบใจนะค่ะที่นำข้อมูลมาฝาก
ไม่ต่างกันครับ
      บันทึกการเข้า
ipjip69
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2552, 16:16:19 »

ดีครับ
      บันทึกการเข้า
pork205sook
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 06 มกราคม 2553, 11:45:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ สำเริง 17 รุ่น 57 เมื่อ 11 ตุลาคม 2552, 08:32:23



พยายามไดเอ็ทหลายวิธีก็ไม่ผอมลงสักนิด สิ้นหวังแล้วนะ..

งั้นลองหยิบ “กล้วย” ใบน้อยเติมพลังให้เช้าวันใหม่ดู เชื่อหรือไม่

ส่วนเกินจะหายไปในพริบตา


วิถีรับประทานกล้วยมื้อเช้าแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่นิยมถึงขนาด

ก่อตั้งชุมชนออนไลน์ (Social Networking Service)

สำหรับคนกินกล้วยมื้อเช้ากันเลย ( Mixi) และภายในเวลาสองปีครึ่งที่ผ่านมา

พบว่าสมาชิกชุมชนประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักถึง 300 คนแล้ว

พวกเขามีผู้นำชื่อ "ฮามาจิ" ผู้เปลี่ยนไดอารี่บันทึกวิธีลดน้ำหนักฉบับกล้วยมื้อเช้า

ให้เป็นพ็อคเกตบุ๊ก

สูตรไอเด็ทของเขาคือ กล้วยกี่ลูกก็ได้ตามใจอยาก + น้ำเปล่า เท่านั้นเอง

เมนูนี้ “เหมาะเหม็ง” ที่สุดด้วยเหตุผลหลายประการ

มองไปทางไหน เรามักเห็นกล้วยเกลื่อนตลาดไปหมด

จึงไม่ยุ่งยากเกินไปที่จะเสาะหามารับประทาน แถมราคายังถูกแสนถูก

อาจให้กันฟรีๆ หรือกินทิ้งกินขว้างยังได้เลย

ยิ่งช่วงเวลาเช้า เหล่ามนุษย์เงินเดือนต้องเร่งรีบกันอยู่แล้ว

จะมีสักกี่คนที่สามารถปฏิบัติตามหลักโภชนาการที่ว่า มื้อเช้าสำคัญที่สุดบ้าง


ในเมื่อต้องการลดน้ำหนักแล้ว จงอย่าฝืนใจ อดกลั้นทำตามกฎเคร่งครัดใดๆ

ควรเอาเวลาไปกินมื้อเที่ยงให้อิ่มแปล้ และสังสรรค์มื้อเย็นกับเพื่อนกันดีกว่า

อีกอย่าง กล้วยไม่จำเป็นต้องหั่นปอกเปลือกเหมือนผลไม้ชนิดอื่น

แค่ใช้มือปอกไม่กี่วินาทีก็กินได้แล้ว

กล้วยมื้อเช้าจึงโดนใจสาวกไดเอ็ท เพราะไม่เปลืองเงิน ไม่ต้องอด และ ไม่เสียเวลา

ฮามาจิ พบว่าการลดน้ำหนักสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหารในร่างกายของคนเรา

ฉะนั้นการกินผลไม้อย่างเดียว ทำให้กระเพาะได้พักผ่อน

ช่วยฟื้นฟูสภาพการทำงานของกระเพาะ ลำไส้ และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย

หลังจากรับประทานผลไม้ไป 15-20 นาที ผลไม้จะเคลื่อนที่ไปสู่ลำไส้ และ

เริ่มถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ขณะที่ผักคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน

จะใช้เวลาในการย่อยนานกว่า 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ส่วน “น้ำ” ที่เราดื่มตามไปติดๆ จะช่วยทำให้การหมุนเวียนของเลือด และ

ของเหลวในร่างกายดีขึ้น ส่งผลดีต่อการขับของเสียออกจากร่างกาย

สรรพคุณของกล้วยใบน้อยถือเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย

เมื่อกินกล้วย เราจะได้รับวิตามินบี1 และบี 2 เร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน

ป้องกันตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า รวมทั้งเกลือแร่ เช่น

โปรแตสเซียม ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และแมกนีเซียม

ช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม

อีกทั้งยังมีเส้นใย บรรเทาอาการท้องผูกได้ดี แต่มักเป็นสารอาหาร

ที่เรามักไม่ได้รับให้เพียงพอในแต่ละวัน

นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง เพราะแป้งในกล้วยดิบจะช่วยดีท็อกซ์

ส่วนกล้วยสุกช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันหวัดได้ดี

ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงคุณสมบัติพื้นฐาน

กล้วยยังมีสารโพลีฟินอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ชะลอความแก่ และ

สารยูจินอล ซึ่งเป็นไฟโตเคมีคัล ที่ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย

รวมถึงเซโรโทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง

ตลอดจนตัวเอ็นไซม์ช่วยย่อยในเนื้อกล้วยเอง ก็จะทำให้การย่อยราบรื่น

เป็นการประหยัดเอ็นไซม์ในร่างกาย ช่วยให้คลายความเหนื่อยล้าไปในตัว

น้ำตาลในกล้วย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น และ

ส่งผลให้ความถี่และปริมาณการบริโภคน้ำตาลในระหว่างวันลดลงไปโดยปริยาย

ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น มีผลวิจัยว่ากล้วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ NK

ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็งได้ด้วย

ข้อดีขนาดนี้ ถึงเวลาใช้ชีวิตสไตล์กล้วยมื้อเช้าอย่างถูกวิธีกันแล้ว

เริ่มจากกินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด

ปล่อยให้ลิ้นได้รับรสอร่อยของกล้วยอย่างเพลิดเพลิน

หลังจากกินเสร็จแล้วยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงทานอย่างอื่น เช่น

