24 พฤษภาคม 2567, 00:18:54
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 304250 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #350 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2553, 21:51:39 »

ขอมาแฉย้อนหลัง พฤติกรรมบางอย่างของ อ้ายหน้าหมู ซะบ้าง

ตอนแรกสุด อ้ายหน้าหมู แสดงท่าทีว่า ข้อความของกระผมไม่เหมาะสม ไม่อยากให้ด่ากัน
กระผมก็ยืนยันว่าต้องเปิดโปง ไอ้ทักกี้ แต่ไม่ได้สนับสนุนให้ใครไปทำร้ายกัน
จนอ้ายหน้าหมู หลุดข้อความที่แสดงถึงสันดานออกมา บอกว่าใครทำผิดกฏหมายด้วยการบุกรุกสถานที่ราชการ ต้องยิงให้ตาย เพราะมันผิดกฏหมาย???
โอ้โฮ เมพขิงๆ ถ้างั้นกฏหมายคงไม่ต้องมีกำหนดโทษไว้หลายระดับแล้น สมมติว่าอ้ายหน้าหมูไปสนับสนุนการพนันบอล อ้ายหน้าหมูก็สมควรถูกยิงให้ตายเช่นกัน เพราะมันผิดกฏหมาย ฮิฮิฮิ
พอมีคนไปตอบประเด็นนี้ ว่าความคิดแบบนี้มันเลวร้าย อ้ายหน้าหมูก็เบี่ยงประเด็น หันมาหาว่าทำไมตอนเสื้อแดงโดนสลายม็อบ พวกผมไม่ไปเรียกร้องให้แดง เหมือนที่เรียกร้องให้เหลืองบ้าง???
คำตอบง่ายๆคือ ไม่ใช่หน้าที่ผมที่ต้องไปเรียกร้อง เพราะผมไม่ได้เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของพวกมัน...เป็นหน้าที่ของแกนนำเสื้อแดง ที่ต้องไปฟ้องร้องกันเองตามหลักฐาน ผมไม่สนับสนุนแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ไปห้ามไม่ให้พวกมันฟ้องร้องเช่นกัน
(ผมไม่ได้ไปตอบคำถามมัน เพราะเชื่อว่าหมูคงจะฟังภาษาคนม่ะรู้เรื่องแน่ๆ)
ต่อมา อ้ายหน้าหมูก็เปลี่ยนท่าที ไปตั้งกระทู้ใหม่ แรกๆก็พยายามชักแม่น้ำทั้ง 5 บอกว่าด่ากันไม่ดี มาหาทางแก้ด้วยกันดีกว่า
แต่ผมไม่เข้าไปตอบกระทู้นั้น ผมก็เขียนวิจารณ์อ้ายทักกี้และสมุนต่อไป ตามที่มีข้อมูล...และแล้วอ้ายหน้าหมูก็เริ่มเปลี่ยนท่าที ในกระทู้นั้น หันมาเขียนวิจารณ์ ปชป.ด่าสนธิ วิจารณ์องคมนตรี อยากเอาเป็นเอาตาย?(ทั้งที่ตอนแรกบอกว่าการด่ากันไม่ดี?) แสดงถึงการไม่มีจุดยืนที่แท้จริง
แล้วยังมีหน้ามาทำเป็นธรรมะธรรมโม บอกให้คนอื่นที่เขียนวิจารณ์พวกทักกี้ ไปนั่งสงบจิต ทำสมาธิเสียอีกแน่ะ? อุ๊บ๊ะ...เนียนจริงๆว่ะ

ช่วงหลังๆ อ้ายหน้าหมูเลยชวนคนอื่นเข้ามาคุยนอกเรื่อง ในกระทู้วิจารณ์ทักกี้ เช่น ดูหนัง ดูบอล ตามหาคนหาย ฯลฯ แต่ผมก็ไม่สนใจเท่าไหร่นัก...แต่พอต่อมา พี่วณิชย์ตั้งกระทู้เอารูปล้อเลียนทักกี้มาโชว์บ้าง อ้ายหน้าหมูก็เข้าไปวิจารณ์ว่ากระทู้นี้นอกเรื่องไปจากปรัชญาการเมือง เอาดิ? ตัวเองนอกเรื่องได้ แต่ห้ามคนอื่นนอกเรื่องนะ?

จนกระทั่งต่อมา อ้ายหน้าหมูเอาโปสเตอร์หนังเรื่อง จักรพรรดิ์องค์สุดท้าย มาโพสไว้ในหัวข้อการเมือง แสดงเจตนา??? พอถูกถามกลับ ถึงเจตนา มันก็ลบคอมเมนต์ตัวเองหายไปเฉยๆ
นี่แหละสันดาน อ้ายหน้าหมู!
      บันทึกการเข้า

...
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #351 เมื่อ: 19 พฤศจิกายน 2553, 12:53:01 »

น้องโอ เปิดโปงได้อย่างชัดเจน ถึงพฤติกรรมที่แย่ๆ ของไอ้หน้าหมู
โดยเฉพาะสันดานที่ชั่วช้า    ที่ บอกว่าใครทำผิดกฏหมายด้วยการบุกรุกสถานที่ราชการ ต้องยิงให้ตาย เพราะมันผิดกฏหมาย
นั้น ผมรับไม่ได้จริงๆ จึงเขียนไล่ให้มันออกไปจากหน้าการเมือง แต่มันบอกว่า มีสิทธิ์จะเข้ามาได้
ผมจึงเฝดหายไปจากหน้านี้ไประยะหนึ่ง ไม่อยากสังฆกรรมกับพวกเลวๆ...
ตอนที่เกิดวิกฤต ในเวบหอ มีการย้ายเซอบเว่อร์ ออกจากที่เก่า และมีการปิดหน้า การเมือง
มันกะดี้กะด๊า คุยกันในกลุ่มมันว่า..เราชนะแล้ว....
นี่แหละ คือพฤติกรรมของเขาล่ะ..ไอ้หน้าหมู...ฮ่วยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #352 เมื่อ: 26 พฤศจิกายน 2553, 22:18:40 »

“มาร์ค” แก้ไขรธน. “หมกเม็ด” เจตนามิชอบ !?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 พฤศจิกายน 2553 23:49 น.


      
งเจะเป็นเพราะด้วยเหตุผลดลใจอะไรมิทราบที่ทำให้ ส.ว.สรรหา คำนูณ สิทธิสมาน ไปค้นพบว่าในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลที่ผลักดันโดย นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใน มาตรา 190 ที่เกี่ยวกับหนังสือสัญญาต้องผ่านการรับรองจากที่ประชุมรัฐสภาก่อน โดยไปพบว่ามีการไปแก้ไขถ้อยคำที่เป็นสาระสำคัญที่อาจทำให้มีการตีความไปว่า “หนังสือสัญญา” ที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยออกไปจากเงื่อนไขข้อบังคับปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดเอาไว้อย่างเคร่งครัด
       
       นั่นก็หมายความว่า ต่อไปนี้ หนังสือสัญญา ที่รัฐบาลไปเจรจากับต่างประเทศที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต จะไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นทั้งในและนอกสภา และหากกล่าวให้แคบกว่านี้ก็คือมันจะส่งผลครอบคลุมไปถึง การเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา (เจบีซี) และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการจัดทำหลัก เขตแดนทางบก(เอ็มโอยู 43) ไม่จำเป็นต้องผ่านการระดมความคิดเห็น
       
       กล่าวโดยสรุปก็คือสามารถ “ปิดหูปิดตา” ประชาชน โดยรัฐบาล “ปิดหูปิดตา” อย่างไรก็ได้ และที่สำคัญจะส่งผลทำให้มีการเสียดินแดนให้กับต่างชาติซึ่งในที่นี้ย่อมหมาย ถึงฝ่ายกัมพูชา ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งยัง
ป็นการกลบเกลื่อนความผิดจากกรณีดังกล่าวในอดีต ได้อย่างแยบยลได้อีกด้วย
       
       สำหรับมาตรา 190 ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มีทั้งหมด 6 วรรค และระบุหนังสือสัญญาไว้สองประเภท คือ
       
       ประเภทที่ 1 หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือ สัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็น ไปตามหนังสือสัญญา
       
       ประเภทที่ 2 หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศ อย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
       
       ซึ่งหลักการดังกล่าวที่เคยบรรจุอยู่ในมาตรา 190 วรรค 2 จะต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภา
       นอกจากนี้ มาตรา 190 เดิมยังกำหนดรายละเอียดไว้ทุกขั้นตอนบังคับเอาไว้ว่าหนังสือสัญญาทั้งสอง ประเภทจะต้องมีข้อกำหนดปฏิบัติเอาไว้อย่างเคร่งครัดทั้งก่อนและหลังการลงนาม รวมทั้งมีกำหนดระยะเวลาของรัฐสภาเอาไว้อย่างชัดเจน
       
       สรุปก็คือต้องผ่านการระดมความคิดเห็น มีการให้ข้อมูล รวมถึงมีการเยียวยา ประชาชนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเอาไว้อย่างชัดเจน และรอบด้าน
       
       แม้กระทั่งร่างแก้ไขในชุดของคณะกรรมการสมานฉันท์ชุดที่นำโดย ส.ว.ดิเรก ถึงฝั่ง และในร่างแก้ไขของ 102 ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ก็ยังแค่แก้ไขในวรรค 5 เพิ่มเติมแค่คำว่า “ประเภทของสัญญา” เข้าไป เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าสิ่งไหนเข้าข่ายหนังสือสัญญาประเภท 2
       
       สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือมีการเขียนข้อความแบบ “หมกเม็ด” นั่นคือ มีการกำหนดเฉพาะหนังสือสัญญาประเภทสองที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางเท่านั้น โดยตัดหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยออกไปจากเงื่อนไขบังคับ ปฏิบัติ 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
       
       สรุปก็คือหากแก้ไขได้สำเร็จต่อไปก็จะทำให้ หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย ไม่จำเป็นต้องผ่านการระดมความคิดเห็น ไม่ต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ไม่จำเป็นต้องชี้แจงต่อรัฐสภา และไม่จำเป็นต้องเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภา สามารถแสดงเจตนามีผลผูกพันได้เลย ไม่ต้องให้ประชาชนเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือสัญญานั้น และในกรณีที่ปฏิบัติตามหนังสือสัญญานั้นและก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรือ ผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อมก็ไม่ต้องมีการแก้ไขเยียวยาอย่างรวดเร็วเหมาะสมและเป็นธรรม
       
       นี่คือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 190 ที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขถ้อยคำอย่างมีนัยสำคัญ ที่เสนอโดยรัฐบาลและผลักดันโดย นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งความหมายก็คือมีเจตนาหมกเม็ดซ่อนเร้นอย่างที่ไม่สมควรให้อภัยอย่างยิ่ง
       
       ปรากฎการณ์ที่ถูกค้นพบในครั้งนี้มันช่วยไม่ได้ที่จะต้องถูก มองว่า นายกรัฐมนตรีมีเจตนา ซ่อนเร้นเพื่อมุบมิบแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นมานั่นคือ กรณีปัญหาเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา (เจบีซี) รวมไปถึงกลบเกลื่อนความผิดพลาดจากกรณีเอ็มโอยูปี 2543 เป็นการแก้ไขเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง และแก้ไขปัญหาส่วนตัวของตัวเอง นอกเหนือจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 93-98 ที่เกี่ยวกับที่มา ส.ส.เรื่องแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นเขตเดียวเบอร์เดียวซึ่งก้เป็นเรื่องประโยชน์ เฉพาะนักเลือกตั้งล้วนๆ
       
       ดังนั้น เมื่อรวมเอากรณีการแก้ไขมาตรา 190 ที่มีเจตนาให้หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย ไม่จำเป็นต้องผ่านการระดมความเห็น ไม่ต้องผ่านรัฐสภา ส่อให้เห็นเจตนาปิดหูปิดตาประชาชน ต้องการกลบเกลื่อนปัญหาและความผิดพลาดของตัวเอง
       
       ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเจตนาซ่อนเร้น อย่างน่าเกลียดที่สุด !!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #353 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2553, 22:13:58 »

คมสันตราดามุส" เผยเคยชี้แล้วคดี29ล้าน กกต.ตกหลุมกฎหมายแน่ ฟันธง"คดี258ล้าน"ซ้ำรอยเดิม

วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 มติชนออนไลน์


   

อจ.นิติศาสตร์ มธ. ชี้เป็นหลักสากลถ้ากระบวนการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงผิดแต่ต้น ก็ไม่จำเป็นต้องดูข้อเท็จจริง วิเคราะห์คดี "258ล้าน" ไม่พ้นซ้ำรอยเดิม เหตุ กกต.ฟ้องผิดข้อ กม.


หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปปัตย์ กรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ ด้วยการยกคำร้องตามมติ 4:2 นั้น นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ผู้ซึ่งเป็นนักกฎหมายคนแรกๆ ที่เคยวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบเพราะกระบวนการในการดำเนินคดีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) ผิดพลาดแต่ต้น


นายคมสัน ให้สัมภาษณ์ "มติชนออนไลน์" เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ว่า ตนเคยเสนอว่ายุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เพราะว่ากระบวนการของ กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประเด็น


1.การใช้กฎหมาย โดย กกต.ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งอันที่จริงควรใช้กฎหมายของปี 2541 เนื่องจากเป็นการกระทำในอดีต
2.อำนาจการวินิจฉัย เป็นอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ใช่ กกต.
3.นาย ทะเบียนพรรคการเมืองเคยชี้ไปแล้วก่อนหน้านี้ว่าการกระทำของพรรคประชาธิปัต ย์ไม่ผิด แต่ กกต.ก็กลับหยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกครั้งไม่ได้


เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ กกต.ผิดพลาดเอง ซึ่งก็เคยแนะนำไปแล้วว่าจะทำให้เกิดการผิดพลาดได้ เมื่อขึ้นสู่ศาลก็ต้องถูกยกฟ้องแน่นอน เรื่องนี้ตนก็พูดมาตลอด


อาจารย์ มธ. รายเดิม กล่าวต่อว่า ศาลได้พิจารณาโดยตัดประเด็นในแง่ของข้อเท็จจริงออกไป เนื่อง จากว่าโดยหลักสากลแล้วกระบวนการยุติธรรมนั้นจะต้องพิจารณาด้วยว่ากระบวนการ อันได้มาซึ่งข้อเท็จจริง การสอบสวน การยื่นคำร้องเหล่านี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลจึงจะพิจารณาต่อในขั้นของข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งหากการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วยกฎหมายก็จะขัดต่อหลักนิติรัฐ


"อันนี้มันเป็นหลักสากลอยู่แล้วทั่วโลกเค้าทำ กัน คือขั้นแรกต้องพิจารณาในแง่กฎหมายว่าถูกต้องตามกระบวนการตามกฎหมายหรือไม่ ถึงจะมาพิจารณาในแง่ของข้อเท็จจริง ยก ตัวอย่างเหมือนในหนังต่างประเทศที่เราดูกัน ก่อนที่ตำรวจจะดำเนินการจับกุมคนร้าย จะต้องแจ้งสิทธิที่ผู้ต้องหาพึงจะได้เสียก่อน หากดำเนินการจับกุมไม่ถูกขั้นตอนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็แพ้คดีตั้งแต่ต้น โดยไม่จำเป็นต้องไปพิจารณาในแง่ของข้อเท็จจริงเลย" นายคมสันกล่าว และว่า เมื่อศาลพบว่ากระบวนการของ กกต.บกพร่องหลายประการ มีปัญหาเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย ยื่นคำร้องล่าช้าก็ดี ไม่ถูกต้องด้วยกระบวนการก็ดี สามารถตัดการพิจารณาข้อเท็จจริงไปได้เลย อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่ทั่วโลกทำกัน


เมื่อถามว่า มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อศาลเห็นว่ากระบวนการยื่นคำร้องของ กกต.ผิดแต่ต้นเหตุใดจึงนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี นักวิชการรายเดิม กล่าวว่า เป็นไปได้ที่ว่าในชั้นของการยื่นคำร้องยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ แต่มาปรากฏในชั้นของการไต่สวนก็เป็นได้ ซึ่งเมื่อศาลเห็นตรงจุดนี้จึงนำมาสู่การตัดสินในที่สุด


"อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นไปได้อีกในแง่การ เมืองที่ว่ากระแสสังคมกดดันหนัก ศาลจึงต้องการที่จะให้เกิดความกระจ่างแจ้ง เป็นไปได้ที่ว่าอาจจะปล่อยให้กระบวนการไต่สวนมันครบถ้วนกระบวนความ นำคู่กรณีมาไต่สวนงัดข้อเท็จจริงต่างๆ มาตีแผ่ผ่านศาล สมมุติ ว่าศาลเห็นประเด็นนี้ (กระบวนการ กกต.ผิดแต่ต้น) อยู่ก่อนแล้ว แต่ครั้นจะให้ยกคำร้องทันที ตั้งแต่ที่ กกต.ยื่นมาโดยที่ไม่มีการไต่สวน ก็เกรงว่าอาจจะถูกครหาก็ได้ว่า 2 มาตรฐาน หรือจะถูกครหาว่าไม่ฟังความใดๆ เลย ยังไม่ทันฟังคำชี้แจงหรือข้อเท็จจริงอะไรเลย จู่ๆ ให้ยกคำร้องเสียแล้ว อันนี้ก็เป็นไปได้ที่ทำให้ศาลตัดสินใจปล่อยให้มาถึงกระบวนการพิจารณาถึงขั้น นี้ แต่ตรงนี้เป็นเพียงการคาดเดาของตนเท่านั้น" นายคมสัน กล่าว


อจ.นิติฯ มธ. กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าศาล รธน.ดำเนินการถูกต้องตาม Proceed of Law คือการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงของผู้ร้องจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน จึงจะพิจารณาในแง่ของข้อเท็จจริง


เมื่อถามว่ากับคำพิพากษาตรงนี้จะมีผลอย่างไรต่อไปกับคดีการบริจาค เงิน 258 ล้านหรือไม่ นายคมสัน กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าจะมีผลให้ยกคำร้องในคดีนี้ แต่ต้องดูที่เงื่อนไขเวลาว่านายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องคดี 258 ล้านนี้ ก่อนหรือหลังวันที่ 17 ธันวาคม 2552 (เป็นวันเดียวกับที่ กกต.ยื่นคำร้องยุบ ปชป. ในคดี 29 ล้าน) ถ้ายื่นหลังก็หมดสิทธิแน่นอนเข้าข่ายล่าช้า 15 วัน แต่ถ้าวันเดียวกันก็เป็นไปได้ที่จะมีชะตากรรมในแบบเดียวกัน


"แต่ ถ้ายื่นหลัง ผมก็ยังเห็นว่ามีโอกาสหลุดอยู่ดี เพราะว่าฟ้องผิดข้อกฎหมายคือ กกต.ยื่นฟ้องในลักษณะที่ว่าเมซไซอะเป็นนอมินีรับเงิน ปชป. ซึ่งมันไม่ใช่ แต่ควรจะตีในประเด็นที่ว่า รับเงินบริจาคแล้วไม่แจ้ง อาจเรียกได้ว่า กกต.ฟ้องข้อหาที่หนักเกินกว่าความเป็นจริง เปรียบไปก็เหมือนกับไปยัดข้อหาเค้า ซึ่งเท่าที่ผมดู กกต.ชุดนี้จัดว่ามีปัญหาในแง่ของข้อกฎหมายเยอะ แพ้คดีมาหลายครั้ง แม้ แต่กับกรณีของนายเรืองไกร (ลีกิจวัฒนะ) ก็ตาม ซึ่งจะว่าไปแล้ว กกต.ชุดนี้ก็มีอดีตผู้พิพากษาหลายคน จนเกิดคำถามว่าทำไมจึงพลาดง่ายๆ ได้"


เมื่อถามว่าหาก กกต.ยื่นก่อน 15 วัน มีโอกาสหรือไม่ที่ ปชป.จะชนะ นักวิชาการรายเดิม กล่าวว่า อันที่จริง กกต.ก็ชี้ไปหลายครั้งแล้วว่าเค้าไม่ผิด แต่จู่ๆ ก็ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่ ซึ่งอาจจะด้วยแรงกดดันของเสื้อแดง สังคม หรืออะไรก็ตาม ก็มีการชี้หลายครั้งแล้ว คือมาตรฐานไม่มีเลย


เมื่อถามว่ากับคดียุบพรรคไทยรักไทย (ทรท.) และพลังประชาชน (พปช.) ต่างกันอย่างไร นายคมสัน กล่าวว่า ต่างกันโดยสิ้นเชิง กรณีของ ทรท.คือมีการจ้างพรรคเล็กลงสมัครและเปลี่ยนแปลงฐานบัญชีรายชื่อผู้สมัคร เพื่อให้สามารถลงแข่งในการเลือกตั้งได้ จนนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาล ตรงนี้เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อวิถีประชาธิปไตย ในมาตรา 68 ส่วน พปช.นั้นเป็นกรณีที่ กก.บห.ซื้อเสียงทุจริตการเลือกตั้งไม่เหมือนกันเลย คือไม่ใช่เรื่องของ 2 มาตรฐานอย่างแน่นอน
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #354 เมื่อ: 14 มกราคม 2554, 09:07:53 »

นักวิชาการญี่ปุ่นพูดถึงทักษิณ (Worth reading!!)


บทความนี้สำคัญมาก เขียนโดยนักวิชาการชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

*ลัทธิสีแดง : ลัทธิแห่งการล่อลวง***
*กล่อง ดวงใจของทักษิณและ นปช.***


ความสำเร็จทางการเมืองของทักษิณมาจากไหน
เมื่อ ทักษิณเตรียมจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เพื่อเตรียมเป็นนายกทักษิณได้
จ้าง คนเขียนหนังสือเรื่อง "ตาดูดาว เท้าติดดิน" แล้วลงพิมพ์ในมติชนยาวต่อเนื่อง
หนังสือ เล่มนั้นทำให้คนเกิดความเชื่อว่าทักษิณรวยแล้ว อยากช่วยชาติ จะไม่โกงกิน
จาก นั้นทักษิณไปใช้พวกอดีตคอมมิวนิสต์ซึ่งเก่งในการหาความนิยมจากคนยากจน
และ คนชนบทมาช่วยคิดหาวิธีจะเอาคะแนนเสียงจากคนเหล่านี้ ซึ่งก็ได้นโยบาย
แนว สังคมนิยมมา เรารู้จักกันต่อมาว่าเป็นนโยบายประชานิยม

ในระหว่างหา เสียงเลือกตั้ง และก่อนจะตั้งรัฐบาล ทักษิณบอกว่าจะเป็นรัฐบาลที่พูดความจริง
กับประชาชน จะไม่โกหก นโยบายและการบริหารหลายอย่างของทักษิณได้ผล คนจนได้จับ
เม็ดเงินจริงๆ ยิ่งเชื่อใหญ่ ทั้งในเรื่องความรู้ ความสามารถและความดี ดีไปหมด เก่งไปหมด
เมื่อ เหตุการณ์ผ่านไป เราจึงได้เห็นธาตุแท้ของทักษิณกันแต่คนที่หลงเชื่อและนิยมชมชอบ
ทักษิณ มองไม่เห็น ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นเพราะรักเขาแล้ว เชื่อเขาแล้ว เชื่อเขาหมด
ความ สามารถของทักษิณ อยู่ตรงที่ทำให้คนเชื่อได้จำนวนมาก

เมื่อทักษิณถูก ปฏิวัติ
ทักษิณเริ่มต่อสู้เพื่อกลับมาครองอำนาจและพาตัวเองให้พ้นผิด
ทักษิณ ทำอย่างไรบ้าง
ทักษิณเป็นคนที่เห็นศักยภาพของธุรกิจสื่อสาร และสื่อมวลชน
ทักษิณ อ่านและเข้าใจเรื่องของสังคมข่าวสาร (information society)
ทักษิณเคยพูด หรืออ้างอิงนักวิชาการไว้ในเรื่องที่ว่า
"ใน โลกยุคข่าวสาร ใครที่ครอบครองข้อมูลข่าวสาร คนนั้นเป็นผู้ชนะ"
คนทั่วไป อาจตีความว่า เป็นการเข้าถึงความรู้หรือข่าวสาร จะทำให้รู้มากแล้วชนะ
แต่ ทักษิณตีความ ว่า เข้าครอบครอง ควบคุม และบังคับข้อมูลข่าวสารให้เป็นไป
ตาม ที่ตัวต้อง การต่างหาก
ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า control and manipulate information
ทักษิณชนะเลือกตั้งมาถล่มทลาย ก็เพราะความสามารถตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเงิน
เราก็รู้ว่าถ้าเลือกตั้งวันนี้ เพื่อไทยก็จะชนะอีก เพราะคนยังหลงเชื่ออยู่
เขาไม่ต้องใช้เงินก็ชนะ ดังนั้น อาวุธของเขาจึงไม่ใช่เงิน
แต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่เขาควบคุม บังคับอยู่ ต่างหาก
เงินนั้นใช้ในการควบคุมบังคับข้อมูลข่าวสารเป็นสำคัญ
สิ่ง ที่ ทักษิณทำ พวกเราเห็นอยู่แล้ว ได้แก่การตั้งกลุ่มเสื้อแดงขึ้นมา
ที แรก เป็นแค่ไว้ต้านพันธมิตร แต่เมื่อเจอการโจมตีเปิดโปงของพันธมิตร
เสื้อ แดง ก็แปรรูป ซึ่งเป็นการแปรรูปที่แยบยลมาก คือการจัดตั้งเวทีใช้ชื่อว่า
"ความ จริงวันนี้" เอาคู่กับสัญลักษณ์สีแดง
การตั้งรายการ "ความจริงวันนี้" คือการเริ่มต้นทำ "สงครามข้อมูลข่าวสาร"
(information warfare) เริ่มจากการอภิปรายของแกนนำ สามเกลอ วีระ จตุพร ณัฐวุฒิ ฯลฯ
รายการ "ความจริงวันนี้" เริ่มให้ความเท็จตั้งแต่วันแรก และต่อเนื่องตลอดมา

เรา มักนึกถึงเงินของทักษิณ คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทักษิณมีฤทธิ์
แต่ ฤทธิ์ของทักษิณจริงๆ มีที่มาจากความสามารถในการโกหก
ซึ่งเป็นสิ่งที่ ทักษิณเก่งมาก มีทักษะสูงมาก เพราะฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ
เป็นคนโกงที่โกหก เก่งที่สุด ใครที่เคยคุยกับทักษิณ หรือฟังทักษิณพูด
จะรู้ดีว่าได้เคลิบ เคลิ้มไปแค่ไหน ไม่ว่าจะมีการศึกษาระดับไหนก็ต้องเคยเคลิ้มกันมาแล้วทั้งนั้น
นับประสา อะไรกับมวลชนของคนเสื้อแดง กว่าจะรู้ตัวก็สายกันแล้ว จะอย่างไรก็ตาม
ตอน นี้พวกเรารู้ตัวแล้ว แต่ยังมีคนที่ไม่รู้ตัวอีกมากมาย
ต้องช่วยให้เขา เห็นความจริงและรู้ตัวว่าถูกหลอกลวงอย่างไร ทักษิณจึงจะหมดฤทธิ์จริงๆ

