01 มิถุนายน 2567, 15:59:20
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 18  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: MAI 25 เฮฮาหน้าไม่คุ้น  (อ่าน 183116 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #225 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2554, 01:58:55 »

อ้างถึง
ข้อความของ Mai25 เมื่อ 18 กรกฎาคม 2554, 23:15:09
อ้างถึง
ข้อความของ suphot เมื่อ 18 กรกฎาคม 2554, 09:58:51
อ้างถึง
ข้อความของ Mai25 เมื่อ 14 กรกฎาคม 2554, 20:40:36
อ้างถึง
ข้อความของ Mai25 เมื่อ 14 กรกฎาคม 2554, 00:10:26
ถึงพี่ๆในรูปทุกท่านขออนุญาตทดลองส่งรูปหมู่ค่ะ

พี่ไข่มุกสวัสดีค่ะ

จำพี่หนุ่ม  ชานนท์ บุรี24ได้หรือเปล่าค่ะ

เออ....พูดถึงไอ้แก่...ชานนท์ มันอยู่ไหนแล้วล่ะเนี่ย...นึกถึงมันที่ไร
จอบ ลอยมาก่อนทุกที...



=อยู่วิทยาลัยอะไรนะที่ไปทางวงเวียนใหญ่  แต่ใหม่แจ้งไปว่างาน12พ.ย.ให้มาให้ได้

=อยากเจอพี่ๆและเพื่อนๆเรื่องการแสดงเก่าๆ

= หมอนิต27 ก็จะมา
ท่านอยู่วิทยาลัยสารพัดช่างธนบุรี ขอรับ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #226 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2554, 23:14:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 25 กรกฎาคม 2554, 01:58:55
อ้างถึง
ข้อความของ Mai25 เมื่อ 18 กรกฎาคม 2554, 23:15:09
อ้างถึง
ข้อความของ suphot เมื่อ 18 กรกฎาคม 2554, 09:58:51
อ้างถึง
ข้อความของ Mai25 เมื่อ 14 กรกฎาคม 2554, 20:40:36
อ้างถึง
ข้อความของ Mai25 เมื่อ 14 กรกฎาคม 2554, 00:10:26
ถึงพี่ๆในรูปทุกท่านขออนุญาตทดลองส่งรูปหมู่ค่ะ

พี่ไข่มุกสวัสดีค่ะ

จำพี่หนุ่ม  ชานนท์ บุรี24ได้หรือเปล่าค่ะ

เออ....พูดถึงไอ้แก่...ชานนท์ มันอยู่ไหนแล้วล่ะเนี่ย...นึกถึงมันที่ไร
จอบ ลอยมาก่อนทุกที...



=อยู่วิทยาลัยอะไรนะที่ไปทางวงเวียนใหญ่  แต่ใหม่แจ้งไปว่างาน12พ.ย.ให้มาให้ได้

=อยากเจอพี่ๆและเพื่อนๆเรื่องการแสดงเก่าๆ

= หมอนิต27 ก็จะมา
ท่านอยู่วิทยาลัยสารพัดช่างธนบุรี ขอรับ




ป๋าทูสวัสดีค่ะ

วันนี้เศร้าจัง

อาจารย์อำไพไม่อยู่แล้ว
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #227 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2554, 05:50:45 »

เห็นรูปในงานด้วย เจอชานนท์ด้วยนี่
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #228 เมื่อ: 05 สิงหาคม 2554, 00:02:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 04 สิงหาคม 2554, 05:50:45
เห็นรูปในงานด้วย เจอชานนท์ด้วยนี่

ใช่แล้วค่ะ  พี่หนุ่มไปด้วย
      บันทึกการเข้า
Uncle Na
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2524-2201
คณะ: นิเทศ
กระทู้: 4,957

« ตอบ #229 เมื่อ: 05 สิงหาคม 2554, 08:38:41 »

แวะมาเยี่ยมครับ
      บันทึกการเข้า

จิตใจที่จุดประกายแล้ว คือทรัพยากรที่ทรงพลังที่สุดบนพิภพ เหนือพิภพ และใต้พิภพ/จิตวิญญาณมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้/ โดย เอพีเจ อับดุล กาลัม/สุวิทย์ วิบูลเศรษฐ์  แปล
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #230 เมื่อ: 06 สิงหาคม 2554, 00:36:24 »

อ้างถึง
ข้อความของ Uncle Na เมื่อ 05 สิงหาคม 2554, 08:38:41
แวะมาเยี่ยมครับ


ยินดีต้อนรับค่ะ

ขอบอก รุ่นพี่24 รวมพลังกันครบขา  ใหม่ขอเป็นเจ้ามือแล๊ะกัน  ก๊ากๆๆ
      บันทึกการเข้า
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #231 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2554, 20:06:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ Mai25 เมื่อ 14 กรกฎาคม 2554, 00:10:26
ถึงพี่ๆในรูปทุกท่านขออนุญาตทดลองส่งรูปหมู่ค่ะ


เป็นงานเสวนาที่หอพักค่ะ

พี่ต๊ะสวัสดีค่ะ

ช่วยเติมชื่อพี่ๆในรูปให้หน่อยนะคะ...เอาท์ รูปไม่มาเสียแล้วค่ะ,,,,
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #232 เมื่อ: 11 กันยายน 2554, 00:29:05 »

      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #233 เมื่อ: 16 กันยายน 2554, 19:35:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 11 กันยายน 2554, 00:29:05

พี่ทู ขอบคุณที่ลงรูปให้ค่ะ  (พี่นะ พีทู มีภาษาดีๆอยู่เสมอ)

สวัสดีค่ะท่านผู้ชมทุกท่าน

แถวล่างคือ  ยุ  แหม่ม  ตะวัน  แดง  ใหม่  แถวบนคือ

อยากบอกเพื่อน25ว่า  พวกเราภูมิใจเพื่อน25อย่างที่พวกเราเป็น



      บันทึกการเข้า
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #234 เมื่อ: 16 กันยายน 2554, 19:48:19 »

    ขอบคุณแม่น้อยที่ส่งหนังสือเล่มนี้ให้ค่ะ

                                                                                         
หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในบ่ายวันหนึ่ง  เมื่อพระอาจารย์นวลจันทร์พร้อมด้วยพระลูกศิษย์อีก 9 รูป  เดินทางมาโปรดพวกเราเหล่านักทำหนังสือถึงสำนักพิมพ์
วันนั้นทีมงานหลายคนถูกตามตัวด่วนเพื่อให้ไปกราบพระอาจารย์ด้วยมีผู้อยากให้เรารับฟัง “เรื่องเด็ด ๆ” ของบรรดาพระบวชใหม่กลุ่มนี้ที่ติดตามพระอาจารย์มา
พวกเราลงไปร่วมวงสนทนาธรรมอย่างงง ๆ ด้วยไม่ทราบมาก่อนว่าใครเป็นใคร  อะไรเป็นอะไร รู้แต่ว่าถ้าเป็นศิษย์  พระอาจารย์นวลจันทร์  แล้วละก็  คำเชิญชวนนั้นต้องไม่ใช่  “โฆษณาชวนเชื่อ” อย่างแน่นอน
เพราะบรรดาศิษย์เอกของท่าน นับตั้งแต่ ท่านปัญญาวโรภิกขุ ผู้เขียน “ดูจิตหนึ่งพรรษา” และ “ดูจิตชั่วพริบตา” ท่านสุภกิจโจภิกขุ  เจ้าของสมญานาม  “นักรบหนึ่งพรรษา” จนถึงท่านวิมโลภิกขุ ผู้ “ดูเฉย ๆ หนึ่งพรรษา”  ก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงฝีมืออัน  “เหนือชั้น”  ในการปั้นศิษย์ดีออกมาเป็นศรีแก่วงการพระพุทธศาสนาไทยของครูบาอาจารย์ท่านนี้
และแล้วก็เป็นจริงดังคาด  เพราะพระลูกศิษย์ทั้งเก้ารูปผู้มีใบหน้าสงบใสไร้ราคีและนั่งนิ่งราวกับรูปหล่อพุทธสาวกอยู่รอบกายพระอาจารย์นวลจันทร์นั้น ล้วนแล้วแต่มี  “ธรรมะเซอร์ไพร้ส์”  มาฝากผู้เข้าร่วมสนทนาธรรมในวันนั้นกันอย่างถ้วนหน้า  เรียกได้ว่าไม่ว่าเจ้านายหรือลูกน้อง ฟังแล้วก็ได้แต่นั่งอ้าปากหวอไปตาม ๆ กัน
ทันทีที่พระอาจารย์เปิดโอกาสให้ลูกศิษย์แต่ละรูปสาธยายที่มาที่ไปของตัวเองและบรรยายประสบการณ์ที่ได้รับระหว่างการบวช บรรยากาศง่วงงุนอันเป็นธรรมชาติของการสนทนาธรรมก็อันตรธานไปในทันใด  และมีความตื่นเต้นประหลาดใจเข้ามาแทนที่ เมื่อเรื่องราวชีวิตที่เข้มข้นไปด้วยฉากดราม่า  ปริศนาลึกลับ  สลับกับมุกสุดฮาและถ้อยคำสะเทือนใจสื่อได้รับการลำเลียงออกสู่บทสนทนามากขึ้น  พร้อม ๆ กับทัศนคติเกี่ยวกับการบวชที่เริ่มจะเปลี่ยนไปของทุกคนในห้อง
ในฐานะผู้จัดทำหนังสือธรรมะ  เราจึงรีบตะครุบโอกาสนี้ไว้ และส่งคุณวีริศ  อุโฆษผล  ผู้สัมภาษณ์และเรียบเรียงมือดีไป  “ขุดคุ้ย”  เรื่องราวของพระทั้งเก้ารูปเพิ่มเติมในทันที เพื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้เรื่องราวดี ๆ เหล่านี้เช่นเดียวกับเรา
เพื่อการถ่ายทอดที่  “ได้อารมณ์”  และ  “ถึงใจ”  ผู้อ่าน  คุณวีริศเลือกนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ในหลากหลายรูปแบบ  ทั้งในลักษณะบทสัมภาษณ์ ถาม-ตอบ  การให้เจ้าตัวเล่าเรื่องเอง การบรรยายความผ่านสายตาของบุคคลที่สาม  ฯลฯ  เพื่อให้สามารถถ่ายทอดบุคลิกและอารมณ์ของเจ้าของเรื่องอย่างใกล้เคียงความจริงที่สุด นอกจากนั้นรูปแบบการนำเสนอที่หลากหลายนี้ยังมีข้อดีอีกอย่างคือ  ทำให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับขนบการถ่ายทอดธรรมะตามแนวทางของพระอาจารย์นวลจันทร์ ที่ไร้รูปแบบและคาดเดาไม่ได้ไปด้วยในตัว
หวังว่าเรื่องราวของพระอาจารย์และพระลูกศิษย์ทั้งเก้าที่เราภูมิใจนำเสนอในเล่มนี้ จะเป็น “ธรรมะเซอร์ไพร้ส์”  ที่ช่วยสร้างความฮึกเหิมร่าเริงในธรรมและปลุกศรัทธาที่มีต่อแวดวงกาสาวพัสตร์ให้แก่ผู้อ่านได้บ้างไม่มากก็น้อย

