16 พฤษภาคม 2567, 01:29:25
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ชี้ลุ่มหลงกิเลส ทางสู่ทุกข์ !  (อ่าน 8667 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 10 มกราคม 2553, 11:42:04 »


                

             พระรักเกียรติ ชี้ลุ่มหลงกิเลสทางสู่ทุกข์!

         "พระรักเกียรติ" เปิดใจการเมืองอุปถัมภ์ลุ่มหลงกิเลส เป็นเส้นทางเสี่ยงต่อทุกข์ จาก รมต.รวย 100 ล้าน ต้องหลบซ่อน ใช้เงินวันละ 100 บาท ประกาศไม่ขอหวนกลับถนนการเมือง มั่นใจมาตรฐานศาลไทยตัดสินตามกฎหมายที่โหวตเห็นชอบโดยนักการเมือง

         (9ม.ค.) เจเอสเอล โกลบอลมีเดีย พระรักเกียรติ สุขธนะ หรือฉายารักขิตะ ธัมโม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางมาออกรายการเจาะใจ ตอน

         เจาะใจอดีตรมต.ติดคุก คดีทุจริตสินบนยา 5 ล้านบาท

         โดยมีนายสัญญา คุณากร และ นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ เป็นพิธีกร โดยจะออกอากาศในวันที่ 14 ม.ค.ที่จะถึงนี้

        โดยพระรักเกีรยติ เปิดใจว่า หลังรับการพักโทษหรือปล่อยตัวก่อนกำหนด 2 ปี 6 เดือน ก็บวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดสิรินธราวาส อ.โนนสะอาด จ.อุดรธานี และหากไม่มีปัญหาต้องลาสิกขาบทก็อยากบวชตลอดชีวิตและไม่คิดหวนกลับมาสู่เส้นทางการเมืองอีกต่อไป

        พระรักเกียรติ เล่าว่า เล่นการเมืองเป็นสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) มาตั้งแต่อายุ 26 ปี และเป็นส.ส.สมัยแรกปี 2526 จากนั้นเป็น ส.ส. ติดต่อกันถึง 7 สมัย สังกัดพรรคกิจสังคม จึงอยากพูดบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยจะไม่ขอพูดโกหกหรือให้ร้ายผู้อื่น ต้องยอมรับว่าระบบการเมืองไทยตั้งแต่ปี 2526-2544 เป็นการเมืองระบบเก่าก่อนปฏิรูป นักการเมืองอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมป์ของหัวหน้าพรรคหรือหัวหน้าทีม ต้องอยู่ในมุ้งหรือก๊วน นักการเมืองอาวุโสให้การดูแลกิจกรรมทางการเมือง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยปัจจัยที่นำมาสนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองมาจากกลุ่มผู้สนับสนุนการเงินแก่นักการเมือง หน้าที่ผู้รับการสนับสนุนคือทำตามมติพรรค จะมีการประชุมตกลงเป็นมติพรรคก่อนโหวตในสภาฯ

         ต่อมาเมื่ออาตมาเติบโตขึ้นมีพรรษาทางการเมืองมากขึ้น ทำให้มีนักการเมืองในพื้นที่มาสังกัดอยู่ในกลุ่ม จึงขยับขึ้นเป็นผู้ดูแล มีกลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุน เมื่อมีส.ส.ในกลุ่ม 5 คน ก็ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยปี 2535 และได้รับความไว้วางใจให้ดูแลส.ส.ภาคอีสานตอนบน 5-6 จังหวัด สำหรับสัดส่วนโควต้ารัฐมนตรีในแต่ละครั้งจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพรรคว่าจะได้รับการจัดสรรกี่ตำแหน่ง ขณะที่ส.ส.บางคนป็นส.ส.ถึง 10 สมัย แต่ก็ไม่เคยเป็นรัฐมนตรี เพราะเขาไม่มีภาวะผู้นำไม่มีทีม ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับ

        พิธีกรถามว่า เป็นรัฐมนตรีได้รับเงินเดือน 9 หมื่นบาทอุปภัมป์ส.ส.ในกลุ่มอย่างไร

         พระรักเกียรติ กล่าวว่า การเมืองมีกลุ่มทุนสนับสนุน กลุ่มทุนมากพรรคยิ่งเติบโต มีจำนวนส.ส.รัฐมนตรีและกลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุนมากขึ้นด้วย หรือเป็นวงจรอุบาทว์ ต่อมาจึงมีการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 จัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาตรวจสอบนักการเมืองและมีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ผ่านมาคนที่ขึ้นศาลนี้ยังไม่มีใครชนะ ไม่ว่าจะเป็นนายวัฒนา อัศวเหม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือนายวราเทพ รัตนากร ซึ่งต้องโทษจำคุก 2 ปีจากคดีหวยบนดิน แต่ศาลให้รอการลงอาญา

