คอลัมม์ "ถูกทุกข้อ" ของ สามวา สองศอก
คนสร้างไทยถูกทุกข้อ 29 เมษายน 2553 - 00:00     นักสร้างไทย...ใช่ที่ดีแต่พูด
     ต้องพิสูจน์ด้วย..ทำ..จึงสำเร็จ
     นักวิชามากล้นกลเม็ด
     สมองเพชร..กลั่นใช้ไทยจึงงาม
          นักสร้างไทย ดีกรีดีอวดอ้าง
          พูดเข้าข้างประโยชน์ตนคนรุมหยาม
          พวก "มะกอกมากตะกร้า" ไม่น่าตาม
          ไม่มีความจริงใจ..ให้ใครชม
     นักสร้างไทยต้องนำ..ทำทันที
     ทำเดี๋ยวนี้..ไม่ขลาดก่อนชาติล่ม
     ไม่เกี่ยงมึง..เกี่ยงมัน..ฝันลมลม
     ชาติอุดม..คือความหวังคนสร้างไทย
                                             สมเจตน์  สายแก้ว
                  กลับหัวกลับหาง
เรียน คุณสามวา สองศอก ที่เคารพ
     ช่วงนี้ไม่ว่าจะกระดิกตัวไปทางไหน   หูผมมักได้ยินเสียงคนปรับทุกข์กันถึงปัญหาบ้านเมืองแทบจะทั่วไปหมด   ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุช่วงซึ่งท่านยังมีชีวิตอยู่  ได้ปรารภฝากไว้ว่าไม่ว่าวิถีการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามที่มันสร้างปัญหาให้แก่สังคม  ถ้ากลับหัวกลับหางมันได้ย่อมเป็นทิศทางที่ช่วยแก้ปัญหาได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ
     เรื่องนี้ฟังดูแล้วมันเหมือนกับเป็นเรื่องง่าย  แต่หลายคนหลังจากรับฟังแล้วมักจะบ่นว่า  "มันยากที่จะนำปฏิบัติ"
     ความจริงแล้วประเด็นนี้  ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่รู้สึกว่ามันสร้างปัญหา  ความจริงแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นมันมีเหตุสืบเนื่องมาจากเงื่อนไขที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง
     เรื่องนี้คือหลักธรรม  หากใครนำปฏิบัติได้ก็ย่อมแก้ปัญหาได้ 
     ท่านถึงได้กล่าวฝากไว้ว่า  "สิ่งที่มันอยู่ในรากฐานจิตใจมนุษย์แต่ละคนนั้นคือธรรมชาติ  ส่วนสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั้นมันคือธรรมดา"
     นี่คือหลักธรรมจากการนำปฏิบัติ  หากใครปฏิบัติได้ก็ย่อมรู้ได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ  แม้ไม่มีใครสอน  เราผู้ปฏิบัติก็ควรสอนตัวเองได้ด้วย      
     สิ่งที่ได้กล่าวมาแล้ว  ถ้าใครยังไม่สามารถนำปฏิบัติได้ก็ย่อมรู้ได้ไม่ถึง  ผมมีบทความเรื่องหนึ่งซึ่งพึ่งจะเขียนขึ้นมาเมื่อไม่นาน  บทความเรื่องนี้ให้ชื่อว่า  "ใหญ่ที่สุดคือเล็กที่สุด"  ซึ่งหมายถึงสิ่งใดก็ตามที่ตกหล่นอยู่บนพื้นดิน  ย่อมเป็นสิ่งมีคุณค่าสูงมาก  แต่มนุษย์ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยจะเห็นความจริงในเรื่องนี้
     ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ด้วยแล้ว  หลักธรรมได้กล่าวฝากไว้ว่า  "เพราะไม่มีเหตุนั้น   จึงไม่มีเหตุนี้"   ดังนั้นถ้าจะกล่าวว่า  "เพราะเราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งซึ่งอยู่บนพื้นดิน  เราจึงมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตคนระดับล่าง  เช่น  ชาวไร่  ชาวนา"
     เพราะเรามองคนเหล่านี้อย่างดูถูกดูแคลน   การพัฒนาชนบทของเราจึงตกอยู่ในสภาพล้มเหลวจนแทบจะสิ้นเชิง 
     ไม่ต้องดูอื่นไกล  แม้แต่ชีวิตคนที่หากินอยู่ตามข้างถนน  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแผงลอย  คนเหล่านี้อพยพเข้าเมือง  จึงน่าสังเกตว่าเหตุใดพวกเขาจึงตกอยู่ในสภาพดังกล่าว
