24 พฤษภาคม 2567, 00:48:47
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 304264 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #450 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2554, 17:47:01 »

หวัดดีครับนก เข้ามาแวมๆๆ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #451 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2554, 18:25:46 »

อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 11 กรกฎาคม 2554, 17:47:01
หวัดดีครับนก เข้ามาแวมๆๆ
       
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 11 กรกฎาคม 2554, 17:47:01
หวัดดีครับนก เข้ามาแวมๆๆ
           emo2:)สวัสดีค่ะตะวัน
                       ทำให้ตกใจอีกแล้วว่าทำไมรู้ว่าเราเข้ามาอ่านกระทู้ที่ตะวันนำมาโพสต์ กำลังน้ำตาซึมอยู่เชียวเมื่ออ่านข้อมูลที่ตะวันนำมาลงในข้อมูลที่บอกว่า"คนเสื้อเหลือง ที่รัก ฉันรู้และเข้าใจถึงความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของเธอ ที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย ในวังวนมายาคติของสังคมไทย ที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างสยบยอมอยู่ในภาวะยอมจำนนต่อความไม่ชอบธรรมทั้งปวง ที่นำพาโดยระบบการเมืองที่ล้มเหลว
       
       ภารกิจของเธอและคนเสื้อเหลืองทั้งมวล จึงไม่ต่างอะไรกับการว่ายทวนน้ำทวนกระแสกิเลสสังคม ซึ่งต้องเสียสละและอดทนอย่างแสนสาหัส โดยไม่ยอมย่อท้อต่อจุดหมายปลายทางที่ไกลแสนไกล
       
       คนเสื้อเหลืองที่รัก เธอและฉัน จะพบกันเสมอ ในวันเวลาที่ประชาชนคนไทยผู้รักความเป็นธรรม จำเป็นต้องลุกขึ้นมาปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า จากผู้ครองอำนาจรัฐที่ทุจริตคิดไม่ซื่อต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อันเป็นที่รักและหวงแหนของเรา"
       
                               ด้วยความรักละศรัทธา
       
                                      คนสีชมพู
                               คนเขียนจดหมายที่ชื่อวิทยา วิทยะอังกูรเป็นใคร จากที่ไหนหรือ  ตะวันรู้จักหรือเปล่า  เพราะคำพูดของเขากินใจและจุดพลังได้ดี  ขอบคุณสำหรับการทักทาย   ถ้าตะวันไม่ทักเข้ามาเราคงไม่กล้าตอบกระทู้นี้หรอก
                                                         สวัสดีนะ
                                                               Nok-ja
                                                                    bye bye
   

 
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #452 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2554, 19:45:27 »

เราไม่รู้จักหรอก คนที่เขียน จม.คนนี้ แต่เขาเขียนได้ดีมากเลย
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
jeam
สมาชิกวิสามัญ
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 574

« ตอบ #453 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2554, 21:14:10 »

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=9HOHGd_tWE0" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=9HOHGd_tWE0</a>

.....Amen..... เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

I think, therefore I am.
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #454 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2554, 14:08:00 »

http://www.youtube.com/watch?v=MFCoRFQnd1g
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #455 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2554, 18:46:35 »

อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 12 กรกฎาคม 2554, 14:08:00
http://www.youtube.com/watch?v=MFCoRFQnd1g

ขอบคุณครับคุณพี่...ปกติไม่เคยฟังยายคนนี้พูดเลย นี้ตั้งใจฟังมากเพราะพี่แอ๊ะ เอามาให้ถึงห้อง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #456 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 15:07:07 »


      บันทึกการเข้า

seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #457 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2554, 17:16:39 »

มื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 20 ก.ค. ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้อ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 3/2554 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรื่อง ภาคประชาชนได้ต่อสู้เรื่องอธิปไตยและดินแดนอย่างเต็มที่สุดความสามารถแล้ว ความว่า
       

       ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก)ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในการพิจารณาคดีตีความหมายคำพิพากษาคดีปราสาท พระวิหารของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ.2505 โดยมีการกำหนดเขตปลอดทหาร ห้ามไทยและกัมพูชาทำกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ที่กำหนด และห้ามไทยขัดขวางการเข้าไปยังปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ตลอดจนห้ามไทยขัดขวางการส่งกำลังบำรุงให้แก่บุคคลการที่ไม่ใช่ทหาร นั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอชี้แจงจุดยืนดังต่อไปนี้
       
       1. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นภาคประชาชนสองมือเปล่า ที่ปราศจากอาวุธ ไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีอำนาจตุลาการ แต่ได้ดำเนินการต่อสู้เรื่องดินแดนและอธิปไตยของชาติมาโดยตลอดจนสุดความ สามารถ เป็นผลสำเร็จตามลำดับดังนี้
       
       1.1 ในปี 2551 เราได้ดำเนินการชุมนุมและยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดเพื่อ ขัดขวางการห้ามนำแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชานำไปใช้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชานั้นมีเนื้อหาที่ฝ่ายไทยได้ยกปราสาทพระ วิหารและพื้นที่โดยรอบให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว อันถือเป็นการใช้อำนาจรัฐที่เจตนาทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติมจากคำ พิพากษา พ.ศ. 2505
       
        1.2 วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ภาคประชาชนได้จัดชุมนุมที่หน้าองค์การยูเนสโก ประจำประเทศไทย เพื่อสร้างแรงกดดัน คณะกรรมการมรดกโลกต้องเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระ วิหารออกไปอีก 1 ปีเป็นผลสำเร็จ โดยองค์การยูเนสโกประจำประเทศไทยได้ยอมรับว่าการชุมนุมของภาคประชาชนเมื่อ วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ได้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มีการเลื่อนแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหาร อย่างชัดเจน
       
       1.3 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดการชุมนุมเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 กรณีที่รัฐบาลได้พยายามนำบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ทั้ง 3 ฉบับเพื่อขอความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ทั้งๆที่บันทึกผลการประชุมดังกล่าวเป็นหลักฐานที่กัมพูชากล่าวร้ายประเทศไทย ด้วยข้อความอันเป็นเท็จว่าไทยเป็นฝ่ายรุกรานแผ่นดินกัมพูชาทั้งๆที่แผ่นดิน ดังกล่าวเป็นดินแดนไทย อีกทั้งยังได้แนบร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อให้ทหารไทยและทหารกัมพูชาถอยออกจากแผ่นดินไทยโดยยังคงชุมชนและสิ่งปลูก สร้างของกัมพูชาที่รุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยอยู่ต่อไปจนกว่าจะตกลงกันได้ ระหว่างไทย-กัมพูชาซึ่งเท่ากับ ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนไปอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา ผลการชุมนุมดังกล่าวทำให้รัฐสภายอมจำนนด้วยการเลื่อนการพิจารณาออกไปแล้วใช้ วิธีตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาเพื่อศึกษาบันทึกผลการประชุม
       
       1.4 เนื่องจากในปี 2554 มีเรื่องเร่งด่วนที่เป็นวิกฤตของชาติถึง 2 ประการคือ รัฐบาลพยายามจะนำบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ทั้ง 3 ฉบับ เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภา แลจะมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในเดือนช่วงปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 พื้นที่รอบปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นดินแดนไทยให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนบริหาร จัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหารของกัมพูชา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงได้จัดชุมนุมตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554 ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 รวมเวลา 158 วัน ทั้งรูปแบบการชุมนุมให้ความจริงกับประชาชน, การยื่นค้ำร้อง ต่อ ปปช., และการยื่นจดหมายถึง ส.ส. และ ส.ว. เป็นผลทำให้ขัดขวางการประชุมรัฐสภาระหว่างวันที่ 25-29 เมษายน พ.ศ. 2554 ในเรื่องการพิจารณาบันทึกผลการประชุมเจบีซีทั้ง 3 ฉบับ ได้เป็นผลสำเร็จและยังทำให้รัฐบาลไทยต้องตัดสินใจถอนวาระดังกล่าวออกจากที่ ประชุมรัฐสภาในที่สุด สามารถยับยั้งชะลอการเดินหน้าตามผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่าง ประเทศของอาเซียน  เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554 ที่รัฐบาลไทยเชิญผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซียเข้ามาในแผ่นดินไทยเพื่อเป็น สักขีพยานในการห้ามปะทะหรือการห้ามทหารไทยผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย ได้เป็นผลสำเร็จ และยังกดดันทำให้ตัวแทนประเทศไทยตัดสินใจลาออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลกเมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ได้เป็นผลสำเร็จเช่นกัน
       
       2. การที่ศาลโลกได้มีมติออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2554 นั้น ถือว่ามีผลร้ายต่อประเทศไทยในการที่ทำให้ไทยต้องเสียเปรียบ เพราะมีการกำหนดให้ทหารไทยถอยออกจากแผ่นดินไทยเกินขอบเขต โดยที่มีชุมชนกัมพูชารุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยอยู่ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างและถนน การที่ศาลโลกออกมาตรการดังกล่าวจึงเท่ากับห้ามทหารไทยผลักดันกัมพูชาออกจาก แผ่นดินไทย ส่งเสริมการรุกรานแผ่นดินไทย และส่งเสริมการละเมิด บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 (MOU 2543)
       
       และหากไทยยอมรับมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ก็จะเท่ากับว่าประเทศไทยเริ่มกลับไปยอมรับอำนาจศาลโลกเป็นครั้งแรก ทั้งๆที่ประเทศไทยได้เคยยื่นหนังสือประท้วง คัดค้าน สงวนสิทธิ์ ต่อเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เพราะไม่ยอมรับการใช้กฎหมายปิดปากแต่เพียงอย่างเดียวในการตัดสินคดีปราสาท พระวิหาร พ.ศ. 2505 โดยที่ประเทศไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับการบังคับอำนาจของศาลโลกมา นานกว่า 50 ปีแล้ว
       
       3.การเริ่มต้นความเสียเปรียบในมาตรการคุ้มครองชั่วคราวนั้นจะนำไปสู่ การเสียดินแดนต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน โดยหลังจากนี้หากไทยยอมรับอำนาจศาลโลก ศาลโลกมีแนวโน้มจะตีความให้เป็นคุณต่อกัมพูชาและเป็นโทษต่อประเทศไทยโดยศาล โลกจะใช้การอ้างอิงกฎหมายปิดปากที่ประเทศไทยไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสซึ่งเป็นมูลฐานในการพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภาย ใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2505 ซึ่งจะเป็นผลทำให้ไทยต้องเสียดินแดนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะเป็นผลทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เป็นผลสำเร็จ และจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติมต่อไปอีกไม่ต่ำ กว่า 1 ล้าน 8 แสนไร่ รวมถึงการสูญเสียซึ่งลามไปถึงทรัพยากรพลังงานทางทะเลในอ่าวไทยซึ่งมีมูลค่า ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท
       
        “สายพาน”การสูญเสียดินแดนไทยและผลประโยชน์ทางพลังงานอ่าวไทยให้ต่างชาติ ได้ถูกออกแบบและวางแผนมานานเป็นลำดับไม่ต่ำกว่า 10 ปี ด้วยเหตุผลนี้รัฐบาลหลายชุดจึงไม่เคยหยุดยั้งการสูญเสียดังกล่าวในรัฐบาลของ ตัวเอง แต่กลับมีพฤติกรรม ส่งมอบของต่อบนสายพานดังกล่าวต่อไปให้กับรัฐบาลชุดหน้า โดยมีมหาอำนาจที่หวังผลประโยชน์ทางพลังงานอยู่เบื้องหลังและบงการเอื้อ ประโยชน์ส่วนตนให้กับนักการเมืองมาหลายยุคหลายสมัย
       
       4. นับจากนี้ประเทศไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาจากมหันตภัยที่เผชิญหน้าครั้งนี้ได้ด้วยการดำเนินการพร้อมๆกันดังต่อไปนี้
        4.1 ต้องประกาศไม่รับอำนาจของศาลโลก
        4.2 ต้องไม่ถอนทหารออกจากแผ่นดินไทยโดยเด็ดขาด และเร่งผลักดันกัมพูชาให้ออกจาแผ่นดินไทย
        4.3 ฟื้นฟูและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเร่งด่วน
       
       5. ภายใต้ทางออกของประเทศไทยในเวลานี้ตามข้อ 4 ที่กล่าวมาข้างต้น ไม่สามารถจะกระทำให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยประชาชนสองมือเปล่าที่ปราศจากอำนาจ รัฐ อำนาจตุลาการ และอำนาจทหาร แต่ภาคประชาชนได้ดำเนินการชุมนุมมา 158 วันแล้ว ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริงมาโดยตลอดแล้ว ได้ยื่นฟ้องต่อกระบวนการยุติธรรมในทุกรณีนานแล้ว ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อนักการเมืองและทหารไทยให้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว ตลอดจนได้ยื่นข้อสงวนต่ออาเซียนแล้ว สำหรับประชาชนสองมือเปล่าจึงได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์และไม่ติดค้างหนี้แผ่น ดินแล้ว ดังนั้นวิกฤตของชาติในส่วนที่เหลือเพื่อปกป้องชาติรักษาแผ่นดิน จึงอยู่ที่การตัดสินใจของรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ศาลในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ กองทัพของจอมทัพไทย ที่จะต้องออกมาทำหน้าที่ของตัวเองในการรักษาดินแดนและอธิปไตยของชาติต่อไป
       
        ด้วยจิตาคารวะ
        พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
        20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #458 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2554, 17:17:38 »

 แถลงการณ์ฉบับที่ 4/2554
       
       หลังจากนั้น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้อ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2554 เรื่อง ทหารของจอมทัพไทยยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองในการรักษาอธิปไตยของชาติ ความว่า
       
       ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2554 ให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ในการพิจารณาคดี ตีความหมายคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505 โดยมีการกำหนดเขตปลอดทหาร ห้ามไทยและกัมพูชาทำกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ที่กำหนด และห้ามไทยขัดขวางการเข้าไปยังปราสาทพระวิหารการของกัมพูชา ตลอดจนห้ามไทยขัดขวางการส่งกำลังบำรุงให้แก่บุคคลการที่ไม่ใช่ทหาร นั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอชี้แจงจุดยืนต่อทหารดังต่อไปนี้
       
       1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 77 บัญญัติเอาไว้ว่า “รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จำเป็น และเพียงพอ เพื่อพิทักษ์เอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ”
       
       2. ปัจจุบันกองทัพไทยได้ถูกจัดอันดับในด้านแสนยานุภาพจากลำดับที่ 28 ของโลกในปีที่แล้ว มาอยู่ในลำดับที่ 19 ของโลกในปีนี้ เป็นลำดับที่ 6 ของทวีปเอเชีย และเป็นลำดับที่ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการใช้งบประมาณจำนวนมากในการพัฒนากองทัพในรอบหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจึงมีศักยภาพทางทหารสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างไม่สามารถจะ เปรียบเทียบได้
       
       3. เมื่อทหารมีหน้าที่ในการปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของชาติตามรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ศักยภาพของกองทัพมีความแข็งแกร่งด้วยงบประมาณมหาศาล แต่กลับเป็นยุคที่ประเทศไทยกลับอ่อนแอถูกรุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยโดยต่าง ชาติมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
       
        ทั้งนี้การที่ทหารได้อ้างนโยบายของรัฐบาล แล้วปล่อยให้ชุมชนและทหารกัมพูชามารุกรานยึดครองแผ่นดินไทยทั้งบริเวณ วัดแก้วสิขะคีรีสะวารา, ภูมะเขือ, พื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร, บ้านหนองจาน ปราสาทตาควาย ฯลฯ นั้น ทำให้กัมพูชาสามารถเข้ายึดจุดสูงข่มทางทหารซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญได้ สำเร็จ จึงเป็นแรงจูงใจสำคัญดำเนินการสร้างสถานการณ์ยิงอาวุธสงครามทำร้ายราษฎรไทย เพื่อทำให้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาถูกหยิบยกมาเป็นเรื่องการเมืองระหว่าง ประเทศ โดยหวังที่จะให้มีชาติที่สามหรือองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาขัดขวางไม่ให้ ประเทศไทยผลักดันชุมชนกัมพูชาให้ออกจากแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก หรือ การเตรียมส่งผู้สังเกตการณ์ในการเข้ามาในดินแดนไทยในการเป็นสักขีพยานห้าม ยิงปะทะกัน
       
        การที่ฝ่ายทหารอ้างว่าไม่สามารถผลักดันกัมพูชาโดยอ้างว่าต้องรอนโยบายและคำ สั่งรัฐบาลนั้นเป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้น เพราะหากไม่มีการปล่อยปละละเลยให้ชุมชนและทหารกัมพูชาเข้ามารุกรานและยึด ครองแผ่นดินไทย จะไม่เกิดแรงจูงใจในการที่กัมพูชาจะสร้างสถานการณ์เพื่อให้นานาชาติออก มาตรการให้ทหารไทยต้องออกจากพื้นที่บริเวณดังกล่าว จึงถือเป็นความบกพร่องโดยตรงของกองทัพในการที่ปล่อยให้มีการรุกรานแผ่นดิน ไทย และปล่อยให้มีการละเมิด MOU 2543 ในทางปฏิบัติทั้งๆที่กระทรวงการต่างประเทศได้ประท้วงกัมพูชามานับร้อยกว่า ครั้งแล้วก็ตาม
       
        การปล่อยปละละเลยให้กัมพูชาขนชุมชนเข้ามารุกรานยึดครองแผ่นดินไทย สร้างถนน สร้างวัด ปักธงชาติกัมพูชาในแผ่นดินไทย ทั้งๆที่เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ และเป็น “เขตประกาศกฎอัยการศึก” จึงย่อมถือเป็นอำนาจเต็มของกองทัพโดยตรงในการตัดสินใจในการรักษาอธิปไตยของ ชาติ โดยที่ไม่สามารถจะกล่าวอ้างนโยบายของรัฐบาลได้
       
        ทั้งนี้ภายใต้พื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกอันถือเป็นอำนาจเต็มของกองทัพที่จะ ผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยแล้ว ยังปรากฏมีคำสั่งกระทรวงกลาโหม เลขที่ ก.ห.(เฉพาะ)ที่ 112/28 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2528 เรื่องแนวทางการใช้อาวุธตามแนวชายแดน ข้อ 4.1 กองทัพบก กำหนด ข้อ 4.1.1 ว่า “เมื่อปรากฏแน่ชัดว่ากำลังทหารหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายตรงกันข้ามล่วงล้ำ เขตแดนไทยและการล่วงล้ำนั้น จะก่อให้เกิดความเสียหายและเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือหน่วยทหารของฝ่ายเรา หรือเมื่อมีการปะทะเกิดขึ้นแล้ว ให้เราใช้อาวุธเพื่อขัดขวางและสกัดกั้นการล่วงล้ำเข้ามาของฝ่ายตรงข้ามได้ทันที”
       
        การที่ทหารซึ่งมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และมีศักยภาพสูงในระดับโลก แต่กลับไม่ทำหน้าที่ของตัวเองจึงย่อมถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และถือเป็นการกระทำที่ทำให้ราชอาณาจักรหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรตก อยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ ทำให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป อันถือเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองอย่างชัดเจน
       
       นอกจากนี้กองทัพกลับปล่อยให้ประชาชนต้องออกมาชุมนุมเรียกร้องให้ทหาร ทำหน้าที่ ทั้งๆที่ประชาชนที่ออกมาชุมนุมส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงวัยเสริมด้วยนาย ทหารนอกราชการ แต่กองทัพและทหารประจำการก็ยังเพิกเฉยและไม่ทำหน้าที่ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จึงเป็นเรื่องที่น่าอับอายและเสียศักดิ์ศรีของกองทัพเป็นที่สุดเท่าที่เคยมี มาในประวัติศาสตร์ของกองทัพไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนเป็นจำนวนมากแต่กลับ ไม่สามารถทำอะไรได้กับการถูกรุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยโดยชาติอื่น ประเทศไทยจึงมีสภาพเหมือนไม่รู้ว่าจะมีกองทัพเอาไว้เพื่อเหตุผลใด
       
