16 เมษายน 2567, 16:39:13
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 5 6 [7]  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรียนมาเพื่อทราบ ให้สุขภาพแข็งแรง  (อ่าน 261229 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #150 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 12:13:21 »


แพทย์ไทยค้นพบ " รักษาเบาหวานหายขาดได้ "

เศรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

แพทย์ไทยสุดเจ๋ง !  ต่อยอดใช้ " ยามะเร็ง " รักษา " เบาหวาน " ไม่ต้องตัดอวัยวะทิ้ง สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ( มติชนออนไลน์ )

ศูนย์การแพทย์ " มศว. " เจ๋ง  วิจัยต่อยอดการใช้ยามะเร็ง รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน  ไม่ต้องตัดนิ้วมือ-เท้า-แขน-ขา สำเร็จครั้งแรกของโลก ใช้ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้แข็งแรง  กินเชื้อโรค-เนื้อตาย พร้อมสร้างงอกใหม่ หายใน 2 เดือน

ผศ.นพ. ณรงค์ชัย ยิ่งศักดิ์มงคล แพทย์ศัลยกรรมทั่วไป ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ( มศว. ) และหัวหน้าโครงการวิจัยเรื่องวิธีใหม่ในการรักษาแผลที่เท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เปิดเผยเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2553 ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ในการประชุมศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย ที่พัทยา จ.ชลบุรี ได้นำเสนองานวิจัยในโครงการวิจัย เพื่อหาแนวทางใหม่ในการรักษาแผลที่เท้าผู้ป่วยเบาหวาน โดยการใช้ยา " อิมมูโนไคน์ " ( IMMUNOKINE ) หรือ WF 10 มาใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวาน ไม่ต้องถูกตัดนิ้วเท้า ตัดเท้า หรือตัดขาได้สำเร็จ ถือเป็นการวิจัยโดยใช้ยาอิมมูโนไคน์รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นครั้งแรกของโลก  เพราะยังไม่เคยมีประเทศใดทำมาก่อน  แม้แต่ประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นผู้ผลิตยาชนิดนี้  และเร็วๆ นี้ งานวิจัยดังกล่าวจะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ

ผศ.นพ.ณรงค์ชัย กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีผู้ป่วยโรคเบาหวานมากถึง 4 ล้านคน หากผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานนานๆ จะเกิดภาวะแทรกซ้อน จะเกิดการตีบตันของเส้นเลือดแดง เป็นสาเหตุให้ปลายประสาทเสื่อม  ส่งผลให้เกิดอาการชาที่ปลายเท้า ปลายมือ อาการชาที่ปลายเท้า และปลายมือ  เมื่อเกิดอุบัติเหตุไปเหยียบ หรือไปแตะสิ่งของ ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัว แม้เกิดบาดแผลก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีแผล อีกทั้งเส้นเลือดที่ตีบไปเลี้ยงปลายเท้าปลายมือได้น้อยลง  ทำให้อวัยวะส่วนนั้นได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ  ส่วนภูมิคุ้มกันร่างกายที่เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่ต่อสู้เชื้อโรค คอยเก็บกินเชื้อโรค และเนื้อที่ตายแล้ว ก็ไม่สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพ " ภาวะเช่นนี้จะเกิดกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดอาการอักเสบ เป็นแผลลามไปเรื่อยๆ มีเนื้อตาย เป็นหนอง  และลาม  รักษายากมาก  ผู้ป่วยจำนวนมากรักษาแผลเป็นปีๆ ก็ยังไม่หาย  สุดท้ายต้องตัดนิ้วเท้า นิ้วมือ และถ้าแผลลามไปเรื่อยๆ ก็ต้องตัดไปเรื่อยๆ  แต่ละปีในไทย มีผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องตัดนิ้วมือ ตัดมือ ตัดแขน ตัดนิ้วเท้า ตัดเท้า และตัดขา เกือบ 4 หมื่นคน  รวมทั่วโลกปีละเกือบ 1 ล้านคน อีกทั้ง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจากทั่วโลกจะกลัว และวิตกกับภาวะแทรกซ้อนอย่างมาก "  ผศ.นพ.ณรงค์ชัย กล่าว

ผศ.นพ.ณรงค์ชัย กล่าวต่อว่า จากความทุกข์ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน  ทำให้คิดโครงการวิจัย เพื่อหาแนวทางใหม่ในการรักษาแผลที่เท้า  โดยทดลองกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน 100 คน  พบว่าได้ผลดี  โดยใช้ยาอิมมูโนไคน์ผสมในน้ำเกลือ ฉีดเข้าสู่เส้นเลือดภายใน 4-6 ชั่วโมง โดยฉีดวันละครั้ง ติดต่อกัน 1 คอร์ส ซึ่งใช้เวลา 5 วัน  จากนั้นจะดูผลประมาณ 1 สัปดาห์  ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ก็ให้ยาเป็นคอร์สที่ 2 อาการจะเริ่มดีขึ้น  ผู้ป่วยบางรายใช้ยาคอร์สเดียวจะมีอาการดีขึ้น  บางรายอาจต้องใช้ถึง 2 คอร์ส  อาการดีขึ้นของผู้ป่วยจะเริ่มจากภาวการณ์อักเสบดีขึ้น  ภาวะเนื้อที่ตายเริ่มดีขึ้น  มีเนื้อที่งอกขึ้นใหม่เพิ่มขึ้น  จุดเด่นของการให้ยาอิมมูโนไคน์  ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนเป็นแผลเรื้อรัง  เมื่อให้ยาผู้ป่วยไปสู่เนื้อเยื่อ  ตัวยาจะแตกตัวเป็นออกซิเจน ไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวที่อยู่บริเวณบาดแผลให้เริ่มเข็งแรงขึ้น  เมื่อเม็ดเลือดขาวบริเวณแผลแข็งแรงขึ้น จะเก็บกินเชื้อโรค และเนื้อที่ตาย ทำให้แผลเริ่มหายจากอาการอักเสบติดเชื้อ  มีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ ตัวยาดังกล่าวยังไปกระตุ้นเซลล์ที่สร้างหลอดเลือด และกระตุ้นเซลล์ที่สร้างเนื้อเยื่อ  แผลที่ลึกๆ จะตื้นขึ้น  มีเนื้อแดงงอกขึ้นมาใหม่  และแผลจะค่อยๆ หายภายใน 2 เดือน

" เรานำยาตัวนี้เข้ามาจากเยอรมนี  หลายคนอาจกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย  แต่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยต้องเดินทางไปทำแผลทุกวัน เป็นเดือน เป็นปี ล้วนแล้วแต่เป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น นี่ไม่นับการซื้อยาชนิดอื่นๆ มารักษา  ถ้าอาการไม่ดีขึ้น แพทย์จะตัดสินใจตัดอวัยวะส่วนที่เป็นแผลออก ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไข้กลัว และมีความทุกข์มาก  แต่ถ้ารักษาโดยให้ยาอิมมูโนไคน์  ผู้ป่วยจะมีค่าใช้จ่าย 2 หมื่นบาทต่อ 1 คอร์ส ส่วนผลข้างเคียงเมื่อใช้อาจมีภาวะเลือดจางบ้างเล็กน้อย " ผศ.นพ.ณรงค์กล่าว

