16 มิถุนายน 2567, 09:19:08
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 561 562 [563] 564 565 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3306456 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #14050 เมื่อ: 07 มีนาคม 2558, 23:12:34 »

ดีใจด้วย ที่ไม่มีโรคมารุมอีก
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14051 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 05:52:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 07 มีนาคม 2558, 23:12:34
ดีใจด้วย ที่ไม่มีโรคมารุมอีก


ดร.สุริยา

ขอบคุณมากครับ

คงยังมีความเชื่อเดิม คือ ขอดูแล
- อยู่ด้วย การรักษาศีล ๘ อุโบสถย์ศีล
- อาหาร เป็นผักสดให้มาก ลดผัดน้ำมัน และลดเนื้อสัตว์ให้มาก ๆ
- ออกกำลังกาย ขอใช้แบบเดิม คือเดินจงกรม ชิกง-โยคะ แต่ต้องใส่ เครื่องช่วยพะยูงอัณฑะ(เพราะอีกข้าง ยังไม่ได้ผ่าตัด) และอาจจะเพิ่มขี่จักรยาน
- พักผ่อน ก็คงเหมือนเดิม คือ สามทุ่มนอน ตื่นตีสี่ครึ่ง
- จิต เนื่องจากเหลือเวลาน้อยแล้วชีวิตนี้ คงต้องให้ความสำคัญในการเจริญสติให้มาก ขึ้นไปอีกเท่าที่จะทำได้ ในการดำรงชีวิต ประจำวันให้มีสติ ไม่หลงอยู่ในความคิด  จะทำตามความคิดก็ต่อเมื่อไปถามผู้รู้  ผู้รู้เขาก็ต้องทำแบบนั้น คือ ประกอบไปด้วยประโยชน์  เป็นกุศล  ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน(รวมทั้งตนเอง และสัตว์เดรฉาร คือมี หิริ - โอตัปปะ)

เรายังต้องทำงาน  ยังต้องอยู่ในสังคม  
เงินยังเป็นปัจจัยหลัก ในการดำรงชีวิต ปัจจุบัน  ไม่มีเงินชีวิตมันลำบาก
ยกเว้น ออกบวช ต้องพึ่งชาวบ้าน  แต่ต้องทำการบิณฑบาตรให้บริสุทธิ์ คือเราต้องอยู่ด้วย โพธิปักขิยะธรรม ๓๗ ประการ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14052 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 06:13:23 »



ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ ของเหล่าภิกษุ ภิกษุณี เณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา
โพธิปักขิยะธรรม ๓๗ ประการ ประกอบด้วย

 ๑. อิทธิบาท ๔
 ๒. สติปัฏฐาน ๔
 ๓. สัมมัปทาน ๔
 ๔. อินทรีย์ ๕
 ๕. พละ ๕
 ๖. โพชฌงค์ ๗
 ๗. อริยะมรรคมีองค์ ๘

เหล่าพุทธบริษัท ถ้าอยู่ด้วย โพธิปักขิยะธรรม ๓๗ ประการ ก็ได้ชื่อว่า ได้ทำให้การบิณฑบาตรนั้น บริสุทธิ์ เป็น "สุปะฏิปันโณ" คือเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัตรชอบ สมควรที่จะได้รับอาหารในการบิณฑบาตร จากชาวบ้าน นั้น และชาวบ้านผู้ใส่บาตร พุทธบริษัท นั้น จะได้รับอานิสสงมาก ทั้งในชาตินี้ และชาติหน้า

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14053 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 06:40:26 »


สถานปฏิบัติธรรมเสวตสมบูรณ์ วัดปลายนา ปทุมธานี พระอาจารย์โกศิล  ปริปุณโณ

อิทธิบาท ๔

อิทธิบาท ๔ ธรรมที่จะทำให้ กิจการงานนั้น สำเร็จลงได้ ประกอบด้วย
- ฉันทะ  มีความรักในกิจการงานที่จะต้องกระทำ นั้น
- วิริยะ   มีความพากเพียร อดทนในการทำงาน นั้น ไม่สำเร็จไม่เลิก
- จิตตะ  กระทำกิจการงาน นั้น ด้วยจิตที่มุ่งมัน ตั้งใจ เป็นสมาธิ
- วิมังสา ทำกิจการงานนั้น ด้วยปัญญา วิเคราะห์ ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ ด้วยเหตุ ด้วยผล

ผู้ใดเจริญอิทธิบาท ๔ อยู่เป็นนิจ  จะมีอายุยืนยาว
การที่จะมีอายุยืนยาวได้ ใช้ปัญญา รู้เหตุ-ปัจจัยในการที่จะมีอายุยืนยาว แล้วเอามาปฏิบัติ

เมื่อท่านจะเริ่มต้นปฏิบัติธรรม ควรดำเนินตามหลักอิทธิบาท นี้เถิด
ท่านจะต้องรัก ศรัทธาในการปฏิบัติธรรม รู้จุดมุ่งหมายในผลของการปฏิบัติ ท่านต้องมีวิริยะ คือความเพียรในการปฏิบัติ มีจิตที่มุ่งมั่นตั้งใจฝึกปฏิบัติ และใช้ปัญญไตร่ตริง ในสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับรูป-นามของท่าน

ทำดังนี้ได้ท่านก็สำเร็จ ในการเริ่มต้นการปฏิบัติธรรมแล้ว

หลังจากนั้น มันจะพัฒนาของมันไปเอง ถ้าท่านทำให้ต่อเนื่อง เป็นลูกโซ่ทั้งกลางวัน กลางคืน ของการมีสติ  ท่านจะทราบด้วยตนเองเพราะมันเป็นปัจจัตตัง

ผลที่ได้อย่างน้อยท่านจะมี "หิริ-โอตัปปะ" คือความระอาย-เกรงกลัวต่อบาป เกิดขึ้นในจิตท่าน

สาธุ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14054 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 06:51:39 »


สถานปฏิบัติธรรมเสวตสมบูรณ์ วัดปลายนา ปทุมธานี พระอาจารย์โกศิล  ปริปุณโณ

สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเอกที่จะไปสู่ "พระนิพพาน"

สติ คือการระลึกได้

กรรมฐาน คือการนำจิตไปผูกติดกับฐาน(ระลึกได้ที่ฐาน)

