19 เมษายน 2567, 22:23:25
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: จะขอเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมเพื่อก่อให้เกิดด้านที่3ให้เกิดการเขยื้อนภูเขา  (อ่าน 7727 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2553, 05:58:18 »


ขอขอบคุณ คอลัมภ์การเมือง : ทัศนะวิจารณ์ น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ
วันอังคาร ที่ 18 พฤษภาคม 2553 01:00
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/reader-opinion/20100518/115915/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2.html

ทัศนะจากผู้อ่าน ผู้อ่านสามารถส่งเรื่องมาได้ที่ ktwebeditor@nationgroup.com



ธรรมาธิปไตย

โดย : ธนรัตน์ ยงวานิชจิต dhanarat333@gmail.com
 
การเดินทางสู่สันติสุขย่อมยาวนานตลอดชีวิต หากจะให้ราบรื่นย่อมต้องมีแผนที่
แต่ที่สำคัญ ยิ่งกว่าแผนที่
ได้แก่

การสอบวัดตัวเองก่อน ว่า เราเป็นใคร มีรากฐานมาจากที่ใด วัฒนธรรมแบบใด
เอกลักษณ์ (ความเป็นไทย) อย่างใด กำลังอยู่ ณ ที่ใด ฯลฯ

"ผลการสอบวัดตัวเอง" คือ "เข็มทิศที่ห้า" ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เพราะจะบ่งบอกว่า

"เราคือใครและจะเริ่มเดินทางจากจุดใด" ตามแผนที่ที่มีสี่ทิศพร้อมอยู่แล้ว
หากไม่มีจุดเริ่มต้น การเดินทางย่อมเป็นไปไม่ได้

เมื่อมี "เข็มทิศที่ห้า" แล้ว เราก็ต้องเลือกระบอบหรือยานพาหนะสำหรับนำพาเราเดินทาง
สู่จุดหมายปลายทาง คือ สันติสุข อันพึงปรารถนาของเรา

โดยทำการคัดเลือกและ/หรือสร้างสรรค์ ระบอบที่เหมาะสมคู่ควรกับเรา

โดยคำนึงถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ตลอดจนเอกลักษณ์ (ความเป็นไทย) ของตัวเรา และ
ต้องระวังไม่เลือกผิดระบอบ
มิฉะนั้น จะส่งผลให้เราตกอยู่ในสภาพ

"หัวมังกุฏท้ายมังกร" ไม่สามารถนำพาเราสู่สันติสุข อย่างเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  

ระบอบหรือยานพาหนะมีให้เลือกหลายรูปแบบ เช่น

"ประชาธิปไตย" ซึ่งอาศัยเสียงข้างมากเป็นหลักในการดำรงชีพ

"อัตตาธิปไตย" ซึ่งอาศัยการบังคับบัญชาของบุคคลคนหนึ่งเป็นหลักฯ

"อิสราธิปไตย" ซึ่งอาศัยการเป็นอิสระจากการถูกบังคับบัญชาโดยบุคคลคนหนึ่ง
แต่ได้รับแต่การสนับสนุนทางทรัพยากรและความกระจ่างชัดแทน เป็นหลักฯ หรือ

"ธรรมาธิปไตย" ซึ่งอาศัยพระธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นหลักฯ เป็นต้น
 
 gek gek gek

สามระบอบแรกดังกล่าว มีกติกาหรือกลไกที่ออกแบบโดย "ปุถุชน" ทั่วไป
ไม่จำต้องนับถือศาสนาเดียวกัน โดยมีพื้นฐานอยู่ที่ "องค์ความรู้" (knowledge)
ที่เปลี่ยนแปลงตามกาลสมัยอยู่เสมอ ส่งผลให้ขาดความเหมาะสมหรือผิดกาลเทศะได้

ส่วน "ธรรมาธิปไตย" มีกติกาที่ออกแบบโดย "พุทธมามกะ" โดยมีพื้นฐานอยู่ที่ "พระธรรม"



ของ "อริยชน" คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็น
"สัจธรรม" (absolute truth) ที่ไม่เปลี่ยนแปลงแต่ทันสมัยอยู่เสมอ

"ธรรมาธิปไตย" จึงเป็นระบอบที่มี"พระธรรม"มิใช่"พระสงฆ์"หรือ"ปุถุชน"เป็นหลักในการตัดสิน
กล่าวคือ เป็น

ยานพาหนะที่มี "แสงสว่าง" นำทางให้เราเดินทางได้ทั้งกลางคืนกลางวัน
รอดผ่านถ้ำมืดได้อย่างปลอดภัยสู่จุดหมายปลายทาง


"ธรรมาธิปไตย" จะปกครองและป้องกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ของชาติบ้านเมืองได้อย่างไร

ในด้านการปกครอง "ธรรมาธิปไตย" ย่อมคำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นเกณฑ์
โดยเป็นนิติรัฐมีนิติธรรมเยี่ยงอารยประเทศทั้งหลาย

โดยให้แต่งตั้งคนดีมีศีลธรรมและความสามารถสูงเป็นผู้บริหารในระยะแรกเริ่ม และ
อาศัยหลักธรรมที่เน้นการสอนคนให้ตื่นจากกิเลสตัณหากับการยึดติดทั้งปวง

กลายเป็นคนมีเสรีภาพจริงๆไม่กลับเข้าเรือนจำรอบแล้วรอบเล่าอย่างเช่นในสังคมโลกตะวันตก  

ในด้านเศรษฐกิจ ให้อาศัยหลักธรรมต่างๆ เป็นพลังขับเคลื่อน เช่น

"มรรคมีองค์แปด" "อิทธิบาทสี่" เพื่อการดำรงชีพและพัฒนาอาชีพ เป็นต้น

ส่วนการกระจายรายได้ ให้เน้นการพึ่งตนเอง โดยการฝึกวิชาชีพ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
เพื่อการประกอบอาชีพ ฯลฯ
 


