29 มีนาคม 2567, 05:41:34
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: สุดยอดนวัตกรรม การรักษาโรคมะเร็ง  (อ่าน 7295 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 17:35:33 »


                    สุดยอดนวัตกรรม การรักษาโรคมะเร็ง วันที่ : 24/9/2553
                    http://www.chomrom.com/description.aspx?q_sec=115467031
                    
          

                          การแพทย์นาโนรักษามะเร็ง และ ยับยั้งเส้นเลือดหยุดยั้งมะเร็ง

         มีคำพูดอยู่คำหนึ่ง ที่ไม่ว่าใครก็ตามได้เจอเข้าเป็นต้องอึ้ง และเกิดอาการใจเสียขึ้นมาทันที นั่นคือคำว่า "มะเร็ง"

        ทำไมคนเราถึงกลัวมะเร็งกันมาก น่าจะเป็น เพราะเมื่อก่อนนี้ ใครเป็นมะเร็ง ก็เป็นอันถึงตายสถานเดียว ไม่มีทางออก และทุกวันนี้ มะเร็งก็เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย ติดต่อกันมานานกว่า 8 ปีแล้ว กล่าวคือทุกๆ 1 ชั่วโมงมีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 6.3 คน หรือวันละ 152 คน แล้วใครกันล่ะจะไม่กลัวมะเร็ง

         แต่นั่นเป็นความเชื่อเก่าๆ เพราะด้วยวิวัฒนาการ และการต่อสู้อย่างแข็งขันของแพทย์ ทั่วโลก ทำให้เดี๋ยวนี้มีนวัตกรรมใหม่ๆในการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิภาพ และเกิดภาวะแทรก ซ้อนน้อยกว่าการรักษาในสมัยก่อน เป็นการช่วยยืดอายุผู้ป่วยอย่างได้ผล หรือในหลายๆกรณี เป็น การช่วยให้หายขาดจากเซลล์มะเร็งได้

              

         ก่อนอื่นเราคงต้องรู้ว่ามะเร็งเกิดจากอะไร มะเร็งนั้นเกิดขึ้นมาจากยีนที่ผิดปกติ

        ดังนั้นความรู้เกี่ยวกับยีนจะสามารถช่วยให้เข้าใจกลไกของการเกิดมะเร็งได้ ซึ่งจะเป็นการนำไปสู่การป้องกัน และรักษาอย่างได้ผล จากต้นเหตุของโรค โดยตรง และจากความพยายาม บวกกับการให้งบวิจัยมหาศาลใน

       การถอดรหัสยีน ดีเอ็นเอของ มนุษย์ สหรัฐอเมริกาก็ทำได้สำเร็จ ทำให้แพทย์ สามารถแยกชนิดของมะเร็งได้ในการตรวจระดับโมเลกุล เกิดการวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ยังไม่เกิดโรค ป้องกันมะเร็งได้ก่อนจะเป็นภัยร้าย สามารถเลือกใช้ยาได้ถูกต้อง ไม่เกิดผลข้างเคียง และยังอาจนำไปสู่การบำบัดระดับยีนที่ผิดปกติ ที่เรียกว่า "ยีนบำบัด" ได้อีกด้วย

         ในการป้องกันนี้ ยังรวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ คือ การใช้ "วัคซีน"รักษามะเร็ง ซึ่ง นพ.โคเล่ย์ชาวอเมริกัน ได้ คิดค้นขึ้นตั้งแต่ ค.ศ.1893โดยใช้เชื้อแบคทีเรียมาทำเป็นวัคซีนรักษามะเร็งหลายชนิด จนถึงปี ค.ศ. 1963 จึงยุติการใช้ เพราะเกิดผลข้างเคียงจากเชื้อ โรคที่ใช้ทำวัคซีน แต่ถึงกระนั้น การวิจัยก็พัฒนาทำ ให้ปัจจุบันนี้ เรามีทั้งวัคซีนป้องกันและรักษาโรคมะเร็ง

