20 เมษายน 2567, 19:55:03
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรียนมาเพื่อทราบ ให้สุขภาพแข็งแรง  (อ่าน 261273 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #125 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2553, 20:46:26 »

พี่แก้ว ขา ... พออ่านถึงตอน " ... อย่าทำงานมาก  แต่ควรมีงานต้องออกนอกบ้านสัปดาห์ละครั้งก็พอ  และควรเป็นงานที่เป็นกรรมการ หรือที่ปรึกษาซึ่งไม่ค่อยมีคนมาปรึกษา " ต้องยิ้มแบบอัตโนมัติเลยค่ะ

เจี๊ยบวางแผนไว้ว่า  ถ้าไม่ต้องทำงานแล้ว  ก็จะไปหากิจกรรมที่ทำแล้วสนุก ไม่เหงา กับกลุ่มคนที่มีรสนิยมเดียวกัน  เช่น  เต้นรำ  ร้องเพลง  ไปหา corse เรียนวาดรูป  ปักผ้า cross stitch รูปดอกไม้ รูปเด็ก - ลูกสัตว์ - สาวน้อยน่ารักๆ  วิวสวยๆ โรแมนติก ไปพลาง  ฟังเพลงไพเราะ หวานๆ แสนโรแมนติคจากเครื่องเสียงดีๆ ... ไม่รู้ว่าพอถึงตอนนั้น  สุขภาพร่างกายจะรู้เห็นเป็นใจด้วย รึเปล่า นะคะ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #126 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2553, 23:56:12 »

A simple message to all of us

Who are they ? ----- They are Doctors



Who is he ?  ------ He is an Actor



Who are these people ? They are farmers .....



Fine ... Very Good. What about these guys ? Who are they ? Guess ! ! ! !
 
!
!
!
!
!



Any Guess ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! !
 
!
!
!
 
Yeah...

They are SOFTWARE ENGINEERS, BANKERS , CONSULTANTS, OFFICE EXECUTIVES, PRESIDENTS, VICE PRESIDENTS, GENERAL MANAGERS WHO WORK FOR 15 HOURS A DAY, SITTING AT ONE PLACE …

Don't laugh. Be Aware. It is a global issue now. So, take care of yourself and your FAT.

To get to a good shape...try to adhere to the following 25 tips


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #127 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2553, 21:08:25 »

Trigger point ปวดเรื้อรัง : ภัยเงียบชาวออฟฟิศ

เสรษฐวิทย์ -นิเทศ 16 ... ส่งมา

ชีวิตคนทำงานยุคนี้ นับวันก็ยิ่งสะดวกสบายมากขึ้น เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ก็ทำประโยชน์ได้สารพัด แต่เพราะการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นนี้แหละ ทำให้โรคมาเข้าคิวรอพนักงานออฟฟิศกันเป็นแถวเช่นกัน และหนึ่งในอาการที่คนออฟฟิศเป็นกันบ่อยๆ ก็คือ โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ที่นำไปสู่ Trigger Point ( จุดกดเจ็บ ) ได้

          สงสัยกันไหมว่า Trigger Point คืออะไร แล้วคุณเป็น Trigger Point ด้วยหรือเปล่าล่ะ  มาตรวจสอบอาการกันเลย



          โดยปกติแล้ว คนทำงานออฟฟิศนั่งจ้องคอมพิวเตอร์นานๆ  มักมีอาการปวดกล้ามเนื้อส่วนบน ไล่มาตั้งแต่ คอ บ่า ไหล่ สะบัก หลัง ซึ่งเมื่อเกิดอาการเหล่านี้ขึ้น  เราก็มักจะใช้วิธีการนวด ทายาคลายกล้ามเนื้อ หรือรับประทานยา  รวมทั้งประคบด้วยความร้อน  เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวแล้วจะรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ช่วยได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น  เพราะ Trigger Point ( จุดกดเจ็บ ) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ จุดที่เรากดลงไปแล้วรู้สึกปวด เจ็บแปลบ ๆ เหมือนมีก้อนแข็งๆ เล็กๆ ยังคงไม่สลายไป

Trigger Point เกิดขึ้นได้อย่างไร

          คนทำงานออฟฟิศมักมีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ( MPS – Myofascial Pain Syndrome ) ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งสะสมต่อเนื่องกัน นาน ๆ เข้าจะเกิดเป็นก้อนเล็ก ๆ ขนาด 0.5-1 เซนติเมตร เรียกว่า Trigger Point หรือ จุดกดเจ็บจำนวนมากซ่อนอยู่ในกล้ามเนื้อหรือเยื่อพังพืด พอมีจุดกดเจ็บมากขึ้น ออกซิเจนและเลือดจะส่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นอ่อนแอ เกิดอาการปวด ส่งต่อไปยังบริเวณใกล้เคียงจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรังตามมา

อาการที่แสดงว่าเป็น Trigger Point

          หากเกิด Trigger Point ขึ้น จะมีอาการปวดร้าวลึกของกล้ามเนื้อ อาจจะปวดตลอดเวลา หรือปวดเฉพาะเวลานั่งทำงาน บางคนอาจเป็นหนักจนไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อส่วนนั้นได้ หรือบางคนอาจลามไปถึงปวดศีรษะ ไมเกรน นอนไม่หลับ มีอาการชาตามมือและแขน ต่อมาอาจส่งผลให้เกิดปัญหาโครงสร้างของร่างกาย เช่น ไหล่สูงต่ำไม่เท่ากัน หลังงอ ขาสั้นยาวไม่เท่ากัน นำไปสู่โรคภัยอีกเพียบ

ปัจจัยเสี่ยง โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง

          พฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการปวดเรื้อรัง และจุดกดเจ็บ ได้แก่

          1. ท่าทางการนั่งที่ไม่เหมาะสม

          2. ลักษณะงานที่ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวต่อเนื่อง เช่น การใช้คอมพิวเตอร์

          3. การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อซ้ำๆ

          4. การทำงานที่มีการใช้กล้ามเนื้อท่าเดียวกันซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง

          5. การทำงานของกล้ามเนื้อมากเกินไป ขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ

          6. ขาดการดูแลและบริหารกล้ามเนื้อ ออกกำลังกาย

          จะเห็นว่า ปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมาทั้งหมด มักเกิดกับหนุ่มสาวออฟฟิศเป็นส่วนใหญ่

จุดที่มักเป็น Trigger Point


จะรักษา Trigger Point ได้อย่างไร

          หลายคนเข้าใจว่า หากปล่อยอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อนี้ไว้ หรือนวดบ่อย ๆ น่าจะหายได้เอง แต่ความจริงแล้วเพียงแค่ช่วยบรรเทา หลังจากนั้นไม่นานอาการปวดเมื่อยสามารถกลับมาเป็นได้อีก เพราจุด Trigger Point ยังอยู่ ซึ่งจะกลายเป็นโรคเรื้อรัง และหากปล่อยไว้นาน ๆ โดยไม่รักษาจะทำให้ Trigger Point ใหญ่ขึ้นและแน่นขึ้น จนไปกดทับเส้นเลือด และเส้นประสาท อาจนำมาสู่อาการปวดศีรษะ ไมเกรน หากไปกดทับเส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง นอกจากนั้นยังอาจมีอาการชา ความดันโลหิตสูง นอนไม่หลับ ได้ด้วย เพราะเลือดไหลเวียนไม่สะดวก

แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ?

          คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ DOCTOR CARE ได้แนะนำวิธีรักษา Trigger Point โดยใช้วิธีการนวดกดจุด ที่เรียกว่า Trigger Point Therapy

          โดยหลักการรักษาแบบ Trigger Point Therapy จะทำเพื่อลดอาการปวดที่เกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ , สลาย Trigger Point ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการปวดเรื้อรัง และยังป้องกันการกลับมาของ Trigger Point ด้วยการให้คำแนะนำ และการดูแลกล้ามเนื้ออย่างถูกวิธี



ขั้นตอนการรักษา Trigger Point Therapy

          แพทย์จะเริ่มจากการสอบถามค้นหา Trigger Point ที่ซ่อนอยู่ในกล้ามเนื้อและเยื่อพังพืด แล้วทำการนวดบริเวณหนือ Trigger Point ที่มีการหดเกร็ง ให้คลายตัวลง มีเลือดไปหล่อเลี้ยง เพื่อลดอาการปวด เมื่อกล้ามเนื้อรอบบริเวณคลายตัวแล้ว จึงจะเริ่มกดไปยัง Trigger Point นั้นให้คลายตัว เพื่อให้เลือดและออกซิเจน สามารถมาหล่อเลี้ยงยังจุดที่มีปัญหาได้ ทำให้อาการปวดหายไป

          ด้วยการกดจุดต่อครั้งละประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละครั้ง ต่อเนื่อง  4 - 6 ครั้งด้วยวิธีรักษาตามโปรแกรม จะทำให้ Trigger Point คลายตัวลงเป็นกล้ามเนื้อปกติ และหายจากอาการปวดเรื้อรังได้ เพราะเป็นการรักษาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง

วิธีบริหารร่างกาย  เพื่อป้องกัน Trigger Point

          หากไม่ต้องการเป็นโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง จนเกิดเป็น Trigger Point ต้องมีการบริหารกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ เช่น ฝึกยืดกล้ามเนื้อบริเวณลำตัวบนต้นแขนและคอ โดยประสานมือเข้าด้วยกัน แล้วยืดมือออกไปด้านหน้า จากนั้นค่อยยกขึ้นด้านบน และโยกไปด้านซ้ายและขวา

          นอกจากนี้ ยังควรยืดกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัวหลังต้นขาและกล้ามเนื้องอ เช่น ประสานมือเข้าด้วยกัน แล้วยืดมือออกไปด้านบน จากนั้นค่อย ๆ โยกลำตัวไปด้านข้างจนเอวรู้สึกตึง สลับไปอีกข้าง

ชั้น 2 อาคารคิวเฮ้าส์ ลุมพินี ถนนสาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพฯ 02-6777552-3
 
http://www.drcareclinic.com/about/
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #128 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553, 02:46:49 »

ท่านผู้เฒ่า “ ลี ” สอนวิธี ' ชราอย่างมีคุณภาพ '

มนูญ - วิศวะ16 ... ส่งมา
 
เพราะเคยมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตผิดมานาน  เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น  อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์  ลี กวน ยู  จึงหยุดพฤติกรรมทำร้ายตัวเองทั้งหมด และหันมาออกกำลังกาย  พร้อมกับใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข และสุขภาพดี  ปัจจุบันท่านอายุ 87 ปีแล้ว
 
อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์  ลี กวน ยู  ปีนี้อายุ 87  แต่สุขภาพยังฟิตเปรี๊ยะ  เพราะดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเคร่งครัด  แกเล่าว่าครั้งหนึ่งตอนยังหนุ่มแน่น และเป็นนักการเมืองเต็มตัว  ก็เคยใช้ชีวิตที่เป็นโทษกับสุขภาพของตนอย่างยิ่งเช่นกัน  กินเหล้า  สูบบุหรี่ อย่างหนักหน่วงมาก่อน
          
ลีเล่าว่า ตอนอายุ 34 ต้องหาเสียงอย่างร้อนแรง  คืนที่ชนะเลือกตั้ง ทั้งสูบบุหรี่ ทั้งดื่มเบียร์เต็มอัตรา  พอจะขึ้นเวทีปราศรัยขอบคุณประชาชน ปรากฏว่าเสียงหาย  ได้เสียงมากพอที่จะชนะเลือกตั้ง  แต่เสียงจากลำคอแห้งเหือดไปหมด  เพราะบุหรี่และเหล้าตัวดี ( แปลว่าตัวร้าย ) นี่แหละ
“ ผมหลอกตัวเองด้วยการซื้อบุหรี่ซองละ 10 มวน ... แต่ผมต้องปราศรัย 3 แห่งในคืนเดียวกัน  ก็จึงสูบไป 30 มวนอยู่ดี ....” นายลีเล่าให้สมาคมผู้สูงอายุฟังเมื่อไม่นานมานี้
 
มาถึงจังหวะหนึ่งของชีวิต นายลีบอกว่าสุขภาพของเขาย่ำแย่ถึงขั้นที่เขาต้องตัดสินใจว่า จะเป็นนักการเมือง และทนายความที่ดีต่อไปได้หรือไม่  สองอาชีพนี้ต้องใช้เสียงด้วยกันทั้งนั้น
“ ผมบอกตัวเองว่า ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือทนาย ผมก็ต้องรักษาเสียงผมไว้ ผมจึงตัดสินใจเลิกบุหรี่ ...”
 
นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  เพราะลีสารภาพว่าเขาติดบุหรี่งอมแงม  บางคืนฝันร้ายว่ากลับไปสูบบุหรี่อีก  ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกก็บ่อย ๆ  แต่พลังของความเด็ดเดี่ยวที่จะต้องเลิกบุหรี่นั้น  มาจากการตอบคำถามตัวเองว่า  จะทำอาชีพของตัวเองให้ได้ดีต่อไปหรือไม่ ถ้าจะทำงานให้ดีต้องหยุดบุหรี่ และต้องหยุดอย่างเด็ดขาด ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้
 
ตอนนั้น  ลียังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งกับการสูบบุหรี่  จึงยังไม่มีความกลัวตายนัก  แต่แปลกมากที่หลังจากนั้น ลี ก็เกิดอาการแพ้ควันบุหรี่อย่างหนักหน่วง  เรียกว่าใครสูบบุหรี่ใกล้ๆ ไม่ได้เลย
“ ผมต้องขอให้รัฐมนตรีไม่สูบบุหรี่ในห้องประชุม  ถ้าจะสูบก็ขอให้ไปสูบนอกห้อง  เพราะผมแพ้มันจริง ...”
          
วันหนึ่ง ลี อยู่ที่บ้านของเพื่อนซี้ชื่อราชารัตนัม และกำลังพูดคุยกับนักข่าวต่างประเทศกลุ่มหนึ่งซึ่งรวมถึงนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ ลอนดอนไทมส์   พอถ่ายรูปร่วมกัน  ลี เห็นรูปของตัวเองพร้อมกับพุงที่ยื่นออกมาอย่างน่าเกลียด
“ ผมบอกตัวเองทันทีที่เห็นรูปนั้นว่า  ไม่ไหว  เพราะมันเป็นพุงที่ยื่นออกมาด้วยฤทธิ์ที่ดื่มเบียร์มากเกินไป ”

ลี กวน ยู ตัดสินใจปฏิบัติการ “ลดพุง ” ด้วยการหันไปเล่นกอล์ฟ ... เริ่มด้วยการหวดลูกกอล์ฟเป็นร้อย ๆ ครั้งต่อวัน  แต่พุงก็หาได้ลดลงไม่  แกจึงบอกตัวเองอีกรอบว่า  ถ้าจะให้หุ่นดี ต้องลดการบริโภค และต้องเผาผลาญจากร่างกายให้มากกว่านี้
 
