24 พฤษภาคม 2567, 01:25:44
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 24 25 [26] 27 28 ... 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 304274 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #625 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 22:46:40 »


ตุลย์'นำประท้วงหน้าสถานฑูตอเมริกา เหตุวิจารณ์ม.112

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

เครือข่ายสยามสามัคคียื่นหนังสือสถานฑูตอเมริกา
ที่ฑูตสหรัฐฯและโฆษกต่างประเทศเอเซียตะวันออกแสดงความคิดเห็นต่อกฏหมายม.112ตัดสิน"โจ กอร์ดอน"

วันนี้(16ธ.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเครือข่ายสยามสามัคคี นำโดยนายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ประท้วงและยื่นหนังสือสถานทูตอเมริกา กรณีนายเดอรราจ์ พาราดิโซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายเอเชียตะวันออกของสหรัฐอเมริกา

แสดงความวิตกกังวลต่อการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 และกระบวนการยุติธรรมของไทย และการแสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ของ นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กรณีการตัดสินคดีของ นายโจ กอร์ดอน ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ว่ามีความกังวลต่อการตัดสินที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #626 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 22:51:55 »

สมชาย : สหรัฐอย่าละเมิดความรู้สึกคนไทย

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

   

สมชาย แสวงการ ให้สัมภาษณ์เรียกร้องเอกอัครราชทูตสหรัฐ อย่าละเมิดความรู้สึกคนไทย
เผยเตรียมทำจดหมายทำความเข้าใจเรื่องกฎหมาย และการปกป้องสถาบัน

สมชาย แสวงการ ประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา และในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ เรียกร้องเอกอัครราชทูตสหรัฐ อย่าละเมิดความรู้สึกคนไทย

สมชาย เล่าประสบการณ์ที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา ว่า ผมคือคนที่สถานทูตสหรัฐเชิญให้ไปศึกษาดูงานสิทธิมนุษยชน และรัฐธรรมนูญ ของสหรัฐหลายรอบ ทำให้ผมทราบว่า สหรัฐเองต่างหากที่จะต้องรับฟังความคิดเห็นคนอื่นบ้าง

ในฐานะ รองประธานกมธ.พิทักษ์สถาบันฯ วุฒิสภา สมชาย เล่าว่า วันนี้มีการประชุมกันในกรรมาธิการทุกคนเห็นตรงกันว่า จะทำหนังสือถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย คริสตี้ เคนนี่ย์ เพราะเราเห็นว่าเป็นทูตคนใหม่ที่เพิ่งจะมาประจำประเทศไทย อาจจะต้องทำความเข้าใจใหม่ ทำความเข้าใจการปกครองของไทยตั้งแต่ปี 2475 เราเรียกการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรามีกฎหมายคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 'ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข' มาตรา 3 'อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม'

เรามีรัฐธรรมนูญคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ก็เหมือนกับสหรัฐ ที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญไว้คุ้มครองผู้นำตัวเอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไทยเราใช้คุ้มครองผู้นำของไทย เหมือนเขาคุ้มครองประธานาธิบดี โอบามา

รองประธานกมธ.พิทักษ์สถาบันฯ วุฒิสภา กล่าวถึงการที่สหรัฐออกมาแสดงความเป็นห่วงเสรีภาพในประเทศไทย นั้น ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา ยืนยันว่า ประเทศไทยมีเสรีภาพเหลือล้นมากกว่าสหรัฐ เพราะขนาดเหตุการณ์เสื้่อเหลือง เสื้อแดง ชุมนุมมีการถ่ายทอดสด ขณะที่สหรัฐ ถ่ายทอดสดการชุมนุมทางการเมืองไม่ได้ หรือการชุมนุมพักค้างอ้างแรม สหรัฐทำไม่ได้ สิ่งที่สหรัฐทำไม่ได้ คือชุมนุมแล้วปลุกระดมให้คนเผาบ้านเผาเมือง หรือวางระเบิด ยิงเอ็ม 79 กลางเมืองหลวง สหรัฐทำไม่ได้ แต่ประเทศไทยทำได้ และทำมาแล้ว

ผมเปรียบเทียบอย่างนี้ สหรัฐแค่เดินเข้าไปหน้าทำเนียบขาว ยังโดนหิ้วไปขัง หรือเหตุการณ์ 911 คนที่จะเข้าสหรัฐ ถูกจับแก้ผ้ามากต่อมาก สหรัฐจึงเป็นประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ในการตรวจค้นคนต่างชาติที่จะเดินทางเข้าสหรัฐ หรือในกรณีการทำสงครามอีรัก สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ห้ามเสนอข่าวบางเรื่อง แต่ประเทศไทยกำลังสำลักเสรีภาพ เรามีวิทยุชุมชนกว่าหมื่รนสถานี มีมากว่าสหรัฐ

นายสมชาย กล่าวว่า การที่ไทยจะปกป้องมาตรา 112 ก็คือการปกป้องผู้นำ เหมื่อนคุณปกป้องผู้นำคุณเอง เอกอัครราชทูตสหรัฐต้องเข้าใจความหลากหลาย เรามีจารีต มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรามีกฎหมายไว้ปกป้อง แต่ประเทศคุณ การเดินทางมาประเทศไทย ต้องส่งเครื่องบินมาล่วงหน้า ส่งรถลีมูซีน ส่งอาวุธหนักเข้ามา ยิ่งกว่าสงคราม เพื่ออะไร เพื่อคุ้มกันผู้นำของคุณ เวลานอนโรงแรม แขกคนอื่นยังถูกห้ามเข้าไปกินอาหารห้องเดียวกันกับผู้นำของคุณ เพราะคุณต้องการพิทักษ์ผู้นำประเทศคุณ ดังนั้น คุณต้องเคราพประเทศอื่นที่มีความหลากหลายทางขนบธรรมเนียม การอ้างการใช้สิทธิมนุษยชนตามหลักสหประชาชาติ แต่นั่นจะต้องไม่ละเมิดกฎหมายภายในประเทศ นั้นๆ ด้วย

ผมยกตัวอย่างประเทศสหรัฐ ที่อ้างตนเองว่าเป็นประเทศที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชน มีกรณี เด็กหนุ่มชาวอังกฤษ ลุค แองเจิล วัย 17 ปี ส่งอีเมล์ไปด่า ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เขาด่า โอบามาว่า "พริก" คำเดียวเท่านั้น สหรัฐให้ตำรวจอังกฤษไปจับ ลุค แองเจิล แต่ตำรวจอังกฤษก็ไม่ได้ตั้งข้อหาใดกับเด็กหนุ่มคนนี้ สหรัฐต่างหากที่ติดแบล็คลิสต์ห้าม ลุค แองเจิล เข้าสหรัฐตลอดชีวิต อย่างนี้จะเรียกว่าเคารพการแสดงความคิดเห็นตามหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่

เอกอัครราชทูตสหรัฐ ได้โปรดศึกษาวัฒนธรรมประเทศอื่นด้วย เพราะเสรีภาพที่คุณอ้างถึงนั้น ประชาชนคนไทยเห็นแล้วไม่สบายใจกับการละเมิดความรู้สึกของคนไทย และเราในนามกมธ. วิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา จะทำหนังสือแจ้งให้ทราบข้อเท็จจริงนี้ทั้งหมด
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #627 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 14:28:15 »

ย้อนรอยคดีหมิ่นประธานาธิบดี-“อเมริกา”ดินแดนแห่งเสรีภาพจริงหรือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
ย้อนรอย 2 คดีดัง ปมคำถามอเมริกาดินแดนแห่งเสรีภาพจริงหรือไม่ เมื่อหนุ่มมะกันเขียนบทกวีข่มขู่ “โอบามา” เจอคุก 33 เดือน ขณะที่เด็กวัยรุ่นอังกฤษส่งอีเมล์ไปยังทำเนียบขาวตอนเมา เรียกประธานาธิบดีเป็นอวัยวะเพศชาย ถูกห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ ตลอดชีวิต
       
       ขณะที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาพยายามแสดงความเห็นห่วงต่อการดำเนินคดีผู้กระทำผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในไทย ในทำนองที่ว่าเป็นการกำจัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และอ้างว่ารัฐบาลสหรัฐสนับสนุนให้มีเสรีภาพในการแสดงออกในทุกประเทศทั่วโลก และถือว่าเสรีภาพนี้เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ นั้น แต่ในสหรัฐอเมริกาเอง ก็มีกฎหมายที่เอาผิดกับคนที่ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ เช่นกัน โดยมีกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งศาลในมลรัฐเคนตักกีได้สั่งจำคุกผู้ที่เขียนบทกวีข่มขู่นายบารัก โอบามาเป็นเวลาถึง 33 เดือน มากกว่ากรณีนายโจ กอร์ดอน ที่ถูกตัดสินจำคุกในไทยตามมาตรา 112 ด้วยซ้ำ
       
        คดีดังกล่าว ศาลในเมืองหลุยส์วิลล์ มลรัฐเคนตักกี ได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2553 ให้จำคุกนายจอห์นนี่ โลแกน สเปนเซอร์ ชาวเมืองหลุยส์วิลล์ วัย 28 ปี เป็นเวลา 33 เดือน ด้วยข้อหาข่มขู่นายบารัก โอบามา กรณีที่นายสเปนเซอร์ได้เขียนบทกวี 16 บรรทัด ซึ่งมีเนื้อหาบรรยายถึงการใช้ปืนสไนเปอร์ลอบยิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ขึ้นบนเว็บไซต์แห่งหนึ่ง
       
       สื่อต่างประเทศรายงานว่า นายสเปนเซอร์ได้กล่าวคำขอโทษต่อกรณีที่เขาได้เขียนบทกวีดังกล่าว และให้การว่า ขณะที่เขาเขียนบทกวีนั้น เป็นช่วงที่เขาอยู่ในภาวะโศกเศร้าเพราะการเสียชีวิตของมารดาและได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มเชิดชูคนผิวขาว (white supremacist) ซึ่งช่วยให้เขาเลิกยาเสพติดได้
       
       ผู้พิพากษาโจเซฟ เอ็ช.แม็กคินลีย์ จูเนียร์ ได้ตัดสินว่าบทกวีของนายสเปนเซอร์คือสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด จึงถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 33 เดือน และจะถูกคุมประพฤติอีก 3 ปีหลังพ้นโทษจำคุกแล้ว
       
       สำหรับบทกวีของนายสเปนเซอร์ที่ชื่อ“สไนเปอร์”นั้นเคยถูกโพสต์ขึ้นเว็บไซต์ NewSaxon.org ของกลุ่ม white supremacist ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มนาซีใหม่ เมื่อปี 2550 และถูกโพสต์ขึ้นอีกครั้งในปี 2552 หลังจากนายโอบามาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว ซึ่งจากการติดตามของหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ ทำให้สามารถจับกุมตัวนายสเปนเซอร์ได้เมื่อต้นปี 2553
       
        โดยบทกวีดังกล่าว ได้พรรณาว่ามือปืนได้สาดกระสุนปลิดชีวิต “ทรราช” ซึ่งต่อมาได้ระบุชัดเจนว่าเป็นประธานาธิบดี ทำให้เขาถูกตั้งข้อหาจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ว่า กระทำการข่มขู่ประธานาธิบดีและข่มขู่เอาชีวิตหรือทำร้ายร่างกายผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งข้อหาข่มขู่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น ถือเป็นข้อหาร้ายแรงมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี และปรับสูงสุด 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7,500,000 บาท (เจ็ดล้านห้าแสนบาท)
       
        คดีนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกหรือไม่ โดยฝ่ายที่ปกป้องนายสเปนเซอร์ให้เหตุผลว่า ข้อความในบทกวีของนายสเปนเซอร์เพียงแค่แสดงความไม่พอใจเท่านั้น ขณะที่ฝ่ายอัยการระบุว่าข้อความที่ว่า “คนผิวดำต้องตาย” (DIE negro DIE) นั้น เพียงพอแล้วที่จะยกเลิกการให้เสรีภาพในการพูดแก่นายสเปนเซอร์
       
       บทกวี "THE SNIPER" โดย Johnny Spencer
       
       "As the tyrant enters his cross hairs the breath he takes is deep
       His focus is square on the target as he begins to release
       A patriot for his people he knows this shot will cost his life
       But for his race and their existence it is a small sacrifice
       The bullet that he has chambered is one of the purest pride
       And the inspiration on the casing reads DIE negro DIE
       He breathes out as he pulls the trigger releasing all his hate
       And a smile appears upon his face as he seals that monkey's fate.
       
       The bullet screams toward its mark bringing with it death
       And where there was once a face there is nothing left
       Two blood covered agents stare in horror and dismay
       Looking down toward the ground where their president now lay
       Now the screams of one old negro broad pierces thru the air
       Setting off panic from every eyewitness that was there
       And among all the confusion the hero calmly slips away
       Laughing for he knows there will be another negro holiday”
       
       ลิงก์อ้างอิง
       -http://www.huffingtonpost.com/2010/12/06/johnny-logan-spencer-obama-threat_n_792894.html
       -http://whitereference.blogspot.com/2010/02/johnny-logan-spencer-latest-thought.html
       -http://www.newser.com/story/81371/man-charged-with-threatening-obama-in-web-poem.html
       -http://articles.businessinsider.com/2010-02-20/law_review/29977646_1_social-networking-supremacists-pazienza#ixzz1giFCKtcM
       -http://www.hillbillyreport.org/diary/1201/johnny-logan-spencer-jr-louisville-ky-arrested-for-threatening-barack-obama-with-poem-the-sniper
       
       ด่า “โอบามา”โดนห้ามเข้าสหรัฐฯ ตลอดชีพ
       

      นอกจากกรณีจำคุกคนเขียนบทกวีแล้ว ยังมีกรณีที่วัยรุ่นชาวอังกฤษถูกห้ามเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาตลอดชีวิต หลังจากเรียกนายโอบามาเป็นอวัยวะเพศชาย
       
       ทั้งนี้ สื่อมวลชนของอังกฤษได้รายงานเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2553 ว่า นายลุก แองเจล อายุ 17 ปี ชาวเมืองซิลโซ ในเบดฟอร์ดเชียร์ ได้ส่งอีเมล์ไปยังทำเนียบขาว หลังจากที่เขาได้ดูรายการทีวีเกี่ยวกับเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายโจมตีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 พร้อมกับเรียกนายโอบามาในอีเมล์นั้นว่า “a prick” ซึ่งเป็นศัพท์สแลงมีความหมายถึงอวัยวะเพศชาย
       
       อีเมล์ดังกล่าวถูกสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐฯ หรือ เอฟบีไอ ดักตรวจได้ จึงส่งข้อมูลให้ตำรวจอังกฤษทำการสืบสวนสอบสวนต่อและสามารถระบุตัวคนส่งอีเมล์ได้ แม้ว่าจะไม่มีการดำเนินคดีกับเด็กวัยรุ่นชาวอังกฤษคนนี้ แต่เขาก็ถูกขึ้นบัญชีดำเป็นบุคคลต้องห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ
       
       ซาราห์ วิลคินสัน โฆษกสำนักงานตำรวจเบดฟอร์ดเชียร์ บอกว่า อีเมล์ดังกล่าวเต็มไปด้วยภาษาที่ไม่เหมาะสมและข่มขู่คุกคามจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเธอบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่งที่ทำอะไรโง่ๆ เท่านั้น
       
       ขณะที่นายแองเจลยอมรับว่าได้ส่งอีเมล์ดังกล่าวออกไปขณะกำลังเมา และให้ปากคำต่อตำรวจว่า เขาจำไม่ได้ชัดเจนว่าได้เขียนอะไรลงไปบ้าง นอกจากนี้ยังให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเกี่ยวกับเรื่องที่เขาถูกห้ามเข้าสหรัฐฯ ว่า เขาไม่สนใจ แม้ว่าพ่อแม่เขาไม่ค่อยมีความสุขนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น
       
       ลิงก์อ้างอิง
       http://www.theweek.co.uk/people-news/11611/british-boy-gets-us-ban-calling-obama-%E2%80%98prick%E2%80%99#ixzz1gVZWRYdt
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #628 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 14:32:26 »

สื่อนอกตีข่าวคนไทยชุมนุมหน้าสถานทูตมะกัน ตะเพิด'ทูตจอมแส่'กลับบ้าน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
   
       บลูมเบิร์ก/เอเอฟพี - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานกลุ่มคนไทยผู้จงรักภักดีรวมตัวประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพฯเมื่อวันศุกร์(16) ไล่นางคริสตี เคนนี เอกอัครราชทูตอเมริกันออกนอกประเทศ หลังเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศรายหนึ่งตั้งข้อสงสัยเกียวกับคำพิพากษาลงโทษพลเมืองสหรัฐฯฐานความผิดล่วงละเมิดสถาบัน
       
       บลูมเบิร์กอ้างคำสัมภาษณ์ของนพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เผยว่าวันนี้(16) กลุ่มสยามสามัคคีได้ยื่นหนังสือถึงสหประชาชาติและสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้พวกเขาหลีกเลี่ยงแสดงความคิดเห็นต่อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ขณะที่สำนักข่าวแห่งนี้รายงานต่อว่าสมาชิกของผู้ประท้วงราว 200 คน พากันโบกธงสัญลักษณ์และชูพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมตะโกนว่า "คริสตี ออกไป" อยู่ด้านหน้าสถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพฯ
       
       "แต่ละประเทศล้วนมีสิทธิ์ในการจำกัดหรือพิจารณาถึงสิทธิต่างๆของตนเองเพื่อปกป้องความมั่นคงและความสันติของประเทศ" นายแพทย์ตุลย์บอกกับบลูมเบิร์ก "เพื่อรักษาสันติและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐฯและไทย พวกเขาควรหลีกเลี่ยงแทรกแซงระบบยุติธรรมของไทย"
       

       อย่างไรก็ตามทางสถานทูตสหรัฐฯได้ออกคำแถลงชี้แจงผ่านเว็บไซต์ว่า "รัฐบาลสหรัฐฯให้ความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย พระบรมวงศานุวงศ์และวัฒนธรรมไทยอย่างที่สุด เราเคารพกฎหมายไทยและไม่ได้แทรกแซงกิจการภายในประเทศของไทย เราสนับสนุนสิทธิการแสดงออกทั่วโลกและมองว่ามันคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน"
       
       สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าบนหน้าเฟซบุ๊คของสถานทูตสหรัฐฯ แค่เมื่อวันพฤหัสบดี(15) มีคนโพสต์เข้าไปแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากกว่า 3,300 ความคิดเห็น โดยบางส่วนโจมตีนางคริสตีอย่างรุนแรง จนสถานทูตต้องร้องขอผู้โพสต์งดใช้คำข่มขู่และหยาบคาย

       นายแพทย์ตุลย์ยอมรับว่าเขารู้สึกเสียใจต่อถ้อยคำที่รุนแรงในเฟซบุ๊คและร้องขอให้กลุ่มผู้สนับสนุนกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแสดงความเห็นเรียกร้องต่อรัฐบาลสหรัฐฯอย่างสุภาพและหันมาเป็นการให้มุมมองอีกแง่หนึ่งจะดีกว่า
       
       ผู้ประท้วงหลายคนถือป้ายข้อความว่า "คริสตี เคนนี หุบปากซะ" และ "หากคุณไม่ยอมรับกฎหมายไทยก็ออกไปซะ" ทั้งนี้ทางผู้ชุมนุมได้ร่วมร้องเพลงชาติและสรรเสริญพระบารมีก่อนสลายตัวไป โดยการประท้วงครั้งนี้ในเวลาราว 45 นาที
       
       ในเวลาต่อมานางเคนนี โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ว่า "การชุมนุมเป็นไปอย่างสันติ" และระหว่างนั้นยังมีการสนทนาด้วยความเคารพซึ่งกันและกันกับเจ้าหน้าที่สถานทูตด้วย
       
       ทั้งนี้นายแพทย์ตุลย์เตือนถึงการสมคบคิดที่มีเป้าหมายแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและยืนยันว่าทางกลุ่มจะเดินหน้าความพยายามแก้ไขใดๆ "การโจมตีมาตรา 112 เป็นก้าวย่างแรก และพอไม่มีมาตรา 112 แล้ว คนเหล่านั้นก็จะกำจัดสถาบันออกจากคนไทยอย่างสมบูรณ์"
       
       ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีอ้างคำสัมภาษณ์ของ ชัยวัฒน์ สุรวิชัย หนึ่งในแกนนำผู้ประท้วงบอกว่า "เราเรียกร้องให้สถานทูตสหรัฐฯและเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ คริสตี เคนนี ออกมาขอโทษต่อชาวไทยทุกคนสำหรับพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อพระมหากษัตริย์ของเรา"
       
       or=#FF5800]เอฟพีรายงานด้วยว่าผู้ประท้วงบางคนชูป้าย "คริสตี หุบปากซะ" และ "เราจะปกป้องมาตรา 112 ด้วยชีวิต" ขณะที่นางหทัยรัตน์ เจริญวัฒนานนท์ วัย 53 ปี หนึ่งในผู้เข้าร่วมชุมนุมบอกว่า "ฉันรักในหลวง ฉันมาเพื่อขอความยุติธรรม ฉันต้องการให้รัฐบาลปราบปรามความเคลื่อนไหวหมิ่นสถาบันให้หมดและไม่ปล่อยให้ใครมาแตะต้องในหลวงของเรา"[/color]

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #629 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 14:39:55 »

แกนนำสยามสามัคคียันปกป้องสถาบัน ม.112ไม่มีความผิด

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"พล.อ.สมเจตน์"ระบุกฏหมายม.112ไม่มีความผิด หนุนตั้งกก.กลั่นกรองขึ้นมาไม่ใช่ทำลายฝ่ายตรงข้าม ชี้กลุ่มสยามสามัคคีเคลื่อนไหวปกป้องสถาบัน


