28 มีนาคม 2567, 22:04:18
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1] 2 3 ... 7  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรียนมาเพื่อทราบ ให้สุขภาพแข็งแรง  (อ่าน 260897 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 11:40:41 »

อันตรายจากข้าวมันไก่

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา



บัณฑิตวิทยาศาสตร์การอาหารตรวจพบเชื้อแบคทีเรียในปริมาณที่เกินมาตรฐานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในจานข้าวมันไก่ที่วางรอขายนานเกิน 4 ชั่วโมง เตือนผู้ซื้อควรร้องขอให้ผู้ขายลวกเนื้อไก่ซ้ำก่อนซื้อหรือกิน เพื่อป้องกันและควบคุมอันตรายจากโรคทางเดินอาหาร

จากการสุ่มตรวจข้าวมันไก่ซึ่งนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย และมีขายอยู่มากตามริมบาทวิถีทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยนางสาวปรารถนา เกิดบัว บัณฑิตวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่าข้าวมันไก่เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีการปนเปื้อนจากเชื้อจุลินทรีย์สูงแม้ว่าจะผ่านการปรุงสุกแล้วก็ตาม โดยไก่ต้มตัวสุดท้ายถูกแขวนไว้รอขายนาน 8-9 ชั่วโมงจนกว่าจะปิดร้าน

ขณะที่ FAD Food Code แนะนำว่า เวลาในการรอเสิร์ฟไม่ควรเกิน 4 ชั่วโมงนับตั้งแต่การปรุงสุก สำหรับแบคทีเรียที่ตรวจพบในข้าวมันไก่ คือ S.aureus, C.perfringens, Salmonella โดยเฉพาะเนื้อไก่ที่ปรุงทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนานเกิน 5 ชั่วโมง เชื้อจะเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นมาก และพบเชื้อ E.coli ในแตงกวาปอกเปลือกทุกชิ้นที่เป็นเครื่องเคียงกินกับข้าวมันไก่ คาดว่าติดมากับใบมีด เขียง และมือที่ไม่สะอาด โดยจุลินทรีย์ที่พบสามารถก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดท้อง มีไข้หนาวสั่นและอ่อนเพลีย แต่ความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างไปตามปริมาณ และชนิดของเชื้อที่บริโภคเข้าไป


ผู้วิจัยเสนอแนะว่า มาตรการควบคุมจำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมดให้อยู่ในเกณฑ์คุณภาพคือ ควรจำกัดเวลาขายไม่เกิน 4 ชั่วโมง โดยนับเวลาตั้งแต่ต้มไก่สุก  จนกระทั่งขายหมด
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 11:57:16 »

ตัววัดต่าง ๆ ของผลการตรวจเลือด

A/G RATIO (Albumin/Globulin Ratio) เป็นอัตราส่วนของโปรตีน 2 ชนิด คือ Albumin ต่อ Globulin
• ค่าที่ต่ำพบได้ในโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ ไต และการติดเชื้อ
• ถ้าสูงเกินไปไม่มีความสำคัญมากนัก
Range: 0.8 - 2.0


ALBUMIN เป็นรูปแบบของโปรตีนส่วนใหญ่ที่พบในเลือด ถูกสร้างโดยตับจากกรดอมิโนที่ได้รับจากอาหาร
• ค่าที่ต่ำแสดงถึง ภาวะขาดอาหาร ท้องเสีย ไข้ ติดเชื้อ โรคตับ ขาดสารอาหารประเภทเหล็ก
Range: 3.2 - 5.0 g/dl


ALKALINE PHOSPHATASE เป็นสารเอ็นไซม์ที่สร้างจากตับและกระดูก
• ค่าสูงขึ้นเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะโรคของตับ หรือ กระดูก สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ถึงมะเร็งได้
• ค่าที่ต่ำกว่าปกติเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะขาดโปรตีน ขาดอาหาร ขาดวิตามิน
Range: 20 - 125 U/L


BILIRUBIN ถูกผลิตภายในร่างกายจากการสลายฮีโมโกลบินและเม็ดเลือดแดงเนื่องจากหมดอายุหรือเม็ดเลือดแดงแตกสลาย ตับจะขับสารนี้ออกจากเลือดไปทางน้ำดี Bilirubin เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีให้ทราบถึงภาวะการทำงานของตับ
• การเพิ่มขึ้นของ Bilirubin เป็นเพราะ ตับอักเสบ ภาวะตับล้มเหลว ท่อน้ำดีอุดตัน ภาวะเลือดถูกทำลายมากเกินไป
Range: 0 - 1.3 mg/dl


BLOOD UREA NITROGEN (BUN) เป็นของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญโปรตีน ถูกขับถ่ายโดยไต
• ค่าที่สูงบ่งชี้ว่า ไตทำงานไม่ดี ทานอาหารประเภทโปรตีนมากเกินไป ยาบางชนิด ดื่มน้ำน้อยไป เลือดออกในลำไส้เล็ก
• ค่าที่ต่ำบ่งชี้ว่าขาดอาหาร การดูดซึมอาหารไม่ดี ตับเสีย
Range: 7 - 25 mg/dl


CO2 (Carbon Dioxide) ระดับของคาร์บอนไดออกไซด์มีความสัมพันธ์กับการฟอกเลือดเพื่อแลกเปลี่ยนอากาศที่ปอด
• ค่านี้ใช้ประกอบกับการตรวจสารประเภทเกลือแร่ต่างๆภายในร่างกายเพื่อเป็นประโยชน์ในการบ่งชี้ภาวะความเป็นกรด-ด่างภายในร่างกาย
Range: 22 - 32 mEq/L


CALCIUM เป็นเกลือแร่ที่มีมากที่สุดภายในร่างกาย ระดับภายในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ในช่วงแคบๆ มีความสำคัญมากกับการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ การแข็งตัวของเลือด และอื่นๆ
• ค่าที่สูงบ่งชี้ถึง ภาวะการทำงานมากเกินของฮอร์โมนพาราธัยรอยด์ โรคกระดูก ทานอาหารที่มีแคลเช๊ยมมากเกินไป ยาบางชนิด
• ภาวะที่แคลเซี่ยมต่ำอาจทำให้เกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ มีสาเหตุจาก การทำงานน้อยกว่าปกติของต่อมพาราธัยรอยด์ โรคไต ภาวะพร่องวิตามิน D
Range: 8.5 - 10.3 mEq/dl


CHOLESTEROL เป็นสารประเภทไขมันที่สำคัญมากในร่างกาย เป็นวัตถุดิบของสารจำเป็นมากมาย ถูกสังเคราะห์ภายในร่างกายโดยตับ และได้รับจากอาหาร เมื่ออยู่ในเลือดจะจับรวมกับโปรตีนเรียกว่า Lipoprotein ซึ่งมี 2 รูปแบบที่สำคัญคือ LDL, HDL ดังนั้นค่า Cholesterol ที่ตรวจวัดได้จึงเป็นค่าที่รวมกันของ LDL, HDL
• ค่าที่สูง จะเพิ่มความเสียงต่อการเป็นโรคหัวใจ โดยเกิดการหนา แข็งตัวของเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ
• ค่าที่ต่ำ พบได้ในภาวะขาดอาหาร ตับทำงานไม่ดี โลหิตจาง
Range: 120 - 240 mg/dl


CHLORIDE เป็นเกลือแร่ที่สำคัญตัวหนึ่งที่สำคัญในการดำรงอยู่ของเซลล์
• ค่าสูง สัมพันธ์กับภาวะความเป็นกรดของเลือด
• ค่าต่ำ ร่วมกับค่า Albumin ที่ต่ำลง หมายถึงภาวะบวมน้ำ
Range: 95 - 112 mEq/L


CREATININE เป็นของเสียที่เกิดจากกล้ามเนื้อ และเป็นค่าบ่งชี้ภาวะการทำงานของไต
• ค่าสูง โดยเฉพาะถ้า BUN สูงด้วย หมายถึง โรคไต
• ค่าต่ำ พบได้ใน โรคไต โรคตับ
Range: 0.7 - 1.4 mg/dl


FERRITIN คือโปรตีนที่มีส่วนประกอบของแร่เหล็กด้วย พบในเซลล์ และในเลือด เป็นค่าบ่งชี้สถานะของแร่เหล็กภายในร่างกาย
• ค่าสูง พบได้ในสภาวะหลายๆอย่างได้แก่ การอักเสบทั้งชนิดที่ติดเชื้อ และไม่ติดเชื้อ โรคตับ Hemochromatosis
GGT (Gamma-Glutamyl Transpeptidase) เกี่ยวข้องในชบวนการขนส่งกรดอมิโนเข้าสู่เซลล์ พบได้มากในตับ ดังนั้นจึงใช้เป็นตัวบ่งชี้ได้ดีถึงการดื่มแอลกอฮอล์
• ค่าสูงพบได้ในผู้ติดเหล้า โรคตับ ท่อน้ำดีอุดตัน
Range: 0 - 65 U/L


GLOBULIN เป็นชื่อของกลุ่มโปรตีนกลุ่มหนึ่งนอกเหนือจาก Albumin ค่านี้ได้จากการนำค่า Total Protein ลบด้วยค่า Albumin
• ค่าสูง พบในภาวะอักเสบติดเชื้อเรื้อรัง โรคตับ โรคข้ออักเสบ Rheumatoid arthritis และ Lupus
• ค่าต่ำพบได้ในภาวะโรคไตบางชนิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง อื่นๆ
Range: 2.2 - 4.2 g/dl


GLUCOSE เป็นผลผลิตจากการย่อยคาร์โบไฮเดรต และไกลโคเจนที่ตับ เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย
• ค่าสูง พบในโรคเบาหวาน โรคตับ ตับอ่อนอักเสบ
• ค่าต่ำ พบในโรคตับ ภาวะอินซูลินมากเกินไป ธัยรอยด์ทำงานน้อยผิดปกติ
Range: 60 - 115 mg/dl


HDL (High-Density Lipoprotein)
• ค่าสูงเป็นสัญญาณที่แสดงถึงภาวะการเผาผลาญอาหารที่ดี เนื่องจาก HDL ช่วยหยุดยั้งการดูดจับ LDL ของเซลล์ และเป็นตัวพาหะนำคลอเรสเตอรอลจากอวัยวะส่วนต่างๆนำกลับไปสู่ตับซึ่งจะถูกกำจัดออกไป
Range: 35 - 135 mg/dl


HEMATOCRIT (HCT) วัดความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในเลือด ปกติเท่ากับ 45 % โดยทั่วไปผู้หญิงจะต่ำกว่าผู้ชาย
• ค่าสูง คือ ภาวะขาดน้ำ
• ค่าต่ำ คือ โลหิตจาง
Range: 37 - 54 %


HEMOGLOBIN (HGB) เป็นสารสีแดงที่สำคัญในเม็ดเลือดแดง กล่าวคือทำหน้าที่นำออกซิเจนไปสู่เซลล์ นำคาร์บอนไดออกไซด์กลับไปขับออกที่ปอด พบในเม็ดเลือดแดงมากถึง 1 ใน 3 ของเม็ดเลือดแดง
• ค่าต่ำ หมายถึง ขาดอาหาร เสียเลือดมาก
Range: 14 - 18 %


IRON เหล็กมีความจำเป็นในการสร้าง โปรตีน ฮีโมโกลบิน Cytochrome & Myoglobin
• ค่าสูง พบใน ตับเสื่อมเสียหาย , Pernicious anemia, Hemolytic anemia, Hemochromitosis
• ค่าต่ำ พบในโลหิตจาง ขาดแร่ธาตุทองแดง ทานวิตามินซีน้อย โรคตับ การติดเชื้อเรื้อรัง ทานแคลเซียมมากไป หญิงมีรอบเดือนมาก
Range: 30 - 170 mcg/dl


LAH (Lactic Acid Dehydrogenase) เป็นเอ็นไซม์พบที่ไต หัวใจ กล้ามเนื้อ สมอง ตับ ปอด
• ค่าสูง พบใน ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย กล้ามเนื้อปอดตาย
Range: 0 - 250 u/L


LDH (Lactate Dehydrogenase) เป็นเอ็นไซม์ในเซลล์ส่วนใหญ่ทั่วร่างกาย ดังนั้นถ้าเซลล์ตาย LDH จะถูกปลดปล่อยออกมา
• ค่าสูงเพิ่มเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ค่าอื่นที่เกี่ยวข้องไม่เกี่ยวข้อง ไม่ถือว่าผิดปกติอะไร
LDL ตรงข้ามกับ HDL ยิ่งมากยิ่งไม่ดี
• ค่าสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเส้นเลือดแข็ง
Range: 62 - 130 mg/dl


LYMPHOCYTES เป็นเม็ดเลือดขาวที่ต่อต้านกับเชื้อโรคโดยเฉพาะไวรัส เช่น หัด หัดเยอรมัน อีสุกอีใส
• ค่าสูง จึงมักหมายถึงการติดเชื้อไวรัส
• ค่าต่ำ หมายถึง ภาวะภูมิคุ้มกันไม่ดี ขณะเดียวกัน ถ้า Neutrophil สูงขึ้นหมายถึงภาวะมีการติดเชื้อ
Range: 18 - 48 %


MCHC (Mean Corpuscular Hemoglobin Concentration) ตรวจวัดค่าความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง มีประโยชน์ในการประเมินผลการรักษาโรคโลหิตจาง
• ค่าสูง พบได้ใน Spherocytosis
• ค่าต่ำ พบได้ใน ภาวะขาดเหล็ก, สูญเสียเลือด, ธาลัสซีเมีย
Range: 32 - 36 %


MONOCYTES เป็นเซลล์ที่มีประโยชน์ในการต่อสู้กับเชื้อจุลินทรีย์ในการติดเชื้อ เป็นเซลล์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบการไหลเวียนโลหิต
• ค่าสูง หมายถึง การอักเสบเรื้อรัง, มะเร็ง, ลิวคีเมีย
• ค่าต่ำ แสดงถึงภาวะสุขภาพไม่ดี
Range: 0 - 9 %


PHOSPHORUS เป็นแร่ธาตุที่มีมากในร่างกาย ( แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุด ) อาหารที่รับประทานมีผลต่อ Phosphorus ในเลือดมาก ตัวนี้จะต้องดูควบคู่ไปกับระดับแคลเซียมในเลือด เป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญในการเคลื่อนย้ายของแคลเซียม และ รักษาความเป็นกรดด่างภายในร่างกาย
Range : 2.5 - 4.5 mEq/dl


POTASSIUM เป็นแร่ธาตุ พบมากภายในตัวเซลล์มากกว่าในเลือดถึง 25 เท่า มีความสำคัญมากในการทำงานของเซลล์ การทำงานของกล้ามเนื้อ และหัวใจ ถือเป็นตัวที่มีความสำคัญมาก
• ค่าต่ำ พบได้ในกรณี อาเจียนอย่างรุนแรง ท้องร่วง โรคไต ได้รับยาขับปัสสาวะบางตัว
Range: 3.5 - 5.5 mEq/L


PLATELETS เป็นชิ้นส่วนของเม็ดเลือดแดง มีขนาดเล็กกว่าเม็ดเลือดแดงมาก ในเลือด 1 หยด จะมีเม็ดเลือดแดง 5,000,000 เซลล์ มีเกล็ดเลือดประมาณ 140,000 - 450,000 มีความสำคัญในการแข็งตัวของเลือดเมื่อมีแผลเพื่อป้องกันการเสียเลือดมากเกินไป
• ค่าสูง ได้แก่ โรคของไขกระดูกซึ่งเป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด
• ค่าต่ำ อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกัน และอีกหลายๆโรค
Range : 130 - 400 thous


PROTEIN โปรตีนมีความสำคัญมาก เป็นเอ็นไซม์ต่างๆ ฮอร์โมน ภูมิคุ้มกัน ปรับรักษาระดับความเป็นกรด ด่างในร่างกาย เป็นอาหาร แหล่งพลังงาน มีโปรตีนที่สำคัญหลายชนิด ที่น่าสนใจได้แก่ Albumin และ Globulin
• ค่าสูง พบได้ใน Lupus, โรคตับ, การอักเสบเรื้อรัง, ลิวคีเมีย, อื่นๆ
• ค่าต่ำ พบใน ขาดอาหาร, โรคตับ , การดูดซึมอาหารไม่ดี
Range : 6.0 - 8.5 g/dl


RED BLOOD CELL COUNT (RBC) เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่นำพาออกซิเจนไปตามเลือดไปให้เซลล์ต่างๆและขนคาร์บอนไดออกไซด์กลับไปทิ้งที่ปอด
ในเลือดหยดหนึ่ง มีเม็ดเลือดแดงมากถึงประมาณ 5 ล้านเซลล์ ถูกผลิตจากไขกระดูก
Range : 4.2 - 5.6 mill/mcl