       ปีนี้เป็นปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่จะทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา ทรงเป็นจอมทัพไทยและทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วทหารซึ่งอยู่ภายใต้จอมทัพไทยและปฏิญาณตนต่อหน้าธงชัยเฉลิมพล จะเทิดพระเกียรติโดยยอมให้ประเทศไทยถูกรุกรานยึดครองแผ่นดินไทยได้อย่างไร
       
       เราจึงขอเรียกร้องให้ทหารให้ทำหน้าที่ของตัวเอง โดยการไม่ถอนทหารออกจากแผ่นดินไทยตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก และทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และทำตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณตน ในการทวงคืนแผ่นดินไทยที่ถูกต่างชาติรุกรานให้กลับคืนมา
       
        ด้วยจิตคารวะ
       
        พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
        20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #459 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2554, 17:18:41 »

  แถลงการณ์ฉบับที่ 5/2554
       
       ต่อมา นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ ได้อ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 5/2554 เรื่อง บทพิสูจน์ความล้มเหลวของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในการใช้ MOU 2543 และจะเสียดินแดนต่อไปเพราะรับอำนาจศาลโลก มีรายละเอียดกังนี้
       
       ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก)ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในการพิจารณาคดีตีความหมายคำพิพากษาคดีปราสาท พระวิหารของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505 โดยมีการกำหนดเขตปลอดทหารห้ามไทยและกัมพูชาทำกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ที่ กำหนด และห้ามไทยขัดขวางการเข้าไปยังปราสาทพระวิหารเข้าไปยังปราสาทพระวิหารของ กัมพูชา ตลอดจนห้ามไทยขัดขวางการส่งกำลังบำรุงให้แก่บุคคลการที่ไม่ใช่ทหาร ซึ่งต่อมาการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกรัฐมนตรี และนาย กษิต ภิรมย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงความเห็นว่า “พอใจ” กับมาตรการดังกล่าว น้อมรับและพร้อมปฏิบัติการตามมาตรการดังกล่าว โดยจะให้การตัดสินใจอยู่การพูดคุยตกลงกันของรัฐบาลชุดหน้านั้น
       
       พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอชี้แจงจุดยืนต่อรัฐบาลรักษาการภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดังต่อไปนี้
       
       1. มาตรการคุ้มครองชั่วคราวโดยมติศาลโลกนั้น หากมีการปฏิบัติตามจะทำให้ทหารไทยและทหารกัมพูชาต้องถอยออกจาก “แผ่นดินไทย” กินอาณาเขตบริเวณกว้างลึกมากกว่าสันปันน้ำที่ฝ่ายไทยยึดถือเป็นเส้นเขตแดน และกินลึกเข้ามาในดินแดนไทยเกินกว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวและกัมพูชายึดถือ กินพื้นที่ไปถึงดินแดนไทยซึ่งกัมพูชาไม่เคยยึดครองมาก่อนอีกหลายพื้นที่ รวมถึง เขาพระวิหารทั้งหมด สระตราว สถูปคู่ ผามออีแดง และภูมะเขือ ในขณะที่พื้นที่คุ้มครองชั่วคราวที่อ้างว่ากินพื้นที่ในฝั่งกัมพูชาด้วยนั้น ก็จำกัดอยู่เพียงการกินพื้นที่เชิงหน้าผาสูงชันกว่า 200 เมตรขึ้นไปจนถึง 600 เมตร ซึ่งไม่ได้มีคุณค่าที่จะเป็นมรดกโลกหรือมีมนุษย์อาศัยอยู่ได้แต่ประการใด เราจึงขอประณามมติของศาลโลกในครั้งนี้ ว่าเป็นมาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่อยุติธรรม ลุแก่อำนาจ เกินกว่าที่กำหนดขอบเขตที่ศาลโลกได้พิพากษาให้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้ อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2505
       
       2. หากมีการปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก จะทำให้ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างของกัมพูชายังคงรุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยได้ ต่อไป สามารถใช้ถนนซึ่งสร้างขึ้นรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยโดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถ ขัดขวางหรือผลักดันออกได้ ถือเป็นการส่งเสริมการรุกรานแผ่นดินไทย ถือเป็นการปกป้องผู้รุกรานแผ่นดินไทย ถือเป็นการส่งเสริมการละเมิดบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลัก เขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 2543) และยังมีเจตนาให้รัฐบาลกัมพูชาสามารถใช้พื้นที่ดังกล่าวในการเข้าไปบริหาร จัดการปราสาทพระวิหารโดยใช้แผ่นดินไทยอย่างชัดเจน เราจึงขอประณามการกระทำของศาลโลกที่เพิกเฉยในการปล่อยให้ชุมชนกัมพูชารุกราน และยึดครองแผ่นดินไทย ตลอดจนมีเจตนาให้กัมพูชาสามารถใช้พื้นที่แผ่นดินไทยในการบริหารจัดการมรดก โลกปราสาทพระวิหาร อันถือเป็นส่งเสริมการละเมิดอธิปไตยและส่งเสริมการกระทำความผิดต่อข้อตกลง ระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างรุนแรง
       
       3. หากประเทศไทยรับมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเมื่อใด จะถือว่าเป็นชาติแรกในโลกที่ยอมรับมาตรการคุ้มครองชั่วคราว เพราะก่อนหน้านี้มี 17 คดีที่ศาลโลกเคยพิจารณา และมี 10 คดีที่ศาลโลกมีมติให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว โดยที่ไม่มีประเทศไหนเลยแม้แต่ประเทศเดียวที่ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่ว คราวของศาลโลก แต่ฝ่ายรัฐบาลไทยกลับแสดงท่าทีพอใจ ยอมรับ น้อมรับ และพร้อมจะปฏิบัติตามมติของศาลโลก แสดงให้เห็นว่าฝ่ายไทยได้กลับมายอมรับอำนาจของศาลโลกอีกครั้ง ทั้งๆที่ประเทศไทยได้เคยคัดค้าน ประท้วง และสงวนสิทธิ์เอาไว้ในคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารของศาลโลกที่อยุติธรรม เมื่อ พ.ศ.2505 อีกทั้งประเทศไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับการบังคับอำนาจของศาลโลกมา นานกว่า 50 ปีแล้ว การที่ฝ่ายไทยยังยอมรับอำนาจศาลโลกโดยการแสดงความพอใจและน้อมรับไปปฏิบัติ ตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก็ดี หรือแม้กระทั่งยินยอมรับอำนาจของศาลโลกในการที่จะอ้างว่าตีความจากคำพิพากษา ของศาลโลกในสิ่งที่ประเทศไทยเคยยื่นประท้วงคัดค้านเอาไว้ก็ดี ถือว่ารัฐบาลไทยทรยศต่อบรรพบุรุษไทยและกำลังเดินหน้าไปสู่การยอมรับกฎหมาย ปิดปากที่ทำให้ประเทศไทยพ่ายแพ้ในศาลโลกมาแล้วในอดีต ซึ่งจะเป็นผลทำให้ฝ่ายไทยสุ่มเสี่ยงที่จะต้องเสียดินแดนในศาลโลกต่อไปใน อนาคตอีกอย่างแน่นอน
       
       4. การที่ประเทศไทยได้เดินทางมาถึงจุดนี้แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตยได้เตือนมานั้นถูกต้องทุกประการ เป็นการพิสูจน์ว่าการยึดถือ MOU 2543 นั้นเป็นเครื่องมืออันล้มเหลวและเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ประเทศไทยต้องลาออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลกย่อมแสดง ให้เห็นว่า MOU 2543 เป็นเครื่องมือที่ใช้ไม่ได้ผลในการใช้เพื่อยับยั้งการนำแผ่นดินไทยรอบปราสาท พระวิหารไปเป็นมรดกโลก และการที่ศาลโลกออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเกินขอบเขตนั้นแสดงว่าศาลโลกฟัง เหตุผลของการใช้ประโยชน์ใน MOU 2543 ของฝ่ายกัมพูชาว่าไทยการยอมรับการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 มากกว่าเหตุผลของรัฐบาลไทยที่นำมากล่าวอ้างกับคนไทย อีกทั้งการที่จะมีผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซียเข้ามาเพื่อเป็นสักขีพยานใน การห้ามปะทะหรือห้ามผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยนั้นถือได้ว่า MOU 2543 ไม่ได้เป็นเครื่องมือในการยับยั้งชาติที่สามมาแทรกแซงได้แต่ประการใด จึงเท่ากับว่าสิ่งที่รัฐบาลยืนยันการใช้ MOU 2543 นั้นได้ปรากฏเป็นผลร้ายต่อประเทศไทยอย่างชัดเจนแล้วในวันนี้
       
        แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ กลับแก้ปัญหานี้ด้วยการส่งมอบของต่อให้รัฐบาลชุดหน้า ไม่ว่าจะเป็นเวทีมรดกโลกก็ดี หรือการต่อสู้ในศาลโลกต่อไปก็ดี ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้สามารถยุติได้ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ได้ เช่น การประกาศลาออกจากมรดกโลกล่วงหน้า 1 ปีตั้งแต่ปีที่แล้ว หรือการประกาศไม่รับอำนาจศาลโลกอย่างเป็นทางการ แต่รัฐบาลกลับทำหน้าที่เพียงแค่รักษาหน้าและปัดสวะให้พ้นตัวเพื่อจะได้ไม่ ต้องรับผิดชอบเท่านั้น ถือเป็นการเอาประโยชน์ส่วนตนมากอยู่เหนือกว่าผลประโยชน์ของชาติและไม่รับผิด ชอบในความผิดพลาดของตัวเอง
       
        เราจึงขอเรียกร้องการแสดงความรับผิดชอบรัฐบาลรักษาการนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้ให้เสร็จสิ้นก่อนรัฐบาลชุดใหม่จะ เข้ามาดำเนินการดังต่อไปนี้
       
        ประการแรก ประกาศไม่รับอำนาจศาลโลก ยืนยันว่า ไทยได้เคยคัดค้าน ประท้วง และตั้งข้อสงวน ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505 เมื่อคดีนี้ถูกระบุในใบแจกข่าวของศาลโลกว่าเป็นคดีใหม่ ไทยจึงมีสิทธิ์ไม่ยอมรับ อีกทั้งประเทศไทยก็ไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับการบังคับของอำนาจศาลโลกมา นาน 50 ปีมาแล้ว
       
        ประการที่สอง ไม่ถอนทหารออกจากแผ่นดินไทยโดยเด็ดขาด และเร่งผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย
       
        ความจริงประเทศไทยในวันนี้ได้สูญเสียอธิปไตยบางส่วนให้กับกัมพูชาในทาง พฤตินัยไปแล้ว หากรัฐบาลรักษาการนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้เสร็จสิ้นก่อนหมดวาระ หากวันหนึ่งประเทศไทยต้องเสียดินแดนและอธิปไตยในทางนิตินัยโดยศาลโลกหรือคณะ กรรมการมรดกโลก อันเป็นผลจากการไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้องข้างต้น เราจะบันทึกในประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานได้จดจำว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและรู้เห็นเป็นใจในขั้นตอนสำคัญของขบวนการขายชาติที่ทำ ให้ประเทศไทยเดินทางมาสู่การเสียดินแดนด้วยเช่นกัน
       
        ด้วยจิตคารวะ
        พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
        20 กรกฎาคม พ.ศ.2554
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #460 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2554, 17:19:43 »

  แถลงการณ์ฉบับที่ 6/2554
       
       หลังจากนั้น นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ ได้อ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 6/2554 เรื่อง ขอให้รัฐบาลชุดต่อไปปกป้องอธิปไตยของชาติ มีรายละเอียดดังนี้
       
       ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก)ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2554 ให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในการพิจารณาคดีตีความหมายคำพิพากษาคดีปราสาท พระวิหารของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505 โดยมีการกำหนดเขตปลอดทหาร ห้ามไทยและกัมพูชาทำกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ที่กำหนด และห้ามไทยขัดขวางการเข้าไปยังปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ตลอดจนห้ามไทยขัดขวางการส่งกำลังบำรุงให้แก่บุคคลการที่ไม่ใช่ทหาร ซึ่งต่อมาการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงความเห็นว่า “พอใจ” กับมาตรการดังกล่าว น้อมรับและพร้อมปฏิบัติการตามมาตรการดังกล่าว โดยจะให้การตัดสินใจอยู่ที่การพูดคุยตกลงกันของรัฐบาลชุดหน้านั้น
       
       ต่อมาปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นผู้ที่คาดหมายจากสังคมว่าจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้ออกมาสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ว่า จะขอศึกษารายละเอียดคำสั่งของศาลโลกต่อกรณีปราสาทพระวิหารที่ออกมาก่อน แต่ในฐานะคนไทยคนหนึ่งยืนยันว่าจะต้องทำหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตยและฟื้นฟู ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศควบคู่กันไปเพื่อให้การค้าขายเกิดขึ้นได้
       
       หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ เราขอเรียกร้องดังต่อไปนี้
       
       1. ขอให้ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ในการที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอธิปไตยของชาติได้ถูกกัมพูชาละเมิดรุกล้ำมาตั้งแต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว แม้ว่าพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลกัมพูชาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีการลงทุนเป็นหุ้นส่วนกับกัมพูชาและนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในเรื่องพลังงาน ในอ่าวไทย โดยขอให้ยึดถือเรื่องการรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติไทยเหนือกว่าผล ประโยชน์ของครอบครัวชินวัตรในกัมพูชา
       
       2. เนื่องจากเป็นที่ทราบดีกันว่าพรรคเพื่อไทยได้สืบทอดบุคคลและนโยบายต่อมาจาก พรรคพลังประชาชน และพรรคพลังประชาชนเป็นพรรคที่เริ่มต้นนโยบายจัดทำแถลงการณ์ร่วมระหว่าง ไทย-กัมพูชายกปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่ เพียงฝ่ายเดียวอย่างผิดกฎหมายและทำผิดต่อรัฐธรรมนูญ อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างรุนแรง เป็นความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจึงจำเป็นต้องรับผิดชอบดำเนินการให้กัมพูชาถอนทะเบียน ปราสาทพระวิหารออกจากบัญชีมรดกโลกเสียก่อน
       
       3. เนื่องรัฐบาลพรรคไทยรักไทย รัฐบาลพรรคพลังประชาชน ล้วนแล้วแต่มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้กัมพูชารุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย และทำให้ไทยต้องเสียเปรียบในเวทีมรดกโลก เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้รับผิดชอบดำเนินการแก้ไขปัญหา อธิปไตยของชาติดังนี้
       
       3.1 ประกาศไม่รับอำนาจศาลโลก ยืนยันว่า ไทยได้คัดค้าน ประท้วง และตั้งข้อสงวน ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 เมื่อคดีนี้ถูกระบุในใบแจกข่าวของศาลโลกว่าเป็นคดีใหม่ ไทยจึงมีสิทธิ์ไม่ยอมรับ อีกทั้งประเทศไทยก็ไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับการบังคับของอำนาจศาลโลกมา นาน 50 ปีมาแล้ว
       
       3.2 ไม่ถอนทหารออกจากแผ่นดินไทยโดยเด็ดขาด และเร่งผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย
       
       3.3 ฟื้นฟูและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเร่งด่วน
       
       3.4 ไม่ต่ออายุหรือกลับเข้าไปเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกอีก
       
       3.5 ยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 2543)
       
        3.6 ช่วยเหลือ นายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งถูกทหารกัมพูชาจับในแผ่นดินไทยให้ออกจากเรือนจำกัมพูชาโดยเร็ว
       
        ด้วยจิตคารวะ
        พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
        20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #461 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554, 10:58:49 »

พี่จ๋า…อย่าเหยียบหัวใจเสื้อแดง

18 กรกฎาคม 2554 โพสต์ทูเดย์ออนไลน์

 การที่คนเสื้อแดงจะหาผู้รับผิดชอบในเหตุสลายชุมนุมขอให้ลืมๆซะบ้างวันนี้เราต้องปรองดอง เราต้องยอมกลืนเลือด

โดย....อสนีบาต

ศึกเลือกตั้งผ่านพ้น แต่บรรดาคนการเมืองยังอยู่ในอาการ ตุ๊มๆต้อมๆ หายใจไม่ทั่วท้อง ไม่ใช่แค่ลุ้นระทึก”คุณปูจ๋า” ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร จะได้รับรองการเป็น สส.หรือไม่   แต่เหลียวหลังมองรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่จะส่งไม้ต่อ  กลับเจอภารกิจหินจนถึงนาทีสุดท้าย

ตั้งแต่ผลการวินิจฉัยของศาลโลก ที่มีคำสั่งชั่วคราวให้กัมพูชาและไทยถอนทหารออกจากอาณาบริเวณปราสาทพระวิหาร  ตามด้วยการระดมสรรพเอกสารแจกแจงศาลเยอรมนีกรณีอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737    ทั้งสองกรณีล้วนเป็นภาระผูกพันต้องดำเนินปรับแก้ไขในหลายแง่มุมภายในระยะเวลาที่อยู่ในอำนาจไม่มากนัก 

ครั้นส่องกล้องมอง ว่าที่ผู้นำคนใหม่ ถึงแม้จับมือพรรคการเมืองต่างๆร่วมแถลงตั้งรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย จัดวางโผครม.เบื้องต้น  แต่เมื่อเจอด่านสกัดจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ต้องถูกแขวนห้อยต่องแต่งไม่อาจเข้าสภาได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ การเปิดสภายังทำไม่ได้  การเลือกนายกฯต้องรอต่อไป มีผลให้การฟอร์มคณะรัฐมนตรีชลอไปก่อน   เมื่อพิจารณาจำนวนเสียงที่เคยประกาศร่วมรัฐบาล 300 เสียง หากโดนแขวนยาว จำนวนที่นั่งไม่เป็นไปดังเดิม ย่อมทำให้สูตรคณิตศาสตร์ทางการเมืองว่าด้วยการกำหนดโควต้ารัฐมนตรีต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย 

***********************

เอาเป็นว่าทั้งรัฐบาลเก่าและรัฐบาลใหม่ เผชิญศึกเหนือเสือใต้  แต่ถ้าจะให้ประเมินตรงนี้  สำหรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่กำลังจะเป็นอดีตอยู่ในอาการอยากไชโยโห่ฮิ้วเหมือนครั้งอภิสิทธิ์ ยิ้มกริ่มหลังออกจากห้องประชุม ครม.นัดสุดท้ายประมาณนั้น ตรงกันข้ามกับรัฐบาลใหม่ มีทั้งปัญหาต่อเนื่องจากรัฐบาลเก่าต้องสะสาง    รวมถึงภารกิจตามนโยบายท้าทายจะทำได้ตามสัญญาหรือไม่


“เอาแค่นโยบายหาเสียงขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทันทีทั่วไทย  ขนาดยังไม่เริ่มบริหารประเทศ  เปิดหน้าสื่อสิ่งพิมพ์รายวันเจอะเจอเสียงสะท้อน องค์กรภาคธุรกิจ เอกชน พี่น้องกรรมกร นักวิชาการ หน่วยงานเศรษฐกิจภาครัฐ  ออกมาท้วงติง   หรือพูดตรงๆ ถ้าทำตามนโยบายเพื่อไทย หายนะมาเยือน”

ไม่แปลกที่คนเพื่อไทยจะเริ่มออกมาพลิกพลิ้วตีความคำว่า "ทันที" แบบรวบรัดด้วยการบอกว่า "สภาพความเป็นจริง คำว่าทันทีทำไม่ได้หรอก"  แถมย่ำยีหัวใจผู้เทคะแนนเข้าไปอีกด้วยประโยคที่ว่า  "อย่าไปคิดอะไรมากกับป้ายหาเสียง การขึ้นปราศรัย  เพราะเป็นแค่กลยุทธ์หาเสียงหวังโกยคะแนน"

หนักไปกว่านั้น เริ่มเล่นแร่แปรธาตุ อธิบายกันใหม่ทำนองว่า ไม่ได้มีความคิดขึ้นค่าแรงทั่วไทย  แต่เป็นลักษณะทยอยขึ้น หรือไม่ก็เน้นบางจังหวัดที่สำคัญไปก่อน เช่น กทม. ภูเก็ต หรือหัวเมืองสำคัญในจังหวัดใหญ่ๆตามภูมิภาค 

