29 มีนาคม 2567, 02:17:47
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: วิชาการ รวมข่าวเกี่ยวกับการเมืองเพื่อ ร่วมรู้ ร่วมเข้าใจ ร่วมเข้าถึง และ ร่วมพัฒนา  (อ่าน 16102 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2553, 07:22:06 »


หมายเหตุ การเมืองเป็นด้านที่ 3 ของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา เพื่อแก้ปัญหายาก ๆ ซึ่งจะใช้ด้านใดด้านหนึ่งมาแก้ได้

         การเมือง เป็นด้านที่สำคัญที่พวกเราต้องสนใจ เพื่อให้มาช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหายาก ๆ

         พวกเราที่ไม่ได้เป็นนักการเมือง จะเป็นแค่ นักวิชาการ เป็นนักปฏิบัติ หรือ นักบริหารในองค์กร สามารถทำด้านการให้ความรู้ เป็นด้านที่ 1  เวบซีมะโด่ง ของพวกเราร่วมระดมสมอง แต่ละคณะ สร้างวัฒนธรรม เป็นด้านที่ 2 เพื่อ สนับสนุน นักการเมือง ที่มีจริยธรรม ทำเพื่อส่วนรวม เป็นด้านที่ 3 ให้เข้ามาร่วมจัดการปัญหายาก ๆ ให้ได้

         จึงขอเปิดกระทู้ ให้นำความรู้ แต่จะไม่วิจารณ์การเมือง แต่เปิดเพียงเพื่อนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการเมืองขึ้น นำความรู้ มาบันทึกเก็บไว้ เพื่อเป็นธนาคารเก็บความรู้จากข่าว ประเทืองปัญญา และ สร้างวัฒนธรรม  เสริมด้านการเมืองเท่านั้น คงไม่โดนเพ็งเล็ง ว่าเป็นภัยอะไรนะครับ ทีมเวบซีมะโด่งที่รักของพวกเรา

         ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

             ตัวอย่าง ด้านที่ 3 การเมือง ทำให้เป็นไปตามแนวคิดที่ผู้ใช้ ต้องการได้

                                    
                                กรณี จัตุรัส เทียนอันเหมิน
                       ขอขอบคุณ น.ส.พ.เดลินิวส์ วันศุกร์ ที่ 16 เมษายน 2553
            http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=12&contentID=60209

           เห็นคนบางกลุ่มกำลังเล่นเกมกับชีวิตคน ซึ่งมีการสูญเสียไปแล้ว 21 ศพ เมื่อ 10 เม.ย.2553 ทำให้คิดถึง

                   เหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2532

                                           
        
           ครั้งนั้นมีนักศึกษาจีน 1 แสนคน รวมตัวกันเรียกร้องให้   คุณเติ้ง เสี่ยว ผิง เปลี่ยนการปกครองแบบคอมมิวนิสต์มาเป็นประชาธิปไตย
        
           คุณจ้าว จื่อ หยาง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์หัวใหม่ เกิดใจอ่อนเดินไปพบผู้ชุมนุม พร้อมกับแสดงความเห็นใจ
        
           แต่คุณเติ้งในฐานะผู้นำสูงสุด จะไปทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะ มีหน้าที่ดูแลประเทศจีนให้ร่มเย็นสุขสงบ ประชาชนทุกคนมีข้าวกิน ไม่อด ๆ อยาก ๆ เหมือนในอดีต ทำอย่างนั้นไม่ได้
        
           ประเทศจีนจะเป็นประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ เชื่อว่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับคุณเติ้ง เพราะเคยบอกแล้วว่า

                        “แมวจะสีดำหรือสีขาวไม่สำคัญ แต่ขอให้จับหนูได้เท่านั้น”
                            ซึ่งหมายถึง  การมุ่งบริหารเป้าหมายมากกว่าวิธีการ
        
           คุณเติ้งเคยมีความคิดแตกต่างจากผู้ทรงอำนาจอย่าง ประธาน  เหมา เจ๋อ ตุง ที่ต้องการปฏิวัติวัฒนธรรม เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมเป็นคอมมิวนิสต์เต็มรูปแบบ ความไม่เห็นด้วยดังกล่าว ทำให้คุณเติ้งถูกจับไปเข้าค่ายใช้แรงงาน ยากลำบากอยู่ในชนบท  หลายปี
        
           ประธานเหมา คงต้องการบริหารเป้าหมายเหมือนกัน คงไม่อยากให้คุณเติ้งมาทำให้นโยบายปฏิวัติวัฒนธรรมสั่นคลอน
        
           ในทำนองเดียวกัน คุณเติ้งเห็นว่า หากเปลี่ยนแปลงการปกครองตามคำเรียกร้องของนักศึกษา อาจทำให้ประเทศจีนซึ่งมีขนาดใหญ่ มีประชากรเป็นพันล้านคน เสี่ยงต่อการแตกสลาย   เนื่องจากไม่สามารถรวมศูนย์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ คุณเติ้งจึงสั่งให้เลิกชุมนุม เมื่อยังขัดขืนจึงไฟเขียวให้ทหารเข้าปราบปราม
        
           ผลก็คือ ตายไป 2,500 คน และบาดเจ็บอีก 1 หมื่นคน คุณจ้าว จื่อ หยาง ถูกปลดจากเลขาธิการพรรคฯ และคุมขังไว้ในบ้าน ส่วนคุณหวังตัน ผู้นำนักศึกษาถูกจับติดคุกอยู่หลายปี ไม่เหมือนกับผู้นำประท้วงในบ้านเรา จะเสี้ยมให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เอาชีวิตไปทิ้ง ส่วนตัวเองจะหลบแต่อยู่ในรู เมื่อเห็นท่าไม่ดี ก็จะหนีไปต่างประเทศ
        
           เหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมินถือเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของชนชาติจีน นานาชาติต่างประณามว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย แต่คุณเติ้งก็ไม่สนใจ เพราะมุ่งบริหารเป้าหมายเพียงอย่างเดียว
        
           อันที่จริงคุณหวังตันก็มีความปรารถนาดีต่อประเทศ โดยมีความเชื่อที่ว่า หากปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแล้ว จะทำให้จีนรุ่งเรือง ประชาชนมีเสรีภาพ ไม่ได้ก่อม็อบเพื่อรับใช้ใครคนใดคนหนึ่งที่กำลังหนีโทษคุก 2 ปี
        
           ส่วนคุณเติ้ง ต้องยอมถูกตราหน้ามือเปื้อนเลือด โดยเชื่อว่า การบริหารแบบ 1 ประเทศ 2 ระบบ โดยการเมืองยังเป็นแบบคอมมิวนิสต์ ส่วนเศรษฐกิจปลดปล่อยให้เป็นทุนนิยม
        
           มันก็แปลกดี เพราะแนวคิดทุนนิยมเป็นปฏิปักษ์ต่อคอม  มิวนิสต์เหมือนน้ำกับน้ำมัน แต่คุณเติ้งทำได้
        
           จากวันนั้นถึงวันนี้ประมาณ 21 ปี เวลาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า คุณเติ้ง ตัดสินใจถูกต้องโดยเฉพาะเหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เพราะการรวมศูนย์อำนาจทางการเมืองไว้ที่พรรค คอมมิวนิสต์ ทำให้การเมืองมีเสถียรภาพ สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างต่อเนื่อง จนเศรษฐกิจเติบโตกลายเป็นพี่เบิ้มของโลก
        
ลองหลับตานึก ถ้าคุณเติ้งกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่มุ่งมั่นต่อเป้าหมาย เป็นผู้นำที่เอาตัวรอดไปวัน ๆ ยอมทำตามข้อเรียกร้อง วันนี้ทั้งมณฑลซินเจียงและทิเบต คงถูกแบ่งแยกออกไปปกครองตนเอง ยังไม่รวมถึงสภาพเศรษฐกิจที่มีการเอาเปรียบทางโอกาส คนรวย มือยาวกว่าตั้งหน้ากอบโกย คนจนมือสั้นกว่าแย่งไม่ทัน อด ๆ   อยาก ๆ กลายเป็นปัญหาสังคม
        
            อ่านข้อมูลเหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วไม่อยากเอามาเทียบกับการประท้วงที่แยกราชประสงค์ เพราะ ที่นั่นเขาหวังดีต่อบ้านเมือง ทั้งคุณเติ้งและคุณหวังตัน จึงต่างจากที่นี่ที่จ้องแต่จะเปลี่ยนรัฐบาล แก้กฎหมาย เพื่อเอาคุณทักษิณ ชินวัตร กลับมาให้ได้ โดยไม่สนว่า ประเทศไทยจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหรือไม่..??.

                                                                             "เขื่อนขันธ์"

                                                                         gek gek gek

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

ข่าวภูมิภาค  NGOพะเยาแนะปชช.มีส่วนร่วม สร้างมาตรฐานตรวจสอบการเมือง

          พะเยา:นายสุทธิพงษ์ อาณาตระกูล นักพัฒนาเอกชน ผู้ประสานงานกลุ่มดอกหญ้า (NGOX ต.ทุ่งกล้วย อ.ภูซาง จ.พะเยา กล่าวว่า

         ขณะนี้การเคลื่อนไหวทางการเมืองของภาคประชาชนจะเห็นได้ว่าเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ตั้งแต่มีกลุ่มผู้ชุมนุมมากมายหลายกลุ่มในระหว่าง 1-2 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า

         ประชาชนเริ่มมีการเรียนรู้เรื่องของการเมืองผ่านกิจกรรมการเคลื่อนไหวต่างๆ เช่น การตรวจสอบนักการเมืองท้องถิ่น การตรวจสอบการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)โดยการเมืองภาคประชาชนได้เริ่มต้นขึ้นในหลายพื้นที่ ส่วนใหญ่เริ่มมาจากการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลท้องถิ่น เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว ประชาชนจึงรับทราบข้อมูลและตรวจสอบได้ง่าย

          สำหรับกระบวนที่จะสร้างกลไกการตรวจสอบการเมืองทุกระดับให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น คือ

          การสร้างกระบวนการเรียนรู้ทางด้านการเมืองแก่ภาคประชาชน ซึ่งไม่ได้หมายถึง

          การเดินขบวนหรือการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยเท่านั้น แต่คือ

          การมีส่วนร่วมตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งผู้แทนทุกระดับ จากนั้นรู้เท่าทันหน้าที่ของนักการเมือง จนถึงรู้ในหน้าที่และสิทธิในการตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองอย่างมีเหตุผล

         และเมื่อประชาชนเรียนรู้การเมืองอย่างเป็นระบบแล้ว กลไกการตรวจสอบการเมืองทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ ที่สำคัญจะทำให้ได้ผู้แทนที่มาจากการใช้สติและเหตุผลของประชาชนเลือกให้ได้ผู้ที่มีความเหมาะสมต่อไป

         นำมาจาก น.ส.พ.แนวหน้า วันพฤหัสบดี ที่ 25/3/2010

         http://www.naewna.com/news.asp?ID=204668

         หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

         "เงินภาษีบริจาคให้พรรคการเมือง" ถึง "บริจาคให้การตรวจสอบนักการเมือง"

(เจิมศักดิ์ขอคิดด้วยฅน น.ส.พ.แนวหน้า วันจันทร์ ที่ 8 ก.พ.2553)

          

         การเปิดช่องทางบริจาคเงินเพื่ออุดหนุนพรรคการเมือง ผ่านการยื่นแบบเสียภาษี ภงด.90-ภงด.91 เป็นแนวทางที่สร้างสรรค์  เป็นวิธีคิดและการดำเนินการที่พยายามจะเป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นแก้ปัญหา

         "ธนกิจการเมือง"

         การเมืองที่อำนาจเงินเป็นใหญ่ พรรคการเมืองถูกยึดกุมอำนาจโดยนายทุนไม่กี่ราย  เป็นการเมืองที่ต้องพึ่งพาอำนาจเงินของนายทุน และใช้เงินเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐ

         จากนั้น ก็ใช้อำนาจรัฐเพื่อตอบแทนบุญคุณของนายทุนพรรค ผ่านการทุจริตคอรัปชั่น หรือเอื้อประโยชน์ หรือเลือกปฏิบัติ ฯลฯ  จึงปรากฏว่า

         บุคคล ครอบครัว หรือธุรกิจบางราย สามารถจะครอบงำพรรคการเมืองบางพรรคได้เกือบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยทุ่มเงินบริจาคหรืออุดหนุนให้แก่พรรคการเมือง ผูกขาดเป็นผู้อุปถัมภ์พรรค ทำให้พรรคการเมืองไม่เป็นพรรคของมวลชน ส.ส.ขาดความอิสระในการดำเนินงานทางการเมือง แต่นายทุนผู้อุปถัมภ์กลับสามารถมีอิทธิพลเหนือพรรคการเมือง

 1) ในการยื่นแบบเสียภาษี ภงด.90-ภงด.91 จะมีช่องให้เลือก พร้อมรหัสของพรรคการเมือง เพื่อให้ผู้เสียภาษีเลือกว่าจะบริจาคเงินภาษี 100 บาท ให้แก่พรรคการเมืองใด  โดยที่ผู้เสียภาษีไม่ได้ควักกระเป๋าตัวเองเพิ่มแต่ประการใด

         กรมสรรพากรจะนำส่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จัดเก็บได้ ส่งเป็นรายได้แผ่นดินไปก่อน เมื่อรวบรวมข้อมูลการแสดงความประสงค์บริจาคเงินภาษีให้พรรคการเมือง จำแนกเป็นรายพรรคและจำนวนเงินเรียบร้อยแล้ว จึงจะส่งให้นายทะเบียนพรรคการเมือง โอนเงินให้กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ภายในวันที่ 31 ตุลาคม ของปีที่รับแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี เพื่อโอนต่อให้พรรคการเมืองต่อไป

 2) ในปีนี้ ประชาชนผู้เสียภาษี ผู้ประสงค์จะบริจาคเงินภาษีให้พรรคการเมือง สามารถแสดงความจำนงได้โดยการยื่นแบบต่อกรมสรรพากร ตั้งแต่บัดนี้ ไปจนถึงวันที่31 มีนาคม 2553

         สามารถเลือกพรรคการเมืองที่ตนเองต้องการจะบริจาคเงินภาษีให้ จากตัวเลือกพรรคการเมือง 54 พรรค ตามรหัสที่ กกต. (เรียงลำดับตามลำดับเวลาการขอจัดตั้งพรรคการเมือง) เช่น

         พรรคประชาธิปัตย์ รหัส 001, พรรคกิจสังคม 003, พรรคความหวังใหม่ 013, พรรคประชาราช 017, พรรคเพื่อไทย 034, พรรคเพื่อแผ่นดิน 041, พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 045, พรรคชาติไทยพัฒนา 055, พรรคมาตุภูมิ 062, พรรคภูมิใจไทย 063, พรรคการเมืองใหม่ 076 เป็นต้น

 3) ผู้เสียภาษี สามารถจะตัดสินใจที่จะบริจาค หรือไม่บริจาค ก็ได้! และถ้าเลือกที่จะบริจาค ก็ค่อยเลือกใส่รหัสพรรคการเมืองที่ตนต้องการบริจาคเงินภาษีให้

         ประชาชนผู้เสียภาษีสามารถจะมีวิธีคิดมากหลาย แตกต่างกันไปตามอัธยาศรัย

3.1 หากพึงพอใจ หรือต้องการสนับสนุนการดำเนินงานของพรรคการเมืองใด ก็เลือกบริจาคเงินภาษีแผ่นดินให้พรรคการเมืองนั้น

3.2 หรือ ถ้าคิดอยากจะลงโทษพรรคการเมืองใด โดยเห็นว่าพรรคการเมืองใดเป็นพรรคของนายทุน พรรคเฉพาะกิจ พรรคของครอบครัว ของตระกูล ของกลุ่มก๊วนมุ้ง หรือเห็นว่าพรรคการเมืองนั้นมีพฤติการณ์ที่กระทำการเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของนายทุนพรรค หรือนายใหญ่ผู้เป็นยิ่งกว่านายทุนพรรค เห็นว่า นักการเมืองพรรคไหนยังบินไปขอเงินนักโทษหนีคุก ผู้โกงกินไปจากแผ่นดินไทยอยู่เรื่อยๆ

3.3 หากเห็นว่า ถึงจะบริจาคเงินภาษีแผ่นดินให้ก็ไร้คุณค่า เพราะนักการเมืองและพรรคการเมืองนั้น ไม่รู้คุณแผ่นดิน ก็อาจพิจารณาไม่บริจาคให้พรรคการเมืองนั้น โดยอาจจะไม่บริจาคเลย เพื่อให้เงินภาษีทั้งหมดไหลเข้าคลังหลวง ให้นำไปใช้จ่ายในด้านอื่นๆ ของประเทศ

3.4 หรืออาจจะหันไปบริจาคให้พรรคการเมืองอื่นๆ ที่ยังพอเป็นความหวังได้มากกว่า หรือ เป็น ตัวคานอำนาจ เป็นคู่แข่งทางการเมือง หรือแม้แต่เป็นทางเลือกใหม่ เป็นต้น

 4) การเปิดช่องทางบริจาคเงินภาษีเพื่ออุดหนุนพรรคการเมือง เป็นการเพิ่มช่องทางให้พรรคการเมืองที่ยังมีน้ำดีปะปนอยู่บ้าง สามารถจะลดแรงกดดันจากการพึ่งพาเงินของนายทุนรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย โดยได้รับเงินอุดหนุนจากภาษีของประชาชนผู้สนับสนุนโดยตรง  เป็นการรักษาความหวังที่ว่า พรรคการเมืองที่ต้องการจะดำเนินการเยี่ยงพรรคการเมืองที่แท้จริง จะสามารถทำตามอุดมการณ์ของพรรคการเมือง ทำงานการเมืองเพื่อตอบสนองประชาชนส่วนรวม (มากกว่าตอบสนองนายทุนพรรค) ได้โดยสะดวกมากขึ้น

         มองได้ว่า เป็นการส่งเสริมการกระจายอำนาจ กระจายความรู้สึกเป็นเจ้าของ ไม่ให้พรรคการเมืองถูกผูกขาดโดยผู้อุปถัมภ์รายใหญ่เพียงไม่กี่ราย

 5) เมื่อมีกลไกที่ให้ประชาชนบริจาคเงินภาษีเพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองโดยตรงเช่นนี้แล้ว ก็ควรจะต้องมีมาตรการตรวจสอบการดำเนินงานของพรรคการเมืองอย่างเข้มข้นและโปร่งใส เพื่อติดตามดูแลการใช้จ่ายเงินของพรรคการเมือง และการรับเงินจากช่องทางอื่นๆ ที่อาจจะรักษาไว้ซึ่งอิทธิพลอำนาจเหนือพรรคการเมืองของนายทุนรายใหญ่

         จะต้องให้ประชาชนได้เห็นที่มา-ที่ไปของเงินได้ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เงินสนับสนุนของกองทุนพัฒนาการเมือง เงินบริจาคเข้าพรรคการเมือง ค่าใช้จ่ายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ค่าใช้จ่ายในการจัดประชุม สัมมนาของพรรคการเมือง ฯลฯ รวมทั้งเงินที่เคยอยู่ในโลกมืด ปราศจากระบบการตรวจสอบ ควบคุม ดูแล อาทิ เงินที่รับจากหัวหน้ามุ้ง เงินที่รับจากนายทุนพรรค เงินที่รับมาจากผู้สนับสนุนทางการเมืองส่วนตัว เงินรายจ่ายค่าภาษีสังคมของ ส.ส. หรือแม้แต่เงินรายจ่ายในการซื้อเสียง เป็นต้น

         ทั้งหมด ควรต้องกำหนดให้เด็ดขาด จะต้องให้ทั้ง

         "พรรคการเมืองและนักการเมือง"

         มีบัญชีรายรับ-รายจ่ายที่เกี่ยวข้องหรือมีนัยสำคัญกับงานการเมืองโดยเฉพาะ อย่างชัดเจน สามารถตรวจสอบได้ โดยการรับ-จ่ายเงินทั้งหมด จะต้องทำผ่านบัญชีเหล่านี้เท่านั้น

         หากพบการรับ-จ่ายเงิน ที่อยู่นอกเหนือบัญชีนี้ ต้องถือเป็นความผิด !