     แม้แต่ชีวิตภายในเมือง   ซึ่งแต่ก่อนแทบไม่มีขโมยขโจร  แต่ในปัจจุบันคนก่ออาชญากรรมเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองไปหมด  เช่นนี้เป็นต้น
     อย่างที่ผมเคยเขียนเอาไว้แล้วในอดีตว่า   ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนหนึ่งที่เชิญผมไปพูด  เพื่อแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ  ครั้นพูดไปพูดมามันก็มาลงตรงที่ชีวิตคนในชนบท  มักไม่อยู่กับร่องกับรอยจึงทำให้คนอพยพเข้ากรุง
     เรื่องนี้ถ้าใครไม่คิดดูถูกสิ่งที่มันอยู่ใกล้ตัวเรา  ดังเช่นตราประจำกระทรวงยุติธรรมที่เป็น
รูปตาชั่ง  อันหมายถึงหลักการที่ได้ชี้ไว้ว่า  "เมื่อด้านหนึ่งลง  อีกด้านหนึ่งก็ย่อมขึ้น"  ดังนั้นการคิดแก้ไขปัญหาคนชนบทอพยพเข้ากรุง  จนกระทั่งมาสร้างชุมชนแออัดขึ้นในเมืองหลวง   แทนที่เราจะมุ่งไปแก้ไขในเมืองกรุงก็ควรคิดแก้ไขปัญหาในชนบทให้ได้
     ผมยังจำได้ว่าครั้งนั้น   หลังจากมีการชี้ให้เห็นปัญหาชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ  จนกระทั่งผู้ว่าราชการ  กทม.รู้ว่า  "ถ้าจะคิดแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ  ต้องไปมุ่งมั่นแก้ไขในชนบท"  ทั้งนี้  ก็เพราะถ้าเราสามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่รากฐานคนชนบท  คนก็ย่อมไม่อพยพเข้ากรุงเช่นนี้  เป็นต้น
     นี่แหละวิธีแก้ไขปัญหาที่ควรจะมุ่งเน้นความสำคัญไปยังด้านตรงกันข้าม  แต่เราก็คิดไม่ออก 
 โดยเฉพาะปัญหาการจัดการศึกษาที่ไม่ทำให้รากฐานจิตใจคนเข้มแข็ง   ซึ่งเรื่องนี้ความจริงแล้ว
ความเข้มแข็งภายในรากฐานของมนุษย์  ทุกคนมีอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่เกิด  เราไม่ต้องไปสร้างความเข้มแข็งให้กับรากฐานจิตใจใครอื่น   แต่โปรดอย่าทำลายความเข้มแข็งภายในรากฐานจิตใจที่มีอยู่แล้วเท่านั้นเป็นพอ
     ผมถึงได้เขียนบทความเรื่องหนึ่งโดยให้ชื่อว่า   "ยิ่งเล็กก็ยิ่งใหญ่"  สรุปแล้วโปรดอย่าดูถูกของเล็ก  แต่ควรให้ความสำคัญและรู้คุณค่าของเล็กเหนือกว่าของใหญ่
     ผมยังจำได้ดีว่าในอดีตที่ผ่านมา  คนไทยส่วนใหญ่มักถูกปรามาสว่า  "มองข้ามความสำคัญของสิ่งซึ่งตกหล่นอยู่บนพื้นดิน"  อีกทั้ง  "มองข้ามความสำคัญของสิ่งซึ่งอยู่ใกล้ตัว  แม้กระทั่งมองข้ามความสำคัญของสิ่งเล็กน้อย"
     หลักธรรมก็ได้ชี้ไว้ว่า  "เพราะเรามองข้ามความสำคัญ  สิ่งที่เรามองข้ามมันจึงพ่นพิษใส่เรา"  นอกจากนั้นยังมีคำปรามาสอีกประโยคหนึ่ง  ซึ่งกล่าวไว้ว่า  "เพราะเราดูถูกสิ่งที่ตกหล่นอยู่บนพื้นดิน  ยิ่งเป็นชีวิตมนุษย์ด้วยแล้ว  บัดนี้คนกลุ่มนี้จึงลุกขึ้นมาพ่นพิษใส่ตัวเอง"
     นอกจากนั้นยังมีเสียงปรามาสด้วยว่า   "คนไทยนิยมแก้แต่ปัญหาเฉพาะหน้า"  ส่วนปัญหาระยะยาวนั้นล้วนคิดไม่ออก
     คอยดูก็แล้วกันว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้  ซึ่งเรานิยมออกกฎหมายแก้ไข  ถ้าในระยะยาวเรายังขาดจิตใต้สำนึกที่จะแก้ไข  ในที่สุดวันหนึ่งย่อมเกิดปัญหารุนแรงมากกว่านี้  ถ้าผมทายไม่ผิด
     การแก้ปัญหาระยะสั้นนั้น  ถ้าคิดแก้ไขโดยยกพวกฆ่ากันเองมันก็เท่านั้น  แต่ถ้าคิดแก้ไขในระยะยาว  เราจะต้องให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่มันฝังอยู่ในรากฐานการจัดการศึกษาของชาติ
     ไม่ต้องดูอื่นไกล  แม้แต่ทุกวันนี้คนที่มีการศึกษาสูงๆ  ก็ยังทำให้สังคมจำต้องผิดหวัง
