29 มีนาคม 2567, 05:19:32
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: กวีการเมือง  (อ่าน 18305 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2553, 11:01:51 »

  กวีการเมือง เป็น สิ่งสวยงาม ที่สะท้อนถึงสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง
การต่อสู้ทางชนชั้น การต่อสู้ เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ ทางการเมือง
การบอกเล่าถึงความคับแค้น ของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
เรื่องราวของ เยาวชน คนหนุ่มสาว อุดมก่รณ์ การเสียสละ เพื่อประเทศชาติ
การสูญเสีย จากการต่อสู้ เพื่อให้ได้ซึ่ง สิทธิ และเสรีภาพ
การปลุกระดม การให้กำลังใจ การปลอบประโลม ความสิ้นหวัง และความตาย

กวีการเมือง จะบันทึกเรื่องราว เหล่านี้ ในบทกวี รูปแบบต่าง ที่น่า สนใจ
มีความไพเราะ กินใจ มีหลายบท ที่ยังอยู่ในใจของทุกคน จวบจนทุกวันนี้
ผมจะค่อยเสาะหา รวบรวมมาให้เสพกัน เพื่อความเข้าใจ และดื่มดำ่ กับกวีที่แสนไพเราะกินใจ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #1 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2553, 11:12:23 »

  กวีบทแรก ภูมิใจเสนอ ผลงาน ของชาวจุฬา
เธอ เป็นถึง ดาวจุฬา รุ่น 2515
เธอได้รางวัลซีไรท์


         เธอ คือ จีรนันท์ พิตรปรีชา
กวีนิพนธื์ ของเธอ ชื่อว่า ดอกไม้



ดอกไม้ ดอกไม้ ​จะบาน...​...​...​บริสุทธิ์ กล้าหาญ ​จะบานในใจ
สีขาว หนุ่มสาว​จะไฝ่...​...​...​...​.แน่วแน่แก้ไข จุดไฟศรัทธา

เรียนรู้ ต่อสู้มายา...​...​...​...​...​..ก้าว​ไปข้างหน้า เข้าหามวลชน
ชีวิต อุทิศยอมตน...​...​...​...​...​.ฝ่า​ความสับสน​เพื่อผลประชา

ดอกไม้บานให้คุณค่า...​...​...​...​จงบานช้าๆ​​ทว่ายั่งยืน
​ที่นี่​และ​ที่อื่นๆ​...​...​...​...​...​...​...​.ดอกไม้สดชื่น...​ยื่นให้มวลชน


   บทกวีนี้ ได้ถูก ใส่ทำนองเพลง โดย นิสิต คณะวิศวจุฬา ตอนนั้น เอาเพลงนี้มาเล่น ในนาม ของ วงรุ่งอรุณ ซึ่งดังพอสมควร ในยุค 14 ตุลา
          (เขาเคยเข้าป่า หลังจากนั้น ได้กลับมาเรียนจนจบ ป.ตรี ได้ทุน จากรัฐบาล ญี่ปุ่น
   ไปเรียน จนจบ ปริญญาเอก กลับมา ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญ ให้คำปรึกษา ในด้าน การจัดงาน ระบบงานฯลฯ)

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #2 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2553, 13:04:50 »

จิระนันท์ พิตรปรีชา เกิด ​เมื่อวัน​ที่ 25 เดือนกุมภาพันธ์ 2498 ​ที่ อำเภอเมือง จังหวัดตรัง ​เป็นบุตรสาวคนเดียวในจำนวนพี่น้อง 3 คน บิดาชื่อ นิรันดร์ มารดาชื่อจิระเคย​เป็นครูแล้ว​ลาออกมาเปิดร้านขาย เครื่องเขียน แบบเรียน ​และหนังสือ ชื่อ ร้านสิริบรรณ

เรียนชั้นประถม​และมัธยม​ที่จังหวัดตรัง ​และมาเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี​ที่สาม ​ที่โรงเรียนสาธิตวิทยาลัยครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ ​ที่กรุงเทพฯ เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปี​ที่ 4-5 ​ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

พ.ศ. 2515 -- 2518 เรียนคณะวิทยาศาสตร์ (แผนกเตรียมเภสัชศาสตร์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พ.ศ 2524 ศึกษาต่อ​ที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ สหรัฐอเมริกา สำเร็จปริญญาตรีเกียรตินิยม สาขารัฐศาสตร์ ​และศึกษาต่อจนจบในระดับปริญญาเอก ในสาขาประวัติศาสตร์

​เนื่องจากชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ​เพราะ​ที่บ้านขายหนังสือ จึงสนใจงานเขียนมาตั้งแต่ชั้นประถม เริ่มเขียนกลอนในช่วงเรียนอยู่​ชั้นมัธยมศึกษาปี​ที่ 2 โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ​และประสบ​ความสำเร็จเบื้องต้น​ได้รับรางวัล ในการประกวดกลอนเรื่อยมา ส่งงานกลอน​ไปลงตามนิตยสาร ชัยพฤกษ์ ​และ วิทยาสาร
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #3 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2553, 13:06:01 »