         วิธีการเช่นนี้ นอกจากจะทำให้นักการเมืองตรวจสอบกันเองแล้ว ยังช่วยให้ภาคสังคมได้มีส่วนร่วมในการจับตามองและติดตามตรวจสอบนักการเมืองด้วย

 6) การสนับสนุนให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการสนับสนุน ตัดสินใจบริจาคเงินภาษีเพื่ออุดหนุนองค์กรทางการเมืองที่ตนเองพึงพอใจ เป็นแนวทางที่สร้างสรรค์ จึงไม่ควรจะจำกัดอยู่แต่เฉพาะการบริจาคให้องค์กรการเมืองที่อยู่ในรูปพรรคการเมืองเท่านั้น

         หากลองศึกษาบทเรียนของการพัฒนาการเมือง หรือการสร้างสรรค์การเมืองในประเทศเกาหลี จะเห็นบทบาทขององค์กรทางการเมืองที่ไม่ใช่พรรคการเมือง แต่เป็นองค์กรภาคประชาสังคม

         ในประเทศเกาหลี สามารถใช้ความเอาจริงเอาจังของพลเมือง เข้ามาชำระสะสาง ไล่ล้างนักการเมืองน้ำเน่า ออกไปจากระบบการเมืองได้จำนวนมาก อย่างรวดเร็ว  น่าคิดว่า ปัญหานักการเมืองขี้โกงที่ประเทศเกาหลี ก็เคยมีไม่แพ้ประเทศไทย  แต่เมื่อพลเมืองเกาหลีได้มีองค์กรรณรงค์ขับไล่นักการเมืองชั่ว เพื่อกดดันให้พรรคการเมืองต่างๆ ไม่ส่งผู้สมัครที่มีพฤติกรรมคดโกง ลงเลือกตั้ง การเมืองของเกาหลีก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

                    

         มูลนิธิ ชื่อ Beautiful Foundation ในประเทศเกาหลี ทำหน้าที่แฉ ตรวจสอบ เปิดโปงวพฤติกรรมของนักการเมืองขี้โกง ตีแผ่ให้สาธารณชนได้รู้เห็นข้อมูลสำคัญเป็นลำดับ เช่น เคยมีพฤติกรรมอย่างไร ร่วมทำธุรกิจกับใคร หาผลประโยชน์กับใคร สัมพันธ์กับใคร กลุ่มธุรกิจใด มีผลประโยชน์อย่างไร ฯลฯ แล้วก็ทำเป็นบัญชีรายชื่อนักการเมืองที่ต้องจับตามอง เผยแพร่สู่สาธารณชน อาจเรียกว่า

         "บัญชีดำ"

         มีการคัดเกรด แบ่งแยกคุณภาพของนักการเมืองแต่ละคน เช่น คนนี้ เกรดเอ คนนี้เกรดบี คนโน้นไม่ได้เรื่อง เกรดซี ส่วนคนนั้น พฤติกรรมแย่ที่สุด ก็จัดอยู่ในเกรดแย่ที่สุด โดยทั้งหมด จะต้องมีข้อมูลยืนยัน หนักแน่น มีเหตุมีผล จากนั้น จะมีการนำมาขึ้นลิสต์ และส่งไปให้พรรคการเมืองต่างๆ เป็นนัยว่า ให้พรรคการเมืองพิจารณาคุณภาพ ส.ส.ในสังกัดของตน และสำทับไปด้วยว่า นักการเมืองเกรดต่ำพวกนี้ อย่าได้ให้ไปมีตำแหน่งสำคัญ

         ทุกขั้นตอนนั้น มูลนิธิจะสร้างกระบวนการให้สังคมได้มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลเพิ่มเติม และเป็นการประชาสัมพันธ์ไปในตัว ผ่านเวบไซต์ ผ่านสื่อสารมวลชน ฯลฯ ใครที่มีข้อมูลว่า ไม่ได้ทุจริต ก็เอาข้อมูลมาอธิบาย หรือใครที่มีข้อมูลว่าทุจริตยิ่งกว่า ก็เอาข้อมูลมาเพิ่มเติม ระหว่างนั้น จึงมีการคัดชื่อออก กลั่นกรอง และการเพิ่มเติมชื่อ เข้าไปในบัญชีด้วย กระบวนการดังกล่าว กลายเป็นการถกแถลงปัญหาบ้านเมือง โดยมี "ข้อมูลข้อเท็จจริง" เป็นสาระสำคัญ อยู่ในการรับรู้ของสังคมไปในตัว !

         การดำเนินกิจกรรมข้างต้น ทำให้เกิดแรงกระเพื่อม พรรคการเมืองต้องฟังเสียงสาธารณชน ในที่สุด เมื่อการเลือกตั้งผ่านไปเพียง 2 ครั้ง นักการเมืองน้ำเน่าหน้าเก่าๆ ในประเทศเกาหลี ก็ค่อยๆ หายหน้าหายตาไป มากกว่าครึ่งหนึ่ง!

         การดำเนินการในลักษณะคล้ายๆ อย่างนี้ ควรจะได้รับการส่งเสริม สนับสนุนในประเทศไทย เพื่อกระตุ้น และส่งเสริมให้คนไทยตื่นตัว หูตาสว่าง ปฏิเสธนักการเมืองสายพันธุ์โกง และไม่ยอมรับการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งในที่สุด เชื่อว่า การเมืองไทยจะค่อยๆ สะอาด โปร่งใสขึ้นเรื่อยๆ

         ควรจะหาช่องทางให้ประชาชนสามารถตัดสินใจบริจาคเงินภาษีเพื่ออุดหนุนการดำเนินงานทางการเมืองขององค์กรที่ไม่ใช่พรรคการเมือง  แต่เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบพรรคการเมืองและนักการเมืองด้วย

         สันติสุข มะโรงศรี แทน ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

         http://www.naewna.com/news.asp?ID=198626

         win win win


                    


ขอแทรกความรู้เรื่อง การปกครองของ...โดย...เพื่อ...ประชาชน ด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น

         การปกครองท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
                       โดย รองศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย
                          รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า
                                  ที่มา วิชาการ.คอม


         รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มุ่งเน้นสาระสำคัญ 4 แนวทางหลัก ได้แก่

แนวทางที่ 1 การคุ้มครอง ส่งเสริม และการขยายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่

แนวทางที่ 2 ลดการผูกขาดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน และส่งเสริมการกระจายอำนาจ

แนวทางที่ 3 การทำให้การเมืองมีความโปร่งใส มีคุณธรรม และจริยธรรม และ

แนวทางที่ 4 การทำให้องค์กรตรวจสอบมีอิสระ เข้มแข็ง และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

         ทั้งนี้ในส่วนบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่น และ การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปรากฎอยู่ใน 2 หมวดสำคัญ ได้แก่  

         หมวดที่ 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ส่วนที่ 3 แนวนโยบายด้านการบริหารแผ่นดิน (มาตรา 78) ส่วนที่ 4 แนวนโยบายด้านศาสนา สังคม การสาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรม (มาตรา 80) และ

        หมวดที่ 14 ว่าด้วยการปกครองท้องถิ่น  ( มาตรา 281 – 290)

        โดยในสาระสำคัญที่เกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นในรัฐธรรมนูญนั้น สามารถแบ่งได้ออกเป็นสาระสำคัญใน 5 ประการ ได้แก่

         ประการที่ 1 การขยายอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีบทบาทที่ชัดเจนและกว้างขวางขึ้น

         ประการที่ 2 การทำให้เกิดดุลยภาพระหว่างการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และความเป็นอิสระ

         ประการที่ 3 เป็นการพัฒนาระบบการดำเนินงานและบริหารงานภายในขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

         ประการที่ 4 การเปิดพื้นที่ให้แก่ประชาชน ชุมชน และภาคประชาสังคมในการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการท้องถิ่นร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ

         ประการที่ 5 การทำให้การเมืองท้องถิ่นมีความโปร่งใส โดยจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป

         นอกจากความเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของการปกครองท้องถิ่นดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีความพยายามในการปรับเปลี่ยนสภาวการณ์ที่อยู่แวดล้อมและเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหาร และ การพัฒนาท้องถิ่นให้เอื้อต่อการพัฒนาการปกครองท้องถิ่น  โดย

         ในหมวด 13 เรื่อง จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ  ซึ่งหมวดนี้เป็นหมวดที่ถูกกำหนดขึ้นใหม่ และกำหนดว่าจะต้องมีการจัดทำ

         มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท เพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐานในด้านจริยธรรมให้แก่กลุ่มบุคคลดังกล่าวเหล่านั้น

         การกำหนดบทบัญญัติในหมวดนี้เป็นการเสริมสร้างกรอบประพฤติ ปฏิบัติที่คุณธรรมและจริยธรรมให้แก่นักการเมืองท้องถิ่น   และข้าราชการท้องถิ่นและเป็นเสมือนหนึ่งสิ่งที่ผู้บริหารท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการส่วนท้องถิ่นต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะ

         หากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมและคุณธรรมแล้วอาจจะเป็นเหตุไปสู่การถอดถอนจากตำแหน่งได้  การบัญญัติในลักษณะดังกล่าวจะมีผลต่อการปฏิบัติงานและการบริหารงานของผู้บริหารท้องถิ่น คณะผู้บริหาร และ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นและจะทำให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ปฏิบัติงานภายใต้กรอบจริยธรรม คุณธรรม และมุ่งเน้นคุณภาพ ประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่เป็นสำคัญ

         รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ถือเป็นการเสริมกำลังให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น “กำลังทรัพย์” “กำลังคน” และ “กำลังทางปัญญา” และที่สำคัญได้เพิ่มอำนาจในการตัดสินใจทางการบริหารงานท้องถิ่นในด้านต่าง ๆ นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอันจะก่อให้เกิดกระบวนการในการพัฒนาท้องถิ่น ผ่านกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชน   และการปกครองท้องถิ่นก็จะเป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาประชาธิปไตยต่อไป

         นำมาจาก ร่วมสร้าง สังคมธรรมาธิปไตย ม.รังสิต วันที่ 20/08/2552
         http://www.rsunews.net/Ask%20Experts/AdministrationLocalityDirection/AdministrationLocalityDirection.htm

         หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2553, 17:16:54 »


               แนะเปลี่ยนสัดส่วนเงินพรรคการเมือง

น.ส.พ.เดลินิวส์ วันศุกร์ ที่ 19 ก.พ. 53 สนับสนุนเนื้อหา

         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(19 ก.พ.) ที่โรงแรมรามาการ์เดน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดการประชุมผู้บริหารพรรคการเมือง โดยมี

                              

         นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง เป็นประธานในการประชุม ซึ่งการประชุมครั้งนี้ มีการรายงานการติดตามประเมินผลการใช้จ่ายเงินของพรรคการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง ประจำปี 2551 และดำเนินการประเมินผลโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ ตามรายงานการประเมินผลระบุว่า

         ในปีงบประมาณ 2551 กองทุนพัฒนาพรรคการเมืองได้รับงบประมาณ 189 ล้านบาท แต่จัดสรรให้พรรคการเมืองจำนวน 109 ล้านบาท ที่เหลือเป็นการดำเนินการในส่วนของค่าบริหารกองทุนฯ โดยคณะนักวิจัยเห็นควรที่จะปรับปรุงสัดส่วนของเงินเพราะจะเห็นได้ว่าเงินถึง 40% ถูกจัดไว้เป็นการจัดการบริหารของกองทุนส่วนกลาง ซึ่งขาดการประเมินประสิทธิภาพ และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์

         จากรายงานการวิจัยพบว่า พรรคการเมืองมีประสิทธิภาพมากในการใช้จ่ายเงินค่อนข้างมาก กล่าวคือ ใช้จ่ายเงินจนเกือบหมดตามที่ได้มีโครงการมา และมีเงินเหลือจ่ายเพียง 10% เท่านั้น

         อย่างไรก็ตาม เมื่อลงลึกในข้อมูลยังพบปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ และตอบสนองที่มีส่วนได้เสียได้ค่อนข้างน้อย แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วพบว่า

         การดำเนินงานของสำนักงานใหญ่ของพรรคค่อนข้างดี แต่กลับพบว่า สาขาพรรคการเมืองยังคงอ่อนแออยู่ ทั้งนี้บางพรรคเองก็มีปัญหาเรื่องการใช้จ่ายค่าบริหารสำนักงานและสาธารณูปโภค เช่น

         มีการเบิกจ่ายค่าเช่าอาคารสำนักงานใหญ่ แต่เมื่อลงพื้นที่ไปตรวจกลับพบว่ามีสำนักงานใหญ่ รวมอยู่กับที่อยู่อาศัยหรือสถานประกอบการ

         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแสดงความเห็นและซักถามตอนหนึ่งถึงเรื่องของ

         ความเหมาะสมที่ กกต.เห็นควรหาสถานที่ตั้งที่ทำการพรรคให้มีความเหมาะสมในการตั้งที่ทำการพรรคและสาขาพรรค ทำให้

         นายอธิปรัฐ กาญจนสุวรรณ เลขาธิการพรรคขัตติยะธรรม ซึ่งมี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เป็นที่ปรึกษาพรรคนี้ ได้เสนอว่า

         เรื่องนี้ กกต. ควรออกกฎระเบียบให้ชัดเจน จะมาบอกให้เป็นดุลพินิจของพรรคไม่ได้ เพราะอย่างพรรคของตน มีที่ทำการอยู่ที่โรงแรมราชา ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นโรงแรมม่านรูด และขณะนี้ก็ยังเป็นโรงแรมม่านรูดอยู่ ดังนั้นคำว่าเหมาะสมควรจะอออกระเบียบมาเลยว่าเหมาะสม อย่างไร.

นำมาจาก สนุกดอทคอม

http://news.sanook.com/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87-901889.html

          gek gek gek


      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 16 มีนาคม 2553, 19:10:54 »




ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ อาจารย์ ผาสุก พงษ์ไพจิตร


         ชี้มาตรการคลัง-ปชต.ถูกทิศแก้ปัญหาสังคมไทยได้

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันพฤหัสบดี ที่ 6 พฤศจิกายน 2552

          ย้ำมั่งคั่งกระจุกตัว,ระบบรวมศูนย์-คณาธิปไตย คือ

เหตุเลื่อมล้ำขัดแย้ง ชี้สร้างมิติการคลัง,ปชต.ที่ถูกทิศทาง สร้างสังคมแฟร์ได้


ระบุตัวชี้วัดความมั่งคั่งปี 49 กลุ่มรวยสุด20% มีทรัพย์สินรวม 69%ของทั้งประเทศ

จนสุด20% ทรัพย์รวมกันแค่1%

         สถิติธปท. มิ.ย.52 ร้อยละ42 เงินฝาก7หมื่นบัญชีๆ ละกว่า10ล้านบาท

ถ้ามีคนละ 2บัญชีจะเท่ากับ42%ของประเทศ หรือ แค่ 35,000คน

ตัวชี้วัดถือหุ้นปี2538-2542 ครอบครัวถือหุ้นสูงสุด 11ตระกูล เช่น

มาลีนนท์ ชินวัตร ดำรงชัยธรรม จิราธิวัฒน์

         ดัชนี้ที่ดินถือครองมากสุด 50อันดับ เฉลี่ย10% ของแต่ละจังหวัด

ไม่มีที่ดินเลย20% มีน้อยกว่า10 ไร่42%ของประชากร  

         วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2552 ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนินนอก

นางผาสุก พงษ์ไพจิตร ศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ปาฐกถาเรื่อง

         “สู่สังคมที่ยอมรับกันว่าแฟร์(Fair)”

         โดยกล่าวถึงการที่คนในสังคมต้องปรึกษาหารือเพื่อหาความเห็นพ้องต้องกัน

เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สังคมที่ยอมรับกันว่าแฟร์

         ไม่จำเป็นต้องเท่าเทียมกันทั้งหมด แต่ต้องเท่าเทียมกันในเรื่องโอกาส

ความมั่นคงในชีวิต การมีส่วนร่วมทางการเมือง และ

ลูกหลานจะมีอนาคตที่แจ่มใสพอๆ กัน


         ปัจจัยสำคัญที่ต้องมี คือ ระบบรัฐบาลตอบสนองข้อเรียกร้องของกลุ่มต่างๆ

ได้อย่างสมดุล กลไกสำคัญที่เป็นเครื่องมือ คือ

        นโยบายการคลัง การเก็บภาษีและจัดสรรเงินภาษีเพื่อทำนุบำรุงเศรษฐกิจ และ

ประชาธิปไตย หากรัฐบาลไม่สามารถบรรลุเป้าดังกล่าวได้

         สังคมนั้นๆ ก็จะไปสู่ ความไม่เท่าเทียมกัน ที่นับวันจะเพิ่มสูงขึ้น จนกลายเป็น

สังคมที่มีความขัดแย้งระหว่าง ความมั่งมีมหาศาลและคนชั้นกลางฝ่ายหนึ่ง กับ

คนจนส่วนใหญ่อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นความขัดแย้งเชิงโครงสร้างที่รอวันปะทุ

         ซึ่งขณะนี้ปัญหาทางการเมืองไทยก็มีต้นตอจากความเหลื่อมล้ำนั่นเอง  

         อาจารย์ ผาสุก กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจสูง

หากดูตัวชี้วัดเรื่องความมั่งคั่ง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ)