วันหนึ่งหลังการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1976  ลี บอกว่ารู้สึกเหนื่อย  จึงไปยืนที่สนามของทำเนียบนายกฯ พยายามหายใจลึกๆ ยาวๆ  ลูกสาวลีคนหนึ่งที่เพิ่งจบวิชาแพทย์มาเห็นเข้าก็ถามว่า “ พ่อทำอะไรอยู่ ” แกตอบว่า “ พ่อพยายามจะสูดออกซิเจนเข้าไป ”
           ลูกสาวตอบสวนกลับมาทันทีว่า “ถ้างั้น พ่อต้องไม่เล่นกอล์ฟ ต้องหันไปวิ่ง ต้องออกกำลังกายแบบแอโรบิก...”
           ตอนแรก ลี ใช้วิธีเดินเร็ว ๆ ระหว่างหลุมกอล์ฟ ต่อมาก็วิ่งระหว่างหลุม รู้สึกร่างกายจะตอบสนองดี
           หลังจากนั้นไม่นาน ลี ก็ตัดสินใจออกกำลังกายด้วยการวิ่งหลังการตีกอล์ฟ
           อีกไม่กี่ปีต่อมา ลี ก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า การตีกอล์ฟกินเวลายาวนานเกินไป ออกกำลังกายด้วยการวิ่งกินเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น
           แกจึงเลิกตีกอล์ฟ หันมาวิ่งอย่างเดียว
           ลีบอกว่า ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะมีอายุถึง 84 หรือ 85  คุณแม่เสียตอนอายุ 74  แต่คุณพ่อจากไปตอน 94 เพราะคุณพ่อว่ายน้ำทุกวันและหาเรื่องทำตลอดเวลา
        “ดังนั้น ผมจึงคำนวณเอาเองว่า ผมควรจะมีอายุยาวนานถึงตรงกลางระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ “
           ตอนอายุ 73 ขณะที่ขี่จักรยาน ลี รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นไปถึงคอ วันรุ่งขึ้น ถีบจักรยานอีก อาการหนักขึ้นหลังจากเริ่มต้นได้ 5 นาที
           แกให้หมอตรวจก็พบว่า เส้นโลหิตบางเส้นตีบ ต้องใส่บอลลูนหัวใจ
“ถ้าผมไม่รีบไปให้หมอหัวใจตรวจ  สงสัยอาจจะม่องเท่งตอน 74 แล้วก็ได้ เหมือนแม่
ผม...”
           เส้นตายเส้นต่อไปคืออายุ 84 ซึ่งเป็นปีที่คุณพ่อหกล้มจนต้องนั่งรถเข็น
           “ผมต้องระวัง เพราะบางทีถ้าผมหมุนตัวเร็วไปหน่อย จะเกิดอาการเวียนหัว หน้ามืด จึงต้องทำอะไรช้าลง เพราะประสาทของคนวัยทองเริ่มจะเสื่อมถอยลง”
           ลี กวน ยู  แนะนำคนชราแห่งสิงคโปร์ว่า จะต้องไม่แยกตัวเองไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องการมีอะไรมากระตุ้นตลอดเวลา และต้องพบปะผู้คน ต้องคอยติดตามเรื่องราวของสังคมและโลก
           “ผมไม่ค่อยชอบเดินทางเท่าไร แต่ผมก็บังคับตัวเองให้ไปโน่นมานี่ในตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของหลายบริษัท เช่น ธนาคารและบริษัทน้ำมัน ผมไปจีน ไปอินเดีย...ได้พบปะ ได้ประชุม ได้ฟังคำบรรยายสรุป จะได้รู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว...มิฉะนั้น ผมว่าเราจะเหี่ยวเฉาแน่หากนั่งนอนอยู่กับบ้านและไม่คบหาผู้คน...”
           ลีบอกว่า ที่สำคัญสำหรับคนอายุมากขึ้นคือ ต้องมีความสนใจอะไรเป็นพิเศษ
           “ถ้าคุณอายุ 55 และบอกตัวเองว่าจะเกษียณเพื่ออ่านหนังสือ เล่นกอล์ฟ และดื่มไวน์ ผมว่าคุณเสร็จแน่ ๆ เพราะหลังจากสองสามเดือน คุณจะเริ่มเบื่อ ไม่มีอะไรทำ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต คุณจะเริ่มเหี่ยวทั้งร่างกายและหัวใจ...”
           ดังนั้น คำแนะนำจากท่านผู้อาวุโสของสิงคโปร์ก็คือ ต้องหาเรื่องที่ตนเองสนใจมาทำ และต้องหาอะไรท้าทายตัวเองตลอดเวลา
           “ทุกวันนี้ พอใครมาบอกผมว่า อายุ 60 แล้ว กำลังจะเกษียณ จะไม่ทำอะไรแล้ว ผมถามเขาว่า คุณอยากตายเร็วหรือไง”
           แกฝากบอก สว. หรือคนสูงวัยทั้งหลายว่า  “ถ้าคุณต้องการเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ คุณต้องหาเหตุผล ต้องมีอะไรมากระตุ้นให้คุณต้องการจะใช้ชีวิตที่สนุกสนานต่อไปเรื่อย ...ไม่ใช่พักผ่อนนอนหลับอย่างเดียว...
           อย่างนี้เท่ากับรอวันตายเท่านั้น
 
          ( โดย สุทธิชัย หยุ่น " ชีพจรสุขภาพ " นิตยสาร ชีวจิตรายปักษ์  1 ธันวาคม 2553 )
      บันทึกการเข้า
eyesurg
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #129 เมื่อ: 27 กุมภาพันธ์ 2554, 19:25:10 »

รับทราบค่ะ ขอบคุณมากค่ะ.
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #130 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 02:44:15 »


งีบกลางวัน ... ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

Posted by สุทธิชัย หยุ่น



คนสเปนเรียกมันว่า “ ซีเอสต้า ” และคนจีนบอกว่ามันคือ “ อู่เจี้ยว ” ส่วนคนไทยอาจจะเรียกมันว่า “ งีบกลางวัน ”

จะเรียกมันว่าอย่างไร, ผมว่านี่คือวัฒนธรรมที่น่าชื่นชม และส่งเสริมยิ่งนัก ( แม้หัวหน้างานคุณจะไม่ค่อยเห็นพ้องด้วยก็ตาม ... ฮา )

การ “ งีบกลางวัน ” นั้นเขาทำกันมาช้านานแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีน หรืออิตาลี หรือฝรั่งเศส ซึ่งต้องถือว่ามีอารยธรรมมายาวนาน ได้รับรู้ว่าการได้หลบไปนอนสั้นๆ ในช่วงกลางวันนั้น คือยาวิเศษที่ทำให้ร่างกาย และจิตใจสามารถกลับไปทำงานตอนบ่ายได้อีก อย่างสดชื่น และคึกคัก ( ไม่เกี่ยวกับการ “ กินข้าวต้มกลางวัน ” ซึ่งไม่ควรจะส่งเสริมนะครับ )

ที่ผมต้องยืนยันความดีงามของการ “ งีบกลางวัน ” เพราะเพิ่งมีการศึกษาวิจัยที่ประเทศกรีซ ที่ยืนยันว่าการได้งีบกลางวันเป็นประจำสม่ำเสมอนั้น  อาจจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจด้วยซ้ำ  โดยเฉพาะในหมู่ผู้ชายวัยหนุ่มที่มีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่แล้ว

เขาไม่ได้สรุปกับเล่นๆ ง่ายๆ เพราะเห็นว่าเรื่องแอบไปนอนพักกลางวันหลังอาหารเที่ยงนั้น ใครๆ ก็ชอบนะครับ ... แต่นี่เป็นผลการวิจัยยาวนานถึง ๖ ปี และวัดจากพฤติกรรมของชาย และหญิงวัยระหว่าง ๒๐ ถึง ๘๖ ทั้งหมด ๒๓,๖๘๑ คน

คนที่เข้ารับการวิจัยในโครงการนี้ล้วนแล้วแต่ตรวจสอบกันแล้วว่าไม่มีประวัติโรคหัวใจ หรือโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงอื่นๆ ใด

ผลการศึกษาครั้งนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสรุปอย่างน่าทึ่งว่า คนที่ได้งีบ ( siesta ) ครั้งละประมาณ ๓๐ นาที อย่างน้อย ๓ ครั้งต่อสัปดาห์ จะสามารถลดความเสี่ยงของการตายจากโรคหัวใจถึงร้อยละ ๓๗ ทีเดียว

เหตุผลก็เป็นอย่างที่เรารู้กันว่า การได้งีบตอนกลางวันทำให้ผ่อนคลาย และลดความเครียดไดอย่างดี ... และพอคนเราลดความเครียดแล้ว, โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายก็ย่อมจะลดลงตามไปด้วย

ความจริง, วงการแพทย์รู้กันมาก่อนหน้านี้แล้วว่าประเทศที่ประชาชนมีนิสัย “ ซีเอสต้า ” นั้น มักจะมีสถิติของการเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าประเทศอื่น

คนที่เข้าทำการทดลองครั้งนี้ถูกตรวจสอบว่า “ งีบหลังเที่ยง ” เป็นประจำหรือไม่ และบ่อยแค่ไหน อีกทั้งยังจะต้องถูกถามรายละเอียดเรื่องอาหารการกิน และกิจกรรมของการออกกำลังกายด้วยว่า ทำบ่อยแค่ไหน หรือไม่อย่างไร

นักวิจัยบอกว่าผลการวิเคราะห์อย่างละเอียดพบว่า คนที่งีบตอนบ่าย ( ไม่ว่าจะบ่อยแค่ไหน และแต่ละครั้งยาวเพียงใด)   มีความเสี่ยงที่จะตายด้วยโรคหัวใจลดลงร้อยละ ๓๔ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่นอนกลางวันเลย

ถ้างีบกลางวันมากกว่า ๓๐ นาทีต่อครั้ง และประมาณสัปดาห์ละ ๓ ถึง ๔ ครั้ง  ก็จะมีความเสี่ยงที่จะตายด้วยโรคหัวใจน้อยลงไปถึง ๓๗ เปอร์เซ็นต์

ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายทำงานด้วย, หากได้งีบกลางวันเป็นประจำ, ก็ยิ่งได้ประโยชน์ต่อร่างกายของตัวเอง  เพราะการวิจัยเดียวกันนี้พบว่าอัตราการเสียชีวิตประเภทนี้ มีอัตราตายน้อยกว่าผู้ชายที่ไม่ทำงานสูงถึงร้อยละ ๖๔ ด้วยซ้ำไป

คณะนักวิจัยนี้บอกว่า ผู้หญิงที่เข้าร่วมโครงการ ไม่มีจำนวนเสียชีวิตมากพอที่จะนำมาเปรียบเทียบเป็นสถิติให้เห็นภาพของความแตกต่างได้

หัวหน้าทีมวิจัยคณะนี้เป็นนายแพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชื่อดอกเตอร์ ดิมิทริอัส ตริโคพัวลัส ซึ่งยืนยันว่าประเทศที่มีอัตราคนตายจากโรคหัวใจต่ำนั้นส่วนใหญ่ผู้คนจะมีนิสัยการงีบกลางวัน  ซึ่งเท่ากับเป็นการยืนยันผลการวิจัยครั้งนี้ด้วยอีกทางหนึ่ง

เมื่อผลออกมาอย่างนี้, หัวหน้าคณะศึกษาบอกว่าควรจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมต่อไป  เพราะถ้าหากเอาไปศึกษาร่วมกับการทดลองอื่น ๆ, ก็อาจจะทำให้มีข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นอีกว่า “ ซีเอสต้า ” เป็นวิธีการที่น่าสนใจมาก ในการลดปัญหาโรคหัวใจ

เพราะวิธีนี้ไม่ต้องกินยา, ไม่ต้องเสียสตางค์, และไม่มีผลข้างเคียง

“ แต่ปัจจัยที่สำคัญคือ คนทั้งหลายต้องไม่ลดการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือออกกำลังกายในแต่ละวันด้วย ...” คือคำเตือนของหมอใหญ่คนนี้

เพราะถ้าใครตีความผลการวิจัยครั้งนี้เข้าข้างตัวเอง, ก็จะด่วนสรุปเองว่าต่อไปนี้งีบตอนกลางวันแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรอีก, เช่นเลิกออกกำลังกายเสียเลย ... ซึ่งก็จะเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์, และโรคหัวใจก็อาจจะมาถามหาอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดเอาไว้ก็ได้

เพราะเพียงแค่งีบกลางวันอย่างเดียว ไม่ได้รับรองว่าความเสี่ยงของโรคหัวใจจะลดลงอย่างที่ออกมาเป็นสถิติ

การจะให้ได้ผลอย่างจริงจังต่อสุขภาพนั้น, การออกกำลังกาย, การดูแลอาหารการกิน, และการลดความเครียดด้วย “ ซีเอสต้า ” เป็นประจำจะต้องทำควบคู่กันไปเสมอ, ไม่อาจจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งได้

คนเรานั้นพอเครียดเข้า, ก็อาจจะหันไปหาพฤติกรรมที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพของตัวเอง เช่น สูบบุหรี่, กินอาหารที่ไม่ควรกิน, กินเหล้าเมายา, และลดการออกกำลังกายอย่างที่ควรจะทำ ...

หากเป็นเช่นนี้, แม้จะนอนเท่าไหร่ก็คงจะไม่ช่วยให้ห่างจากโรคหัวใจหรือโรคร้ายอื่นๆ ... เพราะงานวิจัยอีกหลายชิ้นยืนยันตรงกันว่าคนนอนไม่พอนั้นจะมีปัญหาต่อสุขภาพกาย และใจมากเช่น  จะทำให้อ้วนขึ้น, เครียดง่าย ... เพราะเมื่อนอนไม่พอ, การสร้างเซลล์ในสมองก็จะน้อยลงไปด้วย, เป็นผลให้เกิดปัญหากับสุขภาพหลายๆ ด้านพร้อมๆ กัน

ฉะนั้น, “ งีบกลางวัน ” เสร็จแล้วอย่าลืมออกกำลังกายด้วย ... ทำได้อย่างนี้, ก็มีสิทธิ์ที่จะปึ๋งปั๋งแน่นอนครับ

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #131 เมื่อ: 14 มีนาคม 2554, 19:26:02 »


น้ำผึ้ง ยาอายุวัฒนะ หรือยาพิษ

โดย ดร. พรชัย ปรีชาปัญญา

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา
   
ปัจจุบันหลายคนมองน้ำผึ้งเป็นยาพิษ  ทั้งนี้เพราะว่าสังคมบ้านเรากลัวน้ำตาล  ไม่ว่าจะอ่านเอกสารเล่มไหน ก็บอกว่าน้ำผึ้งทำให้เป็นเบาหวาน  ความดัน  และมะเร็ง  เพราะมีน้ำตาล  แสดงว่าน้ำผึ้งเป็นยาพิษที่ทำลายสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง  ทั้งนี้เพราะว่าท่านซื้อน้ำผึ้งที่ผสมน้ำตาล  น้ำผึ้งที่ถูกอบด้วยความร้อนสูง หรือน้ำตาลที่ทำเป็นน้ำผึ้ง


น้ำตาลที่มากเกินที่เป็นน้ำตาลเชิงซ้อน ทำลายสุขภาพ เพราะว่าไปเพิ่มน้ำหนัก ไขมัน และสะสมในตับ  ทำให้ตับเสื่อม  ซึ่งเป็นโทษมากจริงๆ  แต่น้ำตาลก็ยังขายได้ดี  มีแนวโน้มจะขาดตลาดด้วยบางครั้ง  นี่คือ ‘ น้ำผึ้งอาบยาพิษ ’ โดยเฉพาะน้ำตาลที่ขัดสีจนขาว  ซึ่งต้องใช้สารไดออกซินฟอกขาว เป็นสารประกอบคลอไรค์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
  
น้ำผึ้งที่บริสุทธิ์คุณภาพสูง ให้ผลตรงข้ามกับน้ำผึ้งอาบยาพิษ  แต่เป็น ‘ ยาอายุวัฒนะ ’  แล้วจะเชื่อได้อย่างไร  รายละเอียดต่อจากนี้ไปจะเป็นข้อมูลให้พิจารณา ... ลองอ่านดูซิ

ตำราจีนเรื่องสุขภาพ 100 ปี บอกว่าควรรับประทานน้ำผึ้งที่ดีช่วงท้องว่าง  ช่วยรักษาอวัยวะทั้ง 5 ประกอบด้วย หัวใจ ปอด ม้าน ตับ และไต ให้ทำงานปกติ  ระงับความเจ็บปวด และแก้พิษ  ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว และช่วยให้อายุยืน

น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลหลายชนิด โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด  สีน้ำผึ้งยิ่งเข้ม  แร่ธาตุยิ่งมีมาก  ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้น  ป้องกันโรคโลหิตจาง โรคประสาทที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางอารมณ์ ตับ หัวใจ กระเพาะ และลำไส้  ไม่ควรรับประทานน้ำผึ้งกับน้ำที่ร้อนเกิน 60 องศา จะทำให้ไปโอแอคทีฟเอนไซม์ถูกทำลาย
 
น้ำผึ้งมีธาตุอาหารมากกว่า 60 ชนิด  มีความหลากหลาย และสมดุล แต่ละชนิดมีปริมาณเพียงเล็กน้อย  แต่เมื่ออยู่ร่วมกัน จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเป็นทวีคูณมหาศาล  เช่น  สังกะสี และซีลีเนียม หากทำงานร่วมกัน จะให้ประโยชน์เป็นมากเพิ่มเป็น 10 เท่า และปลอดภัยต่อร่างกาย ต่างจากอาหารเม็ด วิตามินเม็ด หรืออาหารเสริม ที่แยกส่วนมาเป็นอาหารเดียวๆ ที่รับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ร่างกายเสียสมดุล  ตัวอย่างหากรับประทานวิตามินซีมาก ทำให้ธาตุเหล็กในเลือดเพิ่มมากเกิน ในระดับที่เป็นพิษ  ทำให้เป็นโรคหัวใจ และมะเร็ง  บี 2 มากเกินทำให้เป็นต้อกระจก  หรือซีลีเนียมมากเกินทำให้ผมแห้งเปราะ ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ... เห็นหรือยังทุกอย่างต้องสมดุล และผสมผสานมากกว่าอย่างใดๆ อย่างหนึ่งมากเกิน และเดินสายกลางตามหลักพระพุทธองค์  พระวรกาย และดวงจิตของพระองค์เข็มแข็ง  เพราะว่าส่วนหนึ่งทรงบริโภคทุกวัน

น้ำผึ้งมีวิตามินบีเกือบทุกชนิดอาจกล่าวได้ว่าเป็นวิตามินบีรวมเลยที่เดียว  ไม่จำเป็นต้องใช้วิตามินบีรวมเม็ดอีกต่อไป  วิตามินบีรวมจากน้ำผึ้งช่วยบำรุงร่างกาย  เช่น