         โดยในส่วนของวัคซีนป้องกันมะเร็งที่ใช้ในปัจจุบันนี้ไม่ได้ป้องกันโรคมะเร็งโดยตรง แต่ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดมะเร็ง เช่น วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งตับ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อหูดบางชนิดที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก และ

          ล่าสุดสถาบันวิจัยในสวีเดน ได้ค้นพบวิธีการป้องกันมะเร็งเต้านมในสัตว์ทดลอง ซึ่งจะเป็น ก้าวแรกของการพัฒนาวัคซีนเพื่อนำมาใช้ในมนุษย์ต่อไป

         ล่าสุดกว่านั้น เมื่อปีที่แล้ว การศึกษาการใช้วัคซีนรักษามะเร็งต่อมลูกหมากประสบความ สำเร็จ สามารถเพิ่มอัตรารอด ชีวิตของผู้ป่วยได้ องค์การอาหาร และยาแห่งสหรัฐอเมริกาจึงอนุมัติให้ใช้วัคซีนนี้ตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้ ซึ่งความจริงแล้วก่อนหน้านั้น

         คิวบาก็ได้พัฒนาวัคซีนรักษามะเร็งปอดได้สำเร็จ และมีการใช้วัคซีนป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งไตหลังการผ่าตัด  ซึ่งเมื่อปีก่อนก็ได้มีการนำวัคซีนป้องกันมะเร็งไต มาใช้ในประเทศไทยแล้ว ส่วนมะเร็งอีกชนิดที่เป็นกันมากคือ มะเร็งลำไส้ใหญ่นั้น ขณะนี้สถาบันวิจัยประเทศเดนมาร์กร่วมกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติสิงคโปร์และไทย ก็กำลังร่วมมือกันพัฒนาวัคซีนรักษาอยู่ โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเดนมาร์กจะเดินทางมาช่วยพัฒนาการผลิตวัคซีนในไทยช่วงปลายเดือนกันยายนนี้

      

               ยับยั้งปัจจัยกระตุ้นการเจริญเติบโตของมะเร็ง.

         ส่วนวิธีอื่นๆในการยับยั้งมะเร็งยังมีอีกหลายทาง หนึ่งในวิธีที่ได้ผลดี คือ การยับยั้งเส้นเลือด ที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง เพื่อทำให้ก้อนมะเร็งขาดอาหาร ขาดอากาศหายใจ และทำให้ความดันรอบก้อนมะเร็งลดลง ยารักษามะเร็งจึงจะสามารถเข้า ไปทำงานได้ดีขึ้น

         หลัก การในการรักษาโรคมะเร็ง แบบใหม่ๆ จึงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการทำลายเซลล์ มะเร็งเท่านั้น แต่ยังต้องมุ่งยับยั้งสิ่งแวดล้อมของมะเร็ง ซึ่งเป็นเส้นทางที่มะเร็งจะแพร่กระจายไปสู่ส่วนอื่นๆของร่างกายด้วย และการยับยั้งการสร้างเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งนี้ ยังอาจจะทำให้ก้อนมะเร็งฝ่อไปในที่สุด   ซึ่งปัจจุบันนี้องค์การอาหารและยาได้อนุมัติให้ ใช้วิธีนี้เพื่อรักษาโรคมะเร็ง  6  ชนิด  คือ

         มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งไต มะเร็งสมอง และมะเร็งรังไข่

         ในทำนองเดียวกัน มะเร็งหลายชนิดชอบไปซ่อนตัวที่โพรงกระดูก ในบริเวณที่เราเรียกว่าไขกระดูกและเนื้อกระดูก ดังนั้น การยับยั้งกระดูก ทำลายสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมในกระดูกจะป้องกันไม่ให้มะเร็งแพร่กระจาย และยับยั้งมะเร็งได้ด้วยเช่นกัน

