18 พฤษภาคม 2567, 06:04:02
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เคล็ดลับจับความรู้สึกให้เป็นสุข ใช้ ปัญญา เหนือสมอง(อารมณ์)  (อ่าน 13329 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2552, 07:13:57 »




ทพ.สม สุจีรา

"การจับความรู้สึก" เป็นหัวใจที่คนที่ถามหา "ความสุข"

คนที่มีบุญเก่า จะมีความรู้สึกดีๆ ฝังอยู่ในจิตมากมาย ทำให้แม้ไม่ฝึกสติจับความรู้สึก
ชีวิตก็ประสบความสำเร็จหรือมีความสุขได้

แต่อย่าลืมว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามที่รู้ๆ กันอยู่
ฉะนั้นถ้าไม่รู้จักฝึกสติจับความรู้สึก เมื่อถึงเวลาที่เจอความทุกข์จะรู้สึกเจ็บปวดมาก
เพราะก่อนหน้านั้นมัวแต่หลงระเริงไปกับความสุขที่เจอมาก่อน


ผมอยากจะบอกว่า ความสุขที่เรามีหรือหาได้ในชีวิตปกติประจำวัน ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงและหายไปได้ง่ายมาก ถ้าใครคิดว่ามีความสุขดีอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องที่ประมาทเกินไป

เรื่องของความรู้สึกถ้าเราศึกษาที่มาในทางธรรมจะรู้ว่า
เป็นอาการที่เกิดจากกลุ่มของดวงจิตผุดขึ้นมารับอารมณ์ เมื่อมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เข้ามากระทบ ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกแบบต่างๆ

ความรู้สึกเกิดจากกลุ่มของดวงจิตผุดขึ้นมารับอารมณ์ ซึ่งในวงจรของการเกิดอารมณ์นั้นรวดเร็วมาก
ในคนทั่วไปซึ่งสติไม่ไวพอที่จะจับการเกิดดับของดวงจิตได้ แต่สามารถตั้งสติเฝ้าดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้

การรู้จักฝึกสติ  ก็จะคุมอารมณ์ได้ เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม ดีกว่าปล่อยให้ไฟแห่งอารมณ์โหมกระพือ แล้วค่อยมาดับทีหลัง ซึ่งอาจจะสายเกินไป เพราะถ้าปล่อยให้ถึงขั้นความรู้สึกก่อตัวเป็นอารมณ์ นั่นก็หมายความว่า
สติสัมปชัญญะอ่อนแรงลงไป ถึงตอนนั้นอารมณ์จะมีอิทธิพลเหนือสติไปแล้ว

การฝึกสติทำให้เราสามารถเลือกได้ว่า จะให้ความรู้สึกควบคุมเรา หรือ ว่าเราจะเป็นคนที่ควบคุมความรู้สึก

ต้องหมั่นฝึกสติ วิธีฝึกก็ไม่ยาก เพียงแต่กำหนดสติเฝ้าดูอารมณ์ที่ผุดขึ้นมา แล้วบอกตัวเองให้รู้ตัวว่านี่คือ ดีใจหนอๆๆ โกรธหนอๆๆ เศร้าหนอๆๆ อิจฉาหนอๆๆ เมื่อฝึกบ่อยๆ เข้า จะพบว่าความรู้สึกเหล่านี้ล้วนเป็นมายาเพราะเกิดขึ้นแล้วก็หายไปได้

ความสนุกที่เกิดขึ้นจากการฝึกจับความรู้สึกของผมก็คือ เราจะเล่นกับความรู้สึกได้ เหมือนกับนักแสดงที่สามารถนำเอาความรู้สึกต่างๆ มาแสดงได้อย่างเหมือนจริง และเมื่อถ่ายทำจบ ก็ทิ้งความรู้สึกนั้นไปเลย ไม่ยึดติดเอามาเป็นของตัวเองต่ออีก ก็คือ

เราเล่นกับอารมณ์ ไม่ใช่ให้อารมณ์มาเล่นเรา

จะต่างกันก็แต่นักแสดงเล่นตามบทที่เขียนขึ้น แต่ในชีวิตจริง บททั้งหมดถูกบันทึกไว้แล้วในจิตและดีเอ็นเอ ตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว
จะว่าชีวิตคือละครก็ได้ โดยมีกรรมเก่าเป็นบท เจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้กำกับ และมีธรรมชาติเป็นผู้อำนวยการสร้าง