*  บี1 ลดการอยากน้ำตาล ป้องกันอัลไซเมอร์ ปลอกประสาทเสื่อม ประสาทอักเสบ อัมพาต  และร่วมกับกลูโคสช่วยทำให้สมาธิ และความจำดี

*  บี 2 ลดเชื้อราแคดิดาที่เป็นสาเหตุของเริม ต้อกระจก ตะคริวขณะตั้งครรภ์ รวมกับธาตุเหล็กทำให้โลหิตไม่จาง

*  บี 3 ช่วยลดการอักเสบของสิว การอยากสุรา ก้อนเหนียวที่ขวางทางเดินโลหิต และอาการหืด

* บี 5 ลดการเหนื่อยล้า อารมภ์ขุ่นมัว และนอนไม่หลับ การติดเชื้อทางเดินหายใจ การอักเสบของรูมาทอยด์ และร่วมกับวิตามินซี ช่วยทำให้ผิวหนังแข็งแรง และแผลหายเร็ว

*  บี 6 ลดอาการไม่สบายก่อนมีประจำเดือน การซึมเศร้า และอ่อนเพลีย

*  บี 12 ชลอปัญหาอาการประสาทส่วนปลายเสื่อมของคนเป็นเบาหวาน  ทำให้ตามองเห็นภาพชัดขึ้น และทำให้นอนหลับดี
 
วิตามินซีในน้ำผึ้งมีประโยชน์มาก  ช่วยสร้างคอนลาเจน  ลดฝ้า  ทำให้ผิวพรรณดี กระดูกแข็งแรง แผลที่เกิดจากเริม สมานแผล และการติดเชื้อ และโฟเลตที่พบในน้ำผึ้งช่วยลดกระดูกพรุน มะเร็งคอมดลูก โลหิตจาง และซึมเศร้า


น้ำผึ้งประกอบไปด้วยเกลือแร่หลากชนิด  อาทิ

*  แคลเซียม แน่นอนลดกระดูกพรุน ฟันผุ เพิ่มมวลกระดูก และตะคริวขา

*  สังกะสี ป้องกันต่อมลูกหมากโต เพิ่มอสุจิ ลดผื่น และทำให้แผลหายเร็ว

*  ซีลีเนียม ลดมะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ป้องสารอนุมูลอิสระทำลายผนังหลอดเลือด และการสร้างก้อนไขมัน

*  ทองแดง ลดภาวะกระดูกพรุน และข้ออักเสบ

*  เหล็ก ลดโลหิตจาง เพิ่มสมาธิ ลดการปวดประจำเดือน และอ่อนเพลีย

*  ไอโอดีน ลดมะเร็งเต้านม และลดน้ำหนัก

*  โพแทสเซียม ลดปัญหาหัวใจล้มเหลว ก้อนเนื้อในไต และลดความดัน

*  แมกนีเซียม ลดการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ และปัญหาปวดหัวก่อนมีประจำเดือน

*  แมงกานีส ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลมชัก เสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มความแข็งแรงของกระดูก

*  ฟอสฟอรัส เพิ่มมวลกระดูก ลดอาการติดสุราเรื้อรัง ระดับแคลเซียมในปัสสาวะ และประสานเนื้อกระดูก

*  ซิลิกอน ลดการเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และทำให้ผิวเนียน

*  กำมะถัน บรรเทาอาการปวดข้อ ฟอกพิษสุรา เล็บ และผมแข็งแรง และบรรเทาอาการภูมิแพ้

*  โครเมียม ลดระดับคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือด ต้อหิน และการอยากอาหาร


ในน้ำผึ้งมีกรดกลูโลนิคมากเพียงพอที่จะช่วยล้าง หรือทำลายสารพิษในตับ  เนื่องจากการกินยา การสะสมของสารเคมี  ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักถูกสั่งให้รับประทานยาจำนวนมาก  ผมพบผู้ป่วยท่านหนึ่ง เอายาให้ผมดูตั้ง 14 ชนิด  น่ากลัวมาก  กินมานานแล้ว  บางรายเชื่อว่าต้องกินตลอดไป  ไม่รู้เมื่อไรจะเลิก  เหมือนไม่มีความหวัง หรือแสงที่ปลายอุโมงค์เลย  ซึ่งในที่สุดตับก็เสื่อม ตับอักเสบ และเป็นมะเร็งตับในเวลาต่อมา  จำเป็นอย่างยิ่งต้องล้างตับบ้าง  หรือคนที่กินเหล้า หรืออาหารที่ปนเปื้อนจากสารเคมีมานาน ก็ควรล้างตับเป็นประจำ เช่นกัน

น้ำผึ้งมีกรดอะมิโน โปรลีนสูงมาก ( 210 มก.ต่อ 100 กรัม  ซึ่งสูงกว่าน้ำคอลลาเจนมากถึง 20 เท่า )  ซึ่งช่วยวิตามินซีในการสร้างคอลลาเจน ที่สร้างกล้ามเนื้อเรียบให้กับผิวหนัง มวลกระดูก ฟัน ข้อเข่าแข็งแรง เอ็น ความยืดหยุ่นของผิวหนัง และหลอดเลือดที่แข็งแรง  และอวัยวะภายใน เช่น พังผืด กระดูกอ่อน เส้นเอ็น ข้อต่อ กระดูก เยื่อกระจกตา และเลนส์ตา
 
สาร และแร่ธาตุหลายชนิดในน้ำผึ้ง เช่น ฟลาโวนอยด์ วิตามินบีรวม วิตามินซี ซีลีเนียม และสังกะสี ผสมผสานกันอย่างสมดุลในน้ำผึ้ง  มีบทบาทคล้ายสารสเตปโตไมซิล ที่ช่วยต้านทานการอักเสบ  และสารดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดการดื้อยา  เมื่อเปรียบเทียบกับยาแก้อักเสบทั่วไป

ในน้ำผึ้งมีสารมิวซินจากกระเพาะผึ้ง  เดกทริก และมอลโตสจากพืช  ช่วยหล่อลื่นผิวกระเพาะและลำไส้  ถ้ากินก่อนนอนจะถ่ายท้องได้ดี จำเป็นมากสำหรับผู้เป็นริดสีดวงทวาร และช่วยลดอาการปวดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
 
น้ำผึ้งมีเอ็นไซค์หลายชนิดจากกระเพาะผึ้ง โดยเฉพาะอินเวอร์เทส ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนซูโครสเป็นกลูโคส และฟรุตโตส และไดแอสเทส หรืออะไมเลส เปลี่ยนเป็นโมเลกุลที่สั้น  ซึ่งช่วยลดท้องอืด เฟ้อ และเรอเปรี้ยว  ในทางตรงกันข้ามน้ำผึ้งช่วยฆ่าเชื้อท้องเดินได้เป็นอย่างดี

ในน้ำผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิด เช่น Quercetin, Luteotin, Chrysin, Myricetin, Kaempterol, Apigenin, Coumaric acid คาทาเลส และอัคคาลอยด์  สารเหล่านี้ช่วยลดน้ำตาลในเลือด มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเม็ดเลือด และลดความดันโลหิตสูง  นอกจากนั้นยังมีฮอร์โมนไฟโตเอสโตรเจน และเทสโตรเทอโรสที่ช่วยลดมะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และกระดูกพรุน
 
จากข้อมูลที่มากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้หมด  ผมอยากจะบอกว่าน้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะจริงๆ  ไม่จำเป็นต้องเสาะหายาอายุวัฒนะที่ไหนอีกแล้ว  เจ้าผึ้งน้อยทั้งหลายนี่แหละ เป็นยอดนักปรุงอาหาร และยาที่ดีที่สุด  เพียงแต่หาซื้อน้ำผึ้งดีๆ มารับประทานก็เพียงพอ  แต่ขอบอกเสียก่อนว่า หากเชื่อแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริง ต้องยกย่องให้เป็นพระเอก หรือนางเอกของคุณ  คิดถึงกันตลอดไป อย่างปล่อยให้เป็นน้ำขมอีกต่อไป กล่าวคือต้องรับประทานให้ถูกต้องสม่ำเสมอ  ไม่เอาไปผสมกับน้ำร้อนให้เสีย  ต้องไม่ผสมกับน้ำเย็นให้ละลายยาก  ไม่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นจนเป็นไข  แล้วออกมาโวยวายว่าน้ำผึ้งปลอม  เก็บไว้ข้างนอกดีกว่า  ไม่เอาไปผสมกับกาแฟแทนน้ำตาล หรือนม กับมะนาว จนทำให้สมดุลของวิตามินซี และซิลีเนียมเสียไป  จนสารอาหารไม่มีประโยชน์เท่าที่ควร

ถ้ารักกันจริงต้องรู้ใจกันซิ

*  เก็บน้ำผึ้งในตู้กับข้าวดีที่สุด

*  ซื้อน้ำผึ้งขวดเล็กดีกว่าขวดใหญ่ เพราะว่าน้ำผึ้งดูดกลิ่น และความชื้นทำให้เสียง่าย  ขวดเล็กจะหมดเร็วไม่ทันเสีย

*  เมื่อดื่มก็ดื่มกับน้ำธรรมดาก็พอ ไม่ทำให้คุณภาพอาหาร และยาสูญเสีย

*  ไม่ซื้อน้ำผึ้งที่ข้นเกิน แสดงว่าผ่านการอบความร้อนมาให้ดูสวยงาม  เพราะว่าคนไทยเชื่อว่าน้ำผึ้งข้นดี เหมือนน้ำผึ้งเดือนห้า

*  ไม่ซื้อน้ำผึ้งที่ไม่ฟอง เพราะว่ามีการใช้สารเคมีกำจัดฟอง

*  ไม่ซื้อน้ำผึ้งที่เก็บในขวดพลาสติก เนื่องจากมีสารก่อมะเร็ง

*  ไม่ซื้อน้ำผึ้งป่า  เพราะว่ามีตัวอ่อน และไข่ผึ้งผสมปนเปื้อนจนเน่าในที่สุด
 
*  น้ำผึ้งที่บริสุทธิ์จริงที่ไม่ต้องการผสมอะไร  มีความเป็นธรรมชาติ หรือที่ชอบเรียกกันว่า ‘ Natural Honey ’


หากคุณมีความละเอียดลออในการซื้อน้ำผึ้ง แล้วในที่สุดน้ำผึ้งของคุณก็จะเป็นน้ำผึ้งพระจันทร์ตลอดไป
    
คราวหน้าผมจะเล่าให้ฟังถึงรายละเอียดผลงานวิจัยที่ทำร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และที่อื่น ถึงบทบาทของน้ำผึ้งที่ช่วยรักษาเบาหวาน และประสบการณ์ของผมที่ได้เห็นคนที่เป็นเบาหวานตัดสินใจรักษาตัวเองกด้วยนำผึ้ง ...

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #132 เมื่อ: 14 มีนาคม 2554, 20:09:57 »


ถ้าคุณยังมี " ตา " อยู่ .... อย่าลังเลที่จะดูแล

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา



1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลง อย่าให้ลมเย็นพ่นเข่าตาโดยตรง เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง  ถ้าปล่อยไว้นานๆ  กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้

2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆ และหาซื้อได้ไม่ยากเลย  แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหารแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว

3. อย่ามองข้ามมันเทศ ของดีราคาย่อมเยาว์  วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด

4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วยป้องกันต้อหินให้คุณ


5. อย่าขี้เกียจเดิน เพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้ง จะช่วยลดความดันในกระบอกตา  ทำให้สายตาเป็นปกติ

6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา

7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัด อาหารพวกนี้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ รวมทั้งสายตาของคุณด้วย

8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอ เพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา

9. ตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำทุกเดือน ความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก จึงไม่ควรมองข้ามการวัดความดัน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที

10. สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดดอย่างเดียวอาจจะสู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว  หมวกปีกกว้างจึงเป็นอุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้  เพื่อป้องกันรังสียูวีที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด

11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างเครื่องสำอางค์ทุกคืน เพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะเหลือตกค้างอยู่ เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวงตาจนเกิดการติดเชื้อ

12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวมของสารลูเทอิน และซีอาแซนธิน ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคต้อกระจก และยิ่งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย ( คนที่เกลียดผัก คงต้องพยายามหน่อยนะ )

13. หัวบีตสดๆ เป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้ ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตาคุณสวยและใส

14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัด เพราะคนที่ติดรสเค็มจะมีโอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด

15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ เพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณสะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่

16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลา หรือเปปเปอร์มินต์ มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมอง ซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดีขึ้นได้แล้ว  ว้าว ! ! ง่ายจัง

17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป แม้การอ่านหนังสือก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆ ทุกๆ 30 นาที เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลีย หรือล้าถาวร

18. กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท


19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือน ทุกครั้งที่มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ จะต้องมีความสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ติดมาด้วย  เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคไปโดยปริยาย
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #133 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 22:42:56 »


บริหารตา ... คลายเมื่อยล้า

จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7431


           ดวงตาเป็นหน้าต่างของจิตใจ การมีสายตาที่ดีย่อมส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ในยุคโลกาภิวัตน์ทำให้ผู้คนต้องใช้สายตากันมากขึ้น เช่น ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เล่นเกม ส่ง SMS ล้วนส่งผลให้กล้ามเนื้อตาเมื่อยล้าปวดเมื่อยตา Lisa จึงมีท่าบริหารตามาฝากคุณผู้อ่านกันค่ะ

        นั่งสบาย ๆ บนเก้าอี้ ตามองที่ปลายจมูกโดยไม่เหลือบไปที่ใดและไม่กะพริบตา นับหนึ่งถึงสิบ จากนั้นปิดตาเพื่อผ่อนคลาย ทำซ้ำ 5 ครั้ง

        ศีรษะตั้งตรง มอง ตรงไปข้างหน้าสองตาเหลือบมองไปที่ไหล่ขวาโดยไม่ขยับศีรษะตาม นับหนึ่งถึงสิบ จากนั้น ปิดตาเพื่อผ่อนคลาย ทำข้างซ้ายเหมือนข้างขวา ทำซ้ำข้างละ 5 ครั้ง

        จินตนาการว่าคุณกำลังมองนาฬิกาเรือนใหญ่ โฟกัสตาไปที่ศูนย์กลางของนาฬิกา ศีรษะไม่ขยับ ตาไล่มองตามเข็มนาฬิกา นับหนึ่งถึงสิบ ผ่อนคลายแล้วมองไปที่ศูนย์กลางของนาฬิกาใหม่ตามองไล่ตามเลขนาฬิกาอีกครั้ง นับหนึ่งถึงสิบ ทำซ้ำ 10 ครั้ง

        นั่งห่างจากหน้าต่างประมาณ 200 มิลลิเมตร หรือ 6 นิ้ว โดยการทำเครื่องหมายที่กระจกหน้าต่างไว้ในระดับสายตา อาจใช้สติกเกอร์สีแดงหรือสีดำก็ได้ และให้คุณมองเหนือเครื่องหมายที่ทำไว้ ตาโฟกัสไปที่ใดที่หนึ่งแล้วนับ 1 ถึง 15 จากนั้น ละสายตามองไปที่เครื่องหมายทำซ้ำ 5 ครั้ง

        ถือปากกาไว้ในมือ ยื่นแขนที่ถือปากกาไปข้างหน้าจนสุดแขน แล้วค่อยๆ ถือปากกาเข้ามาจ่อที่จมูกช้าๆ ตาโฟกัสที่ปากกาเท่านั้น จากนั้น ยื่นแขนที่ถือปากกาไปจนสุดแขนอีกครั้ง ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

        นั่งสบาย ๆ แล้วกลอกลูกตาตามเข็มนาฬิกา 5 ครั้ง จากนั้น ทวนเข็มนาฬิกาอีก 5 ครั้ง

        ปิดตาแน่น ๆ นับ 1-5 จากนั้น เบิ่งตาให้กว้างที่สุด นับ 1-5 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

        ปิดตาสบาย ๆ จากนั้น ใช้ปลายนิ้ว 3 นิ้วนวดตาเบาๆ เป็นวงกลมอย่างระมัดระวังประมาณ 1-2 นาที

        เปิดตาและมองไปข้างหน้าเรื่อย ๆอย่างไม่มีจุดหมายประมาณ 2-3 นาที ซึ่งทำได้ทุกวันโดยเฉพาะเมื่อคุณต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์

ที่มา : สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย  http://www.nutritionthailand.or.th
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #134 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 22:55:29 »


อายุเท่าไหร่ ถึงจะ ' แก่ ' เกินไปสำหรับการขับรถ

จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7430



2 ใน 3 ของคนอเมริกันที่ตอบแบบสอบถามของ Marist Poll บอกว่าผู้ขับขี่ที่อายุครบ 65 ควรจะเข้าสอบใบขับขี่อีกครั้ง