         มะเร็งโตเร็วอย่างไร้การควบคุม ดังนั้น การยับยั้งปัจจัยควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง จึงเป็นขั้นตอนการรักษาโรคมะเร็งที่สำคัญมาก นักวิทยาศาสตร์พยายามพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งตามกลไกการเกิดโรคอย่างแท้จริง โดยการยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งคือ การยับยั้งปัจจัยที่กระตุ้น และตัวรับปัจจัยกระตุ้นการเจริญเติบโตที่ผิวเซลล์มะเร็ง ซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นวิธีการรักษามาตรฐานสำหรับโรคมะเร็งหลายชนิดแล้วในประเทศไทย

         ส่วนเรื่องใหม่ๆที่เราได้ยินกันบ่อยในระยะหลังคือ การใช้ เซลล์บำบัด หรือสเต็มเซลล์ก็ได้ผลดี ที่ผ่านมาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่รักษาด้วยยาเคมีบำบัด มักจะเกิดอาการไขกระดูกฝ่อ ร่างกายขาดเซลล์เม็ดเลือด ซึ่งการปลูกถ่ายไขกระดูก หรือนำเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อนมาฉีดให้ผู้ป่วย จะช่วยให้แพทย์สามารถใช้ยาเคมีบำบัดได้เต็มที่ เพื่อหวังผลทำลาย เซลล์มะเร็งให้ได้มากที่สุด ในขณะที่การทำลายสเต็มเซลล์ของโรคมะเร็งจะนำไปสู่การรักษาโรคมะเร็งให้หายขาดได้ ไม่เพียงเท่านั้น เซลล์บำบัดยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ทำวัคซีนรักษามะเร็งได้อีกด้วย

         เรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่งที่เราได้ยินกันหนาหูคือ คำว่า นาโนเทคโนโลยี และเชื่อหรือไม่ การแพทย์ "นาโน" ก็รักษามะเร็งได้ นาโนเทคโนโลยีคือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการสร้างสิ่งที่มีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร (1-100 นาโนเมตร) สิ่งที่เล็กจิ๋วดังกล่าวมีประโยชน์มหาศาลในการป้องกันและรักษาโรคมะเร็ง ขณะนี้สำนักนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติของไทยได้พัฒนาหัวรบนาโนกับแอนติบอดี้ออกฤทธิ์จำเพาะต่อเซลล์มะเร็ง เพื่อจะนำไปสู่การรักษาโรคมะเร็งของคนไทยในอนาคต

         การนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้มีหลายวิธี ตั้งแต่การพัฒนาอุปกรณ์ขนาดจิ๋วที่เป็นพาหะนำยาป้องกันมะเร็งเข้าสู่ร่างกาย การใช้ยานาโนมาทำเป็น วัคซีนป้องกันโรค การใช้เครื่องตรวจขนาดจิ๋วตรวจดัชนีบ่งชี้โรค การพัฒนาเครื่องมือตรวจมะเร็ง การวินิจฉัยโรคด้วยสารตรวจขนาดจิ๋วที่วิเคราะห์ได้ ละเอียดถึงระดับเซลล์ และการติดฉลากหัวรบขนาดจิ๋วกับยามะเร็ง เพื่อนำยา ไปสู่มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขณะนี้ยานาโนรักษามะเร็งตัวแรกในไทยกำลังขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา โดยตัวยาเคมีบำบัดที่ติดฉลากนาโนนี้ เป็นยาที่มีต้นกำเนิดจากต้นสนในสหรัฐอเมริกา จึงจัดได้ว่ามาจากสมุนไพร เป็นยาโบราณใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บมานานหลายพันปี การนำสมุนไพร มาผสมผสานกับนาโนเทคโนโลยี ทำให้ได้ยาใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง และเพิ่มอำนาจทะลุทะลวงไปสู่เซลล์มะเร็ง จึงเป็นเรื่องน่าทึ่ง และเป็นความหวังของผู้ป่วย