เมษายน 2552 ทักษิณสามารถระดมคนได้เกือบแสนคน มากกว่าที่พันธมิตรเคยระดมได้
ทักษิณ กะจะล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยยั่วยุให้ใช้กำลังปราบปราม
จะได้กลายเป็น ทรราชย์ขาดความชอบธรรม แต่โชคดีที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปราบอย่างรอบคอบ
ไม่มี คนล้มตาย และมีสื่อต่างชาติคือ CNN เป็นพยานให้ โดยยืนยันซึ่งหน้าตอนที่ทักษิณ
ให้สัมภาษณ์ CNN ว่า ที่ทักษิณว่าคนตายเป็นร้อยนั้น ไม่เป็นความจริง เมษาเลือดของทักษิณ
จึง ทำให้ทักษิณแพ้ไป นั่นคือ CNN จับโกหกทักษิณได้ต่อหน้าคนทั้งโลกที่ดู CNN อยู่
*เห็นหรือยังว่า แพ้ชนะ ยุคนี้ อยู่ที่สงครามข่าวสาร***

หลัง จากทักษิณแพ้เมื่อเมษา 52 ถ้าเราสังเกตจะเห็นชัดเจนว่า ทักษิณวางแผนจะกลับมาอีก
ต้องดูว่าทักษิณลงทุนไปกับอะไรมากที่สุด แล้วใช้สิ่งที่ลงทุนไปทำงานอะไรให้ทักษิณมากที่สุด
ทักษิณให้เงินแกนนำ นปช. แน่นอน ให้เงิน ส.ส.เพื่อไทย แน่นอน ให้เงินหัวคะแนนแน่นอน
ต้อง จ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการจัดชุมนุม อภิปราย ทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเวที ฯลฯ แน่นอน
แต่ที่จ่ายมากที่สุด คือการสร้างเครื่องมือในการทำสงครามข่าวสาร

ทักษิณลงทุนอะไรอีกบ้าง หลังสงกรานต์เลือด?
ตั้ง PTV ออกอากาศผ่านดาวเทียม และออกผ่านเว็บไซท์
เว็บ ไซท์ เสื้อแดง มีเยอะมาก ทักษิณสร้างทีมเรียกว่า นักรบไซเบอร์ ช่วยกันเผยแพร่ความเท็จ
ลองสำรวจดูว่ามีทั้งหมดกี่ เว็บไซท์ ทั้งที่ใช้ เซิร์ฟเวอร์ ในประเทศและ ต่างประเทศ
วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์และวารสารแดง สร้างคนหลงลมลวงได้มหาศาล
หนังสือเล่ม แบบ Where are you? ของหมวดเจี๊ยบ แกก็ไปหาทักษิณรับเงินมาเหมือนกัน
นอกจาก นี้ยังมี Hi 5, Facebook, Twitter

สื่อในต่างประเทศ บริษัท Lobbyist ในอเมริกาไปตรวจสอบดูก็จะรู้ว่าบริษัทอะไร ช่วยนัดสื่อระดับโลก
ไป สัมภาษณ์ทักษิณ สร้างทั้งความน่าเชื่อถือ และการเอาความเท็จให้กับต่างชาติ
ทำ ให้คนในเมืองไทยเชื่อสนิทหนักเข้าไปอีก
เห็นไหมว่าฝรั่งยังเชื่อถือ รัฐบาลต่างชาติก็หลงลมไปหลายชาติ นึกว่าเก่งเศรษฐกิจ เชิญให้เป็นที่ปรึกษา
ฮุน เซนก็หลงลม แล้วก็ยังมีบริษัทหรือมูลนิธิอะไรที่ฮ่องกงชื่อ Sam Hui ก็เป็น lobbyist
ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ความเก่งกาจให้ทักษิณด้วย
นักการ เมือง/นักวิชาการ พวกบ้านเลขที่ 111 และนักวิชาการพวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
พวก นี้ก็เสื้อแดงทั้งนั้น การพูดของคนพวกนี้ก็สร้างความน่าเชื่อถือให้ทักษิณมากขึ้น

ส.ส.เพื่อ ไทย รวมทั้งว่าที่ผู้จะสมัคร ส.ส.เพื่อไทย ตลอดจนหัวคะแนน
พวกนี้ก็จะ ช่วยพูดปากต่อปากช่วยกันหลอกลวงราษฎรให้เชื่อว่าทักษิณดี ทักษิณเก่ง
ทักษิณ ถูกรังแก บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน
อภิสิทธิ์ สร้างฉากที่มหาดไทยเพราะไม่ได้อยู่ในรถที่ถูกทุบ ฯลฯ ความเท็จทั้งนั้น แต่คนก็เชื่อ
แกนนำในต่างจังหวัด อย่างขวัญชัย ที่อุดร หรือเพชรวรรต ที่เชียงใหม่และอีกหลายๆ จังหวัด
โรงเรียนการเมืองของ นปช. นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ฝึกแกนนำเพิ่มเติมเอาความเท็จบรรจุลง
ในหลัก สูตร แล้ววางระบบการควบคุมสั่งการ ติดต่อสื่อสาร จ่ายเงิน และหาเหยื่อเพิ่มเสร็จสรรพ
ศึกษาต่อไปอาจจะเจอเครื่องมืออื่นๆ อีก แต่เท่าที่จำแนกให้ดูนี้ก็น่าจะพอแก่การประเมินได้แล้วว่า
เครื่องมือของ การโฆษณาชวนเชื่อของทักษิณนั้น มหาศาลขนาดไหน และประสิทธิภาพสูงขนาดไหน
และ พอจะประมาณได้หรือยังว่า ทักษิณ ทุ่มทุนลงไปขนาดไหน
จริงอยู่ทำทั้งหมด นี้ต้องใช้เงิน แต่ขอให้เห็นประเด็นให้ชัดว่า
เงินไม่ใช่ตัวความสามารถ หลัก เงินถูกนำไปสร้างความสามารถในการหลอกลวงต่างหาก
แล้วเมื่อหลอกคน สำเร็จ จะใช้ให้คนทำอะไรให้ก็ได้ พูดขาวให้เป็นดำก็ได้ จะบอกว่าใครเลวก็ได้
สังเกต ต่อไปจะเห็นว่าปีที่ผ่านมา ทักษิณทดลองเครื่องมือของสงคราม (war mechanism)
โดย ลองทำ clip เสียงอภิสิทธิ์ ตัดต่อดื้อๆ ให้เหมือนกับสั่งให้ฆ่าผู้ชุมนุม แล้วปล่อยให้หลุดออกไป
สังเกตดูจะเห็น การทำงานของกลไกสงครามของทักษิณ ชัดเจน แกนนำเอาไปพูดในที่ชุมนุม
ส.ส.เพื่อ ไทยเอาไปพูดในสภา สื่อของทักษิณทุกสื่อเอาออกเผยแพร่ ความเท็จ 100%
ก็ ยังสามารถทำให้คน จำนวนมากหลงเชื่อได้

ปีที่แล้วทั้งปี ทักษิณ phone in ไปทุกจังหวัดที่จัดการชุมนุม
เพื่อสร้างภาพและความเข้าใจ และความเชื่อของคนทุกจังหวัดให้ตรงกัน
ในประเด็นที่คิดมาอย่างดีแล้ว เช่น อำมาตยาธิปไตย รัฐบาลทหารตั้งสองมาตรฐาน
สู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้ จริง ทักษิณถูกรังแก ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย
ช่วยกันทำ ประชาธิปไตยที่แท้จริงไว้ให้ลูกหลาน
หลอกลวงคนทั้งประเทศให้เชื่อว่า การออกมาเคลื่อนไหวนั้นเป็นการกระทำไปเพื่อชาติ
เป็นการกระทำที่รักชาติ เสียสละเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของทักษิณ
ปีนี้จึงไม่แปลกว่า เมื่อเครื่องมือพร้อมแล้ว ทักษิณก็ลงมืออีก อย่างที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้
ถ้า เอาเทป video หรือ phone link ของทักษิณมาดู ฟังไปจะพบว่า ทุกครั้งที่พูด
ทักษิณ จะเน้นว่า ตัวเองและเสื้อแดงพูดความจริง และรัฐบาลพูดเท็จ
และจะใช้เวลา ตรงนี้ประมาณ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด เพื่อย้ำการหลอกลวงไม่ให้พลาด
จาก นั้นแกนนำก็จะย้ำตามต่อไป คนฟังก็จะเคลิ้ม นึกว่ากำลังฟังความจริงที่ถูกปกปิดอยู่

*ถ้าเช่นนั้น ขบวนการทั้งหมดของทักษิณ มีลักษณะเป็นอะไร***
คำตอบคือ เป็นลัทธินิกายชนิดหนึ่ง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cult
เหมือนกับโอมชินริ เคียว ที่วางยาพิษคนที่สถานีรถใต้ตินที่ญี่ปุ่น หรือ James Jones
ที่ หลอกให้สาวกฆ่าตัวตายจำนวนมาก โดยมีทักษิณ เป็นศาสดา มีแกนนำอย่างจตุพร
สาม เกลอ และพวก ส.ส.ทั้งหลาย เป็นสมุนรับใช้ และราษฎร คนเสื้อแดงเป็นเหยื่อ
เพียง แต่ทักษิณ เป็น Cult ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกเท่านั้น
ความสามารถของ Cult ทั้งหลาย คือความสามารถในการที่ทำให้สาวกเชื่อสนิท
ถึงขั้นสั่งให้ ทำอะไรก็ได้ บางแห่งถึงกับให้ฆ่าตัวตายก็ยังทำตาม
ทักษิณอาจยังไม่ถึง ขั้นทำให้คนฆ่าตัวตายได้ แต่ทักษิณหาสาวกได้มากกว่า cult อื่นๆ แน่
ดู ลุงคนที่ขโมยเงินเมียมา 20,000บาท แล้วเดินทางมากรุงเทพฯ คนเดียว
เตรียม ขี้วัวมาเสร็จ แล้วไปที่บ้านอภิสิทธิ์ แล้วขว้างขี้ใส่ โดยไม่ต้องมีใครสั่งเลย
ก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพของการหลอกลวงของทักษิณ ได้ชัดเจน ถ้าจะมีคนยอมตายเพื่อทักษิณ
ก็ไม่น่าจะเกินวิสัย และเรื่องนี้จะน่ากลัวเพราะอาจให้คนเผาตัวประท้วง หรือบุกเข้าทำร้าย
เจ้า หน้าที่ จนต้องปะทะกัน เป็นต้น

*เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว มองเห็นกล่องดวงใจของทักษิณแล้วหรือยัง***
จะฆ่าทศกัณฐ์ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกล่องยิงธนูใส่เอาดาบฟัน ก็ไม่ตาย
ต้องไป หากล่องดวงใจให้เจอ พอเจอแล้วแทง ทศกัณฐ์จึงจะตาย ทักษิณก็เหมือนกัน
ความ สามารถในการหลอกลวงของทักษิณ คือกล่องดวงใจของทักษิณ
ถ้าทำลายความ สามารถ นี้ได้ ทักษิณก็จะหมดฤทธิ์ อย่าทำให้แกตายแบบเสียชีวิต
แต่ควรให้ แกมี ชีวิตอยู่ และทำให้คนที่ถูกแกหลอกลวงได้ตาสว่าง
เพื่อให้มองเห็นว่า ถูก ทักษิณหลอกมาอย่างไร และกำลังหลอกให้ทำอะไรอยู่
เมื่อเหยื่อตาสว่าง ก็จะมองเห็นธาตุแท้ของทักษิณ
แล้วให้ทักษิณรับกรรมจากคนที่ตัวเองล่อลวง ไว้นั้น แกสมควรจะได้รับสิ่งที่ทำลงไป

การทำลายความสามารถในการหลอก ลวงของทักษิณ
ทำได้ด้วยการพิสูจน์อย่างไม่มีข้อสงสัยในเรื่องที่ทักษิณ กับสมุน โกหกหลอกลวง
คนเสื้อแดง ต้องใช้ความจริงเท่านั้นในการพิสูจน์ ต้องไม่ใส่ร้าย
และต้องไม่ใช้เรื่องที่ยังไม่ชัดเจน เอาเฉพาะเรื่องที่แกโกหกหลอกลวงอย่างแน่นอน
ก็มีหลายร้อยเรื่องแล้ว
ประเด็น อยู่ที่การชี้ให้เห็นว่า ทักษิณนั้น หลอกลวงคนที่รักทักษิณนั้นเอง
และ อธิบายให้เห็นว่า หลอกอย่างไร แล้วทักษิณจะได้อะไรจากการที่คนเชื่อ
เรา ต้องไม่หลงประเด็น หลายอย่างที่ทักษิณทำตอนเป็นนายก แล้วราษฎรได้ประโยชน์
ต้อง ยอมรับว่ามีอยู่ แต่ต้องชี้ให้เห็นว่า ส่วนที่ทำชั่วมีอะไรบ้าง
และที่ ทำ ดีนั้น ทำได้อย่างไร เพื่อให้ได้อะไรในที่สุด ส่วนที่โกหกหลอกลวงอยู่ตรงไหน

*ตัวอย่าง การล่อลวงของทักษิณและแกนนำ นปช.***

*ประเด็นอำมาตยาธิปไตย***
เรื่อง นี้เป็นเท็จอย่างไร ลองพิจารณาดู
คำนี้ในตำรารัฐศาสตร์ไม่มี ถ้าในภาษาอังกฤษอาจเทียบได้ 2 คำ คือ Aristocracy กับ
Oligarchy ซึ่งหมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่มีอภิสิทธิ์หน่อย เป็นผู้ปกครอง แต่ความหมายตามนัย
ของทักษิณคงหมายถึงพระเจ้าอยู่หัว หรือ พลเอกเปรม ว่ามีอิทธิพลครอบงำรัฐบาลและ
ข้าราชการต่างๆ ทั้งที่ไม่ควรมีใครมีอำนาจอย่างนี้
คำว่าอำมาตยาธิปไตย ประดิษฐ์ขึ้นโดยจักรภพ แล้วทักษิณรับมาใช้ ให้ นปช.ขยายต่อ
จนคนนึกว่ามี อยู่จริงๆ
ทักษิณเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แล้วแก้กฎหมายให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
หรือบริหารให้เป็น ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือที่เรียกร้องมาตลอดคือจะเอารัฐธรรมนูญ 2540
มา ใช้ ก็รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ใช่หรือที่ใช้อยู่ตอนที่ทักษิณบอกว่า อำมาตย์สั่งทหารให้โค่นทักษิณ
ดังนั้นถึงใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ก็ไม่สามารถป้องกันอำมาตย์ได้ เห็นๆอยู่
การเรียกร้องเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ จึงเป็นการหลอกลวง ที่ต้องการจริงๆ
จะเกี่ยวกับการให้ทักษิณพ้น ผิด และการโกงง่ายกว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันต่างหาก
รัฐธรรมนูญของไทยไม่ว่า ฉบับไหนไม่มีเขียนให้อำนาจอำมาตย์ไว้
ความจริงการที่ใครสักคนสามารถสั่ง การหรือแนะนำคนให้ทำตามที่ตัวแนะนำได้โดยไม่ต้องมีอำนาจ
ตามกฎหมายรอง รับ นั้นเรียกว่าบารมี แต่จะเกิดขึ้นได้เพราะคนที่เชื่อฟังเขาให้ความเคารพนับถือ
เท่านั้น ถ้าพลเอกเปรม ได้รับความเชื่อถือจากนักการเมืองและข้าราชการ
จะเอากฎหมาย อะไรไปห้ามไม่ให้เขาเชื่อถือ จะสั่งอย่างไรไม่ให้พลเอกเปรม
ไปพูดจากับ คน อื่น มันเป็นสิทธิเสรีภาพของเขา ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้
การออกมาชุมนุมเรียกร้องจึง เป็นการหลอกลวงแท้ๆ

เมื่อ phone in 2-3 วันมานี้ ทักษิณอ้างว่าต้องการแก้ระบบ
ไม่ได้เจาะจงอำมาตย์คนไหน ถ้าอย่างนั้น ระบบอำมาตยาธิปไตย หมายความว่าอย่างไร
หมายความถึงการที่อำมาตย์ ซึ่งเป็นผู้มีบารมีที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
ไปบอกให้รัฐบาล หรือข้าราชการทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ตัวต้องการใช่หรือไม่
ถ้าใช่ ฐานะปัจจุบันของทักษิณก็เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ที่กำลังสั่งการให้
สส.เพื่อ ไทย ทำตามที่ตัวเองต้องการอยู่
ก็ต้องเป็นระบบอำมาตยาธิปไตยที่ตัวเอง กำลังต่อต้านเหมือนกัน ใช่หรือไม่
นี่ก็แสดงถึงความเท็จที่ทักษิณกำลัง หลอกลวงคนอยู่ ชัดเจน

*สองมาตรฐาน***
เรื่องนี้ทักษิณเอามาพูด หลายตัวอย่างมาก แต่เอาที่จตุพรพูดกับอภิสิทธิ์ตอนเจรจากันออกทีวี
ซึ่ง จตุพรบอกว่ารัฐบาลนี้ได้รับการสนับสนุนจากทหาร เมื่อสมัครเป็นนายก ออก พรก.ฉุกเฉิน
แล้วสั่งให้ทหารสลาย mob พันธมิตร แต่ทหารไม่ทำ พออภิสิทธิ์มาเป็นนายก
ทหารช่วยทำทุกอย่าง เป็นเรื่องสองมาตรฐาน เรื่องนี้เป็นจริงหรือเท็จอย่างไร
ตอนที่สมัครเป็นนายก พันธมิตรยึดทำเนียบ สมัครประกาศใช้
พรก.แล้วสั่งการให้ดำเนินการกับกลุ่ม ผู้ชุมนุม แล้วพลเอกอนุพงศ์
นำกำลังเข้ามาแต่ไม่ดำเนินการเพื่อสลายการ ชุมนุม ถ้าไปดูให้ดีจะเห็นว่า
สมัครไม่ได้สั่งให้ชัดเจนว่าจะให้ทำอะไร อนุพงศ์ก็เลยไม่ทำ
บอกว่าให้สั่งให้ชัดเจน สมัครไม่กล้าสั่ง คงรู้และกลัวจะต้องรับผิดชอบ
ก็เลยกล่าวหาว่าทหารไม่ทำหน้าที่ กลับไปดูสัมภาษณ์และหลักฐานเอกสารดีๆ
จะเห็นชัด ตอนสมชายยิ่งแล้วใหญ่ สั่งให้ตำรวจสลายการปิดล้อมสภาเมื่อ 7 ตุลา
ตำรวจทำรุนแรงเกิดเจ็บตาย สมชายโยนความผิดให้ตำรวจ บอกว่าตัวไม่ได้สั่ง
บิ๊กจิ๋วสั่ง บิ๊กจิ๋วบอกผมสั่งแต่ไม่ได้สั่งให้ทำแบบนั้น
พัชรวาทย์บอกเขาสั่งข้ามหัว ผม สรุปแล้วคนที่รับผิดคือสุชาติ เหมือนแก้ว
ซึ่งเป็น ผบช.น.ในขณะนั้น ถูกดำเนินคดีทั้งทางวินัยและทางอาญา
หลังจากนั้น เมื่อพวกพันธมิตรไปยึดสนามบิน รัฐบาลสมชายประชุม
จะให้ตำรวจไปจัดการสลาย mob จากสนามบิน ตำรวจคือสุชาติ เหมือนแก้ว บอกกับ
ครม.ว่าถ้าจะให้ตำรวจ ทำต้องสั่งให้ชัดเจน มีผู้รับผิดชอบชัดเจน
ไม่งั้นนักการเมืองไม่ต้อง รับ ผิด ตำรวจต้องรับผิด ครม.สมชายไม่กล้าสั่งเอง
โยนไปให้คณะกรรมการ ติดตาม สถานการณ์ด้านความมั่นคง ซึ่งรัฐบาลตั้งขึ้น มี
ผบ.ทบ.เป็นประธาน และปลัดทุกกระทรวงเป็นกรรมการ ให้เอาไปพิจารณา
โดยต้องการให้กรรมการชุด นี้เสนอแนะให้สลาย mob โดยเสนอวิธีการมาให้เลย
ปรากฎว่าคณะกรรมการชุด นั้นประชุมเสร็จแล้วมีมติว่า รัฐบาลยุบสภาเสียดีกว่า
นายกสมชายกลับจาก เปรูคืนนั้นบินไปลงที่เชียงใหม่ พอ 4 ทุ่ม ไม่รู้ว่าปรึกษาใคร
ก็ออก แถลงการณ์สดประกาศว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก
ทั้งหมดนี่ จะเห็นว่า ความจริงทหารตำรวจไม่ได้ใส่เกียร์ว่างเพราะไม่เต็มใจทำงานให้
หรือมีใคร สั่งไม่ให้ร่วมมือ แต่เป็นเพราะนักการเมืองไม่รับผิดชอบ ต้องการจะให้ข้าราชการ
ประจำปราบ แต่ตัวเองไม่ต้องรับผิด เขาเลยไม่ทำ เพราะทำแล้วจะต้องกลายเป็นคนผิด

มาดูสมัยอภิสิทธิ์บ้าง เมื่ออริสม้นต์นำเสื้อแดงบุกการประชุม Summit
ที่พัทยาจะเห็นว่า ตำรวจและทหารเรืออีกจำนวนมากก็เกียร์ว่างเหมือนกัน เพราะตอนนั้น
ฝ่าย รัฐบาลไม้ได้ออกมาแสดงตัวว่าจะรับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้น วางกำลังไว้แต่กฎการใช้กำลัง
ไม่ชัดเจน คำสั่งให้ปฏิบัติอย่างไร เพียงใด ไม่ชัดเจน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
การประชุมก็ล่ม

*ถ้าอำมาตย์ ค้ำอภิสิทธิ์จริง ตำรวจและทหารก็คงปฏิบัติหน้าที่เข้มแข็งกว่านั้นแน่นอน***
บ่าย วันนั้น อภิสิทธิ์ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน แต่ mob ก็สลายไปแล้ว
อย่างไรก็ ตามคืนวันนั้นรัฐบาลประชุมกับฝ่ายตำรวจและทหาร
อภิสิทธิ์แจ้งชัดเจนว่า การตัดสินใจต่อจากนี้ เป็นการตัดสินใจของรัฐบาล
รัฐบาลเป็นผู้ออกคำสั่ง และจะรับผิดชอบต่อการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ชัดเจน ออกTV ด้วย
หลังจาก นั้น ทหารและตำรวจจึงปฏิบัติตามคำสั่ง เอาเทปเหตุการณ์มาดูอีกทีก็จะเห็นชัดเจน

*การกล่าวหาว่าอำมาตย์สั่ง ทหารให้ค้ำอภิสิทธิ์จึงเป็นความเท็จ***
การกล่าวหาว่าทหารและตำรวจใช้สอง มาตรฐานต่อคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงจึงเป็นเท็จ
แต่ถ้าบอกว่าเป็นต่าง มาตรฐานหรือไม่ ต้องตอบว่าต่าง เพราะรัฐบาลของนายสมัครและนายสมชาย
ไม่ กล้ารับผิดจากการสั่งงานของตัว จึงไม่ได้รับความร่วมมือจากทหารตำรวจ แต่รัฐบาล
ของนายอภิสิทธิ์ออกมาพร้อมที่จะรับผิด และได้รับความร่วมมือ มาตรฐานต่างกันตรงนี้ต่างหาก
ความเท็จที่ทักษิณกับสมุนเอาออกมาปั่นหัว ประชาชนในเรื่องนี้
ทำให้คนคิดว่ามีความไม่ยุติธรรมจริงๆ จึงพากันออกมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรม
เห็นภาพของการล่อลวงชัดเจนหรือยัง เป็นการจงใจสร้างเรื่องเท็จไปล่อลวงเพื่อใช้คนเหล่านั้น
คนที่รักทักษิณ เชื่อในทักษิณ รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม ให้เป็นเครื่องมือของทักษิณ
หลอก ให้เขานึกว่าที่เขาทำตามนั้น เพื่อประชาธิปไตย เพื่อบ้านเมือง

*ทหาร จะปฏิวัติ ต้องออกมาต่อต้านการปฏิวัติ***
เรื่องนี้ทักษิณกับสมุนที่ เป็น แกนนำใช้หลอกลวงมวลชนมาตลอด ข้อพิสูจน์ที่เป็นจริงของเรื่องนี้ คือ
ตั้งแต่ อภิสิทธิ์มาเป็นนายก ทักษิณและแกนนำ นปช.ก็ปล่อยข่าวลือว่าทหารจะปฏิว้ติมาตลอด
ถ้าเอาที่พูดบนเวที ที่พูดในสภา ที่ออก TV เสื้อแดงมานับดู ก็จะพบว่ามีการหลอกมวลชนของตัวเอง
ว่า ทหารจะปฏิวัติมาแล้ว เป็นร้อยๆ ครั้ง เฉพาะจตุพรคนเดียวก็นับไม่ไหวแล้ว และทหารก็ยังไม่ได้ปฏิวัติ
ความจริงทหารที่ถูกกล่าวหา เพราะบางครั้งระบุชื่อเลย เช่นพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา เป็นต้น
น่าจะ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้กล่าวหา เพื่อทำให้ผู้กล่าวหาต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณชน
ยอมรับว่าได้โกหก
ถ้า เราทำอย่างนี้ คนก็จะเริ่มเห็นว่า ทักษิณโกหก นปช.โกหก เพื่อจะลวงล่อให้ประชาชนก่อเหตุ

*ทักษิณเป็นประชาธิปไตย ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของการถูกทำลาย ถูกรังแก***
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ชี้มุมโกหกหลอกลวงของทักษิณยากหน่อย
สำหรับคนมีการศึกษาดีหรือเรียนทาง รัฐศาสตร์มาจะเข้าใจง่ายมาก
แต่คนที่ไม่ได้เรียนมาจะไม่ค่อยเข้าใจ เพราะการใช้รูปแบบของการเมืองที่มีการเลือกตั้งจะทำให้
คนเข้าใจว่าการ ที่ชนะเลือกตั้งแล้วเข้ามาปกครองประเทศ ก็เป็นไปตามประชาธิปไตยแล้ว
แต่ ต้องเข้าใจลึกกว่านั้นนิดหนึ่งว่า การเป็นประชาธิปไตยนั้น
นอกเหนือจาก การเลือกตั้งแล้ว จะต้องมีลักษณะอื่นๆ ที่จำเป็นด้วย เช่น
การที่นักการ เมืองทำการเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่, การแบ่งแยกอำนาจ,
การตัดสิน ใจโดยสภา, การมีอิสระของศาล เป็นต้น ซึ่งในประเด็นอื่นๆ
นอกจากการชนะ เลือกตั้งมาแล้ว ทักษิณละเมิดหมดเลย นับตั้งแต่รวบอำนาจไว้กับตัว
ซื้อ พรรคการเมืองอื่นเข้าร่วม ติดสินบนศาล สั่งการ ส.ว.ได้หมด
แต่งตั้งญาติ และเพื่อนเข้าตำแหน่งสำคัญในวงราชการ
งานประมูลทั้งปวงของรัฐให้น้องสาว ชื่อเจ๊แดง ชี้เป็นชี้ตายได้หมด ผูกขาดธุรกิจ
ถึงขั้นแก้กฎหมายหาเงิน เข้ากระเป๋าตัวเอง ซึ่งเป็นการรวบอำนาจเด็ดขาดไว้กับตัว
ทำให้สาระของ รัฐบาลทักษิณ เป็นรัฐบาล "เผด็จการโดยรัฐสภา" เหมือนกับ Hitler
ในสมัย สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งชนะเลือกตั้งมาเหมือนกัน น่าจะเป็นประชาธิปไตย
แต่ ต่อมาแกรวบอำนาจจากสภาและทุกอย่างมาไว้ที่ตัว
ซึ่งเราทุกคนก็รู้ดีว่า Hitler คือจอมเผด็จการที่กุมอำนาจทุกด้านในเยอรมันไว้กับตัวทั้งหมด
จน ทั้งโลกต้องทำสงครามโลกจึงจะปราบ Hitler ซึ่งชนะเลือกตั้งลงไปได้
ดัง นั้นทักษิณ จึงไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นสัญลักษณ์ของ "เผด็จการโดยรัฐสภา"
ต่าง หาก เป็นตัวอย่างของการฉ้อฉลในระบอบประชาธิปไตย
ส่วนที่ว่าแกถูกทำลาย ถูกรังแกนั้น ไปดูเอาเองว่าใครรังแกแกอย่างไร
อธิบายให้มวลชนเสื้อแดงที่ เมาหมัดฟัง คงไม่ยากนัก

