29 เมษายน 2567, 14:26:46
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรียนมาเพื่อทราบ ให้สุขภาพแข็งแรง  (อ่าน 261446 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #50 เมื่อ: 05 สิงหาคม 2551, 01:58:49 »

แป้งโรยตัว

พี่พิกุล - วิทยา 14 ... ส่งมา

หลายคนนิยมทาแป้งโรยตัว  เพราะทาแล้วรู้สึกว่าผิวเนียน  เนื้อนวล  แถมมีกลิ่นกลุ่นหอมละมุนอีกต่างหาก  ใครๆ ก็เลยนิยมใช้แป้งกันอย่างแพร่หลาย  ใช้กับทุกส่วนของร่างกาย  ตั้งแต่หน้าจนถึงฝ่าเท้า  ไม่เว้นกระทั่งก้น  และจุดซ่อนเร้น  ซึ่งผู้หญิงส่วนมากให้ความเห็นว่าช่วยให้แห้งสบายจากความชื้น  โดยเฉพาะเมื่อใช้แผ่นอนามัยรองซึมซับกันเปื้อน  ใช้กันตั้งแต่เด็กแบเบาะจนแก่เฒ่า   แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการใช้ชีวิตเลยก็ได้

แต่ใช้กันมากขนาดนี้  ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม ?  ก่อนอื่นมาดูกันว่าแป้งโรยตัวทำมาจากอะไร ?  คำว่า “ แป้งฝุ่น “ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Talc  มันคือแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นหินที่มีอยู่ในธรรมชาติ  มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า soapstone หรือ steatite  ส่วนประกอบทางเคมีก็คือ  hydrate magnesium silicate  แต่มันอาจมีสารอื่น  เช่น  คลอไรต์ ( chlorite )  ร่วมด้วย  เรารู้จักแป้งกันดีเมื่อมันถูกนำมาใช้งานในรูปของผงฝุ่นแป้ง  และเพราะคุณสมบัติของแป้งที่ดีในเรื่องของการทนไฟทนกรด  ต้านทานต่อการนำไฟฟ้า  ช่วยการผสมผสาน  และดูดซึมซับความชื้น  ทำให้พื้นผิวที่มันเคลือบอยู่แห้ง  เนียน  ลื่น  ไม่ดูดติดกัน  เป็นสิ่งที่ทำให้มันถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทุกวงการทั้งในภาคอุตสาหกรรม  ไม่ว่าจะทำสี  ทำสารหล่อลื่น  เซรามิคกันไฟ  แก้ว  ยาขัดล้างทำความสะอาด  กระดาษ  ยาง  ฯลฯ  จนถึงยา  และเครื่องสำอาง  ตั้งแต่แป้งฝุ่นทาหน้า  แป้งเด็ก  สบู่  ครีมทาผิว  น้ำยาดับกลิ่นตัว ฯลฯ

เมื่อใช้แป้งกันมากมายในชีวิตประจำวันแล้ว  จะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้หรือไม่ ?  อันตรายต่อสุขภาพปอด  เวลาทาแป้งตอนโรยแป้ง  ผงแป้งจะลอยละล่องในอากาศ  และถ้าผงฝุ่นแป้งถูกสูดเข้าทางเดินหายใจทีละเล็กทีละน้อยเป็นเวลานานๆ มันก็อาจจะสะสมอยู่ในปอด  โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน   เราเรียกภาวะนี้ว่า pneumoconiosis  ทำให้มีปัญหากับการหายใจ  และถ้าสูดเข้าครั้งละมากๆ  เช่น  การสำลักผงแป้งเข้าไป  ก็มีรายงานหลายชิ้นบอกว่า  มีเด็กทารกที่ปอดอักเสบ  และตายจากสาเหตุนี้  สรุปว่าแป้งอาจทำให้ปอดมีปัญหาได้
 แป้งไม่ทำให้เกิดมะเร็งที่ปอด  เว้นแต่ว่าแป้งนั้นจะมีใยหินแอสเบสตอส ( Asbestos Fibers ) ผสมอยู่ด้วย  แป้งที่ใช้ทั่วไปไม่มีแอสเบสตอส  และแป้งที่มีแอสเบสตอสอยู่ก็มีจากแห่งเดียวในแหล่งแป้งของอเมริกา  ซึ่งทำเหมืองในกิจการของการค้นคว้าวิจัยเท่านั้น  ไม่เอามาใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ  เป็นอันตรายต่อสุขภาพรังไข่  เพราะการใช้แป้งที่ก้น  กับอวัยวะเพศมีมากจนเป็นแฟชั่นฮิตอีกอย่างหนึ่ง

ในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1970  มีการสงสัยว่าแป้งทำให้เกิดมะเร็งที่รังไข่ได้หรือไม่ ?  ก็มีคนทำการค้นคว้า  และย้อนถามพบว่า  คนที่เป็นมะเร็งรังไข่ 43% ใช้แป้งอย่างมากมายกับอวัยวะเพศ  แต่พวกที่ไม่ได้เป็นมะเร็งรังไข่ 28%  ก็มีการใช้แป้งกับอวัยวะเพศเช่นกัน  มันทำให้อัตราเสี่ยงมีมากถึงเกือบ 2 เท่า  และมีอีกมากมายกว่า 30 รายการค้นคว้าที่ได้ผลแบบเดียวกันนี้  บางรายงานสรุปความเสี่ยงมากถึง 2.5 เท่า

หลังจากปี ค.ศ. 1973  ในสหรัฐอเมริกาก็ออกกฎหมายบังคับให้แป้งที่ใช้ทาตัว  และเครื่องสำอางต้องปราศจากแอสเบสตอส ( เพราะคิดว่าอาจเป็นเพราะแอสเบสตอสทำให้เกิดมะเร็งที่ปอด และมะเร็งที่เยื่อบุในช่อง  ปอด  และช่องท้อง )  แต่ก็ยังมีรายงานในปีถัดมาเรื่อยๆ ว่ามีโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งที่รังไข่สูงขึ้น 33%  ในพวกที่ใช้แป้งกับอวัยวะสืบพันธุ์  และมีรายงานหนึ่งที่พบว่าต่อมน้ำเหลืองที่อุ้งเชิงกรานของคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ของรังไข่แบบ papillary serous  มีเจ้า talc อยู่ในนั้น

สรุปว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องของการใช้แป้งที่บริเวณอวัยวะเพศ  และทำให้เกิดมะเร็งของรังไข่แบบเซลล์บุพื้นผิว ( epithelial cancer ) โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกาย  ผ่านช่องคลอด  มดลูก  และท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง  และด้วยความเชื่อที่ว่า talc เป็นอินออร์แกนิค ( สารอนินทรีย์ )  จึงไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน  ขณะนี้แป้งที่ใช้โรยตัว  และเครื่องสำอางในอเมริกาไม่ได้ใช้  talc แล้ว  แต่เปลี่ยนมาใช้แป้งข้าวโพด ( corn starch ) ซี่งเป็นสารออร์แกนิค ( สารอินทรีย์ )  สามารถย่อยสลายตัวในคนได้  ซึ่งคาดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า  ถึงตอนนึ้ยังไม่มีรายงานว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้แป้งข้าวโพดกับการเกิดมะเร็งที่รังไข่

แป้งไทยมีส่วนผสมต่างจากแป้งเมืองนอกหรือไม่ ?  แป้งโรยตัว  และเครื่องสำอางที่เมืองไทยทำจาก talc  เชื่อว่าไม่น่าจะมีใยหินหรือแอสเบสตอสปนเปื้อน  แต่เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีอันตรายต่อสุขภาพ  โดยเฉพาะเรื่องของมะเร็งรังไข่  ตามรายงานทางการแพทย์

ดังนั้นแม้แต่แป้งในอเมริกาที่เปลี่ยนไปใช้แป้งข้าวโพดแล้วก็ตาม  กุมารแพทย์  และสูตินรีแพทย์จึงแนะนำว่า  ไม่ควรใช้แป้ง  หรือโลชั่นกับอวัยวะสืบพันธุ์   โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ต้องใส่ผ้าอ้อม  สาวๆ  ที่ใช้ผ้าอนามัยยามมีประจำเดือน  หรือหญิงวัยทองที่มักเคยชิน  ทาแป้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อยู่เสมอนั้น  ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็น  และไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป
การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้นก็คือ  การล้างด้วยสบู่อ่อน  แล้วล้างน้ำให้หมดสบู่   ตามด้วยการซับให้แห้งก่อนใส่ผ้าอนามัยชิ้นใหม่  และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อม  และผ้าอนามัยบ่อยๆ จะได้ไม่เหนอะตัว  ถ้ารู้สึกว่ามีอาการแสบคันบริเวณก้น  หรืออวัยวะเพศ  ให้สังเกต  และดูแลเรื่องของความชื้น  หรือการแพ้ผ้าอนามัย  หรือการใช้สบู่ที่มีความเป็นกรด  หรือด่างมากเกินไป  หรืออาจมีการติดเชื้อก็ได้

เมื่อรู้สึกอยากจะใช้แป้งกับอวัยวะเพศ  ก็ให้นึกว่าควรใช้แต่น้อยๆ  ถ้ารู้สึกไม่สบาย  และอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้น  ถ้าไม่มีประจำเดือนก็ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อน  เพราะพบได้บ่อยๆ ว่ามีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อย

สำหรับการทาแป้งให้เด็กๆ  คุณแม่ที่ชอบเทแป้งใส่อุ้งมือ  และทาไปยังบริเวณก้น  และอวัยวะเพศของเด็กทีละมากๆ  ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง  ถ้าจะใช้แป้งทาที่อื่นๆ ในร่างกายก็เทแป้งครั้งละน้อย  และพยายามอย่าให้ฟุ้งในอากาศ

ไม่ควรให้เด็กถือกระป๋องแป้งเขย่าเล่น  เพราะอาจหกใส่  และสำลักหายใจเอาแป้งเข้าปอด  และปอดอักเสบ  ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงมีโอกาสถึงตายได้ค่ะ

ดังนั้นทุกครั้งที่ทาแป้ง  ก็ควรใช้ทีละน้อยๆ  และทาในบริเวณที่เหมาะสมนะคะ  จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ  และที่สำคัญช่วยประหยัดเงินในการซื้อแป้งเป็นโหลๆ อีกต่างหาก


โดย ... พญ.นิศานาถ ธนะภูมิ - สูตินรีแพทย์
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #51 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2551, 20:22:07 »

หัวเราะบำบัด

พี่พิกุล - วิทยา 14 ... ส่งมา

คนเราเมื่ออารมณ์ดีทำให้ความคิดสร้างสรรค์ ในทางกลับกันถ้าเคร่งเครียด หรือแม้แต่การมุ่งมั่นมากเกินไป จะทำให้สมองไม่แล่น ดังนั้นมาปรับให้มีอารมณ์ดีด้วยการใช้เสียงหัวเราะสร้างอารมณ์ดีที่เรียกว่า หัวเราะบำบัด กันดีกว่า แล้วจะพบว่าตัวเรามีศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง



หัวเราะ ดีอย่างไร ?

มีงานวิจัยมากมายชี้ให้เห็นว่า การหัวเราะทำให้ฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล อะดรีนาลีน ลดลง และช่วยเพิ่มสาร" เอ็นดอร์ฟิน " หรือสารความสุขให้เรารู้สึกผ่อนคลาย การหัวเราะดีกับระบบการทำงานของร่างกายมากมาย อาทิ

ระบบสมองดี การหัวเราะจะไปกระตุ้นระบบทำงานของสมอง ให้หลั่งสารความสุข หรือเอ็นดอร์ฟิน เมื่อสมองถูกกระตุ้น ทำให้มีความคิดทางบวกสร้างสรรค์ มีผลให้ร่างกาย และจิตใจพื้นฟูอย่างเร็ว

ระบบหายใจดี ระหว่างหัวเราะจะเกิดจังหวะการหายใจ การกลั้นหายใจ และการหายใจยาว ๆ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น มีการฟอกเลือดดี ช่วยฆ่าเชื้อโรค และป้องกันโรคทางเดินหายใจ โรคความดันโรคหัวใจ และโรคปอดได้อีกด้วย

ระบบย่อย และขับถ่ายดี หัวเราะเป็นการออกกำลังอวัยวะส่วนท้อง กระเพาะ ลำไส้ ได้เป็นอย่างดี หัวเราะเป็นการออกกำลังอวัยวะอย่างเป็นจังหวะทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตดีขึ้น

ระบบพักผ่อน และผิวพรรณดี หัวเราะช่วยคลายเครียด เส้นประสาทกล้ามเนื้อบนใบหน้ายืดหยุ่น ช่วยให้หลับสนิท

ระบบภูมิคุ้มกันดี การหัวเราะช่วยให้ร่างกายทำงานเป็นระบบ ช่วยทำลายอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการสำคัญของการผิดปกติในเซลล์ของร่างกาย นักวิจัยพบว่าเสียงหัวเราะสร้างความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้เป็นอย่างดี


ฝึกหัวเราะบำบัด ทำเองได้ ... ง่ายจัง

ฝึกหัวเราะด้วยตนเองนั้นไม่ยาก ขั้นแรกหาสิ่งกระตุ้นต่อมฮาเสียก่อน อาจอาศัยรายการตลกแบบสร้างสรรค์ไปพลาง ๆ หรือไม่เช่นนั้น ก็ลองนึกถึงกิริยาขำ ๆ ของเด็ก ๆ หรือสัตว์โลกผู้น่ารัก เช่น เจมกับปังคุง เมื่อค้นพบวิธีเรียกต่อมฮาได้แล้ว ครานี้ให้แยกอารมณ์ขัน ออกจากการหัวเราะ ทำใจให้ได้ว่าการหัวเราะไม่จำเป็นต้องมาจากความรู้สึก " ตลก " เสมอไป ฝึกให้สามารถหัวเราะได้โดยไม่มีเหตุผล ( ถ้าเป็นสมัยก่อนคงจะว่า " บ้า " แต่สมัยนี้ตรงกันข้ามเพราะถ้าไม่ฝึกหัวเราะด้วยตนเอง จะเครียดจนเป็นบ้าได้เลยทีเดียว )



หัวเราะบำบัด ที่ไหนดี ?

หัวเราะบำบัดด้วยการเปล่งเสียงเป็น สระ โอ อา อู เอ โดยปรับจากหลักการของศาสตร์ตะวันออก เสียงโอ คือ ท้องหัวเราะ เสียงอา คือ อกหัวเราะ เสียงอู คือ คอหัวเราะ เสียงเอ คือ หน้าหัวเราะ

ท้องหัวเราะ เริ่มด้วย

ท่าที่ 1) สูดลมเข้าเต็มปอดกักไว้ ทำอารมณ์ให้สนุก แจ่มใส ยิ้มเข้าไว้
ท่าที่ 2) เปล่งเสียง โอ๊ะ โอะ ๆ ๆ ให้ลมออกจากท้องเหมือนหัวเราะจริง เป็นจังหวะไปเรื่อยจนเสียงหายเข้าไปในลำคอ และลมที่กักไว้หมดพอดี

อกหัวเราะ

ท่าที่ 1) และท่าที่ 2) เช่นเดียวกันแต่ออกเสียง อา อา ๆ ๆ อ้าปากให้ลมออกมาจากบริเวณหน้าอกเป็นจังหวะไปเรื่อยจนเสียงหายเข้าไปในลำคอ และลมที่กักไว้หมดเช่นกัน

คอหัวเราะ ทำเช่นเดียวกัน แต่ออกเสียง อู เป็นจังหวะให้ออกจากลำคออย่าลืมสร้างอารมณ์ให้ยิ้มแย้ม ทำเสียงเหมือนหัวเราะจริง จนเสียงหายเข้าไปในลำคอ และลมที่กักไว้หมดเช่นกัน

หน้าหัวเราะ ทำเช่นเดียวกับท่าอื่นที่กล่าวมา แต่เปลี่ยนเป็นเสียง เอ เป็นจังหวะจะทำให้หน้าอ่อนใส

นอกจากนี้ยังมีท่าหัวเราะบำบัด

จมูกหัวเราะ ย่นจมูกขึ้นทำเสียง " ฮึๆ ... " ในจมูกให้ลมออกจากจมูก ท่านี้จะช่วยไล่สิ่งสกปรกในจมูกออกมา บำบัดภูมิแพ้ ไซนัส หวัด โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจ ท่านี้จะช่วยให้จมูกโล่ง

สมองหัวเราะ โดยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเครียดมักจะปิดปาก เป็นเหตุให้ความดันขึ้นสมอง ท่านี้จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว
- เริ่มต้นโดยการหายใจเข้าให้เต็มปอด เก็บลมไว้
- ปิดปากแล้วเปล่งเสียง อื่อ ... อย่างต่อเนื่อง จนลมหมดแล้วเริ่มใหม่ เช่นเดียวกับการเล่นตี่จับของเด็กไทยสมัยก่อน เป็นการนวดสมองอย่างชาญฉลาดน่าจะฟื้นฟูขึ้นในหมู่เด็ก ๆ สมัยนี้ เสียงที่เปล่งออกอย่างต่อเนื่องจะดันให้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นไปนวดสมอง และยังนวดกระบอกตาอีกด้วย ถ้าทำไประยะหนึ่งจะสังเกตว่าสายตาดีขึ้น และยังรู้สึกสมองโล่ง โปร่งสบายอีกด้วย

หัวเราะเสียงละ 3 ครั้ง ทุก ๆ วัน เวลาไหนด็ได้ตามสะดวก นอกจากนี้เรายังสามารถเปล่งเสียงต่าง ๆ เหล่านี้ได้ในขณะขับรถ ออกกำลังกาย ทำกายบริหารอื่น ๆ หรือที่ใด ๆ ที่เราคิดว่าเหมาะสมไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น แล้วจะรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นอย่างแน่นอน




หากวันนี้ยังหาวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเองไม่ได้ ลองชวนคนในครอบครัวมาหัวเราะเคลื่อนไหวร่างกายด้วยกัน นอกจากได้ออกกำลังแล้ว ยังสร้างรอยยิ้มในครอบครัวได้อีกด้วย .... อา อา อา อา

ที่มา : โครงการวิจัยสุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #52 เมื่อ: 12 กันยายน 2551, 23:55:50 »

Health Tip

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา




บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #53 เมื่อ: 12 กันยายน 2551, 23:58:32 »

ภูมิใจไทย : ข้าวกล้องงอก ( GABA Rice ) ... ช่วยป้องกันอัลไซเมอร์

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07 ... ส่งมา



บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #54 เมื่อ: 13 กันยายน 2551, 09:50:59 »

อาหารสมอง ... สำหรับผู้ที่ขี้หลงขี้ลืม

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา



อาหารสมอง

คุณมีอาการเช่นนี้บ่อยแค่ไหน จำไม่ได้ว่าวันนี้จอดรถชั้นไหนนะ เอ .. ผู้ชายที่ส่งยิ้มให้เมื่อกี๊หน้าตาคุ้นๆ ชื่ออะไรนะ ว่าแต่ว่าเมื่อเช้ากินยาก่อนอาหารแล้วหรือยัง จำได้ว่าจดไว้ในสมุดโน้ตกันลืมทั้งชั้นจอดรถ และเวลากินยา แต่เอาสมุดเล่มที่ว่าไปวางไว้ที่ไหนล่ะเนี่ย ?
 
