29 มีนาคม 2567, 11:40:50
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: "เรื่อง โง่ เชิญมาคุย วิธีแก้ และ รับความรู้กัน ที่กระทู้นี้"  (อ่าน 21359 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 07:47:55 »



นำข่าว อดีต ร.ม.ต.ศึกษาธิการ พณฯ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ แก้วงจรอุบาทว์ เรื่อง

"โง่"

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ปฏิรูปการศึกษารอบ 2 เน้นคนไทยทุกคนได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ

สำนักข่าวไทย กรุงเทพฯ 4 มิ.ย.

-ก.ศึกษาฯ เตรียมปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ใช้เวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี 52-61

เน้นให้คนไทยทุกคนได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ใน 3 เรื่องหลัก คือ

เน้นการสร้างคุณภาพ

เน้นให้คนไทยมีโอกาสทางการศึกษา และ

ให้ทุกภาคส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษา

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)

เปิดเผยภายหลังการประชุมสภาการศึกษาครั้งที่ 2/2552 โดยเรื่องที่พิจารณา คือ

เรื่องทศวรรษที่ 2 ของการปฏิรูปการศึกษา ที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ว่า

หลังจากการประชุมได้ข้อสรุปในการปฏิรูปการศึกษาครั้งที่ 2 ซึ่งแผนปฏิรูปการศึกษาครั้งที่ 2 นี้

จะเริ่มใช้ในปี 2552 จนถึงปี 2561 รวมเวลา 10 ปี

เบื้องต้นจะมีการตั้งคณะกรรมการดำเนินการ เพื่อดูแลด้านนโยบายเป็นเวลา 3 ปี

โดยมีเป้าหมายสูงสุดที่จะทำให้คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ หมายถึง

คนไทยทุกคนจะได้เรียนรู้จากการศึกษาทั้งในและนอกระบบ ในทุกระดับการศึกษา

ตั้งแต่ ระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา ไปจนถึงระดับอุดมศึกษา

นอกจากจะได้เรียนรู้อย่างมีคุณภาพในทุกระดับชั้นแล้ว จะต้องครอบคลุมเรื่องที่เกี่ยวกับ

การศึกษาในมิติต่าง ๆ อย่างครบวงจร

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ทั้งหมดจะมุ่งเน้นใน 3 เรื่องหลัก เพื่อนำไปสู่ภาคการปฏิบัติ ได้แก่

เรื่องที่ 1.เน้นเรื่องคุณภาพ ซึ่งจะเน้นใน 3 ด้าน คือ

1) เน้นเพิ่มคุณภาพครูผู้สอน

2) เน้นสร้างแหล่งเรียนรู้ คือ คุณภาพสถานศึกษา สำหรับการศึกษาในระบบ และ

สร้างสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ สำหรับการศึกษานอกระบบ อาทิ ห้องสมุด อุทยานประวัติศาสตร์ต่าง ๆ

รวมไปถึงพลักดันการส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ ก็ถือว่าเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ และ

3) เพิ่มคุณภาพการบริหารจัดการ คือ มุ่งเน้นการกระจายอำนาจ โดยใช้หลักธรรมาภิบาล

เรื่องที่ 2. การให้โอกาส หมายถึง การเปิดโอกาสให้คนไทยทุกประเภท อาทิ

ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ หรือคนชายขอบ ได้มีโอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพ และ

เรื่องที่ 3. การมีส่วนร่วม คือ เน้นให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษาครั้งที่ 2

เช่น องค์กรภาคเอกชน องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันต่าง ๆ อาทิ ครอบครัว หรือศาสนา

เข้าร่วมในครั้งนี้ และเพื่อให้การดำเนินการปฏิรูปการศึกษาครั้งที่ 2 เดินหน้าไปตามเป้าหมายที่วางไว้

ทางกระทรวงฯ จะได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใน 2 ระดับ คือ

1.คณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและตนเองเป็นรองประธาน และ

2.คณะกรรมการขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นชุดปฏิบัติการ โดยจะมีตนเองนั่งเป็นประธาน

นอกจากนี้ จะมีการตั้งกลไกอื่น ๆ ตามความจำเป็นเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษารอบ 2

เป็นไปตามเป้าหมาย อาทิ การจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา สถาบันคุรุศึกษาแห่งชาติ หรือ

จัดตั้งสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษา เป็นต้น โดยทั้งหมดนี้จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป.


 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 07 มีนาคม 2553, 11:33:23 »


         เดินหน้าปฏิรูปการศึกษา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 6 มีนาคม 2553

          

         นายชินวรณ์ บุญเกียรติ รมต.ว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรียนเชิญ นายกรัฐมนตรี พณฯท่าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นประธานในพิธีเปิดงานสมัชชาขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง:

         คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ เดินหน้าปฏิรูปรอบ 2

         นำมาจาก        

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20100306/103675/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2.html

          หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 14 มีนาคม 2553, 09:28:19 »


          การสื่อสารไรัพรมแดนทางอินเตอร์เนต

           เป็นแหล่งพัฒนาปัญญา ให้ความรู้กับประชาชน ทุกแห่งสามารถติดต่อกันได้ มี Search Engine ที่สามารถค้นหาทุกสิ่งได้ด้วยการพิมพ์สิ่งที่จะคันหาลงไปในช่องค้นหา เช่น Google มี เวบไซด์ค้นหาที่

          http://www.google.co.th/

          การมีเวบบอร์ด ระดมสมองติดต่อกัน เช่น

          http://www.cmadong.com/board/

          การมีการเชื่อมต่อกันของแต่ละสถานประกอบการเข้าด้วยกันเช่น ธนาคารออนไลน์ ทำให้รู้ยอดปัจจุบัน เมื่อทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น

          http://www.ktb.co.th/th/products_services/e-banking.jsp

                   

         การมีเทเลเมดดิซิน ที่ อดีต ร.ม.ต.กระทรวงสาธารณสุข พณฯ ท่่าน ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้พูดถึง แต่ยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากเทคโนโลยี่มาใหม่ราคาแพง

         แต่ัปัจจุบัน มีโปรแกรม Skype  สามารถเชื่อมโยงระหว่างเครื่องคอมพ์ ต่างสถานที่กันได้ สามารถนำมาต่อยอดเป็น แพทย์ไม่จำเป็นต้องไปด้วยตัวเองที่ ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบล หรือ สถานีอนามัยเดิม ที่ได้รับงบประมาณไทยเข้มแข็ง 5 หมื่นล้าน เพื่อพัฒนาให้เป็นสถานพยาบาลใกล้บ้านที่มีแพทย์ออกตรวจได้

         แต่ภาวะแพทย์ขาดแคลน สามารถใช้ร่วมกันได้กับแพทย์ ร.พ.อำเภอ โดยให้แพทย์แต่ละท่านรับผิดชอบ ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบล เพื่อร่วมรับผิดชอบ กับพยาบาลเวชปฏิบัติที่อยู่ประจำแห่งละไม่น้อยกว่า 2 คน เพื่ออยู่เวรนอกเวลาราชการได้ และ ทำหน้าที่ดูแลรักษาประชาชนได้

         มีแพทย์รับผิดชอบ ทั้งทางเทเลเมดดิซิน และ ทางโทรศัพท์มือถือ มีรถพยาบาลฉุกเฉิน โทรฯเรียกสายด่วน 1669 ไว้คอยรับส่งต่อมา ร.พ.อำเภอ หรือ ร.พ.จังหวัด หรือ ร.พ.ศูนย์ตามความเหมาะสมกับโรคที่คนไข้ป่วย เป็นต้น

         ดูเพิ่มเติมได้ที่    "เรื่อง เจ็บ เชิญมาคุยวิธีแก้กันที่กระทู้นี้" ที่

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4945.0.html



OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

อายุ เป็นเพียงตัวเลข ไม่สำคัญ

ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยรัฐ วันจันทร์ ที่ 17 พ.ค.53 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

http://www.thairath.co.th/content/oversea/83444



อายุเป็นเพียงตัวเลข ไม่สำคัญ ถ้าใจยังสู้

ไม่มีใครแก่เกินเรียน เมื่อคุณทวด ฮาเซล ซัวเรส วัย 94 ปี จากแคลิฟอร์เนีย
คว้าปริญญาตรี หลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาประวัติศาสร์ ได้สำเร็จ
นับเป็นผู้สูงอายุลำดับที่ 2 ของโลก ที่สำเร็จการศึกษาจากระดับอุดมศึกษา...

สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันที่ 17 พ.ค. ว่า ฮาเซล ซัวเรส คุณทวดคนเก่ง
วัย 94 ปี จากแคลิฟอร์เนีย สามารถบรรลุฝัน คว้าปริญญาตรี
หลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาประวัติศาสร์ จาก
วิทยาลัย มิลล์ส คอลเลจ ในเมืองโอ๊ค แลนด์ ได้สำเร็จ

คุณทวดซัวเรส เผยว่า ชีวิตส่วนตัวค่อนข้างวุ่นวาย เลยทำให้ใช้เวลา
นานกว่าคนอื่นนิดหน่อย แต่ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ในที่สุดตัวเองก็ทำได้

ทั้งนี้ คุณทวดแต่งานทั้งสิ้น 2 ครั้ง มีลูก 6 คน และ มีหลาน ๆ อีกร่วม 40 คน
นับเป็นผู้สูงอายุลำดับที่ 2 ของโลก ที่สำเร็จการศึกษาจากระดับอุดมศึกษาเช่นนี้
นอกจากนี้คุณทวดหวังใจว่า
จะสมัครงานกับพิพิธภัณฑ์ ในซานฟรานซิสโก หลังเสร็จสิ้นพิธีรับมอบปริญญาบัตร

ด้านเรยีนา ฮังเกอร์ฟอร์ด ลูกของคุณทวด กล่าวอย่างเต็มตื้นว่า รู้สึกภูมิใจกับ
ความสำเร็จของแม่มาก และเชื่อว่าสิ่งที่แม่ทำ สามารถการันตีให้หลาน ๆ
รวมถึงทุก ๆ คนได้รู้ว่า ไม่มีใครแก่เกินเรียน.


 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #3 เมื่อ: 14 เมษายน 2553, 10:20:54 »


           สกศ.ตั้งธงตัวชี้ความสำเร็จการศึกษา ชงซุปเปอร์ 4 เรื่องสำคัญ ให้ครม.ทราบ

                                    

           รศ.ดร.ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา ( สกศ.) เปิดเผยถึงตัวชี้ความสำเร็จของการศึกษา ซึ่งได้มีการเลื่อนประชุม มาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า

           ตัวชี้วัดความสำเร็จ หรือ เป้าหมายหลักของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 ที่ สกศ.จะเสนอสู่การพิจารณานั้นจะเป็นซุปเปอร์ตัวชี้วัดที่จะมีผลนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงต่อการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาสถานศึกษาครั้งใหญ่ ในการปฏิรูปการศึกษา ทศวรรษที่ 2 โดยจะเสนอเพียง 4 ประเด็น คือ

ตัวชี้วัดที่ 1. ภายหลังจากปฏิรูปการศึกษารอบ 2 แล้ว อันดับของไทยเรื่องการศึกษาในเวทีโลกต้องดีขึ้น เช่น

           ในการจัดอับดับการศึกษาทั่วโลกของ IMD (International Institute For Management Develop )

           ปัจจุบัน ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 40 กว่า จากประเทศที่ร่วมจัดอันดับทั้งหมดประมาณ 50 ประเทศ  อายจัง แต่เมื่อมีการปฏิรูปรอบ 2 แล้ว จะต้องขยับมาอยู่ในอันดับที่สูงขึ้น win ซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายฯ จะต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่า จะให้ขยับมาอยู่ในอันดับที่เท่าใด

ตัวชี้วัดที่ 2 คือ ต้องทำให้เด็กไทยใฝ่รู้ใฝ่เรียนมากขึ้น เช่น ผลักดันสนับสนุนให้เด็กสนใจอยากรู้ อยากเรียนทั้งในโรงเรียนและแหล่งเรียนรู้

ตัวชี้วัดที่ 3 ต้องทำให้เด็กไทยใฝ่ดี คือ สร้างให้เด็กเป็นคนที่มีจิตอาสา มีคุณธรรม จริยธรรม และ

ตัวชี้วัดที่ 4 ต้องทำให้เด็กไทยคิดเป็น วิเคราะห์

           อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดที่ 2 ถึง 4 นั้น จะต้องสร้างระบบวัดขึ้นมา เพื่อสะท้อนออกมาปัจจุบัน เราอยู่ที่ตรงไหน และเป้าหมายข้างหน้าจะเดินไปตรงไหน

           สกศ.จะไม่เสนอให้มีตัวชี้วัดหลายตัว เพราะจะทำให้สับสนอีกทั้งเป้าหมายบางเรื่อง ควรตั้งเป็นตัวชี้วัดระดับหน่วยงานมากกว่าตัวชี้วัดในภาพรวม ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรรมการนโยบายฯต้องกำหนดตัวชี้วัด 4ตัวนี้ให้ชัดเจน คาดว่า หลังประชุมเสร็จแล้ว จะมีความชัดเจนมากขึ้น

             ขอขอบคุณ น.ส.พ.แนวหน้า วันพุธ ที่ 14/4/2010

           http://www.naewna.com/news.asp?ID=207258

                                  gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #4 เมื่อ: 17 เมษายน 2553, 17:11:31 »


    "สกอ."เร่งยกร่าง"กม." สถาบันอุดมศึกษาใหม่ เพิ่มบัญญัติคุณภาพบัณฑิต
     ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยโพสต์ การศึกษา-สาธารณสุข 14 เมษายน 2553
                  http://www.thaipost.net/news/140410/20791
   สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา  (สกอ.) เร่งยกร่าง พ.ร.บ.อุดมศึกษา

                              

           ดร.สุเมธ  แย้มนุ่น  เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา  (กกอ.)  เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)  เมื่อเร็วๆ  นี้ว่า  

           ที่ประชุม  กกอ.เห็นชอบแผนดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา  (สกอ.)  ในการยกร่าง  พ.ร.บ.การอุดมศึกษา  ซึ่ง  พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็น

           กฎหมายกลางและเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูปอุดมศึกษารอบ  2  และ จากนี้ต้องนำรายละเอียดทั้งหมดไปรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องเพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  (รมว.ศธ.)  พิจารณาภายในเดือนสิงหาคมนี้

           เลขาธิการ  สกอ.กล่าวอีกว่า  ที่ประชุมได้มีการอภิปรายในเรื่องนี้อย่างกว้างขวางและมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเนื้อหา หรือ สาระสำคัญที่จะกำหนดไว้ในกฎหมายอุดมศึกษาเพิ่มเติมในหลายประเด็น
 ดังนี้