        พิธีกรถามว่า วงจรมุ้งการเมืองยังมีอยู่หรือไม่

         พระรักเกียรติ กล่าวว่า อาตมาไม่ทราบเพราะอยู่ในเรือนจำ พ้นโทษออกมาก็บวชเลย

        พีธีกรจึงถามต่อไปว่า วิธีการเอื้อประโยชน์ของกลุ่มทุนการเมือง

        พระรักเกียรติ กล่าวว่า ช่วงที่มีอำนาจวาสนา ทำอะไรก็มีแต่คนสนับสนุน จัดชกมวยนักมวย "ฟ้าประกอบ รักเกียรติยิม" ก็ได้แชมป์โลก แต่อาตมาไม่ขอพูดถึงคำขอที่ชัดเจนของกลุ่มผู้สนับสนุนต่างๆ เพราะจะผิดศีล

        พระรักเกียรติ ได้กล่าวให้สติถึงการใช้ชีวิตว่า ระหว่างที่ต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำ ก็ได้ทบทวนความผิดในอดีตของตนพบว่า เมื่อมีตำแหน่งการเมืองสูงขึ้น ได้ใช้ชีวิตประมาทขาดศีลธรรม เพราะลุ่มหลงอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ ผิดศีล ทั้งดื่มสุรา นารี และพนัน ตอนแรกเล่นการพนันแต่น้อย ช่วงหลังถึงกับบินไปเล่นในคาสิโนต่างประเทศได้เสียครั้งละเป็น 10 ล้าน เคยเล่นเสียหนัก 20-30 ล้านบาท และเคยเล่นได้สูงสุด 109 ล้านบาท ตอนนั้นคิดว่า เป็นทางนำมาซึ่งความสุข ไม่เคยทราบว่าเป็นสุขไม่ยั่งยืนและต้องกลายมาเป็นความทุกข์ นักการเมืองที่ไปเล่นไม่ได้ชวนกัน ต่างคนต่างไปเล่น เพราะไปทำความผิด จึงไม่ชวนกันไป ส่วนครอบครัวเมื่อรู้ว่าตนเล่นการพนันก็ห้ามปราม แต่ก็ไม่ฟัง เพราะลุ่มหลงในกิเลส

         พิธีกรถามว่า เหตุใดจึงไม่ไปฟังคำตัดสินศาลและหลบหนีคดี

         พระรักเกียรติ กล่าวว่า ตอนนั้นรู้สึกเหมือนอยู่ในทางสามแพร่งเป็นทุกข์ที่ต้องหลบซ่อน
 
คิดว่าจะหนีไปต่างประเทศ แต่เราไม่มีทรัพย์สินซุกซ่อนอยู่ในต่างประเทศเหมือนคนอื่น ถ้าหนีก็ต้องหนี 20 ปี ทางเลือกข้อนี้จึงตัดทิ้ง

ส่วนแพร่งที่ 2 คิดว่า จะฆ่าตัวตาย แต่ว่าขัดกับนิสัยซึ่งเป็นคนกล้าได้กล้าเสียใจนักเลง แพ้ก็ยอมรับ

ส่วนสุดท้าย คือ คิดจะเข้ามอบตัว แต่ไม่กล้า เพราะกลัวเรือนจำจึงต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่ในกทม.ต้องตระเวนไปขออาศัยอยู่ตามแฟลต หรือ คอนโดเพื่อน เปลี่ยนที่อยู่ทุก 2-3 เดือน จากคนที่มีเงิน 100 ล้าน ต้องใช้เงินวันละ 100 บาท และมีโรคความดัน เบาหวาน ประจำตัว ต้องไปออกกำลังกาย เวลาตำรวจมาพบก็เตือนให้หลบๆหน่อย เพราะเขาไม่อยากจับ แต่เป็นเพราะมีผู้โทรแจ้งหลายรอบ

         พิธีกรถามว่า เมื่อต้องถูกส่งตัวเข้ารับโทษในเรือนจำรู้สึกอย่างไร

         พระรักเกียรติ กล่าวว่า รู้สึกโล่งอกเพราะไม่ต้องหนีและหลบซ่อนตัวอีกแล้ว แทนที่จะทุกข์ทรมานเพราะการถูกคุมตัวกลายเป็นโล่งใจ วันรับโทษครั้งแรก คือการนับ 1 ใหม่อีกครั้ง เรือนจำได้พัฒนาไปสู่ระบบสากลมีมาตรฐานมากขึ้น แต่ก็ยังแออัด ในห้องนอนต้องนอนถึง 100 คน และวันที่ลำบากที่สุด คือวันไฟดับ ไม่มีพัดลม ทำให้หายใจลำบาก หากลุกขึ้นก็จะเสียที่นอน 14 ชั่วโมงของทุกวันต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนนอน ถูกขัง ใส่กุญแจ 2 ครั้งเพราะเรือนจำมีเจ้าหน้าที่น้อย ต้องขังเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการแหกหัก ช่วงแรกๆรู้สึกอึดอัดกระวนกระวายใจ บางคนรับไม่ได้ ถึงกับเป็นบ้า เดินพูดคนเดียว นั่งคุยกับต้นไม้

