20 เมษายน 2567, 01:26:50
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 3 [4]  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: พ่อแม่มือใหม่เลี้ยงลูกกันอย่างไรดี  (อ่าน 32630 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Pae
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,047

« ตอบ #75 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553, 06:11:09 »

อยู่ในท้องกะ ออกมาข้างนอกต่างกันเยอะ
      บันทึกการเข้า
BU_MEE
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #76 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2553, 21:42:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pae เมื่อ 28 มกราคม 2553, 08:14:37
ไขปัญหา "ลูกขี้สงสัย" รับมืออย่างไรไม่ทำร้ายเด็ก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 มกราคม 2553 07:56 น.
   

       เชื่อว่าพ่อแม่ ส่วนใหญ่ คงเคยผ่านช่วงเวลาที่ลูกช่างซัก ช่างถาม ขี้สงสัย หรือชอบทำไมกันมาบ้างแล้ว ในขณะที่บางครอบครัว กำลังเผชิญกับความขี้สงสัย หรือชอบทำไม? อยู่ไม่น้อย ทั้งนี้ เพื่อไขวิธีการรับมืออย่างเหมาะสม อันจะเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการของลูก
      
       วันนี้ทีมงาน Life and Family มีตัวช่วยจากคุณหมอใจดี "พญ.ปริชวัน จันทร์ศิริ" จิตแพทย์เด็ก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มาฝากไว้เป็นแนวทางให้กับทุกบ้านที่มีลูกขี้สงสัยกันครับ
      
       หากพูดถึงประเด็นเรื่องเด็กขี้สงสัย จิตแพทย์เด็ก อธิบายว่า ส่วนใหญ่จะเกิดกับเด็กวัยอนุบาล เนื่องจากเด็กวัยนี้ เป็นวัยกำลังเรียน และช่างพูดเจรจา เรียกได้ว่า พ่อแม่ต้องเตรียมหูไว้เลย เพราะบางครั้ง เมื่อเด็กได้เข้าสังคม เรียนหนังสือ และต้องเจอกับสภาพแวดล้อมที่ต่างไปจากบ้าน ซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน อาจเป็นตัวตั้งคำถามให้ลูกได้ไม่น้อย เช่น ทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีฟ้า แม่มีน้องได้อย่างไรค่ะ ซึ่งแต่ละคำถามของเด็ก เป็นคำถามที่พ่อแม่อธิบายยาก ทำให้บางครั้งไม่รู้จะตอบลูกอย่างไร เพราะตอบไป ลูกก็ไม่เข้าใจ
      
       "เด็ก ขี้สงสัย จะรู้สึกว่าเขาเป็นคนละส่วนของโลก และอยากรู้ว่าโลกภายนอกคืออะไร แต่การอยากรู้ของเด็ก ไม่ต้องการที่จะรู้อย่างลึกซึ้ง ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ ซึ่งพ่อแม่ควรตอบเล่นๆ ตามวัยของเด็กก็พอ เช่น ลูกถามว่า แม่มีน้องได้ยังไง แม่ก็อธิบายง่ายๆ ให้ฟังว่า มีน้องก็เหมือนกับแม่มีหนูไง และหนูจะได้มีเพื่อนเล่นด้วย ไม่ใช่ไม่ตอบลูกเลย เพราะจะทำให้เด็กกลายเป็นคนไม่กล้าที่จะถาม และรู้สึกผิด" จิตแพทย์เด็กกล่าว
      
       นอก จากนี้ จิตแพทย์เด็กบอกต่อว่า เด็กที่ขี้สงสัย ไม่ใช่พฤติกรรมที่ผิดปกติแต่อย่างใด พ่อแม่ไม่ควรกังวล เพราะเด็กทุกคน มีความสนใจใคร่รู้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่จะถามมากน้อย หรือยินดีที่จะเป็นผู้นำ ผู้ตามขึ้นอยู่กับตัวเด็กเอง ซึ่งคุณหมอใช้คำว่า เนื้อของเด็กไม่เหมือนกัน
      
       ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ซึ่งเด็กบางคนถูกเลี้ยงให้เก็บรายละเอียดมาดี พ่อแม่ตั้งคำถามให้ลูกช่างสังเกตอยู่เสมอ เด็กก็จะช่างถามมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าเด็กบ้านไหน ไม่ชอบถาม ใช่ว่าเด็กจะเก็บรายละเอียดได้ไม่ดีเสมอไป เพียงแต่ไม่มั่นใจที่จะเป็นผู้เริ่มเท่านั้น ทางที่ดีพ่อแม่ต้องช่วยเด็กตั้งคำถาม เพื่อให้ลูกเป็นคนช่างสังเกต ถ้าลูกไม่ถาม ไม่ควรเร้งเร้า เพราะจะทำให้เด็กกังวล แต่อาจจะใช้กิจกรรมเช่น หนังสือ สื่อต่างๆ เป็นตัวตั้งคำถามก็ได้

พญ.ปริชวัน จันทร์ศิริ
   
       อย่างไรก็ดี การที่ลูกขี้สงสัย ส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วย กับเรื่องนี้ จิตแพทย์เด็กแนะว่า วิธีสังเกตง่ายๆ ว่าลูกสนใจสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน ขอให้สังเกตว่า ลูกโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร เช่น เห็นลูกสุนัขแล้ว บางคนอยากเข้าไปจับด้วยความเอ็นดู ซึ่งนับว่าใช้ได้
      
       แต่ถ้าเด็กบางคนตอบสนองไม่เหมาะสม อาทิ ดึงหาง เขวี้ยงของใส่ โดยที่ไม่กลัวเกรง พฤติกรรมในส่วนนี้ ต้องให้ปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อตรวจดูสาเหตุอีกที เพราะเด็กอาจให้การสนองตอบต่อสิ่งแวดล้อมผิดไป ซึ่งจะส่งผลต่อพฤติกรรมแง่ลบในตอนโตได้
      
       ไขเทคนิครับมือลูกชอบ 'ทำไม?'
      
       เพื่อรับมือกับลูกขี้สงสัยได้อย่าเหมาะสม โดยไม่ทำร้ายจิตใจ หรือกระทบต่อพัฒนาการของลูก จิตแพทย์เด็กให้แนวทางว่า ถ้าลูกเกิดขี้สงสัย และถามอยู่ตลอดเวลา พ่อแม่ควรตอบคำถามลูก แต่การตอบ พ่อแม่ควรอธิบายให้เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยของเด็กด้วย ไม่ควรอธิบายโดยใช้หลักวิชาการมากเกินไป แต่ควรใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย ไม่จำเป็นต้องลึกซึ้งมากนัก เพราะสิ่งที่เด็กถามบางครั้ง เพียงแค่อยากชวนคุย หรืออยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง แต่ถึงกระนั้นคำตอบของพ่อแม่ต้องมีเหตุผลเพียงพอ ไม่ใช่ตอบสุ่มสี่สุ่มห้า หรือตอบเพื่อให้จบๆ ไป นั่นจะเป็นการทำร้ายลูกในระยะยาวโดยไม่รู้ตัว
      
       ดัง นั้น ข้อควรระวังในการรับมือกับลูกขี้สงสัย พ่อแม่ไม่ควรใส่อารมณ์ ตำหนิ หรือทำสีหน้ารำคาญใส่ลูก เมื่อลูกขี้สงสัย หรือถามอยู่ตลอดเวลา นั่นจะทำให้เด็กรู้สึกผิดในสิ่งที่เขาถาม ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการการเรียนรู้ และจิตใจ ทำให้กลายเป็นเด็กไม่มั่นใจ และไม่กล้าจะเป็นผู้เริ่ม
      
       ทั้งนี้ เมื่อสงสัยในสิ่งที่เขาอยากรู้ แต่ถ้าลูกถามซ้ำผิดปกติ หรือถามคำถามเดิมบ่อยเกินไป ซึ่งพ่อแม่ตอบให้ลูกฟังไปแล้ว แต่ก็ยังถามอีก วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือ ให้พ่อแม่ทำเป็นนิ่ง พร้อมกับทำสีหน้ายิ้มๆ เหมือนไม่สนใจ แต่จริงๆ แล้วสังเกตลูกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเด็กจะรู้ได้เองว่า เขาไม่ควรถามซ้ำอีก
      