Marist poll ทำการสำรวจกับผู้ใหญ่จำนวน 1,018 คนทางโทรศัพท์ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา จากผลสำรวจพบว่าคนอเมริกันที่มีอายุน้อยก็เห็นด้วยกับมาตรการนี้ โดยผู้ตอบแบบสำรวจที่อายุต่ำกว่า 30 ปี มีจำนวน 84% ที่เห็นด้วย และกลุ่มอายุระหว่าง 30-44 ปี เห็นด้วยกับมาตรการนี้ 76%

ในขณะที่กลุ่มอายุระหว่าง 45-59 ปีเห็นด้วย 62%  และแม้กระทั่งกลุ่มคนที่อายุเกิน 60 ปีเองกว่าครึ่งที่ตอบแบบสำรวจนี้ ก็ยังเห็นว่าเป็นแนวคิดที่ดีถ้าจะต้องสอบใบขับขี่อีกครั้ง

ด้านผู้เชี่ยวชาญมองว่า ผู้ขับขี่สูงอายุก็มีความกังวลเช่นกัน  เพราะเมื่ออายุมากขึ้นสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความสามารถในการมองเห็นอาจจะไม่ดีเท่ากับตอนยังเป็นหนุ่มเป็นสาว  ผู้สูงอายุบางคนยังต้องทานยา ซึ่งอาจจะมีผลต่อความสามารถในการการขับรถด้วย

อย่างไรก็ดี ขณะนี้มี 2 รัฐของสหรัฐเมริกาคือ Illinois และ New Hampshire ที่มีกฎหมายระบุว่า ผู้สูงอายุต้องมาสอบใบขับขี่ใหม่ตอนอายุ 75 ปี

จาก ข้อมูลของ Federal Highway Administration ยังพบว่า ในปี 2008 มีผู้ขับขี่ที่อายุมากกว่า 70 ปี จำนวนถึง 21.6 ล้านคน หรือ 10% ของผู้ขับขี่อเมริกันทั้งหมด

ข้อมูล : Reuters  แปลและเรียบเรียง : ธันย์ชนก จงยศยิ่ง และ สุรัติ บรมสุข
 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย : " ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง "  MCOT.net

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #135 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 23:06:55 »


" ได้ออกกำลังกาย "... ข้อดีของคนมีสัตว์เลี้ยง

จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7429



เมื่อเอ่ยถึงการออกกำลังกาย  หลายคนยอมรับว่าเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ  แต่เมื่อถามว่ามีเวลาไปออกกำลังกายกันบ้างหรือไม่  กลับมีน้อยคนนักที่จะเจียดเวลาไปทำกิจกรรมดังกล่าว

แต่สำหรับผู้ที่เลี้ยงสุนัขอาจเป็นข้อยกเว้น  เมื่อมีงานวิจัยระบุว่า ผู้ที่เลี้ยงสุนัขนั้นมีโอกาส " ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว " มากกว่าคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเอง  หรือคนที่มีสุนัข แต่ไม่เคยพามันออกไปเดินเล่นเลยถึง 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

งานวิจัยชิ้นนี้มาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน  เมื่อ Mathew Reeves นักวิจัยกล่าวว่า ผู้เลี้ยงสุนัข และพามันไปเดินเล่นเป็นประจำนั้น  จะมีโอกาสได้เคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าคนอื่นๆ  ขณะที่เกณฑ์ปกตินั้น มนุษย์เราควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

" การกระตุ้นให้มนุษย์ออกกำลังกายให้ได้ตามเกณฑ์ เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยปาฏิหาริย์  แต่การเลี้ยงสุนัข และพามันไปเดินเล่น ก็อาจทำให้คุณบรรลุเป้าหมายนี้ได้ " นักวิจัยเจ้าของโครงการกล่าว

นอกจากนั้น การเลี้ยงสุนัขยังช่วยในด้านจิตใจด้วย  ดังที่มนุษย์เราเปรียบสุนัขในฐานะเพื่อนที่ดีที่สุด  เนื่องจากมันพร้อมที่จะปกป้องผู้เป็นเจ้าของในทุกสถานการณ์​  ไม่เคยต่อว่า  ไม่เคยโกรธ  ไม่เคยน้อยใจหนีออกจากบ้าน  แถมการได้เล่นกับเจ้าของดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของมันเลยก็ว่าได้     

อย่างไรก็ดี ข้อมูลนี้จะเป็นจริงได้ คงต้องอาศัยจิตใจที่โอบอ้อมอารีของมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของสุนัขด้วยเช่นกัน  เนื่องจากเป็นความจริงที่ว่า สุนัขบางตัว ต้องอาศัยอยู่ในกรงแคบๆ หรืออยู่ในบ้านเงียบ  เพียงลำพัง เพราะเจ้าของต้องออกไปทำงาน  หากเจ้าของเหนื่อยจนไม่สามารถพามันออกไปเดินเล่นข้างนอก  คงกลายเป็นว่า ทั้งคนทั้งสุนัข จะยิ่งเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุด

ที่มา : ThaiHealth
 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #136 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 23:37:50 »


" อัลมอนด์ " ถั่วเมล็ดจิ๋ว แต่อัดแน่นด้วยสารอาหาร 
 
จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7413

 

ใกล้ช่วงพักร้อนแล้ว หลายๆ คน คงเตรียมวางแผนจะไปพักผ่อน หรือจัดปาร์ตี้รวมญาติในเร็ววันนี้ เลยชวนให้คิดถึง " ตัวช่วย " หนึ่งที่ดูจะขาดไม่ได้ในเมนูงานเลี้ยงทั่วไป โดยเฉพาะถ้าเป็นค้อกเทลปาร์ตี้ ... นี่ก็แทบจะช่วยทำให้เหล่าปาร์ตี้แพลนเนอร์ ทั้งหลายหายเหนื่อยในการต้องครีเอทเมนูของว่างได้ไปเยอะเชียว ...

" เมล็ดอัลมอนด์ " นี่ไง ... ถั่วเมล็ดจิ๋ว แต่เต็มไปด้วยสารอาหาร และประโยชน์มากมาย

ขอหยิบยกบทความน่าสนใจของ สสส.ที่ชวนให้น้องๆ เยาวชนหันมากินอัลมอนด์แทนขนมหวาน ที่บรรยายคุณประโยชน์ที่อัดแน่นไว้ในเมล็ด อัลมอลด์มาฝากว่า อัลมอนด์ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 สุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ  เพราะคุณประโยชน์ของอัลมอนด์มีมากมาย  ในเมล็ดอัลมอนด์อุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย  ประกอบไปด้วย กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ( Monounsaturated Fatty Acid ) และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ( Polyunsaturared Fatty Acid )  ซึ่งช่วยเพิ่มระดับ HDL ( High-Density Lipoproteins ) หรือ ไขมันดี และช่วยลดระดับ LDL ( Low-Den-sity Lipoproteins ) หรือไขมันเลว

ในต่างประเทศมีการวิจัยถึงประโยชน์ของอัลมอนด์ว่า มีบทบาทกับสุขภาพหัวใจอย่างมาก  เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอย่างกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย  ทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และเชิงซ้อนเ  มื่อรับประทานเป็นประจำ จะมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี

มีผลการวิจัยจากสถาบันชั้นนำทั้งในยุโรป และอเมริกาพบว่า  ถ้ารับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 1 หยิบมือ  จะช่วยลด LDL ได้ถึง 4.4%  และถ้ารับประทาน 2 หยิบมือต่อวัน  จะช่วยลด LDL ได้ถึง 9.4 %


นอกจากกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว อัลมอนด์ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์  โปรตีนจากพืช  วิตามินบี  วิตามินอี และโอเมก้า 3  ซึ่งจำเป็นสำหรับการเสริมสร้างเซลล์ที่สึกหรอของผิวหนัง เส้นผม ทั้งยังช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย  รวมทั้งไฟเบอร์ที่ได้จากอัลมอนด์ยังช่วยลดการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ ใหญ่ได้อีกด้วย

อย่างไรก็ดี แม้ว่าอัลมอนด์จะมีสารอาหารประเภทไขมันในปริมาณที่สูง แต่ไขมันจากอัลมอนด์นั้นเป็นไขมันที่ดี ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และจำเป็นต่อกระบวนการทำงานของร่างกาย  ดังนั้นอัลมอนด์จึงเป็นอาหารที่ได้รับการแนะนำให้รับประทานเพื่อลดคอเลสเตอรอล และรับประทานแทนอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว โดยไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด  เราจึงรับประทานอัลมอนด์แทนของหวาน หรือขนมขบเคี้ยวระหว่างวันได้อย่างสบายๆ  แถมได้คุณค่าจากธรรมชาติไปเต็มๆ เม็ดอีกด้วย

ฉบับนี้ จึงขอแนะนำเมนู " Not Tuna Pate " ไว้สำหรับเป็นหนึ่งในเมนูงานเลี้ยง  ที่สามารถนำอัลมอนด์มาประยุกต์ทำเมนูอร่อยได้อย่างไม่ยาก  เหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ และทำเป็นเมนูของว่างให้กับเด็กๆ อีกด้วย

ส่วนผสม

- อัลมอนด์ดิบ 1 ถ้วย
- เมล็ดทานตะวันดิบ แช่น้ำไว้หนึ่งคืน  1/2 ถ้วย
- สาหร่าย
- ขึ้นฉ่าย หรือ ผักชีลาว หรือผักชีไทย ( หั่นละเอียด ) 1/2 ถ้วย
- เกลือหิมาลายัน ซึ่งเป็นเกลือบำบัด และมีประจุลบ 1 ช้อนชา

วิธีทำ

นำส่วนผสมทั้งหมดมาปั่นรวมกัน  จากนั้นเติมขึ้นฉ่าย และผักชีลาวหรือผักชีไทย  แล้วแต่ความชอบ  เมนูนี้สามารถนำมาทานร่วมกับแครอท หรือขึ้นฉ่าย ส่วนใครที่ไม่ซีเรียสก็สามารถทานกับขนมปังกรอบได้

ที่มา :  ThaiHealth
 
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #137 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 23:46:44 »

 สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ...มาอ่านเรื่องดีๆมีประโยชน์ค่ะ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #138 เมื่อ: 20 มีนาคม 2554, 00:44:00 »

ยินดีจ้า น้องอ้อย


กินแตงโม ... ลดความดันโลหิต

จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7393  



ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐบอกว่า ในแตงโมมีโพแตสเซียม และเกลือแร่สูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการรักษาไต และการทำงานของหัวใจได้ดี

แตงโมโพแตสเซียมสูง

กรมวิชาการเกษตรของสหรัฐอเมริกาได้แนะนำว่า ผู้ใหญ่ควรได้รับโพแตสเซียมประมาณ 4,044 มิลลิกรัม จากอาหารและเครื่องดื่มในแต่ละวัน  และสมาคมอเมริกันเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร Lona Sandon ยังบอกอีกว่า แตงแคนตาลูป และแตงโมมีโพแตสเซียมสูงมาก   แคนตาลูป 1 ลูก มีโพแตสเซียมอยู่มากถึง 800-900 มิลลิกรัม หรือเกือบร้อยละ 20 ของโพแตสเซียมที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน  ส่วนแตงโม 2 ลูกมีปริมาณโพแตสเซียมที่แนะนำต่อวันเกือบร้อยละ 10 เลย

จริงๆ แล้วความดันลหิตสูงเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะทำให้หัวใจทำงานหนักเกินไป และการไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกติ สามารถทำลายเส้นเลือดและอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ ไต สมอง และตาได้

จากผลสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันประมาณ 65 ล้านคน โดยเฉพาะวัยผู้ใหญ่เป็นโรคความดันโลหิตมากขึ้น  ซึ่งก็หมายความว่าคนเหล่านี้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต และตาบอดได้

ออกกำลังกาย = กุญแจสำคัญ

นักวิจัยศูนย์หัวใจ ปอด และเลือดแห่งชาติ ( NHLBI )  พบว่า การกินอาหารที่อุดมไปด้วยโพแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม  รวมทั้งอาหารที่มีคอเลสเตอรอล และไขมันต่ำ จะช่วยลดความดันเลือดสูงได้ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์  ซึ่งประเภทอาหารที่ควรเลือกรับประทานก็คือ ผักผลไม้ นมไขมันต่ำ ผลิตภัณฑ์จากธัญพืช ปลา เนื้อสัตว์ปีก และถั่ว

ที่สำคัญต้องไม่ลืมดูแลสุขภาพ และควบคุมน้ำหนักเป็นประจำ  ดื่มแอลกอฮอล์แต่พอประมาณ และทานยาตามกำหนดอย่างต่อเนื่องนะคะ

ที่มา  :  หนังสือรักลูก
 
      บันทึกการเข้า
อ้อย 14
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,055

« ตอบ #139 เมื่อ: 26 มีนาคม 2554, 09:04:21 »




มีอะไรดีๆในห้องนี้  ขอชมน้องเจี๊ยบทีเผยแพร่ความรู้ที่ควรจะรู้และปฎิบัติ  อยากจะขอความรู้เรื่องยาย้อมผม ที่ปลอดภัยหน่อยนะ ขอบใจล่วงหน้าจ๊ะ


 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #140 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 03:52:57 »


พี่อ้อย ขา ... ขออภัยที่ปล่อยให้พี่อ้อยรออ่าน น้าน นาน ตั้ง 12 วันแน่ะ ... มาอ่านกันเลยดีกว่า

เปลี่ยนสีผมอย่างปลอดภัย

ที่มา Health Today

จาก  http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:4qEUVBoMWgsJ:poppie21.multiply.com/journal/item/25+%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A1+%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2&cd=2&hl=th&ct=clnk&gl=th&source=www.google.co.th


     ปัจจุบันการเปลี่ยนสีผมเป็นแฟชั่นยอดฮิต มีให้เลือกหลากสี บางคนเปลี่ยนสีผมเพื่อเสริมสร้างบุคลิกใหม่ ในขณะที่บางคนเปลี่ยนสีผมเพื่อให้ทันสมัยตามกระแสนิยม แต่เบื้องหลังสีผมสวยโดดเด่นเป็นสง่า คุณรู้หรือไม่ว่าน้ำยาเปลี่ยนสีผมหรือยาย้อมผมมีกี่ชนิด ? และแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร ? มีคุณสมบัติอะไรที่ทำให้เปลี่ยนสีผมเราได้ ? และที่สำคัญก่อนตัดสินใจเปลี่ยนสีผมเราควรระวังอะไรบ้าง ?

น้ำยาเปลี่ยนสีผมหลากประเภท หลายจุดเด่น

     น้ำยาเปลี่ยนสีผม หรือยาย้อมผมแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามความคงทนของสีผมที่เปลี่ยน ได้แก่ ยาย้อมผมชนิดชั่วคราว กึ่งถาวร และถาวร

     • ยาย้อมผมชนิดชั่วคราว มีโมเลกุลขนาดใหญ่ สีจึงเคลือบบนชั้นนอกของเส้นผมเท่านั้น ล้างออกได้ง่ายหลังจากสระผมด้วยแชมพูครั้งแรก  ผลิตภัณฑ์น้ำยาเปลี่ยนสีผมชนิดนี้ มักเป็นแบบพร้อมใช้ไม่ต้องผสมเองให้ยุ่งยาก มักเป็นเฉดแม่สี มีจำหน่ายในรูปแบบคัลเลอร์ รินส์ ( Color Rinse ) สามารถทาหรือพ่นบนผมที่แห้ง ชโลมหรือทาทิ้งไว้ประมาณ 2-5 นาที และล้างออก เช่นเดียวกับรูปแบบสเปรย์ ( Color Sprays )
 
     • ยาย้อมผมชนิดกึ่งถาวร  มีโมเลกุลขนาดเล็ก สีจึงเคลือบบนชั้นนอกและกลางของเส้นผม แต่ไม่ซึมลึกถึงโปรตีนของเส้นผม อันจะมีผลเปลี่ยนสีผมเดิมตามธรรมชาติได้ ยาย้อมผมกึ่งถาวรจึงติดคงทนในการสระผมอยู่ประมาณ 6-8 ครั้ง มีจำหน่ายในรูปแบบแชมพ
ูสระผม แวกซ์ โลชั่น โฟมย้อมสี ทั้งนี้วิธีใช้ก็แตกต่างกันตามลักษณะของผลิตภัณฑ์

     • ยาย้อมผมชนิดถาวร  ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยการสระผม สีจะติดคงทนและไม่ซีดจางง่าย  เหมาะสำหรับคนที่ต้องการย้อมผมขาว แบ่งประเภทหลักๆ ออกเป็น 2 ชนิดคือ

* ยาเคลือบผม ( Coating Tints ) เช่น สมุนไพรย้อมผม ( Vegetable Dyes ) เปลี่ยนสีผมด้วยการเคลือบเฉพาะบนชั้นนอกของเส้นผม  แต่ไม่ทำลายโครงสร้างของเส้นผม ได้มาจากการสกัดของสมุนไพรตามธรรมชาติ เช่น เฮนนา ซึ่งจะให้สีแดงอมส้มหรือน้ำตาล และดอกคาโมมายด์ ที่ให้สีทอง
 