โอ๋ะโอ๋! พี่น้องกรรมกรเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื่อทุกเฉดสี ฟังแล้วได้แต่เกาหัวแกรกๆ ไอ้ตอนหาเสียงมันไม่ใช่อย่างนี้นี่หว่า เห็นพวกเราเป็นตัวอะไรทำไมถึงทำกับพวกเราได้   

 เจ็บช้ำกว่านั้น ส่งผ่านมาจากที่ปรึกษาดูไบ ทักษิณ  ชินวัตร สอดประสาน ปลอดประสพ สุรัสวดี  รองหัวหน้าพรรค ออกมาบอกชาวเสื้อแดงที่ร่วมเป็นร่วมตายเกลือกกลิ้งบนท้องถนนจนได้อำนาจรัฐมาในวันนี้

เขาบอกกันว่าไงนะ… ถ้าพี่น้องเสื้อแดงจำไม่ได้ บาดลึกไม่พอจะขออนุญาติตอกย้ำอีกรอบ  เขาบอกผ่านทางทีวีวิทยุหนังสือพิมพ์ครบครัน เดินสายออกรายการพูดไว้อย่างนี้ "การที่คนเสื้อแดงจะหาผู้รับผิดชอบในเหตุการณ์สลายชุมนุม ขอให้คนเสื้อแดงลืมๆไปซะบ้าง  วันนี้เราต้องปรองดองยอมกลืนเลือดกันบ้าง" 

อ้าว! พี่จ๋าของน้องปูทำไมพูดอย่างนี้

คำตอบหรือ

ก็เพราะ วันนี้นายใหญ่กำลังเริงร่าพาพลพรรคขึ้นสู่อำนาจรัฐ เขาอยากปรองดองอำนาจ  จึงได้ออกมาประกาศเตือนชาวเสื้อแดง ลืมๆกันไปซะบ้าง ในเมื่อพี่น้องทำภารกิจให้พวกเราก้าวสู่ไทยคู่ฟ้า ถือว่าเสร็จสิ้น   จากนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเราจะได้บริหารอำนาจบันดาลสุข   สัญญงสัญญาอะไรก็อย่าเอามาคิดเป็นประเด็นหรือเดินทางมาทวงกันหน้าทำเนียบฯ  เดี๋ยวโดนทุบแล้วจะหาว่าไม่เตือน  อีกทั้งสไตล์น้องสาวของพี่จ๋าไม่มีเวลาพอเหลียวแลเรื่องกวนใจหน้าทำเนียบฯ เนื่องจากน้องสาวไม่ถนัดกับการเดินมารับหนังสือร้องทุกข์     

นี่แค่บางส่วนของผู้ที่กำลังเข้าสู่อำนาจรัฐแสดงออกมา   ดังนั้นพี่น้องเสื้อแดงจงขีดเส้นใต้จำกันไว้ให้ดีๆนะครับ  นายใหญ่และรองหัวหน้าเขาเตือนพวกท่านมาอย่างนี้ 

***********************

ครานี้หันมาดู กกต.ที่ต้องเอกซเรย์ ว่าที่ สส.สีเทาก่อนปล่อยเข้าสภา ถ้ามองอย่างเข้าใจ นี่คือกระบวนการตรวจสอบตามที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจหน้าที่ให้ กกต.   แต่สำหรับแกนนำแดงใจร้อนซึ่งกำลังคั่นเนื้อคั่นตัวอยากได้ตำแหน่งอำมาตย์ตัวสั่น  ดูจะไม่ฟังเหตุฟังผล เอะอะออกอาละวาด จะเป่านกหวีดยกพวกที่ตัวเองตราหน้าเขาว่าไพร่แดงมากดดันซะงั้น  เหนื่อยใจเหลือเกินกับพฤติกรรมถนัดที่ยากแก้ไข 


อาจเป็นไปได้ว่า ชนกลุ่มหนึ่งห่างเหินอำนาจรัฐมากว่า 2 ปี เอาเวลาไปคลุกฝุ่นอยู่บนท้องถนนจนติดพฤติกรรมทราม อยากได้อะไรต้องได้ตามวิถีกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย   ครั้นเห็นอำนาจกองอยู่ตรงหน้า จึงอยากกระโดดไขว่คว้าท่าเดียว เรียกว่าเก็บอาการไม่อยู่ประมาณนั้น   กอปรกับตลอดการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ได้สร้างสมศัตรูไว้มาก บ้างก็อ้างมือที่มองไม่เห็นบ้าง อ้างอำนาจนอกระบบบ้าง  บ้างก็บิดเบือนสร้างเรื่องจนบางครั้งโกหกตัวเอง  พอตัวเองกำลังจะก้าวขึ้นสู่อำนาจสมใจ จึงต้องตกอยู่ในภาวะจิตหลอน  หวาดระแวงสิ่งแวดล้อมรอบกายจะมาทำร้ายกลั่นแกล้งเข้าไปอีก     

ความพยายามสะกดตัวเองไม่ให้เหวอไปกว่านี้ จึงมาพร้อมการสรรหากลยุทธ์สะเปะสะปะ  ตั้งแต่รับคำสั่งนายให้ออกมาประสานเสียง”แก้ไขไม่แก้แค้น”   วันดีคืนดีอยากเข้าคารวะบ้านสี่เสา  จู่ๆอยากปรองดองบ้านพระอาทิตย์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้  ประณามหยามเหยียดผู้ใหญ่ของบ้านเมืองแทบจะเป็นเศษผงธุลีดิน  บางครั้งฮึดฮัดยกพวกไปขว้างปาทำลายข้าวของ ข่มขู่รุกไล่ไปถึงวงศ์ตระกูล นำไปสู่ความเครียดแค้น เกลียดชัง แตกแยกของคนในชาติ สมใจอยากต่อการทำลายความปรองดอง 

แต่วันนี้ ยกยอคนที่เคยด่า เชิดชูคนที่เคยกล่าวหาว่าไอ้ฆาตกร  ไอ้ทรราชย์ ดึงมาเป็นพวกเดียวกันร่วมสร้างสรรค์ปรองดอง  พี่น้องชาวเสื้อแดงที่เฮโลไหนเฮโลนั่น  ชักออกอาการมึนๆงงๆ ตั้งคำถามถึงว่าที่เสนบดีกำลังเล่นละครปาหี่ให้พวกเราดูหรือไง  ทำไมถึงทำร้ายความรู้สึกพวกเรากันขนาดนี้   

ชีวิตของประชาชนตัวเล็กๆ หาเช้ากินค่ำ ที่หวังเข้าร่วมขบวนการภาคประชาชน ตามที่เขาเคยกล่าวอ้างสวยหรูในโรงเรียนนปช. เพื่อร่วมกันสร้างความเท่าเทียม  เอาประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แต่ต้องแลกกับการสูญเสียชีวิต เลือดเนื้อ  บทสรุปก็เป็นเพียงสะพานให้กลุ่มคนเหยีบย่ำขึ้นเสวยอำนาจรัฐเท่านั้นเองหรือ

บอกกันตรงๆถึงพี่น้องเสื้อแดง คนที่ท่านรัก คนที่ท่านเทิดทูน เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้ เพราะผลกรรมที่เคยก่อทำให้เกิดอาการหลอน กลัวอุบัติเหตุอำนาจรัฐหลุดมือ จึงต้องใช้ทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นวิธีข่มขู่กดดันองค์กรตามกฎหมาย หรือแสดงลีลามิตรไมตรีกับปรปักษ์  นาทีนี้ทำได้ทุกอย่าง

***********************

ก็คงจะเหลือแต่แฟนคลับผู้มีสติ อยากให้มาร่วมใคร่ครวญกันดีกว่าเพื่อตอบคำถาม ทำมั้ย ทำไม ต้องแขวนว่าที่ผู้แทนอันเป็นที่รักของพวกท่าน ถ้าใช้อารมณ์ตัดสิน หรือมองเป็นการเมืองไปซะหมดจบเห่ที่จะอธิบาย  แต่ถ้ามองให้มาก ค่อยๆ ขบคิดจะเข้าใจ   ในเมื่อทุกสังคมมีกฎระเบียบ   บ้านเมืองต้องมีกฎหมาย ดังนั้นว่าที่ สส.ท่านใดไร้ปัญหาย่อมผ่านฉลุย แต่พวกสีเทาหากได้กลั่นกรองแต่เนิ่นๆ ถือเป็นบุญโขต่อชาติบ้านเมือง


ประการสำคัญ  การกักกันตัวมิใช่แค่ ว่าที่ สส.เพื่อไทย เท่านั้น พรรคการเมืองอื่นล้วนถูกเจียระไน  และไม่ใช่เฉพาะหัวแถวอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฟากฝั่งประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคปชป. ถูกร่อนตะแกรงเหมือนกัน ในเมื่อการเลือกตั้งภายใต้กฎกติกาที่ทุกฝ่ายอมรับ กับการที่มีกระบวนการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน ควรอดใจรอหน่อยมิได้หรือ     ยิ่งแสดงอาการกระฟัดกระเฟียดขู่ใช้กฎหมู่ตะพรึดตะพรือ  แสดงให้เห็นว่าไม่ยึดมาตรฐานเดียวกับผู้อื่นที่กำลังถูกตรวจสอบ 

ที่ผ่านมา ประกาศมาตลอดมิใช่หรือ รังเกียจสองมาตรฐาน   แต่ครั้นบ้านนี้เมืองนี้ใช้มาตรฐานตรวจสอบเช่นเดียวกับคนอื่นเหตุใดต้องโวยวาย  ตกลงพวกท่านมีมาตรฐาน หรือไร้มาตรฐานกันแน่ 

น่าเป็นห่วงเข้าไปอีกเมื่อขึ้นครองอำนาจจะมีมาตรฐานบริหารบ้านเมืองแบบไหน  เพราะขนาดยังไม่ได้อำนาจบริหารประเทศ ยังแสดงพฤติกรรรมพลิกพลิ้วนโยบาย  เหยียบย่ำความรู้สึกผู้สูญเสีย ช่างเป็นมาตรฐานใหม่ที่น่าอึ้งทึ้งเสียเหลือเกิน 

นี่แหละหนอผู้สูงศักดิ์ของพี่น้องเสื้อแดง เขากำลังทำกับพวกท่านได้ลงคอ   


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #462 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2554, 22:26:15 »

กวนน้ำให้ใส   (นสพ.แนวหน้า)

พี่รังแกปู (สารส้ม)
 
 พี่จ๋า

 ตอนที่เริ่มหาเสียงใหม่ๆ พี่เอาอะไรมาให้ปูพูด ปูก็พูด... ให้ปูไปทำอะไรที่ไหน ปูก็ไป...

 พี่บอกให้ปูทำตัวเหมือนตอนเปิดโครงการบ้านจัดสรรโครงการใหม่ๆ แต่งสวย ยิ้มหวาน ชูหนึ่งนิ้ว แค่ไปยืนโพสต์ท่าถ่ายรูป คุยกับชาวบ้านเหมือนพบปะลูกค้า เสร็จแล้วถึงเวลาจะให้รางวัลน้องสาวคนนี้ เป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

 ถูกซักถามว่า นโยบายหาเสียงจะทำได้จริงไหม? มีแนวทางชัดเจนแล้วใช่ไหม? ศึกษาผลกระทบรอบด้านแล้วใช่ไหม? พี่ก็บอกให้ปูยืนยันว่าชัวร์ ทำได้จริง ทำได้เลย ทุกเรื่อง ทุกนโยบาย แถมไม่ต้องกู้

 ปูเชื่อพี่ ปูทำตามพี่ทุกอย่าง

 พี่บอกอย่าวอกแวก อย่าสนใจที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกเรียกร้องให้ขึ้นเวทีดีเบทเพื่อให้เกิดการซักถาม ถกแถลงข้อเท็จจริงทั้งด้านดีด้านลบ พี่ให้ปฏิเสธ ให้อ้างไม่มีเวลา ปูก็เลยไม่มีโอกาสเรียนรู้รายละเอียดว่านโยบายที่ลูกน้องพี่ให้ปูเอาไปหาเสียงปาวๆ นั้น มันจะทำได้จริง จะทำได้ไง หรือผลกระทบจะเป็นอย่างไร

 ไม่ว่าจะเรื่อง ค่าแรง 300 บาท เงินเดือน 15,000 บาท หรือโครงการลดแหลกแจกสะบัดทั้งหลาย

 อยากบอกพี่ว่าปูไม่โง่นะคะ ปูก็รู้สึกว่ามันแหม่งๆ แต่ปูหลงคิดว่าพี่จะมีทางหนีทีไล่เข้าท่ากว่านี้

 ปูไม่เข้าใจ... ทำไมพี่ไปให้สัมภาษณ์ว่า ค่าแรง 300 จะได้เฉพาะกรุงเทพฯกับภูเก็ต ทั้งๆ ที่ ก่อนเลือกตั้ง พี่ให้ปูไปหาเสียง เที่ยวสัญญากับชาวบ้านทั่วประเทศว่าจะได้กันทุกจังหวัด พร้อมกันหมด

 พี่จ๋า... ปูลงทุนถึงขนาดอ้อนชาวบ้านว่า "ดีมั๊ยคะ ชอบมั๊ยคะ เอามั๊ยคะ"

 แล้วนี่เพิ่งชนะเลือกตั้งแท้ๆ พี่กลับมาพูดอย่างนี้ จะให้ปูทำยังไง

 พูดแล้วน้ำตาจะไหล ปูอยากให้พี่คิดถึงหน้าปูบ้างสิคะ

 แค่เริ่มตั้งรัฐบาล พี่ไม่เห็นใจปูบ้างเหรอ ปูต้องปั้นยิ้ม ตอบคำถามนักข่าว "หน้าชื่น อกตรม" เพราะนักข่าวถามว่า ปูมีอำนาจเลือกรัฐมนตรีเองหรือเปล่า? จัดตั้งรัฐบาลกันในประเทศหรือเปล่า?

 พี่ทำให้ปูต้องเริ่มต้นชัยชนะหลังการเลือกตั้งด้วยการโกหกเลยนะคะ

 ปูต้องฝืนตอบนักข่าวไปว่า ปูมีอำนาจเต็มที่ จัดตั้งรัฐบาลเองกับมือ แถมต้องโกหกช่วยพี่ไปอีกว่าพี่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีใดๆ เลย

 พี่จ๋า ปูจะต้องโกหกช่วยพี่อีกครั้งกันคะ

 ครั้งก่อน... ปูเคยไปช่วยอ้างในศาลคดียึดทรัพย์ว่าหุ้นเป็นของปู ไม่ใช่ของพี่ แต่ไม่กี่วันก่อนเลือกตั้ง พี่กลับไปหลุดปากในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ว่า พี่ถูกศาลยึดทรัพย์ไป "เหลือเงินแค่ 3 หมื่นล้านบาท" ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าหุ้นชินฯ เหล่านั้น มันเป็นของพี่มาโดยตลอด ไม่ใช่ของปู ของหลานๆ หรือของนอมินีรายไหนทั้งสิ้น เพราะสุดท้าย มันก็ไหลกลับไปรวมกันเป็นของพี่คนเดียว

 ครั้งนี้... ปูเพิ่งบอกนักข่าวว่าปูมีอำนาจเลือกคนมาเป็นรัฐมนตรี แต่พี่กลับปล่อยให้ "เสือสิงห์กระทิงเฒ่า" บินไปขอตำแหน่ง วิ่งเต้นเก้าอี้ เจรจาต่อรองกันกับพี่ จนเป็นข่าวประเจิดประเจ้อ ทั้งที่ดูไบและบรูไน

 พี่จ๋า พี่ไม่อาย แต่ปูอายนะคะ

 ปูเป็นน้องสาวพี่นะคะ... ปูเป็นผู้หญิงนะคะ... พี่รังแกปู ไม่ใช่แค่รังแกน้อง แต่เป็นรังแกผู้หญิงนะคะ

 ปูเขียนมาบอก ก็เพื่อจะกราบขอร้อง อย่ารังแกปูด้วยวิธีอย่างนี้อีกเลย

 พี่จ๋า ปูหวังว่าพี่จะไม่คิดฆ่าปู ด้วยการให้ปูนอนจมกองขี้แห่งความล้มเหลวทั้งหลาย แล้วพี่จะฉวยโอกาสหาเสียงอีกรอบว่า "น้องสาวอ่อนประสบการณ์ พี่ชายจะกลับมาทำด้วยตัวเอง"

 พี่จ๋า ปูอยากคุยกับพี่มากกว่านี้ เพื่อหวังให้พี่ระลึกถึงความเป็นน้องสาวของพี่มากกว่านี้ แต่ปูต้องรีบไปแต่งหน้า เตรียมโพสต์ท่าถ่ายรูป ทำหน้าที่พรีเซนเตอร์โฆษณาให้พี่แล้ว

 ถ้าพี่รังแกปูอีก ปูจะไปฟ้องระเบียบรัตน์

 ลงชื่อ น้องปู


วันที่ 13/7/2011

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #463 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2554, 09:43:54 »

ไทยพีบีเอส”ต้องตอบโจทย์ ไม่ควรสัมภาษณ์อาชญากร
 
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 30 กรกฎาคม 2554 05:40 น.
 