แสดงข้อมูลปี 2549 เกี่ยวกับทรัพย์สินของครอบครัวไทยกลุ่มต่างๆ พบว่า

         ครอบครัวกลุ่มรวยที่สุด ร้อยละ 20 มีทรัพย์สินรวมกันคิดเป็นร้อยละ 69 ของทั้งประเทศ

ขณะที่ครอบครัวจนสุด ร้อยละ 20 มีทรัพย์สินรวมกัน แค่ร้อยละ 1

แสดงถึงความมั่งคั่งกระจุกตัว


         ถ้าดูจากเงินออมในธนาคาร สถิติจากธนาคารแห่งประเทศไทยเดือนมิถุนายน 52 พบว่า

ร้อยละ 42 ของเงินฝากมาจากประมาณ 7 หมื่นบัญชีมีเงินมากกว่า 10 ล้านบาทต่อบัญชี

คิดเป็นร้อยละ 0.09 ของจำนวนบัญชีทั้งหมดในประเทศ

ซึ่งปกติคนๆ หนึ่งมีบัญชีมากกว่า 1 บัญชี

         สมมติว่าโดยเฉลี่ยมีคนละ 2 บัญชี ก็เท่ากับ ร้อยละ 42 ของประเทศ

มีคนเพียง 35,000 คน เป็นเจ้าของ แสดงถึงนัยการกระจุกตัวของรายได้ที่สูงมาก

         ขณะที่ตัวชี้วัดเรื่องการถือหุ้น การสำรวจในปี 2538-2542

กลุ่มครอบครัวที่ถือหุ้นสูงสุดของประเทศ 11 ตระกูล

ผลัดกันเป็นเจ้าของหุ้นมีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก เช่น

มาลีนนท์  ชินวัตร ดำรงชัยธรรม จิราธิวัฒน์ เป็นต้น

         ส่วนดัชนี้เรื่องที่ดิน ข้อมูลของกรมที่ดินพบว่า

การถือครองที่ดินมากที่สุด 50 อันดับแรก มีที่ดินโดยเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 10

ของที่ดินในแต่ละจังหวัด หรือ กลุ่มที่ไม่มีที่ดินเลย มีประมาณร้อยละ 20

หากรวมกลุ่มที่มีที่ดินน้อยกว่า 10 ไร่ ก็จะสูงถึงร้อยละ 42

         จากสถิติทั้งหมด แสดงถึงความมังคั่งในสังคมสูงอยู่ในมือคนจำนวนน้อยมาก

คงจะไม่ถึงร้อยละ 10 ของประเทศ และ คนกลุ่มเหล่านี้ ลูกหลานก็มักจะมาแต่งงานกัน

หรือหากจะดูรายได้ครัวเรือนเป็นรายภาค พ.ศ.2550 กทม.อยู่ที่ 187.6 ขณะที่ภาคอีสาน 69.6
     

         ส่วนเหตุสังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงนั้น

เนื่องมาจากระบบราชการรวมศูนย์ การเมืองคณาธิปไตย ทหารพาณิชย์

ประชาธิปไตยแต่ในนาม กองทัพทำรัฐประหารล้มรัฐธรรมนูญ

นับว่าเป็นการขัดขวางสู่ความเป็นประชาธิปไตยในทางหนึ่ง

         จากการศึกษา ความเหลื่อมล้ำในช่วงแรก

พบการออมกระจุกตัวในคนกลุ่มน้อยที่สามารถลงทุนหารายได้ ได้มากกว่าคนอื่นๆ

แม้ต่อมาจะมีพ.ร.บ.ประกันสังคม ก็มีผลเพียงร้อยละ 14 ของคนทั้งประเทศ

คนจำนวนน้อยสามารถกุมอำนาจไว้ได้

         แต่ในต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว มักไม่ประสบปัญหาดังกล่าวมาก

เนื่องจากมีการใช้ระบบภาษีอัตราก้าวหน้าและ เงินโอน

รวมถึงมีสหภาพแรงงานต่อรองกับนายจ้าง โดยเฉพาะญี่ปุ่น

จะมีปัญหาการเหลื่อมล้ำในสังคมน้อยมาก


         หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นปฏิรูปการเมืองยอมให้พรรคการเมือง และ

กลุ่มผลประโยชน์หลากหลายสีสรรพ์มีส่วนร่วมในระบอบรัฐสภาประชาธิปไตย

การปฏิรูปที่ดิน การล้มเลิกชนชั้นอภิสิทธิ์ และ มีการสนับสนุนให้สหภาพแรงงาน

มีการต่อรองกับนายจ้าง มีการนำภาษีมรดกมาใช้    

         อาจารย์ผาสุก กล่าวต่อว่า ขณะที่ปัญหาระบบภาษีของไทย มีลักษณะพึ่งภาษีทางอ้อมมาก

ภาษีทางตรงมีคนเสียน้อย ไม่ให้ความสำคัญกับความเหลื่อมล้ำ และ

         ระบบภาษีเป็นภาระกับคนจนมากกว่าคนรวย

ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องมีระบบภาษียอมรับกันว่าแฟร์ คือ ไม่ได้หมายความว่า

         ต้องเก็บภาษีจากคนรวยเพื่อเอาไปให้คนจนสถานเดียวแต่คนรวยกว่าน่าจะจ่ายได้มากกว่า

คือ จ่ายตามฐานะ

         "ระบบภาษีที่ดี จะต้องไม่ส่งผลเสียต่อแรงจูงใจอย่างมากมาย จนทำให้มีการขนถ่าย

เงินทุน หรือย้ายไปอยู่ในประเทศอื่นที่เก็บภาษีต่ำกว่า หลักการน่าจะเป็นว่า ทุกคนต้องเสียภาษี

อาจจะจ่ายตามฐานะ

         นอกจากนี้ ผู้ที่ได้ประโยชน์มากจากการใช้จ่ายภาครัฐ ก็น่าจะยอมจ่ายภาษี

เป็นสัดส่วนต่อรายได้สูงกว่าคนที่ได้รับประโยชน์น้อยกว่า


         นอกจากนี้ ระบบภาษีควรจะรวมถึงมาตรการที่บังคับให้ผู้ที่มีความมั่งคั่งล้นเกิน

ใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์เพื่อช่วยสร้างผลผลิตและจ้างงาน

ไม่ใช่เก็บเอาไว้เพื่อเก็งกำไรหรือเป็นเสือนอนกิน


         ทั้งนี้ มาตรการการคลังต้องพิจารณาทั้งระบบภาษีในทางตรงและทางอ้อม และ

การใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งภาระภาษีของไทยมีความไม่แฟร์เกิดขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับต่างชาติ

         ถ้าอัตราภาษีทางอ้อมสูง เท่ากับว่าภาษีเป็นภาระต่อคนจนมากกว่าคนรวย

ของไทยลี่ยนที่ร้อยละ 60 แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วเฉลี่ยที่ร้อยละ 50"  

         อาจารย์ผาสุก กล่าวต่อไปว่า สำหรับภาษีทางตรงแม้ไทยจะมีอัตราภาษีก้าวหน้า

ในปัจจุบันคือร้อยละ 37 แต่มีการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพียงร้อยละ 4

เพราะรัฐบาลมีการลดหย่อยภาษีมาโดยตลอด ซึ่งต้องมีการทบทวนนโยบายดังกล่าว

อีกทั้งมีการหลีกเลี่ยงภาษีกันมาก กระทรวงการคลังต้องมีการปฏิรูประบบภาษี

ทั้งนี้ ภาษีทางตรงอื่นๆ ที่ต่างประเทศใช้เพื่อเป็นมาตรการลดความเหลื่อมล้ำ

แต่ของไทยยังไม่มีหรือยังไม่พัฒนาคือ

         ภาษีทรัพย์สิน ภาษีมรดก ภาษีเก็บจากรายได้การขายหุ้น ภาษีรายได้จากดอกเบี้ย

ทำให้ภาพรวมระบบภาษีของไทยพึ่งภาษีทางอ้อมมากกว่าทางตรง

         จึงส่งผลให้เรามีระบบภาษีไร้ประสิทธิภาพ เป็นภาระแก่คนจน

ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วที่จะได้รับเงินจากภาษีทางตรงเป็นหลัก

         ส่วนการใช้จ่ายของภาครัฐ ปัจจัยหลักที่ดำนหนดการแบ่งสรร คือ อำนาจซึ่งก็มีการปรับตัว

ตามกาลสมัย และระบอบการปกครองและสถานการณ์

         แต่รายจ่ายภาครัฐของไทย คิดเป็นสัดส่วนของจีดีพีแล้ว

ยังต่ำมากคือเพียง ร้อยละ 18 ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วที่ร้อยละ 36 และ

รายจ่ายยังเน้นไปที่เงินเดือนข้าราชการ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

         งานศึกษาพบว่า การใช้จ่ายของรัฐบาล สามารถทำให้การกระจายรายได้

มีความเท่าเทียมกันเพิ่มขึ้นได้ โดยพบว่า

         การใช้จ่ายเพื่อการศึกษามีประสิทธิภาพสูงสุด ตามมาด้วยเพื่อการรักษาพยาบาล และ

การใช้จ่ายเพื่อภาคเกษตร ยังมีงานวิจัยอีกว่า การใช้จ่ายของภาครัฐมีปัญหา คือ

         การให้เงินอุดหนุนของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นค่าประปา ค่าไฟ ค่าขนส่งแบบที่เป็นอยู่

แต่ให้หันไปอุดหนุนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษา และสุขภาพ

         ซึ่งที่รัฐบาลปัจจุบันทำ นับว่าเดินมาถูกทางแม้จะยังไม่เพียงพอ  

ทั้งนี้ ที่รัฐบาลควรทำคือ ต้องมีโครงการและบริการสาธารณะ ที่ประชาชนทุกคนจะได้ประโยชน์

พอๆ กันให้มากกว่านี้ และควรจะเป็นสินค้าและบริการซึ่งจะส่งผลลดความเหลื่อมล้ำ

         โดยเฉพาะเกี่ยวกับสุขภาพและการศึกษา เพื่อการนี้รัฐบาลจะต้องหารายได้ภาษีเพิ่มขึ้น

จึงต้องเต้าเป้าที่จะเก็บภาษีคิดเป็นสัดส่วนของจีดีพี เพิ่มขึ้นในอนาคตให้ได้มากกว่าร้อยละ 17

หมายรวมถึงการเพิ่มจำนวนคนที่ต้องเสียภาษีเงินได้ ปรับปรุงภาษีรายได้จากดอกเบี้ยที่ยังต่ำ

การปฏิรุประบบภาษีและการจัดเก็บให้มีประสิทธิภาพ โดยให้การลดความเหลื่อมล้ำ

เป็นเป้าหมาย และต้องหลีกเลี่ยงระบบภีที่จะเพิ่มความเหลื่อมล้ำ คือ

         การหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาษีทางอ้อม แต่หันไปเพิ่มชนิดของภาษีทางตรงใหม่ๆ

ไทย มีการศึกษาว่า หากไทยสามารถเพิ่มรายได้จากภาษีทางตรงเพียงร้อยละ 10

จะทำให้อัตรคนยากจนลดลงร้อยละ 3

         นอกจากนี้ ต้องคิดถึงภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน รวมถึง

การพยายามเลิกเงินอุดหนุนประเภทต่างๆที่ให้ประโยชน์กับคนรวยมากกว่าคนจน    

นายผาสุก กล่าวต่อว่า ในส่วนระบบการเมือง ที่ต้องดำเนินนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ

หรือ political will แต่ที่ผ่านมายังไม่เกิดแต่มันมีโอกาสเกิดได้มากสุดในระบอบ

ประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดและรับรองสิทธิเสรีภาพของพลเมือง

         อย่างไรก็ดี ก็มักจะมีความพยายามโต้แย้ง เช่น

ระบอบประชาธิปไตยไม่เหมาะกับสังคมไทย เพราะคนไทยมีการศึกษาต่ำ


เพื่อเป็นข้ออ้างให้ยอมรับ ความเหลื่อมล้ำแบบเดิมๆ และการปกครองแบบคณาธิปไตย

         บางครั้งก็อ้างว่า ประชิปไตย คือ ม็อบเป็นใหญ่ แต่ก็มีทางแก้คือ

ต้องกำหนดในรัฐธรรมนูญป้องกันไม่ให้เสียงข้างมากเป็นภัยกับเสียงส่วนน้อย และ

คุ้มครองเสียงส่วนน้อยอย่างพอเพียง


         นอกจากนี้ ยังมีข้ออ้างอีกว่า ประชิปไตยเปิดช่องให้นักการเมืองซื้อเสียง

ซึ่งประชาธิปไตยทำให้นักการเมืองคอรัปชั่นเป็นไปโดยง่าย แต่ก็แก้ได้โดย

ให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น ซึ่งประชาธิปไตย สามารถจัดการกับปัญหาความขัดแย้ง

โดยเสียต้นทุนน้อยที่สุด สามารถควบคุมกับการคอรัปชั่นของการเมืองได้ โดย

การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เสรีภาพสื่อ การพัฒนาระบบตรวจสอบ

การพัฒนากรอบกฎหมายแต่ก็ต้องยอมรับว่า ประชาธิปไตยไม่สามารถสร้างได้ชั่วข้ามคืน

ดังนั้น จึงต้องทำไปเรียนไป ลองผิดลองถูก ซึ่งความต่อเนื่องของระบบมีความสำคัญ  

"ฉะนั้นต้องช่วยกันป้องกันการรัฐประหารอย่างเต็มกำลัง

         สรุปแล้ว มิติมาตรการการคลังและประชาธิปไตย ที่ถูกทิศถูกทาง

จะทำให้เกิดสังคมที่ทุกคนยอมรับว่าแฟร์ มีระบอบรัฐสภา มีรัฐธรรมนูญ

ที่ประกันสิทธิเสรีภาพและกำหนดกฎเกณฑ์เกมการเมือง ก็จะนำไปสู่การบรรลุเป้าคือ

สังคมที่สันติสุข"
ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว

นำมาจาก

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/policy/20091106/85190/%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%95.%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89.html

          หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #3 เมื่อ: 16 มีนาคม 2553, 19:42:15 »


         เปิดร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดิน กทม.บ้านราคาไม่เกินล้านรอด- ตจว.ต้องไม่เกิน3-5แสน !!!!

หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ประจำวันอังคาร ที่ 8 มี.ค. 53

                                    

                 พณฯ ท่าน กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

        คลังชี้ยกร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เสร็จสมบูรณ์ 100% แล้ว อยู่ระหว่างทำหนังสือเวียนรับฟังความคิดเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เผยอัตราภาษีใหม่ กทม.-หัวเมืองใหญ่

         ที่อยู่อาศัยไม่เกิน 50 ตร.ว.มูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาท รอด ส่วนต่างจังหวัดใน อบต.-เขตเทศบาล ราคาต้องไม่เกิน 3-5 แสนบาท

         แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลังให้เป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติภาษี ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ...ได้ยกร่างกฎหมายดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างทำหนังสือเวียนแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาและให้ ความเห็น อาทิ กระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมธนารักษ์ ฯลฯ พร้อมกับเสนอเรื่องไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อรอบรรจุเข้าวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่าจะสามารถเสนอให้ ครม. พิจารณาได้ภายใน 2 สัปดาห์นี้

        ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวส่วนใหญ่ยังคงเป็นไปตามร่างเดิมที่กระทรวงการคลังเคยนำเสนอใน การจัดประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นสาธารณชนในช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่การกำหนดอัตราการจัดเก็บภาษีก็ยังเป็นอัตราเดิม คือ

         ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยไม่ประกอบการในเชิงพาณิชย์ จัดเก็บภาษีไม่เกิน 0.1% ของ ฐานภาษี

         อัตราภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประกอบการเกษตรกรรม จัดเก็บไม่เกิน 0.05% ของฐานภาษี

         ส่วนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั่วไปนอกเหนือจากการใช้เป็นที่อยู่อาศัยและทำ เกษตรกรรม จัดเก็บไม่เกิน 0.5%

        อย่างไรก็ตาม มีการปรับปรุงหมวดที่ว่าด้วยเรื่องฐานภาษี อัตราภาษี และการคำนวณภาษีบางส่วน ซึ่งจะมีการเสนอออกพระราชกฤษฎีกา ภายใต้ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อยกเว้นการจัดเก็บภาษี ในส่วนของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ที่กำหนดจัดเก็บภาษีในอัตราไม่เกิน 0.1%

         โดยจะยกเว้นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย ดังนี้

          1.ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และหัวเมืองใหญ่และหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เมืองพัทยา จะมีการยกเว้นการ จัดเก็บภาษีในส่วนของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย ขนาดเนื้อที่ไม่เกิน 50 ตารางวา และ มีมูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาท

          2.ใน เขตเทศบาล จะยกเว้นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยขนาด เนื้อที่ไม่เกิน 50 ตารางวา และมูลค่าไม่เกิน 5 แสนบาท

          3.ใน พื้นที่การปกครองขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) จะยกเว้นจัดเก็บภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย ขนาดเนื้อที่ไม่เกิน 50 ตารางวา ที่มีมูลค่าไม่เกิน 3 แสนบาท

         โดยในการคำนวณอัตราการจัดเก็บภาษี หน่วยงานท้องถิ่นซึ่งมีหน้าที่ประเมินและคำนวณจัดเก็บภาษีจะพิจารณาจัดเก็บ โดยพิจารณาสภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นหลัก อย่างเช่นใช้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งเพื่ออยู่อาศัยและใช้ประโยชน์ในเชิง พาณิชย์ จะจัดเก็บภาษีโดยใช้ฐานอัตราภาษีที่อยู่อาศัยได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้ประโยชน์ เพื่อการอยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 เป็นต้น

         ขณะเดียวกันได้มีการ ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีในส่วนของธุรกิจพัฒนาที่ดินและการใช้ที่ดินในนิคม อุตสาหกรรม โดยกำหนดให้จัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในการดำเนิน ธุรกิจพัฒนา ที่ดิน และนิคมอุตสาหกรรม ในลักษณะเป็นการประกอบการเชิงพาณิชย์

         อัตราภาษีไม่เกิน 0.5% ในช่วง 3 ปีแรก แต่หากเกิน 3 ปีไปแล้วยังไม่มีการใช้ประโยชน์ หรือ ปล่อยให้เป็นที่ดินว่างเปล่า จะมีการจัดเก็บภาษีเพิ่มอีก 1 เท่าทุก 3 ปี แต่ไม่เกิน 2% ของฐานภาษี

         เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาการทิ้งที่ดินให้รกร้างว่างเปล่า ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ และเร่งรัดให้มีการพัฒนาเพื่อระบายออกสู่ตลาด

         แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากร่าง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้ว กระทรวงการคลังจะเสนอเรื่อง

         การจัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินให้ ครม.พิจารณาควบคู่กันไป หาก ครม.รับหลักการก็จะมีการยกร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินขึ้น วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินกองทุนไปช่วยเหลือคนจน โดยรัฐบาลจะนำเงินในส่วนที่ต้องจ่ายอุดหนุนให้กับหน่วยงานส่วนท้องถิ่นน้อย ลง หลังมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาตั้งกองทุนธนาคารที่ดิน เพื่อจัดซื้อที่ดินสำหรับใช้คนจนใช้เป็นที่อยู่อาศัยและทำกิน

        นาย กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า หลังส่งรายละเอียดร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแล้ว มั่นใจว่าภายใน 2 สัปดาห์ จากนี้ไปน่าจะเสนอให้ ครม.พิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีนโยบายชัดเจนที่จะผลักดันให้มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยเร็วที่สุด

ที่มา :    หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ประจำวันที่ 8 มี.ค. 53

           http://www.k-weplan.com/Article.aspx?mid=47&articleid=1297

                 gek gek gek



         คลังดันจัดเก็บภาษีสิ่งแวดล้อมรอชงเข้าครม.หลังภาษีที่ดิน-คาดมีรายได้1-2หมื่นล้าน

                

        พณฯท่าน กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันที่ 30 มีนาคมนี้ กระทรวงการคลังเตรียมจะเสนอร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ....ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา จากนั้นจะเร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อม พ.ศ.... ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ส่งให้พิจารณา เพื่อเสนอให้ ครม.พิจารณาต่อไป โดยมองว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญสำหรับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน

        คลังชงร่างกฎหมายภาษีที่ดินเข้า ครม.30 มีนาคม พร้อมดันภาษีสิ่งแวดล้อมตามมา แนะเก็บภาษี เก็บค่าธรรมเนียม คาดดึงเงินเข้ารัฐเพิ่ม 1-2 หมื่นล้านบาทต่อปี เล็งเก็บจากการปล่อยมลพิษก่อนขยายไปขยะอิเล็กทรอนิกส์และการปล่อยคาร์บอน

       ทั้งนี้ กฎหมายสิ่งแวดล้อมไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อหารายได้เพิ่มเข้ามา เพราะยิ่งรายได้มากก็แสดงให้เห็นถึงการทำลายสิ่งแวดล้อมมาก โดยเฉลี่ยจากการเก็บรายได้จากกฎหมายนี้ทั่วโลกพบว่ามีสัดส่วน 1-2% ของรายได้ทั้งหมด หากเปรียบเทียบกับประเทศไทยก็น่าจะอยู่ที่ 1-2 หมื่นล้านบาทต่อปี ในส่วนของร่างที่ สศค.เสนอไปนั้นเสนอว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้องเร่งจัดการคือ การปล่อยมลพิษทางอากาศ จากซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ และฝุ่นละออง ปัญหาน้ำเสีย ซึ่งสองส่วนนี้มีแรงต่อต้านน้อย เพราะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการหรือโรงงานและสามารถจัดเก็บได้ง่าย ขณะที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ และมือถือ เป็นความจำเป็นเร่งด่วน แต่อาจมีกระแสต่อต้านมาก และต่อมาเป็นการปล่อยคาร์บอนจากรถยนต์ หากรถยนต์ปล่อยคาร์บอนมากก็จะต้องจ่ายภาษีมาก ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดคาร์บอนเครดิต ที่สร้างแรงจูงใจให้โรงงานลดการผลิตคาร์บอน หากโรงงานใดสามารถลดคาร์บอนได้มากก็คิดเป็นเครดิตที่จะนำไปลดหย่อนภาษีได้ในภายหลัง

         นำมาจาก น.ส.พ.คมชัดลึก วันอังคาร ที่ 23 มีนาคม 2553

http://www.komchadluek.net/detail/20100322/53038/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A1.%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%8912%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99.html

         ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
                                    
         นำข่าวการปรับฐานภาษี เก็บจากคนมีที่ดิน มีบ้านราคาสูง ๆ และ องค์การที่ทำให้สิ่งแวดลัอมเสีย ต้องเสียมากขึ้น เพื่อเก็บให้ได้เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องมา เก็บเพิ่มจากพวกมนุษย์เงินเดือน ที่มีรายได้แต่เงินเดือน ต้องจ่ายเต็ม ตามที่ได้รับเงินเดือน เป็นข่าวดี

                                          
 
         แต่เป็นข่าวร้าย สำหรับผู้ที่ถูกปรับฐานภาษี ที่ต้องรับผิดชอบเสียภาษี เพิ่มขึ้น แต่มองโลกในแง่ดี ว่า เป็นการเสียสละเพื่อช่วยเหลือสังคม ถือเป็น Corperate Social Responsibility : CSR อย่างหนึ่ง ที่ควรได้รับการยกย่องจากสังคม ใช่ไหมพวกเรา

                                       gek gek gek
         
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #4 เมื่อ: 23 มีนาคม 2553, 19:59:09 »


แผนฟื้นฟูประกันสุขภาพของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บารัค โอบามา
                ผ่านความเห็นขอบจากบรรดา ส.ส. ในรัฐสภา


                                

          สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 มี.ค. ว่า หลังการประชุมโหวตลงมติผ่านความเห็นชอบแผนฟื้นฟูประกันสุขภาพจากรัฐสภา ผลปรากฏว่า แผนดังกล่าวของ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ได้รับเสียงสนับสนุนจากบรรดา ส.ส. ในรัฐสภา ด้วยคะแนน 220-211

          ทั้งนี้ โอบามา กล่าวว่าหลังจากที่แผนของเขาได้รับไฟเขียวว่า การตัดสินใจของสภาในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตามมันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และ มันจะเป็นประโยชน์ต่อชาวอเมริกันทั้งหมด ไม่ใช่แค่เฉพาะกับพรรคการเมือง.

          นำมาจากไทยรัฐ วันจันทร์ ที่ 22 มีนาคม 2553

http://www.thairath.co.th/content/oversea/72189

           ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

          นำมาให้พวกเราดูว่า อเมริกา ผ่านกฏหมายประกันสุขภาพแล้ว จะทำให้ ผู้ใช้บริการ มีอำนาจต่อรองกับ ผู้ให้บริการได้ จะทำให้เกิดการแข่งขันของสถานพยาบาล เพื่อให้รัฐบาลสามารถเลือกซื้อให้ประชาชน ที่จะให้สิทธิประโยชน์มากที่สุด ในราคายุติธรรม และ สามารถกำหนดหน้าที่ ที่ประชาชนต้อง ทำ ตามเงื่อนไขของการรับประกัน จะทำให้ประชาชนต้องดูแลสุขภาพด้วย เพื่อไม่ผิดเงื่อนไขการประกันสุขภาพ
          ถ้าไม่ทำตามต้องร่วมจ่ายบ้างบางส่วนตามเงื่อนไขการประกัน เตือน

          ในประเทศไทย ผ่าน พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มา 8 ปีแล้ว ก่อนหน้าอเมริกาอีก สามารถกำหนดเงื่อนไข ให้ประชาชนต้องใส่ใจการดูแลสุขภาพได้ ถ้าไม่ทำตาม ต้องร่วมจ่ายบ้าง ทำให้ต้องดูแลสุขภาพ จะป่วยน้อยลงค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่รัฐต้องจ่าย อาจต่อรองเบี้ยประกันให้ลดลงได้ในปีต่อไป แทนที่จะเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่มีผู้รับประกัน กลายเป็นเสนอราคา และ บริการแข่งกันได้

         ดูเนื้อหา พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่

http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2545

         เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #5 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553, 06:52:00 »


          ประกันสุขภาพ ไม่ต้องจ่ายเป็นครั้ง แต่เหมาจ่ายเป็นปี เลือก ร.พ.ที่เราพึงใจได้

                          

          ปัจจุบันการรักษาพยาบาล ใช้ระบบประกัน ไม่ต้องจ่ายเงินสดในการรักษา

แต่ทุกคนจะเลือกซื้อประกันสุขภาพ เหมาจ่ายค่ารักษาเป็นรายปี กับ ร.พ.ที่เราพอใจเลือก

แต่ละ ร.พ.จึงต้องแข่งบริการกันเพื่อจูงใจให้มีคนมาเลือกใช้บริการกัน ใครดีอยู่ได้

จึงต้องเสนอความสะดวกแข่งกัน มีสถานพยาบาลด่านแรกที่มีคุณภาพใกล้บ้านให้

เป็นแพทย์ประจำครอบครัว เป็น แพทย์ทั่วไปรักษาได้เกือบทุกโรคมากกว่า 90%

มีส่วนน้อย เกินความสามารถจะได้รับการส่งต่อไปพบแพทย์ที่เหมาะสมให้ฟรี


แพทย์ประจำครอบครัวที่ด่านแรกใกล้บ้านนี้ จะเป็นที่ปรึกษาส่วนต้วด้านสุขภาพ

มีเบอร์โทรศัพท์ให้ติดต่อได้ เพื่อขอคำปรึกษา หรือ เพื่อนัดหมายเวลามาตรวจรักษาได้

ไม่ต้องมานั่งรอเหมือนปัจจุบัน ต่างคนต่างมา แล้วมานั่งรอกันให้เสียเวลาทำงานกัน

การใช้เทคโนโลยี่ Internet ใช้ Software Skype ในการรักษาที่ สถานพยาบาลลูกข่าย

                      

         ทำหน้าที่เหมือนเป็น หมอออนไลน์ คอยช่วยเหลือ ด้านสุขภาพ นอกจากนี้การมี

แพทย์ประจำครอบครัว ยังเหมือนมีที่เก็บรักษาประวัติการรักษาของเราไว้ให้ยามจำเป็น

ซึ่งจะรักษาประวัติการรักษาเป็นความลับของแต่ละคน

         ในกรณีฉุกเฉิน หมดสติ เข้ารักษาสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้ฟรี โดยสถานพยาบาล

ที่รับประกัน รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดตามสิทธิประกัน และ ให้ข้อมูลประวัติการรักษา

ของเราให้กับสถานพยาบาลที่ดูแล ทำให้เราได้รับการรักษาที่ถูกต้องจากรู้ประวัติเก่าได้ทันที

         ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

         รัฐบาลซื้อประกัน ให้กับประชาชนที่ไม่มีสิทธิรักษาต้องจ่ายเอง ด้วยการให้บัตรประกันสุขภาพ ผู้ทำงานบริษัท โรงงาน ฯลฯ ซื้อบัตรประกันสังคม ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ฯลฯ เบิกจ่ายจากต้นสังกัด เป็นต้น

                      

         ในอนาคตประเทศเรากำลังพัฒนาให้ใช้ บัตรประชาชนที่่มีข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในบัตร รวมทั้ง บัตรประกันสุขภาพ ไว้ในบัตร เพื่อไม่ต้องมีบัตรหลายใบ ใช้บัตรประชาชน อีเลคโทรนิคบรรจุข้อมูลที่สำคัญไว้ในบัตรใบเดียว ดีไหมพวกเรา


         ตอนนี้ยังไม่มีบัตรประชาชนข้างต้น ใช้บัตรหลายใบ ไปก่อน การแสดงสิทธิรักษาพยาบาล

สิทธิประกันสังคม แสดง บัตรประกันสังคม ที่ระบุชื่อ สถานพยาบาล

สิทธิประกันสุขภาพ แสดงบัตรทอง ที่ระบุชื่อ สถานพยาบาล

สิทธิข้าราชการ แสดงบัตรข้าราชการ ไม่ระบุสถานพยาบาล

แต่กระทรวงการคลัง ตามจ่ายให้ แต่ต้องใช้ ร.พ.รัฐบาล หรือ

ร.พ.เอกชนตามเงื่อนไข ของกระทรวงการคลัง

..................................................................

         การไปพบแพย์ จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และ ตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เห็นสมควร

เืพื่อให้รู้ว่าป่วยเป็นอะไร จะได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

         การไปพบแพทย์ช้า อาจมีโรคแทรกซ้อน หรือ เสียชีวิตได้

ดังนั้น เมื่อป่วยไข้ ควรไปใช้สิทธิรักษาฟรี ตามที่ซื้อประกันไว้

...................................................................................

หมายเหตุ

ถ้าได้รับบริการไม่พึงพอใจสามารถร้องเรียนได้

บัตรประกันสังคม ที่

สำนักงานประกันสังคม เบอร์ 1506

บัตรทอง และ บัตรข้าราชการ ที่

สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ เบอร์ 1330

ที่มา:

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช.

http://www.nhso.go.th/NHSOFront/FrontWebIndexAction.do;jsessionid=0a0302e930d58bf5b294625f47d6bb55aa9be869fd68.e34Mbh0Rc3eKaO0LahuOc3yLbNf0n6jAmljGr5XDqQLvpAe

สำนักงานประกันสังคมแห่งชาติ สปส

http://www.sso.go.th/

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #6 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553, 11:01:35 »


                

น.พ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

..............................................................................................

         เลขาธิการกล่าวด้วยว่า นอกจากคนไทยจะใช้บัตรประชาชนแทนบัตรทองได้

อนาคตยังมีโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาในการขยายสิทธิของประชาชน

ในโครงการของสปสช.

         ให้สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลใดก็ได้ภายในจังหวัด

โดยไม่จำกัดสิทธิตายตัวว่าต้องเข้ารับการรักษาเฉพาะแห่ง


         ซึ่งปัจจุบันมีโครงการนำร่องใน 8 จังหวัด คือ

1.แพร่ 2.พิษณุโลก 3.อุบลราชธานี 4.ยโสธร

5.ราชบุรี 6.นครนายก 7.ศรีสะเกษและ 8.พังงา

         นำมาจาก น.ส.พ.ข่าวสด วันจันทร์ ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNakV5TVRBMU1nPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNQzB4TWc9PQ==

        หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

ผลของการที่ให้รักษาฟรีได้ภายในจังหวัดเดียวกัน ด้วยการเชื่อมข้อมูล

ของ ร.พ.เข้าถึงกันได้ เหมือน ธนาคารออนไลน์ ทำ ธุรกรรมต่างสาขา ได้ คือ

1.ลดงานเขียนใบส่งตัวให้แพทย์ และ ประชาชนไม่ต้องมารอขอใบส่งตัว

2.คนไข้มีอำนาจต่อรองบริการ สามารถเลือก ร.พ.ที่บริการดี ภายในจังหวัดได้

3.ร.พ.แต่ละแห่ง ภายในจังหวัด ต้องแข่งขันกันเพื่อรักษาคนไข้ไว้ไม่ให้ออกไป

เพราะ คนไข้ที่มาใช้บริการจะเป็นผลงานของแต่ละ ร.พ.

4.เป็นการช่วยให้แพทย์ ได้รู้ประวัติการรักษาจากที่ใดมาแล้ว รักษาอย่างไร เพื่อ

การรักษาต่อเนื่องได้ ไม่ต้องมีใบส่งตัว แพทย์เปิดอ่านประวัติการรักษาที่ต้องการเอง

5.ทำให้ สปสช.สามารถรับรายงานการรักษาส่งทางออนไลน์ ให้ตรวจสอบเพื่อจ่าย

ค่ารักษาตาม กลุ่มวินิจฉัยโรค หรือ Diagnosis Related Group : DRG  และ

การรักษาตามผลประจักษ์ Evidence Base Medicine

เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผล


        sing sing sing

ข่าวรักษาได้ตามความพึงพอใจในบริการที่ได้ ยกเลิกการจำกัดให้ใช้เฉพาะ ร.พ.
 
http://www.waddeeja.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&Category=waddeejacom&thispage=8&No=1258480

         หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #7 เมื่อ: 30 มีนาคม 2553, 20:57:57 »


                        

         "ยุบสภา"...นำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ จะเป็นทางออกของปัญหาการเมืองไทยได้หรือเปล่า หลายคนคงไม่แน่ใจ

         เพราะอาจจะหมายถึงว่า...เมื่ออีกขั้วอำนาจมีโอกาสได้กลับมาเรืองอำนาจ ก็อาจจะมีม็อบเสื้ออีกสีออกมาประท้วง กระทั่งนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจอีกครั้ง

         กลายเป็นวัฏจักรวังวนรอบใหม่...แต่ซ้ำรอยเก่า ที่ทำให้ปัญหาไม่รู้จักจบจักสิ้น

         แล้ว...ทางออกการเมืองไทยจะเดินไปได้อย่างไรเล่า ในระบอบประชาธิปไตยเช่นนี้?

         "เมื่อแสงทองส่องฟ้าอำไพ ขอให้ประชาชนได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน... แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้เป็นแผ่นดิน เอาแต่กลุ่มของตัวเอง เดี๋ยวสีเหลือง...สีเขียว สีอะไรไม่รู้วุ่นวายไปหมด"

                  

         ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว หรือ "หมอเสม" ที่หลายคนเรียกขาน วันนี้อายุ 99 ปีแล้ว มองการเมืองไทยในฐานะผู้ที่ได้รับเลือกเป็น ครอบครัวประชาธิปไตยตัวอย่างประจำปี 2553

         อาจารย์หมอเสม บอกว่า แม้แต่ช่วงที่ผ่านมา อะไรกันก็ไม่รู้...ใช้ความรุนแรง ใช้ระเบิดสร้างสถานการณ์ให้วุ่นวาย เมื่อย้อนมองหลากหลายสี...แต่ละสีก็เรียกร้องประชาธิปไตยเหมือนๆกัน ก็ต้องถามกลับไปว่า เป็นจริงได้หรือเปล่า

         ชีวิตอาจารย์หมอเสมคลุกคลีอยู่กับทั้งฝรั่ง ทั้งคนไทยตั้งแต่เด็ก ทำให้เห็นหลายมุมมอง หลายแนวคิดผสมผสาน...ค่อนข้างกว้าง ซึมซับเรียนรู้ถึงคำว่า ประชาธิปไตย

         99 ปีที่ผ่านมา...มองคำว่าประชาธิปไตย สรุปสั้นๆคือ "ความเสมอภาคกัน แล้วก็ไม่ใช่เสมอภาคอย่างเดียว ต้องยุติธรรมด้วย"

         ยุคหนึ่งสีเหลืองก็ถามหาประชาธิปไตย ความเสมอภาค มาถึงยุคนี้สีแดงก็มาอีก ก็ถามถึงความเสมอภาค ถามหาประชาธิปไตย...

         แท้จริงแล้ว ประชาธิปไตยในความเหมือนที่แตกต่างระหว่างสองสีนี้ คืออะไรกันแน่?

