23 พฤษภาคม 2567, 23:57:16
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27 ... 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 304246 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #600 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 10:30:33 »

“อภัยโทษ” สู่โจทย์ “นิติราษฎร์”

    เปลว สีเงิน

22 พฤศจิกายน 2554 - Thaipost.net

   วันนี้ ผมสบาย เพราะคุณวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ "นักกฎหมายอิสระ" ให้มุมมองและแนวทางรับมือปัญหาทักษิณทั้งกับปัญหาเฉพาะหน้า ว่าด้วยเรื่อง พ.ร.ฎ.อภัยโทษ และทั้งการคลี่คลายปัญหาสู่จุดจบถาวรผ่านบทความเรื่อง "ควันหลง" อภัยโทษ สู่โจทย์ "นิติราษฎร์" ตามแนวคิด-แนวทางนักกฎหมาย นับเป็นการเปิดทางแคบให้กว้าง ใช้เดินได้โดยไม่ต้องกระแทกไหล่กันทั้งฝ่ายเอาและไม่เอาทักษิณได้น่าสนใจครับ

    ต่อไปนี้ทั้งหมด เป็นบทความของคุณวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ "นักกฎหมายอิสระ" ครับ........

    พวกเราอย่ายอมให้คำแถลงของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ที่ยืนยันว่า  “คุณทักษิณ” ไม่เข้าข่ายผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษ (ตามร่างพระราชกฤษฎีกาที่เป็นข่าว) ทำให้พวกเราสบายใจแล้วกลับไปเครียดกับน้ำท่วมเอาเสียง่ายๆ
    แต่ขอให้พวกเรากลับมาทบทวนแบบน้ำนิ่งไหลลึกว่า “กระแสข่าว” การอภัยโทษ และ “กระแสตอบรับ” ที่ผ่านมานั้นได้ทำให้เราเห็น “ควันหลงเรื้อรัง”  อะไรในสังคมไทยที่น่าเป็นห่วงยิ่งไปกว่าปัญหาของคนที่รักหรือไม่รัก “คุณทักษิณ” เสียด้วยซ้ำ?


    1.ควันหลงถึงผู้ตื่นตระหนก : ท่านไว้ใจรัฐบาลนามสกุลชินวัตรได้นานแค่ไหน?
    ในบทความนี้ ผู้เขียนไม่ติดใจจะตัดสินว่าคุณยิ่งลักษณ์มีเจตนาจะช่วยพี่ชายตนเองหรือไม่อย่างไร แต่ผู้เขียนต้องการจะสื่อสารไปยังผู้ที่ตื่นตระหนก  เพราะเชื่อว่าคุณยิ่งลักษณ์มีเจตนาจะช่วยพี่ชายตนเองโดยแน่ แล้วถามต่อว่า  กระแสข่าว “การอภัยโทษ” เพียงไม่กี่วันก่อนได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและน่าตื่นตระหนกเพียงนี้ แล้วอะไรจะเป็นหลักประกันว่า รัฐบาลชุดนี้ หรือรัฐบาลหลังการปลดปล่อยบ้าน 111 ชุดหน้าจะไม่พยายามดำเนินการทำนองนี้อีก?
    อย่าลืมว่านอกจากกฎหมายจะเปิดช่องให้การ “อภัยโทษ” ทำตามวาระโอกาสได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องผ่านสภาแล้ว รัฐบาลยังมีเครื่องมืออื่น เช่น การ  “นิรโทษกรรม” กล่าวคือ ไม่ใช่แค่ให้อภัยธรรมดา แต่ถึงกับลบล้างความผิดจนไร้โทษ หรือหากจะแยบยลกว่านั้น ก็อาจใช้วิธี “ชะลอการลงโทษ” (reprieve) หรือลด-เปลี่ยนโทษ (commute) เช่น แทนที่จะให้จำคุกก็นำตัวมากักขังในบ้านแทน  (house arrest/home confinement) ก็เป็นได้
    คำถามคือ ประชาชนฝ่ายที่ตื่นตระหนกกับการช่วยเหลือคุณทักษิณนั้น  จะเล่นบทบาทได้แต่เพียงผู้ตามเก็บหมากที่เดินโดยนักการเมือง และต้องมาทนลุ้นระทึกกับกระแสข่าวเป็นระยะต่อไปเช่นนี้ หรือจะมีวิธีการรวมพลังกับฝ่ายที่ไม่ตื่นตระหนก เพื่อจัดการให้เหตุนี้คลี่คลายไปได้ (นอกไปจากการชุมนุมที่ยืดเยื้อหรือการอาศัยอำนาจนอกระบบ) หรือไม่?
    หนึ่งในวิธีที่เป็นไปได้นั้น อาจต้องลองนึกย้อนไปถึงข้อเสนอนิติราษฎร์  หากเรานำข้อเสนอดังกล่าวมาปรับปรุงให้ประชาชนเป็น “ฝ่ายรุก” ผ่านกระบวนการเจรจาต่อรองก่อนทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยกระทำอย่างเปิดเผยและทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมได้เพื่อออกแบบวิธีล้างคำพิพากษาเก่า แล้วนำคุณทักษิณและผู้อื่นกลับเข้าสู่กระบวนการศาลใหม่ในยามปกติ
    โดยต้องมีขั้นตอนเชื่อมโยงที่รัดกุมชัดเจนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย (ผู้เขียนไม่ได้เจาะจงไปที่ศาล แต่กำลังพูดถึงกระบวนการเชื่อมโยงจากการล้างคดีเก่าไปสู่การเริ่มต้นคดีใหม่ มิใช่ล้างแล้วปล่อยไว้ลอยๆ ถึงเวลา ป.ป.ช.ไม่ฟ้อง  อัยการไม่ฟ้อง ทุกอย่างเงียบไป ความรุนแรงก็อาจกลับมาอีก)
    หากทำได้เช่นนี้ จะเข้าท่ากว่าการปล่อยให้ประชาชนเป็น “ฝ่ายรับ” เก็บหมากการเมืองหรือไม่?
    ผู้เขียนเคยเตือนไปแล้ว และก็จะเตือนอีกครั้งว่า หากท่านไม่พอใจกับข้อเสนอนิติราษฎร์เพียงเพราะท่านไม่พอใจคุณทักษิณ ก็ขอท่านทบทวนให้ดีว่า  “คุณทักษิณในแบบที่ท่านไม่พอใจ” มีเครื่องมืออื่นที่ดี และสะดวกทางยิ่งกว่าข้อเสนอนิติราษฎร์อีกมากจริงหรือไม่?

    2.ควันหลงถึงขบวนการนิติราษฎร์ : ท่านพร้อมจะสร้างพันธมิตรทางความคิดของท่านมากแค่ไหน?
     ขบวนการนิติราษฎร์ก็เช่นกัน ผู้เขียนเคยเตือนไปแล้ว และก็จะเตือนอีกครั้งว่า ผู้ที่พร้อมจะร่วมอุดมการณ์ล้มล้างลัทธิรัฐประหารพร้อมกับท่านนั้นมีอยู่มาก แต่เขาเหล่านั้นอาจจะไม่อยากร่วมเป็นแรงสนับสนุนท่านเลย หากวิธีการนำเสนอและสื่อสารของท่านยังคงแข็งทื่อ และกวาดมองว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของท่านในทันทีต้องเป็นผู้สมยอมลัทธิรัฐประหารในทันใด
    ในโลกนิติศาสตร์ปัจจุบันที่ก้าวพ้นยุคของหลักการทฤษฎีในหมู่ผู้ปกครองนี้ ท่านไม่อาจยึดมั่นแต่เพียง “กฎหมายที่ควรจะเป็น” เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจใน  “มนุษย์ที่เป็นอยู่” เช่นกัน
    ขบวนการนิติราษฎร์อาจเริ่มขยายพันธมิตรจากภายในสถาบันเก่าแก่ที่ภูมิใจในเสรีภาพทางวิชาการของท่าน หากท่านทำให้เพื่อนผู้ทรงปัญญารู้สึกมีส่วนร่วมและได้รับอัธยาศัยทางวิชาการที่ตอบรับกับสภาพความคาดหวังของเขาเหล่านั้นไม่ได้ สถาบันของท่านก็จะไม่ต่างอะไรไปกับสถาบันเก่าแก่อีกแห่งที่ภูมิใจในความเป็นน้องพี่ที่กลมเกลียว แต่เกรงใจกันจนไม่ค่อยได้พบเห็นนวัตกรรมทางความคิดอะไรได้สะดวกนัก
    ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ขบวนการนิติราษฎร์ได้พัฒนา ปรับปรุงข้อเสนอที่ไม่เพียงสะท้อนหลักการทางกฎหมาย แต่ยังสอดคล้องกับจิตวิทยาทางการเมืองอย่างแหลมคมและแยบยล โดยเฉพาะในประเด็นจุดเชื่อมโยงระหว่างการล้มล้างคดีเก่าและการเริ่มต้นกระบวนการใหม่ให้มีการเชื่อมโยงที่รัดกุมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อรวมพลัง “ฝ่ายที่ไม่เอารัฐประหารตราบใดที่ทักษิณรับผิด”  เข้ากับ “ฝ่ายที่ไม่เอารัฐประหารไม่ว่าทักษิณจะต้องรับผิดหรือไม่”
    และเชื้อเชิญ “ฝ่ายที่เชื่อว่ายังไงทักษิณก็ไม่ผิด” เพราะหากคุณทักษิณบริสุทธิ์แล้วจะมีเหตุใดต้องกลัวศาลพิจารณาคดีใหม่ ไม่แน่ว่าขบวนการนิติราษฎร์อาจนำไปสู่การรวมกลุ่มอำนาจในสังคมไทยเข้าด้วยกันอย่างไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนก็เป็นได้!

    3.ควันหลงถึงครูบาอาจารย์สื่อสารมวลชน : จรรยาบรรณว่าด้วยแหล่งข่าวอยู่ที่ใด?
     “กระแสข่าวอภัยโทษ” เริ่มต้นมาจาก “แหล่งข่าว” ที่ไม่เปิดเผย เคราะห์ดีที่เหตุการณ์ดูจะคลี่คลายหลังมีการแถลงข้อแคลงใจจนมีการยุติการเคลื่อนไหวชุมนุม ซึ่งหากรายละเอียดเป็นจริงมาแต่ต้น เหตุใดรัฐบาลจึงไม่อธิบายให้ชัดมาแต่แรก? และแหล่งข่าวที่ว่านี้คือใคร? สำนักข่าวใดได้ข่าวนี้มาแต่แรก? มีการตรวจสอบและรายงานระดับความน่าเชื่อถืออย่างไร?
    แหล่งข่าวนี้สมควรจะได้สอบถามความจริงได้จาก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก แต่แรกหรือไม่? หากสุดท้าย รัฐบาลอธิบายไม่ทันจนเกิดการปะทะวุ่นวายในยามวิกฤติเช่นนี้ สื่อหรือผู้ใดจะเป็นผู้รับผิดชอบ?
    หากสื่อมวลชนผู้มีจรรยาบรรณตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ ประชาชนก็อย่าได้แต่รอ ขอให้ท่านได้ใช้ช่องทางที่กฎหมายให้อำนาจท่านไว้ ไม่ว่าจะเป็นการขอข้อมูลเกี่ยวกับการประชุม ครม.ลับที่เป็นข่าว โดยอาศัยช่องทางตาม “พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540” เพื่อให้มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
    อีกวิธีคือ การเรียกร้องกดดันให้ผู้แทนของท่านในสภาได้ใช้อำนาจตาม  “พระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2554” เพื่อเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลว่าข้อเท็จจริงเรื่องนี้ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร หรือเป็นเพียงการสร้างกระแสผ่านสื่อมวลชนอันเป็นการซ้ำเติมความกังวลให้กับพี่น้องประชาชนที่ลำบากในยามน้ำท่วมเช่นนี้?
    หวังว่าเพดานทางปัญญาของสื่อมวลชนไทยจะไม่จบที่การ “ตีข่าวหักมุม”  หรือ “วิเคราะห์ทางที่หินถูกโยน” แต่เพียงนั้น

    4.ควันหลงถึงพวกเราทุกคน : คนไทยมีปัญญาเพียงแค่ยกมวลชนตีกันเช่นนั้นหรือ?
    อาการเรื้อรังของสังคมไทยที่ปรากฏชัดจาก “กระแสการอภัยโทษ” นั้นไม่ได้ต่างไปจาก “กระแสประตูระบายน้ำ” ในภาวะวิกฤติอุทกภัย ทั้ง 2 เหตุการณ์พิสูจน์ว่า ในยามที่สังคมไทยมีปัญหานั้น ก็เป็นจริงดังที่ถูกสอนให้เชื่อว่าคนไทยสามัคคีกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวจริง แต่สามัคคีกลมเกลียวเฉพาะกับ “พวกเดียวกัน” เท่านั้น
    แต่สังคมไทยยังไม่คุ้นชินกับการต่อสู้ตามกติกาที่ต้องรอ ผู้เขียนเป็นห่วงอย่างยิ่งกับตรรกะของฝ่ายที่กล่าวว่ารัฐบาลไม่ควรเสนอการอภัยโทษตามข่าว  เพราะจะทำให้ผู้คนแตกแยกออกมาตีราฆ่าฟันกันอีกรอบ ซึ่งเป็นตรรกะที่อันตรายไม่ต่างไปจากการยอมให้บ้านเมืองปกครองโดยกำลังมวลชนเป็นสำคัญ  (might is right)
    หากคิดได้เช่นนี้ ต่อไปการกระทำใดจะถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ก็คงดูแต่เพียงว่าจะมีผู้เคลื่อนไหวปะทะกันหรือไม่ หากมีกำลังปะทะ ก็ไม่ควรทำ กระนั้นหรือ?
    ตรรกะที่ถูกต้องคือ การถามว่าการกระทำนั้นถูกกฎหมายหรือไม่ และหากเราเชื่อว่าการออกการอภัยโทษตามข่าวเป็นการใช้อำนาจที่ผิดกฎหมาย แต่รัฐบาลยืนยันว่าตนมีอำนาจตามกฎหมาย เราก็ต้องใช้อำนาจทางปัญญาต่อสู้ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะคัดค้านโดยสันติ จะเข้าชื่อแก้กฎหมาย หรือสู้คดีในศาล  ฯลฯ
    การชุมนุมกันไม่ควรถูกสันนิษฐานว่า จะต้องเป็นการยกมวลชนตีกัน ส่วนใครที่ใช้วิธีก่อความไม่สงบนอกวิถีแห่งกฎหมาย กฎหมายก็ต้องจัดการโดยเด็ดขาดให้ประจักษ์เป็นปกติ และหากรัฐใช้กำลังเกินควร ก็ต้องหาคนรับผิดชอบตามปกติ จะบอกว่าสิ่งเหล่านี้ยากเกินปัญญาคนไทยนั้น กระนั้นหรือ?

    ตรงกันข้าม หากเรายอมเชื่อว่าการออกการอภัยโทษตามข่าวเป็นการใช้อำนาจที่ “ผิดกฎตามใจฉัน” หรือ “ผิดเกณฑ์ศีลธรรมความดีงามบาปบุญคุณโทษอันเป็นสัจจะของฉัน” และในเมื่อจิตใจและความดีงามของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีแก้ปัญหาก็คงวนเวียนอยู่กับวาทกรรมมักง่ายที่ว่า “อย่าทำมันเลย  เดี๋ยวคนเขาตีกัน…แต่ถ้ามันยังทำ ฉันก็จะตีมัน”
    แม้ผู้เขียนจะไม่อยากให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่ทนายวิ่งไล่รถพยาบาล แต่ก็สงสัยเหลือเกินว่า คนไทยเรามีปัญญาเพียงพอที่จะไม่หลีกเลี่ยงปัญหา เพียงเพราะข้ออ้างมวลชนปะทะกันได้หรือไม่หนอ?

หมายเหตุ
    บทความนี้ต่อเนื่องจากบทความของผู้เขียนเรื่อง “รัฐประหาร-ทักษิณ-นิติราษฎร์ : ๓ คำเตือนที่คนไทยต้องรู้” ที่ http://on.fb.me/nd9GR1
                                                        -วีรพัฒน์ ปริยวงศ์
                        นักกฎหมายอิสระ facebook.com/verapat.pariyawong
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #601 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 23:08:25 »

“ชมรมสื่อกำมะลอ” ยื่นสภาการฯ สอบ “ไทยโพสต์-กรุงเทพธุรกิจ” อ้างละเมิดจริยธรรม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

คนเสื้อแดงอ้างตัวเป็นชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นหนังสือร้องเรียนสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ อ้าง “กรุงเทพธุรกิจ-ไทยโพสต์” เสนอข่าวเข้าข่ายละเมิดจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ และเพื่อเป็นบรรทัดฐานที่ นสพ.ฉบับอื่นเคยถูกตรวจสอบมาแล้ว
       
       เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายจุติพงษ์ พุ่มมูล เลขาธิการชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตยและคณะ ได้เข้าพบ นายสวิชย์ บำรุงสุข ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนหนังสือพิมพ์องค์กรสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์ฯ 2 ฉบับ ได้แก่ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2554 และหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับประจำวันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2554 โดยระบุว่า เป็นการกระทำที่ขาดซึ่งจริยธรรมของนักหนังสือพิมพ์ที่ดี ซึ่งต้องเสนอข่าวด้วยความถูกต้องเป็นจริงสู่สาธารณชน โดยต้องไม่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงในเนื้อหาสาระเพื่อให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายและปราศจากข้อมูลที่ถูกต้อง
       
       เลขาธิการชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ในยุคที่แมลงวันตอมแมลงวัน เรามีสิทธิที่จะตรวจสอบความเหมาะสมในการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนด้วยกัน เพื่อให้เกิดความปรองดองและประคับประคองให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ดีขึ้น ดังนั้น ชมรมฯ จึงรวมตัวกันร้องเรียนต่อสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ให้ดำเนินการตรวจสอบจรรยาบรรณการทำหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับ เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานของสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ดังเช่นที่เคยปฏิบัติกับหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ มาแล้ว
       
       ด้าน นายสวิชย์ บำรุงสุข ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายเผยแพร่และประชาสัมพันธ์สภาการหนังสือพิมพ์ฯ กล่าวว่า สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ได้รับเรื่องดังกล่าวแล้ว และจะดำเนินการตามข้อบังคับสภาการหนังสือพิมพ์ฯว่าด้วยการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ.2540 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 โดยขั้นตอนภายหลังจากรับเรื่องร้องเรียนแล้ว ทางสำนักเลขาธิการสภาการหนังสือพิมพ์ฯ จะส่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าวให้แก่คณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์เพื่อดำเนินการส่งเรื่องไปยังผู้ถูกร้องเรียนให้ชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวภายใน 15 วัน
       
       หากผู้ถูกร้องเรียนชี้แจงกลับมา ทางสำนักเลขาธิการสภาการหนังสือพิมพ์ฯ จะส่งคำชี้แจงดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องเรียนทราบ หากเป็นที่พึงพอใจคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ จะมีมติให้ยุติเรื่องร้องเรียน แต่หากผู้ร้องเรียนไม่พึงพอใจ คณะอนุกรรมการฯ จะนำกลับมาเข้าขั้นตอนการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนทางคณะอนุกรรมการฯ จะส่งข้อสรุปดังกล่าวให้แก่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายรับทราบ และหากข้อสรุปไม่เป็นที่พอใจ ทั้งผู้ถูกร้องเรียน และผู้ร้องเรียนสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน โดยคณะกรรมการจะตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ขึ้นมาพิจารณาก่อนส่งผลให้คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์ฯ พิจารณารับรองหรือไม่รับรอง เพื่อหาข้อยุติต่อไป
       
       อนึ่ง จากการตรวจสอบข้อมูลชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มี นายจุติพงษ์ พุ่มมูล เป็นเลขาธิการนั้น เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาไม่นาน และพบว่าได้เคลื่อนไหวตามแนวทางของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา บุคคลกลุ่มนี้ได้เข้าร่วมกับนายสิงห์ทอง บัวชุม อดัตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวจัดงานทำบุญวันเกิด 4 ภาคให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด 62 ปี ที่วัดแก้วฟ้า โดยในการจัดงานครั้งดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่ามีกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากในงานดังกล่าวได้นำรูปหล่อพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์มาร่วมพิธีและใช้ชื่องานว่า “62 ปี คืนคนดีกลับบ้าน บูชาคุณแผ่นดิน”
       
       ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มคนดังกล่าวได้ยื่นหนังสือต่อผู้จัดการฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เพื่อให้ดำเนินการลงโทษ น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ซึ่งเป็นสื่อมวลชนที่ถาม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ จน ร.ต.อ.เฉลิม ไม่พอใจและเดินหนี โดยอ้างว่า น.ส.สมจิตต์ ได้ตั้งคำถามต่อ ร.ต.อ.เฉลิม ในลักษณะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเลือกข้างพรรคการเมือง


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #602 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 23:13:20 »


‘ยิ่งลักษณ์’ทำคนไทยแบกหนี้อ่วม ‘จุฬาฯ-มธ.’ชี้หนักกว่ายุคไอเอ็มเอฟ!
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์    

 นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ‘จุฬาฯ-มธ.’ ชำแหละการบริหารงานของ 2 รัฐบาล ‘ปู-มาร์ค’ กู้เงิน-ทึ้งงบประมาณทำประชานิยม-แบ่งปันผลประโยชน์กันเอง ชี้ภาระหนี้สินใหม่-เก่าจะทำให้ประเทศไทยถึงขั้นล้มละลาย พบหมกเม็ดหนี้จริงอาจถึง 8 แสนล้านบาท มีสิทธิ์ต้องเข้าโปรแกรมฟื้นฟูกับ IMF รอบ 2 ขณะที่ภาคการลงทุนประสานเสียง ขอภาวะผู้นำ “ยิ่งลักษณ์” แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ชี้ต่างชาติมอง “นายกฯ-ครม.”อ่อน ต้องตั้ง ‘กยอ.’ ยิ่งลดความเชื่อมั่น

       ปัญหาวิกฤตน้ำท่วมในประเทศไทยที่เกิดขึ้นรุนแรงมากว่า 2 เดือนนั้น ต้องยอมรับว่านอกจากจะส่งผลต่อคนไทยหลายครอบครัวแล้ว ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับภาคเศรษฐกิจไทยด้วย โดยมีผู้เชี่ยวชาญประเมินกันแล้วว่าปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายให้ประเทศไทยสูงมากถึง 1-3 แสนล้านบาท

        แม้ว่ากระทรวงการคลัง คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะตกลงร้อยละ 1.8 จากที่ประมาณการไว้เบื้องต้นที่คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2555 จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ5.0 และมองว่าความจำเป็นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมทั้งจากภาครัฐและเอกชน จะส่งผลให้ธุรกรรมทางเศรษฐกิจในปี 2555 เพิ่มขึ้นทั้งด้านการบริโภคและการลงทุน รวมทั้งการอัดฉีดเงินของรัฐบาลจากการตั้งงบประมาณขาดดุล 400,000 ล้านบาท จะเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ

        อีกทั้งการที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รู้ตัวดีว่ายังมีบารมีทางการเมืองระดับนานาชาติไม่มากนัก จึงตัดสินใจตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2554 โดยให้ ดร.โกร่ง หรือวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธานกรรมการ และมี ยงยุทธ วิชัยดิษฐ และกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานกรรมการ
       นอกจากนี้ยังมีชื่อของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, พันศักดิ์ วิญญรัตน์, กิจจา ผลภาษี, ประเสริฐ บุญสัมพันธ์, วิษณุ เครืองาม, ศุภวุฒิ สายเชื้อ, เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, เลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นกรรมการ และให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
       พร้อมตั้ง ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นที่ปรึกษาวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้วย
        ชื่อคนระดับเซียนล้วนๆ!
        ดังนั้นแม้รัฐบาลจะตัดสินใจทำอะไรขึ้นมาหลายอย่าง เพื่อแก้ความผิดพลาดที่ประเมิน ว่า “เอาอยู่” โดยเฉพาะความพยายามป้องกันนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดอยุธยา มาถึงปทุมธานี และเข้าเขตกรุงเทพฯ รอบนอก ที่ล้วนแต่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนจบสิ้น แล้วรัฐบาลค่อยเอางบประมาณเยียวยาผู้เดือดร้อนซึ่งมีจำนวนมากมาย แทนที่จะใช้งบฯ ลงทุนเพื่อการป้องกันซึ่งสามารถทำได้ ประเมินได้ ตั้งแต่ช่วงที่เริ่มวิกฤตน้ำท่วมในภาคเหนือ
       นั่นหมายถึง เงินจำนวนมหาศาลที่จะต้องนำมาใช้ เมื่อรวมกับเงินอีกจำนวนหนึ่งที่เป็นโครงการประชานิยมของพรรคเพื่อไทยซึ่งอนาคตอันใกล้นี้ คนไทยต้องเตรียมตัวแบกหนี้มหาศาล และอาจร้ายแรงกว่าช่วงที่ประเทศไทยต้องเข้าแผนฟื้นฟูกับไอเอ็มเอฟในครั้งก่อน!
       