RETICULOCYTE COUNT คือเม็ดเลือดแดงที่ยังอ่อนอยู่ ซึ่งไม่ควรมีมากนักในเลือด
SODIUM เป็นแร่ธาตุ เป็น 1 ใน 4 ของแร่ธาตุที่พบมากในร่างกาย มีความสำคัญต่อความสมดุลย์ของเกลือและน้ำ การนำกระแสประสาท
• ค่าสูง พบใน สูญเสียน้ำมากเกินไป
• ค่าต่ำ พบใน ท้องร่วง, โรคไต
Range: 135 - 146 mEq/L


TRANSAMINASE SGOT (AST) Serum Glutamic Oxalocetic Transaminase คือเอ็นไซม์ที่พบได้ใน หัวใจ, ตับ, กล้ามเนื้อ
• ค่าสูง พบใน ภายหลังภาวะ Heart Attack , โรคตับ, โรคการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ
Range: 0 - 42 U/L


TRANSAMINASE SGPT (ALT) Serum Glutamic Pyruvic Transaminase เป็นเอ็นไซม์ที่พบได้ใน ตับเป็นหลัก ในกล้ามเนื้อพบได้บ้าง ดังนั้นค่านี้จึงจำเพาะเจาะจงถึงโรคตับมากกว่า SGOT หรือ AST
• ค่าสูง พบใน โรคตับ
Range: 0 - 48 U/L


TRIGLYCERIDES คือรูปแบบของไขมันที่พบได้ในธรรมชาติ และรูปแบบของไขมันที่ถูกเก็บในร่างกายซึ่งจะถูกเก็บในเซลล์ไขมัน (Adipose Tissue) มีหน้าที่หลักคือ เป็นแหล่งของพลังงาน ระดับภายในร่างกายเปลี่ยนแปลงตามอาหารที่ทาน และอัตราการกำจัดออก
• ค่าสูง พบได้ใน Artherosclerosis, Hypothyroidism, โรคตับ, ตับอ่อนอักเสบ, Myocardial Infarction, Metabolic disorders, Toxemia, Nephrotic Syndrome
• ค่าต่ำ พบได้ใน Chronic obstructive pulmonary disease, Brain infarction, hyperthyroidism, malnutrition, malabsorption
Range : 0 - 200 mg/dl


URIC ACID เป็นของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญ ( metabolism ) ซึ่งจะถูกขับถ่ายโดยไต
• ค่าสูง พบได้ใน ทานอาหารมากเกินไป โดยเฉพาะประเภทเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ , โรคเก๊าท์ , โรคไต, เบาหวาน, กำลังทานยาขับปัสสาวะบางชนิด
• ค่าต่ำ พบใน โรคไต, Malabsorption, poor diet, liver damage
Range : 3.5 - 7.5 mg/dl


WHITE BLOOD CELL COUNT (WBC) เม็ดเลือดขาวมีหลายชนิด มีหน้าทีในการต่อสู้กับเชื้อโรคที่มารุกราน
• ค่าสูง พบใน การติดเชื้อ , การบาดเจ็ล , หลังผ่าตัด
• ค่าต่ำ พบใน ภาวะบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน
Range : 3.8 - 10.8 thous/mcl


PLASMA THROMBIN TIME (THROMBIN CLOTTING TIME) ตรวจสอบสภาพของ Fibrinogen เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เป็นตัวช่วยในการวินิจฉัยโรคตับ
Range : 10 - 15 วินาที


PLASMA AMMONIA ตรวจสภาพตับ วัดผลการรักษาโรคตับว่าอาการทรุด หรือ ฟื้นได้ดีเพียงใด ถ้าค่ายิ่งสูงจะหมายถึงสภาวะโคม่าของตับ

TOTAL PROTEIN TEST
ค่าสูง พบใน Polyclonal or monoclonal gammopathies, marked dehydration, ยาบางชนิด ได้แก่ Anabolic steroids, Androgens, Corticosteroids, Epinephrine
ค่าต่ำ พบใน Protein-losing gastroenteropathis, acute burns, nephrotic syndrome, severe dietary protein deficiency, chronic liver disease, malabsorption syndrome, agammaglobulinemia
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 12:07:39 »

ออกกำลังกาย ตอนเช้า หรือตอนเย็น ดี ?



บทความจากสภากาชาดไทย : โดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสก อักษรานุเคราะห์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภากาชาดไทย

สมมุติว่า ตัวเราเป็นรถยนต์ เครื่องยนต์ของเราคือกล้ามเนื้อ แขน ขา ที่จะทำให้เราเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ รถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน คนเราก็ต้องการอาหารเป็นพลังงานให้ร่างกาย เคลื่อนไหว ไปไหนมาไหนได้ โดยเฉพาะใช้ออกกำลังกาย

ตื่นนอนเช้า รถยนต์และร่างกายเราไม่มีน้ำมัน ไม่มีพลังงานจำเป็นต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินอาหารก่อน รถยนต์จะได้มีพลังงานวิ่งไปได้ คนเราจะได้มีพลังงานให้กล้ามเนื้อแขน ขา ทำให้เราไปไหน มาไหนได้ รถยนต์ต่างกับร่างกายเรา ตรงที่พอเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว สามารถขับรถไปได้ทันที แต่คนเราหลังกินอาหารอิ่มเต็มที่ยังไปออกกำลังกายไม่ได้ เพราะหลังกินอาหาร 2 ช.ม. จะมีเลือดมารอรับอาหารที่จะถูกย่อยที่กระเพาะและลำไส้เป็นจำนวนมากหลังจากอาหารถูกดูดซึมเข้ามาในเลือดแล้ว เลือดจะพาสารอาหารแจกจ่ายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าออกกำลังกายหนัก ๆ ตอนนี้ เช่น วิ่งออกกำลังซึ่งต้องการเลือดมาเลี้ยงที่ขาที่ใช้วิ่ง 20 เท่าตัวของสภาวะปกติ เมื่อเลือดมากองอยู่ที่กระเพาะเป็นจำนวนมาก บวกกับมาเลี้ยงที่ขาอีก 20 เท่าดังกล่าว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้หน้ามืดเป็นลม หรือถ้าทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ เท่ากับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ถึงชีวิตได้ จึงห้ามเด็ดขาด ห้ามออกกำลังหลังกินอาหาร 2 ช.ม. เมื่ออาหารย่อยหมดแล้ว ดูดซึมเข้าเลือดหมดแล้ว (2 ช.ม.) เลือดที่มารออยู่ที่ กระเพาะก็จะกระจายไปหมด ถึงตอนนี้จะวิ่งก็ปลอดภัย

ทีนี้คนตื่นนอนตอนเช้าแล้วมาออกกำลัง เพราะตอนเช้าอากาศสดชื่น มลพิษก็น้อย อากาศเย็น ร่างกายยังสดชื่นเพราะได้พักมาทั้งคืน แต่คงไม่มีใครกินอาหารก่อนออกกำลังแน่ เท่ากับรถยนต์ไม่ได้เติม น้ำมันรถยนต์จะวิ่งได้อย่างไร แต่คนออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องกินอาหาร เพราะตอนเย็นกินอาหาร เสร็จเข้านอน ไม่ได้ใช้พลังงานขณะที่นอนหลับ ตับจะปรับเปลี่ยนสารอาหาร เช่น น้ำตาลเปลี่ยน เป็นไกลโคเจน ไตรกรีเซอร์ไรด์ ไขมันเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โปรตีนเปลี่ยนเป็นฟอสฟาเจน เป็นต้น แล้วนำไปเก็บไว้ในอวัยวะต่าง ๆ เมื่อตื่นนอนจึงไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่ในเลือด เท่ากับ รถยนต์น้ำมันแห้งถัง สภาพนี้คนออกกำลังได้โดยตับจะดึงสารอาหารที่ปรับเปลี่ยนไปเก็บไว้ในที่ต่าง ๆ ตอนนอนหลับ ให้กลับเป็นสารพลังงานในเลือดใหม่ จึงสามารถออกกำลังกายได้

มาลองคิดดู ตอนนอนตับทำงานหนักมาก เพื่อเอาสารอาหารไปเก็บ ตื่นตอนเช้าไปออกกำลังกายทันที ตับต้องดึงสารอาหารที่เอาไปเก็บไว้เมื่อคืน ออกมาใช้ใหม่ ทำอย่างนี้บ่อย ๆ ทุกวัน ๆ ตับจะต้องทำงานหนักแค่ไหน จะทนสภาพนี้ได้นานเท่าไร เพราะไม่ได้พักเลย เหมือนคนกินเหล้าแล้วไม่กินอาหาร ตับต้องไปดึงสารอาหารจากที่ต่าง ๆ มาให้แอลกอฮอลเผาผลาญ มาก ๆ เข้านาน ๆ เข้า ในตับมีแต่ไขมัน กลายเป็นตับแข็ง ทีนี้ถ้าจะทำให้ถูกต้องก็ต้องกินอาหารเสียก่อน แต่ต้องรอถึง 2 ช.ม. จึงจะไปออกกำลังได้ เช่น กินอาหาร ตี 5 เจ็ดโมงเช้าจึงจะออกกำลังกายได้ จะมีใครทำอย่างนี้บ้าง ฉะนั้นฝรั่งจึงมีแต่คำว่า morning walk ไม่เคยได้ยิน morning jogging เลย นั่นคือออกกำลังกายเบา ๆ ได้ เช่น เดิน ก่อนเดินก็กินอาหารเบา ๆ เช่น แซนวิช 1 ชิ้น กับโอวันติน 1 ถ้วย ซึ่งจะใช้เวลาย่อยอาหารสัก 1/2 -1 ช.ม. ก็พอ ก็จะไปเดินออกกำลังกายได้ กินเล็กน้อยออกกำลังกายเบา ๆ ก็ใช้พลังงานน้อย ที่กินมาแค่นี้ก็พอไหว

ลองพิจารณาการออกกำลังตอนเย็นบ้าง เรากินอาหารเช้า อาหารกลางวัน ตกเย็นรับรองว่าพลังงานยังเหลือเฟือ ขณะทำงานใช้ไปไม่หมด สามารถออกกำลังกายได้เลย เหมือนกับรถยนต์ น้ำมันยังไม่แห้งถัง แต่จะให้ดีอาจเติมอาหารเหมือนตอนเช้าอีกสักเล็กน้อย ก่อนไปออกกำลัง จะทำให้ไม่รู้สึกระโหย ความจริงไม่ต้องไปกินอะไรเลยก็ได้ ข้อสำคัญ เมื่อออกกำลังตอนเย็นเสร็จแล้ว ให้ดื่มน้ำโดยค่อย ๆ ดื่มจนรู้สึกอิ่ม กลับถึงบ้านท่านจะไม่รู้สึกหิวและไม่อยากกินอะไรอีก และหลังออกกำลังกายตอนเย็นนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาเข้านอน จะเหลือสารอาหารน้อยที่สุด ตับไม่ต้องทำงานมากสารอาหารไม่มีไปเก็บตามที่ต่าง ๆ จึงไม่ทำให้อ้วน และไม่มีสารอาหารเหลือค้างในหลอดเลือดโดย เฉพาะไขมัน จึงเป็นวิธีที่จะลดไขมันในเลือดได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องกินยา ถ้าพิจารณาตรงนี้ ออกกำลังกายตอนเช้า หรือตอนเย็นจะเป็นการออกกำลังที่ทำให้สุขภาพทั่ว ๆ ไปดี (แอโรบิก) เท่า ๆ กันทั้งคู่ แต่การออกกำลังกายตอนเย็นโดยไม่ไปกินอาหารภายหลัง ยังจะช่วยให้สารอาหารที่เหลือจากการกินตอนเช้าและตอนเที่ยงน้อยลงจนไม่สามารถทำร้ายร่างกายได้ด้วย การออกกำลังกายตอนเย็นจึงได้ 2 ต่อ

จากงานวิจัยต่างประเทศ เร็ว ๆ นี้ พบว่า การออกกำลังกายตอนเช้านั้น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลง และการออกกำลังกายตอนเย็น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้น ดูในแง่นี้ถ้าไข้หวัดระบาด การออกกำลังกายตอนเย็นจะได้ 3 ต่อ มีกรณีเดียวที่ออกกำลังกายตอนเช้าได้ประโยชน์ คือ พวกที่มีภูมิต้านทานมากไป เช่นโรคภูมิแพ้ได้แก่ หอบหืด แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือโรคพุ่มพวงดวงจันทร์ ออกกำลังกายตอนเช้าช่วยลดภูมิต้านทาน จึงเท่ากับช่วยให้คน ๆ นั้น กินยาลดภูมิต้านทานน้อยลงได้

สรุปมาถึงแค่นี้ ท่านคงทราบแล้วนะครับว่า ออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นดี มีข้อเสนออีกข้อหนึ่งคือ ออกกำลังกายแบบแอโรบิกก่อนนอน เช่น เดินบนสายพาน หรือขี่จักรยาน 30 นาที– 60 นาที ไม่ต้องกลัวว่าจะนอนไม่หลับ เพราะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก 30 นาที ขึ้นไปนี้ ร่างกายจะหลั่ง “ เอนดอร์ฟีน ” ออกมาซึ่งมีฤทธิ์คล้าย ๆ มอร์ฟีน ที่ใช้ฉีดให้คนไข้หลังผ่าตัด จะทำให้ง่วงนอนคลายความเจ็บปวด คลายเครียด ฉะนั้นออกกำลังกายเสร็จ อาบน้ำแล้ว เข้านอนเลย ท่านจะนอนหลับสนิทชนิดไม่ฝัน การนอนหลับสนิทนี้ท่านต้องการการนอนเพียง 5 ช.ม. ก็เพียงพอ จะทราบได้คือตอนทำงานกลางวันจะไม่เพลีย ไม่ง่วง แสดงว่านอนหลับสนิท 5 ช.ม. เพียงพอแล้ว นอกจากนี้มีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมาพบว่า คนนอน 5 ช.ม. มีอุบัติการโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันน้อยกว่าพวกนอน 7-8 ช.ม.

ฉะนั้น การออกกำลังกายตอนเย็น หรือก่อนนอนดีกว่าออกกำลังกายตอนเช้า

บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 12:14:50 »

10 สัญญานเตือนเรื่องสุขภาพ

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

1. ปวดหัวเป็นประจำ
อาการปวดหัว เป็นสัญญาณเบื้องต้นที่ฟ้องว่าร่างกายคุณกำลังอยู่ในภาวะไม่ปกติ สาเหตุหลักมาจากความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออาจเกิดจากการดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์มากเกินไป

การนวดศีรษะทุกวันก่อนเข้านอนจะช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น โดยใช้นิ้วชี้กดที่หัวคิ้ว นวดคลึง และกดไปตามคิ้วจนถึงขมับ จากนั้นใช้นิ้วทั้งสิบนิ้วกด และนวดคลึงหนังศีรษะให้ทั่ว

บางครั้งอาการปวดศีรษะอาจเกิดจากไมเกรน ที่เส้นเลือดส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ คุณจึงควรบริหารร่างกายด้วยการก้มศีรษะให้คางจรดหน้าอก ค่อยๆ หมุนเป็นวงกลมจนกลับมาที่เดิม แล้วเวียนกลับอีกทางหนึ่ง เพื่อให้เลือดไหลเวียนจากต้นคอ หนังศีรษะ และสมองได้อย่างทั่วถึง แต่หากมีอาการปวดรุนแรงพร้อมกับมีไข้ อาเจียน หรือไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน ควรรีบพบแพทย์เพราะอาจเป็นอาการทางสมอง


2. ปวดต้นคอ
มักเป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากความเครียด หรืออาจเกิดจากการเคลื่อนไหวไม่ถูกต้อง เช่น นั่งขับรถนานๆ โดยไม่มีหมอนรองต้นคอ นอนหลับบนที่นอนนุ่มเกินไป ยกของหนักเกินไป

การนวดต้นคอและไหล่จะช่วยบรรเทาอาการปวดให้ดีขึ้น แต่ควรทำร่วมกับการปรับท่านั่งและนอนให้ถูกต้องด้วย ที่นอนที่ดีต้องแข็ง นอนแล้วไม่ยุบเป็นแอ่ง หรือหากที่นอนมีความนุ่ม ให้เลือกใช้หมอนใบเล็กหนุนหลังเอาไว้ และมีหมอนข้างสำหรับวางขาเพื่อรักษาแนวกระดูกสันหลังเอาไว้ให้ตรงเป็นแนวเดียวกัน

ส่วนเก้าอี้ที่ดีจะต่างจากที่นอน คือยิ่งนุ่มมากเท่าไรจะยิ่งดีมากเท่านั้น เพราะความนุ่มจะช่วยให้น้ำหนักกระจายไปได้ทั่ว ไม่ตกอยู่เฉพาะบริเวณสะโพกที่เดียว หากเป็นไปได้ ควรเลือกเก้าอี้ให้เหมาะกับรูปร่างของแต่ละคน และมีพนักพิงเพื่อใช้เอนหลังพักผ่อนสำหรับลดอาการปวดเกร็งที่ต้นคอ