วันนี้(17ธ.ค.)พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สว.สรรหา และแกนนำกลุ่มภาคีสยามสามัคคี ให้สัมภาษณ์กรณี 15 นักวิชาการเสนอตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการฟ้องร้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ เนื่องจาก มาตรา 112 ไม่ได้มีความผิดอะไร แต่กลับมีคนบางกลุ่มบางคนนำเอามาตรา 112 ไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองทำลายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนไทย หากมีคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาเพื่อกลั่นกรองคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ก็จะเป็นเรื่องที่ดี แต่การตั้งคณะกรรมการชุดนี้จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมให้ได้ว่าจะไม่มาเป็นเครื่องมือฝ่ายตรงข้าม ซึ่งคนที่จะเข้ามาเป็นกรรมการสังคมจะต้องมั่นใจ และยอมรับในตัวบุคลดังกล่าว ว่าไม่มีความโน้มเอียงในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่สำคัญบุคคลที่เข้ามาจะต้องมีความยุติธรรมเป็นที่ยอมรับ และเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน

" สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่จะวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เคยมีพระราชดำรัสว่าสถาบันสามารถวิจารณ์ได้ แต่บางคนกลับใช้ไปเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม หรือก้าวล่วงไปยังสถาบัน ต้องเข้าใจว่าบางคนใช้ข้อความที่ไม่เหมาะสมกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หากเปรียบเทียบกันแล้วคำพูดเหล่านี้ไม่ควรใช้ ถ้าเป็นบิดามารดาของตัวเราเองถูกกระทำด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะสมเราจะรู้สึกอย่างไร ที่ผ่านมาหลายคนมีการกระทำที่ก้าวล่วงไปยังสถาบัน จึงจำเป็นต้องใช้ มาตรา 112" พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า

ถามว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการชุดดังกล่าวควรประกอบด้วยใครบ้าง พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ก็ต้องดูว่าบุคคลและองค์กรนั้นเป็นที่ยอมรับกับสังคมว่ามีควรมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน เพราะหากเอาบุคคลอื่น หรือองค์กรอื่นที่ไม่มีความจงรักภักดี การทำงานของคณะกรรมการกลั่นกรองก็มีความล้มเหลวแต่แรก ตนเห็นด้วยในข้อเสนอดังกล่าว เพราะมาตรา 112 ไม่ได้มีความผิดอะไร แต่กฎหมายต้องให้ความคุ้มครองต่อสถาบัน เช่นเดียวกับกฎหมายอื่นๆ ที่ตราออกมาเพื่อให้ความคุ้มครองบุคคล เช่น ศาล ประมุขของรัฐต่างๆ หรือแม้แต่ประชาชน ก็ยังมีกฎหมายคุ้มครอง กฎหมายมาตรา 112 จึงไม่มีความผิดอะไร ไม่มีความผิดปกติ แต่ความผิดปกติคือการนำ มาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม การมีมาตรา 112 เพื่อปกป้องสถาบันและนำคนมาลงโทษ

ถามว่า ใครควรเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ก็ควรจะเป็นหน้าที่ของรัฐบาล เพราะรัฐบาลเองก็ประกาศนโยบายที่จะปกป้องพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ แนวทางใดที่สามารถทำได้ รัฐบาลก็สมควรที่จะออกมาปกป้อง และดำเนินการ ไม่ใช่ให้ฝ่ายภาคประชาชนออกมาเคลื่อนไหว อย่างกรณีของกลุ่มสยามสามัคคี ที่ออกมาเคลื่อนไหวประท้วงสถานทูตหสรัฐประจำประเทศไทยนั้น ก็เพื่อต้องการปกป้องสถาบันและไม่ต้องการที่จะให้มีการแก้ไขกฎหมาย มาตรา 112 และเรื่องดังกล่าวรัฐบาลควรที่จะออกมาดำเนินการในเรื่องนี้มากกว่ากลุ่มภาคประชาชน ยืนยันว่ากลุ่มสยามสามัคคีไม่อยากจะเคลื่อนไหว แต่จะเคลื่อนไหวเท่าที่จำเป็น เพราะการปกป้องสถาบัน ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรง ภาคประชาชนเพียงแต่เป็นผู้สนับสนุน

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #630 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 11:02:37 »

“อากง” หาใช่ชายแก่ ที่แท้แดงฮาร์ดคอร์ “ล้มเจ้า”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    

      
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“เชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของโทรศัพท์ และซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ใช้ก่อเหตุ ข้อความมีลักษณะแสดงความอาฆาตมาดร้าย ใส่ความทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่ข้อความดังกล่าวล้วนไม่เป็นความจริง การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง พิพากษาว่าให้ลงโทษตามมาตรา 112 อันเป็นบทลงโทษสูงสุด ให้จำคุกจำเลย 4 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 20 ปี”
       
       พลันสิ้นเสียงคำพิพากษาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ นายอำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” ชายวัย 61 ปี ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูงที่ฟังอย่างสงบอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้หันไปถามเจ้าหน้าที่ศาลเพราะฟังไม่ชัด เจ้าหน้าที่จึงบอกไปว่า "ลุงติดคุก 20 ปี"
       
       กล่าวให้ชัดกว่านี้ก็คือ “อากง” หรือนายอำพล ตั้งนพกุล อายุ 61 ปี ถูกศาลตัดสินจำคุก 20 ปี ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2), (3) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
       
       เหตุที่จำเลยใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวพิมพ์ข้อความอันเป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่นพระเกียรติยศ และหมิ่นประมาทใส่ความให้ร้ายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และส่งข้อความดังกล่าวไปยังโทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ขณะดำรงตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
       
       อย่างไรก็ตาม หลังคำพิพากษา กรณีดังกล่าวได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรง โดยกลุ่มคนที่แสดงตัวว่ามีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงบทลงโทษดังกล่าว บางคนพาลด่าว่าโทษรุนแรงเกินไป บางคนบอกว่าอากงเป็นผู้บริสุทธิ์ อากงถูกใส่ร้าย อากงคือเหยื่อมาตรา 112 !
       
       นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่บทความออกมาโจมตีตามโซเชียลเน็ตเวิร์กจำนวนมาก ในทำนองว่า “จำเลยเป็นแพะ” ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดที่แท้จริง โดยเฉพาะ “ขบวนการล้มเจ้า” ที่ใช้คดี “อากง” เป็นเครื่องมือ โดยการนำไปกระพือ ขยายผลเกินความเป็นจริง “บิดเบือน” ตัดทอนข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจผิด สร้างละครชีวิตอากงขึ้นมาว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกลงโทษอย่างรุนแรง เพราะมาตรา 112 เป็นต้นเหตุ ฯลฯ
       
       ผสมรวมกับพวกที่ “อยากดัง” สบช่องฉวยโอกาสโหนกระแส “อากง” ตะโกนโหวกเหวกโวยวายในโลกออนไลน์และเฟซบุ๊กเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองเป็นนักประชาธิปไตยและนักมนุษยชนตัวยง ขณะที่บางคนใช้อากงเป็น “เหยื่อ” เพื่อสนองตัณหาความอยาก(แรง)ของตัวเอง อย่างที่ “หญิงร่านแห่งล้านนา” นักเขียนดอกทอง ได้กระทำ โดยนำกรณี “อากง” ไปอ้างเป็นเหตุในการแก้ผ้า “โชว์นม” ให้สาธารณชนได้ชมในโลกไซเบอร์ สมใจอยาก (จนหลายคนอยากอ้วกออกมาหลังจากได้ “ชมนม” ของเธอ)
       
       รวมถึงการรณรงค์ให้เขียนคำว่า "อากง" บนฝ่ามือ แล้วถ่ายรูปมาโพสต์ในเฟชบุ๊ก เพื่อสร้างกระแสความเคลื่อนไหวให้ปล่อย "อากง" โดยพวกเขาสื่อออกมาแบบคิดเองเออเองว่า "อากง" เป็นเหยื่อกฎหมายมาตรา 112 โดยให้ความเห็นว่า "อากง" ชายชราอายุ 61 ปี ไม่น่าจะมีความชำนาญในการใช้โทรศัพท์มือถือ และส่ง SMS และการส่ง SMS เพียง 4 ครั้ง มีโทษจำคุกถึง 20 ปี ในประเทศไทย มันมากเกินไปหรือเปล่า!?
       
       แต่ความจริงก็คือ พวกเขาพยายามเอา “นม” และฝ่ามือของตนเองที่เขียนคำว่า “อากง” ปิดบังข้อเท็จจริงไม่ให้ประชาชนรับรู้
       
       เพราะ “อากง” ชายวัย 61 ปี ถูกกล่าวหาว่า ส่ง SMS ข้อความเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปเข้าโทรศัพท์ของนายสมเกียรติ เลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ 4 ครั้ง ระหว่างวันที่ 9-22 พฤษภาคม 2553 ในช่วงที่คนเสื้อแดงกำลังจุดไฟเผาเมือง!

       
       ศาลอาญาตัดสินจำคุกอากง 20 ปี ตามมาตรา 112 และกฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
       
       การบิดเบือนประเด็นว่า ส่ง SMS เพียง 4 ครั้ง ถูกลงโทษหนักจำคุกถึง 20 ปี ก็ไม่ต่างอะไรจากตรรกะแบบบิดๆ เบี้ยวๆ ที่ว่า “ทักษิณแค่เซ็นชื่อ ยินยอมให้เมียไปซื้อที่ดิน ทำไมต้องติดคุก 2 ปี” ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยการกระทำที่พยายามอ้างกันว่าไม่เห็นจะเป็นความผิดตรงไหนนั้น แท้จริงแล้ว มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด ด้วยเหตุผลที่กระจ่างชัด และกำหนดบทลงโทษไว้ชัดเจน
       
       ทั้งนี้ “อากง” ไม่ได้ผิดเพราะส่ง SMS ที่ผิดเพราะส่งข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และข้อความนั้นเข้าข่ายการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และเป็นการทำความผิดอย่างเดียวกันซ้ำซากถึง 4 ครั้ง จึงถูกลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมเป็น 20 ปี ทั้งๆ ที่ ศาลอาจจะลงโทษมากกว่านี้ก็ได้ เพราะความผิดตามมาตรา 112 มีโทษจำคุกระหว่าง 3-15 ปี
       
       หาก “อากง” ส่ง SMS เพียง 2 ครั้ง ก็จะติดคุกเพียง 10 ปี ถ้าส่งครั้งเดียว ก็ติด 5 ปี และหากอากงรับสารภาพ ก็จะได้รับการลดโทษกึ่งหนึ่ง และอาจจะได้รับการรอการลงโทษก็ได้ เหล่านี้คือ กระบวนการพิจารณาโทษตามปกติของศาล หาใช่การกลั่นแกล้งหรือความอยุติธรรมที่ “อากง” ได้รับไม่!
       
       แต่เมื่อไม่รับว่าผิด และไม่สามารถแก้ข้อกล่าวหาจนศาลสิ้นสงสัยได้ ก็ไม่มีเหตุในการลดโทษ รอการลงโทษ
       
       คำให้การปฏิเสธของอากงนั้น ผู้ที่ได้อ่านสรุปคำพิพากษาทั้งหมด ก็น่าจะเห็นว่า แค่คำให้การที่ว่า เคยนำโทรศัพท์ที่เสียไปซ่อม แต่วันเวลาที่นำไปซ่อม ที่อ้าง 2 ครั้ง ก็ไม่ตรงกัน และข้ออ้างที่ว่า จำไม่ได้ว่าไปซ่อมร้านไหน ทั้งๆ ที่ต้องไปส่ง ไปรับโทรศัพท์ที่ร้านถึงสองครั้ง ก็ทำให้คำให้การของ “อากง” หมดความน่าเชื่อถือไปเลย
       
       ในขณะที่ การพิสูจน์ทางเทคนิคว่า หมายเลขอีมี่ หรือรหัสประจำเครื่องโทรศัพท์ของอากง อาจถูกผู้อื่นปลอมแปลงนั้น ก็ได้มีการพิสูจน์กันต่อหน้าศาลว่า หมายเลขอีมี่ นั้น เป็นของโทรศัพท์ของ "อากง" จริง ทั้งยังจับได้ว่า มีการเปลี่ยนซิมจากเครือข่ายทรู เป็นซิมดีแทค ในช่วงที่มีการส่ง SMS เพื่อปกปิดหมายเลขผู้ส่ง แต่สถานที่ส่งเป็นที่เดียวกัน คือ บ้านของ "อากง"
       
       ข้อเท็จจริง อันเป็นพยานแวดล้อมเหล่านี้ ได้ถูกพวกล้มเจ้า พวกอยากมีหัวคิดก้าวหน้า พวกเด็กๆ ที่กำลังหัดพูดคำว่า “ประชาธิปไตย” นักคิดเสื้อแดง นักเขียนเสื้อแดง นักวิชาการเสื้อแดง รวมถึงผู้ที่ร่วมแห่แหน กระพือกระแส "อากง" ตัดตอน และบิดเบือนให้เป็นว่า “หมายเลขอีมี่” เป็นหลักฐานที่อ่อน ไม่น่าจะรับฟังได้
       
       ทั้งหมดนั้นคือขบวนการที่ใช้ “อากง” เป็น “เหยื่อ” เพื่อเซ่นสังเวยความคิดความเชื่อของตัวเอง และทั้งหมดนั้นก็คือ “เครื่องมือ” ของขบวนการล้มเจ้า ที่ต้องการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในประเทศ เพื่อสร้างความ “สั่นสะเทือน” ให้ไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์
       
       อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า “อากง” จะคิดอย่างไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะเป็นแดงฮาร์ดคอร์แถวสำโรงหรือไม่ จะไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงทุกครั้งหรือเปล่า จะเป็นผู้ส่ง SMS ด้วยตัวเอง หรือมีผู้อื่นส่งให้!?

       
       “คำ ผกา” ถอยไปไกลๆ วันนี้เราจะมา “เปลือยอากง” ให้มันรู้กัน!
       
       **“เปลือยอากง”
       
       สำหรับ “อากง” หรือนายอำพล ตั้งนพกุล อายุ 61 ปี จำเลยในคดีหมิ่นสถาบัน ที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 20 ปี คนนี้ ถูก พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศรัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ขณะนั้น) นำกำลังเข้าจับกุม เมื่อเช้าวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ที่ห้องเช่าไม่มีเลขที่ ในซอยวัดด่านสำโรง หมู่ 4 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
       
       เสียงเคาะประตูหลายครั้งปลุก “อากง” หรือนายอำพล ให้ลุกขึ้นมาเปิด เมื่อประตูเปิดออก เจ้าหน้าที่ได้ยื่นหมายจับและหมายค้นให้ดู พร้อมขอเข้าตรวจค้น ภายในห้องสี่เหลี่ยมคับแคบพบข้าวของระเกะระกะ มีเบาะนอนขนาดใหญ่วางอยู่ด้านหน้า และเด็กๆซึ่งเป็นหลานของนายอำพล 3 คน กำลังงัวเงียและตื่นตระหนก เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้ภรรยานายอำพล นำเด็กๆไปอยู่บริเวณหลังห้อง
       
       จากการตรวจค้นพบโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง โดยเครื่องที่ใช้ส่งเอสเอ็มเอสหมิ่นสถาบันคือ ยี่ห้อโมโตโรล่า สีขาว ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า
       
       “พระองค์ท่านไปทำอะไรให้ลุง” พล.ต.ท.ไถง ถามพลางจ้องตารอคำตอบจาก “อากง” หรือนายอำพล แต่ชายชรานิ่งเงียบ มีเพียงแววตาเฉยชาราวกับไม่รู้สึกรู้สาในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป
       
       ทั้งนี้ ระหว่างการจับกุม ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงแห่มาที่เกิดเหตุเพื่อขัดขวาง เจ้าหน้าที่เห็นท่าไม่ดีเกรงจะมีการแย่งตัวผู้ต้องหา จึงรีบนำตัว “อากง” หรือนายอำพลเข้ากองปราบปรามมาสอบสวนต่อ
       
       “ผมไม่ได้ทำ โทรศัพท์ผมเสียจึงเอาไปซ่อม และได้เลิกใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ไปนานแล้ว” นายอำพล ให้การปฏิเสธในวันที่ถูกสอบเครียด
       
       จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้นำตัว “อากง” หรือนายอำพลไปดูร้านซ่อมโทรศัพท์ ภายในห้างสรรพสินค้าอิมพิเรียล สาขาสำโรง ที่อากงอ้างว่านำไปซ่อม แต่อากงกลับแสร้งทำเป็นจำไม่ได้
       
       เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนคดีดังกล่าวนายหนึ่งเล่าว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญกระทบกระเทือนกับสถาบันสูงสุดของประเทศ การสืบสวนจับกุมจำต้องกระทำอย่างรอบคอบและรัดกุมที่สุด เจ้าหน้าที่ใช้เวลาสืบสวนกระทั่งตามจับกุมโดยใช้เวลาเดือนกว่า แต่อากงก็ได้ปฏิเสธทั้งๆ ที่โทรศัพท์เครื่องที่ส่งข้อความมิบังควรถูกซุกซ่อนอยู่ในบ้านของอากงเอง
       
       โดยจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ก่อนหน้านี้ พบว่าเบอร์ที่ส่งเอสเอ็มเอสมาจากซิมการ์ดหมายเลขเดียวกันทั้งหมด แต่ซิมการ์ดดังกล่าวได้เลิกใช้ไปแล้ว ส่วนโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวตรวจสอบพบว่ายังมีการเปิดใช้อยู่ แต่ได้มีการเปลี่ยนซิมการ์ดใหม่ ทั้งนี้ ทางกองปราบปรามได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ 4 -5 นาย ลงพื้นที่ใน ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เนื่องจากตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวเปิดใช้อยู่ในพื้นที่นั้น โดยเจ้าหน้าที่ฝังตัวหาข่าวนานกว่า 2 สัปดาห์
       
       นอกจากนี้ได้ตรวจสอบข้อมูลที่โทรศัพท์เครื่องดังกล่าวโทรเข้า-โทรออกย้อนหลัง กระทั่งเรียกตัวพยานรายหนึ่งซึ่งเป็น “บุตรสาว” ผู้ต้องสงสัยมาให้ปากคำ พยานคนดังกล่าวให้การว่าโทรศัพท์เครื่องนั้น นายอำพล หรือ “อากง” เป็นคนใช้จริง โดยใช้ทั้งซิมการ์ดปัจจุบันและซิมการ์ดที่ส่งข้อความหมิ่นสถาบัน
       
       ถือเป็นการปิดคดีที่ใช้เวลานานร่วมเดือน การสืบสวนสอบสวนกระทำในลักษณะคณะกรรมการร่วม และพยานหลักฐานมัดแน่นทั้งสืบจากข้อมูลการใช้โทรศัพท์ โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ นอกจากนี้ยังมีคำให้การที่มัดตัวอากงโดยลูกสาวอากงเอง กระทั่งศาลพิพากษาจำคุก 20 ปี ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2), (3) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
       
       “ผมขอยืนยันว่าจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มีความมั่นคง เป็นศูนย์รวมจิตใจและความรักสามัคคีของคนในชาติ และจะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือความขัดแย้งทุกรูปแบบ พร้อมทั้งจะดำเนินการตามกฎหมายกับบุคคลที่ล่วงละเมิดสถาบันอย่างจริงจังเพื่อป้องกันมิให้มีการล่วงละเมิดพระบรมเดชานุภาพได้ ” พล.ต.ท.ไถง กล่าวเสียงเข้มในวันจับกุม
      
       **แดงฮาร์ดคอร์ ตัวพ่อ สายปากน้ำ

       
       อย่างไรก็ตาม กับคำกล่าวที่ว่า “อากง” ไม่มีใจฝักใฝ่กลุ่มคนเสื้อแดงและไม่น่าจะทราบเบอร์โทรศัพท์บุคคลสำคัญ แต่ข้อมูลจากฝ่ายสืบสวนทราบว่า “อากง” หรือนายอำพล คือคนเสื้อแดงระดับ “ฮาร์ดคอร์” สายปากน้ำ คนหนึ่งที่ถูกขึ้นบัญชีดำโดย กอ.รมน. และมักเข้าร่วมชุมนุมมั่วสุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่เป็นประจำ และสม่ำเสมอ โดยในที่ชุมนุมจะมีการแจกจ่ายใบปลิวเบอร์โทรศัพท์บุคคลสำคัญที่กลุ่มคนเสื้อแดงเกลียดชังเพื่อให้สมาชิกโทรไปด่าหรือส่งข้อความป่วน
       
       “พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ” ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) หนึ่งในนายตำรวจที่นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ เข้าปิดล้อมซอยวัดด่านสำโรง หมู่ที่ 4 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เพื่อจับกุมตัว “อากง” ในวันนั้น ได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวกับ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ว่า
       
       “ผมไม่สนใจว่าใครจะเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อเขียว วันนี้ผมมองว่า หนึ่ง-สิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง ก็อย่าไปแตะต้อง เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีความเป็นจริง ไปแตะต้องทำไม เป็นสถาบันของชาติ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า คนไทยในปัจจุบันทำไมไม่นึกถึงอดีตกันบ้างว่าเราเติบโตในสัญชาติไทยมาได้อย่างไร แล้วทำไมต้องไปยุ่ง หรือต้องไปเชื่อ หรือจะต้องไปฟอร์เวิร์ด หรือต้องตามไปดู หรือต้องไปไลค์ (like) กัน ผมไม่เข้าใจ หรือจะไปมีประเด็นจะต้องไปพูดถึงทำไม
       
       “ทำไมเมื่อเป็นคนไทย... คือการอ้างสิทธิเสรีภาพ มันใช่, ทุกคนอ้างได้อยู่แล้ว แต่ต้องถามว่าแล้วชาติไทยที่มีมาและอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ชาติไทยเป็นชาติพิเศษไม่เหมือนชาติอื่น ก็น่าจะต้องรู้ว่าอะไรที่ควรไม่ควร ถ้าถามว่าการที่จะไปกระทำความผิด เมื่อกฎหมายเขียนว่าเป็นความผิด การบังคับใช้หรือการลงโทษลงทัณฑ์ก็ต้องมองไปที่การกระทำนั้นๆ ว่ามันเป็นสิ่งที่บัญญัติออกมาใช้ในยุคนั้นสมัยนั้น ถ้าย้อนกลับไปสักร้อยสองร้อยปี ผมถามว่าคนประเภทนี้จะถูกทำอะไร คำตอบก็คือ 'เด็ดหัวทิ้ง' ก็กลับข้างดูสิ
       
       “แต่ในสังคมไทย ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเรามีชาติกำเนิดเกิดขึ้นมาบนแผ่นนี้ด้วยใคร ต้องถามเลย ไม่ใช่แค่ด้วยพ่อแม่ของตัวเองสองคน เสื่อผืนหมอนใบ แล้วเข้ามาในประเทศ แล้วบอกว่า เฮ้ย! กูทำมาหากินของกู กูเติบโตมาได้ก็เพราะกู แต่ความจริงมันไม่ใช่ ความตระหนักตรงนี้มันไม่หยั่งลึกเข้าไปในจิตสำนึกของเขา แม้ผมไม่ได้เกิดในยุคนั้น ผมยังมีความสำนึกเลยว่า บรรพบุรุษในสมัยอดีตกว่าจะได้ผืนแผ่นดินนี้มา ต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อและเลือดจริงๆ ลองนึกภาพกลับไปดู คุณอาจจะนึกภาพออกก็ได้
       
       “มันจะเอาความรู้สึกที่ว่า กูเกิด ณ แผ่นดินนี้ เวลานี้ ความเป็นประชาธิปไตย ความเป็นเสรีภาพ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว อย่างนั้นมันก็ต้องกลับไปอยู่อีกชาติหนึ่งแล้ว หรือคุณก็ตายชาตินี้แล้วคุณไปเกิดอีกชาติหนึ่งก็แล้วกัน คุณไปรอชาติที่มันเปลี่ยนเป็นอย่างที่คุณอยากได้ มันก็กลับข้างกัน คุณต้องคิดบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ด้วยบริบทของกติกาของสัมคม ก็คือกฎหมายที่มาใช้บังคับ... ทีนี้ การกระทำที่อากงเขาทำ มันไปถึงชั้นศาลแล้ว มันเป็นกระบวนการที่ผ่านกระบวนการอันชอบธรรมที่กฎหมายบัญญัติไว้ มันก็สู่กระบวนการโดยชอบแล้ว”
       
       ถามว่ามีการกลั่นแกล้งไหม พล.ต.ต.สุพิศาล ตอบชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่มีแน่นอน! ผมก็จับคนทุกคนที่มีพยานหลักฐานที่ทำผิดและมีกฎหมายบัญญัติไว้ แต่ผมทำเท่าที่มีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีได้”
       
       และกับกรณีที่หลายคนออกมาเรียกร้องว่า “อากง” ถูกรังแก ไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับโทษที่รุนแรงเกินไป พล.ต.ต.สุพิศาล ให้ความเห็นว่า...
       