ผศ.นพ.ณรงค์ชัย กล่าวด้วยว่า งานวิจัยเกี่ยวกับวิธีรักษาเผลเรื้อรังของผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยใช้ยาอิมมูโนไคน์ ถือเป็นงานวิจัยชิ้นแรกของโลก  เพราะยังไม่เคยมีใคร และประเทศใดทำมาก่อน เพราะโดยปกติจะใช้ในผู้ป่วยที่เกิดอาการอักเสบเรื้อรังในผู้ที่ป่วยด้วยโรค มะเร็ง และฉายแสง  ปัจจุบันมีการนำตัวยาตัวนี้ไปใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งตับอ่อน และมะเร็งต่อมลูกหมาก  ส่วนการนำมาใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และเป็นแผลเรื้อรังนั้น  ยังไม่มีใครทำ  สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่สนใจ และต้องการรักษาด้วยวิธีใช้ยาดังกล่าว  ติดต่อที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  โทร.0-3739-5085-6 ต่อ 11215
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #151 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2554, 22:57:59 »


ตีลัญจกร - มนตราบำบัด

รายการ TV " กิน อยู่ คือ  ออกอากาศเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2553 "

ศาสตร์แห่งพลังฝ่ามือ ... เทียนฝ่อเจิ้น " หัตถ์พระพุทธเจ้า " ... โอ้โห !  มีความรู้เรื่องสุขภาพที่แสนวิเศษแบบนี้ อยู่ในโลกนี้ด้วยเหรอ ?   Amazing !  ไม่ฝึกตามตัวอย่าง ไม่ได้แล้วสิ


อาจารย์ศุภชัย จารุสมบูรณ์ - ที่ปรึกษามูลนิธิแพทย์ทางเลือก

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=gg0qcJq_M2c" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=gg0qcJq_M2c</a>



ตีลัญจกร 1

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=pratbGFhsvo" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=pratbGFhsvo</a>



ตีลัญจกร 2

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=M0UAEOxn78I" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=M0UAEOxn78I</a>

      บันทึกการเข้า
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #152 เมื่อ: 06 มกราคม 2555, 22:16:27 »


สวัสดีปีใหม่ 2555  จากใหม่ และผองเพื่อน 25 ค่ะ

ขอให้พี่เจี๊ยบหัวเราะเอิ๊กๆๆ ห้า ห้า ห้า ตลอดไปค่ะ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #153 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2555, 06:20:05 »


      " อโรคยา ปรมาลาภา : ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ "  เป็นหลักธรรมที่จริงแท้แน่นอนที่สุด  จะเห็นได้ชัดก็ตอนที่เราป่วยไข้  ทรัพย์สฤงคารอื่นใดก็ไม่ต้องการทั้งนั้น  ขอแค่ให้ร่างกายหายป่วย กลับมาดำเนินชีวิตได้ปกติ เท่านั้นเป็นพอ  และถ้ายิ่งเราสูงวัยขึ้นทุกวัน  อวัยวะในร่างกายก็เสื่อมถอยลงทุกระบบ  สิ่งแวดล้อมก็มีมลพิษมากขึ้นทุกวัน เพิ่มโอกาสป่วยไข้มากขึ้นไปอีก  ดังนั้นการเอาใจใส่ดูแลสุขภาพร่างกาย และจิตใจให้แข็งแรง  ปราศจากโรคภัย จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา  วันนี้เจ้าของกระทู้มีความรู้หมวดใหม่มาแบ่งปันกัน เพื่อให้พ่อแม่พี่น้องมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยไข้ ชะลอวัยเหมือนกลับไปเป็นหนุ่มเป็นสาวอีกครั้ง ... น่าสนใจมั้ยคะ ?  มาติดตามกันได้เลย ...


เทคโนโลยีใหม่ในการชะลอวัย และเสริมความงาม

พวกเราน่าจะเคยได้ยินคำว่า Stem Cell กันมาบ้างแล้ว  ส่วนจะรู้จักมากหรือน้อย  ก็แล้วแต่โอกาสและความสนใจใคร่ศึกษาของแต่ละท่าน  เรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ จะเป็นเกร็ดความรู้ความเข้าใจเรื่อง " Stem Cell กับสุขภาพและความงาม " นะคะ ...






สเตมเซลล์ คือ อะไร ?

สเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) คือเซลล์ต้นกำเนิดที่ยังไม่พัฒนาไปทำหน้าที่เฉพาะ จึงมีศักยภาพที่จะพัฒนาตัวเองไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นได้ สามารถแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลง ( Differentiate ) ไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ภายใต้สภาวะที่ถูกกำหนดและควบคุมให้สามารถเจริญเติบโตเป็นเนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ กระดูก  สามารถพัฒนาซ่อมแซมระบบภูมิคุ้มกัน และสามารถพัฒนาให้ทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายจากการบาดเจ็บหรือจากโรคร้ายแรงต่างๆ ได้  สเต็มเซลล์สามารถพบได้หลายแหล่ง ได้แก่ ไขกระดูก ( Bone marrow )  เลือด ( Peripheral blood )  เลือดจากสายรก ( Cord blood )  รก ( Placenta ) ไขมัน ( Adipose tissue ) ฟันน้ำนม ( Baby teeth ) และฟันคุด ( Impacted Tooth ) เป็นต้น


ไขกระดูกเป็นแหล่งผลิตสเตมเซลล์ที่กลายมาเป็นเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย  เม็ดโลหิตชนิดต่างๆ และสร้างระบบภูมิคุ้มกันของเรา  หากไขกระดูกไม่สามารถผลิตสเตมเซลล์ได้ จะมีผลทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมตนเองได้ ปราศจากเลือด และระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้ และป้องกันตัวเราเองได้  นอกจากนี้ยังจะทำให้เลือดไม่สามารถดูดซับออกซิเจน  ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ที่รุกรานเข้ามาได้ในทุกอวัยวะของร่างกาย  ซึ่งที่สเตมเซลล์ทำหน้าที่ในการสร้างและฟื้นฟูอวัยวะต่างๆ

เซลล์ต้นกำเนิดสามารถรักษาโรคใดได้บ้าง ?
 