เมื่อปี 2515 ถูกเลือกให้​เป็นดาวจุฬา​และวุ่นวาย​กับกิจกรรมชมรมต่างๆ​อยู่​พักหนึ่ง​ ก็เกิดสงสัยในคุณค่าของระบบการศึกษา​และสังคมมหาวิทยาลัย จึงผันตัวเองมาร่วมกิจกรรมการเมืองแบบกลุ่มอิสระ​ที่เริ่มต่อตัวในยุคนั้น​ จึง​ได้มีโอกาสรู้จัก​กับ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้นำนักศึกษาในยุคนั้น​ จนกลาย​เป็น​ความรักใน​ที่สุด

หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 บทบาท​​และชื่อเสียงของจิระนันท์​เป็น​ที่รับรู้​ไปทั่ว งานเขียนในรูปของบทกวีบางชิ้น​ได้กลาย​เป็นหนึ่ง​ในวรรคทองของยุค ประชาธิปไตย ​แต่สภาพการณ์ทางการเมือง​ที่เริ่มพลิกกลับในปีถัดมา มี​ส่วนผลักดันให้จิระนันท์​ต้องตัดสินใจ "เข้าป่าจับอาวุธ" ​พร้อมๆ​​กับคู่ชีวิตเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ​และ​ได้เขียนผลงานฉันทลักษณ์ภายตามประพันธ์ "บินหลา นาตรัง" ช่วงชีวิต​ที่อยู่​ในป่ามีบุตรชายคนแรกชื่อ แทนไท ​เขา​ทั้งสองตัดสินใจออกจากป่าเข้ามาสู่เมือง​และยุติบทบาท​ทางการเมือง​ เมื่อปี พ.ศ.2523 ​และเดินทาง​ไปศึกษาต่อ​ที่สหรัฐอเมริกา มีบุตรคน​ที่สองชื่อ วรรณสิงห์
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #4 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2553, 13:06:56 »

ผลงาน​ที่ตีพิมพ์​และรางวัล​ที่​ได้รับ

-พ.ศ. 2532 ​ได้นำบทกวีมารวมเล่ม ชื่อ ใบไม้​ที่หาย​ไป ​ซึ่ง​ได้รับรางวัลซีไรท์ ประเภทกวีนิพนธ์ ​เมื่อ ปี 2532
-แปลบทกวีของ คิม ซีฮาร์
-งานเรียบเรียง ลูกผู้ชายชื่อ นายหลุยส์
-เรื่อง​แปล โจรร้าย​ทั้งห้า ห้องสีเหลือง​กับผู้หญิงคนนั้น​ ​และบทบรรยายภาพยนตร์ต่างประเทศ จำนวนมาก
-สารคดี โลก​ที่สี่ อีกหนึ่ง​ฟางฝัน
-รวมบท​ความเกี่ยว​กับภาพยนตร์ หม้อแกงลิงชะโงกดูเรา
-อีกหนึ่ง​ฟางฝัน...​บทบันทึกแรมทาง จาก จิระนันท์ พิตรปรีชา

นามปากกา จิระนันท์ พิตรปรีชา ​และ บินหลา นาตรัง
ปัจจุบัน​เป็นนักเขียน ​และผู้จัดทำบทบรรยายภาพยนตร์


ข้อมูลจากหนังสืิอ 100 นักประพันธ์ไทย ของ ผศ. ประทีป เหมือนนิล
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #5 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2553, 13:08:40 »

บทกวีอื่นๆ​ในหนังสือ ใบไม้​ที่หาย​ไป

สานทราย

ตรงรอยต่อสีขาวเส้นยาวเหยียด
ทรายละเอียดพบสายแดดแผดรังสี
ระยับไหวในละอองทองธาตรี
ลามสุรีย์สุดระยะทะเลทราย

คนสัญจรอ่อนล้า กร้านกว่ากร้าน
เดิน​โดยสารเวลาหาจุดหมาย
​ความหวังตรงเส้นขาว ยาว, ท้าทาย
อาจละลายหลอมร้อนก่อนถึงมัน

แล้ว​สีเขียวแสนงามยามร้อนจัด
ปรากฏชัด, ธารใสเหมือนในฝัน
คนใกล้ตายตะกายวิ่งหาสิ่งนั้น​
ภาพอาถรรพณ์พลันดับ​ไป​กับตา

ทะเลทรายรูปขวานกร้านลมแดด
วนในแวดวงเก่า-เขลา, ไร้ค่า
ผู้แสวงหวั่นไหวไกลเกินคว้า
มี​แต่ล้ารอตายรอสายธาร

มิถุนายน ๒๕๑๖

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #6 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553, 15:20:28 »