ดร.อีเอฟ ชูมาเชอร์ (E.F. Schumacher)นักเศรษฐศาสตร์โด่งดังระดับโลกได้เขียนหนังสืออมตะ



"Small is Beautiful : Economics as if People Mattered
(จิ๋วแต่แจ๋ว เศรษฐศาสตร์ในแง่ที่คนเป็นปัจจัยสำคัญ)" ปี 2516 โดยสาธยายถึง

Buddhist Economics (เศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ) ไว้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้
พุทธพจน์ยังสอนให้เราอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเยี่ยงภมรผึ้งที่ดูดน้ำหวานจากดอกไม้ไปทำรังผึ้ง
โดยไม่ทำลายดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธอันยั่งยืนทันสมัยยิ่ง
 
ในด้านจิตใจ ให้อาศัยหลักธรรมต่างๆ เช่น

"สติปัฏฐานสี่"เพื่อเจริญสัมมาสติ/"ปฏิจจสมุปบาท"เพื่อหยั่งรู้กระบวนการทางใจที่เป็นกิเลสเป็นต้น

ล้วนเป็นมรรควิธียกพลังจิตให้คิดดีทำดีอย่างมีประสิทธิผล
เป็นการช่วยสร้างครอบครัวและชาติบ้านเมืองให้อยู่ดีมีสุข


ปัจจุบัน พระธรรมได้รับการศึกษาและยอมรับนับถือจากบรรดานักจิตวิทยาโด่งดังของ
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และอื่นๆ อีกหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลายๆ ท่านเหล่านี้
ได้เขียนหนังสือเผยแพร่และประยุกต์พระธรรม
ในการรักษาคนป่วยเป็นโรคจิตได้อย่างมีผลดีมาแล้ว

โดยที่พระธรรมมีความสอดคล้องมากกว่าขัดแย้งกับศาสนาอื่น
อีกทั้งได้อยู่คู่กับสถาบันชาติกับกษัตริย์ไทยมาร่วม 700 ปี

"ธรรมาธิปไตย" จึงมีความเหมาะสมยิ่งสำหรับปกครองประเทศ
ที่มีประชากรนับถือต่างศาสนาอยู่เป็นจำนวนมากอย่างไทย


ทันทีที่ "ธรรมาธิปไตย" เดินเครื่อง ยานพาหนะนี้จะแล่นฉิวด้วยจิตวิญญาณของอริยชนที่
สามารถเจริญพัฒนาด้วยตนเองและด้วยค่าบำรุงรักษาที่ต่ำมากเพราะมีความพอเพียงอยู่ในตัว

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
 
ข้อเสนอข้างต้น คือ ภาพยกร่างของ "ธรรมาธิปไตย" ส่วนรายละเอียดจะเป็นภารกิจของส่วนรวม
ในการช่วยกันระดมความคิดสร้างสรรค์เสริมสร้างให้เป็นระบอบที่ยั่งยืน

โดยอาจมีการปรับแต่งในทางปฏิบัติจนกว่าจะลงตัวเป็นส่วนใหญ่ หากสัมฤทธิผล
ก็จะเป็นระบอบที่คู่ขนานกับระบอบของบางประเทศในภาคตะวันออกกลางที่
มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ และมีกติกาการปกครองอยู่มาก
ที่มาจากบทบัญญัติในศาสนาโดยตรง
 
"ธรรมาธิปไตย" คือ สมุนไพรที่มีศักยภาพแก้พิษสง "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ได้ฉมัง และ
เป็นทางออกโค้งสุดท้ายของราชอาณาจักรไทย


OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

 เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย

ผมขอเสนอว่า ถ้าประชาชนร่วมเสนอปรับ ระบอบประชาธิปไตย ที่ใช้

สส.อภิปรายออกกฏหมาย ซึ่งจะมีกรณีพวกมากลากไป เป็นประโยชน์ต่อพรรค ต่อตนเอง

เป็นใช้คำสอน หรือ พระธรรม เป็นตัวตัดสิน เป็น ระบอบธรรมาธิปไตย ที่ประยุกต์ ใช้ ตามที่่
ดร.อีเอฟ ชูมาเชอร์ (E.F. Schumacher)
นักเศรษฐศาสตร์โด่งดังระดับโลก ที่เสนอให้

จิ๋วแต่แจ๋ว : Small is Beautiful  เกิดขึ้นเป็นยานพาหนะพาผู้อยู่ภายใต้การปกครอง เดินทาง
สู่จุดหมายโดยสวัสดิภาพ มีความสุขได้ ดีไหม พวกเราเมื่อ




พณฯท่าน นายกอภิสิทธิ เวชชาชีวะ จะเสนอให้มีการปฏิรูปการปกครองเร็วๆนี้

 gek gek gek

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 24 พฤษภาคม 2553, 09:28:40
   
เรียน ท่านรองนายกรัฐมนโทถาวรโปรดพิจารณาธรรมาธิปไตยออกรายการสภาโจ๊ก

ท่านรองนายกฯ ก็หนีเสื้อแดงแบบหัวซุกหัวซุน จะมีเวลาเข้าเว็ปมาดูและไปออกรายการหรือเปล่า?? ก็ไม่ทราบได้










ได้รับมาจากฟอเวอร์ดเมลล์ขอขอบคุณ และ ขอร่วมสร้างประเทศไทยดัวยการสร้างสภาประชาชน

ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่
“ สภาประชาชน” เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย
ขอขอบคุณ บทความพิเศษ น.ส.พ.ไทยโพสต์ วันเสาร์ ที่ 22 พฤษภาคม 2553 ที่สนับสนุนเนื้อหา
http://www.thaipost.net/news/220510/22385

นับเป็นสัปดาห์แห่งการต้องลุ้นวันต่อวันว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยที่เรารักและปรารถนา
อยากเห็นการพัฒนาและปฏิรูปสู่ความเป็นหนึ่งของการเป็นชาติที่ได้รับการขึ้นทำเนียบว่า

“ประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก”

ไม่อยากเห็นก็ต้องพบ  ไม่อยากฟังก็ต้องได้ยิน ไม่อยากดูก็ปฏิเสธไม่ได้กับ
ภาพคนไทยต้องเสียเลือดเสียเนื้อ....เพราะ....พวกเรากันเอง  

มิได้มีศัตรูจากภายนอกต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ต่างดินแดนเข้ามาทำร้ายเราเลยแม้แต่น้อย  
แต่ประเทศไทยกลับกลายเป็นดินแดนที่ปราศจากความปลอดภัย
ไม่น่าเดินทางเข้าไปเยี่ยมเยียนติดอันดับท็อปเท็นของโลก

หวังเหลือเกินว่า จนถึงวันนี้ทุกอย่างจะคลี่คลาย  สังคมไทยสามารถคืนสู่ความสงบ
กระบวนการปรองดองเดินหน้า เฉกเช่นเดียวกับแผนการปฏิรูปประเทศไทย
ซึ่งบัดนี้ดูเหมือนว่า คึกคัก มีหน่วยงาน เครือข่าย องค์กรต่างๆ พร้อมใจกันประกาศเจตนารมณ์ว่า

ถึงเวลาที่จะต้องปฏิรูปประเทศไทย            
เพราะปัญหาวิกฤตของประเทศไทย  ความขัดแย้งทางการเมือง เป็นบ่อเกิด
ให้ทุกฝ่ายหันมาสนใจเรื่องการปฏิรูปประเทศไทยอย่างจริงจัง  หรือ
เพราะเงื่อนเวลาถูกบ่มเพาะจนได้ที่ตามหลักการกระมัง ทำให้วันนี้มีการนำประเด็น

“การปฏิรูปประเทศไทย” ขึ้นมาในวงสนทนา  เวทีสัมมนามากมาย  

โดยไม่จำเป็นต้องรอรัฐหรือนักการเมืองเป็นผู้ริเริ่มอีกต่อไป



ผมจำได้ว่า  นักวิชาการอย่างอาจารย์สมเกียรติ  ตั้งกิจวานิชย์ แห่งทีดีอาร์ไอ
ได้เคยนำเสนอยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยน่าอยู่ผ่าน
เวทีเครือข่ายสถาบันทางปัญญาเมื่อปีที่แล้วในประเด็นหัวข้อ

“จุดคานงัด: ประเทศไทยเพื่อฝ่าวิกฤตการณ์สังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่ซับซ้อน”

ซึ่งอาจารย์ได้เสนอสูตรของการทำให้ประเทศไทยพัฒนาไปในเส้นทางที่ปรารถนาว่า

จำเป็นต้องมีห้วงเวลาที่เหมาะสมวันนี้  ปีนี้  เหมาะสมด้วยเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวด  
คงไม่มีใครคัดค้านหรือต่อต้าน

ส่วนใครจะเป็นเจ้าภาพหรือ สถาบันใดจะเป็นผู้ขับเคลื่อนนั้น  คงไม่สำคัญเท่ากับว่า  
คนที่อยากเห็นการปฏิรูปประเทศไทยเป็นจริงนั้น  มีเจตนาแน่วแน่


ตั้งใจแก้ไขในสิ่งผิดเปลี่ยนแปลงความบกพร่องผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วยความจริงใจจริงจังแค่ไหน

เลิกเสียทีเถอะครับ กับเอะอะตั้งคณะกรรมการ  ของบประมาณ  แล้วก็ทำงานกันอยู่ไม่กี่คน
เสร็จแล้วออกมาเป็นเอกสาร เป็นเล่มหนาและหนักหลายกิโล  
สุดท้ายก็พอใจปฏิรูปกันแต่ในกระดาษเท่านั้น


ผมเห็นว่า  ข้อกังวล จนเป็นข้อเสนอ หรือความสนใจของทุกฝ่ายที่เห็นพ้องกันว่า

ควรมีการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทยนั้น เป็นเรื่องถูกต้อง  และเหมาะสมกับกาลเวลา เพราะ

สังคมไทยรับรู้ความเจ็บปวดร่วมกันอย่างแสนสาหัสตลอดระยะสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
แม้นจะไม่ใช่ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมายการดำเนินการของฝ่ายทหารก็ตาม


 บรึ๋ยยย บรึ๋ยยย บรึ๋ยยย

แต่ผมอดไม่สบายใจว่า รูปแบบของการทำงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยนั้น
จะเป็นแบบฉาบฉวย  เฉพาะหน้า  เสมือนการแก้ปัญหาทางการเมืองหรือไม่

ดังนั้น  ข้อเสนอในการขับเคลื่อน

“สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย”  

จึงเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง  เพราะหัวใจของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยผมเห็นด้วยกับ



สูตรสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา  ของ อาจารย์ประเวศ วะสี   ราษฎรอาวุโส ครับ นั่นคือ

จะต้องทำจากฐานรากหรือเริ่มจากฐานเจดีย์หรือสามเหลี่ยม  
ไม่ใช่จากยอดลงล่าง จากส่วนกลางสั่งการไปยังส่วนภูมิภาค
เฉกเช่นที่ผ่านมาอีกต่อไป


สภาประชาชนเป็นรูปแบบที่ให้ภาคประชาชนเป็นผู้ขับเคลื่อนการปฏิรูป

แตกต่างจากอดีต ที่การพัฒนาประเทศไทยต้องรอรัฐบาลเท่านั้น   หรือ
คาดหวังจากสภาผู้แทนราษฎร ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาชนทุกครั้งไป


