สัวสดีครับ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง และชาวซีมะโด่งที่รัก ทุกท่าน
              เช้านี้ขอผมขอตอบคำถามเรื่องความสุข ต่อนะครับ หลักวิชาทางพระพุทธศาสนาที่แสดงว่าความสุขมีเป็นขั้น ๆ ตั้งแต่ต่ำจนถึงสูงสุด ถึง ๑๐ ขั้น คือความสุขในกาม ความสุขในรูปณาน ๔ ความสุขในอรูปฌาน ๔ และความสุขในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
              เสียดายที่ผมสามารถบอกกล่าวได้เพียงกามสุข หรือความสุขทางโลกเท่านั้น หรืออาจจะก้าวไปสู่ความสุขในรูปฌาน บ้าง แต่ไม่สามารถรับรองได้ จึงยังไม่นับ  ขอให้ท่านลองพิจารณาด้วย โยนิโสมนสิการ ด้วยปัญญา ครับ
              สวัสดี อย่าลืม เช้านี้ทำจิตให้ผ่องใสนะครับ
รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส
ตอน
การบัญญัติความสุขในพุทธศาสนา
๑.
   “ดูก่อนอานนท์ ! กามคุณ ๕ เหล่านี้ กามคุณ ๕ เป็นไฉน? กามคุณ ๕ คือรูปที่พึงรู้แจ้งทางตาอันน่าปราถนา  น่าใคร่  น่าพอใจ  เป็นรูปที่รัก  ประกอบด้วยกาม  เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ; เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ (สิ่งที่พึงถูกต้องได้) ที่พึงรู้แจ้งทางหู, จมูก, ลิ้น และกาย  อันน่าปราถนา  น่าใคร่  น่าพอใจ  เป็นรูปที่รัก  ประกอบด้วยกาม  เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด, ดูก่อนอานนท์ ! นี้แล  คือกามคุณ ๕.  ดูก่อนอานนท์ ! ความสุขกาย  สุขใจอันใด  ที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกามคุณ ๕ เหล่านี้  ความสุขกายใจนี้เรียกว่ากามสุข. ดูก่อนอานนท์ ! คนเหล่าใดพึงกล่าวว่า  เขาย่อมเสวยสุขกายสุขใจอันมีอยู่นั้น  นับเป็นความสุขอย่างยอดเยี่ยม เราย่อมไม่รับรู้คำกล่าวของคนเหล่านั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร.  ดูก่อนอานนท์ ! เพราะยังมีความสุขอย่างอื่นที่ดีกว่า   ประณีตกว่ากามสุขนั้น.”
๒.
   “ดูก่อนอานนท์ ! ความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (กามสุข)นั้นเป็นไฉน? ดูก่อนอานนท์ ! ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้  สงัดจากกาม  สงัดจากอกุศลธรรม เข้าสู่ฌานที่ ๑ อันมีความตรึก (วิตก) ความตรอง (วิจาร) มีความอิ่มใจและความสุข (ปีติสุข) อันเกิดแต่ความสงัดอยู่.  นี้แล อานนท์ คือความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุขนั้น (กามสุข). ดูก่อนอานนท์ ! คนเหล่าใดพึงกล่าวว่า  เขาย่อมเสวยความสุขกายสุขใจอันมีอยู่นั้น (สุขในฌานที่ ๑) นับเป็นความสุขอย่างยอดเยี่ยม เราย่อมไม่รับรู้คำกล่าวของคนเหล่านั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร?  ดูก่อนอานนท์ ! เพราะยังมีความสุขอย่างอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในฌานที่ ๑) นั้น.”
๓.
   “ดูก่อนอานนท์ ! ความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในฌานที่ ๑)นั้นเป็นไฉน? ดูก่อนอานนท์ ! ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้  เพราะสงบความตรึก  ความตรอง (วิตก วิจาร) ได้ จึงเข้าฌานที่ ๒ อันมีความผ่องใสภายใน   มีภาวะแห่งจิต  มีอารมณ์เป็นหนึ่งเกิดขึ้น ไม่มีความตรึก ไม่มีความตรอง มีความอิ่มใจและความสุข (ปีติสุข) อันเกิดแต่สมาธิอยู่.  นี้แล อานนท์ คือความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในฌานที่ ๑) นั้น. ดูก่อนอานนท์ ! คนเหล่าใดพึงกล่าวว่า  เขาย่อมเสวยความสุขกายสุขใจอันมีอยู่นั้น (สุขในฌานที่ ๒) นับเป็นความสุขอย่างยอดเยี่ยม เราย่อมไม่รับรู้คำกล่าวของคนเหล่านั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร?  ดูก่อนอานนท์ ! เพราะยังมีความสุขอย่างอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในฌานที่ ๒) นั้น.”
๔.