         "แต่อาตมาตั้งใจดูแลตัวเอง ไม่ให้ป่วย ไม่ให้ตาย เพราะไม่ต้องการตกเป็นข่าวประวัติศาสตร์ว่าเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่ตายในคุก และยังต้องรักษาจิตใจไม่ให้เป็นบ้า โดยใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าซึ่งเรือนจำได้จัดให้มีการสอนศาสนาของทุกศาสนา จึงเป็นครั้งแรกที่ทำให้อาตมารู้จักธรรม ตอนเป็นรัฐมนตรีไปทำบุญเป็นชาวพุทธ แต่ไม่เคยรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ไม่รู้จัก คำว่า ทาน ศีล ภาวนา เมื่อถูกกิเลสเข้าครอบงำ ทำบุญแทนที่จะได้บุญก็ได้บาป พอบุญหมด กรรมตามทันจึงต้องตกนรกบนดิน ซึ่งอาตมาคิดว่า คดีนี้เป็นคดีแรกจึงถูกลงโทษเต็มที่ 15 ปี แตกต่างจากคดีหวยบนดินซึ่งลงโทษเพียง 2 ปี ระหว่างติดคุกอาตมาก็ทำใจอยู่เป็นปี แต่เห็นว่านักโทษหลายคดีโดนหนักกว่าเรา เช่น พล.ต.ท.ชะลอ เกิดเทศ อายุ 72 ปีแล้ว สุขภาพไม่ดี แต่ยังมีความหวังจะได้กลับบ้าน แต่กลายเป็นต้องมาเก็บของจากเรือนคลองเปรมเพื่อไปรอรับโทษประหารที่เรือนจำกลางบางขวาง ของเราจึงดีกว่าเขา ถ้าทำดี มีโอกาสกลับบ้านก่อน 15 ปี " พระรักเกียรติ กล่าว

         พิธีกรถามว่า หลังจากติดคุกชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไร

         พระรักเกียรติ กล่าวว่า ทำให้ได้คิดว่าทำผิดแล้วต้องแก้ไข เพราะคนส่วนใหญ่คิดแต่แก้ตัวว่าไม่ได้รับความยุติธรรมและไม่ยอมรับโทษ ส่วนอาตมาทำใจยอมรับและพยายามแก้ไข โดยไม่ขอกลับไปสู่ส้นทางการเมืองทั้งที่ยังมีอายุเพียง 56 ปี เนื่องจากเส้นทางเก่าถ้าย้อนกลับไปจะพบกับความทุกข์อีก และชีวิตหลังจากนี้ขอแก้ไขด้วยการทำสิ่งใหม่ คือ ศึกษา ปฏิบัติและเผยแพร่ธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าสึกออกมาก็จะขอทำงานเลี้ยงครอบครัวในอาชีพที่ปรึกษากฎหมาย เนื่องจากก่อนหน้าที่จะเล่นการเมืองเคยเป็นทนายความ

         พระรักเกียรติ ยังเปิดใจถึงครอบครัวว่า ขณะนี้ไม่มีสิ่งใดน่าห่วง ไปขอลาบวชครั้งแรกภรรยาก็อนุโมทนา ส่วนลูกเรียนจบและเป็นอา จารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไปแล้ว ในงานบวชเพื่อนๆมากันพร้อมหน้าแม้แต่ข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขและผู้ที่เคยร้องเรียนในคดีทุจริตยาก็มาอโหสิกรรมให้ จึงต้องขอบคุณคนที่โทรศัพท์ไปแจ้งให้มาจับ เพราะถ้ายังหนีต่อไป วันนี้คงไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แต่นี่ใช้เวลาเพียง 5 ปีก็สามารถกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ ตนจึงเห็นสัจธรรมของชีวิตครบถ้วน

         "ทุกวันนี้ไปเทศนาให้ชาวบ้าน นักเรียนและนักโทษฟัง ปกติคนเคยติดคุกแล้วจะอาย แต่สำหรับอาตมา อยากยกชีวิตที่มีหลายรสชาติมาสอนผู้คน และเยาวชนกลุ่มเสี่ยงให้รู้ว่าไม่มีใครหนีกรรมได้ แม้แต่คนเป็นรัฐมนตรีก็เสื่อมยศ เสื่อมวาสนาได้" พระรักเกียรติ กล่าว

         พิธีกรได้ถามคำถามสุดท้ายว่า หากมีสิ่งวิเศษสามารถย้อนเวลาได้จะกลับไปบอกรัฐมนตรีรักเกียรติว่าอย่างไร

