03 มิถุนายน 2567, 22:45:24
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อคิดคนดัง  (อ่าน 107180 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #325 เมื่อ: 04 เมษายน 2551, 08:25:30 »

อ้างจาก: "wirat"
ถ้าเป้ เป็นโรคผิวด้าน แต่ผมหน้าหนา หัวใจบาง น้องเปิ้ลรักษาได้เปล่า


อุอุ...พี่ป้อมตัวจริงเสียงจริง...ต้องอิงแบบนี้ อิอิ
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

akenui
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 3,092

« ตอบ #326 เมื่อ: 04 เมษายน 2551, 11:55:00 »

อ้างจาก: "wirat"
Oprah Winfrey ว่าไว้

ความสำเร็จนั้นคือสมการที่เกิดจากโอกาสบวกกับการเตรียมพร้อมที่ดี


แล้วโอกาสมาจากไหนอะ หรือ ไปหาที่ไหน
การเตรียมพร้อมที่ดี มีอะไรบ้าง ทำอย่างไร

ช่วยไปถามไอ้ โอเปร่า  วินนิ่ง ให้หน่อย ครับ
บันทึกการเข้า

สุดจะทน ก็ต้องทน
yai
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,489

« ตอบ #327 เมื่อ: 04 เมษายน 2551, 13:39:19 »

“Luck is when preparation meets opportunity” – Seneca (Roman Philosopher , 1st century AD)

ในที่นี่ luck คือนิยามของความสำเร็จ ที่ดูเหมือนโชคช่วย
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #328 เมื่อ: 04 เมษายน 2551, 14:29:25 »

อ้างจาก: "yai"
“Luck is when preparation meets opportunity” – Seneca (Roman Philosopher , 1st century AD)

ในที่นี่ luck คือนิยามของความสำเร็จ ที่ดูเหมือนโชคช่วย


ช่วยแปลเป็นไทย สวย ๆ หน่อยสิ
บันทึกการเข้า
yai
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,489

« ตอบ #329 เมื่อ: 04 เมษายน 2551, 20:49:11 »

ดูของเพื่อนป้อมข้างบนได้เลย
บันทึกการเข้า
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #330 เมื่อ: 07 เมษายน 2551, 08:59:05 »

เผอิญ วันนี้ มี ทำพิธีต่อบุญ ทั่ภาคเหนือ เลยอัญเชิญ ข้อเขียน สมเด็จพระสังฆราชมาให้อ่านกัน
บันทึกการเข้า
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #331 เมื่อ: 07 เมษายน 2551, 09:01:28 »

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เรื่อง วิธีสร้างบุญบารมี ท่านสอนไว้ว่า

บุญ คือ เครื่องชำระสันดาน ความดี กุศล ความสุข ความประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ และกุศลกรรม

ส่วน บารมี คือ คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงสุด

สมเด็จพระสังฆราช ได้ยกตัวอย่างเรื่อง การทำทานด้วยความโลภ ว่า “ทำทานเพราะอยากได้นั่นอยากได้นี่ อยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่ เป็นการทำทาน เพื่อหวังสิ่งตอบแทน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติสวรรค์ หากชาติก่อนไม่เคย ได้ทำบุญใส่บาตรฝากสวรรค์เอาไว้ อยู่ๆก็มาขอเบิกใช้ในชาตินี้ จะมีที่ไหนให้เบิก การทำทานด้วยความโลภเช่นนี้ ย่อมไม่ได้บุญอะไรเลย สิ่งที่จะได้พอกพูน เพิ่มให้มากขึ้นและหนาขึ้น ก็คือ ความโลภ”
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #332 เมื่อ: 07 เมษายน 2551, 09:16:16 »

9 วิธี ทำดี ได้บุญโดยไม่ต้องใช้เงิน

จาก http://variety.teenee.com/foodforbrain/7221.html

คนไทยเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ชอบทำบุญสุนทานอยู่เสมอ


ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ซึ่งแม้ปัจจุบัน หลายคนจะรู้สึกกังขาว่า ทำไม คนที่เรารู้สึกว่าชั่ว ยังคงได้ดิบได้ดี เช่น ยังมีเงินทองและใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าเรา แต่นั่นก็ยังอธิบายได้ว่า เขาทำกรรมเก่าดี หรือยังกินบุญเก่าอยู่ ซึ่งที่เราเห็นด้วยตาว่า เขาสุขสบายก็อาจไม่จริง บางทีเขาอาจกำลังทุกข์ใจ เพราะต้องคอยระแวง ปกปิดความผิดของตน กลัวคนไปล่วงรู้อยู่ก็ได้

อย่างไรก็ดี โดยพื้นฐานแล้ว คนส่วนใหญ่ก็มักจะชอบทำบุญ เพราะเชื่อว่าเป็นการทำความดี และเป็นการสะสมผลบุญ ที่จะสนองให้เราได้รับสิ่งที่ดีในอนาคต หรือในชาติหน้า ซึ่งโดยแท้จริงการทำบุญนั้น ทันทีที่ทำก็เป็นความสุขแล้ว เพราะ บุญ คือ การทำความดีด้วยวิธีการต่างๆ ที่ทำให้อิ่มเอิบเบิกบานใจ

โดยทั่วไป คนมักทำบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของ หรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่น บริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติ ร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า ช่วยเด็กกำพร้า หรือช่วยซื้อโลงศพ เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่า ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น เรามีโอกาสทำความดี หรือทำบุญได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของ

  9 วิธีทำดี ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงิน เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้
บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #333 เมื่อ: 07 เมษายน 2551, 09:30:31 »


1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือ กับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วย ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

2.ยิ้มแย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ ยิ้มกับลูกก่อนไปทำงาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อแม่ๆ ก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่องเดือนร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆ ก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทำให้ทำงานด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องระแวงว่าจะถูกเรียกไปต่อว่า และถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตา กว่าเวลาที่นายทำหน้ายักษ์


3.ทักทาย โอปราศรัย คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึง ไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็ง และกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการ เพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น

4.แบ่งปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนน หรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลง และทำให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย
 


5.ปลุกปลอบให้กำลังใจ ช่วยแก้ไขปัญหา หลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิต และเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือ ความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจ คำพูดดีๆ ที่มาจากใจ จะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้

6.ให้คำชมด้วยความนิยมยินดี การกล่าวคำชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และจริงใจด้วย ดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกัน คนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคำชมทั้งนั้น เพราะคำชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกำลังใจให้อยากทำดียิ่งๆ ขึ้นไป

7.แนะนำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่า ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนำในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไป เมื่อเขาทำงานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามี หรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนำหมอ ยาดีๆ หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเรา ทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต

8.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่าย และมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่ และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตา รู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่ง ที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป

9.ฝึกจิตให้สงบและสบาย ด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์ การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทำอะไรอยู่ เช่น กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน ทำงานบ้าน อ่านหนังสือ อยู่ที่ทำงาน หัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อ ในสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียว จะทำให้เราทำทุกอย่างได้ดีขึ้น เพราะไม่พะวักพะวน คิดหรือทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทำให้ขาดสติ และทุกๆ คืนก่อนนอน ก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบ เสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควร


ที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทำความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลย


แต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไป

อีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เรา และคนรอบตัวมีความสุขเพราะ"บุญ" ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชำระกาย ใจให้บริสุทธิ์ เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง และผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆ ได้ เริ่มทำแต่วันนี้เลยนะ เพราะมีคนบอกว่า "ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง"
[/color]

บันทึกการเข้า
akenui
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 3,092

« ตอบ #334 เมื่อ: 07 เมษายน 2551, 10:48:09 »