ความจำหายไปไหน

อาจารย์ศัลยา คงสมบูรณ์เวช Nutrition Consultant จาก Vital Life ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบายว่า โดยธรรมชาติแล้วเซลล์สมองเฉพาะส่วนจะตายไปตามวัย ทำให้คนเรามีปัญหาในเรื่องของความจำ หรือความสามารถในการจำลดลง และหลงลืมบ่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น " โดยปกติแล้วความจำช่วงที่ดีที่สุดจะอยู่ในตอนที่คนเราอายุ 20 ปี หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลงทีละน้อยๆ จนเห็นชัดเจนตอนอายุ 50 ปี "

คนทำงานในวัยสามสิบขึ้นไป แม้วัยยังห่างไกลห้าสิบ อาจสงสัยว่าทำมั้ยตนจึงมีอาการความจำตกๆ หล่นๆ สมาธิน้อยลง หลงลืมเป็นประจำ แถมบางครั้งยังรู้สึกเครียด หดหู่ อยู่บ่อยๆ สาเหตุอาจไม่ใช่เพราะ " ความแก่ " มาเยือน อาจารย์ศัลยา วิเคราะห์ว่า เป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม และการใช้ชีวิตของแต่ละคน รวมไปถึงระดับ " น้ำตาล " ในเลือดด้วย

เนื่องจากน้ำตาลเป็นหนึ่งในสารจำเป็นซึ่งส่งผลต่อการทำหน้าที่ของเซลล์สมอง ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป การทำหน้าที่ของเซลล์สมองก็จะผิดปกติได้ ดังนั้นการมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สม่ำเสมอ จึงมีผลดีต่อสมอง

 
อาหารเรียกความจำ

" คุณกินอะไร ก็จะเป็นอย่างนั้น " ประโยคสั้นๆ ที่เป็นความจริงแท้แน่นอน นักวิจัยอธิบายต่อว่า อาหารที่เรารับประทานในแต่ละคำยังส่งผลถึงสมาธิ ความจำ รวมไปถึงความเฉลียวฉลาดด้วย สิ่งที่เราไม่รู้และควรรู้ก็คือ เซลล์สมองของคนเรามีจำนวนมากถึงร้อยพันล้านเซลล์ แต่ละเซลล์ก็มีความต้องการอาหารที่มีสารอาหารในการเสริมสร้างการทำงานของเซลล์ประสาท การขาดสารอาหารเพียงบางชนิดแม้ในจำนวนเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ความจำลดลงได้ก่อนที่ร่างกายจะแสดงอาการออกมา

ในการทำงานของเซลล์สมองทุกๆ ตัว จะมีสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อสมอง ซึ่งช่วยสื่อสารจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งต่อๆ กันไป ระบบการไหลเวียนของเลือดจะนำเอาออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ซึ่งการทำงานจะเป็นไปได้ด้วยดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ามีสารอาหารไปเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอสม่ำเสมอ พอที่จะทำให้สมองทำงานได้ดีตลอดชีวิตหรือไม่

อาหารดีมีประโยชน์สำหรับสมอง ช่วยให้เราคิดดี ทำดี มีความจำดี มีอะไรบ้าง แล้วเราต้องปฏิบัติตนอย่างไร

 
สารบำรุงสมอง

สมองต้องการอะไรบ้าง เริ่มต้นกันที่ วิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 ไนอะซิน บี 6 บี 12 แพนโธทีนิค และกรดโฟลิค ช่วยป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน อาหารที่มีวิตามินบีสูง เช่น ผลิตภัณฑ์นมพร่องหรือขาดไขมัน กล้วย อาหารทะเล ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้

ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง การขาดธาตุเหล็กจะทำให้สมาธิสั้น ไอคิวลดลง การเสริมธาตุเหล็กสำหรับผู้ที่ขาดธาตุเหล็ก จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ ใช้ความคิด เพิ่มทักษะในการใช้คำพูด อาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล

โคลีน ชื่อนี้ควรจำไว้ให้ดีเพราะเป็นองค์ประกอบที่พบในเยื่อหุ้มเซลล์สมองและสารเคมีในเซลล์สมองที่ชื่อว่า อะเซทิลโคลีน ซึ่งควบคุมความจำ อาหารที่มีโคลีนสูง คือ ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บรูเออส์ยีส ส่วนที่มีในปริมาณเล็กน้อยได้แก่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ ขนมปังโฮลวีท นม ส้ม ดอกกะหล่ำ และแตงกวา

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระซึ่ง ทำให้เซลล์สมองเสื่อม ส่งผลให้ความจำเสื่อม มีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พบว่า ผู้ที่บริโภควิตามินซีสูงมีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุด พืชที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องการสมองเสื่อม ได้แก่ สารโอพีซีสกัดจากเมล็ดองุ่น สารสกัดจากใบแปะก้วย กรดไลโปอิคและสารฟลาโวนอยด์ในผัก ผลไม้ เช่น องุ่น ผลไม้ประเภทเบอร์รี ชาเขียว

น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันความจำเสื่อม ปลาที่มีโอเมก้า 3 มาก ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาค้อด ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารแนะนำให้บริโภคเนื้อปลาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

 
กินดี สมองดี

หลักง่ายๆ ในการเลือกรับประทานอาหารให้ได้ครบสูตรในแต่ละมื้อ โดยไม่ต้องมานั่งนับแคลอรีให้ปวดหัว อาจารย์ศัลยา แนะให้แบ่งจานอาหารออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน ประกอบไปด้วย ผัก ผลไม้ ข้าวธัญพืช และโปรตีน

อาหารเช้า

" สำคัญที่สุดคือ ต้องกินอาหารเช้า เนื่องจากสมองคนเราต้องการน้ำตาลกลูโคสเพื่อใช้เป็นพลังงาน ถ้าเราไม่รับประทานอาหารก็จะทำให้สมองขาดเชื้อเพลิงในการทำงาน "

อาจารย์ศัลยา กล่าวถึงผลวิจัยที่พบว่า คนที่รับประทานอาหารเช้าจะขาดโรงเรียนหรือขาดงานน้อยกว่า รวมไปถึงการทดสอบทางคณิตศาสตร์ สมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ ความรวดเร็วในการแก้ปัญหา การรำลึกความจำ ความแม่นยำในการทำงานดีขึ้น แถมยังมีอารมณ์ดีกว่าคนไม่กินข้าวเช้าอีกด้วย

คราวนี้เรามาดูกันสิว่า อาหารเช้าแบบไหนที่เป็นของ 'ต้องการ' หรือ 'ต้องห้าม'

อาหารเช้าที่ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำ ได้แก่ ซีเรียลผสมนมพร่องมันเนย หรือนมถั่วเหลือง ผลไม้ 1 ชนิด และน้ำผลไม้ (ไม่ผสมน้ำเชื่อม) 1 แก้วเล็ก

ถ้าอยากรับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ขอแนะนำเป็น ไข่ดาว ขนมปังโฮลวีททาเนยถั่ว งดไส้กรอก แฮม เพราะมีไขมันสูง กาแฟ 1 ถ้วย อนุญาตให้เติมน้ำตาล 1 ช้อนชาพอ

อาหารเช้าแบบไทยๆ แนะนำให้รับประทานข้าวต้มเครื่อง ข้าวต้มปลา เสริมผัดผัก 1 จาน หรือข้าวโพด 1 ฝัก นมถั่วเหลือง 1 แก้ว น้ำส้มสด 1 แก้วเล็ก มะละกอ 1 เสี้ยว นี่คือตัวอย่างของอาหารเช้า คุณภาพดี


อาหารกลางวัน

อาหารไขมันสูงหรือน้ำตาลสูง นอกจากจะทำให้ง่วงนอนแล้ว สมองก็ไม่แล่นอีกด้วย ฉะนั้น มื้อเที่ยงจึงไม่ควรเป็นมื้อหนัก มีโปรตีนเล็กน้อย ธัญพืชไม่ขัดสีมากหน่อย จะช่วยให้สมองตื่นตัวตลอดเวลา อาหารแนะนำได้แก่ แซนด์วิชทูน่าขนมปังโฮลวีท สลัด (น้ำสลัดไขมันต่ำ) 1 จาน น้ำผลไม้ และผลไม้สด หรือก๋วยเตี๋ยวน่องไก่ใส่เส้นน้อยๆ ผักเยอะๆ ไม่ใส่กระเทียมเจียว ไม่รับประทานหนังไก่ หรือถ้าอยากรับประทานสปาเกตตีสักจานก็ขอให้เพิ่มสลัดอีก 1 จาน

ไม่แนะนำ ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว เพราะมีไขมันมาก เปลี่ยนเป็นราดหน้าจะดีกว่า โดยเปลี่ยนจากเส้นใหญ่ เป็นเส้นหมี่ วุ้นเส้น หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้


ชวนสมองออกกำลังกาย

การออกกำลังกายควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่สมองต้องการเป็นสิ่งที่จำเป็น วิธีการออกกำลังกายแบบแอโรบิกและโยคะ เป็นวิธีที่อาจารย์ศัลยาแนะนำ รวมไปถึงการออกกำลังกายสมอง ด้วยการท้าทาย ในการทำสิ่งใหม่ๆ ดูบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเกมที่ใช้ความคิด ลองหัดวาดรูป หรือเรียนดนตรี อย่าลืมว่า" ไม่มีใครแก่เกินเรียน "
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #55 เมื่อ: 13 กันยายน 2551, 10:22:12 »

อันตราย ! ฝาครอบแก้วชาไข่มุก ... หยุดลมหายใจ

พิเชษฐ์ - เภสัช 16 ... ส่งมา

โปรดอ่าน สำคัญมาก โดยเฉพาะผู้นิยมทานน้ำปั่นใส่ถ้วยพลาสติด ที่มีฝาครอบพลาสติดและใช้หลอดดูด เตือนลูก-หลานถึงอันตรายด้วย

... ปุ๊ ! เสียงหลอดกาแฟอันโตกระแทกเจาะฝาครอบแก้วชาไข่มุก เศษฝาพลาสติกแผ่นกลมขนาดเท่าปลายหลอดตกลงสู่ก้นแก้ว ฉันดูดเครื่องดื่มสุดโปรดอย่างหิวกระหาย และกระดกแก้วกินน้ำแข็งจนเกลี้ยงตามความเคยชิน เมื่อจะทิ้งแก้วลงถังขยะ ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นเศษฝาพลาสติกอยู่ในแก้วเหมือนทุกคราว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก สักพัก รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ ติดอยู่ในคอ แม้จะพยายามล้วง และดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้อาเจียน แต่สิ่งนั้นก็ไม่ยอมหลุดออกมา ฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เริ่มติดขัด อาจารย์และเพื่อน ๆ จึงรีบพาส่งโรงพยาบาล

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หลังจากรอหมออย ู่เกือบสองชั่วโมง หมอก็ให้ลองกลืนน้ำดู ปรากฎว่ามีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่จริง ตามด้วยการเอกซเรย์ ซึ่งสูญเปล่า เพราะไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมนั้นเลย จึงตัดสินใจให้วางยาสลบเพื่อส่องกล้องตรวจหาต้นเหตุ ระหว่างนั้นฉันยังรู้สึกตัวดีอยู่ทุกอย่าง จนกระทั่งหลังวางยาสลบ ท่อส่องทางเดินอาหารขนาดใหญ่ประมาณท่อประปาขนาดเล็ก สอดจากปากผ่านลงไปตามทางเดินอาหาร แต่ไม่รู้ด้วยโชคร้ายของฉัน หรือด้วยความประมาทเลินเล่อของใคร แทนที่เจ้าท่อนี้จะเป็นอุปกรณ์ในการตรวจเพื่อช่วยชีวิตฉัน หลังการตรวจมันกลับทำให้ฉันรู้สึกปวดแน่นหน้าอก และหลังอย่างสุดจะบรรยาย เมื่อฟื้นจากยาสลบ แม่บอกว่าฉันปากซีด ตัวเขียว และไข้ขึ้น ผิดกับเมื่อตอนก่อนส่องกล้องราวกับคนละคน จนแม่ใจหาย รีบตามหมอกลางดึก

การกลืนแป้งเพื่อเอกซเรย์เริ่มขึ้น ผลปรากฎว่าหลอดอาหารทะลุ ต้องผ่าตัดด่วน แต่แม่ไม่มีเงิน อย่าว่าแต่ค่าผ่าตัดที่สูงลิบลิ่วของโรงพยาบาลเอกชนเลย แม้แต่ค่าตรวจทั้งหลายก่อนหน้านี้ ที่เกินวงเงินการประกันอุบัติเหตุของนักศึกษา เพียงไม่กี่พันบาท แม่ก็ไม่มี ทางโรงพยาบาลจึงขอยึดบัตรประชาชนของแม่ไว้ เพื่อเป็นหลักประกันให้แม่หาเงินส่วนเกินมาชำระในภายหลัง หมอที่ส่องกล้องแนะนำให้ย้ายฉันไปโรงพยาบาลรัฐบาลที่เขาประจำอยู่ แต่แม้จะเป็นโรงพยาบาลรัฐบาลก็ต้องคุยกันเรื่องค่าใช้จ่ายเช่นกัน แม่จึงวิ่งวุ่นติดต่อเรื่องใช้สวัสดิการบัตรประกันสุขภาพ 30 บาท กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็เกือบเที่ยง นั่นแหละฉันจึงได้รับการผ่าตัด

การผ่าตัดใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง เพราะรอยทะลุที่หลอดอาหารอยู่ใกล้ปอด น้ำย่อยจะไหลเข้าไปในปอดซึ่งอันตรายมาก หมอต้องผ่าตัดเปิดซี่โครงจากราวนมด้านซ้ายไปจนถึงสันหลังอีกข้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถซ่อมแผลได้หมด เพราะแผลในทางเดินอาหารเป็นทางยาว จากต้นคอถึงกระเพาะ ยาวถึง 30 เซนติเมตร

สามวันหลังผ่าตัด ฉันลืมตาขึ้นมาพร้อมสายระโยงระยางเต็มตัว สายจากจมูกทั้งสองข้างเพื่อเอาน้ำย่อยในกระเพาะออกมา สายที่ไว้ดูด น้ำมูก น้ำลาย สายที่ต่อจากบริเวณซี่โครงที่ผ่าตัดเพื่อเอาเลือดจากแผลออกมา สายให้เลือด สายน้ำเกลือ สิบเอ็ดวันที่อยู่โรงพยาบาลเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กินอาหารไม่ได้อยู่เป็นอาทิตย์ ยิ่งเวลานอนจะรู้สึกทรมาน เพราะเจ็บที่บริเวณแผลผ่าตัดเป็นที่สุด หมอที่ส่องกล้อง ซึ่งช่วยหาหมอผ่าตัดให้ มาสารภาพในภายหลังว่า ... แผลในทางเดินอาหารที่ยาวเหยียด เกิดจากการส่องกล้องไปดันเอาเศษแผ่นพลาสติก ซึ่งติดอยู่ที่ระหว่างหลอดลม และหลอดอาหารให้ครูดบาดไปตลอดทางเดินอาหาร แต่อย่างไรเขาก็ติดต่อหาหมอผ่าตัดที่เชี่ยวชาญให้ และเป็นความผิดพลาดที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะมองไม่เห็นแผ่นพลาสติกแก้วที่ติดอยู่ที่หลอดลม / หลอดอาหาร

กรุณาช่วยส่งต่อเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เพื่อเตือนภัยคนที่เรารัก และเป็นห่วงนะคะ กินชาไข่มุกแก้วต่อไป ระวังนะคะ แผ่นพลาสติกที่เจาะทะลุจากตัวแก้ว ... อันตรายถึงชีวิตได้ บอกลูกหลานด้วย โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ชอบซื้อเครื่องดื่มทานเองค่ะ ฝาครอบแก้วที่ต้องเจาะรู ... ผู้ปกครองควรช่วยดูแล

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2551 / 09:08
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #56 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2551, 01:59:23 »

ภาวะสมองเสื่อม ... กับไข่ไก่

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

หากใครได้ดูรายการ " ข้อเท็จจริง .. วันนี้ " ทางช่องยูบีซี 7 ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.น.พ.รุ่งธรรม ลัดพลี เกี่ยวกับเรื่อง " ภาวะสมองเสื่อม ... กับไข่ไก่ " เรื่องที่สนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ... จากค่านิยมเดิมๆ ที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวันนั้น จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด คุณหมอบอกว่าอยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย แต่มากด้วยคุณค่า และเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด การที่หลายๆ คนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง คุณหมอยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น หากทานไข่แล้ว มันไปเพิ่มอีกเพียง 20 แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่มีมากกว่าไอ้ส่วนที่ไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด



คุณหมอบอกว่า โรคอัลไซเมอร์นั้น ผลการวิจัยล่าสุด ระบุว่า เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อย หรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การรับประทานไข่ทุกวันๆ ละ อย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก คุณหมอยังอ้างถึง และพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น ไม่มีปัญหาดังที่เราๆ เข้าใจกันแบบผิดๆ คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆ คนที่มาให้การรักษาในหลายๆ โรค ขนาดอายุ 80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง ผลก็คืออาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากที่เดินไม่ค่อยได้ ก็กลับมาเดินได้ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆ ชนิด แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น อยู่ที่จุดๆหนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆ ไว้ ( หากไม่เคยสังเกต ก็ลองเตาะไข่ดิบดู ) พร้อมกันนี้ก็ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่า ประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียงใด ปรากฎว่าต่ำกว่าหลายๆ ประเทศที่เจริญแล้ว โดยประเทศที่บริโภคไข่ต่อคนสูงสุด ก็คือญี่ปุ่น รองๆ ลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวันยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล ... การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่ คุณหมอยังเสริมว่าภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ ในแต่ละวัน
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #57 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 00:51:13 »

7 วิธีล้างมือแบบมือโปรฯ‏

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา  

เป็นที่ทราบกันดีว่า การล้างมือด้วยสบู่เป็นวิธีที่ช่วยลดการแพร่โรคติดเชื้อในโรงพยาบาลได้ดีที่สุดวิธีหนึ่ง  นอกจากนั้นการล้างมือยังช่วยลดการแพร่โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจได้มากมาย เช่น โรคหวัด ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หวัดลงกระเพาะฯ หรือลำไส้ ( viral gastroenteritis ) ฯลฯ และลดโอกาสติดพยาธิ เช่น หลังเล่นกับน้องหมา น้องแมว ฯลฯ โดยเฉพาะคนที่ตั้งครรภ์ ต้องล้างมือให้ดี เนื่องจากพยาธิหมา-แมว ( toxoplasmosis ) อาจทำให้แท้งลูกได้

ทีนี้จุดอ่อนของการล้างมือมีตรงไหนบ้าง กรมอนามัยได้จัดทำหนังสือเรื่อง " เด็กไทยทำได้ ในโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ " เพื่อกำจัดจุดอ่อนของการล้างมือแล้วยังไม่สะอาด  กล่าวกันว่า การล้างมือแบบ " มืออาชีพ " หรือ " มือโปรฯ ( professional = มืออาชีพ ) " นั้น เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่า ใครโปรฯ ใครไม่โปรฯ  ยิ่งถ้าเป็นพยาบาล หมอ หรือหมอฟันแล้ว ... ถ้าให้ล้างมือ  จะรู้ได้ทันทีเลยว่า หมอคนไหนเป็นตัวจริง หมอคนไหนเป็นตัวปลอม