         พระรักเกียรติ กล่าวว่า ถ้าวันนั้นรู้ธรรม จะไม่ทำผิด จะไม่ใช้ชีวิตประมาทและไม่ยอมให้กิเลสครอบงำ จะบอกเขาว่า เส้นทางนั้นเป็นความสุขชั่วครั้ง ชั่วคราวทำให้เกิดความทุกข์และเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อาตมาจะไม่ทำผิด

         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดระยะเวลาให้สัมภาษณ์รายการเจาะใจ พระรักเกียรติให้สัมภาษณ์ด้วยใบหน้าผ่องใสตอบคำถามด้วยกิริยาสำรวม หากคำถามใดที่กล่าวถึงบุคคลที่สามในทางเสียหายก็จะหลีกเลี่ยงไม่วิจารณ์

         อย่างไรก็ตาม พระรักเกียรติ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังจบรายการถึงปัญหาการทุจริตโครงการไทยแข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุขว่า

         เพศบรรพชิตจะพูดกระทบถึงบุคคลอื่นไม่ได้ แต่อยากฝากว่าการเป็นนักการเมืองในกระทรวงสาธารณสุขต้องมีมาตรฐานเหนือข้อกฎ หมาย บางเรื่องคนทำ ทำได้ แต่ในกระทรวงสาธารณสุข เป็นสิ่งผิด เพราะมาตรฐานสูงกว่าที่อื่น สำหรับปัญหาความแตกแยกทางการเมืองและความแตกแยกทางความคิดของคนในชาติอยากให้ทุกคน ทุกฝ่ายปฏิบัติตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างจริงจังก็จะเกิดความสงบในบ้านเมือง

         "ปัจจุบันความเสียหายบ้านเมืองไม่มีใครนำมาใส่ใจ ห่วงแต่ความเสียหายตัวเอง เรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่น่าทำ เพราะจะทำให้บ้านเมืองเสียหาย อาตมามีเพื่อนทุกสี ทั้งแดง เหลือง น้ำเงิน บางครั้งมาเจอกันที่วัดก็บอกว่า ไม่พูดการเมืองในวัด" พระรักเกียรติ กล่าว

         ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากฝากถึงนักการเมืองที่ถูกตัดสินโทษแล้วหลบหนีคดีอย่างไร

         พระรักเกียรติ กล่าวว่า หากมารับโทษก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เพราะวันนั้นไม่หนี จึงมีวันนี้ เมื่อยอมรับโทษจึงมีวันพ้นโทษ การหนี อาจเป็นเหมือนนายราเกซ สักเสนา ซึ่งถูกจับกลับมารับโทษแม้จะหนีไปอยู่นอกประเทศก็ไม่มีความสุข ที่ผ่านมาอาตมาไม่คิดว่า ศาลไม่ยุติธรรมหรือมีสองมาตรฐาน ศาลตัดสินตามตัวบทกฎหมายที่พรรคการเมืองและนักการเมืองเป็นผู้อนุมัติ จะไปกล่าวหาว่าไม่ยุติธรรมก็ไม่ได้ และที่ผ่านมาอาตมาก็ไม่เคยมีความคิดจะไปแทรกแซงศาล เมื่อสู้คดีเต็มที่ แพ้ก็ต้องยอมรับผิด ในศาลฎีกามีแต่ผู้พิพากษา ระดับผู้ใหญ่ มีคุณสมบัติเป็นประธานศาลฎีกาได้ทุกคน และองค์คณะที่ตัดสินคดีอาตมา ต่อมาก็เป็นประธานศาลฎีกาหลายคน

         นำมาจาก สนุกดอทคอม 10 ม.ค.2553 จาก น.ส.พ.คมชัดลึก ที่่

http://news.sanook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%8C-889025.html

          gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #1 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 19:53:42 »

การที่พระรักเกียรติ ยอม มาออกรายการ ทีวี  และชี้ทางสว่างให้ คนอื่นและนักการเมืองท่านอื่นๆ
เป็นที่น่าชื่นชม น่าสรรเสริญนัก

โดยเฉพาะ โลกธรรม8  ที่พระรักเกียรติ ท่านได้พูดถึงนั้น  เป็นเรื่องที่เราๆ ท่านๆ  ควร สังวรณ์ ไว้
ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข  เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์     โลกธรรม 8  นี้ มากระทบเราทุกๆวัน
เราจะหลงระเริงไปตามที่มันมากระทบ(ถ้าเป็น โลกธรรมที่ปรารถนา)  จนเกินไป  ดีใจมากไป ขึ้นเลย
หรือหดหู่เป็นทุกข์คิดมากกับสิ่งที่มากระทบ(ถ้าเป็น โลกธรรมที่ไม่ปรารถนา) จนเกินไป  เสียใจมากไป sorry
เราก็อาจเดินเส้นทางชีวิตที่ผิดพลาด ไปอย่างมหันต์ก็ได้  เหมือนที่ พระรักเกียรติท่านกล่าวไว้
เป็นอุทาหรณ์ ที่ดี  เป็นบทเรียนที่ดี  ปิ๊งๆ 
ซึ่งบัดนี้ท่าน ได้พบทางสว่างแล้ว  ผมขอให้ท่านมุ่งสู่หนทางนี้ อย่าย้อนกลับมาทางโลก อีกเลย