ภายใต้ธรรมชาติอันนี้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวบนโลกนี้ ที่สามารถเลือกได้ว่าจะเล่นตามบทหรือไม่
เพราะธรรมชาติยังเมตตามอบสติมาให้ ดังนั้น ถ้าความรู้สึกที่ไม่ดีเกิดขึ้น เช่น โลภ โกรธ หลง อิจฉาริษยา ท้อแท้ วิตกกังวล ฯลฯ ขอให้นึกไว้เสมอว่า กรรมเก่ากำลังทำงาน ต้องใช้กำลังสติเข้าไปสกัด

อุปสรรคของการจับความรู้สึกคืออะไร

คือ ความไวของการผุดขึ้นของความรู้สึก

ในทางจิตวิทยาพบว่า ในแต่ละวันคนเราจะมีความรู้สึกต่างๆ ผุดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน อาจจะถึงหมื่นครั้งแสนครั้งก็ได้ โดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัวเลยเหมือนกับการกะพริบตา

อุปสรรคอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความแรงของความรู้สึกเช่น
ถ้ากำลังเสียใจอย่างแรง การกำหนดสติเข้าไปจับจะทำได้ยากมาก

จะสู้กับทั้งความไวความแรงนี้ต้องใช้อาวุธให้ถูก

ซึ่งตัวที่จะมาสู้กับความแรงได้ก็คือ สมาธิ
ส่วนความไวต้องใช้สติ


ทั้งการฝึกสมาธิและเจริญสติ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในทางพุทธศาสนา เพราะ สมาธิทำให้เกิดกำลัง สติทำให้เกิดความไว

สองอย่างนี้ดูเผินๆ เหมือนจะคล้ายกัน แต่ความจริงแล้วมีความต่างกันมาก เพราะ

สติคือ การควบคุมเฝ้าดูความรู้สึก แต่สมาธิ เป็นการดื่มด่ำแนบแน่นไปกับความรู้สึกนั้น

สติที่ไวจะช่วยให้เกิด ปัญญาในการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

เฝ้าดู "สุข" ได้ เมื่อถึงเวลา "ทุกข์" เราก็จะเฝ้าดูมันได้เช่นกัน คือ ถ้าเปลี่ยน

ตัวเป็น เป็น ตัวผู้ดู

ได้เมื่อไหร่ จะแยกได้เหมือนกับสติจะอยู่เหนือสมอง

ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

นำบทความนี้มาเพื่อให้พวกเราได้รู้แนวคิดของทันตแพทย์ สม สุจีรา ในการจับความรู้สึก
ด้วย สติ กับ สมาธิ  เพื่อเป็น ผู้ดู แทน เป็น ผู้เป็น และ ใช้ ปัญญา เหนือสมอง(อารมณ์)

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud02221152&sectionid=0121&day=2009-11-22

 win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2553, 18:13:55 »


คิดบวก = ชีวิตบวก



ว.วชิรเมธี

.............



เวลาเจอ........งานหนัก
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อม
สู่ความเป็นมืออาชีพ 



เวลาเจอ........ปัญหาซับซ้อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาทุกข์หนัก..
ให้บอกตัวเองว่า... นี่คือแบบฝึกหัด
ที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต   



เวลาเจอ........นายจอมละเมียด
ให้บอกตัวเองว่า...นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ( Perfectionist)

เวลาเจอ........คำตำหนิ
ให้บอกตัวเองว่า... นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอ........คำนินทา
ให้บอกตัวเองว่า...
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคง
เป็นคนที่มีความหมาย



เวลาเจอ........ความผิดหวัง
ให้บอกตัวเองว่า...
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติ
กำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต



เวลาเจอ........ความป่วยไข้
ให้บอกตัวเองว่า...
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่า
ของการรักษาสุขภาพให้ดี



เวลาเจอ........ความพลัดพราก
ให้บอกตัวเองว่า...
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

เวลาเจอ........ลูกหัวดื้อ
ให้บอกตัวเองว่า...
นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์
ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง



เวลาเจอ........คนเลว
ให้บอกตัวเองว่า ...
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์



เวลาเจอ...อุบัติเหตุ
ให้บอกตัวเองว่า...
นี่คือคำเตือนว่า
จงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด



เวลาเจอ........ศัตรูคอยกลั่นแกล้ง
ให้บอกตัวเองว่า...
นี่คือบททดสอบว่าที่ว่า “ มารไม่มีบารมีไม่เกิด ”



เวลาเจอ........วิกฤต
ให้บอกตัวเองว่า...
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม

“ ในวิกฤตย่อมมีโอกาส ”



เวลาเจอ........ความตาย
ให้บอกตัวเองว่า...
นี่คือฉากสุดท้าย
ที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

 รักนะ รักนะ รักนะ


 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2553, 14:45:12 »


[narongsak.com] FW: ทัีศนคติบอด‏
From:    narongsak@yahoogroups.com on behalf of FOR YOU....
Sent:   Sunday, June 06, 2010 1:10:14 PM
To:   narongsak@yahoogroups.com

บทความเรื่อง : ทัศนคติบอด (ที่มา จากอีเมลย์ Forward จากเพื่อนๆๆ ขอบคุณสำหรับส่งดีๆ )



ชนะ โทรไปบริษัทนี้เป็นหนที่สองในรอบสัปดาห์นี้ บริษัทนี้เป็นลูกค้ารายใหม่ที่เขากำลัง
ติดตามเรื่องอยู่ เสียงของโอเปอร์เรเตอร์ซึ่งรับสายด้วยเสียงที่เป็นมิตรและอ่อนโยนกล่าวว่า


' สวัสดีคะบริษัทเอบีซีอิงค์ ยินดีต้อนรับคะ '

คุณชนะกล่าวว่า ' ผมขอเรียนสายกับคุณสมจิต
ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์หน่อยครับ '

โอเปอร์เรเตอร์กล่าวทักขึ้นมาว่า ' นั่นคุณชนะใช่ไหมคะ'

ชนะรู้สึกแปลกใจความสามารถในการจดจำเสียงของพนักงานคนนี้ได้
เขากล่าวตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความประทับใจ
' ใช่แล้วครับ ขอบคุณที่จำได้ครับ '

เธอกล่าวว่า ' ยินดีคะ ดิฉันจะโอนสายให้นะคะ '

หลังจากที่ชนะสนทนาเรื่องงานกับสมจิตจบชนะจึงถามสมจิตขึ้นมาว่า

' คุณสมจิต ผมขอชม พนักงานรับโทรศัพท์ของคุณหน่อยครับ เธอเก่งจริงๆเลยที่จำเสียงผมได้
เป็นการให้บริการที่เกินความคาดหวังของผมจริงๆเลยครับผมเองไม่ได้เป็นลูกค้าประจำ และ
ก็ไม่ได้โทรมาบ่อยๆ ขนาดที่เธอจะจำเสียงผมไ! ด้ด้วย เธอมีเคล็ดลับอะไรครับ '

สมจิตพูดว่า ' เธอชื่อเรณูคะ เธอได้รับคำชมอย่างนี้บ่อยๆ หากคุณฟังเรื่องของเธอมากขึ้นกว่านี้
คุณจะ ยิ่งประทับใจ สนใจฟังไหมละคะ'
 
ชนะรีบกล่าวตอบด้วยความกระตือรือร้นว่า ' สนใจสิครับ ช่วยกรุณาเล่าให้ฟังหน่อยครับ '

ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

สมจิตเริ่มต้นเล่าอย่างอารมณ์ดี ' คุณเรณูเธอตาบอดคะ เธอจึงต้องอาศัยการฟังเพียงอย่างเดียว
ทำให้! เธอสามารถจดจำชื่อคนได้ดี เธออาศัยอยู่ที่สมุทรปราการและมาทำงานที่ออฟฟิศนี่
ซึ่งอยู่แถวดอนเมือง ซึ่งถือว่าไกลมากโดยเฉพาะสำหรับเธอซึ่งต้องเดินทางโดยรถเมล์เหมือน
คนปกติ ส่วนใหญ่ก็ จะมีคนตาดีอย่างพวกเราที่คอยช่วยดูสายรถเมล์ และส่งเธอขึ้นรถให้
เธอไม่เคยมาสายเลย และก็ไม่เคยเรียกร้องขอรถรับส่งแต่อย่างใด ไม่เหมือนพนักงานปกติ
ของพวกเราหลายคน ตอนที่เราย้ายสำนักงานจากในเมือง ต้องขอรถรับส่งให้ด้วย
 