เยี่ยม กันทั้งป้า ทั้งหลานเลย ที่โพสต์สิ่งดีดีให้  :wink:
บันทึกการเข้า

สุดจะทน ก็ต้องทน
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #335 เมื่อ: 07 เมษายน 2551, 17:09:29 »

สุราเมรย มัช ฐน นาเวรมณี สิกขาปทังทิยามิ

ดื่ม เบียร์แล้วเมา นะนุ้ย
บันทึกการเข้า
Pae
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,047

« ตอบ #336 เมื่อ: 08 เมษายน 2551, 13:23:02 »

ชายคนหนึ่งนอนหลับอยู่ที่บ้านในเวลากลางคืน
มีนางฟ้าลงมาหาเขา ชวนให้ไปเที่ยวสวรรค์กับนรก
เขาก็ตกลงไปด้วย

นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ถึงนรกแล้ว
ที่นั้นเป็นห้องใหญ่ ๆ มีโต๊ะยาวๆ
บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีตอร่อยมีคุณค่าทุกประเภท
มีคนนั่งอยู่หลายคนนางฟ้าก็บอกว่า “นี่สัตว์นรก”
คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลก
แต่ตัวเขาผอมเหลืองน่าสงสาร

นางฟ้าบอกว่าที่นี่อนุญาตให้กินอาหารดี ๆได้
แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามใช้มือหยิบ
ต้องใช้ช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรตักอาการกินเท่านั้น
เวลาจะใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากตัวเอง คนที่นรกก็ตักไม่ถึงสักที

ชายคนนั้นพยายามบ้าง แต่อาหารที่อร่อยหกลงบนพื้นเกือบหมด
เขาเลยมีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก พยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก
จึงผอมโซเพราะอดอาหาร
ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อยมีคุณค่าทางโภชนาการ
.แต่ไม่สามารถเอาเข้ามาถึงในปากของตนเองได้

นางฟ้าพาไปอีกห้องหนึ่งแล้ว บอกว่า “ถึงสวรรค์แล้ว
ห้องที่สองนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ
มีโต๊ะอาหารยาว ๆ อาหารประณีตหลาย ๆ อย่างเหมือนกันกับห้องนรก
มีเก้าอี้รอบ มีคนนั่งอยู่หลายคน ทุกคนต้องใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรเหมือนกับที่นรก
นางฟ้าบอกว่า “นี่เทวดาบนสวรรค์”
แต่แปลกที่คนบนสวรรค์นั้นยิ้มแย้มแจ่มใสอ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย
ดูว่าเขาอยู่ดีกินดีได้อย่างไร ทั้งๆที่ ทุกอย่างเหมือนที่นรก
 “เอ...ทำไมคนที่นี่ไม่เหมือนที่นรก?
ทำไมคนที่นี่สนุกสนานแจ่มใสร่าเริง แข็งแรง”

พอดูดี ๆ อ้อ! เห็นวิธีของชาวสวรรค์
สรุปว่คือคนข้างหนึ่งของโต๊ะ เขาตักอาหารด้วยช้อนยาว ๆ
เอาไปป้อนใส่ปากของคนตรงข้าม
คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้
ก็เลยได้กินกันทุกคน อยู่อย่างสุขสบาย

สรุปว่า ที่นรกนั้น..... คนคิดแต่จะได้อย่างเดียว
คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง
คิดแต่ว่าเราจะได้อาหาร ได้สิ่งที่เราชอบ โดยไม่คิดถึงคนอื่น

แต่ที่สวรรค์..... มีการช่วยเหลือกัน มีความรักสามัคคีกัน
คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย
จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน

ตื่นขึ้นมาแต่ละวันอย่าถามว่าจะได้อะไรจากสังคม
แต่จงถามให้มากว่าจะให้อะไรกับสังคมได้บ้าง
บันทึกการเข้า
akenui
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 3,092