      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 18:13:58 »


                    เตือนนักการเมือง หนีนรกไม่พ้น อย่าหลงอำนาจ
 
                  

        "พระรักเกียรติ สุขธนะ" อดีีตรมว.สาธารณสุข เทศนาธรรมเตือนสตินักการเมืองอย่าใช้ชีวิตด้วยความประมาท ชี้การเมืองทำให้คนดีเสียหมด หลงมัวเมาอำนาจ ให้แง่คิดคนทำผิดหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ หรือมีเงินเยอะก็หนีนรกไม่พ้น...

         เมื่อวันที่ 3 ก.ย. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดกิจกรรมรวมพลังเครือข่ายประชาชนป้องกันป้องกันการทุจริต มีการเสวนาเรื่อง "กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ" โดยพระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม หรือนายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมเสวนา

         โดยพระรักเกียรติ กล่าวตอนหนึ่งว่า สมัยที่เป็น รมว.สาธารณสุข มีอายุ 44 ปี มีลูกน้องมากมาย แต่การเมืองทำให้เสียคน ตระเวนเล่นการพนันทั่วโลก จนเมื่อมีคดีกับ ป.ป.ช.ก็หลบหนี ซึ่งลำบากมาก วินาทีแรกที่โดนจับรู้สึกโล่งใจ เพราะช่วง 1 ปีที่หลบหนีรู้สึกทรมานมาก หลบอยู่ใน กทม.และปริมณฑล เพื่อนที่เป็น ส.ส. และรัฐมนตรีด้วยกันก็ไม่คบ เพราะกลัว ป.ป.ช. จะตามตัวได้ ต้องใช้เงินวันละ 100 บาท เมียก็ขอกลับไปใช้นามสกุลเดิม น้องสาวน้องชายก็ได้รับผลกระทบหมดเพราะนามสกุลเดียวกัน

         ดังนั้น จึงอยากฝากไปถึงนักการเมืองทั้งหลายว่า ชีวิตที่เคยรุ่งโรจน์ ก้าวหน้า เป็นดาวรุ่ง แต่ถ้าใช้ชีวิตด้วยความประมาท ผิดพลาด มันก็ไปตามระบบ เมื่อมานั่งคิดดูแล้ว เล่นการเมืองเหมือนตกอยู่ในนรก การเมืองเหมือนวงจรอุบาทว์ ต้องทำทุกอย่างให้ได้อำนาจ เป็นรัฐบาล ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ตัวเอง คนดีๆ เข้ามาอยู่การเมืองเสียหมด ที่พูดเพราะอยากให้ทุกคนได้คิด การทำดีและชั่วเป็นกรรมหมด ถามว่า มีเงินเยอะแล้วซื้อกรรมได้หรือไม่ ถ้าทำผิดแล้วหนีไปต่างประเทศก็หนีกรรมไม่ได้ ต้องกลับมารับกรรม

         "หลวงพ่อไม่อิจฉาคนอื่นที่หนี หลวงพ่อไม่หนี เพราะคนที่หนีแล้วกลับมาเมืองไทยไม่ได้ หลวงพ่อติดคุกแต่หาวิธีวิธีออกมาได้ด้วยการทำความดี และสำนึกผิด บางคนหนีได้ แต่จะหนีนรกได้หรือไม่ หลวงพ่อชดใช้กรรมหมดแล้ว แต่ถ้ากลับไปเล่นการเมืองอีกก็เป็นการสร้างกรรมใหม่ วันนี้สร้างกรรมดีสอนคนดีกว่า ให้มีสำนึก มีความคิด คิดก่อนทำ อย่าทำผิดศีลธรรม วันนี้บอกเลยจะไม่กลับไปเดินทางเก่า จะทำกรรมดีไว้ใช้ชาติหน้า" พระรักเกียรติ กล่าว.
  
         ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/pol/108359
                   วันที่ 03 Sep 2010  

          win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #3 เมื่อ: 17 กันยายน 2553, 07:12:26 »


                [narongsak.com] FW: เปิดปมมรดกเลือด ตระกูลธรรมวัฒนะ‏‏
               ▼P A K P A O To narongsak@yahoogroups.com นำมาจากกระปุกดอทคอม
                http://hilight.kapook.com/view/51757

         ย้อนรอยตระกูล ธรรมวัฒนะ มรดกสีเลือด ที่ทำให้ครอบครัวแตกแยก...