   “ดูก่อนอานนท์ ! ความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในฌานที่ ๒)นั้นเป็นไฉน? ดูก่อนอานนท์ ! ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้  เพราะคลายความอิ่มใจจึงเป็นผู้วางเฉยมีสติสัมปชัญญะอยู่  เธอเสวยความสุขด้วยนามกาย เข้าสู่ฌานที่ ๓ ซึ่งเป็นเหตุให้พระอริยเจ้ากล่าวถึงผู้เข้าฌานนี้ว่าเป็นผู้วางเฉย  มีสติอยู่เป็นสุข. นี้แล อานนท์ คือความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในฌานที่ ๒) นั้น. ดูก่อนอานนท์ ! คนเหล่าใดพึงกล่าวว่า  เขาย่อมเสวยความสุขกายสุขใจอันมีอยู่นั้น (สุขในฌานที่ ๓) นับเป็นความสุขอย่างยอดเยี่ยม เราย่อมไม่รับรู้คำกล่าวของคนเหล่านั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร?  ดูก่อนอานนท์ ! เพราะยังมีความสุขอย่างอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในฌานที่ ๓) นั้น.”
๕.
   “ดูก่อนอานนท์ ! ความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในฌานที่ ๓) นั้นเป็นไฉน? ดูก่อนอานนท์ ! ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้  เพราะละสุขละทุกข์ได้ (ละสุขกายทุกข์กายได้) เพราะสุขใจ (โทมนัส) ดับไปในกาลก่อน จึงเข้าถึงฌานที่ ๔ อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีความบริสุทธิ์แห่งสติอันเกิดขึ้นเพราะอุเบกขา (ความวางเฉย). นี้แล อานนท์ คือความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในฌานที่ ๓) นั้น. ดูก่อนอานนท์ ! คนเหล่าใดพึงกล่าวว่า  เขาย่อมเสวยความสุขกายสุขใจอันมีอยู่นั้น (สุขในฌานที่ ๔) นับเป็นความสุขอย่างยอดเยี่ยม เราย่อมไม่รับรู้คำกล่าวของคนเหล่านั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร?  ดูก่อนอานนท์ ! เพราะยังมีความสุขอย่างอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในฌานที่ ๔) นั้น.”
๖.
   “ดูก่อนอานนท์ ! ความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในฌานที่ ๔) นั้นเป็นไฉน? ดูก่อนอานนท์ ! ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้  เพราะก้าวล่วงความกำหนดหมายในรูป (รูปสัญญา) ด้วยประการทั้งปวงเพราะความดับไปแห่งความกำหนดหมาย ความกระทบกระทั่ง (ปฏิฆสัญญา ได้แก่ความกำหนดหมายในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เมื่ออารมณ์ทั้งห้านี้ ผ่านทางตา หู เป็นต้น) เพราะไม่ทำไว้ในใจซึ่งสัญญาต่าง ๆ (นานัตตสัญญา-หมายความได้ ๒ อย่าง คือสัญญาที่เป็นไปในอารมณ์ต่าง ๆ และสัญญาต่าง ๆ ๔๔ ชนิดดูคำอธิบายในวุสุทธิมรรค อารุปปนิทเทส หน้า ๑๓๙) ทำไว้ในใจว่า “อากาศไม่มีที่สิ้นสุด” เข้าสู่อรูปฌานชื่ออากาสานัญจายตนะ (มีอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์) อยู่. นี้แล อานนท์ คือความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในฌานที่ ๔) นั้น. ดูก่อนอานนท์ ! คนเหล่าใดพึงกล่าวว่า  เขาย่อมเสวยความสุขกายสุขใจอันมีอยู่นั้น (สุขในอรูปฌานชื่ออากาสานัญจายตนะ) นับเป็นความสุขอย่างยอดเยี่ยม เราย่อมไม่รับรู้คำกล่าวของคนเหล่านั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร?  ดูก่อนอานนท์ ! เพราะยังมีความสุขอย่างอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในอรูปฌานชื่ออากาสานัญจายตนะ) นั้น.”
๗.
   “ดูก่อนอานนท์ ! ความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในอรูปฌานชื่ออากาสานัญจายตนะ) นั้นเป็นไฉน? ดูก่อนอานนท์ ! ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้  ก้าวล่วงอรูปฌานชื่ออากาสานัญจายตนะ ด้วยประการทั้งปวง แล้วทำในใจไว้ว่า “วิญญาณหาที่สุดมิได้” เข้าสู่อรูปฌานชื่อวิญญาณัญจายตนะ (มีวิญญาณหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์) อยู่. นี้แล อานนท์ คือความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในอรูปฌานชื่ออากาสานัญจายตนะ) นั้น. ดูก่อนอานนท์ ! คนเหล่าใดพึงกล่าวว่า  เขาย่อมเสวยความสุขกายสุขใจอันมีอยู่นั้น (สุขในอรูปฌานชื่อวิญญาณัญจายตนะ) นับเป็นความสุขอย่างยอดเยี่ยม เราย่อมไม่รับรู้คำกล่าวของคนเหล่านั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร?  ดูก่อนอานนท์ ! เพราะยังมีความสุขอย่างอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในอรูปฌานชื่อวิญญาณัญจายตนะ) นั้น.”
