17 มิถุนายน 2567, 20:54:49
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 617 618 [619] 620 621 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3309810 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #15450 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2558, 11:28:15 »

สวัสดีครับพี่สิงห์

เวลาช่าวผ่านไปด้วยความรวดเร็ว
จะผ่านปี 2558 ไปเป็น 2559 แล้ว
จะครบ 100 ปี สถาปนา จุฬาฯ ในปีหน้านี้เอง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15451 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2558, 11:32:44 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

เวลามันไม่คอยใคร ผ่านไปรวดเร็วมาก ดังนั้น อยากทำอะไรก็ต้องรีบแล้ว พอแก่มาก ๆ มันทำไม่ได้

ปีใหม่ ๒๕๕๙ ขอให้คุณเหยง และครอบครัว มีสุขภาพแข็งแรง สุขกาย สุขใจ ครับ

พี่สิงห์ อยู่สนามบินอุดร รอขึ้น Nok Air กลับบ้านครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15452 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2558, 11:34:51 »



อัฏฐิธาตุมันก็ธรรมดา เป็นปกติธาตุที่พบเห็นโดยทั่วไป สำหรับผู้ที่อยู่ ๑๐๐ ปี หรือมากกว่า ๙๐ ปี ขึ้นไป

แต่คนมักติดอยู่แต่ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ปรุงแต่งกันจนเกินความจริง ลืมธรนมคำสอนของพระพุทธองค์  ที่ทรงสอนไม่ให้เชื่อ ๑๐ ประการใน กาลมสูตร

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15453 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2558, 19:13:20 »



ปฐมคิลานสูตร
ทรงสอนเพื่อให้คลายจากราคะเป็นสำคัญ

สาวัตถี: ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์กราบทูลว่า มีภิกษุใหม่รูปหนึ่ง ไม่ปรากฏนามและโคตร กำลังอาพาธหนัก  ขอได้ทรงอนุเคราะห์เสด็จไปเยี่ยมไข้ด้วยเถิด  เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปตามคำกราบทูล ภิกษุใหม่นั้นเห็นเสด็จมาแต่ไกลก็ปูอาสนะไว้บนเตียงเพื่อรับเสด็จ  ทรงถามถึงอาการป่วย  หลังจากภิกษุกราบทูลถึงอาการป่วยที่ทรุดหนัก  ได้มีพระดำรัสถามและคำกราบทูลของภิกษุนั้น ดังนี้

พระพุทธองค์ : มีอะไรให้นึกรังเกียจตัวเองหรือร้อนใจอะไรหรือไม่?
ภิกษุ : มีอยู่ไม่น้อยเลย  พระเจ้าข้า

พระพุทธองค์ : ตำหนิตัวเองในเรื่องศีลหรือไม่?
ภิกษุ : ไม่มีเลย  พระเจ้าข้า

พระพุทธองค์ : เมื่อไม่มีเรื่องศีลให้ตำหนิตัวเองได้จะนึกรังเกียจหรือร้อนใจอะไรอยู่อีก?
ภิกษุ : ข้าพระองค์ยังไม่รู้ทั่วถึงธรรมที่ทรงสอนเพื่อความหมดจดแห่งศีลเลยพระเจ้าข้า

พระพุทธองค์ : แล้วรู้ทั่วถึงธรรมให้ประพฤติเพื่ออะไรล่ะ?
ภิกษุ : รู้แต่ธรรมที่ทรงสอนเพื่อให้คลายจากราคะ(ราคาวิราคตฺถํ) พระเจ้าข้า

พระพุทธองค์ : ดีแล้ว  ถูกต้องแล้ว ภิกษุ!  ที่เธอรู้ทั่วถึงธรรมที่สอนให้คลายจากราคะ เพราะว่าธรรมที่เราแสดงแล้ว  ประโยชน์อยู่ที่ความคลายจากราคะทั้งสิ้น(ราควิราคตฺโถ หิ ภิกฺขุ มยา ธมฺโม เทสิโต)

ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ทรงถามให้ภิกษุนั้นตอบในเรื่องผัสสายตนะ ๖ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา  ซึ่งก็ได้คำตอบที่ภูกต้องตามที่ทรงสอน  ภิกษุนั้นเกิดดวงตาเห็นธรรมในครั้งนี้(ได้บรรลุธรรม  แต่ยังไม่สำเร็จอรหันต์)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15454 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2558, 19:35:23 »