3. ปวดหลัง
อาจเกิดได้จากการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง เช่น นอนคว่ำ นั่งท่าเดียวนานๆ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงเพราะขาดการออกกำลังกาย รวมทั้งน้ำหนักตัวมากขึ้นเพราะความอ้วนหรือการตั้งครรภ์ การนั่ง ยืน นอนให้ถูกต้องจะช่วยป้องกันอาการปวดหลังได้มาก

หากต้องทำงานในอิริยาบถเดิมๆ ทั้งวัน ให้หมั่นเคลื่อนไหวร่างกายทุกๆ 30 นาที หากอาการปวดหลังของคุณเกิดจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไปก็ต้องเพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้น หรือเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังด้วยการซิทอัพวันละประมาณ 15 นาที แต่ถ้าคุณมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการชาตามแขนขา ให้รีบพบแพทย์


4. นอนไม่หลับ
การนอนไม่หลับอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ ความเครียด การดื่มกาแฟ และแอลกอฮอล์มากเกินไป การรับประทานอาหารรสจัด การออกกำลังกายก่อนเข้านอน

หากมีอาการนอนไม่หลับ ให้นวดบริเวณต้นคอเรื่อยไปจนถึงปลายแขนทั้งสองข้าง เพื่อให้เกิดการผ่อนคลาย แช่น้ำอุ่น หรือดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆก่อนนอน
แต่ถ้าคุณนอนไม่เต็มอิ่มจากปัญหาเรื่องสุขภาพ ให้งีบหลับตอนกลางวันประมาณครึ่งชั่วโมง ( หากนานกว่านั้นอาจทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืน )

แต่ถ้าอาการนอนไม่หลับของคุณเกิดขึ้นเป็นเวลานาน ร่วมกับอาการกระสับกระส่าย หัวใจเต้นแรง หรือลุกไปปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยๆ ให้รีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของไทรอยด์ผิดปกติ เบาหวาน ฯลฯ


5. น้ำหนักเพิ่มหรือลดผิดปกติ
การลดน้ำหนักที่ดีไม่ควรเกินกว่า 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ หากมีการลดมากกว่านั้นในระยะเวลา 6 เดือน ควรต้องระวังเป็นพิเศษ การมีน้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่องอาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ สำไส้อักเสบหรือโรคมะเร็ง

ส่วนการมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้พิจารณาว่ามาจากความอ้วนหรือไม่ ถ้าใช่ ให้ควบคุมเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย แต่ถ้าน้ำหนักเพิ่มขึ้นร่วมกับอาการบวมน้ำ คือ ตัวบวม หายใจหอบถี่ต้องลุกไปปัสสาวะบ่อยๆตอนกลางคืน อาจต้องรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคหัวใจ ไตวาย ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ


6. เหนื่อยง่าย
โดยปกติแล้วคนเราอาจจะเดินขึ้นบันได 3 ชั้น หรือออกแรงทำงานต่อเนื่องกัน 1 ชั่วโมงได้โดยไม่เหนื่อย แต่ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยหอบ นี่คือสัญญาณบอกว่าหัวใจไม่แข็งแรง หรือหลอดเลือดอุดตันด้วยไขมัน ดังนั้นคุณต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น เริ่มต้นจากชนิดกีฬาที่ออกแรงเบาๆ ก็ได้ ทำให้ได้เป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที


7. หน้ามืด
อาการหน้ามืดเกิดจากการที่สมองขาดเลือด และออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงชั่วคราว อาจเกิดจากลุกขึ้นยืนเร็วเกินไป การพักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย กินยาหรือดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์กดประสาท

การแก้ไขที่ดีที่สุดคือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานดีขึ้น แต่หากยังคงมีอาการต่อเนื่องกัน 2-3 วัน ให้รีบไปพบแพทย์ เพราะอาจมีปัญหาเรื่องความดันดลหิตต่ำหรือโลหิตจาง


8. ท้องผูก
อาการท้องผูก หมายถึงการถ่ายอุจจาระได้น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เนื่องจากมีปัจจัยบางอย่างขัดขวางการทำงานของลำไส้ ทำให้กากอาหารผ่านลำไส้ใหญ่ได้ช้าลง อาจเกิดจากความเครียด การดื่มน้ำน้อย รับประทานอาหารเหลวหรือไม่มีกากใย ไม่ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา และไม่ออกกำลังกาย

เราสามารถหลีกเลี่ยงอาการท้องผูกได้ด้วยการกินอาหารที่มีเส้นใยสูง ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และสร้างนิสัยการขับถ่ายให้ตนเอง ทำให้เป็นกิจวัตรในเวลานั้นๆ

อาการท้องผูกเรื้อรัง ( นานกว่า 3 สัปดาห์ ) อาจสร้างความเสี่ยงโรคริดสีดวงทวารหนัก โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรืออาการไตวายได้เช่นกัน


9. ตัวเหลืองตาเหลือง
อาจเกิดขึ้นได้จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเกิดจากปัญหาสุขภาพตับ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือมีนิ่วอุดตันในท่อน้ำดี ทำให้เกิดอาการดีซ่าน คือ ร่างกายมีสารสีเหลือง ( ชื่อบิลิรูบินซึ่งเกิดจากการทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ ) ตกค้างอยู่ในกระแสเลือด

หากเริ่มต้นมีอาการ ตัวเหลือง-ตาเหลือง ควรปรับเปลี่ยนอาหารโดยงดอาหารกลางวันรสจัด และแอลกอฮอล์ รวมทั้งรับประทานอาหารรสจืด คาร์โบไฮเดรต และธัญพืชให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้ตับฟื้นตัวเร็วขึ้น เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน อาการตับอักเสบอาจลุกลามกลายเป็นมะเร็งตับได้


10. ขี้ลืมมากกว่าทุกๆ วัน
การเรียกใช้ข้อมูลในสมอง ร่างกายจะต้องทำงานผ่านเซลล์ประสาทนับหมื่นล้านตัว เซลล์เหล่านี้จะลดลงเรื่อยๆตามอายุที่มากขึ้น แต่ถ้าอายุยังน้อย แต่มีอาการขี้หลงขี้ลืม อาจเป็นได้จากความเครียด วิตกกังวล หรืออาจเกิดจากการขาดสารอาหารที่ใช้บำรุงสมองให้ทำงานฉับไวยิ่งขึ้น ได้แก่ โปรตีนจากปลาทะเล การทำสมาธิก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้สมองจัดระเบียบลิ้นชักความคิดเป็นระบบ ช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น ดังนั้น ควรแบ่งเวลาทำสมาธิให้เป็นประจำ วันละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย


อาการเหล่านี้แม้จะเป็นอาการเล็กน้อยที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่คุณก็ต้องหมั่นสังเกตระดับความรุนแรงและความถี่ที่เกิดขึ้น หากมีความผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที!!! เพราะคำว่า “ ไม่เป็นไร ” ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 10 กันยายน 2550, 00:11:44 »

Health Helpful Informations

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

LONG but helpful informations ... Very Useful Health Tips ...

1. Lungs & Big Intestines share the system . If one or the other is infected or sick , the other will also be sick.

2. When the Liver is in pain, there is not much signs or symptoms to be detected. Before many cancers happen, usually the Liver will be the first to get sick.

3. Liver filters out the poisons and it attacks all other viruses in the body.

4. 99% Chinese have weak livers as they eat a lot of meat, and high fatty foods.

5. The Liver 's repair time is effective from 11 pm - 3 am. Therefore, sleeping late after 11pm & Having late night supper 2 hours before sleep especially high cholesterol and high fat foods weakens the liver as it does not have sufficient time to rest and regenerate. Even when one sleeps in later in the morning to replace loss sleep will not help.

6. If you get very hungry just before bedtime, eat some fruits & vegetables which is easy to digest. Meat takes about 4 hours to digest before it goes into the intestines. Meat cooked in oil takes about 12 hours before going into the intestines. This will provoke the Liver & the digestive tract to overwork in filtering the toxins thus you will tend to feel very tired when you wake up in the morning.

7. Oil is the main culprit that will weaken the functions of the Liver and damage it. Medication cannot cure Liver problem and it will damage it even further.

8. Cold-pressed Olive oil , carrot, cucumber, raw chili, garlic, onion, little bamboo salt/sea-salt, radish, pumpkin and small fish are good for the body. Sesame oil is ok.

9. Food-preservatives , Food colourings , Bee Hoon is processed with Aluminium (causes Dementia) , Bleach, syrup, Pesticides are bad for Liver health. Wrong medication can shrink and damage the Liver badly. Radiation from Microwave oven destroys all nutrients in the food.

10. Western medication is bad for the Liver. Chinese medication is bad for Kidney. White radish will disable the effects of the Chinese medication.

11. Sleeping late for children is unhealthy as it weakens memory and intelligence.

12. Best Healthy times to sleep is 9pm especially so for people who are sick or recovering from it and do not sleep later than 11pm. Lots of rest is good for the Liver to recover. When using eye-cover during bed-time ,use only pure-cotton and do not use Rubber, latex material.

13. A Detoxification Diet helps the Liver & Intestines to recover fast. Natural fresh foods are best for the Liver and overall well being. Do not rely on packed, bottled or canned health foods/ vitamins as they lack a lot of natural and essential vitamins which can only be derived from pure, unprocessed natural foods.

14. A balance of mental/emotional state of mind is very important to the total well-being. Too much Stress of all kinds, loud noises/music, anger, irritation suppressed for too long, pessimism, depressive moods, no goals in life, feeling life has no value or blaming the World & Everyone else for his life will further weaken the body system. When the Liver is unhealthy,the person usually has a bad temper and gets easily angry or
irritated.


15. Giving out Gas, perspiration and urine are ways of purging out the toxins from the body. Do not use too much of air-conditioners as they suppress the body from perspiration. This natural way of purging helps to
reduce the load of the Liver. Open the windows for fresh air.


16. Give Warm to any part of the body that is in pain will help ease it or soaking in a bathtub of warm water up to waist level will also help. Be careful if you have heart problems, do not soak up to heart level or else
you might feel uncomfortable as your heart might get too stimulated.


17. Brown rice , wheat, oats, potatoes, sweet potatoes, yam and maize but we must be careful when buying these foods as they contain great amount of Pesticides. Maize and Brown rice contains B complex vitamin but be careful as Maize these days, has a lot of Pesticides in them too. Organic foods are better alternatives but they are more costly.

18. Blood A type has higher chances of Cancer diseases.

19. Blood O type has higher chances of Liver diseases.

20. Women Live Longer because they are more even-tempered due to their menstration cycle expels the anger suppressed inside. It is better not to talk when a person is feeling very angry at that point of time. Breathe very slowly for 7 times and just smile.

22. Gastric problem is also associated with ingesting too much meat and high fat foods.

23. Heart & Uterus are linked together. Drinking 3,000 cc - 4,000 cc of good filtered water with a healthy detoxifcation diet will help keep them healthy too.

24. There is no need to go for unnecessary check up. X-rays, CT scans(radiation is 5x-6x higher) are bad for the body as it kills thousands of cells and thus weakens the body further. Cancers & diseases are sometimes quite hard to detect in your Yearly Health checkups or blood tests. By the time they are detected, that particular part of the body has already been quite damaged. Always get a second opinion from another doctor before proceeding with the recommended surgery. If it is Liver disease, medication will destroy it further. Go on a proper detoxification diet and sleep by 9pm daily will help the Liver to recover much faster.

25. Vegetables and Fruits are high in Vitamin C which will help detoxify the poisons in the body, thus helping the organs to recover during the detoxification. Drinking lots of water 2000cc - 3000cc will help the Liver as Urine is one way of detoxification.

26. Morning hours between 5am - 7am is the best time for Bowel movement otherwise the intestines might absorb the poisons from the digested matter to be distributed to the rest of the body and thus slow poisoning of the body will occur. This will result in the body getting sick.

27. Using Kelp Powder mix in water can help to stop itchy scalp.

28. Stones in gall-bladder, liver, brain, etc.. are usually poisons accumulated from animal protein and oily foods.

29. Minerals - calcium, iron strengthen the kidney/ bladder.

30. A Person having Mild Liver or Kidney problems can eat Fish & Beans. Only after 4 months of detoxification diet.

31. If the whites of the eyes are Yellow means You might have Liver & Gall Bladder problem.

32. Red vegetables or fruits are good for the Brain and the Heart.

33. Yellow vegetable or fruits are good for Digestion. Be careful when choosing. Cabbage and Banana are good but they may have lots of pesticides.

34. Low Blood pressure is ok as long as the individual feels fine and healthy.

35. Having Pimples may mean that the toxins in the blood cannot be purged out.

36. Exercise in preferably done in the morning as there are lots of oxygen from the trees and plants. Night time is not advisable as there are lots of carbon dioxide coming from the trees and plants. Afternoon is too hot. After 40 years old, try to do light exercises like long distance walking and not to do heavy exercises.

37. Having Headaches may mean weak pump of blood/energy from the Heart shows lack of oxygen.

38. Black under eyes means Liver & Kidney are weak.

39. For Arthritis problem, eat High vitamin C , kelp and detoxification diet.

40. People with Breast or Uterine cancer must not eat sea-cucumber or salty foods.

41. High-water content fruits are easier to digest.

42. Exercise is good for the heart.

43. Use as few electrical appliances and household items in your homes. In the long term, they can cause radiation exposure and ruin your health especially your Television set, radio, huge sound system. Don't place them in your bedroom otherwise, you might find difficulty in sleeping thus feeling very tired in the morning. Also, try not to watch too much TV or surf the computer for a long time especially children otherwise in the long run, the radiation from the TV & computer might cause loss of memory and intelligence. Do not switch on the lights in your home or else too much of light exposure overhead might also be damaging to your body especially if you have not been very fit or healthy in your lifestyle.

44. If you want to take a bigger step to a truly healthier lifestyle, please use only stainless, ceramic (without lead), glass for your cooking, eating utensils. In the long run, Aluminium materials will give U dementia. Also get rid of your non-stick pans and cooking utensils as the coating will eventually fade into your food which cause poisoning. Use water to cook your food lightly. Overcooking your food will cause it to loose most if not all of its nutrients.
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 14 กันยายน 2550, 23:45:29 »

นอนให้สวย

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

" นอนสวย " กับ " นอนให้สวย " รู้มั้ย ... ต่างกันอย่างไร ?



นอนสวยนั้นอาจเป็นภาพที่ดูสวย แต่ไม่ช่วยคนนอนเท่าไรนักในด้านเสริมความงาม นอนให้สวยคือ การนอนให้ถูกอนามัย

ประการแรกอย่าไปเชื่อที่เขาว่าคนเราต้องนอนให้ได้ครบวันละ 8 ชั่วโมง

8 ชั่วโมงเป็นเวลานอนเต็มตาของคนส่วนมาก แต่ไม่ทุกคน คุณอาจไม่รวมอยู่ในประเภท 8 ชั่วโมงก็ได้ ตามสถิตินั้น

62% ต้องการเวลานอน 8 ชั่วโมง หรืออย่างน้อยก็ 7 ชั่วโมง

15% ต้องการเวลานอน 5-6 ชั่วโมง

13% ต้องการนอน 9-10 ชั่วโมง

8% ต้องการนอน 5 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า

2% นอนมากกว่า 10 ชั่วโมง

ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนประเภทนอน 5-6 ชั่วโมงก็เต็มตา อย่าได้ดันทุรังจะนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง เพราะห่วงจะไม่สวยเลย คนเราหน้าตาจะแจ่มใสและผิวพรรณดีเพราะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มตา เพราะฉะนั้นนอน 5 ชั่วโมงก็พอ อย่าอดนอนก็แล้วกัน

พยายามนอนให้ตรงเวลาทุกวัน ระบบร่างกายจะได้เคยและเริ่มง่วงเมื่อถึงเวลานอน คนที่หลับยากควรเก็บเตียงไว้เป็นที่นอนโดยเฉพาะ อย่าใช้เป็นที่นอนอ่านหนังสือหรือดูทีวี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ถ้าใช้เตียงเพื่อนอนอย่างเดียว พอหลังแตะฟูกก็อยากจะหลับแล้ว




วิธีนอนให้ถูกอนามัย

คือนอนหงายเหยียดยาวในชุดที่ไม่รัด ใช้หมอนใบเล็กรองใต้คอแทนหนุนใต้ศีรษะได้ยิ่งดี เหยียดแขนออกห่างตัว หรือไม่ก็งอศอกไว้เหนือศีรษะ จะได้ไม่กีดขวางระบบทางเดินหายใจหรือสูบฉีดโลหิต กระดูกสันหลังที่เหยียดตรงช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และท่าหงายเต็มตัวทำให้อวัยวะในช่องท้องอยู่ในที่ทางของมันตามสบายไม่เรรวน หรือเลื่อนเบียดกัน