เจริญธรรม
สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ
กรกฎาคม 2554









บทนำ
เรื่องราวที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้คือเรื่องจริงของผู้ชาย 9 คน
ก่อนบวช...ชีวิตของพวกเขาแต่ละคนไม่ธรรมดาทั้งนั้น บางคนเคยเป็นผู้บริหารไทยในจำนวนไม่กี่คนของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ข้ามชาติ  บางคนเป็นถึงผู้กำกับหนังโฆษณามือรางวัล  บางคนเคยยักยอกเงินชาวบ้านเป็นล้าน ๆ และทำให้ผู้หญิงต้องไปทำแท้งมาก่อน! แถมบางคนก็เป็นนักเรียนนอกที่เคยติดคุกมาแล้วถึง 4 ปี!
แต่เมื่อได้พบ  พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตฺติปญฺโญ  พระภิกษุรูปเดียวท่านนี้ ชีวิตของพวกเขาทั้งเก้าก็เปลี่ยนไป
หลังบวช...พวกเขากลายเป็นผู้ประกาศธรรมแห่งพระบรมศาสดา  และพร้อมใจกันศึกษาธรรมและทำงานเพื่อพระศาสนาอย่างไม่คิดชีวิต
คนสุดขั้วเหล่านี้มาสยบอยู่ใต้อาณัติของพระภิกษุรูปเดียวได้อย่างไร
พวกเขาเห็นอะไรในตัวของพระอาจารย์ท่านนี้
พระอาจารย์นวลจันทร์เปลี่ยนพวกเขาได้จริงหรือไม่
และที่สำคัญ ทำไมแต่ละคนถึงได้พูดราวกับว่าตัวเองได้ค้นพบ “คำตอบที่แท้จริงของชีวิต” กันเข้าแล้ว
การก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ในฐานะแก้วดวงที่สามของพระรัตนตรัยมีดีขนาดนั้นเชียวหรือ
ทุกเรื่องราวของหนังสือเล่มนี้มีจุดกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกันแทบทั้งหมด นั่นคือคอร์สปฏิบัติ
ธรรม “เพียงแค่รู้” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่ศูนย์วิปัสสนายุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยเฉลิมพระเกียรติ ศูนย์ 2 (ปทุมธานี) โดยมีพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตฺติปญฺโญ เป็นพระวิปัสสนาจารย์
ในสูจิบัตรของคอร์สระบุไว้ว่า  พระอาจารย์นวลจันทร์คือพระวิปัสสนาจารย์ผู้อุปสมบทมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2539  ท่านผ่านการศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากโครงการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชา  และปฏิบัติเองอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน โดยมีพระอาจารย์มหาเหล็ก จันทสีโล เป็นพระวิปัสสนาจารย์
ปัจจุบัน นอกจากพระอาจารย์นวลจันทร์จะมีผลงานการเขียนมากมาย เช่น วิถีแห่งพุทธะ  เพียงแค่รู้  รู้ด้วยจิต  จิตดวงสุดท้าย ฯลฯ  ท่านยังเป็นผู้สอนธรรมนำปฏิบัติให้แก่หลากหลายหน่วยงาน องค์กร  และธรรมสถานต่าง ๆ เช่น  วัดพระธาตุทรายทอง  จังหวัดลำพูน  สำนักสอนทวี  จังหวัดฉะเชิงเทรา  เซคคั่นโฮม  รีสอร์ท  จังหวัดกาญจนบุรี  สวนยินดีธรรม  จังหวัดสุราษณฎร์ธานี ฯลฯ  แถมยังมีอีกหลายครั้งที่ท่านเดินทางไปจัดอบรมถึงประเทศนิวซีแลนด์และเยอรมนีเลยทีเดียว
ถ้าจะพูดให้เห็นภาพก็เรียกได้ว่า  ในแวดวงผู้ปฏิบัติธรรม พระอาจารย์นวลจันทร์นั้นถือว่าเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่ฮ็อตฮิตและมีลูกศิษย์มาก ถึงขนาดที่ว่าทันทีที่คุณรู้ข่าวว่าท่านกำลังจะเปิดคอร์สที่ไหน  ตอนนั้นคุณก็อาจหมดสิทธิ์เข้าคอร์สเพราะมีคนจองเต็มไปหมดแล้วก็เป็นได้
อาจด้วยวัยเพียง 40 ปี  ภาษาพูดที่เหมือนจะวกวน  แต่กลับสะกิดหูใครหลายคน มาดอันสุขุมนุ่มลึกราวกับจะประกาศธรรมให้สาธุชนรับรู้อยู่ตลอดเวลา  หรือจริยวัตรอันงดงามของเหล่าลูกศิษย์ จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม  พระอาจารย์นวลจันทร์ท่านนี้คือผู้ที่ได้สร้างปรากฎการณ์ทำให้ชายหนุ่มหลายคนปรี่เข้ามาขอบวชเรียนทันทีที่จบคอร์สมาแล้วนักต่อนัก
และสิ่งที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ก็คือเรื่องราวของชายหนุ่มเก้าคนในจำนวนลูกศิษย์ทั้งหลายของท่าน  ที่พระอาจารย์นวลจันทร์คัดสรรมาแล้วว่าเป็นผู้เก็บเกี่ยววิทยายุทธ์จากท่านมาได้อย่างเต็มที่ที่สุด
พระอาจารย์นวลจันทร์กล่าวถึงพวกเขาทั้งเก้าไว้ว่า
“ทุกวันนี้ค่านิยมของคนในสังคมเปลี่ยนไป  เขามองว่าคนที่บวชคือคนที่อกหัก  หลักลอย  คอยงาน  บ้างก็บวชเพื่อแก้บน  บวชตามเพื่อน  บวชหนีปัญหา  บวชหาเงินใช้หนี้ ฯลฯ  แต่คนทั้งเก้าที่อาตมาเลือกมา  คนเหล่านี้ไม่ใช่คนอกหัก  หลักลอย  หรือคอยงาน  แต่เป็นคนรุ่นใหม่และน่าสนใจทุกวัน  บางคนประสบความสำเร็จสูงมาก  เป็นมือหนึ่งด้วยซ้ำ  ที่กำลังจะเป็นดอกเตอร์ก็มี  คนเหล่านี้แหละที่จะเป็นตัวแทนตอบคำถามให้กัคนในสังคมได้ว่า ...เป็นพระไปทำไม
“จุดหนึ่งที่อาตมาเห็นว่าทุกคนมีตรงกันก็คือ  แต่ละคนมีบุคลิกที่แข็งมาก บางคนอยู่ใกล้วัดแท้ ๆ เห็นพระบ่อย  แต่ก็ไม่ศรัทธาหรือเลื่อมใสอะไร  บางคนถึงขั้นบอกว่าตัวเองไม่มีศาสนา  ไม่มีเรื่องพระเรื่องเจ้าอยู่ในหัวสมอง  ไม่มีทางไหว้พระด้วยซ้ำ แต่จู่ ๆ กลับมาสยบลงได้เพราะอะไร
“ตัวอาตมาเองเป็นพระอยู่แล้วก็พูดยาก  เลยอยากให้คนทั้งเก้าคนได้พูดเองน่าจะดีกว่า  ผู้อ่านก็จะได้รู้ว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงได้หันเข้าหาธรรมะจนถึงขั้นตัดสินใจบวช  และการบวชเปลี่ยนแปลงเขาแต่ละคนได้อย่างไร  ตรงนี้น่าสนใจ
“อาตมาอยากให้คนทั่วไปที่อยู่นอกวัดได้เกิดแรงบันดาลใจในเรื่องของศาสนาและธรรมะผ่านประสบการณ์การบวชของทั้งเก้าคนนี้  เพื่อจะได้กลับมาเห็นคุณค่า  เห็นความสำคัญ  เห็นประโยชน์ของธรรมะ  ศาสนา  และการบวชกันอีกครั้ง”

พร้อมหรือยังที่จะไปร่วมกันหาคำตอบว่า 1 พระอาจารย์ท่านนี้สามารถปิดอบายให้ 9 มารร้ายใน 1 พรรษาได้อย่างไร

“อาตมาอยากให้คนทั่วไป
ที่อยู่นอกวัดได้เกิดแรงบันดาลใจ
ในเรื่องของศาสนาและธรรมะ
ผ่านประสบการณ์ของการบวชของทั้งเก้าคนนี้
เพื่อจะได้กลับมาเห็นคุณค่า
เห็นความสำคัญ เห็นประโยชน์ของธรรมะ
ศาสนา และการบวชกันอีกครั้ง”









บทที่ 1
คนนอกศาสนา
คุณวิสันต์ ปลั่งกมล / อายุ 33 ปี
ประกอบธุรกิจส่วนตัวที่ประเทศเยอรมนี / บวชพรรษา 2553

พระอาจารย์นวลจันทร์พูดถึงคุณวิสันต์
“คนคนนี้เป็นคนไม่มีศาสนา ชีวิตดี ๆ ไม่เคยมี  ทำชั่วมาตลอด  เป็นตัวร้ายเป็นตัวป่วนเลย  คิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว  แต่พอได้มาเข้าคอร์สซึ่งอาตมาไปเปิดที่เยอรมนีแค่ 3 วันเท่านั้น  เขาเปลี่ยนทันที เพราะได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องจิตดวงสุดท้าย  ซึ่งทำให้เขาหนาวสะท้าน  เพราะรู้ว่าตัวเองเสร็จแน่ ไม่รอดแน่  เดินทางตรงสู่นรกแน่นอน  จึงเกิดกลับบาปมากจนตัวสั่น  ไม่กล้าที่จะทำบาปอีก และคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะปิดอบายให้ได้ในชาตินี้  พอรู้ว่าการภาวนาเป็นทางลัดตัดตรงที่จะช่วยได้จริง  จึงรีบมาขอบวชทันที  จะได้เรียนรู้การภาวนาเพื่อปิดอบาย และเมื่อฝึกแล้วก็ได้ผลจริง ๆ”