ทรงสอนเพื่อการบรรลุนิพพาน
ทุติยคิลานสูตร

กล่าวถึงภิกษุอาพาธเหมือนในคิลานสูตร(น่าจะเป็นภิกษุรูปเดียวกัน)

ภิกษุนั้นกราบทูลว่า : ตนยังไม่รู้ทั่วธรรมที่ทรงสอนเพื่อความหมดจดแห่งศีลเลย  รู้แต่ธรรมที่ทรงสอนเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน
พระพุทธองค์ตรัสว่า : เป็นการดีแล้ว เพราะธรรมที่ทรงสอนล้วนมีอนุปาทาปรินิพพานเป็นประโยชน์ที่มุ่งหมาย  ต่อจากนั้นทรงให้ภิกษุนั้นตอบคำถามในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้คำตอบว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วิญญาณ  ผัสสะ  และเวทนาที่เกิดจากผัสสะ  ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์  เป็นอนัตตา

พระพุทธองค์ตรัสว่า อริยสาวกเห็นอย่างนี้จึงหายติด  หมดใคร่  และหลุดพ้น...ภิกษุนั้นได้สำเร็จอรหันต์ในระหว่างที่ทรงแสดงธรรมโปรดในคราวนี้

(อนุปาทปรินิพพาน แปลว่า ปรินิพพานโดยไม่มีอุปาทาน หมายถึงอรหัตตผลนั่นเอง เป็นคำหนึ่งที่ใช้เรัยกนิพพานแท้ ๆ (คือเป็นนิพพานที่เป็นภาวะอสังขตธาตุ หรือเป็นน พพานที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง) ใช้แทนคำว่า "อนุปาทิเสสปรินิพพาน")
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15455 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2558, 07:22:10 »



สัพเพ  สังขารา  อะนิจจา,
สังขาร คือร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม  นามธรรม  ทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้ว ดับไป มีแล้ว หายไป

สัพเพ  สังขารา  ทุกขา,
สังขาร คือร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นทุกข์ ทนยาก เพราะเกิดขึ้นแล้ว แก่ เจ็บ ตายไป

สัพเพ  ธัมมา  อะนัตตาติ,
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขาร แลมิใช่สังขาร ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา.

อรุณสวัสดิ์ ทุกท่านครับ

เมื่อวานไปอุดรธานี เจออากาศหนาว ใช้เสียงมาก และปีนี้ไม่ได้ฉีดวัคซีนแก้ไข้หวัดใหญ่  ผลคือเจ็บคอ ต้องหายาฆ่าเชื้อรับประทานแล้วครับ

วันนี้เช้าจะไปกราบอัฏฐิธาตุ สมเด็จพระญาณสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราช ที่วัดบวรฯ

สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15456 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2558, 18:29:01 »



สวัสดี ทุกท่านครับ

วันนี้ ภายหลังจากใส่บาตรพระที่หน้าบ้านเสร็จ ก็นั่ง Taxi ไปวัดบวรฯ เลย ไปถึงวัด 08:30 น. ต้องเดินไปต่อแถวซึ่งท้ายแถวอยู่หน้าร้านแมคโดนัล อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ใช้เวลายืนรอเข้าคิว จนถึง 11:30 น. ถึงได้มีโอกาส เข้าไปกราบพระอัฏฐิธาตุ ของสมเด็จพระญาณสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราช ที่พระตำหนักเพชร  ตามความตั้งใจ

และถือโอกาส ไปกราบพระศาสดาในวิหาร และพระในโบสถ์  ว่าง ๆ ต้องหาโอกาสไปวัดบวรฯ ใหม่อีกครั้ง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15457 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2558, 18:34:53 »



ทางวัดบวรฯ ได้แจกหนังสืออนุสรณ์ ที่ระลึกงานพระราชทางเพลิงศพ และพระรูป

วัดบวรฯ เมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว แม่เคยพาไปเพื่อจะให้ไปเป็นลูกศิษย์วัด เพราะไม่มีที่อยู่  พอดีเจ้าคุณที่แม่รู้จัก ไม่อยู่ ก็เลยไม่ได้เป็นลูกศิษย์พระที่วัดบวรฯ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15458 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2558, 18:41:43 »



