29 เมษายน 2567, 22:35:58
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม  (อ่าน 548585 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #450 เมื่อ: 07 มกราคม 2553, 08:26:09 »

ราเมศวร์ ศิลปพรหม นักปั้นโปรแกรมเมอร์พันธุ์ไทย

จาก marketatnation.com และ bangkokbiznews.com

ราเมศวร์ ศิลปพรหม ผู้ก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอฟต์สแควร์ 1999 จำกัด กับรางวัล " Software Park Thailand : Hall of Fame "







เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งประเทศไทย ( ซอฟต์แวร์พาร์ค ) มอบรางวัล " Software Park Thailand : Hall of Fame " เป็นปีที่ 2 โดยปีนี้มุ่งเชิดชูเกียรติองค์กรซอฟต์แวร์ที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม และประเทศชาติ  ไม่มุ่งเน้นสร้างผลประกอบการทางธุรกิจเท่านั้น  เพื่อทำให้ธุรกิจซอฟต์แวร์ดำเนินอย่างสร้างสรรค์ และช่วยกันสร้างประโยชน์กลับคืนสู่สังคมมากขึ้น 5 ราย

หนึ่งในนั้น คือ บริษัท ซอฟต์สแควร์ 1999 จำกัด ที่มีนายราเมศวร์ ศิลปพรหม เป็นผู้ก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บริษัทแห่งนี้เป็นแหล่งสร้างนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  เกิดและเติบโตจากคนเพียง 3 คน  ด้วยเงินลงทุน 3 แสนบาท  ด้วยนโยบายโตแล้วแตก  ทำให้เกิดบริษัทลูกกว่า 40 บริษัท  มีบุคลากรกว่า 1,000 คน

ซอฟต์สแควร์ ไม่ใช่เพียงผู้สร้างโปรแกรมสำหรับห้างสรรพสินค้าชื่อดังระดับโลก ที่ผูกติดไปกับแบรนด์ของห้างใหญ่ ที่กำลังขยายไปสู่ประเทศต่างๆ  สามารถเอาชนะซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ จากฝรั่งเศส อินเดีย เยอรมนี กลายเป็นหนึ่งในตำนานการรุกตลาดซอฟต์แวร์โลกด้วยซอฟต์แวร์ไทย  หากภาพที่โดดเด่นที่สุด คือ การเป็น " เส้าหลินซอฟต์แวร์ "

สถาบันการผลิตนักซอฟต์แวร์  ทั้งการจ้างแรงงานซอฟต์แวร์ของบริษัทเอง และเป็นที่ฝึกฝีมือแบบมีรายได้ของนักเรียน นักศึกษา ก่อนออกสู่ตลาดแรงงานจริงกว่า 3,000 คน ตลอดระยะเวลา 14 ปี

เพาะต้นกล้าไอที


ราเมศวร์ บอกว่า 1 ปีมานี้เขาได้เป็นตัวตั้งตัวตีในโครงการนอร์ธเทิร์นไอทีคลัสเตอร์ ( Northern IT Cluster ) ที่สร้างต้นกล้าไอทีทำให้เกิดการฝึกคนซอฟต์แวร์ตั้งแต่เยาวชน โดยเน้นการเป็นไอที วัลเลย์ ที่แม่ฮ่องสอน  เพราะเป็นจังหวัดเล็กพอที่จะลงทุนเองได้ทั้งหมด  ถือเป็นการต่อยอดจากปี 2538 ที่เริ่มมีผู้นำพีซีไปบริจาค  ครูและนักเรียนผ่านการเรียนรู้มาหลายปี เมื่อที่นี่สำเร็จจะขยายไปน่าน และสกลนครต่อไป เพราะเป็นจังหวัดที่มีผู้ยากจน และเด็กด้อยโอกาส

เขาตั้งศูนย์บ่มเพาะในโรงเรียน 3 แห่ง  เริ่มจากมัธยมศึกษาตอนปลาย เริ่มจากตัวเมือง และจะขยายครอบคลุม 12 แห่งทั่วจังหวัดต่อไป  อาจเป็นที่ อ.ปาย แม่ลาน้อย หรือแม่สะเรียง และทั้งปี 2553 จะขยับสู่โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

" เท่ากับเด็กๆ จะได้ฝึกอาชีพ 6 ปี  ทำให้มีเป้าหมายในชีวิตว่า  ต้องการเดินมาบนเส้นทางสายโปรแกรมเมอร์หรือไม่ ก่อนจะเลือกเรียนระดับปริญญาตรีต่อไป  แถมเรียนไปยังมีรายได้ด้วย  จากการที่บริษัทส่งงานไปให้ทำ หรือการเป็นครูสอนเพื่อนๆ น้องๆ และการสร้างศูนย์บ่มเพาะนี้  ก็ไม่ต้องพึ่งราชการ "  บริษัทร่วมกับซอฟต์แวร์พาร์ค และบริษัทท้องถิ่น 2 แห่งบ่มเพาะโปรแกรมเมอร์ และตั้งเป้าจะขยายเป็น 10 แห่งใน 3 ปี โดยลงทุนเบื้องต้นแล้ว 8 ล้านบาท

เขายังจัดทุนการศึกษาแก่นักเรียนโรงเรียนนวมินทร์การอาชีพที่แม่ฮ่องสอน  ซึ่งเพิ่งเปิดสอนหลักสูตรคอมพิวเตอร์ธุรกิจระดับ ปวส.  คัดเลือกเด็ก 5 คนเข้าเรียน และให้ทุนการศึกษาคนละ 4 หมื่นบาทต่อปี  เมื่อจบการศึกษายังรับเป็นพนักงานของบริษัทที่แม่ฮ่องสอน

ทั้งยังให้ทุนแก่นักศึกษาปริญญาตรี  มหาวิทยาลัยนอร์ท จำนวน 4 ทุนๆ ละ 5 หมื่นบาทต่อปี  ถ้านักศึกษาเรียนด้วยทำงานด้วย  โดยเป็นพนักงานในศูนย์บ่มเพาะ  รวมเท่ากับให้ 1 แสนบาทต่อปีต่อคน

เขาบอกว่า ระบบที่นำมาใช้เป็นการทำควบคู่กับการทำให้วงจรเศรษฐกิจหมุนไป  จากที่เคยมีปัญหาขาดแคลนครู  ก็นำพนักงานไปเป็นครูอาสา ทั้งยังจ้างครูที่โรงเรียน และนักเรียนมาสอน  หรืออบรมคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนนั้นๆ ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน  โดยให้ค่าตอบแทนครูเดือนละ 5 พันบาท  นักเรียน 1 พันบาท

" แนวคิดที่นำมาใช้กับโรงเรียนต่างๆ นี้  เป็นการฝึกให้เด็กๆ รู้จักเศรษฐกิจฐานความรู้  เมื่อมีความรู้ก็นำไปสร้างเงินได้  ผมทำซอฟต์สแควร์ เริ่มเปิดมาด้วยคน 3 คน มีเงิน 3 แสน  ไม่เคยพึ่งรัฐ  จะต้องสอนให้คนอยู่ได้ด้วยตัวเอง "

สูตรรวย 50 ปีมีเงิน 30 ล้าน

เขาบอกด้วยว่า  ทุกวันนี้เขามีหุ้นบริษัทในกลุ่มซอฟต์สแควร์อยู่ 12 บริษัท  อีกกว่า 20 บริษัทไม่มีหุ้นอยู่เลย  แต่ละบริษัทมีพนักงานแห่งละ 10-20 คน  แล้วนำมาคลัสเตอร์กัน  ถือเป็นการเฉลี่ยความรวย  ซึ่งเป็นสิ่งที่เขามุ่งมั่นที่จะทำ