*นปช.พูดความจริง สื่อถูกบังคับให้บิดเบือน***
เรื่องนี้สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของทักษิณและ นปช. เกือบ 100% ของสิ่งที่พูดใน TV
และเวทีของ นปช.ล้วนเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และสามารถเอาเทปมาดู
แล้วทำความจริง เปรียบเทียบเพื่อให้มวลชนคนเสื้อแดงเห็นความจริงได้จำนวนมาก
และเป็น สิ่ง ที่เราต้องทำหลังจากการแก้วิกฤตเมษาปี 2553 ไปแล้ว อย่างน้อยๆสักปีสองปี
กว่า คนจะตาสว่าง อาจต้องนานกว่านั้นด้วยซ้ำ การโกหกบิดเบือนในเรื่องนี้
ทำ ให้ดูเหมือนว่าทักษิณพูดความจริง

*อภิสิทธิ์ สั่งฆ่าประชาชน***
กรณี Clip เสียงตัดต่อนี้ ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้น แต่ยังต้องนำเอาความจริงไปสู่ประชาชน
ที่ถูกล่อลวงให้เห็นให้ชัดให้ได้

*เปรม เป็นคนวางแผนรัฐประหาร***
เรื่องนี้เป็นสาเหตุของการประดิษฐ์ศัพท์ที่ เรียกว่าอำมาตยาธิปไตย
ซึ่งเราต้องอธิบายให้ดี ความจริงที่เห็นได้คือพลเอกเปรม ออกมาด่าทักษิณ แน่นอน
ที่เหลือที่พลเอก พัลลภ ไปเล่าให้ทักษิณฟัง ไม่มีใครพิสูจน์อะไรได้
พัลลภพูดอะไรก็ได้ให้ ตัวเองได้เงิน แต่ทักษิณเอาไปทึกทักว่าจริง
แล้วเอาไปหลอกมวลชนของตัว เอง ว่าพลเอกเปรม เป็นคนวางแผนปฏิวัติ ซึ่งไม่แฟร์
การที่พลเอกเปรมพูด แล้วทำ ให้เกิดการปฏิวัติในเวลาต่อมานั้น
ไม่ได้หมายความว่าพลเอกเปรมวาง แผน แต่ความที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง
เมื่อด่าทักษิณแล้ว ทำให้การปฏิวัติขับไล่ทักษิณเกิดขึ้นได้
ซึ่งความจริงมองว่าเป็นการฉวย โอกาสของ คมช.ก็ได้
อย่างไรก็ตามความเลวของทักษิณก็สมควรแก่การถูกล้ม ล้าง
เห็นได้จากการที่ประชาชนเอาดอกไม้ไปมอบให้ทหารที่ปฏิวัติ แต่ในที่สุดการปฏิวัติของ คมช.
กลายเป็นประโยชน์แก่ทักษิณ เพราะเอาไปอ้างได้ว่าตัวเองได้รับเลือกตั้งแล้วถูกล้มล้าง
จากการรัฐ ประหาร กลายเป็นความชอบธรรมของทักษิณที่จะเอาไปอ้างได้กับคนไทย
และคนที่ ออกเสียงเลือกทักษิณมา รวมทั้งไปอ้างกับคนทั่วโลกด้วย
แต่ประเด็นก็คือ การอ้างว่าพลเอกเปรมวางแผนรัฐประหารนั้น
เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน ไม่เคยมีใครยืนยันได้
มองในมุมหนึ่งก็เป็นศาลเตี้ยที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ เคยมีโอกาสแก้ตัวเลย
แต่การพูดย้ำกันเป็นร้อยๆพันๆ ครั้งโดยทักษิณกับสมุน ก็ทำให้คนหลงเชื่อได้
แต่สิ่งที่ตามมาคือ คนเกลียดพลเอกเปรมทั้งที่ไม่รู้ความจริง
และไม่เป็นธรรมกับพลเอกเปรมที่ ได้ประกอบคุณงามความดีมาตลอดชีวิต
มากกว่าทักษิณหลายเท่า และพลเอกเปรมก็ไม่เคยตอบโต้หรืออธิบายหรือแก้ตัวเลย
สังคมไทยเราปล่อยให้ คนดีถูกทำร้ายจิตใจโดยไม่ช่วยเหลือเห็นใจกันเลย น่าเศร้า
การอธิบาย เรื่องนี้ให้มวลชนเสื้อแดงทราบ
คงต้องใช้วิธีตั้งคำถามให้พวกเขาสำรวจจิต ใจของตัวเองอาจจะพอได้

*ทหารตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์***
อันนี้เป็น ข้อกล่าวหาที่แก้ง่ายมาก การที่ทหารสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลนั้น
เกิด ขึ้นหลังจากการล้มของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน 2 รัฐบาล
และมีความขัดแย้ง สูงในบ้านเมือง เมื่อเปลี่ยนขั้วแล้ว บ้านเมืองสงบขึ้นจริงอยู่ระยะหนึ่ง
ทำ ให้การที่ฝ่ายทหารสนับสนุนการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลครั้งนั้น
เป็นสิ่งที่ พิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อความสงบของบ้านเมืองจริง

หลังจากที่ สามารถฟันฝ่าการเผาเมืองของทักษิณเมื่อเมษา 2552 มาได้
ปัจจุบันที่ ทักษิณและ นปช.สามารถล่อลวงคนให้หลงเชื่อได้จำนวนมาก
จึงทำให้เกิดความ วุ่นวายในบ้านเมืองขึ้นมาอีก และโดยที่รัฐบาลไม่ได้เฉลียวใจระวัง
ป้องกัน ต่อต้านมาตั้งแต่ต้น ในขณะนี้จึงต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างลำบากอีก

การ อธิบายเรื่องนี้ทำได้ไม่ยาก เพียงตั้งคำถามให้กับ นปช.และพรรคเพื่อไทย
ว่า เหตุผลที่ทหารไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเพราะอะไร
เพราะพรรคเพื่อไทยเป็น เครื่องมือของทักษิณ เป็นพรรคที่เอาความเท็จไปพูดในสภา
เช่นกรณีกล่าวหา ว่าทหารฆ่าคนตายช่วงสงกรานต์ 2552 หรือกรณี clip เสียงที่ทำขึ้นมาใส่ร้าย
อภิสิทธิ์ แล้วเอาไปพูดออกอากาสในสภาราวกับเป็นเรื่องจริง
เพราะต้องการสร้าง เรื่องใส่ร้ายให้คนเกลียดชังรัฐบาล แล้วจะให้ทหารสนับสนุนได้อย่างไร
ทุก เรื่อง ทักษิณกับสมุน ก็เอาความเท็จไปหลอกลวงมวลชนของตัวเองทั้งนั้น

*เศรษฐกิจ แย่ลง สู้สมัยทักษิณไม่ได้***
เรื่องนี้ชี้แจงง่ายที่สุด เมื่อวันก่อน รมว.คลังได้แสดงตัวเลขที่ทำให้เห็นว่า
รัฐบาลนี้ มีผลงานเหนือ รัฐบาลทักษิณในทุกหัวข้อ ทั้งที่อยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
และถูก ทักษิณเตะตัดขาตลอดเวลา ทักษิณพูดออก วิดีโอลิงค์ ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจแย่
ซึ่ง เป็นความเท็จ เพราะเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น ความจริงก็คือทักษิณกลัวว่า หากไม่รีบล้มรัฐบาล
แล้วเลือกตั้งตอนนี้ คนจะหันไปนิยมรัฐบาลมากขึ้น จึงต้องทำลายทุกวิถีทาง รวมทั้งก่อเรื่อง
ให้เศรษฐกิจกระทบกระเทือนด้วย ซึ่งจะเห็นเล่ห์กลของทักษิณอย่างชัดเจน

ที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นเพียง ส่วนน้อยเท่านั้น
เพียงต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ทักษิณ กับ นปช. และ ส.ส.เพื่อไทย
ร่วมมือกันให้ความเท็จ โดยจงใจ และวางแผนไว้ล่วงหน้า
เพื่อ หลอกลวงมวลชนของตัวเองให้ออกมาเคลื่อนไหวและทำตามที่บงการ
แม้จะให้ทำ สิ่งที่ผิดกฏหมายก็ตาม

หวังว่าผู้อ่านคงจะเห็นความสำคัญของการช่วย กัน เปิดโปงการล่อลวงของทักษิณกับสมุน
ในทุกเรื่องทุกมุม ทุกวงการ ทุกเวที จนกลายเป็นกระแสนำของสังคม
มีคนช่วยกันเปิดโปงเป็นหมื่นๆ คน ร้อยๆ กลุ่ม รัฐบาลทำคนเดียวไม่พอ
แต่รัฐบาลต้องเป็นตัวนำ และผู้คนสนับสนุนช่วยกัน ถ้าทำใน ระดับที่เล็กกว่านี้
อาจจะไม่เพียงพอ ที่จะรับมือกับภัยคุกคามต่อ ชาติในครั้งนี้

*สรุปส่งท้าย***
สิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจ ของทักษิณ กับสมุน คือการล่อลวงที่มีการวางแผนและดำเนินการ
อย่างเป็น ระบบ ซึ่งจะเห็นว่าเรื่องเท็จที่ปั้นแต่งขึ้นมานั้น ได้มีการวางแผนประดิษฐ์ออกแบบมา
อย่างรอบคอบ ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างที่เห็นกันอยู่
หากเราไม่ทำลายความสามารถในการ ล่อลวงนี้ เราจะไม่มีวันชนะทักษิณกับสมุนได้อย่างเด็ดขาด
ไม่ว่าเราจะใช้ วิธีอื่นใดอีกเท่าไรก็ตาม และความแตกแยกในบ้านเมืองก็จะดำรงอยู่
และอาจ จะขยายต่อไปอีก เพราะคนจะไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ
ต่างฝ่ายก็จะเชื่อ ตามข้อมูลข่าวสารที่ตัวเองเสพอยู่
และเราจะไม่มีวันก้าวล่วงความแตกแยก นี้ไปได้ ต่อให้ทักษิณตายลงไปก็ตาม

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #355 เมื่อ: 24 มกราคม 2554, 13:33:37 »

รายละเอียด แถลงข่าว 2/2554
       พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

       
       ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อคืนวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554 กรณีการช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกกองกำลังทหารติดอาวุธของกัมพูชาจับกุมและปล่อยให้ศาลกัมพูชาพิจารณาพิพากษาตัดสินลงโทษคนไทยนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีความเห็นดังต่อไปนี้
       
       1. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่าบริเวณดังกล่าวเคยเป็นเขตอพยพค่ายหนองจาน ที่ชาวกัมพูชาได้อพยพหลบหนีสงครามภายในประเทศ มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2522 และรัฐบาลไทยได้ตระหนักดีว่ามีการมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยจึงมีการล้อมรั้วค่ายอพยพดังกล่าวให้เลยเส้นเขตแดนเข้ามาในประเทศไทย โดยมีจุดสังเกตที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ สระน้ำที่องค์การสหประชาชาติได้ขุดเอาไว้ท้ายหมู่บ้านเพื่อใช้สำหรับเลี้ยงดูชาวอพยพนั้นอยู่ในดินแดนประเทศไทย โดยได้ปรากฏหลักฐานและพยานมามากมายที่ยังมีชีวิตอยู่ในยุคนั้นได้ยืนยันว่าบริเวณดังกล่าวเป็นผืนแผ่นดินไทย เช่น อดีตทหารไทย, อดีตเจ้าหน้าที่กาชาดสากล, อดีตข้าราชการสภาความมั่นคงแห่งชาติ, ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยที่รับจ้างขุดสระน้ำ ฯลฯ
       
       ดังนั้นจากหลักฐานและพยาน 7 คนไทยที่เดินไปในบริเวณดังกล่าวทั้งๆที่ยังเดินไปไม่ถึงสระน้ำที่องค์การสหประชาชาติได้สร้างเอาไว้ในประเทศไทยถือเป็นพื้นที่ซึ่งมีความปลอดภัยจากสงคราม จึงย่อมถือว่า 7 คนไทยอยู่ในดินแดนประเทศไทย โดยไม่เคยปรากฏว่ารัฐบาลไทยได้เอื้ออำนวยช่วยเหลือ 7 คนไทยในการชี้แจงประเด็นที่เป็นคุณและข้อเท็จจริงในกรณีนี้ให้กับกัมพูชาแต่ประการใด
       
       2. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ตรวจสอบจากพยานบุคคลและเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินบริเวณหลักเขต 46-47 พบว่า 7 คนไทยยังอยู่ในดินแดนไทย ซึ่งชาวบ้านเจ้าของที่ดินหลายรายซึ่งสูญเสียที่ทำกินจากกรณีที่เขมรมาอพยพอาศัยอยู่ในบริเวณหลักเขตที่ 46 - 47 ได้ให้ปากคำตรงกันถึง 2 ครั้ง คือวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554 และวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554 ยืนยันว่ากรมที่ดินออกเอกสารสิทธิ์ประเภท ส.ค.1 ของราษฎรไทยอยู่ในบริเวณสระน้ำที่ขุดโดยองค์การสหประชาชาติ (ที่ดินของนายหมา อันสมศรี) และรวมถึงทิศตะวันออกของสระน้ำที่ขุดโดยองค์การสหประชาชาติ(ที่ดินของนายบุญจันทร์ เกษธาตุ) ตั้งแต่เมื่อ 56 ปีที่แล้ว (พ.ศ.2498)
       
       ทั้งนี้เจ้าของที่ดินบริเวณดังกล่าวได้ยืนยันด้วยว่าการลากเส้นปฏิบัติการตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีอ้าง และพยายามให้กรมที่ดินสร้างหลักฐานนำที่ดินชาวบ้านไปวางในหลังแนวเส้นปฏิบัติการที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และไม่ใช่เส้นเขตแดนตามหลักเขตเดิมตั้งแต่ พ.ศ. 2498 ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีความสุ่มเสี่ยงอาจทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนและอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119, 120 ซึ่งมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
       
       จากพยานและหลักฐานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าหลักเขต 46 และ 47 ที่ใช้อ้างในการปฏิบัติการในปัจจุบันนั้นมีการถูกเคลื่อนย้ายมาแล้วในช่วงที่ชาวกัมพูชาอพยพลี้ภัยมาอยู่ในประเทศไทย เอกสารสิทธิ์ที่ทำกินและการชี้จุดบริเวณที่ดินของชาวบ้านหลายรายยังแสดงให้เห็นว่าเส้นทางเดินของ 7 คนไทยซึ่งยังไม่ถึงสระน้ำขององค์การสหประชาชาตินั้นย่อมอยู่ในดินแดนไทย แต่รัฐบาลไทยก็ไม่เคยให้การสนับสนุนเพื่อใช้ข้อมูลที่เป็นคุณเหล่านี้กับ 7 คนไทย เช่นกัน
       
       3. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไม่มีมาตรการตอบโต้กดดันใดๆที่เป็นรูปธรรมเพื่อหยุดยั้งการแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลในดินแดนที่ประเทศไทยซึ่งยังมีข้อพิพาทอยู่ ตามที่ได้ประกาศเอาไว้เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554 โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้สัมภาษณ์ในเวลานั้นว่า “ไม่ว่ากรณีจับกุมจะเกิดขึ้นที่ฝั่งใดก็ตาม เราเห็นว่าบุคคลทั้ง 7 คน ควรจะได้รับการปล่อยตัวทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า ทางฝ่ายนโยบายทั้งสองฝ่ายได้เคยคุยกันว่ากรณีที่เกิดปัญหาในชายแดนลักษณะนี้โดยเฉพาะไม่มีอะไรบ่งบอกว่าคนทั้ง 7 คน มีอาวุธ ไม่ควรที่จะมีการจับกุม และเข้าสู่กระบวนการของศาล” ดังนั้นกรณี 7 คนไทยที่เดินทางไปในบริเวณดังกล่าวซึ่งปราศจากอาวุธแล้วยังมีการปล่อยให้กัมพูชาแสดงอำนาจอธิปไตยโดยกองกำลังทหารติดอาวุธและศาลของกัมพูชาในดินแดนไทยหรือดินแดนพิพาท ถือว่ากัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลง แต่รัฐบาลไทยก็ไม่ได้มีมาตรการตอบโต้เพื่อให้กัมพูชาหยุดการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลในดินแดนไทยได้แต่ประการใด
       
       4. นักการเมืองและข้าราชการ ให้ข้อมูลให้เป็นโทษกับคนไทยมาโดยตลอด โดยมีคำสัมภาษณ์อย่างต่อเนื่องของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายศานิตย์ นาคสุขศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว รวมถึงข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม ซึ่งระบุว่า 7 คนไทยล้ำเข้าไปในเขตกัมพูชาแล้ว หรือพูดโน้มน้าวให้คนไทยยอมรับและเคารพอำนาจศาลกัมพูชา หรือเจรจาขออำนาจศาลกัมพูชาให้เร่งรัดคดีความ ล้วนแล้วแต่เป็นการยอมรับอำนาจศาลกัมพูชา และพูดให้เป็นโทษกับ 7 คนไทยทั้งสิ้น
       
       ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วหลักเขตที่ 46 และ 47 ยังไม่ได้ข้อยุติระหว่างไทย-กัมพูชาว่าหลักเขตเดิมอยู่ในบริเวณใด และยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 190 ถือเป็นการกระทำที่ให้โทษกับ 7 คนไทยและเป็นผลร้ายทำให้ราชอาณาจักรหรือพื้นที่พิพาทตกอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐกัมพูชา อันอาจเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119,120,128,129 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้แต่การชี้แจงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเมื่อคืนวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554 ว่า 7 คนไทยล้ำเข้าไปในแนวปฏิบัติการของไทยนั้น โดยไม่ชี้แจงหรือโต้แย้งเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นคุณต่อ 7 คนไทย ย่อมทำให้เกิดความเสี่ยมเสียต่อศักดิ์ศรีประเทศชาติในการที่ทำให้กัมพูชาสามารถใช้กรณีดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลเหนือดินแดนไทยหรือพื้นที่พิพาทได้ต่อไปทั้งกับ 2 คนไทยที่ยังเหลืออยู่ในการพิจารณาคดีความในชั้นศาลกัมพูชา และคนไทยอื่นๆที่อาจจะถูกจับกุมในพื้นที่ลักษณะเดียวกันต่อไปในอนาคต
       
       5. รัฐบาลไทยไม่สามารถแยกเรื่องเขตแดนกับการลงโทษ 7 คนไทยได้ เพราะคดีนี้เป็นการลงโทษคนไทยที่ปราศจากอาวุธจากการอ้างมูลฐานความผิดว่า 7 คนไทยล้ำเขตแดนกัมพูชา ดังนั้นหากรัฐบาลไทยทำได้เพียงแค่โต้แย้งหรือประท้วงคำพิพากษาของศาลกัมพูชาว่าประเทศไทยไม่ยอมรับเส้นเขตแดนตามคำพิพากษา ก็เป็นเพียงการเยียวยาย้อนหลังที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ “ประเทศไทยไม่ปฏิเสธการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลบนดินแดนที่เป็นประเทศไทยหรือยังพิพาทอยู่” ซึ่งเป็นผลทำให้ 5 คนไทยต้องถูกพิพากษาลงโทษโดยศาลกัมพูชาอย่างไม่เป็นธรรมที่ผ่านมา และมีผลกระทบอย่างยิ่งกับ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ในการพิจารณาของศาลกัมพูชาย่อมได้รับผลร้ายมากยิ่งขึ้นเพราะได้ถูกข้อกล่าวหาร้ายแรงและไม่เป็นธรรมว่าจารกรรมข้อมูลจากมูลฐานความผิดคดีการล้ำเขตแดนกัมพูชา เพราะหากรัฐบาลไทยต่อสู้และกดดันว่าศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจตัดสิน 7 คนไทยในดินแดนไทยที่พิพาทอยู่ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ย่อมไม่สามารถโดนข้อกล่าวหาจารกรรมได้ แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกลับกล่าวว่าเป็นคดีที่ผูกพันเฉพาะคู่ความ โดยไม่ปฏิเสธ โต้แย้ง กดดัน หรือการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลในการพิพากษาลงโทษกับ 7 คนไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ย่อมเป็นผลทำให้ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ต้องตกอยู่ในสถานภาพที่อันตรายมากยิ่งขึ้น
       
       
       6. ประเทศไทยได้สูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไทยบริเวณหลักเขต 46, 47 ไปแล้วโดย
       พฤตินัยไปแล้ว เพราะ MOU 2543 โดยดูจากวีดีโอเส้นทางเดินของ 7 คนไทย จะพบว่าราษฎรไทยเข้าไปทำกินในที่ดินของตัวเองไม่ได้เพราะมีแต่ชุมชนและทหารกัมพูชายึดครองดินแดนไทยฝ่ายเดียว โดยเงื่อนไข MOU 2543 ระบุข้อ 5 ว่า ในระหว่างการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไม่แล้วเสร็จ ห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ทำให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะหากการเจรจาตกลงตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการไม่ได้ กัมพูชาก็ได้อาศัยเงื่อนไขดังกล่าวในการทำให้การเจรจาไม่แล้วเสร็จไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ชาวกัมพูชาที่อพยพมาอาศัยอยู่ในที่ดินทำกินของไทยสามารถยึดครองและขยายชุมชนได้ต่อไปอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา นอกจากนี้ยังมีการแสดงอำนาจอธิปไตยโดยกองกำลังทหารติดอาวุธของกัมพูชา โดยตำรวจตระเวนชายแดนไทยไม่สามารถเข้าไปโดยติดอาวุธได้ และยังมีการแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลในบริเวณดังกล่าว จึงย่อมเท่ากับว่าประเทศไทยได้สูญเสียอำนาจอธิปไตยในบริเวณดังกล่าวไปแล้วในทางปฏิบัติอย่างชัดเจน
       
       7. ความอ่อนแอของรัฐบาลที่ยังแก้ไขไม่ได้กระทั่งแม้ปัญหาป้ายหินแกะสลักกล่าวร้ายประเทศไทยอันเป็นเท็จบนเขาพระวิหารว่าทหารไทยได้รุกล้ำเขตแดนกัมพูชาในบริเวณ วัดแก้วสิขะคีรีสะวารา เป็นปรากฏการณ์สะท้อนความล้มเหลวของ MOU 2543 เพราะในเงื่อนไขข้อ 8 ของ MOU 2543 ได้ระบุว่าในกรณีที่มีการพิพาทให้ใช้วิธีการปรึกษาหารือโดยสันติวิธี โดยไม่สามารถใช้กำลังทหารผลักดันได้ ทำให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบเหิมเกริม รุกล้ำ ยึดครองดินแดนไทย สร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อแสดงอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทยในทางปฏิบัติ และกล่าวอ้างว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ทั้งถนนอ้อมจากฝั่งกัมพูชารุกเข้ามาในฝั่งไทยถึงตัวปราสาทพระวิหาร สร้างวัด สร้างตลาด สร้างชุมชน สร้างแผ่นหินกล่าวร้ายประเทศไทย และเชิญธงชาติกัมพูชาขึ้นสู่เสาในวัดแก้วสิขะคีรีสะวาราฝ่ายเดียว โดยที่ทหารไทยได้ปรับกำลังถอนตัวออกจากวันแก้วสิขะคีรีสะวาราแล้ว ย่อมถือว่าประเทศไทยได้สูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไทยบริเวณดังกล่าวแล้ว
       
       
       8. หากยกเลิก MOU 2543 เราก็จะสามารถรักษาอธิปไตยไทยได้เหมือนดังที่บรรพบุรุษ
       เคยทำได้สำเร็จมาตั้งแต่ในอดีต และไม่จำเป็นต้องทำสงครามเสมอไป เพราะอำนาจต่อรองทางแสนยานุภาพทางการทหารของประเทศไทยสูงกว่ากัมพูชา สามารถนำไปสู่การเจรจาต่อรองเพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ เช่น MOU 2554 ที่ยุติเงื่อนไขความเสียเปรียบทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยได้
       
       พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
       24 มกราคม 2554
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #356 เมื่อ: 25 มกราคม 2554, 23:31:13 »

วิธีนำเสนอ...สอบตก เนื้อหา? ต้องสอบซ่อม
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ /เขียนโดย สุทธิชัย หยุ่น

 
 


 ผมนั่งดูนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกทีวีชี้แจงเรื่องคนไทย 7 คนที่ถูกกัมพูชาจับไป จน 5 คนได้กลับบ้านเมื่อวันเสาร์


 อีก 2 คนยังรอคำตัดสินของศาลที่พนมเปญ สรุปได้ว่าใครที่เป็นคนตระเตรียมงานออกอากาศครั้งนี้ "สอบตก" แน่นอน

 เนื้อหาและสาระที่คุณอภิสิทธิ์พูดนั้นก็ "ไม่ผ่าน" ถ้าเป็นนักเรียนครูก็ต้องให้ไปทำการบ้านมา "สอบซ่อม" ใหม่

 เพราะฟังไม่รู้ว่าตกลงนายกฯ ไทยบอกว่าทั้ง 7 คนนี้ได้ทำอะไรผิดกฎหมายของกัมพูชาหรือไม่ตรงไหน?


 วิธีการนำเสนอด้วยการเอาแผนที่ใหญ่มากางเพื่อให้นายกฯ ชี้แจงว่าคนไทยทั้งเจ็ดเดินจากจุดไหน ผ่านจุดไหน
และถูกจับจุดไหนนั้นเป็นประเด็นน่าสนใจ แต่แผนที่ที่นำมาออกอากาศนั้นไม่ชัดเจน ตัวหนังสือก็อ่านไม่ออก เส้นประ เส้นโค้งดูไม่รู้เรื่อง

 ยิ่งมีการเปิดวีดิโอ 23 นาทีอยู่มุมซ้ายของจอแบบ fast forward พร้อมๆ กับที่นายกฯ พูดด้วยแล้ว ก็ยิ่งดูไม่รู้เรื่อง
 เพราะนายกฯ ดูเหมือนจะภูมิใจนำเสนอว่ามีทั้งวีดิโอ และภาพต่อเนื่องที่แสดงถึงจุดที่คนไทยทั้ง 7 ปรากฏตัวในจอ ก็ยิ่งสับสน

 ขนาดผมสนใจจ้องจอเพื่อพยายามดูทั้งสามกรอบที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันขณะที่นายกฯ พูด ผมยังงุนงง
เกิดคำถามในใจระหว่างที่นายกฯ ชี้แจง ก็ไม่ได้คำตอบ...เผลอนิดเดียว นายกฯ สรุปว่า “คนไทยทั้ง 7 ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปในเขตนั้น”

 แน่นอนว่าคนที่นั่งอยู่หน้าจอทีวี เมื่อได้ยินอย่างนั้น ต้องถามต่อว่า

 “ไม่ได้ตั้งใจ แล้วไง?”