* ยาย้อมผลชนิดซึมสู่เส้นผม เป็นน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่คนส่วนใหญ่คุ้นตากัน ภายในกล่องประกอบด้วยน้ำยา 2 ขวด คือ สีออกซิเดชั่น และน้ำยาโกรก หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

      1. สีออกซิเดชั่น ( Colorant ) หรือสีพารา เป็นครีมหรือของเหลวบรรจุในหลอด มีโมเลกุลขนาดเล็ก ไม่มีสี มีแอมโมเนียเป็นส่วนผสมหลักเพื่อให้มีสภาวะเป็นกรด-ด่างประมาณ 8-11  ความเป็นด่างของแอมโมเนียนี้ มีคุณสมบัติทำให้เส้นผมชั้นนอกบวม และพองขึ้นมาก เมื่อบวกกับส่วนผสมของสารลดแรงตึงผิว จะทำให้สีซึมเข้าไปสู่เส้นผมได้อย่างเต็มที่  ทั้งนี้หากสีออกซิเดชั่นมีความเป็นด่างมาก ก็จะทำลายส่วนชั้นนอกของเส้นผมบางส่วนทำให้ผมหยาบ กระด้าง  สีออกซิเดชั่นที่นิยมใช้ในประเทศไทยคือ พาราฟีนีรีนไดอะมีน และพาราโทลูอีนไดอะมีน

     2. น้ำยาโกรก ( Developer ) หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ มีลักษณะเป็นครีมหรือของเหลวใส  ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้ขนาด 6% เพราะหากไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มากกว่า 6% จะทำให้ผมแห้ง อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองที่หนังศีรษะ  แต่ถ้าไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์น้อยกว่า 6% ก็จะไม่สามารถออกซิไดซ์สีอย่างมีประสิทธิภาพ


หลักการเกิดสีผมสวย

     หลักการทำงานพื้นฐานของน้ำยาเปลี่ยนสีผมชนิดถาวร ที่ทำให้สีผมของเราเปลี่ยนไปคือ การทำปฏิกิริยาระหว่างสีออกซิเดชั่น ( ขวดที่ 1 ) กับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ( ขวดที่ 2 )  หลังจากเทส่วนผสม 2 ชนิด และเขย่าให้เป็นเนื้อเดียวกันจนข้นแล้ว นำไปชโลมบนเส้นผม  สารประกอบที่อยู่ในน้ำยา 2 ขวดจะเกิดปฏิกิริยาต่อกันทำให้เกิดออกซิเจน เปลี่ยนขนาดโมเลกุลของสีให้จับตัวใหญ่ขึ้น มีผลทำให้สีที่ได้ถูกกักเก็บอยู่ในชั้นกลางของเส้นผม นอกจากนี้ออกซิเจนยังทำปฏิกิริยากับสีผมตามธรรมชาติ เกิดเฉดสีที่อ่อนลง ทำให้สีที่ผสมขึ้นใหม่ตามความเข้ม-อ่อนบนฉลากผลิตภัณฑ์เห็นเด่นชัดเจนขึ้น

ข้อควรระวังที่ต้องรู้ก่อนทำสีผมทุกครั้ง

     ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม ไม่ว่าจะมาจากการสังเคราะห์ทางเคมี หรือได้มาจากสารสกัดจากธรรมชาติ  หากต้องสัมผัสต่อผิวหนัง หรือเยื่อบุโดยตรง ร่างกายของเราอาจต่อต้านก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ทั้งสิ้น แต่จะแพ้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทั้งนี้อาการแพ้ก็ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเวลา เช่น บางคนเคยใช้น้ำยาชนิดนี้เป็นประจำ แต่อยู่ๆ เกิดแพ้ขึ้นมา หรือเคยใช้น้ำยานานแล้วแต่อยู่ดีๆ ก็แพ้ขึ้นมา  สรุปแล้วอาการแพ้ไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้  ดังนั้นก่อนใช้น้ำยาเปลี่ยนสีผม โดยเฉพาะยาย้อมผมชนิดกึ่งถาวร และชนิดถาวร  เราจึงจำเป็นต้องทดสอบอาการระคายเคืองก่อนทุกครั้งดังนี้

     • ถอดต่างหูออก และทำความสะอาดบริเวณหลังใบหู และเช็ดให้แห้ง

     • บีบสีออกซิเดชั่น และน้ำยาโกรกออกมาเล็กน้อยนำมาผสมกัน  และใช้สำลีพันปลายไม้จุ่มน้ำยาที่ได้ทาบริเวณหลังใบหูประมาณ 1 ตารา'เซนติเมตร  ทิ้งไว้ 48 ชั่วโมง โดยไม่ต้องล้างออกหรือใช้ผ้าปิดทับ

     • ถ้าเกิดรอยแดง รอยไหม้ คัน พุพองหรือบวมในบริเวณสีที่ทาทิ้งไว้ แสดงว่าแพ้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมนั้นๆ  ไม่ควรใช้อีกต่อไป

     • ห้ามใช้น้ำยาเปลี่ยนสีผม เปลี่ยนสีขนคิ้ว ขนตา เพราะอาจทำให้ตาบอดได้

     • เด็ก และสตรีมีครรภ์ไม่ควรใช้น้ำยาย้อมผม

ขั้นตอนต่อไปหลังจากการทดสอบการแพ้ หรือระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมคือ การเตรียมความพร้อมก่อนใช้  ได้แก่

     • ไม่เกา หรือแกะหนังศีรษะจนเป็นแผล หรือรอยถลอกก่อนทำสีผม  รอจนกว่าสภาพหนังศีรษะจะเป็นปกติจึงค่อยเปลี่ยนสีผม

     • สระผมก่อนทำสีผม เพื่อขจัดความสกปรกบนหนังศีรษะ หรือน้ำมันบนเส้นผม เพื่อให้แน่ใจว่าสีผมจะซึมถึงเส้นผมอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ไดร์เป่าผมด้วยลมเย็นจนแห้งหมาดๆ  แบ่งผมออกเป็นช่อๆ
 
     • สวมถุงมือทุกครั้ง เพื่อป้องกันน้ำยาสัมผัสถูกผิวหนังโดยตรง
 
     • บีบสีออกซิเดชั่นผสมกับน้ำยาโกรก  เขย่าแรงๆ จนสีเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน  และตั้งทิ้งไว้ 3 นาที  หรือจะเทส่วนผสมทั้งหมดลงชามผสมสี และใช้แปรงทาคนผสมให้เข้ากันก็ได้

     • จับผมที่แบ่งไว้เป็นช่อๆ  ดึงขึ้นด้านบน  แล้วทาน้ำยาเปลี่ยนสีผมจากโคนผมถึงปลายผม ในทิศทางออกนอกตัว  ห้ามขยี้ หรือถูน้ำยาบนหนั'ศีรษะแรงๆ  และเว้นการทาน้ำยาห่างจากหนังศีรษะประมาณ 1 นิ้ว  จนกระทั่งครบทั้งศีรษะ  สุดท้ายค่อยหันกลับมาทาน้ำยาเปลี่ยนสีผมบริเวณโคนที่เว้นไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที  หรือตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์นั้นๆ
 
     • ใช้ก้อนสำลีชุบน้ำอุ่น เช็ดทำความสะอาดน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่เลอะบนผิวหนังออกให้หมด

     • ล้างผมด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด โดยใช้มือนวดศีรษะเบาๆ สระผมให้สะอาดด้วยแชมพูทั่วไป หรือน้ำยาปรับสภาพเส้นที่บรรจุมาในกล่องผลิตภัณฑ์ประมาณ 2 ครั้ง เช็ดผมให้แห้ง และไดร์ตามปกติ


ป้องกันตนเองจากการใช้ยาย้อมผมอันตราย

     การซื้อสินค้าทุกชนิดเพื่อความปลอดภัยต่อตัวเอง นอกจากจะอ่านวิธีใช้อย่างละเอียดแล้ว ก็ควรตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีส่วนประกอบอะไรบ้าง  มีชื่อผู้ผลิตหรือไม่  และที่สำคัญมีมาตรฐานหรือผ่านการควบคุมและตรวจสอบโดยหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบหรือไม่  มิฉะนั้นแล้วเมื่อเกิดอาการแพ้หรือปัญหาทางสุขภาพใดๆ  ก็ยากต่อการฟ้องร้องหรือหาผู้รับผิดชอบมาลงโทษเอาผิดได้
 
     สำหรับน้ำยาเปลี่ยนสีผม ก็ใช้หลักการพิจารณาเดียวกัน  โดยเฉพาะก่อนซื้อควรสังเกตเครื่องหมาย อย. จากคณะกรรมการอาหารและยาเพื่อให้แน่ใจว่า ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการตรวจสอบ และรับรองความปลอดภัยอย่างถูกต้อง  และเพื่อเพิ่มความมั่นใจทางคณะกรรมการอาหารและยาได้ประกาศเตือนเกี่ยวกับน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่ปลอดภัย ต้องไม่มีส่วนผสมของสารเคมีเหล่านี้

     • 4 methoxy-m-phenylenediamine หรือ 4-MMPD
     • 4-chloro-m- phenylenediamine
     • 2,4 toloene diamine
     • 2-nitro-p- phenylenediamine
     • 4-amino-2-nitrophenol

      ที่ผ่านมามีงานวิจัย และการศึกษาในห้องทดลองกับหนู ปรากฎว่าเมื่อให้สารนี้ หนูมีอาการระคายเคืองบนผิวหนัง และเป็นมะเร็ง ซึ่งแม้ว่าจะมีผลในระดับหนูทดลอง แต่การหลีกเลี่ยงสารพวกนี้ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

      ดังนั้นครั้งต่อไปเมื่อคุณหยิบน้ำยาเปลี่ยนสีผม อย่าลืมเรื่องสำคัญเหล่านี้ด้วยนะคะ นอกจากผมจะสวยแล้ว สุขภาพยังดีอีกด้วย

เรื่องน่ารู้สำหรับการใช้น้ำยาย้อมผม

     • สำหรับคนที่พื้นผมเป็นสีขาว  หลังการย้อมผม อาจไม่มีปัญหาสีผมผิดเพี้ยนจากสีตัวอย่างบนกล่อง  แต่สำหรับคนที่มีผมเข้มตามธรรมชาติ เช่น ผมสีดำ หรือสีน้ำตาลเข้ม  ให้เลือกเฉดสีที่อ่อนกว่าสีที่ต้องการประมาณ 1-2 เบอร์ เพื่อสีผมที่เด่นชัดสวย

     • ไม่ควรเก็บน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่ผสมเสร็จแล้ว เพื่อใช้ในครั้งต่อไป  อย่าเสียดายเก็บไว้ เพราะภาชนะบรรจุอาจระเบิดหรือแตกได้

     • หลังการทำสีผม หลีกเลี่ยงการดัดหรือย้อมซ้ำ เพราะจะทำให้สภาพเส้นผมถูกทำลายมาก ทางที่ดีควรเว้นระยะห่างประมาณ 2-3 อาทิตย์




แนะทำสีผมให้ปลอดภัย ต้องมีความรู้

จาก ข่าวสดออนไลน์

http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:du7p6CxYLmkJ:women.kapook.com/view1760.html+%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A1+%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th&source=www.google.co.th


       รศ.น.พ.ปิติ พลังวชิรา ผอ.ศูนย์ผิวหนัง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ( มศว.) เปิดเผยว่า วัยรุ่นปัจจุบันนี้นิยมทำไฮไลต์ การทำไฮไลต์เป็นการทำให้สีผมจางลง อ่อนลง หรือเปลี่ยนสีผมเป็นสีต่างๆ ตามแฟชั่น  คนที่ทำไฮไลต์จะผ่านการฟอกสี ซึ่งมีผลทำให้สีผมจางลง  นอกจากนั้นยังมีผลต่อเคอราตินของเส้นผม และไปเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติอื่นของเส้นผม เช่น ทำให้เส้นผมแห้ง หยาบ เปราะ ยุ่งง่าย ผมมีรูมาก ทำให้ผมดูดน้ำได้มาก ผมแห้งช้า อ่อนแอและขาดง่าย

        สารฟอกสีผมมีอยู่มากมาย ได้แก่ กลุ่มไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ต้องใช้ร่วมกับสารตัวอื่น เช่นแอมโมเนีย เพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นด่างก่อนทำให้ฟอกสีผมได้เร็วขึ้น เพราะถ้าใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์อย่างเดียวจะฟอกสีได้ค่อนข้างช้า

        กลุ่มเปอร์ซัลเฟต อยู่ในรูปเกลือโซเดียม โพแทสเซียม และแอมโมเนีย แต่ก็ไม่เป็นที่นิยม เพราะว่ากลุ่มนี้อาจมีการระคายเคืองได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสารโซเดียมเปอร์คาร์บอเนต เปอร์บอเรต แมกนีเซียมไดออกไซด์ หรือแบเรียมไดออกไซด์

        ขั้นตอนการฟอกสีต้องอาศัยปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เพื่อจะทำให้เมลานินมีการเปลี่ยนแปลง เกิดเป็นสารใหม่ซึ่งละลายได้ดีในด่างและเมลานิน ซึ่งเป็นตัวกำหนดให้ผมมีสีดำเหล่านั้นจะถูกกำจัดออกโดยการชำระล้าง ทำให้ผมมีสีจางลง

        ในปัจจุบันสารฟอกสีอยู่ในรูปสารละลาย ครีม แชมพู แต่ที่ใช้กันมากที่สุดคือฟอกโดยใช้ส่วนผสมระหว่างโฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และแอมโมเนีย บางรายต้องการให้เส้นผมมีสีจางมากๆ อาจจะใช้สารพวกเปอร์ซัลเฟตร่วม การฟอกสีผมต้องใช้เทคนิคเข้าช่วยด้วยการไม่ควรสระผมก่อน เพราะไขมันบนหนังศีรษะจะถูกชำระล้างไป ทำให้ไม่มีสารไขมันปกป้องผิว จะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย เวลาฟอกสีผมควรฟอกบริเวณปลายผมก่อน แล้วจึงฟอกบริเวณโคนผม เพราะโคนผมจะถูกฟอกสีได้ง่ายกว่า เนื่องจากความร้อนบริเวณหนังศีรษะจะทำให้โคนผมตอบสนองต่อน้ำยาเปลี่ยนสีได้มากกว่าส่วนอื่น

        หลังฟอกสีผมจะต้องสระผม และเลือกใช้ยาสระผมที่มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งมักจะมีฟองน้อย และการชำระล้างไม่ดีเท่ายาสระผมธรรมดา เพราะไม่ต้องการทำความสะอาดมากเกินไป ดังนั้นควรสระเพียงเบาๆ ก็เพียงพอ หลังจากนั้นให้ล้างน้ำออกสัก 1 ครั้ง

        หลังจากฟอกสีผมแล้ว สามารถแต่งสีผมได้ตามแฟชั่นนิยม ซึ่งเรียกว่าการทำไฮไลต์ อาจมีสีเขียว น้ำตาล แดง ม่วง น้ำเงิน สีทอง สีบรอนซ์ พบว่ามีขายทั่วไปในรูปของเจลสี และหลังจากทำไฮไลต์แล้ว สีเหล่านี้จะเคลือบติดผมอยู่นาน เวลาสระผมด้วยแชมพูสีเหล่านี้สามารถคงอยู่ได้นาน โดยสามารถสระผมได้ประมาณ 20 ครั้งสีจะค่อยๆ จางลง การทำไฮไลต์ในลักษณะนี้ราคาแพง

        สำหรับกลุ่มที่ทำไฮไลต์โดยการฉีดสเปรย์ หรือใช้มาสคาร่า  อาจไม่ต้องฟอกสีโดยใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และแอมโมเนียก่อน สามารถใช้สเปรย์และมาสคาร่าได้เลย  แต่ด้วยวิธีนี้สีผมใหม่จะไม่คงทนถาวร  สระครั้งเดียวสีจะหลุดออกจากเส้นผม

        หากต้องการย้อมผมโดยใช้สีแบบถาวร ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของครีม สีประเภทนี้จะคงทนถาวรต่อการสระผม การแปรงผม การหวีผม และทนต่อแสง หากเลือกวิธีนี้สามารถย้อมผมได้เลย เนื่องจากครีมที่ใช้มักมีสารพวกไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และสีผสมกันอยู่แล้ว พวกนี้มีหลายสีให้เลือก

        ข้อควรระวังเมื่อเกิดการแพ้สารฟอกสี ควรจะทดสอบก่อน ถ้าพบว่ามีอาการระคายเคืองควรเลือกใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่เข้มข้นน้อยลงและลดระยะเวลาลง  นอกเหนือจากอาการแพ้ระคายเคืองแล้ว ไม่ควรย้อมผมหรือฟอกสีผมขณะที่หนังศีรษะ ใบหน้า คอมีแผล รอยถลอก หรือมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง และถ้าจะทำเอง อย่าให้ครีมย้อมผมเข้าตา
      บันทึกการเข้า
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #141 เมื่อ: 09 เมษายน 2554, 19:57:06 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 06 พฤศจิกายน 2553, 23:56:12
A simple message to all of us

Who are they ? ----- They are Doctors



Who is he ?  ------ He is an Actor



Who are these people ? They are farmers .....