สติปัฏฐาน คือการเอาสติ มาผูกอยู่ที่ฐาน ที่เรียกว่า กรรมฐาน  มีอยู่  ๔ ฐาน ด้วยกัน ที่เราต้องใช้ หรือรู้สึกได้ หรือระลึกได้ ตลอดเวลาในฐานทั้ง ๔ นั้น เมื่อใดระลึกได้(สติ ความรู้สึกตัว)ที่ฐานทั้ง ๔ นั้น เราจะไม่คิด - รู้สึกตัว เมื่อไม่คิด  ก็ไม่ทุกข์

สติ การระลึกได้ หรือความรู้สึกตัว ที่กรรมฐานทั้ง ๔ นั้น เราระลึกรู้ได้ จากการผัสสะของอายตนะ ทางทวารทั้ง ๖ นั่นเอง

ฐานที่จิตไปเกาะ หรือกรรมฐานทั้ง ๔ นั้น ประกอบไปด้วย

- การพิจารณากายในกาย
- การพิจารณาเวทนาในเวทนา
- การพิจารณาจิตในจิต
- การพิจารณาธรรม

เมื่อพิจารณา(เอาจิตไปเกาะ จะไม่คิด มีแต่การระลึกได้) สิ่งที่ตามมาคือ เราจะไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย ตัดความโสมนัส ความโทมนัสในโลกออกเสียได้ มีความระลึกได้เฉย ๆ ที่หลวงพ่อคำเขียน ท่านสอนว่า ให้ "รู้ซื่อ ๆ" ไม่ถามเหตุ ไม่หาผล คือไม่คิดต่อนั่นเอง ทั้งภายในตัวของเรา และบุคคลอื่น ด้วย

พิจารณากายในกาย

พิจารณากายในกาย คือเอาสติ(ความระลึกได้ในกาย)มาพิจารณากายของตน เมื่อมีสติ ความคิดจะดับลงทันที นี้คือธรรมชาติของจิต จะระลึกรู้ ได้อย่างเดียว ทำสองอย่างพร้อมกันไม่ได้

- ในแต่ละวัน เราต้องอยู่ในอิริยาบถ ทั้ง ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน เมื่อยืนก็ให้รู้ว่ายืน เมื่ เดินก็ให้รู้ว่าเดิน เมื่อนั่งก็ให้รู้ว่านั่ง เมื่อนอนก็ให้รู้ว่านอน  ดรรชนีตัวชี้วัด คือเมื่อใดระลึกได้ เมื่อนั้นก็ไม่คิด ฝึกอยู่อย่างนี้ ระลึกให้มาก กว่าคิด แล้วมันจะมากขึ้นเรื่อย ๆ
- ในแต่ละวัน เราต้องมีการเคลื่อนไหวอวัยยวะของร่างกาย เช่นเหยียดแขน คู่แขน ยกแขน  จับ หยุด รวมทั้งมีอวัยยวะใดเคลื่อนไหว เช่น การเต้นของหัวใจ เป็นต้น เมื่อนั้น ก็ให้ระลึกได้ ในสิ่งที่อวัยยวะนั้น เพียงระลึกได้ เฉย ๆ ไม่มีการคิดต่อ
- ในแต่ละวัน เราต้องกิน ต้องดื่ม ต้องถ่าย เมื่อกิน ดื่ม ถ่าย ก็ให้ระลึกได้ ณ ขณะนั้น เมื่อระลึกได้ มันก็ไม่คิด และไม่มีการคิดต่อ การจะไม่คิดต่อนั้น เราสั่งมันไม่ได้ เพราะรูป-นามเป็นอนัตตา แต่เราระลึกได้ คือสร้างความรู้สึกในผัสสะ นั้น
- ในแต่ละวัน เราต้องหายใจ เมื่อหายใจเข้าก็รู้ชัดว่าหายใจเข้า เมื่อหายใจออกก็รู้ชัดว่ากายใจออก เพียงระลึกรู้เฉย ๆ ไม่มีการคิดต่อ
- ในแต่ละวัน เมื่อ เราหายใจเข้าแล้วจะรู้สึกว่าท้องป่อง หน้าอกตึง ก็ให้ระลึกรู้เฉย ๆ และเมื่อเราหายใจออก ก็ระลึกได้ที่หน้าอก และท้องแฟบลง

กายถือเป็นกรรมฐานที่หยาบ คือระลึกได้ง่าย  ดังนั้นทุกวันเราควรฝึก ให้จิตมาเกาะที่ฐานกาย ใก้ระลึกรู้ที่กาย มันง่าย เพราะเราต้องใช้กายในการดำรงชีวิต ตลอดเวลา กายจึงเป็นฐานยึดเกาะของจิต ในการระลึกรู้ได้ ดีที่สุด และง่ายต่อการปฏิบัติ

นอกจากนี้ เมื่อใดเราพบ เด็ก คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ซากศพในลักษณะต่าง ๆ ก็ให้ยกขึ้นมาพิจารณาว่า เด็ก คนแก่ คนเจ็บ คนตาย  ซากศพในลักษณะต่าง ๆ นั้น มันไม่เที่งลยง เป็นทุกข์ เป็น นัตตา สักวันมันก็ต้องเกิดขึ้นกับเรา ดังนั้น อย่างไปยึดถือร่างกายนี้ว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา เราเป็นนั่น นัานเป็นของเรา ลงเสียได้

นอกจากนี้ ในกรณีที่ถูกกามราคะ เล่นงานอย่างหนัก ให้ระลึกได้ ในซากศพ ความน่าเกลียด ขยะ ขะแหยง เน่า เปื่อย เหม็น ของซากศพนั้น มาพิจารณา กามราคะ นั้น จะหายไปได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14055 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 07:43:47 »



อาหารเช้า วันนี้

ข้าวต้มไก่ กินกับ ผักสด และไข่เจียว

วันนี้ ได้อาบน้ำ ชำระความสะอาด ครั้งใหญ่ ห้าวันแรกไม่ได้อาบน้ำ เพราะเคลื่อนไหวลำบาก ก้ม-เงย กระเทือนแผลผ่าตัด และกลัวแผลถูกน้ำ

ตอนนี้ช่วยตัวเองได้หมด ขับ-ถ่าย เป็นปกติ ความดันปกติ  ไม่มีไข้ตั้งแต่ผ่าตัดมา นับว่าเป็นบุญ กุศลอย่างหนึ่ง

วันจันทร์ คุณหมอสมเจตต์  ให้ออกจากโรงพยาบาลได้  และที่ผ่านมา ห้องว่าง คนไข้ไม่เต็มตึกพิเศษ  จึงพักได้ครบเจ็ดวัน