ชีวิตส่วนใหญ่ผมอยู่เมืองนอก  แม่พาผม  พี่ชาย  และน้องชายไปตั้งรกรากอยู่ที่เยอรมนีตั้งแต่ผมเรียน ป.3 แรก ๆ ฐานะพวกเรายังไม่ดีเท่าไหร่  แม่คนเดียวต้องทำงานหนักถึงวันละสองกะ  เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว
อยู่ที่นั่นผมทั้งเรียน  ทำงาน  และเที่ยวเล่นไปตามประสา  หลงลืมภาษาไทยไปไม่น้อย  เพราะไม่มีใครให้พูดไทยด้วย  แถมไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนาเลย  แม้จะมีพื้นมาจากเมืองไทยมาก่อน  แต่ช่วงนั้นก็หลงลืมไป  เพราะเพื่อนต่างชาตินับถือคริสต์ทั้งนั้น  ตอนวัยรุ่นผมเคยลองเหมือนกันว่าศาสนาคริสต์เป็นอย่างไร  แต่นับถือได้สักพักก็รู้สึกว่าไม่ใช่  สุดท้ายจึงไม่นับถือศาสนาอะไรเลย  ผมคิดว่าศาสนาก็คือตัวผมเองนี่แหละ  เนื่องจากผมยึดตัวเองเป็นหลัก  เพราะตอนวัยรุ่นผมทำอะไรก็ได้ดี  ทำอะไรก็เก่งไปหมด เล่นกีฬาดี  เล่นดนตรีได้ เรียน ๆ หยุด ๆ เกรดก็ยังสวย  ผมจึงเป็นคนเชื่อมั่นในตนเองสูง  ไม่ฟังใคร  อัตตาจึงเริ่มสั่งสมตั้งแต่นั้นมา
หลังผ่านชีวิตมัธยม  ผมไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย  เหตุผลหลักคือไม่รู้จะเรียนไปทำไม  เพราะถึงเราไม่มีกระดาษรับรองวุฒิก็จริง  แต่ความสามารถที่สั่งสมมาจากการเรียนไปทำงานไปด้วยมีมากกว่าคนจบมหาวิทยาลัยเสียอีก  อายุแค่ 18 ก็ได้เป็นหัวหน้าควบคุมคอมพิวเตอร์และกลไกต่าง ๆ เก่งถึงขั้นที่เคยเป็นแฮกเกอร์โกงเงินชาวบ้านมาแล้ว  ผมตั้งบริษัทที่อ้างว่าให้ความช่วยเหลือด้านคอมพิวเตอร์  ถ้ใครมีปัญหาก็ให้โทรศัพท์มา  แต่ที่จริงระหว่างนั้นเราแอบยักยอกเงินเขาอยู่ เดือนแรกผมหาเงินจากอาชีพนี้เทียบเป็นเงินไทยได้ประมาณ 160,000 บาท  เดือนที่สอง 260,000 บาท  พอเดือนที่สามก็เป็น 2,000,000 บาทเลย  ตอนนั้นผมไม่ได้มองว่านั่นเป็นการทำร้ายผู้อื่น  แต่ไม่คิดว่าผิดกฎหมายด้วยซ้ำ  เนื่องจาก ผมไม่เกรงกลัวบาป ไม่รู้จักนรก-สวรรค์ เพราะยังขาดพระพุทธศาสนาในหัวใจ รู้แต่ว่ากูเก่ง  กูสนุก  แถมทำเงินได้เยอะตั้งแต่เด็ก  ในขณะคนที่แก่กว่าเรายังไปไม่ถึงไหนเลย
ผมทำอย่างนี้มาเรื่อย  รู้ตัวอีกทีก็ถูกตำรวจบุกค้นบ้านและจับเข้าคุก  ผมจึงต้องติดคุกอยู่หนึ่งวัน  แถมมีคดีติดตัวตลอดไป แต่โชคดีที่ตอนนั้นอายุยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์  เลยได้ผ่อนผันและรอลงอาญาไว้สามปี
เหตุการณ์ทำให้แม่ผมร้องไห้เยอะมาก  แม่ขอให้เลิก  ผมก็เลิกเพื่อแม่นะ  กำลังคิดว่าจะกลับไปเรียนต่อ  แต่บังเอิญมีเรื่องเสียก่อน  คือผมเกิดติดใจในอาชีพตำรวจ Kripo (คล้าย FBI ของสหรัฐอเมริกา)  จากที่เห็นเขาบุกค้นบ้านตัวเองแล้วรู้สึกว่าเท่ดี  เป็นอาชีพที่น่าทำมาก  ผมจึงไปสมัครงานอาชีพนี้  แต่ติดตรงที่เราเคยมีคดีมาก่อน  เขาจึงปฏิเสธ  และเพราะถูกปฏิเสธครั้งนั้นนั่นแหละ  ผมก็เลยออกอาการ “ขวางโลก” ป้ายโทษเขาเสียยกใหญ่ว่าทำไมคนเราทำผิดครั้งเดียวก็ต้องตัดโอกาสกันด้วย  ทั้งที่ผมยังเด็กอยู่เลย  ยังไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดกฎหมายด้วยซ้ำ!
ชีวิตผมตกต่ำหลังจากนั้น  ทุลักทุเลเร่ร่อนไปเรื่อย  เข้าผับเข้าบาร์  ดิสโก้เธ็ค  เล่นสนุ้กเกอร์ ทำตัวเหลวแหลก  ทดลองมั่วไปหมด  ทั้งเหล้า  บุหรี่  กัญชา  เข้าแก๊งยกพวกตีกันก็เคย  ผมใช้ชีวิตผิด ๆ อยู่นาน  เพราะมีความคิดแบบเด็ก ๆ ว่าเป็นอย่างนี้แล้วเจ๋งดี  พอทำบ่อยเข้าก็ชินจนไม่สะทกสะท้าน  ทั้งที่จริง ๆ จิตใจผมไม่ได้ร้ายนะ  แต่ที่เป็นอย่างนั้นเพราะไม่มีสติมากกว่า
ผมใช้ชีวิตแบบนั้นมาจนได้แฟนตอนอายุ 24 ตอนนั้นผมทำงานกาสิโน  เงินเดือนดีมาก  จนบินกลับมาเมืองไทยได้  ผมจึงได้พบกับแฟนคนนี้  ซึ่งปัจจุบันคือภรรยาของผม  ทันทีที่ได้เจอกันผมก็รู้ว่าคนนี้แหละใช่เลย  ตั้งแต่นั้นมาผมจึงบินมาหาเธอที่เมืองไทยบ่อย ๆ ปีละหลายครั้ง  แต่คบกันไม่นานเธอก็ท้อง  และด้วยความที่ยังไม่มั่นใจในอนาคตของเรา  และไม่รู้ว่าผมจะรักเธอจริงไหม  กลัวว่าในที่สุดผมจะทิ้งเธอไป  สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจไปเอาเด็กออก  พวกเราก็เลยต้องเสียลูกคนแรกไปเพราะ การทำแท้ง...
ตอนนั้นแม่กับพี่ชายผมเปิดร้านอาหารไทยอยู่ในเยอรมนี  ต่อมาเมื่อพวกเขาเปิดร้านที่สอง  ผมจึงได้ดูแลกิจการแทนและพาภรรยามาอยู่ด้วย  แต่ทำไปได้แค่ปีกว่า  ผมก็เบื่อ  รู้สึกว่าไม่ใช่  เพราะวัน ๆ แทบไม่ได้พักเลย  ปิดร้านก็ต้องไปซื้อของ  กลางคืนได้นอนไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว  แถมรายได้ก็ไม่ค่อยดี  ช่วงนั้นผมถามตัวเองบ่อยมากว่าเราจะต้องใช้ชีวิตอย่างนี้ตลอดไปเลยหรือ  สุดท้ายผมจึงเลิกทำและเซ้งร้านให้คนอื่นไป  แต่ยังดีที่แม่ยังทำร้านของท่านต่อไป  และขยันจนเก็บเงินซื้อบ้าน  ซื้อที่ดินและทำบ้านชั้นล่างให้เป็นร้านอาหาร  ชั้นบนมีสปากับนวดแผนโบราณได้  ผมและภรรยาเลยย้ายเข้ามาช่วยงานอยู่กับแม่
หลายอย่างเริ่มดีขึ้นเมื่อผมช่วยที่บ้านทำงานไปเรื่อยและไม่ได้เกเรเหมือนเก่า  แต่ชีวิตก็มาพลิกผันอีกครั้งเมื่อภรรยาตั้งท้องลูกคนที่สอง  ตอนนั้นผมอายุเกือบ 32 แล้ว  และได้งานเป็นนักร้องที่มิวนิก  อาชีพนักร้องทำให้ผมต้องพบปะผู้คนมากมายและพบเจอสาว ๆ มากหน้าหลายตา  แถมผมยังมีนารีอุปถัมภ์อีกต่างหาก  ดังนั้นเมื่อภรรยาท้องผมจึงเริ่มทำตัวเหลวไหล  สูบบุหรี่  กินเหล้า  เสพยา  มั่วหญิงไปเรื่อย  ส่วนภรรยานั้นผมส่งกลับไปอยู่กับแม่  ตอนนั้นผมจึงอยู่มิวนิกเพียงคนเดียว  และใช้ชีวิตอิสระเต็มที่จนเคยตัว  ถึงขนาดที่ว่าหลังจากนั้นอีกหกเดือนผมกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง  แม้จะพาภรรยากลับมาด้วยก็จริง  แต่ช่วงเวลาหนึ่งเดือนในเมืองไทยผมอยู่กับเธอแค่ไม่ถคงสัปดาห์เท่านั้น  ที่เหลือผมไม่กลับบ้านเลย  ได้แต่ไปเที่ยวทั่วมั่วซั่ว  โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกของเธอเลยสักนิดเดียว
หลังกลับจากเมืองไทยผมไปส่งเธอที่บ้านแม่  ส่วนตัวเองก็กลับไปทำงานเป็นนักร้องเหมือนเดิม  เพราะรายได้ดี  มากถึงขนาดที่ว่าชีวิตนี้ไม่ต้องทำอะไรอีกก็ได้  เพราะนอกจากร้องเพลงได้แล้ว  หน้าตาผมก็ไม่ใช่ขี้เหร่  จะจัดว่าเป็นดาวเด่นของที่นั่นเลยก็ได้  อัตตาของผมจึงโตตาม  ผมทำตัวกร่าง  ไม่แคร์ความรู้สึก  ไม่เกรงใจใคร  หน้าคนอื่นผมแทบไม่มอง  รู้แต่ว่าเราเก่ง  ถ้าใครดีมา  ผมก็ดีด้วย  แต่ถ้าใครร้ายมา  ผมร้ายตอบทันที  ดวลกันตัวต่อตัว  หรือไม่ก็เลิกคบไปเลยเสียให้ได้  แต่เพราะผมอยากได้ลูกผู้หญิง  จึงยื่นข้อเสนอไปว่า  “ถ้าลูกเกิดมาเป็นผู้หญิงผมจะกลับมาอยู่ด้วย  แต่ถ้าลูกเป็นผู้ชาย  เราเลิกกัน”
ผลปรากฏว่าลูกของผมคลอดออกมาเป็น...ผู้หญิง!
เอาละสิ  พูดไปแล้ว  จะทำอย่างไรดี
ช่วงนั้นผมเองก็ติดหญิงอยู่ด้วย  แต่...ถึงอย่างไรก็ต้องตัดใจครับ  เพราะผมอยากได้ลูกสาวจริง ๆ และทันทีที่ผู้ชายเจ้าชู้อย่างผมมีลูกสาว  เราก็กลัวว่าสิ่งเลว ๆ ที่เคยทำไว้จะตกไปสู่ลูก  ผมไม่อยากให้ลูกต้องมารับกรรมแทนตัวผมเลยแม้แต่น้อย  ด้วยความรักที่มาจากใจจริง  วันนั้นผมจึงกัดฟันเลิกหมดทุกอย่าง  ทั้งบุหรี่  เหล้า  ผู้หญิง  ผมเลิกหมดทันทีที่เห็นหน้าลูก  ไม่กลับไปยุ่งกับอบายมุขอีกเลย
ตั้งแต่นั้นมาผมกับภรรยาจึงกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง  แรก ๆ เราไม่ได้คุยกันดีเท่าไหร่  เพราะเขาเองก็ถูกกระทำไว้มาก  จึงได้แต่ต่างคนต่างอยู่เพื่อลูก  โดยผมกลับมาทำงานที่ร้านแม่เหมือนเดิม  เป็นทั้งกุ๊ก  ทั้งพนักงานเสิร์ฟ  และผู้จัดการในคนเดียว  สลับกับการดูแลลูกตั้งแต่ตื่นนอน  ให้นม  อาบน้ำ  ดูแลเขาอย่างดี  เพราะเป็นที่รักของเรา
ในที่สุดพระพุทธศาสนาก็กลับมาในชีวิตของผมอีกครั้งเพราะพี่ชายของผมเป็นคนธรรมะธัมโมมาตั้งแต่แรก  นิสัยของเราคนละอย่างกับผม  คือไม่เคยทำอะไรเสียหาย  ครั้งหนึ่งเขานิมนต์พระอาจารย์นวลจันทร์ให้มาเปิดคอร์สที่เยอรมนี  และลงชื่อผมไปในใบสมัครด้วย  เป็นการบังคับให้ผมเข้าอบรม  เพราะเขาไม่อยากเห็นเราเลวร้ายไปกว่านี้