ได้มีโอกาสรับประทานก๊วยเตี๋ยวเป็ดร้านเจ้เอ็ง  ร้านที่หมอเมา  แนะนำ ทาง FM99

และยังได้ยืนมอง สำนักงานบริษัทเก่า คือ บริษัท พรหมวิวัฒน์ จำกัด ที่เป็นอาคารเก่าตรงข้ามวัดบวร ปัจจุบันเขาอนุรักษ์อาคารเอาไว้

และได้มีโอกาส ชมร้านค้าตึกแถวรอบ ๆ วัดบวรฯ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15459 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2558, 18:44:51 »



เย็น เวลา 15:00 น.ได้ไปถึงวัดชลประทานฯ ไปน่วมงานฌาปนกิจศพ คุณแม่วณิช  มีเพียร อายุ ๙๖ ปี คุณแม่ของพี่ ดร.ปิ้ง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15460 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2558, 18:45:51 »



เกือบสี่โมงเย็น ดร.กุศล  ก็มาถึงวัด
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15461 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2558, 18:46:43 »



ฌาปนกิจศพ เวลา 16:30 น.
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15462 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2558, 07:45:48 »



คุณแม่วณิช   มีเพียร สิริอายุ ๙๖ ปี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15463 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2558, 07:46:45 »



งานศพ เป็นงานที่มีโอกาสพบปะกัน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15464 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2558, 07:47:36 »



ทุกท่สนส่วนใหญ่วางภาระลงเกือบหมดแล้ว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15465 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2558, 07:48:26 »



เจริญสติ ให้เป็นสมาธิ  พิจารณาธรรม ที่พระท่านเทศนา ก่อนฌาปนกิจศพ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15466 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2558, 07:49:16 »



พี่ ดร.ปิ้ง  บอกว่าได้พบปะพวกเราชาวซีมะโด่ง  มำให้ลืมคุณแม่  ผู้จากไปแบบไม่มีโอกาส หรือโอกาสน้อยมาก ที่จะได้พบกันอีกในอนาคตชาติ  ใจมันหายจริง ๆ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15467 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2558, 07:55:22 »



ราธสูตร

ให้ละความพอใจในทุกสิ่ง

ใน ๓ พระสูตรต่อไปนี้ กล่าวถึงพระราธะเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ทูลขอพระโอวาทสั้น ๆ เพื่อนำไปปฏิบัติเมื่อปลีกตนอยู่ผู้เดียว

ปฐมราธสูตร
ตรัสสอนว่า สิ่งใดไม่เที่ยง ให้ละความพอใจ(ฉันทะ)ในสิ่งนั่นเสีย  สิ่งที่ไม่เที่ยงก็คือ จักษุ  รูป  จักษุวิญญาณ  จักษุสัมผัส  สุขเวทนา  ทุกขเวทนา  อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ...ฯลฯ มโน  ธัมมารมณ์  มโนวิญญาณ  มโนสัมผัส  สุขเวทนา  ทุกขเวทนา  อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย

ทุติยราธสูตร
ตรัสสอนว่า  สิ่งใดเป็นทุกข์  ให้ละความพอใจในสิ่งนั้นเสีย (สิ่งที่เป็นทุกข์ก็คือ สิ่งที่ไม่เที่ยงทั้งหลาย)

ตติยราธสูตร
ตรัสสอนว่า  ธรรมใดที่ไม่ใช่ตัวตน(อนตฺตา) ให้ละความพอใจในธรรมนั้นเสีย (ธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนก็คือสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์นั่นเอง)

(ความพอใจ หรือฉันทะในที่นี้ หมายถึงราคะ)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15468 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2558, 08:22:36 »



สิ่งใดไม่เที่ยง ให้ละความพอใจในสิ่งนั้นเสีย
ความพอใจคือ ชอบ อยากได้อีก ที่ชอบเพราะ มีเราเข้าไปอยู่ มีเราเข้าไปเป็น เป็นของของเรา และเป็นตัวตนของเรา

สิ่งที่ไม่เที่ยง คือผลของอายตนะภายใน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ผัสสะกับ อายตนะภายนอก(รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์) เมื่อผัสสะแล้วเกิด จักษุวิญษณ โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ  ชิวหาวิญญาณ  กายะวิญญาณ มโนวิญญาณ และตามมาด้วยเวทนา คือสุขเวทนา  ทุกขเวทนา  อทุกขมสุขเวทนา และตามมาด้วยความพอใจ เพราะชอบอยากได้อีก  ความไม่พอใจ  ไม่อยากประสพอีก