ในความหมายของสภาประชาชน  อาจจะมีหลายคนที่เห็นไม่เหมือน หรือสอดคล้องว่า

ควรจะเป็นการทำงานร่วมกับภาคประชาชนไม่ว่าจะเป็นผู้นำท้องถิ่นอาสาสมัครจากภาคประชาสังคม
องค์กรพัฒนาเอกชน  ภาคธุรกิจ  นักวิชาการ เครือข่ายองค์กรชุมชน  เครือข่ายแรงงาน
สื่อมวลชน   ผู้ทรงคุณวุฒิจาก องค์กรอิสระ และสมาชิกวุฒิสภา ฯลฯ  

แต่อย่างไรก็ตาม ในความเหมือนที่แตกต่าง  ผมเชื่อว่า ทุกคนมีเป้าหมายร่วมกันแล้วว่า  
กระบวนการปฏิรูปประเทศไทยต้องลงมือปฏิบัติ

สำหรับประเด็นของการปฏิรูป จะแจกจ่าย หรือเลือกดำเนินการเป็นลำดับก่อนหลัง
ขึ้นอยู่กับความสำคัญเร่งด่วนหรือไม่อย่างไรนั้น  คงต้องช่วยกันถามตัวเองว่า  

ความวุ่นวายในบ้านเมืองจนเกิดความแตกแยกกันอย่างหนักนี้  ใช่ประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำ  
ช่องว่างของคนจนคนรวย การมีสองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม
ตลอดจนปัญหาทุจริตคอรัปชั่นใช่หรือไม่อย่างไร


ถ้าหากสามารถตอบคำถามดังกล่าวได้  บริบทของการปฏิรูปก็ไม่ใช่เรื่องยาก...จริงไหมครับ

ความยากง่ายคือ การสร้างสำนึกการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในการขับเคลื่อนสภาประชาชน
ให้เป็นของประชาชน เพื่อประชาชนอย่างแท้จริงต่างหาก

เพราะมิเช่นนั้นแล้วประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอยที่กล่าวกันว่า  
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุด  
แต่ในภาคปฏิบัติกลับมีช่องโหว่ให้นักการเมืองเจ้าเล่ห์สามารถทำร้ายประเทศไทยได้มากที่สุด
อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นกัน

 gek gek gek gek gek gek

ทำอย่างไร “สภาประชาชน” จะเป็นของประชาชนและทำงานการปฏิรูป
ไม่ใช่กลายเป็นแหล่งซ่องสุมทางการเมือง  องค์กรแสวงหาอำนาจ
เพื่อการต่อรองแสวงหาผลประโยชน์


สภานี้ต้องให้ประชาชนแสดงปัญหาที่มีอยู่ให้ชัดเจนมากขึ้น จนนำไปสู่
การสร้างนโยบายแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังสอดคล้องกับชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ถ้านึกไม่ออกล่ะก็  ผมอยากจะแนะนำว่า  

การบริหารจัดการของ เครือข่ายเพื่อชุมชนเข้มแข็ง  ที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกภาคในเวลานี้
เป็นตัวอย่างที่น่าลงไปศึกษา  และถอดแบบมาเป็น

บทเรียน สร้างองค์ความรู้แก่ทุกฝ่ายได้ดีที่สุดครับ

ความจริงผมอยากจะเขียนตัวอย่างชุมชนเข้มแข็งที่เขาช่วยกันคิดกันทำจนหมู่บ้านและตำบล
ของเขาน่าอยู่ เป็นการยืนยันว่า

สังคมไทยปฏิรูปตัวเองได้แน่ หากตั้งใจจริง  แต่สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนี้
จะให้ผมวางมือเรื่องสภาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย...ได้ไง


 so sad so sad so sad

ข่าวโดย นายใฝ่ฝัน   ปฏิรูป

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

มาร่วมสร้างเครือข่ายในละแวกบ้านของพวกเราให้เข้มแข็งกัน ทุก ๆ แห่งทั่วไทย เพื่อ


ปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และ เพื่อประชาชน แต่ใช้ คุณภาพ ตัดสินแทน ปริมาณ ด้วยการใช้ คุณธรรม แทน เสียงข้างมาก

ผมขอเสนอว่า ถ้าประชาชนร่วมเสนอปรับ ระบอบประชาธิปไตย ที่ใช้

สส.อภิปรายออกกฏหมาย ซึ่งจะมีกรณีพวกมากลากไป เป็นประโยชน์ต่อพรรค ต่อตนเอง

เป็นใช้คำสอน หรือ พระธรรม เป็นตัวตัดสิน เป็น ระบอบธรรมาธิปไตย ที่ประยุกต์ ใช้ ตามที่่
ดร.อีเอฟ ชูมาเชอร์ (E.F. Schumacher)[/color]นักเศรษฐศาสตร์โด่งดังระดับโลก ที่เสนอให้

จิ๋วแต่แจ๋ว : Small is Beautiful  เกิดขึ้นเป็นยานพาหนะพาผู้อยู่ภายใต้การปกครอง เดินทาง
สู่จุดหมายโดยสวัสดิภาพ มีความสุขได้ ดีไหม พวกเราเมื่อ




พณฯท่าน นายกอภิสิทธิ เวชชาชีวะ จะเสนอให้มีการปฏิรูปการปกครองเร็วๆนี้



http://tavonch.blogspot.com/2008/02/blog-post_19.html



สุดท้ายนี้อยากเสนอให้พี่ถาวร โชติชื่น วิศวะจุฬาฯซีมะโ่ด่ง16ท่านรองนายกรัฐมนโทแห่งสภาโจ๊ก
นำระบอบธรรมาธิปไตยไปผูกเป็นเรื่องอภิปรายในสภาโจ๊กพรรคใดเสนอหลักธรรมในการแก้ปัญหาได้ดีกว่า
พรรคนั้นก็ได้รับการโหวตให้ชนะ ถึงแม้จะเป็นพรรคมีสมาชิกน้อยกว่า เป็นสภาโจ๊กเชิงสร้างสรรค์
เหอๆๆ