ข้าว หรือแอบอมลูกกวาดก็ได้ไม่ว่ากัน

แต่ถ้าวันไหนเบื่อกล้วย หรือ ไม่ชอบกล้วยหอมจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นผลไม้

ชนิดอื่นก็ได้ แต่ขอให้เป็นผลไม้ชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระของกระเพาะ

ไม่ให้เหนื่อยเกินไปที่จะผลิตน้ำย่อยกรดด่างต่างกัน แล้วตีกันให้ปั่นป่วน


มาถึงการดื่มเฉพาะน้ำเปล่า และ ดื่มบ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ

เดี๋ยวพานจะเครียดเปล่าๆ จงดื่มเท่าที่พอใจ เพื่อให้ประสาทการรับรสดีขึ้น

ซึ่งต่างจากน้ำดื่มที่มีรสชาติ มันจะทำให้ประสาทการรับรสแย่ลง

ส่งผลให้เราต้องเพิ่มปริมาณอาหารโดยไม่จำเป็น

อีกทั้ง น้ำเปล่ายังไม่ต้องย่อยที่กระเพาะอาหารและลำไส้

จึงเป็นการปล่อยให้พวกมันได้เวลาพักไปในตัว

ส่วนมื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้เต็มที่

เสี่ยงกินจุบกินจิบระหว่างวัน แผนการที่วางไว้ตั้งแต่ต้นจะล้มครืนลงทันที

พอถึงบ่ายสามก็กินของว่างได้บ้าง โดยเฉพาะของว่าง หรือ

ผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น และกินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม และพยายามกินให้เร็วขึ้น

จากปัจจุบันสักครึ่งชั่วโมงจะดีมาก รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็น

หลังจากใส่ใจอาหารการกิน ก็ต้องนอนหลับให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้อง

นอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้ และ ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายไม่โหมจนเกินไป

ทำให้พอเหมาะ เพื่อร่างกายสดชื่น แล้วสูตรกล้วยไดเอ็ทนั้นก็จะสัมฤทธิผลดั่งใจ

ส่วนผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จ อาจต้องกลับไปทบทวนกันสักนิดว่า

นอนดึก สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เหนื่อยล้าตลอดเวลา พึ่งยาเป็นประจำ เครียดมาก และ

เคยลองไดเอ็ทแบบไม่กินคาร์โบไฮเดรตมาแล้วหรือไม่

หากเป็นเช่นนั้น ลองปรับพฤติกรรมเสียใหม่ ก็ยังไม่สายเกินไปนัก

สำหรับข้อเสียจากวิธีลดน้ำหนักด้วยกล้วยมื้อเช้านั้น นอกจากจะเบื่อหน่ายบ้าง

เพราะกินได้แค่กล้วยกับน้ำ แถมมื้อดึกต้องกินเพียงผลไม้เท่านั้น และ

เข้านอนก่อนเที่ยงคืนด้วย และ บางคนแพ้กล้วย จนเกิดอาการคัน หรือมีผื่นแดง

กับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือผู้ที่กำลังป่วยอยู่

แต่ยังไง ไดเอ็ทก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากจริงๆ

นำมาจาก

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20091009/80647/กล้วยๆ-...ช่วยไดเอ็ท.html

  gek gek gek


แบร่่!!! หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า
slimgirl28
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: 09 มกราคม 2553, 11:00:10 »

กล้วย ช่วยคุณได้จริงๆค่ะ ดิฉันทานกล้วยคู่กับการลดน้ำหนัก เห็นผลในเวลาสั้น ได้ผลดีเลยทีเดียว
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #7 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2553, 22:13:13 »


ขอขอบคุณเวบแนวหน้าวันพฤหัส 10 มิ.ย. 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.thaipost.net/news/100610/23293

ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ ทวงคืน หน้าที่พลเมือง จำกัดพื้นที่ความเหลื่อมล้ำ
http://nucha.chs.ac.th/1.1.2.htm



ผมจึงอยากจะเรียกร้องเสียตอนนี้เลยครับว่า   
การส่งเสียงกระตุ้นให้ช่วยกันแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม  กำจัดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
อันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายร้อนเป็นไฟเมื่อเดือนที่แล้วนั้น 
เป็นเรื่องที่ดีและต้องช่วยกันกระตุกต่อมสำนึกของผู้เกี่ยวข้องต่อไป
แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะของความเป็นคนไทยแล้ว 

การรู้จักหน้าที่ของตัวเองก็เป็นพื้นฐานสำคัญที่เราไม่อาจมองข้าม

วิกฤตบ้านเมืองพิสูจน์ทราบแล้วว่า ถ้าคนไทยรู้ว่าอะไรคือหน้าที่   อะไรคือสิทธิ 
ย่อมจะไม่เกิดเรื่องเกินเลย บานปลาย  กลายเป็นการละเมิดกฎหมาย 
รุกรานสิทธิของผู้อื่นอย่างแน่นอน

ประโยคทองของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ ที่ว่า

“อย่าถามว่าประเทศจะให้อะไรกับคุณ แต่ขอให้ถามตัวคุณว่า
คุณจะสามารถทำอะไรให้แก่ประเทศบ้าง”
 

ผมคิดว่าคนไทยต้องช่วยกันท่องแล้วนะครับ  หากอยากเห็นประเทศชาติรอดพ้น
จากหายนะและเดินบนเส้นทางปฏิรูป
 
นายใฝ่ฝัน  ปฏิรูป

gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><