ต่อไปจะขอนำการล้างมือแบบมือโปรฯ มาเล่าสู่กันฟังครับ

ภาพที่ 1 บริเวณที่มักจะยังหลงเหลือเชื้อโรคหลังการล้างมือแบบธรรมดาๆ



* การล้างมือด้วยสบู่แบบธรรมดาๆ มักจะถูบริเวณปลายนิ้วมือ ง่ามนิ้วมือ(โคนนิ้วมือ) ร่องลายมือ โคนนิ้วหัวแม่มือ และหลังมือได้ไม่หมด
* การล้างมือแบบ " ไม่ธรรมดา " หรือล้างแบบ " มืออาชีพ ( มือโปรฯ / professional = มืออาชีพ ) " จึงจะสะอาดจริง

ภาพที่ 2  วิธีล้างมือแบบ " ไม่ธรรมดา "




โปรดสังเกตว่า การล้างมือแบบมืออาชีพ มือโปรฯ  หรือการล้างแบบ " ไม่ธรรมดา " จะเน้นการกำจัดจุดอ่อน หรือบริเวณที่ล้างมือไม่ค่อยหมด เช่น ปลายนิ้วมือ หลังมือ โคนนิ้วหัวแม่มือ ร่องลายนิ้วมือ ฯลฯ

ทีนี้ข้อควรระวังของการล้างมือที่สำคัญมีอะไรบ้าง คำตอบได้แก่

(1). ฝึกล้างอย่างเป็นระบบ

การล้างมืออย่างเป็นระบบ ( systematic ) ให้ครบทุกขั้นตอนทั้ง 7 ขั้นตอนข้างต้น  จะช่วยให้ล้างได้ครบทุกส่วน ( completeness / thoroughness คล้ายๆ กับการแปรงฟันให้ถูกวิธี )

(2). ใช้สบู่

การล้างมือให้ถูกวิธีจำเป็นต้องใช้สบู่ เพื่อช่วยกำจัดคราบไขมันจากต่อมไขมัน เศษผิวหนัง และสิ่งสกปรกออก  จะใช้สบู่อะไรก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดี ... ควรเป็นสบู่เหลว หรือสบู่แห้งที่ไม่แช่น้ำ สบู่ที่แช่น้ำหรือมีน้ำขังอาจเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้ จึงควรวางสบู่ให้น้ำไหลออก หรือ " สะเด็ด " น้ำออกได้ และควรวางไว้ในที่ที่มีการระบายอากาศดี เพื่อให้สบู่มีโอกาสแห้งบ้าง  สบู่ยาหรือสบู่ผสมยาฆ่าเชื้อ  ไม่ได้ช่วยให้การล้างมือสะอาดขึ้น ทว่า ... เวลาล้างมือที่นานพอมีความสำคัญมากกว่า

(3). ล้างก๊อกน้ำ

ถ้าล้างมืออย่างเดียวโดยไม่ล้างก๊อกน้ำ ... เชื้อโรคอาจจะไปสะสม หรือหลบซ่อนอยู่ที่ก๊อกน้ำ และกลับมาติดมือหลังล้างมือเสร็จอีกต่อหนึ่ง

(4). ล้างก่อน

ล้างมือก่อนกินอาหาร ก่อนดื่มน้ำ ก่อนทำกับข้าวหรือเตรียมอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีคนที่มีภูมิต้านทานต่ำอยู่ที่บ้าน เช่น คนสูงอายุ ( เกิน 60 ปี ) เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี  คนที่ปลูกถ่ายอวัยวะ คนไข้มะเร็ง คนไข้เอดส์ ฯลฯ  ถ้าออกไปนอกบ้าน ... พวกเราอาจจะติดเชื้อ เช่น เสมหะคนเป็นหวัดอาจจะติดที่ลูกบิดประตู บันไดรถเมล์ ฯลฯ และอาจพาเชื้อเข้าบ้าน  ทางที่ดีคือ ล้างมือด้วยสบู่ก่อนเข้าบ้านทุกครั้ง  ถ้าชอบอ่านหนังสือ หรือหนังสือพิมพ์ ... จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องล้างมือก่อนกินอาหาร หรือดื่มน้ำ เพื่อลดการได้รับโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ฯลฯ ในหมึกพิมพ์

(5). ล้างหลัง

ล้างมือด้วยสบู่หลังออกจากห้องน้ำหรือห้องส้วมทุกครั้ง เพื่อลดการแพร่เชื้อโรคทางเดินอาหาร  ถ้าเป็นหวัด ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ ... พวกเรามีส่วนช่วยชาติได้ โดยการล้างมือด้วยสบู่หลังไอ จาม หรือเขี่ยจมูก ( เวลาคันจมูก ) ทุกครั้ง เพื่อลดการแพร่เชื้อโรคผ่านเสมหะติดมือไปยังคนอื่น

(6). ตัดเล็บ

ตัดเล็บมือให้สั้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคที่เล็บ  การตัดเล็บมือให้ตัดเป็นรูปโค้งตามรูปปลายนิ้วมือ แต่ถ้าจะตัดเล็บเท้า ... อย่าตัดเป็นรูปโค้ง ให้ตัดเป็นรูปตรงหรือรูปคล้ายปลายจอบ  การตัดเล็บเท้ารูปโค้งอาจทำให้เกิดโรคเล็บขบ ทำให้เกิดอาการเจ็บ การอักเสบ หรือแผลที่จมูกเล็บ ( ด้านข้างเล็บ ) ได้

(7). ล้างให้นานพอ

กล่าวกันว่า ถ้าจะล้างมือให้สะอาด และครบทุกส่วน คงต้องใช้เวลาพอๆ กับการแปรงฟันคือ 2-3 นาที ระยะเวลานาน 2-3 นาทีนี้ ... อาจารย์หมอฝรั่งท่านแนะนำว่า นานพอๆ กับการร้องเพลง " จิงเกิลเบล ( jingle bells ) " 2 จบ  ระยะเวลาดังกล่าวน่าจะเทียบกับเพลงชาติไทย ลอยกระทง หรือ " ช้าง ๆ ๆ ( เพลงสุดฮิตสำหรับคนที่ร้องเพลงอะไรแทบไม่เป็นเลย ) " ประมาณ 1 จบ

เรียนเสนอให้พวกเราหันมาช่วยกันล้างมือด้วยสบู่ให้ถูกวิธี เพื่อสุขภาพจะได้ดีไปนานๆ ครับ

บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #58 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 14:45:20 »

ดูแลหลอดตะเกียบให้ดี ก่อนที่มันจะออกลาย

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา



ด้วยภาวะที่โลกของเราตอนนี้ร้อนเหลือหลาย จึงทำให้เกิดกระแสรักษ์โลกขึ้น ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ถูกรณรงค์ให้คนทั่ว ๆ ช่วยกัน คือการเปลี่ยนมาใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ ทั้งนี้เนื่องจากหลอดตะเกียบนั้นช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่าหลอดไส้หลายขุมนัก และเป็นสิ่งที่ประชาชนคนทั่วไปสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วย

แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้สำนักงานสิ่งแวดล้อมของสหรัฐได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับหลอดตะเกียบว่า เจ้าหลอดตะเกียบเหล่านี้ เมื่อมันถูกทำลายให้แตกแล้วจะปล่อยสารปรอทออกมามากมาย  จนถึงขั้นทำลายประสาทส่วนกลางของเราได้ทีเดียวแม้เพียงไอเล็ก ๆ ของมันก็สามารถทำลายสุขภาพต่อเด็กและสตรีมีครรภ์ได้แล้ว

นอกจากนี้สำนักงานสิ่งแวดล้อมของสหรัฐยังแนะนำด้วยว่า หากหลอดตะเกียบภายในบ้านของคุณแตก ให้รีบเปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศให้ถ่ายเทได้สะดวก และรีบเกณฑ์เด็ก ๆ สตรีมีครรภ์ และสัตว์เลี้ยงออกจากบริเวณนั้นทันที  ส่วนการเก็บกวาดนั้น แนะนำว่าควรใช้เทปกาวแปะที่บริเวณที่หลอดแตกแล้วลอกออกแทน การใช้ไม้กวาด หรือเครื่องดูดฝุ่น เพราะว่าสามารถเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า และไม่ทำให้สารตกค้างฟุ้งกระจายด้วย

ถือได้ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้ามเลยนะคะ เพราะฉะนั้นเพื่อน ๆ ที่นี่อย่าลืมบอกต่อ ๆ คนที่รู้จักด้วยนะคะ เผื่อมีใครที่ไม่ทราบวิธีจัดการที่ถูกต้อง เพราะว่าสารปรอทนั้นอันตรายต่อร่างกายของเราจริง ๆ ค่ะ
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #59 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 18:18:38 »

พี่เจี๊ยบขา,
อ่านเรื่องล้างมือ 7ขั้นตอนแล้วแปลกใจ!
ทำไมไม่มีขั้นที่ 8 ที่สำคัญพอๆกัน??
ทา hand creamคะ!
ล้างวันละกี่ครั้งไม่รู้...มือแห้งแย่-
nn.(soft hand)
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #60 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 18:59:36 »

NN ... นั่นต้องไปเขียนเรื่องต่างหาก ได้อีกหลายหน้า ... " การบำรุงรักษามือ และเล็บให้เนียนนุ่ม ไม่ฟ้องวัย " น้าจ๊า

" ข้าว " ความลับแห่งสุขภาพ และความงาม

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

โดย Uncle fat 11 กันยายน 2551 08:21 น.



ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 5 “ ข้าว ชีวิตไทย ชีวิตโลก ” ที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ นอกจากจะยกโขยงความรู้เกี่ยวกับข้าว และสมุนไพรนานาชนิดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คนให้ความสนใจไม่น้อย คือ เรื่องความงาม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ทำมาจากข้าว ... หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ข้าวนอกจากจะเป็นอาหารหลักของคนไทยที่มีคุณค่าทางอาหาร และโภชนาการสารพัดแล้ว ข้าวยังสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องประทินผิว และความงามได้อีกด้วย

ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลอภัยภูเบศร บอกเล่าเก้าสิบเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของข้าวในเรื่องความสวยงามไว้ในหนังสือ “ ข้าว ความลับของ ... สุขภาพ และความงาม ” ว่า ในอดีตคนไทยโบราณมีการใช้ “ น้ำซาวข้าว ” มาสระผม ซึ่งจะช่วยบำรุงเส้นผมให้นุ่มลื่น ไม่เป็นรังแค และมีกลิ่นหอมของน้ำซาวข้าว

นอกจากนี้ ถ้าจะให้ดีให้ใช้น้ำซาวข้าวที่เก็บไว้หลายวันหรือที่เรียกว่า “ น้ำมวกส้ม ” ซึ่งเมื่อนำมาสระผมจะทำให้ผมเป็นเงางามกว่าน้ำซาวข้าวธรรมดา และยังใช้สระผมร่วมกับสมุนไพรตัวอื่นได้อีกหลายตำรับ ไม่ว่าจะเป็นยาสระผมน้ำซาวข้าวใบหมี่ ตำรับยาสระผมมะกรูด และน้ำข้าวกล้องปั่น ตำรับของสาวภูไท นอกจากนี้รำข้าวยังช่วยปลูกผมได้อีกด้วย ซึ่งเหล่านี้เป็นภูมิปัญญาที่ช่วยให้คนพึ่งตัวเองได้

แต่ปัญหาก็คือในยุคสมัยนี้ การจะใช้น้ำซาวข้าวมาสระผม คงเป็นเรื่องยากลำบากเต็มที




ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ให้คำแนะนำพร้อมอธิบายว่า ปัจจุบันคนเราใช้แชมพูสระผมแทนสารทำความสะอาดจากธรรมชาติ เช่น น้ำข้าวมวก ฝักส้มป่อย เครือเขามวก ซึ่งแชมพูมีความสามารถในการชะล้างได้สูงกว่าสารจากธรรมชาติ ดังนั้นปัญหาของผม และหนังศีรษะของคนยุคนี้คือ สารธรรมชาติที่เคลือบหนังศีรษะ ถูกชะล้างออกมาเกินไป ทำให้เกิดการระคายเคือง เส้นผม และหนังศีรษะจึงแห้ง แตกปลาย หรือบางครั้งการระคายเคือง ก็ไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากเกินไป ทำให้ผมมันเยิ้ม ซึ่งในแชมพูทุกยี่ห้อจะมีคุณสมบัติไม่แตกต่างกันมาก แต่ว่าเราหลีกเลี่ยงการใช้แชมพูไม่ได้

ด้วยเหตุดังกล่าว ทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยคืนความชุมชื้นให้เส้นผมคือ การใช้น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก หมักผม ร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ เช่น ว่านหางจระเข้ ไข่แดง มะขามป้อม รำข้าว หรือใช้แชมพูทั่วไปสระผมสลับการใช้น้ำขาวสระผมบางครั้งก็ได้

อย่างไรก็ตาม นอกจากจะข้าวนำมาใช้เพื่อความงามของผมแล้ว ยังสามารถนำข้าวมาบำรุงผิว ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ เปล่งปลั่ง ช่วยแก้สิว แก้ฝ้าได้อีกด้วย ภญ.ดร.สุภาภรณ์เล่าว่า สาวไทยสมัยก่อนใช้น้ำซาวข้าวมาล้างหน้า ด้วยเชื่อว่า จะทำให้ผิวหน้าเปล่งปลั่งเป็นนวลใยไร้สิวฝ้า แป้งข้าวจ้าวใช้กล่อมผิว ให้ผิวสวย ไร้ผดผื่นคัน จึงถือเป็นความชาญฉลาดของผู้คนในอดีต เนื่องจากปัจจุบันพบว่า องค์ประกอบต่างๆ ของข้าว ล้วนมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ “ รำข้าว มีแร่ธาตุ วิตามินต่างๆ และกรดไขมัน โดยเฉพาะวิตามินอี และแกมมาโอไรซานอลในปริมาณสูง ซึ่งแกมมาโอไรซานอลเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบของผิวหนัง ทำให้ผิวขาวขึ้น ส่วนเอนไซม์ที่ได้จากข้าว และร ข้าวสามารถยับยั้งการสร้างเมลานิน และการเกิดเม็ดสีจากรังสียูวี ช่วยลดริ้วรอย และทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนหรือโปรตีนที่ทำให้หน้ายืดหยุ่น หรือหน้าเด้ง ” ภญ.ดร.สุภาภรณ์ แจกแจง

นอกจากนี้ สารสกัดจากรำข้าวยังทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น น้ำมันจากจมูกข้าวช่วยเคลือบผิวไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น เพื่อปกป้องการระคายเคืองของผิวหนัง ส่วนแป้งข้าวเจ้าก็มีคุณสมบัติลดอาการระคายเคืองและดูดซับ เหมาะที่จะใช้ทำแป้งฝุ่น ผลิตภัณฑ์จากข้าวจึงเหมาะที่จะนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิวพรรณและปกป้องผิว




ภญ.ดร.สุภาภรณ์ บอกต่อว่า ในส่วนของโรงพยาบาลอภัยภูเบศร ก็ได้มีการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้มานานกว่า 10 ปีแล้ว จึงนำไปสู่การผลิตเป็นสบู่รำข้าว และผลิตภัณฑ์หลากหลาย โดยครีมบำรุงผิวผลิตจากรำข้าวและมะขามป้อม จะช่วยบำรุงบริเวณผิดหนังที่ย่น ด้าน เช่น บริเวณข้อศอก หัวเข่า และครีมหมักผมจากรำข้าว และมะขามป้อม ที่ช่วยบำรุงเข้มข้นเส้นผม และหนังศีรษะให้มีความยืดหยุ่น ถือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่มีการนำมาจำหน่ายเป็นครั้งแรก

นอกจากนี้ก็ยังมีสบู่จากรำข้าว สบู่สระผมจากรำข้าว รวมถึงโลชันรำข้าวเพื่อการทำความสะอาดหน้าที่ผลิตจากสารสกัดจากรำข้า ซึ่งกำลังพัฒนาเพื่อการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น ส่วนผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาร่วมกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ คือเซรั่มนาโนจากน้ำมันรำข้าว เพื่อใช้ในการกระตุ้นการงอกของเส้นผมในผู้มีปัญหาผมบาง และครีมพริกนาโนที่ใช้สรรพคุณวิเศษของพริกช่วยลดอาการปวดเมื่อย โดยสกัดความเผ็ดร้อนออกไปด้วยนาโนเทคโนโลยี

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ข้าวมีคุณประโยชน์มากมายสารพัด ครอบคลุมทั้งการใช้เป็นอาหารสุขภาพ การใช้เป็นยา และเสริมความงาม ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้มิให้สูญหายไป โดยเฉพาะความรู้พื้นบ้านที่เกี่ยวข้องกับข้าว




ข้าวพื้นบ้าน คุณค่าแห่งโภชนาการ

การพัฒนาพันธุ์ข้าวของไทย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ยุคปฏิวัติเขียวเมื่อประมาณกว่า 4 ทศวรรษ ที่ผ่านมานั้น เน้นการพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อเพิ่มผลผลิต มากกว่าจะคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการของพันธุ์ข้าว ระบบการส่งเสริมการปลูกข้าวสมัยใหม่ที่เน้นการปลูกข้าวเชิงเดี่ยว โดยใช้สายพันธุ์ข้าวหลักๆ เพียงไม่กี่สายพันธุ์ ได้ทำให้พันธุ์ข้าวพื้นบ้านเป็นจำนวนมากหายไปจากผืนนา ทั้งๆที่พันธุ์ข้าวพื้นบ้านนั้น มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าพันธุ์ข้าวทั่วไปที่เรารู้จักหลายเท่า

ทั้งนี้ จากการอนุรักษ์ และพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นเมืองมากกว่า 200 สายพันธุ์ ร่วมกับชุมชนชาวนาในจังหวัดอุบลราชธานี กาฬสินธุ์ สุรินทร์ ยโสธร มหาสารคาม พัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราช เพื่อนำไปวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงศักยภาพในการป้องกันและรักษาโรค โดยความร่วมมือของสถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล ผลการวิเคราะห์พบว่า พันธุ์ข้าวพื้นบ้านหลายสายพันธุ์มีคุณค่าทางโภชนาการที่น่ามหัศจรรย์ ดังต่อไปนี้


วิตามินอี

วิตามินอีเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด สมอง หัวใจ บำรุงตับ ช่วยระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ตามปกติ ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดริ้วรอย และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น เป็นต้น

ข้าวเจ้าหน่วยเขือสูงมีวิตามินอีสูงถึง 26.2 เท่า หอมมะลิแดง และมะลิดั้งเดิมสูง 11-12 เท่า ข้าวหนียวเล้าแตกสูง 10.3 เท่า ข้าวเหนียวก่ำเปลือกดำ 6.5 เท่า และข้าวช่อขิง 6 เท่า ของข้าวกล้องทั่วไป

 
ลูทีน

ลูทีนเป็นสารธรรมชาติจัดอยุ่ในกลุ่มของสารรงควัตถุที่มีสีในตระกูลของสารแคโรที-นอยด์ แต่มีความแตกต่างจากคาโรทีนอยด์ชนิดอื่นตรงที่จะไม่เปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอ มีหน้าที่ที่สำคัญในการช่วยป้องกันโรคต้อกระจกที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ

ข้าวเหนียวก่ำเปลือกดำมีลูทีนสูงถึง 25 เท่าของข้าวหอมมะลิ


เบต้าแคโรทีน

เบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ กล่าวคือ สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอหลังจากถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ การรับประทานอาหารประเภทที่มีเบต้าแคโรทีนสูง จะช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง สร้างความต้านทานให้ระบบหายใจ