       “อันนี้ข้อเท็จจริงต้องพิสูจน์สิว่า ตอนนี้มันถึงชั้นศาลไปแล้ว มันถูกตัดสินไปแล้ว แล้วกระบวนการมันไม่ได้หยุดแค่นั้น ยังมีถึงศาลฎีกา คุณก็ต่อสู้ไปในกระบวนการ ถามว่าถ้าคนมันไม่มายุ่ง หรือไม่ทำอะไร มันจะติดคุกไหม ผมอยากจะรู้ คุณทำมาหากินโดยอาชีพสุจริต โดยไม่แสดงความคิดเห็นแบบนี้ เรื่องนี้ก็รู้ๆ อยู่แล้วว่าไอ้สิ่งที่คนมันพูดมันไม่ใช่ เจ้านายของเราดีทุกพระองค์ มันทำไมต้องไปกล่าว... ผมไม่เข้าใจ
       
       “ส่วนที่บอกว่าโทษรุนแรงเกินไปหรือเปล่า ทำกับคนแก่ มันเป็นดุลพินิจของทางผู้ที่ลงโทษ ไม่ใช่ดุลพินิจของตำรวจ แต่ถามผมก็คือ แล้วเหตุอันที่ควรกระทำ มันทำซ้ำไหมล่ะ ทำหลายๆ ครั้งหรือเปล่า ถ้าทำครั้งเดียวแบบเข้าไปลักของในซูเปอร์มาร์เก็ต เพราะอุ้มลูกไปต้องหานมให้ลูกกิน มันก็มีเหตุผลยอมรับได้ว่าเหตุหรือแรงจูงใจเป็นยังไง แต่นี่พิสูจน์แรงจูงใจ มันทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก! มันทำทำไม ถามว่าทำแล้วรู้หรือไม่, รู้! แล้วรู้ครั้งที่หนึ่ง รู้ครั้งที่สอง รู้ครั้งที่สาม รู้ครั้งที่สี่ รู้ครั้งที่ร้อย มันเป็นความผิดไหม มันต้องกลับไปขนาดนี้ ไม่ใช่คิดว่าแค่ปลายนิ้วกู ไม่มีใครเห็นกู กูอยู่หน้าจอ กูจะดูอะไรก็ได้ กูจะทำอะไรก็ได้ คิดว่าไม่มีใครรู้ คนที่อยู่ในหน้าจอทุกจอของโลกเสมือนคิดว่าตัวเองถูกบังด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ คิดว่าไม่มีร่องรอยของหลักฐาน คิดว่าไม่มีใครเห็นตัวตน
       
       เรื่องที่เกิดขึ้น พล.ต.ต.สุพิศาล บอกว่าต้องกลับไปดูกำพืดของเขาว่าทำไมเขาถึงเข้ามาสู่...
       
       “แรงจูงใจมากกว่าที่ทำ อันนี้ถ้าพูดถึงแง่กฎหมาย การตัดสินคนมันต้องตัดสินด้วย มูลเหตุ หรือแรงจูงใจของการกระทำผิด และแรงจูงใจนั้นเป็นแรงจูงใจที่ถูกหลอกมาไหม เป็นแรงจูงใจที่ถูกกระตุ้นโดยอะไร เป็นแรงจูงใจที่ถูกสะสมมาในชีวิตของตัวเองหรือเปล่า ถูกใช้เป็นเครื่องมือไหม มันก็ต้องมี บางทีผมอาจจะตกเบ็ดล่อเหยื่อคุณก็ได้ มันก็มีหลายประเด็น คุณอยากตกเป็นเหยื่อทำไมล่ะ”
       
       อย่างไรก็ตาม กรณี “อากง” พล.ต.ต.สุพิศาล บอกว่าตำรวจทำเท่าที่มีพยานหลักฐาน
       
       “ผมยืนยันว่าผมเป็นผู้การที่นี่ ผมไม่ใส่ไข่ ผมยืนอยู่บนความที่ตรงต่อหน้าที่ อะไรได้มาเราก็ได้มาเท่านั้น ผู้ต้องหาอยากหักล้างก็เอามา เราก็ให้หักล้าง แล้วเราให้สิทธิตามกฎหมายที่พึงได้ในยุคประชาธิปไตยเต็มที่ เรียนยืนยันไว้ตรงนี้เลย
       
       “ผมก็มีหน้าที่ ทำไปตามหน้าที่ของกฎหมาย ผมไม่ว่าแดงว่าเหลือง ผมบอกให้ นามสกุลผมเขียนว่า 'ภักดีนฤนาถ' นฤนาถ คำนี้แปลว่า 'เจ้าเหนือหัว' ดูเอาก็แล้วกัน ชีวิตผมมีแค่นั้นล่ะ” ผู้การกองปราบ กล่าวทิ้งท้ายด้วยเสียดังหนักแน่น
       
       **อากงปลงไม่ตก
       
       อย่างไรก็ตาม จากคดี “อากง” ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนในสังคมแทบทุกสาขาอาชีพต่างให้ความสนใจ รวมถึงต่างชาติบางประเทศก็ให้ความสนใจแสดงความห่วงใย วิพากษ์วิจารณ์ ศาลยุติธรรมไทยในทางไม่สร้างสรรค์นัก “สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ” โฆษกศาลยุติธรรม ได้ชี้แจงกรณี “อากง” ที่เกิดขึ้นไว้ในบทความชื่อ “อากงปลงไม่ตก” อย่างน่าสนใจว่า
       
       “ไม่ว่าความเห็นของสังคมจะสื่อสารในทางใดก็ตาม ศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่เคยขัดขวาง การแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆ ขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนหลายคนที่วิจารณ์ผลคดีข้างต้นในทางลบ ยังมิได้รู้เห็นพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงในสำนวนความอย่างถ่องแท้...”
       
       ในขณะที่คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ อันเป็นหลักการสากลและหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม
       
       “ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อากงหรือจำเลยมีความผิดเพราะศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของอัยการโจทก์จริง แต่ถ้าจำเลยไม่เห็นด้วยไม่พอใจในผลคำพิพากษา ก็ยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ตามกฎหมาย ซึ่งในอดีตมีคดีที่ศาลสูงเห็นต่างจากศาลชั้นต้นพิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลล่าง ก็ไม่น้อย”
       
       ที่ว่าเหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษถึงจำคุก ปกติการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลธรรมดาที่เป็นการดูหมิ่นใส่ความทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติคุณอย่างร้ายแรง กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดมีโทษถึงจำคุก ศาลยุติธรรมก็เคยลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมาแล้ว
       
       “สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินี ด้วยถ้อยคำภาษาที่ป่าเถื่อนและต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไปจะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์พระประมุขของประเทศ อันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของปวงชนชาวไทยและทั่วโลก ในหลวงทรงครองสิริราชย์มาเป็นเวลากว่า 65 ปี ทรงครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม ห่วงใยทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎร์ตลอดเวลา
       
       “แม้ในยามทรงพระประชวร พระองค์ก็ยังทรงงานเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนเช่นอุกทุกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทุ่มเทพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพ ทรงงานเพื่อความผาสุกของประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า”
       
       ในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ก็บัญญัติว่า "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลยแม้แต่น้อยนิด รวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรมและห่างไกลจากความเป็นจริง
       
       “แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า “อากง” ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใดสามารถเข้าใจ และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ แสดงว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด”
       
       สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคมสถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้
       
       “มาตรการที่เหมาะสม จึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กระทำความผิดคิดวางแผนไตร่ตรองในการกระทำความผิดอย่างแยบยลแนบเนียนด้วยแล้ว ก็ยิ่งสมควรใช้วิธีการที่เหมาะสม ในการคุ้มครองรักษาความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชนด้วย จึงไม่แน่แท้เสมอไปว่า ชราชน ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับการลดโทษ ลงโทษน้อย หรือปล่อยตัวไปเสมอไป”
       
       นั่นคือบางช่วงตอนจากบทความชื่อ “อากงปลงไม่ตก” โดย “สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ” โฆษกศาลยุติธรรม ที่กล่าวไว้อย่างมีเหตุมีผลและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
       
       เช่นเดียวกับล่าสุด ที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 15 ปี น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” ที่ปราศรัยหมิ่นเบื้องสูงบนเวที นปช. แม้เจ้าตัวจะทำเป็นเล่นลิ้น อวดดี โดยยืนยันว่าจะไม่อุทธรณ์ ไม่ศรัทธากระบวนการยุติธรรม และจะไม่ขออภัยโทษ ก็ตาม เพราะนี่คือมาตรการที่เหมาะสม ตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น
       
       เพราะเหล่ากออันชั่วร้ายของขบวนการล้มเจ้าในประเทศไทยนั้นมิได้ต้องการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจในทางสร้างสรรค์ หากแต่อิงแอบแนบแน่นอยู่กับเกมการเมืองเพื่อหวังผลในการทำลายล้างและทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ พร้อมกับสถาปนาระบอบการปกครองใหม่ขึ้นมาเสียใหม่

       
      กรณี “อากง” ที่ขบวนการล้มเจ้าปลุกระดมกันขึ้นมาในขณะนี้ คือตัวอย่างชัดเจน เพราะในที่สุดคนจำนวนไม่น้อยก็จะเห็นใจอากงว่ากะอีแค่ส่ง SMS ทำไมถึงต้องถูกพิพากษาจำคุกถึง 20 ปี ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว “อากง” ผู้นี้คือ “แดงฮาร์ดคอร์” ตัวพ่อแห่งเมืองปากน้ำ ที่ถูกล้างสมองจากขบวนการล้มเจ้ากระทั่งส่ง SMS หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในต่างกรรมและต่างวาระ
       
       ไม่รู้ว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” ไปทำอะไรให้ “อากง” เจ็บช้ำน้ำใจ ถึงกับทำให้อากงซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ที่บรรพบุรุษอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารถึงได้จงเกลียดจงชังเช่นนี้
       
       แต่จะอย่างไรก็ตามแต่ “อากง” หาใช่ชายแก่ธรรมดา เพราะตัวตนที่แท้จริงของ “อากง” ก็คือคนเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ที่ต้องการ “ล้มเจ้า” นั่นเอง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #631 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 20:51:27 »

ชาวศรีสะเกษลงมติค้านถอนทหารไทยพ้น “เขาวิหาร” เด็ดขาด - จี้ไล่เขมรพ้น 4.6 ตร.กม.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
      
   
   ชาวศรีสะเกษทำประชาพิจารณ์ลงมติ 99 % คัดค้านถอนทหารไทยออกจากเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเด็ดขาด ที่บริเวณสี่แยกบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ วันนี้ ( 18 ธ.ค.)

ศรีสะเกษ - ชาวศรีสะเกษ ประชาพิจารณ์ลงมติ 99% คัดค้านถอนทหารไทยออกจากเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเด็ดขาด เตรียมยื่นมติชาวบ้านให้ “ผบ.ทบ.” เพื่อเสนอรัฐบาล ชี้ หากถอนกำลังทหารไทยหมู่บ้านภูมิซรอล แตกแน่ ระบุ 3 เหตุผลต้องคงทหาร เพื่อปกป้องอธิปไตย-เขตแดนยังไม่ชัดเจน-ต้องผลักดันทหารเขมรและชาวกัมพูชาพ้น 4.6 ตร.กม.
       
       วันนี้ (18 ธ.ค.) เมื่อเวลา 16.30 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณสี่แยกบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายกิติศักดิ์ พ้นภัย หัวหน้ากลุ่มกำลังแผ่นดินและเครือข่ายประชาชนชาวกันทรลักษ์พิทักษ์เขาพระวิหาร พร้อมด้วย สมาชิกของกลุ่ม จำนวนกว่า 30 คน ได้นำเอกสารใบประชาพิจารณ์การถอนกำลังทหารไทยออกจากบริเวณเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มาแจกจ่ายให้ประชาชนชาวบ้านภูมิซรอลได้กรอกแบบฟอร์มแสดงความคิดเห็นประชาพิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยจัดแยกเอกสารออกเป็น 2 กล่อง คือ กล่องที่ 1 เป็นกล่องคัดค้านถอนทหารโดยเด็ดขาด กล่องที่ 2 เป็นกล่องให้ถอนทหาร พร้อมให้กรอกความเห็นให้ถอนทหารเพราะอะไร และไม่ให้ถอนทหารเพราะอะไร
       
       โดยปรากฏว่า มีประชาชนชาวบ้านภูมิซรอล พากันมากรอกเอกสารลงความเห็นประชาพิจารณ์กันอย่างคึกคัก ซึ่งการประชาพิจารณ์ครั้งนี้ เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 16-18 ธ.ค.โดยมีการทำประชาพิจารณ์ทั้งในเขตเทศบาลเมืองกันทรลักษ์ และทุกหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ของ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งในวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการลงความเห็นประชาพิจารณ์ และสรุปผลการประชาพิจารณ์ทั้งหมด
       
       นายกิติศักดิ์ พ้นภัย หัวหน้ากลุ่มกำลังแผ่นดินและเครือข่ายประชาชนชาวกันทรลักษ์พิทักษ์เขาพระวิหาร กล่าวว่า ตนและคณะเริ่มออกทำการประชาพิจารณ์ตั้งแต่เย็นวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงวันนี้ (18 ธ.ค.) ปรากฏว่า มีผู้มาลงประชาพิจารณ์รวมทั้งสิ้นประมาณ 5,000 คน ซึ่งสรุปผลจากการประชาพิจารณ์แล้ว พบว่า 99% ประชาชนชาว อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ คัดค้านการถอนกำลังทหารไทยออกจากบริเวณเขาพระวิหารอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้เนื่องจากชาวบ้านทุกคนต้องการให้คงกำลังทหารไว้ที่บริเวณเขาพระวิหาร หากไม่มีทหารไทยอยู่บริเวณนี้ หมู่บ้านภูมิซรอลคงจะต้องแตกแน่นอน
       
       ทั้งนี้ มีเหตุผล 3 ข้อหลัก ในการให้คงกำลังทหารไทยไว้ที่บริเวณเขาพระวิหาร คือ 1.เพื่อให้ปกป้องอธิปไตยของชาติไทย หากมีทหารไทยอยู่ ชาวบ้านอบอุ่นใจ 2.พื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทั่วไปด้าน จ.ศรีสะเกษ ยังไม่มีความชัดเจนในด้านเขตแดน 3. ชาวบ้านต้องการให้ทหารไทยหรือรัฐบาลไทยผลักดันทหารกัมพูชาและชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) บริเวณเขาพระวิหาร รวมทั้งที่ช่องตาเฒ่า และฐานซำแต ใกล้กับทางไปเขื่อนห้วยขนุน ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ ซึ่งมีทหารของกัมพูชาเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ และนำเอาลูกเมียมาทำไร่ทำนาในเขตแดนไทย
       
       นายกิติศักดิ์ กล่าวต่อว่า ผลสรุปการประชาพิจารณ์ทั้ง 2 กล่อง ตนจะทำเป็นหนังสือยื่นถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) โดยผ่าน พ.อ.ธนศักดิ์ มิตรภานนท์ ผบ.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ในวันพรุ่งนี้ (19 ธ.ค.) เวลา 10.00 น. เพื่อเป็นการแจ้งให้ ผบ.ทบ.ได้นำเสนอรัฐบาลให้ทราบว่า ชาวศรีสะเกษที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร ไม่ต้องการให้ถอนกำลังทหารไทยออกจากบริเวณเขาพระวิหารอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ชาวศรีสะเกษมีความเข้าใจที่ชัดเจนแล้วว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม.บริเวณเขาพระวิหาร เป็นเขตแดนของประเทศไทย ไม่ใช่ของกัมพูชา
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #632 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 20:54:05 »

“ดร.อาทิตย์” ชี้ ม.112 ต้องมีไว้ปกป้องประเทศ-ระบุหากขาดสถาบันเมืองไทยเป็นแหล่งอันธพาลแน่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต มองปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา ไม่ต่างจาก “ทฤษฎีต้มกบ” ศปภ.ขาดความพร้อม ชี้ แนวทางปรองดองต้องเพื่อคนส่วนใหญ่ในชาติ ขณะ “รัฐบาลปู” มุ่งนิรโทษกรรมให้พี่ชายอย่างเดียว เชื่อ ทักษิณยังไม่กลับมา เพราะเดินเกมผิด ยืนยันมาตรา 112 ต้องมี ไว้ปกป้องประเทศ หวั่นไม่มีสถาบันฯ เมืองไทยเป็นแหล่งอันธพาลแน่
       

       วันนี้ (18 ธ.ค.) หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เซกชั่นไทยโพสต์แทบลอยด์ ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ ปรองดองมิใช่คืนดี อาทิตย์ อุไรรัตน์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตประธานรัฐสภา ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กกรณีที่รัฐบาลมุ่งไปที่ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อจะนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหลบหนีคดีที่ดินรัชดาฯอย่างเดียว ซึ่งเห็นว่า เป็นเรื่องที่ผิด และการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ว่า อยู่ที่วิจารณญาณของฝ่ายผู้พิพากษาของเจ้าหน้าที่ และเห็นว่าอย่าบ้าจี้จนทำเกินกว่าเหตุ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา
       
       ในช่วงแรก ดร.อาทิตย์ กล่าวถึงวิกฤตน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โดยชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเมื่อไม่เคยเจอวิกฤตมาก่อน จึงไม่มีการเตรียมตัวรับมือพร้อมกันทั้งประเทศ ซึ่งเห็นว่าเหมือนกับทฤษฎีต้มกบ ที่ชาวไอริชทำการเปรียบเทียบปฏิกิริยาตอบสนองของกบ ระหว่างน้ำร้อนกับน้ำเย็น เมื่อกบลงไปอยู่ในน้ำเย็น เพราะคิดว่าจะไม่เป็นอะไร โดยไม่รู้ว่าภัยร้ายใกล้จะมาถึงตัวแล้ว เมื่อน้ำร้อนขึ้นจนได้ที่แล้วก็กลายเป็นกบต้มสุก ไม่สามารถหนีรอดออกมาได้ ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ก็ออกมาบอกว่าไม่คาดคิด แสดงว่าประเทศที่ควรจะต้องมีความพร้อม มีวิชาความรู้พร้อม มีแผนพร้อม มีการป้องกันเตรียมการพร้อม แต่กลับไม่มีใครพร้อมเลยสักคน
       
       • มองทักษิณจำกัดความปรองดองผิด-เชื่อยังไม่กลับไทย
       
       ในตอนหนึ่ง ดร.อาทิตย์ กล่าวถึงการปฏิรูปการเมืองเพื่อหาทางออกให้ประเทศ โดยเห็นว่า เพราะการเมืองเรามันผิดทิศทางไปเลย หากการเมืองไม่ใช่เพื่อประเทศกับเพื่อประชาชน แต่เพื่อตัวเองเพื่อพวกที่อยู่ในการเมืองด้วยกัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิด ต้องเปลี่ยนตรงนี้ให้ได้ ขณะนี้ถึงขั้นใช้ต่างประเทศมาบีบ หากปัญหาอะไรที่มันเกิดประโยชน์กับพวกเขาพวกเดียว เราก็ต้องตีกลับโต้กลับไปบ้าง ศักดิ์ศรีของเราก็มี เพียงแต่ว่าเงียบกันหมด เอาตัวรอดกันหมด อย่างประชาชนที่เขาต้องฟ้องรัฐก็เพราะเขาไม่มีที่พึ่ง เพราะรัฐบาลไม่คิดถึงเขาเลย ซึ่งการเมืองที่เป็นอยู่เวลานี้รัฐบาลมุ่งไปที่ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อจะนิรโทษกรรมอย่างเดียว มุ่งคิดแต่เรื่องการเมืองทำเพื่อผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว ก็อยู่กันอย่างนี้ เท่าที่พูดๆ มาก็ทำเพื่อเขาทั้งนั้น คนไทยยอมอยู่ได้ยังไง
       