 
  ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ตลอดสัปดาห์ ก่อนที่คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) จะประกาศรับรอง เชื่อว่าหลายคนยังสงสัย ! กับ “รายการตอบโจทย์” ทั้ง 2 ตอน เมื่อวันที่ 18-19 ก.ค. 54 เวลาสี่ทุม ทางถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส ที่“ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” พิธีกร บินไปสัมภาษณ์ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. และนำมาออกอากาศร่วมครึ่งชั่วโมง รวมถึงการเสนอคลิปขึ้นเว็บไซต์ของสถานี บางคนถามในใจว่า เพื่ออะไร และอะไรคือ หัวใจสำคัญของการเป็นสื่อสาธารณะ
       
       คนใน ”ไทยพีบีเอส” เล่าว่าหลังจากออกอากาศประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์เข้าไปต่อว่าต่อขานที่สถานี มีเจ้าหน้าที่บางรายยืนยันว่า “บางสายถึงกับขู่วางระเบิดสถานี”
       
       อย่าง “บุญยอด สุขถิ่นไทย” รักษาการรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาถามรายการ “ตอบโจทย์” ถึง จริยธรรมและข้อบังคับของ “องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย” (ส.ส.ท.) ที่ร่างขึ้น
       
       เขาตั้งคำถามว่า การเดินทางไปพบกับนักโทษหนีคดี ซึ่งทางการไทยต้องการตัวในโทษจำคุก 2 ปี ถือว่าเป็นบุคคลที่ควรติดต่อด้วยหรือไม่ และเมื่อทราบหลักฐานที่อยู่ ต้องแจ้งให้ทางการทราบด้วยหรือไม่
       
       เขาอ้างว่า ตามหลักการและอุดมการณ์ สถานีโทรทัศน์แพร่ภาพกระจายเสียงและ แนวทางปฏิบัติ เพื่อธำรงจริยธรรมวิชาชีพของสถานี ไทยพีบีเอส ข้อ 11 ระบุว่า “แนวทางปฏิบัติในการรายงานทำข่าวอาชญากรรม หรือพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อสาธารณะ”
       
       โดยเฉพาะ ข้อ 11.4 เขียนว่า ไม่ควรสัมภาษณ์อาชญากร หรือผู้มีพฤติกรรมเป็นอาชญากร แต่ถ้ามีความจำเป็นที่ต้องสัมภาษณ์ ต้องขออนุมัติจากผู้บริหารฝ่ายข่าว หรือรายการก่อน และแม้ได้รับการอนุมัติแล้วต้องระมัดระวังไม่ให้เนื้อหาการสัมภาษณ์ ส่อไปในทางสร้างความโดดเด่น ความชื่นชอบ ในอาชญากร ไม่เสนอเนื้อหาขั้นตอนกระบวนการ ในการกระทำผิด
       
       มีคำถามต่อว่าไปให้นักโทษมาฟอกตัวเองออกอากาศ หรือ! เป็นเรื่องที่ฝ่ายบริหาร “ไทยพีบีเอส” ต้องตอบ
       

       ถลุงงินภาษีประชาชน จากภาษีเงินบาป 2,000 ล้านต่อปี บินไปสัมภาษณ์ “นักโทษทักษิณ” ถึงดูไบ ก็เป็นอีกคำถามที่ “ไทยพีบีเอส” ต้องตอบ
       

       ถามว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ “ไทยพีบีเอส” บุกไปสัมภาษณ์ “ทักษิณ” ก่อนกลับมารับฟังคำสั่งศาลเมื่อปี 2550 ก่อนที่จะมีร่างจริยธรรมและข้อบังคับ รวมถึง“คณะกรรมการและสภา ผู้ชมและผู้ฟัง” ช่องนี้ได้บุกไปดักสัมภาณ์ที่ประเทศฮ่องกง มาแล้วครั้งนั้นถึงขั้นลงทุนติดตามทีม ส.ส.พลังประชาชนไปด้วย ทราบว่าครั้งนั้น “ไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า”
       
       ครั้งนั้น ฝ่ายบริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อ้างว่า การรายงานข่าวอดีตนายกฯ ทักษิณ นั้น เกิดขึ้นจากการประชุมเพื่อเสนอมุมมองในการรายงานข่าวให้ประชาชนได้ข้อมูล ข่าวสาร โดยใช้ไอเดียที่แตกต่างในการเสนอข่าวดังกล่าวตั้งแต่การตั้งทีมถ่ายทอดสด ตามสถานที่สำคัญที่อดีตนายกฯ ทักษิณ จะต้องไป อาทิ สนามบินสุวรรณภูมิ ศาลฎีกา และจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น และการส่งทีมข่าวไปยังฮ่องกงเพื่อรายงานข่าวนั้น เนื่องจากข่าวการกลับมาของอดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นข่าวที่ทั้งประเทศให้ความสนใจและการเลื่อนกำหนดกลับก่อน
       
       “เพื่อเสนอข่าวอย่างเป็นกลางและตอบโจทย์การเป็นทีวีสาธารณะ นอกจากนี้ยังได้รับรู้ถึงอารมณ์ ความรู้สึกของอดีตนายกฯ และการยืนยันจากปากเรื่องการไม่เข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกต่อไป”
       
       ครั้งนั้น “ไทยพีบีเอส”อ้างว่ามีความพึงพอใจในการเสนอข่าวดังกล่าวพอสมควร แต่รายการ “ตอบโจทย์”ในปี 2554 มีระเบียบการรองรับชัดเจนตามที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กล่าวอ้าง
       
       ล่าสุดทราบจาก “กิตติชัย ใสสะอาด” ในฐานะประธานสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการสมาชิกสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ ส.ส.ท. แจ้งว่า ในวันที่ 30 ก.ค. ที่โรงแรม อมารี วอเตอร์เกต สมาชิกกว่า 50 คนจะร่วมประชุม เพื่อกำหนดท่าทีต่อ กรณีนี้ รวมถึงดูแนวทางที่ทาง อำนวยการสถานี รวมทั้งฝ่ายขาว และผู้ที่เดินทางไปสัมภาษณ์ควรจะรับผิดชอบ อย่างไร
       
       เบื้องต้น ไม่มีหนังสือร้องเรียนมาอย่างเป็นทางการแต่มีการส่งข้อความผ่านอีเมลล์มาเป็นจำนวนมาก มายังตนและสมาชิกหลายคนให้มีการตรวจสอบ เพราะเบื้องต้น ทราบว่า ไม่มีความเหมาะสม ที่เดินทางไปสัมภาษณ์ผู้ต้องหา เบื้องต้นยังไม่มีทราบว่ามีความผิดอย่างใด
       
       คาดว่าจะมีการประสานงานไปยัง “เทพชัย หย่อง” ผู้อำนวยการสถานีและ “ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” พิธีกร รายการตอบโจทย์ มาให้ข้อมูลในเบื้องต้น
       
       “อาจจะมีการถามถึงจุดประสงค์ที่ต้องเดินทางไปสัมภาษณ์ถึงดูไบ รวมทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆกับผู้อำนวยการสถานีโดยตรง”
       
       เบื้องลึก เบื้องหลังนอกจากนี้ มีการตั้งคำถามว่า ทีมงานชุดที่ไปสัมภาณ์ เดินทางกลับจากนครดูไบเมื่อวันที่ 7 ก.ค. เพื่อนำมาออกอากาศในคืนวันที่ 11 ก.ค. เป็นตอนแรก แทนที่จะเป็นวันที่ 18 ก.ค. มีการยืนยันว่า มีคำสั่งจากฝ่ายบริหารของไทยพีบีเอสให้ “ชะลอ”การออกอากาศออกไปก่อนจริง แต่กลับมีการปล่อยให้ออกอากาศได้ในวันที่ 18 ก.ค. เพราะสาเหตุใด! เป้นอีกเรื่องที่ผู้บริหาร “ไทยพีบีเอส”ต้องตอบจะอ้างว่าเป็นสร้างความ “สมดุล”ในการเชิญบุคคลต่างๆมาสัมภาษณ์หรืออ้างแบบที่ฝ่ายบริหารเมื่อปี 2550 เคยให้สัมภาษณ์
       
       หรือ!ความไม่จัดเจนในการบริหารจัดการข่าว เท่านั้น
       
       อีกประเด็นที่สังคมกำลังจับตามองกับเรื่อง' “สินบนสื่อ” หลังจากเชิญสื่อมวลชนหลายสำนักมาให้ข้อมูลเบื้องต้น กรรมการบางคนถึงกับออกอาการ ขู่! คนมาให้ข้อมูล อย่างกับว่า เป็นคนทำผิดเสียอย่างนั้น “รู้ไหมสื่อ 8 สำนักนั้นเขาทำข่าวมานานขนาดไหน” แล้วยังไง!
       
       ล่าสุด มีการขยายเวลาสอบเพิ่ม”สินบนสื่อ”อีก15วัน
       
       โดย คณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน แจ้งว่า ได้ทำหนังสือขอขยายระยะเวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปแล้วเมื่อวันที่ 25 2ก.คที่ผานมา
       
       “พรชัย ปุณณวัฒนาพร” เลขาธิการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ชี้แจงว่า นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องฯ ได้ทำหนังสือขอขยายระยะเวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปอีก 15 วัน ถึงนายปราโมทย์ ฝ่ายอุประ ประธานสภาการหนังสือพิมพ์ฯ โดยมีเนื้อความดังนี้
       
       “ตามที่สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน โดยให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานต่อสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ภายใน 15 วันนั้น
       
       ในการนี้ ขอเรียนให้ทราบว่า ขณะนี้ คณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากผู้ที่เกี่ยวข้องไปแล้วพอสมควร แต่เนื่องจากมีข้อมูลที่ต้องตรวจสอบอีกมากมายยังไม่สามารถสรุปผลการตรวจสอบครั้งนี้ได้ภายในเวลาที่กำหนด และมีความจำเป็นต้องขอขยายระยะเวลาการตรวจสอบออกไปอีก 15 วัน และจะรายงานผลให้ทราบโดยเร็ว”
       
       ขณะที่หนังสือดังกล่าวจะถึงที่ประชุมคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ในวันที่ 2 สิงหาคม 2554 นี้.

 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #464 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2554, 23:04:40 »

รอยเตอร์วิเคราะห์ "ยิ่งลักษณ์" หมดเวลาฮันนีมูน ชี้ "นำทักษิณกลับประเทศ" เป็นบททดสอบหนักสุด

วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2554มติชนออนไลน์

มาร์ติน เพ็ตตี้ ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ ได้เขียนบทวิเคราะห์การเมืองไทยชื่อ "ฮันนีมูนผ่านพ้นไป, ยิ่งลักษณ์กำลังก้าวเดินบนเส้นลวด" (Honeymoon over, Yingluck treads political tightrope) ซึ่งมีเนื้อหาโดยสังเขปดังนี้


โดยเพ็ตตี้เริ่มต้นบทวิเคราะห์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ท่ามกลางการบูมของธุรกิจดังกล่าว กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อเธอต้องมารับบทบาทเป็นผู้บริหารประเทศที่ยุ่งเหยิงด้วยวิกฤตการเมืองและเหตุนองเลือด


ผู้สื่อข่าวต่างชาติรายนี้เห็นว่า ช่วงเวลาแห่งการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของนักการเมืองหน้าใหม่วัย 44 ปี อย่างยิ่งลักษณ์กำลังจะหมดไป  เมื่อเธอได้กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ซึ่งคนยากจนหลายล้านคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยหวังจะได้รับผลประโยชน์นานาประการจากเธอ ขณะที่ประเทศไทยก็ต้องการให้มีการยุติวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยาเป็นต้นมา


แม้จำนวน ส.ส. 265 จากทั้งหมด 500 คนในสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคเพื่อไทย  จะสามารถช่วยผ่อนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับโอกาสในการแทรกแซงการเมืองของกลุ่มคนที่ "อยู่หลังฉาก" ผ่านกระบวนการยุติธรรมและกองทัพลงได้บ้าง จนสะท้อนออกมาผ่านตัวเลขการลงทุนที่พุ่งสูงขึ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


อย่างไรก็ตาม การที่ยิ่งลักษณ์มีแนวโน้มจะก้าวเดินทางการเมืองตามรอยเท้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชาย และการที่ทักษิณถูกมองว่าจะมีอิทธิพลต่อรัฐบาลชุดใหม่มากกว่าว่าที่นายกฯ หญิง ที่ด้อยประสบการณ์ทางการเมือง ก็อาจนำไปสู่เส้นทางการเมืองอันขรุขระของรัฐบาลเพื่อไทยได้


"ระดับของความเป็นอิสระ (จากทักษิณ) จะส่งผลต่อระดับการยอมรับที่ผู้คนมีให้ยิ่งลักษณ์" เดวิด สเตร็คฟัสส์ นักวิชาการชาวอเมริกันประจำมหาวิทยาลัยขอนแก่นกล่าวกับผู้สื่อข่าวรอยเตอร์


นักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามทักษิณกำลังรอคอยให้รัฐบาลชุดใหม่ทำสิ่งผิดพลาด เพื่อนำไปสู่เงื่อนไขในการแทรกแซงการเมืองอีกครั้งหนึ่ง


"ชัยชนะของยิ่งลักษณ์ถือเป็นชัยชนะเด็ดขาดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งไทย ดังนั้น การกีดขวางเธอในทันทีทันใดจึงไม่น่าจะเป็นไปได้" สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าว


"การเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะเกิดขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐบาล ต้องถูกคิดคำนวณอย่างถ้วนถี่ พวกเขาต้องรอคอยให้รัฐบาลชุดนี้ทำสิ่งที่ผิดพลาด และต้องมีเหตุผลอันชอบธรรมมารองรับการเคลื่อนไหว มิฉะนั้น ผลที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นภาวะจลาจลวุ่นวาย" อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าว


แม้จะมีภาระงานหลายงานที่ท้าทายว่าที่ผู้นำหญิงอย่างยิ่งลักษณ์ ทว่าบททดสอบสำคัญที่สุดสำหรับว่าที่นายกฯ หญิง ตามการวิเคราะห์ของเพ็ตตี้ก็คือ เธอจะจัดการอย่างไรกับประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการเดินทางกลับประเทศไทย โดยไม่ต้องรับโทษจำคุก 2 ปี ในคดีที่ดินรัชดา ทั้งๆ ที่การขออภัยโทษให้อดีตนายกฯ อาจกลายเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมืองของรัฐบาลเพื่อไทย


สมชายประเมินว่า รัฐบาลเพื่อไทยต้องพยายามทำงานเพื่อให้สภาพการเมืองและเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ จากนั้น จึงค่อยร่างแผนการขออภัยโทษให้แก่ผู้ต้องโทษทางการเมืองโดยทั่วไป และควรกำหนดให้แผนการขออภัยโทษดังกล่าวผ่านการลงประชามติในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อให้มีความชอบธรรมทางกฎหมายและได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน


"การนำทักษิณกลับประเทศ คือวาระหลักของเพื่อไทย ดังนั้น พวกเขาจึงต้องเดินหน้าเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง และควรทำให้สภาวะการเมืองมีความลงตัวเสียก่อนจะเสนอแผนขออภัยโทษ" นักวิชาการชาวไทยวิเคราะห์


ขณะที่หลายคนกลับมองว่ามีโอกาสน้อยมากที่ทักษิณจะได้เดินทางกลับประเทศไทย ด้วยทัศนะว่า อดีตนายกรัฐมนตรีถือเป็นบุคคลที่นำไปสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายภายในประเทศ ดังนั้น การพยายามนำเขากลับบ้านเกิด จึงเท่ากลับเป็นการปลุกให้ขบวนการ "เสื้อเหลือง" ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง โดยกลุ่มเสื้อเหลืองก็เคยเคลื่อนไหวจนกระทั่งรัฐบาล 2 ชุดที่มีทักษิณอยู่เบื้องหลัง ต้องประสบกับภาวะ "อัมพาต" จนทำงานไม่ได้มาแล้ว


ดังที่โจชัว เคอร์แลนท์ซิค ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำคณะกรรมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่า "การกลับมาของทักษิณ ไม่ว่าในช่วงเวลาใดก็ตาม จะนำไปสู่ความวุ่นวายอย่างหนัก"
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #465 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2554, 09:18:45 »

องครักษ์ พิทักษ์ ปูแดง อาละวาด

“กาละแมร์” เจ๋อ “ปู ยิ่งลักษณ์” เจอแดงจัดหนัก
 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
 
  ป้านิรนาม “เสื้อแดง” ยำ “ Here Haสารพัดสัตว์” ใส่จานเสิร์ฟผ่านยูทูบ ถึง “กาละแมร์” พัชรศรี เบญจมาศ แสดงความเห็นผ่านบทความชื่อ “จดหมายถึงนายกฯหญิง” ในคอลัมน์ “ชายตาหาข้าวเปลือก” ป้าเสื้อแดงยัวะ แหกปากร้องเสียงหลงประกาศ “เดี๋ยวกูจะตอบให้มึงเอง” เพราะป้ามหาภัยปากตลาดรายนี้คิดว่า กาละแมร์ตั้งใจดิสเครดิต “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย” ทุกถ้อยความ ทุกประโยค ถึงขั้นเรียกว่า “หยาบคายไร้สกุลรุนชาติ” มีแต่ด่า ด่า และด่าจนหาความรู้และสาระไม่เจอ กาละแมร์เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกคนเสื้อแดงหมายหัว เพราะ ปีที่แล้ว คอลัมน์ “ชายตาหาข้าวเปลือก” นี้เคยพูดถึงผลกระทบการชุมนุมที่ราชประสงค์มาก่อน
       
       เป็นหนึ่งในบุคคลที่คนเสื้อแดงหมายหัวเอาไว้มานานนับปีแล้ว นับตั้งแต่พิธีกรสาวฝีปากกล้า “กาละแมร์ พัชรศรี เบญจมาศ” เขียนเกี่ยวกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงลงคอลัมน์ชายตาหาข้าวเปลือกในมติชนสุดสัปดาห์ตั้งแต่ปีก่อน บทความดังกล่าวบอกว่าเธอได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ โดยเฉพาะในวันที่เธอต้องไปทำหน้าที่พิธีกรในงานอีเวนต์งานหนึ่งที่จัดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง ข้อความในทำนองที่ว่าเดินผ่านกลุ่มคนเสื้อแดงแล้วรู้สึกหวาดกลัวได้สร้างความขุ่นข้องแก่มวลชนคนเสื้อแดงถึงขนาดที่ต้องเอาปากกาสีแดงกากบาททับศีรษะของกาละแมร์เอาไว้ว่านับตั้งแต่นี้จะไม่ขอเผาผีเธออีกต่อไป
       
       และก็เป็นไปตามนั้น เพราะนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไม่ว่า “กาละแมร์”จะทำอะไร คนเสื้อแดงก็มักจะมีเรื่องให้ติติงวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางลบเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเขียนคอลัมน์ชายตาหาข้าวเปลือกในมติชนสุดสัปดาห์ เพราะเธอเป็นคอลัมนิสต์เซเลบเพียงรายเดียวที่กล้าแหกคอกวิจารณ์แดง ในขณะที่คอลัมนิสต์ในหน้าใกล้เคียงอย่าง “คำ ผกา” พยายามเขียนเชลียร์คนเสื้อแดงจนกระดาษเปรอะน้ำลาย ส่วน “ทราย เจริญปุระ” ที่พยายามสร้างภาพว่าเป็นสายลมและแสงแดดก็สนับสนุนคนเสื้อแดงอย่างไม่มีเหนียมอายเช่นกัน
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่าเพราะ 'ชื่อเสียง' ของกาละแมร์อย่างแท้จริงที่ทำให้เธอยังเขียนคอลัมน์ที่มีเนื้อหาไม่สอดคล้องไปในทางเดียวกับผู้บริหารมติชนได้เช่นนี้ มิหนำซ้ำเนื้อหาส่วนใหญ่ในคอลัมน์ของเธอก็เบาหวิวล่องลอยจนแทบจะจับสาระไม่ได้
       
       จนกระทั่งในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับที่ 8 - 14 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ที่ “กาละแมร์” ก็เจอดีเข้าให้ เมื่อเธอใช้พื้นที่ในคอลัมน์ของตัวเองเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงว่าที่นายกรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ด้วยเนื้อหาในทำนอง 'เสนอปัญหา' ให้ว่าที่นายกฯ รับไปพิจารณาแก้ไข แต่การณ์กลับกลายเป็นว่ามวลชนคนเสื้อแดงที่ไม่ชอบขี้หน้าพิธีกรสาวรายนี้อยู่แล้วกลับเป็นเดือดเป็นร้อนแทน “นายหญิงคนใหม่” ของพวกเขา!!
       