ในข้าวเหนียวก่ำเปลือกดำ มีสารเบต้าแคโรทีนสูงถึง 3.81 เท่า ข้าวหน่วยเขือ 1.68 เท่า และข้าวเล้าแตก 1.58 เท่า ของข้าวเจ้ากล้องทั่วไป การบริโภคข้าวก่ำร่วมกับผักพื้นบ้าน เช่น ยอดแค ตำลึง ชะอม ขี้เหล็ก กระถิน จะช่วยเพิ่มวิตามินเอให้กับร่างกาย


ธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการสร้างเม็ดเลือดแดง จากการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการพบว่า ในข้าวหน่วยเขือ หอมมะลิแดง หอมมะลิทั่วไป เหนียวก่ำเปลือกดำ เหนียวเล้าแตก และช่อขิง มีธาตุเหล็กสูง 2.9-1.9 เท่าของข้าวเจ้ากล้องทั่วไป

สารทองแดง

ทองแดงเป็นสารอาหารที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง เนื่องจากเป็นส่วนประกอบในเอนไซม์หลายตัวในร่างกาย เช่น การสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย การกำจัดอนุมูลอิสระ การสร้างความยืดหยุ่นของผิวหนัง การขาดทองแดงก่อให้เกิดภาวะซีดจากโลหิตจาง เม็ดเลือดขาวมีมากเม็ดเลือดแดงลดลง โคเลสเตอรอลในเลือดสูงและการเต้นของหัวใจผิดปกติ

ข้าวหน่วยเขือ หอมมะลิแดง เหนียวหอมทุ่ง มีทองแดงสูง 5-3.8 เท่าของข้าวกล้องทั่วไป


ข้าวหอมมะลิแดงกับศักยภาพในการป้องกัน และบรรเทาโรคเบาหวาน

จากการทดสอบพบว่า ข้าวหอมมะลิแดงที่หุงสุกแล้วมีการเพิ่มขึ้นของระดับของน้ำตาลกลูโคสในช่วงเวลา 20 นาทีแรกค่อนข้างช้า คือ 10.60 กรัมต่อ 100 กรัม และปริมาณน้ำตาลกลูโคสหลังจากย่อยผ่านไป 120 นาที มีค่าเพียง 8.59 กรัมต่อ 100 กรัม แสดงให้เห็นว่าข้าวหอมมะลิแดงน่าจะเป็นข้าวพื้นเมืองที่มีดัชนีน้ำตาลที่เหมาะกับการส่งเสริมให้ผู้บริโภคที่อยู่ในภาวะปกติ หรือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 รับประทาน เพราะเมื่อรับประทานข้าวชนิดนี้เข้าไปแล้ว ร่างกายจะมีปริมาณน้ำตาลกลูโคสเพิ่มสูงขึ้นช้ากว่าข้าวเจ้าทั่วไป



ข้าวพื้นบ้านมีสารแอนติออกซิแดนท์มากกว่าข้าวทั่วไป

แอนติออกซิแดนท์ คือ สารที่สามารถขจัดอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย ในข้าวพื้นบ้านมีสารทองแดง สังกะสี เบต้าแคโรทีน วิตามินอี ซึ่งมีความสามารถดังกล่าว การบริโภคอาหารที่มีแอนตี้ออกซิแดนท์จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง ลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคความจำเสื่อม โรคไขข้ออักเสบ แก่เร็ว เป็นต้น

เรื่องโดย .... แผนงานฐานทรัพยากรอาหาร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส. )

บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #61 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 19:45:41 »

พี่เจี๊ยบ,
หนิงหาเรื่องโจรขโมยรถไม่เจอคะ!
ที่พี่postภาพกุญแจรถค่ะ...อยู่ไหนคะ?
nn.
บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #62 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2551, 05:24:21 »

NN ... อยู่ที่กระทู้ " ภัยรายวัน " จ้า  พี่ตามไปดูรูปกุญแจรถคันใหม่ของหนิงมาแล้วด้วย

5 โรคฮิต รุมเร้าหนุ่มสาวออฟฟิศ

พี่วิวิธ - วิศวะ 07... ส่งมา  
  
5 อันดับโรคยอดฮิต เกาะติดชีวิตคนเมือง ได้แก่

1. ไมเกรน โรคปวดศีรษะเรื้อรัง

เวลานั่งทำงานเครียดๆ เราจะรู้สึกปวดหัวตึบ..ตึบ..บริเวณขมับ ด้านหน้าศีรษะ หรือหลังต้นคอ นั่นคือสัญญาณเตือนสภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไมเกรน

สาเหตุหลักเกิดจากการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ จนจับตัวเป็นก้อนที่เรียกว่า จุดกดเจ็บ (Trigger Point)

จุดดังกล่าวไปกดทับบริเวณเส้นเลือดที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงศีรษะ ทำให้เส้นเลือดหลังจุด Trigger Point เกิดการขยายตัวผิดปกติ ส่งผลให้เลือด และออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอ  จึงทำให้เกิดอาการปวด ศีรษะขึ้น  นอกจากนี้แสงแดด ความร้อน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และการขาดฮอร์โมนบางชนิด ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้เช่นกัน

ไมเกรน มักจะพบในช่วงอายุ 10-50 ปี อัตราเฉลี่ยเพศหญิง ร้อยละ 18 เพศชาย ร้อยละ 6

วิธีการดูแลให้ห่างไกลจากไมเกรน ทำได้ง่ายๆ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่อากาศถ่ายเทไม่ร้อนจนเกินไป บริหารกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอให้มีการยืดหยุ่นอยู่เสมอเพื่อเลี่ยงการ เกร็งตัวของกล้ามเนื้อ เปลี่ยนอิริยาบถในการนั่งทำงานเพื่อลดการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อ หรือปรึกษาแพทย์อายุรเวท ( แผนไทยประยุกต์ ) เพื่อทำการกดจุดสลาย Trigger Point บริเวณกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย


2. สภาวะเสียสมดุล

ปกติร่างกายของมนุษย์ถูกออกแบบขึ้นเพื่อรองรับภาวะรบกวนต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม  พร้อมขจัด และปรับระบบให้ทำงานได้อย่างปกติมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีสมองเป็นจุดศูนย์รวมการทำงานของร่างกาย

สมองทำหน้าที่ออกคำสั่ง และส่งคำสั่งนั้นไปตามเส้นประสาทเพื่อไปควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายทุกระบบ รวมทั้งกล้ามเนื้อ และข้อต่อต่างๆ  ระบบรากประสาททั้งหมดออกมาตามแนวกระดูกสันหลัง แต่หากแนวกระดูกสันหลังเสียสมดุล ไม่อยู่ในแนวความโค้งที่ปกติ ( เช่น ค่อม งอ คด แอ่น ) โดยมีสาเหตุหลักมาจากการนั่งทำงานในออฟฟิศผิดวิธี หรือทำงานในลักษณะซ้ำๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้กล้ามเนื้อทานไม่ไหว ร่างกายจะฟ้องออกมาในรูปแบบความเจ็บปวดต่างๆ เช่น ปวดหลังเรื้อรัง ปวดคอ ชา หรือแขนขาไม่มีแรง ในระยะแรกอาจไม่แสดงผลชัดเจน แต่ถ้าละเลยอาจรุนแรงถึงขั้นทับเส้นประสาท อาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ หรือแม้แต่ส่งผลให้เป็นโรคภัย ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ผิดปกติได้ด้วย

การดูแลและป้องกัน มีวิธีง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเองทุกวัน โดยคืนความสมดุลให้กับโครงสร้างร่างกาย เช่น การยืดหยุ่นร่างกาย ไม่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป เพื่อลดอัตราการเกร็งกล้ามเนื้อ หรือไม่ทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากเกินไป หรือเพิ่มการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลัง ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ เพราะกล้ามเนื้อเป็นตัวยึดให้กระดูกอยู่ในแนวปกติถือเป็นการคงสภาพให้โครงสร้างร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุล เป็นต้น  นอกจากนี้ยังสามารถปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อปรับโครงสร้างร่างกาย  พร้อมปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินไลฟ์สไตล์ใหม่ได้เช่นกัน


3. กระดูกสันหลังคดงอ อาการปวดหลังเรื้อรัง

หนุ่มสาวชาวออฟฟิศสมัยใหม่ที่ทำงานนั่งอยู่กับโต๊ะ ใช้ชีวิตคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบวันละ 8 ชั่วโมง ใส่รองเท้าส้นสูงบ่อยๆ  เคยลองสังเกตไหมว่าร่างกายสะสมความอ่อนเพลีย และเมื่อยล้าไว้มากขนาดไหน  และรู้หรือเปล่าว่านั่นคือสาเหตุเริ่มต้นของโรคปวดหลังเรื้อรัง โดยค่าเฉลี่ยร้อยละ 80 มักจะเคยมีอาการปวดหลังสักครั้งในชีวิต และกว่าร้อยละ 20 พบว่ามีอาการปวดหลังเรื้อรังมาจาก " กระดูกสันหลังคดงอ "

วิธีการรักษาที่นิยมทำกันโดยทั่วไปในปัจจุบันมี 2 วิธี คือ การรักษาด้วยการให้ยา และกายภาพบำบัดแบบ Passive ช่วยลดอาการปวดได้ดี แต่ไม่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างพอเพียงที่จะป้องกันอาการปวดซ้ำซากในอนาคตได้  ส่วนวิธีการรักษาแบบ Active Rehabilitation เป็นแนวทางใหม่ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เป็นที่ยอมรับกันว่าสามารถระงับปัญหาอาการปวดเรื้อรังได้ถาวร  ดีกว่าการรักษาแบบเดิมๆ  และการออกกำลังกายที่เน้นตรงกล้ามเนื้อในส่วนที่มีปัญหา โดยออกแบบโปรแกรมให้เข้ากับเฉพาะตัวบุคคล และมีผู้ดูแลควบคุมใกล้ชิดจะได้ผลดีกว่าการออกกำลังกายตามลำพังตัวคนเดียวอย่างชัดเจน


4. ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ

อีกโรคที่คุกคามอย่างเงียบๆ คงจะหนีไม่พ้นปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ หรือ Carpal Tunnel Syndrome ( CTS ) ที่กำลังขยายวงกว้างในกลุ่มคนที่ต้องนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ

สาเหตุหลักเกิดจากการใช้ข้อมือในการยึดจับสิ่งของ หรือเมาส์คอมพิวเตอร์ในท่าเดิมๆ เป็นระยะเวลานาน  ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาท และเส้นเอ็นจนอักเสบ  เกิดพังผืดยึดจับบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก หรืออาจเกิดจากการทำงานของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณผ่านท่อนแขนจากข้อศอกไปยังบริเวณข้อมือ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ทำให้เกิดอาการปวดของปลายประสาท หรือเส้นเอ็นบริเวณต้นคอเกิดการอักเสบซึ่งมาจากสาเหตุเดียวกัน

อยากห่างไกลความเสี่ยง เลือกวิธีปฏิบัติง่ายๆ ในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณมือ และข้อมือทุก 15-20 นาที  หรือปรึกษานักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการรักษาแบบ Manual Therapy  หรือการบำบัดด้วยวิธีการใช้มือเป็นหลัก ผสานเข้ากับการใช้เครื่องมือบำบัดเฉพาะทาง  เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่ในกรณีที่มีอาการอักเสบรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะการบาดเจ็บที่รุนแรง และลดอัตราการผ่าตัดลง


5. หูดับ โรคประสาทหูเสื่อม

อีกหนึ่งภัยคุกคามที่คนเมืองควรรู้กับปัญหา " หูดับ " หรือโรคประสาทหูเสื่อม  ส่วนมากเกิดจากปัจจัยหลายสาเหตุ อาทิ กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด หรือปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เป็นต้น ส่งผลให้ระดับการได้ยินลดลง โดยปกติประสาทหูจะเริ่มเสื่อมทีละน้อยๆ ในช่วงอายุประมาณ 30-50 ปีขึ้นไป  แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในไลฟ์สไตล์ของคนเมืองมากขึ้น  สังเกตได้จากค่านิยมในการใช้มิวสิคโฟนผ่านทางมือถือ และเครื่อง MP3 การใช้โทรศัพท์มือถือนานๆ ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมได้

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าประสาทหูเสื่อมสภาพ ในขั้นต้นหากรู้สึกว่าได้ยินเสียงลดลง ได้ยินเสียงไม่ชัดเจนต้องตั้งใจฟังหรือให้คู่สนทนาต้องพูดซ้ำบ่อยๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อตรวจหาสาเหตุความบกพร่องทางการได้ยินพร้อมรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ  หรือปรึกษาศูนย์บริการด้านการได้ยิน เพื่อตรวจวัดระดับการได้ยินพร้อมรับคำปรึกษาและแนวทางฟื้นฟูการฟัง เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ


นี่เป็นเพียง 5 อันดับโรคยอดฮิตเรียกน้ำย่อยสำหรับคนเมืองยุคนี้  แต่ความเป็นจริงยังมีโรคภัยอีกมากมายที่คืบคลานเข้ามาหาตัวเรา  ถ้าเรายังเลือกทำแต่งาน  แล้วมองข้ามสุขภาพตัวเอง ... ใส่ใจตัวเองสักนิด หาความสมดุลให้กับชีวิต แล้วจะรู้ว่าชีวีตที่มีสุขเป็นอย่างไร
 
 
 
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #63 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2551, 18:40:46 »

อาหารเสริมสำหรับผู้ชาย และผู้หญิง‏

วณิชย์ - วิศวะ 16 ... ส่งมาจาก USA
  
10 อาหารเสริมน่ารู้ สำหรับผู้ชาย  
  
เกร็ดความรู้ สาระน่ารู้ เพื่อ สุขภาพ การจะเลือกซื้อ อาหารเสริม ให้กับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ชายหลายคนคิดจะสรรหา วิตามิน นับร้อยมากิน โดยเชื่อว่าวิตามินหรืออาหารเสริม จะช่วยป้องกันโรคและทำให้ สุขภาพ แข็งแรง แต่นั่นอาจเป็นความเชื่อที่ผิดได้  วันนี้เราจึงมี เกร็ดความรู้ เรื่อง 10 อาหารเสริมน่ารู้สำหรับคุณผู้ชายมาแนะนำกันค่ะ  หากคุณเป็นคนรักสุขภาพ ก็ไม่ควรพลาดกับ เกร็ดความรู้ เรื่องนี้




        การจะเลือกซื้ออาหารเสริมให้กับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ชายหลายคนคิดจะสรรหาวิตามินนับร้อยมากินคู่กับอาหารมื้อหลัd  เพื่อชดเชยสภาวะขาดแคลนปริมาณสารอาหาร  คนหนุ่มอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าวิตามิน หรืออาหารเสริมจะช่วยป้องกันโรคบางอย่า'  ไม่ต่างกับการสร้างภูมิต้านทาน

         ถ้าการมุ่งหน้าไปร้านขายยาเพื่อซื้ออาหารเสริมเพียงแค่ 1-2 ชนิด  ทำให้คุณต้องวุ่นวายกับข้อมูลจำนวนมากจนไม่สามารถจัดการกับข้อมูล หรืออาหารเสริมที่ต้องการได้  การสอบถามจากคนรอบตัว และการหาข้อมูลเพิ่มเติมจะช่วยคุณได้มากในขั้นตอนของการตัดสินใจว่าอะไรคืออาหารเสริมที่คุณต้องการจริงๆ


           1. กรดโฟลิก ( Folic Acid ) : มีคุณสมบัติช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลัน และอาการเส้นเลือดในสมองแตกในผู้ชาย คุณจึงควรหันมาให้ความสนใจกินอาหารที่มีกรดโฟลิก ซึ่งมีอยู่มากในผักใบเขียวทุกชนิด หรือหากต้องการบริโภคอาหารเสริมประเภทกรดโฟลิก การกินอาหารเสริมประเภทนี้ตามคำแนะนำของแพทย์จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

          2. กระเทียม ( Garlic ) : ช่วยลดความดันเลือด ลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย และช่วยในเรื่องการไหลเวียนของเลือดได้ นอกจากนี้การบริโภคกระเทียมเป็นประจำจะให้ผลต้านไวรัส ช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องเส้นเลือดสมองแตก และลดความเสี่ยงของการเกิดอาการหัวใจวาย และหากกินกระเทียมชนิดสดหรือกระเทียมที่นำไปปรุงอาหารเป็นประจำได้ จะเป็นการดีกว่า  อาหารเสริมประเภทกระเทียมควรจะเป็นทางที่สองสำหรับคุณ

            3. สังกะสี ( Zinc ) : คุณอาจไม่ทราบว่าผู้ชายเป็นเพศที่สูญเสียปริมาณสังกะสีในร่างกายได้ง่าย  เพราะทุกครั้งที่มีการหลั่งน้ำอสุจิ  สังกะสีปริมาณ 5 มิลลิกรัมซึ่งเป็นปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณสังกะสีที่ร่างกายต้องการต่อวัน จะถูกขับออกจากร่างกาย  ดังนั้นผลเสียที่ตามมาจากการที่ร่างกายขาดสังกะสีก็คือ ความต้องการทางเพศลดลง และโอกาสที่จะเป็นหมันสูง รวมทั้งสูญเสียประสิทธิภาพในการดมกลิ่น และรับรส  แหล่งที่มาของอาหารเสริมชนิดนี้ ได้แก่ อาหารทะเลจำพวกหอยนางรม ถั่ว เมล็ดพืช ธัญพืช และเนื้อสัตว์  ส่วนข้อควรระวังสำหรับการกินแร่ธาตุประเภทสังกะสีก็คือ ในกรณีที่คุณบริโภคสังกะสีมากกว่าวันละ 25มิลลิกรัม เป็นประจำอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และท้องผูกตามมา

           4. โสม ( Ginseng ) : มีประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูพลังงานทั้งร่างกายและสภาวะจิตใจ เมื่อคุณอยู่ในอาการที่เคร่งเครียด โสมจะช่วยให้ระดับกลูโคสอยู่ในระดับเป็นปกติ ทำให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย ช่วยให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น จากการวิจัยโสมยังช่วยยืดอายุเซลล์ และมีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเพศชายได้เป็นอย่างดี
 
           5. น้ำมันปลา ( Omega 3 ) : จากการศึกษาพบว่า โอเมก้า 3 มีกรดไขมันที่สำคัญหลายชนิดสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันเลือดสูง มีผลในการรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย  แหล่งที่มาของสารอาหารประเภทน้ำมันปลาตามธรรมชาติ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาแมคคอเรล ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาซาร์ดีน และปลาที่มีไขมันต่ำ แต่หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป  น้ำมันปลาก็จะเข้าไปเพิ่มระดับน้ำตาล  ซึ่งเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน

           6. กลูโคซามีน ซัลเฟต ( Glucosamine Sulfate ) : มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของไขข้อ การสร้างกระดูกอ่อน มีประสิทธิภาพในการป้องกันข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย  สามารถช่วยซ่อมแซมไขข้อ กระดูกอ่อน บรรเทาอาการเอ็นยึด และอาการกระดูกสันหลังเคลื่อน  มีประโยชน์อย่างมากเมื่อใช้ในผู้ชายที่มีอาการปวดหลัง ข้ออักเสบ หรือบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
 
          7. สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ซอว์ พาลเม็ตโต ( Saw Palmetto ) : สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ช่วยบรรเทาอาการต่อมลูกหมากโตชนิดไม่รุนแรง และช่วยกระตุ้นการหดตัวของต่อมลูกหมาก แต่ข้อเสียของสารสกัดชนิดนี้คือ  ผลข้างเคียงที่จะทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น นอกจากนี้หากยังไม่แน่ใจในวิธีการเลือกรับประทาน คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะซื้อหามาบริโภคด้วยตนเอง