ปัจจุบัน ซอฟต์สแควร์ทำรายได้ปีละประมาณ 300 กว่าล้านบาท  แต่เมื่อรวมทั้งกลุ่มมีประมาณ 700-800 ล้านบาท  บริษัทแม่ทำหน้าที่หางานป้อนบริษัทต่างๆ การเติบโตเป็นไปตามความสามารถของคน

" การสร้างบริษัทให้มีรายได้ปีละประมาณ 10-20 ล้านบาทนั้น  เป็นขนาดกำลังดี  เพราะอยู่ได้โดยไม่เอาเปรียบใคร  เป็นการสร้างจรรยาบรรณในวิชาชีพอย่างหนึ่ง "

การเฉลี่ยความรวยของเขา รับประกันว่า เมื่ออายุ 50 ปี จะมีเงิน 30 ล้านบาทแน่  เริ่มจากสร้างประสบการณ์เงินเหลือก่อน  แล้วใช้เงินทำงานตามสูตร 747

สูตรที่ว่า 7 ปีแรกต้องทำกำไรบริษัทให้ได้ 1.5 ล้านบาท  7 ปีถัดไปเพิ่มเป็น 10 ล้านบาท  และอีก 7 ปี เป็น 30 ล้านบาท  เมื่อถึงรอบ 7 ปีสุดท้ายไม่ต้องทำงานก็อยู่ได้จากหุ้น

หยุดได้ แต่ไม่หยุด

เขา ยกตัวอย่างตัวเองว่า มาถึงวันนี้ ไม่ได้มุ่งมั่นจะทำธุรกิจเท่านั้น  แต่ออกมาช่วยสังคมด้วยโครงการต่างๆ ที่ทำ  หากยิ่งทำกลับยิ่งได้ ยิ่งส่งงานป้อนเด็กๆ กลับยิ่งได้งานใหม่เข้ามามากขึ้น

" ไม่รู้จะเป็นการใช้แรงงานเด็กหรือเปล่านะ  แต่ก็ไม่หรอก  ผมไม่ได้ค้ากำไรจากพวกเขา  มันเป็นอีกไซเคิลหนึ่งของชีวิต  ที่ฝึกสอนเด็กๆ ให้เห็นทางเลือกของตัวเอง  และมองออกถึงเศรษฐกิจฐานความรู้ที่ตลาดซอฟต์แวร์มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท  มีหลายงานที่เกี่ยวพันกัน ทั้งออกแบบ เขียนแบบ ทดสอบ ฝึกอบรมการเขียนโปรแกรม  มีความรู้แล้วต้องมีครีเอทีฟ  ถึงจะได้ตังค์  ต้องคิด work to learn don't work for money  แล้วภายใน 3 ปี ก็จะเห็นผล "

ผลงานที่เขาทำขึ้น ยังแปรผันไปสร้างงานเกี่ยวเนื่องได้อีก  จากการที่จะมีหน่วยงานต่างๆ ทั้งจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ( เนคเทค ) และซอฟต์แวร์พาร์ค ไปดูงานกันเดือนละ 2 ทีม  เป็นเทคโนฯ ทัวริสต์ที่เอื้อต่อเศรษฐกิจข้างเคียง


      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #451 เมื่อ: 08 มกราคม 2553, 20:49:46 »



ขอร่วมชื่นชมพี่ราเมศวร์ ศิลปพรหม ผู้ก่อตั้ง และ กรรมการผู้จัดการ บ.ซอฟต์สแควร์ 1999 จำกัด กับรางวัล " Software Park Thailand : Hall of Fame " ที่ประสบความสำเร็จ และ ,มีความรับผิดชอบทางสังคมของธุรกิจ หรือ Corporate Social Responsibility (CSR) เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมของธุรกิจ ครับผม

เวบไซด์ของ บ.ซอฟต์สแควร์ 1999   http://www.softsquaregroup.com/

 
             หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #452 เมื่อ: 10 มกราคม 2553, 19:08:45 »

ยังงงๆอยู่คะ
แต่พี่เค้าคิดถึงสังคมด้วย
คิดว่าต้องดีแน่ๆ...เฉลี่ยและแบ่ง
ไม่งำไม่กอบ...ให้คนอื่น แบ่งปัน
ตรงนี้คะที่เตะตา
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #453 เมื่อ: 23 มกราคม 2553, 11:44:32 »

10 อันดับ คนอัจฉริยะที่สุดของโลก

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

10. Eliana Smith : ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิต อายุ 7 ขวบ



สถานีวิทยุท้องถิ่นได้เสนองานให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตกับหนูน้อย Elaina  เมื่อเธอโทร. เข้ามาให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โทร. มาปรึกษาสถานีเรื่องที่เธอถูกแฟนทิ้ง  คำแนะนำง่าย ๆ ของ Elaina คือการบอกให้หญิงสาวผู้นั้นออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อน และก็ดื่มนมสักแก้วนึงโต ๆ และนั่นทำให้เธอได้เวลาจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์จากสถานีจนได้รับความนิยมจากผู้ฟังนับพัน  เธอรับปรึกษาตั้งแต่ปัญหาเรื่องจะทิ้งแฟนอย่างไร  จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน  ไปจนกระทั่งปัญหากลิ่นตัวของพี่น้องในบ้าน  

ครั้งหนึ่งได้มีคนฟังโทรศัพท์มาถาม Elaina ว่าทำยังไงเธอถึงจะได้แฟนของเธอกลับมา  หนูน้อยบอกไปว่า " ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง  ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว "


9. Willie Mosconi : เริ่มชีวิตนักบิลเลียดอาชีพเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ



William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา " Mr. Pocket Billiards " ( pocket billiard = พูล )  หนูน้อยจาก Philadelphia , Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูล  แต่พ่อกลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล  Willie ก็ไม่ยอมแพ้  โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่  ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ  จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น  และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุ และประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้  ทั้ง ๆ ที่เขายังต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตาม

ใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf  แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมาก  และทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น  และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool ( พูล 15 ลูก ) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี  และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ

ใน ช่วงปี 1941-1957  Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA ( Billiard Congress of America ) World Championship ถึง15 สมัย  เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด  สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย  ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool


8. Fabiano Luigi Caruana :  แกรนมาสเตอร์หมากรุกอายุน้อยที่สุด



Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ ( อเมริกัน-อิตาลี ) ปัจจุบันอายุ 16 ปี  เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007  ตอนนั้นเขามีอายุเพีย 14 ปี  11 เดือน 20 วัน  ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา  และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก ( World Chess Federation ( FIDE ) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2,649  ทำให้เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี


7. Michael Kevin Kearney : รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบและกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์



หนุ่มวัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดในโลก  และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17 ปี  ในปี 2008 เขาชนะ้รางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire ?  นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่าง

Kearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน  เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า " ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ "   อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน  อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม  เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ  และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ

ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นคนแรก


6. Saul Aaron Kripke : Harvard ( มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลก ) เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล



Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha  รัฐ Nebraska  เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4  และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิต และแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง  และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา

Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ ( semantics ) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี  และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้น  ทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชาคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด  เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์  ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า " แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูล และมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า "  และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด

Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล  ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่


5. Aelita  Andre : หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ



ศิลปินแนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก  เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne's Fitzroy

Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikova นักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดู  และเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะจัดการแสดงภาพเหล่านั้น  จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว  เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน  คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง  และมีอายุเพียง 22 เดือน  แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย  แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป


4. Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง ( 47,000-48,000 บาท )



Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม  2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา  เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย  เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า " At the age of 3 "  และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก  เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด  เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV  และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมาเนีย
 
http://www.youtube.com/watch?v=GDq-E708lHU ( ลองเข้าไปฟังเพลงของเธอได้ ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ ^^ )
 
 
3. Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ
 

 
Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า " เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก " เพราะมี IQ ถึง 146  และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย  ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน  

Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000  เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ  คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ  มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้  มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน   Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการ และยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดใด ๆ ทั้งสิ้น  แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้  และใช้มือได้เป็นปกติอีกครั้ง  ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่วิทยาลัย Chandigarh  และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน
  
 
2. Gregory Smith : ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี
 

 
Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ  และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ  ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้  เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิเด็ก  

Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates  ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพ และความเข้าอกเข้าใจในระหว่างเยาวชนทั่วโลก  เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachov  และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย

จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้  ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง  แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ .... มีใบขับขี่เป็นของตัวเองได้ซะทีนั่นเอง
 
 
1. Kim Ung-Yong : เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ  จบปริญญาเอกตอนอายุ 15  และมี IQ สูงที่สุดในโลก
 

 
Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962  และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่  โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210

คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี  เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ  ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ  เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส ( differential and integral calculus ) ที่ซับซ้อนได้  หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน  สเปน  เวียดนาม  ตากาล็อก  เยอรมัน อังกฤษ  ญี่ปุ่น และเกาหลี

คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 - 6 ขวบ  พออายุ 7 ขวบ  NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974  จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์  ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก  ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย  และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978  และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธา  และได้ศึกษาจนได้รับปริญญาเอกอีกเช่นกัน
 ‏
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #454 เมื่อ: 23 มกราคม 2553, 20:48:40 »

พี่เจี๊ยบ,
คนสุดท้ายผมทอง คอเคเซี่ยนจ๋า
ชื่อคิม อุง ย็อง (Kim Ung-Yong) จริงเหรอพี่?
ฉักพันพรื้อซะแหล่ว...
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #455 เมื่อ: 23 มกราคม 2553, 23:28:20 »

NN ... เป็น " ลูกเล่น = มุก " ที่จะคอยเช็คว่า " จะมีคนสนใจอ่าน จริงๆ จังๆ รื้อ ? "

ก็หนิงนี่ไง  ที่ช่างสังเกต และทักท้วงมา  พี่ลองถามลุง Google ดู  ปรากฏว่าต้นฉบับใส่รูปมาผิดคนจริงๆ ด้วย  เลยรีบแก้ไขรูปให้ตรงกับชื่อของอัจฉริยะแต่ละคนแล้วนะ ... ขอบคุณความช่างสังเกตของหนิงนะคะ
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #456 เมื่อ: 24 มกราคม 2553, 08:24:07 »


การมี ร.พ.ออนไลน์ ที่นำ เทคโนโลยี่ คอมพิวเตอร์ มาอำนวยความสะดวก

         เลือก ร.พ.เองได้ ตามคุณภาพของ ร.พ.ที่เราพอใจ ไม่ถูกบังคับให้รักษาตามที่ระบุให้

ยังสามารถมีจองคิวตรวจทางอินเตอร์เนต ผ่านทางคอมพ์เหมือนจองตั๋วหนังอีกด้วย

ไม่ต้องมานั่งรอคิว ให้เสียเวลาเลือกเวลามาตรวจตามความพอใจ เหมือนดูหนัง

                          

จะเกิดได้ท่าน ร.ม.ต.จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ต้องให้ทางกระทรวงสาธารณสุข จัดทำ

โปรแกรมจองคิวตรวจ ทางเนตเหมือนโรงหนังเพิ่มอีกด้วย
            
                                      

         สปสช.ติดตั้งระบบเทเล-เมดิซีน เพิ่มศักยภาพ10โรงพยาบาลใต้

         สำนัก งานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ติดระบบเทเล-เมดิซีน 10 โรงพยาบาลพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง แก้ปัญหาแพทย์น้อย พื้นที่ห่างไกล ไม่ต้องส่งต่อผู้ป่วย

                        

         นพ.วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

         เมื่อวันที่ 1 กันยายน นพ.วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (รองเลขาธิการ สปสช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สปสช. ได้เริ่มติดตั้งระบบเครือข่ายการตรวจรักษาสื่อสารเพื่อให้คำปรึกษาและประสาน งานการส่งต่อผู้ป่วยทางไกลผ่านระบบเทคโนโลยีการสื่อสาร (Tele-medicine) ในโรงพยาบาล 10 แห่ง ของพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง รวม 11 จุดสื่อสาร ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 8 ล้านบาท ทั้งนี้การติดตั้งระบบดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดด้านบุคลากรและความห่าง ไกลของพื้นที่ โดยระบบเทคโนโลยีนี้จะช่วยลดปัญหาของโรงพยาบาลที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วย การให้คำปรึกษาและการส่งต่อผู้ป่วย ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

         นพ.วีระวัฒน์กล่าวว่า ระบบเทเล-เมดิซีน มีมานานแล้ว แต่ค่าใช้จ่ายสูง จึงไม่เป็นที่นิยม แต่ปัจจุบันค่าใช้จ่ายลดลงจึงคุ้มค่ากับการลงทุน ซึ่งในอนาคต สปสช. มีโครงการจะขยายการติดตั้งระบบเทเล-เมดิซีน ไปในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยเช่นกัน เพราะเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาความห่างไกลมาก

         "ระบบเทเล-เมดิซีน อำนวยความสะดวกให้โรงพยาบาล สามารถขอคำปรึกษาการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านระบบแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างกันได้ทั้งภาพเคลื่อนไหว เสียง และข้อมูลอื่นๆ ของผู้ป่วย เช่น คลื่นหัวใจ เป็นต้น จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลแม่ข่าย ซึ่งแพทย์ที่ให้คำปรึกษาสามารถเห็นสภาพจริงของผู้ป่วย ซึ่งเหมาะกับกรณีการรักษาผู้ป่วยวิกฤตและผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินในพื้นที่ ห่างไกล หรือการเดินทางลำบาก โดยเฉพาะโรงพยาบาลในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีปัญหาความไม่สงบอยู่ในปัจจุบัน" นพ.วีระวัฒน์กล่าว

         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สปสช.จะได้ติดตั้งระบบเทเล-เมดิซีน ที่ห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินของโรงพยาบาลทั้ง 11 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาล (รพ.) สงขลานครินทร์ (2 จุดสื่อสาร) และ รพ.หาดใหญ่ ทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลแม่ข่าย คอยให้คำปรึกษาในการรักษาผู้ป่วย ส่วนโรงพยาบาลอีก 8 แห่ง จะเป็นโรงพยาบาลลูกข่าย ได้แก่ รพ.ควรขนุน จ.พัทลุง รพ.เบตง จ.ยะลา รพ.นราธิวาส รพ.ปัตตานี รพ.สงขลา รพ.สตูล รพ.ตรัง และ รพ.พัทลุง (กรอบบ่าย)

          ที่มา:

http://hia.anamai.moph.go.th/?name=news&file=readnews&id=25          

จาก "สปสช.การกระจายบริการที่มีคุณภาพ สู่ ร.พ.ห่างไกล ขาดแคลนแพทย์"