       เตรียมรับมือหนี้สาธารณะพุ่ง!
        ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีอยู่ 2 ส่วนที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก ได้แก่ หนี้สาธารณะที่การเมืองกำลังจะทำให้คนไทยมีหนี้สินต่อครัวเรือนสูงขึ้น และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่ตกต่ำลง และมีแนวโน้มย้ายฐานการผลิตในระยะยาว
        ในส่วนของหนี้สาธารณะ ดร.ตีรณ ยอมรับตามตรงว่า ที่น่าเป็นห่วงคือไม่ว่านักการเมืองพรรคไหน ขณะนี้ต่างรุมทึ้งประเทศไทยจนประชาชนไทยต้องรับหนี้ท่วมหัวทั้งสิ้นแปลว่า ไม่ว่าจะพรรคประชาธิปัตย์ หรือเพื่อไทย กำลังจะทำสิ่งเดียวกัน และเพิ่มภาระให้ประชาชนทั้งสิ้น
        โดยหนี้สาธารณะของไทยขณะนี้อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง กล่าวคือ ขณะที่ยังไม่เกิดวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ประมาณร้อยละ 40 ซึ่งกล่าวตามจริง มูลค่าหนี้สาธารณะขณะนี้คือร้อยละ 40 แม้ยังไม่ได้สร้างปัญหาให้ระบบเศรษฐกิจในภาพรวม แต่มูลค่าหนี้สาธารณะนี้ถือว่าสูงอยู่แล้ว โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจโลกอยู่ในขาลง และไทยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพียงแค่ร้อยละ 2-3 ก็มีโอกาสที่ไทยจะใช้หนี้ไม่ได้อยู่มาก
        ปรากฏว่า การตั้งงบประมาณปี 2555 ที่เพิ่งผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปนั้น กลับมีการตั้งงบประมาณแบบขาดดุลสูงถึง 3.5 แสนล้านบาท โดย ครม.มีมติอนุมัติกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 วงเงิน 2.33 ล้านล้านบาท แยกเป็นรายจ่ายประจำ 1.839 ล้านล้านบาท รายจ่ายลงทุน 3.84 แสนล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 5.4 หมื่นล้านบาท รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 5.1 หมื่นล้านบาท รายได้สุทธิ 1.98 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งตัวเลขการขาดดุลงบประมาณเป็นตัวชี้ว่ารัฐบาลกำลังจะก่อหนี้สาธารณะก้อนใหญ่เพิ่มในอนาคตอันใกล้นี้
        “หนี้สาธารณะของไทยตอนนี้มีสูงอยู่แล้ว แต่มีโอกาสที่จะขึ้นสูงอีกจากการขาดดุลงบประมาณเพิ่มได้ ซึ่งยังไม่รู้เท่าไร ขึ้นอยู่กับจำนวนเม็ดเงินที่จะกู้ รัฐบาลบอกประมาณร้อยละ 43.5 แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นตัวเลขที่ยังไม่รวมกับตัวเลขที่ซ่อนอยู่ ซึ่งตามกรอบงบประมาณของไทย ไทยก็ยังสามารถสร้างหนี้สาธารณะได้ถึงร้อยละ 60 ของ GDP ซึ่งยังเป็นระดับที่เรียกว่าเกิดวิกฤตแล้วแต่ก็ยังพอรับได้ สิ่งที่ต้องดูคือ ถ้าเศรษฐกิจโลกขาขึ้น ประเทศไทยจะไม่มีปัญหามากนัก แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกขาลง การมีหนี้สาธารณะสูงถึงร้อยละ 50-60 ของ GDP ถือว่าเสี่ยงมากที่จะไปถึงจุดที่คืนหนี้ไม่ได้ และอาจต้องเข้าระบบฟื้นฟูเศรษฐกิจกับ IMF อีกครั้ง”

   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #603 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 11:42:07 »

คดีพะรุงพะรัง แม้วรอนิรโทษกรรมอย่างเดียว

   กรุงเทพธุรกิจ
โดย...ทีมข่าวการเมือง

ปิดเกมอภัยโทษทักษิณไปยกแรก หลังโดนจับไต๋ได้ว่าแอบซุกประโยชน์ให้นายใหญ่ได้รับสิทธิขอพระราชทานอภัยโทษจนต้องแก้เกมพัลวัน ในที่สุด พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม แถลงปิดคดีร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ไม่ได้แก้ไขหรือเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมกลับไปใช้ พ.ร.ฎ.ตามเนื้อหาเดิม ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายไปวานนี้

เหตุผลที่รัฐบาลไม่ยอมเปิดเผยร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ปล่อยให้เป็นเรื่องลับๆ ล่อๆ ร่วมสัปดาห์ ก็เพื่อใช้ความคลุมเครือนี้เป็นประโยชน์กับรัฐบาลในการ “สับขาหลอก” หากผลักดัน พ.ร.ฎ.เอื้อนายใหญ่ไม่สำเร็จ ก็อ้างได้ว่าไม่ได้แก้ไขร่าง พ.ร.ฎ. ทุกอย่างจึงไม่ผิดประเพณี ก็เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องลับไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง

ตามร่างเดิมที่รัฐบาลผ่านร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษในการประชุม ครม.เมื่อวันอังคารที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ตามที่สี่อแทบทุกสำนักรายงานตรงกัน ระบุว่า มีการปรับปรุงเนื้อหาต่างจาก พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยตัดลักษณะความผิดท้าย พ.ร.ฎ.เกี่ยวกับยาเสพติดและทุจริตคอร์รัปชันออกไป เท่ากับล็อกสเปก เอื้อประโยชน์ให้ทักษิณ ผู้ต้องโทษคดีทุจริต 2 ปี

กระแสต้านที่ออกมา แต่คนในรัฐบาลอ้างว่าเป็นเรื่องลับพูดไม่ได้ อยู่ที่พระบรมราชวินิจฉัย ทว่าบรรดารัฐมนตรีกลับทำพิรุธ ชี้แจงคนละทางจนขัดกันเอง

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ประธานหัวโต๊ะการประชุม ครม.ลับ ชี้แจงฝ่ายค้านในสภาว่า รัฐบาลนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษเหมือนรัฐบาลที่แล้ว เพราะรัฐบาลมีความคิดของรัฐบาล ก่อนแก้ต่างว่า คดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ของทักษิณไม่ถือเป็นคดีทุจริต แต่เป็นการทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช.

อีกคนที่ตอกย้ำว่า รัฐบาลได้ปรับเนื้อหา พ.ร.ฎ.จริง คือ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ สายตรงทักษิณ ยืนยันว่า การแก้ไขร่าง พ.ร.ฎ.ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเมื่อรัฐบาลประชาธิปัตย์เติมได้ เราก็มีสิทธิตัดทิ้งได้ “คุณเติมฉันไม่ว่า แต่ฉันตัดอย่ามาโวย”

เป็นการยืนยันว่า ร่าง พ.ร.ฎ.ที่ผ่าน ครม.ได้แก้ไขจาก พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษยุครัฐบาลอภิสิทธิ์จริง ซึ่งใช้ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลสุรยุทธ์ และรัฐบาลทักษิณ

เมื่อกระแสคัดค้านลุกลามใหญ่โต คณาจารย์ 7 มหาวิทยาลัยเกือบร้อยคนลงชื่อคัดค้าน กลุ่มหลากสี กลุ่มสยามสามัคคี โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศชุมนุมใหญ่หน้าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทักษิณจึงชิงออกแถลงการณ์ไม่ขอรับประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ เกรงจะลามมากระทบรัฐบาล ต่อมาในช่วงบ่าย พล.ต.อ.ประชา ออกมารับลูกแถลงทันทีว่า ร่าง พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ยึดตามฉบับเดิมที่ผ่านในรัฐบาลอภิสิทธิ์ปี 2553 ที่เสนอเนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษกปีที่ 60 วันที่ 5 พ.ค. 2553

พลิกเกมไม่มีการแก้ไข ไม่มีการตัดทอนนักโทษคดีทุจริต เหมือนอย่างที่ “สุรพงษ์” กับ “บิ๊กเหลิม” พูดเป็นนัยไว้

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีกระแสคัดค้านออกมา และพรรคเพื่อไทยเก็บความลับแผนหมกเม็ดในร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษฉบับนี้ได้อยู่หมัด ทักษิณก็อาจได้รับการพระราชทานอภัยโทษพ่วงกับนักโทษชั้นดีรายอื่น 2.6 หมื่นคน ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค. 2554

แต่ใช่ว่าทักษิณจะกลับไทยโดยไม่มีเรื่องกวนใจ เพราะคดีที่ปลดล็อกได้คงมีเฉพาะคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี ทว่าเจ้าตัวยังมีคดีความเป็นชนักติดหลังรออยู่เบื้องหน้า เนื่องจากคดีความยังไม่ถึงสิ้นสุด แต่ศาลได้จำหน่ายออกจากสารบบชั่วคราว เพราะทักษิณหลบหนีไปต่างประเทศ

1.คดีปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ 4,000 ล้านบาท

2.คดีแปลงสัญญาสัมปทานธุรกิจโทรคมนาคมเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป

3.คดีทุจริตการออกหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัวโดยมิชอบ

4.คดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือซุกหุ้นที่ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องหลังศาลฎีกาฯ ได้ตัดสินยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีคดีที่ทักษิณถูก คตส.สอบสวนและส่งต่อไปยัง ป.ป.ช. ซึ่งหลายคดีได้หลุดไปในชั้นอัยการด้วยเหตุที่อัยการอ้างว่าสำนวนไม่สมบูรณ์จึงสั่งไม่ฟ้อง

แต่ทาง ป.ป.ช.ยืนยันจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ คือ คดีทุจริตการจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ 9000 และคดีการปล่อยเงินกู้ธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มบริษัทเอกชนที่ ป.ป.ช.สอบสวนเอาผิดทักษิณและพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย โดยมีรายงานว่า ป.ป.ช.กำลังให้ทีมงานของสภาทนายความเตรียมยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ ก่อนสิ้นปีนี้

หากศาลฎีกาฯ รับฟ้องจะทำให้มีคดีทักษิณอยู่ในชั้นศาลฎีกาฯ อีก 2 คดี รวมเป็น 6 คดี ยังมีคดีที่อยู่ในชั้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อีกหนึ่งคดี คือ คดีก่อการร้ายที่ดีเอสไอสอบสวนทักษิณกับแกนนำ นปช.รวม 25 คน ในช่วงการชุมนุมคนเสื้อแดง

ดังนั้น ถ้าทักษิณได้ประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษจริง ก็ยังมีความเสี่ยงหากต้องเดินทางกลับไทย ที่อาจต้องเข้าคุกเข้าตะรางจากหมายจับและคดีความที่เหลือที่จะเริ่มกลับมาเดินหน้านับหนึ่ง

แม้จะขอประกันตัวได้ แต่พฤติกรรมการหลบหนีที่ผ่านมา คงทำให้ศาลไม่เชื่อใจอีก

ทางดีที่สุดของทักษิณ คือ ล้างไพ่ ยกเลิกทุกคดีความ เหมือนอย่างที่ “บิ๊กเหลิม” เตรียมสเต็ปใหม่ชงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมปีหน้า

 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #604 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 11:44:06 »

กมธ.ปรองดองซัดกันนัวพท.เสนอช่วยแดงติดคุก

 

กมธ.ปรองดองซัดกันยับ เพื่อไทยเสนอแนวทางช่วยแดงติดคุก ปชป.สวนกลับไม่เหมาะสม พร้อมเตรียมเชิญคอป.ให้ข้อมูลอุปสรรคปรองดอง

ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ เป็นประธาน มีความเห็นร่วมให้เชิญตัวแทนจากคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มาชี้แจงถึงกรอบการทำงานที่ผ่านและแนวทางการสร้างความปรองดองมาที่ประชุมกมธ.ในวันที่ 29 พ.ย.

พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ที่ประชุมกมธ.ต้องการเชิญคอป.มาให้ข้อมูลเป็นหน่วยงานแรกเพราะถือว่าเป็นภาคส่วนสำคัญที่สุดต่อการสร้างความปรองดองในฐานะที่เป็นภาคส่วนในการสนับสนุนเรื่องมาโดยตลอด ทำให้กมธ.เล็งเห็นว่าคอป.ควรจะมาให้ความรู้และปัญหาอุปสรรคของการทำงานที่ผ่านมา เพื่อที่ช่วยให้การทำงานของกมธ.มีแนวทางที่ชัดเจนต่อไปในการเดินหน้าสร้างความปรองดอง

พล.อ.สนธิ กล่าวว่า นอกจากนี้ กมธ.จะนำประเด็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้มาพิจารณาด้วยโดยจะพิจารณาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เช่น พ.ร.ก.กำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 และที่ประชุมมีความเห็นจะเสนอเรื่องให้สภาฯขยายเวลาการทำงานเพิ่มเติมออกไปอีก 90 วันจากกำหนดเดิมที่จะหมดวาระในวันที่ 17 ธ.ค.   

สำหรับการประชุมกมธ.ช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 9.30 น.เป็นไปอย่างดุเดือดเมื่อกมธ.ในซีกของพรรคเพื่อไทยหลายคนต้องการผลักดันให้กมธ.เร่งพิจารณาหาแนวทางให้ความช่วยเหลือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ซึ่งถูกคุมขังในข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 ขณะที่ กมธ.ซีกพรรคประชาธิปัตย์แย้งว่าถ้าดำเนินการเฉพาะส่วนนี้จะเท่ากับว่าเป็นการละเลยส่วนอื่นที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกันเช่นกัน

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การสร้างความปรองดองต้องดำเนินการให้ถูกจุดและเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายควรต้องเป็นอย่างยุติธรรม ซึ่งส่วนตัวไม่ได้ขัดขวางในการดำเนินคดีกับบุคคลตามข้อหาที่ทางการได้ตั้งเอาไว้ แต่ควรจะให้ความเป็นธรรมแก่พวกเขาให้ได้รับสิทธิ์การประกันตัวเพื่อออกมาต่อสู้คดีในชั้นศาล

“โดยในขั้นตอนเห็นว่าต้องเชิญกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพมาชี้แจงถึงความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่ได้รับหมายตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว พร้อมด้วย กรมราชทัณฑ์ เนื่องจากคิดว่าจะเป็นหน่วยงานที่รับทราบถึงพฤติกรรมและความประพฤติของผู้ถูกคุมขังได้ดีที่สุด ซึ่งถ้าเราได้ข้อมูลส่วนนี้มาจะช่วยเพิ่มน้ำหนักในการขอประกันตัวในชั้นศาลด้วย”นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายวัฒนา เมืองสุข สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยในฐานะรองประธานกมธ. กล่าวว่า สนับสนุนแนวความคิดของนายณัฐวุฒิ แต่เห็นว่าควรประสานไปยังสำนักงานเลขาธิการศาลยุติธรรมให้รับทราบถึงแนวทางนี้ด้วยเพื่อชี้ให้เห็นว่าคดีเหล่านี้เป็นลักษณะของคดีการเมืองไม่ใช่คดีอาญาปกติทั่วไป ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้บรรยากาศทางการเมืองผ่อนคลายลงไปได้

ปรากฎว่าภายหลังจากนายวัฒนาได้นำเสนอแนวคิดในการประสานงานกับสำนักงานเลขาธิการศาลยุติธรรม ทำให้สส.พรรคประชาธิปัตย์กล่าวแสดงไม่เห็นด้วย โดยนายสุทัศน์ เงินหมื่น สส.บัญชีรายชื่อ แย้งว่า ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับหน่วยงานเพราะจะดูเหมือนกมธ.กำลังกดดันการใช้ดุลยพินิจของศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง โดยคิดว่าแค่เชิญกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพมาให้ข้อมูลก็น่าจะเพียงพอแล้ว

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้ที่ประชุมกำหนดลำดับความสำคัญของประเด็นที่จะพิจารณาให้ดีว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับส่วนหนึ่งส่วนใดมากเกินไปหรือไม่ เช่น ถ้าจะพิจารณาเรื่องผู้ถูกคุมขังในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี2553 ก็ต้องพิจารณาเรื่องการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมด้วยหรือไม่ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจที่ถูกเผาอาคารสถานที่ เป็นต้น

“ที่สำคัญการจะพิจารณาว่าผู้ต้องหาจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานหนึ่งหน่วยงานใดแต่อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้หมายความว่าศาลจะพิจารณาให้ประกันตัวตามความเห็นของคอป.ทุกกรณี” นายนิพิฏฐ์ กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อการประชุมเริ่มมีการโต้เถียงกันระหว่างสองพรรคการเมืองมากขึ้นทำให้พล.อ.สนธิ ต้องตัดบทการประชุมหลายครั้งด้วยการกล่าวต่อที่ประชุมกมธ.จะต้องพิจารณาในภาพรวมและอุปสรรคของการสร้างความปรองดองทั้งหมดโดยจะเริ่มจากการเชิญคอป.มาร่วมประชุม ซึ่งทำให้กมธ.ของทั้งสองพรรคเกิดความพอใจ

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #605 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 11:48:52 »

   
การบ้าน 'บนเส้นทางวิบัติ'

    เปลว สีเงิน thaipost.net

23 พฤศจิกายน 2554 -

    เกม "กินบ้าน-ชิงเมือง" นับวันจะซับซ้อนด้วยเล่ห์กลยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น ต้องเปิดหูเป็นเรดาร์ เปิดตาเป็นหน้าจอ เปิดใจเป็นเครื่องสแกน และเปิดสมองเป็นเครื่องกำจัดขยะ นั่นคือ ต้องรับรู้ทุกสิ่งให้มากเข้าไว้ ทั้งที่ชอบและไม่ชอบ ตราบใดที่เรายังมีชีวิต ตราบนั้นเราต้องอยู่กับมัน อยู่กับความต่างนั้น เพราะต้องไม่ลืม จักรวาลเกิดจากมวลสารอัดแน่นแล้วระเบิดแตกกระจาย โลกก็แค่ "สะเก็ดแห่งการแตกแยก" ชิ้นหนึ่งเท่านั้น
    ฉะนั้น ถ้าเรารักจะอยู่ในโลกแห่งการแตกแยกใบนี้ให้มีชีวิต-ชีวา ต้องหมั่นบริหาร "ความต่าง" เพื่ออยู่ร่วมกับ "ความต่าง" นั้นให้ลงตัวให้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ร่วมในลักษณะพอใจหรือเกลียดชัง
    ไม่เช่นนั้น เราจะหาสุขจากการลงตัวในชีวิตไม่ได้เลย!
    เรื่องทักษิณว่าด้วย พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ยังไม่จบ เพียงเปลี่ยนองค์ประกอบฉากเท่านั้น เพื่อความชัดเจนค่อยๆ คุยทีเปลาะดีกว่านะ เอาเป็นว่าด้วยพลังสังคมชาวธรรม การโยนหินถามทางของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ "ไม่ต้องติดคุกก็อภัยโทษได้" เป็นอันพับไป
    พับไปแบบไหน เอ้า...ก็ลองฟังแต่ละตัวละครเขาร้อง-รำวานนี้ (๒๑ พ.ย.๕๔) ตามลำดับก็แล้วกัน เริ่มจากจาก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะเจ้าของเรื่องอภัยโทษ
    "ถ้าผมมีเกียรติและมีศักดิ์ศรีที่พอจะเชื่อถือได้ ก็ขอให้เกียรติและศักดิ์ศรีตรงนี้เอาตำแหน่งของผมเป็นประกัน ไม่ได้ทำให้เสียหาย ขอให้สบายใจ กฤษฎีกายืนยันว่า (พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ) ถูกต้องทุกประการ ซึ่งในวันนี้เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ลงนาม ก็นำเข้าสู่กระบวนการทูลเกล้าฯ ได้เลย วันนี้ทุกอย่างก็ถือว่าจบสิ้นแล้ว เพราะพระราชกฤษฎีกาจะได้ทันในวันที่ ๕ ธันวาคม โดยมีทั้งหมด ๒๖,๐๐๐ รายชื่อ ไม่มีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด"
    มาดูคนต่อไปที่จะต้องเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการคือ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" หลังตอบนักข่าวฝรั่งตอนนางฮิลลารีมาเยือน I miss the cabinet แล้ว ก็ตอบเป็นครั้งที่สองกับนักข่าวไทยที่ย้ำถาม "อภัยโทษครั้งนี้ไม่มีชื่อทักษิณแน่นะ" ว่า
    "ไม่มีค่ะ แต่ในรายละเอียดขอเรียนว่าการพิจารณารายชื่อยังมีอีกหลายขั้นตอน วันนี้เป็นเพียงขั้นตอนการผ่าน ครม. ซึ่งถือเป็นความลับที่เราไม่สามารถพูดได้ แต่ดิฉันไม่มีการที่จะเลือกปฏิบัติอยู่แล้ว ขอยืนยัน"
    นักข่าวถามต่อด้วยคำถามค้างใจประมาณว่า "ก็แล้วทำไม่บอกเสียแต่แรกล่ะ" นายกฯ ขวัญใจช่างภาพตอบว่า
    "รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ที่นำรายชื่อเสนอ ซึ่งต้องเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขั้นตอนต่างๆ มีหลายขั้นตอน ซึ่งเป็นไปตามมติ ซึ่งมตินั้นก็ต้องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาก่อนและนำมาเสนอ มันเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่เราจะสามารถนำรายชื่อมาพิจารณาได้ เพราะขั้นตอนแรกคือพูดถึงเรื่องหลักการก่อน จากนั้นจะไปที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง"

    นี่ละน้าาาา...ไอ้ ๔๙ วันเป็นนายกฯ น่ะ มันเป็นปมด้อยมากกว่าปมเด่น...รู้มั้ย ดันไปยกก้นในสิ่งที่เจ้าตัวไม่มีอยู่ในตัวเองกันอยู่ได้ ขอเรียนท่านนายกฯ หญิงด้วยความหวังดี ทีหลังอย่าปล่อยทื่อด้วยการตอบกับใคร-ที่ไหนเชียวว่า
    "รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้นำรายชื่อเสนอ"!?
    แล้วใครล่ะ ที่ต้องเป็นผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ถวายตามกฎระเบียบการขอพระราชทานอภัยโทษ และใครล่ะเป็นผู้ลงนาม "รับสนองพระบรมราชโองการ"?
    ไม่ใช่ "นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ดอกหรือ!?
    ทีหน้า-ทีหลังอย่าพูดว่า "รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ที่นำรายชื่อเสนอ" เชียวนะ ตัวเองเป็นอะไรอยู่ตอนนี้ และมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้างก็ยังไม่รู้ แล้วยังอยากจะเป็นนายกฯ มันไม่เหมือน CEO บริษัทขายซิมที่ลูกเถ้าแก่-น้องเสี่ยก็แต่งหน้ามานั่งแจกยิ้มเล่นโก้ๆ ได้
    เอ้า...มาดูตัวแสดงร่วมฉากรายต่อไป "นายอัชพร จารุจินดา" เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา พูดง่ายๆ คือคนตรวจปรูฟกฎหมายรัฐบาล เรื่องหลักๆ เมื่อผ่าน ครม.ก่อนประกาศใช้ ต้องให้กฤษฎีกาปรูฟก่อน ถ้ามีผิดก็จะเสนอให้รัฐบาลแก้ไข ส่วนรัฐบาลจะแก้หรือไม่แก้ เป็นเรื่องแต่ละรัฐบาลจะตัดสินใจเอง ส่วนเรื่อง พ.ร.ฎ.นี้ นายอัชพรบอกว่า
    "การพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นไปตามหลักแนวทางปฏิบัติการพระราชทานอภัยโทษเหมือนที่ผ่านมา โดยไม่มีการตัดในส่วนเนื้อหาข้อยกเว้นการทุจริตคอรัปชั่นหรือยาเสพติดออก ส่วนเนื้อหารายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นเรื่องลับ แต่ยืนยันว่าเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเหมือนที่ผ่านมาไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด......"
    ครับ..ก็หมายความว่า พ.ร.ฎ.พระราชอภัยโทษปีนี้ เนื้อหาหลักจะเหมือน พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ๒๕๕๓ คือนักโทษคดียาเสพติด ตัดไม้ทำลายป่า ทุจริตคอรัปชั่น ไม่อยู่ในข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษ
    และอย่างที่เกรงกัน ทักษิณดอดเข้ามามอบตัว นอนเรือนจำ ๕ ดาว โรงเรียนพลตำรวจบางเขนให้มีคุณสมบัติเข้าหลักเกณฑ์อภัยโทษซักวัน-สองวัน ก็จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ถ้าเป็นอย่างที่ฝ่ายรัฐบาลยืนยัน เป็นอันหมดไป ถึงกลับมาติดคุกก็ไม่ได้
    เพราะทักษิณเป็นนักโทษในความผิดทุจริตคอรัปชั่น!
    เอาละ..มีผูก ก็ต้องมีแก้ โบราณท่านว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา ไม่ได้ด้วยเอาอยู่ ก็เอาด้วย...กูปล้ำซะเลย
    ปล้ำลีลาไหน เจ้าชู้ยักษ์..เจ้าชู้ไก่แจ้ หรือเจ้าชู้ประตูดิน ก็มาดูกัน จากคนสำคัญของเรื่องคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เพื่อนเลิฟผมเอง นักข่าวถามแหย่ว่า....ที่ทักษิณไม่กล้ากลับตอนนี้เพราะกลัวคดีเก่าที่ค้างใช่มั้ย? ท่านรองฯ แอคอาร์ตตอบว่า
     “ผมเชื่อว่าท่านไม่กลับ เพราะท่านเป็นพญาหงส์ไม่ลงหนองน้ำเล็ก ไม่เหมือนพวกที่ยังไม่เห็นข้อเท็จจริงก็ออกมาเฮ้ว รัฐบาลชุดนี้สับขาหลอกเป็น พอถูกสับขาหลอกเต้นเป็นเจ้าเข้าเลย”
    เออ..จริงของเขา "พญาหงส์" ย่อมไม่ลงหนองน้ำเล็ก แต่ที่มุดรูท่อระบายน้ำขึ้นมาเลื้อยเพ่นพ่านทำเนียบฯ เป็นประจำนั่นล่ะ สงสัยจะเป็นพันธุ์
    "หงส์เดี้ย"?   