       เนื้อหาในจดหมายฉบับนี้ “กาละแมร์” ออกตัวว่าขอเสนอปัญหาให้ว่าที่นายกฯ หญิงรับไปพิจารณา ในฐานะที่เธอทำงานด้านสื่อสารมวลชนซึ่งข้องเกี่ยวกับผู้หญิงและเด็กมาโดยตลอด โดยปัญหาเรื่องแรกที่กาละแมร์พูดถึงก็คือความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในสังคมไทย ซึ่งเธอบอกว่าปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานและระบบการจัดการที่จริงจังเด็ดขาดพอ อีกทั้งโทษที่จะนำมาจัดการกับผู้กระทำผิดต่อผู้หญิงก็เบาโหวงจนไม่ทำให้คนร้ายเข็ดขยาดหวาดกลัว
       
       เรื่องที่สองกาละแมร์ขยับเข้าไปสู่ปัญหาของผู้หญิงในครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องการถูกทำร้ายร่างกายจากผู้ที่เป็นสามี ส่วนเรื่องที่สามคือการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้หญิงที่รับบทบาทหน้าที่หลายอย่างทั้งทำงานนอกบ้าน ในบ้าน เป็นทั้งภรรยา แม่ และคนทำงาน ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็เป็นปัญหาคุณภาพชีวิตของเด็ก คุณภาพชีวิตของสัมมาอาชีพครู และสุขภาพโดยรวมของประชาชน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลหากอ่านด้วยสายตาเป็นกลางก็น่าจะเห็นว่าเป็นความปรารถนาดีที่พิธีกรสาวรายนี้มีต่อผู้หญิง เด็ก และสังคม
       
       แต่คนเสื้อแดงหลายรายบอกว่าพวกเขามองเห็น 'เสียงกระแหนะกระแหน' ที่ซ่อนมากับจดหมายฉบับนี้ ซึ่งคนเหล่านั้นก็นั่งไม่ติดออกโรงวิพากษ์วิจารณ์ “กาละแมร์” อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ที่ดุเดือดที่สุดคงจะเป็น “หญิงนิรนาม” รายหนึ่งที่ขออนุญาตนายหญิงตอบจดหมายกาละแมร์ด้วยตัวเองชนิดสัตว์เลื้อยคลานปลิวว่อนเลยทีเดียว
       
       คลิปเสียงที่ถูกปล่อยลงเว็บไซต์ยูทูบใช้ชื่อว่า “ Re จดหมายกาละแมร์ถึงคุณยิ่งลักษณ์” เป็นคลิปที่มีความยาวเพียงสองนาทีกว่าๆ แต่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรงของหญิงนิรนามที่พูดถึงจดหมายเปิดผนึกฉบับดังกล่าวในทำนองพูดไปด่าไป หญิงนิรนามบอกว่าขออนุญาตคุณยิ่งลักษณ์ตอบจดหมายของกาละแมร์ ซึ่งทุกๆ การกล่าวถึงชื่อของพิธีกรสาวจะมีสรรพนามเสริมทั้งสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ธรรมดา ไปจนถึงคำด่าทั้งรูปธรรม นามธรรมทั้งหลายติดมาด้วยเสมอ
       
      จับใจความได้เพียงแค่ว่า “หญิงนิรนาม” อ้างว่า “กาละแมร์” จงใจกระแหนะกระแหนคุณยิ่งลักษณ์ของเธอ โดยเนื้อหาที่ทำให้หญิงนิรนามเป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุดอยู่ที่เรื่องสี่ที่กาละแมร์เสนอต่อว่าที่นายกฯ ซึ่งเธอขึ้นต้นเรื่องดังกล่าวว่า “เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องท้าทายสังคมไทยมาก แต่ถ้าทำได้ มันจะเป็นการปฏิวัติประวัติศาสตร์ชาติไทยเลยทีเดียว” จากนั้นกาละแมร์ก็บรรจงเน้นข้อความต่อไปว่า “ท่านมีนโยบายอย่างไรกับผู้ชายที่มีเมียน้อยคะ”
       
       เนื้อหาดังกล่าวไปโดนต่อมอะไรบางอย่างของหญิงนิรนามจนถึงกับเดือดพล่าน ต้องออกโรงด่ากาละแมร์แบบสาดเสียเทเสีย โดยที่ไม่ได้พูดให้เคลียร์ว่าเพราะเหตุใดหญิงนิรนามจึงรู้สึกว่ากาละแมร์จงใจเสียดสีนายหญิงของเธอ เพียงแต่พูดย้ำๆ ซ้ำๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า “กาละแมร์กวนเท้า” และ “จงใจกระแหนะกระแหน” คุณยิ่งลักษณ์ของเธอ
       
       จากนั้นเนื้อหาสาระของหญิงนิรนามที่ออกตัวว่าขอตอบจดหมายก็วนไปวนมาอยู่ที่ว่า กาละแมร์ไม่ยอมปล่อยให้ว่าที่นายกหญิงฯ ทำหน้าที่ก่อน การเขียนจดหมายเช่นนี้ถือเป็นการจงใจดิสเครดิตยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย โดยหญิงนิรนามเน้นว่าตอนนี้ยิ่งลักษณ์ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกฯ และถ้าได้รับการโปรดเกล้าฯ เมื่อไหร่ นายกฯ คนนี้ก็จะให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาที่กาละแมร์เสนอมาเอง นอกจากนั้นก็เต็มไปด้วยคำด่าว่าวนไปวนมาในลักษณะ 'อารมณ์ขึ้น' ชนิดที่เรียกได้ว่าแทบไม่มีสติเลยทีเดียว(อ่าน 'Re จดหมายกาละแมร์ถึงคุณยิ่งลักษณ์' ตอนท้าย)
       
       นอกจากหญิงนิรนามแล้ว คนเสื้อแดงรายอื่นๆ ก็เป็นเดือดเป็นร้อนต่อจดหมายของกาละแมร์ไม่แพ้กัน บางคนบอกว่า “กาละแมร์” ไม่มีสิทธิและศักดิ์ศรีเพียงพอที่จะมาเขียนจดหมายคุยกับว่าที่นายกฯ โต้งๆ เช่นนี้ เพราะภาพลักษณ์ของเธอเป็นเพียงพิธีกรฝีปากกล้าที่คุยแต่เรื่องผัวๆ เมียๆ และเรื่องในวงการบันเทิงเท่านั้น บางคนบอกว่าในตอนที่อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ กาละแมร์ไม่เคยออกมาเรียกร้องอะไรเลยแม้แต่เรื่องเดียว แต่พอยิ่งลักษณ์กำลังจะเข้ามารับตำแหน่งเธอก็ออกมาเรียกร้องเหยงๆ เช่นนี้ซึ่งพวกเขาบอกว่าเป็นสองมาตรฐาน ซึ่งบางคนฟันธงไปว่ากาละแมร์จงใจเกาะกระแสขอโด่งดังด้วยจดหมายที่สื่อสารไปหาว่าที่นายกฯ รายนี้
       
       ส่วนอีกหลายคนก็นำเสียงเหน็บแนมที่กาละแมร์ทิ้งเอาไว้ในบรรทัดสุดท้ายของจดหมายฉบับนี้ที่ว่า “อ้อ! น้องๆ ฝากบอกมาเยอะมากว่า อย่าลืม Ipad ของพวกเขาด้วยค่ะ” มาโจมตี หลายคนบอกว่ากาละแมร์โชว์โง่เพราะนโยบายของพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะแจกแท็บเล็ตแก่เด็กๆ ซึ่งแท็บเล็ตไม่ใช่ไอแพด นั่นเป็นจุดเล็กๆ ที่หลายคนหยิบมาด่ากาละแมร์ว่าโง่ได้อย่างถึงพริกถึงขิง
       
       จนกระทั่ง “คำ ผกา” คอลัมนิสต์ในมติชนสุดสัปดาห์อีกรายออกโรงมาให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์กระทบ “กาละแมร์” เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการสัมภาษณ์เชลียร์ยิ่งลักษณ์ตามสไตล์ของเธอโดยครั้งนี้ผู้หญิงซึ่งแสดงตัวว่าเป็นเฟมินิสต์มาโดยตลอดจงใจต่อต้านความเป็นเฟมินิสต์ซะดื้อๆ และหลังจากที่มีนักวิชาการและเฟมินิสต์บางคนออกโรงวิพากษ์ยิ่งลักษณ์ว่าเป็นนายกฯ ผู้หญิงแท้ๆ แต่กลับไม่มีนโยบายเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชัดเจนว่า “ดิฉันของลาออกจากการเป็นเฟมินิสต์มาเป็นคนค่ะ”
       
       เป็นการไหลเปลี่ยนสถานะที่ “คำ ผกา” ถือครองจนแทบจะกลายเป็นยี่ห้อของเธอแบบดื้อๆ เพียงเพราะว่านโยบายของ “คำ ผกา” ในวันนี้คือการทำทุกอย่างที่จะสนับสนุนยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง
       
       “ดิฉันไม่มีอะไรจะตำหนิคุณยิ่งลักษณ์ในเรื่องนี้เพราะคุณยิ่งลักษณ์ไม่เคยกล่าวอ้างว่า ตัวเองเป็นเฟมินิสต์ คุณยิ่งลักษณ์ไม่เคยพกเอาเพศเชิงการเมืองเข้ามาหาเสียง she did not politicize her gender เธอชัดเจนว่าเธอเข้ามาเพราะครอบครัวของเธอเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะเข้ามาทำงานการเมือง เธอประกาศชัดเจนว่า ครอบครัวของเธอเป็นหนี้ประชาชน” “คำ ผกา” กล่าวไว้เช่นนั้น
       
       ท้ายที่สุด “ฮีโร่” ของคนเสื้อแดงอย่าง “คำ ผกา” ก็ยังคงสวยและฉลาดในสายตาของพี่น้องเสื้อแดงต่อไป ส่วนผู้หญิงโง่ที่ชื่อ “กาละแมร์” ซึ่งใช้พื้นที่ของตัวเองเขียนจดหมายซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่อาจจะลงความเห็นชี้ชัดไปได้ว่าเธอ 'จงใจ' ใช้พื้นที่ดังกล่าวเพียงเพื่อการกระแหนะกระแหนว่าที่นายกฯ จริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือตอนนี้อารมณ์ความรู้สึกที่คนเสื้อแดงมีต่อเธอเป็นไปในทางลบเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าอนาคตของพิธีกรอย่าง “กาละแมร์” จะเป็นอย่างไรหากคนเสื้อแดงร่วมมือกันบอยคอตเธออย่างจริงจังขึ้นมา
       
       ที่มา นิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 96 วันที่ 6-12 สิงหาคม 2554
       …..........................................................................
       
       คอลัมน์ ชายตาหาข้าวเปลือก โดย กาละแมร์ พัชรศรี
       จดหมาย ถึง นายกฯหญิง
       
       ถึง … นายกฯหญิงคนแรกของเมืองไทย ขอแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่และคะแนนเสียงที่ได้รับด้วยค่ะ ถือว่าเป็นมิติใหม่ในวงการการเมืองประเทศไทยที่ทั้งต่างประเทศและคนในประเทศต่างจับตามอง ยังไงก็ขอให้กำลังใจในการทำงานในหน้าที่อันหนักหน่วงนี้ด้วยนะคะ
       
       และขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้เขียนจดหมายถึงท่านในฐานะสื่อมวลชนที่ทำงานเกี่ยวกับผู้หญิงและเด็กมาโดยตลอดและในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งนะคะ
       
       เรื่องที่เป็นปัญหาของผู้หญิงที่ถูกมองข้าม ละเลย และอยากให้ความสนใจมีหลายเรื่องด้วยกันค่ะ อย่างเช่น
       
       จะทำอย่างไรให้ปัญหาการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง ข่มขืน ลวนลามผู้หญิงลดลงหรือหมดไป เพราะทุกวันนี้การทำงานในแต่ละองค์กรหรือหน่วยงานมันไม่สอดประสานกันน่ะค่ะ มูลนิธิบางแห่งตั้งใจทำงานเพื่อผู้หญิงมาก แต่พอไปถึงภาครัฐกลับไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร อยากให้แก้เรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะทุกวันนี้ผู้หญิงต้องพยายามดิ้นรน เอาตัวรอด และหาวิธีดูแลตัวเองกันเอง ผู้หญิงโดนแอบถ่าย คนทำโดนปรับแค่ 500 บาท และอย่างข้าราชการผู้น้อยที่ถูกลวนลามโดยหัวหน้างาน หรือผู้บังคับบัญชา กลับเอาผิดไม่ได้ และไม่สามารถมีปากเสียงได้ ต้องกล้ำกลืนฝืนทนมากค่ะ
       
       ถ้าอย่างนั้นขอฝากถึงในครอบครัวด้วยนะคะ ผู้หญิงในประเทศไทยถูกสามีทำร้ายร่างกายเยอะมาก คนเป็นเมียก็ไม่อยากให้ผัวติดคุกหรอกค่ะ เพราะเขาก็รักและไหนต้องเลี้ยงครอบครัวอีก แต่จะมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้ครอบครัวไทยมีคุณภาพมากขึ้น ดิฉันว่าท่านนายกฯ น่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้เป็นพิเศษเพราะในฐานะภรรยาและแม่ ดิฉันอยากให้เน้นเรื่องของครอบครัวให้มากๆ มันอาจเป็นจุดเล็กของสังคม ถึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่าง เศรษฐกิจ การเมือง การทหาร แต่มันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและสำคัญที่สุด และนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ในสังคมค่ะ
       
       ผู้หญิงทุกวันนี้รับบทบาทหนักมากขึ้นทุกวัน เรื่องนี้ท่านนายกฯ คงประจักษ์มากที่สุด ดังนั้น เราควรเพิ่มค่าตอบแทนหรือสวัสดิการที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพวกเธอดีไหม เธอเป็นทั้งเมีย ทั้งแม่ แล้วไหนต้องออกมาทำงานอีก อยากให้เข้าไปดูกฎหมายการลาคลอด ให้เธอได้อยู่กับลูกนานอีกสักหน่อยโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเดือนที่หายไปกับตำแหน่งที่หลุดลอย (บางคนต้องปั๊มน้ำนมอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเองโดยใช้ผ้าคลุมไว้เพราะลุกออกจากโต๊ะไม่ได้เลย) ไม่อย่างนั้นต่อไปจะไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากตั้งครรภ์อีกต่อไป เพราะเรื่องเหล่านี้บอกผู้ชายอาจไม่เข้าใจหรือนึกไม่ถึง
       
       เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องท้าทายสังคมไทยมาก แต่ถ้าทำได้ มันจะเป็นการปฏิวัติประวัติศาสตร์ชาติไทยเลยทีเดียว “ท่านมีนโยบายอย่างไรกับผู้ชายที่มีเมียน้อยคะ” ที่ผ่านมา ไม่เคยมีรัฐบาลภายใต้การนำโดยนายกฯ ผู้ชายทำอะไรกับเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมเลย ถึงมันจะเป็นกฎหมายหรือนโยบายให้เห็นเป๊ะๆ เลยยาก แต่อย่างน้อยก็ขอให้ท่านสร้างค่านิยมผัวเดียวเมียเดียวให้สังคมไทยได้ตระหนักและสำนึกให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นคนจะเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาและกล้าทำผิดเรื่องนี้มากขึ้นทุกวัน ส่วนปัญหาเราคงไม่ต้องพูดถึง ท่านเป็นผู้หญิง เรื่องนี้ลูกผู้หญิงซึ้งอยู่เต็มอก จริงไหมคะ
       
       มาถึงเรื่องเด็กบ้างค่ะ ทุกวันพ่อแม่น่าสงสารมากในการหาที่เรียนให้ลูก และเด็กทุกวันนี้ก็เครียดมาก วันๆ อัดแต่วิชาการเพื่อสอบเข้าให้ได้ในทุกช่วงวัยของชีวิต อยากให้ท่านเข้าไปดูระบบการศึกษาและหลักสูตรอย่างจริงจังค่ะ พัฒนาให้ทันสมัยและเอาไปใช้ได้จริงในชีวิต ถ้าเด็กไทยยังมัวแต่ท่องๆๆ แล้วเอาไปสอบๆๆ คุณภาพอนาคตของชาติมันจะอยู่ตรงไหนคะ อยากให้มีแผนนโยบายที่จะพัฒนาเด็กและเยาวชนที่เอาไปใช้ได้จริงและทันสมัย เป็นรูปธรรม เด็กต้องได้กินอิ่ม มีที่เรียน มีอุปกรณ์การเรียนแม้ในที่ห่างไกล มีหลักสูตรให้เด็กได้พัฒนาตัวเอง ได้ค้นหาตัวเองเจอ และได้เรียนวิชาชีวิตที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตต่อไปและเน้นคุณธรรมในชีวิตด้วย
       
       ถ้าพูดถึงเด็กก็ต้องพูดถึงครูด้วย ดิฉันว่าครูสำคัญรองจากพ่อแม่ เด็กอยู่กับครูเท่ากับ 1 ใน 3 ของชีวิต แต่ทุกวันนี้เราไม่ให้ความสำคัญกับอาชีพครู ให้คุณค่าน้อย ให้ค่าตอบแทนต่ำ ไม่มีแรงจูงใจทำงาน โรงเรียนอยู่ห่างไกลทั้งโรงเรียนมีครูอยู่ไม่กี่คน เงินเดือนได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้ายกระดับอาชีพที่ต้องสร้างคนให้เป็นคนขึ้นมา มันจะดีต่อคุณภาพชีวิตของคนในประเทศนั้น และยังเป็นการช่วยลดปัญหาในประเทศได้อีกทาง ซึ่งก็จะทำให้ท่านนายกฯ แก้ปัญหาน้อยลงไปเรื่องหนึ่งด้วยค่ะ
       
       อีกเรื่องที่อยากจะฝากไว้คือ สุขภาพของประชาชนค่ะ อาจเป็นเรื่องที่ดูไม่สำคัญ แต่นี่เป็นปัญหาที่ทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการค่ารักษาคนเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่เป็นเรื่องใกล้ตัวของคนที่สุด การเป็นผู้หญิงทั้งในฐานะภรรยาและแม่ ดิฉันว่าท่านก็คงเป็นห่วงคนในครอบครัวของท่านเช่นกัน อยากให้เขาอยู่ดีมีสุขไม่เป็นโรคภัย เพราะฉะนั้น ถ้าเราให้ความสำคัญและรณรงค์ให้คนลุกขึ้นมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น รวมถึงรัฐได้เอื้ออำนวยความสะดวกด้านการออกกำลังกาย จัดสถานที่ มีลานกิจกรรมที่ได้มาตรฐานทันสมัย มีเลนจักรยานเพิ่มความปลอดภัย หรือใส่ใจในเรื่องอาหารการกิน ดิฉันว่าถ้าวันหนึ่งคนไทยกลายเป็นคนที่แข็งแรง มีสุขภาพจิตที่ดี มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
       วันนั้นน่าจะเป็นวันที่ท่านได้ยิ้มอย่างภาคภูมิใจและนานาประเทศคงได้ชื่นชมในสิ่งที่ท่านทำด้วยแน่ๆ
       สุดท้ายนี้ดิฉันขอเอาใจช่วยให้ท่านนายกฯ ทำงาน ทำงานเพื่อประเทศชาติด้วยความตั้งใจจริงและคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ คนส่วนใหญ่เลือกท่านแล้วก็หวังจะเห็นประเทศชาติของเราเดินไปข้างหน้า และนำความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง
       
       งานหนักคงรอท่านอยู่ข้างหน้า ขอขอบคุณในความเสียสละที่ท่านจะทำเพื่อประเทศชาติ ตราบนี้ต่อไป ขอให้มีกำลังกายและกำลังใจที่เข้มแข็ง นายกฯ ที่ผ่านๆ มาทำงานหนักจนหน้าตาร่วงโรยไปอย่างรวดเร็ว ในฐานะผู้หญิงก็ขอให้ท่านอย่าได้ละเลยการดูแลตัวเองด้วยนะคะ
       
       อ้อ! น้องๆ ฝากบอกมาเยอะมากว่า อย่าลืม Ipad ของพวกเขาด้วยค่ะ
       
       ด้วยความเคารพอย่างสูง
       กาละแมร์ค่ะ
       ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 8 ก.ค.2554
       
       ------------------------------
      Re จดหมายกาละแมร์ถึงคุณยิ่งลักษณ์
       เดี๋ยวขอตอบทวิตเตอร์ของอี...นี่ก็แล้วกัน อีกาละแมร์ที่มากระแหนะกระแหนคุณยิ่งลักษณ์เนี่ย ทั้งที่คุณยิ่งลักษณ์ ตอนนี้ว่าที่นายกฯ นะคะ ยังไม่เต็มตัว อี...เนี่ย ไอ้คนในสังคมที่ทำรายการโคตร...อะไรก็ช่าง มึงฟังนะอีกาละแมร์ เดี๋ยวกูจะตอบให้มึงเองนะ มึงเขียนของมึงมา เขียนหาคุณยิ่งลักษณ์นะ มันมีข้อนึงที่บอกว่า เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องท้าทายสังคมไทยมาก แต่ถ้าทำได้มันจะเป็นการปฏิวัติประวัติศาสตร์ชาติไทยเลยทีเดียว ท่านมีนโยบายอย่างไรกับผู้ชายที่มีเมียน้อย ที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาลภายใต้การนำโดยนายกฯ ผู้ชายทำอะไรเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมเลย อี...ดิฉันอ่านมาหลายอย่างเนี่ยนะ อ่านมาทั้งจดหมายของอี...เนี่ยนะคะ ดิฉันพูดได้เลยค่ะว่าอี...นี่มันกวน...ค่ะ กวน...ที่จะดิสเครดิตคุณยิ่งลักษณ์ กระแหนะกระแหนคุณยิ่งลักษณ์ค่ะ อีกาละแมร์อี.................มึงทำไมไม่ให้คุณยิ่งลักษณ์เขาเป็นนายกฯ ก่อน อี... แล้วเขาจะจัดหน่วยเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ทำเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ใช่ตอนนี้มึงใช้สื่อใช้อะไร ส้น... มึงใช้คนของมึงเนี่ยเที่ยวดิสเครดิตพรรคเพื่อไทย เที่ยวดิสเครดิตคุณยิ่งลักษณ์เนี่ย ด้วยคำถามโง่ๆ ใช้สื่อโง่ๆ เดี๋ยวกูจะตอบให้มึงอย่างหมาๆ นี่แหละอี...แหม มาถามได้เรื่องผัวมีเมียน้อย อี.......... มึงเน่านัก สมองมึงเน่านัก มึงไปกราบ …............ แล้วมุด...หมา …......... ไปตายซะ อีกาละแมร์ …..............เดี๋ยวกูจะตอบมึงแบบ..... อย่างนี้อี...ตอนนี้ใช้สื่อ... ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยเนี่ย ดูแล้วเป็นพรรคที่ไม่น่าเชื่อถือ ดูแล้วไอ้นายกฯ ไม่น่าจะมาบริหารงานได้ อี... อีกาละแมร์ อี... อีส้น...เนี่ย อีชาติ... มึงก็เป็นผู้หญิง มึงไม่หุบปากมึงซะก่อน ให้คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ซะก่อน เดี๋ยวเขาจะจัดสรรเจ้าหน้าที่มาจัดการจัดปัญหาเป็นหน่วยงาน เป็นหน่วยงานไป แหม เรื่องผัวมีเมียน้อย อี... มึงไปถามอีชูวิทย์ อี... มึงไปถามไอ้ชูวิทย์นะ เดี๋ยวไอ้ชูวิทย์ตอบให้มึงได้นะ เจ้าพ่ออ่างนะอี... อีกาละแมร์ อีชาติ...
       
       ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=3OzZoL_e9qM
       Uploaded by PeopleNeverSmile on Jul 12, 2011
 

 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #466 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2554, 10:52:56 »

การเมือง : บทวิเคราะห์
วันที่ 8 สิงหาคม 2554 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


'ครม.อำมาตย์'วงแตก เมื่อ'ทักษิณ'หักหลังปรองดอง
โดย : นิภาวรรณ แก้วรากมุกข์




'

จุดเปลี่ยนสำคัญที่พ.ต.ท.ทักษิณผิดเงื่อนไขกับกลุ่มว่าที่รัฐมนตรีคนนอกสายอำมาตย์ เริ่มจากผิดข้อตกลงเรื่องรมต.4 กระทรวงหลักและแนวทางปรองดอง

 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าเรื่องการจัดโผคณะรัฐมนตรี(ครม.)ครั้งหลังสุด เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2554 ในวันที่เธอได้รับเสียงโหวตจากส.ส.ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 28 ของประเทศไทย โดยระบุว่า จะพยายามอย่างเร็วที่สุด ไม่เกินภายในอาทิตย์นี้ จะชัดเจนขึ้น

ทว่าสถานการณ์จริง นายกฯยิ่งลักษณ์ ก็คงไม่รู้ว่าโผครม.ที่นายกฯดูไบ จัดทำอยู่นั้น จะเสร็จพร้อมเสิร์ฟให้เธอเมื่อไหร่

 ในเมื่อวันนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากแผนเดิม ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพี่ชายของเธอวางไว้ เนื่องจากแคนดิเดทรัฐมนตรีคนนอก ในกระทรวงหลักสำคัญ ที่เคยตกลงกันไว้ล่วงหน้า ได้ทะยอยขอถอนตัวออกไปหลายคน โดยเฉพาะกลุ่มที่โยงใยกับ "สายอำมาตย์"

 เริ่มตั้งแต่หัวขบวนรายแรกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทาบทามเอาไว้ก่อนการเลือกตั้ง คือ "วิชิต สุรพงษ์ชัย" ซีอีโอแบงค์ไทยพาณิชย์ ได้ถอนตัวจากแคนดิเดท รมว.คลัง ตามมาด้วย "อิสระ ว่องกุศลกิจ" ประธานกลุ่มมิตรผล ตัวแทนกลุ่มทุน"บ้านปู" ก็ถอนตัวจากแคนดิเดท รมว.พาณิชย์ ตามมาติดๆ โดยทั้งสองราย ถึงกับแจกเอกสารแถลงข่าว เพื่อแสดงความชัดเจนว่า ไม่ร่วมสังฆกรรมในครม.ชุดใหม่นี้อย่างไม่แคร์

 นายกฯดูไบ จึงมีความพยายามจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการดึงคนใหม่เข้ามาเสียบแทน โดยเฉพาะปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการมอบซองรัฐมนตรีให้กับ "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" หรือหม่อมอุ๋ย อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เสียบแทน"วิชิต" ในตำแหน่ง รมว.คลังควบรองนายกรัฐมนตรี  แต่ยังไม่ทันข้ามวัน ปรากฎว่า "หม่อมอุ๋ย" ก็ได้ขอบาย...ถอยออกไปอีกราย

 มิหนำซ้ำ เรื่องยังลุกลามไปถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)ที่เคยวางตัว ชญานินทร์ เทพาคำ ลูกชายลูกชายของ พล.ท.อัศวิน และท่านผู้หญิงสุวรี เทพาคำ อดีตนางสนองพระโอษฐ์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งเคยเป็นอดีตเลขานุการ รมว.ทส.ขณะที่ "ยงยุทธ ติยะไพรัช" นั่งอยู่ และยงยุทธนี่เอง เป็นผู้ทาบทามเข้ามา ในที่สุด ชญานินทร์  ก็ได้ถอนตัวออกไปเงียบๆ อีกราย

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ "รู้กัน" ระหว่างกลุ่มบุคคลที่ถอนตัวออกไป เนื่องจากไม่ไว้วางใจท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่บิดพลิ้วข้อตกลง ทั้งเรื่องตัวบุคคล แนวทางบริหารของรัฐบาล โดยเฉพาะแนวทางปรองดอง เนื่องจากสิ่งที่เคยพูดคุยกัน ไว้เริ่มไม่ชัดเจน

 จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำผิดเงื่อนไขกับกลุ่มว่าที่รัฐมนตรีคนนอกสายอำมาตย์ ซึ่งเคยมีข้อตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะขอมีส่วนเลือกทีมที่ทำงานร่วมกันได้ ใน 4 กระทรวงหลักสำคัญ ว่าจะมีชื่อใครเป็นรัฐมนตรีบ้าง ดังนี้

 รมว.คลัง คือ วิชิต สุรพงษ์ชัย รมว.พาณิชย์ คือ อิสระ ว่องกุศลกิจ รมว.พลังงาน ได้วางตัวประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ซีอีโอ ปตท.จำกัด มหาชน เอาไว้ และ รมว.การต่างประเทศ ได้วางตัว ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตผู้แทนการค้าไทยและอดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นลูกชาย ปรีชา พหิทธานุกร อดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ เอาไว้
 ทั้งนี้เพื่อให้ภาพลักษณ์ของ ครม.ใหม่เป็นที่ยอมรับของสังคม และมีภาพของความปรองดองในทุกระดับและทุกภาคส่วน

 แต่เอาเข้าจริง ปรากฏว่า โผ ครม.ของ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไม่เป็นไปตามหลักการและแนวทางที่เคยพูดคุยกันไว้ จึงทำให้ "วิชิต"และ"อิสระ" ถอนตัวออกไป  โดยที่ 2 รายหลัง ทั้ง "ประเสริฐ" และ "ปานปรีย์" ก็ยังไม่ได้ถูกทาบทามให้เข้ามารับตำแหน่งตามที่วางเอาไว้

 เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จึงทำให้โผครม.ที่คาดว่ามี "ดรีมทีม" ก็มีอันต้องล่มไป ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องพยายามเร่งหาคนนอกรายใหม่เข้ามาเสียบแทน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อคนนอกสืบเสาะข้อมูลรอบด้านมาได้ และพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงวางเครือข่ายคนใกล้ชิด เข้ามาอยู่ในครม.อย่างน่าสงสัยว่าจะมีวาระส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม จึงทำให้แทบไม่ใครยอมเสี่ยงเข้ามา

 ผลสุดท้ายเจ้าของพรรคเพื่อไทย ก็คงต้องใช้บริการคนในพรรค ซึ่งก็กำลังกลายเป็นเรื่อง "ป่วน" แย่งตำแหน่งกันอยู่ภายในพรรค ที่กำลังวิ่งขอตำแหน่งที่ว่างลง และยังไม่ลงตัว โดยต้องรื้อโผกันใหม่ ได้แก่ รมว.คลัง รมว.พาณิชย์ รมว.การต่างประเทศ รมว.คมนาคม รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นต้น จนส่งผลให้กระทบกับตำแหน่งในกระทรวงอื่นๆ เป็นลูกโซ่ เมื่อมีการขยับตัวบุคคลเพื่อสลับตำแหน่งกัน

 แต่การปรับขยับโผครม.รอบนี้ ว่ากันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่แจ้งให้ใครได้รับรู้ เพื่อป้องกันปัญหาทำนองเดียวกันนี้ขึ้นอีก จนกว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันนี้ (8ส.ค.2554)

คำสัญญาของ นายกฯหญิง ที่บอกว่า "ดิฉันจะตั้งใจอย่างเต็มที่ ขอให้ประชาชนให้เวลาดิฉันในการพิสูจน์และทำงาน สิ่งสำคัญเราคนเดียวคงไม่สามารถขับเคลื่อนได้ มันต้องมีทีมงานและทีมเวิร์คที่ร่วมมือกันกับทุกภาคส่วนช่วยกันผลักดันเรื่องที่จะเกิดประโยชน์กับประชาชน เชื่อว่าประชาชนจะให้โอกาสและเวลางานทุกอย่างแม้มีอุปสรรค ตราบใดที่มีความตั้งใจและพยายามเต็มที่ ดิฉันตั้งใจว่า ทุกอย่างจะรายงานให้ประชาชนทราบ" นั้น ...

 เชื่อว่า คงเป็นไปได้ยาก ตราบใดที่นายกฯของเรา ยังไม่มีอำนาจเหนือ นายกฯดูไบ อย่างแท้จริง

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #467 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2554, 21:46:54 »

'สุกำพล'รมว.ป้ายแดง!สำหรับทักษิณ'เขาไม่ธรรมดา'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม"สำหรับทักษิณ แล้ว"เขาไม่ธรรมดา"เพราะลึกกว่าเพื่อนเตรียม 10 รับมอบภารกิจ
ล้าง'เครือข่ายฐานทุนเนวิน'

 พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต หรือ "บิ๊กโอ๋" รมว.คมนาคม ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 ดูจะมีชื่อเสียงในทางการเมืองน้อย แต่สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว สนิดกันมากกว่าจะเป็นแค่เพื่อนเตรียมทหาร รุ่น 10 (ตท.10) ซึ่งเมื่อย้อนดูสายสัมพันธ์และพันธกิจนับจากนี้แล้ว ต้องถือว่ากับอดีตนายกฯนั้น"ไม่ธรรมดา"จึงไม่แปลกที่แซงหน้าตัวเต็งนายทุนของพรรคที่หวังครองเก้าอี้รมว.คมนาคมกันทั้งนั้น
 

ไม่ได้เป็นนายทุนพรรค ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง เป็นแค่นายทหาร...ดังนั้นอะไรคือคำตอบทำให้"เขา"ยึดเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม...มาดูกัน!


 "บิ๊กโอ๋"  เกิดเมื่อวันที่ 17 ส.ค.2494 จบการศึกษาจากโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ รุ่น 4 โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 10 (ตท.10) รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และจบโรงเรียนนายเรืออากาศ รุ่นที่ 17
 ตลอดชีวิตรับราชการ พล.อ.อ.สุกำพล เพิ่มพูนความรู้ในหลักสูตรต่างๆ อีกหลายหลักสูตร อาทิ โรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูง รุ่นที่ 45 โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ รุ่นที่ 29 วิทยาลัยการทัพอากาศ รุ่นที่ 29 และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 46


 ตำแหน่งสำคัญ เคยเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ, ผู้ช่วยเสนาธิการทหารอากาศ ฝ่ายยุทธการ, รองเสนาธิการทหารอากาศ, เสนาธิการทหารอากาศ และผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผู้ช่วย ผบ.ทอ.) โดยสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเรืองอำนาจ เคยวางตัว พล.อ.อ.สุกำพล ขึ้นเป็น ผบ.ทอ.เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้ ตท.10 ได้เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ (ตั้งแต่ ผบ.ทบ. - พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา, ผบ.ทร.- พล.อ.อ.กำธร พุ่มหิรัญ, ผบ.สส. - พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์)

 อย่างไรก็ดี เมื่อการเมืองพลิกผัน เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 กลุ่มนายทหาร ตท.10 ที่ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนใหญ่ถูกย้ายเข้ากรุ พ้นจากตำแหน่งคุมกำลัง รวมทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล ด้วย


 สำหรับประวัติของ "บิ๊กโอ๋" ที่มีชื่อพัวพันกับการเมือง เมื่อปรากฏเป็นข่าวช่วงปลายปี 2548 เมื่อ นายสนธิ ลิ้มทองกุล สมัยเป็นผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ แฉหลักฐานว่า พล.อ.อ.สุกำพล ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารอากาศ จัดเครื่องบินซี 130 ให้บริการแขกเหรื่อไปร่วมงานวันเกิดของน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ คนนี้เรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นเดียวกับ พล.อ.อ.สุกำพล
 ต่อมาฝ่าย พล.อ.อ.สุกำพล ชี้แจงว่าเครื่องบิน ซี 130 ที่ถูกกล่าวหา เป็นเพียงเครื่องบินเมล์ที่ต้องบินตามรอบปกติ และเพื่อนๆ ขอโดยสารไปด้วยเท่านั้น

ขณะที่บทวิเคราะห์หน้า 3ไทยรัฐ ฉบับ 10 ส.ค.2554 ระบุว่า"นอกจากความเป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10ของอดีตนายกฯทักษิณ ยังมีอะไรที่พิเศษกว่านั้น มีคนเห็นพล.อ.อ.สุกำพล บินไปนั่งกินข้าวกับนายใหญ่ที่ เบอร์จ คาลิฟาร์ ตึกสูงทีสุดในโลก กลางเมืองดูไบและได้ยินอดีตนายกฯทักษิณ เปิดตัวเพื่อนรักกลางวง "คนนี้แหละพ่อตาโอ๊ค"

 ส่วนภารกิจสำคัญของพล.อ.อ.สุกำพล ที่กำลังถูกจับตามอง..เห็นจะเป็นถูกจัดวางไว้ให้เพื่อนรักจัดการ คือ สะสางการบริหารงานกระทรวงคมนาคม ที่พรรคภูมิใจไทยทำไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มคิงพาวเวอร์ ที่ใกล้ชิดกับนายเนวิน ชิดชอบ 
 

ส่วนจะเป็นการเข้ามา"แก้ไข..ไม่แก้แค้น"หรือไม่ ไม่นานก็รู้!

 

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #468 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2554, 21:52:25 »

ทบ.รุ่น10 ต้านตั้ง"ยุทธศักดิ์"ภาพลักษณ์ไม่เคลียร์

พลเอกอำนวย ถิระชุนหะ แกนนำกลุ่มเตรียมทหาร 10 ในพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าวว่า พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหมว่า เมื่อได้ทักท้วงและให้เหตุผลต่าง ๆ ไปแล้ว แต่ไม่มีผลเราก็คงไม่สามารถที่จะไปแก้ไขอะไรได้ แต่อยากจะบอกว่ากระทรวงกลาโหมเป็นกระทรวงสำคัญและเป็นหัวใจของกองทัพ บุคคลใดจะเข้าไปบริหารหรือดูแลจะต้องบริหารจัดการกองทัพให้เป็นของประชาชนส่วนใหญ่ให้ได้ ไม่ใช่เป็นของคนส่วนน้อยเท่านั้น ไม่ทราบว่าผู้ที่มีอำนาจในพรรคเพื่อไทยกำลังคิดอะไรอยู่ แต่บอกได้เลยว่าสอบตกในเรื่องของความปรองดองสมานฉันท์อย่างเห็นได้ชัดเจน เพราะ พลเอกยุทธศักดิ์ ตกหลุมให้สัมภาษณ์ไปว่าคุ้นเคยกับบ้านสี่เสาเทเวศร์ สามารถจะเข้าออกได้ตลอดเวลามาแล้ว

พลเอกอำนวย กล่าวอีกว่า พลเอกยุทธศักดิ์ยังเคยบริหารเรื่องภาคกีฬา แต่ล้มเหลวและย่ำแย่มากด้วย นอกจากนี้ ยังไม่เคยเป็น ผบ.เหล่าทัพมาก่อน ที่สำคัญคนรอบข้างยังมีภาพลักษณ์ทหารเป็นมาเฟีย อาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวในอำนาจและอิทธิพลได้ หากผู้มีอำนาจในพรรคเพื่อไทยต้องการสงบศึกกับกลุ่มของอำมาตย์โดยใช้หลักคิดที่ว่า หากสร้างความพอใจให้กับอำมาตย์ได้แล้วจะสามารถสงบศึกได้นั้น ตรงนี้เปรียบเหมือนว่าเราซึ่งเป็นผู้ชนะในการรบนั้น แต่เมื่อรบเสร็จแล้วกลับนำอาวุธไปให้ศัตรูเพื่อหวังสงบศึก ส่วนการนำคนนอกมาเป็นรัฐมนตรีนั้นก็เปรียบเหมือนกับการหยิบชิ้นปลามันไปกิน สำหรับ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เตรียมทหารรุ่น 10 ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นั้น น่าจะเป็นการนำคนนอกเข้ามาเพื่อกวาดล้างกลุ่มผลประโยชน์ในเครือข่ายของแกนนำพรรคภูมิใจไทยบางคน

แหล่งข่าวจากภาค กทม.พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า สำหรับความเคลื่อนไหวของภาคกทม.ภายหลังจากทราบข่าวว่าพ.อ.อภิวันท์ไม่รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้ต่อสายไปหาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อขอโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีของพ.อ.อภิวันท์แทน แต่พ.ต.ท.ทักษิณปฏิเสธโดยระบุว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีที่น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ได้รับไปนั้น ถือว่าเหมาะสมกับจำนวนส.ส.ของภาคกทม.ที่ได้มาเพียง 10 คนแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจาก พ.อ.อภิวันท์ไม่รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และพ.ต.ท.ทักษิณไม่มอบโควตาดังกล่าวให้กับคุณหญิงสุดารัตน์นั้น ทำให้นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ผลักดันนางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแทน ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณก็เห็นด้วย แกนนำพรรคเพื่อไทยจึงได้เรียกนางสาวกฤษณาให้มากรอกประวัติในช่วงเช้าของวันที่ 9 ส.ค.แบบเร่งด่วน

เบื้องต้นคาดว่าน่าจะได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม ภายหลัง ส.ส.เริ่มทราบข่าวว่านางสาวกฤษณา จะได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น ต่างแสดงความไม่เห็นด้วย มองว่าที่ผ่านมานางสาวกฤษณาไม่ได้เข้ามาช่วยงานพรรคเลย แต่กลับได้เป็นรัฐมนตรี แต่ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ได้แต่เพียงแสดงความเห็นผ่านแกนนำพรรคไปเท่านั้น
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #469 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2554, 22:59:32 »

จาก นสพ.ไทยรัฐ


คราวนี้ลองมาเอ็กเรย์รายชื่อคณะรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์1” ดูบ้าง หลายคนได้เห็นชื่อแล้ว ก็ส่ายหน้าผิดหวัง ซึ่งก็ต้องเห็นใจคนที่มีอำนาจแต่งตั้งคือนายกฯยิ่งลักษณ์ที่นอกจากจะต้องฟังคนจากนอกประเทศเป็นหลักแล้ว ก็ยังต้องจัดการกับความคาดหวังของผู้คนในพรรคเพื่อไทยที่มาจากหลายกลุ่มหลายก๊วน ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องการตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งสิ้น

 นอกจากนี้ ยังต้องไปควานหาคนนอกพรรคที่มีภาพลักษณ์ดี มีความสามารถมาช่วยทำงานเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญๆ เช่น คลัง พาณิชย์และต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่า มีคนนอกพรรคหลายคนที่ถูกทาบทามแล้ว ปฏิเสธเพราะไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำงานได้อย่างอิสระเพียงใด หรือแนวทางการทำงานจะไปกันได้กับนโยบายของพรรคเพื่อไทยหรือไม่