วงจรกิเลส ความอยาก ทุกข์ มันเป็นเช่นนี้

ดังนั้น เมื่อรู้ความจริงในธรรมนี้ ซึ่งท่านจะเห็นได้ด้วยปัญญาของท่านเมื่อเจริญสติ  จนเป็นสมาธิ เอาสติไปดูจิต จะเห็นธรรมที่เกิดขึ้นกับจิต (เจตสิก) เห็นการปรุงแต่งของจิต และการอุเบกขาของจิตด้วยสติ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15469 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2558, 08:29:07 »



สิ่งใดเป็นทุกข์  ให้ละความพอใจในสิ่งนั้นเสีย

สิ่งที่เป็นทุกข์ คือ รูป-นาม หรือขันธ์ ๕ ที่ประกอบไปด้วย รูป เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ นั่นเอง

ที่เราเป็นทุกข์ เพราะมีเราเข้าไปอยู่  มีเราเข้าไปเป็น เป็นของของเรา  เป็นตัวตนของเรา นั่นเอง

ดังนั้นจงละความยึดมั่น ถือมั่น ลงเสีย
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15470 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2558, 08:34:33 »



ธรรมใดที่ไม่ใช่ตัวตน  ให้ละความพอใจในธรรมนั้นเสีย

ธรรม นั้นประกอบด้วย รูป  จิต  เจตสิก และนิพพาน

สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับรูป คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง สบาย ไม่สบาย
สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับจิต คือ อารมณ์ต่าง ๆ ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับจิต
เจตสิก คือ อารมณ์ที่มาปรุงแต่งจิต หรืออารมณ์ที่เกิดจากผลของผัสสะ ทำให้จิตคล้อยตามอารมณ์นั้น

นิพพาน คือความสงบระงับ จากกิเลสทั้งมวล ที่จิตไม่ปรุงแต่งใด ๆ หรือมีสติสมบูรณ์ เป็นเอกคัตตาจิต จิตเป็นประภัสสร (รู้จักเพียงเท่านี้ เพราะไม่ใช่อรหันต์ จึงไม่ทราบสภาพของอารมณ์นิพพานแท้จริง และไม่มีครูบาอาจารย์บอกให้ทราบ หลวงพ่อท่านบอกแต่ว่า มาถูกทางแล้ว ขอใก้มีสติสร้างความรู้สึกตัวนี่ละ ไม่ผิดทาง)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15471 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2558, 19:52:16 »




ราธสูตร

ละอวิชชาได้คืออะไร?

ใน ๒ พระสูตรต่อไปนี้ กล่าวถึงภิกษุรูปหนึ่งเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ทูลถามว่า มีหรือไม่ ธรรมอย่างหนึ่งที่ภิกษุละได้แล้ว ก็หมายถึงละอวิชชาได้ วิชชาเกิดขึ้น? พระพุทธองค์ตรัสว่า มีอยู่ คืออวิชชานั่นเอง

ปฐมอวิชชาสูตร
ภิกษุทูลถามว่า รู้เห็นอย่างไรจึงละอวิชชาได้  วิชชาจึงเกิดขึ้นได้?
ตรัสตอบว่า  รู้เห็นจักษุ  รูป  จักษุวิญญาณ  จักษุสัมผัส  สุขเวทนา  ทุกขเวทนา  อทุกขมสุขเวทนา ฯลฯ  ว่าเป็นของไม่เที่ยง  จึงละอวิชชาได้  วิชชาจึงเกิดขึ้นได้

ทุติยอวิชชาสูตร
ภิกษุทูลถามว่า  รู้เห็นอย่างไร จึงละอวิชชาได้  วิชชาจึงเกิดขึ้นได้?
ตรัสตอบว่า "ภิกษุ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้เรียนรู้ว่า  สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น(สพฺเพ  ธมฺมา  อภินิเวสาย) เธอย่อมรู้สิ่งทั้งปวง ครั้นรู้ยิ่ง(อภิชานาติ)ซึ่งสิ่งทั้งปวงแล้ว  ย่อมเห็นนิมิต(สังขารนิมิต)ทั้งปวงเป็นอย่างอื่น(ต่างจากคนที่มีความยึดมั่นเห็น)...เมื่อภิกษุรู้เห็นอยู่อย่างนี้ จึงละอวิชชาได้  วิชชาจึงเกิดขึ้นได้"
(นิมิตทั้งปวง หมายถึงจักษุ รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ มโน ธัมมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย)


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15472 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2558, 18:03:46 »



อวิชชา !