          แต่ที่เป็นความหวังขั้นสุดยอด เราคงต้องกลับไปหา "ยีน" ด้วยวิธีที่เรียกว่า "ยีนบำบัด"

         เป็นเวลานานกว่าสิบปีแล้ว ที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามพัฒนานวัตกรรมการรักษาโรคมะเร็งด้วยยีนบำบัด เนื่องจากทราบว่า มะเร็งทุกชนิด เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน ดังนั้น การบำบัดยีนที่ผิดปกติ น่าจะเป็นวิธีที่ตรงจุดที่สุดในการรักษาโรค แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถนำยีนบำบัดมา รักษามะเร็งอย่างได้ผลดีเท่ากับนวัตกรรมอื่นๆ เพราะเทคโนโลยีในปัจจุบันยังไม่สามารถสอดใส่ ยีนที่ใช้ในยีนบำบัดเข้าไปในเซลล์มะเร็งได้ทุกเซลล์ แต่ทำได้เพียง 1% ของเซลล์มะเร็งเท่านั้นที่สามารถรับยีนบำบัด

         แต่หลักการของยีนบำบัดเป็นเรื่องสำคัญ เป็นการรักษาที่ตัวต้นเหตุ ยีนบำบัดจึงเป็นความฝันที่เย้ายวนใจของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกที่จะพัฒนาไปสู่การกำจัดมะเร็งขั้นเด็ดขาดแบบขุดรากถอนโคน เจาะดิ่งเข้าสู่ใจกลางของต้นกำเนิดของโรคมะเร็ง แต่กว่าความฝันจะเป็นความจริงได้ คงต้องรอจนกว่ามีเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ยีนบำบัดได้ผลดีกับผู้ป่วยมะเร็งทุกคน และกว่าจะถึงวันนั้น เราก็ยังมีหวังกันได้เสมอ

        ท่านที่สนใจนวัตกรรมใหม่ๆ ในการรักษาโรคมะเร็ง สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้จากนิตยสาร ต่วย'ตูนพิเศษ ฉบับตุลาคมนี้.

        ขอขอบคุณเนื้อหา รศ.นพ.นรินทร์ วรวุฒิ และ ทีมงาน ต่วย'ตูน และ Thairath.co.th

                               win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2553, 21:09:40 »


                                  คนขายยา ขอท้ามัจจุราช
                                       โดย : บุษกร ภู่แส
            ขอขอบคุณเวบกรุงเทพธุรกิจวันจันทร์ 18 ตุลาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
            http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20101018/356905/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%B2-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A.html

                

        ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย คุณจะทำอย่างไร ยอมรับโชคชะตาที่ลิขิตมา
                          หรือลุกขึ้นสู้เพื่อยื้อชีวิตไว้ให้อยู่ต่อไป


       เขาเคยเป็นชายหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรงไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วย ขับรถไปทำงานกรุงเทพฯ นครปฐม ขอนแก่น  อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร มุกดาหาร เป็นว่าเล่น เปลี่ยนรถไปแล้วไม่รู้กี่คัน

        อภิรมย์  วงศ์จิระกิจ ดีเทลยามือหนึ่งประจำห้างขายยาตราเจ็ดดาว ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายยาจากประเทศญี่ปุ่น และจีน รวมทั้งมีโรงงานผลิตยาสามัญในประเทศ  รับหน้าที่เป็นผู้จัดการคอยดูแลพื้นที่ขายยาในโรงพยาบาลแถบอีสานมากว่า 29ปี

        แต่แล้ววันหนึ่งเหมือนโลกเล่นตลกกับคนขายยา ร่างกายเขาเริ่มแสดงอาการอิดโรย อ่อนเพลียจนต้องหายใจทางปาก เวลาหายใจมีเสียงสะอื้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจที่ตรวจร่างกาย ปล่อยให้เจ้าเนื้อร้ายที่เกิดขึ้น กัดกินแทรกซึมไปยังร่างกายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนกระทั่งร่างกายส่งสัญญาณเตือนภัยครั้งสุดท้าย
 