         "ไม่ใช่ทั้งนั้น" อาจารย์หมอเสม ว่า

         เมื่อ 4,000 กว่าปีมาแล้ว ก็เป็นประชาธิปไตยใช่ไหม? อาจารย์หมอเสมตั้งคำถามลอยๆขึ้นมาแบบไม่ต้องการคำตอบ แล้วบอกต่อไปว่า การมองประชาธิปไตยจะมองแคบๆไม่ได้ มันอยู่ที่บุคคล

         การกระทำของบุคคลว่า ถูกต้องตามความเป็นมนุษย์หรือไม่

                        

         มนุษย์แปลว่าผู้มีจิตใจสูง ประกอบด้วยคำ 2 คำ "มนะ" หรือ "มโน" ที่แปลว่า จิตใจ สนธิกับ คำว่า "อุษย์" ซึ่งแปลว่าสูง ดังนั้น ถ้าคนที่จะมาเป็นประชาธิปไตย มีจิตใจที่ไม่สูงก็เป็นประชาธิปไตยไม่ได้

         "คำว่าสูงต้องสูงทั้งหมด ไม่ใช่แค่สูงด้านใดด้านหนึ่ง...จะไปมองด้านไหนมันก็สูง จิตใจสูง ไม่จำเป็นต้องมีความรู้สูง แต่ถ้าไม่รู้เลยก็จะกลายเป็นมนุษย์ที่เรียกว่า...ไม่ใช่มนุษย์แท้"

         ดังที่  ท่านพุทธทาสภิกขุ  ได้กล่าวไว้ว่า..."เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง  เหมือนดั่งยูงมีดีที่แววขน  ถ้าใจต่ำเป็นได้แต่เพียงคน  หากต่ำล้นแม้คนมิอาจเป็น..."

        ประชาธิปไตยที่หลายคนไขว่คว้ากันนั้น และพุ่งเป้าถวิลหาไปที่การเลือกตั้ง หมายมั่นว่าจะได้ประชาธิปไตย อาจารย์หมอเสมชี้ว่า จริงๆแล้วการเลือกตั้งมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยเท่านั้น

        "เหมือนคนที่ต้องมีผม มีเสื้อเชิ้ต ใส่กางเกง เครื่องประดับต่างๆ ถามว่า...ใส่อย่างนี้แล้วเธอเป็นคนหรือเปล่า ถ้าจะมีแต่สิ่งเหล่านี้แล้วมันไม่เป็นระเบียบ ก็ไม่ใช่มนุษย์...

         มีแค่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้ ต้องมีมนุษยธรรมด้วย ถ้าไม่มีก็เป็นประชาธิปไตยไม่ได้...ตั้งชื่อของเธอเองว่าเป็นประชาธิปไตย แต่คนเขาไม่ยอมรับก็เป็นไม่ได้"
        
         "ประชาธิปไตยต้องมีกฎเกณฑ์ ใครจะไล่ใคร ใครจะเข้ามา ต้องมีกฎเกณฑ์ หรือจะให้ใครออกไป ก็ต้องมีเหตุผลเพราะเหตุใด ไม่ใช่ว่าฉันอยากชอบใจเธอก็เข้ามา ฉันไม่พอใจเธอก็ไล่เธอออก"

         คิด ทำอย่างไร ที่มันไม่ใช่มนุษย์...ไม่ได้ แล้วอย่างนี้...ที่เป็นกันอยู่ ท่ามกลางภาวะที่แต่ละคน แต่ละกลุ่มก็สร้างกฎเกณฑ์ของตัวขึ้นมา การจะหาจุดยืนเป็นกลางให้คนส่วนใหญ่อยู่ร่วมกันจะทำได้อย่างไร?

                                    

                 อาจารย์หมอเสมชี้ว่า ทางออกอยู่ที่คำว่า "จริยธรรม"

         "ต้องมีจรรยา ต้องมีระบบ มีระเบียบ ยกตัวอย่าง อย่างเช่น การบวชเป็นพระ ต้องโกนหัว โกนคิ้ว ประพฤติดี ประพฤติชอบ ไม่คิดทำอกุศลกรรม ถ้าไม่ทำเธอก็ไม่ใช่พุทธ มันต้องมีกฎข้อบังคับ ถ้าไม่มีก็เป็นไปไม่ได้" ความคิด คิดต่าง...เห็นต่างกันได้ แต่อย่าแตกแยกกัน ก็อยู่ด้วยกันได้ เพื่อความเป็นชาติที่มีความเป็นปึกแผ่นมั่นคง

         สถานการณ์การเมืองไทยวันนี้ จะคุยกัน จะสมานฉันท์กันได้หรือไม่ กว่าจะถึงจุดนั้นได้ ต้องมีหลายปัจจัยร่วมกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ...

                   "ไม่มีคนฟัง แล้วจะทำอย่างไร"

         วันนี้จุดสมานฉันท์การเมืองไทยน่าจะริบหรี่ ที่สำคัญจุดนี้อาจจะไม่มี เพราะถ้ามีป่านนี้ก็คงเรียบร้อยไปนานแล้ว คงไม่ยืดเยื้อมานานหลายปีขนาดนี้

         คำถามสุดท้าย...รางวัลครอบครัวประชาธิปไตยตัวอย่าง ที่ได้รับจากคณะอนุกรรมการส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตย ในคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ในวันที่ 30 มีนาคม นี้...ทุกครอบครัวเป็นได้ไหม?

         อาจารย์หมอเสม บอกว่า เป็นได้แน่ ถ้าเธอทำดี มีครอบครัวที่อบอุ่น อยู่ในจริยธรรม รักษาศีล 5...มีวาจา 4 ประการ ไม่พูดเอะอะโครมคราม ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์  ส่วนจิตใจ...ก็ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง

         "ปัญหาบ้านเมืองที่เป็นอยู่ ถามว่ามาจากเพราะหลงใช่ไหม เธอตอบซิ... หรือ...ทั้งหลง ทั้งโลภ ทั้งอำนาจ เงินทอง อารมณ์เหล่านี้ทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าจะแก้ด้วยความรุนแรง ให้เรื่องราวลุกลามบานปลาย แก้ด้วยลูกระเบิด ยิ่งจะไปกันใหญ่ บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟ"

         ใครตั้งใจใช้ความรุนแรง สร้างประเด็นต่อรอง หรือหวังผลอื่นใด ให้รู้ไว้ด้วยว่า...อย่างไรเสียความรุนแรงจะไม่ทำให้ปัญหา  ถูกแก้สำเร็จได้อย่างแน่นอน.

          อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ ไทยรัฐออนไลน์ วันอังคาร ที่ 30 มีนาคม 2553, 05:00 น.

         http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/73531

                          win win win

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #8 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553, 22:10:39 »

        
         นักธุรกิจหนุนต้านม็อบ และ กรณ์ตื่นเร่งปฏิรูปภาษี
             ข่าวหน้า 1 น.ส.พ.ไทยโพสต์ วัน ศุกร์ ที่ 2 เมษายน 2553 http://www.thaipost.net/news/020410/20246

         นักธุรกิจยันตบเท้าร่วมงานเสื้อชมพู ลั่นเป็นอีกมุมมองของสังคมที่ไม่ใช่มีแค่สีแดง เชื่อเจรจารอบ 3 ก็คงไม่มีทางออก โอดบึ้มรายวันทำชาติกลียุค ถูกจัดเป็นที่โหล่ในอาเซียน "หอการค้าฯ" ออกแถลงการณ์ผ่านสื่อ

         "กรณ์" วางแผน ศก.รองรับ 9 เดือน เล็งชงภาษีที่ดินเข้า ครม.หลังสงกรานต์!


         เมื่อวันพฤหัสบดี นักธุรกิจต่างออกมายืนยันถึงการเข้าร่วมงานสัมมนากับคนเสื้อสีชมพูที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันที่ 2 เมษายน โดย

                  

         นายธนิต โสรัตน์ รักษาการรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า เป็นการเริ่มต้นของกลุ่มคนที่ต้องการเห็นทางออกของประเทศ ซึ่งเป็นสิทธิทำได้ และอยากให้มีคนกลางมาร่วมโต๊ะเจรจาด้วย เพราะเชื่อว่าหากมีการเจรจารอบ 3 ระหว่างแกนนำคนเสื้อแดงและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็คงไม่มีบทสรุปเหมือนเดิม และเป็นการเสียเวลา

        นายธนิตกล่าวว่า การที่นักวิชาการ-นักธุรกิจออกมาแสดงจุดยืน เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นแนวคิดของคนในสังคม ว่าไม่ได้มีเฉพาะคนเสื้อแดง เสื้อสีอื่นๆ ก็มีสิทธิมีแนวคิดเพื่อไม่ต้องการให้ประเทศชาติเสียหายไปมากกว่านี้ เพราะ

         ไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่กำลังพัฒนาในกลุ่มที่ล้าหลังที่สุดในอาเซียน ส่วนเวียดนามก็ถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีพัฒนาการผลักดันประเทศให้ไปสู่ระดับสากลโลกที่ดีที่สุดในอาเซียน

        "ระเบิดรายวันที่ขยายวงกว้างไปยังสถานที่ต่างๆ และลามไปต่างจังหวัด แต่ไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ เป็นสัญญาณชี้ว่าบ้านเมืองเข้าสู่กลียุคแล้ว ผนวกกับการชุมนุมที่ลากยาวไปเรื่อยๆ ไม่เป็นผลดีต่อภาพพจน์ประเทศ ล่าสุดนักธุรกิจ ส.อ.ท.ที่กำลังจะเข้ามาเจรจาสั่งสินค้าภาคอุตสาหกรรมในไทยกว่า 30 บริษัทแจ้งให้ทราบ ว่าขอเลื่อนการเดินทางเข้ามาในไทยออกไปจนกว่าการชุมนุมจะยุติลง เพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยแล้ว" นายธนิตกล่าว

         นายธนิตกล่าวว่า ปัญหาการเมืองการชุมนุมในไทยเป็นประเด็นที่หาเหตุผลไม่ได้แล้ว เรื่องยุบสภาก็ไม่ใช่ทางออก แม้มีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลใหม่ แต่หากมีคนออกมาชุมนุมขับไล่ 300,000 คน และระเบิดรายวันอีก 30 ลูก แล้วรัฐบาลล้มไป ก็รู้สึกสงสารคนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้ว่าอนาคตรัฐบาลจะบริหารประเทศให้ก้าวหน้าได้อย่างไร

                  

         นายสันติ วิลาสศักดานนท์ รักษาการประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า หากสมาชิก ส.อ.ท.จะไปร่วมชุมนุมในวันที่ 2 เม.ย.นี้ ถือเป็นสิทธิส่วนตัว และเป็นการแสดงออกของคนอีกกลุ่มที่ไม่ต้องการให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้ และคงไม่เกิดการปะทะกับอีกฝ่ายหนึ่ง

         "หากวงจรการเมืองยังเป็นเช่นนี้ถึงไตรมาสที่ 2 ก็เชื่อว่า ไม่มีการลงทุนใหม่ๆ และการจ้างงานก็จะไม่เกิดขึ้น จึงน่าเป็นห่วงสำหรับแรงงานที่ทยอยจบใหม่ๆ จะหางานทำได้ยากลำบากมากขึ้น"

                  

         ขณะเดียวกัน นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องไปยังรัฐบาลและกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดย

         ในส่วนรัฐบาลนั้นได้เสนอให้

1.แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและงานที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น รวมทั้งจัดทำแผนงานให้ชัดเจนในช่วงเวลาที่เหลืออยู่

2.แก้ปัญหาคอรัปชั่น

3.รักษาและบังคับใช้กฎหมาย ไม่ให้เกิดข้อครหาในเรื่อง 2 มาตรฐาน และ

4.แก้ไขปัญหาโครงการอุตสาหกรรมมาบตาพุดให้เป็นที่เรียบร้อย

         ส่วนข้อเรียกร้อง นปช.ประกอบด้วย

1.ขอให้ใช้ความอดทน อดกลั้น โดยคำนึงถึงจุดมุ่งหมายหลักในการชุมนุม รวมทั้งพิจารณาแต่งตั้งตัวแทนเข้าหารือกับรัฐบาลเพื่อหาทางออก

2.เนื่องในโอกาสเทศกาลสงกรานต์ จึงหวังว่าประชาชนชาวไทยทุกคนจะได้ฉลองเทศกาลสงกรานต์กับครอบครัวด้วยความสุข ปราศจากความกังวลทั้งมวล

         "การออกแถลงการณ์ครั้งนี้ เป็นการแสดงท่าทีของภาคเอกชนถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้เสนอไปยังรัฐบาล และ นปช. แต่เป็นการแถลงการณ์ผ่านสื่อมวลชนให้ทั้งสองฝ่ายได้รับรู้ว่าเอกชนมีมุมมองอย่างไร" นายดุสิตกล่าว

                  

         ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการเตรียมแผนเศรษฐกิจรองรับการยุบสภาว่า หากจะให้ยุบใน 2 สัปดาห์ก็คงเตรียมแผนไม่ทัน แต่ว่าหากมีเวลาเหลืออีก 9 เดือน หรือ 1 ปีตามข้อเสนอของนายกฯ ก็ต้องเร่งในหลายเรื่อง โดยเฉพาะการปฏิรูปที่มีผลต่อสังคม อาทิ

         การผลักดันร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยหวังว่าจะนำเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรีได้ในช่วงหลังสงกรานต์ รวมถึงการเร่งร่างกฎหมายพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ที่ได้ผ่าน ครม.ไปแล้ว และอยู่ในชั้นการตรวจสอบกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกาและการปฏิรูปโครงสร้างภาษีด้วย

         "ระยะสั้นคือการจัดสรรเงินลงทุนให้มีความชัดเจน ทั้งวงเงินกู้ตามพระราชกำหนด และพระราชบัญญัติรวม 8 แสนล้านบาท พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2544 โครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ การปฏิรูปสัมปทานเรื่องโทรคมนาคม และการจัดระบบไมโครไฟแนนซ์ให้ประชาชนรากหญ้าด้วย" นายกรณ์กล่าว

         รมว.คลังยังกล่าวในงานสถาปนากระทรวงครบรอบปีที่ 135 ว่า ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ พบว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยเป็นรองแค่ 3 ประเทศ คือ ไต้หวัน จีน และมาเลเซียเท่านั้น

                  

         ในขณะที่นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอารืไอ) ระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยแบบวีเชฟเกิดขึ้นในบางภาคส่วนการผลิตเท่านั้น เช่น สาขายานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเคยดิ่งลงในช่วงวิกฤติ โดยได้ปรับตัวขึ้นแรงเช่นกัน ซึ่งยอดส่งออกไปจีนสูงมาก บางเดือนขยายตัวสูงถึง 80%

         นายสมชัยยังกล่าวว่า ภาพรวมการชุมนุมทางการเมืองที่อยู่ในกรอบไม่มีความรุนแรง ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เห็นได้จากในตลาดหลักทรัพย์ที่นักลงทุนยังซื้อต่อเนื่อง และดัชนีเศรษฐกิจอื่นๆ แต่ยังไม่อาจวางใจได้ 100% เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก

                  

         นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ จำเป็นต้องอาศัยนโยบายรัฐบาลที่มีความต่อเนื่อง ดังนั้นหากยุบสภาหรือเปลี่ยนนโยบายไปมา ก็จะมีผลกระทบ

         "การชุมนุมระยะสั้นคงไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจมากนัก แต่หากยืดเยื้ออาจกระทบต่อการตัดสินใจการลงทุนของภาคเอกชน" นายอภิศักดิ์กล่าว

                  

         นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า หากรัฐบาลยุบสภาในช่วงการเบิกงบประมาณจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะทำให้การอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่โครงสร้างเศรษฐกิจล่าช้าออกไป และมีความไม่ต่อเนื่อง แต่ผลกระทบจะลดลงหากยุบสภาภายใน 9 เดือน โดยต้องเร่งเบิกใช้งบประมาณลงสู่โครงการต่างๆ ให้เร็วที่สุด.

                  
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #9 เมื่อ: 02 เมษายน 2553, 08:05:12 »


 
         อ.รัฐศาสตร์จุฬาหนุนนายกฯทำงานต่อ 31 มี.ค. 53 18.12 น.