การบำบัดรักษา ด้วยเซลล์ต้นกำเนิด แบ่งออกได้เป็นหลายชนิด และในปัจจุบันเซลล์ต้นกำเนิดเริ่มเป็นที่ยอมรับว่าสามารถรักษาโรคได้หลายชนิด ในสหรัฐอเมริกาการบำบัดรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด มีประสิทธิภาพ ในการโรคเลือด มะเร็งบางชนิด และโรคอื่นๆ มานานกว่า 10 ปี และยังมีการนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก เป็นที่ยอมรับว่าการบำบัดรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดในระยะต่อไป จะสามารถนำมาใช้รักษาโรคเกี่ยวกับสมอง อาทิเช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคพาร์กินสัน และภาวะสมองเสื่อมก่อนวัย การได้รับบาดเจ็บของไขสันหลัง โรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง โรค MS และ ALS ข้อเสื่อม โรคที่มีผลสืบเนื่องมาจากความเสื่อมของอวัยวะ มะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจ
 
นักวิจัยได้ค้นพบว่า เยื่อในของฟันน้ำนมของเด็กบางซี่ ประกอบด้วยเซลล์ชนิด Chondrocyte, Osteoblast, Adipocyte และ เซลล์ต้นกำเนิดชนิด Mesenchymal เซลล์ชนิดต่างๆทั้งหมดเหล่านี้มีศักยภาพอย่างสูงในการรักษาโรคอื่นๆที่มิได้ ระบุไว้ในรายการข้างต้น ศักยภาพของการนำเอาเซลล์ต้นกำเนิดจากฟันน้ำนมมาใช้ประโยชน์ในการรักษา จะรวมถึงโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์, พาร์กินสัน และ ALS โรคหัวใจเรื้อรัง ตัวอย่างเช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง โรคที่เกี่ยวกับกระดูกและฟัน รวมทั้งการนำมาใช้ในการปลูกถ่ายฟันและกระดูก ศักยภาพที่มีความสำคัญสูงสุดประการหนึ่ง คือ การนำเอาเซลล์ต้นกำเนิดชนิดนี้ มาใช้ในการรักษาภาวะ อัมพาตที่มีผลสืบเนื่องมาจากไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ ซึ่งได้มีการศึกษาวิจัยถึงประสิทธิภาพจากการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด ชนิด Mesenchymal จากแหล่งอื่นๆ มาแล้ว ความพยายามในการนำเอาเซลล์ต้นกำเนิดมารักษาโรคเหล่านี้ กำลังมีการดำเนินการโดยนักวิจัยที่มีความสามารถสูง ในสถาบันการแพทย์ที่ดีที่สุด หลายแห่งทั่วโลก และเป็นที่ยอมรับว่า การรักษาโรคเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า


การนำสเตมเซลล์มาใช้มีกี่วิธี ?

สเตมเซลล์ผู้ใหญ่ คือ สเตมเซลล์ที่มี่อยู่ในร่างกายของเราตั้งแต่เกิดจนชรา มีอยู่ในอวัยวะทุกส่วนของมนุษย์ ที่สามารถคัดแยกออกมาได้ไม่ยากนัก 3 วิธีการ ได้แก่

1. สเตมเซลล์จากสายรก ( Umbilica - Cord Blood Stem Cells - UCB)  รก ( Placenta ) ที่เก็บได้จากทารกในขณะแรกเกิด  เผื่อว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องใช้ โอกาสของการเก็บสเตมเซลล์ชนิดนี้มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น  ดังนั้นพ่อแม่ที่กำลังจะมีลูกควรตระหนักถึงความสำคัญ และไม่ควรละเลยที่จะเก็บสเตมเซลล์ชนิดนี้ไว้ให้แก่ลูก และครอบครัวเพื่อใช้กับชีวิตในอนาคต

2. สเตมเซลล์จากไขกระดูก ( Bone -Marrow Stem Cell - BMSC ) การเก็บสเตมเซลล์ชนิดนี้เจ็บปวดมาก, เสี่ยงต่อการดมยา และต้องเสียเลือดมาก วิธีที่ง่ายกว่า คือ การเก็บสเตมเซลล์จากกระแสโลหิต ( Peripheral-Blood - Stem Cells - PBSC ) ซึ่งเป็นสเตมเซลล์ที่ออกมาจากไขกระดูก มาอยู่ในกระแสโลหิต

3. เก็บสเตมเซลล์จากไขมันที่มีมากที่ไขมันหน้าท้อง และต้นขา นำออกมาคัดแยกเอาสเตมเซลล์ออกจากไขมัน แล้วผ่านกระบวนการ ( Activate ) ทำให้เซลล์แข็งแรงขึ้น ทำงานได้มากขึ้น แล้วจึงนำกลับเข้าสู่ร่างกาย  นอกจากนี้ยังสามารถนำสเตมเซลล์จำนวนหนึ่งไปเพาะเลี้ยงเพื่อเพิ่มจำนวนและความแข็งแรงที่จะนำมาคืนสู่ร่างกายอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเรียกวิธีการนี้ว่า CAL ( Cell Asstsed Lipotransfer )


การนำสเตมเซลล์ไปใช้รักษาโรคทางคลินิก

สเตมเซลล์ผู้ใหญ่เป็นมาตรฐานของวงการแพทย์ ซึ่งใช้ในการปลูกถ่ายไขกระดูกมานานกว่า 50 ปี โดยที่คนไข้จะใช้สเตมเซลล์จากกระแสโลหิตของตนเอง หรือคนอื่นที่มีรหัสเนื้อเยื่อตรงกันซึ่งโดยมากจะเป็นสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน มากกว่าร้อยละ 60 ของสเตมเซลล์ที่แพทย์ใช้เป็นสเตมเซลล์ จากกระแสโลหิต  ซึ่งใช้ในการฟื้นฟูไขกระดูกของคนไข้ ที่ถูกทำลายไประหว่าง การรักษามะเร็ง หรือ มะเร็งเม็ดเลือด โดยปลูกถ่ายไขกระดูก ไม่สามารถหาสเตมเซลล์ที่มีรหัสเนื้อเยือที่เข้ากับตัวเองได้ และอาจเสียชีวิตในทีสุด

ผลการวิจัยอย่างเป็นทางการล่าสุดในวารสารของกลุ่มสมาพันธ์การปลูกถ่ายไขกระดูกแห่งสหรัฐอเมริกา ชี้แจงถึงความน่าจะเป็นที่จะต้องใช้สเตมเซลล์ในการรักษาโรค ซึ่งเกี่ยวกับการปลูกถ่ายไขกระดูกก่อน อายุ 70 ปี คือ 1 ใน 217 ราย ( โอกาส 1 ใน 434 รายจำเป็นต้องใช้สเตมเซลล์ของตัวเอง และ 1 ใน 400 ราย ใช้สเตมเซลล์ของคนอื่น )  นับว่าเป็นอัตราที่สูงมากนั้น  ยังไม่รวมถึงโรคอื่นๆ อีกหลายโรค เช่น โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต ไขสันหลังบาดเจ็บ พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ ข้อกระดูกเสื่อม โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดตีบ  ในปัจจุบันเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีการวิจัยโรคต่างๆ เหล่านี้ด้วยการใช้สเตมเซลล์บำบัดกับผู้ป่วยเกือบ 4,000 ราย  การวิจัยและการแพทย์ส่วนใหญ่ยืนยันถึงผลอันเป็นไปได้อย่างน่าพอใจในอนาคต ( Cliniccaltrials.gov )  การบำบัดโรคดังกล่าวข้างต้น จะใช้เฉพาะสเตมเซลล์ของตัวคุณเองเท่านั้น  เนื่องจากร่างกายจะต่อต้านสเตมเซลล์ และเนื้อเยื่ออื่นๆ ที่ไม่ใช่ของตัวเอง ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ


อายุที่เหมาะสมกับการเก็บสเตมเซลล์

จากการวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ในการประชุมสมาคมโรคเลือดนานาชาติ ครั้งที่ 32 ได้ลงความเห็นว่า เราควรเก็บสเตมเซลล์ของตัวเราเองให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ความชราและโรคภัยอาจทำให้เราหมดโอกาสที่จะเก็บสเตมเซลล์  เนื่องจากร่างกายอ่อนแอเกินไป  สเตมเซลล์ที่เก็บไว้ขณะหนุ่มสาว และร่างกายแข็งแร็งดี  อาจทำงานได้ดีกว่าสเตมเซลล์ของคนที่มีอายุมาก หรือมีโรคภัยแล้ว ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า เนื้อเยื่อหรือไขกระดูกใหม่ที่สร้างขึ้นมาจากสเตมเซลล์ จะมีอายุเท่ากับสเตมเซลล์ที่ใช้ในการปลูกถ่าย  สเตมเซลล์ที่คุณเก็บเอาไว้จะมีอายุเท่ากับวันที่คุณเก็บสเตมเซลล์  สิ่งที่คุณประหยัด คือ ค่าใช้จ่ายในกระบวนการปลูกถ่าย  เราทุกคนทราบดีว่า ทุกวินาทีล้วนมีค่า และมีความหมายอย่างยิ่ง  สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือหัวใจที่กำลังรอการรักษา ในทางตรงกันข้ามการมีสเตมเซลล์ของตัวเองเอาไว้ โอกาสที่ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะปฏิเสธสเตมเซลล์ในอนาคตก็จะไม่เกิดขึ้น


การเก็บสเตมเซลล์

การเก็บสเตมเซลล์จากโลหิตของคุณต้องกระตุ้นไขกระดูกให้ผลิตสเตมเซลล์มากขึ้น และให้สเตมเซลล์นั้นเข้าสู่กระแสโลหิต โดยการฉีดยา G-CSF ( สารกระตุ้นไขกระดูก ) วันละ1 ครั้ง เป็นเวลา 4 - 5 วัน  การเก็บจะใช้เข็มสำหรับโลหิตสอดเข้าไปที่เส้นเลือดดำข้อพับแขนข้างหนึ่ง เลือดของผู้เก็บจะเข้าสู่เครื่องเพื่อคัดแยกสเตมเซลล์ออกจากเลือด และบรรจุสเตมเซลล์ที่คัดได้ไว้ในถุงพิเศษ ขณะที่ส่วนของเลือดอื่นๆ ที่ไม่ใช่สเตมเซลล์ จะไหลคืนสู่ร่างกาย ที่แขนข้อพักอีกข้างหนึ่ง กระบวนการเก็บสเตมเซลล์จากกระแสโลหิตใช้เวลาทั้งสิ้น ประมาณ 4 ชั่วโมงซึ่งเป็นเวลาที่คุณสามารถพักผ่อนไปพร้อมกัน

การเก็บสเตมเซลล์จากไขมันนั้น  เมื่อผ่านการตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเรียบร้อย จึงจะนัดวันเก็บไขมันหน้าท้อง หรือต้นขาแล้วแต่กรณี  เก็บไขมันหน้าท้องออกมา 100-200 CC. แล้วนำมาคัดแยกสเตมเซลล์ออกจากไขมัน  แล้วนำมาผ่านกระบวนการเพิ่มความแข็งแรงให้กับสเตมเซลล์ด้วยการผ่านแสงรังสีคลื่นต่ำ  หากต้องทำเสริมความงามบนใบหน้า จะทำการดูดเลือดออกมา 50 CC. นำมาคัดแยกให้ได้พลาสม่าเข้มข้น  ซึ่งในนั้นจะมีสาร Growth Factor อยู่มากมายหลายชนิด นำมาฉีดผสมกับไขมัน และเสตมเซลล์พรมลงไปตามจุดต่างๆ บนใบหน้าเป็นการลบริ้วรอยย่นที่ไม่ต้องการ  ส่วนผู้ที่ต้องการเสริมขนาดหน้าอก  ก็สามารถใช้สเตมเซลล์ผสมกับไขมันฉีดเสริมหน้าอกได้  หรือบางรายจะใช้สเตมเซลล์ส่วนหนึ่งฉีดเข้าไปในข้อเข่าที่บาดเจ็บ หรือฉีดรักษาโรคเบาหวาน และอีกส่วนหนึ่งก็ IV เข้าสู่กระแสโลหิต ให้ไหลหมุนเวียนไปทั่วร่างกาย  สเตมเซลล์เหล่านี้ก็จะวิ่งไปรักษาซ่อมแซมในส่วนที่เจ็บป่วยหรือสึกหรอ จนอวัยวะกลับมาทำงานได้เป็นปกติ ซึ่งต้องใช้เวลาในการทำงานตั้งแต่ 1-6 เดือน นับตั้งแต่การดูดไขมัน และคืนสเตมเซลล์เข้าสู่ร่างกายใช้เวลาเพียง 1 วันเท่านั้น ซึ่งสเตมเซลล์ส่วนหนึ่งได้แบ่งนำกลับไปเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ และนัดวันคืนเซลล์ให้อีกครั้งหนึ่ง

การใช้สเตมเซลล์ของคุณรักษาโรคเรื้อรัง

คาดกันว่า ในปี 2573 จะมีประชากรทั่วโลกเป็นโรคเบาหวานมากถึง 370,000,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเซีย ในประเทศไทย  จากสถิติในปี 2546 พบว่ามีประชากรที่อายุมากกว่า 35 ปี ถึงร้อยละ 10 เป็นโรคนี้ ผู้ป่วยเบาหวาน เสี่ยงที่จะมีอาการแทรกซ้อน จากโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด, อัมพฤกษ์, อัมพาต,ไ ตวายเรื้อรัง ตา และ ประสาทเสียหาย, แผลหายยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเท้าซึ่งอาจนำไปสู่เนื้อเน่าตาย และต้องตัดอวัยวะในที่สุด “  ทุกๆ 30 วินาที จะมีผู้ป่วยแห่งใดแห่งหนึ่งในโลกถูกตัดขา เนื่องจากเป็นแผลจากโรคเบาหวาน ”

เก็บสเตมเซลล์ ของคุณวันนี้ เพื่อรักษาชีวิตในวันหน้า  ใส่ใจการรักษาโรคในอนาคต  เช่น  โรคหัวใจ โรคระบบประสาท  โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน  และช่วยชะลอวัยให้สุขภาพแข็งแรง