       “คืนหนึ่งผมปัสสาวะบ่อย 4-6 ครั้งมีสีส้มเข้มผิดปกติ ทั้งที่ไม่ได้ดื่มหรือกินอะไรผิดปกติ แถมน้ำหนักตัวลดลงถึง 13 กิโลเลยตัดสินใจไปตรวจที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งแล้วหมอ บอกว่า เป็นมะเร็งตับ จำได้ว่า ตกใจ ”

       อภิรมย์  ดีเทลยาวัย 53 เล่า เขายังจำได้ทุกคำที่หมดพูดกับเขาราวกับฉากในละครว่า
 "หมอเสียใจด้วยที่ต้องบอกคุณว่า คุณเป็นมะเร็งตับ จากผลการตรวจพบว่าตับถูกทำลายไปแล้ว 80%"

       เขานั่งนิ่งพักใหญ่ พอได้สติขึ้นจึงถามหมอว่า “ผมสามารถมีชีวิตอยู่อีกนานเท่าไร”แพทย์เงยหน้าจากฟิล์มเอ็กซ์เรย์แล้วตอบว่า  
 “จากประสบการณ์ในการรักษาคนไข้จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีก 5-6 เดือน “

       ทันทีที่เรียกสติกลับคืนมาได้ครบถ้วน อภิรมย์ เตรียมปฏิบัติภารกิจเร่งด่วน ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำเลยในชีวิต เริ่มตั้งแต่การโอนทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ให้กับภรรยา ลูก 2 คนที่อยู่ขอนแก่น พร้อมกับแจ้งให้ครอบครัวญาติพี่น้องรับทราบถึงอาการเจ็บป่วยของตนเอง  จากนั้นเข้ารับการรักษาโดยการฉีดเคมีบำบัดเข้าเส้นเลือดใหญ่ที่ต้นขาถึง 4 ครั้ง

       “เข็มที่4 หลังจากฉีดเสร็จผมหนาวถึงกระดูด ห่มผ้าห่มกี่ผืนไม่พอตอนนั้นคิดว่าไม่รอด พอฟื้นขึ้นมาได้เหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ มันทำให้ผมไม่กลัวตายอีกต่อไป แต่ยังไม่ได้อยากตาย”

       ปฏิบัติการยื้อชีวิตของดีเทลยาวัย 53 ปี จึงยังไม่จบลงแค่นี้ เมื่อได้รับคำแนะนำจากดีเทลยาหนุ่มรุ่นน้องให้ลองกินยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงไปยังเซลส์มะเร็ง และยับยั้งเลือดที่ส่งไปเลี้ยงยังเซลล์มะเร็งในลักษณะการรักษาแบบพุ่งเป้าเพื่อช่วยยื้อชีวิต สนนราคาตกเม็ดละ 1,600 บาท วันหนึ่งต้องกิน 4 เม็ด เท่ากับจ่ายวันละ 6,400บาท  ยาหนึ่งกล่องมีทั้งหมด 6 แผงแผงละ 10 เม็ดกล่องหนึ่งมี 60 เม็ด

       "มันเป็นความหวังของผมในการระงับเนื้อร้ายลุกลาม ประคับประคองชีวิต แต่มันมีราคาแพงมาก ตั้งแต่ผมขายยามาจนอายุปูนนี้เพิ่งเคยเห็นยาราคาแพงขนาดนี้แถมยังต้องกินตลอดชีวิต แต่สำหรับผมมันคุ้มค่า ถ้ามันช่วยยืดเวลาให้ผมมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกๆ ได้ยินเสียงภรรยาแค่นี้ก็พอแล้ว"

       เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรเมื่อคนขายยาที่ต้องมาซื้อยาราคาแพงกิน เซลส์รุ่นใหญ่นิ่งไปสักพักแล้วบอกว่า  

       “ผมก็ไม่เคยคิดนะว่าจะต้องมาซื้อยากินแบบนี้ แต่ก็เข้าใจว่า ต้นทุนการศึกษาวิจัยยาแต่ละตัวมีราคาแพงจะให้มาขายราคาถูกคงจะไม่ได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้บริษัทยาลดราคาลงมา คนไข้ที่มีกำลังทรัพย์ไม่พอจะได้มีโอกาสเข้าถึงยาได้มากขึ้น“

      สำหรับอภิรมย์ เขาถือเป็นคนโชคดีที่เจ้านายช่วยออกค่ารักษาพยาบาลในช่วง 1 ปีกว่าที่ผ่านมา (เริ่มตั้งแต่มิถุนายน 2552 จนถึงเดือนกรกฏาคม 2553) หากดีดลูกคิดรางแก้วแล้วค่าใช้จ่ายในการยื้อชีวิตตกประมาณ 1.1 ล้านบาท นั่นรวมถึงค่ายาเม็ดละ 1,600 บาทเป็นระยะเวลา 3 เดือนเกือบ 600,000 บาท

      ยิ่งไปกว่านั้น ทุกวันนี้เขาได้สิทธิกินฟรีตลอดชีวิต หรือตลอดเวลาการรักษาของโรค หรือจนกว่าแพทย์เห็นควรให้หยุดยา  เนื่องจาก

       เขาได้เข้าร่วมโครงการ  “N-PAP” ซึ่งเป็นโครงการที่ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย และ บริษัทไบเออร์ ผู้ผลิตยาจัดทำขึ้นมาเพื่อต้องการช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งตับ โดยให้ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเขียนชื่อที่อยู่มาทางสถาบันมะเร็งเพื่อคัดเลือกผู้ป่วยที่มีความจำเป็นในการรักษาแต่ไม่มีเงินเพียงพอที่จะรักษาในระยะยาว เพราะค่าใช้จ่ายตกประมาณ 2แสนบาทต่อเดือน ทั้งนี้ในการเข้าร่วมโครงการผู้ป่วยที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องซื้อยานี้เพื่อใช้ทำการรักษาเป็นระยะเวลา 3 เดือนก่อน หลังจากนั้นสามารถใช้ยาตัวนี้รักษาได้ฟรีตลอดชีวิต

       วันนี้ อภิรมย์ ยังคงทำงานเป็นผู้จัดการเซลส์ขายยาในเขตอีสาน ขับรถไปกลับกรุงเทพ ฯ ขอนแก่น   อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร มุกดาหาร และนครปฐมตามปกติ  แม้ว่าครอบครัวจะเคยขอร้องให้หยุดทำงาน แต่เขาไม่ยอม โดยให้เหตุผลว่า มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่รู้สึกว่า ตัวเองป่วย  ไม่รู้สึกฟุ้งซ่าน แม้ว่าอาจมีอาการเหนื่อยหอบบ้างบางครั้ง

       " ตอนนี้ผมทำงานเพื่อหาเงินมารักษาชีวิตตนเองจนนาทีสุดท้าย ผมบอกกับภรรยาและลูกนะว่า ถ้าโทรหาผมแล้ว 2 วันผมไม่ได้โทรกลับเตรียมจัดงานศพให้ผมได้เลย ไม่ต้องเสียใจนะ เพราะผมสู้มาจนถึงที่สุดแล้ว ถ้าเขา (มะเร็ง) อยากอยู่ต่อต้องอยู่ด้วยกันกับผม แต่ถ้าเขาจะให้ผมตายเขาจะต้องตามไปพร้อมกับผม" ดีเทลยา กล่าวด้วยเสียงมั่นคง
 
                     win win win

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

       นำมาโพสต์บอกพวกเรา ถ้าเกิดเป็นมะเร็งตับ ที่ไม่มีทางรักษา 6 เดือนต้องเสียชีวิต
แต่ วิทยาการทางการแพทย์ได้วิจัยยาตัวใหม่ เพื่อรักษาแล้ว เป็นความหวังที่จะเอาชนะ
โรคนี้ให้ได้ เมื่อวิจัยสำเร็จ ชาวโลกจะได้มีหวังเมื่อป่วยด้วยโรคร้ายนี้