Fine ... Very Good. What about these guys ? Who are they ? Guess ! ! ! !
 
!
!
!
!
!



Any Guess ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! !
 
!
!
!
 
Yeah...

They are SOFTWARE ENGINEERS, BANKERS , CONSULTANTS, OFFICE EXECUTIVES, PRESIDENTS, VICE PRESIDENTS, GENERAL MANAGERS WHO WORK FOR 15 HOURS A DAY, SITTING AT ONE PLACE …

Don't laugh. Be Aware. It is a global issue now. So, take care of yourself and your FAT.

To get to a good shape...try to adhere to the following 25 tips





พี่เจี๊ยบสวัสดีค่ะ (ใหม่ขอรายงานตัวค่ะ)

ตรงจุดจริงๆ  ปวดคอ บ่าไหล่ทุกวัน
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #142 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 12:41:42 »


สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ น้องใหม่ และสมาชิกชาวเวป cmadong.com ทุกท่าน

      บันทึกการเข้า
nosesurg
Newbie
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1

เว็บไซต์
« ตอบ #143 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 19:10:43 »

มีประโยชน์ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ :) Grin
      บันทึกการเข้า

Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #144 เมื่อ: 26 เมษายน 2554, 12:34:18 »


ใบแปะก๊วย เสริมความจำ บำรุงสมอง จริงหรือ ?

เสรษฐวิทย์ -นิเทศ 16 ... ส่งมา

ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มีต้นแปะก๊วยเต็มไปหมด ทั้งริมถนน ในสวน ข้างตึก  เมื่อไปถึง เดือนตุลาคม กำลังเป็นสีทองอร่ามทั้งต้น  แล้วใบก็ร่วง  ผลร่วงลงมาให้เก็บโดยเสรี  บางรายเอากระสอบมาใส่

เมื่อร่วงหมดต้นแล้ว ก็เหลือแต่กิ่งก้านอย่างนั้นสี่เดือนกว่า  แล้วจึงได้เห็นรังนกอยู่ตามง่ามไม้สูงๆ  นกที่ว่าเป็นนกตระกูลกา มีชื่อจีนว่า สีชั่ว  แต่สีเขาสวยกว่ากามาก  หัวดำ สีดำคลุมมาถึงคอและหลัง  ส่วนต่อจากนั้นถึงปลายปีกต่อด้วยสีน้ำเงินแวววาว  ข้างสะโพกสีขาว  เวลาบินมองจากด้านล่าง ปีกเขาหมุนเห็นสีขาวเป็นวง  เป็นนกกลุ่มใหญ่ของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง

มองจากชั้น ๕ ของที่พัก เมื่อขึ้นไปซักผ้า  ระหว่างรอก็ชมยอดไม้ไปพลางๆ  เห็นรังใหญ่สองรัง เป็นรังร้าง ๑ อีกรังต่อเติมใหม่  นกสองตัวผัวเมียกำลังเลี้ยงลูก  บินขึ้นบินลงวันละหลายรอบ  ขณะนี้ฤดูใบไม้ผลิ  แปะก๊วยออกใบเล็กๆ เท่าปลายก้อย  เห็นเป็นช่อเล็ก ๆ เกาะเป็นราวตามกิ่ง น่าเอ็นดูมาก  ต้นไม้ที่นี่คงกินน้ำค้าง หรือเทวดาเลี้ยง หรือมีน้ำใต้ดินสนับสนุน  เพราะห้าเดือนนี้ ฝนตก ๒ ครั้งพอเห็นพื้นเปียก  หิมะตกสามวัน

เมื่อฤดูใบไม้ร่วง ไปตลาด เห็นเขาขายแบบต้มแล้วใส่ถุงสุญญากาศ ราคาถูกกว่าไทยครึ่งหนึ่ง  ตอนนี้ไม่เห็นแล้วในตลาดจีน  แต่ที่เยาวราชไม่เคยหมด  เพราะคนไทยกินมากที่สุด  คนจีนทางเหนือไม่มีเต้าทึง ไม่มีเต้าฮวย และไม่มีแปะก๊วยร้อน-เย็น  ใครกินก็นึกถึงน้าแล้วกัน  ขออร่อยทางไกลด้วยคน

ใบแปะก๊วย เสริมความจำ บำรุงสมอง จริงหรือ ?
 


ใบแปะก๊วย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

        อีกหนึ่งสมุนไพรที่คนกำลังกล่าวถึงกันมากในขณะนี้ก็คือ " ใบแปะก๊วย " ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่มีต้นกำเนิดจากทางตะวันออกของประเทศจีน และเชื่อกันว่ามีสรรพคุณบำรุงสมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ เรื่องนี้จะจริงหรือไม่  วันนี้กระปุกดอทคอม จะพาคนรักสุขภาพ ไปไขข้อข้องใจกันค่ะ

       สำหรับ " แปะก๊วย " ( Ginkgo biloba : กิงโกะ บิโลบา ) จะเรียกว่าเป็นพืชโบราณก็ว่าได้ เพราะถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 270 ล้านปีก่อน ในสมัยเดียวกับไดโนเสาร์  โดยคำภาษาจีน ออกเสียงว่า " หยินซิ่ง " ซึ่งแปลว่า ลูกไม้สีเงิน ต่อมาได้มีผู้นำ " แปะก๊วย " เข้าไปปลูกในประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า " อิโจว " หรือ " คินนัน " ซึ่งมีความหมายไม่แตกต่างกับประเทศจีน

       ทั้งนี้เมื่อพูดถึง " แปะก๊วย " คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักเม็ดสีเหลือง ๆ ที่ใช้เป็นส่วนผสมของขนมหวานหลาย ๆ ชนิด  ไม่ว่าจะเป็นบะจ่าง แปะก๊วยนมสด แปะก๊วยต้มน้ำตาล ฯลฯ  มากกว่า " ใบแปะก๊วย " ซึ่งมีหลายคนบอกว่าจริง ๆ แล้วใบแปะก๊วยนี่แหละที่มีประโยชน์มากกว่าผลแปะก๊วยเสียอีก


ว่าแล้วเรามารู้จัก "ใบแปะก๊วย" กันเลยดีกว่า

       " ใบแปะก๊วย " มีลักษณะเป็นใบสีเขียวแยกเป็น 2 กลีบ คล้ายใบพัด มีลักษณะพิเศษคือจะผลัดใบไม่พร้อมกันทุกต้น แต่เมื่อผลัดใบแล้ว ใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แล้วร่วงจากต้นภายในไม่กี่วัน  ถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1436 หรือเมื่อประมาณเกือบ 600 ปีที่แล้ว ในสมัยราชวงศ์หมิง ประเทศจีน  ปัจจุบัน ใบแปะก๊วย เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ทั้งในเอเชีย ยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา เพราะเชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ

       ทั้งนี้หากนำใบแปะก๊วยไปสกัดด้วยตัวทำละลาย จะได้สารสกัดไบโอฟลาโวนอยด์ ( Bioflavonoids ) มีฤทธิ์้ต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ และยังมีสรรพคุณช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานขึ้นตา ป้องกันการเกิดแผลเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวาน

       ส่วนผู้ป่วยโรคหอบหืด หากรับประทาน " ใบแปะก๊วย " ก็สามารถป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อหลอดลมได้ หรือใครที่มีอาการปวดขา การทาน " ใบแปะก๊วย " ก็ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังประสาทมือและเท้า ลดอาการปวดต่างๆ ได้เช่นกัน

       นอกจากนี้ ในปี ค.ศ.1996  มีการทดลองพบว่า " ใบแปะก๊วย " สามารถช่วยป้องกันอาการผิดปกติของการหายใจขณะขึ้นสู่ที่สูง ( Asthma & Acute Mountain Sickness : AMS ) ได้ รวมทั้งกำลังมีการศึกษาว่า " ใบแปะก๊วย " อาจมีสรรพคุณลดภาวะอาการหูอื้อลงได้ด้วย


       ขณะที่การโฆษณาสรรพคุณของใบแปะก๊วยส่วนใหญ่ จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของประสิทธิภาพในการเพิ่มความจำ และบำรุงสมอง หลังจากเคยมีการวิจัยทางคลินิกบางแห่งพบว่า การสกัดใบแปะก๊วยนอกจากจะได้สารไบโอฟลาโวนอยด์แล้ว ยังจะได้สารไบโลบาไลด์ ( Bilobalides ) และกิงโกไลด์ ( Ginkgolides ) ซึ่งเชื่อกันว่า มีผลต่อความจำ และบำบัดอาการสมองเสื่อม  เพราะสารทั้งสองตัวนี้จะไปเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตที่สมอง ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น จึงช่วยเรื่องความจำได้ดี โดยเฉพาะในผู้สูงอายุอาจจะสามารถป้องกันโรคความจำเสื่อม สมองฝ่อ อาการขี้หลงขี้ลืม วิงเวียนหน้ามืด โรคซึมเศร้าได้ด้วย

       อย่างไรก็ตาม การวิจัยทางคลินิกหลายแห่งก็ยังไม่ได้สนับสนุนถึงสรรพคุณด้านนี้อย่างแน่ชัด โดยมีงานวิจัยบางแห่งกลับเห็นตรงกันข้ามว่า " ใบแปะก๊วย " อาจไม่มีความสามารถในการป้องกันอาการอัลไซเมอร์ หรือเพิ่มประสิทธิภาพความจำได้  ขณะที่งานวิจัยที่ระบุว่า " ใบแปะก๊วย " ให้ผลดีต่อสมอง ก็ยังมีข้อมูลไม่มากนัก  ฉะนั้นแล้ว จึงยังไม่มีสถาบันใดออกมายืนยันชัดเจนถึงสรรพคุณข้อนี้ของ " ใบแปะก๊วย "  จึงคงต้องรอการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมให้ได้ข้อมูลมากกว่านี้ต่อไป

       แต่ถึงแม้สรรพคุณของ " ใบแปะก๊วย " ในด้านการบำรุงสมองจะยังไม่แน่ชัด แต่เราก็เห็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมใบแปะก๊วย ใบแปะก๊วยแคปซูล วางขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาดในหลากหลายรูปแบบ  ซึ่งในทวีปยุโรปเอง โดยเฉพาะในประเทศเยอรมัน การจะรับประทาน " ใบแปะก๊วย " ต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น

       เช่นเดียวกับที่ประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ระบุข้อกำหนดในการใช้สารสกัดจากใบแปะก๊วย ไว้ด้วยดังนี้

       1. ในการใช้สารสกัดแปะก๊วยเป็นยาแผนปัจจุบัน จะต้องมีข้อบ่งใช้สำหรับผู้ที่เป็นโรคเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ รวมทั้งโรคของหลอดเลือดในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน และการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนังผิดปกติ โดยให้รับประทาน 40 มิลลิกรัม วันละ 3-4 เม็ด

       ทั้งนี้ สารสกัดจากใบแปะก๊วยจัดเป็นยาอันตราย ต้องขายเฉพาะในร้านขายยาแผนปัจจุบัน และไม่ให้มีโฆษณาสรรพคุณต่อสาธารณะ

       2. ในการใช้สารสกัดแปะก๊วยเป็นยาแผนโบราณ ให้ขึ้นทะเบียนในลักษณะผสมกับสมุนไพรตัวอื่นๆ ว่ามีสรรพคุณบำรุงร่างกาย และอนุญาตสรรพคุณของตำรับเป็นยาบำรุงร่างกาย

       3. ในการใช้สารสกัดแปะก๊วย เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จะต้องได้รับใบสำคัญการใช้ฉลากอาหาร โดยอนุญาตเฉพาะที่มีขนาดรับประทานไม่เกินวันละ 120 มิลลิกรัม และจะต้องไม่ระบุสรรพคุณใดๆ ในการบำบัดรักษาโรคเลย


อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อแนะนำไม่ให้ใช้ " ใบแปะก๊วย " กับคน 3 กลุ่ม คือ

       1. ผู้ที่ใช้สารป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ( Anti-coaggulant ) เช่น ยา Warfarin , แอสไพริน , อิบูโพรเฟน และผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากใบแปะก๊วย มีผลทำให้เกิดเลือดออกตามร่างกายได้

       2. ผู้ป่วยที่ความดันสูง หรือความดันต่ำกว่าปกติ หรือใช้ยาอยู่  เพราะใบแปะก๊วยจะไปทำให้หลอดเลือดขยาย และลดความดันลง ซึ่งจะยิ่งทำให้ความดันต่ำลงมากเกินไปได้

       3. สตรีมีครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

       นอกจากนี้ ในบางคนหากทานใบแปะก๊วยมากเกินไป อาจได้รับผลข้างเคียง เช่น มีอาการปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน กระสับกระส่าย ปั่นป่วนในระบบทางเดินอาหาร ระบบหายใจผิดปกติและหลอดเลือดผิดปกติ ผิวหนังมีอาการแพ้ เป็นต้น ซึ่งหากใครมีอาการลักษณะที่กล่าวมา ควรหยุดทานทันที

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

- คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- กรมอนามัย
- thaifooddb.com
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #145 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2554, 03:22:36 »


๖ คำถามน่ารู้ โรคไขมันสะสมในตับ

จาก  http://doctor.or.th/node/11403



ภาวะอ้วนลงพุงของคนเราที่เกิดจาก “ พฤติกรรมสุขภาพ ” พบมากขึ้นในสังคมไทย  ส่งผลให้เกิดปัญหาโรคแทรกซ้อนตามมาอีกหลายโรคที่สัมพันธ์กับภาวะอ้วนลงพุง  นั่นคือโรคไขมันสะสมในตับ  มาทำความรู้จักที่มาของปัญหาไขมันสะสมในตับ การป้องกัน และการแก้ไข ผ่าน ๖ คำถามน่ารู้

๑. โรคไขมันสะสมในตับพบได้บ่อยแค่ไหน และลักษณะการดำเนินโรคเป็นไปอย่างไร ?

      โรคไขมันสะสมในตับจัดเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจากข้อมูลที่มีการศึกษาพบว่า มีความชุกของโรคไขมันสะสมในตับ สูงถึงร้อยละ ๙-๔๐ และมีความสัมพันธ์กับความชุกของโรคอ้วน  ส่วนความชุกของโรค ไขมันสะสมในตับที่มีการอักเสบร่วมด้วยนั้นพบร้อยละ ๖-๑๓ ของประชากรทั่วไป


 
      ในการศึกษาที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่ามีผู้ป่วยโรคไขมันสะสมในตับสูงถึงร้อยละ ๗๒ ในกลุ่มผู้ป่วยตับอักเสบที่ไม่พบสาเหตุจากไวรัสตับอักเสบบี ซี และแอลกอฮอล์  ส่วนที่เหลือร้อยละ ๒๘ เป็นกลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุ
  
      โรคนี้พบได้บ่อยขึ้นในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น คนอ้วน จะพบปัญหาโรคไขมันสะสมในตับหรือ Non-alcoholic fatty liver disease ( NAFLD ) หรือ Non-alcoholic-steatohepatitis ( NASH)  ได้ ถึงร้อยละ ๓๗-๙๐ ส่วนในคนที่เป็นเบาหวานพบถึงร้อยละ ๗๒
 
      สรุปง่ายๆ ก็คือ ถ้ามีโรคเบาหวานหรือโรคอ้วนอยู่ จะมีโอกาสพบโรคไขมันสะสมในตับได้มากถึง ๗ ใน ๑๐ ราย

      ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ แต่มาพบแพทย์ด้วยเรื่องที่มีค่าการทำงานของตับผิดปกติจากการตรวจสุขภาพ โดยมีค่าที่สูงขึ้นประมาณ ๑.๕ เท่า และตรวจหาสาเหตุอื่นๆ แล้วไม่พบ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือไวรัสตับอักเสบชนิดซี

      โรคนี้มักมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง โดยส่วนใหญ่มักใช้เวลานานเป็น ๑๐ ปีจึงจะเห็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ ภาวะตับแข็ง และการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดได้มากขึ้น

      อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และเกิดได้ตั้งแต่วัยทำงาน จึงเป็นปัญหาสำคัญในระยะยาว

๒. จะรู้ได้อย่างไรว่าอาจเป็นโรคไขมันสะสมในตับ ?