 ทำเนียบรัฐบาลทั้งทำเนียบ หาคนที่ระดมคนเก่งทางด้าน presentation พร้อมกราฟฟิกทันสมัย ให้ดูง่าย
 และชี้ลงไปทีละจุดของเหตุการณ์ไม่ได้แล้วกระนั้นหรือ? เหตุการณ์ที่สลับซับซ้อนกว่านี้มากมายหลายเท่า
เขายังสามารถทำภาพเคลื่อนไหว “เสมือนจริง” ได้อย่างน่าดูน่าติดตาม กว่าที่ผู้นำรัฐบาลอุตส่าห์ให้ทีวีทุกช่อง
 ยกรายการปกติเพื่อถ่ายทอดให้ประชาชนได้รับรู้ว่านายกฯ ปกป้องการทำงานของรัฐบาลในเรื่องนี้อย่างไร

 ยิ่งรู้ว่ารายการ 37 นาทีนี้ นายกฯ ได้อัดเทปเอาไว้ล่วงหน้า

 ยิ่งไม่น่าให้อภัยกับทีมงาน ที่ตระเตรียมรูปแบบและหน้าตาของการนำเสนอ

 ส่วนเนื้อหาที่นายกฯ อธิบายนั้น สิ่งที่สร้างคำถามใหม่สำหรับผมคือ คำว่า “แนวเขตปฏิบัติการ”
ที่นายกฯ ใช้ซึ่งแตกต่างไปจาก “เส้นเขตแดน”

 นายกฯ บอกว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ไทยไปตีเส้นพิกัด ณ จุดที่คนไทยถูกจับ และไปทาบลงบนแผนที่กับเส้นตรง
ที่ลากระหว่างหลักเขตที่ 46 กับ 47 แล้ว ยอมรับว่าคนไทยทั้ง 7 ไปอยู่ “แนวเขตปฏิบัติการ” ของกัมพูชา

 แต่นายกฯ ยังยืนยันว่าคนไทยไม่ได้ข้ามเขตแดนเข้าไปกัมพูชา เพราะบริเวณนั้นยังมีปัญหาว่าสองประเทศ
ยังไม่ได้ตกลงเรื่องเส้นแบ่งเขต มีทั้งที่ชาวกัมพูชาหนีสงครามมาตั้งรกรากอยู่และชาวบ้านคนไทยมีเอกสาร น.ส.3
แสดงความเป็นเจ้าของที่ดินทับซ้อนกันอยู่บริเวณนั้น

 ถ้าจำได้ ทันทีที่คนไทยทั้ง 7 ถูกจับ โฆษกของทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงต่างประเทศไทย
ออกมายอมรับว่าคนไทยทั้ง 7 ได้เข้าไปใน “เขตของกัมพูชา” ในขณะที่คนไทยที่คัดค้านรัฐบาลไทยเรื่องนี้ยืนยันว่า
คนไทยทั้ง 7 ไม่ได้เข้าไปในเขตของเขมร

 ก่อนถึงคืนวันอาทิตย์ที่นายกฯ ออกทีวีชี้แจงนั้น ไม่มีใครในรัฐบาลไทยแยกแยะให้คนไทยเข้าใจความแตกต่างระหว่าง
“แนวเขตปฏิบัติการ” กับ “เส้นแบ่งเขตแดน” ของสองประเทศ

 ดังนั้น เมื่อนายกฯ อภิสิทธิ์ ออกมาบอกว่าคนไทยกลุ่มนี้ได้ข้ามเข้าไปใน “เขตปฏิบัติการ” ของกัมพูชาจริง
แต่ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลกัมพูชาว่าคนไทยทั้ง 7 ได้ “เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย”
ซึ่งแปลว่าเขาตัดสินว่าตรงนั้นคือเขตแดนของเขมร ไม่ใช่ของไทย จึงต้องถือว่ารัฐบาลคุณอภิสิทธิ์
ได้สร้างความสับสนให้กับประชาชนคนไทยทั่วไปมาตลอด

 เพราะหากเป็นแค่การข้ามไปมาระหว่าง “แนวเขตปฏิบัติการ” ระหว่างสองประเทศ
 ก็ควรที่รัฐบาลไทยจะต้องยืนยันตั้งแต่แรกว่ารัฐบาลของนายกฯ ฮุน เซน จะให้อัยการฟ้องคนไทยทั้ง 7 ให้ขึ้นศาลไม่ได้

 เพราะคนไทยไม่ได้ละเมิดเส้นชายแดน หากแต่เพียงเข้าไปเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริง
 เกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างสองประเทศในบริเวณที่ยังหาข้อตกลงกันไม่ได้ จึงเรียกบริเวณนั้นว่า “เส้นแบ่งในแง่ปฏิบัติ” เท่านั้น

 เพราะนายกฯ ก็ยอมรับระหว่างออกทีวีตอนหนึ่งขณะที่ชี้ไปที่เส้นประสีขาวว่า

 “...ความจริงเส้นนี้ก็ยังเป็นที่โต้แย้งกันว่าเป็นเส้นเขตแดนหรือไม่?” และ “ในเมื่อเส้นเขตแดนยังไม่เป็นที่ยุติ...
ทั้งสองฝ่ายก็อย่าได้ (เอาคนของอีกฝ่ายหนึ่ง) ขึ้นโรงขึ้นศาล...”

 ข้อผิดพลาดของรัฐบาลไทยหลังจากที่คนไทยกลุ่มนี้ถูกจับคือการออกมาทำนองยอมรับว่า พวกเขาได้ข้ามเขตแดนเข้าไปกัมพูชา
ไม่ได้อธิบายว่าเหตุนี้เกิดในบริเวณที่ “ยังไม่มีข้อยุติในเรื่องเส้นเขตแดน”

 เพราะหากข้อเท็จจริงนี้เป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่แรก คนไทยทั้งประเทศก็จะรู้ว่าฮุน เซน กำลังทำกับ 7 คนไทยนี้
ผิดแผกไปจากหลักปฏิบัติที่เคยทำกับคนไทยและเขมรอื่นๆ ก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน

 ฮุน เซน อ้างไม่ได้ว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจของศาลเขมร เพราะตำรวจและอัยการที่จับและตั้งข้อหาคนไทยทั้ง 7 นั้น
อยู่ใต้การบังคับบัญชาของนายกฯ กัมพูชา แน่นอนหากตำรวจและอัยการกัมพูชาไม่ฟ้อง
เพราะรู้ว่ารัฐบาลไทยจะไม่มีวันยอม เรื่องราวเมื่อวันที่ 29 ธันวาฯ ก็อาจจะไม่จบลงที่คุกเพรย์ซอว์

 เพราะแม้นายกฯ ไทยวันนี้จะบอกว่าไม่ยอมรับอำนาจศาลเขมร ในการระบุเส้นแบ่งชายแดนของสองประเทศ
ก็ไร้อำนาจต่อรองทางการเมืองไปมากโขแล้ว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #357 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2554, 09:47:20 »

พธม.ประกาศยกระดับ ไล่ อภิสิทธิ์-ครม.ทั้งคณะ หลังล้มเหลวในการบริหารประเทศทุกด้าน
เพื่อเปิดโอกาสคณะบุคคลใหม่เข้ามาทำหน้าที่


เวลา 20.26 น.แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพธม. นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์พธม.เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรีทั้งคณะลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบจากการบริหารประเทศที่ล้มเหลว

นายปานเทพ ได้เป็นตัวแทนแกนนำพธม.ในการอ่านแถลงการณ์การฉบับที่ 1/2554 เรื่อง ขอฉันทานุมัติประชาชนเพื่อให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบ โดยมีเนื้อหาโดยสรุปว่า การที่พธม.ได้ใช้สิทธิ์การชุมนุมตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่ 25 ม.ค.เพื่อทำหน้าที่รักษาชาติ ปกป้องประเทศ และผลประโยชน์ของชาติตามมาตรา 80 ในระหว่างการชุมนุมได้ปรากฏหลักฐานว่ารัฐบาลไทยได้ปฎิเสธการปฎิบัติตามข้อเรียกร้องของพธม.มาโดยตลอด และรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาการถูกละเมิดอธิปไตยแต่อย่างใด เป็นที่ประจักษ์แล้วรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงทำให้กัมพูชายึดครองดินแดนไทยได้อย่างไม่มีกำหนดเวลา

คณะรัฐมนตรีทั้งคณะสมคบกันทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรไทยตกอยู่ภายใต้ราชอาณาจักรกัมพูชา การกระทำดังกล่าวเป็นการทำลายศักดิ์ศรีประเทศไทยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลา 2 ปีได้ปรากฏข้อมูลชัดแจ้งว่าคณะรัฐมนตรีชุดนี้มีพฤติกรรมบริหารชาติบ้านเมืองรุนแรงที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้โดยปรากฏข้อมูลว่าทุจริตจากงบประมาณแผ่นดินทำให้ประเทศชาติเสียหาย 2 แสนล้านบาทต่อปีตามการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และองค์กรอื่นๆ

นอกจากการทุจริตจากโครงการขนาดใหญ่แล้วยังมีการทุจริตจากสินค้าอุปโภคบริโภคของประชาชนด้วย อาทิ ข้าว น้ำมันปาล์ม ทำให้เกิดสภาวะสินค้าราคาแพง ทำร้ายประชาชนยิ่งกว่ารัฐบาลใดๆ ถือเป็นความผิดร้ายแรง แต่นายอภิสิทธิ์ กลับเพิกเฉยไม่ร้อนใจต่อความรู้สึกของประชาชน และไม่มีสัจจะรักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับประชาชน เช่น การเคยรับปากจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญแต่หากจะแก้ไขต้องมีการทำประชามติ แต่ถึงที่สุดก็มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่มีการทำประชามติแต่อย่างใด เช่นเดียวกับการนำบันทึกข้อตกลงเจบีซีเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาทั้งที่เคยรับปากว่าจะไม่เอาเข้ามาพิจารณา รวมไปถึงการเคยบอกว่าจะสะสางคดีการลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล ให้แล้วเสร็จภายในปี 2552 แต่ก็ไม่สามารถทำได้ รวมทั้งมีการขึ้นเงินเดือนให้กับนักการเมืองด้วยกันเองแบบไม่มีคุณธรรม ดังนั้น จึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯอีกต่อไป

จากการที่รัฐบาลได้บริหารประเทศด้วยความล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยของชาติและเกิดการทุจริตมากมาย ถือว่าเป็นการกระทำความผิดร้ายแรงในฐานะเป็นผู้นำประเทศชาติละเมิดแม้กระทั่งกฎเหล็กของตัวเองแบบเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า นายอภิสิทธิ์ จึงเป็นอุปสรรคและเป็นปัญหาต่อการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองอีกทั้งเป็นปัญหาต่อการรักษาประโยชน์ของชาติ

พธม.เห็นว่า นายอภิสิทธิ์ ควรแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อความล้มเหลวในการบริหาราชการ ที่เป็นความรับผิดชอบที่เหนือกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย ด้วยการให้นายอภิสิทธิ์แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ เมื่อฉันทานุมัติของพี่น้องประชาชนเป็นเอกฉันท์ให้นายกฯต้องลาออกแล้ว ดังนั้น จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่ควรจะเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำหน้าที่ในการปกป้องดินแดนอธิปไตยของชาติ เข้ามาแก้ไขการทุจริตให้หมดไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้อ่านแถลงการณ์เสร็จ ในเวลา21.00น.พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น1 ได้เดินทางมายังหลังเวทีการปราศรัย โดยกล่าวกับพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพธม.และพล.อ.ปฐมพงษ์ เกสรศุกร์ ว่า มาเพื่อตรวจความเรียบร้อยนอกจากนี้ในรัศมี 400 เมตรรอบพื้นที่การชุมนุมก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเข้ามาดูแลความเรียบร้อยเช่นกัน ขณะที่ พล.ต.จำลอง ระบุว่า พธม.จำเป็นต้องชุมนุมต่อไปเพราะไม่มีทางเลือก


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #358 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2554, 18:50:42 »

นางอับปรีสิทธิ์ 
 
โดย คำนูณ สิทธิสมาน 6 กุมภาพันธ์ 2554 11:57 น. manager online
 
 
 
 
 
       วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย
       
        ถ้าเป็นสมัยเมื่อ 30 – 40 ปีก่อน หรือก่อนหน้านั้น กิจกรรมหนึ่งที่จะเป็นไฮไลท์และเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์โดดเด่นเหนือก็คืองานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ไม่ใช่แต่เพียงผลการแข่งขัน หากแต่เป็นขบวนพาเหรดและการแปรอักษรล้อเลียนสังคมและการเมือง แต่เมื่อสังคมไทยพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปมาพักใหญ่แล้วด้วยหลายหลากเหตุผล ในระยะหลัง ๆ งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์จึงไม่ค่อยเป็นจุดสนใจเท่าที่ควร รวมถึงครั้งที่ 67 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็เหมือนเดิม ก่อนหน้าก็ไม่ค่อยเป็นที่สนใจของคนทั่วไปนัก แต่ปรากฎว่าเมื่องานเริ่มต้นขึ้นมากลับผิดคาด ขบวนพาเหรดล้อการเมืองของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลายเป็นข่าวฮ็อตในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คทันทีตั้งแต่บ่าย
       
        ภาพฮิตที่แพร่กระจายไปทั่วก็คือภาพนี้ครับ....


 
 
 
 
       มีคำบรรยายเพื่อความเข้าใจดังนี้....
       
       นางอับ(ปรี)สิทธิ์
       
       “ขณะที่นายกรัฐมนตรีไทยยืนกรานที่ใช้ MOU43 ในการเจรจาตกลงข้อพิพาทไทย-กัมพูชา จิตใจของนายกฯได้กลายเป็นเขมรไปแล้วกึ่งหนึ่ง ส่งผลให้ร่างกายท่านนายกฯเป็นรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ประจำโบราณสถานเขมรตลอดทั่วร่าง คงเหลือไว้เพียงใบหน้าอันหล่อเหลา....
       
       “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา เป็นบันทึกที่ทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบทั้งเรื่องดินแดนและผลประโยชน์ ดังเห็นได้จากกรณี 7 คนไทยที่โดนจับกุมข้อหาบุกรุก แต่นายกฯกลับผลักไสให้ไปสู่กระบวนกรยุติธรรมของกัมพูชา นั่นเท่ากับการถือ MOU43 ข้อตกลงที่ส่อเค้าให้ไทยเสียดินแดน ....
       
       “อย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่า ‘หน้าไทยใจเขมร’ ได้อย่างไรล่ะท่านนายกฯ !”
       

       ความที่โต๊ะข่าว Campus ของ Manager Online เผยแพร่ภาพและข่าวนี้เป็นรายแรก ๆ ทำให้เกิดข่าวเล่าลือว่าทีมงาน “ASTV ผู้จัดการรายวัน” ทำขึ้นเพื่อล้อเลียนนายกรัฐมนตรี บางคนก็คาดเดาว่าเป็นฝีมือของทีมงาน “ผู้จัดกวน” ไปโน่น อาจจะเพราะบังเอิญวันเสารที่ 5 มกราคม 2554 เป็นวันนัดหมายสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย
       
       หามิได้ครับ !
       
       เป็นฝีมือของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เนื้อ ๆ จะเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีความสัมพันธ์กับคณะที่ต่อสู้เรื่องนี้ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ทำเนียบรัฐบาล หรือบ้านพระอาทิตย์ อย่างน้อยก็เท่าที่ตรวจสอบกันในเบื้องต้นอย่างกว้างขวางพอสมควร
       
       ในฐานะเลือดเหลือง-แดงคนหนึ่งก็อดปลื้มใจไม่ได้ !
       
       เพราะก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะมีคนปรามาสว่าคนที่คัดค้านรัฐบาลในเรื่อง MOU 2543 นี้มีไม่กี่คน ไม่กี่กลุ่ม ขณะที่คนทั่วไปไม่ใส่ใจ เพราะเป็นเรื่องเข้าใจยาก เห็นว่าควรเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และโลกยุคนี้เป็นโลกยุคไร้พรมแดน ความรักชาติในวันนี้ถูกประณามว่าเป็นการคลั่งชาติ
       
       จะไม่ให้ปลื้มใจได้อย่างไรล่ะในเมื่อนักศึกษาธรรมศาสตร์ให้ความสนใจและให้ความสำคัญในเรื่องนี้
       
       นักศึกษาที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของบ้านนี้เมืองนี้มานานแล้ว ไม่เหมือนในช่วงยุค 14 ตุลาคม 2516 หรือก่อนหน้านั้นขึ้นไป
       
       พลังรักชาติของนักศึกษาในอดีตนั้นแสดงออกในวาระสำคัญ ๆ ของบ้านนี้เมืองนี้มาโดยตลอด
       
       เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการพิทักษ์รักษาอธิปไตยเหนือดินแดนก็มีมาตั้งแต่ยุคสงครามมหาเอเชียบูรพา ยุคต่อสู้กัมพูชาในศาลโลก หรือล่าสุดก็เป็นเรื่องพิทักษ์รักษาอธิปไตยในทางเศรษฐกิจกรณีต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นและรณรงค์ให้ใช้สินค้าไทยโดยเฉพาะผ้าดิบในช่วงปี 2512
       
       ท่านนายกฯไม่น่าจะพอใจนักที่โดน “เล่นแรง” ขนาดนี้ !
       
       แต่ในฐานะที่ท่านก็เคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่การบ้านการเมืองวิกฤต และชาวธรรมศาสตร์เริ่มเคลื่อนไหวมีบทบาทสำคัญอีกครั้งหนึ่ง มีการชุมนุมที่ลานโพธิ์ที่ถ้าจำไม่ผิดผมก็ได้รู้จักลีลาอาจารย์หนุ่มคณะเศรษฐศาสตร์ที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ครั้งนั้นแหละ ประมาณปลายปี 2534
       
       ท่านนายกฯควรจะทำใจให้ว่างทำจิตให้สงบเพื่อทบทวนเรื่อง MOU 2543 อีกครั้งหนึ่ง
       
       เพราะที่ท่านโดน “เล่นแรง” เมื่อวันเสาร์ ไม่ใช่ฝีมือปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ไม่ใช่ฝีมือเทพมนตรี ลิมปพยอม และไม่ใช่ฝีมือประพันธ์ คูณมี แต่เป็นศิษย์แห่งสถาบันการศึกษาที่ท่านเคยสอนอยู่
       
       เคยได้ยินคำ “กลับใจคือฟากฝั่ง” ไหมครับ !
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Soponเท่านั้น
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,405

« ตอบ #359 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2554, 16:51:44 »

ด่วน...อาจมีการลอบวางเพลิงสถานที่สำคัญๆในกรุงเทพมหานคร...ช่วยส่งต่อเมล์ให้มากที่สุด
            
   
https://mail.google.com/mail/?shva=1#inbox/12dff323a29dde06
   
   from   พีรวัศ กี่ศิริ <peerawas.keesiri@gmail.com>
to   
date   7 February 2011 15:16
subject   ด่วน...อาจมีการลอบวางเพลิงสถานที่สำคัญๆในกรุงเทพมหานคร...ช่วยส่งต่อเมล์ให้มากที่สุด
mailed-by   gmail.com
Signed by   gmail.com
   
hide details 15:16 (1 hour ago)
   

กรณีพิพาทเขมร เป็นเรื่องใกล้ตัว อย่าละเลยเด็ดขาด

กรณีพิพาทปัญหาชายแดนไทยเขมรนั้น ไม่ใช่เรื่องแค่ชายแดน แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวคนเมืองทุกคน โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร จากการที่ปัญหาชายแดนไทยได้ทวีความขัดแย้งขึ้นเป็นลำดับ จนล่าสุดมีการปะทะกันอย่างหนัก เป็นเหตุให้ฝ่ายกัมพูชาล้มตายและสูญเสียอาวุธหนักไปจำนวนมาก จนอาจบานปลายเป็นสงครามขนาดใหญ่ระหว่างไทยกับกัมพูชาไทยนั้น

ล่าสุดมีกระแสข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่า อาจมีการลอบวางเพลิงในเขตสำคัญๆของกรุงเทพมหานครตั้งแต่คืนนี้ (๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) เป็นต้นไป หนทางเดียวที่จะป้องกันวินาศภัยของ ส่วนรวมได้คือ ให้ทุกคนเอาใจใส่ สอดส่องดูแล เช่นเดียวกับประชาชนในภาคใต้ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่, เทศบาลเมืองเบตง ที่ได้จัดตั้งอาสาสมัครจากประชาชนขึ้นภายใต้โครงการตาสับปะรด  ผลัดกันเข้าเวรเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของชุมชนของตนอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่หวังผลตอบแทน ในสถานการณ์เช่นนี้หากหวังให้รัฐเป็นผู้รับผิดชอบแต่ฝ่ายเดียวอาจเสียหายได้

ช่วยกันส่งต่อเมล์ฉบับนี้ให้กว้างขวางที่สุด
เป็นวิธีที่หยุดยั้งความเสียหายได้อย่างง่ายๆ อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเมล์ฉบับนี้ถูกส่งต่อไปเป็นแสนๆล้านๆฉบับ หน่วยข่าวกรองของฝ่ายตรงข้ามต้องหยุดชะงักการคิดแผนร้ายอย่างแน่นอน

อาสาประชา รักษาพระนคร
เป็นเครือข่ายเพื่อปลูกจิตสำนึกใน การรับผิดชอบต่อส่วนรวม ในการป้องกันวินาศภัยของส่วนรวม ภายใต้คำขวัญ “สำนึกในหน้าที่ สร้างวิถีแห่งชุมชน อดทนเฝ้าสังเกต แจ้งเหตุและจดจำ” อ่านคุณสมบัติ ๔ ประการของโครงการตาสับปะรด บทเรียนล้ำค่าจากชายแดนใต้ ได้ที่นี่ http://web.me.com/prasarnmitr/bkk/bkk/Entries/2010/3/25_Day_of_longboarding.html

ผู้รับผิดชอบต่อการกระจายอีเมล์ฉบับนี้คือ นายพีรวัศ กี่ศิริ <peerawas.keesiri@gmail.com>
ผู้ใดต้องการร่วมเครือข่าย หรือมีข้อเสนอแนะกรุณาส่งอีเมล์มาตามที่อยู่ข้างบนได้ครับ

      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #360 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2554, 20:54:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ Soponเท่านั้น เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2554, 16:51:44
ด่วน...อาจมีการลอบวางเพลิงสถานที่สำคัญๆในกรุงเทพมหานคร...ช่วยส่งต่อเมล์ให้มากที่สุด
            
   
https://mail.google.com/mail/?shva=1#inbox/12dff323a29dde06
   
   from   พีรวัศ กี่ศิริ <peerawas.keesiri@gmail.com>
to   
date   7 February 2011 15:16
subject   ด่วน...อาจมีการลอบวางเพลิงสถานที่สำคัญๆในกรุงเทพมหานคร...ช่วยส่งต่อเมล์ให้มากที่สุด
mailed-by   gmail.com
Signed by   gmail.com
   
hide details 15:16 (1 hour ago)
   

กรณีพิพาทเขมร เป็นเรื่องใกล้ตัว อย่าละเลยเด็ดขาด

กรณีพิพาทปัญหาชายแดนไทยเขมรนั้น ไม่ใช่เรื่องแค่ชายแดน แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวคนเมืองทุกคน โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร จากการที่ปัญหาชายแดนไทยได้ทวีความขัดแย้งขึ้นเป็นลำดับ จนล่าสุดมีการปะทะกันอย่างหนัก เป็นเหตุให้ฝ่ายกัมพูชาล้มตายและสูญเสียอาวุธหนักไปจำนวนมาก จนอาจบานปลายเป็นสงครามขนาดใหญ่ระหว่างไทยกับกัมพูชาไทยนั้น

ล่าสุดมีกระแสข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่า อาจมีการลอบวางเพลิงในเขตสำคัญๆของกรุงเทพมหานครตั้งแต่คืนนี้ (๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) เป็นต้นไป หนทางเดียวที่จะป้องกันวินาศภัยของ ส่วนรวมได้คือ ให้ทุกคนเอาใจใส่ สอดส่องดูแล เช่นเดียวกับประชาชนในภาคใต้ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่, เทศบาลเมืองเบตง ที่ได้จัดตั้งอาสาสมัครจากประชาชนขึ้นภายใต้โครงการตาสับปะรด  ผลัดกันเข้าเวรเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของชุมชนของตนอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่หวังผลตอบแทน ในสถานการณ์เช่นนี้หากหวังให้รัฐเป็นผู้รับผิดชอบแต่ฝ่ายเดียวอาจเสียหายได้

ช่วยกันส่งต่อเมล์ฉบับนี้ให้กว้างขวางที่สุด
เป็นวิธีที่หยุดยั้งความเสียหายได้อย่างง่ายๆ อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเมล์ฉบับนี้ถูกส่งต่อไปเป็นแสนๆล้านๆฉบับ หน่วยข่าวกรองของฝ่ายตรงข้ามต้องหยุดชะงักการคิดแผนร้ายอย่างแน่นอน

อาสาประชา รักษาพระนคร
เป็นเครือข่ายเพื่อปลูกจิตสำนึกใน การรับผิดชอบต่อส่วนรวม ในการป้องกันวินาศภัยของส่วนรวม ภายใต้คำขวัญ “สำนึกในหน้าที่ สร้างวิถีแห่งชุมชน อดทนเฝ้าสังเกต แจ้งเหตุและจดจำ” อ่านคุณสมบัติ ๔ ประการของโครงการตาสับปะรด บทเรียนล้ำค่าจากชายแดนใต้ ได้ที่นี่ http://web.me.com/prasarnmitr/bkk/bkk/Entries/2010/3/25_Day_of_longboarding.html

ผู้รับผิดชอบต่อการกระจายอีเมล์ฉบับนี้คือ นายพีรวัศ กี่ศิริ <peerawas.keesiri@gmail.com>
ผู้ใดต้องการร่วมเครือข่าย หรือมีข้อเสนอแนะกรุณาส่งอีเมล์มาตามที่อยู่ข้างบนได้ครับ


ตื่นเถิดชาวไทย อย่ามัวหลับไหลอยู่เลย
ช่วยกันดำเนินการตามที่คุณโสภณ นำมาบอก
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #361 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2554, 21:02:17 »

การเมือง : บทวิเคราะห์:กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554 12:39
กลุ่มชุมนุมดาหน้าถล่ม-รัฐบาลกับทางหนีทีไล่
โดย : ประชุม ประทีป