       แต่เมื่อยังวิจัยไม่สำเร็จ ต้องดูแลสุขภาพไม่ให้ป่วยเป็นมะเร็งตับ
             ตามที่รู้กันว่า เวชศาสตร์ป้องกันดีกว่าเวชศาสตร์รักษา
                            ได้หาจากกูเกิ้ลมาฝากพวกเรา

                        win win win win win

       ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับมีอะไรบ้าง

ไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี พบว่าหากเป็นเรื้อรังจะพบว่ามีอัตราการเกิดมะเร็งตับสูง

การได้รับสาร Aflatoxin ซึ่งเป็นสารเคมีที่ผลิตจากเชื้อราที่อยู่ในอาหารพวก

ถั่ว แป้งสาลี ถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าว

ตับแข็งจากจาก สุรา ตับอักเสบ เป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับ

การได้รับสาร vinyl chloride

ยาฮอร์โมนเพศชาย ที่ใช้รักษาโรคโลหิตจาง หรือการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

พบว่ามีการเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ

สารหนู หากได้รับติดต่อกันก็เพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งตับ

สูบบุหรี่ บางรายงานกล่าวว่าการสูบบุหรี่ทำให้มะเร็งตับเพิ่ม

               งง งง งง งง งง งง

        มะเร็งตับป้องกันได้หรือไม่ สามารถป้องกันได้โดยการสาธารณสุข

แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี แก่เด็กทุกราย

ให้ความรู้แก่ประชาชนถึงวิธีการติดต่อของไวรัสตับอักเสบ บี และซี

ลดสาร aflatoxin โดยการเน้นการเก็บอาหารให้แห้งเพื่อลดปริมาณ aflatoxin

โรคตับแข็ง โดยการลดการดื่มสุรา

พยาธิใบไม้ในตับ ให้ประชาชนลดการบริโภคอาหารดิบๆ

สารเคมีต่าง ควรมีมาตรการป้องกันทั้งผู้บริโภค และคนงานมิให้ได้รับสารเคมีเหล่านี้

         เราสามารถให้การวินิจฉัยโรคมะเร็งตับเมื่อเริ่มเป็นได้หรือไม่

        เป็นที่ทราบกันดีว่ามะเร็งในระยะเริ่มต้นหากวินิจฉัยได้ย่อมทำให้โอกาสในการรักษาให้หายขาด

แต่การวินิจฉัยระยะเริ่มแรก ทำได้ช้าเนื่องจากไม่ค่อยมีอาการ เมื่อมีอาการโรคก็เป็นมากแล้ว

        การเจาะเลือดหาสาร alfa-fetoprotein ซึ่งถ้าเป็นมะเร็งค่านี้ก็จะสูง ได้มีการเจาะหาค่านี้

เพื่อตรวจหามะเร็งแรกเริ่ม ซึ่งหากนำมาหาในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง เช่น

       ผู้ป่วยที่มีตับอักเสบเรื้อรัง ก็สามารถให้การวินิจฉัยมะเร็งในระยะแรกเริ่มได้

แต่ก็มีมะเร็งตับบางชนิดไม่สร้าง alfa-fetoprotein

       ขอขอบคุณเวบ siamhealth ที่เอื้อเฟื้อเนื้อหา

               อ่านบทความทั้งหมดได้ที่
        http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/cancer/liver_cancer.htm

               win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><