ควรนอนที่นอนแข็งหนา ( นอนกับพื้นกระดานเขาว่ายิ่งถูกอนามัย แต่คนส่วนมากไม่ชอบเพราะว่าแข็งไป ) เพราะถ้านุ่มหยุ่นไปหลังจะโค้งงอ ทำให้ปวดหลัง นอนคว่ำไม่ดี หายใจไม่สะดวก ลดปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายควรได้รับ กล้ามเนื้อส่วนท้องและเชิงกรานถูกบีบ มีความกดดันหัวใจและสันหลัง ส่งเสริมรอยย่นตามแก้มและคอ นอนตะแคงคู้เข่าก็ไม่ดี กดรอยย่นลงไปบนใบหน้า คอ และกลางตัว ( บริเวณเอว ) อาจทำให้หลังโกงด้วย ระบบหมุนเวียนของโลหิตไม่สะดวก

คนขี้หนาวที่ชอบนอนคลุมโปงก็อันตราย เพราะจะสูดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ตัวหายใจออกมากลับเข้าไปใหม่ ระบบหัวใจที่ดีนั้นต้องการออกซิเจน แต่มีคนร้อยละ 10 พยายามตัดออกซิเจนโดยไม่รู้ตัวแบบนี้ พยายามเลิกคลุมโปงเสียที ถ้าเป็นหวัดคัดจมูก หายใจไม่สะดวก ต้องนอนยกอกและไหล่ขึ้นสูงหน่อย จะให้ดีใช้หนังสือหรือท่อนไม้ขนาดหนาสัก 6 นิ้ว สอดใต้หัวเตียงให้หัวเตียงยกสูงจะช่วยให้ศีรษะตั้งสูงเวลานอน นอนได้สบายขึ้น

คนที่ชอบเป็นรอยดำใต้ตา หรือตาบวม ก็อย่าโทษว่าเป็นเพราะอดนอน ( คนนอน 10 ชั่วโมงบางคนก็อาจเป็นได้ ) ส่วนมากรอยดำใต้ตานั้นเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์มากกว่า ( เว้นแต่คุณจะอดนอนทุกคืนเป็นเวลาหลายคืนติดต่อกัน ) ตาบวมนั้นเป็นเพราะมีของเหลวจากเยื่อใต้ตาไหลมาสะสมไว้ระหว่างการนอนหลับ ตื่นมาสัก 1 ชั่วโมงก็หาย

ไม่ควรเล่นกายบริหารก่อนนอน กายบริหารเหมาะสำหรับเวลาเช้า เพราะจะช่วยกระตุ้นให้กระปรี้กระเปร่าตื่นตาเต็มที่ บริหารก่อนนอนไม่เป็นไร เช่น บริหารคอไม่หนักแรง แต่ช่วยคลายความเครียดได้เป็นอย่างดี นั่งขัดสมาธิ มือขวาตรงขาขัดสบายๆ อย่าเกร็งร่างกายทุกส่วน ปล่อยไหล่สบายๆ คือไม่ต้องยึดให้ตึงแต่อย่าหย่อนจนไหล่ห่อ ค่อยๆ ก้มศีรษะลงจรดอก รู้สึกว่าตึงท้ายทอยแล้วค่อยหมุนศีรษะช้าๆ ไปข้างๆ หมุนเป็นครึ่งวงกลมไปข้างหนึ่งแล้วก็อีกข้างหนึ่ง ทำสลับกันอีก 3-4 ครั้งก่อนจะหมุนเวียนให้ครบรูปวงกลมเลย แล้วจะนอนสบายหายเมื่อยทั้งคืน

เมื่อลงนอนหายใจเข้าลึกๆ ทางจมูกเพื่อให้ลมเข้าเต็มปอด แล้วหายใจออกช้าๆ เมื่อลมเข้าหน้าท้องควรพองออก พอลมออกหน้าท้องจะยุบ คนส่วนมากหายใจผิด เพราะพอลมหายใจเข้าก็แขม่วท้อง พอหายใจออกท้องก็โป่งตาม หัดเสียใหม่จะช่วยให้ทรวดทรงงามขึ้น
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6 เมื่อ: 15 กันยายน 2550, 00:15:08 »

Good night ka,
sleeppppp....welllll
nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 18 กันยายน 2550, 21:40:23 »

ดื่มน้ำมากๆ ... ดีมั้ยหมอ ?

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

ผมดื่มน้ำเยอะนะหมอ ... ทำไมยังป่วยอีก

“ ดื่มน้ำมากๆ ดีไหมหมอ ” คุณสมชายถามผมด้วยความสงสัย
“ แล้วคุณดื่มแค่ไหนล่ะ ที่ว่ามากน่ะ ” ผมถามกลับ
“ ก็วันละเกือบ 3 ลิตร หิวน้ำขึ้นมาก็ดื่ม ครั้งละ 1-2 แก้วแล้วแต่ว่าจะหิวแค่ไหน ตอนกินข้าวผมจะดื่มน้ำมาก เพราะอยากลดความอ้วนก็เลยดื่มน้ำมากๆจะได้อิ่ม ไม่ต้องกินอาหารมากๆ อย่างนี้ผมทำถูกต้องไหมหมอ ” คุณสมชายบรรยายให้ผมฟังถึงพฤติกรรมการดื่มน้ำ
“ แล้วรู้สึกอึดอัด แน่นท้องบ้างไหม กระหายน้ำมากไหม ดื่มน้ำเย็นหรือน้ำธรรมดา ” ผมซักถามคุณสมชายต่อ ...
“ ผมดื่มน้ำเย็นจากตู้เย็นหรือถ้าไปกินอาหารข้างนอก ก็จะดื่มน้ำใส่น้ำแข็งเย็นๆ เพราะมันชื่นใจดีดับร้อน ดับกระหายได้ดี น้ำธรรมดามันไม่ชื่นใจ ดื่มแล้วคอมันร้อนๆ ” คุณสมชายบอกผม


คนส่วนใหญ่รู้ดีกันอยู่แล้วว่าดื่มน้ำมากๆ แล้วดี ผู้ที่รักสุขภาพก็พยายามดื่มน้ำกันบาง ตำราบอกว่าตื่นตอนเช้าให้ดื่มน้ำมากๆ ดื่มเป็นลิตรเลยยิ่งดีถ้าดื่มก่อนแปรงฟันได้ก็ยิ่งดีใหญ่ แต่หลายท่านยิ่งดื่มน้ำมาก กลับยิ่งป่วย ที่ตั้งใจว่าจะดื่มน้ำเยอะๆ ลดความอ้วน ความอ้วนก็ไม่ลดลง กลับอ้วนขึ้นๆ แถมยังท้องผูกถ่ายไม่ออกเสียอีก หลายท่านต่างงุนงงสงสัย ไหนบอกว่าดื่มน้ำมากๆ แล้วดี ความอ้วนก็ไม่ลด ถ่ายก็ไม่ออก แถมบางคนยังมีอาการตัวร้อนเป็นไฟอีก เหงื่อออกมากกว่าคนอื่น ทำอะไรนิดหน่อยก็เหงื่อออกเต็มหน้า เต็มหลัง เช็ดเหงื่อกันทั้งวันผ้าเช็ดหน้าไม่พอ ต้องใช้ผ้าเช็ดตัวถึงจะพอ

น้ำนั้นทำให้เรือลอยก็ได้ จมเรือก็ได้ ก็หมายความว่าทำให้สุขภาพเราดีก็ได้หรือทำให้สุขภาพเสียก็ได้เช่นกัน น้ำเป็นยาวิเศษที่หาง่าย และราคาถูกมากปัญหามีอยู่ว่า “ เราจะใช้น้ำได้ถูกต้องถูกกาลเวลาไหม ”

ลองปฏิบัติตามวิธีของผมดูบ้าง ถือเสียว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้ท่านแล้วกัน ถ้าปฏิบัติตามแล้วรู้สึกดีขึ้น ก็ขอให้ปฏิบัติกันต่อไป แต่ถ้ารู้สึกไม่เข้าท่า ไม่มีอะไรดีขึ้น จะหันหาวิธีอื่นๆก็ไม่ว่ากัน

ปริมาณน้ำที่ดื่มควรให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัว อาศัยความสมดุลของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่ว่าน้ำหนัก 60 กิโลกรัมดื่มน้ำเข้าไป 3-4 ลิตร นั่นก็มากเกินไป น้ำเยอะไป ดินก็พังทลาย เหมือนปัญหาน้ำท่วมที่ประเทศไทยประสบอยู่ในขณะนี้ ทั้งภูเขา สะพาน เขื่อน พังหมด เพราะน้ำมาก คิดดูสิครับ ขนาดสิ่งก่อสร้างที่แข็งแรงอย่างเขื่อนยังพังทลายได้เพราะน้ำ แล้วร่างกายคนเราล่ะ ก็ย่อมมีโอกาสพังได้เหมือนกัน

สูตรการดื่มน้ำคือ ให้เอาน้ำหนักตัวของเรา เป็นกิโลกรัม คูณด้วย 2.2 เอาผลลัพธ์มาหารด้วย 2 แล้วคูณด้วย 30 ก็จะได้ปริมาณน้ำที่เราควรดื่มเป็นหน่วยมิลลิลิตร ตัวอย่างเช่น น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ( 60 X 2.2 X 30 ) / 2 = 1980 มิลลิลิตรหรือเท่ากับ 2 ลิตร / 1 ลิตรเท่ากับน้ำ 5 แก้ว ดังนั้นต้องดื่มน้ำประมาณ 10 แก้วต่อวัน

ร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำเกือบ70 เปอร์เซ็นต์ ในเลือดประกอบด้วยน้ำ 90 เปอร์เซ็นต์ จึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ มิฉะนั้นเลือดก็จะข้น จะหนืด การไหลเวียนก็จะไม่สะดวก อุดตันอยู่ในเส้นเลือด

“ มีคนบอกว่าดื่มน้ำมากๆ ไตจะทำงานหนักจริงไหมหมอ ” คุณสมชายถามผมต่อ

“ ไตกำหนดน้ำ ” ไตมีส่วนสัมพันธ์กับน้ำในร่างกาย เกี่ยวข้องกับการสร้างน้ำปัสสาวะ และทำหน้าที่เหมือนเขื่อนคอยปิด-เปิด หรือคอยกักเก็บ หรือปล่อยออก ถ้าน้ำมากไปก็ล้นเขื่อน แล้วเขื่อนก็จะพัง น้ำน้อยไปเขื่อนก็จะแห้ง ผนังเขื่อนก็อาจแตกร้าวเพราะถูกแดดเผา ดังนั้นเราต้องยึดหลักความสมดุลของธาตุทั้ง 4 เป็นหลัก และถ้าหากว่า“ ไต ” เสียสมดุลขึ้นมา ก็จะเกี่ยวพันไปถึงระบบสืบพันธุ์ทั้งระบบ ไม่ว่าปัญหาที่เกิดกับมดลูก รังไข่ อวัยวะเพศ และสมรรถภาพทางเพศก็จะรวนไปหมด อีกทั้งทำให้กระดูดบาง ผุกร่อนได้ง่าย เพราะ“ ไต ” ที่คุมกระดูกนั้นพังไปแล้ว

เพราะฉะนั้นเราจึงควรดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของเรา และดื่มให้ถูกต้องตามกาลเวลา ร่างกายท่านก็จะไม่มีปัญหา แต่วิธีการดื่มน้ำที่ถูกต้องตามหลักธรรมชาติบำบัดยังไม่หมดเท่านี้ฉบับหน้าผมจะมาพูดต่อว่าควรดื่มน้ำอะไร และจะดื่มให้ถูกกาลเวลาทำอย่างไร ติดตามได้ในฉบับหน้าครับ


ดื่มน้ำอะไรดี ? ดื่มตอนไหน ?

คุณสมศรี หน้าตาแดง คอแห้ง ลิ้นเป็นฝ้าเหลือง เหงื่อออกมากทำอะไรนิดหน่อยก็เหงื่อออก จุกแน่นลิ้นปี่ ลมแน่นท้อง เรอบ่อยพอนวดก็เรอออกแล้ว
เธอเล่าให้ฟังว่า “ ฉันดื่มน้ำเยอะนะหมอ ตื่นเช้าก่อนแปรงฟันก็ 5 แก้วแล้ว กินข้าวก็ดื่มน้ำ3-4 แก้ว ก่อนนอนก็ดื่มน้ำอีกเป็นลิตร รวมๆ แล้ววันหนึ่ง 2 ลิตรกว่าน่าจะพอนะหมอ ” เธอบอกผม
“ แล้วดื่มน้ำอะไรล่ะ น้ำเย็นใช่ไหม ” ผมถามดักคอไว้ก่อน เพราะดูจากรูปร่างลักษณะที่อ้วนฉุอย่างนี้ น่าจะมาจากการชอบดื่มน้ำเย็นเป็นหลัก
“ ต้องน้ำเย็นๆ จึงจะดื่มได้ ดื่มแล้วจะรู้สึกเย็นคอ เย็นชื่นใจดี น้ำธรรมดามันไม่ชื่นใจ ถ้าแช่ช่องฟรีซให้เย็นเป็นวุ้นยิ่งสุดยอด ยิ่งถ้าได้น้ำอัดลมสักขวดยิ่งดีใหญ่ ”
หลายท่านมีความเข้าใจว่า “ ดื่มน้ำได้พอเพียงแล้ว ” ร่างกายก็น่าจะดี แต่ทำไมยังเจ็บป่วย ตัวร้อนขาดน้ำอีก แล้วน้ำที่ดื่มเข้าไปมันไปไหนหมด ถึงขาดน้ำได้


ฉบับที่แล้วผมได้ยกตัวอย่างคนที่น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัมเมื่อคำนวณปริมาณน้ำที่ควรดื่มแล้ว ควรดื่มน้ำ 2 ลิตรต่อวัน ซึ่งเท่ากับ10 แก้ว แต่ 10 แก้วที่ว่านี้ไม่ใช่ดื่มทีเดียวหมด ควรแบ่งดื่มทั้งวัน โดยตอนเช้าดื่มก่อนแปรงฟันได้ก็ดี ดื่มสัก 2-5 แก้ว เพื่อเป็นการชำระของเสียออกจากร่างกาย โดยการเอาอุจจาระ ปัสสาวะออก เหตุที่ให้ดื่มน้ำก่อนแปรงฟันนั้น ก็เพื่อให้การดื่มน้ำเว้นระยะเวลาจากการทานอาหารเช้าให้มากๆ จะทำให้อาหารได้ย่อยเสียก่อน จะได้อุจจาระ หรือปัสสาวะก่อนที่จะออกไปทำงาน ถ้าไม่รีบๆ ดื่มน้ำเสียก่อน เดี๋ยวก็ต้องแวะถ่ายกลางทาง คงไม่สนุกแน่ ยิ่งถ้าใครอั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้ ยิ่งแย่ไปกันใหญ่

ถ้าเราแปรงฟันก่อนดื่มน้ำก็อาจจะเลยเถิดทำธุระอย่างอื่น อาบน้ำอาบท่า แต่งตัว เตรียมไปทำงาน จนอาจจะลืมดื่มน้ำ ทีนี้จะดื่มมากๆ ไม่ได้แล้วก็จะไม่มีน้ำที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย ของเสียก็ถูกดูดซืมเข้าไปใหม่ น้ำส่วนที่เหลือก็ทยอยดื่มบ่อยๆ ครั้งละ 2-3 อึก หรือไม่เกินครึ่งแก้วต่อครั้งอย่ารอให้หิวแล้วค่อยดื่ม และอย่าดื่มครั้งละมากๆ เป็นแก้วหรือเป็นขวดเพราะน้ำจะไหลลงอย่างรวดเร็ว ลำไส้ดูดซึมไม่ทัน แถมไตยังต้องทำงานหนักในการขับน้ำออกเป็นปัสสาวะ ถ้าไตทำงานหนักก็อาจจะเสื่อมได้ แถมจะทำให้ร่างกายขาดน้ำอีก

15 นาทีก่อนรับประทานอาหาร ระหว่างรับประทานอาหาร หลังรับประทานอาหารหรืออิ่มใหม่ๆ อย่าดื่มน้ำมากนัก ควรดื่มไม่เกิน 1 แก้ว เพื่อมิให้น้ำนั้นเข้าไปดับ “ ไฟสำหรับย่อยอาหาร ” ที่อยู่ในกระเพาะ ทานเสร็จแล้ว 40 นาที จึงค่อยดื่มน้ำ และน้ำที่ดื่มก็ไม่ควรดื่มน้ำเย็น ผู้ป่วยมากมายที่ป่วยเพราะดื่มน้ำมากช่วงรับประทานอาหาร อาหารก็ไม่ย่อย น้ำหนักก็เพิ่ม อึดอัด แน่นท้อง เรอ ปวดศีรษะ ไมเกรน และอีกมากมายหลายโรคที่เป็นสาเหตุมาจากอาหารไม่ย่อย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะคาดไม่ถึงว่า “ การดื่มน้ำมากๆ ช่วงรับประทานอาหาร จะทำให้เขาป่วยได้ ” เหมือนเส้นผมบังภูเขา เป็นเรื่องธรรมชาติที่เรามองข้ามกันไป