แถมหลายๆคนที่มีรถส่วนตัวก็ยังมาทำงานสาย พร้อมกับเหตุผลสารพัด
คิดแล้วอายแทนคนตาดีเลยคะ '

เธอหยุดเว้นจังหวะสักครู่ก่อนจะเล่าต่อว่า
' คุณเรณูมีทัศนคติที่ดีมากๆกับงานของเธอ เธอเคยเล่าให้ดิฉันฟังว่าสำหรับเธอแล้ว
การรับโทรศัพท์ไม่ใช่งานแต่มันคือชีวิต  เงินเดือนที่บริษัทให้กับเธอ ทำให้เธอสามารถ
เลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้อย่างดี


นอกจากนี้เธอยังมีเงินเหลือกว่าครึ่งสะสมไว้อีก ที่จริงแล้วเพื่อนคนตาดีหลายคน
เคยหยิบยืมจากเธอในยามฉุกเฉิน

คุณเรณูกล่าวว่าบริษัทเรา เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า และสังคมมอบโอกาสให้เธอได้พิสูจน์ว่า
เธอมีคุณค่าและสามารถมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับสังคมได้  

เธอบอกว่าเธอพยายามทำงานของเธออย่างสุดความสามารถ ซึ่งรวมทั้ง
พยายามจำชื่อของผู้ที่โทรเข้ามาด้วย

เธอบอกว่าทุกคืนก่อนเข้านอน เธออยากรีบนอนไวๆ เพื่อจะได้รีบตื่นขึ้นมาทำงาน
เธออดใจรอจะมาทำงานไม่ไหว


แหมอย่าหาว่าดิฉันบ่นเลยคะ แต่พวกตาดีๆอย่างพวกเรากลับภาวนาให้ถึงวันหยุดเร็วๆเสียนี่กระไร'
สมจิตจบเรื่องด้วยเสียงหัวเราะเบาๆอย่างคนอารมณ์ดี

เมื่อชนะมาเล่าเรื่องนี้ให้กับผมฟังในรถระหว่างที่เราเดินทางไปพบลูกค้าที่นวนคร

ผมจึงเสริมความเห็นของผมไปว่า ' เราน่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คนที่มาเข้าอบรม กับเราฟังบ้างนะ
บ่อยครั้งเรามักจะได้ยินคนบ่นว่างานหนัก หรือไม่ก็ปัญหาเรื่องงานมีมาก

สิ่งที่คุณเรณูมีแตกต่างกับเรา ไม่ใช่ว่าเธอตาบอดหรอกครับ ความจริงพวกเราต่างหากที่บอด  
 
เราทัศนคติบอดไงละ  เราได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆมากมาย จากนายจ้างจนเคยชิน
กระทั่งมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น


ยิ่งนานวันเรายิ่งเรียกร้องมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงปลายปีแบบนี้ ในขณะที่คุณเรณูกลับมองแตกต่าง
กับเราอย่างสิ้นเชิง บางคนเบื่องานจนอยากลาออกไปอยู่กับบ้านเฉยๆ

มัน ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ Dr. Denis Waitley ผู้แต่งหนังสือขายดีชื่อ



'The psychology of winning'

เขายกรายงานวิจัยในอเมริกาที่บอกว่าผู้เกษียณอายุออกจากงานไปโดยไม่มีภาระกิจอะไรทำ
มีอายุเฉลี่ยเพียงแค่เจ็ดปีเท่านั้น พวกเขาตายเพราะความรู้สึก ด้อยคุณค่า หรือ
ภาษาชาวบ้านเรียกว่าเฉาตายนั่นเองครับ
 