                                                                      

         ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า อาจารย์จรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำหนังสือพร้อมแนบรายชื่อประชาชนจำนวนหนึ่ง ส่งถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า

         ในช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และเรียกร้องให้มีการยุบสภานั้น เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์ และเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก แต่นายกฯได้ใช้ความสุขุมรอบคอบ และอดกลั้นต่อการยั่วยุ ต่อการกล่าวหาด้วยวาจาที่ไม่สุภาพ และสามารถแก้ปัญหานำพาประเทศผ่านวิกฤตทางการเมืองและเศรษฐกิจ ที่ขณะนี้ เริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนแล้ว ตนขอเป็นกำลังใจและสนับสนุนให้ นายกฯ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และไม่ต้องยุบสภาตามที่กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้อง

         นอกจากนี้ นายจรัส ยังขอเชิญชวนประชาชน ที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง ใส่เสื้อสีชมพูและออกมา แสดงพลัง ในช่วงบ่ายของ วันที่ 2 เม.ย.นี้ ที่ อนุสาวรีย์สองรัฐการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกด้วย

        ขอขอบคุณเวบสนุกดอทคอม และ สำนักข่าว ไอเอ็นเอ็น ทีี่่่มาของข่าว

http://news.sanook.com/%E0%B8%AD.%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%AF%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD-917526.html

         นำมาบอกพวกเรา ที่เห็นด้วยกับการให้นายกอภิสิทธิ์ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และ ไม่ต้องยุบสภาตามที่กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้องออกมาแสดงพลัง บ่าย วันศุกร์ ที่ 2 เมษายน นี้ ที่อนุสาวรีย์สองรัฐการ จุฬาฯ
 
                      win win win

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

                  เสื้อชมพู ยันจัดต้านแดงจากจัดในจุฬาฯย้ายไปอนุสาวรีย์ ร.6บ่ายนี้
         ขอขอบคุณ สนุกดอทคอม 2 เม.ย. 53 และ ที่สนับสนุนเนื้่อข่าว

http://news.sanook.com/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B9-%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%A3.6%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-917923.html

          เสื้อชมพู ยันจัดต้านแดงไปอนุสาวรีย์ ร.6บ่ายนี้ จัดต้านแดง หลัง มหาวิทยาสั่งปิดด่วน

                  

         น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาชน เปิดเผยถึงการแสดงพลังของคนเสื้อชมพู เพื่อต่อต้านการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ในวันพรุ่งนี้  โดยจะใช้พื้นที่หน้ามหาวิทยา เพื่อเป็นสถานที่ในการชุมนุม และเคลื่อนไปยัง อนุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน

                  

         น.พ. ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สั่งปิดมหาวิทยาตั้งแต่ 21.00 น.คืนนี้ ไป ถึงวันที่ 5 เม.ย. ว่า ยังยืนยันที่จะจัดกิจกรรม

         โดยจะใช้พื้นที่หน้ามหาวิทยา เพื่อเป็นสถานที่ในการชุมนุม และเคลื่อนไปยัง อนุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน

         นอกจากนี้ น.พ.ตุลย์ ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงการเคลื่อนขบวนว่า ต้องป้องกันและหลีกเลี่ยงการเผชิญกับกลุ่ม นปช. ในฐานะแกนนำ ต้องควบคุมไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น และคาดการณ์ว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมแสดงพลังในครั้งนี้ประมาณ พันคน

         ขณะที่ ความเคลื่อนไหวภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายหลังแกนนำคนเสื้อแดงจัดแถลงข่าวเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา โดยมีการระบุว่า จะตั้งแถวเพื่อเดินทางไปที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสอบถามความชัดเจนในท่าทีของมหาวิทยาลัย ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะถูกใช้สถานที่ เพื่อจัดงานรวมตัวของกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่บริเวณหน้าอนุสาวรีย์สองรัชกาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันพรุ่งนี้

         ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยระบุว่า

         จากการประชุมผู้บริหารมหาวิทยาลัย มีความเห็นให้ปิดมหาวิทยาลัยตั้งแต่ 21.00 น. คืนนี้ เป็นต้นไป และเปิดการเรียนการสอนตามปกติอีกครั้ง ในวันจันทร์ที่ 5 เมษายน ทั้งนี้เพื่อสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของนิสิตและนักศึกษา ซึ่งมหาวิทยาลัยจะปิดประตูทางเข้าออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ขณะรายงานข่าวที่ประชุมผู้บริหารมหาวิทยาลัย ยังหารือไม่เสร็จสิ้น

                   win win win

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

                ชมพูปฏิญาณตนหน้าร.6พร้อมป้องชาติ
      ขอขอบคุณ สนุกดอทคอม 2 เม.ย. 53 และ ที่สนับสนุนเนื้่อข่าว

http://news.sanook.com/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3.6%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-918098.html

                  

         อาจารย์จรัส สุวรรณมาลา นำกลุ่มผู้รักสงบ อาทิ เครือข่ายปัญญาสยาม กลุ่มจุฬาลงกรณ์ เชิดชูคุณธรรมนำประชาธิปไตย และเครือข่ายกลุ่มคนต่อต้านอธรรม ที่เกิดจากการรวมตัวของประชาชนทุกภาคส่วน กว่า 3,000 คน โดยส่วนใหญ่ ใส่เสื้อสีชมพูกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตน ต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 โดยกลุ่มดังกล่าวได้ถวายคำปฏิญาณว่า

         จะพร้อมใจปกป้องชาติ และศาสนา มิให้ผู้ใดมาทำลายและพร้อมใจที่จะพลีกายถวายชีพปกป้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิให้คนชั่วกระทำเหิมเกริมและหยาบช้า รวมทั้งจะกระทำความดี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นกลุ่มดังกล่าว ได้ร่วมกันถวายพระพรแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสวันพระราชสมภพอีกด้วย

          win win win

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

                                         พลังเสื้อชมพู

                

         ประชาชนจากองค์กรต่างๆ นำโดยเครือข่ายจุฬาฯ เชิดชูคุณธรรมนำประชา ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มนักธุรกิจท่องเที่ยว พร้อมใจกันสวมเสื้อสีชมพูจำนวนหลายพันคน ประกาศจุดยืนรวมพลังคนไทยคัดค้านการยุบสภาและต่อต้านการยุบสภา ที่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี

         ขอขอบคุณ น.ส.พ.แนวหน้า วันเสาร์ ที่ 3/4/2010 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

         http://www.naewna.com/news.asp?ID=205887

                    win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #10 เมื่อ: 13 เมษายน 2553, 13:02:34 »


                   เรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึง และ ร่วมพัฒนา การเมืองของประเทศเรา



ขอขอบคุณ น.ส.พ.เดลินิวส์ วัน อังคาร ที่ 13 เมษายน 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=425&contentId=59667

           จินตนาการใหม่จำได้ว่าเมื่อราว 20 ปีก่อน เหลียวมองประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนมีเพียงสิงคโปร์ชาติเดียว ที่ความเจริญยังขี่ไทยเราได้ ซึ่งเราก็พยายามไล่จี้ตามติดอยู่อย่างสูสีมาโดยตลอด..
    
           เผลอไม่นาน มาวันนี้ไม่ต้องพูดถึงสิงคโปร์ที่เรียกตัวเองได้ว่า ประเทศพัฒนาแล้ว อย่างเต็มภาคภูมิ ยังมีมาเลเซียเพื่อนบ้านทางใต้ของเรา ที่ย่องเงียบแซงหน้าห่างไทยออกไปเรื่อย ๆ ..
    
           ส่วนอินโดนีเซียก็ไล่จี้ตามมารดต้นคอไม่ห่าง ขณะที่หลายคนกำลังพูดถึงเวียดนาม ซึ่งทั้งทรัพยากรธรรมชาติ ทำเลที่ตั้ง และที่สำคัญคือทรัพยากรมนุษย์ ที่ไม่อาจประมาทได้แม้แต่น้อย
    
           ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค แห่งมาเลเซีย ประกาศแผนปฏิรูปเศรษฐกิจที่เรียกว่า  โมเดลใหม่ทางเศรษฐกิจ ตั้งเป้ายกระดับพยัคฆ์เหลืองให้เป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2020 โดยจะทำให้เศรษฐกิจมาเลเซียเติบโตปีละ 6.5% ในอีก 10 ปีข้างหน้า
    
           ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ เวียดนามก็กำลังเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ หรือ Mega Project มูลค่าถึงกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่ว่าสนามบินนานาชาติประมาณ 10 แห่ง โดยเฉพาะสนามบินแห่งใหม่ที่ลองแถ่ง ซึ่งยิ่งใหญ่เทียบเท่า หรืออาจจะยิ่งกว่าสนามบินสุวรรณภูมิ
    
           รถไฟความเร็วสูงสายเหนือ-ใต้ ฮานอย-โฮจิมินห์  โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน-บนดินในนครโฮจิมินห์  โรงไฟฟ้านิวเคลียร์  ท่าเรือน้ำลึก  และโครงการสาธารณูปโภคอื่น ๆ กว่า 10 โครงการ
    
           แม้แต่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อนบ้านริมฝั่งโขงของเรา ก็วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายในอีก 10 ปีข้างหน้าเช่นกันว่า ประการแรก จะต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศในด้านอุตสาหกรรม ประการที่สอง คือให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 7%  และประการที่ 3 ต้องให้ประเทศหลุดพ้นจากสถานะประเทศด้อยพัฒนา หลุดพ้นจากความเป็นประเทศยากจน ในปี 2020 ภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่เรียกว่า  จินตนาการใหม่

           เหลียวมองรอบบ้านแล้ว ก็ย้อนกลับมาดูตัวเองบ้าง ตั้งคำถามกับตัวเองว่า
อีก 10 ปีข้างหน้าเมืองไทยจะเป็นอย่างไร..?


           มีนิทานตลกขำไม่ออกจากอีเมลล์ ที่ส่งต่อมาให้ เรื่องหนึ่ง เล่าว่า..
    
           กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระเจ้าผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในโลกได้ตระเวนไปเยือนดินแดนต่าง ๆ ที่พระองค์สร้างไว้ โดยมีถุงสองใบติดตัวไปด้วย
    
           เมื่อไปถึงสหรัฐ อเมริกา พระองค์ทรงใช้ของในถุงสีขาว สร้างให้อเมริกาเป็นชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็ทรงใช้ของในถุงสีดำ ทำให้อเมริกามีศัตรูอยู่ทั่วทุกหัวระแหง และยังเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติร้ายแรงแทบทุกปี ไม่ว่าพายุหิมะ ทอร์นาโด เฮอริเคน และแผ่นดินไหว
    
           เมื่อไปถึงญี่ปุ่น พระเจ้าให้ชาวอาทิตย์อุทัยเป็นผู้ที่มีมันสมองฉลาดล้ำเลิศ มีความเพียรมุมานะพยายาม และมีวินัยสูงยิ่ง แต่ก็ทรงทำให้ญี่ปุ่นเป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ ที่ประชาชนต้องอยู่กันอย่างแออัด และต้องประสบภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวร้ายแรงนับครั้งไม่ถ้วน
    
           ที่ประเทศจีน ทรงสร้างผู้คนที่มีความเชี่ยวชาญทำธุรกิจการค้า ทรงให้แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็มีจำนวนประชากรมากมาย แถมพื้นที่แถบเหนือและตะวันตกยังเป็นทะเลทราย แห้งแล้งกันดาร และหนาวเย็น  รวมทั้งเกิดอุทกภัยและภัยธรรมชาติรุนแรงอื่น ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
    
           ในตะวันออกกลาง ดินแดนที่เต็มไปด้วยทะเลทรายร้อนระอุ ข้างใต้นั้นกลับอุดมด้วยทรัพยากรน้ำมันอันมีค่า
    
           ที่ยุโรป พระเจ้าสร้างผู้คนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยหล่อสง่างาม มีมันสมองชาญฉลาด แต่ต้องอาศัยในดินแดนที่หนาวเย็น และเป็นจุดกำเนิดสงครามโลกถึงสองครั้ง
    
           ที่แอฟริกา มีแต่พื้นที่ทุรกันดาร ผู้คนล้าหลังด้อยพัฒนา แต่กลับเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า ทั้งเพชรนิลจินดา และทองคำ
    
           ทุกหนทุกแห่งที่พระเจ้าไปเยือน จะทรงใช้สิ่งของในถุงสองใบสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นเสมอ

           แต่เมื่อครั้งที่มายังดินแดนขวานทอง พระเจ้าทรงใช้แต่ของในถุงสีขาวสร้างให้เป็นพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวงดงาม ไม่เคยปรากฏภัยพิบัติรุนแรง
    
           พระเจ้าทรงลืมใส่ของจากถุงสีดำไว้ ณ ดินแดนแห่งนี้ ปล่อยให้ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ ยิ้มแย้มแจ่มใส มีน้ำใจงาม มาช้านาน....
    
           จนวันหนึ่ง เมื่อพระเจ้าทรงนึกขึ้นได้ว่าคงจะไม่เป็นธรรมกับดินแดนอื่น จึงกลับมายังแผ่นดินสุวรรณภูมินี้อีกครั้ง พร้อมกับนำถุงสีดำใบเล็ก ๆ มาทิ้งไว้  สิ่งของในถุงนั้นมีอยู่เพียงอย่างเดียว คือ มนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่ง ที่เรียกว่า....

                                                

                                        นักการเมือง.

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

           นำมาให้พวกเราต้อง เรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึง และ ร่วมพัฒนา การเมืองของประเทศเรา ให้ได้นักการเมืองที่มีจริยธรรม ทำเพื่อประโยชน์ประเทศ เป็นที่หนึ่ง ส่วนตัวเป็นที่สอง เพื่อให้ประเทศเจริญ แล้ว ลาภยศจะตกมาสู่ นักการเมืองนั้น ได้เป็น
           รัฐบุรุษ win แทน เป็น ทรราชย์  จ๊าากกก จารึกไว้ในแผ่นดิน


                                        win win win
                
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #11 เมื่อ: 14 เมษายน 2553, 12:42:28 »


                    เร่งออกระเบียบฯพัฒนากิจการสังคม คาดประกาศใช้เดือนพ.ค.นี้
                ขอขอบคุณ น.ส.พ.ผู้จัดการออนไลน์   14 เมษายน 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
        http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000051213

                                 

                 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

           คณะกรรมการเสริมสร้างกิจการเพื่อสังคม.(คกส.)ออกระเบียบสำนักนายกฯพัฒนากิจการเพื่อสังคม ดึงนักลงทุนทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากขึ้น “อภิรักษ์” คาดประกาศใช้ได้เดือนพ.ค.นี้
      
           นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองประธานคณะกรรมการเสริมสร้างกิจการเพื่อสังคม กล่าวว่า

           จากการประชุมคณะอนุกรรมการและภาคีสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม ณ อาคารเอสเอ็มทาวเวอร์ เมื่อเร็วๆนี้ที่ประชุมได้มีการหารือถึงร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม พ.ศ..... โดยร่างดังกล่าวได้กำหนดให้มี

           การตั้งคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม(คกส.)

มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พร้อมคณะกรรมการจากหน่วยงานราชการและผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ ผอ.สำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงมหาดไทย
      
          อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดดังกล่าว จะเป็น

           ผู้กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนแม่บทการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบหรือพิจารณา เพื่อให้ส่วนราชการนำไปปฏิบัติ

           พร้อมทั้งศึกษา กำหนดนิยาม มาตรฐาน หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกิจการเพื่อสังคม

           นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ชักชวนและระดมการร่วมลงทุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจากภาคเอกชน นักลงทุนทั้งในส่วนเงินให้เปล่า และเงินลงทุนที่หวังผลตอบแทนระยะยาวจากในและต่างประเทศ

                      เพื่อสร้างเสริมให้เกิดตลาดการลงทุนในกิจการเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน
      
           “ผมได้มอบหมายให้ที่ประชุมนำร่างระเบียบดังกล่าวกลับไปทบทวนความถูกต้องอีกครั้ง จากนั้นเสนอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีลงนามในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม คาดว่าจะดำเนินการประกาศระเบียบนี้ออกมาได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้” รองประธาณคณะกรรมการฯกล่าว
      
           ด้าน น.ส.นราทิพย์ พุ่มทรัพย์ ผอ.ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม(ศูนย์ธรรม) กล่าวว่า นายอภิรักษ์ ได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันการเสริมสร้างกิจการเพื่อสังคม ให้เกิดขึ้นภายในรัฐบาลนี้ เพื่อดำเนินการผลักดันให้ภาคธุรกิจดำเนินกิจการด้วยคุณธรรม จริยธรรม และสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมมากขึ้นด้วย

                          




      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #12 เมื่อ: 14 เมษายน 2553, 13:57:47 »


                                     'หมอตุลย์'นัดหน้าราบ11ต้านแดง16เม.ย.นี้
                                 ขอขอบคุณ น.ส.พ.คมชัดลึก วันพุธ ที่ 14 เม.ย.2553          http://www.komchadluek.net/detail/20100414/55648/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A11%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%8716%E0%B9%80%E0%B8%A1.%E0%B8%A2..html

                        

          วันที่ 14เม.ย. เวลา 10.30 น. นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงานกลุ่มประชาชนพิทักษ์ชาติ และกลุ่มเฟสบุ๊คต้านยุบสภา ซึ่งเป็นตัวแทนเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน พร้อมสมาชิกในเครือข่ายประมาณ 10 คน ได้เดินทางมาอ่านแถลงการณ์ที่

           สวนสันติภาพ ถนนราชวิถี ตัดถนนรางน้ำ แขวงพญาไท เขตราชวิถี กทม.เพื่ออ่านคำแถลงการณ์เรียกร้องให้กลุ่มคนและประชาชนออกมาต่อต้านความรุนแรง

          โดยใบแถลงการณ์ได้มีการเกริ่นนำเหตุการณ์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงปะทะกับทหารเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

           ซึ่งในท้ายของแถลงการณ์ได้มีการเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนออกมาแสดงพลังร่วมชุมนุมกันอย่าง สงบ สันติ และปราศจากอาวุธ

           ที่บริเวณหน้ากรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ตั้งแต่เวลา 10.00 น.ในวันที่ 16 เมษายน เป็นต้นไป เพื่อยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการกับกลุ่มก่อการร้าย ก่อการกบฏ ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และแยกแยะประชาชนผู้บริสุทธิ์ออกมา โดยหลังจากยื่นข้อเรียกร้องแล้วทางกลุ่มเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน ได้เดินทางกลับทันที

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

                     เครือข่ายเฟซบุ๊คยืนยันจะรวมตัวกันจนกว่าเสื้อแดงจะเลิกชุมนุม
                     17 เม.ย. 53 ขอขอบคุณ สนุกดอทคอม และ  
http://news.sanook.com/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%8B%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B9%8A%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A1-922474.html

           เครือข่ายเฟซบุ๊ค และ ประชาชนกลุ่มพิทักษ์ชาติ รวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อชุมนุมอย่างสงบเพื่อให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลให้ทำหน้าที่ต่อไป รวมถึงการคัดค้านการยุบสภา รวมตัวกันจนกว่าเสื้อแดงจะเลิกชุมนุม  

          โดยทั้งสองกลุ่มนัดชุมนุมทุกวันตั้งแต่เวลาเวลา 16.00-18.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หลังจากที่ช่วงเช้าบางส่วนได้ไปรวมตัวที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ โดยผู้มาร่วมในวันนี้ต่างสวมเสื้อหลากสี และพร้อมใจ ถือป้ายคัดค้านการยุบสภา ถือธงชาติไทยและร่วมร้องเพลงขอให้คนไทยรักชาติ ซึ่งระหว่างการเคลื่อนไหวมีการดูแลรักษารักษาความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจรอบพื้นที่อนุสาวรีย์ฯ

           โดยได้รับแจ้งจากผู้ประสานงานเครือข่ายเฟซบุ๊ค ระบุว่าการออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีความเห็นเดียวกัน โดยอาศัย

เครือข่ายเฟซบุ๊คในการนัดหมายเวลาและสถานที่ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกในเครือข่ายกว่า 3 แสนคนแล้ว

           โดยทุกคนเคารพในสิทธิในการแสดงออกทางความคิด แต่หากการแสดงออกนำมาซึ่งการ ละเมิดสิทธิผู้อื่น ทั้งการปิดถนน ใช้กำลังกับผู้คิดเห็นต่างกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

           จึงรวมตัวกันออกมาแสดงพลังที่ถือเป็นพลังบริสุทธิ์ไม่มีการจัดตั้งจากกลุ่มใด และจะเคลื่อนไหวในรูปแบบดังกล่าวไปจนกว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะสลายการชุมนุม

                                    win win win

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #13 เมื่อ: 14 เมษายน 2553, 16:54:30 »


                                         ปฏิรูปประเทศไทย ฝันที่มิอาจถึงฝั่ง
                   ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยโพสต์ บทบรรณาธิการ วันพุธ ที่ 14 เมษายน 2553
                                http://www.thaipost.net/news/140410/20801

          

           การจุดประเด็นปฏิรูปประเทศไทยเพื่อเป็นหนทางแก้ไขปัญหาวิกฤติประเทศแม้เป็นเรื่องที่ดี   แต่ก็ควรอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง    อย่าคิดว่าหนทางจะโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างเดียว  ประเทศไทยมิใช่   "ยูโทเปีย"  แต่เต็มไปด้วยเรื่องเศร้า  โหด  และเรื่องที่คิดมิถึงมากมาย  

           วาทกรรม  "ปฏิรูป"  จึงเป็นเพียงคำสวยหรูที่กินไม่ได้อีกครั้งที่ถูกจุดถูกสร้างขึ้นมาเหมือน  

"พลุ"  ที่ถูกจุดให้สวยงามบนท้องฟ้า  มองเห็นความสวยได้แค่พริบตาแล้วก็จางหายไปเพื่อรอพลุดวงใหม่

                           และตราบใดที่เมืองไทยยังมีค่านิยมที่ว่า

                                 "ทำอะไรตามใจคือไทยแท้"

                                         โดยมิได้คำนึงถึง

                         สิทธิและเสรีภาพของตนเองและผู้อื่นด้วยแล้ว

                  ตราบนั้นก็อย่าหมายให้ถึงฝั่งฝันปฏิรูปประเทศไทยเลย.