    เรื่องนี้ไว้วิจัยกันทีหลัง มาต่อดีกว่า นักข่าวสับขาถามบ้างว่า "ไม่ใช่มั้ง...เขาตัดมาตรา ๔ ที่ให้ติดคุกก่อนจึงจะได้รับอภัยโทษ ทักษิณก็เลยไม่กลับเข้ามา" นักเลงบางบอนสวนทันที
    “ไม่มีหรอกกกก บ้า...เขาจะทำไม สมมุติทำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา แล้วอีก ๔ คดีว่าไง เกิดไม่ได้รับประกันตัว หรือประกันแล้วถูกอายัดไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศว่าอย่างไร เขาไม่ทำหรอก ผมจบดอกเตอร์ออฟลอว์นะ แต่จะสับขาหลอกเพื่อเช็กเขาว่า ถ้าทำเฉยๆ จะมีอะไรมั่ง ไม่ได้เช็กกระแสก่อนออก พ.ร.บ. เพราะกระแสสังคมเขาเอาอยู่แล้วว่าให้กลับ แต่จะเช็กพฤติกรรมคนพวกนี้ว่าเป็นอย่างไร จะออกมาแบบไหน แล้วจะเช็กว่ามีเพิ่มไหม มีแต่ลดลง ถ้าออกมาเป็น พ.ร.บ.ทำโดยรัฐสภา ใครจะขวางได้ พวกรัฐประหาร ติดคุกก็ยังมี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ใจเย็นๆ”
    สรุปก็คือ เมื่อไม่ได้ด้วย พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ รัฐบาลก็จะไปออก "พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" อย่างที่ท่านรองฯ บอก "พ.ร.บ.ทำโดยรัฐสภา ใครจะขวางได้......"
    ใช่...ใครจะขวาง ในเมื่อรัฐบาลเสียง "ล้นสภาฯ" พยักหน้ากับ ส.ว.ร่วมทาสอีกซักหยิบมือ ก็ปั๊มกฎหมายได้ตามใจชอบ อย่าว่าแต่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเลย
    แก้เพื่อไปร่างรัฐธรรมนูญเทิดทูนทักษิณใช้เป็นกฎหมายหลักของประเทศ เขาก็กำลังจะทำกันเป็นซีรีส์หนังเกาหลีอยู่ตอนนี้!
    น้ำลด เห็นอะไรก่อนรู้มั้ย...ไม่ใช่เห็นขยะ?
    แต่เห็นนิติราษฎร์ของวรเจตน์ชูคอ เห็น คอป.ของคณิตเคลื่อนไหว เห็น คอ.นธ.ของอุกฤษคืบคลาน กระทั่งกรรมาธิการปรองดองของ "สนธิ-บัง" จอมปฏิวัติกลับกลอกเป็น "กระจอกสภา" ปฏิวัติแล้วมาทำหน้าที่..เจว็ดปรองดอง!
    ฉะนั้น ผมจึงขอฝากการบ้านท่านทั้งหลาย รวมทั้งกลุ่มคุณหมอตุลย์ กลุ่มสยามสามัคคี รวมทั้งกลุ่มโซเชียลเน็ตเวิร์ก พ.ร.ฎ.เป็นแค่กองหลอน ดังนั้น อย่าหย่อนมือด้วยตายใจ เพราะที่จะตามมาหลัง "กองหลอน" สลายไปก็มี
    ๑.พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีทักษิณและโจรก่อการร้ายเผาบ้าน-เผาเมืองเป็นเป้าหมาย
    ๒.แก้รัฐธรรมนูญ ตั้ง ส.ส.ร.เขียนรัฐธรรมนูญฉบับทักษิณาจักรไทย
    ๓.นิวไทยแลนด์ เกิดในคราบ กยอ. ที่มี ดร.โกร่งเป็นมือทำงาน กำลังออก พ.ร.บ.ให้อำนาจเป็นรัฐบาลที่ ๒
    ๔.ไทยกำลังเสีย ๔.๖ ตร.กม. ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ยอมรับ "เขตปลอดทหาร" ในพื้นที่ ๑๗.๓ ตร.กม.ตามคำสั่งศาลโลก เพราะนั่นจะทำให้ทหารไทยไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ของเราได้ เท่ากับถูกยึดทางพฤตินัยไปในขั้นแรกทันที!
    เอาละ ฝากรักไว้คร่าวๆ แค่นี้ก่อน เมฆทะมึนจากอากาศ และจากน้ำมือมนุษย์ก่อ ตั้งเค้าทะมึนมาแล้ว ผมเกรงว่าหลังวันที่ ๑๐ ธันวาไปแล้ว สิ่งที่หวั่นตามข้อ ๔ ผมขอภาวนา
    ขออย่าเป็นจริงเลย เพี้ยงงงง!

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #606 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 12:44:13 »

ถ้า ยิ่งลักษณ์ จมน้ำตาย แล้ว “เหลิมส้มหล่น” เป็นนายกฯ!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
       
       เชื่อว่าหลายคนคงนอนไม่หลับกับคำพูดที่ว่าเวลานี้ ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กำลังแย่งกันประจบประแจง ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหวังเป็นนายกรัฐมนตรี “ส้มหล่น” หาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีอันต้องพ้นจากตำแหน่งไปหลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์น้ำท่วมไปแล้ว
       

       หากพิจารณาสถานการณ์ตามความเป็นจริงก็ต้องบอกว่า เวลานี้ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์กำลังพบกับแรงกดดันจากสังคมรอบข้างมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนพบความจริงแล้วว่าเธอไม่เหมาะในทางการเมือง ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งใดก็ตาม อย่าว่าแต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเลย แค่ตำแหน่งธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีทางคู่ควร เพราะที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “เธอไม่มีความสามารถ” ไม่มีความรอบรู้ ไม่มีภาวะผู้นำใดๆ เลย
       

       ที่ผ่านมาตั้งแต่เมื่อเริ่มต้นเดือนสองเดือนแรกก็เริ่มเห็นแนวโน้มกันมามากแล้ว แต่เมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์น้ำท่วม เป็นไฟลท์บังคับที่ต้องแสดงฝีมือออกมาให้เห็น แต่ผลที่ออกมาล้วนออกมาล้วนแล้วแต่สร้างความสับสน ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง สร้างความผิดหวังไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกันเอง
       
       ดังนั้น เมื่อรูปการยังเป็นแบบนี้ต่อไปมันก็ย่อมส่งผลกระทบต่อยุทธศาสตร์ของ ทักษิณ ชินวัตรในอนาคตอีกด้วย เพราะถ้ายิ่งลักษณ์ยังทำผลงานได้ห่วยแตกแบบนี้ มันก็คงไม่อาจเปิดเกมรุกในเรื่องอื่นได้เลย ตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นก็คือ การสั่งถอยกรณี พระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ นอกเหนือจากเป็นเรื่องของการเอาเปรียบคนอื่นอย่างน่าเกลียดจนสร้างอารมณ์ร่วมในการต่อต้านกันรอบทิศแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะความไม่ประทับใจรัฐบาลและรัฐมนตรีแต่ละคนไม่ได้เรื่อง เพราะถ้ายังขืนดันทุรังเดินหน้าก็กลัวจะพังกันทั้งขบวน
       
       เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้มันก็เป็นได้สูงที่จะต้องมีการเปลี่ยนตัว เพื่อ “กำหนดเกม” กันใหม่ แต่คำถามก็คือ ถ้ายิ่งลักษณ์ ต้องลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี จริงๆแล้วเมื่อพิจารณาจากตัวเลือกที่เหลือแล้วใครที่อาจได้เป็น “นายกฯส้มหล่น”
       
       บางคนมองไปที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เมื่อพิจารณาจากการแข่งขันกันประจบประแจง ทักษิณ ชินวัตร ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยใช้วิธีการที่เอาเปรียบคนอื่นไม่ต่างจากพวก “อภิสิทธิ์ชน” แบบไร้มาตรฐาน ทั้งที่เคยโจมตีกล่าวหาคนอื่น ทำนองว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง แต่เป็นเพราะสังคมตื่นตัวรู้ทันทำให้ต้องถอยกลับไปชั่วคราวเพื่อตั้งหลักใหม่
       
       อย่างไรก็ดี เป็นการชี้ให้เห็นว่า ในสถานการณ์ชุลมุนก็ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่หวังฟลุกลุ้นตำแหน่งแบบไม่ต้องลงทุน โดยไม่สนใจว่ามันน่าเกลียด หรือถูกรุมโห่อย่างไรก็ตาม
       
       ขณะเดียวกัน แม้ว่าในความเป็นจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะคนอย่าง ทักษิณ ย่อมไม่มีทางไว้ใจคนอื่น แต่ในเส้นทางฝันทุกคนก็ย่อมมีสิทธิ์ฝันกันได้อยู่แล้ว
       
       เมื่อเปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ระหว่าง เฉลิม กับ พล.ต.อ.ประชา นาทีนี้ยังไม่อาจสรุปได้ว่าจะเป็นไปได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ แต่รับรองว่าในใจลึกๆ คงจะมีการฝันหวานกันบ้าง แต่ขณะเดียวกันปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเจอก็ต้องบอกว่าสำหรับ พล.ต.อ.ประชา น่าจะมีอุปสรรคมากกว่า เนื่องจากกำลังจะขึ้นเขียงให้ฝ่ายค้านถล่มในศึกซักฟอกในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ซึ่งก็พอมองเห็นภาพอยู่แล้วว่าที่ผ่านมาเละเทะขนาดไหน เป็นการเลือกตีเข้าไปที่จุดอ่อน แม้ว่าในภาพรวมจะต้องลาก ยิ่งลักษณ์ ลงมาด้วยก็ตาม
       
       แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับเช่นเดียวกันว่า สำหรับ เฉลิม ในใจลึกๆ ย่อมต้องการให้ถล่มจน พล.ต.อ.ประชาจนหมดสภาพก็เป็นได้ เพราะในทางการเมืองถือว่าเป็นคู่แข่งในเส้นทางสู่ฝันข้างหน้า แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นสูตรสำเร็จเสมอไป ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับความพอใจ รวมไปถึงผลประโยชน์ที่เจ้าของพรรคจะได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าหรือไม่ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้เห็นคนอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม ยังเดินหน้าประจบต่อเนื่อง โดยไม่สนใจความรู้สึกของสังคมว่าจะคิดอย่างไรยังยืนยันว่าจะต้องหาทางทำให้ ทักษิณ พ้นจากความผิดให้ได้ พร้อมทั้งอ้างตรรกะการเลือกตั้ง อ้างเสียงส่วนใหญ่มาใช้สำหรับการลบล้างความถูกความผิด
       
       ความหมายก็คือ เมื่อพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งเข้ามาด้วยเสียงส่วนใหญ่ นั่นแสดงให้เห็นว่าชาวบ้านต้องการให้ทักษิณกลับเข้ามา
       
       ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากผลงานที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า วัดจากผลประโยชน์ที่ ทักษิณ ซึ่งเป็นเจ้าของคนพวกนี้จะได้ประโยชน์ และเมื่อเปรียบเทียบจากความจริงที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งการตั้ง สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาแล้ว ถือว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อเป็นแบบนี้ทำไมคนอย่าง เฉลิม อยู่บำรุง จึงไม่มีสิทธิ์ฝันไกลถึงนายกรัฐมนตรีสักครั้งในชีวิตไม่ได้ แต่ขณะเดียวกัน อย่าได้ถามถึงความรู้สึกของชาวบ้านว่าจะสยดสยองเพียงใด!!

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #607 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 12:47:19 »

อนาคตฝากไว้ที่ ยิ่งลักษณ์ !!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
เกาะกระแส
       โดย...ก้อนกรวด
       
       00 หลายคนมองตรงกันว่า “การถอย” ของ ทักษิณ ชินวัตร เที่ยวนี้เป็นการถอยเพื่อ “ผ่อนแรงต้าน” ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป นั่นคือเป็นการ “ตัดไฟ” ก่อนที่จะลุกลามจนขยายวงกว้างควบคุมไม่ได้ จะเสียการใหญ่ในภายหน้า ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไข รธน. เพื่อลบล้างความผิดแบบ “แพ็กเกจ” การออกกฎหมายล้างมลทิน นิรโทษแบบที่ไม่เคยมีความผิด ฯลฯ อย่างน้อยต้องรอให้พวกบ้านเลขที่ 111 ได้หลุดออกมาเสียก่อนก็ยังดี ที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นการ “หยั่งกระแส” เอาไว้ก่อนว่าแรงต้านนั้นแรงแค่ไหน
       
       00 เชื่อว่าการถอย ไม่รับประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ คงทำให้ ทักษิณ และเครือข่ายต้องกลับมาประเมินสถานการณ์กันใหม่ เพราะนี่คือคำตอบที่สะท้อนกลับมาอย่างทันควัน และหากยังดันทุรังเดินหน้ารับรองว่าต้อง “ลุกฮือ” พร้อมกันทั่วประเทศแบบรุมสหบาทากันอย่างคาดไม่ถึงแน่นอน ประกอบกับผลงานของรัฐบาล “หุ่นเชิด” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำผลงานอย่างไร้มาตรฐาน “เปลือยกาย” ให้เห็นอย่างล่อนจ้อนในเวลาอันรวดเร็วมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ เหมือนกับว่า ทำงานไม่ได้เรื่องแต่ดันจะมาใช้สิทธิพิเศษ “เอาเปรียบ” คนอื่นไม่สิ้นสุด มันก็ย่อมสร้างความรำคาญเป็นธรรมดา
       
       00 ดังนั้นหากพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่และต่อเนื่องไปถึงวันข้างหน้า การที่ ทักษิณ จะสมหวัง จะมีโอกาสได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการหรือไม่ ส่วนสำคัญมันก็ขึ้นอยู่กับ “สติปัญญา” ของ น้องสาวตัวเองคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นส่วนสำคัญ เพราะถ้าทำผลงานได้ดีมันก็มีโอกาส “มั่วนิ่ม” ทำตามใจได้สะดวกขึ้น เหมือนกับก่อนหน้านี้เคยมีผลสำรวจออกมาจนตื่นตะลึงกันไปแล้วว่า “แม้จะโกงถ้าทำให้อยู่ดีกินดีก็ยอมรับได้” แม้ว่าเป็นตรรกะที่ผิดเพี้ยน แต่สะท้อนให้เห็นว่าในยุคหนึ่ง ทักษิณ สามารถสร้างภาพลวงตาหลอกต้มชาวบ้านมาได้จนถึงวันนี้ แต่สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้น เพราะต้องเจอกับมหาอุทกภัย ต้องพิสูจน์ฝีมือกันตามความเป็นจริง ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น ต้องถอยกรูด ไม่เป็นขบวน
       

       00 ขณะเดียวกันมองอีกมุมหนึ่ง บางครั้ง ทักษิณ นี่น่าสงสารเหมือนกัน เหมือนกับว่า คนรอบตัวล้วนแล้วแต่ต้องการเข้ามาหาประโยชน์แทบทั้งสิ้น กรณีการออก พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษดังกล่าวก็มีเรื่องของการ “เอาใจ” ทักษิณ จนเกินความพอดี ที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็มี “เหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ต้นตอของเรื่อง เพราะคนพวกนี้รู้ดีว่า สติปัญญาของ ยิ่งลักษณ์ เป็นอย่างไร แอบลุ้นอยู่ในใจลึกๆเรื่อง “นายกฯส้มหล่น” ในวันหน้าหากเข็ญกันต่อไปไม่ไหวจริงๆ
       
       00 สิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ทำงานไม่ได้เรื่อง และเชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสะสมความไม่พอใจของชาวบ้านเพิ่มขึ้นอีก นั่นคือกรณี “เบี้ยยังชีพ” ผู้สูงอายุ ที่ พรรคเพื่อไทยเคยเกทับปชป.เอาไว้ว่าจะเพิ่มให้สูงขึ้น เป็นเท่าตัว แต่ของจริงก็คือเวลานี้ผ่านมาสองสามเดือนแล้ว “คนแก่” ทั่วประเทศยังไม่ได้รับสักบาท อยากถามไปถึง รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมฯสันติ พร้อมพัฒน์ และนายกฯคนสวยว่าเมื่อไหร่จะจ่าย คุณตาคุณยายจะแห้งตายกันอยู่แล้ว อย่าดีแต่โม้ !!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #608 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2554, 13:02:27 »

แดงแฉกันเองซัดตั้งหมู่บ้านหวังเงินแม้ว

    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ที่ปรึกษามูลนิธิ111แฉเสื้อแดงบางกลุ่มลุยตั้งหมู่บ้านแดงหวังเอาเงินจาก "ทักษิณ"


นายสมชัย แสงทอง แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)พร้อมด้วยนางเพ็ญศิริ ณรงค์แสง แกนนำกลุ่มนปช. อ.พาน ได้ทำพิธีเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงขึ้นที่บริเวณวัดคีรีธรรมาราม บ้านทุ่งผักกูด ม.13 ต.ป่าหุ่ง อ.พาน โดยมีแกนนำไปทำพิธีเปิดและร่วมปราศรัย เช่น นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ ที่ปรึกษามูลนิธิ 111 นางดารุณี กฤตบุญญาลัย นายจิรโรจน์ กีรติศักดิ์วรกุล แกนนำกลุ่มรักประชาธิปไตยแดงพะเยา ฯลฯ

นพ.ประสงค์ กล่าวว่า เรื่องกฎหมายสองมาตรฐาน คนเสื้อแดงถูกลงโทษติดคุกแต่คนเสื้อแดงไม่ติดคุก รวมทั้งเรียกร้องให้มีการขยายหมู่บ้านเสื้อแดงออกไปและหากมีการปฏิวัติรัฐประหารอีกก็จะได้นำคนเสื้อแดงออกมาต่อสู้

อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายของการปราศรัย นพ.ประสงค์กล่าวว่าปัจจุบันมีคนเสื้อแดงบางกลุ่มจัดตั้งหมู่บ้านเพื่อหวังได้เงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเป็นพฤติกรรมที่หวังได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเองฝ่ายเดียวด้วย แต่ก็ยังอยากให้เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงมากๆ เพราะจะทำให้รัฐบาลชุดปัจจุบันนำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีอยู่ได้นานๆ และ พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้กลับบ้านเร็วๆ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #609 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2554, 13:06:19 »

ซักฟอก ประชา เกมกระทบชิ่ง ยิ่งลักษณ์?

   
โดย...ทีมข่าวการเมือง

การจัดทัพวางตัว 10 ขุนพลลงศึกซักฟอก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ของประชาธิปัตย์ เที่ยวนี้ถูกจับจ้องไปที่ 3 ประเด็นใหญ่ อย่างเรื่องการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดที่ทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายรุนแรงแล้ว การแต่งตั้ง สส.เป็นกรรมการบริหารจัดการถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ
รวมทั้งประเด็นสำคัญอย่างเรื่องความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อถุงยังชีพและสิ่งของอุปโภคบริโภค ที่ประชาธิปัตย์เปิดประเด็นอัดรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง


แน่นอนว่า “เป้าหมาย” การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่ทำงานมาได้เพียงแค่ 4 เดือนนั้น ไม่ได้หวังผลถึงขั้นทำให้เสียงข้างมากจากพรรครัฐบาลหันมาโหวตไม่ไว้วางใจ

แม้เวลานี้ พล.ต.อ.ประชา จะถูกโดดเดี่ยวลอยแพจากรัฐบาลที่พร้อมจะตัดตอนปัญหา สังเวยความรับผิดชอบทั้งหมด เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลเอาไว้

แต่ว่ากันว่าปมปัญหาเรื่องปลากระป๋องเน่า ที่ยังตามมาหลอกหลอนประชาธิปัตย์ไม่หยุดหย่อน ทำให้ประชาธิปัตย์ใช้จังหวะนี้เร่งขยายแผล “ถุงยังชีพ” ให้กลายเป็น “ถุงปลิดชีพ”

นอกจากจะมีหลักฐานคาหนังคาเขามัดแน่นจนดิ้นไม่หลุดแล้ว อีกด้านหนึ่งยังเป็นการเอาคืนเรื่องปลากระป๋องเน่า ที่ฉุดภาพลักษณ์ความโปร่งใสของรัฐบาลประชาธิปัตย์สมัยนั้นให้มัวหมอง

ที่สำคัญท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วมที่มูลค่าความเสียหายพุ่งสูงหลายแสนล้านบาท ชาวบ้านหลายพื้นที่ย้งต้องทนทุกข์กับสภาพน้ำท่วมขังที่นานกว่า 2 เดือนจนเริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็น

ลำพังแค่ความ “ล่าช้า” และ “ไม่ทั่วถึง” ก็ทำให้ชาวบ้านอิดหนาระอาใจกับรัฐบาลและการทำงานของ ศปภ.อยู่แล้ว การเพิ่มชนวนเรื่อง “ทุจริต” เข้ามาอีกยิ่งซ้ำเติมความรู้สึก เพิ่มความทุกข์ ความแค้น ความเจ็บปวด ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

ที่ผ่านมาประชาธิปัตย์พยายามขยายประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การชำแหละของในถุงยังชีพที่ถูกวิจารณ์ว่าราคาสูงเกินจริงมาก มาจนถึงของใหญ่อย่างเรือไฟเบอร์กลาส ที่ครั้งแรกซื้อ 30 ลำ ลำละ 2.5 แสนบาท ทั้งที่ราคาปกติอยู่เพียงแค่ 9 หมื่นบาท แม้จะปรับลดราคาจัดซื้อในครั้งที่สอง เหลือลำละ 1.98 แสนบาท แต่ก็เปราะบางแตกง่าย

จากการตรวจสอบพบความผิดปกติของการจัดซื้อสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตั้งแต่ถุงยังชีพ เรือ ส้วมกระดาษที่ถูกสั่งซื้อจาก ห้างหุ้นส่วนจำกัด พูนเจริญพานิช และบริษัท เติมคอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่เดียวกัน

การอภิปรายฯ เที่ยวนี้ วิลาศ จันทร์พิทักษ์สส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเกาะติดเรื่องการจัดซื้อสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยต่อเนื่อง ยังมีข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้เปิดเผยเตรียมนำมาชำแหละในเวทีซักฟอกรอบนี้

จุดอ่อนสำคัญของ พล.ต.อ.ประชา คือการชี้แจงทำความเข้าใจในเวทีสภา จึงทำให้ตกที่นั่งลำบากมากยิ่งขึ้น แม้ที่ผ่านจะได้แต่ยืนยันเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่าไม่มีอำนาจหน้าที่ซื้อของ พร้อมโยนว่าไม่มีอำนาจใช้เงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

แต่จากการชี้แจงของ จำเริญ ยุติธรรมสกุล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบริหารจัดการถุงยังชีพและเครื่องอุปโภค บริโภคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ได้ยืนยันกับคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ว่าการจัดการเรื่องถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคเป็นภาระหนึ่งของ ศปภ.

ในส่วนประเด็นการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดจนทำให้ต่อมามีประชาชนและกลุ่มประชาชนในหลายพื้นที่เริ่มจะยื่นฟ้องร้องเรียกความเสียหายจากรัฐบาล ยังเป็นประเด็นที่ “ประชาธิปัตย์” ดูจะไม่อาจปล่อยผ่านได้

ยิ่งในฐานะ ผู้อำนวยการ ศปภ. ที่เป็นศูนย์กลางการแก้ปัญหาน้ำท่วมเที่ยวนี้ ย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ที่สำคัญการอภิปรายการทำงาน ศปภ. ยังกระทบชิ่งต่อไปถึง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบสูงสุดในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร

สำหรับปมใหญ่อย่างการลงนามแต่งตั้ง สส.พรรคเพื่อไทย หลายคนให้มาเป็นกรรมการบริหารจัดการถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่มีหลักฐานการเซ็นแต่งตั้งมัดแน่น เข้าข่ายความผิดฐานก้าวก่ายแทรกแซงการอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 265 และมาตรา 266

ทว่าประเด็นนี้จะดูแผ่วลงไปเมื่อ “เพื่อไทย” ได้ย้อนกลับว่าสมัยประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นมีคำสั่งแต่งตั้ง 19 สส.พรรคประชาธิปัตย์ ไปช่วยงานกระทรวงวัฒนธรรม และเพื่อไทยได้ยื่นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบเรื่องนี้เช่นกัน

สุดท้าย กกต.ได้ยกคำร้องด้วยเหตุผลว่า ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า สส.เหล่านั้นปฏิบัติหน้าที่ตามที่มอบหมายหรือไม่

ไล่ดูตัวบุคคลที่จะอภิปรายฯ เที่ยวนี้ เปิดด้วย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรค และปิดท้ายด้วย “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ที่จะขมวดปมสรุปการอภิปรายฯ ตามรูปที่เคยปฏิบัติมา ขณะที่ สส.ที่จะอภิปรายเที่ยวนี้คร่าวๆ ได้วางตัว “วิลาศ” ไว้ชำแหละปมปัญหาการทุจริตการจัดซื้อต่อเนื่อง

อีกด้านหนึ่งยังดึง “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่เคยรับหน้าที่ประธานคณะกรรมการอำนวยการ กำกับติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ในรัฐบาลที่แล้ว ที่จะรู้ระบบระเบียบการทำงานแก้ปัญหาน้ำท่วม ที่จะมาชำแหละความล้มเหลวการบริหารจัดการของ ศปภ.