« ตอบ #337 เมื่อ: 08 เมษายน 2551, 13:35:06 »

ยอดเลยเป้   หมายถึงชมนะ  ไม่ใช่ไอ้ยอด :lol:
บันทึกการเข้า

สุดจะทน ก็ต้องทน
Pae
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,047

« ตอบ #338 เมื่อ: 08 เมษายน 2551, 13:41:43 »

มุขเยอะจังนะ
บันทึกการเข้า
Nat Rattanadilok
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 864

เว็บไซต์
« ตอบ #339 เมื่อ: 08 เมษายน 2551, 13:53:23 »

อ้างจาก: "Pae"


แต่ที่สวรรค์..... มีการช่วยเหลือกัน มีความรักสามัคคีกัน
คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย
จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน [/color]
ตื่นขึ้นมาแต่ละวันอย่าถามว่าจะได้อะไรจากสังคม
แต่จงถามให้มากว่าจะให้อะไรกับสังคมได้บ้าง


ดีครับดี ชอบจัง
แต่ที่ผมชอบที่สุดคือการเบียดเบียนสังคม
บันทึกการเข้า

+ ยุ่งจริง +
Pae
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,047

« ตอบ #340 เมื่อ: 08 เมษายน 2551, 14:01:49 »

แบบนี้ มีพวกมากมาย
ชิมิ
บันทึกการเข้า
akenui
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 3,092

« ตอบ #341 เมื่อ: 08 เมษายน 2551, 15:47:30 »

อ้างจาก: "Nat Rattanadilok"
อ้างจาก: "Pae"


แต่ที่สวรรค์..... มีการช่วยเหลือกัน มีความรักสามัคคีกัน
คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย
จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน [/color]
ตื่นขึ้นมาแต่ละวันอย่าถามว่าจะได้อะไรจากสังคม
แต่จงถามให้มากว่าจะให้อะไรกับสังคมได้บ้าง


ดีครับดี ชอบจัง
แต่ที่ผมชอบที่สุดคือการเบียดเบียนสังคม

สังคมที่มีสาวเซกซี่ เยอะๆ ป่าวววเพื่อนณัฐ
บันทึกการเข้า

สุดจะทน ก็ต้องทน
Nat Rattanadilok
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 864

เว็บไซต์
« ตอบ #342 เมื่อ: 08 เมษายน 2551, 15:48:50 »

เป้ครับ
การที่เราเดิน กิน หายใจ
ก็เป็นการแย่งที่ เดิน กิน หายใจ ของสัตว์โลก อื่นๆ
ก็ถือว่าเป็นการเบียดเบียนสัตว์โลก

อันว่าการตดนั้น เป็นการเบียดเบียนสัตว์โลกอย่างหาที่เปรียบมิได้
(เคยเจอคนตดในลิฟท์วะ มีแต่สาวๆ หน้าตาดีๆ ตดเหม็นเป็นบ้า)


ดังนั้น ก็ต้องทำแต่พอประมาณ จะได้ไม่เบียดเบียนคนอื่น จนเกินไป
บันทึกการเข้า

+ ยุ่งจริง +
Pae
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,047

« ตอบ #343 เมื่อ: 08 เมษายน 2551, 15:51:28 »

อ้างจาก: "Nat Rattanadilok"
เป้ครับ
การที่เราเดิน กิน หายใจ
ก็เป็นการแย่งที่ เดิน กิน หายใจ ของสัตว์โลก อื่นๆ
ก็ถือว่าเป็นการเบียดเบียนสัตว์โลก

อันว่าการตดนั้น เป็นการเบียดเบียนสัตว์โลกอย่างหาที่เปรียบมิได้
(เคยเจอคนตดในลิฟท์วะ มีแต่สาวๆ หน้าตาดีๆ ตดเหม็นเป็นบ้า)