      เราสามารถตรวจตนเองเบื้องต้นได้ดังนี้

      ส่วนที่ ๑ คือ การประเมินสภาพร่างกายตนเองว่ามีโรคอ้วนหรือไม่

วิธีคำนวณ

      โดยใช้ค่าดัชนีมวลกาย ( Body mass index: BMI ) ที่คำนวณจาก ค่าน้ำหนัก ( กิโลกรัม ) หารด้วยความสูงยกกำลังสอง ( เมตร๒ ) หรือเขียนสั้นๆ ว่า  ดัชนีมวลกาย = น้ำหนัก ( กิโลกรัม)  หาร ( ความสูง x ความสูง )   ผลที่ได้จะออกมาเป็น กิโลกรัมต่อตารางเมตร
      ยกตัวอย่างเช่น
      ชายน้ำหนัก ๘๐ กิโลกรัม ความสูง ๑.๖๘ เมตร
      ดัชนีมวลกาย  = ๘๐ หาร ( ๑.๖๘ x ๑.๖๘ ) = ๒๘.๓๔ กิโลกรัมต่อตารางเมตร
      เกณฑ์วินิจฉัยสำหรับคนเอเชีย ให้ค่าที่เกิน ๒๘ กก./ตร.ม. ( กิโลกรัมต่อตารางเมตร ) เป็นภาวะอ้วน ดังนั้น กรณีตัวอย่างชายผู้นี้จึงถือว่ามีโรคอ้วน

ส่วนที่ ๒ ตรวจสอบข้อมูลโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับภาวะไขมันเกาะตับ  ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน ว่าได้รับการรักษาและควบคุมได้ดีหรือไม่
 
      นอกจากนี้ การพบโรคร่วมดังกล่าวซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของภาวะอ้วนลงพุง ( metabolic syndrome ) จะมีโอกาสเกิดภาวะตับอักเสบ และมีพังผืดในตับได้มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะอ้วนลงพุง
 
      ส่วนองค์ประกอบของภาวะอ้วนลงพุงนั้น กำหนดเกณฑ์วินิจฉัยไว้ดังนี้ คือ
 
      ก. องค์ประกอบแรกต้องมีโรคอ้วนที่วินิจฉัยโดยใช้เกณฑ์ของคนเอเชียคือ

      ผู้ชายมีเส้นรอบเอวอย่างน้อย ๙๐ ซม. ( ๓๖ นิ้ว )
      ผู้หญิงมีเส้นรอบเอวอย่างน้อย ๘๐ ซม ( ๓๒ นิ้ว )

      ข. ร่วมกับเกณฑ์ ๒ ข้อจาก ๔ ข้อต่อไปนี้

           ๑. ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง เกินกว่า ๑๕๐ มก./ดล.

           ๒. ระดับไขมันคอเลสเตอรอลตัวดี ( HDL–cholesterol ) โดย
                - ผู้ชายต่ำกว่า ๔๐ มก./ดล.
                - ผู้หญิงต่ำกว่า ๕๐ มก./ดล.

           ๓. มีความดันเลือดสูง ตั้งแต่ ๑๓๐/๘๕ มม.ปรอท ขึ้นไป หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันเลือดสูงที่กำลังรับยารักษาอยู่

          ๔. ระดับน้ำตาลตอนเช้า ( อดอาหาร ) สูงตั้งแต่ ๑๐๐ มก./ดล. หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน

๓. เมื่อทราบว่าเป็นโรคไขมันสะสมในตับแล้ว จะดูแลสุขภาพอย่างไร ?

       แพทย์จะมีหลักในการดูแลรักษา ๒ ส่วนคือวิธีรักษาที่ไม่ต้องใช้ยา และการใช้ยา
  
       วิธีการรักษาที่ไม่ต้องใช้ยานั้นผู้ป่วยต้องดูแลตนเองให้มาก

       สำหรับการใช้ยา ปัจจุบันมียาที่อาจพิจารณาใช้ได้อยู่ไม่กี่ชนิด และผลการวิจัยก็พบว่ายาเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบของตับได้ แต่ไม่สามารถลดภาวะพังผืดในตับได้ ส่วนควรใช้ยาตัวใด และควรเริ่มยาเมื่อไรนั้นต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์

๔. การดูแลรักษาสุขภาพเบื้องต้นด้วยตนเอง

       สิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยโรคไขมันเกาะตับต้องลงมือปฏิบัติและต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันบางส่วนจึงจะได้ผลในการรักษา โดยมีรายละเอียดดังนี้

       ๑. งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด  หรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลงจนเลิกดื่ม

       ๒.  หลีกเลี่ยงการใช้ยา อาหารเสริมหรือสมุนไพรที่ไม่จำเป็น  เพราะนอกจากมีโอกาสทำให้ตับอักเสบแล้ว ยังอาจทำให้มีไขมันสะสมในตับเพิ่มขึ้นได้ เช่นกลุ่มอาหารเสริม สมุนไพรที่พบว่าทำให้ตับอักเสบได้ เช่น ขี้เหล็ก มะรุม เป็นต้น

       ๓. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  โดยพบว่ามีผลต่อการลดภาวะอักเสบของตับได้อย่างชัดเจน ซึ่งยืนยันได้จากทั้งผลตรวจเลือดค่าทำงานตับหรือผลการเจาะตับ
 
       หากทำได้อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าน้ำหนักจะไม่ลดลงในช่วงแรกก็ตาม โดยทั่วไปพบว่ามีผู้ป่วยเพียง ๑ ใน ๓ ที่จะออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอและลดน้ำหนักได้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงภาวะดื้อต่ออินซูลินที่มีอยู่เดิมให้ลดลงซึ่งช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้น ส่วนหลักการลดน้ำหนักควรวางเป้าหมายไว้ที่ ๑ กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ( ไม่ควรเกิน ๑.๖ กิโลกรัมต่อสัปดาห์ )
 
       กิจกรรมหรือชนิดของการออกกำลังกายที่แนะนำสรุปไว้ในตารางที่ ๑ คือเป็นการออกกำลังกายในระดับปานกลาง ( moderate intensity physical activity ) โดยควรตั้งเป้าหมายให้ทำกิจกรรมดังกล่าวได้นาน ๒๐๐ นาทีต่อสัปดาห์ ระยะเวลา ๖ เดือน ( ประมาณ ครึ่งชั่วโมงต่อวัน )
 
       ส่วนวิธีประเมินผลว่าเป็นการออกกำลังกายในระดับ moderate intensity physical activity หรือไม่ให้ใช้อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งคำนวณจาก...
       ค่า ( ๒๒๐ ลบ อายุ ) คูณ ( ร้อยละ ๕๐-๗๐ )
       ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยอายุ ๔๐ ปี เมื่อออกกำลังกายในระดับปานกลางแล้วควรมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่
        ( ๒๒๐-๔๐ ) x ๐.๕ ( ร้อยละ ๕๐ )    = ๙๐
       ถึง ( ๒๒๐-๔๐ ) x ๐.๗ ( ร้อยละ ๕๐ )    = ๑๒๖
       หรือมีค่าระหว่าง ๙๐-๑๒๖ ครั้ง/นาที
       (http://www.cdc.gov/physicalactivity/everyone/measuring/heartrate.html)

ตารางที่ ๑ หรือชนิดของการออกกำลังกายที่แนะนำ

กิจกรรมที่ทำนานครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ เผาผลาญแคลอรี : กิโลแคลอรี ( Kcal )/ ครั้ง/ น้ำหนัก ๖๕-๗๐ กิโลกรัม
 
การออกกำลังกายในระดับปานกลาง หรือ moderate intensity aerobic exercise
    
- การเดินเร่งอย่างต่อเนื่องหรือเทียบเท่าจำนวนก้าวอย่างน้อย ๑๐,๐๐๐ ก้าว (ความเร็วประมาณ ๕ กม./ชม.)    ๕ ครั้ง    ๑๓๐-๑๗๐
- การเต้นแอโรบิก ๕ ครั้ง ๑๗๕
- การขี่จักรยานด้วยความเร็วไม่เกิน ๘.๕-๙ กม./ชม.* ๕ ครั้ง    ๑๒๐
 
การออกกำลังกายในระดับสูงหรือ high intensity aerobic exercise
        
- การวิ่งด้วยความเร็วประมาณ ๙-๑๒ กม./ชม. ๓ ครั้ง ๓๓๐-๓๕๐
- การขี่จักรยานด้วยความเร็ว ๑๗-๒๒ กม./ชม.* ๓ ครั้ง    ๒๑๐-๓๓๐
- การเดินเร่งอย่างต่อเนื่องความเร็ว ๘.๕ กม./ชม. ๓ ครั้ง ๒๘๐
- การว่ายน้ำต่อเนื่อง ๕ ครั้ง ๒๗๐
- กระโดดเชือก ๓ ครั้ง ๓๓๐

* มักต้องใช้ระยะเวลานานกว่าการเดินเร่งหรือวิ่ง เพราะเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ลงน้ำหนัก ( Non-Weight-Bearing )

อ้างอิง http://www.cdc.gov/physicalactivity/everyone/guidelines/adults.html
http://www.exercise4weightloss.com/fat-burning-exercises-aerobic.html
http://www.holisticonline.com/remedies/weight/weight_calories-burned-by-...

สำหรับการออกกำลังกายในระดับสูง ( high intensity physical activity ) จะช่วยเผาผลาญไขมันคิดเป็นพลังงานได้ประมาณ ๒ เท่า ของการออกกำลังกายในระดับปานกลาง

      ๔. การควบคุมอาหารและแคลอรี โดยมีหลักการดังนี้

    เลือกกินอาหารให้ครบ ๕ หมู่และควบคุมอาหารให้ได้พลังงานพอเพียงเท่าที่ร่างกายต้องการ  โดยทั่วไปควรได้พลังงาน ๓๐ กิโลแคลอรี  ต่อน้ำหนักตัวมาตรฐาน ๑ กก.ต่อวัน หรือ ๓๐ x น้ำหนักตัว

    ตัวอย่างเช่น คนน้ำหนัก ๖๐ กก.
    ๓๐ x ๖๐ กก. = ควรได้พลังงานประมาณ ๑,๘๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน
 
   โดยได้จากอาหาร ๓ มื้อ เฉลี่ยมื้อละ ๖๐๐ กิโลแคลอรี อาจไม่ต้องแบ่งให้เท่ากัน เพราะมื้อเช้าและกลางวัน ควรกินให้ได้พลังงานมากกว่ามื้อเย็น
    ผู้ป่วยโรคไขมันสะสมในตับจำเป็นต้องควบคุมพลังงานที่ร่างกายต้องการให้เหลือเพียง ๑,๐๐๐-๑,๒๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน ต่อน้ำหนักตัวไม่เกิน ๙๐ กิโลกรัม
 
    หากน้ำหนักตัวเกิน ๙๐ กิโลกรัม ควรปรับปริมาณพลังงานที่ควรได้ให้ไม่เกิน ๑,๕๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน ชนิดของอาหารควรเลือกให้เหมาะสมดังสรุปปริมาณแคลอรีที่ได้จากอาหารจานเดี่ยวในตารางที่ ๒

๕. เลือกกินอาหารอย่างไร ให้ควบคุมปริมาณพลังงานที่เหมาะสม ?



     ๑. เลือกอาหารว่าง และผลไม้ที่มีปริมาณการดูดซึมปริมาณน้ำตาลหรือ Glycemic index ที่ต่ำ  หลีกเลี่ยงอาหารว่าง และผลไม้ที่มีพลังงานที่สูง เช่น เครื่องดื่มที่มีนมเนยผสมปริมาณมากๆ ไอศกรีม ขนมหวานจัด ผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ที่มีค่า Glycemic index สูง

       ส่วนผลไม้ที่กินได้เพราะปริมาณการดูดซึมปริมาณน้ำตาลต่ำ ได้แก่ กล้วย มะละกอ แอปเปิ้ล เป็นต้น ดังสรุปปริมาณแคลอรีที่ได้ในตารางที่ ๓-๔

      ๒. กินอาหารที่มีปริมาณเส้นใยสูงให้ได้ปริมาณอย่างน้อย ๔๐ กรัมต่อวัน

  ตารางที่ ๒ ตัวอย่างของอาหารจานเดี่ยวที่มีปริมาณพลังงาน ( กิโลแคลอรี ) กำกับ

รายละเอียดของอาหาร ปริมาณพลังงานกิโลแคลอรี ( Kcal )
 
เส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อวัวน้ำ ๔๔๗ กรัม ๒๒๖
กระเพาะปลาปรุงสำเร็จ ๓๙๒ กรัม    ๒๓๙
ขนมจีนน้ำยา ๔๓๕ กรัม ๓๓๒
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่เย็นตาโฟน้ำ ๔๙๔ กรัม ๓๕๒
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ราดหน้าหมู ๓๕๔ กรัม ๓๙๗
ข้าวขาหมู ๒๘๙ กรัม ๔๓๘
ข้าวแกงเขียวหวานไก่ ๓๑๘ กรัม ๔๘๓
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กแห้งหมู ๒๓๕ กรัม ๕๓๐
ข้าวหมูแดง ๓๒๐ กรัม ๕๔๐
ข้าวผัดใบกะเพราไก่ ๒๙๓ กรัม ๕๕๔
ข้าวผัดหมูใส่ไข่ ๓๑๕ กรัม ๕๕๗
ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยใส่ไข่ ๒๔๔ กรัม ๕๗๗
ข้าวมันไก่ ๓๐๐ กรัม ๕๙๖
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วหมู ๓๕๐ กรัม ๖๗๙

อ้างอิง http://nutrition.anamai.moph.go.th/aging/Html/oneplate.html
           http://www.sugarstacks.com/snacks.htm


       ๓. ระลึกเสมอว่าการเผาผลาญพลังงานด้วยการออกกำลังกายต้องใช้เวลาทำอย่างสม่ำเสมอ และต้องทำควบคู่กับการควบคุมปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวันด้วย  ดังนั้น การจดบันทึกชนิดและปริมาณแคลอรีของอาหารที่กินในแต่ละวันจะเป็นประโยชน์ต่อการติดตามผลได้

      ตัวอย่างเช่น ถ้ากินข้าวมันไก่เกินที่ควรจะเป็นจำนวน ๑ จาน ( ๓๐๐ กรัม ) จะได้พลังงานเกินที่ต้องการถึง ๕๙๖ กิโลแคลอรี ซึ่งต้องออกกำลังกายในระดับสูง เช่น ด้วยการวิ่งความเร็วประมาณ ๙-๑๒ กม./ชม. นานถึง ๑ ชั่วโมงจึงจะเผาผลาญพลังงานส่วนเกินดังกล่าวได้

       รายละเอียดของพลังงานในอาหารแต่ละอย่างมีสรุปไว้ในตารางที่ ๒-๓
 
จากผลการวิจัยยืนยันว่าผู้ป่วยโรคไขมันเกาะตับที่มีภาวะอักเสบ  หากควบคุมน้ำหนักจนลดได้ร้อยละ ๗-๑๐ ในช่วง ๙-๑๒ เดือน ทั้งจากการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  จะช่วยทำให้ภาวะตับอักเสบดีขึ้น ภาวะดื้อต่ออินซูลินลดลง ค่าไขมันค่าการทำงานตับก็จะดีขึ้นด้วย
 
       ผลของการควบคุมน้ำหนักที่ลดได้มากเท่าใดก็ยิ่งเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของลักษณะพยาธิวิทยาของตับชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของภาวะพังผืดยังไม่ชัดเจนจากการติดตามผล ๑ ปี

๖. จุดมุ่งหมายของการรักษาโรคไขมันสะสมในตับมีอะไรบ้าง ?