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3276.0.html

นำมาจาก    
Re: จุดเปลี่ยนการแพทย์ด้วย ร.พ.ออนไลน์ รักษาฟรีได้ทุกที่ ที่เข้าโครงการเหมือนธนาคารออนไลน์
« ตอบ #1 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2552, 07:42:28

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4040.0.html

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

Re: จุดเปลี่ยนการแพทย์ด้วย ร.พ.ออนไลน์ รักษาฟรีได้ทุกที่ ที่เข้าโครงการเหมือนธนาคารออนไลน์
« ตอบ #1 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2552, 07:42:28 »

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4040.0.html

                    

         เรามี วิศวะคอมพ์ จุฬาฯ ที่จะช่วยสร้างซอฟแวร์ ของคนไทยที่จะทำให้มี ร.พ.ออนไลน์ รักษาได้ทุกที่ ดึงประวัติมารักษา เหมือน ที่ ธนาคาร ออนไลน์ที่เบิกถอนต่างสาขาได้ สามารถรักษากับแพทย์ประจำครอบครัว ที่ ร.พ.อำเภอ ได้โดยไม่ต้องเดินทางมาพบ แต่พบทางเทเลเมดดิซิน ที่ ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบล ใกล้บ้าน

         นอกจากนี้ยังจองคิวตรวจโดย นัดตรวจทางเนต เหมือนจองตั๋วหนังทางเนตได้อำนวยความสะดวกกับผู้ป่วยได้มาก
         ขอพวกเรา ที่ติดต่อ พี่ราเมศวร์ รักนะ ได้ เสนอพี่ ให้พิจารณาสร้างซอฟแวร์ พันธุ์ไทย ขึ้นใช้ พร้อม บริการให้กับ กระทรวงสาธารณสุขไว้ใช้ทั้งประเทศ ให้คนไข้เข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้ทุกที่ ที่สะดวกแทนต้องมานั่งรอตรวจที่ ร.พ.ดัีง ๆ เป็นตรวจที่ ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบล ใกล้บ้านพบแพทย์ทางเทเลเมดดิซิน กับแพทย์ที่ต้องการพบได้ ไม่ต้องง้อซอฟแวร์ ต่างชาติ ครับผม


          รักนะ รักนะ รักนะ

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #457 เมื่อ: 25 มกราคม 2553, 10:23:41 »

 
คร้าบ บ บ บ ... น้องหมอสำเริง  พี่เค้าชื่อ " ราเมศวร์ " นะครับ  พี่เจี๊ยบส่ง link หน้านี้ไปให้พี่เค้าอ่านแล้ว  เมื่อเช้านี้

ตั๋วเครื่องบิน รุ่นใหม่

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา







ถ้าเครื่องบินตก .... คงพิสูจน์ศพง่ายขึ้นนะ  ถ้าสายรัดมันไม่หลุดจากข้อมือซะก่อน .... ดูๆ เหมือนแผ่นข้อมูลที่เอาไว้ระบุตัวบุคคลเลย


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #458 เมื่อ: 25 มกราคม 2553, 10:31:39 »

คนชื่อ-นามสกุลแปลกๆ ที่มีอยู่จริง

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา





      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #459 เมื่อ: 25 มกราคม 2553, 17:45:53 »

โห พี่เจี๊ยบ
ขำจนกระเพื่อมคะ
กะลังจาเปลี่ยนนามสกุล !!
ไม่ใช้แร้ะมึลเลอร์  เกร่อยังกะอะไร
ขอยืม " ปรปักเป็นจุล " กะ " ชอบนอนหงาย "
มาพิจารณาก่อนนะพี่....เก๋ดี

แต่ " จ้องผสมพันธุ์ " นี่สิ
ดูจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่คะ


ลงชื่อ
น้องหนุงหนิง หวังกระแทกคาง
      บันทึกการเข้า


gearnoi
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #460 เมื่อ: 25 มกราคม 2553, 23:05:52 »

หมอสำเริง :  " ขอพวกเรา ที่ติดต่อพี่ราเมศวร์ได้  เสนอพี่ให้พิจารณาสร้างซอฟแวร์พันธุ์ไทยขึ้นมาใช้  พร้อมบริการให้กับกระทรวงสาธารณสุขไว้ใช้ทั้งประเทศ  ให้คนไข้เข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้ทุกที่ๆ สะดวก  แทนที่จะต้องมานั่งรอตรวจที่ ร.พ.ดัีง ๆ  เป็นตรวจที่ ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบลใกล้บ้าน  พบแพทย์ทางเทเลเมดดิซิน กับแพทย์ที่ต้องการพบได้  ไม่ต้องง้อซอฟแวร์ต่างชาติครับผม "

กรณีนี้เรื่องค่อนข้างยาว  หากต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น  ให้หมอสำเริงติดต่อผมหลังไมค์ดีกว่า  ทางเมล์ หรือโทรศัพท์ก็ได้ครับ

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #461 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 09:08:03 »

Yeh ! ... Yippy !  ขอต้อนรับ " ราเมศวร์ 16 " สู่เวปบอร์ดของหอซีมะโด่ง เป็นครั้งแรกค่ะ ... หลังจากแอบอ่านอย่างเดียว มา นม นาน  แล้วทำไมคราวนี้พิมพ์เป็นภาษาไทยได้แล้วล่ะคะ  เพื่อนชักสงกะสัยซะแล้วว่า  ราเมศวร์พิมพ์เอง รึเปล่าเนี่ย ? ... ha  ha  ha !

ต้องเข้ามาพิสูจน์ว่าเป็น " ราเมศวร์ ตัวจริง เสียงจริง " บ่อยๆ นะเออ !
      บันทึกการเข้า
ตุ๋ย 22
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 20,173

« ตอบ #462 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 17:22:14 »

เอ ! ... แปลก  ผมทำไมไม่เคยเข้าห้องนี้นะ พี่เจี๊ยบ  ต่อไปนี้จะแวะมาบ่อยๆ ครับ
      บันทึกการเข้า

น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #463 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 18:22:52 »

พี่ราเมศวร์มาแล้ว !
yippy !
มาบ่อยๆ ค่ะ  ทึ่งจัดพี่มานาน
ตั้งกะอ่านงานที่พี่ทำ,
งงๆ ก็ตรงตัวเลขนั่นแหละพี่.
ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ พี่ราเมศวร์


nn.27
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #464 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 21:36:01 »

อ้าว ! กระทู้นี้ตกสำรวจจากเรดาห์ของครูตุ๋ยได้ไงคร้าบ บ บ บ   เค้าเปิดกันไปถึง 19 หน้าแระ  มีคนมาอ่านตั้ง 34,900 ครั้งแล้วด้วย

พระราชวังไทย แห่งใหม่ สร้างเสร็จแล้ว‏

พรชัย - นิติ 16 ... ส่งมา

        เนื่องด้วยเหล่าพสกนิกรชาวปากพนังรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพัฒนาลุ่มน้ำปากพนัง  ประชาชนชาวปากพนังจึงพร้อมใจกันจัดสร้างพระตำหนักปากพนัง  เพื่อเป็นพระตำหนักแปรพระราชฐานเสด็จทรงงาน ณ ลุ่มน้ำปากพนัง
 
        พระตำหนักประกอบด้วยห้องบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ  พระตำหนักพระบรมวงศานุวงศ์  ท้องพระโรง  ห้องจัดพระราชทานเลี้ยง  และบ้านพักรับรองสำหรับเหล่ามหาดเล็ก  และข้าราชบริพาร  ผู้ตามเสด็จ
 