ตอนที่อยู่โรงพยาบาล ได้มีพรรคพวกจากอิสานคอนกรีต ได้โทรศัพท์ มาปรึกษา ขอซื้อเครื่องผลิตแผ่นพื้น แผ่นพื้นกลวง และเสาเข็ม Prensoland อีกหนึ่งชุดประมาณ สิบสี่ล้านบาท  ได้แจ้งให้ทางสเปญ ทราบแล้ว เขาดีใจมาก เพราะเขาใช้เวลามาก เทียวไปฟืลิปปินส์ ดูไบ สิงค์โปร์  ปากีสถาน  ยังขายไม่ได้เลย แต่ที่เมืองไทย เขาไม่ได้ติดต่อ แต่พี่สิงห์ ขายให้ได้ ๕ ชุดแล้ว เปิด  L/C ไปแล้ว สี่ชุด  เมษายน ว่าจะไปฝึกงาน ดูงาน การใช้เครื่อง   Prensoland  ที่เสปญ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14056 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 08:57:21 »


สำนักปฏิบัติธรรมเสวตสมบูรณ์ วัดปลายนา พระอาจารย์โกศิล ปริปุณโณ

พิจารณาเวทนาในเวทนา

เวทนา คือความสุข ความทุกข์(ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ) และความไม่สุขไม่ทุกข์(เฉย ๆ)

พิจารณาเวทนาในเวทนา คือเมื่อใดเกิดเวทนาขึ้นก็ให้ระลึกรู้เวทนานั้น หรือมีสติ ความระลึกได้ในเวทนานั้น มาพิจารณาเวทนาที่เกิดขึ้นกับจิต

เวทนานี้ เป็นปรมัตถต์ธรรม เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตลอดเวลา แต่ส่วนใหญ่พอเกิดขึ้น ก็หลง ไหล ชอบ ไม่ชอบ ไปกับมันเพราะขาดสติ หรือไม่ได้ไประลึกถึงมัน ไม่เห็นมัน แต่เป็นผู้เป็นเสียสิ้น

คนทุกคนในแต่ละวัน ในแต่ละชั่วโมง ในแต่ละนาที ย่อมประสพแด่ความสุขบ้าง ความทุกข์บ้าง  รู้สึกเฉย ๆ บ้าง สลับกันไปมา เป็น อย่างนี้

เมื่อใดที่มีความสุขเกิดขึ้น(ใจ) เราก็ระลึกได้ถึงความสุขที่ได้รับนั้น ระลึกรู้เฉย ๆ ไม่คิดต่อ ไม่ถามเหตุ ไม่ถามผลที่ตามมา จากความสุขที่เราได้รับนั้น เมื่อระลึกรู้ ความสุขก็ดับ ไม่คิด ทำให้เราไม่หลงยินดี เพลิดเพลิน ไม่ชอบอยากได้อีก ไปกับความสุขที่ประสพ นั้นได้

เมื่อใดที่มีความทุกข์เกิดขึ้น(ใจ) เราก็ระลึกรู้ในทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น ระลึกรู้เฉย ๆ ไม่คิดต่อ ไม่ถามเหตุ ไม่ถามผล ในทุกข์กับสิ่งที่ประสพ เมื่อทุกข์ ก็ให้ระลึกรู้ว่าประสพทุกข์ เมื่อระลึกรู้ ความทุกข์ก็ดับไปแล้ว และไม่คิด ทำให้เราไม่หลงเกลียดทุกข์ ไม่ชังทุกข์ ไม่อยากประสพทุกข์นั้นอีกได้ หรือไม่หลง หลงคิดไปกับทุกข์นั้นได้

เมื่อใดที่มีความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดขึ้น ก็ให้ระลึกรู้ถึงความไม่สุขไม่ทุกข์นั้น เมื่อระลึกรู้ ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์นั้นก็ดับไป และไม่หลง ไม่ไหล ไม่ยินดี ไม่เพลิดเพลิน ไม่ชัง ไม่ชอบไปกับความไม่สุขไม่ทุกข์นั้น ลงได้ เมื่อระลึกรู้ได้ มันก็ไม่คิด

ปกติท่านลืมระลึกได้ ในเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะท่านไประลึกได้ที่ฐานอื่นเสีย ส่วนใหญ่จะไประลึกได้ที่ฐานกาย  แต่ฐานเวทนานั้น ระลึกไม่ค่อยได้

แต่อย่าลืม เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีผลให้เกิด ตัณหา(ความทะยานอยาก) ตามมา

ดังนั้น ท่านต้องฝึก ให้ระลึกรู้เวทนาบ่อย ๆ ให้รู้จักเวทนาเข้าไว้ ให้จิตมันรู้จัก เวลามีเวทนาเกิดขึ้น จะได้รู้ตัวเร็ว  จะได้ไม่ตกไปเป็นทาสของเวทนาที่จิตมันทั้งชอบ และทั้งชัง
ที่จิตมันอยากประสพอีก และไม่อยากประสพอีก

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #14057 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 09:45:09 »

           พี่สิงห์ฟื้นตัวเร็วขึ้นมาก ต้อยว่าพี่ไม่มีโรคอื่นอีกอาการใจเต้นเป็นผลข้างเคียงจากยามากกว่าค่ะ
           ต้อยทานยาหอบอยู่ถ้าเต็ม1เม็ดก็เต้นเร็ว ลดเหลือครึ่งเม็ดก็ปกติ
           ดีใจด้วยค่ะพี่สิงห์จะได้ไปยุโรปอีก
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14058 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 11:31:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 08 มีนาคม 2558, 09:45:09
          พี่สิงห์ฟื้นตัวเร็วขึ้นมาก ต้อยว่าพี่ไม่มีโรคอื่นอีกอาการใจเต้นเป็นผลข้างเคียงจากยามากกว่าค่ะ
           ต้อยทานยาหอบอยู่ถ้าเต็ม1เม็ดก็เต้นเร็ว ลดเหลือครึ่งเม็ดก็ปกติ
           ดีใจด้วยค่ะพี่สิงห์จะได้ไปยุโรปอีก



สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย ที่รัก

ขอบคุณมาก

เหตุที่ต้องไปบาเซโลน่า สเปน นั้น เพราะว่า ในการทดสอบเครื่องจักรนั้น ทางสเปนคิดค่าใช้จ่ายสูงมาก หนึ่งอาทิตย์ เกือบล้านบาท ๔ โรงงานมันมากอยู่  สู้เอาพี่สิงห์  ไปฝึก ไปศึกษาให้รู้ ดีกว่า จะได้มาบอกต่อ สอนต่อกันได้ เก็บเงินเอาไว้ทำ อย่างอื่น และทางสเปนเขาก็อยากให้พี่สิงห์ ไป และไปฟรี อยู่แล้ว ค่ะ