จิระนันท์ พิตรปรีชา ไปชมการวาดภาพ ณ เขาดิน วนา ถ่ายร่วมกับ ศิลปิน 3 ท่าน เมื่อ 19 พย. 2552
      บันทึกการเข้า

seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #7 เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 21:16:39 »




วันนี้ ขอเสนอ บทเพลง ของคาราวาน และคนแต่งคือ มงคล อุทก สมาชิกคนหนึ่งของวงคาราวาน

  เนื้อหา น่าจะทันสมัย ที่สท้อนให้เห็น สภาพสังคมในปัจจุบัน

--------------------------------------------------------------------------------

                    มารครองเมือง

คำร้อง-ทำนอง         มงคล  อุทก

      G
อยู่กลางไพรมันไร้เงินตรา   อยู่กลางนาข้าวปลาไม่ได้ทำ
        D                 G 
ฝนฟ้าแล้งทุ่งแดงเป็นไฟ    เหลียวมองทางไหนเมืองไทยช่างเหมือนกัน

ข้าวปลูกทำพันธุ์อดกลั้นต้องใช้กิน    มันไม่มีกินหนี้สินเต็มตัว
            D                         G
อดกันแท้หนอข้าวโพดปอก็แห้งตาย  การพนันมากหลายโจรผู้ร้ายก็มากมี

ประสากินอยู่กับโคลน        หม่นหมองมองไปก็หน้าดำ
       Em           G
เป็นอยู่อย่างนี้ประจำ         คนสร้างคนทำถูกย่ำยีด้วยความจน

ตกระกำทนช้ำมานาน        รัฐบาลไม่เคยเหลียวแล
         D                 G
ได้แต่ร้องว่าให้สามัคคีกัน    แต่ปล่อยให้ใครนั้นมาฆ่าฟันแต่ประชาชน

ชอบหลอกชอบลวงทวงถามก็บิดเบือน  ชอบลวงชอบเลื่อนทั้งเดือนทั้งปี
               D            G
เก็บดองเอาไว้ใครใครก็รู้ดี    พอหมดหนทางที่จะหนีปลุกผีขึ้นมาปราบ

โลกหมุนก้าวไป                 เมืองไทยกำลังจะก้าวตาม
                                             Am         G
สังคมที่แสนงาม                จักเกิดทั่วแผ่นดินไทย

จะอดจะกลืนทนฝืนอยู่ทำไม  จะต้องเข้าใจว่าใครเป็นตัวมาร
           D                   G
มาเถิดพี่น้องร่ำร้องกันอยู่นาน  มาชูมือขึ้นประสานโค่นหมู่มารที่ครองเมือง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #8 เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 21:38:16 »






ขอบฟ้าขลิบทอง

          มิ่งมิตร---

เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่นำรื่น     

ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน

ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม

           ที่จะร่ำเพลงเกี่ยวโลมเรียวข้าว

ที่จะยิ้มกับดาวพราวผสม

ที่จะเหม่อมองหญ้าน้ำตาพรม

ที่จะขมขื่นลึกโลกหมึกมน

            ที่จะแล่นเริงเล่นเช่นหงส์ร่อน

ที่จะถอนใจทอดกับยอดสน

ที่จะหว่านสุขไว้กลางใจคน

ที่จะทนทุกข์เข้มเต็มหัวใจ

             ที่จะเกลาทางกู้สู่คนยาก

ที่จะจากผมนิ่มปิ้มเส้นไหม

ที่จะหาญผสานท้านัยน์ตาใคร

ที่จะให้สิ่งสิ้นเธอจินต์จง

              ที่จะอยู่เพื่อคนที่เธอรัก

ที่จะหักพาลแพรกแหลกเป็นผง

ที่จะมุ่งจุดหมายปรายทะนง

ที่จะคงธรรมเที่ยงเคียงโลกา

              เพื่อโค้งเคียวเรียวเดือนและเพื่อนโพ้น

เพื่อไผ่โอนพลิ้วพ้อล้อภูผา

เพื่อเรืองข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา

เพื่อขอบฟ้ขลิบทองรองอรุณ

              (2495)

 

รู้จักบทกวีนี้มานานหลายปีแล้ว 

มักจะคิดถึงบทกวีนี้เกือบทุกครั้ง

เวลารู้สึกท้อแท้ หมดเเรงกาย และแรงใจ

มันเหมือนเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในจิต

เวลาคิดถึงบทกวีนี้มักจะต้องท่องออกมา

เปล่งเสียงของตัวเองให้ตัวของเราเองได้ยินเสมอ
[/color]
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #9 เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 21:46:08 »

อุชเชนี คือ เจ้าของบทกวี ขอบฟ้าขลิบทอง ที่ได้นำมาเสนอ ข้างบนนี้

มารู้จักกับเธอนะครับ
ชื่อจริง:ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา


ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา หรือ อุชเชนี เกิดในปี พ.ศ. 2462 ที่กรุงเทพมหานคร
สมรสกับหม่อมหลวงจิตรสาน ชุมสาย ณ อยุธยา พ.ศ. 2536
เรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟ คอนแวนต์ จบชั้นมัธยม 8 ทางภาษาฝรั่งเศส เมื่ออายุ 16 ปี
และเรียนซ้ำมัธยม 8 ทางภาษาอังกฤษ
 เรียนมหาวิทยาลัยที่ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 จบปริญญาโทเกียรตินิยม ภาษาฝรั่งเศส พ.ศ. 2488 และได้ทุนไปศึกษาต่อที่ปารีส 1 ปี


เริ่มเขียนกลอนตั้งแต่เข้าเรียนจุฬาฯ โดยมีรุ่นพี่ตั้งนามปากกาให้ว่า “อุชเชนี”. พ.ศ. 2489
 เริ่มเขียนกลอนสั้น ๆ “มะลิแรกแย้ม” ลงพิมพ์ในหนังสือ “บ้าน- กับโรงเรียน” ในนาม “มลิสด”.
 พ.ศ. 2491 เปลี่ยนแนวการแต่งจากรักเป็นเรื่องของคนทุกข์ยากคือ “ใต้- โค้งสะพาน”
 ลงในหนังสือ “การเมือง”. พ.ศ. 2499 มีการรวมพิมพ์เป็นเล่มระหว่าง “อุชเชนี” และ “นิด นรารักษ์” ชื่อ “ขอบฟ้าขลิบทอง”
 บอกเล่าเรื่องราวเพื่อเสริมสร้างการมองโลกในแง่ดี โดยเฉพาะเคียงความรู้สึกของชนชั้นกลาง ที่เห็นคุณค่าของชนชั้นที่ต่ำกว่า
 ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ระหว่างความรวยและความจน

กลับมาเป็นอาจารย์ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมรสกับหม่อมหลวงจิตรสาน ชุมสาย ณ อยุธยา พ.ศ. 2536

ระหว่างศึกษาที่ฝรั่งเศส ได้อ่านหนังสือวรรณคดีชั้นเยี่ยมของฝรั่งเศสจำนวนมาก
 ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดที่จะสร้างสรรค์งานที่มีค่าต่อสังคม
 เมื่อกลับมาเป็นอาจารย์มีโอกาสได้ติดตามนายแพทย์และบาทหลวงเข้าไปทำงานที่แหล่งเสื่อมโทรม
 และมีจิตสำนึกแบบชาวคาทอลิกที่เคร่งครัดว่าควรจะต้องทำอะไรเพื่อคนจน
 ทำให้เธอเขียนบทกวีที่สะท้อนภาพสังคมในเชิงมนุษยธรรม

ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ พร้อมกับ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในปี พ.ศ. 2536


หนังสือเรื่อง ขอบฟ้าขลิบทอง เป็นหนังสือที่ได้รับการคัดเลือกว่าเป็นงานวรรณกรรมที่น่าอ่าน
 มีคุณค่าทางศิลปวรรณกรรม ครบถ้วนตามแนวทางของวรรณกรรมโลกหรือวรรณกรรมสากล
มีเนื้อหาสาระที่แสดงออกถึงความริเริ่มสร้างสรรค์ ช่วยให้ผู้อ่านมีทัศนะต่อชีวิตและต่อโลกกว้างขึ้น
 ได้รับความรู้ ความคิดอ่าน ความบันเทิงทางศิลปะวัฒนธรรม ปรากฏแจ้งใน หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน



      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #10 เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 21:58:21 »

เมื่อขอบฟ้าพร่าพราวหลาวทองทาบ
พุ่งปลายปลาบทะลวงถิ่นทมิฬถอย
ความมืดแมกแหลกเรื้อไม่เหลือรอย
อุทัยพร้อยแสงพร่างสว่างพราย


นี่คือตัวอย่างบทกวีเนื้อหาหนักๆบทหนึ่ง ที่รัฐบาลเผด็จการไม่ชอบ เล่ากันว่าครั้งหนึ่ง จิตร ภูมิศักดิ์
ได้ขอบทกวีชุดนี้จากผู้แต่ง เพื่อนำไปลงหนังสือมหาวิทยาลัย (จุฬาฯ) กลับกลายเป็นว่าไม่เป็นที่ชื่น
ชอบของบุคคลบางกลุ่ม จิตร ภูมิศักดิ์ ถูกจับโยนบก บทกวีชุดนี้ก็พลอยถูกเซนเซอร์ไปด้วย

บทกวีชุดนี้คือหนึ่งในงานของ อุชเชนี (ประคิน ชุมสาย ณ อยุธยา) หรืออีกนามปากกาว่า นิด นรารักษ์
ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) พ.ศ.๒๕๓๖ งานชุดนี้เป็นอย่างไร มาอ่านกันเต็มๆดีกว่า
ขอรับ