 พันธมิตรฯ ยกระดับไล่"อภิสิทธิ์"พ้นนายกฯ ฝ่ายค้านจ่อยื่นซักฟอก โหวตวาระ3 แก้ไขรธน.อาจมีพลิก ที่สาหัสคือเขมรสอนมวย
 จะทุบหรือเอาหัวพุ่งชน
แต่นี้ต่อไป เวทีชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะตะโกนไล่ "อภิสิทธิ์ ออกไป!"
ตลอดการชุมนุม จากการขอมติที่ชุมนุมเมื่อค่ำเสาร์ 5 กุมภาฯ ที่ผ่านมา

เป็นมติหลังจากประกาศให้เวลา 3 วัน เรียกร้อง 3 ข้อต่อรัฐบาล คือ ยกเลิกบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา หรือ เอ็มโอยู 2543,
 ถอนตัวจากภาคีมรดกโลก และผลักดันชาวบ้านและทหารกัมพูชาจากพื้นที่รุกล้ำดินแดนไทย

จะบังเอิญหรือชะตาดล เป็นมติจากที่ชุมนุมอย่างคับคั่งจากการ “เชิญแขก”ก่อนวันเดียว จากเหตุยิงปะทะทหารไทยกับทหารเขมรที่ภูมะเขือ เขาพระวิหาร ทหารไทยบาดเจ็บ 8 นาย(ทหารเสียชีวิตอีก 1 นายวันที่ 5 ก.พ.) ชาวบ้านภูมิซรอลเสียชีวิต 1 คน บ้านเรือนไทย และที่ทำการอบต.เสาธงชัย เสียหาย ทำให้พันธมิตรฯ ชูขึ้นมากดดันรัฐบาลยิ่งขึ้น(ส่วนใครจะมองกลับหัวกลับหางก็ตามแต่)

ที่จะหวังว่า “รัฐบาลอภิสิทธิ์” จะยืดไปจนใกล้หมดเทอมแล้วจึงยุบสภา ตามที่พรรคร่วมรัฐบาลและแกนนำพรรคประชาธิปัตย์วาดหวัง ก็ดูจะยากแล้ว

อีกทั้งเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ(มีสมัชชาประชาชนแห่งชาติ กับ กองทัพธรรมสันติอโศก) ชุมนุมกดดันรัฐบาลช่วยคนไทยที่ถูกจับและศาลกัมพูชาตัดสิน นายวีระ สมความคิด กับน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ในโทษอย่างร้ายแรง

เดิมที “รัฐบาลอภิสิทธิ”ก็โดนชุมนุมขับไล่ตลอดจากเสื้อแดงแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ประเด็นเรียกร้องคือ ให้ได้ประกันตัวแกนนำเสื้อแดง และแนวร่วมที่ถูกจับคุมขัง ฟ้องศาลไทยเอาผิดรัฐบาลจากคำสั่งสลายการชุมนุม มีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากไม่ได้ ก็ให้นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ยื่นร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ(ไอซีซี) เนเธอร์แลนด์ (30 ม.ค.2554) ซึ่งอยู่ระหว่างอัยการศาลไอซีซีพิจารณาคำร้อง คาดวาจะใช้เวลาตรวจสอบคำร้องประมาณ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย

แนวทางต่าง - แนวร่วมไล่รัฐบาล
"รัฐบาลอภิสิทธิ์" โดนไล่จากทุกกลุ่ม (ส่วนเสื้อหลากสียังไม่กล้าออกมาปกป้องรัฐบาล) 2 กลุ่มแรกนั้นจะอย่างไรก็เสมือนเนื้อเดียวกัน ยกเว้น นปช.ไม่ประกาศร่วมชุมนุมไล่รัฐบาลตามคำเชื้อเชิญของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายฯ

2 กลุ่มแรกแม้รายละเอียดลึกลงไปจะต่างกัน “สมณะโพธิรักษ์”ประกาศจุดยืนเพื่อคืนพระราชอำนาจ เพราะเชื่อว่าการเมืองในระบอบปัจจุบันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง (สอดคล้องกลุ่มธรรมยาตราฯ สมาน สีงาม) เฉพาะหน้าต้องหาทางช่วย “วีระ- ราตรี” ส่วนพันธมิตรฯ ไม่ชูประเด็นนี้ ก่อนนี้แค่ชู ม.7 เรียกร้องให้ใช้พระราชอำนาจ คนเคยเป็นแนวร่วมก็ถอนตัวไปไม่น้อย และเสื้อแดง นปช. ไม่คัดค้านอยู่แล้ว

ถือว่าเสื้อแดงเริ่มฟื้นแล้ว ด้วยแรงพยาบาท บาดแผลจากถูกสลายชุมนุม และได้เดินในแนวทางคล้ายพันธมิตรฯ คือเดินสายเปิดเวทีให้ความรู้ แม้รัฐบาล(พยายามสร้างภาพ)ประนีประนอมกับเสื้อแดง ด้วยการให้ประกันตัวแกนนำบางคน และเสื้อแดงก็เลือกจะขึ้นภูดูเสือกัดกัน ตามที่ "ทักษิณ"เบรกไว้

ทางหนีทีไล่ของ"รัฐบาลอภิสิทธิ์"
แม้ลึก ๆ รัฐบาลอภิสิทธิ์(โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล) อยากลากยาวไปได้ถึงขั้นจัดทำงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินฯ 2555 แต่มรสุมรุมเร้ากดดันอาจจะอยู่ไม่ถึง

แต่ทำไมพรรคร่วมรัฐบาลอยากให้ลากยาว อย่างน้อยอย่าเร็วก่อนถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนนี้ อย่างน้อยอยากให้รัฐธรรมนูญ 2 ประเด็นผ่านไปวัดเกมโหวตในวาระสามเสียก่อน เพราะเกือบทั้งหมดนี้น้ำหนักกดดันจะไปลงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นหลัก ทั้งเรื่องทุจริตและส่อทุจริต, ปัญหาปากท้องชาวบ้าน(น้ำมันเชื้อเพลิงแพง, น้ำมันปาล์ม น้ำมันพืชขาดตลาด, ชั่งไข่ขาย) รวมถึงล้มเหลวแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย

จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียคะแนนนิยม โดยเฉพาะการเรียกร้องทวงดินแดน ดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์อาจอยู่ไม่มีเกิน 3 เดือนจากนี้ก็เป็นไปได้

ความจริงรัฐบาลนั่นแหละ”เชิญแขก”เป็นระยะ เช่น นายกอภิสิทธิ์พลิกพลิ้วเรื่อง 4.6 ตารางกิโลเมตร มรดกโลกปราสาทพระวิหาร และเอ็มโอยู 43 โดยเฉพาะกรณีเขมรจับ 7 คนไทย ไม่ทันเกม ผิดขั้นตอนทางการทูตและมาตรการทหาร ปล่อยให้ระดับบิ๊กซ้ำเติมให้คนไทยต้องโทษศาลเขมร

กระทั่งนายกอภิสิทธิ์ยังเข้าฉากที่จัดให้คนบ้านหนองจาน(เทียม) มาอยู่หลังช่วงสงครามกลางเมืองเขมร เข้าให้ข้อมูลเท็จๆ จริงๆ ออกสื่อสาธารณะเพียงวันเดียวก่อนศาลพนมเปญจะตัดสินจำคุกวีระ 8 ปี ราตรี 6 ปี

ก่อนหน้านี้ก็กลับลำ 361 องศา ไม่ทำประชามติถามประชาชนแก้ไขรัฐธรรมนูญ และแก้ประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ประชาชน ไม่เกี่ยวกับปฏิรูปการเมืองเลยสักนิด นี่คือการเชิญแขกชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเป็นลำดับ 

สุดท้ายที่จะทำให้รัฐบาลคว่ำ คือ สั่งสลายการชุมนุมอีก ไม่ว่าจะใช้คำว่า ขอคืนพื้นที่จราจร, กระชับพื้นที่ หรืออะไรก็ตาม วันนั้นรัฐบาลอภิสิทธิ์จะเสียหายเอง และเข้าตาอับ

ตอนนี้กัมพูชารู้ว่าคงยากจะได้พื้นที่เกือบ 3 พันไร่รอบปราสาทพระวิหารมาควบรวมในการบริหารเป็นมรดกโลก ให้สมบูรณ์ ประชุมในเดือนมิถุนายนต้องสะดุดแน้ จึงข้ามช็อตไปสู่การยิงกระสุนตกในรัศมีแสดงความเป็นเจ้าของ ซ้ำฟ้องต่อยูเอ็นกล่าวหาไทยเสียด้วย

ยุบสภา รอหลังเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่...พอคาดการณ์ได้ว่ายากแล้ว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #362 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2554, 21:07:04 »

การเมือง
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554 20:02

พธม.บอกพบแผนที่ใหม่หลักฐานทวงคืนเขาพระวิหาร
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 โฆษกพธม.ระบุพบแผนที่กรมแผนที่ทหาร ปี2491 ให้รัฐบาลใช้ทวงคืนเขาพระวิหาร อัด"ฮุนเซน"สมคบบางคนก่อสถานการณ์รบ
"จำลอง"ลั่นให้จับดีกว่าเสียดินแดน


นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์  โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดแถลงข่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามใส่ร้ายพันธมิตร ว่าเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา รัฐต้องหยุดบิดเบือน เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นมาจากการรัฐปล่อยให้กัมพูชายึดพื้นที่ แต่เดิมนั้นทั้งเขาพระวิหารและภูมะเขือ ทหารกัมพูชาอยู่แค่ตีนหน้าผาเท่านั้น ไม่สามารถจะยิงราษฎรไทยได้ แต่เพราะเอ็มโอยู 2543 มัดเราไว้ สุดท้ายทหารกัมพูชาก็มาอยู่บนยอดเขา และยิงใส่คนไทย ดังนั้นขอประณามรัฐบาลและให้กำลังใจทหารและคนไทยในพื้นที่ อย่างไรก็ตามตั้งแต่เกิดเหตุยิงปะทะรัฐยังไม่ได้แถลงยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวคือของประเทศไทย

วันนี้กลุ่มพันธมิตรได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่สอง เรื่องการตั้งคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน เพื่อกำหนดนโยบายและให้คำแนะนำการชุมนุมเพื่อสำเร็จตามเป้าหมาย โดยมีกรรมการ 16 คนประกอบด้วย ผู้ที่เคยขึ้นเวทีปราศรัย อาทิ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นายประพันธ์ คูณมี พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ หม่อมหลวงวัลย์วิภาจรูญโรจน์ ฯลฯ ที่น่าสังเกตมีพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ร่วมด้วยเพียงคนเดียว 

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ที่ศาลโลกเคยตัดสินยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาเมื่อปี 2505 และฝ่ายไทยคยสงวนสิทธิหากพบหลักฐานใหม่ ขณะนี้พันธมิตรได้พบหลักฐานใหม่เป็นแผนที่จัดทำโดยกรมแผนที่ทหารบก ปี 2491 และขอนำฉบับจัดพิมพ์ใหม่เมื่อปี 2498 มานำเสนอ แผนที่นี้จัดทำขึ้นก่อนการตัดสินของศาลโลก และใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน โดยหลักฐานชิ้นนี้อยู่ที่กรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเรามีแผนที่ของเราใช้มาก่อนนั้นแล้ว อีกทั้งแผนที่ดังกล่าวระบุว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนไทย รวมถึงแสดงสันปันน้ำด้วย ดังนั้น จึงขอให้รัฐบาลนำหลักฐานดังกล่าว ไปสงวนสิทธิต่อศาลโลก เพราะถึงเวลาแล้ว

นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า เหตุการณ์ปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา ในขณะนี้เป็นการสร้างสถานกาณ์ โดยนายฮุนเซ็น ได้จับมือกับทหารและนักการเมืองไทยบางคน เพื่อใส่ร้ายพธม.โดยสังเกตจากทหารไทยปล่อยให้ ทหารกัมพูชายิงมาก่อนซ้ำยังสามารถยึดชัยภูมิสำคัญ ทั้งๆ ที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรณ บอกว่ายกหูโทรศัพท์ คุยกับพล.อ.เตีย บัญ ตลอดเวลา จึงตั้งข้อสงสัยว่านี้จะเป็นมวยล้มต้มคนดู และนี่คือวิชามารของพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากนี้ แม่ทัพภาค 2 ให้ทหารกัมพูชายิงเข้ามาในแผ่นดินไทย ทำไมจึงไม่ใช้กำลังทางอากาศเข้ากดดัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้พรุ่งนี้อาจจะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความั่นคงภายในรอบทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา ซึ่งอาจจะทำให้ ตำรวจเข้ามาสลายการชุมนุม จะตั้งรับอย่างไร พล.ต.จำลองกล่าวว่า  “ขอยืนยันว่าไม่ว่าจะใช้กฎหมายฉบับใดมาสลายเราก็จะไม่ยอมออกจากที่นี่ แม้มีกฎหมายอะไรอยู่เราก็ยินดีให้จับ เพราะเสียอิสรภาพดีกว่าเสียดินแดน จะใช้กฎหมายอะไรได้ทั้งนั้น เราไม่ออกมาจับก็จับไป จับแกนนำรุ่นหนึ่งก็มีรุ่นต่อไปเรื่อยๆ เราพูดอย่างนี้ไม่ได้ท้าทาย"     

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และกลุ่มเครือข่ายประชนไทยหัวใจรักชาติ ใน่ช่วงเย็นว่า บรรยากาศยังคงไม่คึกคักนักแม้ก่อนหน้านี้ พธม. จะได้ยกระดับการชุมนุม เป็นการขับไล่รฐบาล โดย จะมีคนหนาแน่นเฉพาะบริเวณหน้าเวที เท่านั้น ขณะที่โดยรอบพื้นที่ก็มีผู้ร่วมชุมนุมอยู่อย่างประปรายเท่านั้น ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าโดยรอบพื้นที่ชุมนุมเริ่มบ่นว่าได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทำให้ขายของได้น้อยลง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #363 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2554, 15:54:22 »

การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 18:48แกะรอยการเมือง
หมานำฝูงราชสีห์
โดย : รักษ์ มนตรี rakmontri@twitter,facebook

 
 
พลันที่กระสุนนัดแรก วิ่งออกจากปลายปากกระบอกปืน ของทหารที่ทำหน้าที่รักษาการณ์ ชายแดนไทยกัมพูชา

  ไม่ว่ามันจะออกมาจากปากกระบอกปืนของฝั่งใดก็ตามนั่นหมายถึง "สงคราม" ได้เริ่มขึ้นแล้ว

 "สงคราม" สำหรับคนสองชาตินี้มิใช่เพิ่งเกิดหนแรก

 เมื่อย้อนประวัติศาสตร์กลับไป ครั้งที่ "เขมร" เป็นเมืองขึ้นของไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา www.encyclopediathai.org ระบุว่า ในการปกครองเขมรนั้น ไทยปล่อยให้เจ้าเขมรปกครองตนเอง เป็นแต่ส่งราชบรรณาการเข้ามาและให้ความช่วยเหลือเมื่อไทยต้องการ แต่ "การปกครองภายใน" ของเขมร มักมีเรื่องยุ่งยากบ่อยๆ คือ

 1. ภายในประเทศนั้น "เจ้านาย" แตกสามัคคีกัน เกิด "แย่งชิงราชสมบัติ" และเกิดจลาจลบ่อยๆ
 2. เวลาไทยติดสงคราม ตัวอย่างเช่น ทำสงครามกับพม่า เขมร กลับตั้งตัวเป็นอิสระ คอยซ้ำเติมไทยอยู่ตลอดมา
 3. เขมรแตกเป็นสองพวก คือพวกหนึ่ง "นิยมไทย" อีกพวกหนึ่ง "นิยมญวน" (เวียดนาม) เอาใจออกห่างจากไทยมักไปพึ่งญวนเพื่อขอกำลังญวน นับเป็นเหตุกรณีพิพาทระหว่างไทยกับญวน เมื่อไทยเสียกรุงครั้งที่สอง ใน พ.ศ.2310 "พระนารายณ์ราชา" กษัตริย์เขมร ตั้งตนเป็นอิสระหันไปเข้ากับญวน ส่วนเจ้าเขมรอีกองค์หนึ่งคือ "พระรามราชา" หนีมาพึ่งไทย พระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) ได้ทรงชุบเลี้ยงอย่างดี ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เสด็จยกทัพไปตีเขมร 3 ครั้ง คือ

การรบกับเขมรครั้งที่ 1 พ.ศ.2312
 เมื่อพระรามราชา ลี้ภัยการเมืองมาอยู่ ณ กรุงธนบุรี นั้น พระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงมีหนังสือถึงพระนารายณ์ราชาแจ้งว่าเดี๋ยวนี้ไทยเป็นอิสระแล้วให้กรุงกัมพูชา ส่งราชบรรณาการมาถวายดังเช่นเคย พระนารายณ์ราชา ตอบมาว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ของพระมหากษัตริย์ซึ่งครองกรุงศรีอยุธยา จึงไม่ยอมอ่อนน้อม พระเจ้ากรุงธนบุรี กริ้วมาก ได้จัดกองทัพ 2 กอง คือ ทัพพระยาอภัยรณฤทธิ์ กับ พระยาอนุชิตราชา ไปตีเมืองเสียมราฐ ทัพพระยาโกษาธิบดี ไปตีเมืองพระตะบอง ทั้งสองทัพได้ชัยชนะแต่พระเจ้ากรุงธนบุรี ให้ยันไว้ก่อน เนื่องจากติดการปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราชอยู่

 ทางฝ่ายกัมพูชา ได้ข่าวลือว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีสวรรคตที่นครศรีธรรมราช พระยาทั้งสองจึงยกทัพกลับ พระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงกริ้ว แต่พระยาทั้งสองได้กราบทูลตามความจริงว่า เมื่อได้ข่าวสวรรคตเกรงว่าจะเกิดการจลาจลขึ้นในกรุงหวังจะรักษาแผ่นดินไว้ไม่ยอมเป็นข้าผู้อื่น ทรงฟังก็พอพระทัย โปรดให้เรียกทัพกลับ และระงับการตีกัมพูชา

 การรบกับเขมรครั้งที่ 2 พ.ศ.2314


 นับแต่ไทยถอยทัพกลับมาใน พ.ศ.2313 นั้น พระเจ้ากัมพูชาได้ทราบว่าพม่ายกกองทัพมาทางเหนือ คาดว่าไทยแพ้ จึงยกทัพมาตีเมืองตราด และเมืองจันทบุรี แต่กองทัพเมืองจันทบุรี ตีทัพเขมรแตก พระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จกลับจากเมืองเชียงใหม่ ทรงทราบก็กริ้วมากที่เขมร ถือโอกาสซ้ำเติม จึงกำหนดว่าพอพักหายเหนื่อยแล้วจะยกไปตีเขมรให้จงได้

 พ.ศ.2314 พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ดำรัสสั่งให้ทัพไทย มีเจ้าพระยาจักรี เป็นแม่ทัพยกไปทางปราจีนบุรี ตีได้เมืองพระตะบอง โพธิสัตว์ และเมืองบริบูรณ์ เข้าไปจนถึงเมืองบันทายเพชร ซึ่งเป็น "ราชธานี" ของเขมรในขณะนั้น โปรดให้พระยาโกษาธิบดี ยกทัพเรือเป็นทัพหน้า ส่วนพระองค์เป็นทัพหลวง ทัพหน้าตีได้เมืองกำปงโสม ส่วนทัพหลวงเสด็จถึงปากน้ำเมืองบันทายมาศ พระยาราชาเศรษฐี เจ้าเมืองไม่ยอมอ่อนน้อมจึงตีเมืองบันทามาศได้ และพระเจ้ากรุงธนบุรี ยกทัพเรือตีเมืองพนมเปญ ได้อีก รับสั่งให้เจ้าพระยาจักรี ตามพระนารายณ์ราชา ซึ่งหนีไปอยู่เมืองบาพนม ฝ่ายพระนารายณ์ราชา สู้ไม่ได้จึงหนีเข้าเขตญวน ดังนั้น อาณาจักรกัมพูชาจึงมาขึ้นกับไทยใน พ.ศ.2314

 การรบกับเขมรครั้งที่ 3 พ.ศ.2323

 เกิดการจลาจลขึ้นในเขมร พระนารายณ์ราชา ประชวรสิ้นพระชนม์ พระรามราชา ถูกจับถ่วงน้ำตายแล้วอัญเชิญให้นักองค์เอง (บุตรพระนารายณ์ราชา) มีพระชนม์ 4  พรรษาขึ้นครองราชย์โดยมีฟ้าทละหะมู เป็นผู้สำเร็จราชการ ซึ่งเป็นชาวเขมรที่มีความนิยมฝ่ายญวน พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ และเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพไปปราบ

 เมื่อ ฟ้าทละหะมู รู้ข่าวกองทัพไทยยกไปมากจึงอพยพไปตั้งอยู่ทางพนมเปญ เพื่อขอกองทัพญวนมาช่วย ไทยกับญวน ไม่ทันปะทะกัน แต่เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นทางกรุงธนบุรี จึงต้องยกทัพกลับมากรุงธนบุรีโดยด่วน
 ประวัติศาสตร์สอนให้รู้ว่าเขมร เป็นชาติที่ไว้ใจไม่ได้
 และใน พ.ศ.2554 "เขมร" ฮึกเหิม หยามว่ารัฐบาลไทย ไม่กล้ารักษาแผ่นดิน จึงเคลื่อนกำลังเข้ายึดจุดที่นั่นที่นี่ไม่เว้นในแต่ละวัน

สภาพการ "ยกระดับ" ทั่วด้านเช่นนี้เกิดขึ้นก็เพราะรัฐบาลอ่อนแอ ทั้งที่ประเทศไทยมีความพร้อมหลายอย่าง ซึ่งสอดคล้องกับ "โลกนิติ" ที่ระบุว่า "ฝูงราชสีห์" ที่มี "หมา" นำนั้น รบสู้ "ฝูงหมา" ที่มี "ราชสีห์" นำไม่ได้
 แต่ก็มีบทแก้ว่า "ฝูงราชสีห์" จะเอาชนะ "ฝูงหมา" ได้ก็โดยไล่หรือกำจัด "หมา" ที่เป็นหัวหน้า "ฝูงราชสีห์" เสียก่อน แล้วให้ "ราชสีห์" ตัวใดตัวหนึ่งนำฝูงแทน ก็สามารถเอาชนะ "ฝูงหมา" ได้

 โลกนิติบทนี้น่าคิดเพราะดูเหมือนจะสอดคล้อง กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองของเราเวลานี้เสียจริงๆ

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #364 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2554, 22:11:40 »

เขมรโต้ไม่ได้ตั้งฐานโจมตีบนพระวิหารแต่มีภาพจากนักข่าวต่างประเทศ
08 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 21:11 น.Posttoday online

 กระทรวงต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์โต้ไทย อ้างไม่ได้ใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานในการยิงโจมตีไทย ขณะที่ภาพจากสื่อต่างชาติปรากฎชัดมีทหารเขมรพร้อมอาวุธบนปราสาทพระวิหาร

กระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ตอบโต้คำให้สัมภาษณ์ของพล.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกของไทย ที่มีการเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 8 ก.พ.2553 ซึ่งพล.อ.สรรเสริญระบุว่า ทหารกัมพูชาใช้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นฐานในการยิงอาวุธหนักเข้ามายังฐานทัพของทหารไทยในเขตชายแดนไทย ซึ่งตั้งอยู่ในมุมที่ต่ำกว่า

ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า โฆษกของกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวต่อคำกล่าวหาที่ถือเป็นการใส่ร้ายของพล.อ.สรรเสริญ พร้อมเน้นย้ำว่า กัมพูชาไม่เคย และไม่มีทางปล่อยให้ทหารของกัมพูชาประจำอยู่ที่ปราสาทเข้าพระวิหาร เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อการท่องเที่ยว

พร้อมกันนี้ยังระบุด้วยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา กัมพูชาเพียงส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง ซึ่งพกพาอาวุธเบา เข้าไปประจำการเพื่อรักษาความปลอดภัยที่ปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้น

อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบภาพจากสำนักข่าวต่างประเทศ พบว่า สำนักข่าวเอเอฟพี ได้ถ่ายภาพทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธ เอาไว้ได้ โดยมีการระบุในคำบรรยายภาพว่า เป็นภาพทหารกัมพูชาที่ตรึงกำลังอยู่บริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งพบว่ามีทั้งภาพของทหารกัมพูชากำลังสร้างบังเกอร์ และ ทหารกำลังถือเครื่องยิงจรวดบี40 พร้อมหัวจรวด 

   ข้างล่างนี้ คือภาพจากสำนักข่าว AFP


ภาพถ่ายทหารเขมรบนปราสาทพระวิหารจากสำหนัข่าวเอเอฟพี



ทหารกัมพูชาพร้อมเครื่องยิงจรวด และภาพขณะกำลังสร้างบังเกอร์บนปราสาทพระวิหารของสำนักข่าวเอเอฟพี
 



      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #365 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2554, 10:40:00 »

มาดูกันต่อว่า เขมร มันโกหก ว่า ไม่มีทหารบนเขพระวิหาร





กระบั้งปลาเจ่า?-- ภาพวันที่ 8 ก.พ.2554 โฆษกเขมรอาจจะบอกชาวโลกว่านี่คือกระบอกเหล็กธรรมดาๆ ที่ข้างในอัดแน่นด้วยปลาเจ่า เพื่อเป็นเสบียงสำหรับ "ตำรวจ" บนปราสาทพระวิหาร แต่ผู้ถ่ายภาพนี้บรรยายว่า นี่คือ "กระสุน" ที่ทหารกัมพูชาแบกขนย้ายจากรถปิ๊กอัพที่บรรทุกขึ้นไป โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกคำแถลงโกหกชาวโลกหน้าเฉยในวันเดียวกันว่า "ไม่เคยมีทหารและจะไม่มีทหาร" ที่ปราสาทมรดกโลก ไม่มีอาวุธหนัก มีตำรวจไม่กี่คนที่มีเพียงอาวุธปืนเล็กไว้รักษาความปลอดภัย.--REUTERS/Damir Sagolj. 

                                       ไปดู"ตำรวจ"ที่โฆษกเขมรพูดถึง


 
  สบายอารมณ์เพลินชมมรดกโลก-- ภาพวันที่ 8 ก.พ.2554 ทหารกัมพูชาฆ่าเวลา "ณ ที่ตั้ง" ที่ปราสาทพระวิหารสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 11 ที่ชายแดนกัมพูชาไทย ทหารกัมพูชายังคงเตรียมพร้อมสูงสุดในวันอังคารนี้ หลังการปะทะในบริเวณปาราสาทฮินดูอายุ 900 ปี บนยอดเขาแห่งนี้.-- REUTERS/Damir Sagolj. 




เฝ้าพระศิวะ-- ภาพวันที่ 8 ก.พ.2554 บ้างก็นั่งเล่นบ้างก็หลับ ทหารกำพูชาฆ่าเวลา "ณ ที่ตั้ง" ที่ปราสาทพระวิหารสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 11 ที่ชายแดนกัมพูชาไทย ทหารกัมพูชายังคงเตรียมพร้อมสูงสุดในวันอังคารนี้ หลังการปะทะในบริเวณปาราสาทฮินดูอายุ 900 ปี บนยอดเขาแห่งนี้.-- REUTERS/Damir Sagolj. 
 