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า



ต้องรบกวนพี่เหยง โทรฯ เรียนพณฯ ท่านรองนายกรัฐมนโทฯ ถาวร โชติชื่น นำ

สภาโจ๊กเชิงสร้างสรรค์ ธรรมาธิปไตย มาให้ชาวกรุงเทพฯ...ได้iร่วมรู้ว่ามี
วิธีการปกครองใช้คุณธรรมตัดสินแทนใช้เสียงข้างมาก เป็นด้านที่ 1 ของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา
เพื่อร่วมสร้างวัฒนธรรม เป็นด้านที่ 2 และ เพื่อให้กระตุ้นนักการเมืองให้ร่วมเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เป็นการปกครองใช้ธรรม นำหน้าแทนเสียงข้างมาก เป็นด้านที่ 3
เมื่อทำครบทั้ง 3 ด้านของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง

ระบบการปกครองระบบคุณธรรมแทนเสียงข้างมากได้ครับ


win win win
 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2553, 14:51:27 »

 



"ด้ชนี ความสุข แทน ดัชนี จีดีพี"

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันพุธ ที่ 23 กันยายน 2552

พอมานั่งติดตามข่าวที่ลอนดอน ก็เห็นแกประกาศข้อเสนอ

"อย่าเอาตัวเลข GDP วัดคุณภาพชีวิตของมนุษย์"

เป็นรายงานพิเศษที่ "โจ" (ชื่อที่เพื่อนๆ ใช้เรียก Joseph Stiglitz)

ได้รับแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี นิโกลาส์ ซาร์โกซี แห่งฝรั่งเศส

ให้เป็นหัวหน้าคณะศึกษาเรื่องนี้เป็นพิเศษ

ไม่เอาดัชนีวัดผลผลิตมวลรวมด้านเศรษฐกิจ GNP (Gross National Product) แต่เอา

ดัชนีที่วัดความสุข และความยั่งยืนแห่งคุณภาพชีวิตของคนที่เรียกว่า

GNH (Gross National Happiness) แทน


จะเรียกว่าผู้นำฝรั่งเศส กระทำการ

"ขโมยซีน"

ไปจากผู้นำของประเทศอื่นๆ ก็ไม่ผิดนัก

เพราะเรื่องเอา "ดัชนีแห่งความสุข" มาวัดแทน "ดัชนีจีดีพี" นั้น

ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะประเทศเล็กๆ อย่างภูฏานก็เคยประกาศใช้มาแล้ว

เพียงแต่ครั้งนี้ ซาร์โกซี ตั้งนักเศรษฐศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ชื่อดังระดับโลก

มาทำการศึกษาและเสนอเป็นรายงานให้เกิดความฮือฮาทำนองว่า

ประเทศฝรั่งเศส กำลังจะ "ส่งออกความสุข" ให้กับประเทศอื่นๆ ในโลก

ตอนที่ผมสัมภาษณ์ "โจ" ที่เมืองไทยนั้น เขาก็ย้ำประเด็นนี้ และเมื่อผมถามว่า

แนวทางที่ว่านี้กับ

"เศรษฐกิจพอเพียง"

ของไทยน่าจะไปด้วยกันได้หรือไม่?

เขาบอกว่าเป็นปรัชญาในแนวเดียวกัน และน่ายินดีว่า

ประเทศไทยไม่ได้ล้าหลังใครในเรื่องของการสร้างแนวคิดแห่ง

"เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ"

ที่เน้นคุณภาพชีวิตมากกว่า

ทำไมต้องมีวิธีวัดสังคมโลกชุดใหม่? เพราะที่ผ่านมาวัดกันด้วยตัวเลข GDP อย่างเดียว

สะท้อนแต่เพียงด้านเศรษฐกิจเช่นผลิตข้าวของได้เท่าไหร่

มีเงินใช้จ่ายกันมากมายเพียงใด โดย

ไม่สนใจว่าสิ่งแวดล้อมถูกทำลายไปมากน้อยอย่างไร และ

การศึกษาของประชาชนมีคุณภาพสูงขึ้นหรือไม่?

จะว่าไปแล้ว ประเทศเล็กๆ ที่มีผู้นำชาญฉลาดและมองการณ์ไกลอย่างภูฏาน

ได้ริเริ่มแนวคิดก่อนหน้าชาติพัฒนาด้วยซ้ำไป

เพียงแต่ว่าคราวนี้ฝรั่งเศสทำโฉ่งฉ่างด้วยการตั้งคณะทำงานพิเศษ

เพื่อเป้าหมายนี้โดยเฉพาะ

คณะทำงานชุดนี้สรุปว่าต่อแต่นี้ไป

ตัวเลขเฉพาะ GDP จะไม่พอแล้ว เพราะนั่นเป็น

"ภาพลวง"

ที่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าอะไรๆ ก็ตัดสินกันแต่เพียงตัวเลขเศรษฐกิจเท่านั้น


ทั้งๆ ที่ความจริง มนุษย์ต้องการจะวัดด้วยคุณภาพของชีวิตมากกว่า

ยอดการผลิตของโรงงานและบริการ

ดังนั้น คณะทำงานนี้จึงเสนอว่าต่อไปนี้นอกจากตัวเลขการผลิตทางเศรษฐศาสตร์แล้ว

การวัดคุณภาพของสังคมจะต้องรวมไปถึงสิ่งแวดล้อม ความยากจน การพักผ่อน และ

ความผูกพันของคนในสังคม

เช่นหากประเทศไหนมีตัวเลข GDP สวยงามแต่ป่าไม้ถูกทำลาย

อากาศที่หายใจเข้าไปเป็นพิษ และผู้คนส่วนใหญ่อยู่กันอย่างเครียดๆ

ก็ย่อมจะแปลว่าสังคมนั้นล้มเหลว

มิอาจจะเรียกว่าเป็น "ความสำเร็จ" อย่างที่อ้างกันด้วยตัวเลขของ "จีดีพี"

ขึ้นลงปีละเท่านั้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ได้อีกต่อไป

"โจ" บอกว่า "ถ้าเราวัดด้วยมาตรผิดๆ สังคมก็จะแสวงหาสิ่งที่ผิดๆ"

ซึ่งสะท้อนความเป็นจริงไม่น้อย เพราะเราพอจะเห็นชัดเจนว่า

เมื่อผู้คนหลงเข้าใจผิดว่าความสำเร็จของประเทศคือ

การพยายามปั้นตัวเลขจีดีพีให้สวย ทุกอย่างที่รัฐบาลและเอกชนทำ

ก็จะมุ่งไปสู่การทำตัวเลขจีดีพีให้สวย...