ในนิมิต

๏ กลีบกุหลาบฉาบชมพูพรูพรั่งฟ้า
ว่อนเมฆาเหมือนฝันขวัญพี่เอ๋ย
นภาพิศนิมิตหวามงามกว่าเคย
ชวนสังเวยบูชิตชีวิตนี้

แต่ละชีพต่างกลีบกุหลาบร่อน
ชะลอช้อนชุ่มรักเป็นสักขี
การุณยมานหวานล้ำฉ่ำฤดี
โลมปถพีทุกย่างทางครรไล

ฟ้าระริกเงาระรวยกลางห้วยกว้าง
ก็เหมือนอย่างเราฝังพลังไข
วาดวงรุ้งพุ่งผ่านม่านตาใจ
ลึกละไมละเมียดหวังตั้งตาคอย

เมื่อขอบฟ้าพร่าพราวหลาวทองทาบ
พุ่งปลายปลาบทะลวงถิ่นทมิฬถอย
ความมืดแมกแหลกเรื้อไม่เหลือรอย
อุทัยพร้อยแสงพร่างสว่างพราย

เพื่อฟากฟ้าสายัณห์อย่างวันนี้
จักปรายปรีดิ์เปี่ยมพ้นล้นความหมาย
เพื่อมรรคาประชาชนจักกล่นราย
ด้วยกลีบกรายกุหลาบแก้วผ่องแพรวใจ ๚

อุชเชนี , ๒๔๙๖

ความจริงแล้ว อุชเชนี มีบทกวีเด่นๆ ที่ถือว่าเป็นวรรคทองหลายบท อาทิ

เพื่อโค้งเคียวเรียวเดือนและเพื่อนโพ้น
เพื่อไผ่โอนพลิ้วพ้อล้อภูผา
เพื่อรวงข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา
เพื่อขอบฟ้าขลิบทองรองอรุณ

จากงานชุด " ขอบฟ้าขลิบทอง "


หรือ

ฉันอยู่เพื่อยุคทองของคนยาก
ที่เขาถากทรกรรมซ้ำปั่นหัว
เพื่อความถูกที่เขาถมจมทั้งตัว
เพื่อความกลัวกลับกล้าบั่นอาธรรม

เพื่อโลกใหม่ใสสะอาดพิลาสเหลือ
เมื่อคนเอื้อไมตรีอวยไม่ขวยขำ
เพื่อแสงรักส่องรุ่งพุ่งเป็นลำ
สว่างนำน้องพี่มีชัยเอย

จากงานชุด " อยู่เพื่ออะไร "

บทกวีที่มีชือเสียงมากอีกบทของ อุชเชนี คืองานชุดที่ชื่อว่า "สูงขึ้นไป" จอมยุทธฯ ขอยกมา
ให้อ่านกันอีกชิ้นแล้วกัน

สูงขึ้นไป

๏ เหมือนสายแก้วแวววับระยับเยื้อง
ช้อยชำเลืองชมอุษาคราฉายแสง
พุน้ำหนึ่งผุดพุ่งรุ่งแจรง
ดั่งรุ้งแปลงแปลกฟ้าลงมาดิน

สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปไม่ระย่อ
ไม่รู้ท้อรู้หน่ายคลายถวิล
ถึงแดดจ้าฟ้ามุ่นพิรุณริน
ไม่สูญสิ้นศรัทธาที่ตราใจ

สายน้ำแจ๋วแววแจ่มยะแย้มยิ้ม
รับลมพริ้มทอดระทวยอวยอ่อนไหว
อรชรเพียงช่อผกาไพร
ที่ลมไกวกิ่งกล่อมถนอมกัน

พอดาวพรมแผ่นฟ้าระย้าระยับ
สายน้ำกลับเกลื่อนดารากว่าสวรรค์
สะท้อนวาบปลาบพรายประกายพรรณ
เพียงจะหยันพัชราให้พร่ามัว

ความชดช้อยย้อยหยดและรสหวาน
คือทิพยทานแด่ดินถิ่นสลัว
โปรยความรื่นชื่นใจไว้รอบตัว
ดับกระหายคลายชั่วกลั้วกลี

เฉกน้ำมิตรจิตกวีที่บริสุทธิ์
ย่อมผาดผุดผ่องจรัสรัศมี
ผินฟ้าพุ่งมุ่งงามและความดี
หยิ่งในศรีศักดิ์ตนวิมลนาน

สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปไม่ระย่อ
ประโยชน์ก่อเกิดล้ำเพียงคำหวาน
สร้างความหวังพลังหมายด้วยสายธาร
จากดวงมานกวีนั้นนิรันดร์เอย ๚

อุชเชนี   

จากข้อเขียนของคุณ : จอมยุทธเมรัย  - [ 18 มิ.ย. 46 21:33:18 ]
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
YOTSAWIN
Hero Cmadong Member
***