รวมไปถึง “อภิรักษ์ โกษะโยธิน” อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่จะได้ใช้ประสบการณ์ในอดีตมาอภิปรายถึงการแก้ปัญหาบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ กทม.และพื้นที่โดยรอบใกล้เคียง

สุดท้ายแม้การอภิปรายไม่ไว้วางใจเที่ยวนี้ ประชาธิปัตย์จะไม่สามารถหา “หมัดน็อก” จังๆ ได้ แต่ก็เป็นโอกาสนวดรัฐบาลที่กระทบชิ่งไปถึง “ยิ่งลักษณ์” ที่จะทำให้เก้าอี้นายกฯ หญิงสั่นคลอนไปเรื่อยๆ

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #610 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2554, 15:24:16 »

มาร์ค” ยันซักฟอกไม่เหนื่อยฟรี ฉะ “ประชา” เอาแต่พูดเท็จ ไม่แจงข้อกล่าวหา
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    


      
อภิสิทธิ์” ยืนยันญัตติซักฟอกไม่เหนื่อยฟรี พวกที่ถูกยื่นถอดถอนต้องเดินหน้าต่อ ผิดหวัง “ประชา” ไม่ตอบข้อกล่าวหา แต่กลับเล่านิทานปล่อยน้ำล้มรัฐบาล ยกย่องพวกทำผิดกฎหมาย ชี้ “ยิ่งลักษณ์” ต้องรับผิดชอบถ้าไม่ปรับ ครม. แนะรัฐบาลดูเรื่องแรงงานได้รับผลกระทบแรง จ่ายชดเชยผู้ประสบภัยเพิ่ม พร้อมกำหนดแผนระยะกลาง ทบทวนนโยบายเร่งด่วนก่อน
       
       นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประเมินภาพรวมของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมว่า ฝ่ายค้านไม่ถือว่าเป็นการเหนื่อยฟรี เพราะเราทำหน้าที่ในการตรวจสอบและคิดว่าประชาชนที่ได้รับฟังการอภิปรายได้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งกระบวนการถอดถอนก็ยังคงเดินหน้าต่อไปไม่ว่าใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการตรวจสอบโดยตรงและฝ่ายค้านยังได้สะท้อนให้เห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมจะไม่มากขนาดนี้ถ้าบริหารจัดการอย่างตรงไปตรงมา และไม่เอาเรื่องการเมืองมาแทรกแซง ซึ่งรัฐบาลควรนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุง
       
       ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะไม่มีการปรับ ครม.นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องของนายกฯ แต่เมื่อตัดสินใจเช่นนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของท่าน เพราะประเด็นที่ฝ่ายค้านชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวก็ยังมีให้เห็นต่อเนื่อง เช่น ความขัดแย้งของประชาชนที่ยังมีอยู่หลายพื้นที่ หากสภาพเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นายกฯ ต้องผู้รับผิดชอบ การที่รัฐบาลให้ความไว้วางใจในครั้งนี้เท่ากับเห็นว่า พล.ต.อ.ประชาทำได้ดี ทั้งที่ข้อมูลที่ปรากฎออกมานั้นสะท้อนมาจากประชาชน ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกที่ชัดเจน และยังไม่เห็นว่า พล.ต.อ.ประชาไม่ได้ชี้แจงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านเลย มีแต่ตอบโต้โดยการเอารูปที่ตนไปแจกของที่ จ.พิษณุโลกมาชี้แจงทั้งที่เป็นคนละเรื่องกันเลย เพราะเรากำลังท้วงติงเรื่องคนที่เอาของที่จัดสรรโดยงบประมาณไปบริจาคโดยแอบอ้างเป็นของตัวเอง ขณะที่การทำกิจกรรมสามารถทำได้ เพราะทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา บอกถึงที่มาที่ไป และไม่เคยไปข่มขู่เอาสิ่งของมา เพราะส.ส.ได้ประสานไปยังพื้นที่ตามขั้นตอน ซึ่งผู้ว่าฯ ก็ได้คุยกับพวกตนว่าไม่มีการพูดเช่นนั้น
       
       นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พล.ต.อ.ประชากล่าวเท็จ พูดเป็นเล่นว่าฝ่ายค้านไปบังคับผู้ว่าฯ ได้ เรื่องนี้ต้องมีคนโกหกคนหนึ่ง ตนไม่ได้ทำอะไรเสียหาย แต่รัฐมนตรีต้องทบทวนตัวเองว่าเอาอะไรมาพูด ส่วนตัวตนเชื่อผู้ว่าฯ แต่สิ่งที่รัฐมนตรีพูด ถือเป็นความพยายามสร้างความสับสน เล่านิยายว่าปล่อยน้ำมาทำลายรัฐบาลทั้งที่ไม่มีข้อเท็จจริง ซึ่งถือว่าน่าผิดหวังมาก เพราะข้อเท็จจริงต่างๆ ไม่ได้มีการอธิบายเลย
       
       “เราไม่ได้มีใครห้ามให้ ส.ส.ไปช่วยเหลือประชาชน แต่ระบบเป็นอย่างนี้จริงหรือ เอาเรือไปแจกแล้วบอกกลัวไม่ได้คืนจึงต้องไปใส่ชื่อ ส.ส. ทั้งที่เรือก็มีชื่อหน่วยงาน มีเลขกำกับอยู่แล้ว สามารถติดตามได้ มันไม่ใช่ประเด็น ทั้งนี้ การชี้แจงของ พล.ต.อ.ประชาเป็นอย่างนี้มาทุกครั้ง ตั้งแต่มีการอภิปรายเรื่องงประมาณ และญัตติน้ำท่วม เป็นความสนุกของท่าน”
       
       “ผมเข้าใจดีถึงระบบเสียงข้างมากที่สามารถเป็นผู้กำหนดแนวทางได้ แต่ผมคิดว่าเราไม่ได้เสียเปล่า เพราะเรามีโอกาสเสนอข้อเท็จจริง เพราะหลายเรื่องเราเคยนำเสนอแต่ก็ไม่สามารถทำได้เป็นระบบ และจะเห็นว่าเราถูกคัดค้านพอสมควร แต่ก็อยากจะติงว่าการอภิปรายครั้งนี้เวลาที่เสียไปกับเรื่องการประท้วง หรือใช้สิทธิพาดพิงเกินขอบเขต แทบจะมากกว่าเวลาการอภิปราย อยากให้รัฐบาลเคารพกระบวนการตรวจสอบของสภาฯ และผมเป็นห่วงว่าถ้ารัฐบาลยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แก้ไขแนวทาง ที่สำคัญรัฐมนตรีเองกลับลุกขึ้นมาชื่นชมคนที่ทำผิดกฎหมายเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง ควรยอมรับว่ามันมีปัญหาแล้วไปแก้ไขจะดีกว่า” นายอภิสิทธิ์กล่าว
       
       ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่า อยากให้รัฐบาลตั้งหลักให้ได้ว่าปัญหาน้ำท่วมเป็นปัญหาของส่วนรวม ถ้ายังคิดตามการแบ่งเขตเลือกตั้งหรือคิดเรื่องพรรค เอา ส.ส.ที่อยากจะใช้ประโยชน์ทางการเมืองก็จะทำให้การแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ขณะนี้ประชาชนกำลังรอการเยียวยาอยู่ อยากรู้ว่ารัฐบาลจะมีคำตอบอะไรที่ดีกว่ามาตรการที่ออกมาแล้ว รวมถึงการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งตนได้กำชับคณะกรรมาธิการให้ตรวจสอบอย่างเข้มข้น ยิ่งได้เห็นการของบประมาณ เช่น เรื่องข้าวกล่องที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายเห็นได้ชัดว่าไม่มีความรัดกุม จึงต้องมีการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มีการประเมินความเสียหายจากอุทกภัยครั้งนี้อยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ประเด็นที่ตนแนะนำรัฐบาลไปมี 3 เรื่องหลัก คือ ให้ความสำคัญกับเรื่องแรงงานให้มาก เพราะจะมีความละเอียดอ่อนและกระทบกับชีวิตของประชาชนโดยตรง ควรจะมีการกำหนดแผนระยะกลาง เรื่องการเงินการคลังที่ต้องรับมือฟื้นฟูเศรษฐกิจและทบทวนนโยบายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและสำคัญ ทั้งนี้ ตนจะเดินหน้าคุยกับภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากวันพรุ่งนี้ (29 พ.ย.) จะเดินทางไปหารือกับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลประเมินปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำขณะนี้เป็นแค่ชั่วคราว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะไปพูดโดยรวมไม่ได้ บางภาคธุรกิจอาจมีการเติบโตในช่วงฟื้นฟู ธุรกิจที่ชะงักไปชั่วคราวก็อาจเริ่มฟื้นตัวเช่นกัน แต่ต้องระวังในส่วนของความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกึ่งถาวร หรือถาวร เช่น บางคนที่ไม่ต้องการจะฟื้นฟู หรือจะย้ายฐานการผลิตจะกระทบแน่นอน ส่วนเรื่องแรงงานจะยากที่สุด เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า ความต้องการแรงงานและการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงการว่างงานจะเกิดขึ้นพร้อมกันไป รัฐบาลต้องบริหารให้ดี ซึ่งตนอยากเห็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาลก่อน เพราะขณะนี้จะเห็นเพียงแต่การของบประมาณจากจังหวัดและกระทรวง โดยไม่มีภาพรวมที่ชัดเจนในการจัดลำดับความสำคัญ ทั้งนี้ การที่รัฐบาลประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเป็นแบบรูปตัววีนั้น ก็อยู่ที่การจัดการ แต่คงไม่เกินขึ้นตามธรรมชาติ เพราะรัฐบาลต้องเข้าไปดูแล
       
       “ถ้าเป็นผมวันนี้ต้องแยกนโยบายต่างๆ ให้ชัดเจน คือ ส่วนที่ทำให้กำลังซื้อ และการดำรงชีวิตของประชาชนอยู่ได้ด้วยการเยียวยาแบบขั้นบันไดที่พูดในสภา และส่วนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานควรจะแยกออกจากกัน และดูสัดส่วนให้เหมาะสมเพื่อที่จะได้เดินไปครบถ้วนทุกด้าน”
       
       ส่วนเรื่องการเดินหน้าถอดถอนนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ควรจะมีเพิ่มเติมจากการรวบรวมข้อมูลในการอภิปรายครั้งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น ส.ส. ส่วนจะมีคนอื่นเพิ่มเติมหรือไม่คงต้องไปดูข้อเท็จจริงก่อน เพราะยังมีหลายข้อมูลที่ยังไหลเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยนำญัตติถอดถอนมาอ่านในที่ประชุมสภาฯ ทั้งที่เป็นความลับนั้น ก็ต้องมีการพิจารณาอีกครั้งว่า เป็นเอกสารอะไร และได้มาอย่างไร ซึ่งโดยหลักการแล้วอยู่ระหว่างการดำเนินการของ ป.ป.ช.
       
      ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าจะนำเรื่องการทุจริตรถไฟฟ้าในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไปอภิปรายนอกสภาฯ นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า แต่ละพรรคใครอยากไปทำกิจกรรมอะไรก็ทำได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ตนไม่หวั่นไหว แต่ทุกคนต้องตรงไปตรงมา และยอมรับการตรวจสอบ ไม่มีปัญหาอะไร รวมถึงกรณีที่ตำรวจจะมีการส่งสำนวนคดี 13 ศพที่มีการอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐให้อัยการสูงสุดนั้นก็ต้องทำไปตามขั้นตอนของกฎหมายเช่นกัน
       

       นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หลังจากที่ปิดการประชุมสภาฯ สมัยสามัญทั่วไป ฝ่ายค้านจะลงพื้นที่เดินหน้าทำกิจกรรมทั้งลงพื้นที่ภาคใต้ และพื้นที่ที่ต้องทำการฟื้นฟู จากนั้นก็จะกลับมาพิจารณาเรื่องบประมาณกันต่อในสมัยประชุมนิติบัญญัติต่อไป

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #611 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2554, 18:54:12 »

ที่แท้ “พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์” นำชาวบ้านเปิด ปตร.คลองพระยาสุเรนทร์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
       โฆษก กทม.เปิดโปง ที่แท้ “พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์” ข้าราชการการเมืองสำนักนายกฯ นำชาวบ้านเปิดประตูระบายน้ำพระยาสุเรนทร์โดยพลการ ทั้งยังแจ้งความกล่าวหา กทม.ต้องการให้น้ำท่วมจังหวัดอื่นที่เพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง
       

       วันนี้ (28 พ.ย.) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เวลา 15.30 น. นายวสันต์ มีวงษ์ โฆษก กทม. เปิดเผยว่า จากกรณีที่เมื่อคืนที่ผ่านมามีประชาชนกลุ่มหนึ่งเปิดบานประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์โดยพลการ จาก 1 เมตร เป็น 1.50 เมตร อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. ได้โทรศัพท์หารือกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.มาโดยตลอดเกี่ยวกับการเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ เพราะมีประชาชนในจังหวัดปทุมธานีเรียกร้องให้มีการเปิดประตูเพิ่มสูงขึ้น หลังจากนั้นได้มีหนังสือด่วนที่สุดจาก ศปภ.เลขที่ 369/2554 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2554 ขอความอนุเคราะห์ กทม.ให้ดำเนินการต่างๆ เปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์เป็น 1.50 เมตร เพื่อบรรเทาปัญหาและลดความขัดแย้งของประชาชน และทาง กทม.ได้มีหนังสือถึง ศปภ. ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน เพื่อแจ้งให้ทราบว่าไม่สามารถเปิดได้ เพราะจะส่งผลกระทบในหลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 19/2554 ลงวันที่ 23 ต.ค. 2554 ซึ่งให้อำนาจของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในการใช้ดุลพินิจในการเปิดประตูระบายน้ำตามความเหมาะสมและเกิดผลกระทบต่อประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครน้อยที่สุด โดยคำสั่งระบุให้ กทม.บริหารจัดการน้ำจากพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยร้ายแรงไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา โดยให้ กทม.เปิดประตูระบายน้ำในเขตพื้นที่รับผิดชอบเพื่อรองรับการระบายน้ำจากกรมชลประทานผ่านระบบสูบน้ำของ กทม.ไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยา และคำนึงระดับน้ำที่เหมาะสมเพื่อไม่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน


       นายวสันต์ กล่าวต่อว่า จากนั้นได้มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่อ้างว่าเป็นจิตอาสา จำนวน 30 คน นำโดย พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ ซึ่งเป็นข้าราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 10 แอบอ้างคำสั่งของนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศปภ. ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คำสั่งแต่เป็นการขอความอนุเคราะห์ให้เปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์เป็น 1.50 เมตร เป็นการแอบอ้างที่ทำให้ภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และศปภ.เสียหาย อีกทั้งยังทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด โดยได้มีการกล่าวหาการทำงานของ กทม.รวมกว่า 3 หน้ากระดาษ จากบันทึกประจำวันของสถานีตำรวจนครบาลสายไหม วันที่ 27 พฤศจิกายน 2554 เวลา 19.59 น. ผู้แจ้งคือ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ ระบุว่า ตามคำสั่งนายกฯ ผู้แจ้งได้ตรวจสอบประตูระบายน้ำของ กทม. พบว่าประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์เปิดเพียง 80 ซม. โดยนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้เปิดที่ 1 เมตร และวันที่ 25 พฤศจิกายน ผู้อำนวยการ ศปภ.สั่งให้เปิด 1.50 เมตร ถือว่า กทม.ขัดคำสั่งนายกฯ และกทม.ต้องการให้น้ำท่วมในพื้นที่ปริมณฑล อาทิ นนทบุรี นครปฐม พระนครศรีอยุธยา ให้นานที่สุด เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้เกือบทั้งพื้นที่ จึงอยากให้ประชาชนเลิกให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่ไม่สามารถบริหารจัดการน้ำให้แก่ประชาชนได้
       
       “การแจ้งข้อความดังกล่าวทำให้ กทม.เกิดความเสียหาย ผู้ว่าฯ กทม.จึงได้ให้ทีมกฎหมายของ กทม.พิจารณาว่าดำเนินการอย่างไรต่อไป กับ พ.ต.ต.เสงี่ยม ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายข้อหาหมิ่นประมาท การใส่ความ และให้ข้อความที่เป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน พร้อมทั้ง กทม.จะทำหนังสือแจ้งให้ผู้อำนวยการ ศปภ.รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย” นายวสันต์กล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการอย่างไรกับกรณีที่ประชาชนในพื้นที่แจ้งวัฒนะ และรามอินทรา เรียกร้องให้ กทม.เร่งระบายน้ำในพื้นที่ นายวสันต์กล่าวว่า วันนี้ขอพูดแค่เรื่องเดียวก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

ประวัตินายเสงี่ยม

พันตำรวจตรีเสงี่ยม สำราญรัตน์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จังหวัดชุมพร ข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนต
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #612 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2554, 20:48:22 »

ในขณะที่พวกเราคิดว่าตอนนี้รัฐบาลกำลังแย่ คนก่นด่ากันทั้งเมือง
น้ำลดเมื่อไหร่ต้องอยู่ไม่ได้
หารู้ไม่ว่า สื่อช่องแดงกำลังทำหน้าที่สร้างความเกลียดชังว่า
คนกทม.เห็นแก่ตัว   เอาเปรียบ   ปล่อยให้คนต่างจังหวัดจมน้ำ
สิ่งเหล่านี้มันยิ่งกว่าน้ำมันไว้เติมเชื้อเพลิงความแค้น
ความแตกแยกที่ฟังแล้วพร้อมจะทำทุกอย่าง
ถ้าถึงเวลามีคนมาเสี้ยมมาบอกให้ทำอะไรเค้าก็จะทำตามแกนนำแดงบอก

 

เมื่อสองวันก่อนนี้ไปเดินเล่นตลาดนัดแถวบ้าน เจอขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียมถูกมากแค่  900  เอง
แค่มีจานแดงทรูเก่าก็เสียบแทนได้เลย เด่วนี้เวลาเรายกเลิกจานแดงไปเค้าจะเก็บแต่กล่องไป
ซื้อมาลองก็เลยไม่แปลกใจว่าทำไมเสื้อแดงทั้งหลายถึงขยายตัวได้มากขนาดนี้
เพราะในบรรดาช่องดูฟรีร้อยกว่าช่อง มีช่องเสื้อแดงเป็นสิบๆช่อง ผลัดกันเอานักวิชาการเสื้อแดง 
เอาณัฐวุฒิ เอาจตุพร เอาพิธีกร ที่มีวาทะศิลปในการประดิษฐ์คำพูด ปั้นเรื่องยุยงให้เกลียดชัง 
ผลัดกันระดมออกตลอด 24 ชม. แล้วเพื่อนผมซึ่งอยู่สายไหมเค้าก็บอกว่า ไอ้กล่องรับแบบนี้
แถวบ้านเค้าไม่ต้องเสียเงินซื้อด้วยซ้ำ เค้าติดกันให้ฟรีๆรวมจานด้วย
ในขณะที่พวกเราคิดว่าตอนนี้รัฐบาลกำลังแย่   คนก่นด่ากันทั้งเมือง น้ำลดเมื่อไหร่ต้องอยู่ไม่ได้
แต่ในความจริงตอนนี้กลับเป็นโอกาศที่ดีของเสื้อแดงและรัฐบาลที่ใช้สื่อดาวเทียมโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างหนัก 
หากประเทศเรายังมีปัญหาด้านสื่ออยู่แบบนี้ ก็จะมีคนไปพังคันตรงโน้น ตรงนี้ อยู่เสมอแหละครับ 
เพราะจากการนั่งดูช่องแดงทั้งคืน มันมีแต่สร้างความเกลียดชังว่าคนกทม.เห็นแก่ตัว 
เอาเปรียบปล่อยให้คนต่างจังหวัดจมน้ำ สำหรับผมซึ่งรู้ไส้รู้พุง รู้สันดานชั่วของคนพวกนี้
มันก็ไม่มีผลอะไรหรอก แต่สำหรับคนหัวใจแดงทั้งหลาย 
สิ่งเหล่านี้มันยิ่งกว่าน้ำมันไว้เติมเชื้อเพลิงความแค้นและความแตกแยก ที่ฟังแล้วพร้อมจะทำทุกอย่าง 
ถ้าถึงเวลามีคนมาเสี้ยมมาบอกให้ทำอะไร เค้าก็จะทำตามแกนนำแดงบอก 
 
ยกตัวอย่าง เมื่อคืนทุกช่องแดง เล่นข่าวเอกยุทธ โพสเฟสบุ้คเหน็บเจ๊ปูเปรียบสาวเหนือดังผู้หญิงขายตัว 
ผมนั่งดูการขยายความของทั้งพิธีกรข่าว ทั้งไอ้เต้นไอ้ตู๋
พวกมันสามารถลากเอาทุกเรื่องมาชง จนคนส่ง sms มาด่าด้วยความโกรธแค้นชิงชัง 
ผมลองเข้าเพจเอกยุทธดูก็พบคนเข้ามาตามด่าเป็นร้อยๆกระทู้ ขู่ฆ่าขู่ทำร้าย โดยที่บางคนยืนยันบอกว่าตัวแดงไม่ใช่แดงด้วยซ้ำ 
นั่นหมายความว่าอะไรครับ พวกเขาเหล่านั้นแม้ไม่เคยไปร่วมชุมนุมร่วมกิจกรรมกับพวกแดงทั้งหลาย 
แต่ก็ถูกอิทธิพลรายการข่าวของช่องแดงไปโดยไม่รู้ตัวใช่ไหมครับ 
ไม่แปลกใจ ที่ทักษินยอมลงทุนสองสามพันล้าน ผุดช่องทีวีดาวเทียมทั้ง ว้อยทีวี สปริงนิว เอเซียอัปเดตขึ้นมา
เพราะมันได้ผลจริงๆครับ แต่ที่น่าคิดอีกอย่างก็คือ การกระทำเช่นนี้ ได้ก็เพราะได้รับการสนัยบสนุนจากทรูด้วยแน่นอน เพราะปกติคนทำการค้าย่อมไม่มีทางยอมขาดทุน อยู่ๆมีเหรอที่เรายกเลิกบริการจานแดง 
กลับเก็บเพียงกล่องรับสัญญาณ กลับทิ้งจานรับให้ฟรีๆอย่างนี้ 
จะอ้างว่าเผื่อลูกค้าจะกลับมาสมัครใหม่ได้ง่าย ก็ไม่น่าใช่   
เพราะลูกค้าสมัครใหม่ก็ต้องได้ค่าติดตั้งเพิ่มเป็นกำไรให้บริษัทอีกต่างหาก 
แต่นี่กลับไม่สนตรงนี้   แถมพนักงานที่มารับกล่องยังเสนอกล่องดีทีวีให้ทันทีอีกต่างหาก
 
ที่บอกให้ทุกคนได้รับข้อมูลตรงนี้   กันเพื่อให้เราเตือนสติกัน อย่าได้ประมาทพลังของสื่อดาวเทียมกับทีมพิธีกร
ที่ได้รับการเทรนจากไอ้เต้นไอ้ตู๋นะครับ เพราะต้องยอมรับในพรสวรรค์ด้านการพูดของพวกมันว่าเก่งจริง
 

   

หากพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ลูกๆ หลานๆ สังเกตุ เวลาเดินทางโดย รถไฟฟ้า บีทีเอส 
หรือระหว่างที่ขึ้นลิฟท์ในอาคารใหญ่หลายๆ อาคาร 
จะพบ ทีวี ที่มีโฆษณาและมี คลิปข่าว แทรกมาด้วย 
ผมเห็นของ ว้อยทีวี บ่อยมากๆ จากข้อมูลที่คุณพี่วิสุตรฝากมานั้น
เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่เค้าต้องการตอกย้ำฝังลึกในอุดมการณ์ของเค้า 
ก็สามารถผ่านสื่อพวกนี้ได้อีกทางหนึ่ง 
เรียกว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เค้าก้อสามารถเพิ่มเติมตอกย้ำข้อมูลข่าวสารได้ตลอดเวลา   
. . . . .    อย่าหดหู่    อย่าท้อแท้นะครับ     เค้ามีเงินนะ ไม่พอ   
เค้ากำลังสรรหา    ปลุกระดมมวลชนให้ใหญ่ขึ้นทุกวันๆ 
ท้อแท้หดหู่เมื่อไหร่ พอเห็นครับว่าอนาคตของสยามประเทศจะเป็นอย่างไร   
ช่วยกันคิดดีกว่าว่าหากวิกฤตมหาอุทกภัยครั้งนี้สามารถทำให้เค้าเติบใหญ่มือเปิบขึ้นมาได้ใหญ่กว่าเดิม   
 
การส่งต่อเมล์เพื่อให้รู้ทันเค้า มันพอเพียงรึไม่  ?
ขยายวงขบวนการต่อต้านคอร์รับชั่น    ให้เข้มแข็งกว่าเดิมดีไหมเอ่ย  ?   ผ่านสื่อเค้าเลยดีไหมครับมีช่องทางอยู่แล้วน่ะ  ?
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #613 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2554, 09:54:09 »

ผ่านศึกซักฟอกน้ำยังท่วมยิ่งลักษณ์

    29 พฤศจิกายน 2554
โดย...ทีมข่าวการเมือง posttoday.com

ผลการลงมติไม่ไว้วางใจเป็นไปตามคาด เมื่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ผอ.ศปภ.) ฉลุยตามคาด ด้วยมติ 273 ต่อ 188 เสียง

รัฐบาลผสมของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นเอกภาพจากเสียงข้างมากที่อุ้ม “ประชา” สุดตัว ขณะที่ฝ่ายค้านยุคดาวคนละดวง ก็เกิดรอยร้าวจากผลการซักฟอกครั้งนี้ ยังมีพวกแหกโผแอบไปโหวตให้อีก

“ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ออกมาตำหนิพรรคประชาธิปัตย์ใจแคบไม่ยอมให้ร่วมอภิปราย ส่วน ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ประธานที่ปรึกษาพรรครักษ์สันติ ก็งดออกเสียง ด้าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ก็งดออกเสียงเพราะต้องการเดินเกมปรองดองสมานฉันท์กับฝ่ายเพื่อไทย

แต่ฝ่ายค้านก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ถึงจะเห็นต่าง สุดท้ายก็แค่แยกกันเดิน รวมกันตี แรงขับเคลื่อนหลักยังอยู่ที่ประชาธิปัตย์

สำหรับรัฐบาลหลังผ่านศึกครั้งนี้ ดูเหมือนจะโล่งไปอีกเปลาะเพราะเข้าสู่การปิดสมัยประชุมสภาที่ลดอุณหภูมิการเมืองลง มาเปิดสภาอีกครั้งปลายเดือน ธ.ค. ที่จะเข้าสู่การตรวจสอบ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังต้องเผชิญความไม่พอใจของประชาชนที่เดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ขังนาน

หลายชุมชนขีดเส้น ขอคำตอบเมื่อไรน้ำจะลด และจะเปิดแนวบิ๊กแบ็กหรือไม่ หากไม่ชัดเจน ยังให้รอน้ำลดถึงสิ้นปี ความแตกแยก อารมณ์เดือดย่อมมีมากขึ้น

อีกเรื่องที่รัฐบาลต้องเผชิญ คือ การที่กลุ่มองค์กรต่างๆ สภาทนายความ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน จะยื่นฟ้องหน่วยงานภาครัฐที่แก้ปัญหาน้ำท่วมผิดพลาด พร้อมจัดเวทีสาธารณะวิพากษ์รัฐบาล

ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนยังเป็นมรสุมลูกใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งจัดการ ในช่วงที่ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลศปภ.ลดน้อยลงจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

การอภิปรายปิดท้ายของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ชี้ว่า รัฐบาลแก้ปัญหาน้ำท่วมผิดพลาด มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เกิดการทุจริตจัดซื้อสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัย

สรุปความสั้นๆ ศปภ.“ผิดพลาด-ทุจริต-แตกแยก-แบ่งพวก” หากยังปล่อยให้ “ประชา” เป็น ผอ.ศปภ.แก้ไขวิกฤตสำคัญของประเทศต่อไป ก็จะเป็นปัญหา และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหาย

แต่ยิ่งลักษณ์ส่งสัญญาณอุ้ม “ประชา” จะไม่ปรับ ครม.ยืนยันว่า “ประชา” ตอบคำถามฉะฉานครบถ้วน ส่วนฝ่ายค้านไม่มีอะไรใหม่ เอาข้อมูลเก่ามาอภิปราย

การปรับ ครม.จึงไม่น่าเกิดขึ้นทันทีหลังอภิปรายเสร็จ เหมือนเช่นการซักฟอกหลายครั้งที่ผ่านมา ยิ่งลักษณ์อาจรอให้รัฐบาลทำงานครบ 6 เดือนก่อน คือ ช่วง ก.พ. หรือไม่ก็ช่วงแกนนำ 111 ไทยรักไทย พ้นคุกการเมืองเดือน พ.ค. 2555

อย่างไรก็ตาม ผลการซักฟอกแม้ฝ่ายค้านไม่สามารถทำอะไร “ประชา” ทางกฎหมายได้ แต่ความน่าเชื่อถือของ “ประชา” ในฐานะ ผอ.ศปภ. ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ก็ยิ่งตกต่ำลง

การชี้แจงในสภาหลายประเด็นทั้งปัญหาการทุจริต การบริหารผิดพลาด การแต่งตั้ง สส.พรรคเพื่อไทย เป็นกรรมการดูแลจัดการถุงยังชีพไม่ชัดเจน บางเรื่อง “ประชา” ก็ยอมรับตรงๆ ว่า ที่ตั้ง สส.เพื่อไทย เป็นกรรมการ มีผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ

ถึงแม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะแก้เกมระหว่างการอภิปรายด้วยการกระหน่ำประท้วง รบกวนการอภิปรายให้คนดูทางบ้านเบื่อจะได้ไม่เปิดทีวีดู และให้ สส.รัฐมนตรี ที่ถูกพาดพิงลุกขึ้นชี้แจงให้มากเพื่อให้ฝ่ายค้านเสียกระบวนทัพ จนทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องยอมสละไฮไลต์เด็ด เรื่องถุงยังชีพที่เตรียมอภิปรายไว้ในช่วงดึก

การตกเป็น “เป้าเชือด” กลางสภาเพียงลำพัง ขณะที่ ศปภ.ต้นทุนต่ำในสายตาประชาชนอยู่แล้ว พล.ต.อ.ประชา จึงสาหัส โดยเฉพาะซีนสุดท้ายก่อนที่อภิสิทธิ์จะสรุปปิดการประชุม จู่ๆ “ประชา” ก็ท้าทายอภิสิทธิ์เรียกให้มาฟังการชี้แจงเพื่อจะได้รู้ว่า ใครเป็นต้นเหตุอุทกภัย ก่อนจะสรุปว่า เพราะรัฐบาลประชาธิปัตย์วางยาไม่ยอมระบายน้ำออกจาก 2 เขื่อนใหญ่ในช่วงรอยต่อเลือกตั้ง เป็นแผนขงเบ้ง ปล่อยมาทำลายข้าศึก ทำให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องมารับกรรมแทน หากอภิสิทธิ์ ปล่อยน้ำในเขื่อนเหมือนในปี 2553 มหาอุทกภัยก็จะไม่เกิดขึ้น มวลน้ำมากขนาดนี้ต่อให้ “10 ประชา” ก็เอาไม่อยู่

ว่ากันว่า การใช้มุขนี้กลับมาถล่มประชาธิปัตย์ ว่าทำน้ำท่วม ไม่แต่สร้างความแปลกใจให้กับฝ่ายค้านที่เห็นว่า เคยมีการปะทะชี้แจงกันแล้วในเวทีสภาหลายสัปดาห์ก่อน และเป็นข้ออ้างที่มีจุดอ่อน อีกทั้ง รมว.เกษตรฯ ก็ยอมรับความผิดพลาดแล้ว และต้นเหตุไม่ใช่เรื่องการระบายน้ำออกจากเขื่อนช้า พรรคเพื่อไทยเองก็งงว่า ใครเขียนบทนี้ให้ “ประชา” พูด เพราะเปิดทางให้ฝ่ายค้านตอบโต้กลับง่าย เหมือนยื่นดาบให้อภิสิทธิ์มาจัดการ “ประชา” ให้ตายกลางสภา

บ้างเกิดคำถามไกลว่า ใครวางยา “ประชา” เป็นทีม 111 ไทยรักไทย หรือฝ่าย ศปภ.เพราะเป็นคำชี้แจงที่เบาหวิวและไม่ใช่บุคลิก “ประชา” ที่เล่นบทท้ารบอภิสิทธิ์

ผลทั้งหมดทำให้ “ประชา” หนึ่งในบุคคลที่พรรคเพื่อไทยวางตัวให้เป็น “นายกฯ สำรอง” หากเกิดอุบัติเหตุกับยิ่งลักษณ์ ต้องจมและสำลักน้ำไปพร้อมกับ ศปภ.


อย่าลืมว่า “ประชา” เมื่อครั้งอยู่พรรคเพื่อแผ่นดิน เคยถูกพรรคเพื่อไทย เสนอชื่อเป็นนายกฯ ชิงกับอภิสิทธิ์ เมื่อปี 2551 เมื่อเข้ามาอยู่กับเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นแกนนำภาคอีสาน มีฐานเสียงจากเสื้อแดงอุดรธานี ซึ่งทักษิณก็ไว้วางใจให้มาเป็น รมว.ยุติธรรม ที่ต้องปฏิบัติภารกิจสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรม

บทสรุปนี้แม้ยิ่งลักษณ์ ไม่ปรับ “ประชา” ออก แต่ก็สูญเสียราคาที่ก้าวขึ้นเป็น “ตัวเลือก” ผู้นำในอนาคต ในสถานการณ์การเมืองที่ยังเปราะบางไม่มีอะไรแน่นอน และแม้ว่ารัฐบาลจะผ่านศึกซักฟอกไปได้แต่ความเสียหาย ความเดือดร้อนของประชาชนจากภัยน้ำท่วมครั้งนี้ ยังไม่ได้รับการเยียวยา และจากนี้จะเป็นบทพิสูจน์ว่า “ยิ่งลักษณ์” จะอยู่ในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปได้นานแค่ไหน

 


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #614 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2554, 22:01:45 »

คนการเมืองล้วงเงินแบงก์รัฐ

 โดย...ทีมข่าวการเงิน

เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่รัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาทำงานแบบเต็มตัว งานแรกที่ท้าทายความสามารถคือการบริหารประเทศบนมหันตภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี สร้างความเสียหายจำนวนมหาศาลทั้งชีวิตและทรัพย์สินประชาชนทะลุ 1 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ไม่เว้นวรรค ใช้ช่วงจังหวะเวลาที่ฝุ่นตลบ ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับการต่อสู้กับน้ำท่วม ไม่ค่อยได้เกาะติดเรื่องการเมือง เปลี่ยนแปลงกรรมการรัฐวิสาหกิจแบบเงียบๆ หลายชุด

ส่งคนสนิทใกล้ชิดกับครอบครัวชินวัตรและพรรคเพื่อไทยเข้าไปนั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจหลายแห่งเพื่อกำกับ คนใกล้ชิดการเมืองที่ถูกส่งเข้าไปนั่งคุมนโยบายรัฐวิสาหกิจ บางคนก็ต้องยอมรับว่าเป็นคนเก่งมีความสามารถตรงกับรัฐวิสาหกิจที่เข้าไปเป็นกรรมการ
แต่บางคนที่ถูกส่งเข้าไปก็ต้องบอกว่ารับไม่ได้ ทั้งเรื่องความสามารถไม่ตรงกับงาน สถานะไม่เหมาะสม และหมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมาย และหาผลประโยชน์เข้าพรรคเข้าพวก ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรที่เข้าไปเป็นกรรมการ

 
กรณีของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ตั้งกรรมการใหม่แล้วปรากฏชื่อ นางพรทิพย์ ปักษานนท์ ประธาน นปช. จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นผู้ส่งอีเมลข่มขู่ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เพราะไม่พอใจที่จี้ถามนายกรัฐมนตรีให้เคืองใจถูกส่งไปนั่งเป็นกรรมการหน้าตาเฉยถือเป็นหลักฐานที่ฟ้องชัดว่า รัฐบาลนี้แต่งคนใกล้ชิดการเมืองเข้าเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ โดยไม่ได้ดูความเหมาะสมเลย
มองอย่างเป็นธรรม พรทิพย์ มีคุณสมบัติเหมาะสมจะเป็นกรรมการ ทอท. หรือไม่ จากการสืบประวัติพบว่า พรทิพย์ ไม่เคยผ่านงานด้านการบิน การเงิน หรือธุรกิจที่มีการแข่งขันรุนแรงมาก่อนเลย

ดังนั้น การได้มาเป็นกรรมการ ทอท. จึงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่าเป็นการนำเงินภาษีของประชาชนไปตอบแทนทางการเมือง ให้ พรทิพย์ ผู้ซึ่งพยายามสร้างผลงานให้เข้าตาผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลพอใจ

นอกจากนี้ ยังมีกรณีของบริษัท อสมท ที่รัฐบาลพยายามตั้งแต่น้ำมายันน้ำลด ที่จะล้างกรรมการชุดเก่าเพื่อส่งคนของตัวเองเข้าไปเป็นกรรมการชุดใหม่ คุมขุมทรัพย์แสนล้านทั้งคลื่นวิทยุและโทรทัศน์
รวมถึงยังคุมนโยบายการรายงานข่าว รายการต่างๆ ออกมาในทางบวกสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลที่ถูกโจมตีว่ามีปัญหาไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นช่องทางตีฆ้องร้องป่าวนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่ผลักดันออกมาต่อเนื่อง แม้ว่าจะถูกค้านให้ยกเลิกเพื่อนำเงินไปช่วยฟื้นฟูน้ำท่วมดีกว่า
อย่างไรก็ตาม การส่งคนการเมืองเข้าไปคุมรัฐวิสาหกิจอะไรก็ไม่ร้ายเท่าส่งคนของตัวเองที่ไม่เหมาะสม หรือไม่มีความสามารถเข้าเป็นกรรมการในธนาคารของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงไทย ที่มีการส่งคนเชียร์รัฐบาลเข้าไปนั่งเป็นกรรมการ เพื่อเปิดทางให้การเมืองเข้าไปล้วงเงินขอสินเชื่อ เหมือนกับที่รัฐบาลทักษิณ 1 และทักษิณ 2 ทำมา จนเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก และยังเป็นคดีฟ้องร้องให้ความจริงปรากฏ

การส่ง วีรภัทร ศรีไชยา เป็นกรรมการแทน พงษ์เทพ ผลอนันต์ หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อวีรภัทร แต่คนในกระทรวงการคลังต่างรับรู้กันว่านี่คือคู่ต่อสู้กับผลประโยชน์ของรัฐตัวฉกาจ ไม่ว่าในคดีเลี่ยงภาษี 1.2 หมื่นล้านบาทของ พานทองแท้ และพินทองทา ชินวัตร เขาเคยยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกรณีอธิบดีกรมสรรพากรกับพวกลำเอียงในการปฏิบัติหน้าที่
วีรภัทร ยังเป็นทนายความให้กับคุณหญิงอ้อพจมาน ณ ป้อมเพชร กับ บรรณพจน์ ดามาพงศ์ ในคดีร่วมกันเลี่ยงภาษีแล้วอัยการไม่ยอมฎีกามาเป็นตัวแทนกระทรวงการคลังในฐานะกรรมการ

รวมถึงส่ง อรุณภรณ์ ลิ่มสกุล เป็นกรรมการธนาคารกรุงไทย ซึ่งใครไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร แต่คนในวงการต่างอึ้ง ตะลึงตึงๆๆ หงายหลังผลึ่งกันทั้งบาง
เพราะ อรุณภรณ์ นั้นเธอเคยเป็นผู้อำนวยการสายงานการตลาดโพสต์เพด บริษัท เอไอเอส ปัจจุบันเธอถูกดึงตัวไปนั่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่สายบริหารงาน CRM และบริหารช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นผู้ช่วยอันดับ 28 มานั่งเป็นกรรมการธนาคารกรุงไทยที่เป็นคู่แข่ง แถมมีอำนาจคุมกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย

กรณีของธนาคารออมสินที่ผ่านมา ที่มีการส่ง พรรณี สถาวโรดม ผงาดเป็นประธานธนาคารออมสิน เป็นการแหวกธรรมเนียมปฏิบัติที่ตำแหน่งนี้ต้องเป็นปลัดกระทรวงการคลัง หรือข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังจะได้นั่งในตำแหน่งนี้
กรรมการธนาคารออมสิน ยังมีชื่อ นพ.ประเสริฐ หลุยเจริญ ซึ่งเป็นสามี เบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิต คนใกล้ชิดบ้านจันทร์ส่องหล้า และถูกวางตัวเป็นปลัดกระทรวงการคลังคนต่อไป


หรือจะเป็นชื่อ นงลักษณ์ พินัยนิติศาสตร์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยคม และปสันน์ เทพรักษ์ อดีตกงสุลใหญ่ สถานกงสุลไทย ณ เมืองดูไบ ซึ่งล้วนเป็นการตอบแทนทางการเมืองมากกว่าความเหมาะสม

กรณีล่าสุด รัฐบาลยิ่งลักษณ์กระทำการที่ท้าทายความเชื่อถือของสถาบันการเงินของรัฐอย่างยิ่ง เมื่ออนุมัติให้ สส.สอบตกอย่าง
เฉลิมชัย จีนะวิจารณะ สดๆ ร้อนๆ ให้เป็นกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ก็เห็นได้ชัดว่า ซึ่งเป็นการวางคนผิดฝาผิดตัว ไม่ได้ดูเรื่องความเหมาะสม

เฉลิมชัยนั้น นอกจากไม่มีความสามารถเชี่ยวชาญด้านการเงินแล้ว ยังถูกมองว่าอาจจะเป็นการขัดกับระเบียบคุณสมบัติของการเป็นกรรมการของกระทรวงการคลังอีกด้วย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ และกฎหมายของเอ็กซิมแบงก์โดยตรง ที่ได้ห้ามนักการเมืองเข้ามาเป็นกรรมการ เพราะไม่ต้องการให้เข้ามาแทรกแซงมีผลประโยชน์ทับซ้อน จนสร้างความเสียกับธนาคาร
ถึงวันนี้มีการตั้งกรรมการที่ไม่มีความเหมาะสม เป็นคนการเมืองเข้าไปทำให้เกิดความเสี่ยง ส่อทำให้เอ็กซิมแบงก์อาจเกิดอาการโคม่าขึ้นมาได้
นี่คือสนิมเนื้อในที่กัดกินรัฐวิสาหกิจ และแบงก์รัฐให้อ่อน ซึ่งสุดท้ายก็หนีไม่พ้นเงินภาษีเข้าไปอุ้ม
อย่าลืมว่าธนาคารรัฐ 34 แห่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ส่งคนเข้าไปนั่งบัญชาการนั้น ในแต่ละปีมีการปล่อยกู้นับ 1 ล้านล้านบาท หากเสียหายไปแค่ 10% ก็ถือว่ามหาศาล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงควรเป็นหัวเรือใหญ่ ทั้งในฐานะผู้ถือหุ้นรัฐวิสาหกิจ และกำกับดูแลแบงก์รัฐ ต้องไม่ปล่อยให้การเมืองเข้าแทรกล้วงลูกล้างเงินภาษีไปเข้าประโยชน์พวกพ้องและตัวเองไม่ได้ ไม่เช่นนั้นการกระทำอย่างนี้จะเป็นมะเร็งรักษาไม่มีวันหาย
หากกระทรวงการคลัง ที่ต้องดูแลการเงินการคลัง และทรัพย์สินของประเทศ ไม่สามารถปกป้องได้ ทั้งรัฐมนตรี และข้าราชการประจำ ก็จะถูกหาว่าเป็นตรายางไม่มีอำนาจ และผู้บริหารที่หวงเก้าอี้มากกว่าผลประโยชน์ประเทศชาติ
มาตรฐานการปฏิบัตินั้นไม่ใช่ได้มาลอยๆ ผู้ที่มีอำนาจและเป็นนักบริหารที่ดีต้องกล้าที่จะสร้างมันกับมือตัวเอง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #615 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2554, 12:17:59 »

คำพยากรณ์ของกษัตริย์ถึงกษัตริย์ “ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” ต้องตอบโจทย์ ก่อนโผซบอ้อมอก “อากู๋แกรมมี่”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    
      
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ชั่วโมงนี้ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชายหนุ่มในวัย 40 ต้นๆ ที่ชื่อ “ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบทบาทล่าสุดในการสวมหมวกเป็นพิธีกรรายการ “ตอบโจทย์” ทางสถานีโทรทัศน์ Thai PBS ที่ทำให้ชื่อของเขาโดดเด่นขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว กระทั่งตามติด “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” แห่งช่อง 3 ชนิดหายใจรดต้นคอเลยทีเดียว
       
       แน่นอน หลายคนยังคงจำกันได้ดีกับการที่ภิญโญบินไปสัมภาษณ์ “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ของคนเสื้อแดงถึงนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ภายหลังการเลือกตั้งจบลง
       
       ยิ่งเมื่อนิตยสารผู้ชายชื่อดังอย่าง GM ตัดสินใจนำเขาขึ้นปกในฉบับเดือนพฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมาร่วมกับผู้ชายในวัยเดียวกันอย่างเป็นเอก รัตนเรือง สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ นรอรรถ จันทร์กล่ำ ม.ล.คฑาทอง ทองใหญ่ บอย โกสิยพงษ์ ดร.ธีระชัย พรสินศิริรักษ์ แมทธิว กิจโอธาน นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ และTyler Brule ภายใต้แนวคิด The Power of 40s ก็ยิ่งทำให้ภิญโญกลายเป็น “หนุ่มเนื้อทอง” อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
       
      อย่างไรก็ตาม วันนี้ถึงเวลาที่ภิญโญจำเป็นที่จะต้องตอบโจทย์แล้วเช่นกันกับข้อเขียนที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในขณะนี้คือ “คำพยากรณ์จากกษัตริย์ถึงกษัตริย์” ที่ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับที่ 1633 ซึ่งมีท่าทีหนุนการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อันเป็นบทลงโทษสำหรับอ้ายอีที่กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่มาพร้อมกับเสียงร่ำลือจากฐานบัญชาการใหญ่ของแกรมมี่ถึงการเจรจาครั้งสำคัญระหว่างเขากับ”อากู๋-ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” ในการดำเนินการสถานีข่าวทางโทรทัศน์
       

       กล่าวสำหรับ “ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” ต้องบอกว่า เส้นทางชีวิตของเขาผ่านทั้งการเป็นนักข่าว นักเขียน นักสัมภาษณ์ เจ้าของสำนักพิมพ์ openbooks และพิธีกรรายการโทรทัศน์
       
       แต่บทบาทที่ทำให้ชื่อของภิญโญเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างก็คือ การตัดสินใจก่อตั้งนิตยสาร open และสำนักพิมพ์ openbooks ที่ผลิตผลงานโดนใจคนรุ่นใหม่มากมาย จน “ปกรณ์ พงศ์วราภา” บอสใหญ่ค่ายจีเอ็มถึงกับเชื้อเชิญให้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจโดยจีเอ็มมีหุ้นอยู่ใน open ถึง 25% แต่เนื่องจากในเวลาถัดมาจีเอ็มต้องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจและแนวทางการทำหนังสือที่ไม่ลงตัว ทั้งสองฝ่ายจึงจำเป็นที่จะต้องแยกทางกันเดิน ทว่า สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับนายใหญ่แห่งจีเอ็มก็ยังคงแนบแน่น
       
       กระนั้นก็ดี สิ่งที่ทำให้ภิญโญเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมเห็นจะเป็นบทบาทที่เขาสวมหมวกเป็นผู้ดำเนินรายการ “ตอบโจทย์” ทางสถานีโทรทัศน์ Thai PBS ซึ่งผลของการออกสื่อโทรทัศน์ทำให้ชื่อของภิญโญ ไตรสุริยธรรมาท็อปฮิตติดชาร์ตและถีบตัวขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าอย่างรวดเร็ว
       
       เร็วจนกระทั่งไปเข้าตา “อากู๋” ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม แห่งค่ายแกรมมี่
       
       และนั่นก็เป็นที่มาของการต่อสายตรงจากอากู๋มาถึงปกรณ์ พงศ์วราภา เพื่อเชื้อเชิญให้มารับประทานอาหารร่วมกัน
       
       อากู๋กำลังทำสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม
       ภิญโญกำลังเป็นดาวเด่นในแวดวงโทรทัศน์
       เมื่อสารเคมีลงตัว การเจรจาธุรกิจบนโต๊ะอาหารจึงบังเกิดขึ้น
       
       อากู๋แสดงเจตจำนงชัดเจนที่จะเชื้อเชิญภิญโญให้มาร่วมงานในสถานีข่าวทางโทรทัศน์ที่เตรียมสร้างขึ้นมาใหม่
       
       และแน่นอนว่า สังคมคงจะต้องจับตากันต่อไปว่า ภิญโญจะตอบรับไมตรีจิตจากอากู๋ในครั้งนี้หรือไม่
       
       ถ้าตอบรับ สังคมก็จะต้องจับตากันต่อไปว่า ภิญโญจะรับใช้อากู๋ในระดับไหน ในรูปแบบใด และด้วยวิธีการใด
       
       เพราะต้องไม่ลืมว่า สายสัมพันธ์ของอากู๋นั้นไม่ธรรมดา ทั้งความแนบแน่นจนแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ นช.ทักษิณ ชินวัตร และทั้งความแนบแน่นที่อากู๋มีกับสื่อในเครือมติชนที่เวลานี้ผันตัวไปรับใช้ระบอบทักษิณอย่างเปิดเผย
       
       ขณะที่เมื่อย้อนกลับมาตรวจสอบสายสัมพันธ์ส่วนตัวของภิญโญกับเครือมติชนเองก็จะพบว่าอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะเขามีคอลัมน์ชื่อ “ไทยไทย” ใน “มติชนสุดสัปดาห์” และว่ากันว่า หนังสือในเครือของภิญโญ มติชนก็เป็นผู้จัดจำหน่ายให้
       
       ทั้งนี้ สำหรับข้อเขียนล่าสุดของเขาในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับที่ 1633 ในหัวข้อเรื่อง “คำพยากรณ์ของกษัตริย์ถึงกษัตริย์” นั้น ได้สะท้อนให้เห็นแนวคิดบางประการของเขาที่มีต่อมาตรา 112 ซึ่งเป็นบทลงโทษผู้ที่กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชนิดต้องหาคำอธิบายเพิ่มเติม
       
       แน่นอน ข้อเขียนของภิญโญมีบทสรุปชัดเจนว่า “เห็นด้วย” กับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยหยิบยกตัวอย่างกษัตริย์ของประเทศต่างๆ มาโน้มน้าวให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ถึงเวลาแล้วที่สถาบันกษัตริย์จะต้องเปลี่ยนแปลง
       
       “สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีญี่ปุ่นเมื่อเสด็จไปเยี่ยมเยียนราษฎรที่ประสบภัยพิบัติหลังเหตุการณ์สึนามิ ทั้งสองพระองค์น้อมพระวรกายลงไปรับฟังปัญหาของประชาชนของพระองค์อย่างใกล้ชิดจนระดับของพระเศียรต่ำกว่าประชาชนที่นั่งอยู่เสียด้วยซ้ำ การวางตัวอย่างเสงี่ยมภายใต้รัฐธรรมนูญที่จำกัดบทบาทมิให้ต้องยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทำให้สถาบันกษัตริย์ญี่ปุ่นกลับมาสง่างามได้อีกครั้งหลังจากนำประเทศพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในสงครามโลกครั้งที่ 2”
       
       คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ พระมหากษัตริย์ของไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชจริยาวัตรที่ไม่ได้แตกต่างจากกษัตริย์ญี่ปุ่นแต่ประการใด
       
       หลายคนคงจดจำกันได้กับภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงน้อมพระวรกายจนพระเศียรแทบจะติดกับหญิงชราที่ทูลเกล้าฯ ถวายดอกไม้
       

       นอกจากนี้ ภิญโญยังได้ยกตัวอย่างเรื่องสถาบันกษัตริย์ของอังกฤษเอาไว้อย่างน่าสนใจอีกด้วยว่า
       
       “สถาบันกษัตริย์อังกฤษนั้น สื่อมวลชนกระทั่งประชาชนธรรมดาสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ทุกเรื่อง ถ้าเป็นไปโดยสุจริต กระนั้นก็มิได้ทำให้สถาบันเสื่อมถอยลงแต่ประการใด”
       
       แน่นอน สิ่งที่คงต้องย้อนถามกลับไปก็คือ ภิญโญต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยหรือไม่
       
      เพราะภิญโญต้องไม่ลืมว่า เหล่ากออันชั่วร้ายของขบวนการล้มเจ้าในประเทศไทยนั้นมิได้ต้องการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจในทางสร้างสรรค์ หากแต่อิงแอบแนบแน่นอยู่กับเกมการเมืองเพื่อหวังผลในการทำลายล้างและทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ พร้อมกับสถาปนาระบอบการปกครองใหม่ขึ้นมาเสียใหม่
       

       ภิญโญจะทำอย่างไรกับขบวนการล้มเจ้าอันแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับการเมืองที่นำสถาบันกษัตริย์มาใช้ในการปลุกระดมล้างสมองประชาชนคนไทยซึ่งกำเริบเสิบสานอยู่ในขณะนี้
       
       กรณี “อากง” ที่ขบวนการล้มเจ้าปลุกระดมกันขึ้นมาในขณะนี้คือตัวอย่างชัดเจน เพราะในที่สุดคนจำนวนไม่น้อยก็จะเห็นใจอากงว่ากะอีแค่ส่ง SMS ทำไมถึงต้องถูกพิพากษาจำคุกถึง 20 ปี ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว อากงผู้นี้คือแดงฮาร์ดคอร์ตัวพ่อแห่งเมืองปากน้ำที่ถูกล้างสมองจากขบวนการล้มเจ้ากระทั่งส่ง SMS หมิ่นพระบรมเดชานุภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าในต่างกรรมต่างวาระ
       
       สถาบันพระมหากษัตริย์ไปทำอะไรให้อากงเจ็บช้ำน้ำใจ ถึงกับทำให้อากงซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่บรรพบุรุษอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารถึงได้จงเกลียดจงชังเช่นนี้
       
       หรือภิญโญเห็นด้วยกับความเห็นของ “หญิงร่านแห่งล้านนา” ที่มั่วนิ่มอิงกระแสอากงแก้ผ้าโชว์นมเหี่ยวๆ สนับสนุนการแก้มาตรา 112
       
       ประชาชนผู้จงรักภักดีจะเชื่อได้อย่างไรว่า เมื่อแก้มาตรา 112 ให้มีโทษที่ลดลงแล้ว ขบวนการล้มเจ้าจะค่อยๆ เลือนหายไป เพราะขนาดมีบทลงโทษที่หนักขนาดนี้ พวกเขายังมิยำเกรงเลยแม้แต่น้อย
       
       แน่นอน ไม่มีใครเชื่อว่าภิญโญเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการล้มเจ้า
       
      แต่ภิญโญก็ต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้สังคมไทยได้กระจ่างแจ้งเช่นกัน เพราะถ้าจะว่าไปแล้วสายสัมพันธ์ระหว่างภิญโญกับกลุ่มนักเขียนที่ต้องการแก้ไขมาตรา 112 ก็อยู่ในขั้นไม่ธรรมดาเช่นกัน และหลายคนก็เคยมีผลงานรวมเล่มในนามสำนักพิมพ์ openbooks มาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับ “ปราบดา หยุ่น” แกนนำคนสำคัญของกลุ่มนักเขียนดังกล่าว ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งในคณะบรรณาธิการของภิญโญเช่นกัน
       
       ยิ่งเมื่ออ่านย่อหน้าขึ้นต้นของบทความ “คำพยากรณ์ของกษัตริย์ถึงกษัตริย์” ที่เขียนเอาไว้ว่า “ หนึ่งในประโยคที่ชอบอ้างถึงกันบ่อยๆ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ก็คือ คำพยากรณ์ของกษัตริย์ฟารุกแห่งอียิปต์ที่ว่า เมื่อสิ้นศตวรรษที่ 20 จะเหลือกษัตริย์หรือคิงโพดำ คิงข้าวหลามตัด คิงดอกจิกและคิงแห่งอังกฤษ” ก็ยิ่งทำให้ภิญโญต้องตอบโจทย์เหล่านี้มากขึ้น

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #616 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2554, 22:03:05 »

นักข่าวเอพีเขียนถึงในหลวง คนไทยควรอ่าน

สำนักข่าวเอพี “ประเทศไทย - สงครามแห่งสายน้ำสงครามแห่งพระมหากษัตริย์” 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
 แปลโดย Noppanan Arunvongse Na Ayudhaya จาก “In Thailand, a battle royal with water”, Associated Press,  November 2, 2011
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ 


 ขณะที่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระประชวร ทรงกำลังสำรวจภาพแห่งความหายนะจาก หน้าต่างโรงพยาบาลชั้น 16 ของพระองค์ พระมหากษัตริย์พระชนม์มายุ 83 พรรษาทรงพบกับบางสิ่งที่ท้าทายพระองค์ อย่างฝังรากลึกมานานแทบตลอดพระชนม์ชีพนั่นคือ “น้ำ” ระดับน้ำได้เพิ่มขึ้น รอบๆ พระองค์ กระแสน้ำไหลท่วมท้นกรุงเทพมหานครและเอ่อล้นตลิ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา 

"แม่น้ำของกษัตริย์” ไหลเชี่ยวผ่านโรงพยาบาลศิริราชที่ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ในรถเข็นพระที่นั่งมานาน ตลอดระยะเวลา 2 ปีเหตุการณ์น้ำท่วมที่ร้ายแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ คือ สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเพียรพยายามอย่างอุตสาหะมานะ และอาจมากกว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่เคยพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น

พระองค์ได้ทรงส่งสัญญาณเตือนภัยแม้ว่าอาจไม่มีใครใส่ใจในทุกครั้งก็ตามพระองค์ทรงคัดค้านการพัฒนาที่เกินพอดีและทรงเสนอแนวคิดที่จะทุเลาความเสียหาย อย่างใหญ่หลวงจากการขึ้นลงของน้ำประจำปี  ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของน้ำจากพายุมรสุม


ความทุกข์ของประเทศด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตเกือบ 400 คน และอีก 110,000  คนไม่มีที่อยู่ คือภาพที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงการเพิกเฉยต่อคำเตือนของพระองค์ รวมถึงข้อจำกัดในความสามารถของมนุษย์ที่พยายามควบคุมธรรมชาติ ซึ่งในบางครั้งนั้นมีความรุนแรงเกินกำลัง นักวิเคราะห์กล่าวไว้เช่นกันว่าในการรับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนดังกล่าวนั้น  ไม่มีคนหนึ่งคนใดเพียงคนเดียวสามารถทดแทนแผนงาน ที่ผ่านการประสานงานอย่างรัดกุมและดำเนินการโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มีหน้าที่ แต่ในบางครั้งนั่นก็คือสิ่งที่นักวิจารณ์มองว่าประเทศไทยกำลังขาดแคลนเช่นกัน
แม้กระทั่งปัจจุบัน  ขณะที่เมืองหลวงของประเทศไทยและบริเวณโดยรอบกำลังต่อสู้กับความเชี่ยวกราก พระมหากษัตริย์ผู้ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกก็ทรงกำลังเสนอข้อแนะนำถึงวิธีที่ดีที่สุด ในการหาเส้นทางระบายน้ำจากที่ราบทางตอนเหนือเพื่อลงสู่ทะเล แต่ไม่เหมือนกับในอดีต  พระมหาษัตริย์ผู้ทรงมีพระบารมีภายใต้รัฐธรรมนูญไม่สามารถทรงทำหน้าที่ตรวจสอบ,ชักจูงหรือในบางครั้งไม่อาจทรงตำหนิติเตียนเหล่าข้าราชการที่ทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพได้ ในฐานะผู้ทรงสืบเชื้อสายจากบรรดาพระมหากษัตริย์ทั้งปวงของไทยในอดีต ซึ่งต่างล้วนทรงถือว่าการควบคุมน้ำคือพระราชกรณียกิจในพระองค์

เริ่มจากหนึ่งในโครงการพัฒนาตามพระราชดำริโครงการแรกคืออ่างเก็บน้ำในปี 1963 เพื่อกักเก็บน้ำและป้องกันน้ำทะเลเข้าท่วมพื้นที่ตากอากาศชายทะเลหัวหิน จนกระทั่งปัจจุบัน โครงการพระราชดำริมีจำนวนมากกว่า 4,300 โครงการ และกว่า  40% ของจำนวนโครงการทั้งหมดนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำ 

“พระราชดำริและข้อเสนอแนะของพระองค์นั้นมีปรากฏอยู่อย่างแจ้งชัดโดยปราศจากข้อสงสัย ตลอดในนโยบายและการจัดการแหล่งน้ำต่าง ๆ ของประเทศไทยมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 40 ปี” 

เดวิด เบลค  ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำจากมหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลียแห่งอังกฤษซึ่งทำการศึกษา เรื่องนี้ในประเทศไทยกล่าว แม้ว่าจะไม่ทรงผ่านการศึกษาในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ  แต่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระราชสมภพในสหรัฐอเมริกา  พระองค์นี้ได้ทรงแสดงให้เห็นพระอัฉริยภาพด้านวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ โดยในช่วงทศวรรษ 1990 นั้น  พระองค์ได้ทรงใส่พระราชหฤทัยกับเมืองหลวงอันแสนเปราะบางของประเทศไทย  “ ในลักษณะที่ดูเหมือนประหนึ่งผู้ทำลายบรรยากาศแห่งความสุขกับช่วงเวลา แห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเตือนประชาชน เรื่องน้ำท่วม การจราจรที่เลวร้ายและความทุกข์ยากแร้นแค้นต่าง ๆ  นานาที่กำลังจะเกิดขึ้น ”

โดมินิค ฟาวเดอร์  บรรณาธิการอาวุโสของหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ที่ใกล้วางจำหน่าย ชื่อ “การมองโลกในแง่ร้ายและคำเตือนต่าง ๆ คือสิ่งที่คนไทยไม่อยากได้ยิน” ฟาวเดอร์กล่าวเพิ่มเติมว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเพียรพยายามที่จะแก้ปัญหา ดังเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงไม่ยอมรับ “ข้าราชการ (บางกลุ่ม)ที่โต้แย้งและไม่เห็นด้วย กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในขณะนี้” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระองค์ว่า “แก้มลิง”โดยมีที่มาจากลิงทรงเลี้ยงเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ซึ่งมักเก็บกล้วยไว้ข้างแก้มจำนวนมาก จากนั้นจึงทยอยนำออกมากลืนกินในภายหลัง  กระแสน้ำประจำปีที่ไหลผ่านจากเหนือลงใต้ ตามเส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานครนั้น ถูกหันเหให้ลงสู่ “แก้ม” หลังจากนั้นจึงถูกผันลงสู่ทะเลหรือถูกส่งเข้าสู่ระบบชลประทานต่อไป
 
มีการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำที่เกี่ยวข้องซึ่งประกอบไปด้วยทำนบ  คลองและประตูระบายน้ำ ตลอดจนพัฒนาระบบระบายน้ำในเมืองหลวง  ซึ่งทำให้เกิดผลงานในการบรรเทาปัญหาน้ำท่วม ตลอดช่วงทศวรรษ 1990 จนถึงทศวรรษที่ผ่านมา

 “เราต้องถือเอาความกราดเกรี้ยวของสายน้ำไว้เป็นครู  ถ้าเราสามารถหาหนทางเก็บน้ำที่ไหลท่วม ไว้ในแหล่งกักเก็บน้ำก่อน จากนั้นจึงนำออกมาใช้เมื่อเราต้องการได้ ก็จะเป็นประโยชน์ 2 ชั้น ” กระแสพระราชดำรัสในปี 1990

อย่างไรก็ตาม เบลคกล่าวว่า  แผนการณ์ดังกล่าวนั้นมีผลทำให้ชุมชนโดยรอบกรุงเทพมหานคร ต้องเสียสละเพื่อรักษาใจกลางเมืองหลวงไว้และนั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ ซึ่งรวมถึงกลุ่มข้าราชการที่รู้ดีเกินควรและทำการผันน้ำลงสู่ทุ่งนาแทนที่จะเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ ตามที่วางแผนไว้ นับแต่นั้นแหล่งกักเก็บน้ำหลักถูกย้ายไปสู่ฝั่งตะวันตก พื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันออกถูกแทนที่ด้วยนิคมอุตสาหกรรม บ้านจัดสรร สนามกอล์ฟและสนามบินนานาชาติ

 “ สาเหตุสำคัญของน้ำท่วมคือข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเราสร้างบ้านเรือนอยู่บนหนองน้ำ ประเด็นของข้าพเจ้าคือว่า มนุษย์ทำการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติมากเกินไปจากสิ่งที่เคยเป็น ” กระแสพระราชดำรัส ในช่วงแรกเมื่อปี 1971 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเตือน ถึงการตัดไม้ทำลายป่าอย่างมโหฬารในภาคเหนือว่าจะนำมาสู่การเกิดอุทกภัย 

การตัดไม้ทำลายป่าจะลดความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน และนั่นได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญของอุทกภัยในปัจจุบัน ตลอดระยะเวลา 2 ทศวรรษครึ่งที่ผ่านมา  ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกหัวระแหงของประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ภาคใต้ ตลอดจนสร้างระบบชลประทานบนเทือกเขาสูงสำหรับชาวเขาในภาคเหนือพระองค์ทรงให้การสนับสนุนการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ในประเทศไทย  ซึ่งแต่ละแห่งมีชื่อตามพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์  รวมถึงพระนามของพระองค์เอง แม้ว่าหลังจากนั้นพระองค์จะทรงตระหนักถึงภยันตรายและทรงโปรดการสร้างเขื่อนขนาดเล็ก และทำนบกั้นน้ำแทนก็ตาม

พระองค์ทรงแก้ปัญหาความแห้งแล้งด้วยการเลี้ยงเมฆให้เกิดฝนด้วยวิธีโปรยสารเคมีจากเครื่องบิน  ซึ่งเป็นวิธีที่ต้องใช้ทั้งความพยายามและโชคช่วยด้วยเช่นกัน 
“ไม่ใช่ทุกโครงการพระราชดำริล้วนประสบความสำเร็จ มีหลาย ๆ กรณีที่การคิดค้นหรือหลักการ ของพระองค์ถูกนำไปปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมเช่นกัน” เบลคกล่าว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นเพียงแค่ผู้เสนอ  “แนวคิดที่อาจเป็นไปได้ แต่การนำไปใช้นั้นขึ้นอยู่กับผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ  ถ้าพวกเขาแปลความผิดหรือจัดการในทางที่ผิด แนวคิดเหล่านั้นก็ไม่เป็นผล”

สุเมธ ตันติเวชกุล  ผู้ดูแลมูลนิธิชัยพัฒนาซึ่งทำหน้าที่สนองงานตามโครงการพระราชดำริ กล่าวว่า ในบรรดาสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำเพื่อส่วนรวมนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตั้งพระราชหฤทัยในการพัฒนาแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน พระองค์ได้ทรงใช้พระราชฐานะของพระองค์เพื่อผลักดันเรื่องนี้ให้เดินหน้าเป็นวาระแห่งชาติ สิ่งที่พระองค์ทรงคิดค้นบางอย่างนั้นนำมาซึ่งความประหลาดใจเช่นกัน เพื่อช่วยขจัดน้ำเน่าเสียอย่างรุนแรงในใจกลางกรุงเทพมหานคร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์เครื่องกรองน้ำอย่างง่ายด้วยผักตบชวาซึ่งเป็นพืช ที่มีคุณสมบัติดูดซับสารพิษ  หลังจากนั้นจึงทำการสลายพิษในพืชชนิดนี้และนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง รวมถึงใช้ถักทอในงานหัตถกรรม 

พระองค์ได้ทรงอธิบายถึงเมืองหลวงที่แผ่ขยายอาณาบริเวณ ออกไปใหญ่โตและเต็มไปด้วยน้ำเน่าเสีย  ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยคูคลองมากมายว่า “กรุงเทพมหานครเปรียบเสมือนห้องสุขาที่ไม่มีระบบชักโครก”

พระองค์ได้ทรงประดิษฐ์กังหันน้ำต้นทุนต่ำซึ่งประกอบด้วยวงล้อใบพายอย่างในเรือกลไฟสมัยก่อน และทรงได้รับสิทธิบัตรนานาชาติ  ซึ่งถือเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกและพระองค์เดียว ในบรรดาพระมหากษัตริย์ทั้งหลายทั้งปวงของโลกใบนี้


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #617 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2554, 09:12:52 »

คดีซุกหุ้น "ต้นเหตุ" สังคมแหก

    เปลว สีเงิน

13 ธันวาคม 2554

  เอาล่ะ..."เสาร์เล็งลัคน์" เริ่มสะสมเงื่อนไขสงครามเบ็ดเสร็จแล้ว  เพื่อไทยประกาศ "เขียนรัฐธรรมนูญฉบับทักษิณ" พ่วงแก้ พ.ร.บ.กลาโหม ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขณะเดียวกัน ทักษิณแบไพ่ "๖ เงื่อนไขปรองดอง" คืนเงิน-คืนอำนาจ-ยกเลิกคดีทั้งหมด แล้วจบกัน แต่...หอกนั้นคืนสนอง เมื่อคณิต ณ นคร ออกผลงาน คอป.ล่าสุด...ที่บ้านเมืองวุ่นวายมาตลอดนี้ ต้นเหตุจาก "คดีซุกหุ้น" ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติผิดหลักกฎหมาย!
    สะเทือนครับ...สะเทือน เรียกว่าสะเทือนทั้งมาตรฐานยุติธรรมไทย และมาตรฐานยุติธรรมทักษิณ สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ เหมือนคนน้ำเหลืองไม่ดี  หัวฝีผุดขึ้นตามแก้มก้นพร้อมๆ กันหลายหัว ชนิดต้องตะแคงตูดนั่ง
    ขึ้นชื่อว่าหัวฝี มันเกิดจากข้างใน แล้วมาแตกข้างนอก ทางรักษามีทางเดียวคือ ต้องปล่อยให้มัน "กลัดหนอง" จนสุกแล้วแตกหนองไหลของมันเอง ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนรักษา คือเค้นเอาหัว-เอาหนองออกให้หมดจนเห็นเนื้อแดงโบ๋ ขั้นตอนนี้ มันทั้งเจ็บ-ทั้งมัน-ทั้งคัน ดิ้นเชียวล่ะ
    เห็นเนื้อแดง แสดงว่า "หมดเชื้อ" เหลือแต่แผล รักษาง่าย เพราะเนื้อร้ายหมดแล้ว!
    ขณะนี้ประเด็นปัญหา ประดัง-ประเดมาพร้อมๆ กัน เราก็จัดลำดับ แล้วค่อยๆ คุยกันไปทีละเรื่อง จะได้ไม่สับสน และลงท้าย ทั้งหลาย-ทั้งปวง ก็จะไปสรุปรวมอยู่ที่ "เรื่องเดียวกัน"
    ทักษิณน่ะ อ้างเพื่อให้ตัวเอง "พ้นความผิดทั้งปวง" อยู่ข้ออ้างเดียวคือ  กฎหมายผลพวงรัฐประหาร ๑๙ กันยา ๔๙ เป็นกฎหมายไม่เป็นธรรม แต่ตรงไหนที่ตัวเองได้ประโยชน์จากกฎหมายนั้น...ก็เป็นธรรม และทำเฉย อย่างเช่น ตอนนี้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งจากกฎหมายเผด็จการ ได้เป็นรัฐบาล
    ไม่ปฏิเสธการกะซวก "อำนาจรัฐ" ซักคำ!
    ผมฟัง ๖ ข้อเสนอปรองดองทักษิณ ที่ "ข้ารับใช้" นำมาบอก ไม่อยากจะสน เพราะนั่นมันเป็นข้อเสนอซะที่ไหน มันเป็นเงื่อนไข "เค้นคอประเทศไทย" ชัดๆ ว่า...พวกมึงต้องให้ และพวกกูต้องได้ อย่างที่พวกกูต้องการ
    ทักษิณและพวกจะยืนยันอยู่ประเด็นเดียวว่า กฎหมายและอำนาจใดก็ตามที่เกิดหลัง ๑๙ ก.ย.๔๙ ถือว่าโมฆะ แล้วย้อนกลับไปก่อนวันที่ ๑๙ ก.ย.๔๙  คืนสถานภาพเดิม ณ ความเป็น "รัฐบาลทักษิณ-นายกฯ ทักษิณ" ให้เขาทั้งหมด!
    เอาล่ะ...เมื่อยึดจุด ๑๙ ก.ย. เป็นตัวชี้ความถูก-ความไม่ถูกของทักษิณ  นั่นก็ควรยึดก่อน ๓ ส.ค.๔๔ อันเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีซุกหุ้นเป็นตัวชี้ความถูก-ความไม่ถูกของสังคมประเทศด้วย
    เพราะวันนี้ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความเป็นจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ของนายคณิต ณ นคร ที่รัฐบาลทักษิณหวังใช้ "ต่อยอด" กับขบวนการรวบอำนาจกฎหมายประเทศ รายงานผลรอบ ๖ เดือนออกมาแล้ว สรุปว่า
    "การละเมิดหลักนิติธรรมโดยกระบวนการยุติธรรมอันเป็นรากเหง้าของปัญหา เกิดจากกรณีของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2544  ในคดี "ซุกหุ้น" ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 2 คนที่เคยลงมติว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ลงไปวินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดี
    ซ้ำศาลรัฐธรรมนูญยังนำเอาคะแนนเสียง 2 เสียงหลังนี้ไปรวมกับคะแนนเสียงจำนวน 6 เสียงที่วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้กระทำผิดในข้อกล่าวหาว่า "ซุกหุ้น" แล้วศาลรัฐธรรมนูญได้สรุปเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดยกฟ้อง ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายโดยแท้

    และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรมของประเทศไทย แต่ที่ผ่านมารัฐยังละเลยและไม่ได้เข้าไปตรวจสอบถึงรากเหง้าของความไม่ชอบมาพากลหรือความที่น่ากังขาของเรื่องนี้  ดังนั้น คอป.จึงขอเสนอแนะให้รัฐและสังคมได้ตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างจริงจัง.

    นี่ไงล่ะ...ทักษิณขออำนาจและความไม่มีคดีความคืน ก่อนรัฐประหาร ๑๙  กันยา ๔๙
    ประชาชนก็ขอคดีซุกหุ้นคืน ก่อนตุลาการวินิจฉัยผิดหลักกฎหมาย ๓ สิงหา ๔๔!!!


    อย่างนี้แฟร์มั้ย หรือถูกมาตรฐานสังคมไทย แต่ผิดมาตรฐานสังคมทักษิณ  สรุปว่าไม่แฟร์ เพราะอะไรที่ทักษิณเป็นฝ่ายเสียเปรียบ-เสียประโยชน์ ไม่เป็นโอกาสเพื่อเปลี่ยนประเทศให้แดงทั้งแผ่นดินแล้วล่ะก็ ถือว่าไม่เป็นธรรมกับทักษิณทั้งนั้น?

    ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๒ คนตามที่ คอป.กล่าวในบทสรุปนั้นก็คือ นายผัน จันทรปาน และนายจุมพล ณ สงขลา ถ้ายึดตามหลักที่ คอป.สรุป คดีซุกหุ้น ผลจะออกมา ทักษิณผิดตามข้อกล่าวหาด้วยเสียง ๗:๖
    ไม่ใช่เอา ๒ เสียงที่ไม่ได้วินิจฉัยคดีไปนับรวมเป็น "วินิจฉัยชี้ขาดยกฟ้อง" จนกลายเป็นทักษิณไม่ผิด ๘:๗!!!