 
      ภาพวันที่ 8 ก.พ.2554 ทหารกัมพูชาขัดรองเท้าที่ "ณ ที่ตั้ง" ของพวกเขาบนปราสาทพระวิหาร ถึงกระนั้นโฆษกกัมพูชาก็ยังออกแถลงลวงโลกว่า "ไม่เคยมีและจะไม่มีทหาร" อยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นความพยายามสร้างความชอบธรรม ให้แก่การกล่าวหาฝ่ายไทยต่อยูเอ็นที่ว่าไทยยิงถล่มปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งทำให้ปราสาทบางส่วนพังลง.-- REUTERS/Damir Sagolj. 
 



เฝ้าพระศิวะบนเขาพระสุเมรุ-- ทหารกัมพูชานอนหลับภายในปราสาทพระวิหาร มีเครื่องยิงระเบิดอาร์พีจีวางอยู่ใกล้ๆ โฆษกกัมพูชาออกแถลงลวงโลกในวันนี้ว่า "ไม่เคยมีและจะไม่มีทหาร" อยู่ที่นั่น ในความพยายามสร้างความชอบธรรม ให้แก่การกล่าวหาฝ่ายไทยต่อยูเอ็นที่ว่าไทยยิงถล่มปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งทำให้ปราสาทบางส่วนพังลง.-- REUTERS/Damir Sagolj. 
 
 

 
       

 
 
       
ASTVผู้จัดการออนไลน์-- ถึงแม้จะมีภาพถ่ายการเรียงกระสุนปืนกลหนัก และ การลำเลียงอาวุธหนัก และภาพที่แสดงให้เห็นทหารเขมรจำนวนมากที่ปราสาทพระวิหาร เผยแพร่ไปทั่วโลกในช่วงวันสองวันมานี้ แต่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศก็ยังคงออกแถลงบิดเบือนข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งแสดงให้เห็นเจตนาปรักปรำฝ่ายไทยว่า ยิงปืนใหญ่เพื่อสร้างความเสียหายให้ปราสาทเก่าแก่แห่งนั้น
       
       นอกจากนั้นภาพชุดใหม่ที่สำนักข่าวรอยเตอร์ถ่ายที่ปราสาทพระวิหารในวันอังคารนี้ ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีส่วนใดของปราสาทที่พังทลายไปแล้ว ตามที่กัมพูชาฟ้องไปยังคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ
       
       "ไม่เคยมีทหาร และจะไม่มีทหารกัมพูชาที่ปราสาทพระวิหาร ที่นั่นเป็นที่สำหรับกราบไหว้บูชาและเพื่อการท่องเที่ยวตลอดมา" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาระบุในคำแถลงอย่างเป็นทางการ ที่ออกในวันอังคาร 8 ก.พ.นี้
       
       คำแถลงล่าสุดของโฆษกกัมพูชาออกมาเพื่อตอบโต้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกไทยที่ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ระบุว่า ทหารกัมพูชาได้ใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานอาวุธหนัก เพื่อยิงเข้าใส่ทหารไทยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่ำกว่าในดินแดนของไทย โฆษกกัมพูชากล่าวหาว่า โฆษกทหารของไทยระบุดังกล่าว ก็เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การโจมตีปราสาทพระวิหารของฝ่ายไทย
       
       "ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็มีเพียงตำรวจเพียงไม่กี่คนและมีเพียงอาวุธปืนเล็กประจำอยู่ที่นั่น เพื่อรักษาความปลอดภัยปราสาท" คำแถลงกล่าวอ้าง
       
       อย่างไรก็ตามภาพของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่ถ่ายในเช้าวันเสาร์ 5 ก.พ. แสดงให้เห็นทหารกัมพูชาอย่างน้อย 2 คนกำลังจัดเรียงกระสุนปืนกลหนักอยู่ในอาณาบริเวณ โดยมีส่วนหนึ่งของปราสาทโบราณให้เห็นเป็นภูมิหลัง อีกภาพหนึ่งเป็นทหารเขมรกลุ่มใหญ่หลบพักอยู่ในปราสาทหลังหนึ่งในบริเวณปราสาทมรดกโลก
       
       ภาพรอยเตอร์ที่เผยแพร่ในวันอังคาร 8 ก.พ.นี้ ยังแสดงให้เห็นทหารอีก 2 คนกำลังแบกลำเลียงลูกกระสุนปืนใหญ่หรือไม่ก็จรวดที่บรรจุในกล่องเหล็กบนปราสาทพระวิหารเช่นกัน อีกหลายภาพยังเปิดเผยให้เห็นทหารเขมรอีกจำนวนมากหลบภัยอยู่ในปราสาท อีกส่วนหนึ่งใช้ที่นั่นเป็นที่หลบพักอย่างถาวร
       
       นัยตั้งแต่เกิดปะทะกันรอบใหม่วันศุกร์ที่ 4 ก.พ.เป็นต้นมา กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาได้ทำหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคง 2 ครั้ง และ ยังส่งในนามนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ทั้งหมดกล่าวหาว่าไทยยิงปืนใหญ่ถล่มปราสาทพระวิหาร ซึ่งทำให้ปราสาทพังทลายไปส่วนหนึ่งแล้ว
       
       อย่างไรก็ตามภาพของรอยเตอร์ที่ถ่ายออกมาจากปราสาทพระวิหารในวันอังคารนี้ ไม่มีภาพใดที่แสดงให้เห็นปราสาทพัง ตามที่ฝ่ายกัมพูชาได้โพนทะนาไปทั่วโลก มีเพียงรอยกะเทาะของหินที่เกิดจากการตกกระทบที่เข้าใจว่าจะเป็นสะเก็ดกระสุนปืน กับซากหักพังที่มีอยู่แต่เดิมเท่านั้น.
       
       
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #366 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2554, 22:36:37 »

เพื่อนเราเผาเรือน
10 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 20:39 น. posttoday online
 ฮุนเซนยอมให้อดีตผู้นำและพรรคพวกที่สูญเสียอำนาจใช้ดินแดนกัมพูชาเป็นที่พบปะ วางแผนบ่อนทำลายรัฐบาลไทยอย่างเปิดเผย....

โดย...ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

ทุกคนต้องมีเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเพื่อนบ้านรั้วติดกันที่อาจทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปในทางบวกหรือลบก็ได้ ถ้าเพื่อนบ้านไม่ดี ก็มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเสมอ สองฝ่ายก็อยู่ร่วมกันอย่างไม่สงบสุข

วันนี้หลายคนได้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเขมรว่า ในฐานะเป็นประเทศที่มีเขตแดนทางบกและน้ำติดกัน จะชอบหรือไม่ก็ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป การเป็นเพื่อนบ้านที่ดีนั้น สองฝ่ายต้องมีไมตรีจิต มีความเอื้ออาทรต่อกัน หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน แต่ถ้าไทยไปเจอผู้นำเขมรแบบฮุนเซนที่ในหัวสมองมีแต่ความคิดที่จะก่อกวน ไม่ให้ประเทศไทยอยู่อย่างสงบสุข แบบนี้ความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีที่ไทยแสวงหาก็คงไม่เกิดขึ้น

เมื่อมองเขมรก็ต้องมองในภาพรวม ภาพใหญ่ ไม่ใช่มองเฉพาะวันนี้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นผลมาจากสิ่งที่ได้ทำมาในวันวาน เราลองสำรวจย้อนหลังถึงพฤติกรรมของผู้นำเขมรที่ชื่อฮุนเซนว่า เขาได้ทำอะไรบ้างที่ทำให้คนไทยเจ็บช้ำน้ำใจ หรือประพฤติปฏิบัติในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ดีต่อไทยหรือไม่อย่างไร โดยย้อนหลังไปแค่ปี 2551 เป็นต้นมาก็พอ หลังจากที่รัฐบาลอภิสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคเพื่อไทย ฮุนเซนได้ประกาศและแสดงออกอย่างเปิดเผยสนับสนุนท่าทีของพรรคฝ่ายค้านไทยในสภา


ความเสียหายของถนนในเขตชายแดน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่ถูกจรวดหลายลำกล้องของทหารเขมรยิงมาตกใส่
ส่วนนอกสภานั้นฮุนเซนได้สนับสนุนขบวนการต่อต้านรัฐบาลไทยอย่างเปิดเผยและออกหน้าออกตา โดยร่วมมือกับอดีตผู้นำไทยที่สูญเสียอำนาจ และกลุ่ม นปช.รวมทั้งกองกำลังติดอาวุธในความพยายามโค่นล้มรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันในทุกวิถีทาง ทั้งในสภา นอกสภา ทั้งทางสันติและการใช้ความรุนแรง ท่าทีของฮุนเซนที่มุ่งโค่นล้มรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ปกปิดซ่อนเร้นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ทำอย่างเปิดเผย และอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ

ฮุนเซนยอมให้อดีตผู้นำและพรรคพวกที่สูญเสียอำนาจใช้ดินแดนกัมพูชาเป็นที่พบปะ วางแผนบ่อนทำลายรัฐบาลไทยอย่างเปิดเผย ยินยอมให้ใช้ดินแดนกัมพูชาในการซ่องสุม ฝึกคน ใช้เป็นที่หลบซ่อนตัวหลบหนีการจับกุมของทางการไทย ใช้ดินแดนเขมรเป็นสถานที่วางแผนในการล้มรัฐบาลไทย และในการโฆษณาชวนเชื่อโจมตีประเทศไทยและรัฐบาลไทยตลอดมา แกนนำของคนพวกนี้ได้แสดงออกอย่างเปิดเผยไปไกลถึงขั้นที่จะเปลี่ยนแปลงสถาบันสูงสุดอันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของประชาชนไทย ซึ่งเท่ากับฮุนเซนสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทยด้วย

เป็นที่รู้กันดีทั้งในหมู่คนไทยและคนเขมรว่า แกนนำของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลไทยได้หลบหนีมาพำนักอาศัยอยู่ในเสียมราฐ พนมเปญ ภายใต้การดูแลอย่างดีของทางการเขมร ฮุนเซนยินยอมให้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลไทยฝึกอาวุธในค่ายทหารของเขมร โดยมีทหารเขมรเป็นผู้ฝึกให้ โดยกองกำลังเหล่านี้มีภารกิจที่จะกลับมาปฏิบัติการก่อการร้ายในประเทศไทย นอกจากการก่อการร้ายและก่อวินาศกรรมแล้ว ยังมีภารกิจในการลอบสังหารบุคคลสำคัญ ซึ่งเท่ากับฮุนเซนสนับสนุนให้มีการลอบสังหารบุคคลสำคัญของไทยด้วย

บางคนช่วยแก้ตัวให้กับฮุนเซนว่า เขาอาจไม่รู้เรื่อง แต่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ระดับล่าง อย่างไรก็ดี เป็นที่รู้กันดีว่า ในกัมพูชานั้น คนที่มีอำนาจสูงสุดคือฮุนเซน การปฏิบัติการบ่อนทำลายประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คนระดับฮุนเซนไม่รู้ย่อมเป็นไปไม่ได้ แม้แต่หน่วยทหารที่ยอมให้ใช้พื้นที่ในการฝึกอาวุธ จัดบุคลากรมาฝึกอบรมให้ หากไม่ได้รับคำสั่งจาก ผบ.ทบ. หรือจากรัฐมนตรีกลาโหม คงไม่มีใครกล้าทำ และ ผบ.ทบ.และรัฐมนตรีกลาโหมเขมรคงไม่กล้าสั่งหากฮุนเซนไม่อนุมัติ หรืออย่างน้อยก็อนุมัติในหลักการใหญ่ไว้แล้ว

เหตุการณ์เดือน พ.ค. 2553 ที่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลไทยได้ระดมสรรพกำลังทุกแขนงที่มีอยู่ ทั้งจากในประเทศและนอกประเทศ เปิดทุกแนวรบทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในการทำสงครามครั้งสุดท้ายเพื่อหวังชัยชนะในการโค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้ได้ ผู้นำกัมพูชามีส่วนร่วมในแผนการนี้ตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน

พฤติกรรมของผู้นำเขมรที่กระทำต่อไทย ถือว่าเป็น “การแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย” อย่างชัดแจ้งโดยปราศจากข้อสงสัย โดยมีจุดหมายปลายทางคือการโค่นล้มและเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน เพื่อให้มีรัฐบาลและผู้นำที่เป็นประโยชน์กับกัมพูชา การที่ฮุนเซนตัดสินใจกระทำเช่นนี้ ย่อมต้องมี “เดิมพัน” ที่ใหญ่โตและคุ้มค่าจนผู้นำกัมพูชากล้าที่จะแทรกแซงกิจการภายในและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย และยอมเสี่ยงที่จะถูกประณามโดยประเทศอื่น

นอกจากหาทางล้มรัฐบาลไทย ผู้นำเขมรยังพยายามแย่งยึดพื้นที่เขาพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรไปเป็นของตนโดยมีการวางแผนล่วงหน้าและดำเนินการตามแผนอย่างเป็นขั้นตอนตลอดมา และเป็นผู้ริเริ่มให้เกิดการสู้รบบริเวณพรมแดน เพื่อสร้างภาพให้ประชาคมโลกมองว่า ไทยคือ “ผู้รุกราน” ส่วนกัมพูชาเป็น “ผู้ถูกรุกราน” และหาทางดึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง สหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงและกดดันประเทศไทย เพื่อลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ก็ใช้ชีวิตและทหารของทหารและคนเขมรสร้างบารมีให้กับบุตรชายของตนเพื่อเตรียมตัวเป็น ผบ.ทบ.คุมกองทัพต่อไป

ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีการวางแผนล่วงหน้า ในขณะที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เพิ่งยื่นเรื่องฟ้องร้องนายกอภิสิทธิ์ต่อศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ ปัญหาชายแดนไทย-เขมรก็ระเบิดขึ้นเกือบจะทันทีที่ “ใครก็ไม่รู้” แอบไปเขมรอย่างเงียบๆ

ประเทศไทยอยู่ตรงกลางของแผ่นดินใหญ่เอเชียอาคเนย์ ที่ล้อมรอบด้วยประเทศเพื่อนบ้านในทุกด้านต้องการมีเพื่อนบ้านที่ดี คนไทยต้องการอยู่กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสงบ สันติ พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน คนไทยไม่ต้องการให้รัฐบาลไทยไปหาเรื่องกับเพื่อนบ้าน แต่ก็ไม่ต้องการให้รัฐบาลของเพื่อนบ้านมาหาเรื่องกับเรา อะไรที่เป็นของเพื่อนบ้านเราไม่อยากได้ ขณะเดียวกัน อะไรที่เป็นของเราก็ต้องเป็นของเรา ใครจะมาเอาไปไม่ได้ คนไทยยังมีความรัก ห่วงใย ผูกพัน มีความเข้าใจประชาชนเขมร และเชื่อว่า ประชาชนของทั้งสองประเทศยังเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน มีการติดต่อค้าขาย ทำมาหากินด้วยกันตามปกติ แต่ถ้าคนเขมรยังมีผู้นำเช่นฮุนเซน คนเขมรก็ต้องยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมา

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #367 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2554, 11:27:35 »

การบังคับใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ เป็นการใช้ศาลเป็นเครื่องมือ
 เพื่อทำลายหลักประชาธิปไตยและละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎบัตรสหประชาชาติ
 

โดย ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ 11 กุมภาพันธ์ 2554 22:48 น. Maneger online
 
 
ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ
       อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
 อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลทรัพย์สิน ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง และศาลภาษีอากรกลาง

       
       การที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ประกาศใช้กฎหมายพ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 หมวด 2 ในพื้นที่ 7 เขตกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ( พธม. ) และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) ( มติชน 9 ก.พ.54 ) แม้จะเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจรัฐบาลเป็นอย่างยิ่งในการที่จะต้องรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพราะหวั่นเกรงเหตุความไม่สงบจะเกิดขึ้นเนื่องจากมีการชุมนุมของผู้ชุมนุมอยู่ 2 กลุ่ม แต่การที่ฝ่ายบริหารบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวกับประชาชน รัฐบาลจะต้องรู้ต้นเหตุของการบังคับใช้กฎหมายว่า มีเหตุที่จะก่อให้เกิดอำนาจในการใช้บังคับกฎหมายดังกล่าวได้หรือไม่ เพียงใด เพราะถ้าไม่รู้ต้นเหตุของการชุมนุมแต่มีการใช้บังคับกฎหมาย กรณีก็จะกลายเป็นการใช้อำนาจเผด็จการโดยอาศัยกระบวนการยุติธรรม และศาลเป็นเครื่องมือในการใช้อำนาจเผด็จการดังกล่าวได้
       
       1. เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯเพื่อที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยอ้างเหตุที่จะมีผู้ชุมนุม 2 กลุ่มมาชุมนุม ในขณะที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือพธม. กลุ่มแนวร่วมทวงคืนแผ่นดิน กลุ่มทวงคืนปราสาทพระวิหาร กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติฯลฯกำลังชุมนุมอยู่ แต่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) ยังไม่ออกมาชุมนุม ก็ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนดเขตพื้นที่บริเวณสถานที่และถนนที่ใช้ชุมนุมกันอยู่ ถนนที่ใช้เป็นทางสัญจรบริเวณนั้นและบริเวณใกล้เคียงไม่ให้ใช้เป็นสถานที่ชุมนุมและเป็นเส้นทางจราจร การประกาศดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการเรียกถนนหรือเส้นทางจราจรคืนจากผู้ชุมนุม กำหนดเส้นทางจราจรไม่ให้ประชาชนที่จะเข้าร่วมชุมนุมหรือประชาชนโดยทั่วไปไม่ให้ใช้เส้นทางดังกล่าว การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อจะใช้บังคับตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯนั้น เป็นวิธีการที่จะสลายการชุมนุมของผู้ชุมนุม โดยใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมได้นั่นเอง เพราะขณะที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนดเขตห้ามการชุมนุมนั้น ยังไม่มีแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ออกมาชุมนุมแต่อย่างใด
       
       การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร กลุ่มแนวร่วมทวงแผ่นดิน กลุ่มทวงคืนปราสาทพระวิหาร กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ฯลฯ ได้มีการประกาศและการกระทำโดยชัดแจ้งถึงการชุมนุม ว่าเป็นการชุมนุมเพื่อปกป้องอธิปไตยในดินแดนของประเทศ ซึ่งกำลังจะสูญเสียอำนาจอธิปไตยในดินแดนบริเวณรอบปราสาทพระวิหารจำนวน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติไปโดยการเข้ายึดครองของกองกำลังทหาร พลเมืองของชนชาวกัมพูชา โดยการเข้ามาอยู่อาศัยสร้างวัดวาอารามในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวแล้ว และมีการนำไปเป็นส่วนหนึ่งของการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยฝ่ายกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว โดยผู้ชุมนุมได้ร้องขอให้รัฐบาลควรดำเนินการ 3 ประการคือ ( 1. ) ยกเลิก MOU 2543 ( 2. ) ลาออกจากการเป็นสมาชิกมรดกโลก เพื่อไม่ให้ประเทศมหาอำนาจและกัมพูชาเข้ามายึดครองเขตดินแดนของไทยทางอ้อม ตามอนุสัญญาว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติด้วยการอนุญาตให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่สามารถผนวกเอาผืนแผ่นดินไทยเข้าไปเป็นมรดกโลกที่กัมพูชาเป็นเจ้าของทะเบียนมรดกโลกได้ และไทยซึ่งเป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน หรือเป็นเจ้าของแห่งอำนาจอธิปไตยในดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร จะกลายเป็นเพียงผู้มีส่วนเข้าไปร่วมในการบริหารจัดการในพื้นที่ดินดังกล่าวได้เท่านั้น แต่ผืนแผ่นดินซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของไทยดังกล่าวจะกลายเป็นของกัมพูชาโดยทางทะเบียนของอนุสัญญามรดกโลก การบังคับให้คณะกรรมการมรดกโลกแก้ไขทางทะเบียนเพื่อให้ไทยร่วมจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่ารัฐไทยยังคงเป็นเจ้าของในผืนแผ่นดินของไทยที่ได้นำไปร่วมจดทะเบียนมรดกโลกด้วยนั้น จึงไม่มีหนทางที่จะเป็นไปได้เลย ผู้ชุมนุมจึงได้ขอให้รัฐบาลลาออกจากการเป็นสมาชิกมรดกโลก เพื่อไม่ให้รัฐไทยต้องถูกบังคับให้ต้องเสียดินแดนโดยทางทะเบียนของสนธิสัญญาทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ หรือมรดกโลกดังกล่าว (3.) ผู้ชุมนุมขอให้ผลักดันทหารกัมพูชา พลเมืองชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหารดังกล่าวออกจากดินแดนของไทย และให้ทำการตกลงกับกัมพูชาเสียใหม่ เพราะการดำเนินการที่ผ่านมาเกิดจากความผิดพลาดของรัฐบาลไทย
       
       และ ( 4. ) ในการชุมนุมก็ยังได้แสดงเจตนาของผู้ชุมนุมที่จะกดดันให้รัฐบาลช่วยเหลือ 2 คนไทยที่ถูกกัมพูชาใช้กองกำลังทหารเข้าจับกุมในบริเวณเขตแดนที่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นดินแดนของฝ่ายใด แต่กัมพูชาได้นำไปขึ้นศาลกัมพูชา และมีคำพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 8 ปีและ 6 ปี
       อันเป็นการชุมนุมเพื่อให้รัฐบาลได้รักษาไว้ซึ่งบูรณภาพแห่งดินแดนที่รัฐไทยจะต้องมีต่อพลเมืองในชาติของตน
       
       การชุมนุมของผู้ชุมนุมจึงเป็นการชุมนุมต่อต้านและกดดันรัฐบาล ให้รัฐบาลใช้อำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามที่ควรกระทำในการรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐไทย อันเป็นการชุมนุมตามหน้าที่พลเมือง ตามรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 70 และ 71 และเรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 การชุมนุมดังกล่าวจึงอยู่ในเงื่อนไขตามสิทธิที่จะชุมนุมได้ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 63
       
       การชุมนุมของผู้ชุมนุมมิใช่เป็นการชุมนุมเพื่อแย่งชิงอำนาจการปกครองของรัฐบาลแต่อย่างใด แต่เป็นการเรียกร้องและมีข้อเสนอให้รัฐบาลทำหน้าที่เพื่อให้บรรลุผลของการปกป้องแผ่นดิน และการรักษาไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยของรัฐไทย การชุมนุมของผู้ชุมนุมจึงอยู่ในเงื่อนไขของบริบทตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ( พระบรมราชโองการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ) ที่ให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ และตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม การมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลกระทำการดังกล่าว และหากรัฐบาลเพิกเฉยก็ขอให้รัฐบาลได้ลาออกไปนั้น เป็นการกระทำที่เป็นรูปธรรมตามสิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั่นเอง
       
       ดังนั้น การที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงฯ จึงเป็นการมีมติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
       
       2. การออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 2 ฉบับ โดยนำบทบัญญัติในหมวด 2 ของพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯมาใช้บังคับ เพราะเห็นว่ามีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น จึงขึ้นอยู่กับเจตนาและการกระทำการใช้บังคับกฎหมายว่า ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นการใช้กฎหมายเพื่อป้องกัน ระงับ ยับยั้งเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นเพราะจะมีการชุมนุมของแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ในบริเวณนั้น และจะเกิดเหตุรุนแรงปะทะกันเกิดขึ้น อันจะทำให้เกิดอำนาจในการประกาศเขตพื้นที่ที่จะใช้บังคับกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ แต่ปรากฏ ( จากข่าวสื่อสาธารณะ) ว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นการประกาศเพื่อขอพื้นที่การจราจรซึ่งผู้ชุมนุมได้ใช้ในการชุมนุมคืน จึงเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพียงเพื่ออำนวยความสะดวกในการจราจรเพื่อให้ประชาชนโดยทั่วไปใช้ถนนได้ตามปกติเท่านั้น ซึ่งการขอพื้นที่จราจรคืนจากผู้ชุมนุมก็จะขัดกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งสองฉบับดังกล่าว เพราะประกาศทั้งสองฉบับดังกล่าวได้ประกาศห้ามมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดเข้า - ออกในถนนสายต่างๆจำนวนหลายสาย รวมทั้งถนนที่ผู้ชุมนุมใช้ในการชุมนุมอยู่ด้วย และห้ามใช้ทางคมนาคมหรือใช้ยานพาหนะในเส้นทางถนนพิชัยและถนนสายอื่นๆหลายสายอีกด้วย การประกาศห้ามเข้าและใช้ถนนต่างๆรวมทั้งถนนที่ผู้ชุมนุมใช้อยู่กับการอ้างขอพื้นที่จราจรคืนเพื่อให้ประชาชนใช้ทางจราจรดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่ขัดกันอยู่ในตัวเอง จึงเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ขัดต่อหลักเหตุผลอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้จะเรียกพื้นที่การจราจรคืนจากผู้ชุมนุม ประชาชนโดยทั่วไปก็ไม่อาจเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อใช้สัญจรไปมาได้ เพราะขัดต่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งสองฉบับดังกล่าว
       
       3. การใช้บังคับกฎหมาย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯในกรณีนี้เป็นการใช้บังคับกฎหมายโดยขัดต่อพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเองอีกด้วย อำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงนั้น มีอำนาจหน้าที่สำคัญคือ “ เสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักในหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สร้างความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ รวมทั้งเสริมสร้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและความสงบเรียบร้อยของสังคม” ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาตรา 7 (4) เมื่อผู้ชุมนุมมีเจตนาอย่างชัดเจนปรากฏต่อสาธารณชนทั้งในและนอกประเทศ ในการที่จะรักษาไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพในดินแดนแห่งรัฐไทยให้พ้นจากการรุกรานของกัมพูชา โดยชุมนุมเพื่อให้รัฐบาลดำเนินการใช้หลักเกณฑ์ตามที่ผู้ชุมนุมเข้าใจว่า จะรักษาไว้ซึ่งอาณาเขตของประเทศให้ปลอดภัยได้แล้ว การชุมนุมของผู้ชุมนุมจึงเป็นการชุมนุมตามพ.ร.บ.ความมั่นคงฯมาตรา 7 (4) ดังกล่าว และไม่ใช่เป็นการชุมนุมที่ขัดต่อพ.ร.บ.ความมั่นคงฯแต่อย่างใดเลย การที่ ศอ.รส. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อที่จะขัดขวางและสลายการชุมนุม และห้ามการชุมนุม การกระทำของ ศอ.รส. จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ มาตรา 7 (4) อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของ ศอ.รส.ดังกล่าว
       
       4. การชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมทุกกลุ่มมีวัตถุประสงค์ในทำนองเดียวกัน เพราะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น อันเนื่องมาจากมีกองกำลังทหาร ประชาชนของชาวกัมพูชาเข้ามายึดครองที่ดินในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่เป็นเขตแดนของรัฐไทย รัฐบาลก็เห็นว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของรัฐไทย แต่กัมพูชาอ้างว่าเป็นของกัมพูชา การชุมนุมของผู้ชุมนุมจึงเป็นผลมาจากความขัดแย้งในเรื่องเขตแดนของประเทศ ซึ่งผู้ชุมนุมทุกคนเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเป็นผู้เสียหายทุกคน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผืนแผ่นดินและอำนาจอธิปไตยในดินแดนของประเทศไทย การชุมนุมของผู้ชุมนุมได้มีข่าวออกไปทั่วโลก ในสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้ชุมนุมถือได้ว่าเป็นองค์กรพลเมือง ( Civil organization หรือ Non government organization ) อันเป็นที่ยอมรับกันในประชาคมโลก และการที่องค์กรพลเมืองได้แสดงออกถึงการต่อสู้จากการรุกล้ำ การยึดครองของชนชาติอื่นที่ได้เข้ามาครอบครองผืนแผ่นดิน หรือใช้อำนาจอธิปไตยในดินแดนของตน โดยการส่งกำลังทหารและประชาชนเข้ามายึดครองแล้ว องค์กรพลเมืองย่อมมีสิทธิที่ป้องกันการรุกล้ำ การยึดครองอาณาเขตของตนได้ และในการป้องกันการรุกล้ำการยึดครองดังกล่าว องค์กรพลเมืองมีสิทธิที่จะตัดสินใจได้ด้วยตนเองได้ ( Right of self - determination ) และสิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิที่ได้รับรองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ( Customary Rule of International Law ) และตามพิธีสารของอนุสัญญาเจนีวา การที่องค์กรหรือภาคพลเมืองตัดสินใจที่จะชุมนุมโดยสงบ โดยปราศจากอาวุธ โดยการนั่งชุมนุมบนถนนสาธารณะ และเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการที่จะไม่ให้มีการรุกล้ำ ยึดครองดินแดนเขตประเทศแล้ว สิทธิในการชุมนุมบนถนนสาธารณะของผู้ชุมนุม จึงเป็นสิทธิที่จะกระทำได้โดยชอบด้วยหลักประชาธิปไตย ชอบด้วยหลักสิทธิมนุษยชนตามกฎบัตรสหประชาชาติ การใช้บังคับพ.ร.บ.ความมั่นคงฯมาใช้บังคับกับผู้ชุมนุม เพราะเพียงเพื่อไม่ให้ผู้ชุมนุมใช้พื้นที่ถนนสาธารณะเพื่อการชุมนุม เพราะขัดขวางทางจราจรนั้น จึงเป็นการใช้บังคับกฎหมายโดยขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ตามกฎบัตรสหประชาชาติ และขัดต่อหลักประชาธิปไตย
       
       ผู้เขียนไม่ประสงค์จะให้รัฐบาลใช้ดาบอาญาสิทธิโดยผิดลู่ผิดทางโดยดาบอาญาสิทธินั้น จะกลับมาสนองใช้กับรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง

 
 

 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #368 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2554, 21:28:29 »

ฮุนเซนและผู้รับใช้
 
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 11 กุมภาพันธ์ 2554 17:43 น.
 