                  

         หลังจากเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2553 ศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้อง นายนพดล ธรรมวัฒนะ ข้อหาฆาตกรรมพี่ชายของตัวเอง กระแสความฉงนสงสัยในปมต่าง ๆ ของครอบครัว ธรรมวัฒนะ ก็กลับมาอีกครั้ง ว่าเหตุใดคนในครอบครัวจึงต้องกลายเป็นผู้ต้องสงสัยซ้ำแล้วซ้ำอีก...

         ย้อน กลับไปเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2542 เวลา 03.35 น. ณ บ้านหลังใหญ่ ย่านสะพานใหม่ ของตระกูลธรรมวัฒนะ นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ นักการเมืองคนดัง ได้จบชีวิตลงบนเก้าอี้สีเขียว สภาพศพกึ่งนั่งกึ่งนอนบนกองเลือด มีรอยกระสุนฝังอยู่ที่ศีรษะ และมีปืนขนาด .38 อยู่ในมือขวา พร้อมกับมีจดหมายลาตายทิ้งไว้ฉบับหนึ่ง ที่กลายเป็นปริศนาว่า เหตุใดเขาจึงต้องฆ่าตัวตาย และ การตายของเขามาจากเงื้อมมือของตัวเองจริงหรือไม่...

         นายนพดล ธรรมวัฒนะ น้องชายของ นายห้างทอง ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น จึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันที เพราะในบ้านหลังใหญ่ราคาหลายร้อยล้าน มีเพียงพวกเขา 2 คน ที่อยู่ด้วยกันในวันเกิดเหตุเท่านั้น และสำคัญไปกว่านั้นก็คือ นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ จบชีวิตของเขาลงในห้องนอนของ นายนพดล

         ความสงสัยดังกล่าว ยิ่งกลายเป็นปมให้ตระกูลธรรมวัฒนะ ถูกสืบเสาะประวัติความเป็นมา และนั่นทำให้คดีนายห้างทอง กลายเป็นปริศนามากขึ้น เมื่อคนในครอบครัวของเขาส่วนใหญ่ ล้วนจากไปแบบมีเงื่อนงำ

         นับ ตั้งแต่ นางสุวพีร์ ธรรมวัฒนะ มารดาผู้สร้างมรดกหมื่นล้าน ตัดสินใจรวบรวมเงินทั้งชีวิตของเธอ เพื่อซื้อที่ดินย่านสะพานใหม่ เพื่อนำมาเปิดเป็น ตลาดยิ่งเจริญ ให้พ่อค้าแม่ค้าเช่า เธอต้องกัดฟันสู้ชีวิตอย่างเด็ดเดี่ยว จนในที่สุด ตลาดยิ่งเจริญ ก็กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดย่านสะพานใหม่ และนำเงินไปต่อยอดเป็นธุรกิจอื่น ๆ เพื่อให้กลายเป็นเม็ดเงินนับล้านบาทที่หมุนเวียนอยู่กับครอบครัวในแต่ละวัน ให้กับลูก ๆ ทั้ง 9 คน และสามี คือ นายอาคม ฉัตรชัยยันต์

         แต่ นางสุวพีร์ กลับไม่รู้เลยว่า เงินจำนวนมหาศาลที่เธอสร้างขึ้นด้วยความเหน็ดเหนื่อยนั้น กลายเป็นที่มาของการจบชีวิตลงทีละรายของคนในตระกูล ราวกับว่ามีคนจงใจ...

         1. นายอาคม ฉัตรชัยยันต์ สามีของนางสุวพีร์ และลูก ๆ ทั้ง 9 คน ถูกลอบยิงเป็นรายแรกเมื่อปี พ.ศ.2509 เรื่องการขัดผลประโยชน์จากโรงฆ่าสัตว์

         2. นางสุวพีร์ ธรรมวัฒนะ ก็ถูกลอบยิงจนบาดเจ็บสาหัส เมื่อปี พ.ศ.2522 และกลายเป็นอัมพาตต้องนั่งรถเข็น เธอจึงหลบไปรักษาตัวที่อเมริกาที่ ๆ ลูก ๆ ของเธอเรียนอยู่

         3. นางสาวกุสุมา ธรรมวัฒนะ หรือ แต๋น น้องสาวคนที่ 3 ของครอบครัว ที่รับได้มอบหมายให้ทำหน้าที่ดูแลกิจการแทนแม่ ที่หลบไปรักษาตัว ก็ถูกลอบยิงในอีก 3 ปีต่อมา คือวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2525 และตำรวจจับมือปืนผู้ลอบสังหารได้ โดยมือปืนซัดทอดว่า นายบวร ธรรมวัฒนะ ที่มีศักดิ์เป็นอา เป็นผู้จ้างวาน