แต่ถ้าหากผู้คนมีความทุกข์หนักขึ้น เยาวชนติดยาเสพติดและ

มีปัญหาสังคมหนักหน่วงขึ้น เช่นนี้แล้วจะเรียกว่า

เป็นความก้าวหน้าและความสำเร็จของประเทศนั้นๆ ได้อย่างไร?


ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ



ถ้ารัฐบาลอภิสิทธิ์กล้าหาญจริง ต้องมี

"ดัชนีแห่งเศรษฐกิจพอเพียง"

ประจำไตรมาสเพื่อเปรียบเทียบเคียงคู่กับตัวเลข GDP ด้วย...

จะได้วัดทั้งวัตถุกับจิตใจไปพร้อมกัน

เพราะสภาพจิตคนไทยวันนี้ย่ำแย่เอามากๆ


กาแฟดำ

นำมาให้พวกเรา ได้ทราบแนวใหม่ของการพัฒนา เน้นพัฒนาคุณภาพชีวิต จาก

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/suthichaiyoon/20090923/78277/%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99-%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B5....html

gek gek gek

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


๑๑.จะเอาดีหรือจะเอารวย



หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

อีกครั้งหนึ่งที่คณะผู้เขียนได้มานมัสการหลวงปู่ เพื่อนของผู้เขียนท่านหนึ่งต้องการ
เช่าพระอุปคุตที่วัด เพื่อนำไปบูชา โดยกล่าวกับผู้ที่มาด้วยกันว่า

บูชาแล้วจะได้รวย

เพื่อนของผู้เขียนท่านนั้นแทบตะลึง เมื่อมากราบหลวงปู่แล้ว ท่านได้ตักเตือนว่า

"รวยกับซวยมันใกล้ๆ กันนะ"

ผู้เขียนได้เรียนถามหลวงปู่ว่า

"ใกล้กันยังไงครับ"

ท่านยิ้มและตอบว่า

"มันออกเสียงคล้ายกัน"

พวกเราต่างยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ สักครู่ท่านจึงขยายความใหเพวกเราฟัง

"จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์ จะรักษามันก็ทุกข์ หมดไปก็เป็นทุกข์อีก กลัวคนจะจี้จะปล้น
ไปคิดดูเถอะมันไม่จบหรอก มีแต่เรื่องยุ่ง เอาดี ดีกว่า"


คำว่า ดี ของหลวงปู่ มีความหมายลึกซึ้งมาก

ผู้เขียนขออัญเชิญพระบรมราโชวาทของในหลวงของเราในเรื่องทำความดี มาเปรียบ ณ ที่นี้
ความตอนหนึ่งว่า

"...ความดีนี้ ไม่ต้องแย่งกัน ความดีนี้ ทุกคนทำได้ เพราะความดีนี้ทำแล้วก็ดี
ตามคำว่า ดี นี้ ดีทั้งนั้น ฉะนั้น ถ้าช่วยกันทำดี ความดีนั้นก็จะใหญ่โต จะดียิ่ง ดีเยี่ยม..."

__________________

๒๕. จะตามมาเอง



หลายปีมาแล้ว มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้มาบวชปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดสะแก
ก่อนที่จะลาสิกขาเข้าสู่เพศฆราวาส ท่านได้นัดแนะกับเพื่อนพระภิกษุที่จะสึกด้วยกัน ๓ องค์ว่า
เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนสึก พวกเราจะไปกราบให้หลวงปู่พรมน้ำมนต์และให้พร
ท่านได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ขณะที่หลวงปู่พรมน้ำมนต์ให้พรอยู่นั้น ท่านก็นึกอธิษฐานอยู่ในใจว่า

"ขอความร่ำรวยมหาศาล ขอลาภขอผลพูนทวี มีกินมีใช้ไม่รู้หมด จะได้แบ่งไปทำบุญมากๆ"

หลวงปู่หันมามองหน้าหลวงพี่ ที่กำลังคิดละเมอเพ้อฝันถึงความร่ำรวยนี้ ก่อนที่จะบอกว่า

"ท่าน ที่ท่านคิดน่ะมันต่ำ คิดให้มันสูงไว้ไม่ดีหรือ แล้วเรื่องที่ท่านคิดน่ะ จะตามมาทีหลัง"
__________________

พระของข้า...ไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

นำมาจาก

http://board.palungjit.com/f10/%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81-%E0%B9%92%E0%B9%95-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%99-%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5-80761.html

win win win

เรื่อง รวย หรือ ไม่จน แก้ได้ด้วย แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง



จะแก้ได้ถ้ารัฐบาล ใช้นโยบาย  "ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง"

บริหารประเทศ

นำมาจากกระทู้ "เรื่อง จน เชิญมาคุยวิธีแก้กันที่กระทู้นี้"
 มาเสริมกระทู้ 
"ด้ชนี ความสุข แทน ดัชนี จีดีพี"

เมื่อ ความสุข เกิดมีขึ้นแล้ว ความร่ำรวย จะตามมาเอง ในที่สุด ที่

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4943.0.html

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2553, 14:55:07 »


ทฤษฎีสมคบคิด



ใครเคยดูหนังเรื่อง Conspiracy Theory ผลงานกำกับของ Richard Donner เมื่อราว ๆ 13 ปีที่แล้ว
คงยังจำบทบาทของ Mel Gibson ที่แสดงเป็นคนขับแท็กซี่ในนครนิวยอร์ก
ผู้พยายามพิสูจน์ความเชื่อตาม ทฤษฎีสมคบคิด ของตัวเองได้