 รายชื่อ ครม.ที่ออกมา จึงเป็นแบบ “ผิดฝาผิดตัว” เริ่มตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านเศรษฐกิจ กลายเป็นคนที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หาใช่คนที่ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจหรือควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง อย่างที่เคยปฏิบัติกันมาในรัฐบาลก่อนๆ

รัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีที่มีอยู่ 2 คน (คนหนึ่งมาตั้งแต่โผแรกๆ แต่อีกคนมาแบบส้มหล่น) ไม่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมารับหน้าที่ด้านใด เพราะคนหนึ่งเป็นจักษุแพทย์จากชัยภูมิ ส่วนอีกคนเป็นนักธุรกิจท้องถิ่นจากอุตรดิตถ์ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ตำแหน่งนี้ มักจะถูกจับตาว่าใครจะมาดูแลงานด้านสื่อมวลชนของรัฐคือ กรมประชาสัมพันธ์และ อสมท. อีกทั้งงานงานด้านกฎหมายอื่นๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ฯลฯ

ส่วนกระทรวงที่น่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด คงหนีไม่พ้นกระทรวงการต่างประเทศ เพราะถือเป็นหน้าตาของประเทศ แต่หาคนนอกที่มีภาพลักษณ์ดีมาเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ จึงกลับกลายเป็นมีรัฐมนตรีที่เจ้าตัวยอมรับเองว่าไม่ใช่งานที่ถนัด แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลปกป้องคนที่อยู่ต่างประเทศให้เดินทางไปไหนมาไหนสะดวกขึ้น จึงต้องใช้คนที่ไว้วางใจได้มากที่สุด

ขณะที่คนที่หมายมั่นปั่นมือว่าจะต้องไปดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่าง ปลอดประสพ สุรัสวดี ก็มีอันต้องไปเป็นถูกส่งไปคุมกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแทนเพราะหัวหน้ารัฐบาลไม่แน่ใจว่าถ้าให้ไปดูกระทรวงที่ต้องการแล้ว จะตกเป็นเป้าโจมตีหรือไม่

ทีนี้ ก็มาถึงกระทรวงเล็กๆที่ถูกจับตาพอสมควรนั่นคือ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ซึ่งมีภาระหน้าที่ต้องกำกับดูแลกิจการของรัฐวิสาหกิจด้านสื่อสารและโทรคมนาคมที่สำคัญและกำลังมีปัญหามากเรื่องสัญญาสัมปทาน ได้แก่ ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม ก็ได้รัฐมนตรีมาตามโควต้า ส.ส.กทม. ไม่ได้มาเพราะความเชี่ยวชาญหรือด้วยความสนใจของเจ้าตัวเอง

ทั้งหมดนี้ ยังไม่ได้พูดถึงกระทรวงอื่นๆ เช่น กระทรวงคมนาคมที่ไปเอาอดีตนายทหารอากาศที่มีความสนิทสนมกับคนต่างแดน มาเป็นเจ้ากระทรวง และกระทรวงสาธารณสุขที่เอาคนที่ไม่มีประสบการณ์เลยไปดูแลกระทรวงที่มีความสำคัญในการดูแลสุขภาพของประชาชน

สุดท้ายแล้ว แม้ว่าหน้าตาของ ครม.ชุดใหม่นี้ จะไม่ได้เป็นที่ถูกใจของทุกคน แต่ก็ต้องให้เวลาและโอกาสกับ “ครม.ยิ่งลักษณ์1” ทำงานไปซักระยะหนึ่งก่อน เพราะอย่างน้อยที่สุด เราก็มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลย์ตามระบอบประชาธิปไตยที่จะทำให้รัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้ตามอำเภอใจ

เว้นแต่ว่า รัฐบาลชุดนี้ จะไม่นำบทเรียนที่เคยได้รับในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์วัสดิ์ มาปรับใช้ในการทำงานบริหารประเทศ “เพื่อคนไทยทุกคน” อย่างที่นายกฯยิ่งลักษณ์ประกาศเป็นสัญญาประชาคมไว้ในวันที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าเป็นนายกรัฐมนตรีนั่นเอง...


ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี
http://www.twitter.com/chavarong
www.twitter.com/chavarong
chavarong@thairath.co.th
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #470 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2554, 14:08:23 »

บิ๊ก ส.อ.ท." อัด "ธีระชัย" มั่วนิ่มค่าแรง 300 เหน็บไม่ใช่ตลาดทุนที่กำไรเยอะ
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
 
 
  "บิ๊ก ส.อ.ท." เซ็งเป็ด "ธีระชัย" ไม่เข้าใจภาคการผลิต หลังบอกขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มแค่รอบเดียว ผู้ประกอบการยอมรับภาระค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจากกำไรที่ลดลงได้ โดยไม่ต้องขึ้นราคาสินค้า ลั่นไม่ใช่ตลาดทุนที่มีกำไรเยอะ หรือรายใหญ่ที่สามารถกำหนดราคาเองได้ พร้อมยืนยัน ทำต้นทุนเพิ่ม 12-16% ต้องขึ้นราคาสินค้าในอัตราเดียวกัน
       
       นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
กล่าวถึงกรณีที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกรทรวงการคลัง ระบุว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นเพียงรอบเดียว และผู้ประกอบการส่วนหนึ่งจะสามารถรับภาระค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจากกำไรที่ลดลงได้ โดยไม่ต้องขึ้นราคาสินค้านั้น ทาง ส.อ.ท.และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้ทำการสำรวจจากผู้ประกอบการแล้วพบว่า การขึ้นค่าแรงดังกล่าวทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 12-16% และส่งผ่านต้นทุนดังกล่าวไปที่ราคาสินค้าแน่นอน เนื่องจากธุรกิจในกลุ่มขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) 70-80% ที่ไม่ได้มีกำไรมากพอในการแบกรับภาระเพิ่ม
       
      "รมว.คลังมองฐานะพรรคเพื่อไทยต้องการสานนโยบายจุดนี้ เข้าใจได้ว่าเป็นคนที่มองตลาดทุนกับหุ้นตัวกำไรของธุรกิจจะเยอะมาก แต่ภาคธุรกิจที่แท้จริง (เรียลเซคเตอร์) ต้องมองหลายมิติ เริ่มตั้งแต่วัตถุดิบ กลางน้ำ ปลายน้ำ เมื่อค่าแรงขึ้นจะกระทบเป็นทอดๆ นอกจากนี้เอสเอ็มอีไทยส่วยใหญ่เป็นผู้รับจ้างผลิตต้องแข่งขันกับเพื่อนบ้าน ไม่สามารถกำหนดราคาสินค้าได้เองเช่นรายใหญ่"
       
       นอกจากธุรกิจไทยส่วนใหญ่เป็นผู้รับจ้างผลิตจะต้องแข่งขันกับตลาดเพื่อนบ้านจึงไม่สามารถกำหนดราคาสินค้าได้เองเช่นรายใหญ่ที่มีนวตกรรมขั้นสูงทำให้ราคาสินค้าแพงมีกำไรมากพอที่จะลดผลกำไรลง ขณะเดียวกันการจำหน่ายในประเทศก็จะต้องแข่งขันกับสินค้าจีนมากขึ้นหากต้นทุนสูงแล้วผลักภาระไปที่ราคาสินค้าไม่ได้ก็เท่ากับต้องปิดกิจการในที่สุด

 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #471 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554, 10:35:11 »

ยิ่งเร่งช่วย "ทักษิณ" เหมือนวางระเบิดเวลาตัวเอง
โดย : นักข่าวหมายเลข 10
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 
 เข้ามาทำงานไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ รัฐมนตรีหลายคนก็ยังไม่ได้เข้ากระทรวง แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"

จะมีเรื่องที่ทำให้คนตั้งข้อสงสัยกันเสียแล้ว โดยเฉพาะข้อสงสัยที่ว่า รัฐบาลนี้มีจุดมุ่งหมายแฝงอยู่ที่การช่วยเหลือ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"

 เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การพูดคุยระหว่าง "รัฐมนตรีล่อเป้า"อย่าง "สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" กับ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นเพื่อเปิดทางให้ "ทักษิณ" สามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้


 หรือจะเป็นเรื่องการคืน พาสปอร์ตแดง หรือ หนังสือเดินทางทางการทูต ที่ถูกเพิกถอนไปตั้งแต่รัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องนี้แว่วจากวงในว่า "รัฐบาล" ไม่ได้สั่ง แต่เป็นการเตรียมการของข้าราชการในกระทรวงเองที่  "รู้ทางลม" เตรียมการไว้รองรับก่อน หรือที่เรียกกันว่า "จัดการงานนอกสั่ง" นั่นเอง

 จริงอยู่ที่รัฐบาลนี้ มีความแนบแน่น กับ "ทักษิณ" แม้แต่ "ยิ่งลักษณ์" เองก็ถูกเรียกว่าเป็น "โคลนนิง" แต่กระนั้น รัฐบาลเองก็ต้องไม่ลืมว่า เขาเป็นรัฐบาลของประเทศไทยเช่นกัน

 และยิ่งกว่านั้นต้องไม่ลืมว่า "ทักษิณ" เป็นนักโทษหนีคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีก่อการร้าย ที่ยังไม่สิ้นสุดหรือ "คดีที่ดินรัชดา" ที่สิ้นสุดตามกฎหมายไปแล้ว ศาลมีคำพิพากษาให้ถูกจำคุกสองปี  และ "ทักษิณ" เองก็เลือกที่จะหนีคำพิพากษาออกไปอยู่ต่างประเทศ

 ในฐานะที่เป็น "รัฐ" ย่อมมีหน้าที่ต้องตามจับคนหนีคำพิพากษามาดำเนินการในประเทศไทย เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เช่นเดียวกับผู้ร้ายหนีคดีในรายอื่นๆ

 แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำในกรณีการเดินทางเข้าญี่ปุ่น คือ การไปรับรองว่าจะไม่กีดกันการเข้าประเทศอื่นของ "ทักษิณ"   

 อาจจะจริงตามที่ "สุรพงษ์" อ้างว่าเป็นการมาถามของ ทูตญี่ปุ่น เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ "รมว.การต่างประเทศ" ต้องตอบคือ "เราต้องการคนที่หลบหนีกระบวนการยุติธรรมมาดำเนินการตามกฎหมายไทย" ไม่ใช่ไปบอกเขาว่า "เราไม่ห้าม"

 เพราะการระบุเช่นนี้ เหมือนกับ "รัฐ" เป็นผู้ปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมของตนเอง ซึ่งไม่มีรัฐใดในโลกที่จะกระทำเช่นนี้ เพราะกระบวนการยุติธรรมเป็นการทำให้สังคมอยู่อย่างสงบ และอยู่ร่วมกันอย่างเป็นระเบียบ

 หากรัฐยืนยันอย่างนี้ ต่อไปใครจะเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมของเรา เพราะเราเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าเราไม่เชื่อในกระบวนการของตัวเอง

 ที่รัฐบาลควรกระทำหากเห็นว่าที่ผ่านมานั้น "ทักษิณ" ไม่ได้รับความยุติธรรมในคดีใดๆ ก็ตามคือ การพยายามพาเขากลับมาเพื่อให้พิสูจน์ทราบตามกระบวนการทางกฎหมาย ในวันที่ "พรรคเพื่อไทย" อยู่ในอำนาจอย่างสมบูรณ์  และไม่มีใครที่จะเข้ามแทรกแซงหรือบิดเบือนรูปคดีได้

 ยิ่งไปกว่านั้น หากพรรคเพื่อไทย จำต้องทำหน้าที่แฝง พา "ทักษิณ" กลับบ้านจริง ก็น่าที่จะเดินหน้าทำงาน ตามนโยบายที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนเมื่อครั้งหาเสียงให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง  เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลเสียก่อน มิเช่นนั้นก็ไม่ยากที่จะถูกมองว่า "เข้ามาก็ไม่ทำอะไรนอกจากช่วยพี่ตัวเอง"

 หากเป็นเช่นนั้น กระแสและความรู้สึกของสังคมเองก็จะเป็นตัวพิพากษาเองว่า รัฐบาลนี้ควรจะอยู่หรือไป

 งานนี้จึงเป็นสิ่งที่ทั้งรัฐบาล และ "ยิ่งลักษณ์" จำต้องคิดให้หนักว่าการยิ่งเร่ง หรือแสดงความช่วยเหลือโดยลืมคำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม แทนที่จะเป็นการช่วย ยิ่งกลับจะกลายเป็นการทำลายเสียมากกว่า จนจะกลายเป็นเหมือนกับการวางระเบิดเวลาตัวเอง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #472 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2554, 08:57:08 »

รายงานพิเศษ : ย้อนรอยคดี “พจมาน-บรรณพจน์” เลี่ยงภาษีโอนหุ้น!!
 

 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 สิงหาคม
 
อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน
       
      กรณี “คุณหญิงพจมาน ชินวัตร” (ปัจจุบันนามสกุล ณ ป้อมเพชร) โอนหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น ให้ “นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์” พี่ชายบุญธรรม โดยใช้กลอุบายหลอกลวงและแจ้งเท็จเพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษี จนถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุกทั้งพี่และน้องคนละ 3 ปีโดยไม่รอลงอาญาเมื่อ 3 ปีก่อน ไม่เท่านั้นนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการคุณหญิงพจมานซึ่งร่วมอยู่ในวังวนกลอุบายดังกล่าวด้วย ก็ถูกศาลพิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญาเช่นกันแต่น้อยกว่า คือ 2 ปี ...พรุ่งนี้แล้ว(24 ส.ค.) ที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาคดีนี้ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ลองมาย้อนดูพฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยในคดีนี้กัน
       
        คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
       
       เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2540 คุณหญิงพจมาน ได้โอนหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ฯ ที่ น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี คนรับใช้ตระกูลชินวัตร ถือแทนคุณหญิงพจมาน ให้นายบรรณพจน์ จำนวน 4.5 ล้านหุ้น โดยทำทีว่า นายบรรณพจน์ซื้อหุ้นดังกล่าวจาก น.ส.ดวงตา ในราคาหุ้นละ164 บาท มูลค่า 738 ล้านบาท และแสร้งว่าเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่ต้องเสียภาษี เพียงเสียค่าธรรมเนียมแก่นายหน้า(โบรกเกอร์)เท่านั้น โดยคุณหญิงพจมานเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวไปเป็นเงินแค่ 7.38 ล้านบาท(ซึ่งหากนายบรรณพจน์ยอมเสียภาษีจากการได้รับหุ้นดังกล่าว จะต้องเสียเป็นจำนวนถึง 273 ล้านบาท)
       
       โดยเรื่องแดงขึ้นมาเมื่อมีการตรวจสอบพบว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะผู้ที่จ่ายเงินค่าหุ้น แทนที่จะเป็นนายบรรณพจน์ กลับเป็นคุณหญิงพจมาน ที่ทำทีสั่งจ่ายเช็คกว่า 700 ล้านให้ น.ส.ดวงตา แต่สุดท้าย ก็โอนเงินดังกล่าวกลับมาเข้าบัญชีตัวเอง(คุณหญิงพจมาน)ตามเดิม
       
       เมื่ออุบายที่ต้องการเลี่ยงภาษีดังกล่าวถูกจับได้ นายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมาน ก็เปลี่ยนอุบายใหม่ เพื่อให้ไม่ต้องเสียภาษีจากการโอนหุ้นดังกล่าวอีก โดยอ้างว่า การโอนหุ้นนั้นเป็นการให้ในลักษณะอุปการะ ให้โดยเสน่หาตามขนบธรรมเนียมประเพณีในโอกาสที่นายบรรณพจน์แต่งงานและมีบุตร
       
       แต่ดูเหมือนคำอ้างจะไม่แนบเนียน เพราะช่วงเวลาไม่สอดคล้องกับคำอ้าง กล่าวคือ นายบรรณพจน์แต่งงานเมื่อวันที่ 12 ม.ค.2539 และมีบุตรเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2539 แต่คุณหญิงพจมานโอนหุ้นให้นายบรรณพจน์เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2540 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากนายบรรณพจน์แต่งงานแล้วถึง 2 ปี และหลังจากนายบรรณพจน์มีบุตรแล้วถึง 1 ปี!
       
       เมื่อคำอ้างถูกรู้ทัน ทั้งนายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมานก็อ้างใหม่ว่า การโอนหุ้นดังกล่าวมีขึ้นในโอกาสที่นายบรรณพจน์มีบุตรอายุครบ 1 ปี โดยนายบรรณพจน์ เล่าเป็นฉากๆ ว่า ตนเป็นพี่ชายบุญธรรมของคุณหญิงพจมาน และช่วยเหลือกิจการของคุณหญิงพจมานจนมีความเจริญก้าวหน้า กระทั่งปี 2538 คุณหญิงพจมาน สนับสนุนให้ตนมีครอบครัว และดำริจะมอบของขวัญให้แก่บุตรของตนซึ่งมีอายุครบ 1 ปีในปลายปี 2540 ด้วยการมอบหุ้นให้ 4.5 ล้านหุ้น ตนจึงเข้าใจโดยสุจริตว่า เป็นการให้โดยเสน่หาตามธรรมเนียมประเพณีและธรรมจรรยาของสังคมไทย
       
       ขณะที่คุณหญิงพจมาน ก็บอกว่า นายบรรณพจน์เป็นบุตรบุญธรรมของบิดาตน ได้เข้ามาช่วยบริหารจัดการธุรกิจของครอบครัวตนจนมีความมั่นคงและมีทรัพย์สินจำนวนมาก เมื่อตนเห็นว่านายบรรณพจน์ควรมีครอบครัว จึงสนับสนุนให้แต่งงานกับ น.ส.บุษบา วันสุนิล เมื่อต้นปี 2539 และให้ปลูกสร้างเรือนหอในที่ดินของครอบครัวตน(ดามาพงศ์) นอกจากนี้ยังตั้งใจจะมอบหุ้นให้ในวันแต่งงาน เพื่อให้พี่น้องมีฐานะทัดเทียมกัน อย่างไรก็ตาม คุณหญิงพจมานอ้างว่า ตอนนั้นให้หุ้นไม่ทัน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เตรียมเข้าทำงานการเมือง จึงต้องจัดการเรื่องบริหารงานให้เสร็จก่อน กระทั่งบุตรชายนายบรรณพจน์ ซึ่งเกิดวันที่ 4 ธ.ค.2539 จะมีอายุครบ 1 ปี และการจัดการด้านบริหารงานของตนเสร็จสิ้นพอดี จึงยกหุ้นให้นายบรรณพจน์ 4.5 ล้านหุ้นในวันที่ 7 พ.ย.2540 เพื่อเป็นของขวัญ
       
       แต่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) และอัยการไม่หลงคารมของบุคคลทั้งสอง โดยเห็นว่า การกระทำของคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ ที่ให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จดังกล่าว เป็นเพียง “ข้ออ้าง” เพื่อให้เจ้าหน้าที่สรรพากรเชื่อว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือการให้โดยเสน่หา เนื่องในโอกาสตามขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อจะได้รับการยกเว้นภาษี การกระทำของนายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมาน จึงเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีโดยแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จหรือตอบคำถามด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และมีลักษณะใช้อุบายหรือฉ้อโกง ถือว่าเข้าข่ายความผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 37(1) และ (2) ประกอบมาตรา 83 และ 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้เงินภาษีอากรและเบี้ยปรับกว่า 546 ล้านบาท(2 เท่าของยอดเงินที่ต้องเสียภาษี คือ 273 ล้าน)
       
       ด้านนายอรรถพล ใหญ่สว่าง เมื่อครั้งยังเป็นโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด บอกว่า ความผิดข้อหาดังกล่าวมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน-7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-200,000 บาท และว่า หากศาลพิพากษาว่าผิดจริงและลงโทษเต็มอัตรา คุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์จะต้องได้รับโทษ 2 เท่า คือจำคุกสูงสุด 14 ปี และปรับสูงสุด 4 แสนบาท
       
       อย่างไรก็ตาม แม้ศาลอาญาจะไม่ได้พิพากษาลงโทษคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์แบบเต็มอัตรา โดยพิพากษาจำคุกคนละ 3 ปี แต่ต้องถือว่าเป็นโทษที่หนัก เพราะไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสาม(คุณหญิงพจมาน-นายบรรณพจน์-นางกาญจนาภา) เป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรง ดังคำพิพากษาตอนหนึ่งว่า “จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยที่ 2(คุณหญิงพจมาน) เป็นภริยาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนภาษีอากรที่จำเลยที่ 1(บรรณพจน์) จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองดีทุกคน จึงมิได้มีผลกระทบต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรง”
       
       จะไม่ร้ายแรงได้อย่างไร ในเมื่อการกระทำของบุคคลทั้งสาม เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้จากเงินภาษีอากรตั้งหลายร้อยล้านบาท

       
       น่าลุ้นอย่างยิ่งว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันพรุ่งนี้(24 ส.ค.) จะออกมาอย่างไร? บทสรุปของคำพิพากษาจะทำให้ผู้ที่ชอบเลี่ยงภาษีได้ใจ “ให้ถ้อยคำเท็จ” ก็ให้ถ้อยคำใหม่ได้เรื่อยไป เหมือนกับ “ติ๊กผิด” ก็ติ๊กใหม่ได้ดังกรณีวุ่นๆ เรื่องหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน และลูกๆ หรือควรจะจบแบบ “ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง” อีกต่อไป เพราะใครก็ตาม ลำพังเอาเปรียบเพื่อนร่วมชาติด้วยการหลบเลี่ยงการเสียภาษี ก็สะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่รักชาติมากพออยู่แล้ว ถ้าถึงขนาดกล้าออกอุบาย-หลอกลวง-ตบตาใครต่อใครด้วยสารพัดวิธี เพื่อให้ตนหรือเครือญาติไม่ต้องเสียภาษีด้วยแล้ว เรายังสมควรจะเพิกเฉยต่อการกระทำของบุคคลแบบนี้ราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?