          ให้มีระบบการส่งเสริมให้เกิดธรรมาภิบาลที่ดีในสถาบันอุดมศึกษา  โดยให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถปกครองตัวเองได้เพื่อเป็นหลักประกันเสรีภาพทางวิชาการ,  ระบบการได้มาซึ่งอธิการบดี  คณบดี  กรรมการสภาสถาบันอุดมศึกษาที่ดี  

           เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการบังคับบัญชา,  ให้มีระบบการจัดสรรงบประมาณอุดมศึกษาที่ใช้เป็นเครื่องมือในการกำกับการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาให้เป็นไปตาม นโยบายและแผนและมาตรฐานการศึกษา

           สถานศึกษาจะต้องดำเนินการจัดการศึกษาด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม  เช่น  
                         การเปิดศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งที่ไม่มีคุณภาพและ
                         ผลิตบัณฑิตไม่เป็นไปตามความต้องการของสังคม
                                           จะต้องลดน้อยลง

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

           นำข่าวดี มาบอกพวกเราว่า ประเทศกำลังมุ่ง พัฒนาการศึกษาให้มุ่งเน้นใหม่ ที่เดิมให้  

                               เก่ง ดี และ มีความสุข เป็น ดี มีความสุข และ เก่ง
        เพราะ ถ้ามุ่งเก่งขึ้นก่อน มักหลงทางเป็นคนไม่ดี และ ไม่มีความสุข   เตือน เตือน เตือน
  
                              
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #5 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2553, 07:52:04 »


                                            

          ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยราชภัฏหลายแห่งในปีนี้ (พ.ศ. 2553) พบว่า

          นักเรียนชั้นหัวกะทิของจังหวัดต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ของมหาวิทยาลันราชภัฏนั้นหันมาสมัครสอบเข้าเรียนสาขาวิชาชีพครูกันมาก เป็นนักเรียนมัธยมปลายที่มีคะแนนผลการเรียนดีของโรงเรียนและสอบข้อสอบคัดเลือกได้คะแนนสูงมาก นอกจากนั้นยังมีจำนวนผู้สมัครมากกว่าสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เคยเป็นที่นิยมอีกด้วย

         ตัวอย่างเช่นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี นักศึกษาทำคะแนนสอบเข้าสูงสุดได้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ และคะแนนต่ำสุดที่สามารถผ่านเข้าไปในสาขาวิชาชีพครูได้นั้นอยู่ที่เกือบ ๆ 70 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงคนที่ได้ 60 เปอร์เซ็นต์กว่า ๆ นั้นสอบไม่ติดสาขาวิชาชีพครู หรือ คณะศึกษาศาสตร์ และมีอัตราการแข่งขันสูง เช่น มหาวิทยาลัยสามารถรับนักศึกษาครูได้เต็มที่ 60 คน แต่มีคนเลือกสาชาวิชาชีพครูอันดับหนึ่งกว่า 600 คน หรือ มีอัตราส่วนประมาณ 1 : 10 ในขณะที่บางสาขาวิชา มีคนเลือกน้อยกว่าจำนวนที่เปิดรับด้วยซ้ำ

         ทำไมเลือกเรียนครูที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏ

         เด็กเก่ง ๆ เหล่านี้เลือกเรียนครูที่มหาวิทยาลัยราชภัฏแทนที่จะเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยที่เคยมีชื่อเสียงด้านการผลิตครูในอดีต เช่น คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่มีพัฒนาการมาจากวิทยาลัยวิชาการศึกษา และโรงเรียนฝึกหัดครู หรือ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งสองแห่งเป็นแหล่งผลิตครูและนักการศึกษาที่มีชื่อเสียงมายาวนาน

         นักศึกษาต่างจังหวัดเหล่านี้เลือกที่จะเรียนครูในมหาวิทยาลัยราชภัฏใกล้บ้านในท้องถิ่นของตนเอง

  จากการสอบถามผู้ปกครองและนักเรียนที่มาสมัครเรียนครูที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีได้คำตอบดังนี้

1. ที่มาสมัครเรียนครู เพราะครูเป็นอาชีพที่มั่นคง มีเกียรติ และเป็นข้าราชการ ซึ่งในอนาคตจะมีตำแหน่งงานให้บรรจุเป็นครูจำนวนมาก

2. การเรียนในปัจจุบันนี้ที่ไหนก็เหมือนกัน เพราะได้เงินเดือนและสิทธิต่าง ๆ เหมือนกัน อีกทั้งครูส่วนมากในปัจจุบันก็จบจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นส่วนมาก มีครูจำนวนน้อยที่จบจากมหาวิทยาลัยอื่น ครูของพวกเขาก็จบจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นส่วนมากเช่นกัน

3. มหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นวิทยาลัยครูมาก่อน ได้รับความเชื่อถือในเรื่องของการผลิตครู

4. เรียนที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏค่าใช้จ่ายไม่แพง ใกล้บ้าน ถ้าไปเรียนไกลๆ ค่าใช้จ่ายแพงแล้วไกลบ้าน คิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อน ๆ เพราะส่วนมากเพื่อน ๆ ก็เรียนใกล้บ้านกัน

5. จบแล้วก็เหมือนกัน ไม่เห็นแตกต่างกัน ส่วนมากก็กลับมาทำงานที่บ้านเหมือนกัน และก็เป็นครูที่อยู่สบาย ๆ ไม่ต้องไปสู้กับใครมาก อยากจะก้าวหน้าก็ขยันทำผลงานแข่งกับตัวเอง

        จากเหตุผลที่รวบรวมได้พอทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมอาชีพครูกำลังเป็นที่นิยมให้หมู่นักเรียนที่กำลังเลือกเรียนสาขาวิชาที่จะออกไปประกอบอาชีพ และเป็นนิมิตหมายที่ดีว่า

        เราจะได้คนเก่ง ๆ มาเป็นครูอีกครั้ง หลังจากที่คนเก่งว่างเว้นเลือกเรียนครูมายาวนานในอดีต คนที่เก่งเท่านั้นจึงจะสามารถสอบเข้าวิทยาลัยครูได้ มีการแข่งขันกันสูง และส่วนมากจะได้เป็นนักเรียนทุนกันทุกคน หมายถึง เมื่อจบแล้วมีงานทำ แน่นอน

        แต่ในระยะต่อมาสถานภาพของอาชีพครูตกต่ำเพราะถูกแย่งชิงไปเป็นฐานอำนาจทางการเมือง ถูกย้ายสังกัดหลายครั้ง เงินเดือนน้อย ไม่มีเงินเพิ่มพิเศษเหมือนข้าราชการอื่น ถูกใช้งานมาก โดนหน่วยงานอื่นในอำเภอหรือจังหวัดขอให้ช่วยทำงาน (ขอร้องแกมบังคับ) ทำการสอนหนักเพราะขาดครู เผชิญกับเด็ก ๆ ในสภาพที่มีปัญหาและเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย ครูไม่มีขวัญกำลังใจในการทำงาน ประสิทธิภาพต่ำ ทำให้คุณภาพของเด็กและประชาชนต่ำไปด้วย จนทำให้ไม่สามารถพัฒนาประเทศให้สามารถแข่งขันหรือพัฒนาทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ได้ประเทศเพื่อนบ้านที่เคยล้าหลังกลับนำหน้าประเทศไทย

        หลังจากยอมรับว่าต้นตอของปัญหาเกิดจากคุณภาพของการศึกษา จึงจำเป็นต้องหันมาพัฒนาอาชีพครูขึ้น เริ่มมีการปฏิรูปการศึกษา ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง และให้ความสำคัญกับคุณภาพของครู ความก้าวหน้าในอาชีพครู รวมทั้งรายได้ของครู พรรคการเมืองที่ไม่เคยสนใจ ไม่เคยเหลียวแลอาชีพครูเริ่มกลับมาสนใจครูเพื่อต้องการฐานเสียงในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งเป็นสำคัญ จึงทำให้ทิศทางค่านิยมเลือกเรียนครูเริ่มกลับมาอีกครั้ง
      
                                                                 รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์
                                                                         http://www.krismant.com/

        ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยรัฐ วันจันทร์ ที่ 5 เมษายน 2553
           http://www.thairath.co.th/content/edu/74954

                            จน โง่ เจ็บ อะไรที่สำคัญ ที่ควรแก้ไขก่อน

         ถ้าไม่โง่ มีความรอบรู้ ฉลาด จะมีความสามารถแก้ปัญหา แก้ จน แก้ เจ็บ ได้

เรื่อง โง่ จึงควรเป็นอันดับแรกที่ต้องแก้ไขเหมือน เวียดนาม ฯลฯ มุ่งแก้ก่อนจริงไหมพวกเรา

                                   win win win

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #6 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2553, 08:08:38 »


                    ตัดตอนมาจากบทสรุป จะเยียวยาสังคมอย่างไร คอลัมภ์ ของ คุณ "ลม เปลี่ยนทิศ"

                                                     

           เส้นทางฟื้นฟูประชาธิปไตยไทยและการกระจายความมั่งคั่ง ตามโรดแม็ปของ นายกฯอภิสิทธิ์ คงต้องเดินทางอีกยาวไกล ถ้าไม่หาทางจำกัด "อำนาจนิยม ของนักการเมือง" ที่กำลังเฟื่องฟูในวันนี้

           ที่สำคัญที่สุดคือต้องเร่ง "สร้างคนรุ่นใหม่" ที่ "มีจิตสำนึกประชาธิปไตย" และ "จิตสำนึกไม่โกงกิน" ด้วยการ "ปฏิรูปการศึกษา"  และ "ปฏิรูปจิตสำนึก" อย่างเร่งด่วน  

           กระทรวงศึกษาฯ นายกฯ ต้องคุมเอง ไม่ใช่รัฐมนตรีมือสมัครเล่น มิฉะนั้น โรดแม็ปก็คงด้วนแค่วันเลือกตั้งเท่านั้น.

                                                                                   "ลม เปลี่ยนทิศ"

                                             ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

              ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยรัฐ วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2553 ที่เอื้อเฟื้่อข่าว

                   http://www.thairath.co.th/column/pol/thai_remark/81246

         คำว่า อำนาจนิยม ใช้เพื่ออธิบายองค์กรหรือรัฐที่ใช้มาตรการที่เข้มงวด หรือบางทีอาจจะเป็นมาตรการในเชิงกดขี่ กับประชาชน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักไม่ผ่านการเห็นชอบของประชาชน

         ค้นหาคำอธิบายนี้มาจากวิกิพีเดียร์

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1

                                           win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #7 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2553, 18:26:15 »


มจร.ส่งมอบหลักสูตรพระพุทธศาสนาใหม่ ให้ ศธ.ใช้เปิดเทอมพฤษภาคม นี้



พระธรรมโกศาจารย์

พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) เปิดเผยว่า
จากการที่กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้มหาจุฬาฯ ดำเนินการปรับปรุง
หลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาขึ้นมาใหม่

เพื่อให้การเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และ
สอดคล้องกับสภาพของท้องถิ่นนั้นๆ


เนื่องจากที่ผ่านมาแต่ละโรงเรียนได้พบปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอนพระพุทธศาสนา
ไม่ว่าจะเป็นให้เวลาน้อย มีความล้าสมัยนั้น

มหาจุฬาฯ ได้จัดส่งต้นฉบับหลักสูตรพระพุทธศาสนาฉบับปรับปรุงใหม่ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ
ประกอบด้วย

หลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาระดับชั้น ป.1-ม.6
เพื่อให้ทันใช้ในช่วงเปิดเทอมภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 เดือนพฤษภาคมนี้


หลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาที่ปรับปรุงขึ้นใหม่จะเน้นกิจกรรมในการปฏิบัติมากขึ้น โดย

ในระดับชั้น ป.1-3 จะเน้นเรื่องการบริหารจิต เจริญปัญญา

ในระดับชั้น ป.4-6 เน้นการปฏิบัติตนเองในการเป็นชาวพุทธที่ดี

ในระดับชั้น ม.1-3 เรียนรู้เรื่องการเข้าสังคมร่วมกับผู้อื่น และ

ระดับชั้น ม.4-6 จะเน้นนักเรียนให้เรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง

ส่วนการวัดผลของผู้เรียนก็ได้ปรับปรุงใหม่โดยยึดหลักอริยวัฑฒิ 5 อย่าง คือ

1.ศรัทธา วัดจากเด็กมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอยากเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา

2.ศีล วัดจากความมีระเบียบวินัยเคารพกติกาของสังคมของเด็ก

3.มีสุตะ วัดจากพฤติกรรมความเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนรู้ทันเหตุการณ์ต่างๆ

4.จาคะ วัดจากกิจกรรมการช่วยเหลือสังคมของเด็ก และ

5.มีปัญญา วัดจากความคิดและพฤติกรรมของเด็กว่าสิ่งใดควรทำไม่ควรทำ

"หลักสูตรที่มหาจุฬาฯ ได้จัดทำอยู่ระหว่างการจัดพิมพ์ หากดำเนินการใช้จริงแล้ว

ทางครูผู้สอนพบปัญหาในการเรียนการสอน หรือใช้หลักสูตรแล้วไม่ได้ผล

ก็ให้เก็บรวบรวมปัญหาต่างๆ แล้วเสนอมามายังกระทรวงศึกษาธิการเพื่อส่งข้อมูลให้

มหาจุฬาฯ ได้ศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงหลักสูตรให้ตรงกับการเรียนการสอนจริงมากที่สุด เพื่อให้

ผู้เรียนได้ซึมซับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและ
สามารถนำวิชาพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน"


ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ขอขอบคุณ น.ส.พ.ข่าวสด วันเสาร์ ที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7100

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNekE0TURVMU13PT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1DMHdOUzB3T0E9PQ==

 gek gek gek

ปรับปรุงหลักสูตรพุทธศานา เพื่อเน้น ดี ขึ้นก่อน เก่ง ให้กับ อนาคตของชาติ
เมื่อ ดี แล้วจะมีความสุข และ เก่ง จะตามมาเอง ตามแนวทาง

ดี มีความสุข และ เก่ง
แทน
เก่ง ขึ้นก่อน เพราะ เมื่อเก่งแล้ว อาจเหลิง กลายเป็นคนไม่ดี และ ไม่มีความสุข ได้

 win win win

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

ปลุกเด็กไทย "ซื่อสัตย์-พอเพียง"

ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยรัฐ คอลัมภ์การศึกษาวันเสาร์ ที่ 15 พ.ค.53 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

http://www.thairath.co.th/content/edu/83016

หากเด็กและเยาวชนเข้าใจเรื่องของความซื่อสัตย์แล้วนำไปสู่การปฏิบัติ
ต่อไปประเทศไทยก็จะไม่ติดอันดับประเทศต้นๆที่มีการคอรัปชันสูง...