 
 
  “ปัญญาพลวัตร”
       โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
       
       ฮุนเซนประกาศอย่างชัดเจนว่าการสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา มิใช่เป็นการปะทะกันเล็กๆ แต่เป็นสงคราม เป็นที่น่าสนใจว่าทำไมฮุนเซนจึงก่อสงครามกับประเทศไทย ทั้งที่ฮุนเซนก็ทราบดีอยู่แล้วว่าแสนยานุภาพทางทหารของกัมพูชาด้อยกว่าประเทศไทยอย่างเทียบกันไม่ติด
       
       การก่อสงครามครั้งนี้ฮุนเซนได้มีการเตรียมการวางแผนมาอย่างดีโดยมีการกำหนดยุทธศาสตร์และจังหวะก้าวในการรบอย่างเป็นระบบทั้งทางการทหารและทางการทูต
       
       หากเราสังเกตในช่วงก่อนหน้าที่มีการยิงกันในบริเวณชายแดนนั้น ฮุนเซนได้ส่งกำลังทหารและสรรพาวุธไปตั้งมั่นยังชายแดนไทยเป็นจำนวนมาก พร้อมกับการเข้าไปยึดพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารและภูมะเขือ เพื่อจัดทำเป็นฐานที่มั่นสำหรับใช้เป็นจุดในการโจมตีไทย
       
       การใช้บริเวณปราสาทพระวิหารเป็นที่ตั้งทางทหาร เป็นการดีดลูกคิดในรางแก้วของฮุนเซน เพราะนอกจากเป็นชัยภูมิที่ดีในการโจมตีไทยแล้ว ยังทำให้ทหารไทยมีความหวั่นเกรงในการยิงปืนใหญ่เข้าไปในบริเวณนั้นด้วย เพราะกระสุนอาจไปทำปราสาทพระวิหาร ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้ไทยถูกตำหนิจากนานาชาติได้
       
       ภายหลังต่อสู้กันปรากฏว่าปราสาทพระวิหารมีความเสียหายเล็กน้อย แต่ฮุนเซนทำราวกับว่าปราสาทเสียหายเป็นจำนวนมาก และเมื่อโฆษกกองทัพบกออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าฮุนเซนใช้ปราสาทพระวิหารเป็นที่ตั้งกองกำลังทหารกัมพูชา ฮุนเซนก็ปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่ก็ถูกจับโกหกได้ด้วยนักข่าวเอพีที่รายงานว่ามีบังเกอร์ของทหารกัมพูชาจำนวนมากรอบปราสาทพระวิหาร
       
       ในการโจมตีประเทศไทยนั้นเราจะเห็นได้ว่าเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ฮุนเซนโจมตีมิใช่เป็นที่ตั้งทางทหารของไทยอย่างเดียว แต่กลับโจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทยด้วย โดยมิได้ใส่ใจกับกฎเกณฑ์ของการทำสงครามระหว่างประเทศและมนุษยธรรมแต่ประการใด ทำไมฮุนเซนถึงกล้าทำอย่างนั้น
       
       ประการแรก ฮุนเซนคงคิดว่ารัฐบาลไทยคงไม่กล้านำเรื่องนี้มาประจานและประณามกัมพูชา เพราะฮุนเซนรู้ว่ารัฐบาลไทยซึ่งเป็นลูกไล่กัมพูชา คงไม่ทำอะไรให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์และผลประโยชน์ที่พวกเขามีอยู่ในกัมพูชา ซึ่งก็ดูเหมือนเป็นเช่นนั้นจริงๆ
       
       ประการที่สอง ฮุนเซนคิดจะอาศัยความเดือดร้อนของประชาชนไทย เป็นเงื่อนไขในการกดดันรัฐบาลไทยให้ยอมรับเงื่อนไขของการยุติสงคราม สิ่งที่ฮุนเซนต้องการคือ การนำประเทศที่สามมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยและให้มีกองกำลังของสหประชาชาติมารักษาความสงบบริเวณชายแดน และหากรัฐบาลไทยยังไม่ยอมรับเงื่อนไขเหล่านั้นฮุนเซ็นก็คงสั่งให้ทหารโจมตีพลเรือนของไทยต่อไปในพื้นที่อื่นๆอีกก็ได้ จนกว่ารัฐบาลไทยจะยอมรับเงื่อนไข
       
       ฮุนเซนใช้ยุทธวิธีใส่ร้ายประเทศไทย และไปออดอ้อนให้บรรดาประเทศต่างๆในโลกให้ความเมตตาสงสารประเทศกัมพูชา โดยชี้ว่าประเทศไทยที่ใหญ่กว่าและมีกำลังรบมากกว่า เริ่มสงครามรังแกประเทศกัมพูชาซึ่งยากจนและมีกำลังรบด้อยกว่า อีกทั้งคงหยิบยื่นผลประโยชน์ในเรื่องน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นเครื่องมือในการต่อรองและโน้มน้าวให้ประเทศที่ชักชวนมารักษาความสงบบริเวณชายแดนสนับสนุนกัมพูชา
       
       ประการที่สาม ฮุนเซนคิดอาศัยความเดือดร้อนของประชาชนไทยเป็นเครื่องมือในการโจมตีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะฮุนเซ็นเกลียดและกลัวพันธมิตรมาก สืบเนื่องมาจากความจริงที่พันธมิตรเปิดโปงฮุนเซนนั้นอาจทำให้ประชาชนกัมพูชาตื่นตัว และร่วมกันโค่นล้มฮุนเซนได้
       
       ฮุนเซนยังทราบดีว่าคนในรัฐบาลไทย สื่อมวลชนไทยและนักวิชาการไทยบางส่วน เป็นพวกไร้สมองไร้ปัญญาในการวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการเกิดสงคราม คนเหล่านี้จะวิเคราะห์อย่างตื้นเขินและไร้เดียงสา ว่าสาเหตุการสู้รบที่ทำให้คนไทยบาดเจ็บล้มตายเกิดจากการที่พันธมิตรชุมนุมประท้วงรัฐบาล ดังที่เราเห็นหลักฐานอย่างชัดเจนถึงวิธีคิดแบบนี้ของรัฐมนตรีบางคน สื่อมวลชนประเภทฟรีทีวีบางช่องที่สัมภาษณ์ชี้นำชาวบ้านว่าการชุมนุมของพันธมิตรทำให้ฮุนเซนโกรธจึงสั่งให้ทหารยิงเข้าใส่คนไทย และการพูดและเขียนของนักวิชาการที่ไร้สำนึกแห่งความเป็นชาติกลุ่มหนึ่ง
       
       นักวิชาการที่ไร้สำนึกแห่งความเป็นชาติ เช่น นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็นตัวอย่างที่สะท้อนวิธีคิดแบบนี้อย่างชัดเจน เขากล่าวว่า “สงครามของคนที่ไม่ได้อยู่ชายแดนก่อ คนก่อคือคนอยู่เมืองหลวง ใช้การเมืองเพื่อประโยชน์ของตนเอง “ ซึ่งโดยนัยก็คือการกล่าวหาว่าพันธมิตรเป็นผู้ก่อสงคราม โดยหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ตรรกะแบบนี้ ผมประหลาดใจว่า ภาวะความเป็นนักวิชาการของชาญวิทย์และกลุ่มของเขายังหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่ เพราะดูเต็มไปด้วยอคติและบิดเบือนเกินกว่าที่จะยอมรับได้ คนเหล่านี้จึงเป็นได้แค่เครื่องมือหรือผู้รับใช้อย่างดีของฮุนเซนที่ใช้ในการทำลายประชาชนไทยผู้รักชาติเท่านั้น
       
       ผู้รับใช้หรือผู้เป็นแนวร่วมของฮุนเซนในประเทศไทยจึงมีจำนวนไม่น้อย บ้างก็อาจเกิดจากความไร้เดียงสาตามไม่ทันเล่ห์เพทุบายของฮุนเซน บ้างก็ขาดสำนึกแห่งความเป็นชาติ บ้างก็อาจจะมีผลประโยชน์ร่วมกับฮุนเซน บ้างก็อาจมีความคลั่งไคล้หลงใหลวัฒนธรรมและอารยธรรมของกัมพูชา หรืออาจเป็นไปได้ว่ามีสำนึกแห่งความเป็นชนชาติกัมพูชามากกว่าสำนึกแห่งความเป็นชนชาติไทย คนพวกนี้จึงมักประณามผู้ที่รักชาติว่าเป็นผู้คลั่งชาติ ทั้งที่การกระทำของพวกเขาก็จะท้อนภาวะของการคลั่งชาติไม่แพ้กัน แต่เป็นการคลั่งชาติกัมพูชามากกว่าไทย
       
       มิฉะนั้นคงไม่ไปเชิญเอกอัครราชฑูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมาพูดในงานสัมมนาที่จัดขึ้นในใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย ทั้งที่ทหารของกัมพูชาได้เพิ่งฆ่าคนไทยและทหารไทยตาย เลือดยังมิทันแห้ง ศพยังมิทันเผา น้ำตายังไม่ทันเหือดแห้ง บ้านยังไม่มีให้อาศัย ถิ่นที่อยู่ถูกทำลาย ประสบกับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส พวกนี้ก็ย่ำยีเหยียบย่ำหัวใจคนไทยด้วยการเชิดชูตัวแทนของประเทศที่ทำร้ายคนไทย ช่างน่าอัปยศเสียจริง
       
       สำนึกแห่งความเป็นชาติไทยของคนเหล่านี้คงหายไปพร้อมกับกระสุนนัดแรกที่ลั่นออกมาจากปากกระบอกปืนใหญ่ของกัมพูชา หรืออาจจะหายไปตั้งแต่รับเงินของกระทรวงต่างประเทศก็เป็นไปได้
       
       และสิ่งที่ทูตคนนี้พูดในประโยคสุดท้ายคือ “ขอฝากเอาไว้กับทางมหาวิทยาลัยผู้ให้ความรู้ สอนนักเรียนด้วยเนื้อหาประวัติศาสตร์ที่แท้จริงเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจและมีอคติที่ผิดๆ ฝังใจ" ซึ่งแปลความได้ว่าปัจจุบันมหาวิทยาลัยไทยคงสอนนักศึกษาด้วยเนื้อหาประวัติศาสตร์ที่เป็น “เท็จ” อันที่จริงน่าจะถามทูตคนนี้ว่ามหาวิทยาลัยใดที่เธอทราบมาว่า สอนประวัติศาสตร์ที่เป็น “เท็จ” หรืออาจถามนายชาญวิทย์ ซึ่งเป็นผู้จัดงานนี้ซึ่งคงจะทราบดี
       
       ผู้รับใช้ฮุนเซนจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม พยายามที่จะบิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี และสร้างกระแสอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมาว่าพันธมิตรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามขึ้นมา อาจมีชาวบ้านที่ไม่รับรู้ข้อมูลหรือมีข้อมูลไม่เพียงพอหลงเชื่ออยู่บ้าง แต่ผู้ที่จิตใจที่เปิดกว้างและรู้จักคิดวิเคราะห์ก็จะทราบและรู้เท่าทันเล่ห์กลของคนเหล่านี้ และคนไทยส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มเป็นอย่างนี้ จึงทำให้การสร้างกระแสเกลียดชังพันธมิตรจุดไม่ติด และนับวันผู้คนก็จะรู้ธาตุแท้และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกลุ่มบุคคลเหล่านี้มากขึ้น พอกันทีสำหรับพวก “นักลัทธิชุมชนจินตนาการสามานย์”
       
       ข้างนักการเมืองและข้าราชการที่มีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษาแผ่นดินไทยก็ตามไม่ทันในชั้นเชิงการฑูตและการทหารของฮุนเซน ผู้ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับการทำสงครามและการเมืองระหว่างประเทศ จึงทำให้ไทยตกเป็นรองกัมพูชาอยู่หลายช่วงตัวในเวทีสากล ครั้นพวกรัฐบาลไม่มีปัญญาทำอะไรกับฮุนเซน ก็หันกลับมาแว้งกัดพันธมิตรผู้รักชาติด้วยการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อจัดการกับผู้ชุมนุมตามคำสั่งที่ได้รับจากฮุนเซน (ตามที่หนังสือกัมพูชาฉบับหนึ่งระบุไว้)
       
       หรือว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลไทยก็กลายเป็นผู้รับใช้ฮุนเซนด้วย
       
       หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทยจึงยอมรับฟังคำสั่งจากฮุนเซนอย่างเชื่องๆให้มาจัดการสลายการชุมนุมของพันธมิตร
       
       หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทยจึงยอมเสียเปรียบกัมพูชา ปล่อยให้กัมพูชารุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยได้อย่างตามใจชอบ
       
       หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทยจึงไม่ประณามกัมพูชาที่ยิงปืนใหญ่ทำร้ายชาวบ้านที่เป็นพลเมืองไทย
       
       หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทยจึงจ้างนักวิชาการที่ไร้สำนึกแห่งความเป็นชาติ เพื่อเขียนเอกสารทำร้ายประเทศไทย
       
       หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทย จึงพยายามร้ายป้ายสีพันธมิตรว่าเป็นผู้ก่อสงคราม ทั้งที่ผู้ก่อสงครามตัวจริงคือฮุนเซนและรัฐบาลกัมพูชา
       
      มันช่างน่าอนาถใจจริงยิ่งนัก สำหรับประเทศไทยและประชาชนไทยที่ต้องมีรัฐบาลภายใต้การบงการของฮุนเซน
       
       น่าจะถึงเวลาที่ประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินทั้งมวลต้องประสานใจและประสานเสียงตะโกนออกมาดังๆว่าพอกันที สำหรับนักการเมืองผู้อ่อนแอเกินกว่าที่จะปกป้องประโยชน์และศักดิ์ศรีของชาติและประชาชน พอกันที สำหรับนักการเมืองผู้ฉ้อฉลและผู้หวังประโยชน์จากฮุนเซน และการค้าชายแดน และพอกันทีสำหรับนักการเมืองและนักวิชาการที่ไร้ความสำนึกแห่งความเป็นชาติ
       
       หมดเวลาของพวกท่านแล้ว

 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
ตุ๋ย 22
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 20,173

« ตอบ #369 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2554, 22:28:07 »

      บันทึกการเข้า

น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #370 เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2554, 11:31:34 »

MOU43 สิ้นผลบังคับ-แก้ม.190 ฝืนระบอบปกครอง
โดย : ธนบูลย์ จิรานุวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


 "ธนบูลย์"ชี้MOU43 สิ้นผลทันที"ชวน"พ้นนายกฯ เหตูไม่ขอรัฐสภาเห็นชอบตาม ม.224 รธน.40 หรือม.190 รธน.50 เขมรจับ-ตัดสิน7คนไทย ขัดกม.ระหว่างประเทศ

วันศุกร์ 11 ก.พ.นี้ สมาชิกรัฐสภาจะลงมติวาระที่ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 ใน 2 ประเด็น ในที่นี่จะเน้นประเด็นอำนาจการทำข้อตกลงระหว่างประเทศ มาตรา 190

ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริง ในวันที่ 29 ธันวาคม 2553 เวลาประมาณ 09.00 นาฬิกา นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ นายวีระ สมความคิด แกนนำของประชาชนกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ นางสาวราตรี พิพัฒน์ไพบูลย์ รวมทั้งคนไทยอีก 4 คนร่วมกันไปเป็นคณะเพื่อพิสูจน์ความจริงพื้นดินอันเป็นเขตแดน(Frontier)ของประเทศไทย และเป็นอาณาบริเวณของประเทศอยู่ชิดติดพันกับเขตแดนของราชอาณาจักรกัมพูชา ถูกยึดครอง (The land that belongs to the Royal Kingdom of Thailand , is occupied by the Kingdom of Cambodia’s Military , that is able to defined as occupied territory )โดยกองทัพบกของราชอาณาจักรกัมพูชา

อ้างถึงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินตั้งอยู่ที่ ต.โคกสูง ม.8 เล่ม 8 (5) อ.ตาพระยา จ.ปราจีนบุรี สารบบ เล่ม เลขที่ 20 หน้า 114 เป็นที่ดินของนายเบ พูนสุข รับโอนมาโดยการซื้อขายที่ดินจากนายสมบูน เพชร์ชื่น เมื่อ 21 ก.ค.2519

เพื่อให้ประจักษ์แก่คนไทยทั้งชาติต่อที่ดินบริเวณดังกล่าว ที่ทหารกัมพูชาบุกเข้ามาจับกุมคนไทยทั้ง 7 คนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเบ พูนสุข มาตั้งแต่ 21 ก.ค.2519 เพราะการจะออกหนังสือรับรองทำประโยชน์ได้ หมายความว่าราชการไทยและประเทศไทยต้องมีการตกลงกันโดยแน่นอนแล้วในเรื่องอาณาเขตประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา

เพราะฉะนั้นการเข้ามาจับกุมคนไทยทั้งเจ็ด โดยกองกำลังกัมพูชาจึงเป็นการลักพาตัวคนไทย หรือเป็นการจับกุมตัวคนไทยไปเป็นตัวประกัน ตามคำอธิบายของฝ่ายกฎหมายของคณะกรรมการกาชาดสากล (The International Committee of the Red Cross) ซึ่งอาจค้นดูได้จากคำอธิบายเกี่ยวกับ สนธิสัญญาเจนีวาฉบับที่สี่ บทบัญญัติที่สองร่วม และบทบัญญัติที่สามร่วม (The Forth Geneva Convention,1949, Common Article 2 (Two) บทบัญญัติที่สองร่วม และบทบัญญัติที่สามร่วม (the Common Article 3) ใน WWW.wikipedia.org และ WWW.icrc.org

รวมทั้งคดีวินิจฉัยไว้โดยศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา (The Supreme Court) คือ คดี Ker v.Illinois, 119 U.S.436 (1886) พิพากษาไว้วันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.188 ว่า “การจับกุมบุคคลไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการกระทำที่เรียกได้ว่า เป็น การลักพาตัว ผู้จับกุมต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ถูกลักพาตัว” (ค้นได้จากหนังสือรวมคำพิพากษาของศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา เล่มที่ 119 หน้าที่ 436)

และผู้ที่ถูกจับกุมตัวไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจร้องขอต่อศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดีให้ปล่อยตัวได้ในทันทีตามหลักแห่งกฎหมายว่าด้วย “Habeas Corpus”(ดังเช่นบัญญัติมาตรา 90 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของประเทศไทย) ปรากฏตามหลักการกฎหมายอันมีที่มาจากคดี “Marcos Perez Jimenez” โจทก์ผู้อุทธรณ์ v. Manuel Aristequieta ผู้ร้องสอด และในฐานะจำเลยผู้แก้อุทธรณ์, John E.Maguire จำเลยผู้แก้อุทธรณ์ ซึ่งพิพากษาโดยศาลอุทธรณ์เขต 5 ของสหรัฐอเมริกา ชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายสำคัญอย่างเป็นศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา (The Supreme Court) วินิจฉัยไว้เมื่อ 12 ธันวาคม ค.ศ.1962

อีกทั้งศาลนานาชาติ มักยึดถือปฏิบัติตามแนวคำตัดสินเหล่านี้ รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ (ค้นได้จากหนังสือรวบรวมคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์สหรัฐอเมริกา เล่มที่ 311 หน้าที่ 547 [311 F.2d 547] )

ก่อนจะพิจารณาว่า ฝ่ายไทยจะมีข้อต่อสู้อย่างไร จะนำขึ้นสู่การฟ้องร้องหรือร้องทุกข์ต่อศาลนานาชาติและองค์กรนานาชาติ เราจำต้องศึกษาเสียก่อนต่อบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา หรือ MOU2543 มีความสมบูรณ์ตามกฎหมายของแต่ละประเทศที่ได้ลงนามหรือไม่?

ทั้งนี้ เอกสารใด? หรือสัญญาในระหว่างประเทศฉบับใดๆ จะยกระดับขึ้นเป็น ข้อผูกพันระหว่างประเทศ(International Agreement) หรือสนธิสัญญา(Treaty) ที่ก่อพันธะระหว่างประเทศตามบทบัญญัติที่ 26 ของสนธิสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยการทำข้อตกลงระหว่างประเทศหรือสนธิสัญญา ค.ศ.1980 บัญญัติไว้ในส่วนที่ 3 (Section 3) ว่าด้วย (ENTRY INTO FORCE AND PROVISIONAL APPLICATION OF TREATIES) การส่งผลเป็นภาคบังคับและการใช้บทบัญญัติของสนธิสัญญาบังคับ

บัญญัติว่า “Every treaty in force is binding upon the parties to it and must be performed by them in good faith” แปลความได้ว่า “สนธิสัญญาทุกฉบับที่มีผลบังคับนั้นมีผลผูกพันต่อคู่สัญญาทุกฝ่าย และจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของสนธิสัญญาอย่างสุจริตใจ”
เมื่อบทบังคับอันเป็นผลจากข้อตกลงระหว่างประเทศเป็นเช่นนี้ จึงสามารถสรุได้ว่า ประการที่หนึ่ง MOU 2543 สิ้นผลลงไปแล้วตั้งแต่นายชวน หลีกภัย สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 224 รัฐธรรมนูญ 2540 หรือรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 มาตรา 190


อีกประการหนึ่ง ข้อตกลง MOU 2543 เป็นเพียงข้อตกลงกับต่างประเทศของฝ่ายบริหาร (The International Executive Agreement) ที่ไม่ได้ขอกรอบการเจรจาจากรัฐสภา และไม่ขอการรับรองในการลงนามจากรัฐสภาเสียก่อน ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญประเทศไทยตั้งแต่ฉบับแรกจนถึงในฉบับปัจจุบัน มาตรา 1 บัญญัติว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกมิได้”

อีกทั้ง ใช้รูปแบบการปกครองเป็นประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (The Parliament System)
เมื่อตรวจรัฐธรรมนูญไทยตั้งแต่ฉบับแรกจนฉบับปัจจุบัน อำนาจการรับรองหรือการก่อผลผูกพันต่ออธิปัตย์แห่งรัฐไทย จะต้องให้รัฐสภาให้การรับรอง (สัตยาบัน)แก่ข้อตกลงในระหว่างประเทศนั้นๆ เพื่อยกระดับไปเป็นสนธิสัญญา ก่อผลผูกพันอธิปัตย์ของรัฐ

นอกจากจะย้ำยืนยันรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยมีรัฐสภามีอำนาจสูงสุดในการก่อผลผูกพันต่ออธิปัตย์แห่งรัฐแล้ว ยังบ่งบอกให้รู้ว่า ฝ่ายบริหารของประเทศเป็นผู้ดำเนินกิจการของรัฐ ในแง่การติดต่อกับรัฐต่างประเทศเท่านั้น ฝ่ายบริหารต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบ กำกับ โดยรัฐสภา 

ฉะนั้น การจะแก้มาตรา 190 โดยออกกฎหมายลูกให้สอดรับกับความในบทบัญญัติของมาตรา 190 โดยกำหนดรูปแบบ และคุณลักษณะของข้อตกลงระหว่างประเทศให้ฝ่ายบริหารสามารถกระทำได้โดยทันทีนั้น เปรียบเสมือนการถ่ายโอนอำนาจ (The delegation of Powers) จากหลักสำคัญของประเทศภายใต้ระบบรัฐสภาไปสู่การปกครองที่ฝ่ายบริหารมีอำนาจสูงสุดแห่งรัฐในด้านการต่างประเทศทั้งมวล ซึ่งผิดหลักการถ่วงดุลอำนาจสามฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ หรือ “The Separation of Powers” ที่มองเตสกิเออร์ (Montesquieu) ปราชญ์แนวคิดประชาธิปไตยชาวฝรั่งเศส วางทฤษฎีแนวความคิดประชาธิปไตยในคริสศตวรรษที่ 17 ตามหลักแนวคิด (The School of Thoughts) รวมทั้ง ทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ (The natural rights law) ของจอห์น ล็อก (John Lock) ปราชญ์แนวคิดประชาธิปไตยชาวอังกฤษ นำเสนอไว้คริสตศตวรรษที่ 16-17

ฉะนั้น ความพยายามหรือกระทำการใดๆ เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ไปสู่ประชาธิปไตยภายใต้ฝ่ายบริหารมีอำนาจสูงสุด นอกจากจะทำไม่ได้แล้ว ยังเสมือนเปลี่ยนรูปแบบการปกครอง ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสมาชิก เป็นเพียงตัวแทนของประชาชน มิใช่เจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริง 

ฉะนั้น ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ฝ่ายบริหารจึงไม่มีอำนาจให้การรับรองด้วยวิธีผ่านกฎหมายด้วยตัวเองมาบังคับใช้กับประชาชนทั้งประเทศ

ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายบริหารไปกระทำข้อตกลงระหว่างประเทศกับชาติอื่นโดยไม่ขออนุมัติเห็นชอบกรอบการเจรจาจากรัฐสภาเสียก่อน จึงฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญกฎหมายสูงสุดในประเทศ และฝ่าฝืนต่อมติมหาชน

การจะเปลี่ยนระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยรัฐสภา ไปสู่ระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยฝ่ายบริหารมีอำนาจสูงสุดในรัฐ ซึ่งใกล้เคียงระบบประธานาธิบดี ถึงกระนั้นระบบนี้ ก็ยังต้องให้สภาสูง(Senate) ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงเช่นเดียวกันประธานาธิบดี ถ่วงดุลอำนาจ

สรุปได้ว่า MOU43 สิ้นผลไปแล้ว ไม่อาจส่งต่อ(สืบทอด)ความชอบธรรมใดๆ ไปสู่ฝ่ายบริหารชุดต่อไป เพราะMOU43 เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างประเทศของฝ่ายบริหาร มิใช่สนธิสัญญาที่สามารถสืบทอด(ส่งต่อ)ภาระหน้าที่ไปสู่ความผูกพันฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และฝายตุลาการของประเทศ ให้ต้องปฏิบัติตาม
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Preecha2510
Cmadong Member
Full Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2510
กระทู้: 788

« ตอบ #371 เมื่อ: 27 กุมภาพันธ์ 2554, 12:02:54 »


       
            นับแต่ในอดีตกาลตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ  เรื่องใหญ่ที่ก่อให้เกิดการรบราฆ่าฟัน

 ชีวิตคนมากที่สุดก็คือเรื่องแย่งชิงการครอบครองดินแดน  เพื่อการดำรงค์คงไว้แห่งเผ่าพันธุ์ของตน

          แม้กระทั่งปัจจุบันมีการมีการแบ่งเป็นชาติรัฐต่างๆมีกำหนดเขตแดนอย่างชัดเจน  ปํญหาเรื่อง

 นี้ก็ยังคงมีอยู่ทั่วโลกแต่ก็มีการช่วยกันแก้ปัญหาด้วยความสามัคคีของคนในชาติแต่ละชาติ

             เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่ขณะนี้ประเทศชาติของเรากำลังมีปัญหาขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านในเรื่อง

 พื้นที่ชายแดน  และประชาชนในชาติส่วนหนึ่งมีความเห็นขัดแย้งกับนโยบายของรัฐฯในเรื่องนี้(ที่นโยบายรัฐฯ

 อาจก่อให้เกิดการเสียพื้นที่ชายแดน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องใหญ่) รวมทั้งเรื่องที่คนไทยถูกจับไปขังในข้อหาลํ้าแดนฯ

 แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีทุกคน,ราษฎฐอาวุโส,นักวิชาการอิสสระอาวุโส,วุฒิสมา

 ชิกและสมาชิกสภาฯตลอดจนวงการสื่อต่างๆฯลฯต่างพากันปิดปากเงียบกริบ  ไม่เห็นมีใครออกมาแสดงความ

 คิดเห็นช่วยกันหาทางออก  หรือแนะนำรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติกันเลย
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #372 เมื่อ: 28 กุมภาพันธ์ 2554, 11:16:55 »

น่าเศร้าใจ จริงๆ ยุคนี้ อย่าไปถามหาคุณธรรม จริยธรรม
มีแต่ผลประโยชนของนักการเมืองเท่านั้น
อีกไม่นานคงสิ้นชาติแน่ๆ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #373 เมื่อ: 01 มีนาคม 2554, 14:47:15 »

ทูตยูเนสโกย้ำถอนมรดกโลกพระวิหารไม่ได้ - ฮุนเซนดันแผนบริหารสุดตัว
 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 มีนาคม 2554 00:28 น.
 