          8. แคตส์ คลอว์ ( Cats Claw ) : เป็นสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่ง พบในอเมริกาใต้ ช่วเพิ่ม ภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และกำจัดเซลล์ผิดปกติ  แถมยังป้องกันการอักเสบการติดเชื้อไวรัส ป้องกันมะเร็งและช่วยให้การทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวดีขึ้น

          9. มิลค์ ทิสเซิล ( Milk Thistle ) : เป็นของเหลวจากพืชชนิดหนึ่ง ช่วยป้องกันตับเป็นพิษจากปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป รวมทั้งช่วยสร้างเซลล์ตับขึ้นมาใหม่ จากการที่ตับถูกทำร้ายด้วยไวรัสหรือตับเป็นพิษ ดังนั้น การกินมิลค์ ทิสเซิล มันน่าจะเหมาะสำหรับผู้ชายที่ชอบดื่มหนักเป็นประจำ

           10. อาหารเสริมกลุ่มแอนติออกซิแดนท์ ( Antioxidants ) : อาหารเสริมกลุ่มนี้มีคุณสมบัติช่วยต้านหรือลดการทำงานของอนุมูลอิสระ ไม่ให้เกิดการเผาผลาญหรือไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมากเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่ม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งมลพิษต่างๆ ในสภาวะแวดล้อมที่คุณต้องเผชิญ อาหารเสริมที่มีความจำเป็นในการใช้เพื่อต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี และซีลีเนียม

         นอกจากนี้ ผลการวิจัยจากหลายสถาบันยังกล่าวด้วยว่า ผู้ชายที่กินซีลีเนียมวันละ 200 มิลลิกรัมเป็นประจำ มีโอกาสเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ลำไส้ ปอด รวมทั้งมะเร็งอื่นๆ น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กินซีลีเนียมเป็นประจำกว่าร้อยละ 50  
 
สุขภาพสำหรับผู้หญิง วัย 40 ปีขึ้นไป



      วิตามิน และสารอาหารสำหรับดูแลสุขภาพผู้หญิงวัย 40  ปีขึ้นไป ... ถ้าผู้หญิงเรามีสุขภาพดีทั้งกายและใจ จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และความแข็งแกร่ง ในการทำหน้าที่ตามบทบาทต่าง ๆ ที่มีในชีวิตประจำวัน  และในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความสุขกับผู้คนรอบตัว โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทำงาน  มีภาระความรับผิดชอบด้านการงานและครอบครัวเพิ่มมากขึ้น  ก่อให้เกิดความเครียดการพักผ่อนน้อยและไม่มีเวลาดูแลตัวเอง

      ผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไปจะเริ่มมีภาวะขาดฮอร์โมนเพศหญิง ส่งผลกระทบต่อสมอง จิตใจ อารมณ์ มีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต อาการต่าง ๆ ที่จะสังเกตทราบได้มี

      1. ประจำเดือนไม่แน่นอน บางทีมาถี่ ๆ บางทีก็ทิ้งช่วงหลายเดือนสลับกับการมาสม่ำเสมออยู่ระยะหนึ่ง บางคนจะมีเลือดประจำเดือนออกแบบแปลก ๆ เช่น เลือดประจำเดือนมากกว่าปกติ หรือมาทุก 2-3 สัปดาห์

      2. อาการร้อนวูบวาบ ราว ๆ 3 ใน 4 ของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะมีอาการดังนี้ อาการร้อนวูบวาบจะรำคาญมากที่สุดใน 2-3 ปีแรกที่ประจำเดือนหมด โดยมีความรุนแรงและความถี่ หรือระยะเวลาเป็นสั้นยาว ต่าง ๆ กันไป ในผู้หญิงแต่ละคน แต่โดยมากจะบรรเทาเบาบาลงใน 1-2 ปี

      3. อาการนอนไม่หลับ ไม่ว่าจะเป็นความลำบากในการหลับหรือตื่นบ่อย ๆ กลางดึก หรือตื่นเช้ากว่าปกติ

      4. อารมณ์แปรปรวน เกิดอาการซึมเศร้า หรือหงุดหงิด

      5. ปัญหาของช่องคลอด  ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อของผนังช่องคลอดบางลง ความยืดหยุ่น และความหล่อลื่นลดลง ทำให้การร่วมเพศไม่สะดวกราบรื่น

      6. การเจริญพันธุ์น้อยลง เนื่องจากการตกไข่ไม่แน่นอนทำให้โอกาสตั้งครรภ์ลดลง แต่ก็อาจตั้งท้องได้ทุกเมื่อ จนกว่าประจำเดือนหยุดมาเป็นเวลา 1 ปีเต็ม

      7. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง ความเต่งตึงและความชุ่มชื้นของผิวหนัง มีผลจากการที่ร่างกาย สร้างสารคอลลาเจน เมื่อฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนลดลง การผลิตสารคอลลาเจนก็จะลดลงด้วย ผิวหนังของหญิงวัยหมดประจำเดือน จะเริ่มบางลง มีความยืดหยุ่นลดลง แห้ง และเหยี่ยวย่นง่ายขึ้น


อะไรจะเกิดขึ้นหลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ?

      นอกจากอาการต่าง ๆ ที่กล่าวถึงแล้ว ผลระยะยาวที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะเมื่อประจำเดือนหยุดมาอีกหลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนมีผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ เช่น



ภาวะกระดูกพรุน ( Osteoporosis )

      ซึ่งเป็นโรคของกระดูกที่เกิดจากกระดูกบอบบางลง มีรูพรุนมากขึ้น เพราะฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนทดแทนกระดูกเก่าที่สลายไป โดยกระบวนการดังกล่าวจะถึงจุดสูงสุดเมื่อผู้หญิงมีอายุ 25-30 ปี  เมื่อระดับเอสโตรเจนเริ่มลดลง ร่างกายสูญเสียกระดูกเร็วขึ้นกว่าการสร้างชดเชย  อันตรายที่ตามมาคือเวลาหกล้มจะพบว่ากระดูกหักง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสันหลัง และกระดูกสะโพก



โรคหัวใจขาดเลือด
 
      วงการแพทย์พบว่า  เอสโตรเจนช่วยปกป้องคุ้มครองไม่ให้ผู้หญิงเป็นโรคหัวใจ โดยช่วยเพิ่มระดับของไขมันโคเลสเตอรอลชนิดดี ( HDL ) และช่วยลดไขมันชนิดเลว ( LDL )  นอกจากนี้ยังทำให้เส้นเลือดแดงมีความยืดหยุ่น ทำให้เกล็ดเลือดไม่เกาะกลุ่มกัน เสริมความแข็งแรงของหัวใจ เมื่อให้เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเสริมแก่หญิงวัยหมดประจำเดือนทุกราย กลับปรากฏว่าผู้หญิงบางคน เมื่อได้เอสโตรเจนแล้ว เลือดในเส้นเลือดดำคั่งแข็งตัวง่ายขึ้น ดังนั้นการตัดสินใจจะใช้ฮอร์โมนเสริมหรือไม่  อย่างไรจึงต้องให้แพทย์พิจารณาตัดสินใจร่วมกับท่าน



ปัญหาทางเดินปัสสาวะ

ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อบุท่อปัสสาวะบางลง และความแข็งแรงของกระเพาะปัสสาวะลดลง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือทางเดินปัสสาวะติดเชื้อได้ง่าย

น้ำหนักขึ้น อัตราการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายหญิงวัยหมดประจำเดือนจะลดลง ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว ( อ้วนแบบลงพุง )



ผลกระทบในระยะยาวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในผู้หญิงสูงวัย 40 ปีขึ้นไป  ข้อมูลของโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่พบบ่อยในผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไปจำนวน 10 อันดับแรก ได้แก่
 
ไขมันในเส้นเลือดสูง ( ร้อยละ 79 )
กลุ่มอาการของสตรีวัยหมดประจำเดือน ( ร้อยละ 54 )
กระดูกบาง ( ร้อยละ 29 )
ความดันโลหิตสูง ( ร้อยละ 35 )
โรคเต้านม ที่ไม่ใช่มะเร็งเต้านม ( ร้อยละ 30 )
กรดยูริคในเลือดสูง ( ร้อยละ 29 )
โรคอ้วน ( ร้อยละ29 )
โรคกระดูกพรุน ( ร้อยละ 29 )
ข้ออักเสบ ( ร้อยละ 20 )
เบาหวาน ( ร้อยละ 6 )
 
ปัญหาทุพโภชนาการ ( ขาดสารอาหาร ) เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งปัญหาดงกล่าวเป็นผลมาจากความเสื่อมทางด้านสรีระ โดยเฉพาะระบบการย่อย และดูดซึมสารอาหาร  ภาวะการเปลี่ยนแปลงทางการดำรงชีวิต เช่น สภาพทางเศรษฐกิจ กิจกรรมในชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่ง ปัญหาการเบื่ออาหาร การรับประทานอาหารโดยไม่คำนึงถึงประเภทที่หลากหลาย และครบถ้วนของสารอาหาร ทำให้มีโอกาสขาดวิตามิน และแร่ธาตุสูง  ดังนั้นการดูแลสารอาหารที่ควรได้รับจึงมีความสำคัญ และต้องมีความครบถ้วนอย่างพอดี  ต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้น




สารอาหารที่จำเป็นต่อผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป

      สารอาหารที่ช่วยปรับสมดุลระบบฮอร์โมน เช่น ไฟโตเอสโตรเจน จากาถั่วเหลือง เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้หญิงวัยนี้โดยไฟโตเอสโตรเจนจะมีบทบาทเป็นฮอร์โมนทดแทน แบบธรรมชาติ ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน ลดระดับไขมันในเลือดซึ่งจะก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตามมา ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม และป้องกันกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน การรับประทานสารอาหารที่ให้ไฟโตเอสโตรเจน จะมีความปลอดภัยกว่าการรับประทานฮอร์โมนทดแทนเนื่องจากการรับประทานฮอร์โมนทดแทน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม โรคหัวใจและหลอดเลือด



สารอาหารบำรุงกระดูก
 
      แคลเซี่ยม ช่วยเพิ่มมวลกระดูกสูงไม่เพียงพอ ทำให้กระดูกแตกหักได้ง่าย แม้จะได้รับการกระแทกเพียงเล็กน้อย ในผู้หญิงวัยนี้การเสริมแคลเซี่ยมจึงมีความจำเป็นอย่างมาก
 
วิตามินดี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซี่ยมได้ดีขึ้น  เพื่อความมั่นใจว่าร่างกายจะได้รับแคลเซี่ยมได้อย่างเต็มที่



 
สารอาหารบำรุงสมอง
 
สารสกัดจากใบแปะก๊วย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง ทำให้ผนังหลอดเลือด มีความยืดหยุ่นและแข็งแรงอีกทั้งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคความจำเสื่อม และยังมีคุณสมบัติช่วยลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะอุดตันในหลอดเลือดสมอง



สารอาหารบำรุงสายตา
 
     วิตามิน เอ มีหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็นโดยเฉพาะในการที่มีแสงสว่างน้อย ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน (Night bllndness)
 
      ลูติน สารประกอบกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากที่สุดบริเวณจุดศูนย์กลางของเรตินา ช่วยดูดซับแสงสีน้ำเงินก่อนจะมีผลเสียต่อดวงตา มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเรตินา และเลนส์ตา




สารอาหารบำรุงระบบประสาท ช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหาร และบำรุงโลหิต

      เมื่ออายุมากขึ้น การทำงานของระบบประสาทจะต้องด้อยลง การดูดซึมสารอาหาร และประสิทธิภาพในการเผลผลาญอาหารก็ลดลงด้วย ส่งผลให้ผู้หญิงวัยนี้มีโอกาสขาดวิตามินได้แทบทุกตัว กลุ่มวิตามินที่บทบาทสำคัญในการบำรุงระบบประสาท ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญสารอาหารได้ดีคือ กลุ่มวิตามินบี ซึ่งยังมีความสำคัญต่อขบวนการสร้างเม็ดเลือด เพื่อให้สามารถนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ได้อย่างทั่วถึง  ทำให้ร่างกายพร้อมเผชิญกับภารกิจได้ตลอดวัน

สารอาหารต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความชรา

อนุมูลอิสระ เป็นสารพิษที่เกิดขึ้นตลอดเวลาภายในร่างกาย  ปกติร่างกายเราสามารถกำจัดได้เองระดับหนึ่ง  แต่เมื่อคนเราสูงวัยขึ้น ประสิทธิภาพการกำจัดจะลดลง ทำให้เกิดความเสื่อมของร่างกาย  ผลของความเสื่อมที่เราเห็นคือ ผิวขาดความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอย  ขณะเดียวกันก็เกิดความเสื่อมของอวัยวะภายในร่างกาย ทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ความจำเสื่อม มะเร็ง ฯลฯ ดังนั้น จึงควรได้รับสารต้านอนุมูลอิสระที่มีปริมาณมากพอ และมีความหลากหลายที่จะช่วยเสริมฤทธิ์กัน เพื่อชะลอความเสื่อมและการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี โคแอนไซม์ คิวเทน กรดอัลฟา ไลโปอิก รูติน และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น สังกะสี ซิลิเนียม


กลุ่มแร่ธาตุที่จำเป็น

      แร่ธาตุที่มีความจำเป็นในกระบวนการเผาผลาญ  เพื่อให้ได้พลังงานของร่างกายในการใช้ชีวิตประจำวัน ช่วยเรื่องต้านความเครียด และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย  เสริมสร้างสุขภาพที่ดี ได้แค่ ธาตุเหล็ก สังกะสี แมกนิเชี่ยม โครเมียม

คำแนะนำในการเลือกซื้อ

     ในปัจจุบัน มีสูตรวิตามินและสารอาหารต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้นผ่านการคัดสรรทั้งชนิด และปริมาณที่เพียงพอ บรรจุในแคปซูลนิ่ม เพื่อความสะดวกในการดูแลสุขภาพผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไปโดยเฉพาะ ดังนี้

ประโยขน์ต่อสุขภาพ   :   วิตามิน/สารอาหาร

ปรับสมดุลระบบฮอร์โมน  :  สารสกัดจากจมูกถั่วเหลือง
บำรุงกระดูก  :  แคลเซี่ยม วิตามินดี 3
บำรุงสมอง  :  สารสกัดจากไบแป๊ะก๊วย
บำรุงสายตา  :  วิตามิน เอ, ลูติน
บำรุงระบบประสาท / ช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหาร บำรุงโลหิต :  กลุ่มวิตามินบี  ได้แก่ บี1 , บี2 , นิโคตินาไมด์ แคลเซี่ยม แพนโทธีเนต , บี6 , บี12 , กรดโฟลิก , ไบโอติน , ไอโนซิทอล
ต้านอนุมูลอิสระ และชลอความชรา  :  วิตามิน อี , วิตามิน ซี , ซิลีเนี่ยม , โครเอ็นไซม์คิวเทน, กรดอัลฟา ไลโปอีก, รูติน , ไบโอฟลาโวนอยด์
แร่ธาตุที่จ่ำเป็นต่อสุขภาพ  :  ธาตุเหล็ก , ธาตุสังกะสี , แมกนิเซี่ยม , โครเมี
ยม
  
7 สุดยอดอาหารสำหรับผู้หญิง

กีวี
เป็นผลไม้ที่ มีระดับของ วิตามินซีสูงที่สุดชนิดหนึ่ง เรียกว่าเกือบ 2 เท่าของ วิตามินซี ที่จะได้จากส้ม 1 ผล เลยทีเดียว วิตามินซีเป็นตัวช่วยให้ ร่างกายดูดซับ ธาตุเหล็ก และโฟเลตอันเป็นสารอาหาร ที่ผู้หญิงต้องการ มากที่สุดได้ดีขึ้น โดยปริมาณของกีวีที่ผู้หญิงต้องการ ในแต่ละวันนั้นก็เพียง ครึ่งผลเท่านั้น จะให้พลังงานเพียง 46 แคลอรี่  

เต้าหู้ถั่วเหลือง
      เต้าหู้ถั่วเหลือง 1 ชิ้นจะให้ปริมาณโปรตีนสูง ยิ่งกว่านั้นในเต้าหู้ถั่ว เหลือง ยังมีสารที่เรียกว่า ฟีโตฮอร์โมน เป็นสารที่จะช่วย ให้การทำงาน ของฮอร์โมนเอสโตรเจน และพวกต่อมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการมีประจำเดือน ของผู้หญิงทำงานอย่างเป็นปกติ ต่อไปนี้ คุณคงจะต้องเพิ่มเต้าหู้ถั่วเหลือง ในมื้อใด มื้อหนึ่งของวันซะแล้วล่ะคะ  

ถั่วลิสง
      เป็นอาหารอีกชนิดที่อุดมไปด้วยโปรตีน ซึ่งนอกจากประกอบไปด้วย ใยอาหารจำนวนมาก ที่จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหาร ของคุณทำงาน อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การรับประทานถั่วลิสง ยังให้ประโยชน์สูงสุด ในหนึ่งมื้อ ควรจะรับประทานถั่วลิสงให้มากกว่า 7-8 กรัมขึ้นไป เพราะร่างกาย นั้นต้องการ ไฟเบอร์ถึง 25-30 กรัม ต่อหนึ่งวัน  

ข้าวกล้อง
      ข้าวกล้องให้ สารอาหารอันเป็น ประโยชน์แก่ร่างกาย มากกว่าข้าวขาวถึงเท่าตัว โดยเฉพาะ วิตามิน บี อี รวมไปถึงโฟเลต ที่เป็นสารอาหารสำคัญ ที่จะปกป้องคุณ จากการเป็น โรคหัวใจ ที่สำคัญ วิตามิน อี ในข้าวกล้อง ยังมีประโยชน์ ต่อการทำงาน ของร่างกาย หลายๆ ส่วน รวมไปถึงเรื่อง สมรรถภาพทางเพศอีกด้วย
 
กะหล่ำ
      หรือที่รู้จักกันว่าเป็นผักต้านมะเร็ง ซึ่งนอกจากต้านมะเร็งแล้ว สารอาหาร ในกะหล่ำ ยังมีคุณสมบัติ ช่วยฟื้นฟูเซลล์ ภายในร่างกายอีกด้วย ที่สำคัญผักกะหล่ำ สามารถให้ผู้หญิง นำไปทำได้หลายเมนูไม่มีเบื่อ
 
มันฝรั่ง
      แค่มันฝรั่งผลขนาดพอเหมาะ ก็สามารถให้วิตามินเอ คุณได้อย่างเพียงพอ วิตามินเอที่มากับ มันฝรั่งนี้เอง จะช่วยคุณ ในเรื่องของ สุขภาพตา สุขภาพของ เส้นผม รวมไปถึงสุขภาพฟันให้แข็งแรง

แซลมอน
      นอกจากจะเป็นอาหารที่มีไขมัน และแคลอรี่ต่ำแล้ว แซลมอนยัง มีสารอาหารสำคัญอย่าง โอเมก้า 3 อีกด้วย นอกจากนี้ก้างปลาอ่อนๆ ของแซลมอนยังเป็น แหล่งแคลเซียม ที่สำคัญสำหรับผู้หญิง เพื่อป้องกันการเป็น โรคกระดูกพรุน ที่อาจจะเกิดขึ้น ในอนาคต