 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #473 เมื่อ: 26 สิงหาคม 2554, 10:00:55 »

ประเทศไทยไม่ต้องหันหน้าปรองดอง ..... ปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น



        "ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล" ทวิตโต้ "ทักษิณ" ...
        ประเทศไทยไม่ต้องหันหน้าปรองดอง ปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น


        "ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล" ทวิตโต้"ทักษิณ"พูดดี แต่กลับมาชี้แจงในไทยดีกว่า

        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้น ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล
        นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัญ
        และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ส่งข้อความผ่านระบบทวิตเตอร์ หลังจาก
        พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
        ส่งข้อความผ่านระบบทวิตเตอร์เช่นกัน ระบุว่า

        "ประเทศไทยไม่ต้องหันหน้าปรองดองกับคุณทักษิณหรอก
        ปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้นก็พอ คุณทักษิณ และผู้สนับสนุน ถูกศาลตัดสินว่า
        ผิดก็ต้องกลับมารับโทษ คุณทักษิณ พวกเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อดำ
        หรือใครก็ตาม ไม่สามารถจะขอปรองดองกับศาลยุติธรรมได้ มีแต่ขอสู้คดี
        และยอมรับผลการตัดสินคดี ตามกฎหมาย คุณทักษิณไม่ต้องขอหันหน้ามาคุยกับใคร
        เดินทางกลับมารับโทษและทำกิจกรรมทางการเมืองตามอุดมการณ์ของคุณ
        หากทำได้ก็จะเป็นคนที่สมบูรณ์รู้จักรับผิด

        พวกเสื้อแดงและพรรคไทยรักไทยที่ไม่ได้กระทำผิดควรเริ่มสร้างฐานการเมืองและทำกิจกรรมพรรคเชิง
        สร้างสรรค์
        หาความรู้ ฝึกอบรมอุดมการณ์ประชาธิปไตยใหม่
        บรรดาส.ส.พรรคไทยรักไทย/เพื่อไทย
        ควรหาความรู้เรื่องประชาธิปไตยและฝึกฝนตัวเองให้ทันสมัยและมีวัฒนธรรมในการเป็นนักการเมือง
        พูดจาอภิปรายให้งดงาม
        คุณทักษิณมีฐานมวลชนมากมายแต่ไม่สร้างมวลชนให้มีคุณภาพในเชิงความรู้ความคิด
        เอาแต่สั่งสมอารมณ์รุนแรงไร้หลักประชาธิปไตยแล้วจะเป็นคนดีได้อย่างไร

        "คุณทักษิณจะกล่าวว่าข้อมูลใครผิดใครถูก
        ใครมอมเมาข้อมูลใครอย่างไรก็พูดไป คนที่รู้ข้อมูลคุณทักษิณดีก็มีมาก
        คุณทักษิณเขียนหนังสือสักเล่มซิครับ Twitter
        วันละไม่กี่ประโยคไม่สามารถให้ความจริง-จริงๆ แบบมีหลักฐานอ้างอิงได้
        อยากเห็นความกล้าหาญของคุณทักษิณในการนำเสนอความจริงแบบอ้างอิงได้ "

        "เราคนไทยด้วยกันอยากเห็นประเทศเจริญประชาชนมีสุขสถาบันฯรุ่งเรือง..
.เราเสียหายมาเยอะแล้วคนเลวกำลังได้ดี"คุณทักษิณพูดแล้วหวังว่าจะฟังตัวเองด้วย


        "ถ้าบ้านเมืองไหน...คนเลวได้ดีจนข้าราชการต้องยำเกรงเพราะมีอำนาจจัดการสั่งการได้ย่อมอันตราย.
.ขอให้ทุกฝ่ายมีสติหยุดคิด.."นี่ก็คำพูดของคุณทักษิณ


        คุณทักษิณช่างพูดดีเสียเหลือเกิน กลับมาโต้เถียงกันที่เมืองไทยดีกว่าครับ
        มีหลายอย่างที่อยากถามและโต้แย้ง ถามใน Twitter ก็ไม่เห็นเคยตอบ
        สมัยผมเป็นสมาชิกวุฒิสสภา พ.ศ.2543-2549
        เราอยากเห็นคุณทักษิณมาตอบกระทู้ในสภาเป็นกิจวัตร คุณก็ไม่มา
        มีแต่สร้างกลุ่มพวก สว.สนับสนุนคุณในวุฒิสภา ประชาธิปไตยไม่มีอะไรซับซ้อน
        เคารพสิทธิและเสียงของประชาชนทั่วหน้ากันทุกกลุ่ม
        ให้เสียงข้างมากบริหารประเทศ หากทุจริตก็ต้องรับโทษตามกฎหมายอย่าหนี
        อยากอ่านหนังสือที่คุณทักษิณเขียนเองสักครั้งเหมือน "ตาดูดาว เท้าติดดิน"
        อ่านแล้วพบว่า คุณทักษิณให้ทั้งความจริงและความไม่จริงผสมกันคนทั่วไปไม่ทราบ"

        "ไม่ต้องปรองดอง สู้กันให้แพ้ชนะตามระบอบประชาธิปไตย
        ประชาชนตัดสิน-คนทุจริตผิดกฎหมาย ศาลยุติธรรมตัดสิน ไม่เห็นลำบากอะไร
        ติดคุกสองปีก็ไม่นาน ผมเคยแนะนำผู้ใหญ่ใกล้ชิดคุณทักษิณบางท่านว่า

        1.ให้คุณทักษิณกลับมารับโทษและสู้คดี

        2.สร้างพลังมวลชนด้วยภูมิปัญญาวิชาความรู้และอุดมการณ์ประชาธิปไตย

        คำแนะนำนี้คุยกันไม่เป็นทางการและไม่ถึงคุณทักษิณแน่นอน
        เสียดายโอกาสที่คุณทักษิณจะฟื้นฟูวิธีคิดของตัวเองใหม่
        หากยังไม่เปลี่ยนวิธีคิดก็น่าเสียใจ กลับเมืองไทยเถิดคุณทักษิณ
        กลับมาเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ
        ให้คนไทยได้เห็นความเป็นคนกล้าหาญพร้อมที่จะรับผลจากการกระทำของตัวเองทั้งบวกและลบ"

        "คุณทักษิณครับ เขียนหนังสือให้คนไทยอ่านสักเล่ม
        กลับมาตอบคำถามของคนไทยทุกเรื่องทุกแบบทุกเวที ประชาธิปไตยนั้น
        ต่อสู้ด้วยภูมิปัญญาและความจริง คนดี คนสุจริต คนซื่อสัตย์
        สังคมสนับสนุนแน่นอน มาตรฐานวัฒนธรรมสังคมไทยสูงได้มาตรฐานโลกแน่นอน
        มาตรฐานความยุติธรรมก็มาตรฐานเดียวเป็นสากลเช่นกัน"

        "คุณทักษิณอย่ากลัวมาตรฐานไทยเลย ประชาชนกว่า 60 ล้านคน
        ก็อยู่อย่างเป็นสุขพอเหมาะพอควรตามมาตรฐานเดียวของราชอาณาจักรไทยของเรานี้"

        สมเกียรติ อ่อนวิมล Twitter จาก
        http://twitter.com/somkiatonwimon
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #474 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2554, 13:27:40 »

ท่านประธานเอียงชนวนวิกฤตสภา
26 สิงหาคม 2554 posttodayonline
 โดย...ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีใครคาดคิดว่าเสียงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีมากถึง 300 เสียง จะทำให้องค์ประชุมรัฐสภาล่มกลางดึกเมื่อคืนวันที่ 24 ส.ค.ได้

และการล่มอย่างไม่เป็นท่านำมาซึ่งความเสียหน้าอย่างมหาศาลของพรรคเพื่อไทย และความสง่างามของนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการแถลงนโยบาย ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่เปรียบเสมือนประตูสู่อำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี

หากประเมินความผิดพลาดที่ผ่านมา ผู้ที่ต้องรับผิดชอบเต็มๆ มี 2 ส่วน คือ 1.คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และ 2.สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา


องค์ประชุมรัฐสภาล่มครั้งนี้ สาเหตุหนึ่งมาจากการสั่งสอนของ สว. ที่ไม่ยอมกดบัตรแสดงตนถึงสองครั้งทำให้องค์ประชุมมีเพียง 308 คน และ 313 คน ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง 325 คน จากทั้งหมด 548 คน ซึ่งความไม่พอใจของ สว.มาจากความพยายามของรัฐบาลในการตัดเวลาการอภิปรายของ สว. จากเดิมมีอยู่ 4 นาที ให้ลดน้อยลงไปกว่าเดิมอีก

นอกจากนี้ เมื่อรัฐบาลต้องพยายามให้จบภายในเวลาเที่ยงคืน จึงต้องเสนอปิดอภิปรายเพราะเกรงว่าถ้าปล่อยนานไปจนเลยเวลาดังกล่าวอาจนำไปสู่การตีความว่า การแถลงนโยบายรัฐบาลชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากต้องแถลงภายใน 15 วัน ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 24 ส.ค. สุดท้าย สว.แสดงถึงความไม่พอใจด้วยวิธีการดังกล่าว ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้ารัฐบาลฉาดใหญ่

ขณะที่ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” หนีไม่พ้นที่ต้องรับไปเต็มๆ แบบไม่แบ่งใคร เพราะทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง เอียงเข้าข้างพรรคเพื่อไทยอย่างเห็นได้ชัด


“ประธานสมศักดิ์” เลือกแนวทางในการคุมฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ด้วยการใช้ข้อบังคับการประชุมสภาให้ตึงที่สุดและทุกตัวอักษร แต่ผลออกมาแทนที่จะทำให้ฝ่ายค้านหงอ ตรงกันข้ามกลับทำให้บรรยากาศเกิดความตึงเครียดมากขึ้น จนดำเนินการประชุมไม่ได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ การพยายามตัดบทไม่ให้ฝ่ายค้านอภิปรายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แทบทุกครั้งเวลาไม่ว่าการอ้างถึงนโยบาย “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ซึ่งฝ่ายค้านต้องการชี้ว่า เพราะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนายกฯ น้องสาว แต่ประธานรัฐสภาใช้วิธีการปิดไมค์ไม่ให้พูด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลงบันทึกเป็นรายงานการประชุมในรูปแบบลายลักษณ์อักษรได้

ที่สะท้อนได้ชัดเจนที่สุด คือ ระหว่างการอภิปรายของ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ที่พาดพิงกรณีพรรคเพื่อไทยแจกนิตยสาร เรด เพาเวอร์ ในการประชุมพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงระบุว่ามีกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนได้จัดงานวันเกิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในชื่อ “ทักษิณมหาราษฎร์”

เหตุการณ์นี้ สมศักดิ์ พยายามตัดบท แต่ปล่อยให้ทั้ง จตุพร พรหมพันธุ์ และณัฐวุฒิใสยเกื้อ สส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำเสื้อแดง ชี้แจงเลยเถิดจนมีคำพูดว่า ในการชุมนุมปีที่แล้ว “มีใบอนุญาตสั่งฆ่าประชาชน” สร้างความวุ่นวาย เกิดการประท้วงตอบโต้กันสองฝ่าย จนประธานสภาต้องสั่งพักการประชุม และตรวจบันทึกคำพูด ก่อนที่จะให้ ณัฐวุฒิ ถอนคำพูด

แต่ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ฝ่ายค้านฟิวส์ขาดกับประธานสมศักดิ์จริงๆ เป็นกรณีที่แสดงพฤติกรรมเสมือนหนึ่งไม่ให้เกียรติอดีตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น “ชวน หลีกภัย” และ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

โดยเป็นกรณีที่พรรคเพื่อไทยได้อภิปรายพาดพิงการทำงานของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีความผิดพลาดโดยเฉพาะการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง

ตามธรรมเนียมที่ผ่านมา หากอดีตนายกฯ หรือผู้นำฝ่ายค้านขอใช้สิทธิชี้แจงที่ถูกพาดพิง ประธานสภาก็จะอนุญาตให้พูดตามสมควร แต่ สมศักดิ์ กลับใช้ไม้แข็ง ไม่ยอมให้พูด โดยอ้างว่า “ถ้าอภิปรายกันไปก็จะตอบโต้กันไม่จบ การประชุมจะเดินหน้าต่อไม่ได้”

แม้ว่าสุดท้ายประธานสมศักดิ์จะยอมให้อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์อภิปราย แต่ก็ได้แค่ 2 นาทีเท่านั้น ซึ่งขัดหลักธรรมเนียมปฏิบัติที่เป็นถึงอดีตผู้นำประเทศ ที่มักได้รับเกียรติในการชี้แจงเต็มที่

เช่นเดียวกับกรณีของ ชวน ที่อภิปรายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยอ้างอิงถึงการให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศยอมรับความผิดพลาดในการแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อสมัยเป็นนายกฯ ทำให้ สส.เพื่อไทยประท้วง ชวน ซึ่ง สมศักดิ์ ระบุว่า “ขอความร่วมมือไม่ให้พูดเรื่องอดีต ถ้าเรายังพูดเรื่องอดีตแบบนี้จะทำให้ไม่จบและสร้างความปรองดองไม่ได้”

นอกจากนี้ ยังเกิดกรณีการขีดเส้นเวลาในการอภิปรายที่ตึงเกินไป ทั้งๆ ที่สามารถอะลุ่มอล่วยได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการประชุม ซึ่งก็อ้างทุกครั้ง “เป็นข้อตกลงของวิป 3 ฝ่าย”

ลีลาคุมการประชุมของขุนค้อนเที่ยวนี้ กลับกลายเป็นแรงกดดันอย่างรุนแรงว่า หากยังเล่นบทไม้แข็งต่อไปอาจทำให้รัฐบาลกระเทือนได้ เพราะในอนาคตมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องพึ่งเสียงจากรัฐสภาสำหรับการผ่านกฎหมายสำคัญอีกจำนวนมาก

ถึงกระนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับภาพที่ออกมาสู่สายตาสังคมว่า “พรรคเพื่อไทยกำลังเป็นเผด็จการรัฐสภา เอาตัวเองเป็นใหญ่” ไม่รับฟังเสียงส่วนน้อย เหมือน 377 เสียง สมัยพรรคไทยรักไทย

บทบาทของประธานสภา จากนี้หากไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลางตามรัฐธรรมนูญ เข้าข้างแต่พรรคเพื่อไทย ก็จะเป็นชนวนที่เพิ่มอุณหภูมิในห้องประชุมสภาให้ร้อนระอุ และขัดแย้งกันรุนแรงโดยใช่เหตุ

คุณ auraiwon: 27 ส.ค. 2554 ,12:37 น.

คนที่ยอมตัวเป็นทาสจะทำทุกอย่างเพื่อให้นายพอใจคนประเภทนี้จะไม่คำนึงถึง เกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สาอะไรที่สมศักดิ์จะคำนึงถึง เกียรติยศ แห่งตนป่านนี้ลูกหลานว่านเครืออายเขาทั่วเมืองแล้ว


คุณ chaveevan: 27 ส.ค. 2554 ,09:10 น.

คุณ uthaic: 26 ส.ค. 2554 ,12:57 น.

ผมเห็นแย้งว่า ทั่นประธานไม่เอียงครับ ท่านนั่งตัวตรงเด่อยู่ฝั่งรัฐบาลเลยครับ :):)


คุณ metro: 26 ส.ค. 2554 ,09:54 น.

ผมนั่งฟังประชุมอยู่..เห็นว่าประธานสภาไม่เอียงครับ แต่เอาความเห็นตัวเองเป็นหลักทั้งๆ ที่สมาชิกหลายคนแนะข้อเสนอที่มีเหตุผลกว่า..พอประธานโดนเข้ามากๆก็ชอบพูด "เป็น อำนาจของประธาน"....



คุณ tomjantra: 26 ส.ค. 2554 ,09:37 น.

ความจริงคือความจริง งานแรกก็มีมลทินแล้ว การบอยตอตครั้งนี้ เป็นการยืนยันว่าแม้ ว่า"พรคเพื่อนาย"จะมีคะแนนท่วมท้น แต่คนที่ยืนอยู่บนความถูกต้องยังมี เดิมทีไปดู ถูก"ปู่ชัย"ว่าแกคงไม่มีน้ำยาได้ดีเพราะลูกเนวินแต่พอหมดวาระแฟนๆทางบ้านคิด ถึง"ปู่ชัย"เพราะแกทำหน้าที่คนกลางได้อย่างนุ่มนวล ให้เกียรติทุกคนทั้งฝ่ายค้านฝ่าย รัฐบาล บรรยากาศที่ตึงเครียดกลับผ่อนคลาย ไม่ต้องประกาศปาวๆ แต่ประธานสมศักดิ์ กลับทำตรงข้ามกับ"ปู่ชัย"อย่างสิ้นเชิง เพราะทำงาน"เพื่อนาย"โดยไม่คำนึงถึง ประเทศชาติ และ มีฐานคิดแบบคนเสื้อแดงที่เอาแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ ของสาธารณชน


คุณ jaa: 26 ส.ค. 2554 ,09:30 น.

ทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง เอียงข้างอย่างเห็นได้ชัด และยังชอบพูดย้ำ ๆ ว่า "ประธานฯ มีอำนาจ ... เด็ดขาด"จะเตือนว่า อย่าใช้อำนาจข่มขู่ ข่มเหง ตัวแทนประชาชน เพราะ ปชช ย่อมมี อำนาจเหนือกว่าประธานฯที่ทำหน้าที่เพื่อนายจ้าง ทั้งที่รับเงินเดือนที่เป็นภาษีของคนไทยทั้ง ชาติ แก่จนหาผมดำไม่เจอซักเส้น แต่ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ปล่อยให้สมอง ความคิด และสติ ปัญญาเกิดความหลง(ในอำนาจที่เขามอบให้ทำ)หลงผิด ยังไม่สายเกินไปที่จะปรับเปลี่ยน ทัศนคติในการเป็นประธานรัฐสภาเสียใหม่ อย่าทำตัวเป็นเพียงขี้ข้าหรือทาสผู้ซื่อสัตย์ของ นาย แต่ประธานรัฐสภาต้องทำหน้าที่อย่างซื่อตรงซื่อสัตย์เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ เท่านั้น


 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><