นพ.พลเดช ปิ่นประทีป ประธานกรรมการจัดงานสมัชชาคุณธรรมประจำปี 2553

กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดงานสมัชชาคุณธรรมว่า

ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) ได้สรุป
ตารางดำเนินงานสมัชชาคุณธรรมปี53แล้วโดยจะเริ่มขับเคลื่อนเวทีสมัชชาคุณธรรมในเรื่องของ

ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ และความพอเพียง ทั้ง 7 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มการศึกษา
กลุ่มองค์กรชุมชน
กลุ่มธุรกิจ
กลุ่มศาสนา
กลุ่มข้าราชการ
กลุ่มการเมือง และ
กลุ่มสื่อมวลชน

ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายนนี้ เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหาแนวทางขับเคลื่อน
คุณธรรม จริยธรรมไปสู่การปฏิบัติของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องของ

ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง 

นพ.พลเดชกล่าวต่อไปว่า กลุ่มการศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มของเด็กและเยาวชน จะต้องส่งเสริมเรื่อง
ความซื่อสัตย์ ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

เนื่องจากผลการสำรวจทัศนคติ ของเด็กและเยาวชนที่ผ่านมา พบว่า
เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ มองว่าการทุจริตเป็นเรื่องปกติธรรมดา
นักการเมืองทุจริตแล้วประชาชนท้องอิ่มก็ไม่เป็นไร
ซึ่งการคิดในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผิด


ดังนั้น ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะรัฐบาล จะต้องเร่งสร้างทัศนคติใหม่ให้แก่เด็กและเยาวชนเห็นว่า

เรื่องทุจริต เป็นสิ่งที่ผิดและไม่ดี หากเด็กและเยาวชนเข้าใจเรื่องของความซื่อสัตย์
แล้วนำไปสู่การปฏิบัติ

ต่อไปประเทศไทยก็จะไม่ติดอันดับประเทศต้นๆที่มีการคอรัปชันสูง

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทุกเวทีได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันแล้ว

จากนั้นศูนย์คุณธรรมจะมีการขับเคลื่อน 3 ภารกิจหลัก คือ

1. ปฏิญญาคุณธรรม

2. แผนงานส่งเสริมพัฒนาคุณธรรม

3. กระตุ้นกลุ่มเครือข่ายยกร่างเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสู่รัฐบาล

ที่จะนำไปเป็นนโยบายระดับชาติต่อไป.


 รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #8 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2553, 07:51:56 »


ภาพบรรยากาศ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ได้รับเกียรติให้เป็นวิทยากรในหลักสูตร
การบริหารงานยุติธรรมระดับสูง ของสำนักงานกิจการยุติธรรม
โดยมีคุณศิวากร คูรัตนเวช ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม
และคณะต้อนรับ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม 2553 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ


บรรยากาศของผู้เข้ารับการอบรม และการทำ Workshop







ในวันพฤหัสบดีที่แล้ว ก่อนออกจากห้องมี นายตำรวจระดับพันเอกพิเศษ บอกผมว่า
เขาไม่ชอบใจที่พิธีกรแนะนำว่า ผมจบ Ph.D ที่ไหน เขาบอกว่า

ดร.จีระ จบ Ph.D จากมหาวิทยาลัย ชีวิต

จึงเป็นความพึงพอใจที่ผมได้รับฟังว่าความรู้ผมมีประโยชน์และสร้างโอกาสกระตุ้นให้
ลูกศิษย์ C9 ทั้ง 36 คนได้ความรู้ที่แท้จริงและไปปรับ พฤติกรรมของตัวเอง ค้นหาตัวเอง

ในการทำ Workshop ผมถามว่า

ถ้าจะพัฒนาผู้นำทุกระดับในกระบวนการยุติธรรมจะทำอย่างไรให้ได้ผล ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก เพราะ
ที่ผ่านมาระดับอธิบดีหรือปลัดกระทรวงมักจะมอบให้

ฝ่ายบุคคลหรือฝ่าย HR ทำ

แต่ความจริง

ผู้นำสูงสุดขององค์ต้องนำและทำด้วย

และ

ข้อเสนอของกลุ่มได้วิเคราะห์ว่า จะทำสำเร็จได้ต้อง

* ผู้นำระดับสูงจะต้องเอาจริง หมายความว่าระดับอธิบดีหรือปลัดกระทรวงต้องเอาจริงกับการสร้างผู้นำ ซึ่งผมภูมิใจมากเพราะข้าราชการที่เรียนกับผม อีก 2 - 3 ปี ก็จะขึ้นไปเป็นระดับสูงและเขาคงเห็นความสำคัญของการสร้างผู้นำในองค์กรของเขา

* และผู้นำระดับสูงต้องเป็น แมวมอง ว่ามีใครบ้างอายุไม่เกิน 35 ลงมาที่มีแววผู้นำ

* ให้เขาเหล่านั้นได้สำรวจศักยภาพของเขาว่าจุดอ่อน จุดแข็ง เป็นอย่างไรและให้มีการพัฒนาอย่างจริงจัง ไม่ใช่ แค่ ฝึกอบรม ต้องให้เขามีทั้งบุคลิก มีทักษะ มี Vision มี Trust มีประสบการณ์แบบ Mentoring เพื่อให้เดินหน้าสำเร็จ ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จระบบเกียร์ว่างของตำรวจมะเขือเทศ และทหารแตงโมก็คงไม่เกิดเพราะ ทุกคนจะรู้หน้าที่ที่สำคัญของตัวเองและผมเชื่อว่า ถ้าเขาเหล่านั้นเป็นเกียร์ว่างจะสำนึกผิดได้

ซึ่งวิธีการแบบนี้ เรียกว่า เป็น

ทฤษฎีของ Ram Charan เรียกว่า Apprenticeship Model
ซึ่งผมได้สรุปตารางมาให้ดู

วิธีการพัฒนาผู้นำแบบเก่า
Conventional Leadership Development


เน้นที่สิ่งที่ใส่เข้าไป (inputs) เช่น ชั่วโมงเรียน จำนวนเงินที่ใช้
ส่วนใหญ่ใช้เงิน
ใช้ทรัพยากรแบบกระจายไปทุกกลุ่ม
เป็นหน้าที่ของ HR
มีการกำหนดคุณลักษณะและสมรรถนะของผู้นำแบบ กว้าง ๆ และคล้าย ๆ กันสำหรับผู้นำทุกระดับ
การเพิ่มขึ้นมีลักษณะเป็นขั้นเป็นตอน
เน้นการฝึกอบรมในห้องเรียน
พัฒนาไปเรื่อย ๆ ไม่มีการเปลี่ยนงาน

วิธีการพัฒนาผู้นำแบบใหม่
Apprenticeship Model


เน้นที่ผลลัพธ์ (output) คือ เราได้ผู้นำที่เราต้องการหรือไม่ (ทั้งปริมาณและคุณภาพ)
ส่วนใหญ่ใช้ความสนใจ เอาใจใส่ และความรู้สึกของผู้นำ
ใช้ทรัพยากรอย่างมีเป้าหมาย
เป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูงขององค์กร โดยมี HR เป็นผู้ช่วย
มีการกำหนดลักษณะและสมรรถนะของผู้นำเป็นรายบุคคลโดยดูจากทักษะ สมรรถนะ ความสามารถ พรสวรรค์ ฯลฯ
การเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว อาจเพิ่มขึ้นพร้อมกันในหลายระดับ ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
เน้นการฝึกปฏิบัติจริง และฝึกจากการจำลองสถานการณ์
เมื่อรู้ศักยภาพของผู้นำแล้ว ก็อาจจะสร้างหรือออกแบบงานใหม่ที่เหมาะสม

สรุปก็คือ ช่วงความปรองดองของคุณอภิสิทธิ์จะต้องพัฒนาผู้นำในวงการราชการและข้าราชการฝ่ายความมั่นคง ซึ่ง Roadmap คงไม่ใช่แค่วันที่ 14 พฤศจิกายน แค่เลือกตั้งต้องไกลกว่านั้น

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ
dr.chira@hotmail.com
www.gotoknow.org/blog/chiraacademy
แฟกซ์0-2273-0181

ขอขอบคุณ น.ส.พ.แนวหน้า วันเสาร์ ที่ 8 พ.ค.53 และ อ่านบทความทั้งหมด ได้ที่
http://www.naewna.com/news.asp?ID=210278

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ขอนำข่าวมาให้พวกเรา ที่เป็นผู้นำองค์กร หรือ ว่าที่ผู้นำ ได้นำไปคิดเป็นแนวทางการนำที่ดี

 gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2553, 21:07:24 »

    "การทำงานของระบบ Primary health care ถือ ว่าสำคัญมากเป็นการสกัดกันไม่ให้ผู้ป่วยไปโรง

พยาบาลโดยไม่จำเป็น แต่ถ้ามีกรณีฉุกเฉินก็ไปโรงพยาบาลได้เลย"




ประเทศอื่นเขาไม่มีป้าย โรงพยาบาล กับคลินิกมากมายเหมือนบ้านเรา

พี่แอ๊ะดูเกือบทุกประเทศ หาป้ายร.พ ไม่เจอเลย

บ้านเราลองมองจากทางด่วนซิ มีแต่ป้ายชื่อโรงพยาบาลและคลินิก

ป่วยกันจริงๆ คนไทยนี่
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #10 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2553, 09:53:24 »


สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ : สนช.ชวนธุรกิจ ติดปีกความรู้ 'นวัตกร'
โดย : ธนภัทร คงศรีเจริญ

ขอขอบคุณ น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 16 พฤษภาคม 2553

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20100516/115501/%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%8A.%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A3.html



ปัทมาวดี พัวพรหมยอด ผู้จัดการแผนก สนช.

ต้นปี 53 มีคนสนใจเข้าเรียนกว่า 200 คน ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นหนักงานของ ธ.ก.ส. เครือเอสซีจี
และเชลล์ เพราะตระหนักถึงความจำเป็นของนวัตกรรม

ท่ามกลางโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขันสูง นวัตกรรม เป็นสิ่งที่ทุกคนถามหาและต้องการ
จะมีไว้ในครอบครอง เพราะนั่นหมายถึง โอกาสในการแข่งขัน และความสำเร็จที่รออยู่ตรงหน้า

การเสริมเขี้ยวเล็บให้กับองค์กรเพื่อพร้อมวิ่งให้ทันกับการแข่งขันที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
การมุ่งหน้าเสาะแสวงหา

"นวัตกรรม" เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากขาดซึ่ง

"นวัตกร" หรือ บุคคลที่จะมาขับเคลื่อน "นวัตกรรม" ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ด้วยเหตุนี้ผู้ประกอบการยุคใหม่ อาทิ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
เอสซีจี เชลล์ ทรูคอร์ป และเครือซีพี จึงต่างเร่งฝึกคิดหรือเฟ้นหา

"นวัตกร" เข้ามาร่วมทีม เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้สามารถอยู่รอด
ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในแวดวงธุรกิจ

ปัทมาวดี พัวพรหมยอด ผู้จัดการแผนก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)/สนช.
บอกว่า นวัตกรรมจะเป็นตัวช่วยสำคัญให้บริษัทหรือธุรกิจอยู่รอดในอนาคต
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ  ซึ่งมีหน้าที่ในการผลักในการดันธุรกิจด้วยนวัตกรรม ผ่าน
การให้องค์ความรู้ การทำหน้าเป็นที่ปรึกษา และสนับสนุนเงินทุน

นอกเหนือจากการให้ ทุน และให้คำปรึกษาของ สนช.คือ การสร้าง

"คน" หรือ "นวัตกร" ภายใต้หลักสูตรที่คิดค้น และพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ

"เราทำงานต้นน้ำ ด้วยการให้ความรู้ด้านการจัดการนวัตกรรม สร้างความเข้าใจในหลักการการ
จัดการนวัตกรรมให้กับธุรกิจและผู้ประกอบการ 

ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ด้านการจัดการนวัตกรรมได้ตาม
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และเป็นที่ปรึกษาในการจัดทำข้อเสนอโครงการและ
ให้การสนับสนุนทางด้านการเงินกับผู้ประกอบการ"

การเปิดหลักสูตร การจัดการนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการ จัดทำขึ้นในรูปแบบของ
การเรียนทางไกล เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประการน้อยใหญ่ ได้ฝึกสมอง และ
ทดลองทำงานจริง


หลักสูตรการจัดการนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการที่จัดขึ้น

แบ่งออกเป็น 9 หน่วยการเรียนรู้ด้วยกัน

โดยหน่วยที่ 1-8 เป็นการเรียนภาคทฤษฎี และ หน่วยที่ 9 เป็นการฝึกเขียนแผนโครงการ

หน่วยที่  1-8 ประกอบด้วย

ความรู้ด้านทฤษฎีนวัตกรรมและกระบวนการพัฒนานวัตกรรม 
กลยุทธ์ในการจัดการนวัตกรรม กระบวนการบริหารจัดการนวัตกรรม
เครือข่ายวิสาหกิจนวัตกรรมและระบบนวัตกรรมแห่งชาติ
กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการสร้างแบรนด์  การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ 
บทบาทของการบรรจุภัณฑ์กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และ
อิทธิพลของการวิจัยตลาดต่อการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์
กลยุทธ์การบริหารนวัตกรรม นวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทย 
เศรษฐกิจฐานความรู้กับการพัฒนานวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์สำหรับองค์กร 
รวมถึงทรัพย์สินทางปัญญากับเศรษฐกิจใหม่  ธุรกิจนวัตกรรมกับ
การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา

ขณะที่หน่วยที่  9 เป็นการเรียนภาคปฏิบัติ สอนการเขียนแผนโครงการ
เพื่อของบสนับสนุนโครงการ

"กลุ่มผู้เรียนหลักสูตรการจัดการนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการ เป็นกลุ่มนักธุรกิจหรือ
ผู้ที่สนใจด้านนวัตกรรม ซึ่งไม่มีเวลาไปเรียนในห้องเรียนในหลักสูตรปริญญาโทหรือเอก
แต่ต้องการแกนความรู้เพื่อนำไปทำงานได้ทันที"

หลักจากที่เปิดสอนรุ่นแรกไปเมื่อต้นปี 2553 พบว่า

มีผู้สนใจเข้าเรียนหลักสูตรกว่า 200 คน ประมาณ 100 คน เป็นพนักงานของธนาคาร ธ.ก.ส.
นอกจากนั้นยังมีพนักงานจากเครือเอสซีจี และเชลล์ เข้าร่วมโครงการ