    และความบิดเบี้ยวตรงนั้น จากวันนั้น มันเป็นหัวฝีฝังเนื้อจนสังคมกลัดหนองอยู่ข้างใน มาแตกเอาในปี ๒๕๔๙ และละเลงหนอง-ละเลงเลือดเรื่อยมาจนถึง ณ วันนี้ ก็ยังซึมไหลปรี่ เพราะหัวฝียังไม่ได้บ่งออก
    เอามั้ยล่ะ...จะนับจุดเริ่มต้น "ความเป็นธรรม" ตรงที่ ๑๙ กันยา ทำไม จะรักความเป็นธรรมกันจริงๆ ล่ะก็ ย้อนไปเริ่มกันที่ต้นเหตุ คือการวินิจฉัยคดีซุกหุ้น ๓ สิงหา ๔๔ โน่นเลย ไม่โสภากว่าหรือ?
    พระท่านว่า สิ่งใดเกิดแต่เหตุ ถ้าต้องการดับสิ่งนั้น ก็จงดับที่เหตุ ก็ในเมื่อ  คอป.สรุปว่า เหตุที่สังคมแตกแยกวันนี้มาจากการตัดสินคดีซุกหุ้น เราก็ดับความแตกแยกสังคมโดยย้อนกลับไปที่คดีซุกหุ้นดีมั้ย

    นายคณิต ณ นคร เคยเขียนบทความ "การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมาย" ไว้ในมติชนสุดสัปดาห์ เมื่อ ต.ค.๔๙ หลายตอน ผู้สนใจหาอ่านไม่ยาก และท่านสรุปไว้ดังนี้

    ..........."คดีซุกหุ้น" ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหานั้น ได้เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่ปกติขึ้นอย่างน้อยสองประการ คือ เกิดการกระทำที่เป็นการบิดเบือน หรือหักดิบกฎหมายอยู่หลายการกระทำ และเกิดอิทธิพลของกระแสทางสังคมและของกระแสทางการเมือง

    ในคดีที่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จอมเผด็จการคู่ประวัติศาสตร์โลก ตกเป็นจำเลยในข้อหากบฏนั้น ได้มีการกระทำความผิด ฐานบิดเบือนกฎหมาย  (Rechtsbeugung) เกิดขึ้น และไม่มีการลงโทษผู้พิพากษา ผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด จนกล่าวกันว่าการบิดเบือน หรือหักดิบกฎหมายในคดีดังกล่าว เป็นการบิดเบือน หรือหักดิบกฎหมายครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกทีเดียว

    เพราะหากผู้พิพากษาใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ไม่เลี่ยงบาลีแล้ว  อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก็จะถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดินเยอรมัน หลังจากพ้นโทษ  ซึ่งจะทำให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ไม่มีโอกาสที่จะฉีกรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นใหญ่ และเมื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ไม่อาจฉีกรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นใหญ่ได้ สงครามโลกครั้งที่สองก็จะไม่เกิดขึ้น และเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองไม่เกิดขึ้นแล้ว ผู้คนก็จะไม่ล้มตายกันจำนวนมาก และที่สำคัญคนยิวก็จะไม่ถูกฆ่าทิ้งเป็นล้านๆ คน (ดู คณิต ณ นคร  "ศาลรัฐธรรมนูญกับการตีความกฎหมาย" นิติธรรมอำพรางในนิติศาสตร์ไทย  สำนักพิมพ์วิญญูชน กันยายน 2548 หน้า 49 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้า 51)

    สำหรับ "คดีซุกหุ้น" อันมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหานั้น  หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นทุกคนยึดหลักกฎหมายแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะไม่มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา

    -"พตท.43" และ "ศอ.บต." ก็คงจะไม่ถูกยุบ
    -การฆ่าคนทิ้งเป็นพันๆ คน โดยอ้างเรื่องยาเสพติด ก็คงจะไม่เกิดขึ้น รวมทั้งการตายที่กรือเซะ และตากใบด้วย
    -การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่ชัดเจนจนเกิดทางตันทำท่าว่าจะเกิดการฆ่ากันอีกครั้งในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็คงจะไม่เกิดขึ้น
    -"ซีอีโอ" ซึ่งเป็นเรื่องของการบริหารธุรกิจก็คงไม่เกิดขึ้นในระบบราชการไทย
    -ระบบราชการที่พังพินาศที่กระทรวงกลาโหม และที่อื่นๆ ก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน (ดู วสิษฐ เดชกุญชร "สัญญาณอันตราย ที่กระทรวงกลาโหม" มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 22 กันยายน 2549)
    -รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนก็คงจะใช้ได้ต่อไปอีกนานหรือตลอดไป แม้อาจจะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมกันบ้างก็ตามที
    -หลังจากการปฏิรูปการเมืองนั้น กติกาของสังคมได้เปลี่ยนไปมากแล้ว  หากแต่ความคิดของคนในสังคมไม่ได้เปลี่ยนไปตามการปฏิรูปการเมือง สภาวะที่เหลือเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้หลังจากการปฏิรูปการเมืองที่เรียกกันทั่วไปว่า  "ระบอบทักษิณ" ก็คงจะไม่เกิดขึ้นจนส่งผลให้ต้องมีการยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
    การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายนั้น ไม่ได้เป็นภัยใหญ่หลวงต่อสังคมโลกเท่านั้น แต่เป็นภัยที่ใหญ่หลวงต่อสังคมไทยเราด้วย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องบัญญัติให้การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายเป็นการกระทำที่เป็นความผิดอาญา  เพื่อที่จะได้กำราบปราบปรามนักกฎหมายที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยกันได้บ้าง
    การที่จะเป็นนักกฎหมายสายวิชาชีพ เป็นพนักงานอัยการ หรือเป็นผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้น ผู้เขียนเห็นว่าไม่ได้มีความยากเย็นแต่ประการใด นักกฎหมายเพียงแต่ทำตนเองให้ผ่านตามขั้นตอนให้ได้เท่านั้นก็เป็นได้สมใจอยาก
    แต่การเป็นนักกฎหมายสายวิชาชีพ เป็นพนักงานอัยการ หรือเป็นผู้พิพากษา หรือตุลาการที่ดีต่างหากที่ดูจะเป็นยากอยู่ไม่น้อย ยิ่งการเป็นครูกฎหมายด้วยแล้วยิ่งจะยากกว่าการเป็นนักกฎหมายสายวิชาชีพ เป็นพนักงานอัยการ หรือเป็นผู้พิพากษาหรือตุลาการอีกหลายเท่านัก
    เพราะครูกฎหมายต้องถ่ายทอดวิชาการที่ถูกต้องแก่ศิษย์ และต้องวางตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ (ดู คณิต ณ นคร "ครูกฎหมาย" นิติธรรมอำพรางในนิติศาสตร์ไทย สำนักพิมพ์วิญญูชน กันยายน 2548 หน้า 35)
    ในขณะที่เรายังไม่มีความผิดฐานบิดเบือนกฎหมายนั้น นอกจาก "เนติบริกร" แล้ว "นักกฎหมายนาซี" ก็เป็นนักกฎหมายที่สถาบันการเรียนการสอนกฎหมายชอบที่จะต้องตั้งข้อรังเกียจเช่นเดียวกัน (ดู คณิต ณ นคร "กฎหมายราชภัฏกับนักบัญญัตินิยม" นิติธรรมอำพรางในนิติศาสตร์ไทย สำนักพิมพ์วิญญูชน กันยายน 2548 หน้า 41)
    อนึ่ง ผู้เขียนใคร่ขอกล่าวส่งท้ายด้วยว่า........
    กระแสสังคมในบ้านเมืองเราในระหว่างการดำเนิน "คดีซุกหุ้น" นั้น เป็นไปในทิศทางที่มีการคาดหวังในตัวบุคคลอย่างรุนแรงมาก จนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเกิดความหวั่นไหวเลยทีเดียว ท่านผู้ใหญ่ที่เป็นหลักของบ้านเมืองบางท่าน และเป็นที่เคารพนับถือของคนในสังคม ก็เข้าใจผิดในพฤติกรรมของบุคคล และให้การสนับสนุนบุคคล โดยไม่คำนึงถึงหลักกฎหมายอันเป็นหลักของบ้านเมือง
    บัดนี้ ท่านผู้ใหญ่ดังกล่าวน่าจะมีความเสียใจอยู่ไม่น้อยเลย.

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #618 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2554, 11:20:01 »

จดหมายถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
   

 
   6 ตุลาคม 2547
พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
   
พระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีไปถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗  สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำมาเผยแพร่

ลูกพ่อ
ในพื้นแผ่นดินนี้ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว  ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้วทุกคนปรารถนาความสว่างปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน แต่ความปรารถนานั้นจักสำเร็จลงได้ จักต้องมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่าง หรือ ความดีนั้น  ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดีก็คือรักผู้อื่น
เพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ถ้าให้มีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้

พ่อขอบอกลูกดังนี้...
1. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต
2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง และเหมาะสม
3. มีความสันโดษ คือ
-มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือได้อย่างไร ก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือมีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย
-ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลมจะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง
-พอใจตามสมควร คือทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน
-ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน
4. มีความมั่นคงแห่งจิต
คือให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาให้ภาวนาว่า.มีลาภ มียศ สุขทุกข์ปรากฏ สรรเสริญนินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฎธรรมดา อย่ามัวโศกานึกว่า 'ชั่งมัน'
พ่อ 6/10/2547


สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระราชปรารถทิ้งท้าย
***ฉันหวังว่า คำสอนพ่อที่ฉันได้ประมวลมานี้ จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน ที่ได้พบเห็น และลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน
ฉันรัก พ่อฉันจัง
สิรินธร

 
 
 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #619 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2554, 22:19:28 »

“ศิริโชค” ยันเครื่องสนิฟเฟอร์แค่ดักข้อมูลขัด รธน.ชัด ซัดไอซีทีไม่จริงจังหวั่นกระทบฐาน พท.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
รมว.ไอซีทีเงา แขวะ “อนุดิษฐ์-เฉลิม” รู้เรื่องคอมพ์น้อยมาก ยันเครื่องตัดสัญญาณเว็บไซต์แค่ดักจับข้อมูล ชี้ ทำไม่ได้แน่เหตุขัด รธน.ละเมิดสิทธิประชาชน ชี้ ปัญหาเหตุไอซีทีไม่จริงจัง เหตุพวกหมิ่นฐานเสียงพรรครัฐ
       

       วันนี้ (14 ธ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา ในฐานะ รมว.กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศเงา (ไอซีทีเงา) พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ขออนุมัติเงินจากคณะรัฐมนตรีซื้อเครื่องตัดสัญญานเว็บไซต์ผิดกฎหมาย(SNIFFER) ราคา 400 ล้านบาท ว่า ตนรู้สึกเห็นใจ ทั้ง นายอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีทีและ ร.ต.อ.เฉลิม เพราะมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์น้อยมาก ตนจึงอยากอธิบายคร่าวๆ เพื่อทั้งสองจะได้ไม่ไปโชว์ความรู้ให้เป็นที่อับอายต่อสาธารณชนอีกต่อไป
       
       นายศิริโชค กล่าวว่า โดยหลักการแล้ว การบล็อกเว็บที่ทำผิดกฎหมายเป็นหน้าที่ของกระทรวงไอซีทีที่ต้องประสานกับผู้ให้บริการทางอินเทอร์เนต (ISP) โดยกระทรวงไอซีทีจะเป็นผู้ให้ข้อมูล ว่า IP ไหนที่ทำผิดกฏหมาย และ ISP จะเป็นผู้บล็อก IP หรือเว็บดังกล่าว มิได้มีเครื่องมือวิเศษตามความเข้าใจที่ ร.ต.อ.เฉลิม แต่อย่างใด ขณะที่เครื่อง SNIFFER ราคา 400 ล้านบาทนั้น เป็นการนำฮาร์ดแวร์ไปติดตั้งตามท่อ หรือช่องสัญญาณของทุก ISP ที่มีจุดเชื่อมออกจากประเทศไทยไปสู่ต่างประเทศเพื่อดักจับข้อมูล และเมื่อได้ข้อมูลผู้กระทำความผิดจึงนำไปแจ้งกับ ISP เพื่อบล็อกเว็บดังกล่าว หรือนำข้อมูลไปตามจับคนที่กระทำความผิดต่อไป แต่ปัญหาคือ กระทรวงไอซีทีไม่มีอำนาจในการนำเครื่องดังกล่าวไปติดตาม ISP เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
       
       “ปัญหาบล็อกเว็บไซต์ผิดกฎหมายปัญหาไม่ได้อยู่ที่เครื่องมือ แต่เป็นเพราะกระทรวงไอซีทีไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง เพราะปัจจุบันประชาชนก็ทำหน้าที่เป็นเครื่อง SNIFFRER คอยแจ้งรายละเอียดบรรดาเว็บที่หมิ่นสถาบันอยู่แล้ว แต่อาจเป็นเพราะกลุ่มที่มีพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันนั้น เป็นกลุ่มที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย เท่ากับเป็นการทำลายฐานเสียงตัวเอง จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างจริงจัง และอย่าปล่อยให้ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม และ นายอนุดิษฐ์ โชว์ความไม่รู้ เพราะจะทำให้ศรัทธาที่มีเหลืออยู่น้อยเต็มทีต้องหมดไป ถึงเวลาที่จะให้ผู้มีความรู้มาให้คำปรึกษา เพื่อรักษาระบบนิติรัฐ และอย่าให้เป็นคณะรัฐมนตรีโจ๊ก” รมว.ไอซีทีเงา กล่าว

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #620 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2554, 22:30:44 »

การเมือง : บทวิเคราะห์
วันที่ 14 ธันวาคม 2554 13:48
'อากงปลงไม่ตก'เปิดคำเฉลย!ที่มาแห่งคดีโดยโฆษกศาล

โดย : สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม

   "คดีอากง" โฆษกศาลยุติธรรม ตอบ 5สงสัย ความผิดตามมาตรา 112 หลังกระแสสังคมเกือบทุกสาขาอาชีพต่างให้ความสนใจ

พลันสิ้นคำอ่านคำพิพากษาศาลอาญาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.311/2554 ระหว่างพนักงานอัยการฯ โจทก์ นายอำพล ตั้งนพคุณ จำเลยอายุ 61 ปี ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นแสดง ความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์พระราชินีฯ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550  มาตรา 14(2)(3) เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 หรือที่ผู้คนทั่วไปเรียกว่า “คดีอากง” กระแสสังคมเกือบทุกสาขาอาชีพต่างให้ความสนใจเหมือนกระแสน้ำที่ไหลบ่ามาท่วมศาลและกระบวนยุติธรรมเช่นน้ำท่วมกรุงเทพฯที่ผ่านมา

รวมทั้ง ต่างชาติบางประเทศก็ให้ความสนใจแสดงความห่วงใย วิพากษ์วิจารณ์ ศาลยุติธรรมไทยในทางไม่สร้างสรรค์นักแต่ไม่ว่าความเห็นของสังคมจะสื่อสารในทางใดก็ตาม

ศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่เคยขัดขวางการแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆ ขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล  หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์

แต่ดูเหมือนหลายคนที่วิจารณ์ผลคดีข้างต้นในทางลบยังมิได้รู้เห็นพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงในสำนวนความอย่างถ่องแท้ ซึ่งการนิ่งเฉยของศาลและกระบวนยุติธรรมมิได้มีค่าเป็นตำลึงทองเสียแล้ว


ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำความจริงบางประการในท้องสำนวนคดีนี้ ประกอบกับประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัยมานำเฉลยเอ่ยความ เพื่อเป็นข้อมูลแลกเปลี่ยนกับท่านผู้อ่านที่เคารพ ซึ่งมีประเด็นใหญ่ๆ ที่ผู้คนกล่าวขานกันดังนี้

1. อากงไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุก
2. ศาลลงโทษจำคุก 20 ปี เป็นโทษที่หนักเกินไป
3. อากงอายุมากแล้วควรได้รับการลดโทษ ปล่อยตัวไป หรือได้รับการประกันตัว
4. ศาลไทยไม่มีมาตรฐานสากล ควรรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล
5. ควรยกเลิกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายคอมพิวเตอร์
       

ในข้อแรก ผู้ที่เห็นว่า อากงมิได้กระทำความผิดนั้น หากเป็นการตัดสินกันเองโดยบุคคลกลุ่มคนนอกศาลและกระบวนการยุติธรรม คงจะหาเหตุผลรองรับความชอบธรรมยากสักหน่อย เพราะเป็นความเชื่อส่วนตนที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เป็นอัตวิสัยที่อาจปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน

ในขณะที่คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ อันเป็นหลักการสากลและหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม

ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อากงหรือจำเลยมีความผิดเพราะศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของอัยการโจทก์จริง แต่ถ้าจำเลยไม่เห็นด้วยไม่พอใจในผลคำพิพากษา ก็ยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ตามกฎหมาย

ซึ่งในอดีตมีคดีที่ศาลสูงเห็นต่างจากศาลชั้นต้นพิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลล่าง ก็ไม่น้อย ดังนั้นเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด การจะด่วนสรุปว่าอากงเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยเสร็จเด็ดขาดนั้น  ก็ยังมิใช่เป็นเรื่องที่แน่แท้เสมอไปดังที่บางคนมีความเชื่อและเข้าใจในทำนองนั้น  แท้จริงแล้ว อากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ข้อต่อมา ที่ว่าเหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษถึงจำคุก ปกติการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลธรรมดาที่เป็นการดูหมิ่นใส่ความทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติคุณอย่างร้ายแรง กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดมีโทษถึงจำคุก ศาลยุติธรรมก็เคยลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมาแล้ว

สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินีด้วยถ้อยคำภาษาที่ป่าเถื่อนและต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไปจะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์พระประมุขของประเทศ อันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของปวงชนชาวไทยและทั่วโลก ในหลวงทรงครองสิริราชย์มาเป็นเวลากว่า 65 ปี ทรงครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม ห่วงใยทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎร์ตลอดเวลา แม้ในยามทรงพระประชวร พระองค์ก็ยังทรงงานเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนเช่นอุกทุกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทุ่มเทพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพ ทรงงานเพื่อความผาสุกของประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า ในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ก็บัญญัติว่า "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลยแม้แต่น้อยนิด รวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรมและห่างไกลจากความเป็นจริง

ข้อสอง คดีนี้มีข้อเท็จจริงบางประการที่ผู้วิจารณ์อาจยังรู้ไม่ครบถ้วนและเข้าใจคลาดเคลื่อนคือ นอกเหนือจากพฤติการณ์แห่งคดีหรือข้อความหมิ่นประมาทที่มีความรุนแรงและร้ายแรงอย่างมากแล้ว  ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า ผู้กระทำไม่ได้กระทำความผิดแค่ครั้งเดียว แต่มีการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ  ด้วยถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายถึง 4 ครั้ง มีถ้อยคำที่แตกต่างกันทุกครั้ง แสดงถึงเจตนาที่จงใจกระทำผิดกฎหมายอย่างท้าทายไม่ยำเกรงอาญาแผ่นดิน ไม่มีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี

เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอดจนถึงในชั้นศาลจึงไม่มีเหตุลดโทษ บรรเทาโทษตามกฎหมาย ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กฎหมายระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี

การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยในความผิดแต่ละครั้งจำคุกกระทงละ 5 ปี ตามมาตรา 112  ซึ่งเป็นโทษบทหนักนั้น เป็นการลงโทษสูงกว่าโทษขั้นต่ำของกฎหมายเพียง 2 ปี ยังเหลืออัตราโทษอีก 10 ปี ที่ศาลมิได้นำมาใช้ เมื่อนำโทษทั้ง 4 กระทงมารวมกันเป็น 20 ปี คนทั่วไปที่ไม่รู้จึงเข้าใจผิดคิดว่าศาลลงโทษครั้งเดียว 20 ปี เห็นว่าโทษหนักไป แต่ถ้าเทียบกับพฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดีแล้ว หลายคนที่รู้จริงเห็นตรงข้ามว่าโทษเบาไปหรือเหมาะสมแล้วก็มี

   
ข้อสาม แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า “อากง” ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใดสามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้  แสดงว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด

สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคมสถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง

ผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้ มาตรการที่เหมาะสมจึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กระทำความผิดคิดวางแผนไตร่ตรองในการกระทำความผิดอย่างแยบยลแนบเนียนด้วยแล้ว ก็ยิ่งสมควรใช้วิธีการที่เหมาะสม ในการคุ้มครองรักษาความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชนด้วย จึงไม่แน่แท้เสมอไปว่าชราชน ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับการลดโทษ ลงโทษน้อย หรือปล่อยตัวไปเสมอไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อหาความผิด ความเสียหายและพฤติการณ์การกระทำแต่ละคดีที่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป

ส่วนการจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นเรื่องๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 ,มาตรา 108/1

ข้อสี่ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (International Covenant on Civil and Political Rights) ICCPR ได้บัญญัติรับรองในข้อ19 ว่า

1) บุคคลมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากแทรกแซง

2) บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา ได้รับและสื่อสารข้อมูลและความคิดทุกชนิด โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ไม่ว่าด้วยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยการพิมพ์ ในรูปแบบของศิลปะหรือโดยสื่อประการอื่นใดที่บุคคลดังกล่าวเลือก
 
3) การใช้สิทธิตามวรรคสองของข้อนี้ต้องประกอบด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบอันเป็นพิเศษ  ดังนั้น  สิทธิดังกล่าวจึงอาจอยู่ภายใต้ข้อจำกัด บางประการ แต่ข้อจำกัดนั้นต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติและเท่าที่จำเป็น
(ก)   เพื่อเคารพต่อสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น
(ข)    เพื่อคุ้มครองความมั่นคงแห่งชาติ  ความสงบเรียบร้อยของประชาชนสาธารณสุขหรือศีลธรรมอันดี

นอกจากนั้น  กติการะหว่างประเทศฯ ยังได้ให้ความคุ้มครองสิทธิของบุคคลในการที่จะไม่ถูกล่วงละเมิดทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเกียรติภูมิไว้ด้วยตามข้อ 17  ซึ่งกำหนดว่า

“1. ไม่มีบุคคลใดที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การแทรกแซงตามอำเภอใจหรือโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อความเป็นส่วนตัว  ครอบครัวหรือการติดต่อสื่อสาร  หรือการโจมตีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อเกียรติภูมิและชื่อเสียง

2. บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจากการแทรกแซงหรือการโจมตีเช่นว่านั้น”

ฉะนั้นแม้การแสดงความคิดเห็นถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่กติการะหว่างประเทศฯ ให้การยอมรับ แต่ในขณะเดียวกัน กติการะหว่างประเทศฯ ก็ได้กำหนดไว้ด้วยว่าการใช้สิทธิดังกล่าวต้องทำด้วยความสำนึกรับผิดชอบและไม่ล่วงละเมิดสิทธิของบุคคล  เนื่องจากบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิ ในการรักษาชื่อเสียงและเกียรติภูมิของตนและต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายด้วยเช่นกัน

กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR เป็นสนธิสัญญา พหุภาคี ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้ให้การรับรองเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2509 และมีผลใช้บังคับเมื่อ 23 มีนาคม  พ.ศ. 2519  สนธิสัญญานี้ให้คำมั่นสัญญาว่าภาคีจะเคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ของบุคคล ซึ่งรวมถึงสิทธิในชีวิต เสรีภาพในศาสนา เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการรวมตัว สิทธิเลือกตั้ง และสิทธิในการได้รับการพิจารณาความอย่างยุติธรรม จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552  กติการะหว่างประเทศนี้มีประเทศลงนาม 72 ประเทศและภาคี 167 ประเทศ

ประเทศไทย เข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญานี้โดยการภาคยานุวัติ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 และมีผลบังคับใช้กับไทย เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2540 อันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ที่ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น แต่เสรีภาพดังกล่าวก็ยังถูกจำกัดได้โดยกฎหมายหากเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิ หรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน...”

นอกจากนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5 บัญญัติว่า ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต และมาตรา 421ก็บัญญัติว่า การใช้สิทธิ  ซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีมาตรฐานเช่นเดียวกับหลักการสากลข้างต้น  อันแสดงว่าประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน มีกฎหมาย ที่ความก้าวหน้าทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ เพียงแต่ภายใต้ระบอบการปกครองบ้านเมืองที่แตกต่างกัน ทุกประเทศจึงควรที่จะต้องให้เกียรติเคารพในความต่างที่เป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมและสังคมของแต่ละประเทศ

หากผู้วิจารณ์คนใดยังศึกษาภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ไม่ลึกซึ้งถึงแก่นแท้หรือมีข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนเพียงพอ ไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียม ประเพณี สังคมประเทศใดแล้ว การแสดงความเห็นว่าศาลหรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศอื่นในทำนองห่วงใยว่าจะไม่มีมาตรฐานสากลนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง และหมิ่นเหม่ต่อการกล่าวหากันอย่างไม่เป็นธรรม  อาจทำให้คิดไปว่าผู้วิพากษ์เจือปนด้วยอคติที่ผิดหลงมีวาระซ่อนเร้น ประเทศไทยมีเอกราชทางการปกครองและการศาลมาช้านาน  และประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ข้อห้า กฎหมายทุกฉบับออกหรือตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นผู้แทนมาจากปวงชนชาวไทย สามารถแก้ไขปรับปรุงและยกเลิกได้ ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าล้าสมัยไม่เหมาะสม ศาลเป็นเพียงผู้ใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ที่สภานิติบัญญัติตราขึ้น มีกฎหมายหลายฉบับเขียนให้ศาลแทบใช้ดุลพินิจไม่ได้หรือ ต้องลงโทษสถานหนักในบางข้อหาเช่น ผลิตนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 แม้เพียง 1 เม็ดหรือ ข้อหาฆ่าบุพการี ต้องประหารชีวิตสถานเดียว เป็นต้น แม้การแก้ไขยกเลิกกฎหมายจะกระทำได้ก็ตาม  แต่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ความสงบเรียบร้อยของสังคมและผลกระทบข้างเคียงอื่นที่อาจตามมาด้วย อย่าให้อารมณ์หรือกระแสแห่งการปลุกปั่นยั่วยุชักจูงไปในทางที่เสียหายได้

คดีอากง เป็นแค่ปฐมบทในการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลย  ตามครรลองแห่งเสรีภาพที่กฎหมายเปิดช่องไว้ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุด  การด่วนรวบรัดตัดความกล่าวโทษบุคคลหรือองค์กรที่ทำหน้าที่รักษากติกาสังคมอาจยังไม่เป็นธรรมนัก

อย่างไรก็ตาม คนทุกชาติ ทุกภาษา ต่างหวงแหนรักในแผ่นดินเกิดของตนเองเคารพและศรัทธาในศาสดาที่เป็นผู้นำทางศาสนาของตนเอง ความแตกต่างทางความคิดเชื้อชาติศาสนาการปกครองบ้านเมืองศิลปวัฒนธรรม ประเพณี  มิใช่สิ่งผิดปกติในสังคมโลก แต่การกล่าวร้ายใส่ความ แสดงความอาฆาตมาดร้ายศาสดาของศาสนาอื่น เป็นพฤติการณ์ที่ผู้เจริญมิสมควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะน้ำผึ้งหยดเดียวอาจกลายเป็นความหายนะของชาติได้


ดังนั้น  หากท่านผู้อ่านอยากรู้ปัจจุบันและอนาคตของชาติใด ขอจงศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น สำหรับชาติไทยดำรงคงเอกราชมีเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย เป็นที่ชื่นชมยกย่องของคนทุกชาติทุกภาษา  เพราะผู้คนในสังคมไทยยังมีความรักสามัคคี  มีน้ำใจ เอื้ออาทรผ่อนปรนเข้าหากัน ไม่ก้าวร้าวรุนแรงโดยขาดสติไร้เหตุผลรักหวงแหน เทิดทูนในชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์จากรุ่นสู่รุ่น และปลูกฝังถ่ายทอดเป็นมรดกสู่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน

หากคนไทยยังรักและภูมิใจในแผ่นดินเกิด ขอได้โปรดช่วยกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ การจะติชมวิพากษ์เป็นเสรีภาพที่กระทำได้ ขอเพียงมีจิตเป็นกลาง ไม่มีอคติ และบนฐานคติที่สร้างสรรค์ พึงอย่าได้ใช้สิทธิส่วนตนเกินส่วนจนเกินขอบเขตก้าวล้ำสิทธิเสรีภาพผู้อื่น

อย่าได้แสดงความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย ประหัตประหารด้วยอาวุธลมปากและความเท็จต่อผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุอื่นมาสร้างความชอบธรรมแก่ตนเอง อย่าให้ลูกหลานในอนาคตเหลือแค่ความทรงจำแห่งความภาคภูมิในอดีตบนซากปรักหักพังของชาติไทย ที่ผองชนรุ่นปัจจุบันได้ทำลายล้างไปอย่างตั้งใจและมิได้ตั้งใจ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #621 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 21:00:52 »

สถานทูตมะกันวอนชาวเฟซฯ หยุดข่มขู่-หยาบคาย หลังโดนถล่มหนักแส่ ม.112
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
หน้าบล็อก Canไทเมือง ในเว็บไซต์โอเคเนชั่น ที่ชักชวนให้แสดงความคิดเห็นไม่พอใจต่อท่าทีของสหรัฐฯ
 กรณีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย

      
เฟซบุ๊กสถานทูตอเมริกันประจำประเทศไทย ขึ้นข้อความพร้อมรับความเห็นต่าง แต่วอนอย่าใช้คำหยาบคายรุนแรงข่มขู่ หลังโดนคนไทยถล่มหนัก กรณีโฆษก กต.สหรัฐฯ และเอกอัครราชทูตฯ ประจำประเทศไทย แสดงความเห็นแทรกแซงการดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูง ตาม ม.112
       
       วันนี้ (15 ธ.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. เฟซบุ๊ก US Embassy Bangkok ของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ขึ้นข้อความเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใจความว่า “เรียนเพื่อนๆ ชาวเฟซบุ๊ก เรายินดีรับมุมมองและความคิดเห็นที่หลากหลายบนหน้าเฟซบุ๊กต่างๆ ของเรา เพียงแต่อยากขอให้เพื่อนๆ ทำความเข้าใจกับเงื่อนไขในการให้บริการเฟซบุ๊กของเรา และโปรดงดเว้นการใช้ภาษาที่หยาบคาย รุนแรง หรือข่มขู่”
       
       ก่อนหน้านี้ ในหน้าเฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐอเมริกาดังกล่าว มีสมาชิกเฟซบุ๊กจำนวนหนึ่งเข้าไปแสดงความไม่เห็นด้วย ต่อกรณีที่ นายเดอรราจ์ พาราดิโซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายเอเชียตะวันออกของสหรัฐอเมริกา แสดงความวิตกกังวลต่อการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 และกระบวนการยุติธรรมของไทย และการแสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ของ นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กรณีการตัดสินคดีของ นายโจ กอร์ดอน ว่า มีความกังวลต่อการตัดสินที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น
       
       ทั้งนี้ สมาชิกเฟซบุ๊กส่วนใหญ่ที่เข้ามาโพสต์ได้แสดงความคิดเห็นทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ในเชิงชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างระบอบการปกครองของไทยและสหรัฐฯ และแสดงความไม่พอใจที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา อาทิ “อเมริกา คุณคิดว่าคุณเป็นผู้จัดการของโลกนี้หรืออย่างไร คุณเที่ยวไปแทรกแซงกิจการของประเทศโน้นประเทศนี้ มันกงการอะไรของคุณ ประเทศคุณไม่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ และดีงามเหมือนประเทศไทย เพราะประเทศคุณไม่เคยมีพระมหากษัตริย์ ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ก็เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ เรามีภาษาพูดภาษาเขียนเป็นของเราเอง เพราะพระมหากษัตริย์ ประเทศคุณเสียอีก ชื่อประเทศอเมริกา แต่ใช้ภาษาของประเทศอังกฤษ คุณแทรกแซงเรื่องอื่นเราทนได้ แต่อย่ามาแทรกแซงเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของเรา”
       

       บางข้อความระบุว่า “คราวที่ นางยิ่งลักษณ์ มีหวังได้เป็นนายกฯ ยังไม่ทันได้แต่งตั้ง นางคริสตี้ก็รีบออกมาเชียร์สุดๆ แต่ตอนที่นางยิ่งลักษณ์บริหารงานน้ำท่วมแบบเลวทราม เดือดร้อนไปทั่ว นางคริสตี้ เงียบ พอประเทศเกาหลีเขียนแปลนสร้างตึกแฝด คล้ายตึกเวิลด์เทรดถูกชนก็โวยวาย หาว่าทำร้ายจิตใจ ทีเรื่องของตนเองรับไม่ได้ แล้วมา***อะไรกับความรู้สึก และกฎหมายของประเทศอื่น ลองนับดูว่า จริงๆ แล้วใครบ้างในโลกนี้ที่ไม่เกลียด U.S.A.ที่เขาเหล่านั้นยังคงคบค้าสมาคม เพราะไปแสดงอำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่ ไม่ต้องสงสัยเลยที่เหตุใดจึงมักเกิดเภทภัยที่ถูกเรียกว่า “ก่อการร้าย” ต่อสถานทูต และคนอเมริกันทั่วโลก ทบทวนให้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ก็คือ สิ่งเดียวกับที่ประเทศนี้ไปทำไว้ในหลายๆ ที่บนโลก แล้วมักอ้างว่านั่นคือ การปราบผู้ก่อการร้าย และขอสาปแช่งให้เจออีกเรื่อยๆ”
       
       จากการตรวจสอบต้นตอของผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น พบว่า ในเว็บไซต์โอเคเนชั่น บล็อกเกอร์ที่ชื่อว่า “Canไทเมือง” ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ “ก่อนเดินไปประท้วงสถานทูตอเมริกาพรุ่งนี้ วันนี้เชิญชวนชาวเน็ตไปบอกท่านทูตใน Wall ของ US Embassy Bangkok” เมื่อเวลา 17.00 น.ของวันที่ 14 ธ.ค.โดยระบุว่า “ชวนกันไปแสดงความเห็นใน wall ของท่านทูตอเมริกา ผมไปมาแล้ว คุณไปเขียนหรือยัง” ก่อนจะอ้างถึงข้อความที่ตนนำไปโพสต์ “อย่าเสนอความเห็นทางกฎหมายที่เสมือนว่าไทยเป็นบริวารของอเมริกา เราเป็นรัฐอิสระ มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับอเมริกา เรามีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าประเทศของคุณเพราะฉะนั้นอย่าเอาความรู้สึกของประเทศสาธารณรัฐ มาตัดสินประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรารักประชาธิปไตยพอๆ กับรักประมุขของเรา และที่สำคัญเรามีกระบวนการทางยุติธรรมที่เป็นสากล”
       
       หลังจากที่ผู้ใช้นามแฝงคนดังกล่าวโพสต์ข้อความออกไป ปรากฏว่า หลังจากนั้น มีผู้เข้าชมบล็อกดังกล่าว ตามไปโพสต์ข้อความแสดงความไม่พอใจที่เฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเป็นจำนวนมาก กระทั่งสถานทูตสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเตือนในเฟซบุ๊กดังกล่าว

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #622 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 22:07:17 »

'วันเผด็จศึก' ของกองทัพทักษิณ

    เปลว สีเงิน thaipost.net

14 ธันวาคม 2554 - 00:00

  ขณะที่ประชาชนโรยแรง แต่ประชาโจรกลับเข้มแข็ง "ด้วยอำนาจรัฐ" ขึ้นทุกวัน พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก โคจรขึ้นสูงเป็น "ตะวันตรงหัว" แล้วค่อยๆ คล้อยจมหายไปทางทิศตะวันตก แท้จริงแล้วพระอาทิตย์ไม่ได้จมหายไปไหน หากแต่โลกหมุนรอบดวงไฟจึงเห็นไปเช่นนั้นเอง อำนาจก็เช่นกัน ไม่หายไปไหน แต่การใช้อำนาจด้วยสัตย์หรืออสัตย์ต่อชาติบ้านเมืองตะหากที่จะชักลากผู้ใช้เป็นดวงไฟสว่างจ้า หรือจมหาย...ใต้ธรณี!?
    ทุกวันนี้ บางคน-บางหมู่คณะก็สะสมความดีจากการกระทำเป็นบารมีทั้งกับสังคมชาติ และกับหมู่คณะตัวเอง แต่บางคน บางหมู่คณะก็ใช้โอกาสที่มีกระทำแต่อนันตริยกรรม สะสมความเป็นสิ่งชั่วให้กับทั้งตัวเองและหมู่คณะ โดยมองข้ามสัจธรรมที่ว่า
    ผลเกิดจากเหตุ ถ้าสร้างเหตุดี ผลที่ได้รับย่อมดี แต่ถ้าสร้างเหตุไม่ดี ผลที่ออกมาและตัวเองจะต้องเป็นผู้ได้รับ ก็ย่อมไม่ดี!
    ฝากนายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ ฝาก ครม.และหมู่คณะยิ่งลักษณ์ ทั้งที่แสดงอยู่หน้าม่าน และชักใยอยู่ตามตำแหน่งทั้งที่เปิดเผยเป็นทางการ และไม่เปิดเผยเป็นทางการ ไม่ว่าซุกอยู่ตามบ้านพิษณุโลก ตามทำเนียบฯ ตามกระทรวงต่างๆ ได้ตระหนัก ก่อนทุกอย่าง
    "สำนึกได้ก็...สายเสียแล้ว"!
    ความรู้จากการเรียนมาก-ฉลาดด้วยเล่ห์มาก เมื่อมีโอกาส มีอำนาจ อาจทำให้ร่ำรวย ทำให้ได้ดีมีสุขก็จริง แต่เป็นสุขร้อน จะทุกข์นาน ทรมานด้านจิตวิญญาณจนตาย ต่างกับความสำนึกดี กระทำซื่อสัตย์ต่อชาติบ้านเมืองและต่อชาติกำเนิดของตน
    เป็นสุขเย็นยั่งยืน สุขด้วยจิตวิญญาณไม่ฝืนคุณธรรม-มโนธรรมสำนึกในความเป็นคน!
    แต่ทักษิณล่ะ...
     ขณะนี้ "สุขร้อน" หรือ "สุขเย็น"?
    เพราะเห็นยึดฤกษ์ "ดวงเมืองแตก" ตั้งเข็ม-เร่งเครื่องเต็มพิกัด ถึงขนาดบินจากดูไบมาเลาะรายรอบเขตประเทศ มาจีนบ้าง ฮ่องกงบ้าง บรูไนบ้าง สิงคโปร์บ้าง และฟังจากข่าวคราว-วันนี้ (๑๔ ธ.ค.) จะมาปักหลักบัญชาการ สั่งงานในภารกิจแตกหักอยู่ที่เขมร
    งานแต่งงานลูกสาววานซืน ข่าวบอกว่าถ่ายทอดบรรยากาศสดในงานทุกตารางเมตรส่งตรงไปยังสิงคโปร์ อ้างว่าเพื่อให้พ่อได้ชื่นชมเหมือนร่วมอยู่ในงาน แต่ในมุมคิดผม นั่นก็ความจริงส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วน คนเป็นพ่อต้องการเอกซเรย์พื้นที่ตะหากว่า....มีใครบ้าง
    มา-ไม่มาในงาน!
    แน่ละ...กลุ่มเป้าหมาย-ที่มา และกลุ่มเป้าหมาย-ที่ไม่มา จะช่วยให้การคิดคำนวณต่างๆ ของทักษิณ รวมถึงการจัดหมวดหมู่ของเขาชัดเจนขึ้น ตามทัศนคติของเขา
    การเหิมกล้า กร่างประกาศด้วยศักดาของคนหมู่คณะเพื่อไทยทำนองว่า เปิดสภา ๒๑ ธันวา คือวันปฏิบัติการ The Longest Day ของพวกเขา ด้วยหัวข้อภารกิจจำเพาะ น่าสนุกนัก
    ๑.แก้รัฐธรรมนูญ นำไปสู่การตั้ง ส.ส.ร.เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็น "รัฐธรรมนูญทักษิณ" ใช้แทนรัฐธรรมนูญประเทศฉบับปัจจุบัน
    ๒.แก้ พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อต้องการให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเข้าไปเอาคนนั้น-คนนี้ตามที่ตัวต้องการไปอยู่ในตำแหน่งนั้น-ตำแหน่งนี้ได้ ก็ชัดเจนดังที่นางธิดา "เมีย ส.ส.เหวง" หัวหน้า นปช.เคยประกาศว่า
    “กฎหมายนี้ที่ออกในยุครัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงอำนาจของระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ขัดขวางไม่ให้พรรคการเมืองมีอำนาจโยกย้ายข้าราชการทหารได้ ตัดไม่ให้กองทัพยึดโยงกับอำนาจประชาชน ถ้าประเทศเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง พ.ร.บ.ฉบับนี้เกิดขึ้นไม่ได้แน่”
    แต่ดูเหมือนว่า พ.ร.บ.กลาโหมนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติคงคาดคำนวณล่วงหน้าแล้วว่า...สักวัน ฝ่ายการเมืองจะต้องแก้ เขาจึงเขียนเป็นมาตรา ๔๓ (๕) เป็นการปิดทาง เพื่อไม่ให้การเมืองใช้อำนาจแก้ได้เพื่อตัวเอง ดังนี้
    พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๔๓ ในการดำเนินการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเรื่องดังต่อไปนี้ต้องเป็นไปตามมติของสภากลาโหม
    (๑) นโยบายการทหาร
    (๒) นโยบายการระดมสรรพกำลังเพื่อการทหาร
    (๓) นโยบายการปกครองและการบังคับบัญชาภายในกระทรวงกลาโหม
    (๔) การพิจารณางบประมาณการทหาร และการแบ่งสรรงบประมาณของกระทรวงกลาโหม
    (๕) การพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการทหาร
    (๖) เรื่องที่กฎหมายหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนดให้เสนอสภากลาโหม
    นั่นหมายความว่า ถึงรัฐมนตรีกลาโหมจะทักษิณจ๋า แต่ก็ไม่มีอำนาจเสนอแก้ได้ด้วยอำนาจตัวเอง จะเสนอแก้ได้ต้อง...เป็นไปตามมติสภากลาโหม!
    แล้วมาตรา ๒๕ ของ พ.ร.บ.กลาโหม เรื่องการบริหารจัดการกำลังพล กรณีการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของสำนักงานปลัดกระทรวงและส่วนราชการในกองทัพไทย ระบุไว้ชัดเจนว่าต้องดำเนินการโดยคณะกรรมการจำนวน ๗ คนที่มีการแต่งตั้งตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงกลาโหมกำหนด
    ๑.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน
    ๒.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
    ๓.ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
    ๔.ผู้บัญชาการทหารบก
    ๕.ผู้บัญชาการทหารเรือ
    ๖.ผู้บัญชาการทหารอากาศ
    ๗.ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นกรรมการและเลขานุการ
    และข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล พ.ศ.๒๕๕๑ ข้อ ๙ ระบุถึงการวินิจฉัยชี้ขาดมติที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งทหารชั้นนายพลว่า ให้ถือเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มาประชุม และถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด
    เมื่อดูตาม พ.ร.บ.แล้ว พูดได้คำเดียวตราบใดที่ ผบ.เหล่าทัพแพ็กกันเป็น "สามัคคี ๔ เหล่า" ยากที่ฝ่ายการเมืองจะเข้ามาบงการเรื่องแต่งตั้ง-โยกย้ายในกองทัพแบบ "จัดแถวอำนาจกองทัพเพื่อสนองอำนาจการเมือง"
    ถ้าจะแก้ให้ได้จริงๆ ก็ไม่ยาก เพียงฝ่ายการเมืองทำให้กองทัพแยกเป็น "แตกสามัคคี ๔ เหล่า" นั่น...ทุกอย่างจะอยู่ในกำมือทันที กองทัพไทยจะเป็น "กองทัพทักษิณ" ได้ในฉับพลัน
    มีเงินเป็นแสนๆ ล้าน นึกว่าทำได้ ก็ทำเถอะเพื่อน!
    เหมือนพระเจ้าอชาตศัตรูแห่งแคว้นมคธ ต้องการยึดแคว้นวัชชีของกษัตริย์ลิจฉวี ทำยังไงก็ยึดไม่ได้ เพราะหมู่มุขเสนามหาอำมาตย์ของแคว้นวัชชีมีความสามัคคีเป็นปึกแผ่น ประชุมปรึกษาหารือกันทุกกิจการบ้านเมือง ด้วยยึดประโยชน์แผ่นดินและประชาชนเป็นหลักชี้ขาด
    สุดท้าย พระเจ้าอชาตศัตรูก็ใช้แผนเนรเทศ "วัสสการพราหมณ์" ออกจากแคว้น วัสสการพราหมณ์ก็ไปเฝ้ากษัตริย์ลิจฉวี อาศัยที่เป็นพราหมณ์ช่ำชองในศิลปศาสตร์แขนงต่างๆ กษัตริย์ลิจฉวีเลยให้อยู่ด้วย แล้ววัสสการพราหมณ์ก็ค่อยๆ ยุแหย่ เสี้ยมหมู่มุขเสนามหาอำมาตย์คนโน้นที-คนนี้ทีให้แตกแยก
    สุดท้าย สภากลาโหมแคว้นวัชชีแตกแยกกัน หมดสามัคคี ทิ้งแป้งจี่หันมากินเกาเหลา เมื่อแตกได้ที่แล้ว เจ้าวัสสการพราหมณ์ก็ส่งซิกให้พระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพไปตีเมืองเวสาลีด่านหน้า และเข้ายึดแคว้นวัชชีได้สำเร็จในที่สุด!
    นี่...จะแก้ พ.ร.บ.กลาโหม น้องปู-พี่แม้ว และคณะเพื่อไทย ต้องใช้ความร่ำรวยนับแสนๆ ล้านส่ง "วัสสการพราหมณ์ ๒๕๕๔" เข้าไปปลุกปั่น ยุยง ใส่ฟืน ใส่ไฟ ให้ ผบ.เหล่าทัพหวาดระแวงกัน บาดหมางใจกัน ละโมบในอำนาจและลาภยศกัน จน "สภากลาโหม" แตกสามัคคีนั่นแหละ
    ยึดกองทัพไปเลย ไม่ต้องแก้ พ.ร.บ.ให้เมื่อยตุ้มหรอก ถ้าแบบนั้น!
    เอ้า...ข้อ ๓ บ้าง ข้อสามก็คือ ออกกฎหมายนิรโทษกรรม ไม่ต้องอ้อมเขาพระสุเมรุหรอก พูดกันให้ตรงไปเลย ออกกฎหมายเพื่อ "ทักษิณคนเดียว" พ้นจากโทษทัณฑ์และคดีความทั้งปวง
    วันนี้ ๑๔ ธันวา ทักษิณเคลื่อนมาอยู่เขมรแล้ว สมุนหน้าไหนจะคลานไปกราบกรานกอบขี้ตีนทักษิณใส่หัวเพื่อความเป็นอวมงคลกับตนเองและวงศ์ตระกูล ก็รีบไป
    แบบนี้เท่ากับ แบไพ่เล่น เปิดหน้าชกกันแล้ว!
    ทักษิณก็จัดเต็ม คณะพรรคก็จัดเต็มพลันที่สภาเปิด กระทั่ง ฮุน เซน ก็เปิดหน้าชกกับประเทศไทย อะร้าอร่ามให้ทักษิณใช้ประเทศเขมรเป็นฐานบัญชาการ และสั่งงานขยี้ขยำยึดประเทศ โดยไม่คำนึงถึงกรอบปฏิบัติของความเป็นประเทศหนึ่ง ที่พึงทำและไม่พึงทำกับประเทศหนึ่ง
    ก็ดี แยกมิตร-แยกศัตรู, แยกหมู่-แยกจ่า กันให้ชัดเจนลงไป ประเทศไทย "ไม่เข้าตาจน" อย่างที่สถุลชนประเมิน-ประมาณ ด้วยสันดานต่ำกันเช่นนั้นหรอก.
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #623 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 12:45:56 »

 
 


 

 









      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #624 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 13:05:29 »

วันนี้มีแต่เรื่องเลวๆๆ

ปึ้งยกเลิกคำสั่งถอนพาสปอร์ตแดง

    16 ธันวาคม 2554 posttoday.com.

สุรพงษ์รับยกเลิกคำสั่งถอนพาสปอร์ตแดงทักษิณ ลั่นอยู่ต่างชาติไม่สร้างความเสียหายต่อปท.-ตปท ท้าฝ่ายค้านอยากตรวจสอบให้ใช้เวทีสภาฯ

เมื่อเวลา 12.00 น. นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการคืนหนังสือเดินทางเล่มแดงคืนให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องดังกล่าว กรมการกงศุลได้ทำหนังสือผ่านปลัดกระทรวงต่างปะเทศมาถึงตน เรื่อง “พ.ต.ท.ขอทำหนังสือเดินทางแบบธรรมดา” ผ่านเอกอัคราชทูตประจำกรุงอาบูดาบี แต่กรมการกงศุลได้ชี้แจ้งว่าหนังสือเดินทางแบบธรรมดาได้ถูกยกเลิกไปแล้วตั้งแต่ 12 เม.ย. 54 ตามนโยบายของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา โดยคำสั่งของ นายกษิต ภิรมย์ อดีตรมว.ต่างประเทศ ข้อที่ 23 (7) ระเบียบกระทรวงต่างประเทศ ว่าด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกหนังสือเดินทางได้ หากผู้ถือยังอยู่ในต่างประเทศซึ่งอาจก่อนให้เกิดความเสียหายต่อประเทศและต่างประเทศ



นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ ตนและรัฐบาลพิจารณาและเห็นว่าการอยู่ต่างประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ก่อความเสียหายต่อประเทศและต่างประเทศ ดังนั้น ตนจึงสั่งยกเลิกคำสั่งดังกล่าวของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การออกหนังสือเดินทางธรรมดา จะเป็นเรื่องของกระทรวง และกรมการกงศุลพิจารณาตามระเบียบต่อไป

“ผมจะให้ข่าวครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ไม่อยากจะเสียเวลา เพราะมีหน้าที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตนจะต้องเตรียมงานให้นายกฯ เพื่อไปเยือนประเทศอินเดียและพม่า เพื่อส่งเสริมการค้าขายและสร้างความรุ่งเรืองให้กับประเทศ” นายสุรพงศ์

รมว.ต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า คำร้องของคนไทยในต่างประเทศ ตนให้ความสำคัญทุกเรื่อง ส่วนการออกหนังสือเดินทาง จะเป็นขั้นตอนของข้าราชการที่จะดำเนินต่อไป อย่างไรก็ดี หากฝ่ายค้านต้องการตรวจสอบก็ให้ใช้เวทีสภา และตนพร้อมที่จะตอบทุกคำถาม แต่ต้องทำให้ถูกต้อง และยืนยันว่าตนทำตามระเบียบข้อบังคับของกระทรวงทุกขั้นตอน ถ้าอยากฟ้องก็เชิญ ถ้าคิดว่าไม่ถูกต้องก็รอให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกรอบ

ส่วนการที่มีข่าวปรากฏว่าตนไปประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรต หรือ (ดูไบ) นั้น ยืนยันว่าตนอยู่ที่ประเทศอาบูดาบีไม่ได้ไปดูไบ การให้ข่าวแบบนี้เป็นการนำเรื่องมาปะติดปะต่อและโกหก ทั้งนี้ เราเสียเวลากับเรื่องแบบนี้มามากพอแล้ว

ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามว่ามีการถอนชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ออกจากแบล็กลิสหรือยัง โดยนายสุรพงศ์ ไม่ได้ตอบข้อซักถาม เพียงแต่ยืนยันว่าทำถูกต้องตามระเบียบของกระทรวงทุกอย่าง

 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27 ... 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><