       เมื่อถามว่า การปรองดองต้องรวม พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย ดร.อาทิตย์ กล่าวว่า ก็อาจจะจำกัดความคำว่าปรองดองผิดก็ได้ การปรองดองไม่ใช่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ มาปรองดองกับคนนั้นคนนี้ แต่ต้องสร้างความปรองดองในชาติ และการปรองดองในชาติเป็นการสร้างฝ่ายที่สามที่เป็นประชาชนส่วนใหญ่ขึ้นมา เพราะถ้าไปมองว่าเอาสองฝ่ายมายอมกันอย่างนั้นมันไม่ถูก คนส่วนใหญ่เขาไม่ได้อะไรด้วย และการนิรโทษกรรมไม่ใช่วิธีการปรองดอง แต่ว่าต้องเอาคนส่วนใหญ่ให้อยู่เย็นเป็นสุขขึ้นจะต้องทำยังไงบ้าง ซึ่งรัฐบาลจะต้องตจั้งโจทย์แบบนี้ก่อน ให้ประชาชนหมดข้อขัดแย้ง แต่ถ้าคิดจะเอาแกนนำสีเสื้อต่างๆ มาปรองดองกันมันก็ไม่มีวันยอมได้ อย่างไรก็ตาม ดร.อาทิตย์เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะยังไม่กลับประเทศไทยในเร็ววันนี้ เพราะเป็นไปได้ยาก
       
       “เวลานี้เขาก็มีความสุขอยู่แล้ว เงินทองเยอะแยะ ติดอยู่อย่างเดียว คือ ไม่ได้กลับมาเมืองไทย แต่ความพยายามที่จะทำอย่างนี้เขาเดินเกมผิด แทนที่เขาจะทำดีเพื่อที่เขาจะได้กลับมา เขาก็ไม่ทำ แต่กลับทำให้คนเดือดร้อนกันทั้งประเทศ เขาทำอย่างนี้คนจะไม่ให้อภัยเขา อย่างเรื่องอภัยโทษวันที่ 5 ธ.ค.นั่นคือ แสดงนิสัยของเขาว่าจะต้องเอาให้ได้ ถ้าสมมติว่า ไม่มีเสียงคัดค้านต่อต้านมากๆ เขาหลุดเข้ามาแล้วตอนนั้น อะไรก็ตามที่ทำได้ทุกเสต็ป เขาทำทั้งนั้นแหละ ตอนนี้เขาก็หาโอกาสทำเพื่อนิรโทษให้ตัวเอง” ดร.อาทิตย์ กล่าว และว่า การที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลับมาสู่เส้นทางการเมืองอีกครั้งในปีหน้า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตราบใดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่อย่างนี้ ก็ต้องหาโอกาสที่จะช่วยตัวเขากลับมามีอำนาจ จะมีบ้านเลขที่ 111 หรือไม่ สภาพบ้านเมืองก็จะต้องเหมือนเดิม ความขัดแย้งที่ยังมีอยู่ก็มีอยู่เหมือนเดิม
       
       • ยันมาตรา 112 ปกป้องประเทศ-วอนอย่าบ้าจี้ทำเกินกว่าเหตุ
       
       เมื่อถามถึงการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ซึ่งในทางปฏิบัติถูกมองว่ามีปัญหา เพราะด้านหนึ่งถือว่าเป็นเกราะป้องกันสถาบันกษัตริย์ แต่หากใช้แบบสุดโต่งก็จะสะท้อนกลับในทางตรงกันข้าม ดร.อาทิตย์ เห็นว่า กฎหมายนี้มันต้องมี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสชัดเจนว่าวิจารณ์ได้ แต่ต้องวิจารณ์ให้ถูก ถ้าวิจารณ์ไม่ถูกก็ผิด และถ้าวิจารณ์ถูกพระมหากษัตริย์ก็ปรับปรุงตัวเอง หากมีอะไรบกพร่องจริง แต่ถ้าอธิบายผิดวิจารณ์ผิดก็เดือดร้อน ซึ่งพระองค์ท่านประชาธิปไตย ฉะนั้น ตนเห็นว่ากฎหมายนี้ต้องมี
       
       “กฎหมายนี้ไม่ใช่ปกป้องบุคคล แต่ปกป้องประเทศ ในรัฐธรรมนูญบอกว่าแผ่นดินไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกมิได้ คนที่ไปแบ่งแยกแผ่นดินก็ต้องถือเป็นศัตรูของประเทศ ต้องถือเป็นความผิด จะให้ยกเลิกกฎหมายนี้ได้ยังไง พระมหากษัตริย์เป็นสถาบัน ถ้าไปจาบจ้วงโดยไม่มีเหตุผลก็ต้องเป็นความผิด และที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมก็ต้องพิพากษาให้ถูก เพราะสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ว่าต้องยึดตามตัวหนังสือหรือตัวบท แต่มันอยู่ที่วิจารณญาณของฝ่ายผู้พิพากษา ของเจ้าหน้าที่ อย่าบ้าจี้กับมาตรา 112 จนทำเกินกว่าเหตุ” ดร.อาทิตย์ กล่าว
       
       อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ถ้าเราต้องการเป็นประชาธิปไตยทุกอย่างมันละเอียดอ่อน ดังนั้นต้องใช้หลายๆ อย่างประกอบกัน ไม่ใช่แต่เพียงศรีธนญชัยหรือยึดตัวบทอย่างเดียว กฎหมายจำเป็นต้องมี เพราะมีหลายกรณีที่โดนจับๆ ไป ทั้งพูดจา ทำสารพัด อันนั้นสมควรก็อนุโลมไม่ได้ ซึ่งอย่าว่าแต่เป็นพระมหากษัตริย์ ถ้าใครทำอย่างนั้นกับเราซึ่งเป็นประชาชนคนธรรมดา เราก็ต้องฟ้องเหมือนกัน ถ้าไม่มีกฎหมายเลยบ้านเมืองก็ไม่มีขื่อไม่มีแป เป็นสังคมที่ไม่มีเหตุผล
       
      “ประเทศมันต้องมีประมุข ประเทศไทยประมุขคือพระมหากษัตริย์ ประเทศอื่นจะมีประธานาธิบดีก็ว่าไป แต่เราพิสูจน์ได้ว่าไม่มีอะไรวิเศษ ประเสริฐเท่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าไม่มีตรงนี้แล้วประเทศเราจะเป็นแหล่งอันธพาลจังโก้ เพราะต้องรับความจริงว่ามันยังมีสภาพอย่างนี้อยู่ แล้วใครจะเป็นประมุขดูแลบ้านเมืองให้มันเข้าร่องเข้ารอยได้” ดร.อาทิตย์กล่าว

   

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #633 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2554, 22:36:17 »

รอยเตอร์ชี้ "แม้ว" ขโมยซีน "ปู" เยือนต่างแดน หวังเพิ่มบทบาททางการเมือง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

       ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สำนักข่าวรอยเตอร์ชี้ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งหลบหนีคดีไปต่างประเทศ กำลังพยายามสร้างบทบาททางการเมืองในรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้เป็นน้องสาว มากขึ้น ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่อาจสั่นคลอนสันติภาพอันเปราะบางภายในประเทศ
       

       รอยเตอร์ระบุว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักโทษหนีคดีรายนี้ได้เดินทางเยือนหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา เนปาล หรือแม้แต่พม่า ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นการปูทางให้กับการเยือนประเทศเพื่อนบ้านอย่างเป็นทางการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
       
       ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเยือนพม่าในวันพฤหัสบดี (15) ที่ผ่านมา ได้พบกับประธานาธิบดีเต่งเส็ง และนายพลตานฉ่วย แม้แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดยืนยันว่า เป็นการเดินทางส่วนตัว และไม่มีการหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูงเกิดขึ้นก็ตาม
       
       แม้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ วัย 62 ปี ได้ถูกโค่นลงจากตำแหน่งในปี 2006 และต้องลี้ภัยไปอยู่ดูไบ แต่เขากลับไม่เคยเลือนหายไปจากการเมืองไทย และชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายของพรรคเพื่อไทย ยิ่งทำให้อำนาจในมือของเขาแข็งแกร่งขึ้น
       
       นักวิเคราะห์อิสระชี้ว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้อาจไม่เป็นประโยชน์ต่อนักการเมืองหน้าใหม่อย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งกำลังพยายามออกจากเงาของพี่ชาย และยืนยันความเป็นผู้นำที่แท้จริงของประเทศ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก ทั้งยังเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ต่อต้าน และผู้สนับสนุนเขาอีก
       
      กานต์ ยืนยง ผู้อำนวยการสยามอินเทลลิเจนซ์ยูนิต กล่าวว่า "ทุกคนรู้ว่าทักษิณเป็นผู้ที่ชักใยรัฐบาลใหม่อยู่เบื้องหลัง แต่ไม่มีใคร (ในรัฐบาล) อยากออกมาป่าวประกาศ"
       
       กานต์ยังระบุว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุด ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการอ้างสิทธิความเป็นตัวแทนของประเทศ ทั้งที่ตามหลักการแล้วเขาเป็นนักโทษคดีอาญานั้น เป็นการข้ามหน้าข้ามตาเกินไป

       
       "ในปีที่จะมาถึงนี้ ผมคิดว่าเราคงได้เห็นคุณทักษิณพยายามอย่างหนักที่จะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง" เขาเสริม
       
       ขณะที่ รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะพยายามให้ความช่วยเหลือน้องสาวผู้อ่อนประสบการณ์ แต่แรงจูงใจหลักของเขาก็คือการได้อยู่ในความสนใจ
       
       "มันไม่เหมือนว่าเขาจะแข่งขันกับน้องสาวของเขา แต่เขาต้องการให้ทุกคนเห็นว่าเขายังมีบทบาทอยู่ในรัฐบาลใหม่ชุดนี้" รศ.สุขุมชี้

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #634 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2554, 22:38:48 »

“ประยุทธ์” ไล่พวกอ้างกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างชาติให้แก้ ม.112 ไปอยู่ ตปท.    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
“พล.อ.ประยุทธ์” ชี้แก้ ม.112 เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด ระบุแม้เราเป็นประชาธิปไตยแต่อย่าเลยเถิด
ไล่พวกอ้างกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างชาติให้แก้ ม.112 ไปอยู่ต่างประเทศ

       

       
       วันนี้ (20 ธ.ค.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่ฝ่ายการเมืองพยายามแก้ไขมาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดถึง เป็นความเห็นส่วนตัวของแต่ละฝ่าย แต่ในส่วนของตนซึ่งเป็นฝ่ายความมั่นคงและมีหน้าที่ในการพิทักษ์และปกป้อง ซึ่งตนเฝ้าและติดตามอยู่ เราเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่อย่าให้เลยเถิดจนมากเกินไป เมื่อถามว่า บางฝ่ายพยายามอ้างกลุ่มสิทธิมนุษยชนของต่างประเทศที่ออกมาระบุให้ไทยปรับปรุงมาตรา 112 พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ไปอยู่ต่างประเทศก็แล้วกัน
       
       พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ถึงการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า พยายามกวดขันเรื่องนี้ให้มากขึ้น เพราะเป็นไม้มีค่าและมีเหลืออยู่ในประเทศไทย ประเทศเดียวในปัจจุบันอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญ เพราะต่อไปในอนาคตลูกลานจะไม่รู้จักไม้ชนิด ไม้พยุงใช้เวลานานกว่าจะโตขึ้นมาและมีลายที่สวนงาม ถ้ามีการตัดกันมากอีกหน่อยก็คงไปอยู่ในต่างประเทศหมด เช่น หน้าปัดเรือ เรือยอชต์ เรือที่มีราคาแพง ซึ่งตนได้ปรึกษากับอธิปดีกรมทรัพยากรธรรมชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้ช่วยดูว่าไม้พะยูงที่เราจับยึดได้จะทำอะไรที่เป็นสมบัติของชาติได้ใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ ประชาชนต้องมีส่วนร่วม การทำงานทุกอย่างเป็นเรื่องของความมั่นคง ถ้าฝากความหวังกับเจ้าหน้าที่อย่างเดียว อีกหน่อยประเทศชาติก็หายหมด ดังนั้นประชาชนต้องมีส่วนร่วม มีความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศและปฎิบัติตามกฎหมาย ถ้าประชาชนไม่หวงแหนทรัพยากรอีกหน่อยประเทศไทยคงอยู่ไม่ได้ อย่าโยนความรับผิดชอบให้เจ้าหน้าที่อย่างเดียว ซึ่งเราต้องรักษาทรัพยกรเหล่านี้ไว้
       
       “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงทำมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ท่านก็ทรงห่วงทุกปี ไม่รู้ว่าประชาชนเป็นห่วงอย่างที่พระองค์ท่านทรงห่วงหรือเปล่า ถ้าทุกคนห่วงอย่างที่พระองค์ท่านห่วง คิดว่าผืนป่าคงอยู่ได้อีกนาน พระองค์ท่านต้องการให้ทุกคนมีความรู้สึกเดียวกัน คือ รักบ้านเมืองของเรา ผมคิดว่าเป็นบ้านเมืองที่ความสุข เลิกทะเลาะกันเสียที” ผบ.ทบ.กล่าว
       
       พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เราคงไม่ไปขอความร่วมมือจากประเทศที่เป็นเส้นทางลำเลียงไปขาย จะไปขออะไรใครในเมื่อเราทำผิดกฎหมาย อย่าไปขอใคร อายเขา จะทำอะไรดเราต้องแก้ที่ตัวเราเองก่อน อย่าไปโทษคนอื่นไม่ได้ ถ้าตราบใดที่คนของเราแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวไม่เคารพกฎหมาย อย่าไปขอร้องคนอื่นเลย อายเขา อย่างไรก็ตาม ก็มีการปฎิบัติตามสนธิสัญญาเอ็มโอยู ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อมีโอกาสและมีงบประมาณก็จะให้ทหารไปดูและทำได้เป็นครั้งคราวไม่ใช่ว่าเราเซ็นเอ็มโอยูแล้วคนจะไม่กล้าตัดไม่ สิ่งสำคัญประชาชนต้องเฝ้าระวัง ทุกเส้นทาง หากมีการขนไม้ต้องดูว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ต้องปฎิบัติตามกฎหมาย ไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งนี้ ยอมรับว่าเป็นความผิดของหลายส่วนคงไปโทษเจ้าหน้าที่อย่างเดียวไม่ได้ เส้นทางมีหลายหมื่นกิโลเมตรต่อให้มีด่านจำนวนมากก็เล็ดลอดได้หากคนจะทำความผิด ดังนั้น ประชาชนต้องเฝ้าระวังและต่อต้าน คิดว่าประชาชนรู้แต่เกรงกลัวอิทธิพล ส่วนจะเกี่ยวข้องกับนัการเมืองระดับชาติหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #635 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2554, 10:22:51 »

“ประพันธ์” ชี้ชุมนุมไล่รัฐบาลแบบเดิมไร้ผล รอวันแตกหักเท่านั้น

 วันที่ 20 ธ.ค. เมื่อเวลา 20.30 น. นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
       
      นายประพันธ์กล่าวว่า คดีชันสูตรพลิกศพเสื้อแดงสำคัญ ประชาธิปัตย์ทิ้งเรื่องนี้ไว้ ทำให้เพื่อไทยหยิบยกขึ้นมาต่อยอดเพื่อเล่นงานทหาร และประชาธิปัตย์ ฉะนั้น นโยบายสืบสวน ตำรวจตั้งธงไว้แล้ว กลับคำพยานหมดแล้ว เพื่อปรักปรำทหาร เพียงแต่ยืมปากนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ มาสอบสวนเพื่อปิดสำนวนให้สมบูรณ์เท่านั้น อัยการก็รับลูกไว้แล้ว พร้อมไต่สวน 28 ธ.ค.
       
       เมื่อเรื่องนี้ไปถึงศาล แน่นอนหลักฐานไปอย่างนั้น ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร เมื่อพบว่าทหารเป็นคนผิดมันก็จะโยงไปยังคดีอาญาและแพร่ง เพราะแม้มี พ.ร.บ.ฉุกเฉินก็ไม่ได้คุ้มครองทั้งหมด คุ้มครองเฉพาะการปฏิบัติตามหน้าที่ เมื่อการไต่สวนบอกว่าทำเกินสมควรกว่าเหตุก็เข้าข่ายความผิด
       
       เพื่อไทยทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงขบวนการล้มเจ้าด้วย การปล่อยให้ขบวนการพวกนี้เดินหน้าต่อไป จะทำให้กองคาพยพของสังคมอ่อนแอลง และเขาจะกลับมาเป็นใหญ่ สัญญาณอันตรายมันกำลังใกล้มาถึงแล้ว
       
       นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ทำไมรัฐบาลเดินหน้าทุกแนวรบอย่างรวดเร็ว ตนคิดว่าปัจจัยสำคัญอยู่ที่
 1.เขามีความเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่เป็นรัฐบาลได้ไม่นาน
 2.โดยลักษณะบุคลิกของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนต้องทำเร็ว
3.ถูกมวลชนเสื้อแดงกดดันให้รีบล้มอำมาตย์ ให้ช่วยฟอกความผิดให้พวกเขา
 4.มีกรอบเวลา เช่น คดีชันสูตรพลิกศพ เขาก็เร่งผิดปกติ  เช่นพอสำนวนส่งถึงอัยการ ความจริงอัยการมีเวลาอีก 30-90 วัน เห็นจากการที่นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เพิ่งไปให้การสัปดาห์ก่อน สำนวนส่งถึงอัยการแล้ว เพราะตั้งธงไว้แล้ว อัยการก็เร็ว จะส่งไต่สวนวันที่ 28 นี้แล้ว

       
       ทีนี้พอเดินหน้าเร็ว ก็ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนอย่างรวดเร็ว และจะนำไปสู่ความรุนแรง ขบวนการใต้ดินก็เดินแรง พวกไม่เอาเจ้ากำลังร่วมมือกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณก็สนับสนุน ไม่อย่างนั้นคงไม่ไปเนปาล ที่ไปก็เพื่อศึกษาโมเดลล้มเจ้าของประเทศนั้น การเดินเกมเร็ว แน่นอนมันต้องนำไปสู่การปะทะในสังคม เหตุการณ์ภายในปีนี้หรือต้นปีหน้าสถานการณ์การเมืองร้อนแน่ และอาจถึงจุดแตกหัก เชื่อว่าเรื่อง 16 ศพ กองทัพกำลังตกเป็นเบี้ยล่างของรัฐบาล และตกเป็นลูกไล่ของตำรวจ เกียรติภูมิกองทัพไม่เหลือเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วศาลก็ต้องว่าไปตามสำนวนที่อัยการเสนอมา น่าเป็นห่วง ไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้ แต่ด้วยความใจร้อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังจะนำไปสู่การปะทะในทางการเมืองเร็วๆ นี้
        นายประพันธ์กล่าวต่ออีกว่า ต่อไปนี้การชุมนุมแบบเดิมๆที่พันธมิตรฯเคยชุมนุมจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะพัฒนาการของความขัดแย้งมันเลยขั้นการชุมนุมเพื่อตัดสินปัญหาแล้ว เมื่อก่อนเราชุมนุมเพราะเชื่อว่ารัฐบาลทักษิณมาจากการเลือกตั้ง นึกว่าอยู่ในอารยชน จะฟังเสียงประชาชนและพิจารณาตัวเอง แต่วันนี้ได้ทดสอบแล้วว่ามันถูกปกครองโดยทรชนประชาธิปไตย ยุคนี้ยิ่งหนักเป็นยุคโจรครองเมือง แล้วจะไปชุมนุมเรียกร้องจากโจรหรือ
 
        การต่อสู้ต่อไปนี้ต้องดูว่าสู้กันด้วยรูปแบบไหน การชุมนุมถ้าจะเกิดขึ้นต้องลุกฮือขึ้นแบบปฏิวัติ เช่นในประเทศตูนิเซีย อียิปต์ การชุมนุมเรียกร้องให้รับผิดชอบเลิกได้เลย เพราะนักการเมืองไทยด้านเกินพิกัดแล้ว การต่อสู้ต่อไปนี้ยังไม่มีเหตุที่จะมานับจำนวนผู้ชุมนุม ไม่ว่าใครจะจัดการชุมนุมต้องรอดูว่าท้ายที่สุดแล้วขบวนทัพของแต่ละฝ่ายมันจะปะทะกันรูปแบบไหน จะเป็นการปะทะที่รุนแรงแตกหัก สถานการณ์แบบนี้อย่าถามว่าฝ่ายไหนมีเท่าไหร่ ต้องรอดูว่าปะทะเมื่อไหร่ แต่ละฝ่ายจะกรีฑาทัพตัวเองออกมาเท่าไหร่
       
       ขณะที่ นายปานเทพกล่าวว่า ที่ตนพูดถึง 3 สัญญาณอันตรายจุดแตกหักระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ
                สัญญาณแรกขบวนการจาบจ้วง ดูหมิ่น และอาฆาดมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่องนี้มีแรงต่อต้านมาก รัฐบาลก็จะยื้อเวลาให้นานที่สุด เพราะไม่ต้องการให้ตัวเองมีความเสี่ยง จึงจะยื้อมาตรา 112 ต่อไป
       
       แต่สัญญาณที่ 2 เรื่องไทย-กัมพูชา อันนี้มีเวลากำหนด เพราะศาลโลกต้องตัดสินภายในปีหน้า ถ้าไม่ทำอะไรสูญเสียอธิปไตย ทหารต้องตัดสินใจว่าจะปล่อยให้รัฐบาลยอมรับอำนาจศาลโลกหรือไม่ เป็นความสุ่มเสี่ยงอย่างมาก
       