คุ้มครองต้นกำเนิดแห่งชีวิต  เพียงรักษาสเตมเซลล์ของตัวคุณ  เพื่อชีวิตที่ดีกว่าในอนาคต
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #154 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2555, 07:45:17 »

        
ปัจจุบันบุคคลากรทางการแพทย์และการสาธารณสุขของไทยหลายๆ ท่าน ได้ศึกษาวิจัยในศาสตร์เรื่อง Stem Cell / เป็นผู้เชี่ยวชาญ / ให้คำปรึกษา และตรวจรักษาปัญหาสุขภาพ  ซึ่งจัดเป็นการแพทย์ทางเลือกสาขาหนึ่ง ที่กำลังแพร่หลายในโลกของการดูแลรักษาสุขภาพ และชะลอวัย ... น้องพี่ซีมะโด่ง และชาวจุฬาฯ ทุกท่านที่สนใจในเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย ( ทั้งของตนเอง และคนรอบข้าง ) ให้แข็งแรง ปราศจากโรคภัย  โอกาสดีมาถึงท่านแล้วค่ะ

     ในการประชุมประจำสัปดาห์ ของสโมสรโรตารี่สาทร ค่ำวันพฤหัสที่ 29 พฤศจิกายน 2555  นายกสโมสร-ดร.อภิญญา เลื่อนฉวี ( รัฐศาสตร์ 2516 ) ได้เรียนเชิญ รศ.ดร.นพ. กำพล  ศรีวัฒนกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาสุขภาพ และชะลอวัย มาเป็นแขกปราศัยรับเชิญ-ให้ความรู้ในเรื่อง " Stem Cell กับสุขภาพและความงาม "  ที่ห้อง The Emeral  โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์  ถนนสีลม  เวลา 19.30 น.



       ท่านนายกสโมสรฯ ( ชุดราตรีสีทอง ยืนข้างน้องตุ๊ก 22 ) ได้ฝากเรียนเชิญพี่น้องชาวจุฬาฯ ทุกท่านที่สนใจ มาเยี่ยมเยียนกิจกรรมของสโมสรฯ และร่วมฟังการบรรยายความรู้เรื่องสุขภาพด้วยกัน ... " ยินดีต้อนรับทุกท่านค่ะ "

       น้องพี่ซีมะโด่ง และเพื่อนฝูงชาวจุฬาฯ ท่านใดสนใจจะมาร่วมกิจกรรมด้วยกัน โปรดโทร.บอกเจี๊ยบได้เลย ( โทร. 081-612-4375 )  และขอเรียนเชิญรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน ( ค่าอาหาร 380 บาท เสริฟทุกที่นั่ง ) ในเวลา 19.00 น.

       แล้วเจอกันนะคะ ...
 



ประวัติ รศ.ดร.นพ.กำพล ศรีวัฒนกุล-แขกปราศรัยรับเชิญ เรื่อง " Stem Cell กับสุขภาพและความงาม "

วันพฤหัสที่ 29 พฤศจิกายน 2555

ณ ห้อง The Emeral  โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ สีลม  เวลา 19.30 น.

 


1. ชื่อ  :  รศ.ดร.นพ. กำพล ศรีวัฒนกุล
 
2. ประวัติการศึกษา  :

ปริญญา  ปีที่จบการศึกษา    สถาบัน                   สาขา
วท.บ.        2515      มหาวิทยาลัยมหิดล      วิทยาศาสตร์การแพทย์
พ.บ.          2517      มหาวิทยาลัยมหิดล       แพทย์ศาสตร์บัณฑิต ( เกียรตินิยม )
ปร.ด.        2521      มหาวิทยาลัยมหิดล       เภสัชวิทยา
 
3. ประวัติการทำงานในปัจจุบัน

ข้าราชการบำนาญ มหาวิทยาลัยมหิดล
ประธานบริษัท Bio Consult Co.,Ltd
ประธานบริษัท BioEDEN ASIA Co.,Ltd
ประธานบริษัท Bio Sky Co.,Ltd
ประธานบริษัท Complementary Medicine Co.,Ltd
ผู้อำนวยการคลินิก เต๋าการ์เด้นท์ เฮล์ท สปา แอนด์ รีสอร์ท
ที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการบริษัท Stem Cell For Life Co.,Ltd
ประธานสถาบันเพื่อการพัฒนาจิตและกาย
เลขาธิการชมรมวิทยาการเซลล์บำบัดแห่งประเทศไทย
นักวิจัยสมทบ ศูนย์การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนายา มหาวิทยาลัยทัฟท์ เมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา
นักวิจัย ด้านเทคโนโลยีเซลล์ต้นกำเนิด ของบริษัท Union Huadong Stem Cell & Gene Engineering ประเทศจีน
แพทย์ในเครือ โรงพยาบาล เอสกูลัพ เมือง บรุนเนน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
แพทย์ในเครือ คลินิก โบริส เมืองเคียฟ ประเทศยูเครน
แพทย์ในเครือ คลินิก ฮิราชิ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
แพทย์ที่ปรึกษา บริษัท Heidelberg Biotech Consultant ประเทศเยอรมัน
ผู้ประสานงานโครงการพัฒนาเครื่องล้างดิบ บริษัท Cell Biotech ประเทศแคนาดา
ผู้ประสานงานโครงการพัฒนาเลือดเทียม บริษัท Dextrosang ประเทศ แคนาดา
ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์ Bio Consult โรงพยาบาล แมคคอร์มิค จังหวัด เชียงใหม่
แพทย์ที่ปรึกษา บริษัท Thai Health Baby.
แพทย์ที่ปรึกษา Q Medical Center.
เมธีนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
 
4. ประวัติการทำงานในอดีต
 
แพทย์ฝึกหัดโรงพยาบาลรามาธิบดี  :  เมษายน 2517 - เมษายน 2518
อาจารย์ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  :  พฤษภาคม 2518 - สิงหาคม 2522
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล : สิงหาคม 2522 - กรกฎาคม 2528
รองศาสตราจารย์ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  :  กรกฎาคม - ปัจจุบัน
หัวหน้าภาควิชาเภสัชวิทยาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  :  เมษายน 2537 – มีนาคม 2531
ประธานโครงการบัณฑิตศึกษาสาขาพิษวิทยามหาวิทยาลัยมหิดล  :  มิถุนายน 2527 – มกราคม 2532
รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล  :  สิงหาคม 2531 – มกราคม 2532
ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์มหาวิทยาลัยมหิดล  :  กุมภาพันธ์ 2532 – เมษายน 2533
รองอธิการบดีฝ่ายและวิเทศสัมพันธ์มหาวิทยาลัยมหิดล  :  พฤษภาคม 2533 – ธันวาคม 2534
รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล  :  มกราคม 2535 – เมษายน 2538
ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข  :  พ.ศ. 2523-2542
กรรมการและอนุกรรมการหลายชุด ที่แต่งตั้งโดยกระทรวงสาธารณสุข  กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ

5. สมาชิกของสมาคมวิชาชีพ
 
สมาชิกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย
สมาชิกสมาคมเภสัชวิทยาแห่งประเทศไทย
สมาชิกสมาคมพิษวิทยาแห่งประเทศไทย
สมาชิกสมาคมเซลล์บำบัดนานาชาติ
ผู้ก่อตั้งและเลขาธิการชมรมวิทยาการเซลล์บำบัดแห่งประเทศไทย
 
6. ทุนและรางวัลที่ได้รับ

ได้รับทุนฝึกอบรมด้านการวิจัยในสาขาเภสัชวิทยาจาก British Council ณ มหาวิทยาบัยเลสสเตอร์ ประเทศอังกฤษ กันยายน 2521 - กรกฎาคม 2522

ได้ รับทุนฝึกอบรมการวิจัยในสาขาเภสัชวิทยาคลินิก จากมูลนิธิ Merck International ณ.มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ มลรัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา มกราคม 2524 - ธันวาคม 2525
 
ได้รับทุนปฏิบัติงานวิจัย จาก British Council ณ.ภาควิชาเภสัชวิทยาคลินิก มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก ประเทศอังกฤษ ธันวาคม 2530 - มิถุนายน 2531
 
ได้รับทุนศึกษาวิจัยด้านการรักษา มะเร็ง จาก UICC ณ.สถาบันวิจัยมะเร็ง โรงพยาบาล รอยัล มาร์สเด็น เมือง ซัตตั้น ประเทศอังกฤษ พฤศจิกายน 2531 - มกราคม 2532
 
ฝึกอบรมหลักสูตร ระยะสั้นที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนัก  การแก้ไขปัญหาเซลลูไลท์  และการรักษามะเร็งที่สถาบันการศึกษาหลายแห่งในประเทศสหรัฐอเมริกา เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์  2533-2535

ศึกษาวิจัยในด้านที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีเซลล์ต้นกำเนิด และศาสตร์การแพทย์ทางเลือก ในสถาบันทางการแพทย์หลายแห่ง ในประเทศสหรัฐอเมริกา เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ ยูเครน รัสเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และจีน ตั้งแต่ 2543 ถึงปัจจุบัน

รางวัล 10 บริษัท สุดยอดนวัตกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ธันวาคม 2551
 
รางวัลเมธีส่งเสริมนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  มกราคม 52
 
7. ความสนใจในการศึกษาวิจัย
 
การศึกษาวิจัยทางคลินิกของยาใหม่
การศึกษาทางด้านจาลนศาสตร์ทางคลินิก
การพัฒนายาสมุนไพร
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคอ้วน และอ้วนลงพุง
การศึกษาวิจัยเทคโนโลยีเซลล์ต้นกำเนิด
การศึกษาวิจัยทางด้านการแพทย์บูรณาการ
 
8. การตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ

มีบทความตีพิมพ์เผยแผ่ในวารสารวิชาการนานาชาติ มากกว่า 40 เรื่อง และเขียนตำราวิชาการ และหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ มากกว่า 10 เรื่อง
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #155 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2555, 18:30:01 »



พี่เจี๊ยบไปแล้ว
อย่าลืมกลับมาเล่านะคะ
น่าสนใจมากๆค่ะ

ด้วยวันก่อนชมสารคดีDokumentation
เกี่ยวกับ/คล้ายๆเรื่องนี้ที่เค้าสลับตัดต่อ
ไปเรื่องเซลล์ เรื่องอนุมูลอิสระ เกี่ยวกับ
บริษัทฟาร์มาซี ที่พยายามค้นคว้าหาเคล็ด
แกะเซลล์ หายีนส์ ว่า-->อะไรทำให้มนุษย์
เข้าสู่กระบวนการแก่ตัวไม่เท่ากัน!!
ทำไมบางคนดูเจิดจ้าอ่อนเยาว์ บางคนย่นยับ
เหี่ยวง้ำหงำเหงือกแม้วัยเท่ากัน!!
cosmetic? plastic surgeon?
cosmetic surgeon?

จบท้ายน่ะพี่ หมอศัลยกรรมวัยสูงอายุ
ให้ข้อสรุปว่า..ในเมื่อยังไม่สามารถ
ค้นพบสูตรลับในทางวิทยาศาสตร์
ข้อสันนิษฐานง่ายๆสุดๆของการดูแล
รักษาตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์ยาวนานจึง
ไม่พ้น:
1. ดูนาง ให้ดูแม่....ยีนส์ค่ะ ได้รับยีนส์ที่ดีจากพ่อแม่
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเหมา แต่เป็นโชค!
2. การใช้ชีวิต....stressless รึว่า วุ่นวายกับหน้าที่
การงาน จนลืมสุขภาพ โยคะ...ทางเลือกของการหยุดstress!
3. เหล้า-บุหรี่....ตัวการที่ทำให้ดูแก่กว่าวัยให้เลี่ยง
หรือเสพแต่น้อย
4. กีฬา....ข้อนี้คือ สัจธรรม ที่ยังใช้ได้คะจนกว่าจะมี
ทางเลือกอื่นๆแม้หมอจะบอกว่าการฉีด การผ่าตัด
แต่อย่างอื่นไม่ได้ทำควบคู่...ก็ป่วยการคะ เพราะprocessนี้
ไม่มีใครหยุดได้!!


ชมรายการนี้เสร็จ ยังเก็บมาเล่าต่อได้
ต้องน่าสนใจแน่ๆคะ พี่คิดดู
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #156 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2555, 22:36:35 »


จอง
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #157 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2555, 22:36:53 »


อารมณ์ของอวัยวะภายในทั้งห้า

แพทย์จีน ศุภางค์ ปิ่นถาวร เขียน

อารมณ์ทั้งห้าของมนุษย์ คือ โกรธ ดีใจ คิดใคร่ครวญ กลัดกลุ้ม  และหวาดกลัว มีความสัมพันธ์กับอวัยวะภายในทั้งห้า คือ ...