ซึ่งองค์กรใหญ่ๆ เหล่านี้ ต่างตระหนักถึงความจำเป็นของนวัตกรรม โดย
ตลอดหลักสูตรใช้เวลาเรียน 4 เดือน  ค่าเรียน  2,500 บาท ตลอดโครงการ

"จากประมาณ 200 โครงการ มี 4-5 โครงการ สามารถนำมาเป็นธุรกิจจริงได้ทันที
แม้จะดูน้อยแต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ของการสอน และโครงการที่เหลือ
หลายๆ โครงการแค่เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ก็สามารถทำเป็นธุรกิจจริงได้เช่นกัน"

เธอ บอกอีกว่า นอกจากหน้าที่ให้ความรู้และเป็นที่ปรึกษาแล้ว สำนักงานฯ ยังให้การ
สนับสนุนด้านงบลงทุน สูงสุดโครงการละประมาณ 5 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบให้เปล่า


ดังนั้นจึงมีผู้สนใจเข้ามาเขียนโครงการของบเป็นจำนวนมาก โดยในปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการ
ส่งแผนโครงการร่วม 100 โครงการ และมี 80 โครงการ ผ่านการตัดสิน
ได้รับทุนเฉลี่ยโครงการละ 1 ล้านบาท  ส่วนใหญ่เป็นโครงการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ
สารสกัดและอาหาร ซึ่งการพิจารณาให้งบจะขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการ

จากประสบการณ์คลุกคลีกับผู้ประกอบการพบว่าปัญหาใหญ่ที่สำนักงานต้องรีบเข้าไปช่วยเหลือ

คือการตลาดและการหาหุ้นส่วนธุรกิจ

ทั้งนี้ ปัทมาวดี บอกว่า  ก่อนจะมาเปิดหลักสูตรการจัดการนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการ
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เคยร่วมร่างหลักสูตรโครงการบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต
สาขาการจัดการนวัตกรรม ให้กับมหาวิทยาลัยรามคำแหง

ในปี 2549 และในปี 2550 ได้เข้าไปร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่างหลักสูตร
การจัดการนวัตกรรม หลักสูตรปริญญาโทและเอก

หัวใจหลักสูตรนี้คือ ธุรกิจจะเติบโตอย่างรวดเร็วได้ ผู้นำองค์กรต้องเป็น "นวัตกร" และ
สามารถบริหารจัดการนวัตกรรมได้อย่างลงตัว


 gek gek gek

นำความรู้มาให้พวกเราที่สนใจได้รีบสมัครเข้าเรียน หลักสูตรใช้เวลาเรียน 4 เดือน 
ค่าเรียน  2,500 บาท และ ถ้าเขียนโครงการดียังได้เงินสนับสนุนแบบให้เปล่าด้วย


เวบสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สนช. ที่

http://www.nia.or.th/2009/main/index.php?section=&page=

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #11 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2553, 21:01:23 »


สร้างคุณธรรมนำความรู้
ขอขอบคุณ น.ส.พ.เดลินิวส์ วันพุธ ที่ 19 พฤษภาคม 2553 สนับสนุนเนื้อหาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=359&contentID=66531

สภาพสังคมไทยในปัจจุบัน เต็มไปด้วยปัญหาต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า

สังคมไทยกำลัง “ป่วยขั้นรุนแรง” ผลจากปัญหาต่าง ๆ รอบตัวทำให้คนส่วนใหญ่เผชิญกับ
ความทุกข์แบบไร้ทางออกอยู่ในภาวะของความเครียด ความวิตกกังวลที่แฝงเข้ามาในชีวิตประจำวัน
อย่างไม่รู้ตัว และต่างมองหาหนทางเพื่อแก้ไขปัญหาและพ้นทุกข์

ถ้ามองย้อนไปถึงต้นเหตุของปัญหา มาจากการกระทำและความคิดของมนุษย์ทั้งสิ้น
หากมนุษย์คิดดี ทำดี มีคุณธรรม ปัญหาต่าง ๆ จะไม่เกิดขึ้น



    
ด้วยเหตุนี้ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์ ผู้ออกแบบชิ้นส่วนระบบลงจอดของ
ยานอวกาศไวกิ้งขององค์การนาซา เล็งเห็นถึงปัญหาต่าง ๆ มาโดยตลอด

จึงตัดสินใจเดินสู่เส้นทางของการสร้างเด็กให้เป็นคนดี ด้วยแรงบันดาลใจอันเต็มเปี่ยมกว่า 30 ปี
ที่ต้องการสร้างคนดี ให้เกิดขึ้นในสังคมมากกว่าคนเก่ง

ไม่ว่าการก่อตั้ง รร.สัตยาไส จ.ลพบุรี การนำแนวคิดความรู้จากประสบการณ์ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือ และนิทานสอนใจมากมาย อีกทั้งยังได้เดินสายการอบรมครูทั้ง  ในประเทศและต่างประเทศ และ ในปี พ.ศ. 2550 มีผลงานหนังสือ“คุณธรรม นำความรู้” เพื่อใช้ประกอบการอบรม ซึ่งสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ ปรับปรุงเรียบเรียงใหม่
    
ดร.อาจอง กล่าวว่า ตอนนี้สังคมไทยเละเทะมาก และไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยแต่เกิดทั่วโลก

มนุษย์มีความทุกข์กันมากขึ้น ทะเลาะและมีปัญหาสังคมมากขึ้น เมื่อเป็นอย่างนี้
จึงจำเป็นต้องหาทางแก้ไข ซึ่งที่ผ่านมาได้ทดลองมาหลายอย่างนับตั้งแต่

เป็น ส.ส. 3 สมัย และเป็น ส.ว. แต่ไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ต่าง ๆ ได้

จึงคิดว่าต้องทำบางอย่างให้ดีขึ้น เป็นที่มาของการคิดทำหนังสือเพื่อไว้สอนเด็ก ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธี
ที่ทำให้เด็กซึมซับเรียนรู้ตั้งแต่ตอนเด็กและเติบโตเป็นคนดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้สังคม
    
ในโอกาสเดียวกันนี้ ดร.อาจอง ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เรื้อรังมาช้านานของระบบการศึกษา
ที่มุ่งเน้นสร้าง

“คนเก่ง” ป้อนเข้าสู่ “โลกทุนนิยม”

สมรภูมิรบขนาดใหญ่ที่ผู้คนต้องแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอด และเพื่อความก้าวหน้าเหนือคนอื่น
จนทำให้ “คุณธรรมความดีงาม” ค่อย ๆ ถูกลบเลือนไปจากหัวใจ และ
เกิดเป็นวงจรชีวิตอันเลวร้ายไม่รู้จักจบ
    
การปฏิรูปการศึกษา  ที่ทำกันมากว่า 10 ปีนั้น ทุกคนยอมรับว่าล้มเหลว เพราะ

ไม่สามารถสร้างคนดีขึ้นมาได้ แต่กลับเน้นไปที่การสร้างคนเก่ง
ซึ่งคนเก่งจะพยายามเอาชนะคนอื่นตลอดเวลา คิดถึงตัวเองก่อนและไม่ยอมใคร


ซึ่งปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้นก็ล้วนแต่เกิดเพราะคนเก่งทั้งสิ้น

แต่สำหรับคนดีจะไม่คิดถึงตัวเอง แต่จะคิดถึงส่วนรวม สังคม ประเทศชาติ และคิดถึงโลก
เพราะฉะนั้นการศึกษาต้องเน้นสร้าง คนดี คุณธรรมถึงต้องนำความรู้ก่อน
เมื่อเป็นคนดีแล้วจะไม่มีอบายมุขทั้งหลาย จะตั้งใจเรียนและนำความรู้ที่ได้ไปใช้ช่วยเหลือผู้อื่น
ไม่ใช่เพื่อให้ร่ำรวย เอาชนะผู้อื่น หรือแข่งขันกันในโลกเศรษฐกิจของตนเอง

ดร.อาจอง กล่าว

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ผมมองว่า ตามที่ ท่าน ดร.อาจอง จะให้เกิดขึ้น เพียงใช้ 2 ด้าน ของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา
ให้ความรู้เรื่องคุณธรรมกับเด็ก เป็นด้านที่ 1 สร้าง ร.ร.หรือ สร้างวัฒนธรรม เป็นด้านที่ 2

แต่ถ้าไม่มีด้านที่ 3 ด้านการสนับสนุนให้เกิดขึ้นทั้งเชิงบวก และ เชิงลบ แล้ว จะไม่มีทางสำเร็จ
ตามที่่ท่านอาจารย์ ศ.นพ.ประเวศ วะสี เสนอ การทำงานยาก ๆ เหมือน การเขยื้อนภูเขา ต้อง

อาศัย การทำให้ครบทั้ง 3 ด้าน ของสามเหลี่ยม จึงจะสำเร็จ

ด้านที่ 3 คือ การทำให้เกิดขึ้น จะเกิดได้ต้องอาศัยนักการเมือง ที่มี
จรรยาบรรณนักการเมืองมุ่งทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนหรือพรรค


หวังพวกเราที่สามารถติดต่อนักการเมืองให้เห็นดีด้วย เป็นด้านที่ 3 เพื่อสร้างคนดี มาเป็น
ทรัพยากรที่สำคัญ ที่สุด ของ 3 M  เมื่่อมี M-Man ดีถึงแม้ขาดทรัพยากร Money Management
เมื่อมีคนดี แล้ว อีก 2 M ที่เหลือจะตามมาเอง

ตามคำสอนหลวงปู่ดู่ วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา สอนพระที่กำลังจะสึก มาขอพร
นึกตั้งใจจะมาขอให้มี ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ กับหลวงปู่ดู่ หลังจากสึกไป หลวงปู่ สอนว่า

ไอ้ที่แก่คิดนั้นมันต่ำเกินไป คิดให้สูงไว้ แล้วมันจะตามมาเอง

 รักนะ รักนะ รักนะ

คำสอนหลวงปู่ดู่ วัดสะแก อ.อุทัย จ.อยุธยา

๑๑.จะเอาดีหรือจะเอารวย



หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

อีกครั้งหนึ่งที่คณะผู้เขียนได้มานมัสการหลวงปู่ เพื่อนของผู้เขียนท่านหนึ่งต้องการ
เช่าพระอุปคุตที่วัด เพื่อนำไปบูชา โดยกล่าวกับผู้ที่มาด้วยกันว่า

บูชาแล้วจะได้รวย

เพื่อนของผู้เขียนท่านนั้นแทบตะลึง เมื่อมากราบหลวงปู่แล้ว ท่านได้ตักเตือนว่า

"รวยกับซวยมันใกล้ๆ กันนะ"

ผู้เขียนได้เรียนถามหลวงปู่ว่า

"ใกล้กันยังไงครับ"

ท่านยิ้มและตอบว่า

"มันออกเสียงคล้ายกัน"

พวกเราต่างยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ สักครู่ท่านจึงขยายความใหเพวกเราฟัง

"จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์ จะรักษามันก็ทุกข์ หมดไปก็เป็นทุกข์อีก กลัวคนจะจี้จะปล้น
ไปคิดดูเถอะมันไม่จบหรอก มีแต่เรื่องยุ่ง เอาดี ดีกว่า"


คำว่า ดี ของหลวงปู่ มีความหมายลึกซึ้งมาก

ผู้เขียนขออัญเชิญพระบรมราโชวาทของในหลวงของเราในเรื่องทำความดี มาเปรียบ ณ ที่นี้
ความตอนหนึ่งว่า

"...ความดีนี้ ไม่ต้องแย่งกัน ความดีนี้ ทุกคนทำได้ เพราะความดีนี้ทำแล้วก็ดี
ตามคำว่า ดี นี้ ดีทั้งนั้น ฉะนั้น ถ้าช่วยกันทำดี ความดีนั้นก็จะใหญ่โต จะดียิ่ง ดีเยี่ยม..."

__________________

๒๕. จะตามมาเอง



หลายปีมาแล้ว มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้มาบวชปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดสะแก
ก่อนที่จะลาสิกขาเข้าสู่เพศฆราวาส ท่านได้นัดแนะกับเพื่อนพระภิกษุที่จะสึกด้วยกัน ๓ องค์ว่า
เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนสึก พวกเราจะไปกราบให้หลวงปู่พรมน้ำมนต์และให้พร
ท่านได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ขณะที่หลวงปู่พรมน้ำมนต์ให้พรอยู่นั้น ท่านก็นึกอธิษฐานอยู่ในใจว่า

"ขอความร่ำรวยมหาศาล ขอลาภขอผลพูนทวี มีกินมีใช้ไม่รู้หมด จะได้แบ่งไปทำบุญมากๆ"

หลวงปู่หันมามองหน้าหลวงพี่ ที่กำลังคิดละเมอเพ้อฝันถึงความร่ำรวยนี้ ก่อนที่จะบอกว่า

"ท่าน ที่ท่านคิดน่ะมันต่ำ คิดให้มันสูงไว้ไม่ดีหรือ แล้วเรื่องที่ท่านคิดน่ะ จะตามมาทีหลัง"
__________________

พระของข้า...ไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

นำมาจาก

http://board.palungjit.com/f10/%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81-%E0%B9%92%E0%B9%95-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%99-%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5-80761.html

 win win win

เรื่อง รวย หรือ ไม่จน แก้ได้ด้วย แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง



จะแก้ได้ถ้ารัฐบาล ใช้นโยบาย  "ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง"

บริหารประเทศ

นำมาจากกระทู้ "เรื่อง จน เชิญมาคุยวิธีแก้กันที่กระทู้นี้"
 มาเสริมกระทู้  
"ด้ชนี ความสุข แทน ดัชนี จีดีพี"

เมื่อ ความสุข เกิดมีขึ้นแล้ว ความร่ำรวย จะตามมาเอง ในที่สุด ที่

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4943.0.html

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #12 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2553, 11:20:06 »


ขอขอบคุณเวบสนุกดอทคอมวันเสาร์ที่ 29 พ.ค. 53 และ สนับสนุนเนื้อหา

http://news.sanook.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%A1.%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%AF-%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95-936770.html




ศ.ดร.ประกอบ วิโรจนกูฏ อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พร้อมนักศึกษารุ่นพี่
นำนักศึกษาใหม่ประจำปีการศึกษา 2553 จาก 10 คณะ กว่า 2,500 คน เดินจากมหาวิทยาลัย
มาที่วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ เพื่อทำกิจกรรมรับน้องใหม่



โดยนักศึกษาใหม่ทั้งหมดได้เดินรอบเจดีย์ที่ใช้บรรจุอัฐิธาตุของหลวงพ่อชา หรือพระโพธิญาณเถระ
พระเกจิอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ก่อนเข้ากราบนมัสการและชมวัตรปฏิบัติของหลวงพ่อ
ในพิพิธภัณฑ์ เพื่อนำไปปฏิบัติระหว่างศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย

สำหรับกิจกรรมพานักศึกษาชั้นที่ 1 เข้าวัดรับน้องใหม่ สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นปีที่ 4 เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นในกิจกรรมรับน้องใหม่ทุกปีการศึกษา

gek gek gek

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO



วัดปทุมวนาราม ที่สยามพารากอน ปทุมวัน

รับน้องจุฬาฯ ของเราน่านำมาเป็นแบบอย่างปลูกฝังจริยธรรม
เพื่อให้จิตใจดี มีความสุข แล้วเก่งจะตามมาเอง

gek gek gek



      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #13 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2553, 21:35:17 »

[narongsak.com]
Fw: 16ข้อแห่งความยิ่งใหญ่ของเวียตนามเหนือไทย
From: narongsak@yahoogroups.com on behalf of chat mail ......
Sent:Monday, May 31, 2010 9:39:57 PM
To:....................



ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

ตอนนี้เวียดนามกำลัง "ฮิต" ติดตลาด มีคนสนใจไปลงทุนกันมากมาย...
มีเสน่ห์มากกว่าไทยด้วยซ้ำไป เวียดนามยังไม่อาจไล่ทันไทยในเร็ววันนี้หรอกครับ
(ปลอบใจสักหน่อย).แต่มีศักยภาพที่จะยิ่งใหญ่เหนือไทยได้ในวันหน้า...
เราควรสังวรและพิจารณาให้ดี หลายเรื่องเราควร "เอาเยี่ยงกา" มาลองดูกันครับ

1. สนามบินสะดวกกว่าไทย
อันที่จริงสนามบินหลายแห่งในประเทศไทยทันสมัยกว่าสนามบินกรุงฮานอยและนครโฮชิมินห์
แต่ที่เวียดนาม เครื่องบินจอดถึงงวงเสมอ...ไม่ต้องต่อรถโค้ชให้เสียอารมณ์แบบบ้านเรา และ
ที่สำคัญในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า นครโฮชิมินห์จะมีสนามบินใหม่ที่
ใหญ่กว่าสุวรรณภูมิของเราในขณะนี้เสียอีก

2. คนเวียดนามรักชาติ
ไม่ต้องดูอื่นไกล เขานิยมอาหารของเขาเอง..ประเภทอาหารแฟชั่น/ขยะของฝรั่งเข้าไปตีกิน
ในประเทศเขาได้ยาก...คุณสมบัติที่ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้น (แม้ทางความคิด)
กับใครเช่นนี้เชื่อว่าเหนือกว่า "เลือดไทย" ที่ทำท่าจะเจือจางลงทุกวัน

3. "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง"
คนเวียดนามที่เราเห็นแต่งตัวดูปอน ๆ นั้น...เขาชอบสะสมทอง ว่าง ๆ ก็เอามาชื่นชมเล่นเงียบ ๆ...
เขาไม่ต้องการทำตัวหรูหรา…เพราะเดี๋ยวถูกเพ่งเล็ง เขามีเงินสะสมไว้มาก แต่ไม่เปิดเผย...
ซื้อของก็มักใช้เงินสด ซื้อบ้านอาจมีกู้เงินบ้าง แต่ก็ยังจำกัดมาก

ข้อนี้อาจทำให้ระบบการเงินของประเทศไม่หมุนเวียนมากนัก…แต่ผมก็ยังนิยมความมัธยัสถ์...
มากกว่าการสุรุ่ยสุร่าย สังเกตง่าย ๆ....

อีกอย่างหนึ่งก็คือสนนราคาของอาหารเวียดนามนั้น.. หาได้ถูกกว่าไทย....
มาตรฐานค่าครองชีพไม่ได้ต่ำกว่าไทยเลย...

นี่แสดงว่า....เขามีแหล่งรายได้ที่ไม่เปิดเผยหรือรับ job ทำงานพิเศษต่าง ๆ..
ไม่ใช่กินแต่เงินเดือนปกติ

4. คนเวียดนามชอบค้าขาย
เปิดร้านค้าขายแทบทุกหัวระแหง ในทุกท้องที่มีสินค้าครบถ้วนไม่ต้องไปเดินห้างใหญ่หรือ
ไม่ต้องไปย่านการค้าใด...ด้วยความนิยมค้าขายโดยสายเลือดบวกกับความขยันขันแข็งเช่นนี้...
โอกาสที่เวียดนามจะแซงไทยได้ คงไม่ไกลเกินเอื้อม

5. มีขอทานน้อยกว่าไทย
 ในนครโฮชิมินห์ที่มีประชากรไม่แพ้กรุงเทพมหานคร...แต่แทบจะหาขอทานไม่พบ
มีแต่คนอุ้มลูกจูงหลานมาขายหมากฝรั่งให้พอรำคาญเล่น คนใจอ่อนก็อุดหนุนกันไปบ้าง
แต่ประเภทเป็นขอทานแท้ ๆ...แทบไม่เคยพบ
ทางการเขาเอาจริง จับและกวาดต้อนไปฝึกอาชีพ....ไม่ปล่อยให้เกลื่อนถนนแบบไทยที่มี
กระทั่งขอทานเขมรมาเพ่นพ่านเต็มไปหมด    (น่าอนาถแท้ ๆ ประเทศไทย)

6. (แทบ) ไม่มีปัญหายาเสพติด หรือเด็กเกเร-อันธพาล
ที่เวียดนามใครขืนเสพหรือค้ายาเสพติด...มีโอกาสเกิดใหม่สูงมาก....เขาไม่ค่อยขังให้เปลือง
ข้าวแดงเสียด้วย…ย่านอิทธิพลค้ายาหรือขาใหญ่แบบสลัมเมืองไทย...
แทบหาไม่ได้…ที่เคยมีก็ถูกรื้อไปสร้างแฟลตกันแทบหมดแล้ว

7. เศรษฐกิจ "กระดี๊กระด๊า" ดูดีไปหมด! ทั้งนี้เพราะเติบโตปีละ 7-10% มาหลายปี
ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เวียดนามก็กระอักแบบไทย...แต่ฟื้นตัวเร็วกว่าและ
ฟื้นตัวอย่างมั่นคงกว่าไทยมาก...อนาคตของประเทศแลดูสดใส อยู่ในช่วงขาขึ้น...
มีการพัฒนาสาธารณูปโภคอย่างขนานใหญ่และต่อเนื่อง

8. ให้การต้อนรับกระทั่งมหาวิทยาลัยต่างชาติ
นี่เป็นมิติที่ขอย้ำถึงการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติในเวียดนาม..มหาวิทยาลัยชั้นนำของ
ต่างประเทศสามารถเข้าไปตั้งสาขาได้....ผิดกับของไทยที่กีดกันมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ...
มหาวิทยาลัยไทยหลายแห่งกลัวการออกนอกระบบ..เพียงเพราะเกรงใจอาจารย์ที่เป็นข้าราชการ...
จะสูญเสียผลประโยชน์....แต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของนักศึกษาและประเทศชาติ

9. แทบหา "บ้านว่าง" (บ้านที่สร้างเสร็จแต่ไม่มีผู้เข้าอยู่) ไม่ได้เลย
ที่อยู่อาศัยทุกระดับราคาต่างมีคนเช่าหรือซื้ออยู่อาศัย ที่ว่างมีไม่ถึง 5-10%
นี่แสดงว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจของอสังหาริมทรัพย์…แทบไม่ปรากฏให้เห็นในเวียดนามเลย

10. ระบบผ่อนบ้านมีหลักประกัน (ของไทยยังล้าหลังกว่า!)
ในเวียดนามบ้านสร้างเสร็จก็แสดงว่า....การผ่อนชำระค่าบ้านเสร็จพอดี...ซึ่งเป็นลักษณะ
escrow account ที่ป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการ...นำเงินไปหมุนทางอื่นหรือ
นำไปซื้อรถเมอร์เซดีส....โครงการต้องนำเงินงวดของการผ่อน....มาก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ..
และหากใครจะขอกู้ ....ก็ต้องติดต่อสถาบันการเงินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว....
เมื่อสถาบันการเงินตกลง....สถาบันการเงินนั้น...ก็จะผ่อนชำระกับโครงการ
จนแล้วเสร็จแทนเราต่อไป

11. กล้าย้ายสถานที่ราชการออกนอกเมือง แล้วนำที่ดินทำเลทองมาพัฒนา
ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือหรืออื่น ๆ ในฟิลิปปินส์ถึงขนาดย้ายค่ายทหารออกไปนอกเมือง
เพื่อนำที่ดินทำเลทองมาพัฒนาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ... แต่สำหรับไทย
คงทำไม่ได้เพราะ "เขตทหารห้ามเข้า" (ฮา)  หรือเพราะเรามัก "เจาะยาง"ด้วยการตีขลุมว่า ...
ขืนเอาทรัพย์สินไปหาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์....อาจเกิดการการฉ้อราษฎร์บังหลวง..
นี่คือกระบวนการกีดกัน/ยับยั้งความเจริญของชาติอย่างแท้จริง

12. กฎหมายเวนคืนศักดิ์สิทธิ์
ทางราชการเวียดนามสามารถย้ายชาวบ้านได้ทุกบริเวณที่ต้องการ....อาจมีอิดออดบ้าง
แต่ต้องไปภายในเวลาที่รวดเร็ว ....จะมาอ้างรักถิ่นฐานอนุรักษ์เครือข่ายเพื่อนบ้านหรือรักษา
จิตวิญญาณชุมชน ไม่ได้เด็ดขาด....และโดยความศักดิ์สิทธิ์นี้เอง....
พื้นที่แปลงขนาดใหญ่จึงสามารถนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ
อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที...นี่เป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้เวียดนามก้าวล้ำนำไทยที่

"ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก" เช่นทุกวันนี้

13. กฎหมายมีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
บางครั้งแม้แต่ข้าราชการยังตามไม่ทัน....แต่เป็นข้อดีอย่างยิ่งที่ทำให้กฎหมายสามารถ
ตอบสนองสถานการณ์ใหม่ ๆของการพัฒนาประเทศ ....

ไม่เหมือนไทย ที่การแก้ไขกฎหมายเพื่อชาติและประชาชนเชื่องช้าเป็นที่สุด.... เช่น
เรามี พรบ.ผังเมืองตั้งแต่ 2475 แต่มีผังเมือง กทม. ฉบับแรกเมื่อปี 2535 หรืออีก 60 ปีถัดมา!
เพราะชนชั้นนำของประเทศ...ไม่ต้องการให้ที่ดินของตนเสียผลประโยชน์นั่นเอง.

14. ปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างจริงจัง
ท่านเชื่อหรือไม่กัปตันเครื่องบินเวียดนามแอร์ไลน์...ถูกไล่ออกเพียงเพราะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า
เข้าประเทศ...มูลค่าเพียงหลักแสนบาท...โดยไม่ผ่านด่านศุลกากร ..นักฟุตบอลเวียดนาม 4 คน....
ที่ไปรับสินบนในงานแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์เมื่อปี2548…ขณะนี้ยังติดคุกหัวโตอยู่เลย
เรื่องนี้ประเทศไทยในยุคคุณธรรมนำการเมือง.... เทียบอะไรเขาได้หรือไม่

15. การเมืองเวียดนามมีแต่ความมั่นคง ไม่มีรัฐประหาร
ผมได้รับเชิญจากสมาคมนายธนาคารมาเลเซีย (Malaysian Investment Bankers
Association) ไปพูดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เขาบอก (เชิงขอบคุณประเทศไทย)
ว่า หลังรัฐประหารของไทย... มาเลเซียได้รับอานิสงส์ไปเต็ม ๆ...เงินลงทุนแทนที่จะมาไทย....
กลับไปมาเลเซีย ...ที่เวียดนามก็เช่นกัน...นักลงทุนไปกันมากมาย....
นักลงทุนทั่วโลกแทบจะข้ามหัวประเทศไทยไปหมด...เพราะเขาไม่นิยมรัฐประหาร!

16. ข้อสุดท้ายนี้น่ากลัวที่สุดกล่าวคือ....
 เวียดนามกำลังรวมตัวกัน....แต่ไทยกำลังจะแตก....นับจากสิ้นสุดสงครามเวียดนาม
เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา....เวียดนามเป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้นยิ่ง ๆ ขึ้น.... คนเวียดนามโพ้นทะเล
ส่งเงินกลับบ้านจำนวนมหาศาลถึง 150,000 ล้านบาท .(5).แต่ประเทศไทยของเรากลับ
กำลังจะแตกแยก...ภาคใต้ไม่แน่ว่า...จะต้องปล่อยให้ปกครองตนเองหรือกลายเป็น
ประเทศอิสระในไม่ช้าไม่นานนี้ (โอมเพี้ยง ขอให้เดาผิด)....
การแตกแยกคุกรุ่นของคนในประเทศ...กลับยิ่งเพิ่มขึ้นหลังรัฐประหาร....
ไทยกับเวียดนามสวนกระแสกันอย่างนี้
....แล้วไทยจะเหลือหรือ....ผมไม่ได้เชียร์เวียดนาม.... แต่หวั่นใจว่าไทยเราจะถอยหลัง...

ก็ได้แต่หวังว่าข้อคิด 16 ข้อนี้จะทำให้เราได้ "เสียวสันหลัง"  กันเสียบ้าง
ปรองดองกันเถอะครับ จำไว้ว่า

"เข่นฆ่ากันทำไม…
เราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งผอง ...ไทยฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครอง
วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลาน" .......