หายดีแล้ว จะไปกระบี่ค่ะ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14059 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 12:00:08 »



อาหารเพลวันนี้

ข้าวกล้องผสมข้าวไรซ์เบอรี่ คลุกกับน้ำพริกเผา มะม่วงซอย
มีไข่เจียว(เหลือมาจากมื้อเช้า)  ปลาตัวน้อยทอด ผักสด แตงกวาเป็นเครื่องเคียง และตามด้วยกล้วยไข่ ๑ ผล และแอปเปิ่ล ครึ่งลูก

กินหมด ไม่มีเหลือติดภาชนะ

กิน อย่างนี้ ยังต้องพึ่งโรงพยาบาลเลย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14060 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 12:07:05 »


สำนักปฏิบัติธรรมเสวตสมบูรณ์ วัดปลายนา ปทุมธานี พระอาจารย์โกศิล ปริปุณโณ

พิจารณาจิตในจิต

จิต คือธรรมชาติของการรู้อารมณ์

พิจารณาจิตในจิต เมื่อใดจิต ถูกเจตสิก มาปรุงแต่งให้เป็นไปตามเจตสิกนั้น ก็ให้ระลึกรู้ได้ในจิต นั้น เมื่อระลึกรู้ได้ เจตสิกนั้นก็จะดับ จิตจะไม่หลง ไม่ไหลไปกับเจตสิกที่มาปรุงแต่งนั้น ไม่ยินดี ไม่เพลิดเพลิน ชอบ ชัง ในเจตสิกนั้น

เจตสิก คืออารมณ์ที่มาปรุงแต่ง มาประกอบจิต

เจตสิก มีทั้งฝ่ายกุศล ฝ่ายอกุศล และฝ่ายกลาง ๆ

เจตสิก เป็นปรมัตถธรรม คือมีตามธรรมชาติอยู่แล้ว

เมื่อจิต ถูกเจตสิกฝ่ายกุศลมาเล่นงาน ให้ระลึกรู้ ไม่ไหล ไม่หลง ไม่ยินดี ไม่ชอบ ไปกับเจตสิกฝ่ายกุศล นั้น เช่นเวลาเกิดเมตตาจิต เป็นต้น

เมื่อจิตถูกเจตสิกฝ่ายอกุศล เล่นงาน เช่นความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็ให้ระลึกรู้ในความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น เมื่อระลึกรู้ความโลภ ความโกรธ ความหลง นั้นก็ดับไป จิตจะไม่หลง ไม่ไหล ไม่ปรุงแต่งกับความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น ได้

พิจารณาจิตในจิต คือเมื่อจิตเกิดเจตสิกเล่นงานก็ให้ระลึกรู้ที่จิต และเอาจิตนั้นมาพิจารณาถึงเจตสิกนั้น ให้จิตได้เรียนรู้ แต่ต้องประคองจิตไม่ให้ไหล ไม่ให้หลงไปกับเจตสิกนั้น พิจารณาเจตสิกที่มากระทบ ด้วยเหตุ-ปัจจัยอะไร ให้จิตมันได้เรียนรู้ ในเจตสิกนั้น ๆ และไม่ชัง ไม่ชอบในเจตสิกนั้น

หรือให้เข้าใจได้ง่าย ๆ เมื่อจิตมีอารมณ์ ก็ให้ระลึกรู้ได้ทันที และรู้ว่าอารมณ์นั้นเป็นเจตสิกตัวไหน ให้เป็นผู้ดู  ไม่ไปเป็นผู้เป็น เท่านั่นเอง

จิตของเรานั้นต้องระวังจงหนัก เพราะมันเป็นอนัตตา และละเอียด ควบคุมอยาก แยกออกมาจากมันอยาก เป็นตัวที่พาให้หลง เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นเราดีนักแล

ดังนั้น  ต้องระวังจิตให้ดี มีอะไรมากระทบจิต ต้องให้ระลึกรู้โดยเร็ว แต่ส่วนมากลืม จึงหลง ไหล ปรุงแต่งไปกับสิ่งที่มาปรุงจิตนั้น ทั้ง ๆ ที่กายยังนิ่งอยู่ได้  แต่จิตไปไหนเสียแล้ว  แต่ไม่เป็นไร  ระลึกรู้ให้บ่อย ๆ เดี๋ยวมันก็จะระลึกรู้ได้เร็ว และเร็วเท่ากับหนูเห็นแมวปั๊ป ตะครุ๊ปปุ๊ป เลยเชียวละ

อย่าลืม จิตมนุษย์นั้นฝึกได้  จึงต้องฝึกระลึกรู้ให้บ่อยๆ ไม่เป็นผู้เป็น ให้เป็นผู้เห็นจิต อยู่ประจำ ก็จะไม่หลง ไม่ไหลไปตามเจตสิก นั้นได้

ข้อสำคัญต้องแยก รูป  จิต  เจตสิก  สติ  ความคิด  ออกจากกันให้ได้ พยายาม ดูนะครับ !

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14061 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 15:22:37 »



วันนี้ บ่ายสามโมงครึ่ง คุณหมอสมเจตต์  ศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดมาเยี่ยม  ขอดูแผลผ่าตัด ปกติ ไม่มีอะไร 
ได้สั่งพยาบาลว่า พรุ่งนี้ครบ ๗ วัน ให้เปิดแผล  ถ้าแผลไม่มีอะไรปกติ ให้กลับบ้านได้ และอาบน้ำได้ คือหมายความว่าแผลถูกน้ำได้
ปกติแผลภายนอก ต้องใช้เวลา ๗ วัน
และแผลภายในต้องใชัเวลา ๑๕ วัน จึงจะปกติ

ได้สอบถามพยาบาลว่า จะสามารถออกกำลังกาย เล่นกอล์ฟ ตามปกติได้เมื่อไร?