       สัญญาณที่ 3 การเอาผิดทหารเป็นธงของรัฐบาล ครอบงำกระบวนการสอบสวน น่าจับตาว่าทหารจะทำอย่างไร ระหว่างยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าผลออกมาว่าผิดก็จะมีความผิดทางอาญา สั่นสะเทือนต่อทั้งกระบวนการสายบังคับบัญชา ทหารก็จะเป็นเหมือนตำรวจที่ไม่กล้าทำอะไรอีกในทุกๆ เรื่อง กลายเป็นองค์กรพิกลพิการ ทำให้ความเชื่อมั่นต่อผู้บังคับบัญชาด้อยลงทันที อย่างแสนสาหัส จนกระทั่งไม่มีใครฟังแล้ว  ทีนี้อย่าว่าแต่ผิดเลย แค่ขึ้นสู่กระบวนการไต่สวนเมื่อไหร่ ตนคิดว่าแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาหวาดวิตกว่าตัวเองมีความเสี่ยงว่าต้องผิด ในแง่ของสถาบันกองทัพก็ไม่น่าจะยอมได้ เพราะกระทบต่อกระบวนการบังคับบัญชาทั้งหมด ตนคิดว่าทหารไม่น่าจะยอมให้ไปถึงจุดนั้น  ต้องวัดใจทหารว่าจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างรัฐบาลหรือไม่ ทั้งที่ตัวเองไปเสี่ยงกับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ
       
      ส่วนถ้ารัฐบาลจะทำประชามตินิรโทษกรรมเพื่อช่วยทหาร หวังดึงมาเป็นพวก เสื้อแดงก็จะต่อว่ารัฐบาล และขั้นตอนทำประชามติก็ยาวนานมาก ไม่ทันกระบวนการไต่สวน หรือหากรีบก็เป็นไปไม่ได้ เป็นทรยศต่อมวลชนตัวเอง เลยต้องบี้ให้ทหารเป็นผู้แพ้ กระชับอำนาจทหารให้เป็นของตัวเองจนหมดสิ้น ก่อนเข้าสู่กระบวนการแก้พรบ.กลาโหม ก่อนเข้าสู่การแก้กระบวนการยุติธรรมให้เหลือศาลเดียว ที่ตัวเองสามารถได้ประโยชน์มากที่สุด เลยต้องจัดการเป้าทหารให้จบสิ้นก่อน ถึงค่อยเดินเกมอื่น เวลาตอนนี้ภายนอกเหมือนจับมือกัน ทำเป็นเข้าพบทหารมีสัมพันธ์อันดี ก็เพื่อรอสิ่งนี้ให้เสร็จสิ้นก่อน
       

       นายปานเทพกล่าวอีกว่า มักมีคนบอกว่าตอนนี้พันธมิตรฯเหลือนิดเดียว แต่อย่าลืมว่าพันธมิตรฯเคลื่อนตามประเด็น คือ จาบจ้วงสถาบันฯ กับนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ พอเคลื่อนในประเด็นเดียวกัน แม้ต่างกลุ่มกันก็อาจมาร่วมกันได้ ฉะนั้นจำนวนคนไม่สำคัญ คนน้อยหรือเยอะไม่ได้ปัจจัยเสี่ยงต่อพันธมิตรฯเลย แต่เสี่ยงต่อรัฐบาลต่างหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจไม่มีแผ่นดินอยู่แบบพี่ชายก็ได้
       
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #636 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2554, 23:24:34 »

กูรูใหญ่"มีชัย ฤชุพันธุ์"พูดชัดเจนครั้งแรก ว่าด้วยมาตรา 112 ...ต้องอ่าน!!!

วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554
   
มติชนออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ 21 ธันวาคม 2554 ในเว็บไซต์ มีชัยไทยแลนด์ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ มือกฎหมายรุ่นใหญ่
 อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานวุฒิสภา ได้มีผู้ถามนักกฎหมายใหญ่เรื่องแก้กฎหมายหมิ่นฯ


กราบสวัสดีอาจารย์มีชัยด้วยความเคารพ

 มีคำถามที่อยากเรียนถามอาจารย์ถึงกระแสการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชนต่างๆที่ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 โดยระบุว่ามาตรานี้มีปัญหาต่างๆมากมาย ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร เพราะขณะนี้องค์กรระหว่างประเทศ เช่น ยูเอ็นหรือสถานทูตสหรัฐตลอดจนองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหากฎหมายมาตรานี้และเรียกร้องให้มีการแก้ไขแล้วและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างไรในสายตาของต่างประเทศ ขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ 
 

นายมีชัย ตอบว่า
 
มาตรา 112  ห้ามการกระทำเพียง 3  อย่าง คือ

 ห้ามหมิ่นประมาท ห้ามดูหมิ่น และห้ามอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  การกระทำทั้ง 3 อย่างนั้น อย่าว่าแต่จะทำกับประมุขของประเทศเลย ทำกับคนธรรมดา ก็ยังไม่ได้  เสรีภาพของบุคคลนั้นย่อมมีขอบเขตอันจำกัดที่จะต้องไม่ไปละเมิดคนอื่น ถ้าคำนึงถึงแต่เสรีภาพของบุคคลโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของคนอื่น  สังคมก็คงกลียุค แม้แต่ในอเมริกาเองก็ใช่ว่าเราจะไปหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้ายประธานาธิบดีของเขาได้เสียเมื่อไรล่ะ

 ข้อสำคัญประเทศแต่ละประเทศย่อมมีความระแวดระวังในเรื่องที่ต่างกัน ถ้ามองในแง่มุมของอีกประเทศหนึ่งอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สมควร แต่คนที่เจริญแล้วเขาก็ต้องยอมรับนับถือประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่ไปตัดสินจากความคุ้นเคยหรือความเคยชินของตนเอง

 ยกตัวอย่างเช่น อเมริกันกลัวการก่อการร้ายจนขี้ขึ้นสมอง ใครจะผ่านเข้าประเทศจะตรวจค้นอย่างละเอียดยิบโดยไม่คำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลของใค
ร ถึงขนาดจับแก้ผ้าก็ยังทำ  แม้แต่กระเป๋าเดินทางก็เปิดรื้อค้นเอาเองได้ เมื่อตอนที่อเมริกันตามล่าบินลาเด็นน่ะ เคยจับภาพจากอากาศเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินถือไม้เท้าอยู่เชิงเขา นึกว่าเป็นบินลาเด็น ส่งจรวดราคาแพงไปถล่มตายหมดทั้งกลุ่ม จึงรู้ภายหลังว่าไม่ใช่บินลาเด็น ชาวบ้านเลยตายฟรีนั่นน่ะไม่โหดร้ายป่าเถื่อนเสียกว่ายุคหินอีกหรือ ก็ไม่เห็นคนอเมริกันหรือสหประชาชาติจะไปตำหนิอะไร เพราะความแค้นในเรื่องถูกถล่มตึกยังค้างคาอยู่ในใจ

      ประเทศสิงคโปร์มีโทษเฆี่ยนตี ให้หลาบจำจะได้ไม่ทำผิดบางอย่าง คนอเมริกันมือซนเอาสีสเปรย์ไปพ่นที่กำแพง เขาจับได้ ลงโทษตีก้นให้ได้อายมาแล้ว จะโวยวายหรือขอร้องอย่างไร รัฐบาลสิงคโปร์ก็ไม่ยอม ไม่มีใครไปเรียกร้องให้เขาแก้ไขกฎหมาย เพราะเขาจะเฆี่ยนตีก็แต่เฉพาะคนที่ทำผิด เหมือนกับกฎหมายของไทย จะลงโทษก็แต่เฉพาะคนที่ทำผิดที่ห้ามไว้

มีชัย ฤชุพันธุ์
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #637 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 19:55:54 »

“ดร.สุเมธ” ถามทำไมต้องแก้ ม.112 ชี้แค่ตัวหนังสือไม่ทำผิดก็ไม่มีผล
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
      
“ดร.สุเมธ” เตือนสติรัฐบาล อย่าแก้กฎหมายเพื่อคนๆ เดียว แนะคนไทยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ลดระบบทุนนิยม หวั่นประเทศล่มจม เหมือน “ต้มยำกุ้ง-แฮมเบอร์เกอร์” ย้อนถามทำไมต้องเจาะจงแก้มาตรา 112 ชี้ เป็นแค่ตัวหนังสือ ถ้าไม่ทำผิดก็ไม่มีผล ยกแต่งโคลงกลอนล้อประธานาธิบดียังติดคุก
       
       วันนี้ (22 ธ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา บรรยายพิเศษเรื่อง การปฏิบัติตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยพระยุคลบาท โดยมี พล.อ.ดุลกฤต รักษ์เผ่า ผู้บัญชาการหน่วยทหารพัฒนาให้การต้อนรับ
       
       ดร.สุเมธ กล่าวตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักธรรม หลักปรัชญา ความคิด ไม่จำเป็นต้องทำเกษตรอย่างเดียว ครู พ่อค้า นักการเมือง เป็นใครก็ได้ สามารถนำมาใช้ในชีวิตได้ทั้งนั้น แต่ก่อนที่เราจะมาเข้าใจการประมาณตน ต้องทราบเบื้องหน้าเบื้องหลังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียงนี้ขึ้นมาก่อน ว่า ก่อนหน้านั้น มีปรากฏการณ์วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 หรือที่เรียกว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง จนบ้านเมืองล่มจม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ก็ต้องดูสาเหตุว่าเพราะอะไร ตอนนั้นทุกคนโดนกันถ้วนหน้า เพราะเราทำตามความคิดแบบทุนนิยม เราเดินตามฝรั่งเขา ก็พบจุดจบ เจ้าของทฤษฎีเองก็ล่ม ของเราใช้ชื่อ วิกฤตต้มยำกุ้ง ของเขาใช้ชื่อ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา ก็ร่อแร่ไปกันไม่รอด
       
       ดร.สุเมธ กล่าวต่อว่า พวกเราทุกคนอาศัยอยู่บนโลกกลมๆ ก็ต้องเข้าใจโลกด้วย การไปตัดไม้ทำลายป่า ธรรมชาติก็โกรธ จนทำให้เกิดน้ำท่วม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยรับสั่งว่า เมื่อเขาโกรธ เขาก็จะลงโทษเรา โลกเวลานี้เราไม่ต้องไปคิดถึงเรื่อง เสรีทุนนิยม คอมมิวนิสต์ ทุนนิยม แต่โลกขณะนี้ถูกครอบงำด้วยระบบบริโภคนิยม ไม่ว่าจะอยู่ที่จุดไหนก็ถูกกระตุ้นให้บริโภค แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราอย่าให้กิเลสครอบงำ เพราะกิเลสครองโลกมา 2554 ปีแล้ว มนุษย์ไม่เคยชนะมัน มีแต่จะเพิ่มทวีคูณมากขึ้น ทุกคนมีแต่อยากและอยาก พอสะสมมากๆ หนึ่งไม่พอ สองสามก็ตามมา เพราะฉะนั้นควรกินให้พออิ่มพออยู่ แต่นี่กินกันมากมายจนกลายเป็นโรค
       
       หลังจากนั้น ดร.สุเมธ ให้สัมภาษณ์เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ว่า ไม่ว่าอาชีพใด เช่น นักการเมือง ครู อาจารย์ พ่อค้า นำไปใช้ได้ทั้งนั้น เราต้องมีความพอประมาณของตัวเอง รู้จักตัวเอง เรื่องเงินทอง การดำเนินการไปข้างหน้า จึงใช้เหตุผลเป็นเครื่องนำทาง อย่าใช้กิเลสตัณหา เพราะถ้าใช้กิเลสก็จะเกิดความพินาศจะเกิดขึ้นตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงตัวบุคคล จนไม่สามารถเดินหน้าได้ ให้ใช้เหตุผล สติและปัญญาเป็นเครื่องนำทาง นอกจากนี้ อย่าประมาท ถึงแม้จะทำอะไรไม่เกินตัว แต่ความไม่แน่นอนก็มีเหมือนกัน พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่บัดนี้ การจะดำเนินการใดๆ ก็ตาม เราไม่ได้ปิดประตูไม่คบหาใคร เราต้องรอบรู้เหตุการณ์รอบๆ บ้านและรอบโลก ว่า เขาเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เราจะได้ปรับให้เข้ากับยุคสมัยได้ สำหรับเรื่องคุณธรรม ธรรมาภิบาล จริยธรรม ต้องมีศีลธรรมและคุณธรรม อย่ากิน อย่าโกง อย่าทุจริตคอร์รัปชัน จะมีชีวิตที่สมดุลและยั่งยืน
       
       เมื่อถามว่า รัฐบาลซึ่งมีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง ควรนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้หรือไม่ ดร.สุเมธ กล่าวว่า ใครจะมีอาชีพอะไรใช้ได้ทั้งนั้น และต้องใช้ด้วย ถ้าหากจะยึดธรรมะเป็นที่พึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง สื่อมวลชน ประชาชน หากใครไม่ใช้ธรรมะ ตนคิดว่ามีความเสี่ยง เมื่อถามว่า ตอนนี้เห็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับประเทศหรือไม่ ดร.สุเมธ ย้อนถามสื่อว่า สื่อเห็นหรือไม่ เมื่อถามย้ำว่า ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองมองอย่างไร ดร. สุเมธ กล่าวว่า ไม่รู้ เป็นผู้ใหญ่แล้ว มองไม่ค่อยไกล ตาฝ้าฝางหมดแล้ว มองไม่ค่อยเห็นหรอก
       
       เมื่อถามว่า ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะเกิดปัญหาขึ้นมาหรือไม่ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรืออีกหลายเรื่องที่มองว่าทำ เพื่อคนๆ เดียว ดร.สุเมธ กล่าวว่า ใช้เศรษฐกิจพอเพียง เหตุผลเป็นเครื่องนำทาง คำว่ามีเหตุมีผล อะไรที่ถูกต้อง อะไรที่เป็นธรรม โดยมีความยุติธรรม และถ้าทุกอย่างดำเนินการถูกต้อง ปัญหาไม่น่าจะมี เมื่อถามว่า การแก้ไขกติกาสูงสุดของประเทศเพื่อคนๆ เดียว ถูกต้องหรือไม่ ดร.สุเมธ กล่าวว่า คิดว่านั้นคือหลักสากลสำหรับคนทั่วไป กฎหมายออกแบบไว้สำหรับคนทุกคน เมื่อถามย้ำว่า ไม่ใช่ไปแก้เพื่อคนใดคนหนึ่ง ดร.สุเมธ กล่าวว่า ก็แน่นอนที่สุด
       
       เมื่อถามว่า การแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เหมาะสมหรือไม่ ดร.สุเมธ กล่าวว่า กฎหมายอาญา มีตั้งกี่ร้อย กี่พันมาตรา ทำไมจำเพาะเจาะจงถึงต้องแก้อันนี้ กฎหมายคือกฎหมาย ถ้าเราไม่ทำผิด เขาก็อยู่ในกระดาษเท่านั้นเอง ก็อย่าทำผิดก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอาญา หรือกฎหมายอะไรต่างๆ เราต้องแก้ด้วยหรือ หากเราไม่ไปฆ่าใคร ก็คงไม่มีใครมาจับไปขังเข้าคุก แต่ตราบใดที่เราทำผิด กฎหมายนั้นถึงออกมาใช้ได้ ซึ่งเหมือนกันหมด
       
       “เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา เพื่อนมาเล่าให้ฟัง มีคนแต่งโคลงกลอนล้อประธานาธิบดี ถูกติดเข้าคุกเลย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นมาตราอะไร ของฝรั่งเขา ผมไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่เขาก็โดนลงโทษ ที่ไหนในโลกนี้เขาก็มีกันทั้งนั้น” ดร.สุเมธ กล่าว
       

       เมื่อถามว่า เหตุผลที่หยิบยกมาอ้างคือไม่เป็นไป ตามกฎหมายสากล ดร.สุเมธ กล่าวว่า ไม่รู้มีเหตุผลหรือเปล่า ถ้ามีเหตุผลก็พอฟังได้ ถ้าไม่มีเหตุผลก็ไม่ต้องฟัง เมื่อถามว่า เรื่องนี้อาจจะทำให้ถูกปลุกปั่นจนเกิดการเผชิญหน้าของประชาชน 2 กลุ่ม ดร.สุเมธ กล่าวว่า ไม่รู้ต้องไปถามคนปลุกปั่น ตนไม่ได้ปลุกไม่ได้ปั่น และก็ไม่เคยถูกปลุกถูกปั่น ก็เลยไม่รู้
       
       เมื่อถามว่า รัฐบาลต้องเข้าไปดูแลเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาใช่หรือไม่ ดร.สุเมธ กล่าวว่า ไม่รู้ เพราะไม่ใช่รัฐบาล เมื่อถามย้ำว่า ท่านมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) น่าจะให้คำแนะนำได้ ดร.สุเมธ กล่าวว่า ตนเป็นที่ปรึกษาเรื่องน้ำ ไม่เกี่ยวอะไรเลย เป็นแค่ที่ปรึกษาไม่เกี่ยวข้องอะไร เวลาบริษัทล้ม ที่ปรึกษาลอยลำไม่ได้รู้เรื่องอะไร กับเขาด้วย ไม่ต้องรับผิดชอบ
       
      เมื่อถามว่า แต่ท่านมีโอกาสให้คำปรึกษาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ดร.สุเมธ กล่าวว่า เป็นที่ปรึกษาเรื่องน้ำ หากเป็นปัญหาเรื่องส่วนรวมบ้านเมืองก็ต้องช่วยกัน แต่ถ้าเป็นปัญหาเรื่องการเมืองตนก็ไม่ยุ่ง แต่นี้ปัญหาเรื่องน้ำ เรื่องบ้านเมืองก็ต้องเข้าไปช่วย มีอะไรแนะได้ก็แนะไป เมื่อถามว่า เป็นห่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในภาวะเปราะบางหรือไม่ ดร.สุเมธ ย้อนถามว่า คนไทยเป็นห่วงหรือไม่ สื่อช่วยถามต่อให้หน่อย สำหรับตนคงไม่ต้องถามแล้ว โดยตำแหน่งโดยหน้าที่ เป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องตอบ

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
ตุ๋ย 22
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 20,173

« ตอบ #638 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2554, 23:20:42 »

      บันทึกการเข้า

น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #639 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2554, 13:11:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ ตุ๋ย 22 เมื่อ 23 ธันวาคม 2554, 23:20:42

ขอบคุณมากครับน้องตุ๋ย
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Preecha2510
Cmadong Member
Full Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2510
กระทู้: 788

« ตอบ #640 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2554, 11:19:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 21 ธันวาคม 2554, 23:24:34
กูรูใหญ่"มีชัย ฤชุพันธุ์"พูดชัดเจนครั้งแรก ว่าด้วยมาตรา 112 ...ต้องอ่าน!!!

วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554
   
มติชนออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ 21 ธันวาคม 2554 ในเว็บไซต์ มีชัยไทยแลนด์ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ มือกฎหมายรุ่นใหญ่
 อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานวุฒิสภา ได้มีผู้ถามนักกฎหมายใหญ่เรื่องแก้กฎหมายหมิ่นฯ


กราบสวัสดีอาจารย์มีชัยด้วยความเคารพ

 มีคำถามที่อยากเรียนถามอาจารย์ถึงกระแสการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชนต่างๆที่ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 โดยระบุว่ามาตรานี้มีปัญหาต่างๆมากมาย ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร เพราะขณะนี้องค์กรระหว่างประเทศ เช่น ยูเอ็นหรือสถานทูตสหรัฐตลอดจนองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหากฎหมายมาตรานี้และเรียกร้องให้มีการแก้ไขแล้วและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างไรในสายตาของต่างประเทศ ขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ 
 

นายมีชัย ตอบว่า
 
มาตรา 112  ห้ามการกระทำเพียง 3  อย่าง คือ

 ห้ามหมิ่นประมาท ห้ามดูหมิ่น และห้ามอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  การกระทำทั้ง 3 อย่างนั้น อย่าว่าแต่จะทำกับประมุขของประเทศเลย ทำกับคนธรรมดา ก็ยังไม่ได้  เสรีภาพของบุคคลนั้นย่อมมีขอบเขตอันจำกัดที่จะต้องไม่ไปละเมิดคนอื่น ถ้าคำนึงถึงแต่เสรีภาพของบุคคลโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของคนอื่น  สังคมก็คงกลียุค แม้แต่ในอเมริกาเองก็ใช่ว่าเราจะไปหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้ายประธานาธิบดีของเขาได้เสียเมื่อไรล่ะ

 ข้อสำคัญประเทศแต่ละประเทศย่อมมีความระแวดระวังในเรื่องที่ต่างกัน ถ้ามองในแง่มุมของอีกประเทศหนึ่งอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สมควร แต่คนที่เจริญแล้วเขาก็ต้องยอมรับนับถือประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่ไปตัดสินจากความคุ้นเคยหรือความเคยชินของตนเอง

 ยกตัวอย่างเช่น อเมริกันกลัวการก่อการร้ายจนขี้ขึ้นสมอง ใครจะผ่านเข้าประเทศจะตรวจค้นอย่างละเอียดยิบโดยไม่คำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลของใค
ร ถึงขนาดจับแก้ผ้าก็ยังทำ  แม้แต่กระเป๋าเดินทางก็เปิดรื้อค้นเอาเองได้ เมื่อตอนที่อเมริกันตามล่าบินลาเด็นน่ะ เคยจับภาพจากอากาศเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินถือไม้เท้าอยู่เชิงเขา นึกว่าเป็นบินลาเด็น ส่งจรวดราคาแพงไปถล่มตายหมดทั้งกลุ่ม จึงรู้ภายหลังว่าไม่ใช่บินลาเด็น ชาวบ้านเลยตายฟรีนั่นน่ะไม่โหดร้ายป่าเถื่อนเสียกว่ายุคหินอีกหรือ ก็ไม่เห็นคนอเมริกันหรือสหประชาชาติจะไปตำหนิอะไร เพราะความแค้นในเรื่องถูกถล่มตึกยังค้างคาอยู่ในใจ

      ประเทศสิงคโปร์มีโทษเฆี่ยนตี ให้หลาบจำจะได้ไม่ทำผิดบางอย่าง คนอเมริกันมือซนเอาสีสเปรย์ไปพ่นที่กำแพง เขาจับได้ ลงโทษตีก้นให้ได้อายมาแล้ว จะโวยวายหรือขอร้องอย่างไร รัฐบาลสิงคโปร์ก็ไม่ยอม ไม่มีใครไปเรียกร้องให้เขาแก้ไขกฎหมาย เพราะเขาจะเฆี่ยนตีก็แต่เฉพาะคนที่ทำผิด เหมือนกับกฎหมายของไทย จะลงโทษก็แต่เฉพาะคนที่ทำผิดที่ห้ามไว้

มีชัย ฤชุพันธุ์


                         นักการเมืองยื่นปลา                                   พระราชายื่นเบ็ด

                         นักการเมืองแจกแท็บเล็ต                           กษัตริ์แนะเคล็ดวิชา

                         นักการเมืองห่วงอำนาจ                              มหาราชห่วงประชา

                         นักการเมืองสร้างสัญญา                            องค์เจ้าฟ้าสร้างสรรธรรม

                         นักการเมืองหาเรื่องกิน                               องค์ภูมินทร์หาเรื่องทำ


                         ***นักการเมืองยุให้รำฯ                             ในหลวงยํ้าให้ทำดี

                         นักการเมืองมักแบ่งขั้ว                               องค์เหนือหัวไม่แบ่งสี

                         นักการเมืองทำสี่ปี                                    องค์ภูมีทำทุกวัน

                         นักการเมืองชอบแบ่งเสียง                         พ่อพอเพียงชอบแบ่งปัน

                         นักการเมืองคิดสั้น                                    องค์ราชันคิดยาว
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #641 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2554, 21:05:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 24 ธันวาคม 2554, 13:11:54
อ้างถึง
ข้อความของ ตุ๋ย 22 เมื่อ 23 ธันวาคม 2554, 23:20:42

ขอบคุณมากครับน้องตุ๋ย
อ้างถึง
ข้อความของ Preecha2510 เมื่อ 25 ธันวาคม 2554, 11:19:13
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 21 ธันวาคม 2554, 23:24:34
กูรูใหญ่"มีชัย ฤชุพันธุ์"พูดชัดเจนครั้งแรก ว่าด้วยมาตรา 112 ...ต้องอ่าน!!!

วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554
   
มติชนออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ 21 ธันวาคม 2554 ในเว็บไซต์ มีชัยไทยแลนด์ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ มือกฎหมายรุ่นใหญ่
 อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานวุฒิสภา ได้มีผู้ถามนักกฎหมายใหญ่เรื่องแก้กฎหมายหมิ่นฯ


กราบสวัสดีอาจารย์มีชัยด้วยความเคารพ

 มีคำถามที่อยากเรียนถามอาจารย์ถึงกระแสการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชนต่างๆที่ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 โดยระบุว่ามาตรานี้มีปัญหาต่างๆมากมาย ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร เพราะขณะนี้องค์กรระหว่างประเทศ เช่น ยูเอ็นหรือสถานทูตสหรัฐตลอดจนองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหากฎหมายมาตรานี้และเรียกร้องให้มีการแก้ไขแล้วและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างไรในสายตาของต่างประเทศ ขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ 
 

นายมีชัย ตอบว่า
 
มาตรา 112  ห้ามการกระทำเพียง 3  อย่าง คือ

 ห้ามหมิ่นประมาท ห้ามดูหมิ่น และห้ามอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  การกระทำทั้ง 3 อย่างนั้น อย่าว่าแต่จะทำกับประมุขของประเทศเลย ทำกับคนธรรมดา ก็ยังไม่ได้  เสรีภาพของบุคคลนั้นย่อมมีขอบเขตอันจำกัดที่จะต้องไม่ไปละเมิดคนอื่น ถ้าคำนึงถึงแต่เสรีภาพของบุคคลโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของคนอื่น  สังคมก็คงกลียุค แม้แต่ในอเมริกาเองก็ใช่ว่าเราจะไปหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้ายประธานาธิบดีของเขาได้เสียเมื่อไรล่ะ

 ข้อสำคัญประเทศแต่ละประเทศย่อมมีความระแวดระวังในเรื่องที่ต่างกัน ถ้ามองในแง่มุมของอีกประเทศหนึ่งอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สมควร แต่คนที่เจริญแล้วเขาก็ต้องยอมรับนับถือประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่ไปตัดสินจากความคุ้นเคยหรือความเคยชินของตนเอง

 ยกตัวอย่างเช่น อเมริกันกลัวการก่อการร้ายจนขี้ขึ้นสมอง ใครจะผ่านเข้าประเทศจะตรวจค้นอย่างละเอียดยิบโดยไม่คำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลของใค
ร ถึงขนาดจับแก้ผ้าก็ยังทำ  แม้แต่กระเป๋าเดินทางก็เปิดรื้อค้นเอาเองได้ เมื่อตอนที่อเมริกันตามล่าบินลาเด็นน่ะ เคยจับภาพจากอากาศเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินถือไม้เท้าอยู่เชิงเขา นึกว่าเป็นบินลาเด็น ส่งจรวดราคาแพงไปถล่มตายหมดทั้งกลุ่ม จึงรู้ภายหลังว่าไม่ใช่บินลาเด็น ชาวบ้านเลยตายฟรีนั่นน่ะไม่โหดร้ายป่าเถื่อนเสียกว่ายุคหินอีกหรือ ก็ไม่เห็นคนอเมริกันหรือสหประชาชาติจะไปตำหนิอะไร เพราะความแค้นในเรื่องถูกถล่มตึกยังค้างคาอยู่ในใจ

      ประเทศสิงคโปร์มีโทษเฆี่ยนตี ให้หลาบจำจะได้ไม่ทำผิดบางอย่าง คนอเมริกันมือซนเอาสีสเปรย์ไปพ่นที่กำแพง เขาจับได้ ลงโทษตีก้นให้ได้อายมาแล้ว จะโวยวายหรือขอร้องอย่างไร รัฐบาลสิงคโปร์ก็ไม่ยอม ไม่มีใครไปเรียกร้องให้เขาแก้ไขกฎหมาย เพราะเขาจะเฆี่ยนตีก็แต่เฉพาะคนที่ทำผิด เหมือนกับกฎหมายของไทย จะลงโทษก็แต่เฉพาะคนที่ทำผิดที่ห้ามไว้

มีชัย ฤชุพันธุ์


                         นักการเมืองยื่นปลา                                   พระราชายื่นเบ็ด

                         นักการเมืองแจกแท็บเล็ต                           กษัตริ์แนะเคล็ดวิชา

                         นักการเมืองห่วงอำนาจ                              มหาราชห่วงประชา

                         นักการเมืองสร้างสัญญา                            องค์เจ้าฟ้าสร้างสรรธรรม

                         นักการเมืองหาเรื่องกิน                               องค์ภูมินทร์หาเรื่องทำ


                         ***นักการเมืองยุให้รำฯ                             ในหลวงยํ้าให้ทำดี

                         นักการเมืองมักแบ่งขั้ว                               องค์เหนือหัวไม่แบ่งสี

                         นักการเมืองทำสี่ปี                                    องค์ภูมีทำทุกวัน

                         นักการเมืองชอบแบ่งเสียง                         พ่อพอเพียงชอบแบ่งปัน

                         นักการเมืองคิดสั้น                                    องค์ราชันคิดยาว
ขอบคุณมากครับพี่แก้วที่เข้าช่วยกันรักษาสถาบันสูงสุดของเรา
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #642 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2554, 21:07:32 »

ปชป.ชูหลักฐานดีเอสไอลบหมายจับ - ยื่นถอดถอน “ปึ้ง” สัปดาห์นี้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
ทีมฎหมายประชาธิปัตย์เตรียมยื่นถอดถอน “สุรพงษ์” สัปดาห์นี้ “ถาวร” เผยใช้ข้อมูลเว็บไซต์ดีเอสไอออกหมายจับ “นช.แม้ว” ก่อนถูกลบ เสนอประกอบคำร้องขอถอดถอน พร้อมเล็งเอาผิด ขรก.มือลบข้อมูลช่วย “ปึ้ง” อัด “ธาริต” สีไม่เปลี่ยนแต่อุดมการ์เปลี่ยน ขู่มีเอี่ยวจัดการแน่
       

       วันที่ 25 ธ.ค. นายถาวร เสนเนียม รมว.ยุติธรรมเงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมการยื่นถอดถอนนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศว่า ขณะนี้คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคกำลังรวบรวมข้อมูลหลักฐานทั้งหมด คาดว่าจะยื่นถอดถอนได้ในสัปดาห์นี้ โดยตนจะนำข้อมูลเกี่ยวกับคำสั่งออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ที่เคยเปิดเผยสาธารณชนในเว็บไซต์ แต่ได้ถูกลบข้อมูลออกไป หลังจากที่นายสุรพงษ์ได้ทำการออกพาสปอร์ตให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ถูกต้อง ซึ่งแสดงเห็นว่ามีการสนับสนุนข้ออ้างให้กับนายสุรพงษ์ว่าไม่เคยมีการออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณมาก่อน
       
       “นับเป็นความโชคดีที่ผมได้สำเนาข้อมูลการออกหมายจับบนเว็บไซต์มาเก็บไว้ก่อนล่วงหน้าเพราะมีลางสังหรณ์ใจว่าเว็บไซต์ดังกล่าวจะถูกลบออกไป และปรากฏว่าเป็นจริงตามคาดหมาย แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยที่สุดมีสองหน่วยงานทำงานประสานเพื่อที่จะออกหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ การที่อธิบดีดีเอสไออ้างว่าปิดเว็บไซต์เพื่อการปรับปรุงนั้น ฟังไม่ขึ้น และที่อ้างว่าไม่ได้เปลี่ยนสี อยากถามกลับไปว่า แบบนี้ทุกคนก็พูดได้ แต่การกระทำดังกล่าวที่ลบหมายจับออกจากเว็บไซต์ของดีเอสไอ คุณเปลี่ยนอะไร เปลี่ยนความคิด หรือเปลี่ยนอุดมการณ์หรือไม่” นายถาวรกล่าว
       
       นายถาวรกล่าวว่า นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะนำข้อมูลนี้ไปเป็นหลักฐานหนึ่งในการประกอบยื่นคำร้องถอดถอนนายสุรพงษ์แล้ว จะมีการดำเนินการต่อไปกับดีเอสไอด้วย โดยจะตรวจสอบระเบียบภายในดีเอสไอว่าข้าราชการระดับไหนที่ดำเนินการลบข้อมูลเรื่องนี้ หรือมีพฤติกรรมสนับสนุน อำนวยความสะดวกให้นายสุรพงษ์ออกพาสปอร์ตหรือไม่ และหากพบว่านายธิริต เพ็งดิษฐ์ มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการด้วย

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #643 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2554, 21:14:24 »

นักข่าวให้ฉายาสภา “กระดองปูแดง” ยิ่งลักษณ์-ดาวดับ สมศักดิ์-ค้อนปลอมตราดูไบ    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์       

สภาไทยปี 2554 ได้ฉายา"กรดองปูแดง"

นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ฉายา"ค้อนปลอมตราดูไบ"

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ได้ฉายา"ดาวดับ"

      
นักข่าวขนานนามสภาฯ “กระดองปูแดง” - “ยิ่งลักษณ์” สอบตกรับตำแหน่ง “ดาวดับ” ส่วน “อภิสิทธิ์” รับฉายา “หล่อดีเลย์” หลังเป็นฝ่ายค้านฟิตทำงานกว่าตอนเป็นนายกฯ ด้านประธาน “สมศักดิ์” โดนเหน็บ “ค้อนปลอมตราดูไบ” สะท้อนการทำงานเอนเอียง-ไม่เด็ดขาด “รังสิมา” ขึ้นชั้น “ดาวเด่น” ขณะวุฒิสภารับฉายา “สังคโลก” แค่เครื่องประดับเก่า ไร้บุคคลคู่ควร งดมอบ “คนดีศรีสภา”

  หมายเหตุ : ตามธรรมเนียมปฏิบัติของทุกปี สื่อมวลชนประจำรัฐสภาได้ระดมความเห็นในการตั้งฉายาผู้ที่ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งในส่วนของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกและการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยในรอบปี 2554 สื่อมวลชนประจำรัฐสภา เล็งเห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านการเมืองของประเทศ และขอยืนยันว่าการตั้งฉายาดังกล่าวได้ใช้เหตุผล ความบริสุทธิ์ใจ ปราศจากการแทรกแซงจากทุกฝ่าย และซึ่งการพิจารณาทั้งหมดได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา โดยผลการพิจารณามีดังต่อไปนี้
       
       1.เหตุการณ์แห่งปี : องค์ประชุมรัฐสภาล่มวันแถลงนโยบายของรัฐบาล
       
       เป็นเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นกลางดึกเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2554 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการแถลงนโยบายของรัฐสภาต่อที่ประชุมรัฐสภา สืบเนื่องมาจากการที่ ส.ส.ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ จนนำมาสู่การประท้วงอย่างวุ่นวายส่งผลให้ต้องพักการประชุมนานถึง 40 นาที ต่อมา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา สั่งให้นับองค์ประชุมถึง 2 ครั้งก่อนลงมติว่าจะปิดการอภิปรายตามที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย เสนอหรือไม่ โดยครั้งสุดท้ายมีองค์ประชุมเพียง 314 ไม่ถึงกึ่งหนึ่งจำนวน 325 เสียงของการประชุมร่วมัฐสภา จึงสั่งปิดประชุมในเวลา 23.27 น.และนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 25 ส.ค.
       
       เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 แสดงให้เห็นถึงความบกพร่องอย่างร้ายแรงของฝ่ายนิติบัญญัติ เนื่องจากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภามีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะก่อนที่รัฐบาลจะสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้โดยสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญต้องผ่านการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภาก่อน อีกทั้งพรรคร่วมรัฐบาลมีเสียงในรัฐสภามากถึง 300 เสียงแต่กลับไม่สามารถควบคุมองค์ประชุมได้
       
       2.วาทะแห่งปี : “คำวินิจฉัยประธาน ถือเป็นที่สิ้นสุด จะผิดหรือถูกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
       
       มาจากคำพูดของ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2554 ระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในการแถลงนโยบายของรัฐบาล เพื่อชี้แจงต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรกรณีการทำหน้าที่ประธานการประชุมเพื่อวินิจฉัยในประเด็นที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้อภิปรายพาดพิงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ระหว่างนั้นเหตุการณ์เป็นไปอย่างตึงเครียด จนท้ายที่สุดนายสมศักดิ์ใช้อำนาจวินิจฉัยด้วยด้วยคำพูดว่า...

       
       “ผมฟังอยู่ ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นครับ ท่านครับ ท่านสมาชิกครับ ผมขออนุญาตนิดเดียวครับ ข้อบังคับที่พวกเราร่างขึ้นมาเป็นกติกาให้อำนาจประธานเป็นผู้วินิจฉัยแล้ว ถือว่าเป็นเด็ดขาด ส่วนผิดหรือถูกอีกเรื่องหนึ่งครับ ผมถือว่าผมวินิจฉัยแล้วต้องเป็นเด็ดขาดครับ ไม่อย่างนั้นมันจบไม่ได้ครับ” (รายงานการประชุมรัฐสภาสามัญทั่วไปครั้งที่วันที่ 23-24 ส.ค. 2554 หน้า 740)
       
       คำพูดดังกล่าวได้สะท้อนถึงบุคลิกการทำหน้าที่ของนายสมศักดิ์ที่ให้ความสำคัญต่ออำนาจของประธานควบคุมการประชุมตามข้อบังคับที่เป็นลายลักษณ์อักษร

       
       3.ฉายาสภาผู้แทนราษฎร : กระดองปูแดง
       
       การเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2554 ทำให้พรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมากในสภาฯ โดยการทำงานของสภาฯภายใต้เสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทยกลับให้ความสำคัญกับการปกป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้มีอีกสถานะหนึ่ง คือ น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งมีแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง เข้ามาดำรงตำแหน่ง ส.ส.มากกว่า 20 คน
       
       โดยทุกครั้งในการประชุมสภาฯ หรือรัฐสภา หากมีการพาดพิงถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวชินวัตร ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ก็จะถูก ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนมากลุกขึ้นตอบโต้อย่างดุเดือดจนการประชุมสภาฯ ต้องหยุดชะงักหลายครั้ง ดังนั้น สภาฯ ชุดที่ 24 ภายใต้เสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทยที่มักอ้างเสมอว่ามีมวลชนคนเสื้อแดงกว่า 15 ล้านเสียงสนับสนุน จึงเปรียบเสมือนเป็นกระดองสีแดงปกป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่มีชื่อเล่นว่า “ปู”
       
       4.ฉายาวุฒิสภา : สังคโลก
       
       บทบาทของวุฒิสภาในช่วงที่ผ่านมาสังคมต่างให้ความเชื่อมั่น พร้อมกับคาดหวังไว้สูงว่าจะปฏิบัติหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเพื่อกำกับและดูแลการทำงานของสภาฯ และกลั่นกรองกฎหมาย แต่การทำงานในรอบปีที่ผ่านมาวุฒิสภากลับไม่มีบทบาทเป็นที่ประจักษ์ ทั้งที่ล้วนมาจากบุคคลที่มีความอาวุโส มากประสบการณ์จากหลากหลายสาขาอาชีพ เปรียบเสมือนเครื่องสังคโลก วัตถุโบราณที่มีคุณค่าาในตัวเองทุกล้วนต้องการเสาะแสวงหาเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของ แต่กลับไม่สามารถใช้งานได้จริงเพราะมีคุณค่าเพียงแค่เครื่องประดับเท่านั้น
       
       5.ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎร (นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์) : ค้อนปลอม ตราดูไบ
       
       เดิม นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ได้รับฉายาว่า “ขุนค้อน” เมื่อครั้งเป็นรองประธานสภาฯช่วงปี 2540 เพราะได้ใช้ค้อนทุบลงบัลลังค์เพื่อแสดงความเด็ดขาดในการควบคุมการประชุม และก่อนได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาฯนายสมศักดิ์ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต่างประเทศท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าไปเสนอตัวจนได้รับเลือกเป็นประธานสภาฯ สมใจ เมื่อได้มาทำหน้าที่ควบคุมการประชุมก็ถูกโจมตีอย่างหนักถึงความไม่เป็นกลางที่เอื้อต่อพรรคเพื่อไทยทั้งในเวทีการอภิปรายไม่ไว้วางใจและการอภิปรายทั่วไปเรื่องปัญหาน้ำท่วม กระทั่งถูกกล่าวหาขั้นรุนแรงว่ารับใบสั่งจากนายใหญ่ดูไบ ทำให้ภาพของขุนค้อนผู้หนักแน่น เด็ดขาด เป็นกลาง ดั่ง “ค้อนปอนด์” ต้องตกต่ำลงอย่างมาก จึงเป็นที่มาของฉายา “ค้อนปลอมตราดูไบ” ในที่สุด
       
       6.ฉายาประธานวุฒิสภา (พล.อ.ธีรเดช มีเพียร) : นายพลถนัดชิ่ง
       
       สำหรับ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา แม้ว่าจะเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งหลังจากได้รับการสรรหา เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา แต่นับเป็นบุคคลที่สังคมให้การจับตาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเคยผ่านตำแหน่งสำคัญทั้งในกองทัพและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมาแล้ว อาทิ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่จากบทบาทที่ผ่านมา พล.อ.ธีรเดช ไม่ได้แสดงบทบาทตามที่เคยแสดงวิสัยทัศน์ในการชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภา
       
       ไม่เพียงเท่านี้ ยังยังเลี่ยงตอบคำถามเพื่อแสดงความคิดเห็นในเหตุการณ์ต่างๆ มักอ้างว่า “ผมจำไม่ได้” หรือ “ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ต้องไปถามผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง” เหมือนชิ่งตัวเองออกจากปัญหา ทั้งที่ควรจะแสดงบทบาทให้เข้มแข็งและเด็ดขาดสมกับเป็นอดีตนายพลในกองทัพ
       
       7.ดาวเด่น : น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์
       
       การทำงานของ น.ส.รังสิมา นับตั้งแต่เป็น ส.ส.มีความเสมอต้นเสมอปลายโดยเฉพาะการสวมบทมือปราบ ส.ส.นอกแถว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น การเปิดโปง ส.ส.ที่ชอบเสียบบัตรแสดงตนแทนกัน การขอให้ประธานสภาฯควบคุมการประชุมให้มีความเป็นกลาง หรือแม้กระทั่งขอความร่วมมือ ส.ส.ไม่ให้ประชุมคณะกรรมาธิการในช่วงวันพุธ หรือวันพฤหัสบดี ซึ่งตรงกับวันประชุมสภาฯ เพราะมีผลให้องค์ประชุมสภาฯเสี่ยงต่อการล่มหลายครั้ง บทบาทเหล่านี้ น.ส.รังสิมาได้ประพฤติปฏิบัติมาตลอดโดยไม่คำนึงถึงว่าช่วงเวลานั้นพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล
       

      8.ดาวดับ : น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
       

       ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแม้ว่าจะเป็นผู้นำฝ่ายบริหาร หนึ่งในอำนาจอธิปไตยของประเทศ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตัดขาดกับงานฝ่ายนิติบัญญัติอย่างสิ้นเชิง ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แสดงท่าทีถึงการไม่ให้ความสำคัญกับรัฐสภาหลายครั้ง ทั้งที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าพร้อมจะให้ความร่วมกับฝ่ายนิติบัญญัติที่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อร่วมนำพาประเทศผ่านพ้นปัญหาต่างๆ สร้างความหวังให้แก่สังคม ไม่ต่างอะไรจากกับการเป็นดาวเด่นในทางการเมืองภายหลังประสบความสำเร็จจากการบริหารธุรกิจของครอบครัวชินวัตร
       