หอพักรักของข้า...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU27
คณะ: ศิลปกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,159

เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 23:54:30 »

ขอมาเรื่อยๆนะครับพี่ตะวัน
ตอนคุณจิระนันท์มาเปิดตัวที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ผมไปไม่ทันได้ลายเซ็นต์ครับ
แต่ก็ได้ซื้อไว้ชอบมากครับ

ผมเองก็ชอบเขียนอะไรอย่างนี้เหมือนกัน
มันเป็นประวัติศาสตร์ทางความรู้สึกในตอนนั้นๆ นะครับ
เสียดายมากเพราะมีคนยืมไป แล้วไม่คืนครับ
แล้วก็จำไม่ได้ว่าอยู่ที่ใคร

ตอนนี้ก็ได้แต่อ่านของคนอื่นครับ
      บันทึกการเข้า
opas
Hero Cmadong Member
***


โอภาส 3211 สิง1207 1212 2813
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2534
คณะ: Architecture
กระทู้: 1,754

« ตอบ #12 เมื่อ: 12 เมษายน 2553, 05:39:40 »

Ha Ha Ha
      บันทึกการเข้า

ฉันคิดไปเป็นชาวเกาะ...มีชีวิตกลางแดดและคลื่นลม
จะจูบอำลาสังคม........แสงสีในเมืองนภา
เบื่อชีวิตในเมือ.ง........งึม งำ  งึม งำ........................
.........................ตามฉันมาเป็นชาวเกาะเอย ย  ย   ย
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #13 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 14:50:25 »

คิดว่าบรรยากาศกวีเช่นนี้หายไปจากสังคม



๑. กระทุ่มแบน

เมื่อความเลวความร้ายเข้าครองโลก
ความวิโยคก็จะเยือนทุกหย่อมหญ้า
คนกับคนที่เคยอยู่คู่กันมา
คนกับคนก็หันหน้าฆ่ากันเอง
อำนาจความเลวร้ายในวันนี้
อัปยศกดขี่และข่มเหง
เหมือนยักษ์มารไม่เคยกลัวไม่เคยเกรง
คอยแต่เร่งให้ร้อนรุ่มทุ่มให้แบน
เธอตายเพื่อจะปลุกให้คนตื่น
เธอตายเพื่อผู้อื่นอีกหมื่นแสน
เธอตายคือดินก้อนเดียวในดินแดน
แต่จะหนักและจะแน่นเต็มแผ่นดิน
เราจะยืนหยัดเหยียดให้เสียดฟ้า
เราจะลุกขึ้นมาท้าภูผาหิน
กระชากฟ้าห่าโหดโขมดทมิฬ
ฉีกเป็นชิ้นกระทุ่มขยี้ให้บี้แบน

- เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
(จากเล่ม “เพียงความเคลื่อนไหว” ๒๕๒๓)


----------------------------


๒. แด่ลูกที่ดีของประชาชน

ดูพราวพรายคล้ายคล้ายกับสายหมอก
ระยับดอกชงโคสีม่วงหม่น
ค่อยประโปรยโรยมาในมณฑล
จะเริ่มต้นตาวันแล้วอีกวัน
ใบหญ้าย่ำช้ำชอกก็ชูหยัด
เนืองขนัดที่นี่ที่นั่น
ตื่นแล้วแก้วตานับพัน
มิ่งขวัญแผ่นดินตื่นแล้ว
มอมแมมคลุกเคล้ากับความงาม
เมื่อยามใยทองทอแผ้ว
วันใหม่อีกวันวาวแวว
ส่องแก้วเกลื่อนประกายที่กลางดิน
ดวงหน้านับพันนับหมื่น
ดวงตาเริ่มตื่นจากหลับสิ้น
ดอกไม้ร้อยดอกรวยริน
บานเต็มธรณินนาทีนี้
“แม่จ๋า เขาคือใครกัน”
“เขานั้นเพื่อนพ้องน้องพี่
เขามีแต่มิตรไมตรี
เขาคือลูกที่ดีของปวงชน”
“เขาเป็นลูกแม่ใช่ไหมแม่”
“ใช่แน่ลูกจ๋าอย่าฉงน
เพราะเขาเป็นลูกผู้ทุกข์ทน
ที่คนเหยียดหยามไยไพ”
“เขาเจ็บเหมือนแม่หรือเปล่าแม่
เมื่อเสียงแซ่โขกสับเข้าใส่”
“ความเจ็บที่เขาไม่เท่าไร
ไม่เท่าที่เจ็บใจแทนเรา”
ตะวันขึ้นแดดเข้มไปจนค่ำ
ช่อแฉล้มแย้มฉ่ำก็จะเฉา
วงตะวันต่อวันกระชั้นเช้า
ช่อใหม่ก็จะเข้าบานแข่งวัน
“ไปแล้วหรือไรลูกแม่”
“ไปแน่แม่จ๋าอย่าหวั่น
สายเลือดลูกแม่ทั้งนั้น
จะไปปั้นทางทองให้แม่เดิน”


- เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์๓๑ สิงหาคม ๒๕๑๘
( จากเล่ม “เพียงความเคลื่อนไหว ๒๕๒๓ )


------------------------

๓. อหังการของดอกไม้

สตรีมีสองมือ มั่นยึดถือในแก่นสาร
เกลียวเอ็นจักเป็นงาน มิใช่ร่านหลงแพรพรรณ
สตรีมีสองตีน ไว้ป่ายปีนความใฝ่ฝัน
ยืนหยัดอยู่ร่วมกัน มิหมายมั่นกินแรงใคร
สตรีมีดวงตา เพื่อเสาะหาชีวิตใหม่
มองโลกอย่างกว้างไกล มิใช่คอยชะม้อยชวน
สตรีมีดวงใจ เป็นดวงไฟไม่ผันผวน
สร้างสมพลังมวล ด้วยเธอล้วนก็คือคน
สตรีมีชีวิต ล้างรอยผิดด้วยเหตุผล
คุณค่าเสรีชน มิใช่ปรนกามารมณ์
ดอกไม้มีหนามแหลม มิใช่แย้มคอยคนชม
บานไว้เพื่อสะสม ความอุดมแห่งผืนดิน

- จิระนันท์ พิตรปรีชา
๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๖
(จากเล่ม “ใบไม้ที่หายไป” ๒๕๓๒)

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #14 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 14:52:41 »

เคียวเกี่ยวดาว

เคียวคมเราถือชู ทำง.านอยู่ในทุ่งกว้าง
เมื่อไรไร่นาร้าง เราจะเกี่ยวดาวมากิน
เคียวบางข้างคมบาด เลือดแดงสาดหยดสู่ดิน
เกี่ยวข้าวให้คนกิน อย่าหมายหมิ่นผู้ถือเคียว
ดาวรายพรายนภา ไม่มีค่าสักดวงเดียว
ตราบใดยังไร้เคียว ที่จะเกี่ยวกลมเกลียวดาว
คมเคียวเกี่ยวคอคน ผู้กดขี่กินแรงคาว
โจษจันกันเกรียวกราว เราเกี่ยวดาวมาไว้ดิน

- ประเสริฐ จันดำ
๒๕๑๗ (จากเล่ม “จารึกบนหนังเสือ” ๒๕๒๓)

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #15 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 14:54:10 »

แปนเอิดเติด

แปนเอิดเติด
สายน้ำระเหิดระเหยหาย
ทุ่งโล่งโจงโปงไม้ยืนตาย
ลมแล้งแรงร้ายอยู่ตาปี
อีสานแดนดินที่ดาลเดือด
สายเลือดปู่สังกะสาย่าสังกะสี
ธรรมชาติไม่ปรานี
ทุรชาติย่ำยีกินแรง
ว่างเปล่าเหลือแสนแปนเอิดเติด
เราเกิดในสังคมยื้อแย่ง
ไม่มีข้าวไม่มีปลาป่าแล้ง
ไม่มีแสงสว่างทางชีวิน
ว่างเปล่าเหลือแสนแปนเอิดเติด
รอระเบิดกาลเวลาถล่มสิ้น
ผู้กดขี่สูญสลายจากธรณิน
ว่างเปล่าเหมือนดินถิ่นอีสาน

- ประเสริฐ จันดำ
๒๕๑๗ (จากเล่ม “จารึกบนหนังเสือ” ๒๕๓๒)
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #16 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 14:55:11 »

 ให้แก่คนหนุ่มสาว

มันเป็นบาปสำหรับการรับรู้
ถ้าหากเธอยังอยู่กับความหลง
ก้าวไปกับความอ่อนไหวไม่มั่นคง
และพะวงว่าที่นี่จะมีภัย
ทางข้างหน้าหนทางจะว่างเปล่า
แดดจะเผาผิวผ่องเธอหมองไหม้
ที่ตรงโน้นมีหุบเหวมีเปลวไฟ
ถ้าอ่อนแอจะก้าวไปอย่างไรกัน
เธอลองมองออกไปให้รอบข้าง
มองผ่านสิ่งต่างต่างซึ่งขวางกั้น
ในที่ไกลแสนไกลออกไปนั้น
ศึกษามันให้เห็นความเป็นจริง
แบกภาระท่ามกลางทางสายนี้
เป็นหน้าที่ซึ่งภูมิใจได้อย่างยิ่ง
ควรทำมันให้ตลอดหรือทอดทิ้ง
เลือกแต่สิ่งง่ายง่ายใกล้ใกล้ตัว
ความอ่อนไหวในอารมณ์ข่มให้นิ่ง
ใช้สมองตรองทุกสิ่งให้ถ้วนทั่ว
วางระแวงหวั่นหวาดความขลาดกลัว
ซึ่งเป็นรั้วรอบรายเธอไว้นั้น
เธอจะยืนได้มั่นคงเดินตรงเส้น
และดีเด่นด้วยงานการสร้างสรรค์
เป็นผู้ตาม, เป็นผู้นำ คนสำคัญ
สมกับที่เรามุ่งมั่นมานานนับ
จากที่นี่คือคืนวันการเริ่มต้น
เราทุกคนเป็นเปลวไฟที่ใกล้ดับ
แต่ก่อนแสงสุดท้ายจะหายลับ
เราต้องการไฟสำหรับการดับไฟ