        พระตำหนักปากพนังตั้งอยู่บริเวณลุ่มน้ำปากพนัง  ล้อมรอบด้วยแม่น้ำ  มีลักษณะสถาปัตยกรรมของภาคใต้อย่างโดดเด่นชัดเจน  โดยใช้หลังคาทรง " บรานอร์ " และใช้หลังคาสีน้ำเงิน  ซึ่งเป็นสีอันเป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์  โดยในอนาคตทางจังหวัดจะพัฒนาพระตำหนักให้มีความสวยงาม  โดยการจัด " สวนดอกไม้เมืองร้อน " ( เหมือนสวนดอกไม้เมืองร้อนที่สิงค์โปร์  มาเลเซีย ) ให้พระตำหนักมีความงดงามเช่นเดียวกับภูพิงค์ราชนิเวศ  ซึ่งเป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว
 
 *** " บรานอร์ " คือลักษณะหลังคาบ้านไทยถิ่นใต้  มาเลย์  อินโด  บรูไน  และฟิลิปปินส์




















      บันทึกการเข้า
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #465 เมื่อ: 27 มกราคม 2553, 19:07:56 »

อาจจะเก่าไปแล้ว แต่คิดว่ามีประโยชน์ค่ะ
.....
 ถึงทุกๆท่าน
                   ดิฉันมีเรื่องอยากเตือนทุกท่านให้ระวังเอาไว้  ถึงการหลอกลวงรูปแบบใหม่
                  เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2552  เวลาประมาณ 09.15 น.  ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากหมายเลข +886226994823
        เป็นระบบเสียงอัตโนมัติอ้างว่าโทร."จากศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร  แจ้งว่ามีหมายส่งถึงดิฉัน  แต่ไม่สามารถส่งหมายได้
        ให้ติดต่อไปยังศาลอาญา    มิฉะนั้นศาลจะออกหมายจับไป   กด 1 หากต้องการฟังซ้ำ  กด 9 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่"
                   ด้วยความที่ดิฉันเป็นทนายความ  จึงสงสัยและจับพิรุธได้ดังนี้
                        1. เกิดมาไม่เคยกระทำความผิดใดๆ ตามกฏหมายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญา
                        2. เบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ  เหมือนโทร.มาจากต่างประเทศ
                        3. ในประเทศไทยไม่มีศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร
                        4. ศาลไม่มีบริการติดตามคู่ความ หรือตรวจสอบข้อมูลทางโทศัพท์ (ยกเว้นท่านจะโทร.ไปที่ศาลเพื่อขอข้อมูลเองหรือตรวจสอบจากเว็บไซด์)
                   ดิฉันจึงตัดสินใจกด 9 เพราะอยากรู้มีเขามีลูกเล่นอย่างไร  สักพักก็จะมีเสียงผู้หญิงรับสาย (มีเสียผู้ชายดังเข้ามาเหมือนกำลังเจรจาเกี่ยวกับคดีความกับคนอื่นอยู่ ซึ่งทำให้เหมือนจริงว่าโทร.มาจากศาล)  แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลอาสาจะตรวจสอบข้อมูลให้  ขอทราบชื่อ-นามสกุล    ดิฉันก็แจ้งชื่อ-นามสกุลให้ทราบ  จากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวก็จะขอหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก  ดิฉันไม่ให้  เขาก็บอกว่าการติดต่อราชการจะต้องใช้หมายเลขบัตรประชาชน  ดิฉันจึงบอกไปว่าการตรวจสอบข้อมูลของศาลนั้นไม่ต้องใช้เลขบัตรประชาชนก็ได้  ตรวจจากชื่อนาม-นามสกุ! ลก็ได้แล้ว  ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ยังยืนยันว่าต้องใช้เลขบัตรประชาชน  ดิฉันจึงแจ้งว่าจะไปติดต่อศาลเอง ขอทราบชื่อเจ้าหน้าศาลที่จะต้องติดต่อ   ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ตอบมาด้วยเสียงดุๆ ว่าให้ไปติดต่อได้ที่ศาลอาญารัชดา แล้วก็รีบวางสาย  ไม่ยอมแจ้งชื่อให้ทราบ
                   ดิฉันได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวพบว่า
                       -  ไม่ใช่หมายเลขของศาลอาญารัชดาฯ
                       - เป็นรหัสทางไกล 886  ซึ่งโทร.มาจากไต้หวัน
                  ดังนั้นจึงขอเตือนทุกๆท่าน ได้โปรดระวังการหลอกลวงแบบใหม่นี้ไว้ด้วย  เพราะหากท่านให้เลขบัตรประชาชน 13 หลักไป  ไม่ทราบว่าเขาจะเอาไปทำอะไร  เลขบัตรประชาชนของท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆของท่าน เช่นข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลบัตรเครดิต ฯลฯ  ได้มากมาย
                  นอกจากนี้ขอให้เตือนเพื่อนๆ  ญาติสนิท มิตรสหายของท่านให้ทราบด้วย
                                                                                         ขอบคุณค่ะ
                                                                                   ธิดาพร   วณิชย์รุจี
      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
ตุ๋ย 22
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 20,173

« ตอบ #466 เมื่อ: 27 มกราคม 2553, 19:31:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ jamsai เมื่อ 27 มกราคม 2553, 19:07:56
อาจจะเก่าไปแล้ว แต่คิดว่ามีประโยชน์ค่ะ
.....
 ถึงทุกๆท่าน
                   ดิฉันมีเรื่องอยากเตือนทุกท่านให้ระวังเอาไว้  ถึงการหลอกลวงรูปแบบใหม่
                  เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2552  เวลาประมาณ 09.15 น.  ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากหมายเลข +886226994823
        เป็นระบบเสียงอัตโนมัติอ้างว่าโทร."จากศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร  แจ้งว่ามีหมายส่งถึงดิฉัน  แต่ไม่สามารถส่งหมายได้
        ให้ติดต่อไปยังศาลอาญา    มิฉะนั้นศาลจะออกหมายจับไป   กด 1 หากต้องการฟังซ้ำ  กด 9 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่"
                   ด้วยความที่ดิฉันเป็นทนายความ  จึงสงสัยและจับพิรุธได้ดังนี้
                        1. เกิดมาไม่เคยกระทำความผิดใดๆ ตามกฏหมายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญา
                        2. เบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ  เหมือนโทร.มาจากต่างประเทศ
                        3. ในประเทศไทยไม่มีศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร
                        4. ศาลไม่มีบริการติดตามคู่ความ หรือตรวจสอบข้อมูลทางโทศัพท์ (ยกเว้นท่านจะโทร.ไปที่ศาลเพื่อขอข้อมูลเองหรือตรวจสอบจากเว็บไซด์)
                   ดิฉันจึงตัดสินใจกด 9 เพราะอยากรู้มีเขามีลูกเล่นอย่างไร  สักพักก็จะมีเสียงผู้หญิงรับสาย (มีเสียผู้ชายดังเข้ามาเหมือนกำลังเจรจาเกี่ยวกับคดีความกับคนอื่นอยู่ ซึ่งทำให้เหมือนจริงว่าโทร.มาจากศาล)  แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลอาสาจะตรวจสอบข้อมูลให้  ขอทราบชื่อ-นามสกุล    ดิฉันก็แจ้งชื่อ-นามสกุลให้ทราบ  จากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวก็จะขอหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก  ดิฉันไม่ให้  เขาก็บอกว่าการติดต่อราชการจะต้องใช้หมายเลขบัตรประชาชน  ดิฉันจึงบอกไปว่าการตรวจสอบข้อมูลของศาลนั้นไม่ต้องใช้เลขบัตรประชาชนก็ได้  ตรวจจากชื่อนาม-นามสกุ! ลก็ได้แล้ว  ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ยังยืนยันว่าต้องใช้เลขบัตรประชาชน  ดิฉันจึงแจ้งว่าจะไปติดต่อศาลเอง ขอทราบชื่อเจ้าหน้าศาลที่จะต้องติดต่อ   ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ตอบมาด้วยเสียงดุๆ ว่าให้ไปติดต่อได้ที่ศาลอาญารัชดา แล้วก็รีบวางสาย  ไม่ยอมแจ้งชื่อให้ทราบ
                   ดิฉันได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวพบว่า
                       -  ไม่ใช่หมายเลขของศาลอาญารัชดาฯ
                       - เป็นรหัสทางไกล 886  ซึ่งโทร.มาจากไต้หวัน
                  ดังนั้นจึงขอเตือนทุกๆท่าน ได้โปรดระวังการหลอกลวงแบบใหม่นี้ไว้ด้วย  เพราะหากท่านให้เลขบัตรประชาชน 13 หลักไป  ไม่ทราบว่าเขาจะเอาไปทำอะไร  เลขบัตรประชาชนของท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆของท่าน เช่นข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลบัตรเครดิต ฯลฯ  ได้มากมาย
                  นอกจากนี้ขอให้เตือนเพื่อนๆ  ญาติสนิท มิตรสหายของท่านให้ทราบด้วย
                                                                                         ขอบคุณค่ะ
                                                                                   ธิดาพร   วณิชย์รุจี
เป้นเราคงหลงเอาหมายเลขประจำตัวให้ไปแล้ว  เพราะคิดซับซ้อนอารายไม่ค่อยจะเป็น
      บันทึกการเข้า