และมีหลายท่านถามว่า “ ดื่มน้ำต้มสุกดีไหม ” น้ำต้มสุกเป็นน้ำที่ตายแล้ว แร่ธาตุก็พากันตกตะกอนหมด เลี้ยงปลา ปลาก็ตายเพราะขาดสารอาหาร ดื่มน้ำที่กรองแล้วก็พอ หรือถ้าให้ดีขึ้น ดื่มน้ำอุ่นก็จะดีมาก เพราะอุณหภูมิจะใกล้เคียงกับอุณหภูมิของร่างกาย คนเราทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำได้ดี

ช่วงก่อนนอน เป็นอีกช่วงที่ไม่ควรดื่มน้ำมากนัก เพราะเวลานี้ไตต้องการพักผ่อน ให้เขาได้พักผ่อนบ้าง การดื่มน้ำก่อนนอนมากๆ แล้วต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะกลางดึกนั้นคงไม่ถูกต้องแน่ ไม่ต้องหลับต้องนอนกันพอดี ดื่มน้ำพอประมาณเพื่อไม่ให้เราต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะ

หลายท่านดื่มน้ำปริมาณพอเพียง แต่ดื่มตอนเช้า 5 แก้ว เย็น 5 แก้ว รวมแล้ว 2 ลิตรพอดี บอกว่า “ ไม่ค่อยมีเวลาดื่มน้ำ เลยดื่มทีเดียวให้หมดภาระไปเลย จะได้ไม่เสียเวลาทำมาหากิน ” ผลก็คือท่านนั้นเลือดข้นหนืด เข้าไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อเส้นเอ็นไม่ได้ จึงมีอาการกล้ามเนื้อแข็งตึงไปหมด ก้าวขาแทบจะไม่ออก หลังเหมือนแผ่นกระดาน กดนวดไม่ลง หมอนวดเจอแล้วแทบวิ่งหนี ( ถ้าหนีได้ ) นวดท่านนี้ท่านเดียวก็หมดแรงแล้ว กดเท่าไรก็เข้าไม่ถึงเส้นสุดท้ายกลายเป็นหมอนวดเดี้ยงเสียเอง อย่าทรมานหมอนวดอย่างนี้เลยนะครับ สงสารพรรคพวกผมบ้าง.
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #8 เมื่อ: 18 กันยายน 2550, 22:58:18 »

P.Jiab ka,
I drink drinking water direct from the tap...herr,herr...no gas,not freeze,anytime I like..economy too...ohlala
nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 22 กันยายน 2550, 14:33:28 »

การโภชนาการ และการพักผ่อนที่ดี

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

ด้วยมีสมาชิกชมรมฯ ได้ไปฟังการบรรยายพิเศษของ คุณหมอพันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ เห็นว่าดีมีประโยชน์ จึงสรุปส่งเนื้อหามาให้ผู้เขียนอ่าน ผู้เขียน ( คุณมงคล กริชติทายาวุธ - ประธานชมรมศาสนาและการกุศล ) เห็นว่า น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ผู้เขียนจึงเรียบเรียงเนื้อหาให้กระชับชัดเจนมากขึ้น ขอเชิญท่านหาความรู้จากบทความเรื่องนี้ได้ครับ

1. ดุลยภาพแห่งชีวิต คือ ความสมดุลของชีวิต ย่อมมีทั้งชีวิตการงาน ชีวิตส่วนตัว ชีวิตในสังคม ชีวิตครอบครัว และสุขภาพ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ สุขภาพ ถ้าสุขภาพเสียทุกสิ่งก็สูญสลาย

2. การแพทย์วิถีธรรมชาติ อาจารย์หมอพันธ์ศักดิ์ฯ ในอดีตต้องทำงานหนักทั้งงานราชการ คลีนิค และครอบครัว ต้องตื่นตีห้าและเข้านอนห้าทุ่มล่วงเลยไปแล้ว ส่งผลให้เกิดโรคเครียด โรคกระเพาะอาหาร โรคภูมิแพ้ และความจำไม่ดี พออายุ 40 ปี จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ แล้วไปเรียนการแพทย์วิถีธรรมชาติจากออสเตรเลีย นับจากนั้นมา อาจารย์หมอพันธ์ศักดิ์ฯ ไม่เคยเจ็บป่วยอีกเลย ปัจจุบันอาจารย์มีความสุขมาก ๆ และหน้าตาดูดีกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาก

3. ทำอย่างไรให้สุขภาพดีไม่เจ็บป่วย

3.1 สุขภาพ คือภาพแห่งความสุข ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใสเบิกบาน อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

3.2 อาหาร คือแหล่งพลังงานของชีวิต การรับประทานอาหารที่ทำให้สุขภาพดี ไม่เจ็บป่วยและอายุยืน จะต้อง กินอาหารเช้าอย่างราชา อาหารกลางวันอย่างคนธรรมดาและอาหารเย็นอย่างยาจก ดังนั้น อาหารเช้าจึงเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด

3.3 อนุมูลอิสระ ( Free radical ) การรับประทานอาหารจะเกิดของเสียที่เรียกว่า อนุมูลอิสระหรือเรียกว่าประจุวิ่งหารัก หรือประจุขาดรัก วิ่งไปทั่วร่างกาย อวัยวะที่เล็กที่สุดในร่างกาย คือ เซล ( cell )

เซลประกอบด้วย ผนังห้อง และแกนกลางเรียกว่า นิวเคลียส หรือ DNA นิวเคลียสเป็นพิมพ์เขียวที่ทำหน้าที่สร้างเซลใหม่ ส่วนอนุมูลอิสระจะเป็นตัวทำลายผนังห้องและนิวเคลียส ทำให้เซลเนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงไป แต่ร่างกายเราจะมีระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าไม่ดูแลสุขภาพให้ดี ภูมิคุ้มกันจะถูกทำลาย ทำให้เกิดมะเร็งและโรคต่างๆ เกิดขึ้นได้โดยง่าย

3.4 อาหารเช้า ควรรับประทาน คาร์โบไฮเดรท วิตามินบี และซี ถ้าไม่กินมื้อเช้า ชีวิตจะเริ่มต้นด้วยความเป็นกรด ( แลคติกแอซิค ) ยกเว้นเรามียาวิเศษคือ การหัวเราะ เพราะขณะหัวเราะร่างกายจะเปลี่ยนเป็นด่าง หัวเราะ 1 ครั้ง อายุยืน 5 นาที อาหารเช้าที่ต่อต้านความเครียดในการทำงานได้แก่ วิตามินบี และซี ซึ่งไม่มีการเก็บสะสม เพราะละลายในน้ำได้หมด มื้อเช้าที่เร็วและง่าย คือ กล้วยหอม 1 ลูก+ส้ม 1 ลูก + นม 1 กล่อง ( หรือ HOT CHOCOLATE ) ในกล้วยหอมมีแมกนีเซียม และโปตัสเซียม ในส้มมีวิตามินซี โดยเฉพาะกากส้มขาว ๆ มีเส้นใยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายในน้ำ ที่สามารถช่วยดูดซึมพิษในร่างกายและขับออกไป กากส้มมีวิตามินซีมากกว่าน้ำส้ม ในนมมีสารทริบโตเฟน ทำให้กระปรี้กระเปร่า และ อารมณ์ดี

3.5 อาหารกลางวัน กินอะไรก็ได้ที่ชอบ เช่น แกงเขียวหวาน ขาหมู ก๋วยเตี๋ยว แต่ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ คือ น้ำตาล และน้ำมัน ที่จะต้องพยายามหลีกเลี่ยง

3.6 อาหารเย็น ต้องกินพืชผักและผลไม้ เพื่อให้ได้ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความแก่ มื้อเย็นง่าย ๆ เช่น ผัดผัก 1 จาน + ส้มตำ 1 จาน + น้ำผลไม้ 1 แก้ว กินผักผลไม้วันละ ½ กก. จะทำให้แก่ช้า หรือดื่มน้ำผลไม้สดวันละ 3 แก้ว 3 สี แก้วละสี หรือผสมกันก็ได้ สุขภาพจะดีขึ้นมาก

คาร์โบไฮเดรท ทำหน้าที่ให้พลังงาน มีมากในแป้ง ข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว วิธีกินคาร์โบไฮเดรทไม่ให้อ้วน คือกินช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด กินพออิ่ม ที่เหลือเก็บไว้กินในมื้อต่อไป หรือ พยายามกินเพียง 3 ใน 4 ส่วน ที่อยู่ในจาน แล้วหยุดกิน

วิตามินบี มีมากในธัญญพืช ลูกเดือย ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง ถั่วแดง เต้าหู้

โปรตีน มีมากในเนื้อสัตว์ ถ้าอายุเกิน 35 ปีแล้ว ควรรับประทานโปรตีนแต่พอประมาณ ถ้ามากจะทำให้ดูดซึมแคลเซียมไม่ดี เกิดโรคกระดูกผุ สัตว์ใหญ่ก่อนตายจะหลั่งสารแอดรีนาลิน ( สารทุกข์ ) ผสมเข้าไปในกระแสเลือด จึงไม่ควรกินเลือดสัตว์อย่างยิ่ง อันตรายมาก ให้เปลี่ยนไปกินปลาแทน เพราะย่อยง่าย และมีไขมันชั้นดี ทำให้การไหลเวียนของเลือดดี ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด แก้มปลามีแคลเซียมมากกว่าส่วนอื่น ควรกินปลาสัปดาห์ละ 3 มื้อ ก็เพียงพอแล้ว อย่ากินทุกมื้อ เพราะจะทำให้เลือดออกไม่หยุด ชาวเอสกิโมโดนมีดบาดเลือดจะออกไม่หยุดเพราะกินปลาทุกมื้อ หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรกิน Fish oil เพราะอาจทำให้ตกเลือด

แคลเซียม ในวัยทองต้องการแคลเซียมวันละ 1,200-1,500 มก. และควรกินปลาเล็กปลาน้อยเพื่อให้ได้แคลเซียมเพียงพอ

ผักขมฝรั่ง ( spinach ) มีธาตุสังกะสี เหล็ก และสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้นไม้ที่มีเปลือกจะมีสารต่อต้านสิ่งแวดล้อมภายนอก เพราะต้นไม้อยู่กับที่ วิ่งหนีมลพิษไม่ได้ จึงมีเปลือกเพื่อป้องกันมลพิษ

น้ำตาล ต้องไม่ขัดสี เช่นน้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลกรวด น้ำตาลทรายขาวมีสารขัดขาวซึ่งเป็นสารเร่งความเครียด ทำให้เครียดง่าย และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ น้ำตาลเทียมดีกว่าน้ำตาลขัดสี แต่รสชาดไม่ดีเท่านั้น


ความจำเป็นในการกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ

ถ้าวัยหนุ่มสาว ควรกินให้ครบ 3 มื้อ แต่วัย 35 ปีขึ้นไป และวัยทอง ควรมีอาหารว่าง ( snack ) ที่ให้พลังงานไม่มากเป็นมื้อที่ 4 กินหลายมื้อได้ แต่ครั้งละน้อย ๆ และเลือกอาหารที่ย่อยง่าย

ข้อควรคำนึงคือ กินอย่างอารมณ์ดี เช่นกินกับคนที่เรารัก กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียดนึกถึงแต่ความสุข ถ้ากินมื้อละ 15 นาที 3 มื้อ ก็เท่ากับเรามีความสุข 45 นาทีแล้ว และกินอย่างมีน้ำใจ นึกถึงชาวนาอย่ากินทิ้งกินขว้าง กินพอประมาณ อิ่มแล้วเลิก หรือจวนอิ่มแล้วหยุด


วิธีดื่มกาแฟ

- ต้องไม่ใช้ครีมเทียม เพราะครีมเทียมคือน้ำมันมะพร้าว ทำให้มันจุกอกตาย กาแฟ 3 อิน 1 ไม่ดี เพราะผสมครีมเทียม กาแฟดำมีอะโรมา ดื่มแล้วอารมณ์ดี การไหลเวียนของเลือดดี

วิธีชงกาแฟ ใส่กาแฟ 1 ช้อนชา เติมนมอุ่น ( Low fat ) ½ แก้ว และน้ำตาล

วิธีดื่มกาแฟที่ดีที่สุด ต้องไม่ใส่อะไรเลย กาแฟเอสเปรสโซ่ อย่าดื่มรวดเดียวหมด จะหวานกว่าถ้าจิบทีละนิด ดื่มกาแฟวันละไม่เกิน 3 แก้ว ถ้าเกินจะดึงแคลเซียมจากไต ทำให้เป็นโรคกระดูกบาง มีอันตรายต่อสุขภาพ


การพักผ่อน หลักการพักผ่อนที่ดี มีหลายแบบ อาทิ

1. หนีความจำเจซ้ำซาก เช่น เที่ยวทุก 1 เดือน หรือเปลี่ยนทรงผมใหม่ มีคำกล่าวว่า เปลี่ยนที่ ( สถานที่ ) ได้ห้า เปลี่ยนหน้า ( ใบหน้า - ทรงผม ) ได้สิบ อาจทำให้สบายใจมากขึ้น

2. มองโลกในแง่ดี เช่น เห็นน้ำอยู่ ½ แก้ว ต้องมองว่ายังเหลือน้ำอีกตั้ง ½ แก้ว ไม่ใช่น้ำหมดไปแล้วตั้ง ½ แก้ว ยกตัวอย่างเช่น ภรรยาของอาจารย์จะไม่ให้ความสำคัญที่จะต้องทราบว่าในแต่ละวัน อาจารย์จะอยู่ที่ไหน อาจารย์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายจะต้องทราบว่าภรรยาอยู่ที่ไหน เพื่อจะกลับมาทำหน้าที่เทคแคร์ภรรยาให้ทัน กรณีนี้ภรรยาจะไม่เกิดความทุกข์กังวลในการสอดส่องสามีว่า ไปทำอะไรลับหลังภรรยา

3. Second job นอกจากงานหลักเพื่อเลี้ยงชีวิตและครอบครัวแล้ว ควรมีงานรองอย่างที่ 2 ที่เราชอบ ที่เราไม่คิดว่าเป็นงาน แต่ทำแล้วมีความสุข เช่น เขียนหนังสือ สอนหนังสือ หรือบรรยาย

การนอนหลับสนิท จะทำให้เกิดสารเมลาโทนินซึ่งเป็นสาร antioxidant ทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน ปัจจุบันเมลาโทนินที่มีขายอยู่ในท้องตลาด จะออกฤทธิ์เพียง 6 นาทีเท่านั้น แต่ร่างกายเราต้องการ 6 ชม. การนอนหลับสนิทจึงได้คุณประโยชน์มากกว่า

การพักผ่อนที่ดีที่สุด บางครั้งได้แก่ การอยู่เฉย ๆ อยู่กับตัวเอง อย่าให้งานและสังคมมายุ่งเกี่ยว ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง จิบชา ล่องเรือ ฟิตเนส หรือสปา การออกกำลังกายที่รักที่ชอบ ก็เป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง


ตอบคำถามจากผู้ฟัง

1. นม กับ น้ำเต้าหู้ อะไรดีกว่ากัน

คนไทยประมาณ 1/3 หรือ 30% ไม่มีนำย่อย ย่อยน้ำตาลในนม จึงดื่มนมแล้วท้องเสีย ถ้าดื่มนมไม่ได้ ให้กินโยเกิร์ตแทนเพราะมีประโยชน์ โดยเฉพาะผู้หญิง ใช้ทาหน้าทำให้หน้าตึง และมี Lactobacillus เข้าไปอยู่ในทางเดินอาหารและช่องคลอด ช่วยย่อยและไม่ติดเชื้อราที่ช่องคลอด น้ำเต้าหู้สกัดจากถั่วเหลือง มีฮอร์โมน Phyto-estrogen ยับยั้งการเกิดมะเร็งเต้านมและมดลูก แต่น้ำเต้าหู้ไม่มีแคลเซียม ต้องกินเต้าหู้แข็งจึงจะได้แคลเซียม เต้าหู้ยิ่งแข็งยิ่งมีแคลเซียมสูง


2. ผลไม้แก้วมังกร ทำให้เป็นมะเร็งหรือไม่

ไม่น่าจะเป็น ยังไม่เคยอ่านเจอ แก้วมังกรมาจากเวียดนาม มีไฟเบอร์สูง แคลอรี่ต่ำ ควรฟังหูไว้หู อย่าตระหนกเกินกว่าเหตุ วิธีแก้กินแก้วมังกรน้อยลง เพิ่มฝรั่ง และแอปเปิ้ลแทน


3. ฮอร์โมนเพศหญิงในวัยทอง ทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่

เป็นเพียงผลงานวิจัยของอเมริกาเท่านั้น โดยทำการทดลองกับกลุ่มหญิงที่เป็นโรคหัวใจ อ้วน และหน้าอกโต ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอยู่แล้ว โดยการให้ฮอร์โมนอยู่ชนิดเดียว ขนาดเดียว เกิน 5 ปี พบว่าปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 0.25%