เราบางคนมีโอกาสได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรักในขณะที่คนจำนวนมากไม่มีโอกาสอย่างนั้น
อย่างไรก็ตามเรามีสิทธิที่จะเปลี่ยนมุมมองโดย หันมารักและหลงไหลในสิ่งที่เราทำได้
โดยไม่ต้องรอให้ตาบอดแบบคุณเรณูก็ได้ '


win win win

 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #3 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2553, 20:29:26 »


[narongsak.com] FW: ความรัก กะ รองเท้าที่ไม่พอดี (โดนจริงๆ)‏‏
From:    narongsak@yahoogroups.com on behalf of หนูนา อรสา (noona_orasa@hotmail.com)
Sent:   Sunday, June 20, 2010 8:03:34 PM
To:   Cmadong Member and Co. เหอๆๆ



วันหนึ่ง ... ฉันอยากได้รองเท้า ฉันเดินเข้าไปในร้านที่มีรองเท้าหลากสี-หลายแบบวางเรียงราย

ร้ า น แ ล้ ว ร้ า น เ ล่ า

แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รองเท้าถูกใจกลับไปด้วยแม้ แต่คู่เดียว

เลือกแล้ว __________ เลือกอีกจนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้ากระจกร้านหรูแห่งหนึ่ง



รองเท้าส้นสูงสีดำคู่นั้นสะท้อนเงาเฉิดฉายผ่านกระจกออกมาแตะตาฉันตั้งแต่แรกเห็น

มันช่างเป็นรองเท้าที่สวยจนอยากมีไว้ประดับคู่ เท้าในทุกย่างก้าว

โดยไม่รอรี......ฉันเดินตรงลิ่วเข้าไปหามัน

แม้ป้ายราคาเล็ก-เล็กที่ติดเอาไว้จะบอกราคาที่ไม่เล็กนัก

แต่ฉันไม่ลังเลสักนิดเดียวที่จะจ่ายเงินจำนวนนั้นออก ไปเพื่อให้ได้รองเท้าที่ถูกใจที่สุดในวันนี้

' แน่นนิดนึงนะคะ...มีคู่ใหม่ที่ใหญ่กว่านี้มั้ย '

ฉันถามพนักงานขายขณะที่กำลังพยายามสอดเท้าลงไป  ในรองเท้าคู่สวยให้พอดี แล้วพบว่ามันพอดิบ-พอดี

จนขยับเท้าไม่ได้

' ไม่มีหรอกค่ะ....เรามีแบบละคู่เท่านั้น รับรองว่า ใส่แล้วไม่ซ้ำแบบใคร '

พนักงานขายเสนอข้อได้เปรียบในการซื้อสินค้า

' แต่ดิฉันว่าใส่แล้วก็พอดีนะคะ เผื่อมันยืดออกอีกนิดหน่อย '

เธอยังคงเสนอต่อเมื่อเห็นแววตาที่ฉันชื่นชมสินค้าของเธอ

- - เย็นวันนั้นฉันกลับบ้านด้วยรอยยิ้มกรุ่นพร้อมกับ รองเท้าคู่สวยที่อยู่ในมือ - -


ฉันจัดแจงโยนรองเท้าผ้าใบคู่เก่าที่ใส่มาแร มปีทิ้งไป อย่างไม่แยแส

วันรุ่งขึ้น ............ .. ฉันออกเดินด้วยรองเท้า คู่ใหม่อย่างเฉิดฉาย

ยิ่งมีใครต่อใครชมว่ามันสวยนักหนาฉันก็ยิ่งปลื้มใจ

ทว่าไม่ทันข้ามวันรองเท้าเจ้ากรรมก็แผลงฤทธิ์จนฉันเดินโขยกเขยก

และเย็นวันนั้นฉันก็ต้องกลับมาบ้านพร้อมกับเท้าที่ระบม

ห า ก ชี วิ ต ค น เ ร า เ ป็ น เ ห มื อ น ก า ร เดิ น ท า ง ไ ก ล

ความรัก ____________ _____ ก็คงเป็นเหมือน รองเท้า

แ ท้ ที่ จ ริ ง แ ล้ ว น่ ะ น ะ

............ ..