หมายเหตุ

ดร.โสภณ พรโชคชัยเคยเป็นที่ปรึกษารัฐบาลเวียดนาม...ด้านการวางระบบการประเมิน
ค่าทรัพย์สินประจำการอยู่ที่กรุงฮานอย…แต่ได้เดินทางไปศึกษาเกี่ยวกับ
อสังหาริมทรัพย์ในนครอื่นด้วย…

ดร.โสภณมีอาชีพเป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์
...ยังเป็นกรรมการที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์...
ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย
และกรรมการสภาที่ปรึกษา Appraisal Foundation
ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรสเพื่อการควบคุมการประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกา

Email: sopon@thaiappraisal.org  

 gek gek gek

 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #14 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2553, 08:18:09 »


1ก.ค.เริ่มหลักสูตรคบเด็กสร้างชาติ
ขอขอบคุณ เวบสนุกดอทคอมวันพฤหัส ที่ 3 มิ.ย. 53 และสนับสนุนเนื้อหา
http://news.sanook.com/938478-1%E0%B8%81.%E0%B8%84.%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B41.html



นางทยา ทีปสุวรรณรองผู้ว่าฯกทม.เปิดเผยว่าในวันที่ 1 ก.ค.นี้โรงเรียนสังกัด กทมจำนวน220โรง
ในชั้นเรียนระดับอนุบาล และประถมศึกษาที่ 1-3 จะเริ่มเรียนหลักสูตร

คบเด็กสร้างชาติ หรือชื่อเดิม หลักสูตรโตไปไม่โกง

หลังจากที่คณะกรรมการได้ทำหลักสูตรดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำ
แบบเรียน และอุปกรณ์ที่ไว้สำหรับทำกิจกรรม

เบื้องต้นในระดับชั้นอนุบาล จะมีการสอดแทรกหลักสูตรดังกล่าวตลอดชั่วโมงที่มีการเรียนการสอน
และระดับชั้นประถมศึกษา 1-3 จะมีการเรียนในหลักสูตรดังกล่าวสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง

ทั้งนี้ในวันที่ 22 มิถุนายน นี้



 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรผู้ว่าฯ กทม.พร้อมด้วยนายอานันท์ ปันยารชุนอดีตนายกรัฐมนตรี
ฐานะประธานกำกับหลักสูตรดังกล่าว


จะแถลงข่าวเปิดตัว

หลักสูตรคบเด็กสร้างชาติ

อย่างเป็นทางการอีกครั้งซึ่งหลังจากเปิดตัวแล้วกทม.จะอบรมครูที่สอนวิชาสังคมประมาณ1,000คน
เพื่อเตรียมตัวที่จะสอนนักเรียนต่อไป

ด้าน นางจุรี วิจิตรวาทการ เลขาธิการองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย
ฐานะคณะกรรมการจัดทำหลักสูตร เปิดเผยว่า สาระสำคัญของหลักสูตรคือ

การสร้างจิตสำนึกและปลูกฝังให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักความรับผิดชอบ ต่อสังคม
ความไม่เอารัดเอาเปรียบ ความยุติธรรมและความไม่เห็นแก่ตัว


โดยหลักสูตรจะเน้นในเรื่องของการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างจิตสำนึกเป็นหลัก อาทิ

ระดับชั้นอนุบาล จะสอนให้ร้องเพลง เพื่อให้จำเนื้อหาให้ขึ้นใจ มีนิทานที่แปลงมาจากนิทานอิสป
นิทานชาดก เป็นต้น

ระดับประถมจะมีกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียน

อย่างไรก็ตามหลักสูตรดังกล่าวจะสัมฤทธิ์ผลได้มากน้อยแค่ไหน
ต้องอาศัยความเอาใจใส่จากผู้ปกครองและครูผู้สอนด้วย

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

นำข่าวจะมุ่งเน้นคุณภาพของ M-Man เป็น 1 ในทรัพยากร 3 M ให้มีคุณธรรม
มุ่งหวังให้เป็น คนดี มีความสุข และ เก่งจะตามมาเอง

หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #15 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2553, 13:40:02 »


ขอขอบคุณเวบไทยรัฐวันอาทิตย์ ที่ 6 มิ.ย.2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.thairath.co.th/content/region/87699



มือเผา ร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ ศาลายา จ.นครปฐม นักเรียน ม.5 หวังหยุดเรียน

sorry sorry sorry

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXx

ต้องหันกลับมามองกันใหม่ แล้ว จะใช้ ร.ร.ให้การศึกษาเท่านั้นไม่ได้
ต้องใช้ 3 สถาบันร่วมกัน คือ



บ้าน วัด โรงเรียน - บวร ต้องร่วมมือกันสร้างคนในชาติ

gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #16 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2553, 14:13:06 »


เป้าหมายปฏิรูปศึกษาทศวรรษที่ 2



นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ

รมว.ศึกษาธิการ ระบุ นายกรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างตัวบ่งชี้และ
เป้าหมายการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง 4 หัวข้อ...จากการ
ประชุมคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (กนป.) ครั้งที่ 3/2553
เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า

ที่ประชุมซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ได้มีมติเห็นชอบในหลักการ ร่างตัวบ่งชี้ และ

เป้าหมายการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง 4 หัวข้อ คือ

1. คนไทยและการศึกษาไทยมีคุณภาพและมาตรฐานสากล

2. คนไทยใฝ่รู้

3. คนไทยใฝ่ดี และ

4. คนไทยคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาได้


เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาบรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ดำเนินงานในปี 2561

ขอขอบคุณเวบไทยรัฐ วันศุกร์ที่ 4 มิ.ย.2553
http://www.thairath.co.th/content/edu/87242

หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #17 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553, 18:47:55 »


ขอขอบคุณเวบคมชัดลึก วันอาทิตย์ 13 มิถุนายน 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.komchadluek.net/detail/20100613/62599/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0.html

รับน้องมิติใหม่ปลอดเหล้าเข้าถึงธรรมะ



ถึงวันนี้ยังไม่มีข่าวการรับน้องที่ไม่พึงประสงค์ออกมาสู่สาธารณชนส่วนหนึ่งเป็นเพราะ
สถาบันการศึกษาเข้มงวดและรุ่นพี่ตระหนักในสิ่งที่ควรทำ

ภาพการรับน้องส่วนใหญ่ที่เห็นในช่วงที่ผ่านมาจึงเป็นการไปในลักษณะการรับน้องปลอดภัย
ปลอดเหล้า เข้าถึงธรรมะ เสียสละ บำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม และ
เตรียมพร้อมการเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย

ยกตัวอย่างเช่น



มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพที่จัดกิจกรรมต้อนรับนักศึกษาใหม่ ทั้ง 3,000 คน
เน้นการผูกรักด้วยใจระหว่างรุ่นพี่ รุ่นน้อง ใน

สโลแกน "รับน้องปลอดภัย  53" ผ่านกิจกรรมต่างๆร้องเพลงเชียร์ ลอดซุ้มรับน้องใหม่ และ
รณรงค์การรับน้องปลอดเหล้า ซึ่งนักศึกษาแต่ละคณะแต่ละสาขาวิชาได้เปล่งคำปฏิญาณ
จะประพฤติตนเป็นคนดีของครอบครัว เป็นนักศึกษาที่ดีของมหาวิทยาลัย และ
เป็นคนดีของสังคม พร้อมกับการเทเหล้าและเผาบุหรี่อีกด้วย



ไม่ต่างจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน(มทร.อีสาน) จ.นครราชสีมา ที่จัดกิจกรรม
ปฐมนิเทศนักศึกษาหอพัก & เวลคัม ปาร์ตี้ (welcome party) ต้อนรับน้องๆ นักศึกษาใหม่
ปีการศึกษา 2553 กว่า 1,000 คน เข้าสู่หอพัก ให้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นและฝึกฝนทักษะ
ควบคุมร่างกาย อารมณ์ จิตใจ ซึ่งเป็นพื้นฐานการพัฒนาตนเองให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพในสังคม

 ผศ.ชูชัยต.ศิริวัฒนา รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษามทร.อีสาน บอกว่า
หอพักนักศึกษาแยกตึกชาย-หญิงอย่างชัดเจนกำหนดเวลาเข้าออกหอเป็นเวลา
ดูแลรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เปิดให้บริการมากว่า 2 ปีแล้ว
ในหนึ่งห้องจะมีสมาชิกอยู่ร่วมกัน 4 คน มีสวัสดิการและการบริการภายในหอพัก
อุปกรณ์เครื่องใช้อำนวยความสะดวก บริการด้านอินเทอร์เน็ต ร้านค้ามินิมาร์ท
ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านซักผ้า ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องออกกำลังกาย

ในปีการศึกษาหน้าจะเพิ่มกิจกรรมสร้างสรรค์และจัดกีฬาหอพักเพื่อสร้างบรรยากาศ
ที่อบอุ่นเหมือนบ้าน ต่อยอดการเรียนรู้ในสิ่งที่ผู้เรียนสนใจได้อีกทาง
นำไปสู่การพัฒนาตนเองอันเป็นแรงเสริมที่จะทำให้ผู้เรียนมีความพร้อมก้าวออกไป
ดำเนินชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย

กิจกรรมเน้นที่ความสนุกพร้อมแง่คิดสอนใจวัยรุ่นกับบรรยายธรรมพิเศษโดย
พระมหาสมปองตาลปุตฺโต (นครไธสง) ที่เรียกความสนใจแก่น้องๆนักศึกษาให้มีส่วนร่วม
แสดงความคิดเห็นและคิดตามพระอาจารย์ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของวัยรุ่นที่ไม่ควรประมาท

การเปลี่ยนสถานภาพจากชีวิตเด็กมัธยมปลายสู่ชีวิตเด็กหอเปลี่ยนจากอยู่บ้าน มีพ่อแม่ดูแลเอาใจใส่
มาอยู่หอพักของมหาวิทยาลัย ความรับผิดชอบที่ต้องเพิ่มมากขึ้น

ทำให้ต้องรู้จักปรับตัวในการอยู่รวมกับผู้อื่นมากกว่าการตามใจตัวเอง รู้จักบริหารจัดการชีวิตให้ปลอดภัย
ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้จึงจัด



"ขันโตกล้านนา ไทยทั่วหล้าพันผูกลูกแม่เดียว"

เสริมความเป็นหนึ่งเดียวให้นักศึกษาใหม่6,000 คน โดยไม่แบ่งแยกว่ามาจากเหนือ-ใต้-ออก-ตก หรือ
อีสาน แม้จะมาจากต่างที่ต่างถิ่น ร้อยพ่อพันแม่ แต่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวได้จนกลายเป็น
ลูกแม่เดียว คือลูกแม่โจ้เป็นที่ขนานนามว่า แม่โจ้คือสถาบันการศึกษาที่เลื่องชื่อเรื่องความรัก
ความสามัคคีของบรรดาศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ถือเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ



ลงทางใต้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย(มทร.ศรีวิชัย) นำนักศึกษาใหม่เข้าค่ายคุณธรรม
ณ กองรักษาความปลอดภัยฐานทัพเรือสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา เตรียมพร้อมปั้นนักศึกษาเป็นคนเก่ง
และคนดี มีคุณธรรม สร้างความคุ้นเคยกันระหว่างเพื่อนนักศึกษารุ่นพี่และรุ่นน้อง ลูกศิษย์กับอาจารย์
โดยสอดแทรกเรื่องระเบียบวินัย การตรงต่อเวลา การป้องกันตนเองจากสิ่งเสพติดและอบายมุข
การยึดมั่นประชาธิปไตย และที่สำคัญที่สุดคือกิจกรรมที่ปลูกฝังให้นักศึกษาได้
รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

"การใช้วิธีการฝึกระเบียบแถวแบบทหาร เพื่อใช้ละลายพฤติกรรมของนักศึกษาใหม่
การปลูกฝังให้เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์โดยให้นักศึกษาช่วยกันเขียนถ่ายทอดความ
ประทับใจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลงบนกระดาษโดยการเขียน

แผนผังความคิด (mind mapping) จากนั้นนำสิ่งที่ได้เขียนมานำเสนอให้เพื่อนๆ ทั้งหมดฟัง
ผลของการเข้าค่ายคุณธรรมทำให้นักศึกษาใหม่ มทร.ศรีวิชัย ทุกคนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ของในหลวงและราชวงศ์ที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย" คือการปลูกฝังที่ดีที่สุด เรือโทประมุขชุมศรี
หัวหน้าครูฝึก ประจำกองรักษาความปลอดภัยฐานทัพเรือสงขลา กล่าว



ส่วน"ค่ายลูกแม่ไทร จิตใจงาม ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เน้นกิจกรรมปฐมนิเทศ
เสริมเรื่องคุณธรรม นิมนต์พระวิทยากรในทีมงานธรรมะเดลิเวอรี่ของ
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต มาร่วมเทศนาธรรมให้ข้อคิดแก่นักศึกษาใหม่ และ
เน้นกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ สนุกสนาน ปลูกฝังความรักในชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์
เข้าไปด้วย ทำให้น้องใหม่เตรียมความพร้อมเปลี่ยนแปลงให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคมได้
สำเร็จการศึกษาออกมาเป็นบัณฑิตที่สมบูรณ์ตามโครงการบัณฑิตอุดมคติของมหาวิทยาลัย
ได้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน แต่ถ้าตั้งใจเรียนก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน



มอดินแดงน้องใหม่ มข.ไม่มีเหงา เพราะรุ่นพี่จัดกิจกรรมต้อนรับน้องใหม่ด้วยความอบอุ่นสร้าง
ความสัมพันธ์เพื่อนใหม่ ต้อนรับนักศึกษาใหม่ 7,000 คน สู่บ้านหลังที่ 2 แห่งรั้ว
มหาวิทยาลัยขอนแก่น ด้วยความรัก ความปรารถนาดี และความอบอุ่น ผ่านกิจกรรม
กลุ่มสัมพันธ์ แบ่งกลุ่มนักศึกษาน้องใหม่ออกเป็น25 กลุ่ม

โดยมีนักศึกษารุ่นพี่เป็นพี่เลี้ยงประจำกลุ่ม ในการจัดกิจกรรมนันทนาการเพื่อละลายพฤติกรรม
และนำมาซึ่งความสมัครสมานสามัคคีกันของนักศึกษาจากทุกคณะวิชา เพื่อเรียนรู้การปรับตัว
และการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยโดยการบอกเล่าเรื่องราวของนักศึกษารุ่นพี่



เช่นเดียวกับงาน"รับน้องบ้าน" ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3,800 คน จำนวน 40 บ้าน
ที่เน้นสร้างสำนึกดีต่อส่วนรวมสามัคคีเพื่อนพี่น้อง

บ้านรับน้อง ขนาดเอสประมาณ 20-50 คน

ขนาดเอ็มประมาณ 50-80 คน ขนาดแอลประมาณ 80-110 คน และ

ขนาดเอ็กซ์แอลซึ่งอาจมีถึง 200 คน พี่หนึ่งคนดูแลน้อง 1.2 คน

โดยทุกบ้านจะมีน้องร่วมอยู่ทุกคณะ

 รวมทั้งหมด 18 คณะ 1 สำนักวิชา แต่ละบ้าน คือเป็นพื้นฐานของนักกิจกรรมในอนาคตนั่นเอง
นิสิตใหม่ทุกคนจะได้รู้จักเพื่อนใหม่ รุ่นพี่ เพราะ

แต่ละบ้านจะมีเพื่อนต่างคณะทั้งทันตแพทยศาสตร์ สหเวชศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์
สัตวแพทยศาสตร์ รวมถึงเพื่อนจากต่างจังหวัด
ต่างภาคทำให้รู้จักการทำงานร่วมกันเรียนรู้ความสามัคคี