น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #467 เมื่อ: 27 มกราคม 2553, 21:23:23 »

พี่อาจารย์แจ่มใสคะ,
หมายเลข -886 มาจากใต้หวันค่ะ





nn.
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #468 เมื่อ: 27 มกราคม 2553, 22:16:03 »

ปฏิทินสาวเบียร์พม่า Myanmar Beer‏

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา


















      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #469 เมื่อ: 27 มกราคม 2553, 22:52:59 »

พี่เจี๊ยบ,
หนิงไวค่ะ...clickต่อทันที
ความจริงอยากทราบที่มามากกว่า
ว่าบริษัทเบียร์นี้ของใครเป็นเจ้าของ


      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #470 เมื่อ: 28 มกราคม 2553, 11:20:58 »

จ้า  หนุงหนิง  ขอบคุณที่ช่วยพี่เจี๊ยบทำมาหากิน  น้องเราน่ารักจริงๆ ... ตกลงวัฒนธรรมดื่มเบียร์ เคล้าเสียงเพลงจากนักร้องสาว ที่บาร์  ก็ยังคงจำกัดอยู่ในแวดวงของผู้ใหญ่ที่มีสะตุ้งสตางค์อยู่อ่ะนะ  แล้วรัฐบาลหรือเอกชนล่ะ ที่เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ?  ถ้ารัฐบาลเป็นเจ้าของสัมปทานเบียร์ซะเอง  ก็คงยากที่เบียร์จากประเทศเพื่อนบ้านจะเข้าไปตีตลาด  เรียกว่า  อาฟต้าไร้เอฟเฟค  อ่ะจิ !  


NINE WORDS WOMEN USE - เก้าคำกำกวมของผู้หญิง

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

(1) Fine : This is the word women use to end an argument when they are right and you need to shut up.

(1) ดี, โอเค : คำนี้ผู้หญิงใช้ปิดการโต้เถียงตอนที่เธอมั่นใจว่าเป็นฝ่ายถูก  และคุณต้องหุบปากซะ



(2) Five Minutes : If she is getting dressed, this means a half an hour. Five minutes is only five minutes if you have just been given five more minutes to watch the game before helping around the house.

(2) ห้านาทีนะ : ถ้าหล่อนกำลังแต่งตัว นี่จะหมายถึงชั่วโมงครึ่ง แต่ห้านาทีก็คือห้านาทีถ้าเธอเพิ่งยอมให้คุณดูบอลต่ออีกห้านาทีแล้วค่อยไปช่วยเธอทำงานบ้าน



(3) Nothing : This is the calm before the storm. This means something, and you s houl d be on your toes. Arguments that begin with nothing usually end in fine.
 
(3) ไม่มีไร : นี่คือความสงบก่อนพายุจะเข้า มันแปลว่า " มีอะไร " แน่ ๆ  ขอให้เตรียมตัวได้เลย  การโต้เถียงที่เริ่มด้วย "ไ ม่มีไร " มักจะไปจบลงที่ " ดี, โอเค "

 

(4) Go Ahead : This is a dare, not permission. Don't Do It !

(4) ก็เอาดิ , เอาเลย  : นี่เป็นคำท้า  ไม่ใช่คำอนุญาต  อย่าทะลึ่งทำเป็นอันขาด !



(5) Loud Sigh : This is actually a word, but is a non-verbal statement often mis understood by men. A loud sigh means she thinks you are an idiot and wonders why she is wasting her time standing here and arguing with you about nothing. ( Refer back to # 3 for the meaning of nothing. )

(5) ทำเสียง ชิ, ฮึ, จึ๊ ฯลฯ ออกมาดัง ๆ : มันมีความหมายแน่นอน  แต่อวจนภาษามักทำผู้ชายเข้าใจผิด  เสียงพวกนี้หมายความว่าเธอกำลังคิดว่าคุณแม่งซื่อบื้อเหลือทน  และไม่เข้าใจว่าจะมาเสียเวลายืนเถียงกับคุณเรื่อง " ไม่มีไร " แบบนี้ทำไม ( กลับไปดู " ไม่มีไร " ที่ข้อ 3 )



(6) That's Okay : This is one of the most dangerous statements women can make to a man. That's okay means she wants to think long and hard before deciding how and when you will pay for your mistake.

(6) ไม่เป็นไร : นี่คือสถานะอันตรายสุด ๆ ที่ผู้หญิงจะมีต่อผู้ชายแล้ว  " ไม่เป็นไร " แปลว่าเธอต้องคิดดูก่อนอย่างนาน และอย่างหนักว่า  คุณต้องชดใช้อะไร  อย่างไร  และเมื่อไหร่  ในความผิดที่คุณก่อไว้



(7) Thanks : A woman is thanking you, do not question, or faint. Just say you're welcome. (I want to add in a clause here - This is true, unless she says ' Thanks a lot ' - that is PURE sarcasm and she is not thanking you at all. DO NOT say ' you're welcome ’. That will bring on a ' whatever ' ).
 
(7) ขอบคุณ : ถ้าผู้หญิงขอบคุณ  อย่ามีคำถาม  อย่ามัวทำเฉย  ตอบรับคำเขาไปดี ๆ  ( แต่ขอเพิ่มหน่อยว่า  ถ้าผู้หญิงพูดว่า " ขอบคุณมาก " อันนี้ประชดเต็มดอก  เธอไม่ได้ขอบคุณอะไรเลย  อย่าได้ทะลึ่งตอบรับ  ไม่งั้นคุณจะเจอกับ " เออ เอาเหอะ " )


 
(Cool Whatever : Is a woman's way of saying F-- YOU !
 
(Cool เออ เอาเหอะ : เป็นวิธีที่เจ้าหล่อนจะพูดกับคุณว่า  แม่ง !

 

(9) Don't worry about it, I got it : Another dangerous statement, meaning this is something that a woman has told a man to do several times, but is now doing it herself. This will later result in a man asking ' What's wrong ? ' For the woman's response refer to # 3.
 