ทุกครั้งที่มีคนเอ่ยถึง Conspiracy Theory หรือที่มีคนแปลเป็นภาษาไทยว่า ทฤษฎีสมคบคิด
ก็มักจะเป็นที่สนใจ หรือขายได้อยู่เสมอ ด้วยจุดขายของ

ความน่าจะเป็น ของเรื่องที่ ไม่น่าจะเป็นไปได้ แฝงมากับความลึกลับ
ที่ไปกระตุ้นสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์


ยิ่งเป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดต่างกรรม ต่างวาระ และไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันได้
แต่สามารถนำมาผูกโยงเข้าด้วยกันได้อย่างน่าเชื่อถือมากเท่าไร
ทฤษฎีนั้นก็ยิ่งน่าติดตามมากขึ้นเท่านั้น

ขอขอบคุณเวบเดลินิวส์ วันอังคาร ที่ 25 พฤษภาคม 2553 เวลา 0:00 น ที่สนับสนุนเนื้อหาข่าว
อ่านเนื้อหาทั้งหมดเพิ่มเติมได้ที่่
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=425&contentID=67800

 งง งง งง งง งง งง

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

ผมอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ จึงเข้าไปหาในกูเกิ้ล ได้ความหมายมาประเทืองปัญญาพวกเราดังนี้

ทฤษฎีสมคบคิด
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94

ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) คือ เรื่องเล่า บทความที่สร้างขึ้นมาจากความคิดของคน หรือ
กลุ่มคน โดยนำเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน

ซึ่งอาจมีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้นอื่นๆเพื่อให้ประโยชน์/ให้โทษต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งใด หรือ
อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ลักษณะของทฤษฎีสมคบคิดโดยทั่วไป

มีข้อเท็จจริงประกอบอยู่เพียงเล็กน้อย หรือส่วนหนึ่ง เพียงเพื่อเสริมให้เกิดความน่าเชื่อถือว่า
มีหลักฐานสนับสนุนที่ดูเหมือนเกี่ยวข้องกันเท่านั้น อาจมีเหตุผลสนับสนุนจากความเชื่อส่วนบุคคล
ความเชื่อเกี่ยวกับทางศาสนา การเมือง หรือวัฒนธรรมที่แตกต่างไป

เรื่องเหล่านี้นักวิชาการจะไม่ใช้อ้างอิง ผู้อ่านควรใช้วิจารณญานก่อนที่จะเชื่อเรื่องนั้นๆ
ประเทศสหรัฐอเมริกามีหน่วยงานที่จะดูแล และกลั่นกรองเรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะ


เดิมพบได้ในคอลัมน์เล็กๆหนังสือพิมพ์ประเภทเทบลอยด์ในต่างประเทศ
ปัจจุบันพบได้มากในฟอร์เวิร์ดเมล เว็บไซต์ส่วนบุคคล และบล็อกต่าง

 gek gek gek

ผมอ่านดูแล้ว ทฤษฏีสมคบคิด คือ ทฤษฏีกุเรื่อง หรือ แหกตา เอาเรื่องแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
มาผูกโดยให้ผู้ฟังฟังเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงทั้ง ๆ ที่แต่ละเหตุการณ์ ไม่เกี่ยวกันแต่บังเอิญ
มาเกิดในเวลาที่นำมาอ้างอิงได้พอดี เป็นการแหกตาประชาชน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ทฤษฏี




ตัวอย่างเช่นนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ ผูกเรื่อง เพื่อความสนุก อยากเห็นชาวบ้านแตกตื่น ใช้
เหตุการณ์ที่มีหมาป่า อาศัยอยู่บริเวณนั้น และ ความจริงที่ว่า หมาป่าชอบโขมยแกะ นำมาผูก
เรื่องสนุก สร้างเรื่อง หมาป่ามากินแกะ เมื่อชาวบ้านแตกตื่นออกมาช่วย เด็กเลี้ยงแกะก็ได้
บรรลุวัตถุประสงค์ของความคึกคะนอง

ทฤษฏีสมคบคิด นี้ หรือ บางทีเรียกทฤษฏีเด็กเลี้ยงแกะ

อ่านทฤษฏีสมคบคิดแล้วจึงถึงบางอ้อเมื่อก่อนได้ยินว่านักการเมืองคนนั้นคนนี้เป็นเด็กเลี้ยงแกะ
ก็ไม่เข้าใจ เพิ่งเข้าใจเมื่ออ่านบทความเรื่องนี้ จึงรู้ว่า หมายถึง

เอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ละเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลย แต่ใช้ความสามารถในการผูกเรื่อง
ให้เป็นเรื่อง เดียวกัน เพื่อ ทำลายคู่ต่อสู้ หรือ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตน


สุดท้ายนี้ขอเปิดกระทู้นี้ไว้ให้พวกเรานำเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นแล้วนำสุภาษิต มาเปรียบสอนใจกัน

 gek gek gek


      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #3 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2553, 14:56:11 »


“เหลิม” ขู่เฉือดรัฐบาลกลางสภา
ขอขอบคุณ เวบเดลินิวส์ วันอังคาร ที่ 25 พฤษภาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อเนื้อหาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=627&contentID=68023



วันนี้ (25พ.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วนและประธานพรรคเพื่อไทย
กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า

ตนพร้อมเสมออยู่ที่ว่ารัฐบาลจะบรรจุวาระเมื่อใดและฝากบอกพรรคประชาธิปัตย์ด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง
ไม่ต้องมาสอนว่าเรื่องไหนพูดได้พูดไม่ได้ตนมีวุฒิภาวะพอส่วนข้อมูลอภิปรายเรื่องหลักคือ

กระทรวงคมนาคม ส่วนที่ไม่มีชื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงในญัตติถอดถอน
และอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น เนื่องจากส่วนตัวเห็นว่าเรื่องการสลายชุมนุมน่าจะเป็นความรับผิดชอบ
ของนายกฯจึงไม่น่าจะใส่ชื่อนายสุเทพ

ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า ทั้งนี้ ตนจะรับผิดชอบอภิปรายเรื่องเงินบริจาคของพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท
การนำเงินสนับสนุนพรรคการเมืองไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ 29 ล้านบาท
ประเด็นงบประมาณก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง และ
การอนุมัติเปิดร้านจำหน่ายปืนและรวบรวมปืนกว่า 3 พันกระบอกของกระทรวงมหาดไทย.