4. โยเกิร์ต และสมูทตี้

หลักการของสมูทตี้ คือต้องการไฟเบอร์ไปช่วยดูดพิษ แต่โยเกิร์ตมี Lactobacillus อย่างเดียว ไม่มีไฟเบอร์ วิธีเพิ่มคุณค่าให้โยเกิร์ต ทำง่าย ๆ คือ โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง + กล้วยหอม


5. การนอนให้ได้ประโยชน์

ควรนอนก่อน 4 ทุ่ม ในห้องที่ตกแต่งสวยงาม สะดวกสบายตกเหมือนโรงแรม มีม่าน 2 ชั้น เพื่อป้องกันแสง ควรตื่นเมื่อถึงเวลาตื่น ไม่ใช่ตื่นเพราะแสงแดดแยงตา ควรนอนในห้องที่มืด ระบบฮอร์โมนจะทำงานปกติ การนอนในห้องที่มีแสงไฟสวางจ้า ไม่ดี เพราะฮอร์โมนจะสร้างในความมืด ในขณะที่เรานอนหลับสนิท การงีบในตอนบ่าย จะทำให้ตื่นขึ้นมาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


6. ออกกำลังกายตอนไหนดี

เวลาไหนก็ได้ที่เหมาะสมกับเราที่สุด อย่ายึดมั่นถือมั่น แล้วเราจะมีความสุข
ตัวเราเองรู้เองว่า ออกกำลังกายตอนไหนก็ได้

ออกกำลังกายตอนเช้า ได้แสงแดดตอนเช้า ได้วิตามินดี กระดูกหนาขึ้น อาหารเช้าจะต้านสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการออกกำลังกายได้ พอหายเหนื่อยให้อาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะทำให้กล้ามเนื้อกระฉับกระเฉง ทำงานได้ดี

ออกกำลังกายตอนเย็น โดยมีอุปกรณ์ เช่น ใช้ไม้พลองประกอบ ทำให้กระดูกแขนไม่บาง ไม่โดนแสงแดด แต่การออกกำลังกายทำให้เกิดอนุมูลอิสระ วิธีแก้คือดื่มน้ำผลไม้สด 1 แก้ว ก่อนและหลังออกกำลังกาย จะต้านอนุมูลอิสระได้ การออกกำลังกายทำให้ร่างกายตื่นตัว จึงควรอาบน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น จะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และจะทำให้นอนหลับสบาย


7. น้ำมันประกอบอาหารชนิดไหนดี

น้ำมันมีกรดไขมันอยู่ 2 ชนิด คือ กรดไขมันอิ่มตัว เช่น ในน้ำมันหมู วัว ไม่ควรกินเพราะไขมันจะไปอุดตามเส้นเลือด และกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ในน้ำมันมะกอก ( ทนความร้อนได้ดีที่สุด ) ทานตะวัน ข้าวโพด ฟักทอง ถั่วเหลือง ถ้าอยากให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน เมื่อปรุงอาหารเสร็จ ปิดเตาแก๊ส แล้วค่อยใส่น้ำมันงา เพราะเป็นน้ำมันที่ไหม้ง่าย


8. น้ำนมพืช กับ นมจากสัตว์ อย่างไหนมีธาตุเหล็กมากกว่า

นมจากสัตว์ มีธาตุเหล็กมากกว่า นมแพะ นมจามรี ดีกว่านมวัวเพราะไขมันน้อยแต่ไม่ค่อยอร่อย นมวัวอร่อย แต่มีไขมันมากที่สุด วิธีแก้ดื่มนมวัวแบบพร่องมันเนยแทน


9. การทำดีท็อกซ์

หลักการคือ นำกากอาหารใส่ในลำไส้ เช่น กาแฟ เพื่อทำให้ขับสารพิษออกมา เสียเงินและทรมาน ควรทำดีท็อกซ์แบบชาวบ้านคือ กินมังสวิรัติสัปดาห์ละ 1 วัน อาจารย์จะดีท็อกซ์ทุกวันเสาร์โดยไม่กินเนื้อสัตว์ แต่จะต้มจับฉ่ายใส่เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ และเห็ดหลาย ๆ ชนิด ใส่ผักขม คะน้า ไชเท้า กวางตุ้ง ใส่น้ำมันงา และพริกไทยดำ โดยกินให้หมดภายใน 1 วัน


10. กินกาแฟแล้วนอนไม่หลับ

วิธีแก้ คือ กินกาแฟ และนมอุ่น ๆ หรือกินกาแฟ + กล้วยหอม + เนยมาการีน หรือกินกาแฟดีคาเฟอีน ( กาแฟที่มีแต่กลิ่นไม่มีสารคาเฟอีน ) เพราะเราติดที่กลิ่น


11. นมเย็น กับนมอุ่น อย่างไหนดีกว่ากัน

สารอาหารเท่ากัน แต่นมอุ่นดีกว่า ( 55 องศา C ) เพราะแตกตัวได้ทริบโตเฟน ทำให้อารมณ์ดี นมเย็นจะไม่แตกตัว วิธีอุ่นนม ให้เอาน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปเข้าไมโครเวฟจนร้อน แล้วค่อยตั้งแก้วนมเย็นในน้ำร้อนอีกที


12. ผัก-ผลไม้สด กับ น้ำผัก-ผลไม้คั้น

ดีทั้ง 2 อย่าง แต่ถ้าผักผลไม้สดต้องกินเป็นจำนวนมากเป็นกิโลๆ ถึงจะได้สารอาหารเพียงพอ แต่ถ้าคั้นเป็นน้ำ ดื่มเป็นแก้วพอไหว


13. อาหารรักษาโรคข้อ

ใช้ เซลารี่ 4 ก้านใหญ่ + แอปเปิ้ล หรือฝรั่ง + แครอท นำมาคั้นแบบแยกกากออก ดื่มวันละ 1 แก้ว ทุกวัน จะแก้โรคข้อ เข่าจะไม่เจ็บไม่ปวด หรือนำเซลารี่ไปผัดกับกุ้ง แต่ต้องกินให้ได้ 4 ก้านใหญ่ จึงจะเพียงพอ ดังนั้นนำไปแยกกากดีกว่า เซลารี่จะมีสรรพคุณแก้ปวดบวม แอปเปิ้ล หรือฝรั่งมีวิตามีซีช่วยเรื่องน้ำในข้อ ส่วนแครอทช่วยในเรื่องเยื่อเมือก


14. น้ำผลไม้แบบกล่อง

แทบจะไม่ได้สารอาหาร นอกจากกลูโคส ควรคั้น ( แบบแยกกาก ) เองสด ๆ ดีที่สุด แล้วดื่มทันทีจะได้คุณค่ามาก หากต้องการดื่มแบบเย็น ให้นำน้ำแข็งใส่กาละมัง ใส่น้ำ แล้วนำผลไม้ลงไปล้างแล้วค่อยมาคั้น หรือนำแก้วเปล่า และผลไม้ไปแช่เย็นก่อน นำมาคั้นก็ได้


15. วิธีทานกล้วยหอม ไม่ให้ท้องอืด-แน่นท้อง

ให้กินกล้วยห่าม ๆ จะไม่หวาน และได้คาร์โบไฮเดรท ถ้ากล้วยสุกเกินไปจะได้แต่น้ำตาล


16. การปั่น กับ การแยกกาก ( คั้น )

การปั่น เป็นการตีให้แตก จะทำให้สารอนุมูลอิสระออกมา ไม่ดี แต่การแยกกาก เป็นการแยกน้ำและแยกกากออกจากัน ได้คุณค่ามากกว่า แต่การแยกกากจะไม่ได้ไฟเบอร์ ถ้าต้องการไฟเบอร์ ให้ตักกากมากินก็ได้ หรือเอากากมาปั้นเป็นก้อนกินชดเชยได้


17. น้ำโซดา ล้างท้องได้หรือไม่

โซดาเป็นน้ำด่าง มีข้อดีคือ ถ้าในท้องมีกรดมาก โซดาจะทำให้เกิดความสมดุลและสบายท้อง แต่ถ้าท้องมีแก๊ส โซดาจะทำให้ท้องอืด ถ้ากินแล้วสบายดีก็กินต่อไปได้


18. อาหารที่กินแล้วผมไม่หงอก

ไม่มี ถ้าอยากหายต้องใส่วิก ผมหงอกเกิดจากกรรมพันธุ์ และความเครียด อาหาร และแร่ธาตุที่ช่วยให้ผมหงอกช้า ได้แก่ วิตามินบี และซี สังกะสี ( zinc ) แต่ควรกิน zinc อะมิโน ครีเรท อย่ากินzinc ซัลเฟรด เพราะกัดกระเพาะ หรือกินอาหารเสริม เช่น เซ็นทรัม แบลคมอร์ จะช่วยให้เส้นผมดำขึ้น


19. การย้อมผมกับมะเร็ง

การย้อมผมทำให้บุคลิกดีขึ้น มีความสุข เลือกใช้ยาย้อมผมที่ไม่มีสารโลหะหนักผสม เช่น ตะกั่ว ถ้าไม่มีสารตะกั่วก็ไม่เป็นไร เวลาย้อมให้ปิดตาและจมูกให้ดี อาจใช้แบบสเปรย์ก็ได้


20. ประโยชน์ของน้ำสมุนไพร ( Herb )

คือ พืชผักผลไม้ จึงมีคุณค่าทางยาแล้วแต่ชนิด เช่น เครนเบอรี่ หรือ กระเจี๊ยบ จะมีสรรพคุณทางยาช่วยเรื่องการอักเสบในกระเพาะปัสสาวะ หรือนิ่วในไต เป็นต้น


21. ตำราอาหารสำหรับผู้ชาย

กินกล้วย + น้ำผึ้ง + พริกไทยดำ จะทำให้หลับสบาย ถ่ายสะดวก วิธีทำ ใช้กล้วยน้ำว้าหรือกล้วยหักมุกผึ่งแดดเดียว แล้วโรยน้ำผึ้ง และพริกไทยดำ รับประทานบ่อยๆ สุขภาพจะดี
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 25 กันยายน 2550, 20:33:01 »

กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน กด 1669



เมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉิน นอกจากช่วยเหลือตนเองแล้ว ขณะนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดระบบช่วยเหลือผู้ประสบภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินดังกล่าวนี้ เพียงกดโทรศัพท์ไปที่ หมายเลข 1669 จะมีคำแนะนำให้ และหากจำเป็น จะมีหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินไปช่วยเหลือคุณถึงที่เกิดเหตุ ( ฟรี ) ซึ่งขณะนี้เราจัดได้เกือบทุกที่ทั่วประเทศไทย ตลอด ๒๔ ชั่วโมงทั้งวันทำการ และวันหยุดแล้ว

ป่วยฉุกเฉินโทรหมายเลข 1669

ส่งต่อไปให้ทราบทั่วๆ กันด้วยครับ จักเป็นพระคุณยิ่ง
นพ. สุรจิต สุนทรธรรม
ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ  สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 25 กันยายน 2550, 23:45:38 »

ปริมาณน้ำตาลในผัก และผลไม้


บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2550, 11:28:45 »

อัพเดท ป่วยฉุกเฉินเรียกหมายเลข 1669 เปลี่ยนเป็น 1646 เฉพาะ กทม.

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

จากเมล์เดิมที่เคยส่งกันมาให้ หมายเลขโทรศัพท์ 1669 บริการ ๒๔ ชั่วโมง ซึ่งควรบันทึกไว้ใน memory ของโทรศัพท์มือถือ ไว้เรียกใช้ยามฉุกเฉิน
 
ซึ่งต้องขอขอบคุณคุณหมอมากครับที่ได้ส่งเรื่องนี้มาให้ แต่ตอนนี้ ข่าวล่าสุด ( 1 กันยายน 2550 ) ทาง กทม. ได้ปรับเปลี่ยนการให้บริการ โดยแยกส่วนออกมาเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ทางศูนย์ฯ เอราวัณ ได้มารับผิดชอบการรับเรื่องแจ้งเหตุ ป่วยฉุกเฉิน และได้เปลี่ยนเลขหมายใหม่ จาก 1669 เป็น 1646 ซึ่งจะรับเรื่องเฉพาะใน กทม. เท่านั้นครับ จึงขอแจ้งเพื่อเป็นประโยชน์กับทุกท่าน ( 24 ชั่วโมง )


ปล. อีกอย่างคือ ขอให้ทุกท่าน ( ย้ำว่าทุกท่าน ) หากไม่ได้เก็บเบอร์นี้ไว้ และเจออุบัติเหตุฉุกเฉิน สามารถแจ้งกับทาง 191 ได้ด้วยครับ

( จากพนักงานบริษัทฯ เอกชนที่ ทำงานร่วมกับรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง )
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2550, 12:02:14 »

วันละ 150 วินาที เพื่อห่างไกลโรคปวดหลัง

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

ผู้เขียนมีโรคประจำตัวคือ โรคปวดหลัง ซึ่งมีสาเหตุจากหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท และเป็นต่อเนื่องมานานร่วม 20 ปี, ผ่าตัดมาแล้ว 2 ครั้ง, นอนรอคิวผ่าตัดครั้งที่ 3 มาแล้ว 3 วันที่โรงพยาบาลเลิดสิน ก่อนคณะแพทย์มีความเห็นว่าไม่ควรผ่าตัดเพราะอาการไม่รุนแรงถึงขั้นดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก ทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี ได้รับการรักษา และคำแนะนำจากแพทย์หลายท่านที่มากไปด้วยประสบการณ์ รวมทั้งที่ชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งอาการปวดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวได้ จนวันนี้มีอาการดีขึ้น จึงอยากสรุปความเห็นเผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่นๆ

อาการเริ่มต้นครั้งแรกเกิดจากก้มตัวลงยกของอย่างไม่ถูกท่าทาง มีอาการแปล๊บขึ้นที่กระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอว ขณะนั้นขยับขาทั้งสองข้างต่อไม่ได้ รอไม่ถึงห้านาทีเริ่มทุเลา จึงค่อยๆ ขึ้นรถขับไปหาหมอด้วยตนเอง แต่ยังคงเดินแบบลากขาอย่างช้าๆ หมอที่คลินิคให้ความเห็นว่ากล้ามเนื้อคงอักเสบ จึงฉีดยาแก้ปวดและอักเสบให้ กลับไปบ้าน ต้องหยุดงานเพราะเดินไม่สะดวกไป 3 วัน

หลังจากนั้นอาการแปล๊บๆ ข้างต้นก็จะเกิดกับผมปีละ 2-3 ครั้งอยู่หลายปี ทุกครั้งต้องหยุดพักผ่อนอย่างน้อย 3-4 วัน เพราะลุกเดินไม่ไหว จนไปพบแพทย์ Orthopidics เฉพาะทาง ซึ่งนับเป็นกระบี่มือหนึ่งของจังหวัด รักษากันอยู่นานเป็นปี โดยเริ่มจาก ยากิน ยาฉีด และเอ็กซเรย์แบบคอมพิวเตอร์ติดตามดูอาการ จนสุดท้ายหมอสั่งให้ไปทำเอ็กซเรย์ MRI ที่รพ.บำรุงราษฎร์ กทม. ซึ่งขณะนั้นมีอยู่แห่งเดียวในประเทศไทย ภาพจากฟิล์มฟ้องว่าหมอนรองกระดูกสันหลังมันปลิ้นออกมาขวาง และดันไขสันหลัง และเส้นประสาทจนเกิดอาการชาไปถึงหลังเท้า หมอตัดสินใจผ่าตัด เพื่อขูดเอาหมอนรองกระดูกที่แตกออก โดยเปิดแผลคืบนึงที่หน้าท้อง พร้อมทั้งตัดกระดูกเชิงกรานมาแว่นนึงขนาดเท่ากับหมอนรองกระดูกที่ขูดออก อัดเข้าไปรับช่องว่างข้อกระดูกสันหลังแทน ซึ่งแน่นอนมันจะส่งผลให้ข้อต่อส่วนนี้ไม่มีการยืดหยุ่นอีกต่อไป เวลาผ่านไประยะนึง มันก็จะเชื่อมข้อบนและข้อล่างให้ต่อเป็นชิ้นเดียวกัน งานนี้ต้องหยุดพักรักษาแผลไปร่วมเดือน

หลังผ่าตัด ก็ยังคงพบแพทย์เพื่อติดตามอาการเป็นระยะๆ จากสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี แต่อาการดูเหมือนมันยังไม่หายขาด แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าเก่ามาก สุดท้ายหมอขอแก้ตัวอีกครั้งโดยการผ่าตัดจากด้านหลัง เปิดแผลช่วงกระดูกสันหลังที่มีปัญหา พร้อมยึดโยงข้อกระดูกสันหลังบน และล่างด้วยโลหะ เพื่อเสริมความแข็งแรงไม่ให้เกิดการเสียดสีหรือกดทับเส้นประสาทอีก งานนี้ต้องพักรักษาแผลไปเกือบ 3 อาทิตย์ แต่ก็พบว่าอาการที่ยังคงชาอยู่ที่หลังเท้าไม่ได้หายขาดไป เลยรู้สึกปลงๆ และไม่สนใจอะไรมากมายอีก นานๆ เป็นปีถึงจะเจ็บหนักๆ สักครั้งนึง ก็ถือโอกาสยอมรับว่ามันคงเป็นอย่างนี้แหละ จนเวลาล่วงเลยไปอีกหลายปี

ประมาณปี 2544 ก็เริ่มเกิดอาการปวดระดับต้องนอนพักถี่ขึ้น ไปพบแพทย์ที่รพ.กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นแพทย์ประจำรพ.เลิดสิน เชี่ยวชาญเรื่องกระดูก เอ็กซเรย์ไปหลายครั้งทั้งธรรมดา และแบบสแกนคอมพิวเตอร์ แต่ก็เห็นไม่ชัดเลยต้องลองทำ MRI อีกครั้ง ปรากฏว่าภาพเกิดแสงสะท้อนมากจนดูไม่รู้เรื่องเพราะมีโลหะอยู่ข้างใน สุดท้ายคุณหมอขอฉีดสีเข้าไขสันหลังเพื่อให้ภาพเอ็กซเรย์ธรรมดาชัดเจนมากขึ้น ช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำ ครั้งนี้พบว่ามีหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทเพิ่มอีกสองตำแหน่ง คือ ข้อบน และข้อล่างของข้อที่เคยมีปัญหามาก่อน ซึ่งคุณหมอบอกว่าเกิดจากข้อที่เสียไปไม่ยืดหยุ่น จึงไปเพิ่มภาระให้กับข้อบนและล่างมากกว่าปกติ ... เฮ้อ ! .. เวรกรรม ไม่รู้เพราะตอนเด็กไปตีงูหลังหักไปหลายตัวจนตาย รึไง กรรมเลยตามสนองในชาตินี้เลย หรือเปล่า ?