แรก ๆ ผมมองคนอื่นที่มาเข้าคอร์สด้วยสายตาเหยียดหยามมาก  ประมาณว่า  คนนี้ไปทำอะไรมาถึงได้หน้าตาแย่จัง  ไม่อยากอยู่ใกล้เลย  หรือบางคนแค่เจอกันก็ไม่ถูกชะตาเสียแล้ว  เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงที่พอให้คิดไปได้ว่าคนนี้ต้องไม่ใช่คนดีแน่ ๆ กระทั่งเมื่อได้ฟังสิ่งที่พระอาจารย์สอน  แค่วันแรกผมก็รู้สึกแปลก ๆ ในใจ  เพราะพระอาจารย์ท่านสอนไม่เหมือนใครและไม่ธรรมดา  ท่านทำให้ผมเริ่มกลัวว่านรก-สวรรค์อาจจะมีจริง  และบาปที่ทำลงไปนั้นผมอาจจะต้องชดใช้
ผมสงสัยเรื่องนี้อยู่ไม่นาน  วันรุ่งขึ้นพระอาจารย์ก็เทศน์เรื่องนี้อีกครั้ง  คราวนี้ผมรับสารไปเต็ม ๆ เลย  สิ่งที่ท่านสอนแทงเข้าไปในใจผม  ลึกมากจนผมรู้สึกเลยว่าตัวเองเหมือนอยู่ในเงามืดของกะลาที่คว่ำอยู่  แล้วมีคนมาทุบกะลาให้แตกจนแสงสว่างผ่านเข้ามาได้  พระอาจารย์นวลจันทร์คือผู้ที่นำแสงสว่างมาให้ชีวิตผม  และทำให้ผมเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาอีกครั้ง
อันที่จริงศาสนาพุทธอยู่ในใจผมมาตั้งแต่เด็กแล้ว  แต่เหมือนถูกปิดผนึกไว้แน่นจนเราลืมและไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป  อัตตาที่ทำให้ผมเชื่อตัวเองมากกว่า  แต่เมื่อได้ซึมซับคำสอนของพระอาจารย์แล้ว  วินาทีนั้นเหมือนมีระเบิกเปรี้ยง  ทำให้ผมเกิดศรัทธาแรงกล้าขึ้นอีกครั้ง  และมองเห็นสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน  ความเลวทั้งหมดกระหน่ำถาโถมเข้ามาหาผมเหมือนฉายหนังให้ดู  ทำให้ผมรู้สึกกลัวจนตัวสั่นจริง ๆ ว่าบาปกรรมที่ทำลงไปจะต้องทำให้ผมตกนรกแน่ ๆ
ทำอย่างไรดี
โชคดีที่ในคอร์สนั้นพระอาจารย์สอนเรื่อง จิตดวงสุดท้าย ก่อนตายด้วย  ท่านบอกว่า  ถ้าเราทำชั่วไว้มาก  จิตก็จะจับความเคยชินอย่างนั้นไว้  ทำให้เราไปเกิดในที่ไม่ดี  ส่วนสิ่งที่จะช่วยแก้ไข  ตัดบ่วงกรรมนี้ได้ก็คือ  การเจริญสติ
ทันทีที่รู้  ผมตื่นเต้นมากว่ามีการฝึกอย่างนี้ด้วยหรือ  ผมเลยเข้าไปกราบพระอาจารย์และบอกท่านเลยว่า  “ผมจะขอบวช”  ทั้งที่ลูกผมเพิ่งอายุแค่ 6-7 เดือนเท่านั้น  แต่ตอนนั้นอะไรก็ฉุดผมไว้ไม่อยู่แล้วละ
แม้ผมจะเคยบวชมาก่อนตอนอายุ 21  แต่นั่นก็เป็นเพียงการบวชให้แม่แค่ไม่กี่วันตามประเพณี  ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการบวชคืออะไร  เพราะบวชแล้วไม่เห็นจะมีอะไร  ตื่นเช้าก็จริง  แต่ก็แค่ตื่นมาสวดมนต์  บิณฑบาตร  พอฉันเสร็จก็จำวัด  ห่มผ้าเหลืองอยู่ในวัดแค่ 7 วันก็จบ  แต่เห็นเขาว่าดีก็ทำตามกันไป  พระธรรมคืออะไร  พระพุทธเจ้าสอนอะไร  ไม่รู้เรื่องเลย  ต่างกับคราวที่ผมตั้งใจบินกลับเมืองไทยพร้อมกับพระอาจารย์  มาบวช 1 พรรษาเพื่อปิดประตูนรกตามที่พระอาจารย์สอนว่า หากฝึกจิตให้ดีแล้วมีสัมมาสติแล้ว  เราก็จะปิดประตูนรกได้  คนนิสัยเสียอย่างผมเริ่มต้นด้วยเป้าหมายนี้แหละ
แรกทีเดียวผมตั้งใจว่าจะบวชไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะปิดประตูนรกได้  ส่วนเรื่องลูกเมียเอาไว้ก่อน  เพราผมอยากพิสูจน์ว่าเส้นทางนี้คือทางที่ใช่หรือไม่  พระพุทธศาสนาสามารถให้คำตอบได้ไหมว่าผมขาดอะไร  ทำไมถึงต้องวุ่นวายมาทั้งชีวิต  ก่อนวันบวชผมจึงโทรศัพท์กลับไปบอกภรรยาว่า  บางทีผมอาจจะไม่สึก  เท่านั้นเอง  ภรรยาก็พูดกลับมาว่า...
เธอกำลังตั้งท้องลูกอีกหนึ่งคน!
ภรรยาผมคงตกใจกลัวที่ได้ยินแบบั้น  จึงพูดความจริงออกมา  ทั้งที่เธอรู้อยู่นานแล้วว่าตัวเองท้อง  แต่ก่อนหน้านี้เธอไม่ปริปากบอกผม  และยอมปล่อยให้ผมมาบวชแต่โดยดี  เพื่อไม่ให้ผมเป็นกังวล  คิดดูสิครับว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เลี้ยงลูกอยู่ต่างแดน  อาศัยอยู่กับแม่สามี  สามีเองก็ไม่ค่อยกลับบ้าน  แต่เธอก็ยังใจกว้างเปิดโอกาสให้ผมได้มาพบกับสิ่งดี ๆ อย่างนี้  นี่ถ้าเธอเป็นคนเห็นแก่ตัว  ไม่อนุญาตให้ผมมาบวช  ผมก็คงจะต้องตัดใจไม่ได้บวชแล้ว  นี่จึงนับว่าเป็นโชคดีของผม  หรือจะเรียกว่าธรรมะจัดสรรก็ไม่ทราบได้  ผมจึงต้องขอขอบคุณและชื่นชมในความดีของภรรยาผมไว้ ณ ที่นี้ด้วย
หลังพิธีบวชเสร็จ  ผมไปจำพรรษาอยู่ที่ศูนย์วิปัสสนายุวพุทธฯเฉลิมพระเกียรติ (ศูนย์ 2)  ที่นั่นมีกุฏิอยู่ 9 หลัง  เป็นกุฏิเดี่ยวที่สร้างไว้ให้พระสงฆ์ได้ปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้นตลอดพรรษา  พื้นที่ของแต่ละกุฏิห่างกันไม่มากนัก  มีต้นไม้ขึ้นแซมกำลังดี  ภายในเป็นห้องโล่ง ๆ ไม่มีเตียง  ไม่มีโทรทัศน์  มีแค่พัดลมกับหมอนใบเล็ก  และผ้าห่มผืนบาง  ถึงจะอึดอัด  แต่ผมก็ต้องปรับตัวเข้ากับทุกสิ่งให้ได้  รวมทั้งต้องปรับตัวให้เข้ากับกิจวัตรของสงฆ์ที่ไม่นึกเลยว่าจะเหนื่อยหนักขนาดนี้ให้ได้ด้วย
กิจของสงฆ์ที่ว่าได้แก่  สงฆ์ทุกรูปต้องตื่นตั้งตีหนึ่งครึ่ง  เดินจงกรม  นั่งสมาธิตั้งแต่ตีสองถึงตีสี่ครึ่ง  จากนั้นก็เตรียมตัวทำวัตรเช้าตอนตีห้า  เพื่อออกบิณฑบาตไปตามเส้นทางที่ยาวประมาณห้ากิโลเมตรตอนหกโมงเช้า  ตัวผมเองเกิดมาไม่เคยเดินเท้าเปล่านอกบ้านมาก่อน  แถมปกติยังสำอางถึงขนาดที่ต้องใส่รองเท้าแบบมีพื้นรองนุ่ม ๆ ด้วย  เมื่อเห็นก้อนหินดินทรายระหว่างทางแล้วใจจึงคิดขึ้นมาเลยว่าจะไหวไหมหนอ  แต่ก็ต้องทนละครับ  ผมต้องเดินเท้าเปล่าอยู่สองชั่วโมงกว่าจะได้กลับวัด  แถมระหว่างทางก็เป็นหมู่บ้านของคนยากจนที่แทบจะไม่มีกิน  แต่พวกเขาก็ยังมีศรัทธาออกมารอพระบิณฑบาต  ผมไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย
เมื่อบิณฑบาตเสร็จ  เราก็ต้องกลับมาสรงน้ำ  เปลี่ยนจีวร  แล้วลงไปฉันตอนแปดโมงครึ่ง  ซึ่งจะเป็นการฉันเพียงมื้อเดียวของแต่ละวัน  โดยต้องนำอาหารทุกอย่างทั้งคาวหวานใส่บาตรฉันรวมกันทีเดียว  จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงของการทำความสะอาดและพักผ่อนประมาณหนึ่งชั่วโมง  ก่อนจะออกเดินจงกรม  นั่งสมาธิตอนเที่ยง  จนถึงบ่ายสามโมงครึ่งค่อยแยกย้ายกันไปกวาดใบไม้รอบกุฏิ  แล้วมารวมตัวกันอีกครั้งตอนสี่โมงครึ่ง  เพื่อพูดคุยถามไถ่ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ยังข้องใจ เช่น  การบวชใหม่  สภาวธรรม ฯลฯ
หกโมงเย็นเป็นช่วงเวลาของการทำวัตรเย็น  ต่อด้วยการเดินจงกรม  นั่งสมาธิและพูดคุยกันเหมือนเดิม  จนกระทั่งสามทุ่มครึ่งเราจึงผลัดกันไปนวดให้พระอาจารย์  ส่วนใครที่ไม่ใช่เวรก็ไปจำวัดได้  ในขณะคนที่ต้องไปนวดกว่าจะได้นอนก็อาจจะเป็นเวลาห้าทุ่มหรือเที่ยงคืนไปแล้ว
นี่คือกิจวัตรที่คณะสงฆ์ที่บวชกับพระอาจารย์นวลจันทร์ต้องทำทุกวันตลอดทั้งพรรษา  เจออย่างนี้เข้าไปครั้งแรกผมแทบช็อก  ต้องปรับตัวกันเป็นเดือนกว่าจะอยู่ตัว  หลับได้อย่างสบาย  และไม่ง่วงแม้จะได้นอนแค่สี่ชั่วโมง  นี่แหละครับ  กิจของพระสายวัดป่า  สมดังภาษิตที่ว่า “พระนอน 4 เศรษฐีนอน 6 ยาจกนอน 8” จริง ๆ
นอกจากกิจวัตรประจำวันทั้งหลายนี้ก็ยังมีกิจกรรมพิเศษอื่น ๆ ที่เราต้องทำอีกขณะที่บวชเป็นพระ เช่น การล้างเท้าให้พระอาจารย์หรือล้างเท้าให้เพื่อน  ซึ่งทีแรกผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าตัวเองจะยอมล้างเท้าให้เพื่อนได้ไหม  แต่เมื่อเห็นพระอาจารย์และพระพี่เลี้ยงทำให้ดูก่อนว่าแม้แต่ท่านเองก็ยังทำได้  ผมจึงลองทำตาม  และเมื่อทำแล้วรู้สึกเลยครับว่าไม่เห็นจะยากเสียหน่อย  และยิ่งทำบ่อยเข้าจิตใจของเราก็ค่อย ๆ ถูกขัดเกลา  จนกระทั่งเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา  อัตตาตัวตนที่เคยมีที่เคยบอกตัวเองว่าจะไม่ยอมก้มหัวให้ใครจึงค่อย ๆ จางลง
ถ้าคิดให้ดี  กิจกรรมของสงห์ทั้งหมดนั้น  นอกจากจะช่วยให้เราไม่ยึดติดกับอะไรเดิม ๆ แล้ว  ยังช่วยลดความเห็นแก่ตัวของเราลงอีกด้วย  เพราจะเห็นได้ชัดว่าชีวิตในฐานะสงห์นั้น เราไม่ได้ปรับตัวเข้าหาคน  แต่เราต่างก็ปรับตนเข้าหาธรรม  และเมื่อปฏิบัติบ่อยเข้าทุก ๆ วัน  ผมก็เริ่มมองเห็นความรู้สึกของตัวเองชัดขึ้น  แรก ๆ ก็เห็นสิ่งที่หนักและหยาบก่อน  เช่น  ความโกรธ  ความโมโห  ความเครียด  ความเบื่อหน่าย  ฯลฯ  จากนั้นจึงค่อย ๆ เห็นไปถึงความรู้สึกเล็ก ๆ บาง ๆ จนในที่สุดเกิดความเข้าใจว่า มนุษย์ทุกคนเหมือนกัน เราต่างก็ล้วนมีทุกความรู้สึกผสมอยู่ในตัวเอง  ผมรู้แล้วว่าคนเราไม่ได้เกิดมาเลวโดยสันดาน  มีแต่คนที่ไม่รู้ตัวว่าเผลอทำอะไรลงไปก็เท่านั้นเอง  พระอาจารย์พูดว่าเหมือนเราเดินหลงทางกันมานานแล้ว  ไม่มีแผนที่นำทาง  ไม่มีเครื่องมือช่วยบอกให้เดินทางไปได้อย่างถูกต้อง  หากรู้ว่าทางไหนถูก  เราก็คงจะเดินไปทางนั้น