       สำหรับพฤติกรรมที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แสดงออกจนนำมาซึ่งคำครหาว่า “หนีสภา” หลายต่อหลายครั้ง เช่น การไม่แสดงบทบาทนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้ามาไกล่เกลี่ยระหว่าง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งต่างกับอดีตนายกรัฐมนตรีหลายคนก่อนหน้านี้พยายามจะเข้ามาเป็นตัวกลางสร้างความประนีประนอมให้กับทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อให้งานสภาฯเดินหน้าไปได้ หรือการมอบหมายให้รัฐมนตรีหรือรองนายกฯเป็นผู้ตอบกระทู้ถามสดแทนการตอบด้วยตัวเองหลายครั้งท่ามกลางข้อสงสัยว่าเป็นการมอบหมายให้บุคคลอื่นชี้แจงแทนมากเกินความจำเป็นหรือไม่ ส่งผลให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับตำแหน่งดาวดับไปโดยปริยาย
       
       9.คู่กัดแห่งปี : นายอรรถพร พลบุตร vs นายจตุพร พรหมพันธุ์
       
       การประชุมสภาฯ มีหลายครั้งที่เกิดวิวาทะระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างกรรมต่างวาระและต่างคู่กรณี แต่การฟาดฟันระหว่าง นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ต้องยกให้เป็นมวยคู่เอกทุกครั้งไป เนื่องจากเมื่อใดก็ตามที่ทั้ง 2 คนนี้เชือดเฉือนคำพูดกันได้เป็นชนวนก่อให้เกิดเหตุประท้วงกันแบบบานปลายระหว่าง ส.ส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งส่วนใหญ่ประเด็นที่ทั้ง 2 คนมักจะโต้คารมกัน คือ การพาดพิงถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
       
       10.คนดีศรีสภา : งดการเสนอชื่อบุคคล
       
       สำหรับตำแหน่งคนดีศรีสภา สื่อมวลชนประจำรัฐสภามีความเห็นร่วมกันว่า ยังไม่มีบุคคลที่เหมาะสมกับการได้รับตำแหน่งดังกล่าว ถึงแม้จะมี ส.ส.และ ส.ว.หลายคนแสดงบทบาทการเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนโดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์น้ำท่วม หรือ การแสดงออกผ่านการร่วมประชุมรัฐสภาในวาระต่างๆ แต่ทว่ายังไม่ปรากฏว่ามีสมาชิกรัฐสภาคนใดแสดงผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่างเห็นได้ชัด สื่อมวลชนประจำรัฐสภาจึงความเห็นร่วมกันของดการมอบตำแหน่งคนศรีสภาประจำปี 2554 ออกไป
       
       11.ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) : หล่อดีเลย์
       

       ด้วยบทบาทการของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หลังจากแพ้การเลือกตั้งกลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัยไม่สำเร็จ แม้จะพยายามทำหน้าที่ชี้แนะตรวจสอบรัฐบาลถึงปัญหาน้ำท่วม นโยบายด้านต่างๆ รวมถึงการเสนอทางออกเพื่อความปรองดอง แต่ไม่สามารถวิจารณ์ได้เต็มปาก เนื่องจากถูกย้อนศรจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยในสมัยนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ไม่ว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมก่อนหน้านี้ หรือการเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมจนเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ ข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ในตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านฯที่เป็นประโยชน์หลายเรื่อง จึงถูกวิจารณ์ว่าเหตุใดไม่แก้ปัญหาอย่างที่ได้พูดเอาไว้ตั้งแต่เป็นนายกฯ กลายเป็นที่มาของ “หล่อดีเลย์”

   
   
      

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #644 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2554, 22:02:49 »

ทักษิณ'โชว์พลัง ภาวะผู้นำ'ปู'ถดถอย
Posttoday.com

  โดย...ทีมข่าวการเมือง

การปรากฏภาพเขย่ามือร่วมกัน (Shake Hand) ระหว่าง อองซานซูจี ผู้นำประชาธิปไตยของพม่าและ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย กลายเป็นจังหวะก้าวทางการเมืองที่สำคัญของรัฐบาลไทยในสายตาชาวโลกในฐานะพี่เบิ้มภูมิภาคอาเซียน

ท่ามกลางสายตาของชาวโลกที่กำลังดูว่าไทยจะมีท่าทีอย่างไรต่อการสร้างประชาธิปไตยของพม่า ปรากฏว่าในไทยต่างจับตารัฐบาลของยิ่งลักษณ์แบบตาไม่กะพริบเช่นกัน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมายอมรับว่าเป็นผู้กำกับให้กับนายกฯ น้องสาวด้วยตัวเอง

“ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและพม่าไม่เคยจืดจางนับตั้งแต่สมัยที่ผมเป็นรัฐบาล เพราะผมไม่เคยใช้ไม้แข็งกับพม่าอย่างที่ชาติมหาอำนาจทำกัน ผมมักใช้ไม้อ่อนมากกว่า ...ภายหลังการประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ไทยจะได้รับผลประโยชน์ต่างๆ มากมายจากพม่า รวมถึงข้อตกลงด้านพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มากขึ้น” พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเผยระหว่างการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์

หากมองท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในมิติของนักธุรกิจ แน่นอนว่าเป็นการมองพม่าแบบวิสัยทัศน์ ในฐานะที่กำลังจะเป็นประเทศเศรษฐกิจแห่งใหม่ของอาเซียน หลังจากพม่าปิดประเทศมานานกว่า 2 ทศวรรษ ด้วยเหตุผลทางการเมืองแบบไม่แยแสชาวโลก ทำให้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจของพม่า ซึ่งไม่เคยถูกดูดออกมาใช้กลายเป็นขุมทองของนักลงทุนทั่วโลกไม่ใช่แค่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดีย

ทว่าในความเป็นจริง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นแค่มหาเศรษฐีธรรมดา แต่ยังมีสถานะเป็นถึงพี่ชายของ ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีของไทยด้วย ดังนั้นการแบไต๋ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ในการกรุยทางให้น้องสาวเข้าพม่า จึงไม่อาจปฏิเสธเสียงครหาไปได้

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับผลประโยชน์ในพม่าเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังสั่งการให้ธนาคารเพื่อการนำเข้าและการส่งออกแห่งประเทศไทยปล่อยสินเชื่อให้กับพม่าเพื่อนำเข้าอุปกรณ์โทรคมนาคมของไทย

กรณีดังกล่าวได้นำมาสู่การพิพากษาในเวลาต่อมาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า การดำเนินการของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทของครอบครัวในฐานะตัวเองเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ป)

“เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และคู่สมรส ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่างแท้จริงในบริษัท ไทยคม และบริษัท ไทยคม มีสัดส่วนของการถือหุ้นถึงกว่าร้อย 51 จึงเป็นการไม่สมควรที่จะอนุมัติวงเงินกู้สินเชื่อเพิ่มเติมให้แก่รัฐบาลสหภาพพม่า องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติเสียงข้างมากว่า การดำเนินการกรณีนี้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ไทยคม และบริษัท ชินคอร์ป” (คำพิพากษาศาลฎีกาฯ คดียึดทรัพย์ประกาศในราชกิจจานุเบกษาหน้า 110)

อย่าได้แปลกใจหาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องเผชิญกับเสียงครหาไล่หลังตามมาอีกครั้ง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลชุดนี้มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นซูเปอร์นายกฯ เหนือยิ่งลักษณ์อีกชั้นหนึ่ง


สะท้อนได้จากนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมาอย่าง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” เป็นผลให้เกิดความกริ่งเกรงว่าท่าทีของไทยต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจในพม่าที่จะออกมาในระยะยาวภายใต้รัฐบาลชุดนี้จะมี พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

ประเด็นนี้กำลังนำพารัฐบาลเข้าสู่จุดเปราะบางต่อเสถียรภาพของรัฐบาลอีกครั้ง เมื่อพบว่ายิ่งลักษณ์แสดงท่าทีไม่ตอบรับหรือปฏิเสธความเคลื่อนไหวของพี่ชายในบริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดีในทำนองว่า “ต้องบอกว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีเราไม่ควรปิดกั้น แต่การตัดสินใจการทำงานทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของรัฐบาลที่ดำเนินการเองทั้งหมด” ซึ่งไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลยว่าการตัดสินใจในนโยบายของรัฐบาลไทยต่อพม่าจะปราศจากความคิดอ่านของ พ.ต.ท.ทักษิณ

ใช่ว่าจะมีแต่กรณีของพม่าเท่านั้นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่งจะมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานการต่างประเทศ แต่กับประเทศกัมพูชา ยิ่งลักษณ์ ก็ยังต้องขอแรงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นกัน โดยในช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ยิ่งลักษณ์มีกำหนดการไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ

กลับปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีคิวไปพบนายกรัฐมนตรีฮุนเซนเช่นกัน แม้ว่าทั้งพี่ชายและน้องสาวจะไม่ได้พบหน้ากันที่กัมพูชา แต่ครั้งนั้นก็เป็นที่จับตาของสังคมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กับ ฮุนเซน จะมีการเจรจากันเรื่องผลประโยชน์อะไรหรือไม่ โดยเฉพาะการบริหารจัดการด้านพลังงานในทะเลร่วมกันของทั้งสองประเทศ

กลายเป็นภาระของยิ่งลักษณ์ต้องแบกหน้าชี้แจงต่อสาธารณชนหลายครั้งว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ เป็นเพียงการพบกันตามปกติเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในมุมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมต้องการเจตนาดีและเสริมเขี้ยวเล็บให้กับยิ่งลักษณ์มากขึ้น เพราะการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เอาตัวเองออกหน้าไปก่อนในด้านการต่างประเทศย่อมช่วยให้ยิ่งลักษณ์มั่นใจมากขึ้นแน่นอน หลังจากเมาหมัดในช่วงการบริหารน้ำท่วมที่ผ่านมา

เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เล็งเห็นยิ่งลักษณ์แล้วว่าเพียงแค่งานในประเทศหรือการจะชี้แจงทำความเข้าใจกับสังคมยังยากลำบาก ยกตัวอย่างในช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา นายกฯ ยิ่งลักษณ์ได้แสดงอาการประหม่าพูดผิดๆ ถูกๆ หลายครั้ง จนกลายเป็นข้อติฉินนินทาของสังคมกันอย่างสนุกปาก เรียกได้ว่าเสียรังวัดไปพอสมควร หมดลายอดีตซีอีโอบริษัทมหาชนใหญ่ของประเทศไทย

ดังนั้น หากยิ่งลักษณ์ปล่อยไก่กลางงานต่างประเทศ ย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน แถมยังเป็นลูกโซ่มาถึงพรรคเพื่อไทย

ทว่าการปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามามีส่วนร่วมกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลมากเท่าไหร่ ความน่าเชื่อถือของยิ่งลักษณ์ในสายตาคนภายนอกย่อมลดลงมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากสะท้อนว่ายิ่งลักษณ์ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำมากพอกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือว่าเป็นผู้บริหารสูงสุดของประเทศ

สิ่งที่ตามมาคือ ประสิทธิภาพในการสั่งส่วนราชการ อนาคตอาจเป็นไปได้ที่จะสั่งใครไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับเสือกระดาษ ไม่มีบารมีทางการเมือง โดยทุกอย่างต้องไปขึ้นตรงกับอดีตนายกฯ ทักษิณ เท่านั้น ภาพของยิ่งลักษณ์ก็เป็นเพียงหุ่นเชิด

นอกจากนี้ มั่นใจได้เลยว่าหากยิ่งลักษณ์ยังไม่สร้างความเข้มแข็งทางการเมืองขึ้นมาด้วยตัวเอง ผลกระทบระยะยาวย่อมจะส่งผลต่อพรรคเพื่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เลวร้ายสุดการไร้ภาวะผู้นำจะกัดเซาะพรรคเพื่อไทยไปตลอดอายุของสภา

ถึงเวลานั้น ไม่อยากคิดว่าประเทศชาติจะบอบช้ำขนาดไหนท่ามกลางความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลและการก้าวไม่ข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร


 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #645 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2554, 21:12:00 »

สื่อตั้งฉายารัฐ “ทักษิณส่วนหน้า” “ปู-นายกฯ นกแก้ว” “เหลิม-กุมารทองคะนองศึก”    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์        

      
สื่อมวลชนประจำทำเนียบตั้งฉายารัฐบาล “ทักษิณส่วนหน้า” “ยิ่งลักษณ์” นายกฯ นกแก้ว “ยงยุทธ” ทักษิณโด้โชวห่วย “เฉลิม” กุมารทองคะนองศึก “ประชา” อินทรีหลงป่า “สุรพงษ์” ปึ้งเป้าเป๊ะ “โกวิท” ประแจปากตาย “กิตติรัตน์” ปุเลง...นอง “พิชัย” ไอเดียกระฉอก “ธีระ” ขงเบ๊ “ปลอดประสพ” ผีเจาะปลอด “น้ำตาที่ไหลไม่ได้มาจากความอ่อนแอ ใครไม่โดนไม่รู้ มันเป็นอารมณ์ร่วม” ของ “ปู” รับวาทะแห่งปี



หมายเหตุ : การตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปีของผู้สื่อข่าวสายทำเนียบรัฐบาล ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบเนื่องกันมา เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล จากประสบการณ์การทำงานที่ปรากฏต่อสื่อสาธารณะ โดยมิได้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่มาจากมติส่วนรวมของสื่อมวลชน โดยในปีนี้ ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาลได้ประชุม และมีมติให้ตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี 2554 ดังนี้
       

       ฉายารัฐบาล : ทักษิณส่วนหน้า
       
       การบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สามารถสลัดภาพว่ามีพี่ชายอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังได้ จนรัฐบาลชุดนี้เปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการส่วนหน้าของตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องทำตามสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คิด และวางไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายประชานิยมที่ชูสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” หรือในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ผู้ที่มีสิทธิได้ตำแหน่ง ต่างเดินทางไปถึงดูไบเพื่อแสดงวิสัยทัศน์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้ไปกรุยทางให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อนการเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ นอกเหนือไปจากการการันตี ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ คือ โคลนนิงของตัวเอง
       
      น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี : นายกฯ นกแก้ว
       
       น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้หญิงที่มีความสวย บุคลิกดี มีความความโดดเด่น คล้ายกับนกแก้วที่มีสีสันสวยงาม แต่กลายเป็นนกแก้วที่ต้องติดอยู่ในกรงทอง ไม่สามารถบินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง ต้องมีพี่เลี้ยงคอยประกบดูแลอย่างใกล้ชิด บทบาทที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงต่อสาธารณชน จึงเป็นเพียงนกแก้วที่พูดตามบทที่มีคนเขียนหรือบอกให้พูดเท่านั้น และลักษณะการตอบคำถามของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็มักพูดซ้ำไปซ้ำมา หรือวกวนจนไม่รู้ข้อเท็จจริงคืออะไร หลายครั้งก็พูดผิดกระทั่งตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์
       
       นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย : ทักษิโด้โชว์ห่วย
       
       เคยเป็นถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากประวัติการทำงานที่เป็นถึงอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาล นายยงยุทธจึงถูกวางตัวให้รับตำแหน่งสำคัญในฐานะ รมว.มหาดไทย เพื่อตอบแทนความภักดีที่คอยดูแลพรรคในช่วงเวลาที่ตกต่ำสุดขีด แต่นอกจากการเป็นผู้ที่แต่งกายและมีบุคลิกดีคล้ายผู้ชายใส่ “ทักซิโด” เมื่อถึงเวลาแสดงผลงานกลับสอบตก “โชว์ห่วย” จนมีเสียงเรียกร้องภายในพรรคให้ปรับออกจากตำแหน่ง คำว่า “ทักษิโด้” ในที่นี้ยังเป็นการล้อจากชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้อยู่เบื้องหลังของการได้มาซึ่งตำแหน่งของ นายยงยุทธ ด้วย
     
       ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี : กุมารทองคะนองศึก

       
       กุมารทองมักสวมเครื่องทรง แทนสัญลักษณ์ของผู้มีตำแหน่งสำคัญ โดยลักษณะทั่วไปของกุมารทองคือจะทำงานตามคำสั่งและทำเพื่อประโยชน์ของผู้เลี้ยงเท่านั้น เช่นเดียวกับ ร.ต.อ.เฉลิมที่จะทำงานตามคำสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังมักจะเป็นพรายกระซิบคอยบอกบทของเพื่อนรัฐมนตรีระหว่างการชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม ยังมีความซุกซน ชอบเข้าไปเกี่ยวข้องกับหลายเรื่องที่ไม่ใช่งานในความรับผิดชอบของตัวเอง หวังเพียงสร้างประเด็นข่าว และยังมีความคึกคะนองพร้อมที่จะประกาศศึกกับใครก็ได้จนบางครั้งกลายเป็นการชักศึกเข้าบ้าน
       
       พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม : อินทรีหลงป่า
       
       พล.ต.อ.ประชา มีดีกรีเป็นถึงอดีตอธิบดีกรมตำรวจ พื้นเพเป็นคนอีสาน และได้แสดงผลงานการปราบปรามสมัยสวมเครื่องแบบสีกากีอย่างโดดเด่น จนถูกขนานนามว่าเป็น “อินทรีอีสาน” แต่เมื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรีกลับได้รับงานที่ผิดฝาผิดตัว คืองานแก้ปัญหาน้ำท่วม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ซึ่งไม่ใช่งานที่ถนัด อีกทั้งการแก้ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร หลงทิศหลงทาง ส่งผลให้ปัญหาน้ำท่วมลุกลาม ประชาชนหลายพื้นที่เกิดความขัดแย้ง กระทั่งตัว พล.ต.อ.ประชา ยังถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจและถูกฝ่ายค้านยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง
       
       นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ : “ปึ้ง” เป้าเป๊ะ

       
       “ปึ้ง” เป็นชื่อเล่นของ นายสุรพงษ์ ผู้ที่ถูกสังคมตั้งคำถามนับแต่เข้ารับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ว่ามีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการรับตำแหน่งสำคัญนี้ได้หรือไม่ แต่ผลงานตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนผลงานนายสุรพงษ์ เข้าเป้าทุกประการเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการขอวีซ่าเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และอาศัยจังหวะชุลมุนช่วงน้ำท่วม ออกหนังสือเดินทางให้กับอดีตนายกฯ หรือแม้แต่การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในกระทรวง
     
       พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี : ประแจปากตาย

       
       อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ผู้นี้ เป็นคนที่มีบุคลิกพูดน้อย มีท่าทีแข็งทื่อ คล้ายครั้งทำเหมือนพูดไม่รู้เรื่อง ทำให้ไม่มีบทบาทตามหน้าสื่อหรือภายในพรรคเพื่อไทย แต่ความจริง พล.ต.ท.โกวิท เป็นตัวเดินเกม และคอยแก้ไขปัญหาให้กับรัฐบาลรวมถึงพรรคเพื่อไทยในหลายๆเรื่อง ที่โดดเด่นคือการกล่อมให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ย้ายจากตำแหน่ง ผบ.ตร.มาเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อเปิดทางให้กับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เป็น ผบ.ตร.สมใจ หลังเจ้าตัวรอคอยตำแหน่งนี้มาอย่างยาวนาน
       
       นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ : ปุเลง...นอง

       
       ล้อมาจากคำว่า “บุเรงนอง” ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ในนิยาย “ผู้ชนะสิบทิศ” เช่นเดียวกับ นายกิตติรัตน์ ที่เป็นขุนพลด้านเศรษฐกิจ ผู้ประกาศตัวว่า จะเข้ามากู้วิกฤตให้กับประเทศ แต่การทำงานของนายกิตติรัตน์ กลับเป็นไปอย่างติดๆขัดๆ ไม่ราบรื่นเหมือนกับปุเลงไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ ยังมีปัญหากับ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลังหลายครั้งหลายหน กระทั่งเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ ทะลักเข้านิคมอุตสาหกรรมสำคัญหลายแห่ง สร้างความเสียหายมหาศาล จนกระทั่งนายกิตติรัตน์ ต้องน้ำตานองหน้าต่อคนทั้งประเทศ
       
       นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน : ไอเดียกระฉอก
       
       เป็นเจ้าโปรเจกต์ สารพัดคิด หลายเรื่องยังไม่ได้ข้อสรุปในที่ประชุม ก็เป็นเจ้าตัวที่ทำให้กระฉอกออกมา อย่างโครงการนิวไทยแลนด์ที่เจ้าตัวออกมาเปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมกู้เงิน 9 แสนล้านบาทเพื่อมาฟื้นฟูประเทศ แต่สุดท้ายนายกรัฐมนตรีกลับปฏิเสธว่าไม่มีโครงการดังกล่าว หลายไอเดียที่เจ้าตัวคิดออกมาดังๆ แล้วถูกติติงจากผู้รู้ว่าไม่น่าจะนำไปปฏิบัติได้จริง เพียงข้ามวันนายพิชัย ก็ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ใช่ไอเดียของตน เหมือนน้ำที่กระฉอกไป กระฉอกมา หาอะไรแน่นอนไม่ได้ สุดท้ายผลงานเลยไม่เป็นไปตามเป้า
       
       นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ : ขงเบ๊

       
       “ขงเบ้ง” เป็นกุนซือคนสำคัญในเรื่องสามก๊ก ซึ่ง นายธีระ เคยนำไปเปรียบเปรยในสภา ถึงปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา ว่าต่อให้ขงเบ้งมาเกิดใหม่ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ซึ่งนอกจากนายธีระไม่ใช่คนที่คอยวางแผนให้คนอื่นปฏิบัติตาม ยังจะเป็นคนที่รับคำสั่งจาก นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ทั้งงานในกระทรวงเกษตรฯ และการบริหารจัดการน้ำ คำว่า “เบ๊” นอกจากแปลว่าทำตามคำสั่งคนอื่นแล้ว ยังมาจากแซ่ของนายบรรหาร ที่แปลว่า “ม้า” หรือ “อาชา” ด้วย
       
      นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : ผีเจาะปลอด
       
       เป็น รมว.วิทยาศาสตร์ฯ แต่โด่งดังจากการเตือนภัยว่าน้ำจะท่วม กทม.ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าตื่นตูมเกินเหตุ แต่ท้ายสุดน้ำก็ท่วมกทม.จริงๆ นับจากนั้นนายปลอดประสพ จึงมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลเรื่องน้ำ อย่างไรก็ตาม การเตือนภัยระยะหลังของนายปลอดประสพ จะเป็นไปในลักษณะให้ตื่นกลัว มากกว่าตื่นตัว ที่สำคัญด้วยบุคลิกของนายปลอดประสพ ที่เป็นคนพูดเก่ง แม้แต่เรื่องที่ไม่ให้พูด เปรียบเสมือน “ผีเจาะปาก” แต่สำหรับนายปลอดประสพ กลายเป็น “ผีเจาะปลอด” เพราะการพูดแต่ละครั้งมักจะทำให้คนกลัว หรือตกใจ
       
       @ วาทะแห่งปี “น้ำตาที่ไหลไม่ได้มาจากความอ่อนแอ ใครไม่โดนไม่รู้ มันเป็นอารมณ์ร่วม” ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์

       
       เป็นคำให้สัมภาษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ ศปภ.ในช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังเผชิญวิกฤตอย่างหนัก หลังจากไม่สามารถสกัดกั้นไม่ให้น้ำเข้ามาท่วม กทม.รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมต่างๆได้ ผลโพลต่างๆ ก็ออกมาตรงกันว่าไม่เชื่อถือการทำงานของรัฐบาล นำไปสู่คำถามที่ว่ารัฐบาลจะสามารถประคองตนจนถึงสิ้นปีหรือไม่ ช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะไปปฏิบัติงานที่ใด น.ส.ยิ่งลักษณ์มักจะหลั่งน้ำตาออกมา จนหลายคนมองว่าเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนภาวะจิตใจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ไม่ได้ต้องการเล่นการเมืองมาแต่ต้น แต่ถูกพี่ชายผลักดันให้มาทวงความเป็นธรรมให้กับตระกูลชินวัตร แม้จะเฉไฉไปว่าร้องให้เพราะเห็นใจประชาชนก็ตาม
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #646 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 09:56:41 »

ปชป.กล่าวหา"นิติราษฎร์"รับจ๊อบ-ไม่ควรถือสัญชาติไทย ไล่ไปแก้ ม.112 ต่างแดน

วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554 มติชนออนไลน์


วันที่ 27 ธ.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า นายอรรถพร  พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกลุ่มนิติราษฎร์ โดยนายปิยบุตร แสงกนกกุล แถลงถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มฯ ที่จะรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 112 ในวันที่ 15 ม.ค.นี้ ว่า กรณีนี้จะสร้างความขัดแย้งในบ้านเมืองให้มากยิ่งขึ้น และขอให้กลุ่มนิติราษฎร์โอนสัญชาติไปเคลื่อนไหวในประเทศที่ให้เสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ ไม่ควรถือสัญชาติไทย ซึ่งถือว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแกนหลักของบ้านเมืองที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ การแก้ไขมาตรา 112 เป็นประเด็นละเอียดอ่อนและจะนำไปสู่ชนวนความขัดแย้งจนบ้านเมืองลุกเป็นไฟจนกระทั่งพรรคเพื่อไทยยังหลีกเลี่ยงที่จะแตะต้องมาตราดังกล่าวแต่กลุ่มนิติราษฎรยังไม่ยอมหยุด

“ผมไม่เข้าใจความนึกคิดของอาจารย์กลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ว่า การที่กฏหมายห้ามหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์จะทำให้บ้านถล่มดินทลาย หรือทำให้คนกลุ่มนี้ขาดใจตายหรืออย่างไร  จึงต้องดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะแก้ไขมาตรา 112” นายอรรถพร กล่าว

นายอรรถพร ยังกล่าวตอบโต้ที่นายปิยบุตร ระบุว่า สถานการณ์การใช้มาตรา 112 ไม่ได้ลดความผิดปกติลง และยังคงมีเหยื่อของมาตรานี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า บุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีนี้ทุกคนล้วนแต่มีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายความผิดมีพยานหลักฐานชัดเจน ซึ่งมีสิทธิต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความถูกผิดของตนเอง ไม่เคยปรากฏว่า คนบริสุทธิ์ก็ถูกยัดเยียดความผิดหรือตกเป็นเหยื่อของมาตรา 112 คำพูดดังกล่าวจึงเป็นการบิดเบือนเพื่อตอบสนองเป้าหมายที่ก้าวไปไกลกว่าการแก้ไขมาตรา 112 ดังนั้นตนขอให้กลุ่มนิติราษฎร์หยุดการเคลื่อนไหวโดยเด็ดขาด และอย่าทำตัวเป็นนักวิชาการรับจ๊อบเลียนแบบรัฐมนตรีบางคน ถ้ายังเคลื่อนไหวในประเด็นนี้ต่อไปก็จะเผชิญหน้ากับพลังของความจงรักภักดีที่กำลังหมดความอดทนต่อการกระทำของคนกลุ่มนี้
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #647 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 10:47:56 »

คุมมหาดไทยเบ็ดเสร็จเสริมแกร่งปู-สร้างหมู่บ้านแดง

    28 ธันวาคม 2554
โดย...ทีมข่าวการเมือง

การแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด 20 ตำแหน่งตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.นั้น นับเป็นการจัดทัพ วางกำลังขุมข่ายคนของฝ่ายการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย แบบเบ็ดเสร็จอย่างแท้จริง ในการเตรียมรับมือทางการเมืองเพื่อช่วยกันค้ำจุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในการฝ่าวิกฤตรอบด้านที่จะเกิดขึ้นหลังปีใหม่ ทั้งเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาปากท้อง และสารพัดม็อบที่จะเคลื่อนกันออกมา

ฉะนั้น ช่วงนี้เก้าอี้ผู้ว่าฯ จึงสำคัญยิ่งต่อเสถียรภาพรัฐบาล ด้วยอำนาจในตำแหน่งดังกล่าวที่ยังทรงอิทธิพลสูงส่งในจังหวัด ทั้งเรื่องพระเดชพระคุณต่อพ่อค้าวาณิช ข้าราชการ และการเมืองส่วนท้องถิ่น รวมไปถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หากผู้ว่าฯ ออกแรงสั่งการ ทุกฝ่ายย่อมเกรงใจและปฏิบัติตาม

ที่สำคัญ พรรคเพื่อไทยจะใช้ผู้ว่าฯ เป็นฐานในการอำนวยความสะดวกในการสร้างหมู่บ้านเสื้อแดงให้เข้มแข็งถาวรสืบไป

ดังนั้น การแต่งตั้งผู้ว่าฯ ล็อตนี้ ฝ่ายการเมืองจึงคัดกรองกันเป็นพิเศษ เพราะเป็นการแต่งตั้งเลื่อนระดับ เลื่อนขั้น จากระดับ 9 ในตำแหน่งรองอธิบดีรองผู้ว่าฯ ให้ก้าวขึ้นระดับ 10 ในตำแหน่งพ่อเมือง ซึ่งต้องเป็นคนที่ฝ่ายการเมืองไว้เนื้อเชื่อใจ คนที่ได้รับการแต่งตั้งต้องถือว่าเป็นเด็กของฝ่ายการเมืองอย่างแท้จริง

20 ตำแหน่ง ทั้งโยกย้ายและก้าวขึ้นตำแหน่ง ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามความต้องการของแกนนำในพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น อาทิ “เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” หรือเจ๊แดง น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ “พายัพ ชินวัตร” น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร แกนนำพรรคเพื่อไทย และท้ายสุด ต้องได้รับไฟเขียวจาก “ทักษิณ”

แม้ว่าคนจัดทำโผจริงๆ จะเป็นคนมหาดไทย อาทิ “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” อดีต รมช.มหาดไทย และปลัดมหาดไทย “พงศ์โพยม วาศภูติ” อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย และ “พระนาย สุวรรณรัฐ” ปลัดกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบัน แต่สุดท้ายส่วนใหญ่ก็ถูกรื้อ เหลือเพียงไม่กี่คนที่หลุดรอดมาได้

ไล่เรียงที่มาที่ไป 20 ตำแหน่งในการโยกย้ายครั้งนี้ มีเด็ก เจ๊แดง 3 คน เข้าเป้า คือ ธานินทร์ สุภาแสน รอง ผวจ.แม่ฮ่องสอน ได้ขึ้นเป็น ผวจ.เชียงราย เพราะแรงหนุนของเยาวภา เนื่องจากเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกัน ขณะที่อีกคนคือ บุญเชิด คิดเห็น รองอธิบดีกรมที่ดิน ก้าวขึ้นเป็น ผวจ.ลำปาง ด้วยเป็นคนคุ้นเคยกับเจ๊แดงในการประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และ นฤมล ปาลวัฒน์ รอง ผวจ.เชียงใหม่ ขึ้นเป็น ผวจ.แม่ฮ่องสอน เพราะเคยรับใช้กันในพื้นที่เชียงใหม่

ผลของการดัน นฤมล ทำให้มีการโยกย้าย กำธร ถาวรสถิตย์ ผวจ.แม่ฮ่องสอน มาเป็น ผวจ.อำนาจเจริญ

ขณะที่ คณิต เอี่ยมระหงษ์ รอง ผวจ.อุตรดิตถ์ ได้ขึ้นเป็น ผวจ.บุรีรัมย์ ตามแรงหนุน ของ “พายัพ ชินวัตร” แต่กว่าจะลงตัวก็วิ่งกันฝุ่นตลบ เมื่อทาง “ยงยุทธ ติยะไพรัช” ต้องการดัน “เกษม วัฒนธรรม” รอง ผวจ.น่าน ให้ไปเป็น ผวจ.บุรีรัมย์ หวังเอาไปเล่นงาน “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคภูมิใจไทย เนื่องจาก เกษม เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ “เนวิน” มาก่อน

อย่างไรก็ตาม เกษม ก็มีจุดอ่อนที่เคยวิพากษ์ทักษิณ และเมื่อ “พายัพ” ยืนกรานเอา คณิต “ยงยุทธ” จึงหันไปหาเป้าหมายใหม่ให้ เกษม โดยไปเบียด อภิชาติ โตดิลกเวชช์ รอง ผวจ.สมุทรสาคร ที่ “วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล” รมว.ศึกษาธิการ จองตัวไปเป็น ผวจ.แพร่

เกมนี้ได้ผล “วรวัจน์” เกรงใจ “ยงยุทธ” ยอมให้ เกษม ก้าวขึ้นเป็น ผวจ.แพร่ ส่วน อภิชาติ หลุดโผ ไปอย่างน่าเสียดาย

อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ วีระวัฒน์ ชื่นวาริน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ขึ้นเป็น ผวจ.มหาสารคาม ตามแรงหนุนของ “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” ทั้งที่เดิม “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย วางตัว ฉัตรป้อง ฉัตรภูติ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาเป็น ผวจ.มหาสารคาม แต่โดนค้านเรื่องถูกสอบถุงยังชีพน้ำท่วมเลยต้องกินแห้ว

สำหรับตำแหน่งอื่น ชัยวัฒน์ ลิมป์วรรธนะ รอง ผวจ.กาญจนบุรี ขึ้นเป็น ผวจ.กาญจนบุรี ชนะ นพสุวรรณ รอง ผวจ.สมุทรปราการ เป็น ผวจ.ชัยภูมิ นิมิต จันทน์วิมล รอง ผวจ.นครปฐม ได้ขึ้นเป็น ผวจ.นครปฐม แรงหนุนจาก “เสริมศักดิ์” อนุกูล ตังคณานุกูลชัย รอง ผวจ.ขอนแก่น ขึ้นเป็น ผวจ.นครพนม ตามที่ สส.นครพนม สาย “ไพจิต ศรีวรขาน” อภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ รอง ผวจ.ยะลา ได้ขึ้นเป็น ผวจ.นราธิวาส ตามแรงดันของ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” อดีต รมว.มหาดไทย

จิรายุทธ วัจนะรัตน์ รอง ผวจ.เพชรบูรณ์ ก้าวขึ้นเป็น ผวจ.เพชรบูรณ์ ประวัติ ถีถะแก้ว รอง ผวจ.ยโสธร ได้ขึ้นเป็น ผวจ.ยโสธร เพราะได้รับการผลักดันจาก สส.เพื่อไทยในพื้นที่อย่าง “พีรพันธุ์ พาลุสุข” ขณะที่ เดชรัฐ สิมศิริ รอง ผวจ.นราธิวาส ได้ขึ้นเป็น ผวจ.ยะลา ประทีป กีรติเรขา รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ขึ้นเป็น ผวจ.ศรีสะเกษ พิศาล ทองเลิศ รอง ผวจ.สงขลา ได้ขึ้นเป็น ผวจ.สตูล

อย่างไรก็ตาม มีการเด้ง 3 ผู้ว่าฯ เข้ากรุเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง ข้อหาฝักใฝ่ภูมิใจไทย คือ สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ผวจ.นครนายก ศิริพงษ์ ห่านตระกูล ผวจ.ปราจีนบุรี และ สามารถ ลอยฟ้า ผวจ.ตาก เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวง

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้ว่าฯ คนใหม่มาทดแทนแต่อย่างใด

ผลจากการโยกย้ายครั้งนี้ เมื่อแยกเป็นสถาบันการศึกษา ปรากฏว่า มีบุคคลที่จบจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือ “สิงห์ทอง” 10 ตำแหน่ง ขณะที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “สิงห์ดำ” 4 ตำแหน่ง ส่วนคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “สิงห์แดง” 5 ตำแหน่ง ที่เหลือเป็นคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ “สิงห์ขาว” 1 ตำแหน่ง

ทั้งหมดจะเห็นว่า “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” รมว.มหาดไทย แทบไร้บทบาทในการแต่งตั้งครั้งนี้ และนี่เป็นการจัดระเบียบข้าราชการแบบเบ็ดเสร็จของคนในตระกูล “ชินวัตร”

ความจริงรัฐบาลได้ล้างบางบิ๊กข้าราชการ ขั้วรัฐบาลประชาธิปัตย์แทบทุกกระทรวง รวมถึงตำรวจมาระยะหนึ่งแล้วอย่างต่อเนื่อง เว้นแต่ในส่วนของกระทรวงกลาโหม ที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารได้ เพราะมีพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 มาคุ้มครองไว้ จึงทำให้ทางพรรคเพื่อไทยคิดหาทางแก้ พ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่จนถึงทุกวันนี้

ฉะนั้น ทั้งหมดจะเห็นว่า บิ๊กข้าราชการเวลานี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในโอวาทของพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น

 


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #648 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 19:15:23 »

ส.ส.สหรัฐ พรรคเดโมแครต ออกถ้อยแถลงเทิดทูนในหลวง นักพัฒนา ทำเพื่อราษฎร ยึดมั่นใน ปชต.

วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่ข่าวสารนิเทศว่า ส.ส.สหรัฐ ได้ออกถ้อยแถลงเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 84 พรรษา โดยตีพิมพ์ในบันทึกการประชุมของรัฐสภาสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงต่างประเทศได้เคยแจ้งข่าวเกี่ยวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ พรรครีพับลิกัน ได้ออกถ้อยแถลงเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 5 ธันวาคมนั้น


ทางกระทรวงการต่างประเทศขอเรียนเพิ่มว่า เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 นายมิเชล เอ็ม ฮอนด้า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเดโมแครต ได้ออกถ้อยแถลงเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตีพิมพ์ในบันทึกการประชุมของรัฐสภา โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้


1.นายฮอนดะกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นทั้งประจักษ์พยานและผู้วางรากฐานการพัฒนาและการเปลี่ยนโฉมของประเทศไทย ให้เข้าสู่ยุคแห่งความมั่งคั่งและการเป็นประเทศสมัยใหม่ ที่มีภาคเกษตรกรรมที่เข้มแข็งและภาคการผลิตและการบริการที่ทันสมัย ด้วยความทุ่มเทในการพัฒนาประเทศและการสนพระราชหฤทัยในความเป็นอยู่ของราษฎรของพระองค์ ทำให้ประชาชนชาวไทยและประชาคมโลกพร้อมใจกันถวายความจงรักภักดีแด่พระองค์


2.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงงานอย่างทุ่มเท เพื่อพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของราษฎร โดยพระองค์ทรงนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้เหมาะกับภูมิสังคมของพื้นที่และท้องถิ่น นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสนพระราชหฤทัยในด้านการพัฒนาการเกษตร โดยทรงมีโครงการและสิ่งประดิษฐ์เพื่อพัฒนาความมั่นคงด้านอาหารและสวัสดิการของประชาชนชาวไทยมากกว่า 1 พันรายการ


3.นายฮอนดะยังกล่าวถึง 178 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต พันธมิตรและมิตรภาพที่ยืนยาวระหว่างไทย-สหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมและผลประโยชน์ ที่ทั้งสองประเทศยึดถือร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นหลักการประชาธิปไตย การปกครองด้วยธรรมาภิบาล และหลักนิติรัฐ


4.นายฮอนดะ กล่าวแสดงความเสียใจต่อชาวไทย ต่ออุทกภัยที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ และย้ำว่าสหรัฐ พร้อมให้การสนับสนุนไทยในระยะยาว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #649 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 19:17:19 »

ศาลอุดร สั่งจำคุก"ขวัญชัย ไพรพนา"2ปี8 เดือน ไม่รอลงอาญา เหตุปะทะพธม.ที่"หนองประจักษ์"

วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เ


   ที่ศาลจังหวัดอุดรธานี เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 28 ธันวาคม  นายขวัญชัย ไพรพนา หรือสาระคำ ประธานชมรมคนรักอุดร เดินทางมารับฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม.อุดรธานี เป็นโจทก์ 7 คน ประกอบด้วย นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ , นายรังษี ศุภชัยสาคร , นางธันยนันท์ จรัสจิรวงศ์ , นายชนะศักดิ์ ผ่องเพลิดพริ้ง , นายแก้ว จันธิชู , น.ส.สุจิรา มีชั้นช่วง และนายรัตนชัย ทองสุข  ยื่นฟ้อง นายขวัญชัย  เป็นจำเลยที่ 1 และนายอุทัย แสนแก้ว น้องชายนายธีระชัย แสนแก้ว อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์สาย “บุรีรัมย์”  กล่าวหา  "ร่วมกันพยายามฆ่า, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส ร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันทำลายทรัพย์สิน" เหตุเกิดที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม เขตเทศบาลนครอุดรธานี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 โดยนายอุทัยฯได้ตกลงไกล่เกลี่ยกับโจทก์แล้ว

 

ทั้งนี้ ศาลจังหวัดอุดรธานีได้อ่านคำพิพากษา พิจารณายกฟ้องข้อหาร่วมกันพยายามฆ่า และร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และได้ตัดสินพิจารณาคดีร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้รับอันตราย สาหัส ร่วมกันทำลายทรัพย์สิน” โดยคำพิพากษาให้จำคุกจำเลย 4 ปี ไม่รอลงอาญา  ขณะที่ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือ 2 ปี 8 เดือน ปรับ 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ตั้งแต่วันเกิดเหตุ ซึ่งภายหลังอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ นายขวัญชัย ได้ใช้หลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน ราคาประเมิน 300,000 บาท ประกันตัว

 

ส่วนบริเวณหน้าศาลจังหวัดอุดรธานี มีสมาชิกชมรมคนรักอุดร เดินทางมาให้กำลังใจนายขวัญชัย ฯ ประมาณ 30 คน พร้อมทั้งจับกลุ่มนั่งฟังคำพิพากษา ที่ศาลฯได้จัดสถานที่ และต่อลำโพงออกมาภายนอก ให้ได้รับฟังกัน  โดยมีกำลังตำรวจมาดูแลความสงบ หลังทราบคำตัดสินแล้วทุกคนต่างยอมรับคำตัดสิน และไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น ซึ่งหลังจากนายขวัญชัย เดินทางลงมาจากศาลฯ ต่างก็พากันเข้าไปจับมือและให้กำลังใจ


 


อย่างไรก็ตาม นายขวัญชัย ให้สัมภาษณ์หลังพิจารณาคดีว่า ยอมรับในคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนก็ได้เตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อ เพราะการที่โจทก์ทั้ง 7 รายให้การต่อศาล มันเป็นเรื่องที่เรารับไม่ได้เลย เพราะมันไม่ใช่ข้อเท็จจริง  แต่วันนี้ศาลรับฟังคำให้การของโจทก์ แต่สิ่งที่ตนนำสืบจากนายตำรวจที่ยังอยู่ในราชการ กลับไม่มีการนำมาพิจารณา  สิ่งนี้เป็นข้อสงสัยที่เราจะใช้ยื่นอุทธรณ์ต่อ วันนี้ตนน้อมรับคำตัดสินของศาล แต่เราต้องหาเหตุผล โดยได้ให้ทนายความยื่นอุทธรณ์และขอต่อสู้ นำข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจน นำมาล้างกันใหม่

 

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เหตุการณ์ที่หนองประจักษ์ฯ ชมรมคนรักอุดรชุมนุมที่สนามทุ่งศรีเมือง และเคลื่อนไปหนองประจักษ์ฯ จนเกิดการปะทะ เผาทำลายทรัพย์สิน และมีผู้บาดเจ็บ แต่โชคดีไม่มีผู้เสียชีวิต ทำให้สอบสวนดำเนินคดีทั้ง 2 ฝ่าย จนศาลอุดรธานีมีคำพิพากษา วันที่ 29 ตุลาคม 2553 จำคุกคนเสื้อแดง คือ นางกุหลาบ ยศอ่อน หรือดีเจหงส์ทอง 1 ปี 8 เดือน และสมาชิกคนเสื้อแดงอีก 32 คนๆละ 8 เดือน และยังมีสมาชิกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ถูกตัดสินจำคุกด้วย 2 คนๆ ละ 8 เดือน คดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์

 

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เหตุการณ์ดังกล่าว พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ ผบก.ภ.จว.อุดรธานี  ถูกร้องเรียนจนถูกสอบสวนจาก ปปช.ให้ออกจากราชการ แต่ต่อมา กตร.กลับผลการสอบสวน ให้กลับเข้ารับราชการเป็น ผบก.ประจำ สนง.ตำรวจแห่งชาติ และล่าสุดมีคำสั่งให้มาดำรงตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น

   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 24 25 [26] 27 28 ... 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><