         4. นางสุวพีร์ ธรรมวัฒนะ กลับมาบริหารงานที่เมืองไทยอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ.2526 และล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง จนเสียชีวิตในปี พ.ศ.2533 โดยทิ้งพินัยกรรมเอาไว้ให้กับลูก ๆ ทั้งหมด พร้อมกับลายมือที่เขียนไว้ว่า "รักสามัคคี" แต่พินัยกรรมที่ระบุให้ลูก ๆ สามารถแบ่งทรัพย์สินกันได้หลังจากเธอเสียชีวิตไปแล้ว 20 ปี อาจจะกลายเป็นต้นตอของความสูญเสียที่ตามมา

         5. นางนัยนา ตามประกอบ จากไปเป็นรายที่ 4 ของตระกูล ที่ถึงแม้ว่านางนัยนา จะเลือกแต่งงานกับ พ.ต.ต.สมาน ตามประกอบ ที่แม่ไม่ชอบ จนต้องถูกตัดออกจากกองมรดก แต่แม่ก็ยังเขียนชื่อเธอลงในพินัยกรรมให้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกมูลค่ามหาศาล จนเธอถูกอุ้มไปฆ่าอย่างโหดเหี้ยมในเพียงอีก 1 เดือนต่อมา และทำให้ผู้ร่วมขบวนการฆาตกรรมในครั้งนั้นถูกฆ่าปิดปากเรียบ

         6. นายเทอดชัย ธรรมวัฒนะ หรือ ผู้ใหญ่แดง พี่ชายต่างบิดา ก็ถูกอุ้มหายไปตั้งแต่ พ.ศ. 2534 และจนป่านนี้ยังไม่มีใครพบเห็นอีกเลย

         7. พ.ต.ท.สมาน ตามประกอบ สามีของนางนัยนา ถูกลอบวางระเบิดรถยนต์ในปี พ.ศ.2540 แต่ก็รอดตายได้อย่างหวุดหวิด

         8. นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ รายล่าสุดของครอบครัว ที่เสียชีวิตลงในบ้านพักของตัวเอง พร้อมกับปืนในมือ และจดหมายลาตาย ที่แม้สถานการณ์จะดูคล้ายการจบชีวิตลงด้วยตนเอง แต่ทว่าท่ามกลางปมปริศนาของครอบครัวแล้ว การฆาตกรรมจึงเป็นสิ่งที่ยังถูกสงสัยอยู่

         นายนพดล ธรรมวัฒนะ นางมัลลิกา หลีระพันธ์ (ธรรมวัฒนะ) และ นางสาวฐานิยา ธรรมวัฒนะ คือฝ่ายที่มีความคิดเห็นแตกต่างกับ นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ และน้อง ๆ อีก 3 คน คือ นายปริญญา ธรรมวัฒนะ นางสาวคนึงนิตย์ ธรรมวัฒนะ และนางนฤมล มังกรพาณิชย์ ที่มีคดีฟ้องร้องกันถึง 12 คดี และนั่นคือปมที่ทำให้นายนพดล ยังไม่ถูกตัดออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยในข้อหาฆาตกรรมพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเอง

         จาก การสอบสวนวันนั้น นายนพดล ให้การว่าตนเองไม่ได้อยู่ในห้องที่เกิดเหตุ และปล่อยให้พี่ชายอยู่คนเดียว โดยคาดว่าพี่ชายเครียดจนจบชีวิตลง และทิ้งจดหมายบอกลาเอาไว้ พร้อมทั้งยืนยันว่า "ผมไม่ได้ฆ่าพี่ห้างทอง"

         และนี่คือข้อความในจดหมาย นายนพดลอ้างว่าเป็นข้อความที่พี่ชายของเขา ทิ้งไว้ก่อนตาย…

         "ถึง น้อง ๆ ทุกคน สัง จิ๋ม นิด หน่อย ริน น้อย เรื่องทั้งหมดขอให้ยุติเสียเถิด อะไรที่ผิดพลาดก็ขอให้อภัยต่อกัน พี่น้องควรรักกันไว้ทุกคนบอบช้ำมามาก ขอให้หันหน้าเข้าหากัน คดีความต่าง ๆ ควรยุติได้แล้วฝากน้องเดียร์ด้วย เพราะเบื่อเหลือเกินแล้ว มีภาระอะไร ก็กรุณาแก้ไขให้ด้วย โดยให้รู้รักสามัคคี ขอให้ลดทิฐิมานะลง หันกลับไปดีกันอย่างเดิม รัก - จาก ห้างทอง"