ฉันว่าคนเราไม่ได้ต้องการ

' รองเท้าสวย '

มากไปกว่า

- - รองเท้าที่ใส่สบาย - -


แต่ก็นั่นแหละ

ใคร-ใครก็ย่อมชอบรองเท้าสวย-สวยด้วยกันทั้งนั้น

ถึงไม่น่าแปลกที่หลายคนมักตัดสินใจซื้อรองเท้าเพราะ

ว่า ' มันสวย ' มากกว่า ' มันพอดีกับเท้า '

และแม้มันจะใส่แล้วคับไปนิด...อึดอัดไปหน่อยก็ยังไม่ วางมือ

เหตุเพราะว่า ____________ ___ มันสวยถูกใจ

หรือแม้มันจะราคาแพงลิบลิ่วก็ยังอยากเป็นเจ้าของให้ได้

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

- - - หากว่าเราต้องเดินทางอีกไกล - - -

แม้จะมีรองเท้าสวยหรู ราคาแพง ยี่ห้อแบรนด์เนม มันก็คงไม่มีประโยชน์

แม้จะสวยแค่ไหนแต่ถ้ามันทำเท้าเราเจ็บ...สุดท้ายก็คงต้องถอดมันออก

เพราะถ้าขืนเราเดินทั้งเท้าเจ็บ-เจ็บเราคงไปไม่ถึงปลายหนทาง

หึหึ หึหึ หึหึ

ค ว า ม รั ก ก็ เ ช่ น กั น

เราอาจใฝ่ฝันที่จะมีคนรักสวย รวย เก่ง ฉลาด เลิศ หรู

..... แต่ความจริงแล้ว ....

เราเพียงต้องการคน-คนนั้นเพื่อให้ตัวเราดูดีขึ้นมาเท่า นั้นเอง

ฉันว่านะ....รองเท้าที่ใส่แล้วสบายไม่จำเป็นต้อง สวยเด่นอะไร


เพราะฉะนั้น

คนที่จะมาจับจูงมือเราไปตลอดทางของชีวิตก็ไม่จำเป็น

ต้องเป็นคนที่ดีเลิศที่สุดจนใครนึกอิจฉา

แต่คงเป็น...คนที่เค้ารักเรา ดูแลเรา ดีต่อเรา เข้าใจเรา  

ให้เกียรติเรา ไม่เอาเปรียบเรา ไม่ทำให้เราเจ็บ   และ  

ไม่ทำให้เราเสียใจ ซะมากกว่า...

 gek gek gek

บางที...การใส่รองเท้าที่เดินแล้วสบายมันอาจทำให้ เรามีความสุขมากกว่า

เพราะฉันเชื่อว่ามันจะพาเราไปจนถึงจุดหมาย

โดยที่เราไม่ต้องเจ็บเท้าและนึกอยากจะโยนมันทิ้งไป เสียให้รู้แล้วรู้รอด ตลอดการเดินทาง...


รักนะ รักนะ รักนะ

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

ผมขอเสริมความคิดเห็นกับบทความนี้ ว่า

อย่าพบคู่ใหม่ แล้ว ทิ้งคู่เก่า ทั้งๆ ที่เป็นรองเท้าที่เราเคยรักจึงซื้อมา

ครอบครัว เป็นสังคมขั้นพื้นฐาน ของประเทศ ถ้าเรามีรองเท้าแล้ว

ต้องยินดีในรองเท้าคู่นี้ มองส่วนดีของรองเท้าคู่ทุกข์คู่ยากแล้วจะเห็นคุณค่า

อย่าคิดเปลี่ยน รองเท้าโดยไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่คับมากพอใส่ได้

ก็ต้องใส่ต่อไปแล้วจะใส่สบายได้ในที่สุด เมื่อเท้า และ รองเท้าปรับตัวได้


 เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #4 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2553, 07:23:55 »


เรื่อง แง่งาม ยามทุกข์ และ เรื่องหน้ากากอคติ
ดูได้แง่คิดจากภาพประกอบ
ขอขอบคุณเวบ http://www.happyreading.in.th/news/detail.php?id=10 ที่เอื้อเฟื้อเนื้อหา

 win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #5 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2553, 18:55:15 »


ขอขอบคุณเวบไทยรัฐ วันพฤหัส 24 มิถุนายน 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.thairath.co.th/content/edu/91380