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

              สิทธิ ต้อง คู่กับ หน้าที่ ถ้าไม่ทำหน้าที่ มัวเรียกร้องแต่จะใช้สิทธิ

บ้านเมืองจะมีแต่ผู้เรียกร้อง ไม่มีผู้ทำหน้าที่พลเมืองดีกัน แล้วจะอยู่ได้อย่างไรกันจริงไหมพวกเรา

                                  บรึ๋ยยย บรึ๋ยยย บรึ๋ยยย

              ขอนำกระทู้ที่โพสต์ไว้เรื่อง ต้องปฏิรูปจิตสำนึก มาไว้ที่นี่ด้วย

                                  ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ


                   ต้องปฏิรูปที่จิตสำนึก

                    

         วันนี้ ไทเกอร์ วูดส์ นักกอล์ฟอาชีพหมายเลข 1 ของโลก จะลงแข่งขันกอล์ฟในรายการ "เดอะ มาสเตอร์" เมเจอร์แรกของปีนี้ ที่ สนามออกัสต้า เนชั่นแนล กอล์ฟคลับ หลังหยุดไป 5 เดือน เพราะจากถูกภรรยาจับได้ว่ามีกิ๊ก เพื่อเยียวยาปัญหาในครอบครัว เยียวยาจิตใจตนเองเรื่องเพศสัมพันธ์

         เรื่องที่ ไทเกอร์มีกิ๊ก แม้จะเป็น "เรื่องส่วนตัว" เป็นปัญหาในครอบครัว แต่ สังคมอเมริกัน กลับถือเป็น "เรื่องส่วนรวม" ที่ยอมรับกันไม่ได้

         ห้าเดือนที่ผ่านมา ไทเกอร์ วูดส์ ถูกสังคมอเมริกันลงโทษอย่างรุนแรง การนอกใจเมีย การโกหกสังคมว่าเป็นคนดี เป็นสิ่งที่ สังคมประชาธิปไตยอเมริกันยอมรับไม่ได้ แม้แต่ "สปอนเซอร์" ก็ยังถอนจนหมดสิ้น แต่ สังคมไทย กลับเห็นเรื่องนี้เป็น เรื่องธรรมดา เพราะในสังคมไทยทำกันปกติ แม้แต่เรื่อง การทุจริตคอรัปชันของนักการเมือง ก็ยังเห็นเป็น เรื่องธรรมดา

                    

         เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึง "จิตสำนึก" ของ สังคมอเมริกัน ได้พัฒนาไปถึงขั้นสูงแล้ว มองเห็นเรื่องการนอกใจภรรยา การโกหกสังคมเป็นเรื่องร้ายแรงที่ให้อภัยไม่ได้ แม้ไม่มีกฎหมายลงโทษ แต่สังคมก็ช่วยกันลงโทษแทน แม้แต่สปอนเซอร์ก็ยังต้องถอน เพราะละอายใจตัวเองที่จะต้องฝืนความรู้สึกของสังคม

         ก่อนลงแข่งขัน ไทเกอร์ วูดส์ ให้สัมภาษณ์สื่อครั้งแรกหลังซ้อมที่สนามออกัสต้า เริ่มต้นด้วยการขอโทษทุกฝ่ายที่ตัวเองโง่เขลาทำผิดเรื่องนี้ ขอโทษแม่ ขอโทษครอบครัว (ภรรยาและลูก) ขอโทษทุกคน และประกาศว่า จะพยายามทำให้ตัวเองดีขึ้น เข้มแข็งขึ้นต่อไป

         แม้จะโดนสื่อถามคำถามหนักๆ ไทเกอร์ก็ตอบด้วยความใจเย็น ยอมรับในคำพิพากษาของสังคม ไทเกอร์บอกสื่อว่า คุณรู้ไหม ผมไม่เพียงโกหกหลอกลวงคนจำนวนมาก ผมยังหลอกลวงตัวเองด้วย สิ่งที่ผมทำไว้ ผมต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่

         ผมเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังก็เพื่อจะบอกกับ ประเทศไทย และ สังคมไทย ว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ประเทศไทยและสังคมไทยจะต้อง

                    "ปฏิรูปจิตสำนึกคนไทย"

         กันอย่างเร่งด่วน ก่อนจะถดถอยยิ่งกว่านี้ แทนที่จะ ปฏิรูปการเมือง หรือ ปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่อง "ปลายเหตุ" แต่ "จิตสำนึก" คือ "ต้นเหตุ" ที่แท้จริง

         ประเทศไทย ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประชาธิปไตย ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ มา 78 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงวันนี้เราได้แค่ "การเลือกตั้ง" อย่างเดียว แถมยังมีการ "ซื้อเสียง" ที่ไม่ต่างไปจาก 5-60 ปีก่อน เพียงแต่เปลี่ยนจาก สิ่งของ อาหารการกิน เช่น ปลาทู มาเป็น "เงิน" เท่านั้น

         แต่ "จิตสำนึก" คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึง "ประชาธิปไตยที่แท้จริง" ทำให้รู้จักแต่ "สิทธิตัวเอง" แต่ไม่รู้จัก "สิทธิของคนอื่นในสังคม" ไปจนถึง "หน้าที่ของพลเมือง" ที่ทุกคนพึงมีในระบอบประชาธิปไตย

         การ "ปฏิรูปจิตสำนึก" ไม่ใช่เรื่องนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ และไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ ผมว่าง่ายกว่าการปฏิรูปการเมืองเพื่อให้ ส.ส.ในสภามีจิตสำนึกเสียอีก

         เวลานี้ก็มี ภาคเอกชนไทย  มากมายที่กำลังช่วยกัน "ปฏิรูปจิตสำนึกในสังคม" เพื่อ "สร้างจิตสำนึกใหม่" ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น เช่น การสร้างจิตสำนึกเรื่อง CSR เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมที่กำลังฮิตมากๆ การสร้างจิตสำนึกเรื่องการปลูกป่า เพื่อลดภาวะโลกร้อน เป็นต้น

         เมื่อการปลูกฝังเรื่อง จิตสำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคม จิตสำนึกการปลูกป่า เรายังทำได้ แล้วเรื่องการปลูกฝัง จิตสำนึกประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เพื่อให้คนไทยมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมมากขึ้น ซึ่งเป็น "จิตสำนึกสาธารณะ" เหมือนกัน ทำไมเราจะทำไม่ได้ ผมเชื่อว่าเราสามารถทำได้ รัฐบาลไม่ทำ เอกชนก็ควรช่วยกันทำ เพื่อประเทศชาติของเรา สังคมของเรา

         ประชาธิปไตย ต้องยึด "ชาติ" เป็นหลัก อย่าง อเมริกา ก่อนเริ่มแข่งขันกีฬานัดสำคัญทุกครั้งเขาจะต้อง "ร้องเพลงชาติ" เพื่อแสดงความ "รักชาติ" และการปราศรัยใหญ่ของ "ประธานาธิบดี" ทุกครั้ง ผู้นำสหรัฐฯ จะต้องบอกว่า เขาทำเพื่อประเทศสหรัฐฯและประชาชนชาวอเมริกัน ผมอยากเห็นวันหนึ่งในอนาคตจะมีนักการเมืองไทยสักคนที่กล้าลุกขึ้นมาประกาศ "จิตสำนึก" ของตัวเองว่า ผมรักชาติ และ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อประเทศไทยและคนไทย ไม่ใช่เพื่อตัวเอง.

                                                                                                 "ลม เปลี่ยนทิศ"

 ขอขอบคุณ ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดี ที่ 8 เมษายน 2553

http://www.thairath.co.th/column/pol/thai_remark/75411

                   ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ      

         ในทรัพยากร 3  M ได้แก่ Man , Money และ Management นั้น M  Man นั้นสำคัญที่สุด ในภาวะขาดแคลนทรัพยากรอื่น แต่ถ้ามี M Man มนุษย์ที่่ดี มีคุณภาพ มีจิตสำนึกทำเพื่อส่วนรวม ก็สามารถปรับทรัพยากรที่ไม่พอเพียงให้เกิดประโยชน์ได้

         ประเทศไทย จึงสมควรต้องมุ่งพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ ได้พบข่าว เรื่อง สวัสดิการสังคม พบว่า ประชาชนอยากได้


                          ด้านการศึกษา เป็นอันดับหนึ่ง รองลงมา เป็นด้านสุขภาพ

         เราปฏิรูปสิ่งภายนอก แต่ไม่มุ่งปฏิรูปทรัพยากรมนุษย์ พลเมือง ยังคง จน โง่  เจ็บ ทำให้นักการเมืองที่ไม่มีจิตสำนึก เข้ามาทำธุรกิจการเมือง ลงทุนซื้อเสียง ให้ได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร สส.  เพื่อเข้ามกอบโกยจากการได้อำนาจให้ออกกฏหมาย ทุจริตเชิงนโยบาย ให้เห็นกันอยู่  
  
                          จนประเทศไทยติดอันดับมีคอรัปชั่นสูงประเทศหนึ่งในโลก

                                                 gek gek gek    
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
ekchai2508
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2508
คณะ: ตรีสถาปัตย์/โทรัฐศาสตร์
กระทู้: 25

« ตอบ #14 เมื่อ: 14 เมษายน 2553, 17:25:30 »

Cheers
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #15 เมื่อ: 15 เมษายน 2553, 18:35:47 »


                          

          ร่วมมือกันทำตามกฏหมาย ดื่มไม่ขับ และ ง่วงไม่ขับ
                  เป็นกฏให้ไม่เดือดร้อนตนเอง และ ผู้อื่น

        
          นายอุทัยรัตน์ ชัยประเสริฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม กล่าวย้ำเตือนผู้ใช้รถใช้ถนน หากตรวจพบระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ จะดำเนินคดีปรับขั้นสูงสุด

          ผู้กระทำความผิดมีโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตลอดจนถูกสั่งพักใบอนุญาตขับขี่ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ รวมถึงคุมประพฤติโดยให้ทำงานบริการทางสังคม ตลอดจนเข้ารับอบรมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายใต้การดูแลของพนักงานคุมประพฤติ

           ส่วนกรณีเมาแล้วขับและทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต มีโทษจำคุก 3 – 10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท รวมทั้งถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

           สำหรับผู้ที่ขับหรือซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท และ กรณีผู้ขับขี่ที่ยอมให้ผู้ซ้อนท้ายไม่สวมหมวกนิรภัย จะถูกปรับเป็น 2 เท่าของโทษที่กำหนด

           ขอให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และร่วมกันสร้างความปลอดภัยทางถนน เพื่อเป็นของขวัญแก่คนในครอบครัว
    
           ข้อมูลข่าวและที่มา ผู้สื่อข่าว : ขนิษฐา ลือสัตย์    Rewriter : พรภัสสร ปิ่นสกุล
                   สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ข่าว : 15 เมษายน 2553
                           http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255304150064&tb=N255304&showpic=1&position=14490&pn=Hotnews-255304150064.jpg

                                         ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

      ร่วมมือกันทำตามกฏหมายและแนะนำเพื่อนๆ เพื่อลดการสูญเสีย ทั้งทรัพย์สิน และ ชีวิตได้

                                         sorry sorry sorry

           เมื่อมีผู้บาดเจ็บจากถูกยิง หรือ แทงมา เป็นหน้าที่ ที่ ร.พ.ต้องแจ้งตำรวจ เข้ามาสอบสวน แต่เมื่อคนเมาแล้วอุบัติเหตุ เข้ามารักษา ตำรวจไม่เคยมา ตามผลเลือดว่า เมาหรือเปล่าเลย ร.พ.จึงไม่กล้าตรวจเลือดหาแอลกอฮอล์ให้กลัวโดนฟ้องละเมิดสิทธิผู้ป่วย  

หมายเหตุ พวกเราที่ได้รับความรู้ เห็นดีด้วย สามารถติดต่อ พณฯ ท่าน ร.ม.ต.ว่าการกระทรวงยุติธรรมได้

                                                                                          

                         รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พณฯ ท่าน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

           ช่วยเสนอ เป็นกฏกระทรวงฯ ประกาศทางสื่้อสารมวลชน ให้ประชาชนทราบว่า เป็นหน้าที่ ที่ ร.พ.ที่รับการรักษา มีหน้าที่ ที่จะต้องเจาะเลือดส่งตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือด เพื่อประโยชน์ในการรักษา ว่าอาการทางสมอง ที่ตรวจพบจากเลือดออกในสมอง หรือ จากการได้รับแอลกอฮอล์มากเกินไป และ ยังได้ประโยชน์ในทางบังคับใช้เรื่อง เมาแล้วขับด้วย

            ร.พ.สามารถเจาะเลือด ส่ง นิติเวช ใน ร.พ.ที่ีมีหน่วยงานนี้ เมื่อผลออกมา เป็นประโยชน์ต่อแพทย์ในการให้การรักษา และ ถ้าเกิน 50 มิลลิกรัม % ผิดกฏหมาย หลังรักษาหายดีแล้ว ต้องแจ้งให้ตำรวจมาดำเนินคดี เมาแล้วขับด้วย จะทำให้ประชาชนไม่กล้าดื่มแล้วขับได้

            ถือเป็นด้านที่  3 ของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา เพื่อ ให้เกิดการกระทำตามกฏหมาย ได้ทั้งเชิงบวก เพื่อสังเกตุอาการ และ เชิงลบ ให้ผู้กระทำผิด ต้องถูกลงโทษด้วย ดีไหมพวกเรา จะได้ไม่ดื่มแล้วขับเป็นภัยต่อตนเอง และ ผู้อื่่นด้วย

                                                    gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 17 เมษายน 2553, 21:42:02 »

เรียนคุณหมอเริง

1. ข้อมูลและความคิดเห็น เยี่ยม ขอแสดงความนับถือ
2.พรรคไทยทันทุน  รอเป็นเฝส 2ดีมั้ยคะ มาตั้งต้นมูลนิธิ แบบ beautiful foudation ของเกาหลีเป็นอันแรกก่อนจะดีมั้ยคะ
3. ปัญหาทุกวันนี้ มาจากความล้มเหลวของการศึกษาชาติที่กำลังส่งดอกออกผล อยากฟังความเห็นของคุณหมอค่ะ

      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #17 เมื่อ: 18 เมษายน 2553, 11:20:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ jamsai เมื่อ 17 เมษายน 2553, 21:42:02
เรียนคุณหมอเริง

1. ข้อมูลและความคิดเห็น เยี่ยม ขอแสดงความนับถือ
2.พรรคไทยทันทุน  รอเป็นเฝส 2ดีมั้ยคะ มาตั้งต้นมูลนิธิ แบบ beautiful foudation ของเกาหลีเป็นอันแรกก่อนจะดีมั้ยคะ
3. ปัญหาทุกวันนี้ มาจากความล้มเหลวของการศึกษาชาติที่กำลังส่งดอกออกผล อยากฟังความเห็นของคุณหมอค่ะ

3. ปัญหาทุกวันนี้ มาจากความล้มเหลวของการศึกษาชาติที่กำลังส่งดอกออกผล อยากฟังความเห็นของคุณหมอค่ะ
 
           ในทรัพยากร 3 M Man Money Management นั้น Man สำคัญที่สุด ถึงแม้ขาดทรัพยากรอื่น ๆ แต่มี ทรัพยากร คน ที่ดี มีจิตสำนึกต่อส่วนรวม จะทำให้ใช้ทรัพยากร อื่น ที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์ได้

           ขอสนับสนุนความเห็น พี่แอ๊ะ ว่าปัญหาทุกวันนี้ มาจากความล้มเหลวของการศึกษาชาติที่กำลังส่งดอกออกผล ต้องแก้วงจรอุบาทว์ จน โง่ เจ็บ นั้น เรื่อง โง่ สำคัญที่สุด ที่จำเป็นต้องทำเป็นเรื่องแรก

           ถ้า แก้โง่ ได้ จน กับ เจ็บ จะได้รับการแก้ไขง่ายขึ้น จึงขอนำกระทู้เรื่อง โง่ ที่โพสต์ไว้ ว่า ต้องมีเป้าหมายให้ ดี มีความสุข และ เก่ง แทนที่ เก่ง ดี และ มีความสุข

                                          ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

    "สกอ."เร่งยกร่าง"กม." สถาบันอุดมศึกษาใหม่ เพิ่มบัญญัติคุณภาพบัณฑิต
     ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยโพสต์ การศึกษา-สาธารณสุข 14 เมษายน 2553
                  http://www.thaipost.net/news/140410/20791
   สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา  (สกอ.) เร่งยกร่าง พ.ร.บ.อุดมศึกษา

                              

           ดร.สุเมธ  แย้มนุ่น  เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา  (กกอ.)  เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)  เมื่อเร็วๆ  นี้ว่า  

           ที่ประชุม  กกอ.เห็นชอบแผนดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา  (สกอ.)  ในการยกร่าง  พ.ร.บ.การอุดมศึกษา  ซึ่ง  พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็น

           กฎหมายกลางและเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูปอุดมศึกษารอบ  2  และ จากนี้ต้องนำรายละเอียดทั้งหมดไปรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องเพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  (รมว.ศธ.)  พิจารณาภายในเดือนสิงหาคมนี้

           เลขาธิการ  สกอ.กล่าวอีกว่า  ที่ประชุมได้มีการอภิปรายในเรื่องนี้อย่างกว้างขวางและมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเนื้อหา หรือ สาระสำคัญที่จะกำหนดไว้ในกฎหมายอุดมศึกษาเพิ่มเติมในหลายประเด็น
 ดังนี้

          ให้มีระบบการส่งเสริมให้เกิดธรรมาภิบาลที่ดีในสถาบันอุดมศึกษา  โดยให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถปกครองตัวเองได้เพื่อเป็นหลักประกันเสรีภาพทางวิชาการ,  ระบบการได้มาซึ่งอธิการบดี  คณบดี  กรรมการสภาสถาบันอุดมศึกษาที่ดี  

           เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการบังคับบัญชา,  ให้มีระบบการจัดสรรงบประมาณอุดมศึกษาที่ใช้เป็นเครื่องมือในการกำกับการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาให้เป็นไปตาม นโยบายและแผนและมาตรฐานการศึกษา

           สถานศึกษาจะต้องดำเนินการจัดการศึกษาด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม  เช่น  
                         การเปิดศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งที่ไม่มีคุณภาพและ
                         ผลิตบัณฑิตไม่เป็นไปตามความต้องการของสังคม
                                           จะต้องลดน้อยลง

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

           นำข่าวดี มาบอกพวกเราว่า ประเทศกำลังมุ่ง พัฒนาการศึกษาให้มุ่งเน้นใหม่ ที่เดิมให้  

                               เก่ง ดี และ มีความสุข เป็น ดี มีความสุข และ เก่ง
        เพราะ ถ้ามุ่งเก่งขึ้นก่อน มักหลงทางเป็นคนไม่ดี และ ไม่มีความสุข   เตือน เตือน เตือน
  
                              


http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4944.0.html

                                gek gek gek



 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #18 เมื่อ: 18 เมษายน 2553, 11:45:27 »

ขออนุญาต crop มาจากข้างบน



ปัญหาใหญ่อีกอันหนึ่งของประเทศครับคุณหมอ



      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #19 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553, 10:55:59 »


งานเข้าแน่คราวนี้ 555555555+++++=
มีกิ๊กติดคุก 6 เดือน กฎหมายใหม่ คุมคู่แต่งงาน




กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ

เร่งกำหนดคำนิยาม

" สามีและภรรยานอกใจ-มีชู้-มีกิ๊ก"

ลักษณะใดเข้าข่ายทำร้ายจิตใจตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว บ้าง
หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้เมื่อเดือน พฤศิกายน ปีที่แล้ว(2552)

ระบุ การกระทำผิดลักษณะดังกล่าวมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ ด้านเอ็นจีโอจี้พม.เผยแพร่กฎหมายดังกล่าวแจกคู่มือคนทำงาน-ประชาชน

นางจิตราภา สุนทรพิพิธ รองผอ.สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า

พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว
ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ระบุว่า


ความรุนแรงในครอบครัว หมายถึงการกระทำใด ๆโดยมุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายจิตใจ
หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ
หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับ หรือใช้อำนาจครอบงำผิดทำนองคลองธรรมให้
บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการไม่กระทำการหรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดโดยมิชอบ



" ดังนั้นกรณีที่ผู้หญิงและผู้ชายถูกสามีหรือภรรยาตัวเองนอกใจโดยไม่เต็มใจ
ย่อมถือเป็นการทำร้ายจิต ใจด้วยสามารถใช้สิทธิ์ฟ้องดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ได้โดย


โทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 6 พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

โดยสำนักงานกิจการสตรีฯจะเร่งหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อกำหนดนิยามของ

ความรุนแรงด้านจิตใจให้ชัดเจนว่าต้องมีระดับความรุนแรงอย่างไรหรือ
ส่งผลกระทบกับผู้ถูกกระทำมากน้อยเพียงใดจึงจะเข้าข่ายตามกฎหมายนี้"

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

เป็นข่าวดี ที่จะทำให้การหย่าร้าง กันน้อยลง เนื่องจาก มีกฏหมายดังกล่าว
ถึงมองว่า เป็นการ



เขียนเสือให้วัวกลัว

แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเสือเลยได้

 gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #20 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553, 16:21:02 »


เอ็นจีโอ200องค์กรระดมสมองปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่
ขอขอบคุณเวบ ThaiRecent.com วันพฤหัสบดี ที่ 13/05/2553
http://thairecent.com/Politic/2010/646052/



น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

เครือข่ายภาคประชาชนกว่า 200 แห่งเตรียมระดมสมองเสนอแผนปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่
16 พ.ค.และ 20 พ.ค.พร้อมกำหนดโครงสร้าง-กลไก

"สภาประชาชน"

ชงรื้อ 6 ประเด็นปรับสมดุลประเทศ ไม่สนรัฐบาลไหน แต่ต้องจริงใจ..

เมื่อวันที่ 13 พ.ค. น.ส.สารี อ๋องสมหวัง  เปิดเผยกับ ไทยรัฐออนไลน์ ว่า  
เครือข่ายภาคประชาชนจะมีการระดมสมองพร้อมกับกำหนดโครงสร้าง และกลไกการทำงานของ

"สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย"

โดยอาจจะมีการหารือถึงหัวข้อที่จะเสนอปฏิรูปประเทศไทย ใน 6 ประเด็น ได้แก่

1. โครงสร้างอำนาจการปฏิรูปการเมือง

2. โครงสร้างการปฏิรูปการลดช่องระหว่างคนรวยกับคนจน

3. การปฏิรูประบบสวัสดิการ

4. การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม

5. การปฏิรูประบบราชการ และ

6. การปฏิรูปการทุจริตคอรัปชัน

ซึ่งจะนำเสนอให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติต่อไป

ทั้งนี้ สภาประชาชนฯ จะทำหน้าที่ควบคู่ไปกับการทำงานของรัฐบาล
โดยจะมีบทบาทนำความคิด ข้อเสนอแนะการปฏิรูปประเทศไทย
ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหนๆหากจริงใจในการแก้ไขปัญหา เราก็พร้อมที่จะทำงานด้วย
เพื่อต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่เต็มไปด้วย

ความโปร่งใส สุจริต เที่ยงธรรม คนจน คนรวย มีความเป็นอยู่ที่ดีเท่าเทียมกัน

การเมือง ข้าราชการอยู่ภายใต้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
โดยการทำงานนั้น รัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องให้การสนับสนุน
การปฏิรูประเทศไทยจึงจะสำเร็จลงได้

น.ส.สารี กล่าวด้วยว่า การประชุมจะมีขึ้น 2 รอบ

รอบแรกวันที่ 16 พ.ค. จะจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ

จะต่อยอดไปในวันที่ 20 พ.ค.นี้ ที่เมืองทองธานี

โดยจะมีผู้ร่วมหารรือจากภาคต่างๆ เช่น

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า
สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ องค์กรเครือข่ายคนจน
และองค์กรเครือข่ายประชาชนทั่วทุกภาคขจองประเทศประมาณ 200 องค์กร

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ดีใจ ที่ประชาชน ที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ลุกขึ้น ตื่นรู้ และ ตื่นตัว ผลักดันให้
ระบอบการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย ที่ เกิดขึ้นมื่อปี 2475 ได้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ

เป็นการปกครองของประชาชน เพื่อประชาชน และ โดยประชาชน

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

ขอนำกระทู้ เรื่องประชาธิปไตย ที่โพสต์ไว้ มาเสริมกระทู้นี้ กระทู้...

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4135.0.html

ความหมายของ'ประชาธิปไตย'

น.ส.พ.เดลินิวส์ วันอาทิตย์ ที่ 25 ตุลาคม 2552



วันที่ 19 พ.ย. ปี ค.ศ. 1863 ตรงกับ พ.ศ. 2406 มร.อับราฮัม ลินคอล์น

ประธานาธิบดี คนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ สุสานเกตตี้เบิร์ก

เพนซิลเวเนีย ภายหลัง สงครามกลางเมือง ระหว่างรัฐบาลฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ยุติลง  
  
สุนทรพจน์ดังกล่าวได้รับการยกย่องว่า

เป็นสุนทรพจน์ที่มีชื่อเสียงและจับใจผู้ฟังมากที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก

เนื่องจากความหมายลึกซึ้งกินใจ กะทัดรัด มีเนื้อหาเกี่ยวกับ สิทธิมนุษยชน

ความเสมอภาค และให้คำจำกัดความของรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย
 
“...that these dead shall not have died in vain-that this nation, under God,

shall have a new birth of freedom and that government of the people,

by the people, for the people, shall not perish from the earth."


แปลเป็นไทยได้ว่า

“ผู้สละชีวิตในสงครามครั้งนี้ จะไม่สูญเปล่า แต่ได้ทำให้ประเทศนี้

ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ได้ก่อให้เกิดเสรีภาพขึ้นมาใหม่

ทั้งได้สร้างความเชื่อมั่นว่า

การปกครองที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน

จะไม่เสื่อมสูญไปจากโลก”

 
นอกจากนี้ ลินคอล์น ยังมี วาทะเด็ด ที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงบ่อยครั้ง ได้แก่

การปกครองในระบอบประชาธิปไตย หมายถึง

การปกครองโดยประชาชน ของประชาชน เพื่อประชาชน,

การกระทำดังกว่าคำพูด,

จงทำลายศัตรูให้เป็นมิตร


นำมาจาก

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=151&contentID=28052

 gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #21 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2553, 08:39:10 »











ได้รับมาจากฟอเวอร์ดเมลล์ขอขอบคุณ และ ขอร่วมสร้างประเทศไทยดัวยการสร้างสภาประชาชน

ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่
“ สภาประชาชน” เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย
ขอขอบคุณ บทความพิเศษ น.ส.พ.ไทยโพสต์ วันเสาร์ ที่ 22 พฤษภาคม 2553 ที่สนับสนุนเนื้อหา
http://www.thaipost.net/news/220510/22385

นับเป็นสัปดาห์แห่งการต้องลุ้นวันต่อวันว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยที่เรารักและปรารถนา
อยากเห็นการพัฒนาและปฏิรูปสู่ความเป็นหนึ่งของการเป็นชาติที่ได้รับการขึ้นทำเนียบว่า

“ประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก”

ไม่อยากเห็นก็ต้องพบ  ไม่อยากฟังก็ต้องได้ยิน ไม่อยากดูก็ปฏิเสธไม่ได้กับ
ภาพคนไทยต้องเสียเลือดเสียเนื้อ....เพราะ....พวกเรากันเอง  

มิได้มีศัตรูจากภายนอกต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ต่างดินแดนเข้ามาทำร้ายเราเลยแม้แต่น้อย  
แต่ประเทศไทยกลับกลายเป็นดินแดนที่ปราศจากความปลอดภัย
ไม่น่าเดินทางเข้าไปเยี่ยมเยียนติดอันดับท็อปเท็นของโลก

หวังเหลือเกินว่า จนถึงวันนี้ทุกอย่างจะคลี่คลาย  สังคมไทยสามารถคืนสู่ความสงบ
กระบวนการปรองดองเดินหน้า เฉกเช่นเดียวกับแผนการปฏิรูปประเทศไทย
ซึ่งบัดนี้ดูเหมือนว่า คึกคัก มีหน่วยงาน เครือข่าย องค์กรต่างๆ พร้อมใจกันประกาศเจตนารมณ์ว่า

ถึงเวลาที่จะต้องปฏิรูปประเทศไทย            
เพราะปัญหาวิกฤตของประเทศไทย  ความขัดแย้งทางการเมือง เป็นบ่อเกิด
ให้ทุกฝ่ายหันมาสนใจเรื่องการปฏิรูปประเทศไทยอย่างจริงจัง  หรือ
เพราะเงื่อนเวลาถูกบ่มเพาะจนได้ที่ตามหลักการกระมัง ทำให้วันนี้มีการนำประเด็น

“การปฏิรูปประเทศไทย” ขึ้นมาในวงสนทนา  เวทีสัมมนามากมาย  

โดยไม่จำเป็นต้องรอรัฐหรือนักการเมืองเป็นผู้ริเริ่มอีกต่อไป



ผมจำได้ว่า  นักวิชาการอย่างอาจารย์สมเกียรติ  ตั้งกิจวานิชย์ แห่งทีดีอาร์ไอ
ได้เคยนำเสนอยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยน่าอยู่ผ่าน
เวทีเครือข่ายสถาบันทางปัญญาเมื่อปีที่แล้วในประเด็นหัวข้อ

“จุดคานงัด: ประเทศไทยเพื่อฝ่าวิกฤตการณ์สังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่ซับซ้อน”

ซึ่งอาจารย์ได้เสนอสูตรของการทำให้ประเทศไทยพัฒนาไปในเส้นทางที่ปรารถนาว่า จำเป็นต้องมีห้วงเวลาที่เหมาะสม

วันนี้  ปีนี้  เหมาะสมด้วยเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวด  คงไม่มีใครคัดค้านหรือต่อต้าน
ส่วนใครจะเป็นเจ้าภาพหรือ สถาบันใดจะเป็นผู้ขับเคลื่อนนั้น  คงไม่สำคัญเท่ากับว่า  
คนที่อยากเห็นการปฏิรูปประเทศไทยเป็นจริงนั้น  มีเจตนาแน่วแน่  ตั้งใจแก้ไขในสิ่งผิด  
เปลี่ยนแปลงความบกพร่องผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วยความจริงใจจริงจังแค่ไหน

เลิกเสียทีเถอะครับ กับเอะอะตั้งคณะกรรมการ  ของบประมาณ  แล้วก็ทำงานกันอยู่ไม่กี่คน
เสร็จแล้วออกมาเป็นเอกสาร เป็นเล่มหนาและหนักหลายกิโล  
สุดท้ายก็พอใจปฏิรูปกันแต่ในกระดาษเท่านั้น


ผมเห็นว่า  ข้อกังวล จนเป็นข้อเสนอ หรือความสนใจของทุกฝ่ายที่เห็นพ้องกันว่า
ควรมีการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทยนั้น เป็นเรื่องถูกต้อง  และเหมาะสมกับกาลเวลา เพราะ
สังคมไทยรับรู้ความเจ็บปวดร่วมกันอย่างแสนสาหัสตลอดระยะสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
แม้นจะไม่ใช่ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมายการดำเนินการของฝ่ายทหารก็ตาม

 บรึ๋ยยย บรึ๋ยยย บรึ๋ยยย

แต่ผมอดไม่สบายใจว่า รูปแบบของการทำงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยนั้น
จะเป็นแบบฉาบฉวย  เฉพาะหน้า  เสมือนการแก้ปัญหาทางการเมืองหรือไม่

ดังนั้น  ข้อเสนอในการขับเคลื่อน

“สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย”  

จึงเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง  เพราะหัวใจของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยผมเห็นด้วยกับ



สูตรสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา  ของ อาจารย์ประเวศ วะสี   ราษฎรอาวุโส ครับ นั่นคือ
จะต้องทำจากฐานรากหรือเริ่มจากฐานเจดีย์หรือสามเหลี่ยม  
ไม่ใช่จากยอดลงล่าง จากส่วนกลางสั่งการไปยังส่วนภูมิภาค เฉกเช่นที่ผ่านมาอีกต่อไป


สภาประชาชนเป็นรูปแบบที่ให้ภาคประชาชนเป็นผู้ขับเคลื่อนการปฏิรูป

แตกต่างจากอดีต ที่การพัฒนาประเทศไทยต้องรอรัฐบาลเท่านั้น   หรือ
คาดหวังจากสภาผู้แทนราษฎร ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาชนทุกครั้งไป

ในความหมายของสภาประชาชน  อาจจะมีหลายคนที่เห็นไม่เหมือน หรือสอดคล้องว่า ควรจะ
เป็นการทำงานร่วมกับภาคประชาชนไม่ว่าจะเป็นผู้นำท้องถิ่นอาสาสมัครจากภาคประชาสังคม
องค์กรพัฒนาเอกชน  ภาคธุรกิจ  นักวิชาการ เครือข่ายองค์กรชุมชน  เครือข่ายแรงงาน
สื่อมวลชน   ผู้ทรงคุณวุฒิจาก องค์กรอิสระ และสมาชิกวุฒิสภา ฯลฯ  

แต่อย่างไรก็ตาม ในความเหมือนที่แตกต่าง  ผมเชื่อว่า ทุกคนมีเป้าหมายร่วมกันแล้วว่า  
กระบวนการปฏิรูปประเทศไทยต้องลงมือปฏิบัติ

สำหรับประเด็นของการปฏิรูป จะแจกจ่าย หรือเลือกดำเนินการเป็นลำดับก่อนหลัง
ขึ้นอยู่กับความสำคัญเร่งด่วนหรือไม่อย่างไรนั้น  คงต้องช่วยกันถามตัวเองว่า  

ความวุ่นวายในบ้านเมืองจนเกิดความแตกแยกกันอย่างหนักนี้  ใช่ประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำ  
ช่องว่างของคนจนคนรวย การมีสองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม
ตลอดจนปัญหาทุจริตคอรัปชั่นใช่หรือไม่อย่างไร


ถ้าหากสามารถตอบคำถามดังกล่าวได้  บริบทของการปฏิรูปก็ไม่ใช่เรื่องยาก...จริงไหมครับ

ความยากง่ายคือ การสร้างสำนึกการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในการขับเคลื่อนสภาประชาชน
ให้เป็นของประชาชน เพื่อประชาชนอย่างแท้จริงต่างหาก

เพราะมิเช่นนั้นแล้วประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอยที่กล่าวกันว่า  
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุด  
แต่ในภาคปฏิบัติกลับมีช่องโหว่ให้นักการเมืองเจ้าเล่ห์สามารถทำร้ายประเทศไทยได้มากที่สุด
อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นกัน

 gek gek gek gek gek gek

ทำอย่างไร “สภาประชาชน” จะเป็นของประชาชนและทำงานการปฏิรูป
ไม่ใช่กลายเป็นแหล่งซ่องสุมทางการเมือง  องค์กรแสวงหาอำนาจ
เพื่อการต่อรองแสวงหาผลประโยชน์


สภานี้ต้องให้ประชาชนแสดงปัญหาที่มีอยู่ให้ชัดเจนมากขึ้น จนนำไปสู่
การสร้างนโยบายแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังสอดคล้องกับชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ถ้านึกไม่ออกล่ะก็  ผมอยากจะแนะนำว่า  

การบริหารจัดการของ เครือข่ายเพื่อชุมชนเข้มแข็ง  ที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกภาคในเวลานี้
เป็นตัวอย่างที่น่าลงไปศึกษา  และถอดแบบมาเป็น

บทเรียน สร้างองค์ความรู้แก่ทุกฝ่ายได้ดีที่สุดครับ

ความจริงผมอยากจะเขียนตัวอย่างชุมชนเข้มแข็งที่เขาช่วยกันคิดกันทำจนหมู่บ้านและตำบล
ของเขาน่าอยู่ เป็นการยืนยันว่า

สังคมไทยปฏิรูปตัวเองได้แน่ หากตั้งใจจริง  แต่สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนี้
จะให้ผมวางมือเรื่องสภาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย...ได้ไง


 so sad so sad so sad

นายใฝ่ฝัน   ปฏิรูป

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

มาร่วมสร้างเครือข่ายในละแวกบ้านของพวกเราให้เข้มแข็งกันทั่วไทย เพื่อ


ปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และ เพื่อประชาชน กัน

 win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><