ดังนั้น ก็ต้องทำแต่พอประมาณ จะได้ไม่เบียดเบียนคนอื่น จนเกินไป


สาวหน้าตาดีสมัยนี้ ไม่ค่อยกินผัก
เลยไม่ค่อยถ่าย
ก็ต้องเหม็นมากเป็นธรรมดา
บันทึกการเข้า
yai
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,489

« ตอบ #344 เมื่อ: 08 เมษายน 2551, 15:53:51 »

อ้างจาก: "Pae"
อ้างจาก: "Nat Rattanadilok"
เป้ครับ
การที่เราเดิน กิน หายใจ
ก็เป็นการแย่งที่ เดิน กิน หายใจ ของสัตว์โลก อื่นๆ
ก็ถือว่าเป็นการเบียดเบียนสัตว์โลก

อันว่าการตดนั้น เป็นการเบียดเบียนสัตว์โลกอย่างหาที่เปรียบมิได้
(เคยเจอคนตดในลิฟท์วะ มีแต่สาวๆ หน้าตาดีๆ ตดเหม็นเป็นบ้า)


ดังนั้น ก็ต้องทำแต่พอประมาณ จะได้ไม่เบียดเบียนคนอื่น จนเกินไป


สาวหน้าตาดีสมัยนี้ ไม่ค่อยกินผัก
เลยไม่ค่อยถ่าย
ก็ต้องเหม็นมากเป็นธรรมดา


มีเวลาก็เข้าฟิตเนส เสริมสวย

ไม่ค่อยได้ไปขี้กัน

ตดเลย อื้อหืม ...
บันทึกการเข้า
akenui
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 3,092

« ตอบ #345 เมื่อ: 08 เมษายน 2551, 15:57:21 »

เฮ้ย  กระทู้นี้ ข้อคิดคนดังนะ  เกี่ยวกันได้หว่ะ
บันทึกการเข้า

สุดจะทน ก็ต้องทน
Pae
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,047

« ตอบ #346 เมื่อ: 08 เมษายน 2551, 15:59:32 »

ขนาดผม อึ วันล่ะสองเวลา ยังเหม็นเลย
แล้วจะเอาอะไร กะคนที่อึ สัปดาห์ล่ะสองครั้ง :lol:

เหม็นโครตๆ :?  :?
บันทึกการเข้า
yai
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,489

« ตอบ #347 เมื่อ: 09 เมษายน 2551, 08:16:09 »

อ้างจาก: "Pae"
ขนาดผม อึ วันล่ะสองเวลา ยังเหม็นเลย
แล้วจะเอาอะไร กะคนที่อึ สัปดาห์ล่ะสองครั้ง :lol:

เหม็นโครตๆ :?  :?


เป้ วัดยังไงว่าเหม็นโคตร

ผมว่า เหม็นเกินระดับนึง ก็จะเปลี่ยนเป็นเหม็นโคตร
บันทึกการเข้า
wirat
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,415

« ตอบ #348 เมื่อ: 09 เมษายน 2551, 08:16:54 »

ไรว๊ะ เหม็นว่ะ
บันทึกการเข้า
Pae
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,047

« ตอบ #349 เมื่อ: 09 เมษายน 2551, 11:31:52 »

อ้างจาก: "yai"
อ้างจาก: "Pae"
ขนาดผม อึ วันล่ะสองเวลา ยังเหม็นเลย
แล้วจะเอาอะไร กะคนที่อึ สัปดาห์ล่ะสองครั้ง :lol:

เหม็นโครตๆ :?  :?


เป้ วัดยังไงว่าเหม็นโคตร

ผมว่า เหม็นเกินระดับนึง ก็จะเปลี่ยนเป็นเหม็นโคตร


น่าจะใช้เครื่องกรองอากาศ วัดได้นะ
ที่ห้องนอนผม ถ้าไม่ค่อยมีกลิ่น มันจะตอบสนองช้า
แต่ถ้ามีกลิ่นรุนแรง มันจะตอบสนองเร็ว :wink:
บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><