 งง งง งง งง งง งง

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

ต้องติดตามว่า ใช้ทฤษฏีสมคบคิด หรือ ทฤษฏีเด็กเลี้ยงแกะ หรือไม่

โดยเอาเรื่องที่บังเอิญเกิดขึ้นจริงในเวลาใกล้เคียงกัน แต่ไม่เกี่ยวกัน ไม่สัมพันธ์เป็นเหตุเป็นผลกัน
นำมาผูกเป็นเรื่องเีดียวกัน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และ ให้ร้ายฝ่ายตรงข้ามหรือไม่
ต้องติดตามฟังการอภิปรายกันครับพวกเราว่า เป็นเด็กเลี้ยงแกะ หรือ ไม่ใช่อย่างไรต่อไป

 gek gek gek

 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #4 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2553, 20:40:37 »




ติเรือทั้งโกลน ติโขนยังไม่ได้แต่งตัว

มีทฤษฏีเด็กเลี้ยงแกะ ผมขอเสนอตั้ง ทฤษฏีติเรือทั้่งโกลน มาคู่กัน เพราะ ไปในแนวทางทำลายกัน
มาให้พวกเรานำมาใช้ อย่าเพิ่งเชื่อคำนินทา เพราะ ไม่ว่าทำอะไรก็ตามจะสามารถนินทาได้ทั้งหมด

ดังนั้น ควรให้โอกาศผู้เสนอกระทำไปก่อน คอยให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ คอยตรวจสอบ และ
รอผลของการกระทำก่อนต้องไม่หลงไปร่วมคัดค้าน หลงไปต่อต้าน ไปก่อน

แม้แต่ องค์พระปฏิมา ยังมีคนติฉิน ว่าราคิน แล้ว คนเดินดินอย่างเรา หรือจะสิ้นคนนินทา

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

เนื้อหาข่าว ติเรือทั้งโกลน ติโขนยังไม่ได้แต่งตัว ข้างล่างนี้

ซัดรัฐฯ"มาร์ค"แชมป์กู้มากสุด
ขอขอบคุณเวบเดลินิวส์ วันพุธ ที่ 26 พฤษภาคม 2553 เวลา 16:08 น สนับสนุนเนื้อหาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=8&contentID=68249

"ไพจิต"ซัดรัฐบาลแชมเปี้ยนกู้เงิน ซ้ำจัดงบเอาใจทหาร ไม่รักเกษตรกร "กรณ์" สวนไม่ต่างจากรัฐฯ สมัคร



วันนี้ (26 พ.ค.) ที่รัฐสภา นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า งบปี 54
เสนอมาอย่างลุกลี้ร้อนรน ท่ามกลางคาวเลือดที่ฉาวโฉ่ ทั้งเป็นรัฐบาลที่กู้มากสุดเป็นประวัติศาสตร์
การทำงบประมาณ ไม่เคยมีการขาดดุลมากขนาดนี้มาก่อน

ที่รัฐบาลบอกว่า เศรษฐกิจฟื้น แต่รัฐบาลก็กู้เงินมาตลอด สองสัปดาห์ที่แล้วก็มาขอรัฐสภากู้ต่างประเทศไปหลายหมื่นล้านบาท การจัดทำงบครั้งนี้ยังรักทหาร แต่ไม่รักเกษตรกร

โดยกระทรวงกลาโหมได้ 1.7 แสนล้านบาท แต่กระทรวงเกษตรฯได้ 7.6 หมื่นล้านบาท
ถือว่าขาดความจริงใจในการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน เป็นการทำงบแบบบุญคุณต้อง
ทดแทนใช่หรือไม่ เพราะ

ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมจะได้รับเพียง 7-8 หมื่นล้าน แต่พอหลังรัฐประหาร 49 ก็ได้เพิ่มขึ้นทุกปี
โดยเฉพาะกองทัพบกที่เป็นหลักในมาตรการกระชับพื้นที่การชุมนุม ได้ถึง 8.3 หมื่นล้านบาท



ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่า

การจัดสรรงบกระทรวงกลาโหมไม่ได้รักทหาร โดยไม่รักเกษตรกรตามที่กล่าวหา เพราะจำนวนเงิน
ไม่ได้แตกต่างไปจากงบประมานในปี 2552 ของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช


ทั้งนี้เมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวของงบประมาณกับปี 2553 มีอัตราการขยายตัวเพียงร้อยละ 10.6

ขณะที่งบประมาณเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรมีการจัดงบประมาณเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40
อีกทั้งงบประมาณที่รัฐบาลได้จัดสรรเพื่อดูแลเกษตรกรไม่ได้ปรากฏเฉพาะที่มีอยู่ที่กระทรวงเกษตรฯ
เท่านั้นแต่อยู่ในหลายกระทรวง


ขอย้ำว่างบกลาโหมของรัฐบาลนี้ ไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลในอดีตของฝ่ายค้านแต่อย่างใด

 gek gek gek        

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO      
 
พวกเราต้องใช้ทฤษฏีตรงกันข้าม ไม่ติเรือทั้งโกลนและไม่ติโขนยังไม่ได้แต่งตัวมาใช้
ให้รัฐบาลทำงานก่อนแล้ว ติดตามการทำงาน ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ และ คอยดูผลงานก่อน  

ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><