คำตอบคือ ถ้าจะให้แผลติดเชื่อมั่นได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือ สามเดือน

ผ่าตัดวันที่ ๒ มีนาคม เวลาสามโมงเย็นครึ่ง

เป็นอันว่า วันที่ ๑ มิถุนาคม เริ่มเล่นกอล์ฟได้ 
ดีเลย จะได้ลืมวงสวิงวงเก่า ฝึกวงใหม่ ในอีกสามเดือนข้างหน้า

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14062 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 15:53:47 »


สำนักปฏิบัติธรรมเสวตสมบูรณ์ วัดปลายนา ปทุมธานี พระอาจารย์โกศิล  ปริปุณโณ

พิจารณาธรรม

ธรรม ในที่นี้ พระพุทธองค์ หมายถึง พระธรรมคำสอนของพระองค์ เพราะคำสอนของพระองค์ ท่านสอนเรื่องให้รู้จักทุกข์ และหนทางปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ถาวร

พิจารณาธรรม หมายความว่า  ปกติจิตมนุษย์นั้นมันชอบคิด และต้องคิด ถ้าปล่อยจิตให้มันคิด มันจะลืมตน คือไม่รู้ตัว หลง ไหลไปกับความคิด นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตก็จะไม่มีกรรมฐาน ให้เกาะ ร่องลอยไปเรื่อย ๆ ตามความคิด ขาดสติ หรือการระลึกรู้ ณ ปัจจุบัน

ดังนั้น พระพุทธองค์ ท่านจึงให้คิด แต่ต้องตั้งใจคิดเพื่อให้ระลึกได้ว่ากำลังคิด แต่ให้คิดเรื่องธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอน คือ อริยะสัจ ๔ รูป-นาม พระไตรลักษณ์ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ เป็นต้น เพราะคิดในทางธรรม มันจะไม่ทุกข์ แต่จะก่อให้เกิดปัญญา นำพาให้สามารถละความยึดมั่นถือมั่น ในตัวตนลงได้ ก็จะพบ "พระนิพพาน" ได้ในที่สุด

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14063 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 16:50:15 »



การตั่ง สติปัฏฐาน ๔ นั้น

ฐานกาย เป็นฐานหยาบ ที่จิตจะเกาะได้ง่าย

แต่กรรมฐาน เวทนา จิต นั้น เป็นฐานละเอียด มันเป็นอารมณ์ ระลึกรู้ได้ช้า

แต่อย่าลืม ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที เราต้องใช้กาย รู้อารมณ์เวทนา  รู้อารมณ์ จิต  และต้องคิด

ดังนั้น เราก็ต้องมีความระลึกรู้ได้ในฐาน ทั้ง ๔ นั้น เป็นการผูกจิต ไว้กับฐาน  ฝึกแบบนี้ให้มาก ๆ เพราะจิตมนุษย์ นั้นฝึกได้  

เมื่อจิต มีฐานให้เกาะอย่างนี้ มันจะไม่วอกแวกไปไหน จนจิต มันตั้งมั่น คือสงบ จนสามารถละนิวรณ์ ๕ ได้

นิวรณ์ ๕ คือเครื่องปิดกั้นความดี ประกอบด้วย
- กามะฉันทะ พึงพอใจใน รูป รส กลิ่น เสียง
- พยาบาท มีจิตคิดพยาบาทปองร้าย
- ถีนะมิถธะ จิตง่วงเหงาหาวนอน จิตหดหู่ เซื่องซึม
- อุจทัจจะกุกุจจะ จิตฟุ้งซ่าน พรุ่งพร่านเดือดดาลใจ
- วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย

เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิดีละนิวรณ์ ๕ ได้แล้ว จะเป็นจิตที่เหมาะแก่การงาน เรียนรู้ในธรรม
การเรียนรู้ในธรรมนั้น ไม่ใช่ท่องจำ แต่จิตมันจะพิจารณาธรรมด้วยความแบบคาย จนเห็นธรรมนั้น ตามความเป็นจริง (ดังนั้น เวลาฟังธรรม จิตต้องละนิวรณ์ ๕ ได้)

จิตที่ละนิวรณ์ ๕ ได้นั้น เป็นจิตที่เข้าสู่ ญาณที่ ๑ ยังมีความตรึก ความตรอง
เมื่อจิตละความตรึก ความตรองลงได้ จิตจะเข้าสู่ญาณที่ ๒ เกิดปีติในจิต
เมื่อจิต ละปีติลงได้ จิตจะเข้าสู่ญาณที่ ๓ มีแต่เวทนา
และเมื่อจิตละเวทนาลงได้ จิตจะเข้าสู่ ญาณที่ ๔ เป็นเอกคตาจิต เป็นหนึ่งเดียว ให้ดำรงจิตอยู่ตรงนี้

ดังนั้น ในการตั้งสติปัฏฐาน แต่ละครั้งเต็มรูปแบบ จะต้องกระทำนาน ๆ อย่างน้อย จิตละนิวรณ์ ๕ ได้ และกระทำต่อเนื่องจนเป็น เอกคตาจิต อยู่ในญาณ ที่ ๔

แต่อย่าลืม ในชีวิตประจำวัน ท่านต้องมีสติ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ด้วย  ทำให้เป็นวงกลม ต่อเนื่องไม่ให้ขาด คืออย่าให้ไปหลงอยู่กับความคิด

นี่จึงเป็นการทำความเพียร อย่างแท้จริงที่กล่าวถึงในการตั้งสติปัฏฐาน ๔ โดยสังเขป

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14064 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 17:43:02 »



ชั้น ๗ ตึก ๙๔ ปี หลวงพ่อแพ ของโรงพยาบาลสิงห์บุรี

มีห้องพิเศษ รับผู้ป่วยได้ ๑๒ ห้อง

มีพยาบาลวิชาชีพ เข้าเวร ๒๔ ชั่วโมง ๒ ท่าน

เมื่อคืน มีคนไข้ ๗ ห้อง ว่าง ๕ ห้อง
คืนนี้ มีคนไข้ ๑๑ ห้อง ว่างหนึ่งห้อง
และพรุ่งนี้ก็จะว่างอีก หนึางห้อง เพราะพี่สิงห์  จะออกจากโรงพยาบาล ก่อนเที่ยง

ค่าห้องปกติ ราคา ห้องละ ๑๖๐๐ บาท พี่สิงห์ มีส่วนลดจาก การถือบัตร VIP  และมีประกันสังคมกับทางโรงพยาบาลสิงห์บุรี  จ่ายส่วนต่างคืนละ ๙๐๐ บาท

ใช้ห้อง ๗๐๕ เป็นบ้าน มาเป็นคืนที่ ๘ แล้วครับ

สวัสดียามเย็นครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14065 เมื่อ: 08 มีนาคม 2558, 18:24:12 »