สุดท้ายหมอนัดให้ไปนอนรอที่โรงพยาบาลเลิดสินเพื่อผ่าตัด นอนรออยู่ 3 วัน คณะแพทย์ของรพ.เลิดสิน มาแจ้งผลว่ายกเลิกนัดที่จะผ่าตัด เพราะไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะผ่าตัดจุดเดิมซ้ำซากหลายๆ ครั้ง ผมเลยจำใจอดทนรับการเจ็บปวดปีละหลายครั้งต่อไป จนกระทั่งปี 46 ต้องโยกย้ายไปช่วยงานที่เมืองจีน 3 ปี ระหว่างอยู่ที่นั่นก็นับว่าโชคดีที่เกิดการปวดรุนแรงไม่บ่อยมาก ส่วนใหญ่พอเริ่มมีอาการเพียงเล็กน้อยก็จะรีบกินยากันไว้ และระวังท่าทางการเคลื่อนไหวไม่ให้เสี่ยงเจ็บเป็นกรณีพิเศษ ทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทย ต้องแวะหาหมอเพื่อตรวจอาการ และขอยาไปสำรองไว้ครั้งละร่วมหมื่นบาท มีอยู่หลายครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้าน ได้รับคำแนะนำให้ไปหาหมอคนนั้น คนนี้ ซึ่งแต่ละท่านมีชื่อเสียงระดับประเทศ ก็ลองไปขอคำปรึกษามาแล้วทั้งนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่าช่วงทำงานในจีนจะไม่เกิดปัญหาบาดเจ็บรุนแรงจนเสียการเสียงาน

มีคุณหมอท่านหนึ่งของโรงพยาบาลจุฬาฯ สรุปอย่างตรงประเด็นให้ฟังว่า โรคนี้น่ะ มันรักษาไม่หายขาดหรอก หากเจ็บบ่อยหรือชาลงขามากก็ผ่าตัดสถานเดียว และถ้าเจ็บจุดอื่นต่อไปก็ต้องผ่าตัดไปเรื่อยๆ แต่มีทางช่วยป้องกันและลดโอกาสการเจ็บปวดได้ โดยต้องบริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงเพื่อยึดโยงกระดูกสันหลังให้มั่นคง ซึ่งฟังดูแล้วก็เห็นคล้อยตามทีหมอบอกเลยว่าจริง แต่หมอสอนท่าบริหารกล้ามเนื้อหลังมาให้หลายท่า ซึ่งใช้เวลาต่อครั้งเกินชั่วโมงและไม่เหมาะกับคนขี้เกียจบริหารตัวเอง และคงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าบริหารอย่างไร เพราะผมเองทำอยู่ได้ไม่กี่วันก็ยอมแพ้ เอาเป็นว่าตอนนี้เริ่ม get แล้วว่าหัวใจของปัญหาอยู่ที่กล้ามเนื้อหลัง

หลังจากย้ายกลับจากจีน เพราะสุขภาพโดยรวมไม่เอื้ออำนวยให้ลุยงานที่ต้องสมบุกสมบันที่นั่น เมื่อเกิดอาการปวดอีก ก็เลยไปพบคุณหมอสมศักดิ์ที่มักจะหาอยู่เป็นประจำที่รพ.กรุงเทพฯ คุณหมอเองก็พยายามจะบอกว่า ฟังประวัติการรักษาที่ผ่านมา ถ้าท่านเป็นผู้ผ่าตัดตั้งแต่ครั้งแรกๆ ท่านจะต้องบังคับให้ทำกายภาพบำบัดด้วยตนเอง หลังแผลหายดีแล้ว ซึ่งหากทำมาตั้งแต่แรกก็คงจะช่วยทำให้ไม่ต้องมาพบหมออีกเหมือนในตอนนี้ เพราะกายภาพบำบัดโดยบริหารกล้ามเนื้อหลัง จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากอีกต่อไป เพียงแต่เราต้องไม่หลีกเลี่ยงบริหารเป็นประจำทุกวัน ซึ่งหลังจากคุณหมอได้อธิบายให้ฟังวิธีการบริหารแล้วรู้สึกได้เลยว่าหมูมาก และใช้เวลาน้อยมากๆ ต่อวัน จึงเริ่มทำต่อเนื่องมาได้สองสามเดือนแล้ว รู้สึกว่าแผ่นหลังแข็งแรงขึ้น พร้อมกับหน้าท้องก็เฟิร์มขึ้น ที่สำคัญอาการเจ็บแปล๊บๆ ที่เป็นบ่อยแต่ไม่รุนแรงหลายเดือนก่อนหน้า หายขาดไปเลย ทั้งที่ช่วงต้นปีเป็นต้นมาชักเริ่มมีปัญหาถี่มาก จนคุณหมอเองยังออกปากว่าถ้าลองบริหารแล้วไม่ดีขึ้นก็คงต้องผ่าตัดแน่นอน ด้วยก่อนหน้านี้อัดไปทั้งยาฉีด, ยารักษา, ยาบำรุงเต็มพิกัดแล้ว เมื่อผลออกมาว่าอาการปวดหายเหมือนปลิดทิ้งอย่างนี้ เลยต้องยกเครดิตให้การบริหารกล้ามเนื้อหลังเป็นพระเอกตัวจริง อยากรู้แล้วใช่มั้ยครับ ว่าทำยังไง

เอ้าฟังนะ ..... ตื่นเช้าทุกวัน ให้บริหารกล้ามเนื้อหลังดังนี้

- นอนหงายยืดเท้าตรงแนบชิดกัน
- ยกปลายเท้าลอยสูงขึ้นประมาณ 1 ฟุต ( ไม่ควรยกให้สูงกว่านี้ )
- ฝืนค้างไว้พร้อมนับสิบวินาที
- ครบแล้วลดปลายเท้าวางลงพักห้าวินาที ... ดังนี้คือ 1 เซ็ท
- ทำติดต่อกันรวม 10 เซ็ท นั่นหมายถึงใช้เวลาไปรวม 150 วินาทีต่อวันเท่านั้น เห็นแล้วยังครับ ว่ามันง่ายมากจริงๆ
- แต่ละสัปดาห์ให้เพิ่มน้ำหนัก 500 กรัมถ่วงไว้ ( อาจใช้ถุงทรายที่มีขายทั่วไป )
- น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะค่อยๆ สร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อหลัง เพื่อแก้ปัญหาที่เหตุ
- น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะสิ้นสุดที่เท่าใดเหรอครับ คุณหมอบอกว่าจนกว่ายกไม่ไหว ... แต่ น้ำหนักขั้นต่ำ ที่แต่ละคนต้องยกให้ได้ มีวิธีคำนวณดังนี้ครับ

น้ำหนักขั้นต่ำที่ต้องยกได้ = น้ำหนักตัว – น้ำหนักท่อนขาสองข้าง / 10

โดยปกติน้ำหนักท่อนขาสองข้างประมาณ 10 กิโลกรัม ถ้าอ้วนหรือผอมกว่าปกติก็ปรับเพิ่ม หรือลดเอาตามความเหมาะสม ( อย่าบอกนะว่า ขาสองข้างหนัก 50 โล )


หวังว่าวิทยาทานในการบริหารด้วยตนเองวันละ 150 วินาทีนี้ จะช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคปวดหลังคลายทุกข์ได้ในเร็ววันนี้นะครับ และขอให้ผลบุญที่ช่วยให้ผู้อื่นคลายทุกข์ จงอย่าได้มีอาการปวดหลังมากล้ำกลายข้าพเจ้าอีกต่อไปเลย

ส่งต่อมากๆ ก็ได้บุญอีกมากๆ นะครับ โดย ... วิวัฒน์ อัครวิเนค
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2550, 19:40:14 »

สิ่งที่มากับ ... ปลาดิบ

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

ปัจจุบันคนไทยนิยมรับประทานปลาดิบกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารญี่ปุ่น ด้วยรสชาติ และหน้าตาของอาหารที่ดูสะดุดตาชวนให้น่ารับประทาน ทำให้แทบจะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่เคยลิ้มลองอาหารจำพวกข้าวปั้น ซูชิ ซาซิมิที่มีปลาดิบเป็นส่วนประกอบ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าในปลาดิบนี้มีพยาธิ ... พิษภัยที่หลายคนคาดไม่ถึง

ดังนั้นเพื่อให้เพื่อนพนักงานทุกท่านได้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว ส่วนการแพทย์ จึงขอนำเสนอบทความเรื่อง " สิ่งที่มากับ...ปลาดิบ " ดังรายละเอียดใน File ที่แนบ

นพ.ปัญญา อัจฉริยวิวิธ

ผู้จัดการส่วนการแพทย์


สิ่งที่มากับปลาดิบ

● ปลาดิบ
ปลาดิบที่เรานำมาบริโภคนั้น มี 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ ปลาดิบน้ำจืด และปลาดิบน้ำเค็ม ( ปลาดิบทะเล ) ซึ่งปลาดิบทั้ง 2 ชนิด มีเชื้อโรคที่แอบแฝงมาแตกต่างกัน ปลาดิบน้ำจืดจะพบพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิตัวจี๊ด พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิใบไม้ลำไส้ ฯลฯ สำหรับปลาดิบน้ำเค็มนั้น คนส่วนมากมักคิดว่าไม่มีพยาธิ แต่ความจริงแล้ว ปลาน้ำเค็มอาจพบตัวอ่อนของพยาธิ อะนิซาคิส ซิมเพล็ก ( Anisakis simplex ) ซึ่งปลาดิบน้ำเค็มที่เรานำมาประกอบอาหารนั้น อาจมีการปนเปื้อนของพยาธิชนิดนี้


● รู้จักพยาธิอะนิซาคิส ซิมเพล็ก
พยาธิอะนิซาคิส ซิมเพล็ก ( Anisakis simplex ) เป็นพยาธิที่พบในปลาทะเลเขตอบอุ่นและเขตร้อน ในประเทศไทยตรวจพบตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ในปลามากกว่า 20 ชนิด เช่น ปลาดาบเงิน ปลาตาหวาน ปลาสีกุน ปลาทูแขก ปลากุเลากล้วย ปลาลัง เป็นต้น ส่วนในต่างประเทศจะพบในปลาจำพวก ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาเฮอริ่ง ระยะตัวอ่อนที่ติดต่อสู่คนจะอยู่ในอวัยวะภายในช่องท้องของปลาทะเล มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ขนาดยาวประมาณ 1-2 ซม. กว้างประมาณ 0.3-0.5 มม. สีขาวใส มีลายตามขวาง บริเวณส่วนปากจะมีหนามขนาดเล็ก บริเวณปลายหางจะมีส่วนแหลมยื่นออกมา พยาธิชนิดนี้จะใช้ปากที่เป็นหนามขนาดเล็กบริเวณหัวในการไชผ่านเนื้อเยื่อต่างๆ อีกทั้งยังสามารถคงทนต่อน้ำ เกลือ และแอลกอฮอล์ได้เป็นอย่างดี


● อาการผิดปกติ
เนื่องจากพยาธิชนิดนี้ขณะเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อสู่คน บริเวณปากของพยาธิจะมีหนามขนาดเล็ก ขณะเคลื่อนที่จะไชในกระเพาะอาหาร และลำไส้ของคน ทำให้เกิดแผลขนาดเล็ก และอาจทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ ส่งผลให้ผู้ที่มีพยาธิชนิดนี้ในกระเพาะอาหาร และลำไส้ มีอาการปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ ท้องอืด อาการมักไม่เฉพาะเจาะจงคล้ายกับอาการของโรคกระเพาะอาหาร บางรายอาจท้องเสีย หรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ถ้ามีแผลในกระเพาะขนาดใหญ่ อาการมักจะเริ่มเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารที่มีพยาธิชนิดนี้เป็นชั่วโมง หรืออาจเป็นวันก็ได้ และถ้าหากพยาธิชนิดนี้ฝังตัวอยู่ในทางเดินอาหารนานๆ จะทำให้เกิดลักษณะของก้อนทูมขึ้นในทางเดินอาหารได้ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายคนเราต่อพยาธิ


● การวินิจฉัยและการรักษา
การวินิจฉัยโรคอาศัยประวัติการรับประทานปลาดิบทะเล ร่วมกับอาการผิดปกติที่กล่าวข้างต้น และยืนยันการวินิจฉัยและการรักษาโดยการส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร หากพบตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ แพทย์จะใช้กล้องส่องทางเดินอาหารคีบตัวพยาธิออก เนื่องจากพยาธิชนิดนี้ไม่สามารถตรวจพบได้ในอุจจาระ มันจะเกาะติดแน่นกับกระเพาะอาหาร และลำไส้ ระยะที่พบในทางเดินอาหารนั้น เป็นระยะตัวอ่อนซึ่งไม่ออกไข่ปนออกมากับอุจจาระ

ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาพยาธิชนิดนี้ แต่จากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น โดยหัวหน้าทีมวิจัย โตชิโอะ ลิยามา พบว่า วาซาบิมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิชนิดนี้ได้ แต่รายละเอียด ขนาด และปริมาณการใช้วาซาบิเพื่อฆ่าพยาธิ ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา


● รับประทานปลาดิบอย่างไรไม่เป็นพยาธิ
ก่อนอื่นต้องแน่ใจว่าปลาดิบที่นำมาทำอาหารนั้นเป็นปลาทะเล เพราะบางครั้งผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์นำปลาน้ำจืดหลายชนิดมาทำอาหาร ทำให้เกิดโรคพยาธิตัวจี๊ด พยาธิใบไม้ในตับ หรือพยาธิใบไม้ลำไส้ ซึ่งมีความรุนแรงเช่นเดียวกับการติดโรคพยาธิอะนิซาคิส ซิมเพล็ก

การแช่แข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า -35 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 15 ชั่วโมง หรือต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 7 วัน หรือผ่านความร้อนมากกว่า 60 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 5 นาที ก่อนการประกอบอาหารจะทำให้พยาธิชนิดนี้ตายได้


นอกจากพยาธิบางชนิดที่พบในปลาดิบแล้ว ยังพบแบคทีเรียบางชนิด และเชื้อไวรัสตับอักเสบเอในอาหารดิบด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสุขอนามัยและความสะอาดของขั้นตอนการเตรียมอาหาร ดังนั้นถ้าคิดจะรับประทานปลาดิบ ควรดูให้แน่ใจก่อนว่าขั้นตอนการประกอบอาหารสะอาด ถูกหลักอนามัยหรือไม่ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อหลายชนิดจากปลาดิบ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2550, 00:34:51 »

อันตรายกลืนเมล็ด " กระท้อน " เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ไส้ทะลุ

นุชน้อย - อักษร ... ส่งมา



น.พ.นพวัชร์ สมานคติวัฒน์ ศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี รายงานว่า " เมื่อเร็วๆ นี้มีคนไข้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงมารักษา ที่โรงพยาบาล ซักประวัติได้ความว่า กลืนเม็ดกระท้อนลงไป ตอนกลืนก็ไม่มีอาการผิดปกติอะไร แต่วันรุ่งขึ้นมีอาการปวดท้อง และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีไข้สูง หน้าท้องแข็งเกร็ง ซึ่งเป็นอาการของเยื่อบุช่องท้องอักเสบจึงตัดสินใจผ่าตัดให้ พบว่ามีเม็ดกระท้อนอยู่ในช่องท้อง และพบรูทะลุบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร มีอุจจาระรั่วเข้ามาในช่องท้อง ทำให้มีเยื่อบุช่องท้องอักเสบรุนแรง จึงได้เย็บรูทะลุ แล้วก็เอาลำไส้ส่วนเหนือต่อรูทะลุมาเปิดหน้าท้องให้