(9) อย่าห่วงเลย, อือ เข้าใจละ : อีกหนึ่งสถานะอันตราย  หมายความว่านี่คือบางอย่างที่เธอบอกให้คุณทำมาหลายครั้งละ  แต่คราวนี้เธอจะทำเอง  ซึ่งเดี๋ยวคุณก็จะถามว่า " เป็นไรอะ " แล้วคุณก็จะเจอกับข้อ 3.

 

Send this to the men you know, to warn them about arguments they can avoid if they remember the terminology.

ส่งให้ผู้ชายทุกคนที่คุณรู้จัก  เขาจะได้เลี่ยงอันตรายจากการโต้เถียง  ถ้าเขาจำความหมายเหล่านี้ได้.


Send this to all the women you know to give them a good laugh, cause they know it's true ! ! !
 
ส่งให้ผู้หญิงทุกคนที่คุณรู้จัก  เธอต้องฮาแน่ ๆ เพราะเธอรู้ว่ามันจริงทั้งนั้น ! ! !
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #471 เมื่อ: 29 มกราคม 2553, 06:55:44 »


                                    วันหมดอายุ

                                    

                  Business&Society : ศ.ดร.วรภัทร โตธนะเกษม  

กรุงเทพธุรกิจ  วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2551

วรภัทร โตธนะเกษม : นักกฏหมาย Vs นักเศรษฐศาสตร์

ข้อมูลบุคคล

ตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่น จำกัด (ทริส)

เกิด วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2492

สถานภาพ สมรสกับ นางกิตติยา โตธนะเกษม มีธิดา 1 คน

ประวัติการศึกษา :

- ปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ University of Illinois Urbana- Champaign สหรัฐอเมริกา
- ปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ University of Illinois Urbana – Champaign สหรัฐอเมริกา
- ปริญญาโทบริหารธุรกิจ Kellogg School of Management Northwestern University Evanston Illinois สหรัฐอเมริกา
- ปริญญาตรี นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ - ปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยมดีมาก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

http://thaiprofile.blogspot.com/2006/01/vs.html

         ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

         ช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา สำหรับผม ก็เหมือนทุกปี คือไม่ได้เดินทางไปไหน เพราะไม่อยากจะไปแออัดกับผู้คนจำนวนมาก และเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะได้อยู่กับบ้าน นำสิ่งของหรือหนังสือหนังหาทั้งหลาย ออกมาจัดระเบียบ เมื่อพบว่ามีอะไรที่ไม่เคยหยิบมาใช้ประโยชน์เลย ก็นำไปบริจาคให้แก่คนที่เขาจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเรา

         นอกจากนั้น ยังได้มีโอกาสออกมานั่งสงบๆ ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน มองดูนกบิน อ่านหนังสือที่อยากจะอ่านมานานแล้ว และดื่มเบียร์เย็นๆ แค่นี้ก็สุขเหลือหลาย แต่เบียร์จะออกรสชาติ ก็ต้องมีกับแกล้ม ทำให้ผมต้องไปขุดหาของขบเคี้ยว ที่ซื้อมาเก็บสะสมไว้ และทำให้มีเรื่องต้องเขียนถึงจนได้

         เรื่องของเรื่องก็คือ วิธี ที่บริษัทผู้ผลิตสินค้าเขาบอกกับผู้บริโภคอย่างเราว่า สินค้าหมดอายุเมื่อใด นั้น แม้ว่าส่วนมากจะชัดเจนดี แต่บางครั้ง ก็เป็นปัญหาที่ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้าได้ไม่น้อยเลย

        ประการแรก ก็คือ ตำแหน่ง ที่เขาระบุ วันหมดอายุ ไว้นั้น บางครั้งหายากมาก เพราะแทนที่จะพิมพ์ลงบนฝา กล่องหรือใต้กล่องหรือข้างกล่อง ตรงจุดที่มองเห็นได้ง่ายๆ กลับไปพิมพ์แทรกไว้ในคำบรรยายสรรพคุณสินค้า หรือ คำอธิบายส่วนประกอบของสินค้า ซึ่งก็มีตัวเลขและตัวหนังสืออื่นๆ ปะปนไปกับวันหมดอายุด้วย ทำให้ต้องใช้ความพยายามแยกแยะพอสมควร

บางกรณี ก็พิมพ์ไว้ตัวเล็กนิดเดียว แบบว่าต้องหมุนหากันหลายรอบ และเกือบจะต้องร้องเพลง หากันจนเจอ เพื่อฉลอง การค้นพบวันหมดอายุ ด้วยซ้ำไป

         ประการต่อมา ก็คือ เมื่อพบวันหมดอายุแล้ว บางครั้ง ปัญหาก็ยังไม่ได้หมดไป เพราะผู้ผลิตได้พิมพ์วันหมดอายุ ทับลงไปบนตัวหนังสืออื่นๆ ทำให้สีหมึกกลืนกัน จนอ่านไม่ออก หรือมองไม่เห็นบางส่วน เช่น เห็นเฉพาะวันที่และเดือน แต่ปีนั้นกลืนหายไป บางแห่งก็พิมพ์ลงไปบนฝากระป๋อง ทับลงไปบนส่วนที่เป็นวงกลม ที่มีไว้สำหรับให้เราใช้นิ้วง้างเปิดฝากระป๋องออก ทำให้ตัวเลขวันหมดอายุ บางส่วนหายไปกับส่วนโหว่ของวงกลม อย่างนี้ก็มี

                      ทำไมหนอ ผู้ผลิตจึงขาดสามัญสำนึกได้ถึงขนาดนี้...หรือว่า ตั้งใจ

         เอาเถอะ สมมติว่า เราได้ใช้ความพยายามจนพบวันหมดอายุ ที่อ่านออกชัดเจน ก็แล้วกัน ปัญหาก็ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะบางกรณี เรายังจะต้องใช้ความพยายามเพิ่มเติม เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่า ไอ้ที่เขาพิมพ์วันหมดอายุไว้นั้น หมายถึงวันที่เท่าไรกันแน่

ตัวอย่าง เช่น กระป๋องหนึ่งที่ผมหยิบขึ้นมา ระบุ วันหมดอายุ ไว้ว่า "08.04.10" อย่างนี้ คุณจะอ่านว่าอย่างไร สินค้านั้นหมดอายุ วันที่ 8 เม.ย. 2010 ตามที่เราใช้กัน แบบไทยๆ คือเรียงตาม วัน- เดือน- ปี หรือว่า หมดอายุวันที่ 4 ส.ค. 2010 แบบอเมริกัน ซึ่งมักจะใช้แบบ เดือน- วัน - ปี หรือว่า หมดอายุวันที่ 10 เม.ย. 2008 แบบญี่ปุ่น ซึ่งใช้แบบ ปี -เดือน- วัน

         ถ้ากระป๋องที่ผมถืออยู่นั้น อ่านแบบไทยหรือแบบอเมริกัน ก็แปลว่ายังไม่หมดอายุ สามารถรับประทานได้ด้วยความสบายใจ แต่ถ้าอ่านแบบญี่ปุ่น ก็แปลว่า หมดอายุไปแล้วหมาดๆ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2008 อย่างนี้ผมก็คงไม่กล้ารับประทาน หรือรับประทานด้วยความรู้สึกว่ามีความเสี่ยงนิดๆ