วันมาฆะบูชา ที่ผ่านมา พุทธศาสนิกชนม์ มาสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม เวียนเทียน จนเต็มสถานที่
สำนักปฏิบัติธรรมเสวตสมบูรณ์ วัดปลายนา ปทุมธานี พระอาจารย์โกศิล  ปริปุณโณ

สัมมัปทาน ๔

คุณสมบัติของคนที่จะไปถึงซึ่งพระนิพพาน ได้ นั้น
- ต้องละบาปทั้งปวง
- ทำกุศลให้ถึงพร้อม
- ทำจิตของตนให้ขาวรอบ

ดังนั้น ในการบำเพ็ญความเพียร จะต้องรักษาศีล อย่างน้อยศีล ๕

แต่ ท่านจะทราบได้ด้วยตัวของท่าเอง เมื่อท่านปฏิบัติธรรม ไปถึงจุด ๆ หนึ่ง ท่านจะรู้ได้เองว่า ท่านจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง และหนึ่งในนั้นคือต้องมีศีล ละการทำบาปทั้งปวง

สัมมัปทาน ๔ นั้นก็คือการรักษาศีล นั่นเอง แต่มีความหมายมากกว่าการถือศีล ๕ ศีล ๘ เพราะศีลนั้นจะรักษา เพียงกาย วาจา เท่านั้น

ส่วนสัมมัปทาน ๔  จะรวมถึง การรักษาใจ หรือจิต ด้วย

สัมมัปทาน ๔ ประกอบด้วย

๑. เพียรกระทำกุศล ที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น
๒. เพียรละอกุศล ที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดขึ้น
๓. เพียรละอกุศล ที่เกิดขึ้นแล้ว ให้หมดไป
๔. เพียรกระทำกุศล ที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

จะเห็นว่า รวมทั้งกาย วาจา และใจ ซึ่งมากกว่า ศีล

เมื่อจิตเป็นกุศล  จึงเป็นจิตที่มีคุณสมบัติของผู้บรรลุธรรม พบ "พระนิพพาน" ได้

ในสมัยพุทธกาล เจ้าลัทธิ เช่น นิครนณาธาบุตร พระมหาวีระ  ก็บำเพ็ญเพียรทางจิต  แต่ยังละอกุศล ไม่ได้ 
พระพุทธองค์ทรงบอกว่า ยังไม่สมควรบรรลุธรรม ถึงซึ่งพระนิพพานได้ เพราะ ขาดคุณสมบัติ ที่ยัง"ละบาปไม่ได้" ยังฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ให้เดือดร้อนอยู่ จึงไม่สมควรบรรลุธรรม  มันก็เป็นความจริงทั้งสิ้น

ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14066 เมื่อ: 09 มีนาคม 2558, 06:36:02 »



อรุณสวัสดิ์ ทุกท่านครับ

เมื่อเช้ามืดตอนหกโมงเช้า พยาบาลมาวัดไข้ - ความดัน ปกติดี ไม่มีไข้

ได้บอกพยาบาลไปว่า ที่นอนแข็งมาก  จะนอนได้ติดต่อกันไม่เกิน สองชั่วโมง มันกดหลัง กดไต ทำให้เจ็บตื่น เมื่อตื่นแล้ว เดินไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมานอน ก็จะหลับต่อได้ เป็นอย่างนี้ทุกวัน พยาบาลบอกว่า คนไข้อีกคนก็บอกอย่างนี้เหมือนกัน เขาต้องใช้ผ้าปูอีกชั้นหนึ่ง

เมื่อคืน (เป็นมาสองวันแล้ว) เพิ่งรู้สึกเจ็บแผลผ่าตัดภายใน แต่ก็ไม่ได้ปวดอะไรมากนัก จึงไม่ได้กินยาแก้ปวด เพราะไม่รู้ว่าเจ็บขนาดไหน จึงต้องกินยา เพราะอยู่ได้ ไม่ไปคิดกับมัน มันเป็นเรื่องของมัน

ระยะนี้มีปัญหาการเคลื่อนไหวร่างกาย ยังก้ม-เงย ลำบากต้องออกแรงที่กล้ามเนื้อท้อง จึงไม่กระทำ และต้องยอมทุศีล เรื่องนอนเตียง เพราะเราไม่สามารถนอนพื้นแล้วลุกได้ ต้องอาศัยความสูงของเตียง แล้วห้อยขาลง จึงจะยืน เดินได้เวลาจะนอน มันนั่งพื้นไม่ได้ จะกระเทือนแผลผ่าตัด ต้องอีก ๗ วันเป็นอย่างน้อย แผลภายในจึงจะติด พยาบาลบอกว่ามันจะรู้ได้คือเวลาประสาทมันต่อกัน มันจะรู้สึกคันที่ผิวหนัง แสดงว่ามันเชื่อมกัน หลังจากนั้นอีกสักเดือนก็ออกกำลังได้นิดหน่อย ค่อย ๆ ฟื้นกล้ามเนื้อ จนพ้นสามเดือนไปแล้ว ค่อยออกกำลังอย่างจริงจังตามของเราทุกอาทิตย์ ทุกวัน ต้องเป็นอย่างนี่  อย่าไปเร่งมันเร็วเกินไป

วันนี้ก่อนเที่ยง คงออกจากโรงพยาบาล ไปพักผ่อนต่อที่บ้าน ในบริเวณโรงเรียนอินทร์บุรี

มันก็เป็นจริงอย่าง อาจารย์ถาวร  โชติชื่น บอกมาทาง line  ให้โอกาสน้อง หลาน เขาได้ตอบแทนบุญคุณ และได้อานิสง ได้ทำบุญ กับเราบ้าง

สวัสดีทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14067 เมื่อ: 09 มีนาคม 2558, 08:07:18 »


ฐานรากธรรมจักร นี้ พี่สิงห์ ยืนหิ้วกระแป๊งเทคอนกรีต จนขาพริกเกิดเวทนา เพราะยืนนาน วางเท้าได้ไม่ราบ เพราะยืนอยู่ในตำแหน่งลาดเอียง แต่ก็เทปูนจนเสร็จ ใช้เวลาเทคอนกรีตเกือบสามชั่วโมงเต็ม จำนวนร่วมสิบห้าคิวบิคเมตร
วัดป่าสุคะโต