ส่วนที่มหาวิทยาลัยมหิดลปีนี้มีนักศึกษาใหม่กว่า4,000 คน รับน้องถวายสัตย์ต่อหน้าพระบิดา
เน้นให้รุ่นพี่ดูแลน้อง เอาใจใส่ แนะนำแนวทางการใช้ชีวิตในรั้มหาวิทยาลัย
เสมือนว่าทุกคนเป็นญาติสนิท ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น น้องต้องมาก่อนเรื่องอื่นเสมอ

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #18 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2553, 17:34:39 »


ขอขอบคุณเวบสนุกดอทคอม วันจันทร์ 21 มิ.ย. 53 15.59 น.ที่ สนับสนุนเนื้อหา
http://news.sanook.com/944428-%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2-%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%9A-%E0%B8%9B.%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B51.html

คุรุสภา ออกกฎเหล็ก! ครูต้องจบ ปริญญาตรี ก่อนต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ



นายองค์กร อมรสิรินันท์ เลขาธิการคุรุสภา ระบุว่า

ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ขอต่อใบอนุญาตวิชาชีพครู โดยจากนี้ไป

ต้องเรียนจบปริญญาตรี ทางการศึกษา หรือ เทียบเท่า
เพื่อพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครู ที่ยังไม่ได้วุฒิปริญญาตรี ให้ไปเรียนต่อตามเป้าหมาย


ภายในปี 2555 ครูทุกคนต้องจบปริญญาตรี เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพครูให้มีมาตรฐาน และ
รักษาเกียรติของวิชาชีพครู

โดยก่อนหน้านี้ คุรุสภา อนุโลมให้ครูที่สอนแต่เดิม แม้ไม่จบปริญญาตรีทางการศึกษาก็ได้
ใบอนุญาตวิชาชีพครู หรือใบอนุญาตปฏิบัติการสอน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10,000 คน

ครูกลุ่มนี้สามารถเข้าโครงการทุนครู เรียนต่อระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู หรือ
ป.บัณฑิต ตามที่คุรุสภาได้รับงบประมาณแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง จำนวน 521 ล้านบาท
ให้ครูที่ยังไม่จบปริญญาตรีทางการศึกษาเรียนต่อในสถาบันอุดมศึกษา 69 แห่งทั่วประเทศ

ส่วนครูต่างประเทศ ที่เข้ามาสอนภาษา จะต้องเข้าทดสอบ 9 มาตรฐานวิชาชีพครู
เพื่อขอใบอนุญาตวิชาชีพครูชาวต่างประเทศ
จึงขอให้ผู้อำนวยการโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ส่งครูชาวต่างประเทศเข้าสมัครทดสอบความรู้
เพื่อให้ได้เป็นครูที่คุรุสภารับรอง

 win win win

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

พัฒนาครู ให้ได้มาตรฐาน ต้องสอบได้ใบประกอบวิชาชีพครู จึงจะสอนได้ เป็นส่วนหนึ่ง
ที่สถานศึกษา ที่จะผ่านเกณฑ์ เป็น โรงเรียนคุณภาพ ต้องมีเป็นตัวชี้วัด ตัวหนึ่ง


 win win win
 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #19 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553, 08:20:05 »


ขอขอบคุณเวบแนวหน้า วันอังคาร 21 มิถุนายน 53
คอลัมภ์ กวนน้ำให้ใส - สอนเด็กอย่างไร "โตไปไม่โกง" (สารส้ม)ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.naewna.com/news.asp?ID=216147

ทราบว่า กทม.กำลังจะให้มีการเรียนการสอน

หลักสูตรพิเศษ เรื่อง "โตไปไม่โกง"



บรรจุให้เด็กโรงเรียนในสังกัด กทม.ระดับชั้นอนุบาลและป.1-ป.3เรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่สนุกสนาน

 ขอสนับสนุนเต็มที่ และหวังอย่างยิ่งว่า จะดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจัง

1) สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในสังคมไทยวันนี้ ไม่ใช่คนโกง แต่เป็นสังคมที่เอื้อให้เกิดการโกง

2) ที่ว่า สังคมที่เอื้อให้เกิดการโกง หมายถึง ค่านิยม การแสดงออกของคนในสังคม

การบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิด ฯลฯ การนิยมยกย่องคนรวย โดยไม่สนใจว่ารวยมาได้อย่างไร

การนิยมนับถือคนมีอำนาจ โดยไม่สนใจว่ามีพฤติกรรมอย่างไร

การเกรงใจคนโกงที่มีเงินและมีอำนาจ โดยไม่แสดงออกถึงการต่อต้าน ปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ หรือ

แม้แต่ยินยอมรับส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ได้มาจากการโกง

การปล่อยปละละเลยให้คนโกงยังลอยนวล มีหน้ามีตาอยู่ในสังคม โดยไม่ถูกลงโทษ

ตามตัวบทกฎหมายอย่างเด็ดขาด จริงจัง ฯลฯ

ทั้งหลายทั้งปวง คือตัวอย่างของ "สังคมที่เอื้อให้เกิดการโกง"

3) เมื่อสังคมเป็นสังคมที่เอื้อให้เกิดการโกง คนโกงก็โกงต่อไป ส่วนคนที่ไม่โกงก็จะถูกชักนำ

ดึงดูด หรือกดดันให้เข้าสู่วงจรการคดโกงตามไปด้วย


4) ที่น่าห่วงมาก คือ ค่านิยมของเด็กรุ่นใหม่บางส่วน ที่สะท้อนท่าทียอมรับต่อการคดโกงมากขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ มีการสำรวจความรู้สึกนึกคิดของเด็กรุ่นใหม่

ผลปรากฏทัศนคติส่วนหนึ่งในทำนองว่า

โกงบ้างก็ได้ แต่อย่าให้ถูกจับได้

โกงบ้างก็ได้ แต่ขอให้แบ่งด้วย

หรือ มีโอกาสโกงแล้วไม่ฉวยโอกาส คือคนโง่ ฯลฯ

ยังดี ที่ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิดของคนส่วนใหญ่ (หรือไม่แน่?)

แต่ทัศนคติอันตรายเช่นนี้ เพียงแค่นี้ ก็น่าเป็นห่วงอนาคตของสังคม

5) ความริเริ่มที่จะให้มีการเรียนการสอนเรื่อง "โตไปไม่โกง" จึงเป็นเรื่องที่

สังคมทุกภาคส่วนพึงสนับสนุน


เพราะต้องไม่ลืมว่า การเรียนในชั้นเรียน เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของการเรียนรู้ในชีวิตจริงของเด็กเท่านั้น

ในความเป็นจริงแล้ว เด็กๆ เรียนรู้จากสังคมรอบตัว เพื่อนฝูง พ่อแม่ ครอบครัว คนใกล้ชิด

สื่อสารมวลชน ฯลฯ มากมายกว่าที่เรียนอยู่ในชั้นเรียนเสียอีก

การจะสอนเด็กให้โตไปไม่โกง จึงต้องอาศัยภาคส่วนอื่นๆ ด้วย จึงจะสำเร็จ

ต่อให้ครูในชั้นเรียนสอนเก่งแค่ไหน สนุกแค่ไหน และดีขนาดไหน

แต่ถ้าที่บ้าน หรือในสังคม ยังมีแบบอย่างความสำเร็จของการคดโกงให้เด็กๆ

ได้ซึมซับอยู่ตลอดเวลา ก็คงจะไม่มีวันที่เด็กๆ จะ "โตไปไม่โกง"

6) การสั่งสอน ไม่ได้ผลเท่ากับการสอนผ่านการกระทำ

ทั้งกระทำให้เด็กเห็นเป็นเยี่ยงอย่าง และมีกิจกรรมให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการกระทำของตนเอง

ควรทำให้เด็กได้สัมผัส ได้รู้สึกด้วยตนเองว่า การไม่โกงมันดีต่อชีวิตอย่างไร และ

การโกงมันส่งผลกระทบต่อตัวเขาเองและสังคมอย่างไร

7) มีตัวอย่างคุณพ่อคนหนึ่ง พาลูกชายอายุเพิ่งจะ 7 ขวบเมื่อวานนี้เอง ไปเที่ยวสวนสนุก

ปรากฏว่า วันนั้น ทางสวนสนุกจัดกิจกรรมพิเศษ โดยมีเงื่อนไขว่า เด็กอายุไม่ถึง 7 ขวบเข้าฟรี

คุณพ่อต้องคิดว่า ถ้าฮั๊วกับลูก แกล้งโมเมว่าลูกอายุยังไม่ถึง 7 ขวบ ตัวพ่อก็จะประหยัดเงินไปได้

แต่คุณพ่อรายนี้ ก็เลือกที่จะบอกความจริง ยอมซื้อตั๋วตามกฎกติกาอย่างซื่อสัตย์


เพราะคุณพ่อนึกขึ้นได้ว่า ต่อให้ใครไม่รู้ว่าเขาโกงอายุลูกชาย แต่ยังมีคนๆ หนึ่ง ที่รู้แน่ๆ คือ

ตัวลูกชายของเขาเอง

และหากเขาโกงวันนี้ ไม่ใช่แค่ตัวเขาเองที่โกง แต่จะเป็น

การเดินจูงมือลูกชายผ่านประตูเข้าไปสู่โลกของการคดโกงไปกับเขาด้วย

นี่คือตัวอย่างที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนควรตระหนักร่วมกัน

แต่มันช่างน่าสะท้อนใจ...

เมื่อหวนกลับไปมองครอบครัวของอดีตนายกฯ ขี้โกงคนหนึ่ง

พ่อแม่ซุกหุ้น โกงกันเองไม่พอ ยังลากเอาลูกเต้าเข้ามาเป็นเครื่องมือในการคดโกงของตัวเองด้วย

เป็นอีกตัวอย่างที่เห็นชัดๆ ว่า คนเป็นลูก เมื่อถูกสอนผ่านการกระทำของพ่อแม่แบบนี้แล้ว

โตขึ้นจะมีค่านิยมที่ยอมรับการโกงอย่างไรบ้าง


วันที่ 22/6/2010

win win win

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX



บ้าน วัด โรงเรียน หรือ บวร จะทำให้เด็กเป็นคนดี มีความสุข แล้วเก่งจะตามมาเอง

http://news.sanook.com/education/education_251499.php

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #20 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2553, 08:05:00 »


ขอขอบคุณคอลัมภ์ การศึกษา-สาธารณสุข เวบไทยโพสต์ วันจันทร์ 12 ก.ค. 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.thaipost.net/news/120710/24723

เตรียมจัดสอบให้นักเรียน ค้นหาตัวเองก่อนเลือกสาขาเรียนในมหาวิทยาลัย

สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เตรียมเก็บข้อมูลการมีงานทำของบัณฑิต ตามคำ
เรียกร้องของ  สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน)สมศ.

ที่หวังนำข้อมูลมาใช้เป็น

1.การประเมินสถาบันอุดมศึกษารอบ 3

2.ให้นักเรียนค้นหาตัวเองให้พบ ว่ามีความถนัดในวิชาชีพอะไร และอยากเรียนอะไร




     ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า
ที่ผ่านมาทางสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) (สมศ.)
ได้หารือ และ ขอให้ทาง สทศ.ช่วยจัดเก็บและติดตามข้อมูลการมีงานทำของบัณฑิต เพื่อ

จะนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดในการประเมินสถาบันอุดมศึกษาในรอบที่ 3 เนื่องจาก
ที่ผ่านมายังไม่มีหน่วยงานกลางที่จะทำข้อมูลนี้โดยตรง

ซึ่ง สทศ.ยินดีที่จะทำให้ และการเก็บข้อมูลนี้จะทำเป็นระบบออนไลน์ ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
เข้ามาให้ข้อมูล ทั้งนี้คาดว่าจะต้องใช้เวลาในการวางระบบดังกล่าว 7-8 เดือน

"ก่อนที่จะมีการเปิดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาให้ข้อมูล สทศ.จะต้องมีการทำประชาพิจารณ์
ก่อนว่าจะมีการสอบถามเรื่องใดบ้าง เพื่อให้ครอบคลุมข้อมูลที่ต้องการ คำถามเบื้องต้น
ที่ สทศ.จะถามและผู้ที่จะต้องเข้ามาให้ข้อมูลมี 4 ฝ่าย คือ

1.นักศึกษา จะถามว่าพอใจในการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยหรือไม่  
จบออกมาแล้ว จะมีงานทำหรือไม่ จะไปทำงานอะไร ที่ไหน

2.อาจารย์ พอใจการดำเนินการของมหาวิทยาลัยหรือไม่ พึงพอใจกับบัณฑิตจบออกแล้วอย่างไร

3.ผู้ปกครอง พอใจกับการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยหรือไม่ และ
พึงพอใจกับคุณภาพของบุตรหลานที่จบออกมาหรือไม่อย่างไร และ

4.ผู้ประกอบการที่ว่าจ้างบัณฑิต พึงพอใจกับการทำงานหรือไม่ อย่างไร"

ผอ.สทศ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ทางคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ได้เสนอให้

สทศ. ทำข้อสอบให้นักเรียนได้เข้ามาค้นหาตัวเองว่ามีความถนัดหรือศักยภาพทางด้านใด
เพื่อนักเรียนจะได้นำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกเรียนต่อสาขาใด


ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ สทศ.ตั้งใจและอยากจะทำมานานแล้ว และจากนี้ สทศ.จะต้องมีการวาง
ระบบออนไลน์ให้นักเรียนเข้ามาสอบเพื่อค้นหาตัวเอง

คาดว่าระบบจะเสร็จและสามารถให้นักเรียนได้เข้ามาสอบเพื่อค้นให้พบตัวเองว่า
ชอบเรียนอะไร หรืออยากทำอาชีพอะไร เพื่อนำไปใช้ได้
ก่อนที่จะสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยได้ทันปีการศึกษา 2554.


 win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #21 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2553, 18:59:29 »

ขอขอบคุณเวบคมชัดลึก วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.komchadluek.net/detail/20100712/66320/%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E2%80%9C%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E2%80%9D%E0%B8%A3.%E0%B8%A3.%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89.html

“รีสอร์ทแห่งการเรียนรู้”ร.ร.วัดสวนส้ม"ครูที่พูดไม่ได้" แต่มากมายด้วยความรู้

แม้ว่าโรงเรียนวัดสวนส้ม จ.สมุทรปราการ จะถูกรายล้อมด้วยโรงงานอุตสาหกรรม ทว่าภายในกลับมี
“รีสอร์ทแห่งการเรียนรู้” ครูที่พูดไม่ได้ ตามนิยามของอดีตปลัดกระทรวงศึกษา "โกวิท วรพิพัฒน์"
ไม่ว่าจะเป็นการเพาะเห็ด สวนวัฒนธรรม สวนวรรณคดี สวนหิน สวนสมุนไพร ผักกางมุ้ง
ศาลารักการอ่าน สวนสุขภาพ