- อารมณ์ของตับเป็นธาตุไม้  สัมพันธ์กับความโกรธ

- อารมณ์ของหัวใจเป็นธาตุไฟ สัมพันธ์กับความรู้สึกดีใจ

- อารมณ์ของม้ามเป็นธาตุดิน สัมพันธ์กับความคิดใคร่ครวญ

- อารมณ์ของปอดคือ ธาตุทอง สัมพันธ์กับความกลัดกลุ้ม

- อารมณ์ของไตเป็นธาตุน้ำ สัมพันธ์กับความหวาดกลัว

เมื่อชี่ และเลือดของอวัยวะภายในทั้งห้าสมดุลกันดี ร่างกายก็จะมีอารมณ์ความรู้สึก และจิตใจที่ปกติ มิเช่นนั้นก็อาจจะทำให้เกิดอารมณ์ผิดปกติได้ และการเกิดอารมณ์ที่ผิดปกติ ก็มักจะทำให้ชี่และเลือดของอวัยวะภายในทั้งห้าขาดสมดุล  ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรค

การโกรธทำร้ายตับ ( ธาตุไม้ ) อารมณ์ของคนเป็นปรากฏการณ์ชีวิตที่ปกติ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจากจิงชี่ของอวัยวะภายในทั้งห้า การโกรธ สัมพันธ์กับตับโดยตรง การโกรธอย่างหุนหัน หรือโมโห เก็บกดไว้นานไม่หาย จะทำให้ชี่ของตับย้อนขึ้นบน อาจบังคับให้เลือดย้อนขึ้นบนด้วย ทำให้มีอาการปวดศีรษะ ร่วมกับอาการเวียนศีรษะ และตาลาย เลือดกำเดาไหล หรืออาเจียนเป็นเลือด

การดีใจมากเกินไปทำร้ายหัวใจ ( ธาตุไฟ ) อาการดีใจสัมพันธ์กับหัวใจ สามารถทำให้ชี่ที่หัวใจโล่งไม่ติดขัด ช่วยให้ผ่อนคลายความตึงเครียด และทำให้ชี่ และเลือดของอวัยวะภายในมีความสมดุล  แต่การดีใจมากเกินไปจะทำให้ชี่ที่หัวใจไม่เข้มแข็ง จิต( เสิน ) ไม่กลับเข้าสู่หัวใจ ทำให้ขาดสมาธิ ขาดสติ หรือทำให้เกิดอาการเสียสติจนถึงกับเกิดอาการบ้าคลั่งก็เป็นได้

การคิดใคร่ครวญมากเกินทำร้ายม้าม ( ธาตุดิน ) การใช้ความคิดใคร่ครวญมีความสัมพันธ์กับม้าม  ถ้าคิดใคร่ครวญมากจนเกินไป จะทำให้ชี่ที่ม้ามรวมตัวกัน การขับเคลื่อนขึ้นลงของชี่ขาดสมดุล ทำให้มีอาการจุกเสียดแน่นบริเวณท้อง ไม่อยากทานอาหาร และมีอาการท้องผูกเป็นต้น

การกลัดกลุ้มเสียใจทำร้ายปอด ( ธาตุทอง ) อารมณ์กลัดกลุ้มเสียใจมีความสัมพันธ์กับปอด ถ้ามีอารมณ์เหล่านี้มากจนเกินไปจะทำให้เกิดการเผาผลาญชี่ที่ปอด ทำให้เกิดอาการหายใจติดขัด แน่นหน้าอก ภูมิต้านทานโรคลดลง จนก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา
  
ความหวาดกลัวทำร้ายไต ( ธาตุน้ำ ) อาการหวาดกลัวของคนเรานั้นมีความสัมพันธ์กับไต ความหวาดกลัวมากจนเกินไปจะทำให้การขับเคลื่อนของจิงชี่จมลงล่าง เป็นผลให้ไตไม่สามารถกักเก็บพลังชี่ไว้ได้ ทำให้อั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่ เกิดอาการฝันเปียก ประจำเดือนมามากผิดปกติ มีอาการตกขาว หรืออาจหมดสติไม่รู้ตัว เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ จาก  http://www.acumedic.co.th/th_article/a05.php

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #158 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2556, 13:31:00 »


ในบ้านเรา ตรงไหนมีเชื้อโรคอยู่มากที่สุด ?

เสรษฐวิทย์ 16 ... ส่งมา


หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ และนักสาธารณสุขได้ทำวิจัย โดยการเช็ดพื้นผิวบ้าน 22 หลัง ตามพื้นผิวต่างๆ ถึง 30 แห่ง เพื่อตรวจเช็คเชื้อโรค 660 ชนิดที่ในห้องน้ำ ห้องครัว และที่ต่างๆ ภายในบ้าน  คำตอบที่ได้อาจจะทำให้เราแปลกใจ คือเรามักจะคิดว่าที่ที่มีเชื้อโรคมากที่สุดน่าจะเป็นห้องน้ำ  แต่แท้ที่จริงแล้วที่ที่มีเชื้อโรคมากกว่า คือ ห้องครัว

จากการศึกษาของสถาบันทางด้านสาธารณสุข พบว่า มีเชื้อแบคทีเรียตามชั้น และตู้ ต่างๆ 32%  ตามอ่างล้างมือ และจานมีประมาณ 45%  และที่ฟองน้ำล้างจาน แปรงขัดพื้นต่างๆ มีถึง 77%  ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้  และจากการทดสอบยังพบเชื้อแบคทีเรียชื่อ " เอ็มอาร์เอสเอ " ( Methicilin Resistant Staphylococcus Aureus ) ที่มือจับตู้เย็น และอีก 18% ที่ฟองน้ำล้างจาน  ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการดื้อยา

มาดูผลการวิจัยกัน ...

1.  ที่ที่มีเชื้อโรคมากที่สุด คือ ที่ฟองน้ำล้างจาน  เชื้อโรคเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ ... ไม่เพียงแต่ที่ฟองน้ำ และที่วางฟองน้ำเท่านั้น  เชื้อโรคสามารถแพร่ไปทั่วห้องครัวได้  หากนำฟองน้ำไปเช็ดบริเวณตู้ เตา และชั้นต่างๆ  ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อโรคเพิ่มขึ้นด้วย   สิ่งที่ทำได้คือให้ใช้ผ้าขี้ริ้วผืนเล็กที่สามารถซักได้ในเครื่องซักผ้าหรือซักมือ  แต่หากต้องใช้ฟองน้ำจริงๆ ให้หมั่นทำความสะอาดโดยนำไปใส่ในไมโครเวฟประมาณ 1-2 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรค และควรเปลี่ยนฟองน้ำทุก 2 อาทิตย์  สาเหตุที่เป็นอย่างนี้ เพราะบริเวณอ่างล้างจานเป็นที่ชึ้นแฉะ

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลจากศูนย์กลางควบคุมโรคสหรัฐฯ ว่า คนอเมริกัน ( 200+ ล้านคน ) ป่วยจากอาหารเป็นพิษ ( เชื้อโรค หรือสารพิษจากเชื้อโรค ) ปีละ 76 ล้านคนขึ้นไป และตายจากอาหารเป็นพิษปีละประมาณ 5,000 คน

ศาสตราจารย์กาเบรียล บิททอน วิศวกรสิ่งแวดล้อม และคณะทำการศึกษาพบว่า การนำฟองน้ำล้างจานชุบน้ำหมาดๆ แล้วไปอุ่นให้ร้อนในไมโครเวฟนาน 2 นาทีฆ่าเชื้อ ( kill ) หรือทำให้เชื้อหยุดแบ่งตัว ( inactivate ) ของแบคทีเรีย ไวรัส พยาธิได้มากกว่า 99%  ส่วนการทำลายสปอร์ เช่น รา บาดทะยัก ฯลฯ ใช้เวลา 4-10 นาที ซึ่งอาจจะนานจนเกิดไฟไหม้ฟองน้ำในไมโครเวฟได้

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า พอมีข่าวว่าไมโครเวฟฆ่าเชื้อฟองน้ำ-ใยขัดล้างจานได้ ก็มีคนแจ้งไปว่า เกิดไฟไหม้ในไมโครเวฟ ทางรอยเตอร์จึงให้คำแนะนำใหม่ว่า ...