อินทรีย์ ๕ และ พละ ๕

อินทรีย์ ๕ ก็คือ พละ ๕ , พละ ๕ ก็คือ อินทรีย์ ๕ อันเดียวกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกัน รวมกันแล้ว ทำให้มีความเพียรยิ่ง ในธรรมทั้ง ๕ นั้น จนถึงซึ่ง พระนิพพาน ได้

ธรรม ๒ อย่างนี้ คือ อินทรีย์ ๕ และ พละ ๕ มีความหมายเดียวกัน แต่ต่างกัน
เปรียบได้กับสายน้ำ ที่มีแม่น้ำไหลผ่านไปทางทิศตะวันออก เมื่อเจอเกาะกลางน้ำ เกาะก็จะแบ่งแม่น้ำนี้ออกเป็นสองสายไปทางทิศตะวันออกอยู่ดี เมื่อพ้นเกาะไปแล้ว แม่น้ำก็จะมารวมตัวกันเป็นแม่น้ำไหลไปทางทิศตะวันออก อยู่ดี ฉันใด อินทรีย์ ๕ กับ พละ ๕ ก็เปรียบได้ดังแม่น้ำนี้ ฉันนั้น

อินทรีย์ ๕ และ พละ ๕ เป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติสามารถที่จะ เกิดปัญญาวิมุติ  เจโตวิมุติ ได้ดวงตาเห็นธรรม สามารถละอาสวะกิเลส ทั้งปวงลงได้ จนถึงซึ่ง พระนิพพาน


อินทรีย์ ๕

อินทรีย์ แปลว่า ความยิ่งใหญ่

เช่นนกอินทรีย์ ยิ่งใหญ่กว่า นกทั้งหลาย ทั้งในด้านตัวใหญ่ มีกำลังมาก สามารถทำให้นกทุกชนิดกลัว และเป็นอาหารของนกอินทรีย์ได้

นกอินทรีย์ ยิ่งใหญ่กว่า นกทั้งหลาย ฉันใด อินทรีย์ ๕ ก็ยิ่งใหญ่กว่า ธรรม ทั้ง ๕ ฉันนั้น

ธรรมทั้ง ๕ นั้น ประกอบด้วย
- ศรัทธา
- วิริยะ
- สติ
- สมาธิ
- ปัญญา

อินทรีย์ ๕ ประกอบด้วย

- ศรัทธา = สัทธินทรีย์ มีความเชื่อมั่นอันยิ่งใหญ่ ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามบทสวดมนต์ ในบท อิติปิโสภควา... สาขาโต... และสุปฏิปันโน...ไม่เสื่อมคลาย

- วิริยะ = วิริยินทรีย์ มีความเชื่อมั่นอันยิ่งใหญ่ ในการจะเพียรทำกุศลให้ถึงพร้อม ตาใ สัมมัปทาน ๔

- สติ = สตินทรีย์ มีความเชื่อมั่นอันยิ่งใหญ่ ในการที่จะตั้งสติปัฏฐาน ๔ ในการบำเพ็ญความเพียรทางจิต

- สมาธิ = สมาธินทรีย์ มีความยิ่งใหญ่ ในการเจริญสติ จนจิตตั้งมั่นเป็น สมาธิ อยู่ด้วย ญาณ ที่ ๔ ที่เรียกว่า เอกคตาจิต

- ปัญญา = ปัญญินทรีย์ มีความยิ่งใหญ่ เกิดการเห็นจริงด้วยปัญญาในธรรมทั้งหลาย เห็นจริงด้วยปัญญาตาม อริยะสัจจ ๔ เป็นต้น

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14068 เมื่อ: 09 มีนาคม 2558, 08:58:48 »


หลวงพ่อคำเขียน   สุวัณโณ

พละ ๕

พละ แปลว่า พลังที่ทำให้จิตตั้งมั่นในธรรม ไม่หวั่นไหวในธรรม  ฝักรากลึก ไม่คลอนแคลน

เปรียบได้ กับต้นไม่ใหญ่ ที่มีรากแก้วทรงพลังฝังรากลึกลงในดิน แม้จะโดนลมพายุพัดโหมกระหน่ำ ต้นไม่นั้นก็ยังยืนต้นอยู่ได้ ด้วยพลังของรากที่หยั่งลึกลงดิน ไม่หวั่นไหว ฉันใด  พละ ๕ ก็เปรียบได้ ฉันนั้น ในธรรมทั้ง ๕

ธรรม ทั้ง ๕ นั้นประกอบด้วย
- ศรัทธา
- วิริยะ
- สติ
- สมาธิ
- ปัญญา

พละ ๕ ประกอบด้วย

- ศรัทธา = สัทธาพละ มีกำลังที่จะส่งจิตให้ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่วอกแวก ในพระพุทธ  ในพระธรรม  ในพระสงฆ์ ตามบทสวดมนต์ในบท อิติปิโสถคว...  สวาขาโต... สุปฏิปันโณ...

- วิริยะ = วิริยะพละ มีกำลังที่จะส่งจิตให้ตั้งมั่น ไม่หวันไหว ไม่วอกแวก ในการที่ทำกุศลให้ถึงพร้อม ตาม สัมมัปทาน ๔

- สติ = สติพละ มีกำลังที่จะส่งจิตให้ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่วอกแวก ในการตั้งสติปัฏฐาน ๔

- สมาธิ = สมาธิพละ มีกำลังส่งจิตให้ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่วอกแวก ในการเจริญสติ ให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ อยู่ในญาณที่ ๔ เป็นเอกคตาจิต

- ปัญญา = ปัญญาพละ มีกำลังส่งจิตให้ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่วอกแวก ในการเจริญปัญญาวิมุตติ  เห็นตามความเป็นจริงในธรรมนั้น มีปัญญาเห็นจริงตามหลัก อริยะสัจจ ๔ ไม่หลงอยูในอวิชชา

ทั้งอินทรีย์ ๕ และ พละ ๕ เป็นพลังส่งเสริม กันและกัน ให้ผู้ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญความเพียร ให้สามารถบรรลุเจโตวิมุติ ละอาสวะกิเลสทั้งปวงลงได้ จนถึงซึ่ง "พระนิพพาน"

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14069 เมื่อ: 09 มีนาคม 2558, 10:12:59 »