๘.
   “ดูก่อนอานนท์ ! ความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในอรูปฌานชื่อวิญญาณัญจายตนะ) นั้นเป็นไฉน? ดูก่อนอานนท์ ! ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้  ก้าวล่วงอรูปฌานชื่อวิญญาณัญจายตนะ ด้วยประการทั้งปวง แล้วทำในใจไว้ว่า “อะไร ๆ ก็ไม่มี” เข้าสู่อรูปฌานชื่ออากิญจัญญายตนะ (มีความกำหนดหมายว่าไม่มีอะไรเป็นอารมณ์) อยู่. นี้แล อานนท์ คือความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในอรูปฌานชื่อวิญญาณัญจายตนะ) นั้น. ดูก่อนอานนท์ ! คนเหล่าใดพึงกล่าวว่า  เขาย่อมเสวยความสุขกายสุขใจอันมีอยู่นั้น (ความสุขในอรูปฌานชื่ออากิญจัญญายตนะ) นับเป็นความสุขอย่างยอดเยี่ยม เราย่อมไม่รับรู้คำกล่าวของคนเหล่านั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร?  ดูก่อนอานนท์ ! เพราะยังมีความสุขอย่างอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในอรูปฌานชื่ออากิญจัญญายตนะ) นั้น.”
๙.
   “ดูก่อนอานนท์ ! ความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในอรูปฌานชื่ออากิญจัญญายตนะ) นั้นเป็นไฉน? ดูก่อนอานนท์ ! ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้  ก้าวล่วงอรูปฌานชื่ออากิญจัญญายตนะ ด้วยประการทั้งปวง แล้วเข้าสู่อรูปฌานชื่อเนวสัญญานาสัญญายตนะ (มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่) อยู่. นี้แล อานนท์ คือความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในอรูปฌานชื่ออากิญจัญญายตนะ) นั้น. ดูก่อนอานนท์ ! คนเหล่าใดพึงกล่าวว่า  เขาย่อมเสวยความสุขกายสุขใจอันมีอยู่นั้น (ความสุขในอรูปฌานชื่อเนวสัญญานาสัญญายตนะ) นับเป็นความสุขอย่างยอดเยี่ยม เราย่อมไม่รับรู้คำกล่าวของคนเหล่านั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร?  ดูก่อนอานนท์ ! เพราะยังมีความสุขอย่างอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในอรูปฌานชื่อเนวสัญญานาสัญญายตนะ) นั้น.”
๑๐.
   “ดูก่อนอานนท์ ! ความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในอรูปฌานชื่อเนวสัญญานาสัญญายตนะ) นั้นเป็นไฉน? ดูก่อนอานนท์ ! ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้  ก้าวล่วงอรูปฌานชื่อเนวสัญญานาสัญญายตนะ  แล้วเข้าสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ (สมาบัติดับสัญญาและเวทนาเป็นสมาบัติสูงสุดที่พระอนาคามีกับพระอรหันต์เท่านั้นทำให้เกิดได้) อยู่. นี้แล อานนท์ คือความสุขอื่นที่ดีกว่า  ประณีตกว่าความสุข (ในอรูปฌานชื่อเนวสัญญานาสัญญายตนะ) นั้น.
สรุปความ
   “ดูก่อนอานนท์ ! มีฐานะอยู่ที่นักบวชเจ้าลัทธิอื่นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า  พระสมณโคดมกล่าวถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ  ย่อมบัญญัติสัญญาเวทยิตนิโรธในความสุข  ข้อนั้นคืออะไรกัน? ข้อนั้นจะเป็นได้อย่างไรกัน? (คือสัญญเวทยิตนิโรธ ดับความจำ ดับความรู้สึก แล้วจะว่ามีความสุขได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีความรู้สึก) ดูก่อนอานนท์ ! นักบวชเจ้าลัทธิอื่นผู้กล่าวอย่างนี้พึงเป็นผู้อันท่านชี้แจง “ผู้มีอายุ ! พระผู้มีพระภาคย่อมไม่ทรงบัญญัติในความสุข  หมายเอาเฉพาะสุขเวทนาอย่างเดียว ในที่ใด ๆ ย่อมหาความสุขได้ ในฐานะใด ๆ มีความสุข  พระผู้มีพระภาคย่อมทรงบัญญัติฐานะนั้น ๆ ในความสุข”
กายเดือดร้อน  อย่าให้จิตเดือดร้อน
   “ดูก่อนคฤหบดี ! เพราะเหตุนั้น  ท่านพึงสำเนียกอย่างนี้ว่า  เมื่อกายของเราเดือดร้อนอยู่  เมื่อกายของเราเดือดร้อนอยู่  จิตของเราจักไม่เดือดร้อน.  ดูก่อนคฤหบดี ! ท่านพึงสำเนียกอย่างนี้แล.”