         การชันสูตรพลิกศพ หลายต่อหลายครั้งจึงเริ่มขึ้น เมื่อแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ แพทย์นิติเวชผู้เชี่ยวชาญ สรุปสาเหตุการเสียชีวิตของนายห้างทอง ว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แต่เป็นการฆาตกรรม! เพราะมือข้างทื่ถือปืนกลับตกอยู่บนตัวของเขา แทนที่จะห้อยลงพื้นตามแรงดันของปืน อีกทั้งองค์ประกอบหลายต่อหลายอย่าง ที่ดูเหมือนการจัดฉากมากกว่าการฆ่าตัวตาย

         นายนพดล ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีนี้ จึงยื่นฟ้องแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ในทันที จนต้องมีการผ่าพิสูจน์รอบ 2 และใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวช รวมถึงอาจารย์หมอมีฝีมือในประเทศไทย มารวมตัวกันวิเคราะห์ศพของนายห้างทองอีกครั้ง แต่ผลการพิพากษาก็ถูกตัดสินว่านั่นคือการฆ่าตัวตาย การผ่าพิสูจน์ครั้งที่ 3 จึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง และหลังจากผ่าพิสูจน์ครั้งนี้ ศพของนายห้างทอง ที่ถูกผ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา รับพระราชทานเพลิงศพเสียที ในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ.2549

         สุด ท้าย เมื่อผลการตัดสินรอบล่าสุด ศาลยังยืนยันคำสั่งตามศาลชั้นต้น และให้ยกฟ้องคดีนี้ นายนพดล ธรรมวัฒนะ น้องชายผู้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยมาตลอด 11 ปี จึงหลุดพ้นจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยในที่สุด แม้ว่าหลายคนจะยังคลางแคลงใจกับสาเหตุการตายของนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ แต่เมื่อการเฟ้นหาคำตอบ ได้ดำเนินมาจนถึงวาระสุดท้ายของการฟ้องร้องแล้ว และศพนายห้างทอง ก็ไม่อยู่ให้ผ่าอีกต่อไป ดังนั้นคดีนี้จึงน่าจะปิดฉากลง ท่ามกลางความเหนื่อยล้าของทุกฝ่ายในการหาคำตอบ และไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นอย่างไร คงมีแต่เพียงนายห้างทอง กับ นายนพดล ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นเท่านั้น ที่รู้คำตอบดีที่สุด

         และ ปี 2553 นี้เอง ที่พินัยกรรมของแม่ จะเป็นผล มารอดูกันว่า บทสรุปของมรดกเลือดตระกูลธรรมวัฒนะ จะเป็นเช่นไร สิ่งเดียวที่ภาวนาคือ ขออย่าให้เกิดความสูญเสียกับครอบครัวนี้อีกต่อไปเลย...

              

                     อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

ข่าวสด
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOakF6TURrMU13PT0=%C2%A7ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdPUzB3TXc9PQ==

คมชัดลึก http://www.komchadluek.net/detail/20100901/71742/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87.html

ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/people/view/pol/5632

                         gek gek gek
, ,
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #4 เมื่อ: 23 กันยายน 2553, 11:28:26 »


       วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7238 ข่าวสดรายวัน
       http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNakl6TURrMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdPUzB5TXc9PQ==

               ผบช.ชี้มีมูลสั่งเด้ง ผบก.ตาก อีกคลิปลีลาเซ็นงาน

       นัวเนียจูบ-ลูบไล้ ตั้งกก.สอบเชือด "พล.ต.ต.เพ็ชร์ลูก"
คุมเข้มห้องทำงาน ห้าม"สื่อ"เข้าใกล้! (มีคลิป)

            

       เซ็นงาน - ภาพวงจรปิดขณะตร.หญิงนำแฟ„มเข้า ไปส่งพล.ต.ต.ในห้องทำงาน แล้วถูกลวน ลามเป็นปกติทุกครั้งที่เข้ามาในห้องนี้ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่มีผู้ร้องเรียนผบ.ตร.
 
        ผบช.ภาค 6 เซ็นคำสั่งเด้งพล.ต.ต.เพ็ชร์ลูก เสียงก้อง ผู้การตากช่วยราชการ 90 วัน พร้อมตั้งกก.สอบกรณีมีคลิปนัวเนียกับตร.หญิงในสำนักงาน ระบุให้ สอบให้ชัดภายใน 2-3 วัน เพื่อรายงานถึงผบ.ตร. ระบุมีหลักฐานครบทั้งคลิป-ภาพถ่าย คนร้องเรียนใช้ชื่อตร.หญิงชั้นผู้น้อย เปิดอีกคลิปลีลาผู้การเซ็นแฟ้มเอกสารวาบหวิว ทั้งกอดจูบลูบไล้ตร.หญิงคนเดิม องค์กรสตรีออกโรงจี้รัฐบาลแก้ปัญหาขรก.ใหญ่คุกคามทางเพศลูกน้อง เรียกร้องให้ผบ.ตร. ลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่าง

                  gek gek gek

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

                

              ดี-ชั่ว ย่อมรู้กันทั่วในที่สุด

                win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><