 
      อาหารทั้ง 7 อย่างเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของอาหารอีกหลากชนิดที่มีให้เราเลือกทาน แต่ก็นับว่าเป็นอาหารสำคัญ สำหรับผู้หญิงในการดูแลสุขภาพตัวเอง  ดังนั้นการบริโภคของที่มีประโยชน์บ้างก็จะดีมาก แล้วก็ตามใจปากตัวเอง ให้น้อยลงสักหน่อย เท่านี้คำว่า สวยสุขภาพดี จะไปไหนเสีย
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #64 เมื่อ: 03 มกราคม 2552, 02:16:51 »

บุหรี่ไฟฟ้า สำหรับคนอยากเลิกบุหรี่

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07... ส่งมา

ผมเชื่อว่า กระทู้นี้น่าจะเป็นกระทู้ที่เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่ผมเคยตั้งหรือเขียนมา แม้จะสำหรับคนบางคน หรือบางกลุ่มก็ตาม  แต่คนที่ไม่อยู่ในกลุ่มที่ผมจะพูดถึงก็ควรอ่านครับ ( อย่างน้อยก็เพื่อคนที่คุณรัก ) ... ก่อนอื่น ผมจำเป็นต้องสารภาพความจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ในโลกไซเบอร์คุณไม่มีทางรู้ว่าคนที่คุณคุยด้วยเป็นคนอย่างไร  อย่าตกใจจะครับ ผมไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร แต่ผมเป็นคนที่ติดบุหรี่ครับ สูบตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือจนถึงปัจจุบัน รวมแล้วก็เกิน 20 ปีครับ ถ้าไม่เข้าโรงพยาบาลก็ไม่เคยหยุดสูบแม้แต่วันเดียว จากวันละไม่กี่มวน จนเป็นเฉลี่ยวันละ 1-2 ซอง



ลูกสาวพยายามขอร้องให้ผมเลิก ทั้งขู่ ทั้งอ้อนวอน ( ด้วยแววตาที่คุณสามารถให้ทุกอย่างในโลกได้ ) ผมก็พยายามให้สัญญา แต่คนที่ติดบุหรี่แถมต้องทำงานใช้สมองคงหาโอกาสเลิกได้ยากครับ  ยอมรับว่าบางครั้งน้ำตาร่วงเวลาลูกขอร้องให้เลิก  เรื่องอุปกรณ์ช่วยเลิกบุหรี่ เช่น หมากฝรั่ง แผ่นติด ฯลฯ ผมลองมาแทบทุกอย่าง ที่จริงหมากฝรั่งผมได้รับจากหมอสมัยเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ( ตอนนั้นก็ตั้งใจจะเลิก ) แต่ก็ไม่สำเร็จครับ ( ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ) ล่าสุดลูกสาวบอกผมว่า นอนฝันร้ายทุกคืนเพราะผมสูบบุหรี่ ต้องเป็นมะเร็งตาย ( หรือเป็นโรคตามรูปบนซองบุหรี่ )  ซึ่งบังเอิญว่าในวันเดียวกันนั้น ผมได้อ่านข่าวผู้จัดการเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ( หรือ E-Cigarrete ) หลังจากนั้น พยายามศึกษาและในที่สุดก็ลองสั่งมา  ตอนที่สั่งค่อนข้างมั่นใจในผลของมันครับ คือคิดว่าแทนที่บุหรี่จริงได้ 100% หรือหากไม่ได้ ผมก็ตัดสินใจว่าจะใช้มันครับ เพราะอะไร? เพราะ E-Cigarette เป็นเทคโนโลยี่ที่จะสร้างความรู้สึกเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ แต่ไม่มีสารพิษใดๆ ที่ทำให้เกิดโรคร้ายทั้งหมด ( ซึ่งสิ่งอันตรายทั้งหมด มาจากใบยาสูบ เช่น สารหนู น้ำมันดินหรือทาร์ ฯลฯ ) ตั้งแต่มะเร็งปอด มะเร็งคอ หลอดลม ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจ และอีกมากมาย ฯลฯ ไม่มีคาร์บอนมอนนอกไซต์ ( ที่เกิดจากการเผาใหม้ ) หมายความว่า ควันที่ออกมาไม่เป็นอันตรายต่อคนรอบข้าง (ที่จริง ไม่ใช่ควันครับ เป็นละอองน้ำหรือไอน้ำ ที่ภาษาฝรั่งเขาเรียก Vapor ไม่ใช่ Smoke ) สามารถสูบในห้องได้


 
สิ่งที่ผู้สูบเจ้าบูหรี่ไฟฟ้าจะได้รับมีอย่างเดียวก็คือ นิโคติน ครับ เหมือนกับที่เคี้ยวหมากฝรั่งเลิกบุหรี่ทุกประการ  นิโคติน หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม  ก็ช่วยให้ผ่อนคลาย  แต่ข้อเสียของมันเลวร้ายเหลือคณานับก็คือ " มันเสพติด " ครับ  ใครได้ลอง ( ในปริมาณ  และระยะเวลาหนึ่ง ) แล้วจะขาดมันไม่ได้ ( นิโคติน มีอยู่ในมะเขือเทศ แต่ผมเข้าใจว่ามีปริมาณน้อย )
 
ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด เป็นเหตุผลที่ผมบอกว่า แม้เจ้าบุหรี่ไฟฟ้าที่สั่งไปจะยังส่งมาไม่ถึง และยังไม่ได้ลองว่าเป็นอย่างไร แต่ผมก็ตัดสินใจจะสูบมันแน่นอนครับ ต่อให้มันจะไม่เหมือนบุหรี่จริงก็ตาม  แต่ถ้าช่วยให้ผมไม่สูบบุหรี่จริงได้ผมก็ยอมครับ ( คิดถึงแต่ลูก อ้อ ... และภรรยาด้วย ที่จริงก็คนรอบข้างผมทั้งหมดครับ ทุกคนขอร้องมานาน ) และในที่สุด วันที่ผมรอคอยก็มาถึง กล่องพัสดุวางอยู่ข้างหน้า ผมแกะเจ้าบุหรี่ไฟฟ้าออกมาและทดลองในทันที ผลหรือครับ บอกได้คำเดียวว่า " มันยอดเยี่ยมมากๆ " ครับ ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับบุหรี่จริง

ทุกวันนี้ ผมไม่ได้สูบบุหรี่จริงอีกเลย ( ประมาณ 2 อาทิตย์ ) ร่างกายดีขึ้น หายใจสะดวกขึ้น เหนื่อยน้อยลง และที่สำคัญ ไม่รู้สึกว่าขาดบุหรี่เลยครับ ในขณะที่ยังเลิกไม่ได้ ผมสามารถสูบบุหรี่ได้โดยไม่เป็นอันตรายและไม่เสี่ยงกับโรคร้าย และสามารถลดปริมาณนิโคตินลงได้ ( เขามีใส้ที่บรรจุนิโคตินขนาดต่างๆ ตั้งแต่มากสุด คือ 16-24 mg จนถึงไม่มีเลย คือ 0 mg ) แม้จะเป็นขนาดมากที่สุด แต่ก็เป็นปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
 
ที่ผมเขียนมาทั้งหมด เพื่อจะยืนยันว่า บุหรี่ไฟฟ้า ใช้ได้จริง ผมไม่ได้มาโฆษณา ( และจะไม่บอกว่าผมใช้ยี่ห้ออะไรหรือซื้อที่ไหน ) แต่ผมอยาก "แนะนำ" ให้คนที่ติดบุหรี่ เปลี่ยนมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทนครับ ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่กำลังสนใจแต่ไม่แน่ใจว่ามันจะเวิร์คหรือไม่ ผมรับประกันว่าเวิร์คครับ  สำหรับน้องๆ ที่มีคุณพ่อสูบบุหรี่  รีบไปซื้อมาโดยด่วนครับ  ให้ของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตให้ท่าน ท่านจะได้อยู่กับเรานานๆ และไม่เกิดโรคร้าย


  
สำหรับราคา ( ผมไม่แน่ใจว่าที่จริงมีโรงงานผลิตแห่งเดียวหรือเปล่า และเป็น OEM ให้กับหลายยี่ห้อ ข้อมูลผมอาจไม่ 100% แต่บุหรี่ไฟฟ้าเป็นของจีน โดยทุนในการวิจัยและพัฒนาได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลจีน  เพราะคนจีนสูบบุหรี่กันมากและสูบมันทุกที่ ใครที่เคยไปจีนจะทราบว่า ที่นั่นคือสวรรค์ของพวกขี้ยา ) มีตั้งแต่ $30 ไปจนถึง $300 เหรียญ หรือแบบเดียวกัน  คล้ายกันทุกอย่าง แต่ขายราคาต่างกัน ตั้งแต่ $30-$200 ดังนั้น เลือกให้ดีครับ ไม่จำเป็นต้องซื้อของแพง ผมมีเว็บที่จะแนะนำ 1-2 แห่งครับ แต่อาจจะมีที่อื่น ลองค่อยๆ ศึกษาดูครับ ( ค่าส่งมาเมืองไทย เริ่มต้นประมาณ $20-$25 )
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #65 เมื่อ: 03 มกราคม 2552, 22:04:54 »

อึ้ง ! ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่เสี่ยงโรคไต-กระดูก-มะเร็ง-ประสาท

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07... ส่งมา



เตือนเส้นก๋วยเตี๋ยว ยิ่งนุ่ม เหนียว อยู่ได้นาน ยิ่งอันตราย โดยเฉพาะเส้นใหญ่อันตรายที่สุด แฉโรงงานผลิตกว่าร้อยละ 50 ไม่ได้มาตรฐาน ชี้กระบวนการผลิตมีวัตถุกันเสียปนเปื้อนอื้อ แถมใช้น้ำมันเก่าผสมน้ำมันพืช มีสารก่อมะเร็ง สารส้ม ก่อให้เกิดโรคประสาท ไตอักเสบ ระบบกระดูก และโรคมะเร็ง

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ที่อาคารเอส เอ็ม ทาวเวอร์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ( สกว. ) แถลงข่าว " แกะซอง มองเส้น มหันตภัยร้ายแฝงเร้นในก๋วยเตี๋ยว " โดยมี ผศ.ดร.บัณฑิต อินณวงศ์ ผู้ประสานงานชุดโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ( เอสเอ็มอี ) ฝ่ายอุตสาหกรรมกล่าวว่า ได้ออกสำรวจโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเส้นก๋วยเตี๋ยว ตั้งแต่ปี 2549-2551 พบว่าโรงงานส่วนใหญ่มีปัญหาตั้งแต่วัตถุดิบ กระบวนการผลิต การจัดการตัวผลิตภัณฑ์ การขนส่งตัวแทนจำหน่าย และร้านค้าที่ผลิตเมนูก๋วยเตี๋ยว เกี่ยวกับการผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวอย่างถูกวิธี รวมไปถึงผู้บริโภคที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริโภคก๋วยเตี๋ยวอย่างถูกต้อง เพราะคนซื้อไม่ได้มีความรู้ในการเลือกซื้อเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ถูกสุขลักษณะ อีกทั้งคนกินก็ไม่เคยทราบว่า เส้นก๋วยเตี๋ยวที่กินเข้าไปนั้น ผลิตอย่างไร จึงทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากการรับประทานเส้นก๋วยเตี๋ยวโดยไม่รู้ตัว

ผศ.ดร.บัณฑิตกล่าวอีกว่า จากการสำรวจโรงงาน 10 แห่ง ปี 2551 พบว่า โรงงานทั้ง 10 แห่ง เกิน 50% ใช้สารที่ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าปลอดภัยต่อร่างกายหรือไม่ เนื่องจากทุกโรงงานต่างใช้น้ำมันหัวเชื้อที่ยังไม่มีผลวิจัยสรุปได้ว่าน้ำมันหัวเชื้อซึ่งเมื่อผสมกับน้ำ มีลักษณะคล้ายน้ำนมนั้น มีสารเคมีชนิดใดผสมอยู่บ้าง เพราะ 80% จากการตรวจสอบยังไม่พบสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แต่ 20% ที่เหลือยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีอันตรายหรือไม่

ทั้งนี้การผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยว ยังเติมสารวัตถุกันเสียหลายชนิดเพื่อให้เส้นก๋วยเตี๋ยวเหนียว นุ่ม อยู่ได้นานตามความต้องการของผู้บริโภค หรือพ่อค้า แม่ค้า แต่ในความเป็นจริง เส้นก๋วยเตี๋ยวหากไม่ใส่วัตถุกันเสีย โดยเฉพาะเส้นใหญ่ที่มีสารวัตถุกันเสียมากปนเปื้อนมากกว่าเส้นเล็ก เส้นบะหมี่ หรือเส้นหมี่ เพราะเป็นเส้นที่เสียเร็วที่สุด เก็บไว้ได้เพียง 2-3 วันเท่านั้น ดังนั้นเส้นก๋วยเตี๋ยวที่โรงงานผลิตเพื่อจัดจำหน่ายอยู่ในขณะนี้ เก็บได้ถึง 7 วัน แสดงว่าใช้วัตถุกันเสียเยอะมาก

ส่วนวัตถุกันเสียที่ใช้มาก ได้แก่ สารส้ม หรือแอมโอเนียม อะลูมินัม ซัลเฟต ที่พบมาก และปริมาณที่ใช้เกินกว่าที่กำหนดไว้ตามมาตรฐาน น้ำดื่มบรรจุขวดไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ในเส้นก๋วยเตี๋ยวมีปริมาณอะลูมินัม อยู่ 620 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หมายความว่า หากรับประทานก๋วยเตี๋ยว 1 ชามต่อวัน มีเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามประมาณ 100 กรัม แสดงว่าได้รับอะลูมินัมประมาณ 64 มิลลิกรัมต่อ 1 ชาม หากรับประทานตลอดทั้งวัน คือ 3 มื้อจะได้รับอะลูมินัม 184 มิลลิกรัม

และหากรับประทานก๋วยเตี๋ยวสัปดาห์ละ 7 มื้อ ก็จะได้รับ 22.32 กรัมต่อปี ซึ่งจากงานวิจัยในต่างประเทศ หากคนเราได้รับอะลูมินัมต่ำกว่า 5 มิลลิกรัมต่อวัน จะไม่ส่งผลต่อสุขภาพ แต่เมื่อร่างกายได้รับตั้งแต่ 50-200 ไมโครกรัมต่อลิตร จะทำให้เกิดผลต่อระบบการทำงานของระบบประสาท การทำงานของไต และกรวยไตต้องทำงานหนักมากกว่าปกติก่อให้เกิดการอักเสบ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #66 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2552, 11:22:18 »

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

จากการอบรม เรื่องเกี่ยวกับการทำ GMP ของโรงงานผลิตอาหารต่างๆ  วิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้าน Clean food มีเกร็ดต่างๆมาเล่าให้ฟัง เลยสรุปมาเล่าสู่กันฟัง พอเป็นสังเขป จริงๆ มีมากกว่านี้

1. พวกขนมปังปี๊บ กระบวนการผลิตบางแห่งไม่ดี ไส้สับปะรด เป็นมันแกวหรือพืชอื่น ๆ กวนใส่น้ำตาล  และใส่กลิ่นกับแกนสัปปะรดไปนิดหน่อย

2. เชอรี่บนขนมเค้กราคาถูกตามตลาดสด คือ มะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น  แล้วย้อมสีแดง ( ผงฟอกสีทำให้เป็นโรคไต )  พวกที่ใช้สารฟอกสีอื่นๆ เช่น มะม่วงกวน ( แผ่นใส ๆ )  ยอดมะพร้าวขาว ๆ

3. ซูชิ ในตลาดนัดที่อากาศร้อน  แบคทีเรียจะเจริญเติบโตเร็ว  ชูชิต้องเสริฟเย็นเท่านั้น

4. เอแคลร์ กับลูกชุบ หรือขนมอะไรที่ต้องมีการปั้น ๆ ถู ๆ  ต้องพึงระวังสุขอนามัย ควรซื้อกับร้านค้าที่รู้จัก  หรือมีชื่อเสียงเท่านั้น

5. ลูกอมสีอื่น ๆ เช่น ฟ้า เขียว ม่วง เป็นสีที่ขาย ไม่ดี ไม่ควรซื้อเพราะใช้สีที่เก็บไว้นาน  ทานลูกอมสีแดง ขาว ได้

6. ปลายหน้าร้อนต่อต้นหน้าฝน  ไม่ควรกินอาหารทะเล  เพราะฝนเริ่มตกจะชะฝุ่นบนพื้นดินลงทะเล  และสัตว์ทะเลจะกินเข้าไป จะมีแต่ไวรัส แบคทีเรีย โอกาสท้องเสียมีสูง

7. พวกอาหาร Pack สำเร็จมา wave ที่บ้าน  wave ได้ครั้งเดียวเท่านั้น  ไม่ควรล้าง Package มาใส่อาหารแล้ว wave ซ้ำ  เพราะสารพิษจะออกมา

8. โยเกริ์ตต่างๆ จะมีแป้งผสมอยู่ประมาณ 20% ควรทานโยเกริ์ต Home made ถ้วยเล็ก ๆ  ( ลองหยดไอโอดีนพิสูจน์ดูก็ได้  ถ้ามีแป้งผสมอยู่  จะพบว่าโยเกริ์ตเป็นสีน้ำเงิน )

9. น้ำปลาเปิดขวดแล้ว ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน

10. ระวังเชื้อราตามคอขวดน้ำจิ้มต่างๆ ที่เปิดใช้แล้ว

11. กระดาษหนังสือพิมพ์  อย่าเอามาห่อผักแช่ตู้เย็น ( มีสารพิษจากหมึก )

12. อาหารกระป๋องถ้าใช้ไม่หมด  ควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่น  แช่ตู้เย็น

13. ฟองน้ำล้างจานที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้ ( เป็นน้ำๆ )  ทิ้งไว้ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง  แบคทีเรียจะเติบโต  ควรเททิ้งไป

14. อาหารหมักดองต้องระวังมีไวรัสที่ทำลายกล้ามเนื้อ  ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง  ผักกาดดองตามท้องตลาด  ในโรงงานบางแห่งจะมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด ( ใช้คนลงไปในอ่างดอง  เราไม่แน่ใจว่าคนนั้นๆ มีโรคหรือไม่ )  ควรใช้ผักกาดดองกระป๋องที่เชื่อถือได้

15. เบียร์สดจะไม่ถูกกรองยีสต์ที่ตายแล้วออก  เราจะกินศพยีสต์เข้าไปด้วย ( เบียร์ขวดจะถูกกรองไปแล้ว )  แต่กินได้ ไม่เป็นไร

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #67 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2552, 22:07:11 »

หมอยัน " น้ำผลไม้ให้โทษมากกว่าให้คุณ "

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา
 
ขอให้ช่วยกันรณรงค์ให้เลิกนำน้ำผลไม้กล่องถวายพระ  โดยเฉพาะหลวงปู่ และพระสูงอายุองค์อื่นๆ  เพราะเป็นการทำบาป ถวายยาพิษให้พระ โดยไม่รู้ตัว  ช่วยบอกต่อกันหน่อยนะ


  
แฟนของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐท่านหนึ่งใช้นามแฝงว่า นายเกษตร ระยอง เขียนจดหมายเข้ามาสอบถามข้อเท็จจริงของน้ำผลไม้ผ่านคอลัมน์สารพันปัญหา ของอ๊อด เทอร์โบ ฉบับวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 ... ข้อสงสัยหลักใหญ่ใจความก็คือ  น้ำผลไม้ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือไม่ ?