ปุถุชนม์ คนทั่วไปไม่ทราบ ไม่เคยได้ยิน ธรรม เหล่านี้ว่า

เมื่อใดอายตนะภายใน ซึ่งประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ผัสสะ กับ อายตนะภายนอก ซึ่งประกอบไปด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์

ผัสสะ นั้นประกอบไปด้วย เห็น ได้ยิน ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสทางกาย และได้รู้อารมณ์-ความคิด

เมื่อ อายตนะภายใน ผัสสะ อายตนะภายนอก จะเกิดวิญญาณ(การรู้แจ้ง)ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันได้แก่ จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายะวิญญาณ มโนวิญญาณ

เมื่อเกิดวิญญาณแล้วก็เกิด สุขเวทนา  ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา

แต่ถ้าเรามีสติที่เกิดจากการเจริญสติจนเป็นสมาธิสามารแยกรูป แยกนามได้ เราก็จะสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ในธรรมนั้นได้ และสามารถวางอุเบกขานั้นได้ เพราะรู้ว่าธรรมทั้งหลายนั้นมันไม่เที่ยง ขอเพียงมีสติ ธรรมเหล่านั้นมันก็ดับของมันไปเอง วิชชาเกิดขึ้น

แต่ปุถุชนม์คนทั่วไปไม่สามารถแยก รู้ธรรมเหล่านั้นได้ จึงหลงปรุงแต่ง หรือคิด ไหลไปตามธรรมที่มาปรุงแต่งจิตนั้น มันจึงมีแต่ทุกข์

ขอให้ทุกท่านจงตั้งใจหาธรรมเหล่านั้นให้พบด้วยตัวของท่านเอง จากการเจริญสติ นี่ละในสติปัฏฐาน ๔

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15473 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2558, 18:17:41 »



ราธสูตร

กำหนดรู้ทุกข์คืออย่างไร

ภิกขุสูตร  มีภิกษุจำนวนหนึ่งเข้าเฝ้าพระพุทธองค์กราบทูลว่า  พวกตนถูกพวกปริพาชกถามว่า  อยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร?  ได้ตอบไปว่า เพื่อกำหนดรู้ทุกข์ (ทุกฺขสฺส  ปริญฺญตฺถํ) คำตอบอย่างนี้ถูกต้องตามที่ทรงสอนหรือไม่?  พระพุทธองค์ตรัสว่า  ตอบได้ถูกต้องแล้ว

และตรัสอีกว่า เมื่อถูกถามว่า  ทุกข์ที่กำหนดรู้นั้นคืออย่างไร?
ให้ตอบไปว่า จักษุเป็นทุกข์  รูปเป็นทุกช์  จักษุวิญญาณเป็นทุกข์  จักษุสัมผัสเป็นทุกข์  สุขเวทนา  ทุกขเวทนา  อทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย เป็นทุกข์ ฯลฯ (รวมความว่า อายตนะทุกอย่าง รวมถึงเวทนาที่เกิดจากสัมผัสทุกอย่างล้วนเป็นทุกข์)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #15474 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2558, 18:38:07 »



ผู้ใดยังชื่นชม ยินดี พอใจ ในรูป  รส  กลิ้น  เสียง  โผฏฐัพพะ  ธัมมารมณ์  แสดงว่า ยังดำรงชีวิตอยู่ด้วยความประมาท !

การอยู่อย่างไม่ประมาท คือ การมีสติเป็นเครื่องอยู่! ระวังตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ ด้วยการมีสติ อยู่ในศีล  สมาธิ  ปัญญา

ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นโดยมีผัสสะเป็นปัจจัย ธรรมทั้งหลายมันไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ขอเพียงมีสติ ธรรมเหล่านั้นก็ดับไปแล้วตามธรรมชาติของมัน นั่นแล

สวัสดี ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 617 618 [619] 620 621 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><