อาจารย์คลิฟฟ์ซึ่งเป็นเจ้าของคลินิกสุขภาพเพื่อธุรกิจ กล่าวว่า

สังคมทุกวันนี้เห็นแก่ความสุขสบาย และร่ำรวยทางวัตถุ

คำแนะนำที่ดีที่สุดที่เขาอยากจะให้ก็คือ

"ทำงานให้น้อยลง หาเวลาอยู่กับคนที่เรารักให้มากขึ้น จะเป็นความสุขอย่างล้นเหลือ".

 sing sing sing
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #6 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2553, 08:29:02 »


[narongsak.com] FW: ธรรมมะใสๆๆ‏
From: narongsak@yahoogroups.com on behalf of P A K P A O . (pakchunya@hotmail.com)
Sent: Thursday, June 24, 2010 9:36:17 PM
To: narongsak@yahoogroups.com
   
ธรรมะใสๆ จากหลวงพี่แตงโม.. ตอน ถือศีลข้อเดียว









 sleep sleep sleep
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #7 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2553, 09:03:27 »


อภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ
การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่



สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

อภัยทาน คืออย่างไร ?

อภัยทาน ก็คือการยกโทษให้ คือการไม่ถือความผิดหรือการล่วงเกินกระทบกระทั่งว่าเป็นโทษ

อภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ เช่น เดียวกับทานทั้งหลายเหมือนกัน คือ อภัยทาน หรือ

การให้อภัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด จะยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่องใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ 


  ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

อันใจที่แจ่มใส กับใจที่มืดมัว ไม่อธิบายก็น่าจะทราบกันอยู่ทุกคนว่าใจแบบไหนที่ยังความสุข
ให้เกิดขึ้นแก่ เจ้าของ ใจแบบไหนที่ยังความทุกข์ให้เกิดขึ้น และใจแบบไหนที่เป็นที่ต้องการ
ใจแบบไหนที่ไม่เป็นที่ต้องการเลย

  gek gek gek

ความจริงนั้น ทุกคนที่สนใจบริหารจิต จะต้องสนใจอบรมจิตให้รู้จักอภัยในความผิดทั้งปวง
ไม่ว่าผู้ใดจะทำแก่ตน แม้การให้อภัยจะเป็นการทำได้ไม่ง่ายนัก

สำหรับบางคนที่ไม่เคยอบรมมาก่อน แต่ก็สามารถจะทำได้ด้วยการอบรมไปทีละเล็กละน้อย
เริ่มแต่ที่ไม่ต้องฝืนใจมากนักไปก่อนในระยะแรก

  เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย

ตัวอย่างเช่น เวลาขึ้นรถประจำทางที่มีผู้โดยสารคอยขึ้รถอยู่เป็นจำนวนมาก
หากจะมีผู้เบียดแย่งขึ้นหน้า ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ถ้าเกิดโกรธขึ้นมาไม่ว่าน้อยหรือมาก

ก็ให้ถือเป็นโอกาสอบรมจิตใจให้รู้จักอภัยให้เขาเสีย เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่
ควรถือโกรธกันหนักหนา เป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกินควรจะอภัยให้กันได้ แต่บางที่ไม่ตั้งใจ
คิดเอาไว้ก็จะไม่ทันให้อภัยจะเป็นเพียงโกรธแล้วจะหายโกรธ ไปเอง

  จ๊าากกก จ๊าากกก จ๊าากกก

โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน
โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ
ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย
เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น


  รักนะ รักนะ รักนะ

ผู้ดูแลเห็นความสำคัญของจิต จึงควรมีสติทำความเพียรอบรมจิตให้คุ้นเคยต่อ
การให้อภัยไว้เสมอ เมื่อเกิดโทสะขึ้นในผู้ใดเพราะการปฏิบัติล้วงล้ำก้ำเกินเพียงใดก็ตาม
พยายามมีสติพิจารณาหาทางให้อภัยทานเกิดขึ้นในใจให้ได้ ก่อนที่ความโกรธจะดับไปเสียเองก่อน


ทำได้เช่นนี้จะเป็นคุณแก่ตนเองมากมายนัก ไม่เพียงแต่จะทำให้มีโทสะลดน้อยลงเท่านั้น และเมื่อปล่อยให้ความโกรธดับไปเอง ก็มักหาดับไปหมดสิ้นไม่ เถ้าถ่านคือความผูกโกรธมักจะยังเหลืออยู่ และอาจกระพือความโกรธขึ้นอีกในจิตใจได้ในโอกาสต่อไป

  เขินน๊า!! เขินน๊า!! เขินน๊า!!