  “ทูตพิเศษยูเนสโก” ย้ำถอนพระวิหารจากมรดกโลกไม่ได้ ยูเนสโกจะรีบเข้าประเมินความเสียหายและซ่อมแซม หลังจากผู้สังเกตุการณ์จากอาเซียนเข้าพื้นที่แล้ว แต่ยูเนสโกจะยุ่งแค่เรื่องปราสาทไม่เกี่ยวเรื่องเขตแดน ด้าน “ฮุนเซน” ฟ้องไทยยิงปืนครกและปืนใหญ่ใส่ 400 ลูก ขอมรดกโลกเดินหน้าพิจารณาแผนบริหารจัดการในการประชุมที่บาห์เรน และขอให้ดึงไทยหารือความเสียหายของปราสาทพระวิหารที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโกในปารีส “สก อาน” ตอกย้ำอีกแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นที่ยอมรับของนานาชาติส่วนแผนที่ของไทยไม่มีใครรู้จัก
       
       เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ เผยแพร่ข่าวจากสำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ก.พ. นายโคอิชิโร มัตสึอุระ ทูตพิเศษของยูเนสโก กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะถอนปราสาทพระวิหารจากบัญชีมรดกโลก นายโคอิชิโรตั้งข้อสังเกตระหว่างการพบหารือกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
       
       นายเอียง สุพัลเลธ โฆษกนายกรัฐมนตรีกัมพูชา อ้างคำกล่าวของนายโคอิชิโรว่า “ประเทศไทยมีความตั้งใจที่จะขอให้ยูเนสโกถอนการขึ้นทะเบียนปราสาท แต่ผมได้แจ้งต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ ว่าการถอนปราสาทพระวิหารจากบัญชีมรดกโลกนั้นเป็นไปไม่ได้ในทุกทาง เพราะปราสาทพระวิหารมีคุณค่าเป็นสากลโดดเด่น”
       
       “แหล่งมรดกโลกปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของยูเนสโก ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญยูเนสโกจะมาประเมินและซ่อมแซมปราสาทพระวิหารในอนาคต” นายโคอิชิโรบอกกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา
       
       ขณะเดียวกัน ฮุนเซนได้แจ้งต่อนายโคอิชิโรว่า ทหารไทยได้ยิงกระสุนปืนครกและปืนใหญ่กว่า 400 ลูก เข้าใส่ปราสาทซึ่งทำความเสียหายอย่างรุนแรงต่อแหล่งมรดกโลก นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ขอไม่ให้คณะกรรมการมรดกโลกชะลอแผนบริหารจัดการในการประชุมประจำปีที่บาห์เรนในเดือนมิถุนายน
       
       “แผนบริหารจัดการปราสาทโดยยูเนสโกของแหล่งมรดกโลกไม่ควรถูกละเลยเพราะการคุกคามของประเทศไทย” ฮุนเซนกล่าว และเพิ่มเติมว่า “ถ้าเราไม่รีบซ่อมแซมปราสาทพระวิหารจะตกอยู่ในอันตราย ยิ่งกว่านั้น มันจะกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีที่ว่าประเทศใหญ่สามารถคุกคามยูเนสโกไม่ให้สามารถบริหารจัดการและอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก”
       
       ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ อ้างคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ระบุว่านายโคอิชิโรสนับสนุนจุดยืนของฝ่ายไทยที่จะชะลอแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารของกัมพูชา โดยในประเด็นนี้นายโคอิชิโรบอกกับผู้สื่อข่าวหลังเข้าพบว่า “ยูเนสโกไม่เข้าข้างประเทศใด ยูเนสโกเป็นกลาง”
       
       สำนักข่าวข่าวด่วนกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 รายงานว่าระหว่างพบหารือกับนายโคอิชิโร มัตสึอุระ ทูตพิเศษยูเนสโก นายฮุนเซน ได้ขอยูเนสโกให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจังเพื่อปกป้องปราสาทพระวิหาร ซึ่งถูกทำลายอย่างรุนแรงจากทหารไทย นายฮุนเซนได้ขอให้มีการหารือระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยกรณีความเสียหายของ ปราสาท และการหารือนั้นควรจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโกที่ปารีสพร้อมการเข้าร่วมของยูเนสโก
       
       นายฮุนเซนได้บอกกับนายโคอิชิโร มัตสึอุระ ว่าข้อพิพาทพระวิหารไม่ได้มีต้นเหตุมาจากการขึ้นทะเบียนมรดกโลกตามที่ประเทศไทยกล่าวอ้าง แต่มีสาเหตุจากการรุกรานของ ไทยมากกว่า ขณะที่ นายสก อาน ได้บอกกับผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับเนื้อหาการพบพูดคุยและระบุว่านายกรัฐมนตรีฮุนเซน ได้ยกประเด็นการใช้คลัสเตอร์บอมบ์ของประเทศไทยด้วย
       
       นายโคอิชิโร มัตสึอุระ บอกกับนายสก อาน ว่ายูเนสโกจะส่งผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเสียหายของปราสาทพระวิหารโดยเร็วที่สุด หลังอาเซียนส่งผู้สังเกตการณ์เข้าประจำ พื้นที่พรมแดนไทย-กัมพูชา
       
       นายโคอิชิโร มัตสึอุระ เดินทางถึงกัมพูชาช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ โดยจะใช้เวลาเยือนกัมพูชาเป็นเวลา 3 วัน โดยได้เข้าพบนายสก อาน และนายฮุนเซน ในช่วงเช้าวันจันทร์ที่สำนักนายกรัฐมนตรี และมีแผนเข้าพบกับนายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศ ตลอดจนจะเข้าพบกษัตริย์สีหมุนี นอกจากนี้ เขามีแผนจะพบกับตัวแทนยูเนสโกประจำกัมพูชารวมถึงเจ้าหน้าที่ทูต การเดินทางเยือนของนายโคอิชิโร มัตสึอุระ มีเป้าหมายเพื่อหาหนทางในการปกป้องปราสาทพระวิหารซึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากประเทศไทย ซึ่งนายสก อาน ระบุว่าความเสียหายเหล่านี้เป็นอาชญากรรมทางวัฒนธรรมและศาสนา
       
       ตามคำกล่าวของนายสก อาน รัฐบาลกัมพูชาได้จัดประชุมพิเศษเพื่อพิจารณาข้อเรียกร้องของประธานอาเซียน ให้นำเสนอรายงานความเสียหายของปราสาทพระวิหารก่อนการ เดินทางมากัมพูชาของผู้สังเกตการณ์อาเซียน นายสก อาน หวังว่าอาเซียนจะส่งผู้สังเกตการณ์มายังกัมพูชาโดยเร็วที่สุด ซึ่งยูเนสโกจะได้จัดส่งคณะผู้เชี่ยวชาญมายังปราสาท
       
       สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า นายโคอิชิโร มัตสึอุระ ทูตพิเศษของยูเนสโก กล่าวในวันจันทร์ว่าปราสาทพระวิหารของกัมพูชาจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน หลังเกิดความเสียหายจากการปะทะทางทหารระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยในข้อพิพาทพรมแดนแดนเมื่อวันที่ 4-7 กุมภาพันธ์
       
       ระหว่างการเข้าพบนายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประธานคณะกรรมาธิการยูเนสโกของกัมพูชา ในวันจันทร์ นายโคอิชิโรกล่าวว่า เมื่อผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียมาถึงที่พิพาทพรมแดน ยูเนสโกจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาประเมินความเสียหายโดยเร็วที่สุด “การซ่อมแซมปราสาทอย่างเร่งด่วนจะต้องดำเนินการหลังการประเมินความเสียหาย และยูเนสโกจะส่งผู้เชี่ยวชาญการซ่อมแซมมาซ่อมแซมปราสาท” นายโคอิชิโรกล่าว และเพิ่มเติมว่า “ยูเนสโกจะไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาพรมแดน แต่จะเกี่ยวข้องเฉพาะตัวปราสาท”
       
       ขณะเดียวกัน นายสก อาน ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำเสนอแผนที่ซึ่งเป็นที่ยอมรับของนานาชาติเกี่ยวกับพรมแดนกัมพูชากับประเทศไทยให้แก่นายโคอิชิโร และได้แสดงแผนที่ซึ่งประเทศไทยบังคับใช้ฝ่ายเดียว ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ
       
       นอกจากนี้ นายสก อาน ได้แจ้งต่อนายโคอิชิโรถึงความเสียหายร้ายแรงของปราสาทพระวิหารที่เกิดจากกระสุนปืนครกและกระสุนปืนใหญ่ 414 ลูก ที่ตกในปราสาท “ดังนั้น กัมพูชาจำเป็นต้องเผยแพร่ข้อมูลนี้สู่ประชาคมนานาชาติ”

 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #374 เมื่อ: 09 มีนาคม 2554, 18:09:11 »

ดูภาพให้เต็มตา...เจ้าพระยาสุขาวินาศ!!?
 
โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 8 มีนาคม 2554 14:04 น. manager online
 
 
 
 
 
       ชาวเฟซบุ๊กรายหนึ่งเป็นคนมีฝีมือในการแสดงทัศนะในการล้อเลียนทางการเมืองด้วยภาพที่แสดงอารมณ์ขันได้อย่างแหลมคมอย่างยิ่ง โดยภาพนี้มีชื่อว่า “เจ้าพระยาสุขาวินาศ” โดยได้กล่าวหัวข้อในการเขียนครั้งนี้ว่า “ผู้กล้าคนใหม่ของกรุงรัตนโกสินทร์”



 
   ภาพทางซ้ายเป็นรูปคล้ายหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สวมชุดลิเกทาแก้มแดง ส่วนด้านขวามือเป็นภาพโถส้วมถูกทุบทิ้งอยู่บนพื้น คงไม่ต้องอธิบายกันมากเพราะทำให้ผู้ที่เห็นภาพนี้นึกถึงสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มีความพยายามที่จะกลั่นแกล้งผู้ชุมนุมที่ออกมาเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง ด้วยการทวงคืนถนน 2 ช่องจราจรบ้าง และประกาศที่จะทุบทำลายสุขาของผู้ชุมนุมเพื่อให้ได้รับความเดือดร้อนให้ได้
       
       เรียกได้ว่า...เห็นพระเอกลิเกคนนี้รุกไปที่ไหน ส้วมแตกที่นั่น!!!
       
       “ผู้กล้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์คนนี้” ลงมือในการจัดการกับผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงวัย ที่ออกมาเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องอธิปไตยของชาติและทวงคืนแผ่นดินที่เสียไปให้กับกัมพูชาได้ครอบครองอยู่ในปัจจุบัน
       
       ถึงวันนี้ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชฮุนเซน คงได้รับความนิยมในกัมพูชาอยู่ไม่น้อยเพราะสามารถเข้ามายึดดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหารได้ และกลายเป็น “วีรบุรุษ 4.6 ตารางกิโลเมตร”
       
       ในขณะที่ “เจ้าพระยาสุขาวินาศ” ก็ทำผลงานไม่แพ้กันเพราะสามารถทวงคืนได้ 2 ช่องจราจรจากคนไทยด้วยกันเองได้สำเร็จ พร้อมให้สมุนคอยประกาศพยายามที่จะทำลายส้วมในการชุมนุม 48 ชุด คงจะกลายเป็น “วีรบุรุษ 2 เลน 48 ส้วม” ในเร็ววันนี้
       
       เพื่อให้สมกับความเป็นลูกไล่ให้กับ “สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชฮุนเซน” อย่างแท้จริง เจ้าพระยาสุขาวินาศ จึงน่าจะมีชื่อเต็มๆ ว่า...
       
       “เจ้าพระยาสุขาวินาศพิชิตทวิเลนมหาถุงยางเสนาบดีเตโชฮุนมาสิทธิ์”
       
       “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” มีความกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก เพราะเมื่อมีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ 10 คน พยายามจะเดินทางไปที่หน้าบ้านของเจ้าพระยาสุขาวินาศเพื่อทวงคืนถนนที่ปิดการจราจรรอบบ้านเจ้าพระยาสุขาวินาศ ถึงกับมีการใช้กองกำลังตำรวจจำนวนมากปิดซอยสุขุมวิท 31 ทั้งซอย สร้างความเดือดร้อนไปทั่วเพียงเพื่อปกป้องอธิปไตยถนนหน้าบ้านของตัวเอง จริงหรือไม่?

 
 
 
 
       ผลงานของ “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ในยามที่นักธุรกิจและผู้ประกอบการบริเวณสี่แยกราชประสงค์ร้องเรียนให้รัฐบาลจัดการกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เคยมีประวัติเผาบ้านเผาเมือง เจ้าพระยาสุขาวินาศกลับไล่ให้นักธุรกิจเหล่านั้นไปคุยกับคนเสื้อแดงเอาเองอย่างไม่มีเยื่อใย
       
       ทหารและชุมชนชาวกัมพูชาที่ยึดครองดินแดนไทย “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” กลับใช้วิธีการประท้วงไปแล้วไม่ต่ำกว่า 123 ครั้ง แต่ไม่สามารถจัดการอะไรได้ จนทำให้กัมพูชาซึ่งจากเดิมอยู่บนตีนหน้าผาฝั่งกัมพูชา ได้ทยอยสร้างถนนแล้วเข้ามายึดครองง “ยอดหน้าผา” ในดินแดนไทยจนสามารถยิงอาวุธสงครามจากยอดหน้าผาฝั่งไทยใส่ทหาร ราษฎร จนได้รับบาดเจ็บล้มตาย และบ้านเรือนได้รับความเสียหาย อันถือเป็นผลงานของ MOU 2543 ที่เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ กอดเอาไว้อย่างเหนียวแน่นมาโดยตลอด
       
       รัฐบาลของ “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ถือเป็นรัฐบาลชุดแรกที่เชื้อเชิญประเทศที่สาม เข้ามาเป็นสักขีพยานว่า ประเทศไทยจะไม่ใช้กำลังทหารผลักดันกัมพูชาที่ยึดครองดินแดนไทย ไม่ใช้แสนยานุภาพทางการทหารเพื่อมาเป็นอำนาจต่อรองในการเจรจา และถึงขั้นที่จะนำทหารอินโดนีเซียมาสังเกตการณ์เพื่อเป็นหลักประกันว่าประเทศไทยจะไม่ปะทะเพื่อทวงคืนดินแดนจากกัมพูชาโดยเด็ดขาด
       
       “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ในยามที่เป็นฝ่ายค้าน เรียกดินแดนแม้แต่ขอบๆ ของตัวปราสาทพระวิหารว่าเป็นดินแดนไทย แต่พอมาเป็นรัฐบาลกลับบอกชาวโลกว่าเส้นเขตแดนไม่ชัดเจนจนกว่าจะตกลงกันได้ระหว่างไทย-กัมพูชา
       
       เป็นยุคแรกที่รัฐบาลไทยแทนที่จะจัดการกับทหารกัมพูชาที่รุกล้ำยึดครองดินแดนไทย กลับมาจัดการดำเนินคดีอาญากับผู้ชุมนุมที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องอธิปไตยของชาติ!!?
       
       ความศักดิ์สิทธิ์ของ MOU 2543 ที่ “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ยึดมั่นถือมั่นมาโดยตลอดนั้น มันได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว
       
       MOU 2543 ที่คุยนักคุยหนาว่าจะสามารถทำให้เกิดสันติวิธี กลับกลายเป็นเครื่องมือที่กัมพูชาใช้เอาไว้สำหรับมัดมือมัดเท้าทหารไทย แล้วใช้กำลังทหารและชุมชนชาวกัมพูชาเข้ายึดครองดินแดนไทย แล้วทหารกัมพูชาก็ยิงอาวุธสงครามจากผืนแผ่นดินไทยโถมเข้าใส่ราษฎรไทยอย่างน่าอดสูยิ่ง
       
       MOU 2543 ที่คุยนักคุยหนาว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ไม่รวมระวางดงรัก (รวมเขาพระวิหาร) นั้นเอาเข้าจริงเหตุผลนี้ก็ไม่เคยและไม่กล้าใช้ในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและอาเซียน (ซึ่งเข้าใจว่าตรรกะนี้ใช้ไม่ได้จริงในเวทีระหว่างประเทศ) ทำให้ไทยไม่สามารถยืนยันเส้นเขตแดนของตัวเองในเวทีสำคัญ ส่งผลทำให้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและอาเซียนเรียกร้องให้ทำข้อตกลงหยุดยิงถาวร ทั้งๆ ที่กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกรานและยึดครองดินแดนไทยอยู่
       
       MOU 2543 ที่คุยนักคุยหนาว่าจะไม่ทำให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงและจะทำให้เป็นการเจรจาทวิภาคีเท่านั้น บัดนี้ได้ไปไกลถึงขั้นกำลังจะเชิญกองกำลังทหารต่างชาติมาเป็นสักขีพยานว่า ไทยจะไม่ใช้กำลังทหารทวงคืนแผ่นดินไทยจากกัมพูชาแล้ว จนกว่าผลการเจรจาจะเป็นที่พอใจต่อฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น มิเช่นนั้นกัมพูชาก็จะใช้สิทธิ์ครอบครองดินแดนไทยได้ตลอดไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา
       
       ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นมา ที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นถ้อยแถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ยืนยันเส้นเขตแดนตาม MOU 2543 ว่าหมายถึงแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ในขณะที่ฝ่ายไทยไม่ยืนยันเส้นเขตแดนของตัวเอง แต่กลับไปใช้เหตุผลว่าเส้นเขตแดนยังไม่ชัดเจนจนกว่าจะจัดทำหลักเขตแดนให้แล้วเสร็จ ได้สร้างปัญหาบานปลายอยู่ในขณะนี้ เพราะทำให้ประชาคมโลกสนใจแต่การให้หยุดยิงโดยมองไม่เห็นปัญหาการที่กัมพูชารุกรานอธิปไตยของไทย อีกทั้งฝ่ายไทยก็ดันเป็นฝ่ายเรียกร้องให้หยุดยิงถาวรเสียเอง และร่วมเชื้อเชิญให้อินโดนีเซียเข้ามาเป็นสักขีพยานเองอีกด้วย
       
       วันใดที่ทหารอินโดนีเซียลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์เมื่อใด เมื่อนั้นก็น่าเชื่อได้ว่าจะไม่มีการปะทะกันอีกระหว่างไทย-กัมพูชา เพราะหากมีลูกหลงที่ทำให้ทหารอินโดนีเซียต้องบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิต ก็จะทำให้ปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาบานปลายจนลากอินโดนีเซียเข้ามาพัวพันกับปัญหานี้อย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
       
       การลงพื้นที่ของ “ทหารอินโดนีเซีย” ด้วยความยินยอมจากทั้ง 2 ประเทศ ทำให้กัมพูชายิ่งมั่นใจว่าประเทศไทยจะไม่มีทางใช้กำลังทหารทวงคืนแผ่นดินจากกัมพูชาได้อีกตลอดไป ซึ่งก็คือการสูญเสียดินแดนถาวรไปในทางปฏิบัตินั่นเอง
       
       แต่ความเจ้าเล่ห์ของกัมพูชาที่พยายามรุกคืบในเกมที่ฝ่ายไทยเดินตามในการเชื้อเชิญอินโดนีเซียนั้น ได้ทำให้กัมพูชาใช้อาเซียนกดดันให้ฝ่ายไทยต้องตอบรับในแผนแม่บท (ทีโออาร์) ในการให้ทหารอินโดนีเซียเข้าสังเกตการณ์ และหากฝ่ายไทยถ่วงเวลา ฝ่ายกัมพูชาก็อาจจะเชิญทหารอินโดนีเซียเข้าพื้นที่ที่อ้างว่าเป็นฝั่งกัมพูชาฝ่ายเดียวไปก่อนเพื่อเป็นหลักประกันในการหยุดยั้งทหารไทยที่คิดจะทวงคืนแผ่นดินไทยจากกัมพูชาเพราะถือว่าฝ่ายไทยได้ยินยอมในหลักการไปแล้ว โดยไม่สนใจการลงตำแหน่งทหารอินโดนีเซียในฝั่งไทย
       
       โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามของกัมพูชาที่จะให้ทหารอินโดนีเซียอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นดินแดนของไทยแล้วอ้างว่าเป็นดินแดนของกัมพูชา ทั้งพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหาร, วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ, ภูมะเขือ ฯลฯ เพื่อเป็นการดึงอินโดนีเซียซึ่งมาในนามตัวแทนกลุ่มประเทศอาเซียนมารับรองอธิปไตยของกัมพูชาในผืนแผ่นดินไทย เหมือนกับที่กัมพูชาทำมาแล้วในการเชิญทูตทหารและผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่สำรวจในผืนแผ่นดินไทยที่กัมพูชายึดครองอยู่ โดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถทำอะไรได้
       
       คนที่น่าจะมีความสุขมากที่สุดก็น่าจะเป็น “ทหารไทยขายชาติ” บางคนที่มีเมียหลายคน เมียคนหนึ่งเป็นลูกสาวเมียน้อยของฮุนเซนที่อยู่เสียมราฐ และมีเมียอีกคนเป็นลูกสาวของน้องสาวฮุนเซน ซึ่งคอยทำมาหากินค้าขายกับกัมพูชา เรียกหัวคิวสินค้าส่งออกไปยังกัมพูชาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จึงมิต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดฮุนเซนยอมยกหูถึงนักการเมืองไทยเพื่อให้ “ทหารไทยขายชาติ” คนนี้ได้ขึ้นในตำแหน่งที่จะรักษาประโยชน์ของกัมพูชาได้ต่อไป
       
       “ทหารไทยขายชาติ” จึงปฏิเสธทุกข้อเสนอของภาคประชาชนที่ให้ทหารไทยจัดการทหารกัมพูชาที่รุกรานดินแดนไทยในหลายวิธี เช่น หยุดส่งออกน้ำมันซึ่งเป็นยุทธปัจจัยให้กับกัมพูชา ให้ทำลายถนนที่ขนอาวุธยุทโธปกรณ์สร้างจากฝั่งกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย ให้ตัดไฟฟ้าเข้าไปยังบ่อนกาสิโนในฝั่งกัมพูชา ใช้กองทัพอากาศผลักดันทหารกัมพูชาให้ออกจากดินแดนไทย ฯลฯ ข้อเสนอเหล่านี้ไม่เคยได้รับการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้นจาก “ทหารไทยขายชาติ”
       
       เพราะผลประโยชน์ในพื้นที่ชายแดนมีอยู่อย่างมหาศาล แค่น้ำมันดีเซลและเบนซินที่ส่งออกข้ามไปยังฝั่งกัมพูชานั้น “ทหารไทยขายชาติ” คนนี้เคยเรียกค่าหัวคิวจากพ่อค้าลิตรละ 5 บาทมาแล้ว!!!
       
       “ทหารไทยขายชาติ” มักจะอ้างนโยบายของรัฐบาลและ MOU 2543 ของ “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” เป็นเครื่องมืออันวิเศษที่จะยกดินแดนไทยให้ไปเป็นของกัมพูชา โดยอ้างว่าทหารไทยทำอะไรทหารกัมพูชาไม่ได้เพราะต้องปฏิบัติตาม MOU 2543 อย่างเคร่งครัด โดยต้องยึดแนวทางสันติวิธีและการเจรจาเท่านั้น
       
       ส่วน “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ก็จะยังคงสาละวนอยู่กับการแสดงความเก่งกล้าสามารถ พยายามทวงคืนถนนและทำลายส้วมของผู้ชุมนุมที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องอธิปไตยทวงคืนแผ่นดินต่อไป อย่างไม่ลืมหูลืมตา!!!
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><