ออกจากโรงพยาบาลสิงห์บุรี แล้วครับ

วันนี้ วันที่ ๙ มีนาคม

ตามปฏิทินการทำงาน มี QC meeting ที่โรงงาน PSTC ต้องลืมไปเลย เพราะเราก็ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ในเรื่องการหาอาหารกิน และการเดิน  ก้ม เงย แผลผ่าตัดภายในมันยังไม่ติด   ต้องเชื่อพยาบาลให้มาก คือ งดการเคลื่อนไหว  ก้ม เงย นั่งพื้นไม่ได้ มีปัญหาตอนลุก  ยกของหนักไม่ได้ เอี้ยวตัวไม่ได้  กลัวแผลภายใน ติดไม่สนิท

ปล่อยให้มันป่วยกายไป  เราไม่ป่วยใจ  มีสติให้มาก เพราะมีเวลาเจริญสติ  ฆ่าเวลาที่ผ่านไปในแต่ละนาที ชั่วโมง และวัน

ตอนนี้ เราช่วยได้ทาง "สมอง ความรู้" เท่านั้น

ใช้  line ในการสื่อสาร เป็นหลัก

รู้เลยว่า ยังนั่งรถไปไหนไกล ๆ ไม่ได้ เพราะความกระเทือนของรถ มีผลกับแผลผ่าตัด  จนรู้สึกได้

ขอบคุณทุกท่านครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14070 เมื่อ: 09 มีนาคม 2558, 16:35:21 »



"คนส่วนใหญ่ เมื่อเกิดความทุกข์ใจ
มักโทษสิ่งภายนอก เช่น คำพูดหรือ
การกระทำของใครบางคน ทรัพย์สมบัติ
ที่สูญหาย หรือแม้กระทั่งดินฟ้าอากาศ
แตลืมไปว่า หากใจของตนไม่ผสมโรงด้วย
ความทุกข์ใจ ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เลย
เช่น ไม่ว่าใครจะต่อว่า ด่าทอเรา ถ้าเรา
ไม่สนใจคำพูดของเขา หรือไม่เก็บเอามา
ตอกย้ำซ้ำเติมตนเอง ใจก็ยังเป็นปกติ อยู่ได้"

เสียงธรนมจาก พระไพศาล  วิสาโล
วัดป่าสุคะโต

แต่ใจมันเป็นใหญ่ เป็นอนัตตา ทำไฉน จึงจะสั่งการมันได้ !

มีสติตัวเดียว  ยอมเป็นหมาผู้แพ้ ล้มตัวยอมแพ้ ไม่ตอบโต้ใด ๆ มันก็เท่านั้นเอง

เพราะหมาที่ชนะมันได้แต่คร้อม ร้องคำราม แต่มันไม่กัด

อุเบกขา ก็เกิดขึ้นได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14071 เมื่อ: 09 มีนาคม 2558, 16:40:22 »



เมื่อถูกรังเก

หลวงพ่อโต  ท่านให้ทำตัวเหมือนหมา ยอมแพ้

ความสงบสุข  จะมาเอง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14072 เมื่อ: 09 มีนาคม 2558, 16:46:46 »


โรงพยาบาลสิงห์บุรี

ตั้งแต่ วันนี้เรามีเวลา ๗ วัน ปิดขังตัวเอง อยู่บนบ้านเข้ากรรมฐาน สมใจ

ไม่ต้องไป วัดมะเหยงค์ อยุธยา  

ทีวีก็ไม่มี  มีแต่  www.cmadong.com และเสียงนักเรียน เท่านั้น

เพราะไปไหน ไม่ได้ มีข้าวกิน และเงียบด้วย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14073 เมื่อ: 09 มีนาคม 2558, 18:48:14 »


บาตร ของ พระพุทธเจ้า ที่บรรจุอยู่ในเจดีเกษรียา ที่ถูกพวกมุสลิม ขุดเอาไป

มีแต่ข่าว มุสลิม กลุ่ม ISIS  ทำลายสัญญลักษณ์ ศาสนา


ฝรั่งที่ไปพบ บาตรโดยบังเอิญ ที่พิพิธภัณฑ์ ในอาฟกานิสถาน

ทำอย่างไร? ประธานาธิบดี อาฟกานิสสถาน จะยอมคืนบาตร มาสู่เจดีย์เกษรียา ที่ ๆ บาตร เคยอยู่ แต่ครั้งสิ้นพุทธกาล



ตอนนี้เดินจงกรม มากไม่ได้  แผลยังไม่ติด พวกพังผืด ต่าง ๆ ใต้ผิวหนัง และ ในช่องท้อง  จึงต้องระวัง

ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #14074 เมื่อ: 10 มีนาคม 2558, 05:53:16 »



อรุณสวัสดิ์ ทุกท่านครับ

ตอนนี้หลับ ไม่ได้มาก ไม่เกินสองชั่วโมงติดต่อกัน จะมีความรู้สึกว่าปวดหลัง บริเวณไตมาก  คงเป็นผลมาจากไตทำงานหนักจากฤทธิ์ของยา แก้อักเสบ และยาแก้ต่อมลูกหมากโต จึงทำให้ตื่น และลุกมาฉี่บ่อย

นอนตะแคง ยังไม่ค่อยดี  จะรู้สึกเจ็บแผล และกลัวเจ็บกล้ามเนื้อเพราะมันจะต้องทับเส้นประสาท และกล้ามเนื้อ

อาการที่พบอีกอย่างคือริมฝีปากแห้งมาก แสดงว่าขาดน้ำ จึงดื่มน้ำมาก จิบให้บ่อย  ต้องยอมรับสภาพไปอีกเจ็ดวัน  ยาแก้อักเสบคงจะหยุดกิน

ส่วนยาแก้ต่อมลูกหมากโต  ต้องกินต่อจนกว่าต่อมลูกหมากมันจะฝ่อ ยุบไปเอง

เวทนา ก็เป็นนิวรณ์ อย่างหนึ่งในการปฏิบัติธรรม  เราต้องเอาชนะมันให้ได้ เอาเวทนามาพิจารณา คือเมื่อเกิดเวทนาขึ้น เราก็เอาความรู้สึกตัว มาพิจารณา แต่อย่าไปยินร้ายกับมัน อยู่กับมัน

ยาแก้ปวด หมอให้พารามามาก  แต่ไม่ได้กินเลย ตั้งแต่ผ่าตัด นอกจากที่พยาบาลฉีดให้ตอนแรกเท่านั้น  ก็มันปวดนิด ๆ ไม่ทำให้เราเจ็บมาก ก็เลยทนเอา ให้รู้สึกเจ็บอย่างนั้น ทำให้เรารู้สึกตัว จึงไม่กินยาแก้ปวด

สวัสดีทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 561 562 [563] 564 565 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><