การบวชทำให้ผมมีทางเดินที่ถูกต้องและเข้าใจเพื่อนมนุษย์มากขึ้น  เมื่อเราเคยมองคนแต่ภายนอก  เห็นหน้าตาแล้วตัดสินเลยว่าชอบหรือไม่  ทั้งที่ยังไม่รู้จักนิสัยด้วยซ้ำ  ซึ่งเขาเองก็คงทำเหมือนกัน  เพราะเราต่างก็ไม่รู้  แต่การบวชทำให้ผมเลิกมองคนอื่นในแง่ร้าย  แต่มองว่าทุกคนน่าสงสารหมด  เพราะเราต่างเกิดมามีกรรมเป็นของตัวเอง  และต้องประสบกับความทุกข์เหมือน ๆ กัน  ผมจึงเข้าใจแล้วว่าโลกเป็นเช่นนี้เอง  ทุกครั้งที่พระอาจารย์เปิดคอร์สอบรม  ผู้คนที่มาเข้าคอร์สทำให้ผมได้เห็นว่าคนเราต่างมีอัตตาด้วยกันทั้งนั้น  จึงคิดว่าตัวเองทำถูกแล้ว  ก็เลยไม่ยอมใคร  แต่จบคอร์สทีไร  ทุกคนก้มลงกราบพระได้อย่างหมดอัตตา  บางคนถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยศรัทธาที่รู้แล้วว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร
ทุกวันนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าเราทุกคนเกิดมาเพื่อ  สานต่อให้จบ  นั่นคือความจริงของชีวิต  เราเวียนว่ายตายเกิดกันมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่  ผมมั่นใจว่าทุกคนเคยเป็นทุกอย่างมาหมดแล้ว  ไม่ว่าจะรวยล้นฟ้าหรือยากจนไม่มีจะกิน  เคยเป็นทั้งหญิงและชาย  เป็นอะไรต่อมิอะไรมาหมดแล้ว  คำถามคือ  แล้วเรายังอยากจะเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีกหรือ
เมื่อเข้าใจความจริงนี้  ผมก็ตั้งปณิธานไว้เลยว่าจะไม่เกิดอีกแล้ว  เพราะชาตินี้คือชาติที่ดีที่สุดแล้ว  เรามีบุญวาสนาอย่างที่สุดถึงได้มาพบพระพุทธศาสนา  ได้มารู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร  ในเมื่อชาตินี้เป็นชาติที่ดีที่สุด  เราก็ควรทำทุกอย่างให้จบเสียชาตินี้  หากไม่จบชาตินี้ก็ไม่รู้ว่าหาทางข้างหน้าจะมีโอกาสอีกไหม  ถ้ายังหวังจะเกิดมามีทุกอย่างเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  คุณประมาทไปหรือเปล่า  ลองคิดดูสิ  โอกาสที่จะเกิดมาเป็นคน  ได้มารู้จักและอยู่ในพระพุทธศาสนา  ได้มาฝึกปฏิบัติ  ได้มาบวชเรียน  โอกาสที่จะได้ทุกอย่างครบแบบนี้จะมีอีกหรือ  ผมจะไม่มีวันชะล่าใจหรือประมาทกับชีวิตอย่างนั้นอีกแน่นอน  เพราะถ้าพลั้งพลาดเกิดมาแล้วไม่พบพระพุทธศาสนาแถมยังทำชั่วเข้าไปอีก  คราวนี้คงไม่รู้แล้วว่าจะต้องเวียนว่ายตายเกิดหรือตกนรกไปอีกนานเท่าไหร่
วิธีที่เราจะหยุดการเวียนว่ายตายเกิดลงได้  ซึ่งก็คือคำสอนหลักของพระพุทธเจ้านั้น  ในความเข้าใจของผมคือ  การรู้เท่าทันทุกข์และทำกิเลสให้หมดสิ้นไป  เพื่อขจัดสิ่งที่เรียกว่า อวิชชา  คือความไม่รู้  ซึ่งคอยบงการชีวิตเราอยู่  ด้วยการหมั่นเจริญวิปัสสนากรรมฐาน  คือการมารู้ที่กายที่ใจของเรานี้เอง  หากเรายังมีโลภ  โกรธ  หลง  เกิดขึ้นภายในใจ  นั่นแสดงว่าเรายังไม่มีสติมากพอ  แต่ถ้าเรามีสติกับสัมมาสมาธิควบคู่กันไปเมื่อไหร่  ปัญญาก็จะบังเกิดให้เห็นแจ้งว่า  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาตั้งอยู่เป็นธรรมดา  และย่อมดับไปเป็นธรรมดา  ทุกอย่างไม่เที่ยง  เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ได้ก็แสดงว่าใกล้แล้ว  เราใกล้พอที่จะสานต่อให้จบแล้ว
สำหรับผม  การบวชเป็นพระมีข้อดีคือทำให้เรามีเวลาภาวนาดูกายดูใจของตัวเองเยอะ  ฆราวาสทั่วไปอาจทำได้อย่างมากแค่วันละชั่วโมง  แต่พระมีเวลาภาวนาได้ทั้งวัน  ทุกวัน  สม่ำเสมอ  จึงเห็นทุกข์มากกว่าใครจนชิน  สุดท้ายจิตจึงเปลี่ยนไปเอง  เพราะเห็นแล้วว่าทุกข์คืออะไร  ทุกข์เป็นแค่ของชั่วคราวที่เกิดขึ้นเอง  ตั้งอยู่เอง  และดับไปเอง  เราไปทำอะไรกับทุกข์ไม่ได้เลย  เมื่อก่อนทุกข์แล้วเราอาจแก้ด้วยการเปลี่ยนไปทำสิ่งอื่น  แต่เมื่อเข้าใจแล้วว่าทำอะไรไม่ได้  เราก็เลยทำได้เพียงรู้เฉย ๆ
เรื่องของ ความกลัว ก็เช่นกัน  เมื่อก่อนผมเป็นคนกลัวผี  เพราะดูหนังผีมาเยอะ  ผีมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้  แต่พออยู่ในความมืด  จิตผมปรุงแต่งจนกลัวทุกที  พอมาบวชเป็นพระ  ผมจึงได้รู้ว่าความกลัวก็คือทุกข์ตัวหนึ่งเหมือนกัน  ที่สำคัญเป็นทุกข์ที่มองเห็นได้ชัดอีกด้วย  จึงใช้เป็นอารมณ์ในการภาวนาได้ง่าย  ด้วยเหตุนี้บางคืนพระอาจารย์จึงให้พวกเราไปเดินวนกุฎิบ้าง  ศาลาบ้าง  เพื่อให้เห็นความกลัวของตัวเองเวลาอยู่คนเดียว
หลังจากภาวนามาได้ระยะหนึ่ง  ผมก็อยากจะลองของดูบ้างว่าตัวเองภาวนาดีแล้วหรือยัง  จึงไปเดินจงกรมคนเดียวตอนตีสองที่หอธรรม  โดยเลือกตรงที่มืด ๆ ไม่มีแสงไฟ  ระหว่างเดินก็ดูใจบ่อย ๆ ทำให้เห็นอาการหลายอย่างเกิดขึ้น  และได้เห็นว่า ความกลัวก็คือสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเอง  เช่น  กลัวผี  ก็เกิดจากการเผลอคิดไปว่าผีจะโผล่มาทำร้ายเรา  ทั้งที่จริงแล้วไม่มีอะไร  มีก็แต่ความกลัวที่เกิดขึ้นทุกครั้งเวลาเดินผ่านห้องนี้  ผมก็ดูไปเรื่อย  ทุกครั้งที่จิตรู้สึกตัวว่า  “นี่ไม่ใช่ความจริง”  ใจก็จะค่อย ๆ คลายค่อย ๆ ตัดไป  เกิดความคิดขึ้นมาก็ตัดไป  จนเข้าใจว่าความกลัวไม่ได้มาจากไหน  แต่อยู่ในใจเรานี่เอง
แม้ความกลัวจะยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เหมือนเดิม  แต่เมื่อเรารู้แล้วว่ากลไกการทำงานของความกลัวเป็นอย่างนี้  อะไรจะเกิดก็เกิดไป  ตั้งแต่นั้นมาผมเลยไปอยู่มุมมืดที่ไหนก็ได้โดยไม่เดือดร้อน  อาการกลัวความสูงก็เหมือนกัน  เมื่อก่อนผมเป็นโรคกลัวความสูงมาก  แค่เห็นที่สูงก็เข่าอ่อนแล้ว  แต่การภาวนาช่วยให้จิตไวขึ้น  ทันทีที่อาการกลัวความสูง  ความกลัวก็ดับไปเองเลย  เพราะความกลัวคือจิตอกุศล  เมื่อสติรู้ทันก็จะกลายเป็นการสร้างกุศลขึ้นมาแทน  พอจิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้น  จิตอกุศลจึงอยู่ไม่ได้และหายไป  ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องฝึกภาวนาบ่อย ๆ ให้สติไวพอ  เวลาที่เกิดอะไรขึ้นจะได้รู้ทัน
นอกจากนี้การภาวนายังช่วยให้ผมเปลี่ยนนิสัยตัวเองได้ด้วย  เพราะเห็นแล้วว่า  หากยังทำตัวแย่กับคนอื่นต่อไป  เราเองก็จะได้รับทุกข์หนักหนาสาหัสเช่นกัน  โชคดีที่ผมเคยเลวมาก่อน  หากไม่เลวมาก่อนก็คงมองไม่เห็นผลเสียได้ขนาดนี้  โดยเฉพาะเรื่องของผมกับภรรยา  การภาวนาทำให้เราได้เห็นทุกข์จากด้านมืดของตัวเอง  เพราะเมื่อก่อนเราทำกับเขาไว้เยอะ  เวลาโมโหเกิดโทสะขึ้นมาก็พูดจาแรง ๆ ใส่เธอแบบไม่ถนอมน้ำใจเลย  ทำให้สุดท้ายเราต่างก็ไม่มีความสุขกับชีวิตรักด้วยกันทั้งคู่  แต่พอได้มาบวช  พระอาจารย์สอนว่า  เวลาโกรธให้เก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจ  อย่าปล่อยให้โทสะออกมาสร้างกรรมต่อทางวาจา  เพราะการถูกโทสะครอบงำจนพูดจาว่าร้ายหรือโต้ตอบผู้อื่นนั้นเป็นการสร้างกรรม  สร้างภพสร้างชาติต่อกัน  ซึ่งผมไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีก  เพราะผมเห็นโทษภัยของวัฏสงสารแล้วว่าร้ายแรงขนาดไหน
ถึงแม้ว่าผมจะเข้าใจวิธีออกจากทุกข์และตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ขอเกิดอีก  แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจสึกอยู่ดี  เพราะการบวชไม่สึกโดยทิ้งลูกและภรรยาซึ่งกำลังตั้งท้องไว้ข้างนอก  ในขณะที่ฐานะก็ยังไม่มั่นคงนั้น  ดูจะเป็นการเอาเปรียบกันอยู่ไม่น้อย  ยิ่งผมได้มาบวชจนไม่เหลือความเห็นแก่ตัว  ก็ยิ่งเห็นว่าตัวเองยังมีหน้าที่ที่ควรทำให้เสร็จก่อน