       จุดมุ่งหมายของการรักษามีดังนี้คือ

        •    ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน
        •    ป้องกันการเกิดภาวะตับแข็งด้วยการลดการอักเสบของตับ
        •    ป้องกันการเกิดมะเร็งที่อาจพบแทรกซ้อนได้

จาก  :  นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม 384
เดือน-ปี : 04/2554
คอลัมน์ : เรื่องเด่นจากปก
นักเขียนหมอชาวบ้าน : นพ.สมบัติ ตรีประเสริฐสุข
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #146 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2554, 23:42:47 »


4 เหตุผลที่ควรกิน " ไข่ " เป็นอาหารเช้า

เศรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

ท่านอาจารย์กฤษฎี โพธิทัต นักโภชนาการตีพิมพ์เรื่อง "เมนูไข่ ...ไข่ ...ไข่ ..." ในวารสาร HealthToday ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2552  ท่านกล่าวว่า ไข่เจียว หรือไข่คน ( omlette ) เป็นอาหารประเภท ' comfort food ' หรือทำง่าย อิ่มท้อง และดีกับสุขภาพ ผู้เขียนขอนำเรื่องคุณค่าของอาหารไข่มาเล่าสู่กันฟังครับ


 
(1) ไข่ไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง
 
•  ผู้ร้ายตัวจริงที่ทำให้โคเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดสูงคือ ไขมันอิ่มตัว เช่น กะทิ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู การกินเนื้อมากเกิน ( เนื้อที่เห็นเป็นเนื้อแดงก็มีไขมันแฝงอยู่มาก ) ฯลฯ

•  ที่ร้ายที่สุดคือ ไขมันทรานส์ หรือไขมันแปรสภาพ ซึ่งส่วนใหญ๋มาจากการนำไขมันพืชไปเติมไฮโดรเจน ทำให้เกิดเป็นเนยขาว เนยเทียม ครีมเทียม ( คอฟฟี่เมต ) ที่ใช้ทำเบเกอรี ขนมกรุบกรอบ อาหารฟาสต์ฟูด

•  แนวทางในการลดโคเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดหลักคือ การลดไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์  รองลงไปคือ การออกแรง-ออกกำลังให้มากพอเป็นประจำ และการกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลให้น้อยลง

•  ไข่ 1 ฟองมีโคเลสเตอรอลมากถึง 210 มิลลิกรัมก็ใช่  แต่ผลการศึกษาวิจัยพบว่า คนที่กินไข่สัปดาห์ละ 4 ฟองมีโคเลสเตอรอลต่ำกว่าคนที่กินไข่สัปดาห์ละ 1 ฟอง หรือไม่กินไข่เลย

•  กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ ไข่มีโปรตีนสูง และมีไขมันอิ่มตัวค่อนข้างต่ำ ทำให้อิ่มนาน และความอิ่มนี่เอง มีส่วนทำให้กินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อ อาหารประเภท " ผัดๆ ทอดๆ " ฯลฯ ลดลง


 
(2) ไข่มีโคลีนสูง
 
•  ไข่ 1 ฟองให้โคลีนมากประมาณ 30% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน  การกินไข่จึงเปรียบคล้ายการซื้อ " ประกันชีวิต " ในเรื่องอาหารคุณค่าสูงว่า โอกาสขาดสารอาหารจะลดลงไปมากมาย

•  โคลีน ( choline ) เป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะผนังเซลล์ของสมอง และเซลล์ประสาท เป็นองค์ประกอบของสารสื่อประสาทที่สมองใช้ในการสื่อสารภายใน ( คล้ายๆ จุดเชื่อมหรือ router ของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต )
 
•  คุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งของโคลีนคือ มันออกฤทธิ์ต้าน ( ลด ) การอักเสบ หรือป้องกันไม่ให้ธาตุไฟในร่างกายกำเริบได้ในระดับหนึ่ง
 
•  การอักเสบนี้มีผลมากเป็นพิเศษที่ผนังหลอดเลือด  เนื่องจากผนังหลอดเลือดที่มีการอักเสบจะบวม และสูญเสียความ " เรียบลื่น ( ปกติจะลื่นคล้ายๆ กระทะเคลือบเทฟลอน ) " ทำให้คราบไขมันไปพอก หรือเกล็ดเลือดไปเกาะกลุ่มได้ง่าย


 
(3) ไข่แดงบำรุงสายตา
 
•  ลูทีน-ซีแซนทีนเป็นสารพฤกษเคมี หรือสารคุณค่าพืชผักกลุ่ม " สีเหลือง-แสด " ช่วยปัองกันจอรับภาพ ( retina ) โดยทำหน้าที่เป็นตัวกรอง ( คล้ายๆ กับเป็นแว่นกันแดดชั้นดี )  แสงสีน้ำเงินหรือฟ้า และรังสี UV ( ultraviolet) ทำให้ความเสี่ยง ( โอกาสที่จะเป็น ) โรคตาเสื่อมสภาพ หรือตาบอดในคนสูงอายุ ( age-related macular degeneration / ARMD ) ลดลง
 
•  แน่นอนว่า การหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า แสงไฟจ้า หรือการอยู่หน้าจอ TV, จอคอมพิวเตอร์นานๆ เป็นการดีที่สุด

•  ทว่า ... ถ้าจำเป็นต้องทำงานกลางแดด ชมโทรทัศน์ หรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์วันละนานๆ  การพักสายตาอย่างน้อยทุกๆ 1-2 ชั่วโมง และการกินอาหารที่มีลูทีน-ซีแซนทีนสูง เช่น ผักใบเขียว ( เช่น บรอคโคลี ฯลฯ ) ถั่วที่มีสีเขียว ข้าวโพด ฯลฯ ก็ช่วยได้มาก


 
(4) ช่วยลดความอ้วน
 
•  การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า คนที่กินไข่เป็นอาหารเช้า มีโอกาสลดน้ำหนัก และเส้นรอบเอวสำเร็จมากกว่าคนที่กินขนมปังเป็นอาหารเช้า
 
•  กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ ไข่มีโปรตีนคุณภาพสูง ทำให้อิ่มนาน และอย่าลืมว่า ไม่ใช่กินอาหารเท่าเดิมแล้วเสริมไข่เข้าไป  แต่ต้องใช้หลัก " อาหารทดแทน " ด้วย คือ กินไข่เข้าไป แล้วลดอาหารอย่างอื่นให้น้อยลงจึงจะได้ผล

อาจารย์กฤษฎีแนะนำ " เคล็ดไม่ลับในการกินไข่ " ไว้ดังต่อไปนี้
 
(1) กินพอประมาณ

•  คนที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว และไม่มีความเสี่ยงต่อโรคสูง กินไข่ได้วันละ 1 ฟอง
 
•  คนที่มีโรคประจำตัว หรือมีความเสี่ยงต่อโรคสูง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน เป็นโรคโคเลสเตอรอลสูงพันธุกรรม ฯลฯ ควรปรึกษาหมอที่ดูแลท่านก่อนกินไข่
 
(2) เวลาซื้อต้องหมุนไข่ ตรวจสอบให้รอบทิศ  อย่าซื้อไข่ที่มีรูทะลุ หรือรอยแตก
 
(3) เก็บไข่ในตู้เย็นส่วนตัวตู้ จะเก็บไข่ได้นานขึ้น  ส่วนประตูตู้เย็นมักจะเย็นน้อยกว่าส่วนกลางตู้เย็น
 
(4) ฟอกไข่ด้วยฟองน้ำล้างจานกับสบู่หรือน้ำยาล้างจาน
 
•  ล้างมือหลังหยิบจับเปลือกไข่ดิบทุกครั้ง เนื่องจากอาจมีเชื้อโรคท้องเสียติดไปกับเปลือกไข่ได้
 
•  สถิติสหรัฐฯ พบว่า โอกาสพบเชื้อท้องเสีย ( salmonella ) ในไข่มีประมาณ 1 ใน 30,000 ฟอง



(5) กินไข่สุก อย่ากินไข่ดิบ
 
•  ไข่ดิบ เช่น ไข่ลวก ฯลฯ มีโปรตีน ( avidin ) ที่จับวิตามิน B ที่ชื่อ ไบโอทิน ( biotin)  ทำให้การดูดซึมลดลง
 
•  ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่อาจมีไข่ดิบผสมอยู่ เช่น ไอศกรีมทำเอง ( home-made ) น้ำสลัดซีซาร์ ฯลฯ
 
•  เวลาทำขนม หรือคุกกี้ใส่ไข่ดิบ ... ไม่ควรชิมในช่วงที่ขนมหรือคุกกี้ยังไม่สุก
 
องค์ความรู้ในเรื่องไข่คงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 5-10 ปี  ตอนนี้ทางที่ดีคือ ' eat in moderation ' หรือ " กินพอประมาณ ( เดินสายกลาง ) " ไปก่อน
 
โคเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดประมาณ 80% สร้างที่ตับ ... ตับจะสร้างโคเลสเตอรอลมากหรือน้อย ขึ้นกับปริมาณไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ ( กินมากสร้างมาก กินน้อยสร้างน้อย )
 
อีก 20% เป็นโคเลสเตอรอลจากอาหาร แนวทางการลดโคเลสเตอรอลจึงควรเน้นการลดเจ้าไขมันตัวร้ายเป็นหลัก  รองลงไปจึงจะเป็นการลดโคเลสเตอรอลในอาหาร
 
ถึงตรงนี้ ... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #147 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 03:44:33 »


ดอกไม้ 5 ชนิด .. พิชิตโรค

เศรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา



ดอกขจร

ดอกไม้หาง่ายในท้องตลาดราคาย่อมเยา ทั้งยังปลอดสารพิษ รสชาติอร่อย ส่วนใหญ่จะนำมาปรุงเป็นขนมดอกขจร หรือดอกสีเขียวอ่อนนำมาผัดน้ำมันหอย  ปรุงในจานยำ  จิ้มน้ำพริกชุบแป้งทอด

ประโยชน์ : มีแคลเซียมสูงบำรุงกระดูกและฟัน วิตามินเอบำรุงสายตา สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเร่งกระบวนการซ่อมแซมบาดแผลด้วย



‏ดอกแค

คนโบราณบอกว่า ดอกแคแก้ไข้หัวลม เ หมาะจะกินช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศเปลี่ยนฤดู  และดอกแคยังมีใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ จึงช่วยในระบบขับถ่ายได้ดี เหมาะจะนำมาใส่ในแกงส้ม จานยำ หรือผัดใส่หมูสับ กุ้งสับ หรือจะลวกจิ้มน้ำพริก

ประโยชน์ : ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก และป้องกันโรคมะเร็งลำไส้



ดอกโสน

ขนมดอกโสนที่คนรุ่นคุณพ่อคุณแม่รู้จักกันดี  มีรสหวานชวนรับประทาน  สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด เช่น นำมาชุบแป้งทอดกรอบ รับประทานกับขนมจีนน้ำพริก  ผัดน้ำมันหอย  นำไปลวกจิ้มน้ำพริก  แกงดอกโสน  ยำดอกโสน

ประโยชน์ : เป็นยาแก้ปวดมวนท้อง



ดอกอัญชัน

เมื่อก่อนคนนิยมใช้นำมาปรุงแต่งสีสันอาหารให้ดูน่ารับประทาน เช่น ขนมช่อม่วง ขนมชั้น เล็บมือนาง โดยคั้นเอาน้ำมาผสมกับอาหารก่อนจะปรุง หรือหยอดสีม่วง ตอนหุงข้าวจะได้ข้าวสีสวย แต่ตอนนี้เริ่มเป็นที่นิยม โดยนำดอกไปตากแห้ง หรือใช้ดอกสดต้มน้ำและเติมน้ำตาล มะนาว ดื่มแก้กระหายคลายร้อน

ประโยชน์ : สารแอนโธไซยานิน มีอยู่มากในดอกอัญชัน จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็น



หัวปลี

เป็นดอกของต้นกล้วย กินได้ทั้งแบบดิบและสุก รสชาติจะฝาด นำกลีบมาชุบแป้งทอดกินได้ หรือจะใช้ใส่ในแกงเลียง ต้มยำไก่ กินแกล้มกับขนมจีนน้ำพริก ทำทอดมัน และอีกสารพัดเมนูของอร่อย ซึ่งหาทานได้ง่ายมาก มีมากมายตามสวนไร่นา

ประโยชน์ : บรรเทาอาการโรคกระเพาะอาหาร  ใบหัวปลีมีธาตุเหล็ก บำรุงเลือด ป้องกันโลหิตจาง และลดน้ำตาลในเลือด
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #148 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2554, 02:04:16 »


ผักจิงจูฉ่าย แก้มะเร็ง ได้จริงหรือ ?

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา‏

        ผม .. นิกกี้ อิทธิเกษม KU37 อดีตนายกสมาคม ม.เกษตรฯ แห่งอเมริกา จะขอเล่าประสบการณ์ที่เคยสัมผัสมากับตัวเองเมื่อปี 2007 เพื่อเป็นcaseตัวอย่าง และเป็นทางออกให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหลาย

     ผมมีร้านอาหารอยู่ในเขต N.Hooywood  วันหนึ่งกลางปี2007 ผมได้มีโอกาสเจอลูกศิษย์เก่าที่เคยมาเรียนแจกไพ่ที่ร้าน ถามทุกข์สุขกันไปมา ถึงได้รู้ว่าเขาเคยเป็นมะเร็งที่คอ 1 ครั้ง, มะเร็งที่ต่อมลูกหมาก 1 ครั้ง ปัจจุบันหายเป็นปลิดทิ้ง  รวมทั้งพี่น้องญาติอีก 8 คนที่เป็นมะเร็งภายในเวลา5ปี ทุกคนหายหมด ผมจึงเกิดความกระตือรือร้นที่จะถามว่า มีวิธีรักษากันอย่างไร ?


       วันนั้นคุณแม่เขามาด้วยจึงอธิบายให้ฟังว่า " ฉันมีต้นจิงจูฉ่ายอยู่ในสวนหลังบ้านเยอะ ปกติก็จะใส่ในแกงจืดให้ลูก ๆกินเป็นประจำ  เพราะคนจีนบอกต่อๆ กันมาถึงสรรพคุณช่วยฟอกเลือด และขับสารพิษออกจากร่างกายทำให้ลูกๆ ไม่ค่อยเป็นอะไร  วันหนึ่งลูกฉันไปตรวจหมอกลับมา บอกว่าเป็นมะเร็ง อีก2เดือนต้องไปฉายแสง  ฉันจึงลองเอาจิงจูฉ่าย 1 กำมือมาตำ จะได้น้ำออกมาแก้ว ( เล็ก ) หนึ่ง ให้เขากินตอนเช้าทุกวัน  2เดือนถัดมาไปตรวจหมอ หมอถามไปทำอะไรมา ทุกอย่างปกติหมด มะเร็งได้หายไปแล้ว "

     หลังจากคุยกันพักหนึ่ง ผมก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า คน 8 คนเป็นมะเร็งในที่ต่างกัน กินน้ำจิงจูฮวยฉ่าย 2-3 เดือน ทุกคนหายหมด ( ไม่มีใครต้องทำคีโมเลย )  ผมจึงเกิดความเชื่อถือขึ้นมาระดับหนึ่ง

      ก่อนหน้านั้น พี่สะใภ้ผม 2 คน ( ปี 2006 ) เป็นมะเร็งที่เต้านม, มดลูก  คนหนึ่งต้องทำคีโม ใช้วิธี " นั่งสมาธิ " ทุกวัน  8 เดือน หายเป็นปกติ


      ต่อมาผมได้ต้นจิงจูฉ่ายมา1ต้น จากคุณแม่ของลูกศิษย์  จึงรีบนำมาเพาะขยาย ปลายปี2008 ผมได้รู้ว่าแม่ค้าที่เช่าที่ในร้านผมคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านมขั้นที่ 3  หน้าดำคล้ำ เดินตัวแข็งแล้ว  ผมรีบเชิญมานั่งคุยเล่าเรื่องจิงจูฉ่ายให้ฟัง และเรื่องพี่สะใภ้นั่งสมาธิ  ก็เลยแนะนำให้ทำ 2 อย่างควบคู่กันไป  เชื่อไหมว่า 3 เดือนถัดไป หายเป็นปลิดทิ้ง ( ผมให้เขาไปเพียง 1 ต้นไปปลูก และเด็ดใบทานเลยวันละ 1 ใบ เพราะมีน้อย ก็ยังได้ผล )

      ปี2009 ผมมีต้นจิงจูฉ่ายมากขึ้น และแจกจ่ายให้กับคนรู้จักหลายคน  ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่าง 3 เดือน ทุกคนอาการดีขึ้นหมด ถ้าเราอยากช่วยผู้ที่เรารักและห่วงใยซึ่งกำลังเผชิญกับโรคร้ายนี้  ผมแนะนำวิธีนี้  ถ้าคุณต้องทำคีโมก็ทำไป กินใบจิงจูฉ่าย และนั่งสมาธิผมว่าคุณมีโอกาสหาย

      ผมพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าผักชนิดนี้ แพมย์จีนโบราณเรียกว่า " ยาเย็น " เป็น " หยิน " ช่วยฟอกเลือด, ขับสารพิษ .. ฆ่าเชื้อไวรัสทุกชนิด .. เพื่อน ku37 คนหนึ่งลองให้ลูกกิน เนื้องอกที่คอก็ยุบลง

      เนื่องจากที่ LA. เรามีน้อยมาก  ถ้าเกิดใครต้องการมากๆ ( จริงๆ ต้องทานวันละ1กำ ) ลองคุยกับคุณน้อยที่สวนคุณน้อย  จ.เชียงใหม่ ดูนะครับ  ที่www.nadagarden.com เขาขาย ก.ก.ละ 35 บาท

      ใครเป็นมะเร็งลองดูซิครับ  ทานแล้วยังไงก็ไม่มีผลข้างเคียง  แต่คุณมีโอกาสหายครับ


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #149 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 05:04:43 »


ข้าวกล้องหอมนิล ประโยชน์ที่คุณอาจไม่เคยรู้‏

บ้านไร่ต้นฝัน ... ส่งมา ( เป็นโฆษณา แต่ให้ความรู้เรื่องสารอาหารที่เป็นประโยชน์ด้วย )

ข้าวกล้องหอมนิล อินทรีย์ ปลอดภัยจากสารเคมี ... อิ่มท้อง แถมสุขภาพดี ในราคาไม่แพง

ติดต่อ องค์อร 089-501-3332, 02-923-3158





      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><