- ต้องชุบฟองน้ำ-ใยขัดล้างจานให้เปียก ก่อนนำไปทำให้ร้อนในไมโครเวฟ

- ห้ามนำฟองน้ำ-ใยขัดล้างจานชนิดมีโลหะผสม ไปทำให้ร้อนในไมโครเวฟ ฟองน้ำหรือใยขัดเหล่านี้มักจะผสมสีเงิน หรือสีที่มีมันวาว ห้ามนำฝอยขัดหม้อโลหะ (100%) ไปทำให้ร้อนในไมโครเวฟ

- ห้ามจับฟองน้ำ-ใยขัดล้างจานที่ทำให้ร้อนในไมโครเวฟทันที อาจทำให้มือพองได้


2.  อีกทีหนึ่งคือ ตามบริเวณชั้นต่างๆ ในห้องครัว เช่น ที่ชงกาแฟ และอ่างล้างจาน  ควรทำความสะอาดด้วยน้ำส้มสายชู หรือน้ำยาทำความสะอาด หรือที่เรียกว่า บรีซ ( Bleach) ผสมกับน้ำ 1 ต่อ 10 ทุกวัน  อย่าลืมบริเวณท่อน้ำทิ้งด้วย แต่อาจต้องระวังการใช้  เนื่องจากผลิตภัณฑ์ฟอกขาวเหล่านี้จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง และตาได้  หลายท่านอาจคิดว่าห้องครัวเป็นที่ทำอาหารน่าจะสะอาด เลยลืมดูตามชั้น บริเวณที่ชงกาแฟ และอ่างล้างจานไป

3.  หลายท่านอาจคิดว่าบริเวณที่นั่งตามโถสุขภัณฑ์ น่าจะมีเชื้อโรคมากกว่าที่อื่นๆ จึงทำความสะอาดอย่างดี  แต่แท้ที่จริงแล้วบริเวณที่แขวนแปรงสีฟันเป็นบริเวณที่มีเชื้อโรคมากกว่าบริเวณโถสุขภัณฑ์ และเชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง คือทางแปรงเข้าสู่ปากนั่นเอง

4.  มือถือ รีโมตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ ทีวี พัดลม และที่จับประตู ที่จับตู้เย็น ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่มีเชื้อโรคอยู่มาก เนื่องจากมีการใช้สัมผัสทุกวัน ซึ่งเชื้อโรคจะผ่านจากมือหนึ่งไปสู่อีกมือหนึ่งได้ง่าย

5.  ขวดเกลือ และพริกไทยที่ตั้งไว้ที่โต๊ะอาหาร พบว่ามีเชื้อไวรัสติดอยู่บริเวณรูที่เท และหากไม่มีฝาปิดอีกด้วยแล้วจะเป็นที่อยู่ ที่เพาะเชื้อโรคทีเดียว

เราจะเห็นได้ว่ามีเชื้อโรคอยู่ในที่ต่างๆ มากมายรอบตัวเรา ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่อทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน  ดังนั้นหากเราหมั่นทำความสะอาดในบริเวณต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็จะช่วยให้ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ในระดับหนึ่ง

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #159 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2556, 23:37:20 »


ไลโคปีน

เสรษฐวิทย์ 16 ... ส่งมา

ไลโคปีน เป็นสารสีแดงจัดของแคโรทีน และแคโรทีนอยด์สีแดง พบในฟักข้าว มะเขือเทศ แตงโม และมะละกอ แต่ไม่พบในสตรอเบอรีและเชอรี โดยในฟักข้าวมีมากที่สุดประมาณ 2,000-3,000 มล ต่อ กรัม น้ำหนักแห้ง มากกว่ามะเขื่อเทศซึ่งมีมากเป็นลำดับสอง 20 เท่า



ไลโคปีนเป็นไฮโดรคาร์บอนซับซ้อนที่ไม่อิ่มตัว โดยโครงสร้างเป็นเตตราเทอรปิน ที่รวมกลุ่มของไอโซปรีนซึ่งเป็นการรวมตัวของคาร์บอน และไฮโดรเจนอย่างสมบูรณ์ และไม่ละลายในน้ำ มีสีแดงเลือดนก และต้านอนุมูลอิสระ

เมื่อถูกดูดซับโดยกระเพาะ ไลโคปีนจะถูกส่งถ่ายไปที่กระแสเลือด โดยไลโปโปรตีนซึ่งมีมากในน้ำผึ้ง ( ควรทานน้ำผึ้งไม่อบเป็นประจำวันละ 1 ช้อนชาถึงช้อนโต๊ะก่อนนอน ) และสะสมไว้ที่ต่อมลูกหมากมากที่สุด รองลงมา เก็บไว้ที่ต่อมหมวกไต และตับ ดังนั้นไลโคปีนจึงใช้รักษาลูกหมากโต และมะเร็งต่อมลุกหมากได้ดีที่สุด

ไลโคปีนไม่ละลายในน้ำ แต่ละลายในสารละลายอินทรีย์หรือน้ำมันไม่อิ่มตัว ดังนั้นหากกินฟักข้าว ควรกินน้ำมันงาสกัดเย็น 1 ช้อน ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวทำละลาย  เนื่องจากสารไลโคปีนต้องการความร้อนในการทำให้แตกตัว ดังนั้นจำเป็นต้องทำให้ร้อนโดยการต้มน้ำเสียก่อน



เพื่อนของเพื่อนผมคนหนึ่งต่อมลูกหมากโต และมีแนวโน้มเป็นมะเร็ง ผมให้ทดลองกินฟักข้าว ตอนนี้อาการดีขึ้น จากการที่ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยตอนนี้ลดลง
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #160 เมื่อ: 09 มีนาคม 2556, 11:27:03 »


สมุนไพรไทยที่ใช้เป็นยา

พี่จิ๋ม-ดวงใจ 15 ... ส่งมา




คุณดวงใจ มีกังวาล ตอ.33  ขอเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมกิจกรรม " สมุนไพรไทยที่ใช้เป็นยา "

ณ อาคารอเนกประสงค์ สมาคมนักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษาฯ ในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2556

ตั้งแต่ เวลา 10.00 น.-12.00 น. ค่าใช้จ่ายท่านละ 200 บาท เชิญรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน

และรับแจกสมุนไพรตามบัญชียาหลักแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข
 
สนใจเข้าฟัง ติดต่อดวงใจ มีกังวาลที่ aprompong@jfbkk.or.th หรือโทร.มือถือ 086-562-2497
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 5 6 [7]  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><