       "ลูก ขี้สงสัย เป็นสิ่งที่ดี บางครั้งพ่อแม่อาจจะเป็นฝ่ายรุกด้วยก็ได้ เช่น ตั้งคำถามต่อจากสิ่งที่ลูกถาม นั่นจะทำให้เด็กได้คิดต่อมากขึ้น และฝึกให้ลูกคิดเป็นด้วย แถมลดการถามในเรื่องที่ไม่จำเป็นได้มาก แต่ถ้าพ่อแม่คนไหน มีลูกไม่กล้าถาม และอยากให้ลูกกล้าคิดกล้าถาม และช่างสังเกต ตัวช่วยหนึ่งก็คือ "หนังสือ" ซึ่งพ่อแม่สามารถตั้งคำถามให้ลูกจากเรื่องราวที่อยู่ในหนังสือได้" จิตแพทย์เด็กฝากทิ้งท้าย




THKs   หลาย ๆ ค่ะ

อ่านไว้ด้วย  เผื่อมี   อายจัง อายจัง อายจัง
      บันทึกการเข้า
Pae
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,047

« ตอบ #77 เมื่อ: 27 กุมภาพันธ์ 2553, 18:26:49 »

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 กุมภาพันธ์ 2553 16:04 น.
       เป็น อีกหนึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ เมื่ออังกฤษเผยโฉมอุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณอสุจิสำหรับตรวจด้วยตัวเองที่บ้านตัว แรกที่สามารถพัฒนาได้สำเร็จ เตรียมวางจำหน่ายให้กับคู่สามีภรรยาได้ซื้อไปตรวจด้วยตัวเอง

โฉมหน้าอุปกรณ์ตรวจวัดอสุจิิจากอังกฤษ
       คู่สามีภรรยาที่รอคอยการตั้งครรภ์และต้องซื้ออุปกรณ์มาตรวจปัสสาวะ ด้วยตัวเองอาจมีเครื่องมือชิ้นใหม่ที่ช่วยให้ทราบผลเร็วขึ้นแล้ว เมื่ออังกฤษได้พัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณเชื้ออสุจิที่ทีมวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียอ้างว่ามีความแม่นยำสูงถึง 96 เปอร์เซ็นต์ได้เป็นผลสำเร็จ
       
       ดร.จอห์น เฮอร์ จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เมืองชาร์ล็อตต์วิลล์ ผู้ร่วมพัฒนาอุปกรณ์ทดสอบตัวนี้กล่าวว่า มันเหมาะสำหรับคู่แต่งงานที่ต้องการจะมีบุตรด้วยวิธีธรรมชาติ หรือยังต้องการพยายามด้วยตัวเอง ไม่ต้องการพึ่งพาความก้าวหน้าทางการแพทย์
       
       ทั้งนี้ ดร.จอห์นอ้างว่า อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถบอกได้ว่า น้ำเชื้อของฝ่ายชายมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับคู่สามีภรรยาในการไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา หรือขอตรวจลงได้
       
       "ราคาขายปลีกของอุปกรณ์นี้คาดว่าจะอยู่ที่ 15 ปอนด์ ซึ่งถูกกว่าการเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์อยู่ค่อนข้างมาก"
       
       สำหรับความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์ตรวจวัดดังกล่าวนั้น ดร.จอห์นอ้างว่ามีความน่าเชื่อถือสูงถึง 96 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว (โดยเป็นการนำผลมาตรวจสอบกับผลที่ได้จากห้องแลปมาตรฐาน)
       
       สำหรับปริมาณอสุจิควรจะมีต่อน้ำเชื้อหนึ่งมิลลิลิตรคือ ยี่สิบล้านตัวขึ้นไป ซึ่งถ้าตรวจวัดได้เช่นนั้น อุปกรณ์จะระบุว่าเป็นน้ำเชื้อที่มีคุณภาพ ส่วนน้ำเชื้อที่ไม่มีคุณภาพนั้นจะต้องมีปริมาณอสุจิต่ำกว่าห้าล้านตัว
       ต่อหนึ่งมิลลิลิตร
       
       อุปกรณ์ตรวจวัดดังกล่าวนี้ใช้เวลาในการพัฒนานานกว่า 10 ปี โดยได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร
       
       อ้างอิงจากเดลิเมล
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 2 3 [4]  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><