อันที่จริงผมก็มีความเป็นของคนเป็นพ่ออยู่ในตัวไม่น้อยเลย  มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่บวชไปได้แค่ประมาณหนึ่งเดือน  ตอนนั้นผมยังมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ชัดเจนเท่าไหร่  ภรรยาของผมบินมาจากเยอรมนีเพื่อพาลูกมาหา  ทันทีที่เห็นหน้าลูก  ผมเกิดความรู้สึกขึ้นมาข้างในเลยว่าอยากจะกอด  แต่สิ่งที่ต่อต้านอยู่ก็คือกฎกติกาที่ว่า พระห้ามแตะต้องผู้หญิง  ในใจผมจึงคิดปรุงแต่งไปมั่วซั่วเลยว่าทำอย่างไรดี  ลูกมาหาแล้ว  เขากำลังจะเข้ามากอดเรา  หากเราปฏิเสธหรือไม่กอดเขา  เขาจะรู้สึกอย่างไร  ผมเห็นทันทีเลยว่าแค่คิดปรุงเท่านั้น  เราก็ทุกข์แล้ว
ตอนนั้นในใจคิดว่า  ถึงเราจะเป็นพระอยู่ก็จริง  ร่างกายกำลังห่มผ้าเหลืองอยู่ก็จริง  แต่เด็กยังไม่ถึงขวบ  เขายังไร้เดียงสา  ไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้กับเราด้วย  เขาเดินเตาะแตะเข้ามา  แล้วเราจะผลักลูกทิ้งอย่างนั้นหรือ
ตอนนั้นผมเลยตัดสินใจว่าต้องรับลูกไว้  และแผ่ความรู้สึกดีงาม  ความรู้สึกของคนที่พ่อส่งทอดไปให้แก่ลูก  ให้เขาได้รู้ว่าพ่อยังอยู่ตรงนี้  ยังรักหนูนะ  ไม่ได้รังเกียจอะไรหนูเลย  ไม่ใช่ว่าเป็นพระแล้วจะมาทำร้ายความรู้สึกของเขาให้เหมือนว่าลูกขาดอะไรไป  ผมจึงตัดสินใจกอดเขาทั้ง ๆ ที่เป็นพระ  แต่จิตของผมตอนนั้นไม่ได้เกิดความรู้สึกใด ๆ ในทางเสื่อมเสียแม้แต่น้อย  ผมแค่ทำตามหน้าที่ที่ควรจะทำในจังหวะนั้น
หลังจากที่ภรรยากับลูกกลับไปแล้ว  ผมเริ่มกังวลว่าตัวเองทำผิดไปไหม  เป็นอาบัติหรือเปล่า  พอเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้น  ผมจึงไปเล่าให้พระอาจารย์ฟัง  พระอาจารย์ก็ถามถึงความรู้สึกในตอนนั้นว่าผมรู้สึกอย่างไรกับลูก  ผมก็เล่าไปตามจริง  แล้วพระอาจารย์ก็บอกว่า  “ไม่ผิด  จิตดวงนี้ไม่เป็นอาบัติ”  เพราะพระพุทธศาสนาระบุไว้ว่าเด็กผู้หญิงวัยไม่เกิน 7 ขวบพระสามารถแตะต้องได้  เพราะเด็กยังไร้เดียงสา  แต่ที่มิควรแตะต้องก็เพราะบางคนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมพระถึงไปสัมผัสผู้หญิง  ซึ่งจะทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย  ดังนั้นจึงไม่ควรทำเสียเลยดีกว่า
เมื่อได้ยินคำตัดสินของพระอาจารย์แล้วผมก็โล่งใจ  แต่ถ้าให้มองย้อนกลับไป  ผมก็ว่าผมตัดสินใจถูกแล้วเหมือนกัน  และได้ทำสิ่งที่สมควรทำอย่างยิ่ง  เพราะผมไม่ได้อุ้มลูกมาหยอกล้อหรือกอดเล่นไปมา  หรือเดินจับมือไปทั่ว  ผมแค่ตอบสนองความรู้สึกของเขา ณ เวลานั้น  ในชั่วขณะที่ลูกเดินมาหา  ซึ่งชั่วขณะนั้นก็ได้จบลงไปแล้ว
นอกจากเหตุการณ์นี้แล้วยังมีอีกครั้งหนึ่งที่ผมและคณะสงฆ์ได้เดินทางไปกราบหลวงพ่อมนตรี  อาภสฺสฺโร  ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  เหล่าพระนักบวชใหม่ที่มีครอบครัวแล้วได้ถามหลวงพ่อว่า  หากยังมีภาระต้องดูแลครอบครัว  เราควรจะทำอย่างไร  หลวงพ่อมนตรีท่านก็ตอบในทำนองว่า  ขอนิมนต์ให้ออกไปทำหน้าที่นั้นเสียก่อน  เพราะหากปล่อยให้ครอบครัวต้องเผชิญชะตาชีวิตกันลำพัง  ถึงอย่างไรเสียเราก็จะเป็นห่วง  กลายเป็นเรื่องติดค้างอยู่ในใจ  ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการภาวนา  กระทั่งทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้  เพราะในเมื่อหน้าที่หลักของเรายังทำได้ไม่ดีเลย  แล้วเราจะหลุดพ้นได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้  ผมจึงกราบเรียนพระอาจารย์นวลจันทร์ขอออกมาทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดก่อน  แต่ที่แน่ ๆ คือผมตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนแล้ว  และได้บอกกับภรรยาทั้งที่ยังบวชอยู่ด้วยว่า  ผมจะขอสึกออกมาทำหน้าที่ของผู้นำครอบครัวให้ดีที่สุดเป็นเวลา 15 ปี  หลังจากนั้นหากผมทำให้พวกเขามีอันจะกิน  มีเงินพอเลี้ยงชีพได้โดยไม่ต้องพึ่งผม  และลูก ๆ ก็โตพอสมควรแล้ว  ผมจะขอกลับไปบวชอีกครั้ง  และคราวนี้จะไม่ขอสึกอีกเลยตลอดชีวิต  นี่คือความตั้งใจของผม
ผมพูดกับภรรยาถึงสามครั้ง  ซึ่งเธอก็เข้าใจและตอบตกลง
5 พฤศจิกายน 2553  คือวันที่ผมกลับมาเป็นฆราวาสอีกครั้งหนึ่ง
แรก ๆ ผมก็เศร้าอยู่เหมือนกัน  เพราะใจยังไม่อยากสึก  สึกแล้วเหมือนชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง  มีความรู้สึกว่าโลกภายนอกเป็นแค่ภาพลวงที่สร้างมาหลอกเรา  มองไปทางไหนก็มีแต่ความโกลาหล  แต่ละคนดูไม่มีจุดยืน  ไม่มีจุดมุ่งหมาย  ต่างคนต่างคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้คือโลกของเขา  การได้ทำงานที่ดี  มีเงินเดือนดี ๆ มีครอบครัวที่อบอุ่นคือความสุข  ซึ่งเรารู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่  แต่ผมก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกใบเดิมนี้อีกครั้ง  แรก ๆ ก็มีอุปสรรคบ้างเหมือนกัน  เช่น  ลูกสาวของผมเธอจะร้องเสียงดัง  ไม่ยอมให้อุ้ม  เพราะจำผมไม่ได้  ส่วนเวลากินข้าวก็วุ่นวาย  ต้องมาคอยคิดว่าจะกินอะไรในแต่ละวัน  จากที่เคยกินวันละมื้อก็ต้องเปลี่ยนเป็นสามมื้อตามคนในครอบครัวไปด้วย
อย่างไรก็ตาม  การปฏิบัติมมาอย่างจริงจังก็ช่วยชีวิตผมไว้ได้เยอะ  มีอยู่วันหนึ่งผมขับรถไปกับภรรยา  โดยขับช้าตามปกติ  แต่จู่ ๆ ก็มีรถตู้ปาดหน้าแล้วบีแตรใส่ไม่รู้เป็นเพราะหมั่นไส้ที่เราขับช้าหรือเปล่า  ตอนนั้นความโมโหที่เกิดจากการถูกกระทำได้เกิดขึ้นแล้ว  และใจผมก็ปรุงแต่งไปเรียบร้อยเลยว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน  ปาดหน้าแล้วยังจะมาบีบแตรใส่กันอีก สงสัยต้องบีบแตรไล่คืนเสียแล้ว!”  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คิดอยู่ในสมอง  ซึ่งเกิดขึ้นไวมาก  แต่ยังไม่มีการกระทำใดออกมา
แต่ขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปบีบแตรแรง ๆ ใส่เขาด้วยความหมั่นไส้  จังหวะนั้นสติก็เกิดขึ้นเองอย่างไม่น่าเชื่อ  มือผมชะงักกึกทันที!
นี่คือผลจากการที่เราเจริญสติมาดี  สติจึงไวกว่าการกระทำมาก  ไวกว่าเข็มวินาทีด้วยซ้ำ  ทั้งที่มือขยับไปแล้ว  แต่สติช่วยตัดให้ผมไม่ต้องทำกรรมลงไปตามความโมโห  เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง  คิดดูสิครับ  หากตอนนั้นผมขาดสติ  เกิดบีบแตรแล้วลงไปชกกับเขา  ถ้าคนในรถตู้เป็นนักเลงหรือผู้มีอิทธิพล  เขาก็คงจะลงจากรถมาพร้อมกับปืน  แล้วเดินมายิงครอบครัวผมตายกันหมดเลยก็ได้  ทั้งหมดนี้อาจเกิดขึ้นเพียงเพราะเราบีบแตรใส่กันอย่างนั้นหรือ  ช่างไม่คุ้มกันเสียเลย
นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมได้รับจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน  เมื่อเราไม่ทำตามคำสั่งของกิเลส  เรื่องน่ากลัวก็จะผ่านพ้นไป  ไม่เกิดอะไรขึ้น  ความทุกข์ก็จะไม่มี  เพราะอิทธิฤทธิ์ของสติได้ทำให้ความบีบคั้นภายในใจสลายไปหมด  ตรงกันข้าม  เกิดเป็นความปีติขึ้นมาว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ช่างสุดยอดจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าจะช่วยเราได้ขนาดนี้
คงไม่ผิดหรอกหากจะพูดว่า  การบวชทำให้ผมไม่กล้าเบียดเบียนสัตว์หรือทำให้ใครต้องเดือดเนื้อร้อนใจอีกต่อไป  เพราะทุกวันนี้ถ้าเผลอพูดอะไรที่ผิดหูคนอื่น  ผมก็จะขอโทษทันที เช่น มีเพื่อนของภรรยาคนหนึ่ง  เขาเป็นคนอ้วน  เมื่อก่อนผมก็จะล้อเขาตลอดว่า  “อ้วน!  กินมากซะจนใส่เสื้อผ้าไซส์ไหนก็ไม่ได้แล้ว”  สติก็จะเตือนโดยอัตโนมัติว่าเรากำลังคิดไม่ดีอยู่
แม้แต่เวลาที่ไปซื้อของตามตลาดนัด  ปกติต้องมีการต่อราคา  ตัวผมเองก็เคยเป็นนักเจรจาต่อรองขั้นเทพ  แต่ก่อนถ้าต่อแล้วไม่ได้ตามหวังจะไม่ยอมเลิกต่อหรือไม่ก็ไม่ซื้อเลย  แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่อยากต่อราคาเลย  เพราะผมเห็นอกเห็นใจคนขายว่าเขาซื้อของมาขายก็ย่อมต้องการกำไรเป็นธรรมดา  ขายเท่านี้เขาก็ไม่ค่อยจะได้อะไรอยู่แล้ว  จะไปซ้ำเติมเขาด้วยการต่อราคาอีกทำไม
แม้แต่ยุง  เมื่อก่อนยุงจะรักผมมาก  เข้าห้องน้ำหนึ่งครั้งอาจโดนไปเกือบ 30 ตุ่ม  แต่เมื่อผมไม่คิดจะฆ่าสัตว์อีก  เชื่อไหมว่าเดี๋ยวนี้ยุงกัดผมน้อยลงเยอะ  อย่างมากแค่ตุ่มสองตุ่มเท่านั้น  แถมบางครั้งยุงมาผมยังยื่นมือให้มันดูดเลือดด้วยซ้ำ  เพราะคิดว่าถ้าเขาหิวก็เอาไปเถอะ  เลือดแค่นิดเดียวไม่เป็นไร  อาการคันเกิดขึ้นเดี๋ยวเดียวก็ดับไป  ผมไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรมากมาย
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับภรรยาก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน  การบวชช่วยให้ผมตระหนักถึงบุญคุณของภรรยาว่ามีมากแค่ไหน  ความอดทนของเธอต่อทุกเรื่องที่ผ่านมา  การเสียสละเป็นฝ่ายเลี้ยงลูก  การเปิดโอกาสให้ผมได้พบกับธรรมะที่ช่วยให้ผมไม่ต้องตกนรก  คุณธรรมเหล่านี้ทำให้ผมต้องคิดทบทวนว่า  เราเองก็ควรตอบแทนบุญคุณเธอด้วยการเป็นห่วงเป็นใย  ซื่อสัตย์  มั่นคง  และทำให้เธอมีความสุขมากที่สุดเท่าที่จะทำได้  จากเมื่อก่อนที่ไม่เคยช่วยเหลืออะไรเลยก็กลายเป็นการถามไถ่  เห็นอกเห็นใจเธอมากกว่าเดิม
แต่ภรรยาผมไม่ใช่คนที่ชอบแสดงออกมากมาย  และดูเหมือนว่าเธอยังแคลงใจว่าผมจะเป็นอย่างนี้แค่ช่วงสึกใหม่ ๆ หรือเปล่า  เพราะเมื่อก่อนผมทำเลวไว้สารพัดรูปแบบไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี  ดังนั้นจะให้เธอมาปักใจเชื่อทันทีเลยก็คงยากเย็นอยู่  ผมจึงบอกเธอว่าให้ดูไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรีบร้อนอะไร  เพราะความดีแบบนี้  ถ้าเกิดขึ้นในใจแล้วย่อมจะคงอยู่เสมอ  ถ้าเป็นคนเลวที่แกล้งมาทำดี  รับรองว่าทำได้ไม่นานหรอก  เดี๋ยวลายก็ย่อมต้องออกมาให้เห็น
ดังนั้น  แม้ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราอาจจะยังไม่ดีขึ้นทันตา  แต่ลึก ๆ แล้ว  ผมเชื่อครับว่า...เธอรู้ว่าผมดีขึ้น
สิ่งที่ผมจะจดจำตลอดไปก็คือ บุญคุณครูบาอาจารย์  โดยเฉพาะท่านพระอาจารย์นวลจันทร์  การเปิดคอร์สของท่านที่เยอรมนีครั้งนั้นทำให้ผมตาสว่าง  ท่านเป็นผู้ให้โอกาสผมได้พบกับธรรมะที่แท้จริง  ได้มาบวชและเรียนรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรจนชีวิตของผมเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้  บอกได้เลยว่าชาตินี้ทั้งชาติผมก็ไม่อาจทดแทนบุญคุณของท่านได้หมด  ดังนั้นทั้งชีวิตผมจึงมอบให้พระอาจารย์ได้เลย  หากใครจะมาทำร้ายท่าน  ผมยอมเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก  แม้ว่าที่ผ่านมาผมจะไม่เคยเห็นคุณค่าของใคร  แต่กับพระอาจารย์  ท่านเป็นผู้ที่มีแต่ให้จริง ๆ สั่งสอนเราให้พ้นทุกข์อยู่ตลอดเวลา  แม้ว่าตัวท่านเองจะกำลังอาพาธอยู่  แต่เมตตาของท่านนั้นมหาศาล  ผมไม่เคยเห็นท่านโกรธสักครั้งเดียว
พระอาจารย์เคยบอกพวกผมว่า “อย่าทำให้ศาสนาเสื่อมลงเพราะตัวเรา”  คำพูดนี้ยังคงก้องอยู่ในหูผมตลอด  และผมจะไม่ทำให้ครูบาอาจารย์และตัวเองต้องผิดหวังอย่างแน่นอน  เพราะพระอาจารย์ได้ฝังชิปธรรมะไว้ในใจผมเรียบร้อยแล้ว  ซึ่งชิปนี้จะสลายไปได้ก็ต่อเมื่อขันธ์ของผมดับลงเท่านั้น  เนื่องจากปัญญาที่ผมไดรับจากท่านเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่นัก  ประเสริฐถึงขนาดที่ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า “รักษา” เสียด้วยซ้ำ  เพราะการที่เราเคยเป็นคนไม่ดีมาก่อน  เคยทำสิ่งไม่ดีมาแทบทุกอย่าง  เราย่อมได้รู้ได้เห็นถึงธาตุแท้ของสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจนแล้วว่ามันเลวร้ายและทำให้เราเป็นทุกข์ได้ขนาดไหน  เหมือนกับถ่านหรือเหล็กเผาไฟร้อน ๆ ที่เราเคยจับมาแล้วจนมือไหม้  เป็นใครก็คงไม่อยากแตะต้องมันอีกแล้ว  จริงไหมครับ  ผมจึงมั่นใจว่าผมจะไม่มีวันกลับไปทำตัวแย่ ๆ แบบเดิมอีก  และจะไม่ปล่อยให้ความชั่วกลับมาอาศัยอยู่ในจิตใจอีกแน่นอน
ทุกวันนี้แม้แต่อัตตาที่เคยใหญ่โตของผมก็ยังเปลี่ยนไป  ผมไม่รู้สึกโกรธเกลียดใครอีกแล้ว  ไม่เหลือความคิดว่าใครเป็นคนไม่ดีหรือเลวร้ายเลยด้วยซ้ำ  เดี๋ยวนี้ถ้าเจอใครนิสัยแย่ผมก็จะเข้าใจเขา  เพราะเราเองก็เคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน  ผมได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้  ซึ่งเขาเองก็คงจะไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกัน  และหากเขาได้รู้ได้เข้ามาศึกษา  ได้ฝึกฝนอย่างที่ผมได้ฝึก  ได้เจอครูบาอาจารย์ที่ดีคอยชี้นำทางเช่นเดียวกับผม  เขาย่อมจะเห็นจริงและไม่กล้าทำในสิ่งที่เลวร้ายอีกเช่นกัน
ถ้ามุมมองนี้จะเห็นได้ชัดว่า  ธรรมะนอกจากจะให้โอกาสคนเลวแล้วยังช่วยปรับปรุงให้เขากลายเป็นคนดี  และทำให้เขามีความสุขได้อีกต่างหาก  เพราะธรรมะคือสิ่งเดียวที่จะช่วยให้คนคนหนึ่ง  ไม่ว่าจะเลวหรือดีหลุดพ้นจากวัฎสงสาร  จากการต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอย่างไม่จบไม่สิ้นได้อย่างเท่าเทียมกัน  นี่แหละครับ...ความยิ่งใหญ่ของธรรมะ
ต่อจากนี้ไป  เวลาใครมาระบายความทุกข์ให้ผมฟัง  ผมก็เป็นที่ปรึกษาให้เขาได้เพราะรู้ว่าทุกข์ของเขาเกิดจากอะไร  ทำไมชีวิตเขาจึงมีปัญหา  การภาวนาเมื่อถึงจุดหนึ่งจะทำให้เห็นกระบวนการเกิดทุกข์ได้  และรู้ว่าเราควรช่วยเหลือเขาอย่างไร  ทุกวันนี้ผมรู้สึกดีมากที่ได้ช่วยคนอื่นไปพร้อม ๆ กับการสืบสานธรรมะ
ยิ่งไปกว่านั้นผมเองก็ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดคอร์สวิปัสสนาที่เยอรมนีต่อไป  ที่นั่นมีบ้านปันดีไว้สำหรับเปิดคอร์สสอน  ซึ่งพระอาจารย์บอกว่าผมจะเป็นตัวอย่างที่ดีมาก  เพราะคนไทยที่นั่นเขารู้กิตติศัพท์ของผมกันทั่วอยู่แล้ว  สงสัยว่าผมจะต้องแฉตัวเองอย่างหมดเปลือกก็งานนี้  แต่ผมก็ยินดีจะแบ่งปันนะครับ  หากนั่นจะช่วยต่อชีวิตพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวและช่วยให้คนอื่นได้มีโอกาสเข้ามาพบทางที่ถูกต้อง  ช่วยให้เขาบรรเท่าทุกข์ลงได้บ้างอย่างที่ผมเคยได้รับ  เพราะนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์สมควรจะมอบให้แก่กัน  หาใช่เงินทองหรือของขวัญอะไร
หากคุณได้อ่านเรื่องราวของผมมาถึงตอนนี้  ผมอยากจะชวนคุณได้หันหน้าเข้าหาศาสนาพุทธ  ลองเข้ามาปฏิบัติเพื่อจะได้เห็นอย่างที่ผมเห็น  สำหรับผมบอกได้เลยว่าพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ลึกล้ำสุดจะบรรยาย  ขนาดว่าใครเอาเงินร้อยล้านพันล้านมาแลกกับธรรมะที่ผมได้จากการบวช  ผมไม่ยอมเด็ดขาด  ผมขอเลือกธรรมะดีกว่า  เพราะทุกวันนี้เงินไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ผมมีความสุขได้เสียแล้ว  อีกทั้งเงินก็ไม่สามารถทำให้ผมมีสติหรือปัญญาได้ถึงขนาดนี้  และไม่ช่วยให้ผมหลุดพ้นได้  ถ้าไม่เชื่อก็ลองมาปฏิบัติอย่างจริงจังดูสิครับ  จะได้เห็นจริงด้วยตัวเองอย่างที่ผมเห็นมาแล้ว
โลกนี้ไม่มีอะไรคงทนถาวร  ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  หลายคนอยากมีรถสักคัน  แต่เมื่อซื้อมาใช้ได้ไม่กี่วันก็อยากได้คันใหม่เสียแล้ว  บางคนคิดว่าตัวเองมีเงินเดือนแสนเดียวก็พอ  แต่พอมีเงินเป็นแสนเข้าจริงก็อยากมีต่อไปเป็นสองแสนเป็นล้าน  เมื่อวานกินข้าวแล้วบอกว่าอร่อย  แต่ถ้าให้กินเหมือนเดิมบ่อย ๆ ก็ไม่ไหว  ชีวิตของเราวกวนไปมาอยู่อย่างนี้  เราถูกกิเลสจูงจมูกอยู่ตลอดเวลา  เราตามหาความสุขที่ถาวร  แต่ไม่เคยได้พบ
การบวชทำให้ผมได้พบว่า  ความสุขที่แท้จริงมีอยู่แค่ในปัจจุบันนี้เท่านั้น  ขอแค่รู้ปัจจุบันเราก็จะพบว่า  ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ใช่อะไรอื่น  นอกจากความว่างเปล่า  ไม่มีอะไรนั่นเอง  หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ  การมีชีวิตตามปกติโยไม่มีสิ่งใดเข้ามากระแทกให้ใจหวั่นไหว  ให้ใจฟู  ให้ใจแฟบ  นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง
การได้บวชเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด  เหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่  จากคนที่เคยหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์และความสุขของตัวเองมาอย่างเต็มที่  ทุกวันนี้ผมกลายเป็นคนไม่มีทั้งสุข  ไม่มีทั้งทุกข์  ไม่คิดถึงอดีต  ไม่คิดถึงอนาคต  แค่อยู่เพื่อทำวันนี้ให้ดีที่สุด  ผมก็พอใจแล้ว