         ถ้าสินค้าที่วางจำหน่ายในไทยทุกรายการ ต่างใช้มาตรฐาน วัน-เดือน-ปี เหมือนกันหมด ปัญหาก็คงหมดไป แต่สินค้าที่วางจำหน่ายในบ้านเราในยุคโลกาภิวัตน์นั้น มีทั้งสินค้าที่เราสั่งเข้ามาจากอเมริกาหรือญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ยุโรป ตะวันออกกลาง ฯลฯ ซึ่งใช้มาตรฐานเรื่องการเขียน วัน เดือน ปี ที่แตกต่างกันไป ทำให้เกิดความสับสนต่อผู้บริโภคในการตีความหมายของวันหมดอายุได้ไม่น้อยทีเดียว

        นอกจากนั้น บางรายแม้จะพิมพ์ วันที่ ไว้อย่างชัดเจน แต่เขาพิมพ์เพียง วันผลิต เท่านั้น หา วันหมดอายุ กี่รอบ ก็ไม่พบ อย่างนี้จะเกิดประโยชน์อันใดต่อผู้บริโภคครับ เพราะต้องไปใช้จินตนาการเอาเอง ว่าสินค้าที่ตนกำลังจะบริโภคนั้น น่าจะหมดอายุ เมื่อใด

         มีอยู่รายหนึ่ง พิมพ์ไว้ชัดเจนที่ฝาขวดว่า 071114 และบรรทัดต่อมาพิมพ์ว่า 20.09 อย่างนี้ น่าจะแปลว่าผลิตวันที่ 14 พ.ย. 2007 แต่ปัญหาก็คือไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเลยว่า หมดอายุเมื่อใด แล้วเจ้า 20.09 ก็น่าจะหมายถึง สองทุ่ม เก้านาที ซึ่งผู้บริโภคก็ไม่รู้จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร เพราะสาระที่เขาต้องการทราบก็คือ หมดอายุเมื่อใด ต่างหาก

        แต่ผู้ผลิตที่ดี ก็มีอยู่มากนะครับ พิมพ์ไว้ชัดเจน ตัวใหญ่ หาง่าย และไม่สับสน เช่นรายหนึ่งพิมพ์ไว้ว่า MFD 18.03.2008 EXP 18.03.2009 อย่างนี้ชัดเจนดี อีกรายก็พิมพ์ไว้ว่า Best Before 01 May 2008 นอกจากนั้น ยังมีอีกรายที่พิมพ์เป็นภาษาไทยชัดเจนว่า หมดอายุวันที่ 15 ต.ค. 2551 อย่างนี้สิครับที่ถือว่า ดีมาก และอยากจะฝากถามผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าบางรายว่า ทำไมไม่ช่วยทำให้ชีวิตผู้บริโภคง่ายขึ้นแบบนี้นะ

         เรื่องง่ายๆ แค่นี้ ทำให้สับสนไปทำไมครับ จึงขอฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้บริโภค ช่วยรับไปพิจารณาหน่อย เพื่อให้ข้อมูลพื้นฐานที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคนี้ มันมีมาตรฐาน อ่านง่าย และไม่สับสน และอย่าให้ผู้ผลิตจงใจสร้างความสับสน หรือหลอกลวงผู้บริโภคก็แล้วกัน เพราะผมเคยเห็น มาแล้ว เมื่อผมเข้าไปร้านผลิตขนมปังชื่อดังแห่งหนึ่งในอดีต แล้วเหลือบไปเห็นขนมปังกองใหญ่ที่กำลังรอการบรรจุกล่องเพื่อส่งออกไปจำหน่าย แต่เมื่อผมหยิบมาดู ปรากฏว่า วันที่ผลิต ซึ่งเขาระบุไว้บนกล่องนั้น คือ อีกสองวันถัดมาครับ!

         ผู้ผลิต ต้องบริสุทธิ์ใจต่อผู้บริโภค สินค้าอยู่ได้แค่ไหน ก็แค่นั้น อะไรที่หมดอายุแล้ว ก็ต้องยอมรับ เอากลับมาทำลายเสีย ไม่ใช่พยายามดื้อดึง ปล่อยให้ผู้บริโภคนำไปรับประทาน เพราะจะเกิด ความเสี่ยง จากการที่อาหารเป็นพิษ และ อาจลามปาม ใหญ่โตได้

         ความจริง เรื่องวันหมดอายุนี้ ผมว่าใช้ได้กับ หลายเรื่อง เหมือนกันนะครับ ไม่เฉพาะเรื่อง อาหารการกิน เท่านั้น เช่น

         เอามาประยุกต์ใช้กับผู้คนในวิชาชีพต่างๆ ก็ได้ อย่าง นักการเมือง เป็นต้น เพราะถ้ามองไปรอบๆ เราก็ยังเห็นนักการเมือง รุ่นเก่าๆ ลีลาเก่าๆ ที่ผู้คนเขาเบื่อหน่ายเต็มที ยังวนเวียนให้เห็นกันอยู่ทั่วไป ถ้าท่านเหล่านั้น ลองหาเวลามองดูตนเองในกระจกบ้าง ก็อาจจะเห็น ป้ายหมดอายุ ของตนว่า ได้ผ่านยุคสมัยไปหลายปีแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็วางมือเถอะครับ

         อย่าดื้อดึงต่อไปเลย เพราะมันจะลามปาม ทำให้เป็นพิษต่อบ้านเมืองได้นะครับ

http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2008q2/2008april25p4.htm

                  

         นำเรื่องวันหมดอายุ มาให้พวกเราได้รู้ และ ช่วยกันผลักดัน ให้ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค ให้เปลี่ยนเป็น ภาษาที่เข้าใจง่าย เป็นสากลไม่ขึ้นกับกลุ่มประเทศใด เช่น พิมพ์ไว้ว่า MFD 18.03.2008 EXP 18.03.2009 อย่างนี้ชัดเจนดี อีกรายก็พิมพ์ไว้ว่า Best Before 01 May 2008      

         นอกจากนั้น ยังมีอีกรายที่พิมพ์เป็นภาษาไทยชัดเจนว่า หมดอายุวันที่ 15 ต.ค. 2551 อย่างนี้สิครับที่ถือว่า ดีมาก และอยากจะฝากถามผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าบางรายว่า ทำไมไม่ช่วยทำให้ชีวิตผู้บริโภคง่ายขึ้นแบบนี้นะ


         เตือน เตือน เตือน
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #472 เมื่อ: 29 มกราคม 2553, 19:16:50 »

ช่างคิดนะคะพี่หมอสำเริง.
ที่โน่น การแจ้งข้อความอายุสินค้า
เค้าเคร่งครัดมากคะ...หาได้ง่ายๆ
ส่วนใหญ่ข้างใต้ ข้างบน ที่แน่นอน
สินค้าใกล้หมดอายุเค้าจะรวมกองไว้มุมๆ
ติดป้ายลดราคาเกินครึ่งคะพวกอาหารจะอายุสั้นกว่า
โดยเฉพาะในตู้แช่ ช็อปกันเดี๋ยวนั้นแล้วบริโภคเลย
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #473 เมื่อ: 31 มกราคม 2553, 17:20:39 »

Top Ten Hybrid Animals

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา







      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #474 เมื่อ: 31 มกราคม 2553, 21:32:03 »

น่ามหัศจรรย์อะไรเช่นนี้.
พี่เจี๊ยบ,การเบี่ยงของ"พันธุ์ทาง"นี้(?)
มีผลต่อการผสมต่อๆไปมั้ยพี่?
รึจะทำให้ยีนส์อ่อนด้อยไม่แข็งแรง
สูญพันธุ์ที่รุ่นนี้?

ฮึม,แล้วจะรู้ด้ไงล่ะเนี่ย
คงต้องรอรุ่น 3?


nn.(therman)
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><