นอกจากนี้คนไข้ยังติดเชื้อในกระแสเลือด ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ นอนดูอาการในห้องไอซียูอีก 10 วัน จึงดีขึ้น ตอนนี้คนไข้กลับบ้านได้แล้ว กรณีนี้เป็นข้อเตือนว่า การกลืนเม็ดผลไม้เป็นอันตรายมาก ถ้ากลืนลงไปแล้วเม็ดผลไม้นั้นผ่านหลอดอาหาร กระเพาะอาหารได้ตามปกติก็ถือว่าโชคดีไป เพราะร่างกายจะขับถ่ายออกไปได้โดยที่ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นวัตถุมีคมอาจทะลุทางเดินอาหารที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในช่องท้องได้ ... โดยเฉพาะเม็ดกระท้อน ถ้าสังเกตให้ดีจะมีปลายด้านหนึ่งแหลมกว่าอีกด้านหนึ่ง และเวลาที่เรากลืนมันจะลื่นๆ เนื่องจากมีส่วนเนื้อติดอยู่ แต่พอผ่านการย่อยและดูดซึม จะเหลือเฉพาะตัวเม็ดที่ค่อนข้างคม จึงตำทะลุลำไส้ออกมาได้ การกลืนเม็ดกระท้อนลงไปจึงถือว่าเป็นการเสี่ยงต่อการเกิดลำไส้ทะลุได้ เมื่อกัดกินเนื้อหมดแล้วควรคายเม็ดทิ้งไปเลย ไม่ต้องเสียดาย "

จากมติชน รายวัน ฉบับวันที่ 13 ก.ค. 44
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2550, 03:30:15 »

การฆ่าเชื้อในฟองนำล้างจาน

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 11:11:50 »

ไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้น ? ... " กลิ่นไม่พึงประสงค์ " น่ะซี

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

คุณรู้หรือไม่ว่า ช่วงเวลา 05.00-07.00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระแล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 07.00 - 09.00 น. ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร แล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออกจะถูกบีบตัวขึ้นมาจากลำไส้ใหญ่ ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร ก็จะถูกดูดซึมอีกครั้ง

ในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสียแล้ว เกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายซึ่งมีความร้อน 37 องศาตลอดเวลา ไม่เหมือนกับตู้เย็นที่เก็บได้นานกว่า เพระฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด


ถ้าเลือดไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ไหลผ่านสมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย

-ก่อนเที่ยงถึงบ่าย ง่วงนอนเพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงหัวใจ ๆ ก็จะอ่อนล้า ไม่สดชื่น

- มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ก็มาจากเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับออกทางผิวหนังและลมหายใจ ตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่น แต่คนอื่นได้กลิ่น

-ถ้าปล่อยไว้ไม่ขับถ่ายในช่วงเวลา 05.00 - 07.00 น. นาน ๆ เข้าเป็นระยะเวลาหลาย ๆ ปี เลือดที่ไม่สะอาดไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง และไม่กินอาหารมื้อเช้าช่วงเวลา 07.00-09.00 น. สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวความจำก็จะเสื่อมเร็ว


วิธีแก้ : พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น. ถ้าไม่ขับถ่ายให้กินขมิ้นชันเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่ และควรกินข้าวเช้าทุกวันระหว่างเวลา 07.00 - 09.00 น.
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 14 ตุลาคม 2550, 16:05:59 »

ยิ่งกินเยอะ ... น้ำหนักยิ่งลด




บันทึกการเข้า
webmaster
Administrator
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 852

« ตอบ #19 เมื่อ: 14 ตุลาคม 2550, 21:00:54 »

Oh hoo พี่เจี๊ยบขา ขอบพระคุณมากค่ะ อ่านจนจบแล้วตาลายเลยค่ะ
สงสัยไผ่จะต้องแอบมานั่งคัดหัวข้อที่น่าสนใจมากๆ ออกจากน่าสนใจธรรมดาแล้วล่ะค่ะ
เพื่อให้ผู้อ่านเข้าถึงมากขึ้นค่ะ เพราะว่าแต่ละเรื่องน่าสนใจและมีประโยชน์จริงๆ เลยค่ะ
บันทึกการเข้า

ORKS BEHIND THE SCENE
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #20 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2550, 14:34:18 »

Cheesy จ้า !   สงสัยไผ่คงสนใจเรื่องล่าสุดนี้ มากที่สุด แหงเลย ! ... มา มะ  มาต่อกันอีกซักเรื่อง ...

เดิน-วิ่งการกุศล ในเขาดิน

เหล่น-ประภาพรรณ - ครุ 16 ... ส่งมา

ชวนเดิน-วิ่ง การกุศล 80 พรรษาในหลวง ... เคเอฟซี เพื่อเขาดิน วันอาทิตย์ 4 พย. 6 โมงเช้า ที่สวนสัตว์ดุสิต จัดโดย เคเอฟซี ร่วมกับ เขาดิน สมาพันธ์ชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพไทยและ กทม. เพื่อนำรายได้ไปช่วยเขาดิน ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็กและครอบครัวไทยมา 70 ปี และแบ่งปันน้ำใจช่วยสัตว์น้อยใหญ่ ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมที่ดี ในวโรกาสมหามงคล

จุดสตาร์ท - ในเขาดิน ใกล้ร้านเคเอฟซี

ค่าสมัคร - 200 บาท จะได้เสื้อโปโลลายสิงสาราสัตว์ 1 ตัว ,และเมื่อเข้าเส้นชัยจะได้เหรียญที่ระลึก เลี้ยงอาหาร เครื่องดื่ม ฟรีที่เส้นชัย

ประเภท - ๐ มินิมาราธอน 10 กม. ตามเส้นทางที่กำหนด ... ๐ เดินเพื่อสุขภาพ 3 กม. ภายในสวนสัตว์

ติดต่อรับใบสมัคร - ร้านเคเอฟซี ทุกสาขาใน กทม. หรือสอบถาม โทร 02- 655-3131


เพื่อนๆ และครอบครัวมาร่วมออกกำลังกาย และได้กุศลด้วยกันนะ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2550, 10:37:43 »

รายละเอียดเพิ่มเติม การเดิน-วิ่งการกุศล จากเหล่นค่ะ

ปฏิทินกิจกรรม

เดิน–วิ่ง เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา... KFC เพื่อเขาดิน แบ่งปันน้ำใจให้สัตว์โลกผู้น่ารัก 4 พ.ย. 2550 ณ.สวนสัตว์ดุสิต ตั้งแต่วันนี้ – 4 พ.ย. 50

เคเอฟซี โดย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมกับ สวนสัตว์ดุสิตและสมาพันธ์ชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพไทย, จัดงาน เดิน–วิ่ง เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา... KFCเพื่อเขาดิน ในวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน เวลา 6.00 น. ณ สวนสัตว์ดุสิต รางวัลรวมกว่าหนึ่งแสนบาท เพื่อเชิญชวนประชาชนร่วมกันทำความดีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษาในปีนี้ และรายได้ทั้งหมดนำไปปรับปรุงป้ายกรงสัตว์ ซ่อมแซมสวนสัตว์และพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของสรรพสัตว์น้อยใหญ่

การแข่งขันในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.มินิมาราธอน กลุ่มอายุ ระยะทาง 10.5 กม. แบ่งเป็น
ชาย 7 กลุ่มอายุ ประกอบด้วยอายุต่ำกว่า 15 ปี, 16 - 29 ปี, 30 - 39 ปี, 40 - 49 ปี, 50 - 59 ปี, 60 - 69 ปี, 70 ปีขึ้นไป
ส่วนหญิงแบ่งเป็น 6 กลุ่มอายุ ประกอบด้วยอายุต่ำกว่า 15 ปี, 16 - 29 ปี, 30 - 39 ปี, 40 - 49 ปี, 50 - 59 ปี, 60 ปีขึ้นไป
เส้นทางของการแข่งขันมินิ มาราธอน ระยะ 10.5 กิโลเมตร เริ่มต้นจากสวนสัตว์ดุสิตเลี้ยวซ้ายไปตามถนนราชวิถี, เลี้ยวขวาถนนพิชัยและถนนสุโขทัย เลี้ยวซ้ายตรงโรงพยาบาลวชิระ ตรงไปสู่ถนนสี่เสาเทเวศร์ ถนนสามเสน เลี้ยวซ้ายสี่แยกบางลำพูมุ่งหน้าถนนพระสุเมรุ เลี้ยวซ้ายถนนราชดำเนินนอก เลี้ยวขวาผ่านหน้าวัดเบญจ มบพิตร เลี้ยวซ้ายถนนสวรรคโลก เลี้ยวซ้ายวกกลับเข้าเส้นชัย ณ สวนสัตว์ดุสิต และ

2.เดินเพื่อสุขภาพ (Fun Run) ไม่มีการแข่งขัน ระยะ 3 กิโลเมตร ภายในสวนสัตว์ดุสิต

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและขอรับใบสมัคร ได้ที่ร้านเคเอฟซีทุกสาขาในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จุดรับสมัคร ได้แก่ สมาพันธ์ชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพไทย, บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เบรนเอเซีย จำกัด, หรือสามารถสมัครที่หน้างานวันที่ 3 – 4 พ.ย. ใกล้ร้านเคเอฟซีในเขาดิน โดยครั้งนี้มีเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่าหนึ่งแสนบาท หรือสอบถามโทร.02-655-3131 คุณอภิสรา 081-422-2178 , www.kfc.co.th

-------------------------------------------------

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท เบรนเอเซีย จำกัด
โทร. 02-655-3131, โทรสาร. 02-655-3124
รัตติยา โทร. 086-973-9863, อภิสรา โทร. 081-422-2178
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #22 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2550, 17:14:44 »

Strawberry อันตรายมาก

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา


บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #23 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2550, 17:17:35 »

อันตรายจากแบตเตอรี่ .... เพราะไฟแช็กอันเดียว

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

สาเหตุมาจากน้องผมขับรถอยู่แล้วเครื่องดับ ก็เลยลงไปเปิดฝากระโปรงรถดู แต่ด้วยความซวย มันมืดครับ มองไม่เห็นก็เลยนำไฟแช็กมาจุดดู และแล้วน้องผมก็สงสัยว่าน้ำกลั่นหมดหรือเปล่า เลยเปิดฝาน้ำกลั่นดู เท่านั้นแหละครับ ตูมเลย แบตระเบิดออกทางด้านข้างปรากฏว่าน้องผมถูกน้ำกรดกระเด็นเข้าตาทั้ง 2 ข้าง ส่วนเพื่อนก็โดนเข้า 1 ข้าง ตอนนี้รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลกรุงไทย แถวๆ ปากเกร็ด ซึ่งบาดแผลตอนนี้แพทย์ยังไม่สามารถบอกได้ว่าตาจะบอดหรือไม่ จึงอยากจะเตือนเพื่อนๆว่ามันเป็นอะไรที่คิดไม่ถึง ที่จริงไม่น่าเลยครับ

เหตุที่แบตระเบิดเพราะว่า เวลาเราปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปในสารละลายในแบตเตอรี่ มันจะเกิดก๊าซ ไฮโดรเจนภายในแบต เมื่อเปิดฝาน้ำกลั่นและมีประกายไฟก็จะติดไฟ ระเบิดทันที


ดังนั้นห้ามก่อให้เกิดประกายไฟในห้องเครื่องรถยนต์ เวลาจะดู ต้องใช้ไฟฉายเท่านั้น
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2550, 17:20:21 »

ภัยอันตราย ! ที่คาดไม่ถึง แต่เกิดขึ้นจริง กับพนักงานโตโยต้า

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

ผู้ประสบเหตุชื่อ นางเขมกร เหลืองวิสุทธิ์ศิริ
แผนก / รหัสพนักงาน VL - G/W / 2907
เบอร์ติดต่อ 4390 หรือ 71017 หรือ 081-805 9812
วันที่เกิดเหตุ ศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2550 เวลาประมาณ 18.00 น.
สถานที่เกิดเหตุ บริเวณ ศูนย์การค้าตะวันออก Complex จ. ฉะเชิงเทรา
บุคคลอ้างอิง นายศุภชัย บุญสวน เป็นพนักงาน VL-G/W ( เป็นผู้ที่ดิฉันโทรขอความช่วยเหลือ เนื่องจากอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากที่สุด )


เมื่อเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ของวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2550 หลังเลิกงาน ดิฉันก็เดินทางไปที่ Complex เพื่อไปซื้อของ แถวๆ บริเวณตลาด Complex ( ซึ่งปกติก็ไปอยู่เป็นประจำ ) ขณะที่เดินดูของ ก็ปรากฎว่า มีคนมาจับแขน เมื่อหันกลับไปดู ก็พบว่าเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งไม่รู้จัก ดิฉันก็ได้สะบัดแขนออกอย่างเร็ว แล้วก็พบว่าเป็นผู้หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมๆ เค้าก็ถามว่า ...

ผู้หญิงแปลกหน้า " คุณอยู่โตโยต้า ใช่ไหม ? " ก็ดิฉันใส่เสื้อยึด มีโลโก้ TOYOTA
ดิฉัน " ค่ะ "
ผู้หญิงแปลกหน้า " ขอถามทางหน่อย จะไปวังน้ำเย็น ต้องนั่งรถอะไรไป "
ดิฉัน " ไม่ทราบค่ะ ลองถามแม่ค้าดีกว่าค่ะ "

แล้วดิฉันก็หันหลังเดินจากมา ประมาณ ไม่เกิน 5 วินาที ก็มีอาการเหมือนคนจะเป็นลม แต่มันรุนแรงตรงที่่เหมือนหัวหมุนๆ แล้วรู้สึกหมดแรง จะล้มให้ได้ และก็มีอาการอาเจียนตามมาอีก ดิฉันก็ได้นั่งลงและอาเจียน ในขณะนั้น ผู้หญิงคนนั้นมองดูเราอยู่ ดิฉันพยายามจะเรียกให้ น้องๆ ผู้ชายโตโยต้า 2 คน ที่เดินผ่านหน้าไป แต่ไม่มีแรงจะเรียก ก็พยายามประคองตัวเองเดินมานั่ง ที่ศาลารอรถโดยสารหน้า Complex

เบื้องต้น ได้โทรหาแฟน แต่เค้ายังอยู่ที่ทำงาน คงอีกนานกว่าจะมาถึง จึงได้โทรหาน้องที่ทำงานแผนกเดีียวกับดิฉัน คือนายศุภชัย บุญสวน ซึ่งเลิกงานมาพร้อมกัน และกำลังขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้าน ให้รีบมาหาดิฉันด่วน ! เพราะดิฉันไม่ไหวแล้ว ไม่มีแรงจะล้มให้ได้ อาการเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้นมีคนรอบๆ ตัวมากมาย แต่ดิฉัน ไม่กล้าไว้ใจใคร ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงมองอยู่ จนกระทั่งนายศุภชัย มาถึง และดิฉันบอกให้พาดิฉันออกไปจากตรงนั้นโดยเร็ว โดยตรงไปยังปั้มน้ำมันที่ใกล้ที่สุด

พอไปถึงปั้มน้ำมัน ดิฉันก็ไป อาเจียนอีก 2-3 ครั้ง และได้ใช้น้ำล้างหน้า และล้างแขน ก็ปรากฎว่าตรงบริเวณข้อพับแขน ที่ผู้หญิงคนนั้นจับ เป็นผื่นๆ เม็ดเล็กๆ บริเวณที่โดนจับ .... ในที่สุด ดิฉันก็ปลอดภัย เพราะความรวดเร็วในการมาช่วยเหลือของนายศุภชัย ต้องขอขอบคุณ
นายศุภชัย บุญสวน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ( ทางครอบครัว ก็ได้ฝาก คำขอบคุณ ... มาด้วย )


ดิฉันอยากจะเตือน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เป็นผู้หญิง ที่ไปไหนมาไหนคนเดียว ให้ระมัดระวังตัวด้วย รวมถึงไปบอก ภรรยา ลูกสาว น้องสาว พี่สาว ฯลฯ อย่าให้คนแปลกหน้ามาจับแขน หรืออย่าไปพูดคุยกับคนที่เราไม่รู้จัก อย่าไว้ใจใคร ภัยอันตรายมีรอบตัวเรา ... ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ กับทุกๆ คน พวกคุณ ... คงไม่โชคดี เหมือนดิฉัน ในครั้งนี้
บันทึกการเข้า
  หน้า: [1] 2 3 ... 7  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><