ทุกๆ กิจกรรมริเริ่มจาก อัมพร สุวรรณจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสวนส้ม นั่นเอง
ผอ.อัมพร เล่าว่า7ปีก่อนที่มาประจำอยู่โรงเรียนนี้เห็นสภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในที่ไม่ดี

เช่น ภายนอกมีโรงงานอุตสาหกรรมขณะที่ภายในมีกองขยะมากมายทั้งที่ในโรงเรียนมีพื้นที่กว่า11ไร่
ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนจึงสร้าง

“รีสอร์ทแห่งการเรียนรู้” จัดสภาพแวดล้อมให้มีแหล่งเรียนรู้
ใช้ทุกๆ พื้นที่ของโรงเรียนให้มีประโยชน์มากที่สุด


ทันทีที่เดินมาถึงบริเวณหน้าประตูโรงเรียน ทุกคนจะได้พบบรรยากาศอันรื่นรมย์ แตกต่างจาก
สภาพแวดล้อมภายนอกอย่างลิบลับ ไม่ว่าจะเป็น

ม่านไม้ไผ่ ม่านน้ำที่ไหลจากกระบอกไม้ไผ่ ทำให้ได้รับความรู้สึกสดชื่นเย็นฉ่ำ เดินต่อไปจะพบ
สวนประเภทต่างๆ กระจายอยู่ทุกจุดพื้นที่ของอาคารเรียน เช่น

สวนพื้นน้ำ สวนสมุนไพร สวนผักไร้ดิน บ่อกบ สวนวิทยาศาสตร์ สวนผักตารางฟุต สวนคณิตศาสตร์
น้ำตกรูปทรงเรขาคณิต และตบท้ายด้วยแปลงสาธิตเกษตรแบบพอเพียง

ครูทุกคนมีหน้าที่ไม่ใช่เพียงให้ความรู้เท่านั้นแต่ต้องช่วยพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมด้วย

โดยช่วงแรกต้องทำความเข้าใจกับครูทุกคนในโรงเรียน และให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วม
ซึ่งในการสร้างสวนแต่ละสวน บูรณาการทุกๆ วิชาเข้าด้วยกัน เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง
เพราะพื้นที่ศึกษาหาความรู้มีความจำเป็นสำหรับนักเรียนทุกคนและโรงเรียนไม่มีห้องเรียนเพียงพอ
ดังนั้นรีสอร์ทแห่งการเรียนรู้ย่อมมีความจำเป็นต่อเด็กๆ อย่างมาก” ผอ.อัมพร กล่าว
 
ผอ.อัมพร บอกว่า แม้ว่าครูมีภาระ งานค่อนข้างมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมหน้าที่ของตนเองในการให้ความรู้
สั่งสอน และบูรณาการหลักสูตรเข้ากับชีวิตประจำวันของเด็ก เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้เต็มรูปแบบ เพราะ

การเรียนรู้ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่หากครูคนไหนรู้สึกเหนื่อย ท้อ ขอให้นึกถึง
พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงงานหนักเพื่อปวงชนชาวไทย
ครูถือเป็นข้าราชการที่ทำงานใต้พระบาทของพระองค์ ควรจะตระหนักและพึงระลึกถึง
หน้าที่ของตนเองในการเป็นครูที่ดี

 
ทั้งนี้ในแต่ละสวน เช่น สวนวิทยาศาสตร์ที่มีพืชพันธุ์ไม้สมุนไพร ให้นักเรียนได้ศึกษาควบคู่ไปกับ
การทำรายงาน ผลงานและชีวประวัติของนักวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ ที่สามารถเชื่อมโยงได้
ทำให้นักเรียนเข้าใจหลักสูตร และชอบเรียนวิทยาศาสตร์มากขึ้น

ครูอุทัยวรรณ ภัททกวงศ์ ครูภาษาไทย เล่าเสริมว่า รีสอร์ทแห่งการเรียนรู้ไม่ได้เป็นเพียงห้องเรียน
ธรรมชาติสำหรับเด็กๆ แต่ยังเป็นปอดของเด็กอีกด้วย เพราะรอบๆ โรงเรียนมีแต่โรงงานอุตสาหกรรม
พืชพันธุ์ไม้ ต้นไม้ต่างๆ จึงเป็นเสมือนเครื่องฟอกอากาศสำหรับเด็กๆ และครูอาจารย์

รวมถึงยังเป็นการลดมลพิษทางอากาศแก่ชุมชนอีกด้วย นอกจากนี้ความรู้ทั้ง 8 กลุ่มสาระวิชา
ถูกจำลองเป็นสถานที่ทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกสมุนไพร ภูเขาคณิตศาสตร์ ผักบุ้งลอยฟ้า
นอกจากให้ความรู้แล้ว ยังทำให้เด็กๆ ได้นำความรู้เหล่านั้น ไปใช้ประโยชน์แก่ครอบครัวของตน

อย่าง "น้องอ้อน" ด.ญ.สุจิตราภรณ์ จันทารักษ์ นักเรียนชั้น ป. 6 เล่าว่า ได้ร่วมทุกสวนในรีสอร์ท
แห่งการเรียนรู้ ซึ่งสวนที่ชอบมากที่สุดคือ

สวนคณิตศาสตร์ สวนวิทยาศาสตร์ และเกษตรแบบพอเพียงโดยเฉพาะการปลูกผักบุ้งลอยฟ้าเพราะ
ครอบครัวอยู่ในชุมชนแออัดทำให้ไม่มีพื้นที่ปลูกผัก

จึงนำความคิดปลูกผักบุ้งลอยฟ้าปลูกพืชผักสวนครัวไว้รับประทานที่บ้าน รีสอร์ทแห่งการเรียนรู้
จึงเป็นการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบ เรียน เล่น ทำกิจกรรม และได้ค้นคว้าทดลอง สร้างนวัตกรรมการ
เรียนรู้ด้วยตนเอง

จึงอยากขอบคุณ ผอ. ครูทุกคนที่ช่วยกันสร้างสรรค์แหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โรงเรียนในฝัน
ที่สร้างความสุข และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

รีสอร์ทแห่งการเรียนรู้ ร.ร.วัดสวนส้ม เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ ผอ.โรงเรียน คุณครู นักเรียน ร่วมกัน
สร้าง พัฒนาโรงเรียนชนบท มีห้องเรียนจำกัด สภาพแวดล้อมย่ำแย่ เป็นรีสอร์ทที่เต็มไปด้วย
สวนธรรมชาติ แหล่งเรียนรู้มากมายและสร้างครูที่พูดไม่ได้ให้แก่เด็กและคนในชุมชน โดยสอด
แทรกคุณธรรมจริยธรรม ปลูกฝังวิถีชีวิตพอเพียง

สนใจศึกษาวิถีชีวิต รีสอร์ทของ ร.ร.วัดสวนส้ม ต.สำโรงใต้ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
โทร.0-2387-0386 หรือ http://www.school.obec.go.th/suansom/


 win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #22 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2553, 15:40:36 »


             ขอขอบคุณวบไทยรัฐวันพุธ 28 กรกฏาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
                  http://www.thairath.co.th/content/edu/99424

                      ชี้ 7 วิกฤติอุดมศึกษา-ตามกระแสบริโภคนิยม

                                 

   ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

              ทำให้ละเลยหน้าที่หลักของมหาวิทยาลัยไป การปฏิรูปอุดมศึกษาในอนาคตต้องกลับไปฟื้นวิญญาณของความเป็นมหาวิทยาลัยคือ การแสวงหา การค้นคว้าความรู้ใหม่...

              ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในฐานะคณะอนุกรรมการการอุดมศึกษาของวุฒิสภา กล่าวว่า การปฏิรูปอุดมศึกษาต้องพยายามก้าวให้พ้นวิกฤติ 7 ประการสำคัญ คือ

1. ขาดทิศทาง นโยบาย และเป้าหมายที่ชัดเจน

2. ตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างอยู่ และเอาตัวรอดกันเอง แม้สถาบันอุดมศึกษาในปัจจุบันจะมีความเป็นอิสระมีเสรีภาพมากขึ้น แต่ผลที่ตามมาคือ ต่างคนต่างอยู่ แข่งขันกันเอง

3. มีความซ้ำซ้อน สูญเปล่าสูง ขาดความร่วมมือกัน ทำให้มีการเปิดหลักสูตรที่ซ้ำซ้อนกันมากขึ้น ก่อให้เกิดการสูญเปล่าสูง

4. การดูแลในเชิงคุณภาพไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทำให้ บัณฑิตไม่มีคุณภาพอย่างที่ควรจะเป็น

5. ไม่เชื่อมโยงกับสังคมเท่าที่ควร การรับรู้และผูกพันกับสังคมมีน้อย การเรียนรู้ไม่ทันกับสังคม ในขณะที่สังคมมีปัญหาแต่มหาวิทยาลัยไม่มีคำตอบให้

6. มุ่งประโยชน์ เชิงธุรกิจมากกว่าวิชาการ ทำให้ความเข้มแข็งทางวิชาการลดน้อยลงไป

7. ระบบธรรมาภิบาลยังไม่ เข้มแข็งเท่าที่ควร การบริหารจัดการสถาบันอุดมศึกษามีลักษณะยึดประสบการณ์สูง หลักการบริหารอุดมศึกษาหรือธรรมาภิบาลไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร

              ศ.ดร.ไพฑูรย์กล่าวว่า ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยไทยมีลักษณะเป็นบริโภคนิยม ตามกระแสโลกาภิวัตน์ไปเรื่อยๆทำให้ละเลยหน้าที่หลักของมหาวิทยาลัยไป

             การปฏิรูปอุดมศึกษาในอนาคตต้องกลับไปฟื้นวิญญาณของความเป็นมหาวิทยาลัยคือ การแสวงหา การค้นคว้าความรู้ใหม่ เพื่อประโยชน์สุข ของบุคคลและแก้ปัญหาของสังคมไปพร้อมกัน จึงเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยควรให้ความสำคัญอย่างจริงจัง.


                        win win win

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #23 เมื่อ: 28 สิงหาคม 2553, 12:03:51 »


         ขอขอบคุณเวบประชาชาติธุรกิจวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เอื้อเฟื้อข่่าว
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02edu02260853&sectionid=0222&day=2010-08-26

                          หลากมุมมองต่อ "Thinking School"

                                  



โทนี่ ซิซันซ์ ครูใหญ่ คิงส์ สกูล

         กระบวนการสอนแบบ Thinking นั้นจะอยู่ที่การตั้งคำถามของครูผู้สอนในลักษณะคำถามปลายเปิด โดยคุณภาพของคำถามจะขึ้นอยู่กับทักษะและความสามารถของครู ที่จะช่วยกระตุ้นให้เด็กได้คิดและตอบคำถามด้วยมุมมองที่หลากหลายและสามารถแตกยอดไปสู่เรื่องอื่น ๆ ได้

        "โลกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก การศึกษาไม่มีทางตามทัน ดังนั้นต้องสอนให้เด็กรู้จักคิด ครูจะต้องตั้งคำถามที่ดี เช่น แทนที่จะถามว่าเมืองหลวงของไทยชื่ออะไร ก็ให้เปลี่ยนเป็นคำถามที่ว่า ทำไมเมืองไทยถึงน่าอยู่ แบบนี้คำตอบที่ได้จะทำให้เด็กได้ฝึกคิดวิเคราะห์มากขึ้น"



แฮรี่ เน็กเก็ต นักเรียนเยียร์ 8 คิงส์ สกูล

         "การสอนแบบ Thinking School ทำให้เข้าใจเนื้อหาในการเรียนและได้ความรู้เพิ่มขึ้น ทุกคนจะมีไอเดียของตนเอง นำมาแชร์กัน ช่วยกันถกเถียงและคิดย้อนกลับไปถึงคำถามในตอนต้น ซึ่งจะทำให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ ที่ดีขึ้น กว่าเดิม และนั่นเป็นบรรยากาศการเรียนการสอนที่น่าสนุก"



สมาน ถาวรรัตนวณิช ครู ร.ร.อำนวยศิลป์

         "การที่เด็กสื่อสารกับเราน้อยไม่ได้เป็นความผิด แต่ครูต้องสร้างแรงจูงใจให้เด็กโต้ตอบอย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากได้นำThinking School ไปใช้ พบว่าเด็กกล้าที่จะโต้ตอบและคำตอบ ของเขาได้ผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์อย่างมีเหตุผลมาก่อน นั่นเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะนำไปสู่การฝึกให้เด็กรู้จักประยุกต์เนื้อหาวิชาเรียนไปใช้ในชีวิตประจำวัน"

          win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #24 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2553, 15:57:00 »


         สทศ.เปลี่ยนใจโชว์ข้อสอบ-เฉลยขึ้นเว็บ ศาลปกครองไม่รับฟ้องเด็กผิดกติกาสอบ
                      ขอขอบคุณเวบเดลินิวส์ วันศุกร์ 5 พ.ย. 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
         http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=42&contentID=102210

                    

         เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน รักษาการ ผอ.สทศ. แถลงข่าวสรุปผลการจัดทดสอบวัดความถนัดทั่วไป หรือ GAT และ ทดสอบวัดความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ หรือ PAT ครั้งที่ 3/2553 สอบเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ว่า

         สทศ.เปลี่ยนใจจะนำข้อสอบ GAT และ PAT พร้อมเฉลย ทั้ง 14 วิชาขึ้นเว็บไซต์  www.niets.or.th เนื่องจากนักเรียนเรียกร้องเข้ามามาก ซึ่งโรงเรียน นักเรียน และ ผู้ปกครอง สามารถดาวน์โหลดข้อสอบและเฉลยได้ตั้งแต่บัดนี้
    
                           win win win

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

         สมัยเป็นนักเรียน ผมได้ใช้หนังสือเฉลยข้อสอบเข้า ร.ร.เตรียมฯ เข้ามหาวิทยาลัย ฯลฯ ในการเรียนหนังสือ เมื่อลองทำแล้ว ถ้าทำไม่ได้ก็ค้นหาในหนังสือมาอ่านจนเข้าใจทำได้ ไม่เคยเข้า ร.ร.กวดวิชา เลย ก็สามารถสอบเข้าเรียนได้ตามที่ปรารถนา

         การที่ สทศ.จะเผยแพร่ข้อสอบพร้อมเฉลย ทางเวบไซด์ จึงเป็นสิ่งที่ผมขอสนับสนุน ช่วยเด็กนักเรียนได้มาก

                                
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><