ผู้อบรมจิตให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับการให้อภัย แม้จะไม่ได้รับการขอขมา ก็ย่อมอภัยให้ได้
ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจให้คุ้นเคยกับการให้อภัยเลย โกรธแล้วก็ให้หายเอง
แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะไม่อภัยให้ได้ เป็นเรื่องของการไม่ฝึกใจให้เคยชิน

  บ่ฮู้บ่หัน บ่ฮู้บ่หัน บ่ฮู้บ่หัน

อันใจนั้นฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างใดก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายก็จะร้าย...

win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #8 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2553, 09:29:54 »





ปาฎิหาริย์แห่งการให้ (ท่าน ว.วชิรเมธี)



  รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #9 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2553, 08:28:36 »


ขอขอบคุณเวบสนุกดอทคอม วันจันทร์ 15 ส.ค. 53 ที่สนับสนุนเนื้อหา
http://news.sanook.com/959180-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A277%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%89%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99.html



หนุ่มใหญ่ยิงยาย77ดับฉุนจอดรถขวางหน้าบ้าน

พบว่าบ้านเกิดเหตุเป็นบ้านห้องแถวชั้นเดียว ที่หน้าบ้านพบเพียงกองเลือดแดงกองใหญ่
ส่วนคนเจ็บคือ นางวิไล เจนยงศักดิ์ อายุ 77 ปี เจ้าของบ้านหน่วยกู้ภัยมูลนิธิมิตรภาพสามัคคี
ท่งเซียเซี่ยงตึ้งหาดใหญ่ ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ไปก่อนแล้ว โดยอาการสาหัส
และเสียชีวิตระหว่างทาง โดยถูกยิง ด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม. เข้าที่ศีรษะและลำตัวรวม 3 นัด
ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุน 9 มม. ตกอยู่ 3 ปลอกทั้งภายในบ้านและหน้าบ้าน และ
ยังมีเศษหัวกระสุนอีกจำนวนหนึ่งจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

สอบสวนทราบว่าคนร้ายที่ก่อเหตุคือ นายอนัต หรือแก้ว ชัชเฉลิม อายุ 40 ปี ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
กับบ้านผู้ตายหลังก่อเหตุ ได้ขับรถเก๋งฮอนด้าซีวิค สีน้ำตาล ทะเบียน 1752 สงขลา หลบหนีไป
โดยปมความขัดแย้งเกิดจากเรื่องที่จอดรถ เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา

รถยนต์กระบะบ้านของนางวิไล ไปจอดขวางหน้าบ้านของ นายอนัต ทำให้นายอนัต ซึ่งขับรถ
กลับมาในช่วงดึกไม่มีที่จอด และ อยู่ในอาการเมาจึงได้ใช้ปืนยิงใส่รถกระบะของ นางวิไล 2 นัด
ญาติของทั้งสองฝ่าย พยายามที่จะเคลียร์ค่าเสียหายกันเอง เพื่อไม่ให้เรื่องบานปลายถึงโรงพัก
แต่ปรากฏว่าเมื่อญาติของนายอนัต ได้ติดต่อให้กลับมาเคลียร์ปัญหา แต่แทนที่เรื่องทุกอย่างจะจบ
นายอนัต กลับบันดาลโทสะ ใช้อาวุธปืนบุกเข้าไปยิง นางวิไล ถึงภายในบ้านและพยายามวิ่งหนี
ออกมาล้ม หน้าบ้านแต่ไม่รอดถูก นายอนัต ยิงซ้ำเข้าที่ศีรษะ ก่อนที่จะวิ่งไปขับรถหลบหนีไป


  sorry sorry sorry

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

อุทาหรณ์เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การดื่มสุรา ทำให้ขาดสติ และ การไม่ยอมให้อภัยกัน
เหตุร้ายแรงจึงเกิดขึ้น จึงควรนำมาเตือนสติ ดื่มสุราได้ พอสมควร แต่อย่าดื่มจนขาดสติ

  gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><