“ธรรมะนอกจากจะให้โอกาสคนเลว
แล้วยังช่วยปรับปรุงเขาให้กลายเป็นคนดี
และทำให้เขามีความสุขได้อีกต่างหาก
เพราะธรรมะคือสิ่งเดียวที่จะช่วยให้คนคนหนึ่ง
ไม่ว่าจะเลวหรือดีหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
จากการต้องเวียนว่ายตายเกิดกัน
อย่างไม่จบไม่สิ้นอย่างเท่าเทียมกัน
นี่แหละครับ...ความยิ่งใหญ่ของธรรมะ








      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #235 เมื่อ: 17 กันยายน 2554, 07:40:26 »

อ้างถึง
ข้อความของ Mai25 เมื่อ 16 กันยายน 2554, 19:35:37
อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 11 กันยายน 2554, 00:29:05

พี่ทู ขอบคุณที่ลงรูปให้ค่ะ  (พี่นะ พีทู มีภาษาดีๆอยู่เสมอ)

สวัสดีค่ะท่านผู้ชมทุกท่าน

แถวล่างคือ  ยุ  แหม่ม  ตะวัน  แดง  ใหม่  แถวบนคือ

อยากบอกเพื่อน25ว่า  พวกเราภูมิใจเพื่อน25อย่างที่พวกเราเป็น
แสดงว่า จำได้แล้วว่าตอนเรียน หน้าตาใหม่ สวยแค่ไหน(อ้า.....อีอก)
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #236 เมื่อ: 17 กันยายน 2554, 08:53:33 »

สวัสดี ครับ ขอบคุณ น้องใหม่ 25 ที่นำบทความดี่ๆ มาลงให้อ่าน
      บันทึกการเข้า
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #237 เมื่อ: 17 กันยายน 2554, 09:52:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 17 กันยายน 2554, 07:40:26
อ้างถึง
ข้อความของ Mai25 เมื่อ 16 กันยายน 2554, 19:35:37
อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 11 กันยายน 2554, 00:29:05

พี่ทู ขอบคุณที่ลงรูปให้ค่ะ  (พี่นะ พีทู มีภาษาดีๆอยู่เสมอ)

สวัสดีค่ะท่านผู้ชมทุกท่าน

แถวล่างคือ  ยุ  แหม่ม  ตะวัน  แดง  ใหม่  แถวบนคือ

อยากบอกเพื่อน25ว่า  พวกเราภูมิใจเพื่อน25อย่างที่พวกเราเป็น
แสดงว่า จำได้แล้วว่าตอนเรียน หน้าตาใหม่ สวยแค่ไหน(อ้า.....อีอก)

อ๊า...เฮื๊๊อ..ขอบคุณสำหรับคำชม  กรี๊ดๆๆ

      บันทึกการเข้า
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #238 เมื่อ: 17 กันยายน 2554, 09:55:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 17 กันยายน 2554, 08:53:33
สวัสดี ครับ ขอบคุณ น้องใหม่ 25 ที่นำบทความดี่ๆ มาลงให้อ่าน


พี่ปี๊ด  คราวนี้ตัวหนังสือเล็กไปหน่อย คงจะอ่านยาก  คราวหน้าทดลองใหม่  สวัสดีค่ะ




      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #239 เมื่อ: 17 กันยายน 2554, 10:00:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ Mai25 เมื่อ 17 กันยายน 2554, 09:55:07
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 17 กันยายน 2554, 08:53:33
สวัสดี ครับ ขอบคุณ น้องใหม่ 25 ที่นำบทความดี่ๆ มาลงให้อ่าน


พี่ปี๊ด  คราวนี้ตัวหนังสือเล็กไปหน่อย คงจะอ่านยาก  คราวหน้าทดลองใหม่  สวัสดีค่ะ






ตัวโต แล้วแบ่งเป็น ต้อนๆ ได้ก็ จะ ดี อย่าไปแข่ง ความยาวกับ พี่สิงห์ ปล่อย แก่ แค่เปิดเห็นมาเป็น หน้าๆ ก็เหนื่อยอ่านแล้ว
      บันทึกการเข้า
ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #240 เมื่อ: 21 กันยายน 2554, 15:25:23 »

สวัสดีครับน้องใหม่

แวะมาเยี่ยมบ้าน 25 หลังจากที่ไม่ได้เข้ามานานพอสมควร เพราะน้ายนแกมาๆหายๆ เลยเบื่อจะเข้ามาไม่เจอใคร
วันนี้หลงเข้ามาที่บ้านใหม่ก็เลย ไล่อ่านตั้งแต่หน้าแรกมาเรื่อยๆ ดูคึกคักเป็นพิเศษ ทำให้บ้าน 25 ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

อ่านไปเรื่อยๆ สนุกสนานดีครับ แต่ก็งงๆเหมือนกันและก็คิดเหมือนน้องยาเลย
คือ Reply นึงของน้องใหม่มีซ่อนไว้หลายคำถาม จนพี่ตามไม่ทันครับ เหอ เหอ
แต่ไม่เป็นไรครับ ดูมีเอกลักษณ์และก็หนุกดีครับ แล้วว่างๆจะแวะเข้ามาใหม่นะครับ
      บันทึกการเข้า

2437041
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #241 เมื่อ: 21 กันยายน 2554, 20:19:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ ตี้ถาปัด เมื่อ 21 กันยายน 2554, 15:25:23
สวัสดีครับน้องใหม่

แวะมาเยี่ยมบ้าน 25 หลังจากที่ไม่ได้เข้ามานานพอสมควร เพราะน้ายนแกมาๆหายๆ เลยเบื่อจะเข้ามาไม่เจอใคร
วันนี้หลงเข้ามาที่บ้านใหม่ก็เลย ไล่อ่านตั้งแต่หน้าแรกมาเรื่อยๆ ดูคึกคักเป็นพิเศษ ทำให้บ้าน 25 ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

อ่านไปเรื่อยๆ สนุกสนานดีครับ แต่ก็งงๆเหมือนกันและก็คิดเหมือนน้องยาเลย
คือ Reply นึงของน้องใหม่มีซ่อนไว้หลายคำถาม จนพี่ตามไม่ทันครับ เหอ เหอ
แต่ไม่เป็นไรครับ ดูมีเอกลักษณ์และก็หนุกดีครับ แล้วว่างๆจะแวะเข้ามาใหม่นะครับ


พี่ตี้  สวัสดีค่ะ

ดีใจที่พี่มา

เป็นพี่ที่รัก และทุ่มเทเพื่่อหอพักcmadong  ใหม่ก็เฝ้าดูพี่อยู่ค่ะ win

      บันทึกการเข้า
ตี้ถาปัด
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: สถาปัตยกรรมศาสตร์
กระทู้: 10,337

« ตอบ #242 เมื่อ: 22 กันยายน 2554, 08:19:28 »

ไม่ได้ทุ่มเทอะไรขนาดนั้นหรอกครับ ก็ทำตามที่เพื่อนขอให้ช่วยครับ
      บันทึกการเข้า

2437041
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #243 เมื่อ: 26 กันยายน 2554, 23:32:06 »

อ้างถึง
ข้อความของ ตี้ถาปัด เมื่อ 22 กันยายน 2554, 08:19:28
ไม่ได้ทุ่มเทอะไรขนาดนั้นหรอกครับ ก็ทำตามที่เพื่อนขอให้ช่วยครับ


พี่พูดภาษาเหนือกับพี่ไม  ทำให้อยากพูดมั่ง...แต่คิดดูอีกที  คอยติดตามพี่ไปดีกว่า..ก๊ากๆๆ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #244 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2554, 14:22:51 »

น้องใหม่

วัดไร่ขิง สภาพของน้ำท่วมเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ต้องเก็บของหนีน้ำหรือไม่ ??
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #245 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2554, 16:39:51 »


สวัสดียามเย็นครับ.... น้องใหม่..พี่ปี๊ด..พี่เหยง..น้องตี้..น้องป่าทู..ลุงณะ และพี่น้องทุกท่าน
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #246 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2554, 16:47:08 »



อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 17 ตุลาคม 2554, 14:22:51
น้องใหม่

วัดไร่ขิง สภาพของน้ำท่วมเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ต้องเก็บของหนีน้ำหรือไม่ ??


นั่นซิ...

อยากทราบด้วยความเป็นห่วงเช่นกันครับ... น้องใหม่
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #247 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2554, 14:08:53 »

อ้างถึง
ข้อความของ Leam เมื่อ 17 ตุลาคม 2554, 16:47:08


อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 17 ตุลาคม 2554, 14:22:51
น้องใหม่

วัดไร่ขิง สภาพของน้ำท่วมเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ต้องเก็บของหนีน้ำหรือไม่ ??


นั่นซิ...

อยากทราบด้วยความเป็นห่วงเช่นกันครับ... น้องใหม่


   เป็นห่วงเช่นกัน...น้องใหม่ส่งเสียงด้วย....
   ปลอดภัยดีอยู่ไหม...?..
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #248 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2554, 14:22:05 »

น่าจะพ้น ครับ จมูก-ปาก เพราะ น้องใหม่ ตัวสูง ...........ส่งเสียงเร็ว น้องใหม่ เหอๆๆ เหอๆๆ win emo28:win:ถ้ายังไม่มิดหัว
      บันทึกการเข้า
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #249 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2554, 13:19:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 17 ตุลาคม 2554, 14:22:51
น้องใหม่

วัดไร่ขิง สภาพของน้ำท่วมเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ต้องเก็บของหนีน้ำหรือไม่ ??


สวัสดีค่ะพี่เหยง 

(ใหม่ไปดูงานเมืองจีนเพิ่งกลับมาเลยตอบช้าไปหน่อยนะคะ)

คิดไว้ว่าน้ำท่วม2เมตรค่ะ จะได้ไม่ประมาท

แต่ตอนนี้ยังไม่ท่วมค่ะ



      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 18  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><