     ถ้าเราเป็นคนที่มีรากฐานจิตใจอิสระจริง  ก็ควรรู้สึกเฉลียวใจว่า  "เหตุใดคนที่มีการศึกษาสูงก็ยังคิดแบบหลงผิด"  เรื่องนี้เห็นจะต้องค้นหาเงื่อนปมที่มันแฝงอยู่ในระบบการจัดการศึกษาเท่าที่เป็นมาแล้ว
     ถ้าคิดจะแก้ไขปัญหากันอย่างจริงจังแล้ว  เราก็ไม่ควรที่จะมองปัญหาแต่เพียงผิวเผิน  แม้ว่าการแก้ปัญหาของชาติในครั้งนี้จะผ่านพ้นไปได้ก็ตาม   ถ้าไม่ติดตามให้ลึกซึ้ง  วันหนึ่งข้างหน้ามันก็ย่อมเกิดขึ้นอีกและรุนแรงยิ่งกว่าเก่า  ถ้าผมคาดการณ์ไม่ผิด
     ผมอายุ  88  ปีแล้ว  แต่ก็ยังลงไปใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับพื้นดิน  และลงมือทำงานดำนาเกี่ยวข้าวร่วมกับชาวนาชาวไร่
     ผมถือว่าหลักธรรมได้ชี้เอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องแก้ไขด้วยการลงมือปฏิบัติ  หาใช่เพียงแก้ไขด้วยปาก  ซึ่งมันเป็นเรื่องผิวเผิน  ทั้งนี้  เป็นเพราะการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการลงมือปฏิบัตินั้น   ย่อมมีผลการแก้ไขที่เกิดจากความจริง  ซึ่งอยู่ในใจตนเองของแต่ละคน
     ผมรู้สึกเสียใจที่มองครั้งใด  ก็มักจะมีแต่คนพูดว่า  "ขอให้จับเข่าคุยกัน" 
     ถ้าคุณมานั่งจับเข่าคุยกัน   ต่อให้กี่สิบกี่ร้อยครั้งมันก็แก้ไม่ได้  นอกจากลงมือทำด้วยตัวเอง  ซึ่งทุกคนควรจะต้องนำปฏิบัติให้ได้
     อย่าว่าแต่ในยามที่เกิดปัญหาเลย  แม้แต่ในยามปกติผมก็ลงทำงานแบบติดดินร่วมกับชาวบ้าน
     เมื่อไม่นานมานี้   ตัวผมเองก็ยังลงไปเกี่ยวข้าว  คัดพันธุ์ข้าวในนาร่วมกับชาวบ้านในชนบท  ไม่เช่นนั้นแล้วไฉนเลยเราจะรู้ความจริงจากใจตัวเองให้ถึงแก่นแท้
     ถ้าแต่ละคนยังหลงอยู่กับความสบายทางวัตถุ  โดยไม่ยอมลงไปทำงานแบบติดดินอยู่กับชาวบ้าน  ซึ่งเขาก็เป็นคนไทยเช่นเดียวกับเรา  ไฉนเลยจะแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ
     ช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ  ผมเคยหาภาพที่มันเป็นความจริงมาสะท้อนให้คน
ทั่วไปได้มองเห็น  เพราะโทรทัศน์ตามไปถ่ายผมเพื่อทำข่าว  แต่ผมก็ยอมให้เขาถ่ายหากเอาตัวเองล่อกล้อง  ลงไปให้ทุกคนได้เห็นปัญหาของชาวบ้าน  ซึ่งประเด็นนี้หลายคนที่ติดตามข่าวผมคงจะจำได้ดี
     ความจริงแล้ววิธีแก้ปัญหาแบบนี้มักไม่ค่อยมีใครทำ  แต่ถ้าผู้บริหารประเทศทำได้ย่อมแก่ปัญหาได้ทุกเรื่อง  แม้ไม่จำเป็นต้องเสียเงินของชาติมากมาย
     ผมคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้  เราต้องหวนกลับไปแก้ไขสิ่งที่มันเป็นมาแล้วในอดีต  แม้การแก้ไขในปัจจุบันมันก็อาจช่วยให้อนาคตเกิดปัญหาลดน้อยลงไปได้  ถ้าเราเป็นคนเอาจริงเอาจังโดยไม่ต้องคิดทำร้ายคนอื่น  ถ้าตัวเราเองไม่หลงอยู่กับอำนาจอีกทั้งโชคชะตาราศี  รวมทั้งความมีหน้ามีตาในสังคม
     ผมฝากตรงนี้ไว้ให้ทุกคนนำไปคิดพิจารณากันเอาเอง  จะว่ามันยากมันก็อาจยาก  แต่หากคิดว่ามันง่าย  โปรดอย่าดูถูกตัวเอง  แต่ขอให้ลงมือทำอย่างจริงจัง
                                                    ด้วยความเคารอย่างสูง
                                                            ระพี สาคริก
ตอบ อาจารย์ระพี
     มาถึงวันนี้คนส่วนใหญ่จะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล  เพื่อมาแก้ปัญหาวิกฤติชาติที่ส่งผลถึงคน
ไทยทุกคน  อาจารย์ก็พยายามเสนอแนะมาหลายครั้ง  แต่ยังไม่มีใครนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
                                                       สามวา สองศอก
http://www.thaipost.net/news/290410/21478