 
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรรณี นิธิยานันท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาต่อมไร้ท่อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์  ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า ในปัจจุบันสังคมไทยเน้นไปในเรื่องของอาหารเพื่อสุขภาพ  อะไรก็ตามที่มีนัยแสดงว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ  คนก็จะนิยมบริโภค  ทั้งๆ ที่บางครั้งสินค้าตัวนั้นก็แทบจะไม่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพเลย  คุณหมอวรรณีบอกว่าถ้านำน้ำหวานกับน้ำผลไม้มาเปรียบเทียบกัน น้ำผลไม้ก็ยังมีประโยชน์ มากกว่าน้ำหวาน  เพราะยังมีสารอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายอยู่บ้าง
 
" แต่น้ำผลไม้ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายนั้น จะต้องเป็นน้ำผลไม้คั้นสด ย้ำว่าคั้นสดๆ  และต้องไม่ผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหาร เพราะถ้าผ่านกระบวนการผลิตแล้ว สารอาหารทั้งหมดของน้ำผลไม้ก็จะหายไปทันที แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากนำน้ำผลไม้ทุกรูปแบบมาเปรียบเทียบกับผลไม้สดทั้งผลแล้ว  น้ำผลไม้ก็แทบจะไม่ให้ประโยชน์ อะไรต่อร่างกาย "

นี่คือความจริง ... ของน้ำผลไม้ที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้ว  คุณหมอวรรณีบอกว่า ตอนนี้เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพของคนไทยมาแรง  หันไปทางไหนมีแต่คนต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ  แต่มักจะขาดความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพอย่างถูกต้อง

ผู้บริโภคจำนวนมากต่างสนับสนุนให้คนที่ตนรักดื่มน้ำผลไม้  เพราะเชื่อว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย  แต่ในมุมกลับกันหากน้ำผลไม้ที่นำมาดื่ม  ไม่ได้เป็นน้ำผลไม้คั้นสดแล้ว  ร่างกายของคนที่คุณรักก็จะได้แค่น้ำตาล  บวกกับกลิ่นของผลไม้ และตัวน้ำเท่านั้น  ร่างกายไม่ได้ประโยชน์จากสารอาหารในน้ำผลไม้อย่างที่คาดหวังเลย  เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป  โรคอ้วนก็เข้ามาทำความรู้จัก  แล้วก็พาไปสู่โรคอื่นๆ อีกมากมาย  ยิ่งถ้าเป็นผู้ป่วยเบาหวานแล้ว  ก็จะทำให้น้ำตาลขึ้นมาก  ส่งผลร้ายแทรกซ้อนตามมา

คุณหมอวรรณีขอแนะนำว่า  ถ้าอยากจะดื่มน้ำผลไม้  ให้ดื่มน้ำเปล่า  แล้วทานผลไม้ทั้งลูก  เพราะร่างกายจะได้สารอาหารที่แท้จริง  รวมไปถึงกากใยอาหารเพื่อไปดูดซับไขมัน  และ ช่วยในระบบขับถ่าย
 


นายแพทย์ฆนัท ครุธกูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ และโภชนวิทยาคลินิก ศูนย์หัวใจหลอดเลือด และเมแทบอลิซึม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี  มหาวิทยาลัยมหิดล ขอตั้งคำถามว่าเราจะดื่มน้ำผลไม้ไปเพื่ออะไร ?  
 
ความเข้าใจแรกที่ว่า ดื่มน้ำผลไม้แล้ว ผิวพรรณจะสวย เรื่องนี้ก็ยังไม่มีงานวิจัย ทางการแพทย์ออกมายอมรับ   ส่วนความเข้าใจที่ว่า ดื่มน้ำผลไม้แล้วร่างกายจะได้ประโยชน์  งานวิจัยทางการแพทย์ก็ยืนยันว่า  ในภาวะของคนที่มีร่างกายปกติ  เน้นคำว่า ปกติ  ไม่มีข้อมูลยืนยันว่า การดื่มน้ำผลไม้  แล้วจะส่งผลดีต่อสุขภาพ  แต่งานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่าน้ำผลไม้จะส่งผลดี  เฉพาะคนป่วยที่ขาดวิตามินเท่านั้น  เช่น  คนป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด  เป็นต้น

คุณหมอฆนัทบอกว่า  นอกจากน้ำผลไม้จะให้ประโยชน์กับคนป่วยที่เป็นโรคขาดวิตามินแล้ว  คนสูงอายุที่ไม่มีฟันที่จะเคี้ยวอาหาร  ก็มีความจำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำผลไม้สด  แต่หมอขอแนะ ให้เป็นผลไม้สดปั่นจนเป็นน้ำจะดีกว่า เพราะร่างกายจะได้กากใยอาหารด้วย
 
ประการสำคัญ ต้องให้ผู้สูงอายุทานในระดับที่พอดี  ส่วนความเชื่อที่ว่าน้ำผลไม้  ยิ่งดื่มมากยิ่งได้ประโยชน์นั้น  คุณหมอฆนัทขอทำความเข้าใจอีกครั้งว่า ในชีวิตประจำวันหากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  กินอาหารครบ 5 หมู่  ดื่มน้ำสะอาด  ร่างกายก็ได้รับสารอาหาร ในจำนวนที่เพียงพอแล้ว  แทบไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำผลไม้เพิ่มเลย  หมอขอย้ำว่า ร่างกายต้องการสารอาหารในระดับพอดี อย่าไปเชื่อว่า ยิ่งได้รับมากยิ่งดี
 
มีคนไข้ของหมอรายหนึ่งป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง  จากประวัติของคนไข้มาพบหมออย่างสม่ำเสมอ  แต่วันร้ายคืนร้ายก็ถูกหามมาส่งที่โรงพยาบาล  แพทย์เวรก็รับเข้าห้องไอซียูทันที  สอบถามญาติก็รู้ว่าก่อนหน้าที่จะมาโรงพยาบาล  คนไข้ดื่มน้ำผลไม้ปั่นไป 2 แก้ว  จากการดื่มน้ำผลไม้ 2 แก้วนี้เอง  จึงส่งผลให้โปแตสเซียมในเลือดขึ้นสูง  หัวใจจึงเต้นผิดจังหวะ  แต่โชคดีที่คนไข้มาถึงโรงพยาบาลได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นโอกาสคงรอดน้อยเต็มที
 
กรณีตัวอย่างของคนไข้รายนี้  ชัดเจนว่าร่างกายต้องการสารอาหารในระดับที่พอดี  ถ้าได้รับมากเกินไป ก็จะเกิดปัญหา '" ในภาวะคนที่ไม่ปกติ  เช่น  ผู้ที่ ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง  การบริโภคน้ำผลไม้มากเกินไปก็อาจจะมีอันตรายถึงชีวิต "  นอกจากนี้ การบริโภคน้ำผลไม้มาก ก็อาจส่งผลให้คนปกติกลายเป็นโรคอ้วน  มีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด  เช่น  โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง

ส่วนความเข้าใจเรื่องสุดท้าย ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า น้ำผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระ  ต่อต้านเซลล์มะเร็งนั้น หมอขอบอกว่า " ยังไม่มีงานวิจัยมายืนยันว่า  สารต้านอนุมูลอิสระจากน้ำผลไม้จะต่อต้านมะเร็งในคนได้ " เพราะฉะนั้นหมออยากให้คนนิยมดื่มน้ำผลไม้นั้น  ลองตอบคำถามว่า  คุณจะดื่มไปเพื่ออะไร ?


 
งานวิจัยเรื่อง " การวิเคราะห์คุณสมบัติการต่อต้านอนุมูลอิสระและปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ของประเทศไทย " ปี พ.ศ.2549 ของปาจรีย์ อับดุลลากาซิม นักศึกษาปริญญาโท สาขาโภชนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี  ม.มหิดล กรุงเทพมหานคร พบว่า เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีคุณสมบัติของสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้น  ต้องเป็นเครื่องดื่มที่ยังไม่ผ่านกระบวนการในการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหารในทุกรูปแบบ  ไม่ว่าจะเป็นทั้งพาสเจอไรส์  และสเตอริไรส์
 
ปาจรีย์ นำเครื่องดื่มที่โฆษณาว่าเพื่อสุขภาพ 10 ชนิด มาเข้าห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์  พบว่าเครื่องดื่มที่ได้ผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหารมาแล้ว  จะทำให้สารต้านอนุมูลอิสระหายไปมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์  และมีเครื่องดื่มบางชนิดที่ไม่เหลือสารต้านอนุมูลอิสระให้เห็นเลย  สิ่งที่คงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงในเครื่องดื่มที่โฆษณาว่าเพื่อสุขภาพก็คือ 'น้ำตาล'  เพราะฉะนั้นการโฆษณาของน้ำผลไม้บางพวกที่บอกว่า ในน้ำผลไม้จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ  คงจะขัดแย้งกับงานวิจัยฉบับนี้

วันนี้ ปาจรีย์ เรียนจบปริญญาโทแล้ว เธอได้เข้ามาทำงานเป็นนักวิจัยทางโภชนาการให้กับเครือข่าย 'คนไทยไร้พุง' ของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย  ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส. )

ปาจรีย์บอกว่า น้ำผลไม้ที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาดนั้น  จะมี 3 แบบ
 
แบบที่ 1  เรียกว่า น้ำผลไม้คั้นสด
 
แบบที่ 2  เรียกว่า น้ำผลไม้เข้มข้น

แบบที่ 3  เรียกว่า น้ำผลไม้แบบผสม

วิธีการทำน้ำผลไม้ที่เธอเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ  น้ำผลไม้เข้มข้น  และน้ำผลไม้แบบผสม  ขั้นตอนการทำน้ำผลไม้ทั้ง 2 แบบนี้จะทำให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหายไป

สิ่งที่น่าเป็นห่วงต่อมา น้ำผลไม้บางยี่ห้อโฆษณาว่ามีเนื้อผลไม้อยู่ในกล่อง  แต่ข้อมูลที่ปาจรีย์ได้รับกลับตรงกันข้าม  เนื้อผลไม้ในกล่องของน้ำผลไม้ส่วนใหญ่  ไม่ได้เป็นเนื้อผลไม้ที่มาจากธรรมชาติที่แท้จริง  แต่มาจากการใส่สารเติมแต่ง เช่น แป้งแปลงรูป ( Modified starch )  ซึ่งจะทำให้เกิดเนื้อผลไม้เทียม ( Pulp ) ขึ้นมา

นอกจากนั้น ในกระบวนการผลิตน้ำผลไม้  ยังมีการใส่สารแขวนลอย ( Stabilizer ) สารเติมแต่ง ( Additives ) วัตถุเจือปนอาหาร ( Food Additives ) น้ำ, น้ำตาล, กรด  รวมไปถึงการปรุงแต่งกลิ่นรสให้ถูกปากของผู้บริโภค  ปาจรีย์บอกว่าข้อมูลการทำน้ำผลไม้แบบนี้  ไม่ใช่เธอคนเดียวที่รับรู้  นักศึกษาที่เรียนด้านโภชนศาสตร์ และด้านเทคโนโลยีอาหารในทุกระดับ ต่างรับรู้กันหมด

แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย  ที่ผู้นิยมดื่มน้ำผลไม้ส่วนใหญ่  ไม่ได้มีโอกาสที่จะรับรู้ข้อมูลเหล่านี้
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #68 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2552, 15:55:08 »

" อึ " กับ " ใบหน้า " ใกล้กันยิ่งกว่าที่คิด

สุชาดา - เศรษฐศาสตร์ 16 ... ส่งมา

   

       ใครเคยอึแล้วหันกลับไปมองมันอย่างพินิจพิจารณาบ้าง ?  ไม่มี !  ยิ่งทุกวันนี้เครื่องสุขภัณฑ์หรูหราทันสมัย  อึก็ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่ถูกทำให้ " ห่างเหิน " จากเจ้าของมันมากขึ้น  ทั้งๆ ที่อึนั่นแหละคือ " สัญญาณ " ที่ดีของระบบสุขภาพคนเรา  เพราะมันจะสะท้อนว่าเรากินอะไรเข้าไป  และร่างกายซึมซับได้มากน้อยแค่ไหน  ซึ่งสัญญาณเหล่านี้สุดท้ายก็ส่งผลต่อความอ่อนวัยของใบหน้าคนเราด้วย  " อึ " จึงสัมพันธ์กับ " ใบหน้า " อย่างใกล้ชิด !!

         เพื่อเป็นการเปลี่ยนทัศนคติใหม่เกี่ยวกับอึให้ทุกคน  เราจึงนำเรื่องราวดีๆ จากงานเสวนาหัวข้อ " อึ ดั๊นลอยฟ่อง เพราะกินของดี ดีท็อกซ์ เดลี หน้าใสนะคะ " ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1  โดยมีนักโภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งสาวๆ หน้าใสมาเป็นผู้ให้รายละเอียด

         เริ่มจาก อัจฉรา พรไพศาลสกุล นักโภชนาการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท อธิบายให้เห็นภาพการเดินทางของอาหาร หลังจากผ่านเข้าสู่ปาก แล้วถูกย่อยด้วยกระเพาะอาหาร  ก่อนจะส่งต่อไปยังลำไส้เล็กจนถึงลำไส้ใหญ่ " อาหารจะตกอยู่ในลำไส้ประมาณ 60-100 ชั่วโมง " แต่เนื่องจากว่าระบบการย่อยของคนเราถูกสร้างขึ้นมาสำหรับสัตว์กินพืช  ลำไส้จึงไม่เชี่ยวชาญในการย่อยเนื้อ  จึงทำให้เกิดคราบตกค้างตามซอกของลำไส้  ซึ่งนานวันมันก็จะเกิดการสะสมและเป็นสาเหตุของอาการท้องผูก

         ดังนั้น เราต้องกินผักซึ่งเป็นไม้กวาดลำไส้  ซึ่งจะอยู่ในลำไส้ไม่เกิน 1 วัน  จะช่วยชะล้างคราบเหล่านั้นออกไปพร้อมกันด้วย  ควรรับประทานผักอย่างน้อย 1 ถ้วยต่อวัน  เพื่อทำให้ขนาดของอึพอดีกับลำไส้  และขับเคลื่อนผ่านไปได้สะดวก

        อึ สามารถบอกได้ว่าใครสุขภาพดีทั้งร่ายกาย และใบหน้าอย่างไร   พ.ญ. เรขา กลลดาเรืองไกร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 ได้วิเคราะห์ลักษณะของอึในแต่ละรูปแบบว่า เจ้าของอึเลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้องหรือไม่  พร้อมอยากให้ทุกคนได้เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ โดยหันหลังกลับไปดูสิ่งที่ขับถ่ายออกไป ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อจะได้เข้าใจสุขภาพของตัวเองได้ถูกต้อง

       " อึ " ที่ลอยฟ่อง เป็นก้อนแตกกระจาย ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่เป็นก้อนยาวๆ ถ่ายได้ง่ายโดยไม่ต้องเบ่ง สีเขียวขี้ม้า หรือเหลืองทอง บ่งบอกว่าลำไส้ใหญ่สะอาด ไม่มีคราบตะกอนหมักหมม  ถือเป็นคนที่เลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้อง และมีสุขภาพดี

        ส่วนถ้าใคร " อึ " เป็นก้อน จมน้ำ แต่ไม่ถึงกับเหม็นมาก สีค่อนข้างคล้ำ แสดงว่า กินเนื้อสัตว์เยอะกว่าผัก ถือว่า เป็นคนสุขภาพปานกลาง ซึ่งควรจะต้องรับประทานผักให้มากกว่านี้

        แต่ถ้าสังเกตดูแล้วเห็นว่า " อึ " ติดชักโครกเป็นคราบเหนียวหนึบหนับ  จับเป็นก้อน  มีกลิ่นเหม็นตลบอบอวล สีออกน้ำตาลดำ เข้าขั้นน่าเป็นห่วง เพราะบ่งบอกว่า สุขภาพย่ำแย่  เนื่องจากกินแต่เนื้อสัตว์ ไขมัน แป้งขัดขาว หรือข้าวขาวที่ไม่มีเส้นใย และที่สำคัญไม่ได้มีผักในอาหารแต่ละมื้อเลย

        " อึ " ที่เข้าข่ายวิกฤติ และต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน  เพราะอาจก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ได้ คือ อึที่ เหนียวข้น สีดำเข้ม มีเลือดออกมากับอุจจาระ  มีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูกบ่อยๆ น้ำหนักตัวลดเร็ว และเบื่ออาหาร  ควรแก้ไขโดยการกิน ผักผลไม้เยอะๆ  รวมถึงธัญพืชที่มีไฟเบอร์สูง ซึ่งจะช่วยดูดซึมและขนถ่ายโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไปใช้ประโยชน์มากขึ้น  ช่วยเพิ่มเนื้ออุจจาระ ทำให้ขนาดพอเหมาะกับการบิดตัวของลำไส้ใหญ่  ลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็ง และท้องจะไม่ผูกอีกต่อไป

        การดื่มน้ำเยอะๆ วันละ 6-8 แก้ว กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกาย และขับถ่ายเป็นเวลา จะทำให้สุขภาพดีและมีใบหน้าที่สดใส อ่อนกว่าวัย  ... เชื่อ ไม่เชื่อ ก็ต้องลองนำไปใช้กันดู  พร้อมทั้งอย่าลืมพิสูจน์ " อึ " ของตัวเองหลังปล่อยออกมาทุกครั้ง เป็นวิถีทางที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบสุขภาพของตัวเอง


แถมอีกเรื่องละกันนะ

" ตะลึง "... คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่าเวลาผ่าศพ  จะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ  บางศพมีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 โล ... แล้วเป็นเพราะอะไร ? ? ?