- กรวิก๒๕๑๒

--------------------------------------

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #17 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 14:56:23 »

ดาวศรัทธายังจ้าโชนแสง

และแล้วอาทิตย์ก็ต่ำสู่ด้านตก
ดนตรีจากเสียงนกกังวานขรม
ระย้าจากความมืดก็ยืดปม
ชักม่านห่มประเทศไทยอยู่ไปมา
ที่ขอบฟ้าไกลลิบละลิ่วโน้น
ดาวหนึ่งโชนสายแสงขึ้นเจิดจ้า
ทอวาวพราวพรายสายศรัทธา
เปิดแผ่นฟ้ามืดมิดสนิทนั้น
แผ่นดินมืดมืดมิดสนิทมาก
ทุกหนแห่งหลุมขวากล้วนขวางกั้น
ดาวชี้ทิศ ดวงหนึ่ง, จึงสำคัญ
ที่จะสาดแสงปันให้พื้นพราย
ที่จะสาดหัวใจให้คนทุกข์
ให้กล้าลุกลืมตาขึ้นมาได้
ที่จะปลุกศรัทธาคนกล้าตาย
ให้สานแสงแห่งสายศรัทธาไป
และแน่นอนวันหนึ่งฟ้ามืดนั้น
ก็จะพลันเจิดจ้าเป็นฟ้าใหม่
เมื่อดาวแสนล้านดวงโชติช่วงไฟ
โชติลงทาบอาบใจประชาชน...ฯ
“...ตำนานเก่าเก่าเล่าว่า
มันฆ่ามันขยี้เสีย***ป่น
ไม่มีแม้คำ...จำนน
เหล่ามารมืดมนหนทาง
ดับดาวดับฤาจักดับได้
แตกดับสลายเพียงร่าง
แสงยังโชติรางชาง
เป็นเยี่ยงเป็นอย่างสืบมา...ฯ”
...ที่ขอบฟ้าไกลมืดมิดสนิทโน้น
ดาวนับล้านฉายโชนประกายจ้า
ทอวาวพราวพรายสายศรัทธา
ยิ่งนานยิ่งเต็มฟ้ายิ่งพร่าพราว...ฯ

- พนม นันทพฤกษ์
โลกหนังสือ พฤษภาคม ๒๕๒๒
(จากเล่ม “ยืนต้านพายุ” ๒๕๒๔)
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #18 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 14:57:48 »

จากภูพานถึงลานโพธิ์

ดินสอโดมธรรมศาสตร์เด่นสู้ศึก
เพื่อจารึกหนี้เลือดอันเดือดดับ
หกตุลาเพื่อนเราล่วงลับ
มันแค้นคับเดือดระอุอกคุไฟ
เรามีเพียงมือเปล่ามันล้อมปราบ
ระเบิดบาปกระสุนบ้ามาสาดใส่
เสียงเสมือนแตรงานศพซบสิ้นใจ
สนามหญ้าคลุ้งกลิ่นไอคาวเลือดคน
มันตามจับตามฆ่าล่าถึงบ้าน
อ้างหลักฐานจับเข้าคุกทุกแห่งหน
เราอดทนถึงที่สุดก็สุดทน
จึงเปลี่ยนหนทางสู้ขึ้นภูพาน
อ้อมอกภูพานคือชีวิตใหม่
คือมหาวิทยาลัยคนกล้าหาญ
จะโค่นล้มไล่เฉดเผด็จการ
อันธพาลอเมริกาอย่าหวังครอง
สู้กับปืนต้องมีปืนยืนกระหน่ำ
พรรคชี้นำตะวันแดงสาดแสงส่อง
จรยุทธนำประชาสู่ฟ้าทอง
กรรมาชีพลั่นกลองอย่างเกรียงไกร
ในวันนี้ลานโพธิ์ธรรมศาสตร์อาจเงียบหงอย
ก็เพียงช่วงรอคอยสู่วันใหม่
วันกองทัพประชาชนประกาศชัย
จะกลับไปกรีดเลือดพาลล้างลานโพธิ์

- วัฒน์ วรรลยางกูร
(จากเนื้อเพลงชุดแรงบันดาลใจ ซึ่งมาจากบทกวีที่ผู้เขียนเขียนขึ้นในป่าหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙)

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><