เค้าว่า " อุจจาระตกค้าง " เนื่องมาจาก

1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
2. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า

หากถ่ายอุจจาระหลังเวลา 7 โมงเช้า  ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน  เวลาถ่ายจะถ่ายไม่หมด  แต่ไม่รู้ตัว  ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวมาจ่อปลายทวาร  ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึ  หลัง 7 โมงเช้าลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ  บีบอุจจาระให้ขาดช่วงเวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว  เราก็หยุด  แต่ความจริงอุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออกแต่มันถูกดันกลับขึ้นไป  ไม่มาจ่อปลายทวารทำให้เราไม่ปวดอึ  เราก็นึกว่าหมดแล้ว  อุจจาระที่ค้างไว้นี้ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้  พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่ามันก็แซงหน้าไปก่อน  แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้  พวกที่ค้างแข็งไว้ก็เกาะติดแน่น

ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย  มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลว  ส่วนที่เหลือก็เกาะไปเรื่อย ๆ  อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่างๆ ในกระเพาะ  และกดทับกระดูกหลัง  ทำให้เกิดอาการมากมายเช่นท้องอืด  ปวดหลังปวดขา  ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก  เวียนหัว  อ่อนเพลีย  นอนไม่หลับ  เป็นฝ้า ไมเกรน และอื่น ๆ

การนำอุจจาระตกค้างออก  จึงจำเป็นต้องหาว่าเป็นที่สาเหตุใดใน 5 สาเหตุข้างต้น  แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่มก็จะรู้ได้  สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาให้ตรวจ  ก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน  แล้วลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้

1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้30 นาที  ดื่มก่อนนอน  เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวันหรือ
3-4 วันต่อสัปดาห์  แล้วแต่จะชอบ

2. นมสด 2 กล่อง ( รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร )  และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก  ทานก่อน 6 โมงเช้า  ช่วงแรกควรทานติดกัน 3 วัน  หากถ่ายก่อน 7 โมงเช้าเป็นปกติได้แล้ว  ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ ตามที่เห็นสมควร

3. ทานผักบุ้ง 2 กำมือ  ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ  ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา


ด้วยความปรารถนาดี

กัญญนัท เวชศรีชนา

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #69 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2552, 07:36:04 »

19 ways to refresh your eyes

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา



1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลง อย่าให้ลมเย็นพ่นเข่าตาโดยตรง เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้

2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆ และหาซื้อได้ไม่ยากเลย  แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหารแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว

3. อย่ามองข้ามมันเทศ ของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย  วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด

4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วยป้องกันต้อหินให้คุณ

5. อย่าขี้เกียจเดิน  เพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้ง  จะช่วยลดความดันในกระบอกตา ทำให้สายตาเป็นปกติ

6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา

7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัด  อาหารพวกนี้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ  รวมทั้งสายตาของคุณด้วย

8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอ เพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา

9. ตรวจวัดความดันโลติตเป็นประจำทุกเดือน  ความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก  จึงไม่ควรมองข้ามการวัดความดัน  ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที

10. สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดดอย่างเดียว  อาจจะสู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว  หมวกปีกกว้างจึงเป็นอุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้  เพื่อป้องกันรังสียูวีที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด

11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างเครื่องสำอางค์ทุกคืน  เพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะเหลือตกค้างอยู่เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวงตาจนเกิดการติดเชื้อ

12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน  ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวมของสารลูเทอิน และซีอาแซนธินที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคต้อกระจกและยิ่งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย ( คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยนะ )

13. ผักบีตสดๆ เป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้  ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในกระบอกตา  ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์  ทำให้ตาคุณสวยและใส

14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัด  เพราะคนที่ติดรสเค็มจะมีโอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด

15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ  เพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณสะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร  เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่

16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลลา หรือเปปเปอร์มินต์ มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมอง ซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง  ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดีขึ้นได้แล้ว  ว้าว ! ! ง่ายจัง

17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป แม้การอ่านหนังสือก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆทุกๆ 30 นาที  เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลียหรือล้าถาวร

18.กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง  ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท

19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือน  ทุกครั้งที่มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ  จะต้องมีความสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ติดมาด้วย  เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป  มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคไปโดยปริยาย

 
 
 
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #70 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2552, 19:24:32 »

ลมชัก เรื่องใกล้ตัว

โดย : บุษกร ภู่แส น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ วันเสาร์ ที่ 26 ธันวาคม 2552

                      

         นพ.ช่อเพียว เตโชฬาร ผู้เชี่ยวชาญประสาทศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย

         คนทั่วไปมักคิดว่าอาการชักกระตุกเกร็งและหมดสติเท่านั้นถึงจะเป็นโรคลมชัก แต่แท้จริงแล้วการชักมีหลายรูปแบบ บางรูปแบบอาการคล้ายคนไข้จิตเวช 5-6 ปีก่อน ป้าใจ เจ้าของร้านของของชำถูกคนมองว่า เธอเป็นโรคจิต ขณะที่ลูกค้ากำลังซื้อของในร้าน ป้าใจหันหลังกลับเดินขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขื้น

         อาการเบลอ เหมือนลืมตัวใจลอยไปชั่วครู่ของป้าใจ ใครต่อใครต่างลงความเห็นว่า  เธอเข้าข่ายจิตเวช แต่หลังจากพบแพทย์ถึงรู้ว่าแท้จริงแล้วอาการดังกล่าวเป็นอาการของโรค

         "ลมชัก"

         ผศ.นพ.ช่อเพียว เตโชฬาร  ผู้เชี่ยวชาญประสาทศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ความกระจ่างว่า  คนทั่วไปมักคิดว่าอาการชักกระตุกเกร็งและหมดสติเท่านั้นถึงจะเป็นโรคลมชัก แต่แท้จริงแล้วการชักมีหลายรูปแบบ อาการชักบางรูปแบบอาการคล้ายคนไข้จิตเวช เช่น อยู่ๆ หัวเราะขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

         แพทย์ที่ศึกษาเรื่องลมชักสามารถบอกได้เลยว่า อาการหัวเราะแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเป็นลมชักแบบพิเศษชนิดที่เรียกว่า  " Gelastic epilepsy "  สามารถผ่าตัดรักษาได้  นอกจากนี้คนไข้บางคนยังมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น ขโมยของโดยไม่รู้สึกตัว  บางรายมีอาการงง  เบลอ  นิ่งเหม่อบ่อย ไม่ค่อยรู้ตัว

         คุณหมอเล่ากรณีตัวอย่างให้ฟังว่า มีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนหนังสือหน้าชั้นเรียนอยู่ดีๆ  แล้วเกิดอาการยื่นนิ่งไปเฉยๆ เหมือนเรากดปุ่ม pause ของเครื่องวีดิโอ  สักพักก็สอนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  หลังสังเกตดูอาการก็พบว่าเป็นอาการของโรคลมชัก

         การวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โรคลมชักทั้งหลายอาศัยการวินิจฉัยจากประวัติ และอาการที่ผู้ป่วยหรือญาติเล่าให้ฟัง เพราะขณะมาพบแพทย์ผู้ป่วยส่วนใหญ่หยุดชักแล้ว  ผู้ป่วยลมชักอาจมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง  ต้องแยกให้ได้ว่านี่เป็นอาการทางจิตเวช หรือมีโรคของสมองกันแน่

         " ผมเคยพบคนไข้ที่รักษาอาการทางจิตเวช  จนกระทั่งวันหนึ่งปวดหัวอาเจียนหมดสติ  พอตรวจอย่างละเอียดแล้วพบว่ามีเนื้องอกขนาดใหญ่ในสมอง " อาจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

         ผศ.นพ.ช่อเพียว เสริมว่า อาการชักอาจเป็นเพียงอาการอย่างหนึ่งของโรคบางอย่าง ( Epileptic seizure ) หรืออาจจะเป็นโรคลมชักที่มีการชักเป็นอาการหลัก ( Epilepsy )  สามารถแบ่งอาการชักดังนี้

         ชักแบบมี "จุดกำเนิด " ที่บอกได้ชัดเจนว่าเริ่มที่จุดใดจุดหนึ่งในสมองจะมีอาการชักกระตุกหรือเกร็งเฉพาะที่  ผู้ป่วยลักษณะนี้จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุอย่างจริงจัง  เมื่อตรวจภาพของสมองด้วยคอมพิวเตอร์แล้ว  มีโอกาสสูงที่จะพบเนื้องอกในสมอง  กลุ่มหลอดเลือดผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดในสมอง  หรือตัวอ่อนพยาธิขึ้นสมองและอื่นๆ  หากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคที่เป็นเหตุให้ชัก  อาจรุกลามทำให้สมองเสียหาย

         ต่อมาชักแบบ " ไม่มี " ความชัดเจนว่าจุดที่ปล่อยไฟฟ้าออกมารบกวนนั้นเริ่มที่จุดใด  อาจมีหลายจุดเกิดขึ้นพร้อมกันทำให้รบกวนสมองทั่วไปในวงกว้าง  หรือมักมีต้นกำเนิดอยู่ลึกบริเวณแกนกลางสมอง  จึงมักเป็นอาการหมดสติ เกร็งแล้วจึงแขนขาและหน้ากระตุกที่บางคนเรียกว่า " ลมบ้าหมู "   การรักษาก็มักเป็นการใช้ยากิน หรือฉีดเพื่อควบคุม และป้องกันตลอดชีวิต

         และสุดท้ายการชักแบบที่มีอาการหลายๆ อย่าง ( complex partial seizure )  อาจจะออกมาในรูปของการกระทำเป็นการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างซับซ้อน  เหมือนคนกำลังทำกิจกรรมหรือแสดงพฤติกรรมบางอย่าง  ไม่ใช่เป็นการกระตุกของกล้ามเนื้อ

         " ความจริงการชักพวกนี้เป็นการชักที่เจอบ่อย  แต่คนมักไม่คิดว่าเป็นอาการชัก  ทำให้คนไข้ไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง  และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง  ทั้งที่ความจริงการชักมียารักษาควบคุม  ยกเว้นถ้ายาช่วยไม่ได้ สามารถรักษาด้วยการผ่าตัด "

        ผู้เชี่ยวชาญประสาทศัลยแพทย์บอกว่า  อันตรายจากอาการชัก ก็คือผู้ป่วยจะควบคุมตนเองไม่ได้  นอกจากการชักเกร็งหมดสติแล้ว ยังอันตรายหากอยู่ในระหว่างการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ ขับรถ ว่ายน้ำ อยู่หน้ากองไฟ  ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคลมชัก มีโอกาสทำให้เสียชีวิตได้

        ขณะเดียวกัน หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสมองโดยรวม หรือเฉพาะจุดมากขึ้นเรื่อยๆ  เริ่มจากเสียหน้าที่ชั่วคราวแต่ระยะยาวจะเสียหายอย่างถาวร  ทำให้สมองเสื่อม  ความสามารถในการทำงานลดลงในอัตราที่เร็วกว่าคนทั่วไป  จนบางครั้งถึงกับช่วยตัวเองไม่ได้

        สำหรับวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยลมชัก  ปกติผู้ป่วยที่ชักมักจะหยุดชักได้เองในที่สุด  แต่หากระหว่างการชักได้รับการดูแลไม่ถูกต้อง  อาจมีผลให้สมองขาดออกซิเจน  สำลัก กระดูกหักได้  อย่าเอาสิ่งของใดๆ ไปงัดปากหรือใส่ปาก  ให้จับผู้ป่วยนอนตะแคงหน้าข้างให้น้ำลายไหลออก  ให้อยู่ในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเท

        หากผู้ป่วยชักเกิน 2 ครั้งใน 5 นาที  หรือ ชักนานเกิน 15นาที  ให้รีบพาผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลใกล้เคียง  เพื่อฉีดยาให้หยุดชักโดยทันที และดูแลในระยะแรกจนพ้นอันตรายแล้ว  จึงส่งมาตรวจหาสาเหตุเบื้องลึกต่อไป

        “ จริงๆ แล้ว การรักษาโรคลมชัก สำคัญที่สุดอยู่ที่ต้องวินิจฉัยให้ได้ก่อน  หากแพทย์ที่รักษาคนไข้สามารถวินิจฉัย และส่งต่อได้เร็ว  นั่นหมายถึงโอกาสการรักษาให้หายขาดก็มีมากขึ้น  ส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น  คนใกล้ชิดผู้ป่วยเองก็ต้องช่วยสังเกตอาการเพื่อนำส่งแพทย์เพื่อรักษาตรงกับสาเหตุ  การให้ความรู้ในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่อยากรณรงค์ให้คนทั่วไปได้ทราบ  เพื่อการสังเกต และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับคนใกล้ชิด ”

นำมาเพื่อให้พวกเราได้ทราบ จาก

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20091226/92708/%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7.html

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #71 เมื่อ: 27 ธันวาคม 2552, 12:57:17 »

โรคพิษสุนัขบ้า

ข่าวด่วน เนชั่นทันข่าว วันอาทิตย์ ที่ 27 ธ.ค. 2552  เวลา 11:18 น.

                            

         นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยเกี่ยวกับสถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้า ว่า
        
         จากการประเมินในปี 2552 พบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 ถึงขณะนี้ทั่วประเทศพบผู้ป่วย 24 รายใน 10 จังหวัด ได้แก่

         กาญจนบุรี 4 ราย ราชบุรี 2 ราย สุพรรณบุรี 2 ราย ระยอง 2 ราย นนทบุรี ปราจีนบุรี สมุทรสาคร ตาก จังหวัดละ 1 ราย กรุงเทพมหานคร 7 ราย สงขลา 3 ราย เนื่องจากไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันหลังถูกกัด

         ขณะที่ปี 2551 มีผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้า 9 ราย ทั้งนี้ประชาชนบางส่วนเข้าใจผิดว่าโรคพิษสุนัขบ้าเกิดในฤดูร้อนเท่านั้น แท้จริงแล้วพบได้ทุกฤดูกาล โดยเฉพาะฤดูหนาวที่เป็นฤดูผสมพันธุ์ของสุนัข โดยสุนัขตัวผู้จะได้รับเชื้อจากการต่อสู้แย่งชิงตัวเมีย คนติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าจะแสดงอาการป่วยประมาณ 4 วัน จนถึง 3-4 ปีก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1 ปี และ เสียชีวิตทุกราย เพราะไม่มียารักษา

        ได้สั่งการให้ สสจ.ทั่วประเทศเผยแพร่ความรู้โรคพิษสุนัขบ้าให้ประชาชนทราบ เพื่อป้องกันการเสียชีวิต ด้าน นายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า

        โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดต่อจากสัตว์มาสู่คนที่มีความรุนแรงมาก อาการคือมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว คันบริเวณรอยแผลที่ถูกสัตว์กัด อาการคันลามไปที่อื่น ต่อมาจะหงุดหงิด น้ำลายไหลมาก กล้ามเนื้อคอกระตุกเกร็ง บางรายอาจมีอาการแขนขาอ่อนแรง มักป่วยประมาณ 2-6 วัน และเสียชีวิตทุกราย

            ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

        การป้องกันที่ได้ผลที่สุด คือ

1.เลี้ยงสุนัขอย่างรับผิดชอบ นำไปรับการฉีดวัคซีน

2.ลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการถูกสุนัขกัด

3.หากถูกกัดให้กักสุนัขไว้เพื่อสังเกตอาการ รีบล้างแผลใส่ยา และ

4.พบแพทย์ทันที เพื่อฉีดวัคซีนจนครบ การรักษาเมื่อเกิดอาการโรคแล้วไม่มี มีแต่

การฉีดวัคซีนป้องกันไม่ให้เป็นเท่านั้น ที่จะช่วยชีวิตผู้ถูกสุนัขบ้ากัดได้

         โดยมีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเฉลี่ยปีละกว่า 400,000 ราย

         ทั้งนี้สุนัขทุกวัยมีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ในลูกสุนัขจะได้รับเชื้อมาจากแม่ขณะเลียปากลูก สุนัขที่เป็นโรคนี้จะมีอาการทั้งชนิดซึมและชนิดดุร้าย ชนิดซึมสุนัขมักซุกตัวในมุมมืด ถ้าถูกรบกวนอาจจะกัด บางตัวอาจมีอาการคล้ายมีกระดูกติดคอ เจ้าของจึงเข้าใจผิดพยายามใช้มือล้วงปากสุนัขเพื่อหาเศษกระดูก ทำให้ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าได้ ส่วนชนิดดุร้าย สุนัขจะมีอาการทางประสาท กระวนกระวาย หงุดหงิด ดุร้าย กัดทุกสิ่งที่ขวางหน้า ในระยะสุดท้ายสุนัขจะมีขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อย น้ำลายไหล วิ่งไม่มีจุดหมาย เป็นอัมพาต และตายในที่สุด

นำมาจาก

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=423815&lang=&cat=

            ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #72 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552, 07:44:02 »


                

         อาจารย์ทองใบ ทองเปาด์

เรื่อง

สิทธิของคนไข้

ตามข้างล่างนี้

          

       เมื่อผู้ป่วยมีสิทธิดังกล่าว ก็ต้องมีหน้าที่ดุแลสุขภาพให้แข็งแรง

ถ้าไม่ทำหน้าที่ ควรร่วมจ่ายบ้างบางส่วน เพื่อกระตุ้นให้ดูแลสุขภาพ

จะได้สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย ทำให้ค่ารักษาพยาบาลลดลง และ
เป็นการกระตุ้นให้ ร่วม  รักนะ สร้างสุขภาพ แทน ซ่อมสุขภาพ

เพราะไม่อยากเสียเงิน ดีไหมพวกเรา ดูกระทู้ไม่ดูแลสุขภาพควรให้

ร่วมจ่ายบ้าง เป็นด้านที่ 3 ของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ด้วย

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3947.0.html


          ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #73 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2552, 10:08:05 »

น้องหมอ สำเริงคะ

โอโฮ หมอช่อเพียว ดูต่างกับตอน 30ปีที่แล้วชนิดที่จำไม่ได้เลยค่ะ คุณหมอเป็นน้องที่พี่หาญรักมาก

พี่แอ๊ะ ก็เป็นโรคลมชักในสมองค่ะ

มีอาการวูบ แบบฝันไป ชั่วขณะ ในเวลาไม่หลับนะคะ แต่พอรู้สึกตัว ก็ไม่ทราบว่า ฝันเรื่องอะไร

พี่แอ๊ะรีบไปทำ ecg  เข้าเครื่อง ดู สมองตลอด24 ชั่วโมง

ตอนเเรกเข้าเครื่อง ชั่วโมงเดียว หาไม่เจอค่ะ

เลย admit เข้าเครื่อง 24 ชั่วโมง จึงพบลมชักในสมอง

และทำ mri ต่อ

ตอนนี้ต้องทานยา 3-5 ปี ค่ะ อยู่ในความดูแลของคุณหมอ ......โรคลมชัก ร.พ กรุงเทพ ค่ะ จำชื่อไม่ได้แล้วค่ะ สงสัยเป็นอัลไซเมอร์แล้วเราอิๆๆๆๆ


น้องติ๊บเรียนจบรับปริญญาแล้วค่ะ

ขอบคุณน้องสำเริงมากที่ช่วยดูแล ตอนไปฝึกงานที่ พนมสารคาม นะคะ


ส่งรูปมาให้ดูผลิตผลของร.พ พนมสารคามนะคะ ขอบคุณ ขอบคุณ





      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #74 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2552, 12:20:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 29 ธันวาคม 2552, 10:08:05
น้องหมอ สำเริงคะ

โอโฮ หมอช่อเพียว ดูต่างกับตอน 30ปีที่แล้วชนิดที่จำไม่ได้เลยค่ะ คุณหมอเป็นน้องที่พี่หาญรักมาก

พี่แอ๊ะ ก็เป็นโรคลมชักในสมองค่ะ

มีอาการวูบ แบบฝันไป ชั่วขณะ ในเวลาไม่หลับนะคะ แต่พอรู้สึกตัว ก็ไม่ทราบว่า ฝันเรื่องอะไร

พี่แอ๊ะรีบไปทำ ecg  เข้าเครื่อง ดู สมองตลอด24 ชั่วโมง

ตอนเเรกเข้าเครื่อง ชั่วโมงเดียว หาไม่เจอค่ะ

เลย admit เข้าเครื่อง 24 ชั่วโมง จึงพบลมชักในสมอง

และทำ mri ต่อ

ตอนนี้ต้องทานยา 3-5 ปี ค่ะ อยู่ในความดูแลของคุณหมอ ......โรคลมชัก ร.พ กรุงเทพ ค่ะ จำชื่อไม่ได้แล้วค่ะ สงสัยเป็นอัลไซเมอร์แล้วเราอิๆๆๆๆ


น้องติ๊บเรียนจบรับปริญญาแล้วค่ะ

ขอบคุณน้องสำเริงมากที่ช่วยดูแล ตอนไปฝึกงานที่ พนมสารคาม นะคะ


ส่งรูปมาให้ดูผลิตผลของร.พ พนมสารคามนะคะ ขอบคุณ ขอบคุณ

สวัสดีครับพี่แอ๊ะ

         ขอร่วมแสดงความยินดี กับ หมอกระติ๊บด้วย และ ได้นำไปโพสต์บอกชาวร.พ.พนมฯ

ทางเวบบอร์ด ร.พ.แล้วที่

http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=thecrow&id=1741

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><